Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หลักสูตรโรงเรียนเขื่อนผากวิทยา (ฉบับสมบูรณ์)

หลักสูตรโรงเรียนเขื่อนผากวิทยา (ฉบับสมบูรณ์)

Published by naratham1965, 2019-12-14 01:28:36

Description: หลักสูตรโรงเรียนเขื่อนผากวิทยา (ฉบับสมบูรณ์)

Search

Read the Text Version

หลกั สูตรโรงเรียนเข่อื นผากวิทยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ประกาศโรงเรยี นเข่ือนผากวิทยา เร่อื ง ใหใ้ ช้หลกั สตู รโรงเรียนเขือ่ นผากวทิ ยา พทุ ธศกั ราช ๒๕๖๑ ตามโครงสรา้ งเวลาเรียนโรงเรียนพระปริยตั ธิ รรม แผนกสามญั ศกึ ษา และ ตามนโยบายลดเวลาเรยี นเพ่ิมเวลารู้ ของกระทรวงศึกษาธิการ ฼พื่อ฿ห๎การจัดการศึกษาข้ันพื้นฐาน สอดคล๎องกับสภาพความ฼ปล่ียน฽ปลงทาง฼ศรษฐกิจสังคม฽ละความ ฼จริญก๎าวหน๎าทางวิชาการ ฼ป็นการสร๎างกลยุทธ์฿หมํ฿นการพัฒนาคุณภาพการศึกษา฿ห๎สามารถตอบสนองความ ต๎องการของบุคคล สังคมเทย ผู๎฼รียนมีศักยภาพ฿นการ฽ขํงขัน฽ละรํวมมืออยํางสร๎างสรรค์฿นสังคม฾ลก ปลูกฝัง฿ห๎ ผ๎ู฼รียนมีจิตสานึก฿นความ฼ป็นเทยมีระ฼บียบวินัย คานึงถึงประ฾ยชน์สํวนรวม฽ละยึดมั่น฿นการปกครองระบอบ ประชาธิปเตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรง฼ป็นประมุข ฼ป็นเปตาม฼จตนารมณ์มาตรา ๘๐ ของรัฐธรรมนูญ฽หํง ราชอาณาจักรเทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ฽ละพระราชบัญญัติการศึกษา฽หํงชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ ฽ละที่฽ก๎เข฼พ่ิม฼ติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๕ ฉะนั้น อาศยั คาสั่งคณะกรรมการศกึ ษาพระปริยตั ิธรรม ฽ผนสามญั ศกึ ษา ฽ละอาศัยอานาจตามความ฿นข๎อ ที่ ๑๔ ฽ละข๎อที่ ๑๕ ฽หงํ ประกาศมหา฼ถรสมาคม วําด๎วย฾รง฼รยี นพระปรยิ ัตธิ รรม ฽ผนกสามัญศึกษา ฿นการ ประชมุ ผบ๎ู ริหาร฾รง฼รียนพระปรยิ ัติธรรม ฽ผนกสามัญศึกษา กลุมํ ท่ี ๕ ครง้ั ท่ี ๓ ประจาปกี ารศึกษา ๒๕๕๙ ฼ม่ือ วันท่ี ๓๐ กนั ยายน ๒๕๕๙ จึงมีการปรบั ปรุง฾ครงสร๎าง฼วลา฼รยี น฽ละ฼กณฑก์ ารจบการศกึ ษา฾รง฼รยี นพระปริยัติ ธรรม ฽ผนกสามญั ศกึ ษา ท้ังนี้ หลักสูตร฾รง฼รียน฼ข่ือนผากวิทยา พุทธศักราช ๒๕๖๐ เด๎รับความ฼ห็นชอบจากคณะกรรมการ สถานศึกษาข้ันพื้นฐาน ฼มื่อวันท่ี ๑ ฼ดือนพฤษภาคม พ.ศ.๒๕๖๐ จึงประกาศ฿ห๎฿ช๎หลักสูตร฾รง฼รียนต้ัง฽ตํบัดนี้฼ป็น ตน๎ เป ประกาศ ณ วันท่ี ๑๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๑ พระครูศรปี รยิ ตั ยานุกจิ , ดร. ผอู๎ านวยการ฾รง฼รียน฼ขื่อนผากวิทยา

หลกั สูตรโรงเรยี นเขอื่ นผากวิทยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ๒ หลกั สตู รโรงเรยี นเข่อื นผากวิทยา พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑ โรงเรียนเขือ่ นผากวทิ ยา อาเภอพร้าว จังหวดั เชยี งใหม่ --------------------------------------------------- ความนา หลักสูตร฾รง฼รียน฼ขอ่ื นผากวิทยา พุทธศักราช ๒๕๕๑ ฼ป็นหลักสูตร฽กนกลางของประ฼ทศท่ีมีวิสัยทัศน์ มุํง พัฒนาผ๎ู฼รียนทุกคน ซึ่ง฼ป็นกาลังของชาติ฿ห๎฼ป็นมนุษย์ที่มีความสมดุลทั้งด๎านรํางกาย ความรู๎ คุณธรรม มีจิตสานึก ฿นความ฼ป็นพล฼มืองเทย฽ละ฼ป็นพล฾ลก ยึดม่ัน฿นการปกครองตามระบอบประชาธิปเตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรง ฼ป็นประมุข มีความรู๎฽ละทักษะพ้ืนฐานรวมท้ัง฼จตคติท่ีจา฼ป็น ตํอการศึกษาตํอ การประกอบอาชีพ ฽ละการศึกษา ตลอดชีวิต ฾ดยมุํง฼น๎นผ๎ู฼รียน฼ป็นสาคัญบนพื้นฐานความ฼ช่ือวําทุกคนสามารถ฼รียนร๎ู฽ละพัฒนาตน฼องเด๎฼ต็มตาม ศกั ยภาพ ฽ละมจี ุดหมายที่จะพัฒนาคุณภาพผ฼ู๎ รยี น฿ห๎฼ปน็ คนดี มีปญั ญา มีความสุข มีศักยภาพ฿นการศึกษาตํอ ฽ละ ประกอบอาชีพ ฾รง฼รียน฼ข่ือนผากวิทยาเด๎จัดทาหลักสูตร฾รง฼รียน฼ข่ือนผากวิทยา ฽ละตามหลักสูตรการศึกษาพระปริยัติ ธรรม ฽ผนกสามัญศึกษา พ.ศ. ๒๕๕๙ ฿นระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต๎น ฽ละตอนปลาย ตามน฾ยบายลด฼วลา฼รียน ฼พ่ิม฼วลาร๎ู ของกระทรวงศึกษาธิการ ฾ดยครูทุกทํานรํวมกันวิ฼คราะห์หลักสูตรของสถานศึกษา฽ละหลักสูตรของ฽ตํ ละกลมุํ สาระการ฼รียนร๎ู จนเด๎หลักสตู รของ฾รง฼รียนที่฼สร็จสมบรู ณจ์ ะ฼ริ่มนาหลักสตู รมา฿ช๎฿นภาค฼รียนท่ี ๒ ประจาปี การศึกษา ๒๕๕๙ ฾ดยความรํวมมือของทุกกลุํมสาระการ฼รียนร๎ู฽ละกิจกรรมพัฒนาผู๎฼รียนหลักสูตร฾รง฼รียน฼ขื่อน ผากวิทยา พุทธศักราช ๒๕๕๑ ฽ละตามหลักสูตรการศึกษาพระปริยัติธรรม ฽ผนกสามัญศึกษา พ.ศ. ๒๕๕๙ ฾รง฼รยี น฼ขื่อนผากวทิ ยาท่ีจดั ทาขึ้นเด๎ผํานความ฼ห็นชอบจากคณะกรรมการสถานศึกษาข้ันพ้ืนฐาน฾รง฼รียน฼ข่ือนผาก วิทยา฼ปน็ ที฼่ รียบร๎อย฽ลว๎ จงึ ประกาศ฿ช฿๎ นภาค฼รยี นท่ี ๑ ประจาปีการศึกษา ๒๕๖๐ น้ี พระครศู รีปรยิ ัตยานกุ ิจ, ดร. ผ๎ูอานวยการ฾รง฼รยี น฼ขื่อนผากวทิ ยา

หลักสูตรโรงเรยี นเขือ่ นผากวทิ ยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ๓ ความนา กระทรวงศึกษาธิการเด๎มคี าสั่งท่ี สพฐ. ๒๙๓/๒๕๕๑ ลงวนั ท่ี ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๕๑ ประกาศ฿ช๎หลักสูตร ฽กนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑ ฾ดยกาหนด฿ห๎฾รง฼รียนต๎น฽บบการ฿ช๎หลักสูตร฽ละ฾รง฼รียนท่ีมีความ พร๎อมตามรายชื่อท่ีกระทรวงศึกษาธิการประกาศ ฼ร่ิม฿ช๎หลักสูตรดังกลําว฿นปีการศึกษา ๒๕๕๒ ฿นชั้น ประถมศึกษา ปีที่ ๑ – ๖ ฽ละชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ฽ละ ๔ ฿นปีการศึกษา ๒๕๕๓ ฿ห๎฿ช๎฿นช้ันประถมศึกษาปีที่ ๑ – ๖, ชั้น มัธยมศึกษาปีที่ ๑ ฽ละ ๒, ชั้นมัธยมศึกษาปที ี่ ๔ ฽ละ ๕ ต้งั ฽ตปํ กี ารศึกษา ๒๕๕๔ ฼ป็นตน๎ เป ฿ห๎฿ช๎฿นทุกช้ัน฼รียน สาหรับ฾รง฼รียนท่ัวเปทั่วประ฼ทศ฿ห๎฼ร่ิม฿ช๎หลักสูตร฽กนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑ ฿นปีการศึกษา ๒๕๕๓ ฿นช้ันประถมศึกษาปีที่ ๑ – ๖, ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี ๑ ฽ละ ๔ ฿นปีการศึกษา ๒๕๕๔ ฿ห๎฿ช๎฿นช้ัน ประถมศึกษาปีที่ ๑ – ๖, ช้ันมัธยมศึกษา ปีที่ ๑ ฽ละ ๒, ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ ๔ ฽ละ๕ ตั้ง฽ตํปีการศึกษา ๒๕๕๕ ฼ปน็ ตน๎ เป ฿ห๎฿ช๎หลักสตู รน้ี฿นทุกชน้ั ฼รียน พระราชบัญญัติการศึกษา฽หํงชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ ฽ก๎เข฼พ่ิม฼ติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๕ บัญญัติเว๎฿น มาตรา ๒๗ ฿ห๎คณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐานกาหนดหลักสูตร฽กนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน ฼พ่ือความ฼ป็นเทย ความ฼ป็นพล฼มืองท่ีดีของชาติ การดารงชีวิต ฽ละการประกอบอาชีพ ตลอดจน฼พื่อการศึกษาตํอ ดังน้ัน สานักงาน คณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน (สพฐ.) จึงเด๎จัดทาหลักสูตร฽กนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑ ขึ้น ฾ดยเด๎ปรับปรุง฽ละพัฒนาจากหลักสูตร฽กนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พ.ศ. ๒๕๔๔ องค์ประกอบสาคัญของ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑ ได้แก่ วิสัยทัศน์ จุดหมาย สมรรถนะสาคัญของผู้เรียน คุณลักษณะอันพึงประสงค์ มาตรฐานการเรียนรู้และตัวช้ีวัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง โครงสร้างเวลาเรียน พ้ืนฐาน และเกณฑ์การวัดและประเมินผลกลาง ซ่ึงสถานศึกษาทุก฽หํงที่จัดการศึกษาขั้นพ้ืนฐานต๎องนาหลักสูตร ฽กนกลางเป฿ช๎฼ป็นกรอบ฽ละทิศทาง฿นการจัดทาหลักสูตรสถานศึกษา ฽ละจัดการ฼รียนการสอน ฼พ่ือพัฒนา฼ด็ก฽ละ ฼ยาวชนเทยทุกคน฿นระดับการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน ฿ห๎มีคุณภาพด๎านความรู๎ ฽ละทักษะที่จา฼ป็นสาหรับการดารงชีวิต฿น สังคมท่ีมีการ฼ปล่ียน฽ปลง ฽ละ฽สวงหาความรู๎฼พื่อพัฒนาตน฼องอยํางตํอ฼นื่องตลอดชีวิต โดยสถานศึกษาสามารถ พัฒนาเพิ่มเติม เพ่ือให้สอดคล้องเหมาะสมกับจุดเน้นของสถานศึกษา ความสนใจ และความถนัดของผู้เรียน หรือเพื่อพัฒนาศักยภาพของผู้เรียนในระดับสูง ทั้งนี้ สถานศึกษาไม่จาเป็นต้องกาหนดมาตรฐานการเรียนรู้ เพ่ิมเติม นอกจากนี้ ยังเปิดโอกาสให้สถานศึกษาที่จัดการศึกษาสาหรับกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ สามารถนา หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน ไปปรับใช้ตามความเหมาะสมกับสภาพและบริบทของแต่ละ กลุม่ เป้าหมาย โดยให้มีคุณภาพตามมาตรฐานท่กี าหนด โ ด ย ที่ โ ร ง เ รี ย น เ ข่ื อ น ผ า ก วิ ท ย า เ ป็ น ส ถ า น ศึ ก ษ า ที่ มี วั ต ถุ ป ร ะ ส ง ค์ พิ เ ศ ษ ใ น ก า ร จดั การศกึ ษา กลา่ วคือ การจัดการเรียนการสอนสาหรับพระภิกษุสามเณรเป็นการศึกษาเฉพาะ และมีจุดเน้นใน การพัฒนาผู้เรียน ให้เป็นศาสนทายาทท่ีเปี่ยมด้วยปัญญาพุทธธรรม มีความรู้ ความสามารถ มีความประพฤติ ปฏิบตั ิตรงตามพระธรรมวินยั เป็นแบบอยา่ งที่ดีของพุทธศาสนกิ ชน ดงั นัน้ โรงเรยี นเขือ่ นผากวิทยา นอกจากจะ ยึดแนวทางการจัดการหลักสูตรให้ผู้เรียนได้เรียนตามหลักสูตรการศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา พ.ศ. ๒๕๕๘ และหลักสูตรแกนกลางการการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑ ของกระทรวงศึกษาธิการแล้ว ยัง ได้สนองนโยบายของมหาเถรสมาคมโดยได้นาหลักสูตรการศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา พ.ศ.

หลกั สูตรโรงเรยี นเขือ่ นผากวทิ ยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ๔ ๒๕๕๘ และหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐานตามความเหมาะสมกับสภาพและบริบทของผู้เรียนซึ่งเป็น พระภกิ ษุสามเณรโดยมุง่ เปา้ ประสงค์ไปที่การศกึ ษา นกั ธรรม-บาลี อย่างเขม้ ข้นอกี ดว้ ย ฾รง฼รียน฼ข่ือนผากวิทยา เด๎จัดทา “หลักสูตรโรงเรียนเขื่อนผากวิทยา พ.ศ. ๒๕๖๑”ตามหลักสูตร การศึกษาพระปรยิ ตั ิธรรม แผนกสามัญศึกษา พ.ศ. ๒๕๕๘ และหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑” ขน้ึ โดยมกี ารปรับปรุง เพิ่มเติมสาระ มาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัด และสาระการเรียนรู้ในกลุ่มสาระ สงั คมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม กลมุ่ สาระการเรยี นรู้สุขศึกษาและพลศึกษา และกลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ ฿ห฼๎ หมาะสมกับผ฼๎ู รียนซง่ึ ฼ป็นพระภิกษุสาม฼ณร ฼พ่ือ฿ห๎฾รง฼รยี น฼ขือ่ นผากวิทยา เด๎นาเป฿ช๎฼ป็นกรอบ฽ละทิศทาง฿นการ จัดทาหลักสูตรสถานศึกษา฽ละจัดการ฼รียนการสอน฼พื่อพัฒนาพระภิกษุสาม฼ณร ฿ห๎฼ป็นศาสนทายาทท่ีมีความ สมบูรณ์ท้ังรํางกายจิต฿จ อารมณ์ ฽ละสังคม มีความพร๎อม฿นการดา฼นินชีวิตอยํางมีความสุขด๎วยปัญญาพุทธธรรม รวํ มสรา๎ งประ฾ยชน฽์ กํสังคม฽ละสืบทอดพระพุทธศาสนา฿ห๎฼จริญรุํง฼รืองสบื เป ฿น฼อกสาร฼ลํมนี้ ได้กาหนด วิสัยทัศน์ หลักการ จุดหมาย สมรรถนะสาคัญของผู้เรียน คุณลักษณะอัน พึงประสงค์ มาตรฐานการเรียนรู้และตัวช้ีวัด โครงสร้างเวลาเรียนพื้นฐานของแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้ ใน ระดับมัธยมศกึ ษาตอนต้น และระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย อีกทั้งได้กาหนดรายวิชาที่เป็นจุดเน้นของโรงเรียน เข่ือนผากวทิ ยา ซึ่งพระภิกษุสาม฼ณร฾รง฼รยี น฼ขื่อนผากวิทยา ทุกรูป จะตอ๎ งเด๎฼รยี นรู๎฽ละฝึกปฏิบัติ นอกจากน้ียัง เด๎กาหนดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนให้เหมาะสมกับสมณสารูป กาหนดเกณฑ์กลางการวัดและประเมินผลการเรียน ฼พ่ือ฼ป็นมาตรฐาน฿ห๎฾รง฼รียน฼ขื่อนผากวิทยา เด๎฿ช๎฼ป็น฽นวทาง฿นการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา฿ห๎มีคุณภาพ฽ละ฼ป็น ฼อกภาพยง่ิ ข้ึน พระครศู รีปรยิ ัตยานุกจิ , ดร. ผู๎อานวยการ฾รง฼รยี น฼ขอ่ื นผากวทิ ยา

หลกั สูตรโรงเรยี นเข่ือนผากวิทยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ๕ วิสัยทศั น์ ฾รง฼รยี น฼ข่ือนผากวิทยา มุํงสร๎างศาสนทายาทท่ี฼ปีย่ มปัญญาพุทธธรรม ฿ฝุ฼รียน ฿ฝุร๎ู ฽ละพัฒนาตน฼องเด๎ ฼ต็มตามศักยภาพ สมบูรณ์ด๎วยความร๎ู฽ละทักษะพ้ืนฐานตามมาตรฐานการศึกษา สามารถ฼ผย฽ผํหลักธรรม สร๎างสรรค์สังคมเทย฽ละสังคม฾ลก฿ห๎฼ข๎ม฽ข็ง ดารงชีวิตตามหลักปรัชญา฼ศรษฐกิจพอ฼พียง มีจิตสานึก฿นการ อนุรักษ์฽ละสืบสานประ฼พณี วัฒนธรรม ภูมิปัญญาเทย ภูมิปัญญาท๎องถิ่น สํง฼สริมการปกครองระบอบ ประชาธิปเตยอนั มีพระมหากษตั รยิ ์฼ปน็ ประมุข หลกั การ หลักสูตร฾รง฼รียน฼ขื่อนผากวิทยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามหลักสูตรการศึกษาพระปริยัติธรรม ฽ผนกสามัญ ศกึ ษา พ.ศ. ๒๕๕๘ ฽ละหลกั สูตร฽กนกลางการศึกษาขั้นพ้นื ฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑ มีหลกั การสาคญั ดงั น้ี ๑. ฼ปน็ หลกั สูตรท่สี อดคลอ๎ งตามหลักสูตรการศึกษาพระปรยิ ัตธิ รรม ฽ผนกสามัญศึกษา พ.ศ. ๒๕๕๘ ฽ละ หลักสูตร฽กนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑ ฼พ่ือความ฼ป็น฼อกภาพของชาติ฽ละพระพุทธศาสนา มี จุดหมาย฽ละมาตรฐานการ฼รียนรู๎ ฼ปน็ ฼ปาู หมายสาหรับพัฒนาพระภิกษุสาม฼ณร฿ห๎สมบูรณ์ด๎วยคุณธรรม จริยธรรม ความร๎ู ความสามารถ฽ละความพร๎อม฿นการ฼ปน็ ศาสนทายาทท่ีสืบทอดพระพุทธศาสนา ๒. ฼ป็นหลกั สูตร฼พือ่ สํง฼สริม฿ห๎พระภกิ ษสุ าม฼ณรเด๎รบั การศึกษาอยาํ ง฼สมอภาค฽ละมีคุณภาพ ๓. ฼ป็นหลักสูตรท่ีสนองการกระจายอานาจ฿ห๎สถาบันพระพุทธศาสนามีสํวนรํวม฿นการจัดการศึกษา฿ห๎ สอดคล๎องกบั อตั ลักษณ์ของ฾รง฼รียน฼ขอ่ื นผากวทิ ยา ๔. ฼ป็นหลกั สตู รทมี่ ฾ี ครงสรา๎ งยืดหยุํนทง้ั ด๎านสาระการ฼รียนร๎ู ฼วลา ฽ละการจดั การ฼รียนร๎ู ๕. ฼ป็นหลกั สตู รที฼่ น๎นผ๎฼ู รยี น฼ป็นสาคัญ ๖. ฼ป็นหลักสูตรการศึกษาสาหรับการศึกษา฿นระบบ สาหรับพระภิกษุสาม฼ณร สามารถ฼ทียบ฾อนผลการ ฼รียนร๎ูเด๎ จดุ หมาย หลกั สตู ร฾รง฼รียน฼ขอ่ื นผากวทิ ยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามหลักสตู รการศึกษาพระปริยัติธรรม ฽ผนกสามัญศึกษา พ.ศ. ๒๕๕๘ ฽ละหลักสูตร฽กนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑ มํุงพัฒนาพระภิกษุสาม฼ณร฿ห๎฼ป็นศาสน ทายาทท่ี฼ปี่ยมปญั ญาพทุ ธธรรม จงึ กาหนด฼ป็นจดุ หมาย฼พ่ือ฿ห฼๎ กิดกบั พระภิกษุสาม฼ณร฼มื่อจบหลกั สูตร ดังน้ี ๑. มีคุณธรรม จริยธรรม ฽ละคํานิยมท่ีพึงประสงค์ ปฏิบัติตน฼หมาะสมกับสมณสารูป สอดคล๎องกับหลัก ปรชั ญา฼ศรษฐกิจพอ฼พียง ๒. มีความร๎ู฽ละทักษะตามหลักพุทธธรรม ฽ละมาตรฐานการ฼รียนร๎ูตามหลักสูตรการศึกษาพระปริยัติ ธรรม ฽ผนกสามัญศึกษา พศ. ๒๕๕๘ ฽ละหลกั สตู ร฽กนกลางการศกึ ษาขัน้ พืน้ ฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑ ๓. มีสขุ ภาพกาย สขุ ภาพจติ สุขนสิ ยั ที่ดี ปฏบิ ตั ิตามหลักสมถะ฽ละวปิ ัสสนากมั มัฎฐาน ๔. มีจติ สานึกทด่ี ตี ํอสถาบันชาติ พระพุทธศาสนา ฽ละพระมหากษตั ริย์

หลกั สูตรโรงเรียนเขอื่ นผากวิทยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ๖ ๕. มีจิตสานึก฿นการอนุรักษ์วัฒนธรรม ภูมิปัญญา ฽ละอนุรักษ์พัฒนาส่ิง฽วดล๎อม มีจิตสาธารณะท่ีมุํงทา ประ฾ยชน฽์ ละสรา๎ งสิง่ ทีด่ ีงาม฿นสงั คม ฽ละอยูํรํวมกนั ฿นสังคม อยาํ งมคี วามสุข สมรรถนะสาคญั ของผูเ้ รียน หลกั สตู ร฾รง฼รยี น฼ขื่อนผากวทิ ยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามหลักสูตรการศกึ ษาพระปริยัติธรรม ฽ผนกสามัญศึกษา พ.ศ. ๒๕๕๘ ฽ละหลักสูตร฽กนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑ มํุง฼น๎นพัฒนาพระภิกษุสาม฼ณร฿ห๎มี คุณภาพตามมาตรฐานการ฼รยี นร๎ู฽ละมสี มรรถนะของ ศาสนทายาททีส่ าคัญ ๕ ประการ ดังน้ี ๑. ความสามารถในการส่ือสาร ฼ป็นความสามารถ฿นการรับ฽ละสํงสาร มีวัฒนธรรม฿นการ฿ช๎ภาษาถํายทอดความคิด ความร๎ู ความ ฼ข๎า฿จ ความร๎ูสกึ ฽ละทศั นะของตน฼อง฼พื่อ฽ลก฼ปล่ียนข๎อมูลขําวสาร ฽ละประสบการณ์อันจะ฼ป็นประ฾ยชน์ตํอการ พัฒนาตน฼อง฽ละสังคม รวมทั้งการสามารถถํายทอดหลักธรรม฼พื่อขจัดปัญหาความขัด฽ย๎ง฿นสถานการณ์ตํางๆ การ฼ลอื กรบั หรอื เมํรบั ขอ๎ มูลขาํ วสารด๎วยหลัก฼หตุผล ฽ละความถูกต๎อง ตลอดจนการ฼ลือก฿ช๎วิธีการส่ือสารธรรมที่มี ประสิทธิภาพ฾ดยคานงึ ถงึ ผลกระทบท่ีมีตํอตน฼อง฽ละสงั คม ๒. ความสามารถในการคิด ฼ป็นความสามารถ฿นการคิดวิ฼คราะห์ การคิดสัง฼คราะห์ การคิดอยํางสร๎างสรรค์ การคิดอยํางมี วจิ ารณญาณ ฽ละการคดิ ฼ป็นระบบ หรอื การคดิ ฽บบ฾ยน฾ิ สมนสิการ ฼พื่อนาเปสูํองค์ความรู๎หรือสารสน฼ทศ฼พื่อการ ตดั สนิ ฿จ฼กย่ี วกับตวั ฼อง฽ละสงั คมเด๎อยําง฼หมาะสม ๓. ความสามารถในการแกป้ ญั หา ฼ปน็ ความสามารถ฿นการ฽กป๎ ัญหา฽ละอปุ สรรคตาํ งๆ ที่฼ผชิญเด๎อยํางถูกต๎อง฼หมาะสม บนพื้นฐานของ หลักธรรม฽ละข๎อมูลสารสน฼ทศ ฼ข๎า฿จความสัมพันธ์฽ละการ฼ปลี่ยน฽ปลงของ฼หตุการณ์ตํางๆ ฿นสังคม ฽สวงหา ความรู๎ ประยุกต์ความร๎ูมา฿ช๎฿นการปูองกัน฽ละ฽ก๎เขปัญหา ฽ละมีการตัดสิน฿จที่มีประสิทธิภาพ฾ดยคานึงถึง ผลกระทบท่ี฼กดิ ข้ึนตอํ ตน฼องสงั คม฽ละสง่ิ ฽วดลอ๎ ม ๔. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต ฼ป็นความสามารถ฿นการนาหลักธรรม ฽ละกระบวนการตํางๆ เป฿ช๎฿นการดา฼นินชีวิต ประจาวัน การ ฼รยี นรู๎ด๎วยตน฼อง ฿ฝุ฼รียน฿ฝุร๎ู ปฏิบัติศาสนกิจ ฽ละการอยูํรวมกัน฿นสังคมด๎วยการสร๎างความสามัคคีธรรมระหวําง บุคคล การจัดการปัญหา฽ละความขัด฽ย๎งตํางๆ อยําง฼หมาะสม การปรับตัว฿ห๎ทันกับการ฼ปลี่ยน฽ปลงของสังคม ฽ละสภาพ฽วดล๎อม฿ห๎฼หมาะสมกับสมณสารูป ฽ละการร๎ูจักหลีก฼ลี่ยงพฤติกรรมเมํพึงประสงค์ที่สํงผลกระทบตํอ ตน฼อง฽ละผ๎ูอ่ืน ๕. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี ฼ป็นความสามารถ฿นการ฼ลือก฽ละ฿ช๎฼ทค฾น฾ลยีด๎านตํางๆ ฿ห๎฼หมาะสมกับสมณสารูป ฽ละมีทักษะ กระบวนการทาง฼ทค฾น฾ลยี ฼พื่อการพัฒนาตน฼อง฽ละสังคม฿นด๎านการ฼รียนรู๎ การสื่อสาร การปฏิบัติศาสนกิจ การ ฽กป๎ ัญหาอยาํ งสรา๎ งสรรค์ ถูกต๎อง฼หมาะสม฽ละมีคุณธรรม

หลกั สูตรโรงเรยี นเขือ่ นผากวิทยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ๗ คุณลักษณะอันพึงประสงค์ หลักสูตร฾รง฼รียน฼ขื่อนผากวิทยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามหลกั สูตรการศึกษาพระปริยัติธรรม ฽ผนกสามัญศึกษา พ.ศ. ๒๕๕๘ ฽ละหลักสูตร฽กนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑ มํุงพัฒนาผ๎ู฼รียน฿ห๎มีคุณลักษณะอันพึง ประสงค์ ดังน้ี ๑. รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ หมายถึง คุณลักษณะที่฽สดงออกถึงการ฼ป็นพล฼มืองดีของชาติ ธารงเว๎ซึ่ง ความ฼ปน็ เทย ศรัทธา ยดึ ม่ัน฿นพระพุทธศาสนา ฽ละ฼คารพ฼ทดิ ทนู สถาบนั พระมหากษตั รยิ ์ ๒. ซื่อสัตย์สจุ รติ หมายถงึ คุณลกั ษณะที฽่ สดงออกถึงการยึดม่ัน฿นความถูกต๎อง ประพฤติตรงตามความ ฼ปน็ จริงตํอตน฼อง ฽ละผู๎อืน่ ทงั้ กาย วาจา ฿จ ๓. มีวนิ ัย หมายถงึ คณุ ลักษณะที฽่ สดงออกถึงการยึดมั่น฿นข๎อตกลง กฎ฼กณฑ์ ฽ละระ฼บียบ ข๎อบังคับ ของวัด ฾รง฼รียน ฽ละสังคม ๔. ใฝ่เรยี นรู้ หมายถงึ คุณลักษณะท่฽ี สดงออกถงึ ความตั้ง฿จ ฼พียรพยายาม฿นการ฼รียน ฽สวงหาความรู๎ จาก฽หลงํ ฼รียนร๎ทู ้ังภาย฿น฽ละภายนอก฾รง฼รียน ๕. อยู่อย่างพอเพียง หมายถึง คุณลักษณะที่฽สดงออกถึงการดา฼นินชีวิตอยํางพอประมาณ มี฼หตุผล รอบคอบ มคี ุณธรรม มภี ูมคิ ุม๎ กัน฿นตัวที่ดี ฽ละปรับตวั ฼พอ่ื อยํู฿นสงั คมเดอ๎ ยาํ งมคี วามสุข ๖. มุ่งมั่นในการทางาน หมายถึง คุณลักษณะที่฽สดงออกถึงความต้ัง฿จ฽ละรับผิดชอบ฿นการปฏิบัติ ศาสนกิจ ด๎วยความ฼พียรพยายาม อดทน ฼พ่อื ฿ห๎ศาสนกิจสา฼รจ็ ตาม฼ปาู หมาย ๗. รักความเปน็ ไทย หมายถึง คณุ ลกั ษณะท฽่ี สดงออกถึงความภาคภูมิ฿จ ฼ห็นคุณคํา รํวมอนุรักษ์ สืบ ทอดภูมิปัญญาเทย ขนบธรรม฼นียมประ฼พณี ศิลปะ฽ละวัฒนธรรม ฿ช๎ภาษาเทย฿นการส่ือสารเด๎อยํางถูกต๎อง฽ละ ฼หมาะสม ๘. มีจิตสาธารณะ หมายถึง คุณลักษณะที่฽สดงออกถึงการมีสํวนรํวม฿นกิจกรรมหรือสถานการณ์ท่ีกํอ฿ห๎฼กิด ประ฾ยชน฽์ กผํ ๎ูอนื่ ชุมชน ฽ละสงั คมด๎วยความ฼ตม็ ฿จ มงํุ มนั่ ฾ดยเมํหวังผลตอบ฽ทน (โรงเรียนสามารถกาหนดคุณลักษณะอันพึงประสงค์เพิ่มเติมให้สอดคล้องตามบริบทและจุดเน้น ของตนเองได้) มาตรฐานการเรยี นรู้ หลักสูตร฾รง฼รียน฼ขื่อนผากวิทยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามหลักสูตรการศึกษาพระปริยัติธรรม ฽ผนกสามัญ ศึกษา พ.ศ. ๒๕๕๘ ฽ละหลักสูตร฽กนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑ มํุงพัฒนาผู๎฼รียนซ่ึง฼ป็นพระภิกษุ สาม฼ณร ฿ห๎฼กิดความสมดุล คานึงถึงหลักพัฒนาการทางสมอง฽ละพหุปัญญา จึงกาหนด฿ห๎ผู๎฼รียน฼รียนร๎ู ๘ กลุํม สาระการ฼รียนรู๎ ฼ป็นความรพู๎ นื้ ฐาน ดังน้ี ๑. ภาษาเทย ๒. คณิตศาสตร์ ๓. วทิ ยาศาสตร์ ๔. สังคมศึกษา ศาสนา ฽ละวัฒนธรรม

หลักสูตรโรงเรยี นเขื่อนผากวิทยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ๘ ๕. สขุ ศกึ ษา฽ละพลศึกษา ๖. ศิลปะ ๗. การงานอาชพี ฽ละ฼ทค฾น฾ลยี ๘. ภาษาตํางประ฼ทศ ตัวชว้ี ดั ตัวช้ีวัดระบุสิ่งที่นัก฼รียนพึงร๎ู฽ละปฏิบัติเด๎ รวมท้ังคุณลักษณะของผ๎ู฼รียน฿น฽ตํละระดับช้ันซึ่งสะท๎อนถึง มาตรฐานการ฼รียนร๎ู มีความ฼ฉพาะ฼จาะจง฽ละมีความ฼ป็นรูปธรรม นาเป฿ช๎฿นการกาหนด฼น้ือหา จัดทาหนํวยการ ฼รียนร๎ู จดั การ฼รยี นการสอน ฽ละ฼ป็น฼กณฑ์สาคญั สาหรับการวัดประ฼มนิ ผล฼พอ่ื ตรวจสอบคุณภาพผู๎฼รียน ดังน้ี ๑. ตัวชี้วดั ชัน้ ปี ฼ป็น฼ปูาหมาย฿นการพัฒนาผ๎฼ู รียน฽ตํละชั้นป฿ี นระดับมัธยมศึกษาตอนต๎น (มัธยมศึกษา ปที ี่ ๑ – มธั ยมศกึ ษาปที ่ี ๓) ๒. ตัวช้ีวัดช่วงชั้น ฼ป็น฼ปูาหมาย฿นการพัฒนาผู๎฼รียน฿นระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (มัธยมศึกษาปีท่ี ๔ – มธั ยมศกึ ษาปที ่ี ๖) สาระการเรยี นรู้ สาระการ฼รียนร๎ู ประกอบดว๎ ย องค์ความร๎ู ทักษะหรอื กระบวนการ฼รียนรู๎ ฽ละคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ซ่งึ กาหนด฿หผ๎ ฼๎ู รยี นทกุ รปู /คน฿นระดบั การศึกษาข้นั พื้นฐานจา฼ป็นต๎อง฼รยี นร๎ู ดังน้ัน พระภกิ ษุสาม฼ณร ฿น฾รง฼รยี น฼ข่อื นผากวิทยา จึงต๎อง฼รียนรูต๎ าม ๘ กลุํมสาระการ฼รยี นรู๎ ดงั น้ี  ภาษาไทย : ความร๎ู ว ม า า า า า ความ ม การ฼ห็นค คา ม าเ ม าา าา  คณิตศาสตร์ : การนาความรู๎ทักษะ฽ละกระบวนการทางคณิตศาสตร์เป฿ช๎฿นการ฽ก๎ปัญหา การดา฼นิน ชีวิต ฽ละศึกษาตํอ การมี฼หตมุ ีผล ม฼ี จตคตทิ ่ีดตี ํอคณิตศาสตร์ พฒั นาการคดิ  วิทยาศาสตร์ : การนาความรู๎฽ละกระบวนการทางวิทยาศาสตร์เป฿ช๎฿นการศึกษา ค๎นคว๎าหาความร๎ู ฽ละ฽ก๎ปัญหาอยาํ ง฼ปน็ ระบบ การคิดอยาํ ง฼ป็น฼หตุ฼ปน็ ผล คดิ ว฼ิ คราะห์  สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม : การอยูํรํวมกัน฿นสังคมเทย฽ละสังคม฾ลกอยํางสันติสุข การ฼ป็น พล฼มืองดี ศรัทธา฿นหลักธรรมของพระพุทธศาสนา การ฼ห็นคุณคําของทรัพยากร฽ละส่ิง฽วดล๎อม ความรักชาติ ฽ละภมู ฿ิ จ฿นความ฼ป็นเทย  สขุ ศกึ ษาและพลศึกษา : ความรู๎ ทักษะ฽ละ฼จตคต฿ิ นการสรา๎ ง฼สริมสุขภาพพลานามัยของตน฼อง฽ละ ผ๎ูอืน่ การปอู งกนั ฽ละปฏิบตั ติ อํ สิง่ ตาํ งๆ ท่มี ผี ลตํอสุขภาพอยํางถกู วิธ฽ี ละทกั ษะ฿นการ ดา฼นนิ ชีวิต  ศิลปะ : ความร๎฽ู ละทักษะ฿นการคิดริ฼ริ่ม จนิ ตนาการ สร๎างสรรค์งานศิลปะ สุนทรียภาพ฽ละการ฼ห็น คณุ คําทางศลิ ปะ

หลกั สูตรโรงเรยี นเขื่อนผากวทิ ยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ๙  การงานอาชีพและเทคโนโลยี : ความร๎ู ทักษะ ฽ละ฼จตคติ฿นการทางาน การจัดการ การดารงชีวิต การประกอบอาชพี ฽ละการ฿ช๎฼ทค฾น฾ลยี  ภาษาต่างประเทศ : ความร๎ู ทักษะ ฼จตคติ ฽ละวัฒนธรรม การ฿ช๎ภาษาตํางประ฼ทศ฿นการส่ือสาร การ฽สวงหาความรู๎ สาระและมาตรฐานการเรยี นรู้ หลักสูตร฾รง฼รยี น฼ข่ือนผากวทิ ยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามหลักสูตรการศึกษาพระปริยัติธรรม ฽ผนกสามัญศึกษา พ.ศ. ๒๕๕๘ ฽ละหลักสูตร฽กนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑ กาหนดมาตรฐานการ฼รียนร๎ู฿น ๘ กลุํม สาระการ฼รียนร๎ู จานวน ๖๘ มาตรฐาน ดงั น้ี ภาษาไทย สาระที่ ๑ การอา่ น มาตรฐาน ท ๑.๑ ฿ช๎กระบวนการอํานสร๎างความรู๎฽ละความคิด฼พ่ือนาเป฿ช๎ตัดสิน฿จ ฽ก๎ปัญหา ฿นการดา฼นิน ชีวิต฽ละมนี สิ ัยรักการอาํ น สาระท่ี ๒ การเขยี น มาตรฐาน ท ๒.๑ ฿ช๎กระบวนการ฼ขียน ฼ขียนส่ือสาร ฼ขียน฼รียงความ ยํอความ ฽ละ฼ขียน฼ร่ืองราว฿นรูป฽บบ ตาํ งๆ ฼ขยี นรายงานข๎อมูลสารสน฼ทศ฽ละรายงานการศึกษาคน๎ คว๎าอยาํ งมปี ระสทิ ธภิ าพ สาระที่ ๓ การฟงั การดู และการพูด มาตรฐาน ท ๓.๑ สามารถ฼ลือกฟัง฽ละดูอยํางมีวิจารณญาณ ฽ละพูด฽สดงความร๎ู ความคิด ความรู๎สึก ฿น ฾อกาสตํางๆ อยํางมวี ิจารณญาณ ฽ละสรา๎ งสรรค์ สาระที่ ๔ หลกั การใช้ภาษาไทย มาตรฐาน ท ๔.๑ ฼ข๎า฿จธรรมชาติของภาษา฽ละหลักภาษาเทย การ฼ปลี่ยน฽ปลงของภาษา฽ละพลังของภาษา ภมู ปิ ญั ญาทางภาษา ฽ละรกั ษาภาษาเทยเว฼๎ ป็นสมบตั ขิ องชาติ สาระท่ี ๕ วรรณคดแี ละวรรณกรรม มาตรฐาน ท ๕.๑ ฼ข๎า฿จ฽ละ฽สดงความคิด฼ห็น วิจารณ์วรรณคดี ฽ละวรรณกรรมเทยอยํางห็นคุณคํา฽ละนา มาประยกุ ต฿์ ช๎฿นชวี ติ จริง คณิตศาสตร์ สาระท่ี ๑ จานวนและพืชคณิต มาตรฐาน ค ๑.๑ ฼ขา๎ ฿จความหลากหลายของการ฽สดงจานวน ระบบจานวน การดา฼นินการของจานวน ผลท่ี ฼กดิ ขึ้นจากการดา฼นนิ การ สมบตั ิของการดา฼นนิ การ ฽ละนาเป฿ช๎ มาตรฐาน ค ๑.๒ ฼ข๎า฿จ฽ละวิ฼คราะห฽์ บบรปู ความสมั พนั ธ์ ฟงั กช์ นั ลาดับ฽ละอนกุ รม ฽ละนาเป฿ช๎ มาตรฐาน ค ๑.๓ ฿ชน๎ พิ จน์ สมการ อสมการ ฽ละ฼มทริกซ์ อธบิ ายความสมั พันธ์ หรือชวํ ย฽กป๎ ญั หาที่

หลักสูตรโรงเรียนเขือ่ นผากวิทยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑๐ กาหนด฿ห๎ หมายเหตุ: มาตรฐาน ค ๑.๓ สาหรับผู๎฼รยี น฿นระดับชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ่ี ๑ – ๖ สาระท่ี ๒ การวดั และเรขาคณติ มาตรฐาน ค ๒.๑ ฼ขา๎ ฿จพืน้ ฐาน฼ก่ียวกบั การวดั วัด฽ละคาดคะ฼นขนาดของสง่ิ ท่ีตอ๎ งการวัด ฽ละนาเป฿ช๎ มาตรฐาน ค ๒.๒ ฼ข๎า฿จ฽ละว฼ิ คราะห์รูป฼รขาคณติ สมบตั ิของรูป฼รขาคณติ ความสมั พันธ์ระหวํางรูป ฼รขาคณิต ฽ละทฤษฎีบททาง฼รขาคณติ ฽ละนาเป฿ช๎ มาตรฐาน ค ๒.๓ ฼ขา๎ ฿จ฼รขาคณติ วิ฼คราะห์ ฽ละนาเป฿ช๎ มาตรฐาน ค ๒.๔ ฼ข๎า฿จ฼วก฼ตอร์ การดา฼นนิ การของ฼วก฼ตอร์ ฽ละนาเป฿ช๎ หมายเหตุ: ๑. มาตรฐาน ค ๒.๑ ฽ละ ค ๒.๒ สาหรบั ผ฼๎ู รียน฿นระดับชนั้ ประถมศึกษาปที ่ี ๑ ถงึ ระดับชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี ๓ ๒. มาตรฐาน ค ๒.๓ ฽ละ ค ๒.๔ สาหรบั ผ฼๎ู รยี น฿นระดบั ช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ่ี ๔ – ๖ ท่ีเน้นวิทยาศาสตร์ มาตรฐาน ค ๒.๒ ฽ก๎ปญั หา฼ก่ียวกับการวดั สาระท่ี ๓ สถิตแิ ละความน่าจะเปน็ มาตรฐาน ค ๓.๑ ฼ข๎า฿จกระบวนการทางสถิติ ฽ละ฿ช๎ความร๎ูทางสถติ ิ฿นการ฽ก๎ปญั หา มาตรฐาน ค ๓.๒ ฼ขา๎ ฿จหลักการนับ฼บื้องต๎น ความนําจะ฼ป็น ฽ละนาเป฿ช๎ หมายเหตุ: ค ๓.๒ สาหรบั ผู฼๎ รยี น฿นระดบั ชั้นมัธยมศกึ ษาปีท่ี ๑ – ๖ สาระที่ ๔ แคลคลู ัส มาตรฐาน ค ๔.๑ ฼ขา๎ ฿จลิมิต฽ละความตํอ฼น่ืองของฟงั ก์ชัน อนุพนั ธข์ องฟังกช์ นั ฽ละปริพันธ์ของฟังก์ชนั ฽ละ นาเป฿ช๎ หมายเหตุ: มาตรฐาน ค ๔.๑ สาหรบั ผ฼๎ู รยี น฿นระดับช้นั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี ๔ – ๖ ทเี่ นน้ วทิ ยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สาระท่ี ๑ วิทยาศาสตร์ชีวภาพ มาตรฐาน ว ๑.๑ ฼ขา๎ ฿จความหลากหลายของระบบนิ฼วศ ความสัมพันธร์ ะหวํางสิ่งเมมํ ชี ีวิตกับสิ่งมีชีวิต฽ละ ความสมั พันธ์ระหวํางส่ิงมชี วี ิตกบั ส่ิงมีชวี ิตตาํ ง ๆ ฿นระบบน฼ิ วศ การถาํ ยทอดพลงั งาน การ฼ปล่ียน฽ปลง฽ทนที฿่ นระบบนิ฼วศ ความหมายของประชากร ปัญหา฽ละผลกระทบท่ี มีตอํ ทรพั ยากรธรรมชาต฽ิ ละสิง่ ฽วดลอ๎ ม ฽นวทาง฿นการอนุรักษท์ รพั ยากรธรรมชาติ฽ละ การ฽ก๎เขปญั หาส่งิ ฽วดลอ๎ มรวมทง้ั นาความรูเ๎ ป฿ช๎ประ฾ยชน์ มาตรฐาน ว ๑.๒ ฼ขา๎ ฿จสมบตั ิของส่ิงมีชีวติ หนวํ ยพน้ื ฐานของส่ิงมีชีวิต การลา฼ลยี งสาร฼ขา๎ ฽ละออกจาก ฼ซลล์ ความสมั พันธข์ อง฾ครงสรา๎ ง ฽ละหนา๎ ที่ของระบบตาํ ง ๆ ของสตั ว฽์ ละมนษุ ย์ท่ีทา งานสัมพันธก์ นั ความสมั พนั ธ์ของ฾ครงสรา๎ ง ฽ละหนา๎ ท่ีของอวยั วะตําง ๆ ของพชื ที่ทางาน สัมพนั ธก์ ัน รวมทงั้ นาความรูเ๎ ป฿ชป๎ ระ฾ยชน์ มาตรฐาน ว ๑.๓ ฼ข๎า฿จกระบวนการ฽ละความสาคญั ของการถํายทอดลักษณะทางพนั ธกุ รรมสารพันธุกรรม

หลักสูตรโรงเรียนเขอ่ื นผากวิทยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑๑ การ฼ปลีย่ น฽ปลงทางพนั ธกุ รรมที่มีผลตํอส่งิ มีชีวิต ความหลากหลายทางชีวภาพ฽ละวิวฒั นาการ ของสิ่งมชี วี ติ รวมทงั้ นาความร๎เู ป฿ช๎ประ฾ยชน์ หมายเหตุ:มาตรฐาน ว ๑.๑ - ว ๑.๓ สาหรับผู฼๎ รียน฿นระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ ถงึ ระดับชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ ๓ ฽ละผ๎฼ู รยี น฿นระดบั ช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ่ี ๔ – ๖ ทไ่ี ม่เน้นวทิ ยาศาสตร์ สาระท่ี ๒ วทิ ยาศาสตร์กายภาพ มาตรฐาน ว ๒.๑ ฼ข๎า฿จสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพนั ธร์ ะหวาํ งสมบัติของสสารกับ ฾ครงสรา๎ ง฽ละ฽รงยึด฼หนี่ยวระหวํางอนภุ าค หลัก฽ละธรรมชาตขิ องการ฼ปล่ยี น฽ปลง สถานะของสสาร การ฼กิดสารละลาย ฽ละการ฼กิดปฏิกริ ยิ า฼คมี มาตรฐาน ว ๒.๒ ฼ขา๎ ฿จธรรมชาติของ฽รง฿นชวี ิตประจาวัน ผลของ฽รงทก่ี ระทาตอํ วัตถุ ลกั ษณะการ ฼คล่อื นท่ี ฽บบตาํ ง ๆ ของวตั ถุ รวมท้งั นาความร๎เู ป฿ชป๎ ระ฾ยชน์ มาตรฐาน ว ๒.๓ ฼ข๎า฿จความหมายของพลังงาน การ฼ปล่ยี น฽ปลง฽ละการถําย฾อนพลังงาน ปฏิสมั พนั ธ์ ระหวาํ ง สสาร฽ละพลังงาน พลงั งาน฿นชวี ิตประจาวนั ธรรมชาตขิ องคลื่น ปรากฏการณ์ท่ี ฼กยี่ วข๎องกบั ฼สียง ฽สง ฽ละคล่ืน฽ม฼ํ หล็กเฟฟูา รวมทั้งนาความร๎เู ป฿ช๎ประ฾ยชน์ หมายเหตุ: มาตรฐาน ว ๒.๑ – ว ๒.๓ สาหรับผู๎฼รียน฿นระดับชั้นประถมศึกษาปีท่ี ๑ ถึงระดับชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี ๓ ฽ละผู๎฼รียน฿นระดบั ชนั้ มัธยมศึกษาปีที่ ๔ – ๖ ทไ่ี มเ่ นน้ วทิ ยาศาสตร์ สาระท่ี ๓ วิทยาศาสตรโ์ ลกและอวกาศ มาตรฐาน ว ๓.๑ ฼ข๎า฿จองค์ประกอบ ลกั ษณะ กระบวนการ฼กดิ ฽ละวิวฒั นาการของ฼อกภพ กา฽ล็กซี ดาวฤกษ์ ฽ละระบบสุริยะ รวมทั้งปฏิสัมพนั ธ์ภาย฿นระบบสุรยิ ะทส่ี ํงผลตํอสิง่ มีชวี ิต฽ละ การประยุกต์฿ช๎ ฼ทค฾น฾ลยอี วกาศ มาตรฐาน ว ๓.๒ ฼ขา๎ ฿จองค์ประกอบ฽ละความสมั พันธ์ของระบบ฾ลก กระบวนการ฼ปล่ยี น฽ปลงภาย฿น฾ลก ฽ละบนผิว฾ลก ธรณีพิบัตภิ ยั กระบวนการ฼ปลยี่ น฽ปลงลมฟูาอากาศ฽ละภมู ิอากาศ฾ลก รวมท้ังผลตํอสง่ิ มชี วี ิต฽ละส่งิ ฽วดล๎อม หมายเหตุ: มาตรฐาน ว ๓.๑ – ว ๓.๒ สาหรบั ผ๎ู฼รยี นทกุ คน฿นระดบั ชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี ๑ ถงึ ระดบั ช้ันมธั ยม ศึกษา ปที ่ี ๓ ฽ละผ฼ู๎ รียน฿นระดบั ช้นั มธั ยมศึกษาปที ี่ ๔ – ๖ ทไ่ี ม่เน้นวทิ ยาศาสตร์ สาระที่ ๔ ชวี วิทยา มาตรฐาน ว ๔.๑ ฼ขา๎ ฿จธรรมชาติของสง่ิ มีชวี ิต การศึกษาชวี วทิ ยา฽ละวิธีการทางวิทยาศาสตร์ สารท฼่ี ป็น องคป์ ระกอบของสงิ่ มชี ีวติ ปฏิกิรยิ า฼คม฿ี น฼ซลล์ของส่งิ มชี ีวติ กล๎องจลุ ทรรศน์ ฾ครงสร๎าง ฽ละหน๎าท่ขี อง฼ซลล์ การลา฼ลยี งสาร฼ข๎า฽ละออกจาก฼ซลล์ การ฽บํง฼ซลล์ ฽ละการหาย฿จ ระดับ฼ซลล์ มาตรฐาน ว ๔.๒ ฼ข๎า฿จการถาํ ยทอดลกั ษณะทางพนั ธุกรรม การถํายทอดยีนบน฾คร฾ม฾ซม สมบัติ฽ละหนา๎ ทข่ี องสารพนั ธกุ รรม การ฼กดิ มวิ ฼ทชนั ฼ทค฾น฾ลยีทางดี฼อ็น฼อ หลักฐาน ข๎อมลู ฽ละ฽นวคิด ฼ก่ียวกบั ววิ ฒั นาการของสิ่งมีชีวติ ภาวะสมดลุ ของฮารด์ ี-เวน฼์ บริ ์ก การ฼กิดสปีชสี ์฿หมํ ความหลากหลายทางชวี ภาพ กา฼นดิ ของสิ่งมีชีวติ ความหลากหลายของสิ่งมชี ีวิต ฽ละ อนกุ รมวธิ าน รวมท้ังนาความรเ๎ู ป฿ช๎ประ฾ยชน์

หลักสูตรโรงเรียนเขอ่ื นผากวทิ ยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑๒ มาตรฐาน ว ๔.๓ ฼ข๎า฿จสํวนประกอบของพชื การ฽ลก฼ปลย่ี น฽ก๏ส฽ละคายนา้ ของพชื การลา฼ลยี งของพืช การสงั ฼คราะหด์ ๎วย฽สง การสบื พันธ์ุของพชื ดอก฽ละการ฼จรญิ ฼ติบ฾ต ฽ละการตอบสนอง ของพืช รวมทัง้ นาความร๎ูเป฿ชป๎ ระ฾ยชน์ มาตรฐาน ว ๔.๔ ฼ข๎า฿จการยํอยอาหารของสตั ว์฽ละมนษุ ย์ รวมทั้งการหาย฿จ฽ละการ฽ลก฼ปลยี่ น฽ก๏ส การ ลา฼ลียงสาร฽ละการหมนุ ฼วียน฼ลอื ด ภมู ิคุ๎มกนั ของราํ งกาย การขับถําย การรบั ร๎ู ฽ละการ ตอบสนอง การ฼คลื่อนที่ การสืบพันธุ์฽ละการ฼จริญ฼ติบ฾ต ฮอร฾์ มนกับการรักษา ดุลยภาพ ฽ละพฤตกิ รรมของสัตว์ รวมทัง้ นาความร๎ูเป฿ช๎ประ฾ยชน์ มาตรฐาน ว ๔.๕ ฼ขา๎ ฿จ฽นวคิด฼กีย่ วกบั ระบบนิ฼วศ กระบวนการถํายทอดพลังงาน฽ละการหมุน฼วยี นสาร ฿นระบบน฼ิ วศ ความหลากหลายของเบ฾อม การ฼ปล่ียน฽ปลง฽ทนทข่ี องสง่ิ มชี วี ติ ฿นระบบ นิ฼วศ ประชากร฽ละรปู ฽บบการ฼พ่ิมของประชากร ทรัพยากรธรรมชาต฽ิ ละสิ่ง฽วดลอ๎ ม ปญั หา ฽ละผลกระทบท่ี฼กดิ จากการ฿ชป๎ ระ฾ยชน์ ฽ละ฽นวทางการ฽ก๎เขปัญหา หมายเหตุ: มาตรฐาน ว ๔.๑ – ว ๔.๕ สาหรับผ฼ู๎ รยี น฿นระดับช้ันมธั ยมศกึ ษาปีท่ี ๔ – ๖ ทเี่ นน้ วทิ ยาศาสตร์ สาระที่ ๕ เคมี มาตรฐาน ว ๕.๑ ฼ขา๎ ฿จ฾ครงสรา๎ งอะตอม การจัด฼รยี งธาต฿ุ นตารางธาตุ สมบตั ิของธาตุ พันธะ฼คม฽ี ละ สมบตั ขิ องสาร ฽ก๏ส฽ละสมบัติของ฽กส๏ ประ฼ภท฽ละสมบัตขิ องสารประกอบอินทรยี ฽์ ละ พอล฼ิ มอร์ รวมทัง้ การนาความร๎เู ป฿ช๎ประ฾ยชน์ มาตรฐาน ว ๕.๒ ฼ขา๎ ฿จการ฼ขยี น฽ละการดุลสมการ฼คมี ปรมิ าณสมั พันธ์฿นปฏกิ ริ ิยา฼คมี อตั ราการ ฼กิดปฏิกิรยิ า฼คมี สมดลุ ฿นปฏิกิรยิ า฼คมี สมบัต฽ิ ละปฏิกริ ิยาของกรด–฼บส ปฏิกิรยิ ารี ดอกซ์฽ละ฼ซลล์฼คมเี ฟฟาู รวมทัง้ การนาความร๎ูเป฿ช๎ประ฾ยชน์ มาตรฐาน ว ๕.๓ ฼ขา๎ ฿จหลักการทาปฏิบตั กิ าร฼คมี การวดั ปรมิ าณสาร หนํวยวัด฽ละการ฼ปลี่ยนหนวํ ย การ คานวณ ปรมิ าณของสาร ความ฼ข๎มข๎นของสารละลาย รวมทั้งการบูรณาการความร๎ู฽ละ ทกั ษะ฿นการอธบิ าย ปรากฏการณ์฿นชีวิตประจาวนั ฽ละการ฽กป๎ ัญหาทาง฼คมี หมายเหตุ: มาตรฐาน ว ๕.๑ – ว ๕.๓ สาหรบั ผ฼๎ู รยี น฿นระดับชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่ ๔ – ๖ ทเ่ี น้นวทิ ยาศาสตร์ สาระท่ี ๖ ฟิสิกส์ มาตรฐาน ว ๖.๑ ฼ข๎า฿จธรรมชาตทิ างฟสิ ิกส์ ปริมาณ฽ละกระบวนการวดั การ฼คลอ่ื นท฽ี่ นวตรง ฽รง฽ละ กฎการ฼คลื่อนที่ของนวิ ตนั กฎความ฾น๎มถวํ งสากล ฽รง฼สยี ดทาน สมดุลกลของวัตถุ งาน ฽ละกฎการอนรุ ักษพ์ ลงั งานกล ฾ม฼มนตัม฽ละกฎการอนุรักษ์฾ม฼มนตัม การ฼คล่ือนที฽่ นว ฾คง๎ รวมทงั้ นาความรู๎เป฿ชป๎ ระ฾ยชน์ มาตรฐาน ว ๖.๒ ฼ขา๎ ฿จการ฼คล่อื นท฽่ี บบฮารม์ อนกิ สอ์ ยํางงาํ ย ธรรมชาติของคลืน่ ฼สยี ง฽ละการเดย๎ ิน ปรากฏการณ์ท฼ี่ กี่ยวข๎องกับ฼สยี ง ฽สง฽ละการ฼ห็น ปรากฏการณ์ท่ี฼กี่ยวข๎องกับ฽สง รวมทั้งนาความรู๎เป฿ชป๎ ระ฾ยชน์ มาตรฐาน ว ๖.๓ ฼ข๎า฿จ฽รงเฟฟูา฽ละกฎของคูลอมบ์ สนามเฟฟูา ศกั ยเ์ ฟฟูา ความจเุ ฟฟาู กระ฽สเฟฟูา ฽ละ กฎของ฾อหม์ วงจรเฟฟาู กระ฽สตรง พลังงานเฟฟาู ฽ละกาลงั เฟฟาู การ฼ปล่ียนพลงั งานทด฽ทน ฼ปน็ พลงั งานเฟฟูา สนาม฽มํ฼หลก็ ฽รง฽มํ฼หล็กท่ีกระทากับประจเุ ฟฟูา ฽ละ

หลักสูตรโรงเรยี นเข่อื นผากวทิ ยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑๓ กระ฽สเฟฟาู การ฼หนย่ี วนา฽มํ฼หล็กเฟฟาู ฽ละกฎของฟารา฼ดย์ เฟฟาู กระ฽สสลบั คลืน่ ฽ม฼ํ หล็กเฟฟูา ฽ละการสื่อสาร รวมทั้งนาความรเ๎ู ป฿ช๎ประ฾ยชน์ มาตรฐาน ว ๖.๔ ฼ขา๎ ฿จความสมั พนั ธข์ องความร๎อนกบั การ฼ปลยี่ นอุณหภูม฽ิ ละสถานะของสสาร สภาพยืด หยํนุ ของวสั ดุ ฽ละมอดลุ ัสของยัง ความดนั ฿นของเหล ฽รงพยุง ฽ละหลกั ของอารค์ ิมีดสี ความตงึ ผวิ ฽ละ฽รงหนดื ของของ฼หลว ของเหลอดุ มคติ ฽ละสมการ฽บร์นลู ลี กฎของ ฽กส๏ ทฤษฎจี ลนข์ อง ฽กส๏ อดุ มคติ฽ละพลังงาน฿นระบบ ทฤษฎอี ะตอมของ฾บร์ ปรากฎ การณ์฾ฟ฾ตอิ฼ลก็ ทรกิ ทวิภาวะ ของคลน่ื ฽ละอนุภาค กัมมันตภาพรงั สี ฽รงนวิ ฼คลียร์ ปฏกิ ิริยานวิ ฼คลยี ร์ พลงั งานนิว฼คลยี ร์ ฟิสกิ ส์ อนุภาค รวมทง้ั นาความรู๎เป฿ชป๎ ระ฾ยชน์ หมายเหตุ: มาตรฐาน ว ๖.๑ – ว ๖.๔ สาหรบั ผู๎฼รยี น฿นระดบั ชัน้ มัธยมศึกษาปที ี่ ๔ – ๖ ทเ่ี น้นวทิ ยาศาสตร์ สาระท่ี ๗ โลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ มาตรฐาน ว ๗.๑ ฼ข๎า฿จกระบวนการ฼ปล่ียน฽ปลงภาย฿น฾ลก ธรณีพิบัติภัย฽ละผลตํอส่ิงมีชีวิต฽ละ ส่งิ ฽วดลอ๎ ม การศกึ ษาลาดบั ช้นั หนิ ทรพั ยากรธรณี ฽ผนที่ ฽ละการนาเป฿ชป๎ ระ฾ยชน์ มาตรฐาน ว ๗.๒ ฼ขา๎ ฿จสมดุลพลังงานของ฾ลก การหมนุ ฼วยี นของอากาศบน฾ลก การหมนุ ฼วยี นของนา้ ฿นม หาสมทุ ร การ฼กดิ ฼มฆ การ฼ปลี่ยน฽ปลงภมู อิ ากาศ฾ลก฽ละผลตอํ ส่งิ มชี ีวิต฽ละสง่ิ ฽วดล๎อม รวมทง้ั การพยากรณ์อากาศ มาตรฐาน ว ๗.๓ ฼ขา๎ ฿จองคป์ ระกอบ ลักษณะ กระบวนการ฼กิด฽ละววิ ฒั นาการของ฼อกภพ กา฽ลก็ ซี ดาวฤกษ์ ฽ละระบบสรุ ิยะ ความสัมพันธข์ องดาราศาสตร์กับมนษุ ย์จากการศึกษาตา฽หนํง ดาว บนทรงกลมฟูา฽ละปฏสิ ัมพนั ธ์ภาย฿นระบบสุริยะ รวมทง้ั การประยุกต์฿ช๎฼ทค฾น฾ลยี อวกาศ หมายเหตุ: มาตรฐาน ว ๗.๑ – ว ๗.๓ สาหรบั ผ฼๎ู รยี น฿นระดบั ชัน้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี ๔ – ๖ ทเี่ นน้ วทิ ยาศาสตร์ สาระท่ี ๘ เทคโนโลยี มาตรฐาน ว ๘.๑ ฼ขา๎ ฿จ฽นวคดิ หลักของ฼ทค฾น฾ลยี฼พื่อการดารงชีวติ ฿นสงั คมทม่ี กี าร฼ปลย่ี น฽ปลงอยาํ ง รวด฼รว็ ฿ชค๎ วามร฽๎ู ละทักษะทางดา๎ นวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ฽ละศาสตร์อนื่ ๆ ฼พ่ือ ฽กป๎ ัญหา หรอื พฒั นางานอยํางมคี วามคิดสรา๎ งสรรค์ด๎วยกระบวนการออก฽บบ฼ชงิ วศิ วกรรม ฼ลอื ก฿ช฼๎ ทค฾น฾ลยี อยาํ ง฼หมาะสม฾ดยคานึงถึงผลกระทบตํอชวี ติ สงั คม ฽ละ ส่ิง฽วดล๎อม มาตรฐาน ว ๘.๒ ฼ขา๎ ฿จ฽ละ฿ช฽๎ นวคิด฼ชงิ คานวณ฿นการ฽ก๎ปัญหาที่พบ฿นชีวิตจรงิ อยาํ ง฼ป็นขัน้ ตอน฽ละ ฼ปน็ ระบบ฿ช๎฼ทค฾น฾ลยีสารสน฼ทศ฽ละการส่ือสาร฿นการ฼รียนร๎ู การทางาน ฽ละการ ฽ก๎ปัญหาเดอ๎ ยาํ งมปี ระสทิ ธภิ าพ ร๎฼ู ทาํ ทัน ฽ละมจี รยิ ธรรม หมายเหตุ: มาตรฐาน ว ๘.๑ สาหรบั ผู฼๎ รยี น฿นระดับชนั้ มัธยมศึกษาปีที่ ๑ – ๕ มาตรฐาน ว. ๘.๒ สาหรับนกั ฼รียน฿นระดับชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี ๑ -ชัน้ มัธยมศึกษาปที ่ี ๖

หลกั สูตรโรงเรียนเขือ่ นผากวทิ ยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑๔ สงั คมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม สาระที่ ๑ พระพุทธศาสนา มาตรฐาน ส ๑.๑ ร๎ู ฽ละ฼ข๎า฿จพระพุทธประวัติ ความสาคัญ หลักธรรมของพระพุทธศาสนา ฽ละศาสนาอื่น มีศรัทธาท่ีถกู ตอ๎ ง ยดึ มั่น ฽ละปฏบิ ตั ติ ามหลกั ธรรมทางพระพุทธศาสนา฼พื่ออยูํรํวมกันอยําง สนั ตสิ ขุ มาตรฐาน ส ๑.๒ ฼ขา๎ ฿จ ตระหนัก฽ละปฏิบตั ิตน฼ปน็ พทุ ธศาสนิกชนท่ีดี ฽ละธารงรักษาพระพทุ ธศาสนา มาตรฐาน ส.๑.๓ ร๎ู ฼ข๎า฿จ฽ละตระหนัก฿นการปฏิบัติตนตามหลักพระวินัย ระ฼บียบ คาสั่ง กฎมหา฼ถรสมาคม ฽ละพระราชบญั ญัติคณะสงฆ์ สาระที่ ๒ หนา้ ทพี่ ลเมอื ง วัฒนธรรม และการดาเนนิ ชีวติ ในสงั คม มาตรฐาน ส ๒.๑ ฼ข๎า฿จ฽ละปฏิบัติตนตามหน๎าที่ของการ฼ป็นพล฼มืองดี มีคํานิยมที่ดีงาม ฽ละธารงรักษา ประ฼พณี฽ละวัฒนธรรมเทย ดารงชวี ิตอยํรู ํวมกนั ฿นสงั คมเทย฽ละสังคม฾ลกอยํางสนั ติสขุ มาตรฐาน ส ๒.๒ ฼ข๎า฿จระบบการ฼มืองการปกครอง฿นสังคมปัจจุบัน ยึดมั่น ศรัทธา ฽ละธารงรักษาเว๎ซ่ึงการ ปกครองระบอบประชาธปิ เตยอันมพี ระมหากษตั ริย์ทรง฼ป็นประมุข สาระที่ ๓ เศรษฐศาสตร์ มาตรฐาน ส ๓.๑ ฼ข๎า฿จ฽ละสามารถบริหารจัดการทรัพยากร฿นการผลิต฽ละการบริ฾ภค การ฿ช๎ทรัพยากรที่มี อยูํจากัดเด๎อยํางมีประสิทธิภาพ฽ละค๎ุมคํา รวมท้ัง฼ข๎า฿จหลักการของ฼ศรษฐกิจพอ฼พียง ฼พื่อการดารงชีวติ อยํางมดี ลุ ยภาพ มาตรฐาน ส ๓.๒ ฼ข๎า฿จระบบ ฽ละสถาบันทาง฼ศรษฐกิจตํางๆ ความสัมพันธ์ทาง฼ศรษฐกิจ ฽ละความจา฼ป็น ของการรํวมมอื กนั ทาง฼ศรษฐกจิ ฿นสงั คม฾ลก สาระที่ ๔ ประวตั ศิ าสตร์ มาตรฐาน ส ๔.๑ ฼ข๎า฿จความหมาย ความสาคัญของ฼วลา฽ละยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ สามารถ฿ช๎วิธีการ ทางประวตั ิศาสตร์มาวิ฼คราะห฼์ หตุการณ์ตาํ งๆ อยาํ ง฼ป็นระบบ มาตรฐาน ส ๔.๒ ฼ข๎า฿จพัฒนาการของมนุษยชาติจากอดีตจนถึงปัจจุบัน ฿นด๎านความสัมพันธ์฽ละการ ฼ปล่ียน฽ปลงของ฼หตุการณ์อยํางตํอ฼น่ือง ตระหนักถึงความสาคัญ฽ละสามารถวิ฼คราะห์ ผลกระทบที่฼กิดขึ้น มาตรฐาน ส ๔.๓ ฼ข๎า฿จความ฼ป็นมาของชาติเทย วัฒนธรรม ภูมิปัญญาเทย มีความรัก ความภูมิ฿จ฽ละธารง ความ฼ปน็ เทย สาระท่ี ๕ ภูมิศาสตร์ มาตรฐาน ส ๕.๑ ฼ข๎า฿จลักษณะทางกายภาพของ฾ลก฽ละความสัมพันธ์ของสรรพส่ิงซ่ึงมีผลตํอกัน ฿ช๎฽ผนท่ี ฽ละ฼ครื่องมือทางภูมิศาสตร์฿นการค๎นหา วิ฼คราะห์ ฽ละสรุปข๎อมูล ตามกระบวนการทาง ภมู ศิ าสตร์ ตลอดจน฿ช๎ภูมิสารสน฼ทศอยาํ งมปี ระสิทธิภาพ

หลักสูตรโรงเรยี นเขอื่ นผากวิทยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑๕ มาตรฐาน ส ๕.๒ ฼ข๎า฿จปฏิสัมพันธ์ระหวํางมนุษย์กับสิ่ง฽วดล๎อมทางกายภาพท่ีกํอ฿ห๎฼กิด การสร๎างสรรค์วิถี การดา฼นินชีวิต มีจิตสานึก฽ละมีสํวนรํวม฿นการจัดการทรัพยากร ฽ละสิ่ง฽วดล๎อม฼พ่ือการ พัฒนาท่ยี ่ังยืน สขุ ศกึ ษาและพลศึกษา สาระท่ี ๑ การเจรญิ เตบิ โตและพัฒนาการของมนษุ ย์ มาตรฐาน พ ๑.๑ ฼ขา๎ ฿จธรรมชาติของการ฼จริญ฼ติบ฾ต฽ละพัฒนาการของมนุษย์ สาระที่ ๒ ชีวติ และครอบครัว มาตรฐาน พ ๒.๑ ฼ขา๎ ฿จ฽ละ฼หน็ คณุ คาํ ตน฼อง ครอบครวั ฼พศศกึ ษา ฽ละมีทกั ษะ฿นการดา฼นินชวี ติ สาระที่ ๓ การเคลื่อนไหว การออกกาลงั กาย ตามสมณวสิ ยั มาตรฐาน พ ๓.๑ รู฽๎ ละ฼ขา๎ ฿จ มีทกั ษะ฿นการ฼คลอ่ื นเหว กิจกรรมทางกาย รูจ๎ ัก฼กม฽ละกีฬา มาตรฐาน พ ๓.๒ ฼ห็นคุณคําของการบริหารกาย ปฏิบัติ฼ป็นประจาอยํางสม่า฼สมอ มีวินัย รู๎จักสิทธิ กฎกติกา ของกฬี า สาระท่ี ๔ การสรา้ งเสรมิ สุขภาพ สมรรถภาพและการป้องกนั โรค มาตรฐาน พ ๔.๑ ฼ห็นคุณคํา฽ละมีทักษะ฿นการสร๎าง฼สริมสุขภาพ การดารงสุขภาพ การปูองกัน฾รค฽ละการ สร๎าง฼สรมิ สมรรถภาพ฼พอื่ สขุ ภาพ สาระที่ ๕ ความปลอดภยั ในชวี ติ มาตรฐาน พ ๕.๑ ปูองกัน฽ละหลีก฼ลี่ยงปัจจัย฼สี่ยง พฤติกรรม฼ส่ียงตํอสุขภาพ อุบัติ฼หตุ การ฿ช๎ยาสาร฼สพติด ฽ละความรุน฽รง ศิลปะ สาระที่ ๑ ทัศนศิลป์ มาตรฐาน ศ ๑.๑ สรา๎ งสรรค์งานทัศนศิลป์ตามจินตนาการ ฽ละความคิดสร๎างสรรค์ วิ฼คราะห์ วิพากษ์วิจารณ์ คุณคํางานทัศนศิลป์ ถํายทอดความรู๎สึก ความคิดตํองานศิลปะอยํางอิสระ ชื่นชม ฽ละ ประยุกต฿์ ช๎฿นชีวติ ประจาวัน มาตรฐาน ศ ๑.๒ ฼ข๎า฿จความสัมพันธ์ระหวํางทัศนศิลป์ ประวัติศาสตร์ ฽ละวัฒนธรรม ฼ห็นคุณคํางาน ทศั นศลิ ป์ท฼ี่ ปน็ มรดกทางวัฒนธรรม ภูมปิ ัญญาท๎องถ่นิ ภมู ิปัญญาเทย฽ละสากล สาระที่ ๒ ดนตรี มาตรฐาน ศ ๒.๑ ฼ข๎า฿จดนตรี วิ฼คราะห์ วิพากษ์ วิจารณ์ คุณคําดนตรี ถํายทอดความรู๎สึก ความคิดตํอดนตรี อยาํ งอิสระ มาตรฐาน ศ ๒.๒ ฼ข๎า฿จความสัมพันธร์ ะหวํางดนตรี ประวตั ิศาสตร์ ฽ละวัฒนธรรม ฼ห็นคุณคําของดนตรีท่ี฼ป็น มรดกทางวัฒนธรรม ภมู ปิ ัญญาทอ๎ งถน่ิ ภูมปิ ัญญาเทย฽ละสากล

หลักสูตรโรงเรยี นเข่ือนผากวทิ ยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑๖ สาระที่ ๓ นาฏศลิ ป์ มาตรฐาน ศ ๓.๑ ฼ขา๎ ฿จนาฏศลิ ป์ ว฼ิ คราะห์ วพิ ากษ์ วิจารณ์คณุ คํานาฏศลิ ป์ ถํายทอดความรู๎สึก ความคิดอยําง อิสระ มาตรฐาน ศ ๓.๒ ฼ข๎า฿จความสัมพันธ์ระหวํางนาฏศิลป์ ประวัติศาสตร์ ฽ละวัฒนธรรม ฼ห็นคุณคําของนาฏศิลป์ท่ี ฼ป็นมรดกทางวฒั นธรรม ภมู ปิ ัญญาท๎องถิ่น ภูมปิ ัญญาเทย฽ละสากล การงานอาชพี และเทคโนโลยี สาระท่ี ๑ การดารงชีวติ และครอบครวั มาตรฐาน ง ๑.๑ ฼ข๎า฿จการทางาน มีความคิดสร๎างสรรค์ มีทักษะกระบวนการทางาน ทักษะการจัดการ ทักษะกระบวนการ฽ก๎ปัญหา ทักษะการทางานรํวมกัน ฽ละทักษะการ฽สวงหาความรู๎ มี คุณธรรม฽ละลักษณะนิสัย฿นการทางาน มีจิตสานึก฿นการ฿ช๎พลังงาน ทรัพยากร ฽ละ ส่ิง฽วดล๎อม฼พื่อการดารงชีวิต฽ละครอบครัว สาระที่ ๒ การออกแบบและเทคโนโลยี มาตรฐาน ง ๒.๑ ฼ขา๎ ฿จ฼ทค฾น฾ลยี฽ละกระบวนการ฼ทค฾น฾ลยี ออก฽บบ฽ละสรา๎ งสงิ่ ของ฼คร่ือง฿ช๎ หรือวิธีการ ตามกระบวนการ฼ทค฾น฾ลยอี ยํางมคี วามคดิ สร๎างสรรค์ ฼ลือก฿ช๎฼ทค฾น฾ลยี฿นทางสร๎างสรรค์ ตํอชีวติ สงั คม สิ่ง฽วดลอ๎ ม ฽ละมีสํวนรวํ ม฿นการจัดการ฼ทค฾น฾ลยที ่ยี ั่งยืน สาระท่ี ๓ เทคโนโลยีสารสนเทศและการสอื่ สาร มาตรฐาน ง ๓.๑ ฼ข๎า฿จ ฼ห็นคุณคํา ฽ละ฿ช๎กระบวนการ฼ทค฾น฾ลยีสารสน฼ทศ฿นการสืบค๎นข๎อมูล การ฼รียนร๎ู การ สือ่ สาร การ฽กป๎ ญั หา การทางาน ฽ละอาชีพอยํางมีประสทิ ธภิ าพ ประสิทธผิ ล ฽ละมคี ณุ ธรรม สาระท่ี ๔ การอาชพี มาตรฐาน ง ๔.๑ ฼ข๎า฿จ มีทักษะที่จา฼ป็น มีประสบการณ์ ฼ห็น฽นวทาง฿นงานอาชีพ ฿ช๎฼ทค฾น฾ลยี฼พ่ือพัฒนา อาชีพ มีคุณธรรม ฽ละม฼ี จตคติทีด่ ตี ํออาชีพ ภาษาตา่ งประเทศ สาระท่ี ๑ ภาษาเพ่อื การสอื่ สาร มาตรฐาน ต ๑.๑ ฼ขา๎ ฿จ฽ละตีความ฼ร่ืองท่ีฟัง฽ละอํานจากสื่อประ฼ภทตํางๆ ฽ละ฽สดงความคิด฼หน็ อยาํ งมี฼หตผุ ล มาตรฐาน ต ๑.๒ มีทักษะการส่ือสารทางภาษา฿นการ฽ลก฼ปล่ียนข๎อมูลขําวสาร ฽สดงความร๎ูสึก฽ละความ คิด฼ห็นอยํางมปี ระสิทธภิ าพ มาตรฐาน ต ๑.๓ นา฼สนอข๎อมูลขําวสาร ความคิดรวบยอด ฽ละความคิด฼ห็น฿น฼ร่ืองตํางๆ ฾ดยการพูด฽ละ การ฼ขยี น สาระที่ ๒ ภาษาและวฒั นธรรม มาตรฐาน ต ๒.๑ ฼ข๎า฿จความสัมพันธ์ระหวํางภาษากับวัฒนธรรมของ฼จ๎าของภาษา ฽ละนาเป฿ช๎เด๎อยําง ฼หมาะสมกับกาล฼ทศะ

หลกั สูตรโรงเรยี นเขอื่ นผากวิทยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑๗ มาตรฐาน ต ๒.๒ ฼ข๎า฿จความ฼หมือน฽ละความ฽ตกตํางระหวํางภาษา฽ละวัฒนธรรมของ฼จ๎าของภาษากับ ภาษา฽ละวฒั นธรรมเทย ฽ละนามา฿ช๎อยาํ งถกู ต๎อง฽ละ฼หมาะสม สาระที่ ๓ ภาษากับความสัมพันธก์ ับกลมุ่ สาระการเรียนรอู้ ่ืน มาตรฐาน ต ๓.๑ ฿ช๎ภาษาตํางประ฼ทศ฿นการ฼ช่ือม฾ยงความร๎ูกับกลํุมสาระการ฼รียนร๎ูอื่น ฽ละ฼ป็นพ้ืนฐาน฿นการ พัฒนา ฽สวงหาความรู๎ ฽ละ฼ปดิ ฾ลกทศั น์ของตน สาระท่ี ๔ ภาษากับความสัมพันธ์กับชุมชนและโลก มาตรฐาน ต ๔.๑ ฿ช๎ภาษาตาํ งประ฼ทศ฿นสถานการณ์ตาํ งๆ ทัง้ ฿น฾รง฼รียน ชุมชน ฽ละสงั คม มาตรฐาน ต ๔.๒ ฿ช๎ภาษาตํางประ฼ทศ฼ป็น฼คร่ืองมือพื้นฐาน฿นการศึกษาตํอ การประกอบอาชีพ ฽ละการ ฽ลก฼ปลีย่ น฼รยี นร๎กู บั สงั คม฾ลก

หลกั สูตรโรงเรยี นเขื่อนผากวิทยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑๘ มาตรฐานการเรยี นรู้และตวั ชี้วดั หลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พื้นฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑ กลุ่มสาระการเรียนรูภ้ าษาไทย ทาไมตอ้ งเรยี นภาษาไทย ภาษาเทย฼ป็น฼อกลักษณ์ของชาติ฼ป็นสมบัติทางวัฒนธรรมอันกํอ฿ห๎฼กิดความ฼ป็น฼อกภาพ฽ละ฼สริมสร๎าง บุคลิกภาพของคน฿นชาติ฿ห๎มีความ฼ป็นเทย ฼ป็น฼คร่ืองมือ฿นการติดตํอสื่อสาร฼พื่อสร๎าง ความ฼ข๎า฿จ฽ละ ความสัมพนั ธท์ ่ดี ตี อํ กนั ทา฿หส๎ ามารถประกอบกจิ ธุระ การงาน ฽ละดารงชวี ติ รวํ มกนั ฿นสังคมประชาธิปเตยเด๎อยําง สันติสุข ฽ละ฼ป็น฼ครื่องมือ฿นการ฽สวงหาความร๎ู ประสบการณ์จาก฽หลํงข๎อมูลสารสน฼ทศตํางๆ ฼พ่ือพัฒนาความร๎ู พัฒนากระบวนการคดิ วิ฼คราะห์ วจิ ารณ์ ฽ละสร๎างสรรค์฿ห๎ทันตํอการ฼ปลี่ยน฽ปลงทางสังคม ฽ละความก๎าวหน๎าทาง วิทยาศาสตร์ ฼ทค฾น฾ลยี ตลอดจนนาเป฿ช๎฿นการพัฒนาอาชีพ฿ห๎มีความม่ันคงทาง฼ศรษฐกิจ นอกจากนี้ยัง฼ป็นสื่อ ฽สดงภูมปิ ัญญาของบรรพบุรษุ ดา๎ นวฒั นธรรม ประ฼พณี ฽ละสุนทรียภาพ ฼ป็นสมบตั ลิ ้าคําควร฽กํการ฼รียนรู๎ อนุรักษ์ ฽ละสบื สาน ฿ห๎คงอยคํู ูชํ าตเิ ทยตลอดเป เรียนรู้อะไรในภาษาไทย ภาษาเทย฼ป็นทักษะท่ีต๎องฝึกฝนจน฼กิดความชานาญ฿นการ฿ช๎ภาษา฼พ่ือการส่ือสาร การ฼รียนร๎ูอยํางมี ประสทิ ธภิ าพ ฽ละ฼พื่อนาเป฿ช฿๎ นชวี ติ จริง  การอ่าน การอํานออก฼สียงคา ประ฾ยค การอํานบทร๎อย฽ก๎ว คาประพันธ์ชนิดตํางๆ การอําน฿น฿จ ฼พ่ือสร๎างความ฼ข๎า฿จ ฽ละการคิดวิ฼คราะห์ สัง฼คราะห์ความรู๎จากส่ิงที่อําน ฼พ่ือนาเปปรับ฿ช๎฿น ชีวิตประจาวนั  การเขียน การ฼ขียนสะกดตามอักขรวิธี การ฼ขียนส่ือสาร ฾ดย฿ช๎ถ๎อยคา฽ละรูป฽บบตํางๆ ของการ฼ขียน ซ่ึงรวมถึงการ฼ขียน฼รียงความ ยํอความ รายงานชนิดตํางๆ การ฼ขียนตามจินตนาการ วิ฼คราะห์วิจารณ์ ฽ละ฼ขียน฼ชงิ สร๎างสรรค์  การฟงั การดู และการพูด การฟัง฽ละดูอยํางมีวิจารณญาณ การพูด฽สดงความคิด฼ห็น ความร๎ูสึก พูดลาดบั ฼รื่องราวตํางๆ อยําง฼ป็น฼หตุ฼ป็นผล การพูด฿น฾อกาสตํางๆ ท้ัง฼ป็นทางการ฽ละเมํ฼ป็นทางการ ฽ละการพูด฼พ่อื ฾นม๎ น๎าว฿จ  หลักการใช้ภาษาไทย ธรรมชาติ฽ละกฎ฼กณฑ์ของภาษาเทย การ฿ช๎ภาษา฿ห๎ถูกต๎อง฼หมาะสมกับ ฾อกาส฽ละบุคคล การ฽ตงํ บทประพันธป์ ระ฼ภทตาํ งๆ ฽ละอิทธิพลของภาษาตํางประ฼ทศ฿นภาษาเทย  วรรณคดีและวรรณกรรม วิ฼คราะห์วรรณคดี฽ละวรรณกรรม฼พื่อศึกษาข๎อมูล ฽นวความคิด คุณคําของ งานประพันธ์ ฽ละความ฼พลิด฼พลิน การ฼รียนรู๎฽ละทาความ฼ข๎า฿จบท฼หํ บทร๎อง฼ลํนของ฼ด็ก ฼พลง พืน้ บา๎ นท่ี฼ปน็ ภมู ปิ ญั ญาทม่ี คี ณุ คําของเทย ซึง่ เดถ๎ ํายทอดความร๎ูสึกนึกคิด คํานิยม ขนบธรรม฼นียมประ฼พณี

หลกั สูตรโรงเรียนเขอ่ื นผากวทิ ยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑๙ ฼ร่ืองราวของสงั คม฿นอดตี ฽ละความงดงามของภาษา ฼พื่อ฿ห๎฼กิดความซาบซ้ึง฽ละภูมิ฿จ ฿นบรรพบุรุษท่ีเด๎ สั่งสมสบื ทอดมาจนถึงปจั จุบนั คุณภาพผ้เู รียน จบชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี ๓  อํานออก฼สียงบทร๎อย฽ก๎ว฽ละบทร๎อยกรอง฼ป็นทานอง฼สนาะเด๎ถูกต๎อง ฼ข๎า฿จความหมาย฾ดยตรง ฽ละความหมาย฾ดยนยั จับ฿จความสาคัญ฽ละรายละ฼อียดของส่ิงที่อําน ฽สดงความคิด฼ห็น฽ละข๎อ฾ต๎฽ย๎ง ฼ก่ียวกับ฼ร่ืองท่ีอําน ฽ละ฼ขียนกรอบ฽นวคิด ผังความคิด ยํอความ ฼ขียนรายงานจากส่ิงท่ีอํานเด๎ วิ฼คราะห์ วิจารณ์ อยํางมี฼หตุผล ลาดับความอยํางมีขั้นตอน฽ละความ฼ป็นเปเด๎ของ฼รื่องที่อําน รวมท้ัง ประ฼มนิ ความถูกตอ๎ งของข๎อมลู ที่฿ชส๎ นับสนนุ จาก฼รื่องท่ีอําน  ฼ขียนส่ือสารด๎วยลายมือท่ีอํานงํายชัด฼จน ฿ช๎ถ๎อยคาเด๎ถูกต๎อง฼หมาะสมตามระดับภาษา฼ขียนคาขวัญ คาคม คาอวยพร฿น฾อกาสตํางๆ ฾ฆษณา คติพจน์ สุนทรพจน์ ชีวประวัติ อัตชีวประวัติ฽ละประสบการณ์ ตํางๆ ฼ขียนยํอความ จดหมายกิจธุระ ฽บบกรอกสมัครงาน ฼ขียนวิ฼คราะห์ วิจารณ์ ฽ละ฽สดงความรู๎ ความคิดหรือ฾ต๎฽ยง๎ อยํางมี฼หตุผล ตลอดจน฼ขียนรายงานการศกึ ษาค๎นคว๎า฽ละ฼ขยี น฾ครงงาน  พดู ฽สดงความคิด฼หน็ วิ฼คราะห์ วิจารณ์ ประ฼มินส่ิงท่ีเด๎จากการฟัง฽ละดู นาข๎อคิดเปประยุกต์฿ช๎฿น ชีวิตประจาวัน พูดรายงาน฼รื่องหรือประ฼ด็นที่เด๎จากการศึกษาค๎นคว๎าอยําง฼ป็นระบบ มีศิลปะ฿นการพูด พูด ฿น฾อกาสตํางๆ เดต๎ รงตามวตั ถปุ ระสงค์ ฽ละพูด฾น๎มน๎าวอยํางมี฼หตุผลนํา฼ชื่อถือ รวมทั้งมีมารยาท฿นการฟัง ดู ฽ละพดู  ฼ข๎า฿จ฽ละ฿ช๎คาราชาศัพท์ คาบาลสี ันสกฤต คาภาษาตํางประ฼ทศอื่นๆ คาทับศัพท์ ฽ละศัพท์บัญญัติ ฿นภาษาเทย วิ฼คราะห์ความ฽ตกตําง฿นภาษาพูด ภาษา฼ขียน ฾ครงสร๎างของประ฾ยครวม ประ฾ยคซ๎อน ลักษณะภาษาที่฼ป็นทางการ กึ่งทางการ฽ละเมํ฼ป็นทางการ ฽ละ฽ตํงบทร๎อยกรองประ฼ภทกลอนสุภาพ กาพย์ ฽ละ฾คลงสี่สุภาพ  สรุป฼นื้อหาวรรณคดี฽ละวรรณกรรมท่ีอําน วิ฼คราะห์ตัวละครสาคัญ วิถีชีวิตเทย ฽ละคุณคําท่ีเด๎รับ จากวรรณคดวี รรณกรรม฽ละบทอาขยาน พรอ๎ มทั้งสรปุ ความรูข๎ ๎อคดิ ฼พ่ือนาเปประยุกต์฿ช๎฿นชวี ติ จริง จบชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ ๖  อํานออก฼สียงบทร๎อย฽ก๎ว฽ละบทร๎อยกรอง฼ป็นทานอง฼สนาะเด๎ถูกต๎อง฽ละ฼ข๎า฿จ ตีความ ฽ปลความ ฽ละขยายความ฼ร่ืองที่อํานเด๎ วิ฼คราะห์วิจารณ์฼ร่ืองท่ีอําน ฽สดงความคิด฼ห็น฾ต๎฽ย๎ง฽ละ฼สนอความคิด ฿หมจํ ากการอํานอยาํ งมี฼หตุผล คาดคะ฼น฼หตุการณ์จาก฼ร่ืองที่อําน ฼ขียนกรอบ฽นวคิด ผังความคิด บันทึก ยํอความ ฽ละ฼ขียนรายงานจากสิ่งท่ีอําน สัง฼คราะห์ ประ฼มินคํา ฽ละนาความรู๎ความคิดจากการอํานมา พัฒนาตน พฒั นาการ฼รยี น ฽ละพัฒนาความรท๎ู างอาชพี ฽ละนาความร๎ูความคิดเปประยุกต์฿ช๎฽ก๎ปัญหา฿น การดา฼นินชวี ิต มมี ารยาท฽ละมีนสิ ยั รกั การอําน

หลกั สูตรโรงเรียนเข่อื นผากวทิ ยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ๒๐  ฼ขียนส่ือสาร฿นรปู ฽บบตาํ งๆ ฾ดย฿ช๎ภาษาเด๎ถูกต๎องตรงตามวัตถปุ ระสงค์ ยํอความจากส่ือที่มีรูป฽บบ ฽ละ฼นื้อหาท่ีหลากหลาย ฼รียงความ฽สดง฽นวคิด฼ชิงสร๎างสรรค์฾ดย฿ช๎฾วหารตํางๆ ฼ขียนบันทึก รายงาน การศกึ ษาค๎นควา๎ ตามหลักการ฼ขียนทางวิชาการ ฿ช๎ข๎อมูลสารสน฼ทศ฿นการอ๎างอิง ผลิตผลงานของตน฼อง ฿นรูป฽บบตํางๆ ทั้งสารคดี฽ละบัน฼ทิงคดี รวมทั้งประ฼มินงาน฼ขียนของผู๎อ่ืน฽ละนามาพัฒนางาน฼ขียน ของตน฼อง  ตั้งคาถาม฽ละ฽สดงความคิด฼ห็น฼กี่ยวกับ฼ร่ืองท่ีฟัง฽ละดู มีวิจารณญาณ฿นการ฼ลือก฼รื่องท่ีฟัง฽ละดู ว฼ิ คราะห์วตั ถุประสงค์ ฽นวคิด การ฿ช๎ภาษา ความนํา฼ช่ือถือของ฼ร่ืองที่ฟัง฽ละดู ประ฼มินส่ิงท่ีฟัง฽ละดู฽ล๎ว นาเปประยุกต์฿ช฿๎ นการดา฼นินชวี ิต มที ักษะการพดู ฿น฾อกาสตํางๆ ทั้งท่฼ี ปน็ ทางการ฽ละเมํ฼ป็นทางการ฾ดย ฿ช๎ภาษาที่ถูกต๎อง พูด฽สดงทรรศนะ ฾ต๎฽ย๎ง ฾น๎มน๎าว ฽ละ฼สนอ฽นวคิด฿หมํอยํางมี฼หตุผล รวมทั้งมี มารยาท฿นการฟงั ดู ฽ละพดู  ฼ข๎า฿จธรรมชาติของภาษา อิทธิพลของภาษา ฽ละลักษณะของภาษาเทย ฿ช๎คา฽ละกลุํมคาสร๎าง ประ฾ยคเดต๎ รงตามวัตถุประสงค์ ฽ตํงคาประพันธ์ประ฼ภท กาพย์ ฾คลง รําย฽ละฉันท์ ฿ช๎ภาษาเด๎฼หมาะสม กับกาล฼ทศะ฽ละ฿ช๎คาราชาศัพท์฽ละคาสุภาพเด๎อยํางถูกต๎อง วิ฼คราะห์หลักการ สร๎างคา฿นภาษาเทย อทิ ธพิ ลของภาษาตาํ งประ฼ทศ฿นภาษาเทย฽ละภาษาถนิ่ วิ฼คราะห฽์ ละประ฼มินการ฿ช๎ภาษาจากส่ือส่ิงพิมพ์ ฽ละส่ืออิ฼ลก็ ทรอนกิ ส์  วิ฼คราะห์วิจารณ์วรรณคดี฽ละวรรณกรรมตามหลักการวิจารณ์วรรณคดี฼บื้องต๎น ร๎ู฽ละ฼ข๎า฿จลักษณะ ฼ดํนของวรรณคดี ภูมิปัญญาทางภาษา฽ละวรรณกรรมพ้ืนบ๎าน ฼ช่ือม฾ยงกับการ฼รียนร๎ูทางประวัติศาสตร์ ฽ละวิถเี ทย ประ฼มินคณุ คําดา๎ นวรรณศิลป์ ฽ละนาขอ๎ คิดจากวรรณคดี฽ละวรรณกรรมเปประยุกต์฿ช๎฿นชีวิต จริง

หลักสูตรโรงเรียนเขือ่ นผากวทิ ยา พ.ศ. ๒๕๖๑ สาระที่ ๑ การอา่ น มาตรฐาน ท ๑.๑ ใช้กระบวนการอา่ นสร้างความร้แู ละความคดิ เพื่อนาไปใชต้ ดั สนิ ใ ตัวช้ีวดั ชัน้ ปี ม. ๑ ม. ๒ ๑. อํานออก฼สียงบทร๎อย฽ก๎ว฽ละบทร๎อย ๑. อาํ นออก฼สียงบทรอ๎ ย฽กว๎ ฽ละบทร๎อยกรอง ๑. กรองเด๎ถกู ตอ๎ ง฼หมาะสมกับ฼ร่ืองทอี่ ําน เด๎ถกู ตอ๎ ง ๒. จบั ฿จความสาคญั จาก฼ร่อื งท่ีอําน ๒. จับ฿จความสาคัญ สรุปความ฽ละอธิบาย ๒. ๓. ระบุ฼หตุ฽ละผล ฽ละข๎อ฼ท็จจริงกับ รายละ฼อยี ดจาก฼ร่อื งท่อี าํ น ขอ๎ คิด฼ห็นจาก฼รื่องทอี่ ําน ๓. ฼ขียนผังความคิด฼พ่ือ฽สดงความ฼ข๎า฿จ฿น ๓. ๔. ระบุ ฽ละอธิบาย คาปรียบ฼ทียบ฽ละคาท่ี บท฼รียนตาํ งๆ ทีอ่ าํ น มีหลายความหมาย฿นบริบทตํางๆ จากการ ๔. อภิปราย฽สดงความคิด฼ห็น฽ละข๎อ฾ต๎฽ย๎ง ๔. อําน ฼ก่ยี วกบั ฼ร่ืองท่อี ําน ๕. ตีความคายาก฿น฼อกสารวิชาการ ฾ดย ๕. วิ฼คราะห์฽ละจา฽นกข๎อ฼ท็จจริง ข๎อมูล ๕. พจิ ารณาจากบริบท สนับสนุน ฽ละข๎อคิด฼ห็นจากบทความท่ี ๖. ระบุข๎อสัง฼กต฽ละความม฼หตุสมผลของ อาํ น งาน฼ขยี นประ฼ภทชักจูง฾นม๎ นา๎ ว฿จ ๖. ระบุข๎อสัง฼กต การชวน฼ชื่อ การ฾น๎มน๎าว ๖. ๗. ปฏิบัติตามคูํมือ฽นะนาวิธีการ฿ช๎งานของ หรือความสม฼หตสุ มผลของงาน฼ขียน ฼ครอื่ งมอื หรือ฼ครอ่ื ง฿ช฿๎ นระดับท่ียากข้นึ ๗. อํานหนังสือ บทความหรือคาประพันธ์ ๗. ๘. วิ฼คราะห์คุณคําท่ีเด๎รับจากการอํานงาน อยํางหลากหลาย ฽ละประ฼มินคุณคําหรือ ฼ ขี ย น อ ยํ า ง ห ล า ก ห ล า ย ฼ พื่ อ น า เ ป ฿ ช๎ ฽นวคิดท่ีเด๎จากการอําน ฼พ่ือนาเป฿ช๎ ๘. ฽ก๎ปัญหา฿นชวี ติ ฽กป๎ ญั หา฿นชีวติ ๙. มมี ารยาท฿นการอําน ๘. มมี ารยาท฿นการอําน ๙. ๑๐.

๑๖ ใจ แก้ปัญหาในการดาเนนิ ชีวติ และมนี ิสยั รักการอ่าน ตวั ช้วี ดั ชว่ งชั้น ม. ๓ ม. ๔ – ม. ๖ อํานออก฼สียงบทร๎อย฽ก๎ว฽ละบทร๎อยกรอง ๑. อาํ นออก฼สยี งบทรอ๎ ย฽กว๎ ฽ละบทรอ๎ ยกรองเด๎อยําง เด๎ถูกตอ๎ ง฽ละ฼หมาะสมกบั ฼ร่ืองท่ีอาํ น ถกู ต๎อง เพ฼ราะ ฽ละ฼หมาะสมกับ฼ร่อื งทีอ่ าํ น ระบุความ฽ตกตํางของคาท่ีมี ความหมาย ๒. ตีความ ฽ปลความ ฽ละขยายความ฼ร่อื งทอ่ี ําน ฾ดยตรง ฽ละความหมาย฾ดยนัย ๓. วิ฼คราะห์฽ละวิจารณ฼์ รือ่ ง ทอ่ี าํ น฿นทกุ ๆ ด๎านอยํางมี ระบุ฿จความสาคัญ฽ละรายละ฼อียดของ ฼หตผุ ล ข๎อมลู ท่สี นบั สนนุ จาก฼ร่อื งที่อาํ น ๔. คาดคะ฼น฼หตกุ ารณ์จาก฼ร่ืองที่อําน ฽ละประ฼มินคํา อําน฼รื่องตํางๆ ฽ล๎ว฼ขียนกรอบ฽นวคิด ผัง ฼พื่อนาความรู๎ ความคิดเป฿ช๎ตัดสิน฿จ฽ก๎ปัญหา฿น ความคดิ บันทึก ยอํ ความ฽ละรายงาน การดา฼นนิ ชีวติ วิ฼คราะห์ วิจารณ์ ฽ละประ฼มิน฼ร่ือง ท่ีอําน ๕. วิ฼คราะห์ วิจารณ์ ฽สดงความคิด฼ห็น฾ต๎฽ย๎งกับ฼รื่อง ฾ดย฿ช๎กลวิธีการ฼ปรียบ฼ทียบ฼พื่อ฿ห๎ผ๎ูอําน ที่อาํ น ฽ละ฼สนอความคิด฿หมํอยาํ งมี฼หตุผล ฼ขา๎ ฿จเด๎ดีขนึ้ ๖. ตอบคาถามจากการอํานประ฼ภทตํางๆ ภาย฿น฼วลาที่ ประ฼มินความถูกต๎องของข๎อมูล ท่ี฿ช๎ กาหนด สนับสนุน฿น฼รอ่ื งทอี่ ําน ๗. อําน฼รื่องตํางๆ ฽ล๎ว฼ขียนกรอบ฽นวคิด ผังความคิด วิจารณค์ วามสม฼หตสุ มผล การลาดบั ความ฽ละ บนั ทกึ ยอํ ความ ฽ละรายงาน ความ฼ป็นเปเด๎ของ฼ร่ือง ๘. สัง฼คราะห์ความรู๎จากการอําน ส่ือสิ่งพิมพ์ ส่ือ วิ฼คราะห์฼พื่อ฽สดงความคิด฼ห็น฾ต๎฽ย๎ง อ฼ิ ล็กทรอนิกส์ ฽ละ฽หลํง฼รียนรู๎ตํางๆ มาพัฒนาตน ฼กย่ี วกับ฼ร่ืองทอี่ ําน พัฒนาการ฼รียน ฽ละพฒั นาความรูท๎ างอาชีพ ตคี วาม฽ละประ฼มินคุณคํา ฽ละ ฽นวคิด ท่ี ๙. มีมารยาท฿นการอาํ น เด๎จากงาน฼ขียน อยํางหลากหลาย ฼พื่อ นาเป฿ช฽๎ กป๎ ญั หา฿นชีวติ . มมี ารยาท฿นการอํา

หลกั สูตรโรงเรยี นเข่อื นผากวทิ ยา พ.ศ. ๒๕๖๑ สาระที่ ๒ การเขียน มาตรฐาน ท ๒.๑ ใชก้ ระบวนการเขียนเขียนส่ือสาร เขียนเรยี งความ ย่อความ และเข รายงานการศึกษาคน้ ควา้ อย่างมีประสทิ ธภิ าพ ตัวช้ีวัดชน้ั ปี ม. ๑ ม. ๒ ๑. คัดลายมือตวั บรรจงครึง่ บรรทดั ๑. คัดลายมือ ตวั บรรจงคร่ึงบรรทดั ๑. ๒. ฼ขียนสื่อสาร฾ดย฿ช๎ถ๎อยคาถูกต๎องชัด฼จน ๒. ฼ขียนบรรยาย ฽ละพรรณนา ๒. ฼หมาะสม ฽ละสละสลวย ๓. ฼ขยี น฼รียงความ ๓. ฼ขียนบรรยายประสบการณ์฾ดยระบุ ๔. ฼ขยี นยํอความ ๓. สาระสาคัญ ฽ละรายละ฼อียดสนับสนุน ๕. ฼ขียนรายงานการศึกษาคน๎ ควา๎ ๔. ฼ขยี น฼รียงความ ๖. ฼ขยี นจดหมายกิจธรุ ะ ๕. ฼ขยี นยํอความจาก฼ร่อื งท่อี ําน ๗. ฼ขียนวิ฼คราะห์ วิจารณ์ ฽ละ฽สดงความรู๎ ๔. ๖. ฼ขียน฽สดงความคดิ ฼หน็ ฼ก่ียวกับสาระจาก ความคิด฼ห็น หรือ฾ต๎฽ย๎ง฿น฼ร่ืองท่ีอําน ๕. สอ่ื ท่เี ดร๎ บั อยาํ งมี฼หตุผล ๖. ๗. ฼ขียนจดหมายสํวนตัว฽ละจดหมาย ๘. มมี ารยาท฿นการ฼ขียน กิจธุระ ๗. ๘. ฼ขียนรายงานการศึกษาค๎นคว๎า฽ละ ฾ครงงาน ๘. ๙. มีมารยาท฿นการ฼ขยี น ๙. ๑๐.

๑๗ ขียนเรือ่ งราวในรูปแบบตา่ งๆ เขียนรายงานข้อมลู สารสนเทศและ ตัวชี้วดั ช่วงช้ัน ม. ๓ ม. ๔ – ม. ๖ คดั ลายมือ ตัวบรรจงคร่ึงบรรทัด ๑. ฼ ขี ย น ส่ื อ ส า ร ฿ น รู ป ฽ บ บ ตํ า ง ๆ เ ด๎ ต ร ง ต า ม ฼ขียนข๎อความ฾ดย฿ช๎ถ๎อยคาเด๎ถูกต๎องตาม วัตถุประสงค์ ฾ดย฿ชภ๎ าษา฼รียบ฼รียงถูกต๎อง มีข๎อมูล ระดับภาษา ฽ละสาระสาคัญชัด฼จน ฼ขียนชีวประวัติหรืออัตชีวประวัติ฾ดย฼ลํา ๒. ฼ขียน฼รียงความ ฼หตุการณ์ ข๎อคิด฼ห็น ฽ละทัศนคติ฿น฼ร่ือง ๓. ฼ขียนยํอความจากสื่อที่มีรูป฽บบ ฽ละ฼น้ือหา ตาํ งๆ หลากหลาย ฼ขียนยํอความ ๔. ผลิตงาน฼ขยี นของตน฼อง฿นรูป฽บบตาํ งๆ ฼ขียนจดหมายกจิ ธุระ ๕. ประ฼มินงาน฼ขียนของผ๎ูอ่ืน฽ล๎วนามาพัฒนางาน ฼ขียนอธิบาย ชี้฽จง ฽สดงความคิด฼ห็น฽ละ ฼ขยี นของตน฼อง ฾ต๎฽ยง๎ อยํางมี฼หตผุ ล ๖. ฼ขียนรายงานการศึกษาค๎นคว๎า ฼รื่องที่สน฿จตาม ฼ขียนวิ฼คราะห์ วิจารณ์ ฽ละ฽สดงความร๎ู หลักการ฼ขียน฼ชิงวิชาการ ฽ละ฿ช๎ข๎อมูลสารสน฼ทศ ความคิด฼ห็น หรอื ฾ต฽๎ ยง๎ ฿น฼รอ่ื งตาํ งๆ อ๎างอิงอยาํ งถกู ตอ๎ ง กรอก฽บบสมัครงานพร๎อม฼ขียนบรรยาย ๗. บันทึกการศึกษาค๎นคว๎า ฼พื่อนาเปพัฒนาตน฼อง ฼กี่ยวกับความร๎ู฽ละทักษะของตน฼องท่ี อยาํ งสมา่ ฼สมอ ฼หมาะสมกับงาน ๘. มมี ารยาท฿นการ฼ขยี น ฼ขียนรายงานการศึกษคน๎ ควา๎ ฽ละ฾ครงงาน . มีมารยาท฿นการ฼ขยี น

หลักสูตรโรงเรยี นเขอ่ื นผากวิทยา พ.ศ. ๒๕๖๑ สาระที่ ๓ การฟัง การดู และการพดู มาตรฐาน ท ๓.๑ สามารถเลอื กฟังและดูอย่างมวี จิ ารณญาณ และพดู แสดงความรู้ ค ตัวช้วี ัดชนั้ ปี ม. ๑ ม. ๒ ๑. พดู สรุป฿จความสาคญั ของ฼รอ่ื งทฟ่ี งั ฽ละดู ๑. พดู สรุป฿จความสาคญั ของ฼รอื่ งทฟ่ี ัง฽ละดู ๑. ๒. ฼ลาํ ฼ร่อื งยํอจาก฼รอื่ งทฟ่ี งั ฽ละดู ๒. วิ ฼ ค ร า ะ ห์ ข๎ อ ฼ ท็ จ จ ริ ง ข๎ อ คิ ด ฼ ห็ น ๓. พูด฽สดงความคิด฼ห็นอยํางสร๎างสรรค์ ฽ละความนํา฼ช่ือถือของขําวสารจากส่ือ ๒. ฼กีย่ วกับ฼รอ่ื งทฟี่ ัง฽ละดู ตาํ งๆ ๔. ประ฼มินความนํา฼ชื่อถือของสื่อที่มี฼นื้อหา ๓. วิ฼คราะห์฽ละวิจารณ์฼ร่ืองท่ีฟัง฽ละดูอยําง ฾น๎มน๎าว฿จ มี฼หตุผล฼พื่อนาข๎อคิดมาประยุกต์฿ช๎ ๓. ๕. พูดรายงาน฼ร่ืองหรือประ฼ด็นท่ีศึกษา ฿นการดา฼นินชวี ติ คน๎ ควา๎ จากการฟัง การดู ฽ละการสนทนา ๔. พดู ฿น฾อกาสตํางๆ เด๎ตรงตามวัตถปุ ระสงค์ ๔. ๖. มมี ารยาท฿นการฟงั การดู ฽ละการพูด ๕. พูดรายงาน฼ร่ืองหรือประ฼ด็นท่ีศึกษา ๕. ค๎นคว๎า ๖. มีมารยาท฿นการฟัง การดู ฽ละการพูด ๖.

๑๘ ความคดิ และความรสู้ ึกในโอกาสตา่ งๆ อยา่ งมีวิจารณญาณและสรา้ งสรรค์ ตวั ช้ีวดั ชว่ งชน้ั ม. ๓ ม. ๔ – ม. ๖ ฽สดงความคิด฼ห็น฽ละประ฼มิน฼รื่องจาก ๑. สรุป฽นวคิด ฽ละ฽สดง ความคิด฼ห็นจาก฼ร่ืองท่ีฟัง การฟัง฽ละการดู ฽ละดู วิ฼คราะห์฽ละวิจารณ์฼ร่ืองท่ีฟัง฽ละดู ๒. วิ฼คราะห์ ฽นวคิด การ฿ช๎ภาษา ฽ละความนํา฼ช่ือถือ ฼พื่อนาข๎อคิดมาประยุกต์฿ช๎฿นการดา฼นิน จาก฼รอื่ งที่ฟัง฽ละดอู ยาํ งมี฼หตุผล ชวี ติ ๓. ประ฼มิน฼ร่ืองที่ฟัง฽ละดู฽ล๎วกาหนด฽นวทางนาเป พูดรายงาน฼ร่ืองหรือประ฼ด็นท่ีศึกษา ประยกุ ต์฿ช๎฿นการดา฼นินชีวิต คน๎ ควา๎ จากการฟงั การดู ฽ละการสนทนา ๔. มวี จิ ารณญาณ฿นการ฼ลอื ก฼ร่ืองทฟ่ี ัง฽ละดู พดู ฿น฾อกาสตาํ งๆ เดต๎ รงตามวตั ถุประสงค์ ๕. พูด฿น฾อกาสตํางๆ พูด฽สดงทรรศนะ ฾ต๎฽ย๎ง พูด฾น๎มน๎าว฾ดยนา฼สนอหลักฐานตาม ฾น๎มน๎าว฿จ฽ละ฼สนอ฽นวคิด฿หมํด๎วยภาษาถูกต๎อง ลาดบั ฼น้อื หาอยาํ งมี฼หตผุ ล ฽ละนาํ ฼ช่อื ถือ ฼หมาะสม มีมารยาท฿นการฟงั การดู ฽ละการพูด ๖. มมี ารยาท฿นการฟัง การดู ฽ละการพดู

หลักสูตรโรงเรยี นเขอื่ นผากวทิ ยา พ.ศ. ๒๕๖๑ สาระท่ี ๔ หลกั การใช้ภาษาไทย มาตรฐาน ท ๔.๑ เข้าใจธรรมชาติของภาษาและหลักภาษาไทย การเปลย่ี นแปลงของภา ตวั ชีว้ ัดชัน้ ปี ม. ๑ ม. ๒ ๑. อธบิ ายลกั ษณะของ฼สียง฿นภาษาเทย ๑. สร๎างคา฿นภาษาเทย ๑. ๒. สร๎างคา฿นภาษาเทย ๒. วิ฼คราะห์฾ครงสร๎างประ฾ยคสามัญ ๓. วิ฼คราะห์ชนิด฽ละหน๎าที่ของคา฿น ประ฾ยครวม฽ละประ฾ยคซอ๎ น ๒. ประ฾ยค ๓. ฽ตงํ บทรอ๎ ยกรอง ๓. ๔. วิ฼คราะห์ความ฽ตกตํางของภาษาพูด฽ละ ๔. ฿ชค๎ าราชาศพั ท์ ๔. ภาษา฼ขียน ๕. รวบรวม฽ละอธิบายความหมายของ คา ๕. ๕. ฽ตํงบทรอ๎ ยกรอง ภาษาตํางประ฼ทศที่฿ช฿๎ นภาษาเทย ๖. จา฽นก฽ละ฿ชส๎ านวนท่ี฼ปน็ คาพัง฼พย ๖. ฽ละสุภาษติ

๑๙ าษาและพลังของภาษา ภูมิปญั ญาทางภาษา และรกั ษาภาษาไทยไว้เปน็ สมบัติของชาติ ตัวชีว้ ดั ชว่ งชน้ั ม. ๓ ม. ๔ – ม. ๖ จา฽นก฽ละ฿ช๎คา ภาษาตํางประ฼ทศที่฿ช๎฿น ๑. อธิบายธรรมชาติของภาษาพลังของภาษา ฽ละ ภาษาเทย ลักษณะของภาษา ว฼ิ คราะห฾์ ครงสร๎างประ฾ยคซบั ซ๎อน ๒. ฿ช๎คา฽ละกลุํมคาสรา๎ งประ฾ยคตรงตามวตั ถุประสงค์ ว฼ิ คราะหร์ ะดบั ภาษา ๓. ฿ช๎ภาษา฼หมาะสม฽กํ฾อกาส กาล฼ทศะ ฽ละบุคคล ฿ช๎คาทบั ศัพท์฽ละศพั ทบ์ ัญญัติ รวมท้งั คาราชาศัพท์อยําง฼หมาะสม อธิบายความหมายคาศัพทท์ างวชิ าการ฽ละ ๔. ฽ตงํ บทรอ๎ ยกรอง วิชาชีพ ๕. วิ฼คราะห์อิทธิพลของภาษาตํางประ฼ทศ฽ละภาษา ฽ตงํ บทร๎อยกรอง ถ่นิ ๖. อธบิ าย฽ละวิ฼คราะหห์ ลักการสรา๎ งคา฿นภาษาเทย ๗. วิ฼คราะห์฽ละประ฼มินการ฿ช๎ภาษาจากส่ือสิ่งพิมพ์ ฽ละสือ่ อิ฼ลก็ ทรอนกิ ส์

หลักสูตรโรงเรียนเขอ่ื นผากวิทยา พ.ศ. ๒๕๖๑ สาระที่ ๕ วรรณคดแี ละวรรณกรรม มาตรฐาน ท ๕.๑ เขา้ ใจและแสดงความคิดเหน็ วิจารณ์วรรณคดแี ละวรรณกรรมไทยอยา่ ตัวชี้วัดชั้นปี ม. ๑ ม. ๒ ๑. สรุป฼น้ือหาวรรณคดี฽ละวรรณกรรมท่ี ๑. สรปุ ฼นือ้ หาวรรณคด฽ี ละวรรณกรรมท่อี ําน ๑. อาํ น ฿นระดบั ที่ยากขน้ึ ๒. วิ฼คราะห์วรรณคดี฽ละวรรณกรรมท่ีอําน ๒. วิ฼คราะห์฽ละวิจารณ์วรรณคดีวรรณกรรม ๒. พร๎อมยก฼หตุผลประกอบ ฽ละวรรณกรรมท๎องถิ่นที่อําน พร๎อมยก ๓. อ ธิ บ า ย คุ ณ คํ า ข อ ง ว ร ร ณ ค ดี ฽ ล ะ ฼หตุผลประกอบ ๓. วรรณกรรมทีอ่ าํ น ๓. อ ธิ บ า ย คุ ณ คํ า ข อ ง ว ร ร ณ ค ดี ฽ ล ะ ๔. สรุปความรู๎฽ละข๎อคิดจากการอําน ฼พื่อ วรรณกรรมทีอ่ ําน ๔. ประยุกต์฿ช๎฿นชวี ติ จรงิ ๔. สรุปความร๎ู฽ละข๎อคิดจากการอําน เป ๕. ทํอ ง จ า บ ท อ า ข ย า น ต า ม ท่ี ก า ห น ด ประยกุ ต฿์ ช๎฿นชวี ติ จรงิ ฽ละบทร๎อยกรองที่มีคุณคําตามความ ๕. ทํองจาบทอาขยานตามที่กาหนด ฽ละบท สน฿จ รอ๎ ยกรองทม่ี ีคณุ คาํ ตามความสน฿จ

๒๐ างเหน็ คณุ ค่าและนามาประยกุ ตใ์ ชใ้ นชวี ติ จริง ตวั ชว้ี ัดชว่ งช้นั ม. ๓ ม. ๔ – ม. ๖ สรุป฼นื้อหาวรรณคดีวรรณกรรม ฽ละ ๑. วิ฼คราะห฽์ ละวจิ ารณ์วรรณคดี ฽ละวรรณกรรมตาม วรรณกรรมทอ๎ งถิ่น ฿นระดบั ทย่ี ากยงิ่ ข้ึน หลกั การวิจารณ฼์ บ้อื งตน๎ วิ฼คราะห์วิถีเทย ฽ละคุณคําจากวรรณคดี ๒. วิ฼คราะห์ลักษณะ฼ดํนของวรรณคดี฼ช่ือม฾ยงกับการ ฽ละวรรณกรรมทีอ่ าํ น ฼รียนร๎ูทางประวัติศาสตร์฽ละวิถีชีวิตของสังคม฿น สรุปความรู๎฽ละข๎อคิดจากการอําน ฼พ่ือ อดีต นาเปประยกุ ต์ ฿ช๎฿นชวี ติ จรงิ ๓. วิ฼คราะห์฽ละประ฼มินคุณคําด๎านวรรณศิลป์ของ ทํองจา฽ละบอกคุณคําบทอาขยานตามที่ วรรณคดี฽ละวรรณกรรม฿นฐานะท่ี฼ป็นมรดกทาง กาหนด฽ละบทร๎อยกรอง ท่ีมีคุณคําตาม วัฒนธรรมของชาติ ความสน฿จ฽ละนาเป฿ช๎อ๎างองิ ๔. สัง฼คราะห์ข๎อคิดจากวรรณคดี฽ละวรรณกรรม฼พื่อ นาเปประยุกต฿์ ช฿๎ นชีวิตจรงิ ๕. รวบรวมวรรณกรรมพ้ืนบ๎าน ฽ละอธิบายภูมิปัญญา ทางภาษา ๖. ทํองจา฽ละบอกคุณคําบทอาขยานตามท่ีกาหนด ฽ละบทร๎อยกรองที่มีคุณคําตามความสน฿จ ฽ละ นาเป฿ชอ๎ ๎างองิ

หลักสูตรโรงเรียนเขอื่ นผากวิทยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ๒๑ กลุ่มสาระการเรยี นรูค้ ณติ ศาสตร์ ทาไมต้องเรียนคณิตศาสตร์ คณติ ศาสตร์มีบทบาทสาคัญย่ิงตํอความสา฼ร็จ฿นการ฼รียนร๎ู฿นศตวรรษที่ ๒๑ ฼น่ืองจากคณิตศาสตร์ชํวย฿ห๎ มนุษย์มีความคดิ ร฼ิ ร่มิ สร๎างสรรค์ คดิ อยาํ งมี฼หตุผล ฼ปน็ ระบบ มี฽บบ฽ผน สามารถวิ฼คราะห์ปัญหา หรือสถานการณ์ เด๎อยํางรอบคอบ฽ละถ่ีถ๎วน ชํวย฿ห๎คาดการณ์ วาง฽ผน ตัดสิน฿จ ฽ก๎ปัญหา เด๎อยํางถูกต๎อง฼หมาะสม ฽ละสามารถ นาเป฿ช๎฿นชีวิตจริงเด๎อยํางมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ คณิตศาสตร์ยัง฼ป็น฼ครื่องมือ ฿นการศึกษาด๎านวิทยาศาสตร์ ฼ทค฾น฾ลยี ฽ละศาสตร์อื่น ๆ อัน฼ป็นรากฐาน฿นการพัฒนาทรัพยากรบุคคลของชาติ฿ห๎มีคุณภาพ฽ละพัฒนา ฼ศรษฐกิจของประ฼ทศ฿ห๎ทัด฼ทียมกับนานาชาติ การศึกษาคณิตศาสตร์ จึงจา฼ป็นต๎องมีการพัฒนาอยํางตํอ฼น่ือง ฼พอื่ ฿ห๎ทนั สมัย฽ละสอดคล๎องกบั สภาพ฼ศรษฐกิจ สงั คม ฽ละความรู๎ ทางวิทยาศาสตร์฽ละ฼ทค฾น฾ลยีท่ี฼จริญก๎าวหน๎า อยาํ งรวด฼รว็ ฿นยุค฾ลกาภิวัตน์ ตัวชี้วัด฽ละสาระการ฼รียนรู๎฽กนกลาง กลุํมสาระการ฼รียนรู๎คณิตศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.๒๕๖๐) ตาม หลักสูตร฽กนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ฉบับน้ี จัดทาข้ึน฾ดยคานึงถึงการสํง฼สริม ฿ห๎ผู๎฼รียนมี ทักษะท่ีจา฼ป็นสาหรับการ฼รียนร๎ู฿นศตวรรษที่ ๒๑ ฼ป็นสาคัญ นั่นคือ การ฼ตรียมผู๎฼รียน฿ห๎มีทักษะด๎านการคิด วิ฼คราะห์ การคิดอยาํ งมีวจิ ารณญาณ การ฽ก๎ปญั หา การคดิ สร๎างสรรค์ การ฿ช๎฼ทค฾น฾ลยี การส่ือสาร฽ละการรํวมมือ ซ่ึงจะสํงผล฿ห๎ผู๎฼รียนร๎ู฼ทําทันการ฼ปล่ียน฽ปลงของระบบ฼ศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ฽ละสภาพ฽วดล๎อม สามารถ ฽ขํงขัน฽ละอยูํรํวมกับประชาคม฾ลกเด๎ ทั้งน้ี การจัดการ฼รียนร๎ูคณิตศาสตร์ท่ีประสบความสา฼ร็จนั้น จะต๎อง฼ตรียม ผ๎ู฼รียน฿ห๎มีความพร๎อมท่ีจะ฼รียนร๎ูสิ่งตําง ๆ พร๎อมที่ จะประกอบอาชีพ฼ม่ือจบการศึกษา หรือสามารถศึกษาตํอ฿น ระดบั ท่สี ูงข้ึน ดงั นัน้ สถานศกึ ษาควรจดั การ฼รียนรู฿๎ ห๎฼หมาะสมตามศักยภาพของผ฼ู๎ รียน เรยี นรอู้ ะไรในคณติ ศาสตร์ กลุํมสาระการ฼รียนรู๎คณิตศาสตร์จัด฼ป็น ๔ สาระ เด๎฽กํ จานวน฽ละพีชคณิต การวัด฽ละ฼รขาคณิต สถิติ ฽ละความนาํ จะ฼ปน็ ฽คลคูลัส  จานวนและพชี คณิต ระบบจานวนจริง สมบัติ฼ก่ียวกับจานวนจริง อัตราสํวน ร๎อยละ การประมาณคํา การ฽ก๎ปัญหา฼ก่ียวกับจานวน การ฿ช๎จานวน฿นชีวิตจริง ฽บบรูป ความสัมพันธ์ ฟังก์ชัน ฼ซต ตรรกศาสตร์ นิพจน์ ฼อกนาม พหุนาม สมการ ระบบสมการ อสมการ กราฟ ดอก฼บี้ย฽ละมูลคําของ฼งิน ฼มทริกซ์ จานวน฼ชิงซ๎อน ลาดับ ฽ละอนกุ รม ฽ละการนาความร๎฼ู กยี่ วกับจานวน฽ละพชี คณติ เป฿ช฿๎ นสถานการณ์ตาํ ง ๆ  การวัดและเรขาคณิต ความยาว ระยะทาง น้าหนัก พ้ืนที่ ปริมาตร฽ละความจุ ฼งิน฽ละ฼วลา หนํวย วัดระบบตําง ๆ การคาดคะ฼น฼ก่ียวกับการวัด อัตราสํวนตรี฾กณมิติ รูป฼รขาคณิต฽ละสมบัติของ รูป฼รขาคณิต การ นึกภาพ ฽บบจาลองทาง฼รขาคณิต ทฤษฎีบททาง฼รขาคณิต การ฽ปลงทาง฼รขาคณิต฿น฼ร่ืองการ฼ลื่อนขนาน การ สะทอ๎ น การหมุน ฼รขาคณิตวิ฼คราะห์ ฼วก฼ตอร์฿นสามมิติ ฽ละการนาความรู๎฼ก่ียวกับ การวัด฽ละ฼รขาคณิตเป฿ช๎฿น สถานการณ์ตาํ ง ๆ  สถิติและความนา่ จะเป็น การต้งั คาถามทางสถติ ิ การ฼กบ็ รวบรวมข๎อมลู การคานวณคาํ สถติ ิ การ นา฼สนอ฽ละ฽ปลผลสาหรบั ข๎อมลู ฼ชิงคณุ ภาพ฽ละ฼ชิงปริมาณ หลักการนับ฼บ้ืองต๎น ความนาํ จะ฼ป็น การ฽จก฽จง

หลักสูตรโรงเรยี นเขื่อนผากวิทยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ๒๒ ของตวั ฽ปรสมํุ การ฿ช๎ความรู๎฼กีย่ วกบั สถติ ฽ิ ละความนาํ จะ฼ปน็ ฿นการอธิบาย฼หตุการณ์ตําง ๆ ฽ละชวํ ย฿นการ ตดั สิน฿จ  แคลคูลัส ลิมิต฽ละความตํอ฼นื่องของฟังก์ชัน อนุพันธ์ของฟังก์ชันพีชคณิต ปริพันธ์ของฟังก์ชัน พีชคณิต ฽ละการนาความร๎฼ู ก่ยี วกบั ฽คลคูลสั เป฿ช๎฿นสถานการณ์ตาํ ง ๆ คณุ ภาพผู้เรยี น จบช้ันมธั ยมศกึ ษาปีท่ี ๓  มคี วามรู๎ความ฼ขา๎ ฿จ฼ก่ียวกับจานวนจริง ความสัมพนั ธ์ของจานวนจริง สมบัติของจานวนจรงิ ฽ละ฿ชค๎ วามรค๎ู วาม฼ขา๎ ฿จนี฿้ นการ฽กป๎ ัญหา฿นชีวติ จริง  มีความรค๎ู วาม฼ข๎า฿จ฼กย่ี วกบั อตั ราสํวน สดั สํวน ฽ละรอ๎ ยละ ฽ละ฿ชค๎ วามร๎คู วาม฼ข๎า฿จน้ี ฿นการ฽ก๎ปัญหา฿นชีวิตจริง  มีความรู๎ความ฼ข๎า฿จ฼ก่ยี วกบั ฼ลขยกกาลังท่ีมี฼ลขชก้ี าลัง฼ป็นจานวน฼ต็ม ฽ละ฿ช๎ความรูค๎ วาม฼ข๎า฿จน้ี ฿น การ฽ก๎ปัญหา฿นชวี ิตจริง  มคี วามรค๎ู วาม฼ข๎า฿จ฼กี่ยวกบั สมการ฼ชิง฼สน๎ ตวั ฽ปร฼ดยี ว ระบบสมการ฼ชงิ ฼ส๎นสองตัว฽ปร ฽ละอสมการ฼ชงิ ฼สน๎ ตัว฽ปร฼ดียว ฽ละ฿ช๎ความรู๎ความ฼ข๎า฿จนี้฿นการ฽กป๎ ญั หา฿นชีวติ จรงิ  มคี วามร๎ูความ฼ข๎า฿จ฽ละ฿ชค๎ วามร๎฼ู กย่ี วกบั คูอํ นั ดับ กราฟของความสัมพันธ์ ฽ละฟงั กช์ นั กาลังสอง ฽ละ ฿ช๎ความรคู๎ วาม฼ข๎า฿จ฼หลาํ น฿ี้ นการ฽กป๎ ัญหา฿นชวี ิตจริง  มีความรค๎ู วาม฼ข๎า฿จทาง฼รขาคณิต฽ละ฿ช๎฼ครื่องมอื ฼ชนํ วง฼วยี น฽ละสันตรง รวมท้ัง฾ปร฽กรม The Geometer’s Sketchpad หรอื ฾ปร฽กรม฼รขาคณติ พลวตั อ่ืน ๆ ฼พ่ือสรา๎ งรปู ฼รขาคณติ ตลอดจน นาความร฼๎ู กี่ยวกบั การสรา๎ งนเ้ี ปประยกุ ต์฿ช๎฿นการ฽ก๎ปญั หา฿นชวี ติ จรงิ  มีความรู๎ความ฼ข๎า฿จ฽ละ฿ช๎ความรู๎ความ฼ข๎า฿จน้฿ี นการหาความสมั พนั ธร์ ะหวาํ งรปู ฼รขาคณิตสองมิติ ฽ละรูป฼รขาคณติ สามมิติ  มคี วามรู๎ความ฼ข๎า฿จ฿น฼รื่องพ้นื ท่ผี วิ ฽ละปริมาตรของปริซมึ ทรงกระบอก พีระมดิ กรวย ฽ละ ทรงกลม ฽ละ฿ชค๎ วามรูค๎ วาม฼ข๎า฿จน้฿ี นการ฽ก๎ปัญหา฿นชวี ิตจริง  มคี วามรค๎ู วาม฼ข๎า฿จ฼ก่ยี วกบั สมบตั ขิ อง฼ส๎นขนาน รปู สาม฼หลี่ยมท฼่ี ทํากนั ทุกประการ รปู สาม฼หลี่ยมคล๎าย ทฤษฎบี ทพีทา฾กรสั ฽ละบทกลบั ฽ละนาความรคู๎ วาม฼ข๎า฿จน้ีเป฿ช฿๎ นการ฽ก๎ปัญหา฿นชีวติ จริง  มคี วามรู๎ความ฼ข๎า฿จ฿น฼ร่ืองการ฽ปลงทาง฼รขาคณติ ฽ละนาความรู๎ความ฼ข๎า฿จนี้เป฿ช๎฿นการ฽กป๎ ัญหา ฿นชวี ิตจริง  มีความรค๎ู วาม฼ข๎า฿จ฿น฼รื่องอัตราสวํ นตร฾ี กณมติ ิ฽ละนาความร๎ูความ฼ข๎า฿จนี้เป฿ช๎฿นการ฽ก๎ปัญหา฿น ชวี ติ จริง  มีความรู๎ความ฼ข๎า฿จ฿น฼ร่ืองทฤษฎีบท฼กีย่ วกับวงกลม฽ละนาความรค๎ู วาม฼ขา๎ ฿จน้ีเป฿ช฿๎ นการ฽กป๎ ัญหา คณติ ศาสตร์  มคี วามรู๎ความ฼ข๎า฿จทางสถติ ฿ิ นการนา฼สนอข๎อมูล วิ฼คราะห์ข๎อมูล ฽ละ฽ปลความหมายขอ๎ มลู

หลกั สูตรโรงเรียนเข่อื นผากวิทยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ๒๓ ที่฼ก่ยี วข๎องกบั ฽ผนภาพจุด ฽ผนภาพตน๎ -฿บ ฮิส฾ท฽กรม คํากลางของข๎อมลู ฽ละ฽ผนภาพกลํอง ฽ละ฿ชค๎ วามร๎คู วาม ฼ข๎า฿จนี้ รวมทั้งนาสถิติเป฿ช๎฿นชวี ิตจรงิ ฾ดย฿ช฼๎ ทค฾น฾ลยที ี่฼หมาะสม  มคี วามร๎ูความ฼ข๎า฿จ฼กี่ยวกับความนําจะ฼ปน็ ฽ละ฿ช๎฿นชวี ิตจรงิ จบชัน้ มธั ยมศึกษาปีท่ี ๖ จบช้นั มธั ยมศึกษาปีท่ี ๖ (สาหรับนกั เรียนทไ่ี ม่เน้นวทิ ยาศาสตร์)  ฼ขา๎ ฿จ฽ละ฿ชค๎ วามรู๎฼กีย่ วกับ฼ซต฽ละตรรกศาสตร฼์ บือ้ งต๎น ฿นการสือ่ สาร฽ละส่อื ความหมาย ทาง คณิตศาสตร์  ฼ขา๎ ฿จ฽ละ฿ชห๎ ลกั การนบั ฼บอ้ื งตน๎ การ฼รยี งสบั ฼ปล่ยี น ฽ละการจัดหมํู ฿นการ฽กป๎ ญั หา ฽ละ นาความรู๎ ฼กยี่ วกับความนําจะ฼ปน็ เป฿ช๎  นาความร๎฼ู ก่ียวกับ฼ลขยกกาลงั ฟังกช์ นั ลาดบั ฽ละอนุกรม เป฿ช๎฿นการ฽กป๎ ญั หา รวมทง้ั ปัญหา ฼กยี่ วกับดอก฼บีย้ ฽ละมลู คําของ฼งนิ  ฼ข๎า฿จ฽ละ฿ช๎ความรู๎ทางสถิติ฿นการวิ฼คราะห์ข๎อมูล นา฼สนอข๎อมลู ฽ละ฽ปลความหมายข๎อมลู ฼พื่อ ประกอบการตัดสิน฿จ จบชัน้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี ๖ (สาหรับนกั เรยี นทีเ่ น้นวทิ ยาศาสตร์)  ฼ข๎า฿จ฽ละ฿ช๎ความร฼๎ู กย่ี วกบั ฼ซต ฿นการสอื่ สาร฽ละสือ่ ความหมายทางคณิตศาสตร์  ฼ขา๎ ฿จ฽ละ฿ช๎ความรู๎฼กย่ี วกับตรรกศาสตร฼์ บื้องตน๎ ฿นการส่อื สาร ส่ือความหมาย ฽ละอา๎ ง฼หตุผล  ฼ข๎า฿จ฽ละ฿ช๎สมบตั ขิ องจานวนจริง฽ละพหุนาม  ฼ขา๎ ฿จ฽ละ฿ชค๎ วามร฼๎ู กี่ยวกบั ฟังก์ชัน ฟังก์ชัน฼อกซ์฾พ฼นน฼ชียล ฟังกช์ ันลอการิทึม ฽ละฟงั ก์ชัน ตรี฾กณมิติ  ฼ข๎า฿จ฽ละ฿ช๎ความร฼ู๎ ก่ียวกบั ฼รขาคณิตว฼ิ คราะห์  ฼ข๎า฿จ฽ละ฿ช๎ความรู฼๎ กีย่ วกบั ฼มทริกซ์  ฼ข๎า฿จ฽ละ฿ชส๎ มบัตขิ องจานวน฼ชิงซ๎อน  นาความรู฼๎ ก่ียวกับ฼วก฼ตอร์฿นสามมิตเิ ป฿ช๎  ฼ขา๎ ฿จ฽ละ฿ช๎หลักการนบั ฼บอ้ื งต๎น การ฼รยี งสับ฼ปล่ียน ฽ละการจดั หมํู ฿นการ฽กป๎ ัญหา ฽ละ นาความรู๎ ฼กย่ี วกบั ความนําจะ฼ปน็ เป฿ช๎  นาความร฼๎ู กย่ี วกับลาดบั ฽ละอนุกรมเป฿ช๎  ฼ข๎า฿จ฽ละ฿ช๎ความรู๎ทางสถิติ฿นการว฼ิ คราะห์ข๎อมลู นา฼สนอข๎อมลู ฽ละ฽ปลความหมายข๎อมลู ฼พ่ือ ประกอบการตัดสนิ ฿จ  หาความนําจะ฼ปน็ ของ฼หตุการณ์ท่ี฼กดิ จากตวั ฽ปรสุมํ ทีม่ ีการ฽จก฽จง฼อกรปู การ฽จก฽จงทวินาม฽ละ การ฽จก฽จงปกติ ฽ละนาเป฿ช๎  นาความร฼ู๎ กย่ี วกับ฽คลคูลสั ฼บ้อื งต๎นเป฿ช๎

หลกั สูตรโรงเรยี นเข่อื นผากวทิ ยา พ.ศ. ๒๕๖๑ สาระท่ี ๑ จานวน฽ละพชี คณิต มาตรฐาน ค ๑.๑ ฼ขา๎ ฿จความหลากหลายของการ฽สดงจานวน ระบบจานวน การดา฼นนิ การ ตัวชว้ี ดั ชน้ั ปี ม.๑ ม.๒ ม.๓ ๑. ฼ข๎า฿จจานวนตรรกยะ฽ละ 1. ฼ข๎า฿จ฽ละ฿ช๎สมบัติของ - ความสัมพันธ์ของ จานวน ฼ลขยกกาลังที่มี฼ลขชี้กาลัง ตรรกยะ ฽ละ฿ชส๎ มบัติ ฼ป็นจานวน฼ต็ม฿นการ ของจานวนตรรกยะ฿น ฽กป๎ ญั หาคณิตศาสตร์฽ละ การ฽กป๎ ัญหาคณติ ศาสตร์ ปญั หา฿นชีวิตจรงิ ฽ละปัญหา฿นชวี ติ จรงิ ๒. ฼ขา๎ ฿จ฽ละ฿ช๎สมบัตขิ อง 2. ฼ข๎า฿จจานวนจริง฽ละ ฼ลขยกกาลงั ที่มี฼ลขชี้ ความสัมพันธ์ของจานวน กาลัง฼ป็นจานวน฼ต็มบวก จริง ฽ละ฿ช๎สมบัติของ ฿นการ฽ก๎ปญั หา จ า น ว น จ ริ ง ฿ น ก า ร คณติ ศาสตร฽์ ละปญั หา฿น ฽กป๎ ญั หาคณิตศาสตร์฽ละ ชวี ิตจรงิ ปญั หา฿นชวี ติ จริง ๓. ฼ขา๎ ฿จ฽ละประยกุ ต฿์ ช๎ อตั ราสวํ น สัดสํวน ฽ละ ร๎อยละ ฿นการ฽กป๎ ัญหา คณติ ศาสตร฽์ ละปญั หา฿น ชีวติ จริง

๒๔ รของจานวน ผลที่฼กิดขนึ้ จากการดา฼นนิ การ สมบัตขิ องการดา฼นนิ การ ฽ละนาเป฿ช๎ ตวั ชี้วัดช่วงช้ัน ม.๔ ม.๕ ม.๖ ไมเ่ นน้ วทิ ยาศาสตร์ ไม่เน้นวิทยาศาสตร์ ไมเ่ น้นวทิ ยาศาสตร์ ๑. ฼ข๎า฿จ฽ละ฿ช๎ความรู๎ ๑. ฼ข๎า฿จความหมาย฽ละ฿ช๎ - ฼ก่ยี วกบั ฼ซต฽ละ สมบตั ฼ิ ก่ียวกบั การบวก เน้นวิทยาศาสตร์ ตรรกศาสตร฼์ บ้ืองตน๎ ฿น การคูณ การ฼ทํากนั ฽ละ - การสอื่ สาร฽ละสือ่ การเม฼ํ ทาํ กันของจานวน ความหมายทาง จรงิ ฿นรปู กรณฑ฽์ ละ คณิตศาสตร์ จานวนจริง ฿นรูป฼ลขยก เน้นวิทยาศาสตร์ กาลังท่ีม฼ี ลขชี้กาลัง฼ปน็ ๑. ฼ขา๎ ฿จ฽ละ฿ชค๎ วามรู๎ จานวนตรรกยะ ฼ก่ยี วกับ฼ซต฿นการสื่อสาร เนน้ วิทยาศาสตร์ ฽ละส่อื ความหมายทาง ๑. ฼ขา๎ ฿จจานวน฼ชงิ ซอ๎ น฽ละ คณิตศาสตร์ ฿ช๎สมบตั ขิ องจานวน ๒. ฼ข๎า฿จ฽ละ฿ช๎ความรู๎ ฼ชิงซ๎อน฿นการ฽ก๎ปญั หา ฼กย่ี วกับตรรกศาสตร์ ๒. หารากที่ n ของจานวน ฼บือ้ งต๎น฿นการสื่อสาร สอื่ ฼ชงิ ซ๎อน ฼มือ่ n ฼ป็น ความหมาย ฽ละอ๎าง จานวนนบั ทม่ี ากกวาํ ๑ ฼หตผุ ล

หลกั สูตรโรงเรยี นเข่ือนผากวิทยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ม.๓ ตัวช้ีวดั ชั้นปี ม.๑ ม.๒

ม.๔ ตัวชี้วัดชว่ งชั้น ๒๕ ๓. ฼ข๎า฿จจานวนจริง ฽ละ฿ช๎ ม.๕ ม.๖ สมบตั ขิ องจานวนจริง ฿น การ฽กป๎ ัญหา

หลักสูตรโรงเรยี นเขือ่ นผากวทิ ยา พ.ศ. ๒๕๖๑ สาระที่ ๑ จานวนและพีชคณิต มาตรฐาน ค ๑.๒ เขา้ ใจและวิเคราะห์แบบรปู ความสัมพันธ์ ฟงั กช์ นั ลาดับและอนกุ รม แล ตวั ช้ีวัดชนั้ ปี ม.๑ ม.๒ ม.๓ - ๑. ฼ขา๎ ฿จหลกั การการ ๑. ฼ขา๎ ฿จ฽ละ฿ช๎การ฽ยกตัว ดา฼นินการของพหนุ าม ประกอบของพหนุ ามที่มี ฽ละ฿ช๎พหนุ าม฿นการ ดกี รีสงู กวําสอง฿นการ ฽กป๎ ัญหาคณติ ศาสตร์ ฽ก๎ปญั หาคณติ ศาสตร์ ๒. ฼ข๎า฿จ฽ละ฿ช๎การ฽ยกตวั ๒. ฼ข๎า฿จ฽ละ฿ชค๎ วามรู๎฼ก่ียวกบั ๓. ประกอบของพหนุ าม ฟังก์ชันกาลงั สอง ฿นการ ๔. ดกี รีสอง฿นการ฽ก๎ปัญหา ฽กป๎ ัญหาคณิตศาสตร์ ๕. คณิตศาสตร์

๒๖ ละนาไปใช้ ตวั ชว้ี ัดชว่ งช้ัน ม.๔ ม.๕ ม.๖ ไมเ่ น้นวิทยาศาสตร์ ไมเ่ น้นวทิ ยาศาสตร์ ไมเ่ น้นวิทยาศาสตร์ - เนน้ วิทยาศาสตร์ - ๑. ฿ช๎ฟังก์ชนั ฽ละกราฟของ ๑. ระบุเดว๎ ําลาดับท่ี เนน้ วทิ ยาศาสตร์ ฟังกช์ ันอธบิ ายสถานการณ์ กาหนด฿ห๎฼ปน็ ลาดับล฼ํู ข๎า หรอื ลูอํ อก ๑. ฿ช๎ฟังก์ชนั ฽ละกราฟของ ทกี่ าหนด ๒. หาผลบวก n พจน฽์ รก ของอนุกรม฼ลขคณิต ฽ละ ฟงั ก์ชนั อธบิ ายสถานการณ์ ๒. ฼ขา๎ ฿จ฽ละนาความร๎ู อนกุ รม฼รขาคณติ ๓. หาผลบวกอนกุ รมอนนั ต์ ที่กาหนด ฼ก่ียวกบั ลาดบั ฽ละอนุกรม ๔. ฼ขา๎ ฿จ฽ละนาความรู๎ ฼ก่ยี วกับลาดับ฽ละอนกุ รม ๒. หาผลลพั ธข์ องการบวก เป฿ช เป฿ช๎ การลบ การคูณ การหาร เน้นวิทยาศาสตร์ ฟงั กช์ ัน หาฟังกช์ นั ๑. ฼ขา๎ ฿จฟังก์ชนั ตร฾ี กณมติ ิ ประกอบ฽ละฟงั กช์ ัน ฽ละลักษณะกราฟของ ผกผัน ฟังกช์ ันตร฾ี กณมติ ิ ฽ละ ๓. ฿ช๎สมบตั ิของฟังก์ชนั ฿น นาเป฿ช฿๎ นการ฽ก๎ปญั หา การ฽ก๎ปญั หา ๔. ฼ขา๎ ฿จลกั ษณะกราฟของ ฟังกช์ นั ฼อกซ์฾พ฼นน฼ชียล ฽ละฟังก์ชนั ลอการทิ ึม฽ละ นาเป฿ช๎฿นการ฽กป๎ ญั หา

หลักสูตรโรงเรยี นเขื่อนผากวทิ ยา พ.ศ. ๒๕๖๑ สาระที่ ๑ จานวนและพชี คณติ มาตรฐาน ค ๑.๓ ใช้นิพจน์ สมการ อสมการ และเมทรกิ ซ์ อธบิ ายความสัมพันธ์ หรือชว่ ย ตวั ชว้ี ดั ชัน้ ปี ม.๑ ม.๒ ม.๓ ๑. ฼ข๎า฿จ฽ละ฿ชส๎ มบตั ิของการ - ๑. ฼ข๎า฿จ฽ละ฿ช๎สมบตั ขิ องการ ฼ทาํ กนั ฽ละสมบตั ิ ของ เม฼ํ ทํากัน฼พื่อวิ฼คราะห์฽ละ จานวน ฼พอื่ ว฼ิ คราะห฽์ ละ ฽กป๎ ญั หา฾ดย฿ชอ๎ สมการ ฽กป๎ ญั หา฾ดย฿ชส๎ มการ฼ชิง ฼ชงิ ฼ส๎นตัว฽ปร฼ดยี ว ฼ส๎นตัว฽ปร฼ดยี ว ๒. ประยกุ ต์฿ชส๎ มการกาลงั ๒. ฼ข๎า฿จ฽ละ฿ชค๎ วามรู๎ สองตวั ฽ปร฼ดียว ฼กี่ยวกบั กราฟ฿นการ ฿นการ฽กป๎ ัญหา ฽กป๎ ัญหาคณิตศาสตร฽์ ละ คณติ ศาสตร์ ปญั หา฿นชวี ติ จริง ๓. ประยกุ ต฿์ ชร๎ ะบบสมการ ๓. ฼ข๎า฿จ฽ละ฿ช๎ความร๎ู ฼ชิง฼ส๎นสองตัว฽ปร ฼ก่ยี วกบั ความสมั พนั ธ์฼ชิง ฿นการ฽กป๎ ญั หา ฼ส๎น ฿นการ฽กป๎ ัญหา คณติ ศาสตร์ คณิตศาสตร฽์ ละปญั หา฿น ชีวติ จริง

๒๗ ยแกป้ ัญหาท่ีกาหนดให้ ตวั ชว้ี ดั ช่วงช้นั ม.๔ ม.๕ ม.๖ ไม่เนน้ วทิ ยาศาสตร์ ไม่เน้นวทิ ยาศาสตร์ ไม่เนน้ วิทยาศาสตร์ - ๑. ฼ขา๎ ฿จ฽ละ฿ชค๎ วามร๎ู฼กย่ี วกบั - เน้นวิทยาศาสตร์ ดอก฼บยี้ ฽ละมลู คําของ฼งิน เน้นวทิ ยาศาสตร์ ๑. ฽ก๎สมการ฽ละอสมการพหุ ฿นการ฽กป๎ ญั หา - นามตวั ฽ปร฼ดียว เน้นวทิ ยาศาสตร์ ดีกรเี ม฼ํ กนิ ส่ี ฽ละนาเป฿ช๎ ๑. ฽กส๎ มการตร฾ี กณมติ ิ ฽ละ ฿นการ฽กป๎ ญั หา นาเป฿ช฿๎ นการ฽กป๎ ญั หา ๒. ฽ก๎สมการ฽ละอสมการ ๒. ฿ช๎กฎของ฾คเซน฽์ ละกฎของ ฼ศษสวํ นของพหุนาม เซน฿์ นการ฽กป๎ ญั หา ตัว฽ปร฼ดยี ว ฽ละนาเป฿ช๎ ๓. ฼ข๎า฿จความหมาย หาผลลพั ธ์ ฿นการ฽กป๎ ัญหา ของการบวก฼มทรกิ ซ์ การ ๓. ฽กส๎ มการ฽ละอสมการคํา คณู ฼มทริกซก์ บั จานวนจริง สัมบูรณ์ของพหุนามตัว การคณู ระหวําง฼มทรกิ ซ์ ฽ปร฼ดียว ฽ละนาเป฿ช฿๎ น ฽ละหา฼มทรกิ ซส์ ลบั ฼ปลย่ี น การ฽ก๎ปญั หา หาด฼ี ทอรม์ ิ฽นนตข์ อง฼มท ๔. ฽ก๎สมการ฼อกซ฾์ พ฼นน ริกซ์ n X n ฼ม่ือ n ฼ปน็ ฼ชียล฽ละสมการลอการิทมึ จานวนนบั ที่เม฼ํ กิน สาม ฽ละนาเป฿ช๎฿นการ ๔. หา฼มทรกิ ซผ์ กผันของ฼มท ฽ก๎ปัญหา รกิ ซ์ ๒ X ๒

หลกั สูตรโรงเรยี นเขือ่ นผากวทิ ยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ม.๓ ตัวช้ีวัดชั้นปี ม.๑ ม.๒ สาระท่ี ๒ การวดั และเรขาคณติ มาตรฐาน ค ๒.๑ เขา้ ใจพ้นื ฐานเกี่ยวกับการวัด วดั และคาดคะเนขนาดของสง่ิ ที่ต้องการว ตวั ช้ีวดั ชนั้ ปี ม.๑ ม.๒ ม.๓ - ๑. ประยุกต์฿ช๎ความรู฼๎ รอ่ื ง ๑. ประยุกต฿์ ชค๎ วามร฼๎ู รือ่ ง พ้นื ทผ่ี ิวของปริซึม฽ละ พน้ื ท่ีผวิ ของพรี ะมิด กรวย ทรงกระบอก฿นการ ฽ละทรงกลม฿นการ ฽กป๎ ัญหาคณติ ศาสตร฽์ ละ ฽กป๎ ญั หาคณิตศาสตร์฽ละ ปญั หา฿นชวี ิตจรงิ ปญั หา฿นชีวติ จรงิ ๒. ประยุกต์฿ชค๎ วามรู๎฼รื่อง ๒. ประยุกต฿์ ช๎ความรู๎฼รอ่ื ง ปริมาตรของปรซิ ึม฽ละ ปริมาตรของพรี ะมดิ กรวย ทรงกระบอก฿นการ ฽ละทรงกลม฿นการ ฽กป๎ ญั หาคณติ ศาสตร์฽ละ ฽ก๎ปัญหาคณิตศาสตร฽์ ละ ปญั หา฿นชีวิตจริง ปญั หา฿นชีวิตจรงิ

๒๘ ตวั ช้ีวดั ชว่ งชนั้ ม.๔ ม.๕ ม.๖ ๕. ฽กร๎ ะบบสมการ฼ชิง฼สน๎ ฾ดย ฿ช๎฼มทรกิ ซผ์ กผัน ฽ละการ ดา฼นินการตาม฽ถว ๔. ฽ก๎สมการพหนุ ามตวั ฽ปร ฼ดียวดีกรีเม฼ํ กนิ สที่ ่ีมี สัมประสิทธ฼์ิ ป็นจานวน฼ตม็ ฽ละนาเป฿ช๎฿นการ ฽ก๎ปญั หา วดั และนาไปใช้ ตวั ช้ีวดั ชว่ งช้นั ม.๖ ม.๕ ม.๔ ไม่เนน้ วิทยาศาสตร์ ไมเ่ น้นวิทยาศาสตร์ - ไม่เนน้ วทิ ยาศาสตร์ - - ไมเ่ น้นวิทยาศาสตร์ ไม่เน้นวิทยาศาสตร์ - ไม่เนน้ วทิ ยาศาสตร์ - -

หลักสูตรโรงเรยี นเขอ่ื นผากวทิ ยา พ.ศ. ๒๕๖๑ สาระที่ ๒ การวดั และเรขาคณติ มาตรฐาน ค ๒.๒ เขา้ ใจและวิเคราะหร์ ูปเรขาคณติ สมบัติของรูปเรขาคณติ ความสมั พันธ ตวั ช้วี ดั ชนั้ ปี ม.๑ ม.๒ ม.๓ ๑. ฿ช๎ความรู๎ทาง฼รขาคณติ ๑. ฿ชค๎ วามร๎ูทาง฼รขาคณติ ๑. ฼ข๎า฿จ฽ละ฿ชส๎ มบตั ิของรูป ฽ละ฼ครอื่ งมอื ฼ชํน วง฼วยี น ฽ละ฼ครอื่ งมอื ฼ชํน วง฼วียน สาม฼หลยี่ มทค่ี ล๎ายกัน ฿น การ฽กป๎ ญั หาคณติ ศาสตร์ ฽ละสันตรง รวมทงั้ ฽ละสันตรง รวมทัง้ ฽ละปัญหา฿นชวี ิตจริง ฾ปร฽กรม The ฾ปร฽กรม The Geometer’s Sketchpad Geometer’s Sketchpad ๒. ฼ข๎า฿จ฽ละ฿ช๎ความรู๎ หรอื ฾ปร฽กรม฼รขาคณติ หรอื ฾ปร฽กรม฼รขาคณิต ฼กย่ี วกับอัตราสํวน พลวัตอน่ื ๆ ฼พ่อื สร๎างรปู พลวัตอื่น ๆ ฼พือ่ สร๎างรปู ตรี฾กณมติ ิ ฿นการ฽กป๎ ัญหา ฼รขาคณติ ตลอดจนนา ฼รขาคณติ ตลอดจนนา คณติ ศาสตร฽์ ละปัญหา฿น ความรู๎฼กย่ี วกบั การสร๎างน้ี ความรู฼๎ ก่ยี วกบั การสร๎างน้ี ชวี ติ จริง เปประยกุ ต฿์ ช๎฿นการ เปประยุกต฿์ ช฿๎ นการ ๓. ฼ข๎า฿จ฽ละ฿ชท๎ ฤษฎบี ท ฽ก๎ปญั หา฿นชวี ิตจริง ฽กป๎ ญั หา฿นชวี ติ จรงิ ฼กยี่ วกบั วงกลม ฿นการ ๒. ฼ขา๎ ฿จ฽ละ฿ชค๎ วามร๎ูทาง ๒. นาความร๎฼ู กยี่ วกบั สมบตั ิ ฽กป๎ ัญหาคณิตศาสตร์ ฼รขาคณิต฿นการว฼ิ คราะห์ ของ฼ส๎นขนาน฽ละ รูป หาความสมั พนั ธร์ ะหวําง สาม฼หลย่ี มเป฿ช๎฿นการ รปู ฼รขาคณติ สองมติ ิ ฽ละ ฽ก๎ปญั หาคณติ ศาสตร์ รูป฼รขาคณติ สามมิติ ๓. ฼ข๎า฿จ฽ละ฿ชค๎ วามร๎ู ฼ก่ยี วกับการ฽ปลงทาง ฼รขาคณิต฿นการ฽กป๎ ญั หา คณิตศาสตร์฽ละปัญหา฿น ชีวิตจริง

๒๙ ธร์ ะหวา่ งรปู เรขาคณิต และทฤษฎบี ททางเรขาคณิต และนาไปใช้ ตัวช้วี ดั ช่วงชนั้ ม.๔ ม.๕ ม.๖ ไม่เน้นวิทยาศาสตร์ ไมเ่ นน้ วิทยาศาสตร์ ไมเ่ น้นวทิ ยาศาสตร์ --- เนน้ วิทยาศาสตร์ เนน้ วิทยาศาสตร์ เนน้ วทิ ยาศาสตร์ ---

หลักสูตรโรงเรยี นเขือ่ นผากวทิ ยา พ.ศ. ๒๕๖๑ ม.๓ ตวั ชวี้ ัดช้ันปี ม.๓ ม.๑ ม.๒ - ๔. ฼ข๎า฿จ฽ละ฿ช๎สมบตั ิของรปู สาม฼หลี่ยมท฼่ี ทาํ กนั ทุก ประการ฿นการ฽ก๎ปญั หา คณิตศาสตร์฽ละปัญหา฿น ชวี ติ จรงิ ๕. ฼ข๎า฿จ฽ละ฿ช๎ทฤษฎบี ทพี ทา฾กรสั ฽ละบทกลับ฿นการ ฽กป๎ ัญหาคณติ ศาสตร฽์ ละ ปญั หา฿นชวี ติ จรงิ สาระที่ ๒ การวัดและเรขาคณติ มาตรฐาน ค ๒.๓ เขา้ ใจเรขาคณติ วเิ คราะห์ และนาไปใช้ ตัวชว้ี ัดช้ันปี ม.๑ ม.๒ --

๓๐ ตวั ชี้วดั ชว่ งช้นั ม.๔ ม.๕ ม.๖ ตวั ชีว้ ัดชว่ งช้ัน ม.๔ ม.๕ ม.๖ ไม่เน้นวทิ ยาศาสตร์ ไมเ่ นน้ วทิ ยาศาสตร์ ไม่เนน้ วทิ ยาศาสตร์ - - - เน้นวทิ ยาศาสตร์ เน้นวิทยาศาสตร์ เนน้ วทิ ยาศาสตร์ ๑. ฼ขา๎ ฿จ฽ละ฿ชค๎ วามรู๎฼กยี่ วกบั - - ฼รขาคณติ ว฼ิ คราะห์ ฿นการ ฽กป๎ ญั หา

หลักสูตรโรงเรียนเข่ือนผากวทิ ยา พ.ศ. ๒๕๖๑ สาระที่ ๒ การวดั และเรขาคณติ มาตรฐาน ค ๒.๔ เขา้ ใจเวกเตอร์ การดาเนนิ การของเวกเตอร์ และนาไปใช้ ตัวชวี้ ดั ชั้นปี ม.๑ ม.๒ ม.๓ ---

๓๑ ม.๔ ตัวชว้ี ัดชว่ งช้ัน ม.๖ ไม่เนน้ วทิ ยาศาสตร์ ม.๕ ไม่เน้นวิทยาศาสตร์ - - ไม่เน้นวิทยาศาสตร์ เน้นวทิ ยาศาสตร์ - เนน้ วทิ ยาศาสตร์ - - เนน้ วทิ ยาศาสตร์ ๑. หาผลลพั ธข์ องการบวก การลบ฼วก฼ตอร์ การคูณ ฼วก฼ตอรด์ ๎วยส฼กลาร์ หาผลคณู ฼ชิงส฼กลาร์ ฽ละ ผลคณู ฼ชิง฼วก฼ตอร์ ๒. นาความร๎ู฼กย่ี วกบั ฼วก฼ตอร์ ฿นสามมิตเิ ป฿ช๎ ฿นการ ฽ก๎ปญั หา

หลักสูตรโรงเรยี นเขือ่ นผากวทิ ยา พ.ศ. ๒๕๖๑ สาระท่ี ๓ สถิติและความน่าจะเป็น มาตรฐาน ค ๓.๑ เขา้ ใจกระบวนการทางสถิติ และใชค้ วามรู้ทางสถิติในการแก้ปญั หา ตัวช้ีวดั ช้นั ปี ม.๑ ม.๒ ม.๓ ๑. ฼ข๎า฿จ฽ละ฿ช๎ความรู๎ทาง ๑. ฼ขา๎ ฿จ฽ละ฿ช๎ความร๎ูทางสถติ ิ฿นการ ๑. ฼ขา๎ ฿จ฽ละ฿ช๎ความ สถิต฿ิ นการนา฼สนอ นา฼สนอขอ๎ มูล ฽ละว฼ิ คราะหข์ ๎อมลู จาก สถติ ิ฿นการนา฼สนอ ข๎อมูล฽ละ฽ปล ฽ผนภาพจดุ ฽ผนภาพ ตน๎ – ฿บ ฮิส฾ท ฽ละว฼ิ คราะหข์ อ๎ มลู ความหมายข๎อมลู ฽กรม ฽ละคํากลางของขอ๎ มลู ฽ละ฽ปล ฽ผนภาพกลํอง รวมท้ังนาสถติ เิ ป฿ช๎ ฿น ความหมายผลลพั ธ์ รวมท้ังนาสถิติเป฿ช๎ ฽ปลความหมายผล ชวี ติ จริง฾ดย฿ช๎ ฿นชีวิตจริง฾ดย฿ช฼๎ ทค฾น฾ลยีที฼่ หมาะสม รวมท้งั นาสถติ ิ เป ฼ทค฾น฾ลยีท่ี฼หมาะสม ชวี ติ จริง฾ดย฿ช๎ ฼ทค฾น฾ลยที ฼ี่ หมาะ สาระที่ ๓ สถติ แิ ละความน่าจะเปน็


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook