Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม Dictionary of Buddhism

พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม Dictionary of Buddhism

Published by Chalermkiat Deesom, 2016-09-20 09:51:19

Description: dictionary_of_buddhism_pra-muan-dhaama พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม

Keywords: พจนานุกรมพุทธศาสตร์,dictionary_of_buddhism

Search

Read the Text Version

หมวด 3 87 [75][75] ไตรปฎก (ปฎก 3, กระจาด ตะกรา กระบุง หรือ ตาํ รา 3, ประมวลแหงคัมภีรท ่ี รวบรวมพระธรรมวนิ ยั 3 หมวด หรอื 3 ชุด — Tipiñaka: the Three Baskets; the Pali Canon) จดั พิมพดว ยอักษรไทย มี 45 เลม 1. วนิ ยั ปฎก (หมวดพระวนิ ัย, ประมวลสิกขาบท สาํ หรับภกิ ษสุ งฆแ ละภกิ ษณุ สี งฆ — Vinaya- piñaka: the Basket of Discipline) แบง เปน 3 หมวด หรอื 5 คมั ภรี  จัดพิมพอกั ษรไทยเปน 8 เลม คือ ก. วภิ ังค หรือ สตุ ตวภิ ังค (Vibhaïga) วา ดว ยสิกขาบทในปาฏโิ มกข (ปาติโมกข กใ็ ช) แบงเปน 2 คัมภรี  คือ 1. อาทิกมั มกิ ะ หรอื ปาราชกิ (อา) วา ดว ยสกิ ขาบทท่เี กี่ยวกับอาบตั ิหนัก ตง้ั แตปาราชกิ ถึง อนิยต (Major Offences) จัดพมิ พเ ปน 1 เลม 2. ปาจติ ตยิ ะ (ปา) วา ดว ยสกิ ขาบททเ่ี กย่ี วกบั อาบตั เิ บา ตง้ั แตน สิ สคั คยิ ปาจติ ตยี  ถงึ เสขยิ ะ และรวมเอาภิกขุนวี ิภงั คเ ขา ไวดวย (Minor Offences) จดั เปน 2 เลม วภิ ังค น้ี แบงอีกอยา งหนึง่ เปน 2 เหมือนกัน คอื 1. มหาวภิ งั ค หรอื ภิกขวุ ภิ ังค วา ดว ยสกิ ขาบทในปาฏโิ มกขฝ ายภกิ ษสุ งฆ (Rules for Monks) จัดเปน 2 เลม 2. ภกิ ขนุ วี ภิ งั ค วา ดว ยสกิ ขาบทในปาฏโิ มกขฝ า ยภกิ ษณุ สี งฆ (Rules for Nuns) จดั เปน 1 เลม ข. ขนั ธกะ (Khandhaka) วาดวยสิกขาบทนอกปาฏิโมกข รวมเปน บทๆ เรียกวา ขันธกะ หนง่ึ ๆ ท้ังหมดมี 22 ขันธกะ ปน เปน 2 วรรค คือ 3. มหาวรรค (ม; วรรคใหญ — Greater Section) วา ดว ยสกิ ขาบทนอกปาฏโิ มกขตอนตน มี 10 ขันธกะ จดั เปน 2 เลม 4. จลุ วรรค (จุ; วรรคเล็ก — Smaller Section) วาดว ยสกิ ขาบทนอกปาฏิโมกขตอนปลาย มี 12 ขนั ธกะ จัดเปน 2 เลม ค. 5. ปรวิ าร (ป; หนงั สือประกอบ; คมู อื — Parivàra: Epitome of the Vinaya) คมั ภรี  บรรจคุ ําถามคาํ ตอบ ซอมความรูพ ระวินัย จัดเปน 1 เลม 2. สตุ ตนั ตปฎ ก (หมวดพระสตู ร, ประมวลพระธรรมเทศนา คําบรรยายธรรม และเรอื่ งเลา ตา งๆ อันยักเยอ้ื งตามบุคคลและโอกาส — Sutta-piñaka: the Basket of Discourses) แบง เปน 5 นกิ าย (แปลวาประมวลหรือชุมนุม) จัดพมิ พเปน 25 เลม คอื 1. ทฆี นกิ าย (ที) ชุมนุมพระสตู รทม่ี ขี นาดยาว — Dãgha-nikàya: Collection of Long Discourses จัดเปน 3 วรรค 3 เลม มี 34 สตู ร 2. มชั ฌมิ นกิ าย (ม) ชุมนมุ พระสตู รทมี่ คี วามยาวปานกลาง — Majjhima-nikàya: Col- lection of Middle-length Discourses จัดเปน 3 ปณณาสก 3 เลม มี 152 สูตร 3. สงั ยตุ ตนกิ าย (สํ) ชมุ นมุ พระสูตรทร่ี วมเขาไวเ ปนหมวดๆ เรียกวา สงั ยตุ ต หนงึ่ ๆ ตาม

[75] 88 พจนานุกรมพุทธศาสตร เรือ่ งท่ีเนอ่ื งกนั — Sa§yutta-nikàya: Collection of Connected Discourses จัดเปน 56 สังยตุ ต แลวประมวลเขาอีกเปน 5 วรรค 5 เลม มี 7,762 สูตร 4. องั คุตตรนกิ าย (อํ) ชมุ นุมพระสตู รที่รวมเขาไวเปนหมวดๆ เรียกวา นิบาต หน่งึ ๆ ตาม ลําดับจํานวนหัวขอธรรม — Aïguttara-nikàya: Adding-One Collection; Collection of Numerical Sayings จัดเปน 11 นบิ าต (หมวด 1 ถงึ หมวด 11) รวม เขาเปนคมั ภีร 5 เลม มี 9,557 สตู ร 5. ขุททกนิกาย (ขุ) ชุมนุมพระสูตร ขอธรรม คําอธิบายและเรื่องราวเบ็ดเตล็ด — Khuddaka-nikàya: Smaller Collection; Collection of Minor Works รวมคัมภีรท ี่ จดั เขา ไมไ ดใ นนกิ ายสข่ี า งตน มที งั้ หมด 15 คมั ภรี  จดั เปน 9 เลม คอื ขทุ ทกปาฐะ ธรรมบท อุทาน อติ ิวุตตกะ สตุ ตนิบาต (1 เลม) วมิ านวตั ถุ เปตวตั ถุ เถรคาถา เถรคี าถา (1 เลม ) ชาดก (2 เลม) นทิ เทส (มหานทิ เทส 1 เลม, จูฬนิทเทส 1 เลม ) ปฏิสัมภทิ ามัคค (1 เลม ) อปทาน (1 2/3 เลม ) พุทธวงส จริยาปฎก (1/3 เลม)3. อภธิ รรมปฎ ก (หมวดอภิธรรม, ประมวลหลกั ธรรมและคาํ อธิบายในรูปหลกั วชิ าลวนๆ ไมเกีย่ วดวยเหตกุ ารณแ ละบุคคล — Abhidhamma-piñaka: the Basket of Sublime, Higheror Extra Doctrine) แบงเปน 7 คัมภีร จดั พิมพเปน 12 เลม คอื 1. ธัมมสังคณี หรือ สังคณี (ส)ํ รวมขอ ธรรมเขาไวเปนหมวดหมแู ลวอธิบายเปนประเภทๆ — Saïgaõã: Enumeration of the Dhammas (1 เลม) 2. วภิ ังค (วิ) อธบิ ายขอธรรมทีร่ วมเปน หมวดหมู (เรียก วภิ ังค หนงึ่ ๆ ) แยกแยะออกชแี้ จง วนิ จิ ฉยั โดยละเอยี ด — Vibhaïga: Analysis of the Dhammas (1 เลม ) 3. ธาตุกถา (ธา) สงเคราะหขอ ธรรมตา งๆ เขาในขนั ธ อายตนะ ธาตุ — Dhàtukathà: Discussion of Elements (ครงึ่ เลม) 4. ปคุ คลบัญญตั ิ (ป)ุ บัญญัตคิ วามหมายบคุ คลประเภทตา งๆ ตามคณุ ธรรมทีม่ อี ยใู นบคุ คล นั้นๆ — Puggalapa¤¤atti: Description of Individuals (ครึง่ เลม ) 5. กถาวัตถุ (ก) แถลงวินิจฉยั ทัศนะตา งๆ ทข่ี ดั แยงกันระหวางนิกายทัง้ หลายสมัยตตยิ - สังคายนา — Kathàvatthu: Subjects of Discussion (1 เลม) 6. ยมก (ย) ยกหัวขอ ธรรมขึน้ วินิจฉัยดวยวิธถี ามตอบโดยตั้งคําถามยอ นกันเปนคๆู — Yamaka: Book of Pairs (2 เลม) 7. ปฏฐาน (ป) หรอื มหาปกรณ อธิบายปจจัย 24 โดยพสิ ดาร — Paññhàna: Book of Relations (6 เลม ) อน่งึ 3 ปฎกน้ี สงเคราะหเขาใน [35] ปาพจน 2 คือ พระสุตตนั ตปฎ กและพระอภธิ รรม-ปฎก จดั เปน ธรรม พระวินยั ปฎกจดั เปน วินยัVin.V.86. วนิ ย.8/826/224.

หมวด 3 89 [78][,,] ไตรรัตน ดู [100] รตั นตรัย.[76] ไตรลักษณ (ลักษณะ 3, อาการท่ีเปน เคร่อื งกําหนดหมาย 3 อยาง อันใหร ูถงึ ความ จรงิ ของสภาวธรรมท้ังหลาย ทีเ่ ปน อยา งนัน้ ๆ ตามธรรมดาของมนั — Tilakkhaõa: the Three Characteristics) 1. อนจิ จตา (ความเปนของไมเท่ียง — Aniccatà: impermanence; transiency) 2. ทุกขตา (ความเปนทกุ ข — Dukkhatà: state of suffering or being oppressed) 3. อนตั ตตา (ความเปน ของไมใ ชต น — Anattatà: soullessness; state of being not self) • ลักษณะเหลานี้ มี 3 อยาง จึงเรยี กวา ไตรลักษณ • ลกั ษณะทั้ง 3 เหลา น้ี มีแกธ รรมทเ่ี ปน สงั ขตะคือสงั ขารทง้ั ปวง เปน สามญั เสมอกนั จึงเรียกวา สามญั ลกั ษณะ หรอื สามญั ลกั ษณ (Sàma¤¤a-lakkhaõa: the Common Characteristics) [ไมส ามญั แกธ รรมทเ่ี ปน อสงั ขตะ อันไดแกว ิสงั ขาร ซ่ึงมเี ฉพาะลกั ษณะที่ 3 คือ อนตั ตาอยาง เดยี ว ไมมีลักษณะ 2 อยางตน] • ลกั ษณะทง้ั 3 เหลา นี้ ปรากฏอยตู ามธรรมดาทแี่ นน อน เปน ไปตามกฎธรรมชาติ คอื ธรรมนยิ าม • คําวา ไตรลักษณ กด็ ี สามัญลกั ษณ ก็ดี เกดิ ขนึ้ ในยคุ อรรถกถา สว นในพระไตรปฎ ก พระ พทุ ธเจา ตรสั แสดงลักษณะ 3 อยา งนไ้ี วใ นหลัก ธรรมนยิ าม ดู [86] ธรรมนิยาม 3.S.IV.1; Dh.277–9. ส.ํ สฬ.18/1/1; ขุ.ธ.25/30/51.[,,] ไตรสิกขา ดู [124] สิกขา 3.[77] ทวาร 3 (ทางทํากรรม — Dvàra: door; channel of action) 1. กายทวาร (ทวารคอื กาย — Kàya-dvàra: the body-door; channel of bodily action) 2. วจีทวาร (ทวารคือวาจา—Vacã-dvàra: the speech-door; speech as a door ofaction)3. มโนทวาร (ทวารคือใจ — Mano-dvàra: the mind-door; mind as a door of action)Dh.234. นัย ข.ุ ธ.25/27/46; มงคฺ ล.1/252/243.[78] ทวาร 6 (ทางรบั รอู ารมณ ไดแกอ ายตนะภายใน 6 — Dvàra: sense-doors) 1. จกั ขุทวาร (ทวารคอื ตา — Cakkhu-dvàra: eye-door) 2. โสตทวาร (ทวารคอื หู — Sota-dvàra: ear-door) 3. ฆานทวาร (ทวารคือจมกู — Ghàna-dvàra: nose-door) 4. ชวิ หาทวาร (ทวารคือล้นิ — Jivhà-dvàra: tongue-door)

[79] 90 พจนานุกรมพทุ ธศาสตร5. กายทวาร (ทวารคอื กาย — Kàya-dvàra: body-door)6. มโนทวาร (ทวารคือใจ — Mano-dvàra: mind-door)ดู [276] อายตนะภายใน 6.S.IV.194. สํ.สฬ.18/342/242.[,,] ทิฏฐิ 3 ดู [14] ทฏิ ฐิ 3.[79] ทุกขตา 3 (ความเปน ทกุ ข, ภาวะแหง ทกุ ข, สภาพทุกข, ความเปนสภาพที่ทนไดย ากหรือคงอยใู นภาวะเดิมไมได — Dukkhatà: state of suffering or being subject tosuffering; conflict; unsatisfactoriness)1. ทุกขทกุ ขตา (สภาพทกุ ขคอื ทุกข หรอื ความเปน ทกุ ขเพราะทกุ ข ไดแ ก ทุกขเวทนาทางกายก็ตาม ใจก็ตาม ซงึ่ เปน ทุกขอยา งที่เขา ใจสามญั ตรงตามชอ่ื ตามสภาพ — Dukkha-dukkhatà:painfulness as suffering)2. วิปรณิ ามทกุ ขตา (ความเปน ทกุ ขเพราะความแปรปรวน ไดแ กค วามสุข ซงึ่ เปนเหตใุ หเกดิความทุกขเ มอื่ ตอ งเปล่ยี นแปลงแปรไปเปนอยางอนื่ — Vipariõàma-dukkhatà: suffering inchange)3. สังขารทกุ ขตา (ความเปนทกุ ขเพราะเปน สังขาร ไดแกตัวสภาวะของสงั ขาร คือสิง่ ท้งั ปวงซง่ึเกิดจากปจจัยปรุงแตง ที่ถูกบีบค้นั ดวยการเกดิ ข้ึนและสลายไป ทําใหคงสภาพอยไู มไ ด พรองอยูเสมอ และใหเ กดิ ทุกขแกผูย ดึ ถอื ดว ยอปุ าทาน — Saïkhàra-dukkhatà: suffering due toformations; inherent liability to suffering)D.III.216; S.IV.259; V.56. ที.ปา.11/228/229; ส.ํ สฬ.18/510/318; ส.ํ ม.19/319/85.[80] ทุจริต 3 (ความประพฤตชิ ่ัว, ประพฤตไิ มด ี — Duccarita: evil conduct;misconduct)1. กายทุจริต (ความประพฤติช่วั ดวยกาย — Kàya-duccarita: evil conduct in act;misconduct by body) มี 3 คอื ปาณาตบิ าต อทินนาทาน และกาเมสุมิจฉาจาร2. วจีทุจรติ (ความประพฤติช่วั ดว ยวาจา — Vacã-duccarita: evil conduct in word;misconduct by speech) มี 4 คือ มสุ าวาท ปส ุณาวาจา ผรสุ วาจา และสมั ผปั ปลาปะ3. มโนทจุ ริต (ความประพฤตชิ ่ัวดวยใจ — Mano-duccarita: evil conduct in thought;misconduct by mind) มี 3 คอื อภชิ ฌา พยาบาท และมจิ ฉาทฏิ ฐิดู รายละเอียดที่ [321] อกศุ ลกรรมบถ 10.D.III.214; Dhs.1305. ท.ี ปา.11/228/227; อภิ.ส.ํ 34/840/327.[81] สุจริต 3 (ความประพฤติด,ี ประพฤติชอบ — Sucarita: good conduct)1. กายสุจรติ (ความประพฤตชิ อบดวยกาย — Kàya-sucarita: good conduct in act) มี 3

หมวด 3 91 [84]คอื งดเวนและประพฤตติ รงขามกบั ปาณาติบาต อทนิ นาทาน และกาเมสุมจิ ฉาจาร2. วจสี ุจรติ (ความประพฤติชอบดว ยวาจา — Vacã-sucarita: good conduct in word) มี 4คือ งดเวน และประพฤติตรงขามกับ มสุ าวาท ปสณุ าวาจา ผรุสวาจา และสัมผัปปลาปะ3. มโนสจุ รติ (ความประพฤตชิ อบดวยใจ — Mano-sucarita: good conduct in thought)มี 3 คือ อนภิชฌา อพยาบาท และสมั มาทิฏฐ.ิ ดู รายละเอยี ดที่ [320] กุศลกรรมบถ 10 2.D.III.215; Dhs.1306. ท.ี ปา.11/228/227; อภ.ิ สํ.34/840/327.[82] เทพ 3 (เทพเจา, เทวดา — Deva: gods; divine beings)1. สมมติเทพ (เทวดาโดยสมมติ ไดแ ก พระราชา พระเทวี และพระราชกุมาร — Sammati-deva: gods by convention)2. อปุ ปตติเทพ (เทวดาโดยกาํ เนิด ไดแก เทวดาในกามาวจรสวรรค และพรหมท้ังหลายเปนตน — Upapatti-deva: gods by rebirth)3. วิสุทธิเทพ (เทวดาโดยความบรสิ ทุ ธิ์ ไดแ ก พระพทุ ธเจา พระปจเจกพุทธเจา และพระอรหันตทงั้ หลาย — Visuddhi-deva: gods by purification)Nd2173; KhA.123. ขุ.จ.ู 30/214/112; ขทุ ทฺ ก.อ.135.[83] เทวทูต 3 (ทตู ของยมเทพ, สอ่ื แจง ขา วของมฤตยู, สิ่งทเี่ ปน สญั ญาณเตือนใจใหร ะลกึถึงคติธรรมดาของชีวิตอันมีความตายเปนท่ีสุด เพ่ือจะไดเกิดความสังเวชและเรงขวนขวายทําความดี ดว ยความไมป ระมาท — Devadåta: divine messengers; messengers of death)1. ชณิ ณะ (คนแก — Jiõõa: old men)2. พยาธิตะ หรือ อาพาธกิ ะ (คนเจ็บ, ผูป วย — Byàdhita, âbàdhika: sick men)3. มตะ (คนตาย — Mata: dead men)A.I.138. อง.ฺ ตกิ .20/475/175.[,,] เทวทูต 4 ดู [150] นิมติ 4.[84] เทวทูต 5 (ทูตของยมเทพ — Devadåta: divine messengers)1. ทหระ หรอื มันทกมุ าร (เด็กออน — Dahara: a young baby)2. ชิณณะ (คนแก — Jiõõa: an old man)3. พยาธติ ะ หรอื อาพาธิกะ (คนเจ็บ — Byàdhita, âbàdhika: a sick man)4. กรรมการณัปปต ตะ (คนถูกลงโทษ, คนถกู จองจาํ ลงอาญา — Kammakàraõappatta: acriminal subjected to punishment)5. มตะ (คนตาย — Mata: a dead man)M.III.179. ม.อุ.14/507/335.

[85] 92 พจนานุกรมพุทธศาสตร[85] ธรรม 3 (สภาวะ, สงิ่ , ปรากฏการณ — Dhamma: states; things; phenomena; ideas) 1. กุศลธรรม (ธรรมท่ีเปน กุศล, สภาวะทฉี่ ลาด ดงี าม เอือ้ แกส ุขภาพจติ เกือ้ กูลแกช ีวติ จิตใจ ไดแกกศุ ลมูล 3 ก็ดี นามขันธ 4 ทสี่ ัมปยุตดวยกศุ ลมูลน้นั กด็ ี กายกรรม วจกี รรม มโนกรรม ที่ มกี ศุ ลมลู เปน สมฏุ ฐาน ก็ดี กลา วสน้ั วา กศุ ลในภมู ิ 4 — Kusala-dhamma: skilful, wholesome, or profitable states; good things) 2. อกุศลธรรม (ธรรมทเี่ ปนอกุศล, สภาวะทีต่ รงขามกบั กุศล ไดแ ก อกุศลมูล 3 และกเิ ลสอนั มฐี านเดยี วกับอกศุ ลมูลนนั้ กด็ ี นามขนั ธ 4 ท่สี มั ปยตุ ดวยอกุศลมลู นัน้ กด็ ี กายกรรม วจีกรรม มโนกรรมท่ีมีอกศุ ลมลู เปน สมฏุ ฐาน กด็ ี กลาวสัน้ วา อกศุ ลจติ ตุปบาท 12 — Akusala- dhamma: unskilful, unwholesome or unprofitable states; bad things) 3. อัพยากตธรรม (ธรรมท่เี ปนอพั ยากฤต, สภาวะท่เี ปน กลางๆ ชขี้ าดลงมิไดวา เปนกศุ ลหรอื อกศุ ล ไดแก นามขันธ 4 ท่เี ปน วบิ ากแหง กศุ ลและอกุศล เปนกามาวจรก็ตาม รปู าวจรก็ตาม อรปู าวจรกต็ าม โลกุตตระกต็ าม อยา งหนง่ึ ธรรมทัง้ หลายทเี่ ปน กิรยิ า มใิ ชกศุ ล มิใชอกุศล มิใช วบิ ากแหงกรรม อยางหนง่ึ รปู ทง้ั ปวง อยา งหนึ่ง อสังขตธาตุ คอื นพิ พาน อยา งหนง่ึ กลา วสัน้ คือ วบิ ากในภูมิ 4, กริ ิยาอัพยากฤตในภูมิ 3, รูป และนิพพาน — Abyàkata-dhamma: the indeterminate; neither-good-nor-bad thing)Dhs.91,180,234. อภิ.สํ.34/1/1; 663/259; 878/340.[86] ธรรมนิยาม 3 (กําหนดแหง ธรรมดา, ความเปนไปอนั แนนอนโดยธรรมดา, กฎธรรมชาติ — Dhamma-niyàma: orderliness of nature; natural law)1. สพเฺ พ สงฺขารา อนจิ จฺ า (สงั ขารคือสงั ขตธรรมทั้งปวงไมเ ท่ยี ง — Sabbe saïkhàràaniccà: all conditioned states are impermanent)2. สพเฺ พ สงฺขารา ทกุ ขฺ า (สงั ขารคอื สงั ขตธรรมทั้งปวงเปน ทุกข — Sabbe saïkhàràdukkhà: all conditioned states are subject to oppression, conflict or suffering)3. สพเฺ พ ธมมฺ า อนตตฺ า (ธรรมคอื สังขตธรรมและอสงั ขตธรรม หรอื สังขารและวิสังขารทั้งปวงไมใ ชต น — Sabbe dhammà anattà: all states are not-self or soulless)หลกั ความจรงิ นี้ แสดงใหเ หน็ ลกั ษณะ 3 อยา ง ทเี่ รยี กวา ไตรลกั ษณ ของสภาวธรรมทงั้ หลาย (ดู[76] ไตรลักษณ) พระพุทธเจา จะอบุ ตั หิ รอื ไมก็ตาม หลักท้งั สามนี้ ก็คงมีอยูเปน ธรรมดา พระพทุ ธเจา เปน แตท รงคนพบ และนาํ มาเปดเผยแสดงแกเ วไนย.ดู [223] นิยาม 5.A.I.285. อง.ฺ ตกิ .20/576/368.[87] นิมิต หรอื นิมิตต 3 (เครอื่ งหมายสาํ หรบั ใหจ ติ กาํ หนดในการเจรญิ กรรมฐาน, ภาพท่ีเหน็ ในใจอันเปนตัวแทนของส่ิงทใ่ี ชเปน อารมณก รรมฐาน — Nimitta: sign; mental image)

หมวด 3 93 [89]1. บรกิ รรมนมิ ติ (นิมติ แหงบริกรรม, นิมติ ตระเตรยี มหรอื นิมิตแรกเรม่ิ ไดแ ก ส่งิ ใดกต็ ามท่ีกําหนดเปน อารมณในการเจริญกรรมฐาน เชน ดวงกสิณที่เพง ดู หรือ พทุ ธคณุ ท่นี ึกเปน อารมณวาอยใู นใจเปน ตน — Parikamma-nimitta: preliminary sign) ไดใ นกรรมฐานทง้ั 402. อคุ คหนมิ ติ (นมิ ติ ทีใ่ จเรยี น, นิมติ ติดตา ไดแก บริกรรมนมิ ติ นน้ั ที่เพงหรือนกึ กาํ หนดจนเห็นแมน ในใจ เชน ดวงกสิณทเ่ี พงจนตดิ ตา หลบั ตามองเหน็ เปน ตน — Uggaha-nimitta:learning sign; abstract sign; visualized image) ไดในกรรมฐานท้ัง 403. ปฏิภาคนมิ ิต (นมิ ติ เสมอื น, นิมิตเทยี บเคยี ง ไดแ ก นมิ ติ ทเ่ี ปน ภาพเหมือนของอุคคหนมิ ตินนั้ แตเปนสงิ่ ที่เกิดจากสัญญา เปนเพยี งอาการปรากฏแกผ ไู ดสมาธิ จงึ บรสิ ุทธจ์ิ นปราศจากสีเปนตน และไมมีมลทินใดๆ ทั้งสามารถนึกขยายหรอื ยอ สวนไดต ามปรารถนา — Pañibhàga-nimitta: counterpart sign; conceptualized image) นมิ ติ น้ีไดเ ฉพาะในกรรมฐาน 22 คือกสิณ 10 อสภุ ะ 10 กายคตาสติ 1 และอานาปานสติ 1 เมอื่ เกิดปฏิภาคนิมิตขึ้น จิตยอ มตงั้ มน่ั เปนอุปจารสมาธิ จงึ ช่ือวา ปฏภิ าคนิมติ เกดิ พรอมกับอุปจารสมาธิ เมอ่ื เสพปฏิภาคนิมติ นนั้ สมา่ํ เสมอดว ยอปุ จารสมาธิก็จะสําเร็จเปนอัปปนาสมาธติ อไป ปฏภิ าคนมิ ติ จึงชือ่ วา เปนอารมณแกอ ุปจารภาวนา และอัปปนาภาวนา.ดู [99] ภาวนา 3.Comp.203; Vism.125. สงคฺ ห.51; วสิ ทุ ฺธิ.1/159.[88] บุญกิริยาวัตถุ 3 (ที่ตัง้ แหง การทาํ บุญ, เรื่องท่ีจัดเปน การทาํ ความดี, หลักการทาํความด,ี ทางทําความดี — Pu¤¤akiriyà-vatthu: bases of meritorious action; groundsfor accomplishing merit)1. ทานมยั บญุ กริ ยิ าวตั ถุ (ทาํ บญุ ดว ยการใหป น สง่ิ ของ — Dànamaya pu¤¤akiriyà-vatthu:meritorious action consisting in giving or generosity)2. สลี มยั บญุ กริ ยิ าวตั ถุ (ทาํ บญุ ดว ยการรกั ษาศลี หรอื ประพฤตดิ มี รี ะเบยี บวนิ ยั —Sãlamaya ~:meritorious action consisting in observing the precepts or moral behaviour)3. ภาวนามยั บุญกิรยิ าวัตถุ (ทําบุญดวยการเจรญิ ภาวนา คือฝกอบรมจติ ใจเจรญิ ปญ ญา —Bhàvanàmaya ~: meritorious action consisting in mental development)D.III.218; A.IV.239; It.51. ท.ี ปา.11/228/230; องฺ.อฏก.23/126/245; ข.ุ อิต.ิ 25/238/270.[89] บุญกิริยาวัตถุ 10 (ทต่ี ัง้ แหง การทําบุญ, ทางทาํ ความดี — Pu¤¤akiriyà-vatthu:bases of meritorious action)1. ทานมัย (ทาํ บุญดวยการใหปนส่ิงของ — Dànamaya: meritorious action consistingin generosity; merit acquired by giving)2. สลี มยั (ทาํ บญุ ดว ยการรกั ษาศลี หรอื ประพฤตดิ ี — Sãlamaya: by observing the preceptsor moral behaviour)

[90] 94 พจนานกุ รมพุทธศาสตร3. ภาวนามัย (ทาํ บุญดวยการเจริญภาวนา คอื ฝกอบรมจติ ใจเจริญปญญา — Bhàvanà-maya ~: by mental development)4. อปจายนมัย (ทําบญุ ดวยการประพฤตอิ อ นนอม — Apacàyanamaya: by humility orreverence)5. เวยยาวจั จมยั (ทาํ บุญดว ยการชวยขวนขวายรบั ใช — Veyyàvaccamaya: by renderingservices)6. ปตตทิ านมยั (ทาํ บญุ ดว ยการเฉลี่ยสว นแหงความดใี หแกผ อู น่ื — Pattidànamaya: bysharing or giving out merit)7. ปตตานโุ มทนามยั (ทาํ บญุ ดวยการยินดีในความดีของผูอ่ืน — Pattànumodanàmaya:by rejoicing in others’ merit)8. ธมั มัสสวนมยั (ทาํ บุญดวยการฟงธรรมศึกษาหาความรู — Dhammassavanamaya: bylistening to the Doctrine or right teaching)9. ธมั มเทสนามัย (ทําบุญดว ยการสง่ั สอนธรรมใหความรู — Dhammadesanàmaya: byteaching the Doctrine or showing truth)10. ทฏิ ชุ ุกัมม (ทาํ บญุ ดวยการทาํ ความเห็นใหต รง — Diññhujukamma: by straighten-ing one’s views or forming correct views) ขอ 4 และขอ 5 จัดเขาในสลี มัย; 6 และ 7 ในทานมยั ; 8 และ 9 ในภาวนามยั ; ขอ 10 ไดทัง้ ทาน ศลี และภาวนาD.A.III.999; Comp.146. ที.อ.3/246; สังคหะ 29.[90] บุตร 3 (Putta: son; child; descendant)1. อติชาตบุตร (บุตรที่ยิ่งกวาบิดามารดา, ลูกท่ีดีกวาเลิศกวาพอแม — Atijàta-putta:superior-born son)2. อนุชาตบุตร (บุตรทีต่ ามเย่ียงบิดามารดา, ลกู ทีเ่ สมอดว ยพอ แม — Anujàta-putta: like-born son)3. อวชาตบตุ ร (บตุ รทต่ี า่ํ ลงกวา บดิ ามารดา, ลกู ทที่ ราม — Avajàta-putta: inferior-born son) บตุ รประเภทท่ี 1 นัน้ เรียกอกี อยางวา อภิชาตบุตร It.62. ขุ.อิติ.25/252/278.[91] ปปญจะ หรอื ปปญจธรรม 3 (กเิ ลสเครอ่ื งเนน่ิ ชา , กิเลสที่เปน ตวั การทาํ ใหคดิ ปรงุ แตง ยดื เยอื้ พสิ ดาร ทาํ ใหเขวหา งออกไปจากความเปนจริงทง่ี า ยๆ เปดเผย กอ ใหเกิดปญหา ตา งๆ และขัดขวางไมใ หเขาถึงความจริงหรอื ทาํ ใหไมอ าจแกป ญ หาอยางถูกทางตรงไปตรงมา — Papa¤ca: proliferation; diversification; diffuseness; mental diffusion) 1. ตณั หา (ความทะยานอยาก, ความปรารถนาทีจ่ ะบํารุงบาํ เรอปรนเปรอตน, ความอยากได

หมวด 3 95 [92]อยากเอา — Taõhà: craving; selfish desire)2. ทฏิ ฐิ (ความคดิ เหน็ ความเชอื่ ถอื ลทั ธิ ทฤษฎี อดุ มการณต า งๆ ทยี่ ดึ ถอื ไวโ ดยงมงายหรอื โดยอาการเชดิ ชวู า อยา งนเ้ี ทา นน้ั จรงิ อยา งอนื่ เทจ็ ทงั้ นนั้ เปน ตน ทาํ ใหป ด ตวั แคบ ไมย อมรบั ฟง ใครตดั โอกาสทจ่ี ะเจรญิ ปญ ญา หรอื คดิ เตลดิ ไปขา งเดยี ว ตลอดจนเปน เหตแุ หง การเบยี ดเบยี นบบี คนั้ผอู นื่ ทไี่ มถ อื อยา งตน, ความยดึ ตดิ ในทฤษฎี ฯลฯ ถอื ความคดิ เหน็ เปน ความจรงิ — Diññhi: view;dogma; speculation)3. มานะ (ความถอื ตัว, ความสําคญั ตนวา เปน นน่ั เปน นี่ ถอื สูงถือต่าํ ย่งิ ใหญเ ทา เทียม หรอื ดอ ยกวา ผูอ น่ื , ความอยากเดน อยากยกชูตนใหย่ิงใหญ — Màna: conceit) ในคมั ภรี วิภงั ค เรียกปปญ จะ 3 นเี้ ปน ฉนั ทะ (คอื ตัณหา) มานะ ทิฏฐิNd1 280; Vbh.393; Nett. 37–38. ขุ.ม.29/505/337; อภิ.ว.ิ 35/1034/530; เนตตฺ .ิ 56–57.[92] ปริญญา 3 (การกําหนดรู, การทําความรจู กั , การทาํ ความเขา ใจโดยครบถว น —Pari¤¤à: full understanding; diagnosis)1. ญาตปรญิ ญา (กาํ หนดรดู ว ยใหเ ปน สง่ิ อนั รแู ลว , กาํ หนดรขู น้ั รจู กั , กาํ หนดรตู ามสภาวลกั ษณะคือ ทําความรูจกั จาํ เพาะตวั ของสิง่ นนั้ โดยตรง พอใหช่อื วา ไดเ ปนอนั รูจกั สงิ่ นั้นแลว เชนรูว า นี้คอืเวทนา เวทนาคือสง่ิ ท่มี ลี กั ษณะเสวยอารมณ ดงั นเ้ี ปน ตน — ¥àta-pari¤¤à: full knowledgeas the known; diagnosis as knowledge)2. ตรี ณปรญิ ญา (กาํ หนดรดู ว ยการพจิ ารณา, กาํ หนดรขู นั้ พจิ ารณา, กาํ หนดรโู ดยสามญั ลกั ษณะคอื ทําความรจู กั สง่ิ นั้นพิจารณาเหน็ โดยความเปนของไมเทยี่ ง เปนทกุ ข เปนอนตั ตา เชนวาเวทนาไมเทย่ี ง มีความแปรปรวนไปเปน ธรรมดา ไมใชต วั ไมใ ชตน ดังนเ้ี ปน ตน — Tãraõa-pari¤¤à: full knowledge as investigating; diagnosis as judgment)3. ปหานปรญิ ญา (กาํ หนดรดู ว ยการละ, กาํ หนดรถู งึ ขนั้ ละได, กาํ หนดรโู ดยตดั ทางมใิ หฉ นั ทราคะเกดิ มีในส่งิ น้ัน คอื รวู า สิ่งน้นั เปนอนจิ จงั ทกุ ขัง อนัตตาแลว ละนิจจสญั ญาเปนตน ในส่งิ นน้ั เสยีได — Pahàna-pari¤¤à: full knowledge as abandoning; diagnosis as abandoning)ปรญิ ญา 3 นี้ เปน โลกยิ ะ มขี นั ธ 5 เปนอารมณ เปน กจิ ในอริยสจั จขอท่ี 1 คือทกุ ข ในทางปฏิบตั ิ จัดเขา ใน วิสุทธิ ขอ 3 ถึง 6 คือก. ต้งั แตน ามรปู ปรจิ เฉทญาณ ถึง ปจ จยปรคิ คหญาณ เปนภูมิแหง ญาตปรญิ ญา (= 3. ทิฏฐ-ิวิสทุ ธิ และ 4. กังขาวิตรณวสิ ทุ ธ)ิข. ตง้ั แตก ลาปสมั มสนญาณ ถงึ อทุ ยพั พยานปุ ส สนาญาณ เปน ภมู แิ หง ตรี ณปรญิ ญา (= 5. มคั คา-มัคคญาณทสั สนวสิ ทุ ธ)ิค. ตงั้ แตภ งั คานปุ ส สนาญาณ ขน้ึ ไป เปน ภมู แิ หง ปหานปรญิ ญา (= 6. ปฏปิ ทาญาณทสั สนวสิ ทุ ธ)ิดู [205] กจิ ในอริยสจั จ 4; [285] วิสทุ ธิ 7; [311] วิปส สนาญาณ 9.Nd1 53; Vism.606. ข.ุ ม.29/62/60; วิสทุ ฺธิ.3/230.

[93] 96 พจนานุกรมพุทธศาสตร[,,] ปหาน 3 (การละกเิ ลส — Pahàna: abandonment) คอื วกิ ขมั ภนปหาน ตทงั คปหาน และสมจุ เฉทปหาน มรี วมอยูใน ปหาน 5. ดู [224] นิโรธ 5.Vism.693. วิสุทธฺ ิ.3/349.[93] ปญญา 3 (ความรอบรู, รทู ว่ั , เขาใจ, รซู งึ้ — Pa¤¤à: wisdom; knowledge;understanding)1. จินตามยปญ ญา (ปญญาเกดิ จากการคิดพจิ ารณา, ปญญาสืบแตโยนิโสมนสิการท่ีตงั้ ข้ึนในตนเอง — Cintàmaya-pa¤¤à: wisdom resulting from reflection; knowledge that isthought out)2. สุตมยปญ ญา (ปญญาเกิดจากการสดบั เลา เรยี น, ปญ ญาสบื แตป รโตโฆสะ — Sutamaya-pa¤¤à: wisdom resulting from study; knowledge that is learned from others)3. ภาวนามยปญ ญา (ปญ ญาเกดิ จากการปฏบิ ตั บิ าํ เพญ็ , ปญ ญาสบื แตป ญ ญาสองอยา งแรกน้นัแลว หมั่นมนสกิ ารในประดาสภาวธรรม — Bhàvanàmaya-pa¤¤à: wisdom resulting frommental development; knowledge that is gained by development or practice)D.III.219; Vbh.324. ท.ี ปา.11/228/231; อภิ.ว.ิ 35/804/438.[94] ปาฏิหาริย 3 (การกระทําทกี่ ําจดั หรือทาํ ใหปฏิปก ษย อมได, การกระทําทใ่ี หเ ห็นเปนอศั จรรย, การกระทาํ ท่ใี หบังเกิดผลเปนอศั จรรย — Pàñihàriya: marvel; wonder; miracle)1. อทิ ธิปาฏิหาริย (ปาฏหิ ารยิ ค ือฤทธิ,์ แสดงฤทธไิ์ ดเปนอศั จรรย — Iddhi-pàñihàriya:marvel of psychic power)2. อาเทศนาปาฏหิ าริย (ปาฏิหาริยคือการทายใจ, รอบรกู ระบวนของจิตจนสามารถกาํ หนดอาการทห่ี มายเลก็ นอ ยแลว บอกสภาพจติ ความคดิ อปุ นสิ ยั ไดถ กู ตอ งเปน อศั จรรย — âdesanà-pàñihàriya: marvel of mind-reading)3. อนสุ าสนปี าฏิหารยิ  (ปาฏิหาริยคืออนุศาสน,ี คําสอนเปน จรงิ สอนใหเห็นจรงิ นําไปปฏบิ ัติไดผ ลสมจริง เปนอัศจรรย — Anusàsanã-pàñihàriya: marvel of teaching)ใน 3 อยางนี้ พระพทุ ธเจา ทรงรังเกยี จอิทธิปาฏิหาริยและอาเทศนาปาฏหิ าริย แตท รงสรรเสรญิ อนสุ าสนีปาฏิหาริยว าเปน เยย่ี มD.I.211; A.I.170; Ps.II.227. ท.ี สี.9/339/273; อง.ฺ ตกิ .20/500/217; ขุ.ปฏิ.31/718/616.[95] ปาปณิกธรรม 3 (ปาปณกิ งั คะ: หลักพอคา , องคคณุ ของพอคา — Pàpaõika-dhamma: qualities of a successful shopkeeper or businessman)1. จักขมุ า ตาดี (รูจกั สนิ คา ดขู องเปน สามารถคํานวณราคา กะทุนเกง็ กําไรแมนยาํ —Cakkhumà: shrewd)2. วิธโู ร จัดเจนธุรกจิ (รแู หลง ซอื้ แหลง ขาย รคู วามเคล่อื นไหวความตอ งการของตลาด สามารถ

หมวด 3 97 [98]ในการจัดซอื้ จัดจาํ หนาย รใู จและรูจ ักเอาใจลูกคา — Vidhåro: capable of administeringbusiness)3. นสิ สยสมั ปน โน พรอ มดว ยแหลง ทนุ เปน ทอี่ าศยั (เปน ทเ่ี ชอ่ื ถอื ไวว างใจในหมแู หลง ทนุ ใหญๆหาเงนิ มาลงทนุ หรอื ดาํ เนนิ กจิ การโดยงา ย — Nissayasampanno: having a good credit rating)A.I.116. อง.ฺ ตกิ .20/459/146.[,,] ปฎก 3 ดู [75] ไตรปฎก.[,,] พุทธคุณ 3 ดู [305] พุทธคุณ 3.[96] พุทธจริยา 3 (พระจริยา หรอื การทรงบําเพญ็ ประโยชน ของพระพทุ ธเจา —Buddha-cariyà: the Buddha’s conduct, functions or services)1. โลกตั ถจริยา (พระพุทธจรยิ าเพื่อประโยชนแกโ ลก — Lokattha-cariyà: conduct for thewell-being of the world)2. ญาตตั ถจรยิ า (พระพทุ ธจริยาเพอ่ื ประโยชนแกพ ระญาตติ ามฐานะ — ¥àtattha-cariyà:conduct for the benefit of his relatives)3. พุทธัตถจริยา (พระพุทธจริยาท่ีทรงบําเพ็ญประโยชนตามหนาที่ของพระพุทธเจา —Buddhattha-cariyà: beneficial conduct as functions of the Buddha) ใน 3 อยา งนี้ โลกัตถจริยามาในพระไตรปฎก (ขุ.จ.ู 30/667/322; ข.ุ ปฏิ.31/449/329; 715/615) สองอยางหลงั มาในอรรถกถา.AA.I.98; DhA.III.441. อง.ฺ อ.1/104; ธ.อ.7/93.[97] พุทธโอวาท 3 (ประมวลคําสอนของพระพทุ ธเจา ท่เี ปน หลักใหญ 3 ขอ —Buddha-ovàda: the Three Admonitions or Exhortations of the Buddha)1. สพพฺ ปาปสฺส อกรณํ (ไมท ําความชัว่ ทัง้ ปวง — Sabbapàpassa akaraõa§: not to doany evil)2. กสุ ลสฺสปู สมปฺ ทา (ทาํ แตความดี — Kusalassåpasampadà: to do good; to cultivategood)3. สจิตตฺ ปริโยทปนํ (ทาํ ใจของตนใหส ะอาดบริสุทธิ์ — Sacittapariyodapana§: to purifythe mind) หลัก 3 ขอน้ี รวมอยใู น โอวาทปาฏิโมกข ที่ทรงแสดงในวนั เพญ็ เดือน 3 ที่บดั นีเ้ รยี กวาวนั มาฆบชู าD.II.49; Dh.183. ท.ี ม.10/54/57; ข.ุ ธ.25/24/39.[98] ภพ 3 (ภาวะชีวติ ของสัตว, โลกเปน ทอ่ี ยขู องสตั ว — Bhava: existence; sphere)1. กามภพ (ภพท่เี ปนกามาวจร, ภพของสัตวผูยังเสวยกามคณุ คอื อารมณท างอนิ ทรียท ง้ั 5 ไดแก อบาย 4 มนษุ ยโลก และกามาวจรสวรรคทงั้ 6 — Kàma-bhava: the Sense-Sphere)

[99] 98 พจนานุกรมพทุ ธศาสตร2. รูปภพ (ภพท่ีเปนรปู าวจร, ภพของสัตวผ เู ขา ถงึ รูปฌาน ไดแกร ูปพรหมทั้ง 16 — Råpa-bhava: the Form-Sphere; Fine-Material Sphere)3. อรปู ภพ (ภพทเี่ ปน อรปู าวจร, ภพของสตั วผ เู ขา ถงึ อรปู ฌาน ไดแ กอ รปู พรหม 4 — Aråpa-bhava: the Formless Sphere; Immaterial Sphere)D.III.215; M.I.294. ที.ปา.11/228/228; ม.ม.ู 12/498/539.[99] ภาวนา 3 (การเจริญ หมายถงึ การเจริญกรรมฐานหรอื ฝกสมาธิข้ันตา งๆ — Bhàvanà:stages of meditation)1. บริกรรมภาวนา (ภาวนาขั้นบริกรรม, ฝกสมาธขิ ้นั ตระเตรยี ม ไดแ กการถอื เอานิมิตในสง่ิ ที่กาํ หนดเปนอารมณกรรมฐาน เชน เพงดวงกสิณ หรือนึกถึงพทุ ธคณุ เปนอารมณว าอยูในใจเปนตน กลาวส้ันๆ คือ การกําหนดบริกรรมนิมิตนั่นเอง — Parikamma-bhàvanà:preliminary stage of meditation) ไดในกรรมฐานทงั้ 402. อปุ จารภาวนา (ภาวนาขั้นจวนเจยี น, ฝกสมาธขิ น้ั เปนอปุ จาร ไดแก เจรญิ กรรมฐานตอไปถึงขณะที่ปฏิภาคนิมิตเกิดข้ึนในกรรมฐานที่เพงวัตถุก็ดี นิวรณสงบไปในกรรมฐานประเภทนึกเปนอารมณก็ดี นบั แตขณะนั้นไปจัดเปน อุปจารภาวนา — Upacàra-bhàvanà: proximatestage of meditation) ขน้ั นเ้ี ปน กามาวจรสมาธิ ไดในกรรมฐานทงั้ 40; อุปจารภาวนา สิ้นสดุแคโคตรภูขณะ ในฌานชวนะ3. อัปปนาภาวนา (ภาวนาขน้ั แนวแน, ฝก สมาธขิ ั้นเปนอัปปนา ไดแ ก เสพปฏภิ าคนิมติ ทเ่ี กดิข้นึ แลวนนั้ สมา่ํ เสมอดว ยอปุ จารสมาธิ จนบรรลปุ ฐมฌาน คือ ถดั จากโคตรภขู ณะในฌานชวนะเปน ตน ไป ตอ แตน ้นั เปนอัปปนาภาวนา — Appanà-bhàvanà: concentrative or attain-ment stage of meditation) ขั้นน้ีเปน รปู าวจรสมาธิ ไดเฉพาะในกรรมฐาน 30 คือ หักอนุสสติ 8 ขา งตน ปฏิกูลสญั ญา 1 และ จตุธาตวุ วตั ถาน 1 ออกเสยี คงเหลือ อสุภะ 10 และกายคตาสติ 1 (ไดถึงปฐมฌาน) อปั ปมัญญา 3 ขอตน (ไดถงึ จตตุ ถฌาน) อัปปมัญญาขอ ทายคืออเุ บกขา 1 กสิณ 10 และอานาปานสติ 1 (ไดถงึ ปญ จมฌาน) อรปู 4 (ไดอรปู ฌาน)ดู [87] นิมิต 3.Comp.203. สงคฺ ห.51.[100] รัตนตรัย (รัตนะ 3, แกวอันประเสรฐิ หรือสิ่งล้ําคา 3 ประการ, หลักทีเ่ คารพบชู าสูงสดุ ของพทุ ธศาสนกิ ชน 3 อยา ง — Ratanattaya: the Triple Gem; Three Jewels)1. พระพทุ ธเจา (พระผูตรัสรูเ องและสอนผอู ่ืนใหรูตาม — Buddha: the Buddha; theEnlightened One)2. พระธรรม (คําสั่งสอนของพระพุทธเจา ทั้งหลักความจริงและหลักความประพฤติ —Dhamma: the Dhamma; Dharma; the Doctrine)3. พระสงฆ (หมูสาวกผปู ฏิบตั ติ ามคาํ สง่ั สอนของพระพทุ ธเจา — Saïgha: the Sangha; the

หมวด 3 99 [103]Order)ในบาลที ่มี า เรยี กวา สรณะ 3 Kh.1. ขุ.ขุ.25/1/1.[101] ลัทธินอกพระพุทธศาสนา 3 (บาลีเรยี กวา ติตถายตนะ แปลวา แดนเกิด ลทั ธิ, ชมุ นมุ หรอื ประมวลแหง ลัทธิ — Titthàyatana: beliefs of other sects; grounds of sectarian tenets; spheres of wrong views; non-Buddhist beliefs) 1. ปพุ เพกตเหตุวาท (ลัทธกิ รรมเกา คือ พวกทถ่ี ือวา สงิ่ ใดกต็ ามท่ไี ดประสบ จะเปน สุขก็ตาม ทกุ ขก ต็ าม มใิ ชส ขุ มใิ ชท กุ ขก ต็ าม ลว นเปน เพราะกรรมทไ่ี ดท าํ ไวใ นปางกอ น — Pubbekatavàda: a determinist theory that whatever is experienced is due to past actions; past- action determinism) เรียกสัน้ ๆ วา ปุพเพกตวาท 2. อิสสรนมิ มานเหตุวาท (ลทั ธิพระเปนเจา คือ พวกที่ถอื วา สงิ่ ใดกต็ ามทีไ่ ดประสบ จะเปน สุขก็ตาม ทุกขกต็ าม มใิ ชสุขมิใชทุกขกต็ าม ลว นเปนเพราะการบนั ดาลของเทพผูย่งิ ใหญ — Issarakaraõavàda: a determinist theory that whatever is experienced is due to the creation of a Supreme Being; theistic determinism) เรยี กส้นั ๆ วา อศิ วรกรณวาท หรือ อศิ วรนริ มิตวาท 3. อเหตุอปจ จัยวาท (ลัทธเิ ส่ยี งโชค คอื พวกท่ีถือวา ส่งิ ใดก็ตามท่ีไดประสบ จะเปนสุขก็ตาม ทุกขก็ตาม มิใชสุขมิใชทุกขก็ตาม ลวนหาเหตหุ าปจจยั มไิ ด คอื ถงึ คราวก็เปน ไปเอง — Ahetuvàda: an indeterminist theory that whatever is experienced is uncaused and unconditioned; accidentalism) เรียกสน้ั ๆ วา อเหตวุ าท ท้ังสามลทั ธนิ ้ี ไมชอบดวยเหตผุ ล ถูกยันเขา ยอ มอา งการถอื สืบๆ กันมา เปนลัทธปิ ระเภทอกริ ิยา (traditional doctrines of inaction) หากยดึ ม่ันถอื ตามเขาแลวยอมใหเกิดโทษ คอืไมเ กดิ ฉันทะ และความพยายาม ที่จะทําการที่ควรทาํ และเวน การทไี่ มค วรทาํA.I.173; Vbh.367. อง.ฺ ตกิ .20/501/222; อภิ.วิ.35/940/496.[102] โลก 31 (ประดาสภาวธรรมหรือหมูสัตว กําหนดโดยขอบเขตบา ง ไมก าํ หนดบาง —Loka: the world; the earth; sphere; universe)1. สงั ขารโลก (โลกคอื สงั ขาร ไดแ กส ภาวธรรมทงั้ ปวงทมี่ กี ารปรงุ แตง ตามเหตปุ จ จยั — Saïkhàra-loka: the world of formations)2. สตั วโลก (โลกคือหมูสตั ว — Satta-loka: the world of beings)3. โอกาสโลก (โลกอันกําหนดดวยโอกาส, โลกอันมีในอวกาศ, จกั รวาล — Okàsa-loka: theworld of location; the world in space; the universe)Vism.204; DA.I.173; MA.I.397. วสิ ทุ ธฺ ิ.1/262; ท.ี อ.1/215; ม.อ.2/269.[103] โลก 32 (โลกคือหมูสัตว, สัตวโลก — Loka: the world of beings)

[104] 100 พจนานุกรมพทุ ธศาสตร1. มนุษยโลก (โลกคือหมมู นุษย — Manussa-loka: the world of man)2. เทวโลก (โลกคอื หมูเ ทพ, สวรรคชน้ั กามาวจรทัง้ 6 — Deva-loka: the heavenly world)3. พรหมโลก (โลกคือหมพู รหม, สวรรคชน้ั พรหม — Brahma-loka: the Brahma world)โลก 3 ในหมวดนี้ ทา นจําแนกออกมาจาก ขอ 2 คือสตั วโลก ในหมวดกอน [102]DA.I.173; MA.I.397. ท.ี อ.1/215; ม.อ.2/269.[104] โลก 33 (โลกอนั เปนทอ่ี ยขู องสตั ว — Loka: the world; sphere) คอื กามโลก —Kàmaloka: the world of sense-desire; รูปโลก — Råpaloka: the world of form; อรูปโลก — Aråpaloka: the formless world; เปน ช่ือท่บี างแหงใชเรยี ก ภพ 3 แตไมนยิ มดู [98] ภพ 3. สงคฺ ห.ฏกี า18.[105] วัฏฏะ 3 หรอื ไตรวัฏฏ (วน, วงเวยี น, องคประกอบทีห่ มนุ เวียนตอเน่อื งกันของ ภวจกั ร หรือสังสารจักร — Vañña: the triple round; cycle) 1. กเิ ลสวัฏฏ (วงจรกเิ ลส ประกอบดว ยอวิชชา ตัณหา และอุปาทาน — Kilesa-vañña: round of defilements) 2. กรรมวฏั ฏ (วงจรกรรม ประกอบดว ยสังขารและกรรมภพ — Kamma-vañña: round of kamma) 3. วปิ ากวฏั ฏ (วงจรวบิ าก ประกอบดว ย วญิ ญาณ นามรปู สฬายตนะ ผสั สะ เวทนา ซง่ึ แสดง ออกในรปู ปรากฏทเ่ี รยี กวา อปุ ปต ตภิ พ ชาติ ชรา มรณะ เปน ตน — Vipàka-vañña: round of results) สามอยา งนี้ ประกอบเขาเปนวงจรใหญแ หงปจ จยาการ เรยี กวา ภวจกั ร หรอื สังสารจักรตามหลกั ปฏิจจสมปุ บาทVism.581. วิสุทฺธิ.3/198.[106] วิชชา 3 (ความรแู จง, ความรูวเิ ศษ — Vijjà: the Threefold Knowledge)1. ปพุ เพนวิ าสานุสสตญิ าณ (ญาณเปน เหตรุ ะลึกขันธท่อี าศัยอยใู นกอ นได, ระลกึ ชาติได —Pubbenivàsànussati-¤àõa: reminiscence of past lives)2. จตุ ปู ปาตญาณ (ญาณกําหนดรจู ุตแิ ละอบุ ตั ิแหงสตั วท้ังหลาย อันเปนไปตามกรรม, เหน็ การเวยี นวา ยตายเกดิ ของสตั วทงั้ หลาย เรยี กอีกอยางวา ทิพพจักขญุ าณ — Cutåpapàta-¤àõa:knowledge of the decease and rebirth of beings; clairvoyance)3. อาสวกั ขยญาณ (ญาณหยงั่ รใู นธรรมเปน ทส่ี น้ิ ไปแหง อาสวะทงั้ หลาย, ความรทู ที่ าํ ใหส น้ิ อาสวะ,ความตรสั รู — âsavakkhaya-¤àõa: knowledge of the destruction of mentalintoxication)

หมวด 3 101 [108]วิชชา 3 นี้ เรยี กส้นั ๆ วา ญาณ 3; ดู [297] วิชชา 8 ดวย.D.III.220, 275; A.V.211. ที.ปา.11/228/232; 398/292; อง.ฺ ทสก.24/102/225.[,,,] วิปลลาส 3 ระดับ ดู [178] วิปล ลาส 4.[107] วิโมกข 3 (ความหลดุ พน , ประเภทของความหลดุ พน จดั ตามลกั ษณะการเหน็ ไตรลกั ษณขอ ที่ใหถึงความหลดุ พน — Vimokkha: liberation; aspects of liberation)1. สญุ ญตวิโมกข (หลดุ พนดว ยเหน็ ความวางหมดความยดึ มั่น ไดแก ความหลดุ พน ท่เี กิดจากปญ ญาพิจารณาเห็นนามรปู โดยความเปน อนัตตา คอื หลดุ พนดวยเหน็ อนตั ตตา แลว ถอนความยดึ ม่นั เสยี ได — Su¤¤ata-vimokkha: liberation through voidness; void liberation) =อาศยั อนตั ตานปุ สสนา ถอนอตั ตาภินิเวส.2. อนมิ ติ ตวโิ มกข (หลดุ พนดวยไมถ ือนมิ ติ ไดแก ความหลุดพน ที่เกดิ จากปญ ญาพจิ ารณาเห็นนามรปู โดยความเปนอนิจจงั คอื หลดุ พนดว ยเหน็ อนจิ จตา แลวถอนนิมติ เสียได —Animitta-vimokkha: liberation through signlessness; signless liberation) = อาศยัอนจิ จานุปส สนา ถอนวิปลลาสนมิ ิต.3. อัปปณิหิตวิโมกข (หลุดพนดวยไมทําความปรารถนา ไดแก ความหลุดพนท่ีเกิดจากปญ ญาพิจารณาเหน็ นามรปู โดยความเปนทกุ ข คอื หลุดพนดวยเหน็ ทกุ ขตา แลวถอนความปรารถนาเสียได — Appaõihita-vimokkha: liberation through dispositionlessness;desireless liberation) = อาศยั ทกุ ขานปุ ส สนา ถอนตณั หาปณิธ.ิดู [47] สมาธิ 32.Ps.II.35; Vism.657; Comp.211. ขุ.ปฏิ.31/469/353; วิสทุ ฺธ.ิ 3/299; สงั คห.55.[108] วิรัติ 3 (การเวนจากทุจริต, การเวน จากกรรมชัว่ — Virati: abstinence)1. สัมปต ตวิรตั ิ (เวนสิ่งประจวบเฉพาะหนา , เวนเมอ่ื ประสบซึง่ หนา หรือเวนไดท้ังทป่ี ระจวบโอกาส คอื ไมไ ดต ั้งเจตนาไวก อ น ไมไดสมาทานสิกขาบทไวเลย แตเมอ่ื ประสบเหตทุ จ่ี ะทําชัว่นึกคิดพจิ ารณาขึ้นไดใ นขณะนั้นวา ตนมชี าตติ ระกลู วัย หรอื คณุ วฒุ ิอยางนี้ ไมส มควรกระทํากรรมเชนนนั้ แลวงดเวน เสยี ไดไ มทาํ ผดิ ศลี — Sampatta-virati: abstinence as occasionarises; abstinence in spite of opportunity)2. สมาทานวิรตั ิ (เวน ดวยการสมาทาน คอื ตนไดตั้งเจตนาไวกอ น โดยไดรับศลี คอื สมาทานสิกขาบทไวแลว ก็งดเวนตามท่ีไดสมาทานน้ัน — Samàdàna-virati: abstinence byundertaking; abstinence in accordance with one’s observances)3. สมจุ เฉทวริ ตั ิ หรอื เสตฆุ าตวริ ตั ิ (เวน ดว ยตดั ขาด หรอื ดว ยชกั สะพานตดั ตอนเสยี ทเี ดยี ว,เวน ไดเ ดด็ ขาด คอื การงดเวน ความชว่ั ของพระอรยิ ะทง้ั หลาย อนั ประกอบดว ยอรยิ มรรคซง่ึ ขจดักเิ ลสทเ่ี ปน เหตแุ หง ความชว่ั นนั้ ๆ เสรจ็ สน้ิ แลว ไมเ กดิ มแี มแ ตค วามคดิ ทจ่ี ะประกอบกรรมชวั่ นนั้เลย — Samuccheda-virati, Setughàta~: abstinence by rooting out)

[109] 102 พจนานุกรมพุทธศาสตรวิรัติ 2 อยางแรก ยังไมอาจวางใจไดแนน อน วริ ัติขอ ท่ี 3 จงึ จะแนนอนส้ินเชิงDA.I.305; KhA.142; DhsA.103. ที.อ.1/377; ขทุ ทฺ ก.อ.156; สงคฺ ณ.ี อ.188.[109] วิเวก 3 (ความสงัด, ความปลกี ออก — Viveka: seclusion)1. กายวิเวก (ความสงัดกาย ไดแ กอยใู นทีส่ งัดกด็ ี ดํารงอริ ิยาบถและเท่ยี วไปผเู ดยี วกด็ ี —Kàya-viveka: bodily seclusion i.e. solitude)2. จติ ตวเิ วก (ความสงัดใจ ไดแกท ําจิตใหสงบผอ งใส สงดั จากนิวรณ สงั โยชน และอนุสัยเปน ตน หมายเอาจิตแหงทา นผูบรรลุฌาน และอรยิ มรรค อริยผล — Citta-viveka: mentalseclusion, i.e. the state of Jhàna and the Noble Paths and Fruitions)3. อปุ ธิวิเวก (ความสงัดอุปธิ ไดแกธ รรมเปน ท่สี งบระงับสงั ขารทัง้ ปวง ปราศจากกเิ ลสกด็ ี ขนั ธก็ดี อภิสงั ขารก็ดี ทเ่ี รยี กวา อปุ ธิ หมายเอาพระนพิ พาน — Upadhi-viveka: seclusion fromthe essentials of existence, i.e. Nibbàna)Nd1 26,140,157,341. ข.ุ ม.29/33/29; 229/170.[110] เวทนา 2 (การเสวยอารมณ — Vedanà: feeling; sensation)1. กายิกเวทนา (เวทนาทางกาย — Kàyika-vedanà: physical feeling)2. เจตสิกเวทนา (เวทนาทางใจ — Cetasika-vedanà: mental feeling)S.IV.231. ส.ํ สฬ.18/431/287.[111] เวทนา 3 (การเสวยอารมณ, ความรสู กึ รสของอารมณ — Vedanà: feeling;sensation)1. สุขเวทนา (ความรสู ึกสขุ สบาย ทางกายกต็ าม ทางใจก็ตาม — Sukha-vedanà: pleasantfeeling; pleasure)2. ทกุ ขเวทนา (ความรสู ึกทกุ ข ไมสบาย ทางกายก็ตาม ทางใจกต็ าม — Dukkha-vedanà:painful feeling; pain)3. อทุกขมสุขเวทนา (ความรสู กึ เฉยๆ จะสขุ กไ็ มใ ช ทุกขก ็ไมใ ช เรยี กอกี อยางวา อเุ บกขา-เวทนา — Adukkhamasukha-vedanà, Upekkhà-vedanà: neither-pleasant-nor-painfulfeeling; indifferent feeling)D.III.216; 275; S.IV.331. ท.ี ปา.11/228/229; 391/291; ส.ํ สฬ.18/432/287.[112] เวทนา 5 (การเสวยอารมณ — Vedanà: feeling)1. สขุ (ความสุข ความสบายทางกาย — Sukha: bodily pleasure or happiness)2. ทุกข (ความทุกข ความไมส บาย เจ็บปวดทางกาย — Dukkha: bodily pain; discomfort)3. โสมนัส (ความแชมชื่นสบายใจ, สุขใจ — Somanassa: mental happiness; joy)4. โทมนัส (ความเสียใจ, ทุกขใ จ — Domanassa: mental pain; displeasure; grief)

หมวด 3 103 [115]5. อเุ บกขา (ความรสู กึ เฉยๆ — Upekkhà: indifference) เรียกอกี อยางหนงึ่ วา อทุกขมสขุ -เวทนาเวทนา 5 นี้ เรียกเต็มมี อนิ ทรีย ตอทา ยทุกคํา เปน สขุ ินทรยี  เปนตน.ดู [349] อนิ ทรีย 22.S.IV.232. ส.ํ สฬ.18/433/287.[113] เวทนา 6 (การเสวยอารมณ — Vedanà: feeling)1. จกั ขสุ มั ผสั สชาเวทนา (เวทนาเกดิ จากสมั ผสั ทางตา — Cakkhusamphassajà-vedanà:feeling arisen from visual contact)2. โสต~เวทนา (เวทนาเกิดจากสัมผัสทางหู — Sota~: from auditory contact)3. ฆาน~เวทนา (เวทนาเกิดจากสัมผัสทางจมูก — Ghàna~: from olfactory contact)4. ชวิ หา~เวทนา (เวทนาเกดิ จากสมั ผสั ทางลิน้ — Jivhà~: from gustatory contact)5. กาย~เวทนา (เวทนาเกดิ จากสัมผสั ทางกาย — Kàya~: from bodily contact)6. มโน~เวทนา (เวทนาเกดิ จากสัมผัสทางใจ — Mano~: from mental contact)S.IV.232. ส.ํ สฬ.18/434/287.[114] สมบัติ 31 (ความพร่ังพรอมสมบรู ณแ หง สงิ่ อนั ใหสาํ เรจ็ ความปรารถนา, ผลสําเรจ็ ท่ีใหส มความปรารถนา — Sampatti: prosperity; success; excellence)1. มนุษยสมบัติ (สมบตั ใิ นมนษุ ย, สมบตั ชิ นั้ มนษุ ย — Manussa-sampatti: humanprosperity)2. เทวสมบัติ (สมบตั ใิ นสวรรค, สวรรคสมบัต,ิ ทพิ ยสมบัติ — Deva-sampatti: heavenlyprosperity)3. นิพพานสมบัติ (สมบัตคิ ือพระนิพพาน — Nibbàna-sampatti: successful attainmentof Nibbàna)Kh.7; DhA.III.183. ขุ.ข.ุ 25/9/12; ธ.อ.6/48.[115] สมบัติ 32 หรือ ทานสมบัติ 3 (ความถงึ พรอม, ความพร่ังพรอมสมบูรณ ซงึ่ทําใหทานท่ีไดบริจาคแลวเปนทานอันยอดเยี่ยม มีผลมาก — Sampatti: successfulattainment; accomplishment; excellence)1. เขตตสมบัติ (บุญเขตถงึ พรอม คอื ปฏคิ าหก หรือผรู ับทาน เปนผูประพฤติดี ปฏิบตั ชิ อบประกอบดว ยคณุ ธรรม — Khetta-sampatti: excellence of the field of merit)2. ไทยธรรมสมบัติ (ไทยธรรมถึงพรอ ม คอื สิ่งทใ่ี หเ ปนของบริสุทธิ์ ไดม าโดยชอบธรรม และเหมาะสมเปนประโยชนแ กผูรับ — Deyyadhamma-sampatti: excellence of the gift)3. จิตตสมบตั ิ (เจตนาถงึ พรอ ม คือ ใหด วยความตง้ั ใจ คิดจะใหเ ปน ประโยชนแกผูรับแทจ ริง

[116] 104 พจนานุกรมพทุ ธศาสตรมเี จตนาบรสิ ทุ ธท์ิ งั้ 3 กาล คอื กอ นใหใ จยินดี ขณะใหจติ ผอ งใส ใหแ ลวเบกิ บานใจ — Citta-sampatti: excellence of motive or intention)UdA.199. อุ.อ.251.[,,,] สมาธิ 3 ดู [46] สมาธิ 31, [47] สมาธิ 32.[116] สรณะ 3 หรือ ไตรสรณะ (ที่พงึ่ , ท่รี ะลึก — Saraõa; Tisaraõa: theThreefold Refuge; Three Refuges; Threefold Guide) หมายถงึ พระรตั นตรัย คือ พระพทุ ธเจา พระธรรม และพระสงฆ ดู [100] รตั นตรัย การนอ มใจระลึกถงึ คณุ ของพระรตั นตรยั นั้น เขาใจความหมายอยางถกู ตอง และยึดถอื เปนหลักแหงความประพฤติปฏิบัติหรอื เปน เครื่องนาํ ทางในการดาํ เนนิ ชวี ิต โดยยง้ั ใจจากอกุศลและนาํ จติ เขาสกู ุศล เรียกวา สรณคมน, ไตรสรณคมน หรือ ไตรสรณาคมน. Kh.1. ข.ุ ข.ุ 25/1/1.[117] สังขตลักษณะ 3 (ลกั ษณะแหง สงั ขตธรรม คอื สง่ิ ทป่ี จ จยั ปรงุ แตง ขน้ึ — Saïkhata- lakkhaõa: characteristics of the conditioned; condition-marks of the conditioned) 1. อุปฺปาโท ปฺายติ (ความเกดิ ข้นึ ปรากฏ — Uppàda: Its arising appears.) 2. วโย ปฺายติ (ความดับสลาย ปรากฏ — Vaya: Its passing away or subsidence appears.) 3. ิตสสฺ อฺถตตฺ ํ ปฺายติ (เมือ่ ตง้ั อยู ความแปรปรากฏ — A¤¤athatta: It persisting, alteration or changeability appears.)A.I.152. องฺ.ติก.20/486/192.[118] อสังขตลักษณะ 3 (ลกั ษณะแหง อสงั ขตธรรม — Asaïkhata-lakkhaõa:characteristics of the Unconditioned) 1. น อุปฺปาโท ปฺายติ (ไมป รากฏความเกดิ — No arising appears.) 2. น วโย ปฺายติ (ไมป รากฏความสลาย — No passing away appears.) 3. น ติ สสฺ อฺถตตฺ ํ ปฺายติ (เม่ือตงั้ อยู ไมป รากฏความแปร — It persisting, noalteration appears.)A.I.152. อง.ฺ ตกิ .20/487/192.[119] สังขาร 31 (สภาพทปี่ รงุ แตง — Saïkhàra: formation; determination; function)1. กายสงั ขาร (สภาพท่ปี รุงแตง กาย ไดแก อสั สาสะ ปส สาสะ คอื ลมหายใจเขาออก —Kàya-saïkhàra: bodily formation; bodily function)2. วจสี ังขาร (สภาพท่ีปรงุ แตงวาจา ไดแ ก วติ กและวิจาร — Vacã-saïkhàra: verbalformation; verbal function)

หมวด 3 105 [122]3. จติ ตสงั ขาร (สภาพทีป่ รงุ แตงใจ ไดแก สัญญาและเวทนา — Citta-saïkhàra: mentalformation; mental function) สงั ขาร 3 ในหมวดนี้ มักมาในเรื่องทเ่ี กีย่ วกับสญั ญาเวทยิตนโิ รธ วา ผูเขา นโิ รธสมาบัตนิ ้ี วจี-สงั ขาร กายสงั ขาร และจิตตสังขาร ดบั ไปตามลําดบั .M.I.301; S.IV.293. ม.ม.ู 12/509/550; ส.ํ สฬ.18/561/361.[120] สังขาร 32 (สภาพที่ปรุงแตง, ธรรมมเี จตนาเปนประธานอนั ปรุงแตง การกระทาํ ,สญั เจตนา หรือเจตนาท่ีแตงกรรม — Saïkhàra: formation; determination; volition)1. กายสังขาร (สภาพทีป่ รงุ แตงการกระทําทางกาย ไดแ ก กายสัญเจตนา คอื ความจงใจทางกาย — Kàya-saïkhàra: bodily formation; bodily volition)2. วจสี ังขาร (สภาพท่ปี รุงแตง การกระทาํ ทางวาจา ไดแก วจสี ญั เจตนา คอื ความจงใจทางวาจา— Vaci-saïkhàra: verbal formation; verbal volition)3. จติ ตสงั ขาร หรอื มโนสังขาร (สภาพที่ปรุงแตงการกระทาํ ทางใจ ไดแ ก มโนสญั เจตนา คอืความจงใจทางใจ — Citta-saïkhàra: mental formation; mental volition)สังขาร 3 ในหมวดนี้ ไดในความหมายของคําวา สงั ขาร ในปฏจิ จสมุปบาท.ดู [129] อภิสงั ขาร 3; ดู [185] สังขาร 4 ดวย.M.I.54; 390; S.II.4; Vbh.135. ม.มู.12/127/99; ม.ม.13/88/83; ส.ํ น.ิ 16/16/4; อภ.ิ วิ.35/257/181.[121] สัทธรรม 3 (ธรรมอันด,ี ธรรมที่แท, ธรรมของสัตบุรษุ , หลักหรือแกนศาสนา —Saddhamma: good law; true doctrine; doctrine of the good; essential doctrine)1. ปรยิ ตั ตสิ ทั ธรรม (สัทธรรมคือคําสั่งสอนอนั จะตองเลา เรยี น ไดแ ก พทุ ธพจน — Pariyatti-saddhamma: the true doctrine of study; textual aspect of the true doctrine;study of the Text or Scriptures)2. ปฏิปต ตสิ ทั ธรรม (สทั ธรรมคอื ปฏปิ ทาอนั จะตอ งปฏิบตั ิ ไดแ ก อฏั ฐังคิกมรรค หรอื ไตร-สิกขา คอื ศีล สมาธิ ปญ ญา — Pañipatti-saddhamma: the true doctrine of practice;practical aspect of the true doctrine)3. ปฏิเวธสัทธรรม (สัทธรรมคอื ผลอันจะพึงเขาถงึ หรือบรรลุดว ยการปฏิบตั ิ ไดแ ก มรรค ผลและนพิ พาน — Pañivedha-saddhamma: the true doctrine of penetration; realizableor attainable aspect of the true doctrine)ขอ 3 คือ ปฏเิ วธสทั ธรรม บางแหง เรยี ก อธคิ มสทั ธรรม มีความหมายอยางเดยี วกนั .VinA.225; AA.V.33. วินย.อ.1/264; ม.อ.3/147,523; อง.ฺ อ.3/391.[122] สันโดษ 3 และ 12 (ความยนิ ดี, ความพอใจ, ความยินดีดว ยของของตนซึ่งไดม าดวยเรยี่ วแรงความเพียรโดยชอบธรรม, ความยินดดี ว ยปจจัยสตี่ ามมตี ามได, ความรูจกั อม่ิ รจู กั

[123] 106 พจนานุกรมพุทธศาสตรพอ — Santosa, Santuññhi: contentment; satisfaction with whatever is one’s own)1. ยถาลาภสันโดษ (ยนิ ดตี ามที่ได, ยินดีตามทพ่ี ึงได คอื ตนไดส ง่ิ ใดมา หรือเพียรหาสง่ิ ใดมาได เมื่อเปน สิง่ ทีต่ นพงึ ได ไมวา จะหยาบหรือประณตี แคไ หน ก็ยนิ ดพี อใจดวยสิ่งนน้ั ไมตดิ ใจอยากไดสง่ิ อืน่ ไมเดือดรอนกระวนกระวายเพราะสง่ิ ทต่ี นไมได ไมปรารถนาสงิ่ ทต่ี นไมพึงไดห รือเกินไปกวา ทต่ี นพึงไดโดยถูกตองชอบธรรม ไมเ พงเล็งปรารถนาของทีค่ นอื่นได ไมร ษิ ยาเขา —Yathàlàbha-santosa: contentment with what one gets and deserves to get)2. ยถาพลสนั โดษ (ยนิ ดตี ามกําลงั คอื ยนิ ดีแตพอแกกําลงั รา งกายสุขภาพและวิสยั แหงการใชสอยของตน ไมย ินดีอยากไดเกินกําลงั ตนมหี รอื ไดส่งิ ใดมาอันไมถ กู กบั กําลงั รา งกายหรือสุขภาพเชน ภกิ ษไุ ดอ าหารบณิ ฑบาตทแ่ี สลงตอ โรคของตน หรอื เกนิ กาํ ลงั การบรโิ ภคใชส อย กไ็ มห วงแหนเสียดายเกบ็ ไวใ หเ สียเปลา หรอื ฝนใชใ หเปนโทษแกตน ยอมสละใหแ กผ อู ื่นที่จะใชได และรบัหรอื แลกเอาสิง่ ทถี่ กู โรคกับตนแตเ พียงท่พี อแกก ําลังการบริโภคใชสอยของตน — Yathàbala-santosa: contentment with what is within one’s strength or capacity)3. ยถาสารปุ ปสันโดษ (ยินดตี ามสมควร คือ ยินดตี ามที่เหมาะสมกับตน อนั สมควรแกภ าวะฐานะ แนวทางชวี ติ และจุดหมายแหงการบาํ เพ็ญกิจของตน เชน ภกิ ษไุ มป รารถนาสงิ่ ของอนั ไมสมควรแกส มณภาวะ หรือภิกษุบางรปู ไดปจจยั สีท่ ี่มคี ามาก เห็นวาเปน สิ่งสมควรแกทานผูทรงคณุ สมบัตนิ า นับถอื ก็นําไปมอบใหแ กทา นผูน้นั ตนเองใชแ ตสงิ่ อนั พอประมาณ หรอื ภกิ ษบุ างรปูกําลงั ประพฤตวิ ตั รขัดเกลาตน ไดข องประณตี มา ก็สละใหแกเ พอ่ื นภกิ ษรุ ูปอน่ื ๆ ตนเองเลือกหาของปอนๆ มาใช หรือตนเองมีโอกาสจะไดลาภอยางหนึ่ง แตรูวาสิ่งนั้นเหมาะสมหรือเปนประโยชนแกท า นผอู นื่ ทีเ่ ช่ยี วชาญถนดั สามารถดานนนั้ กส็ ละใหล าภถงึ แกท า นผูน ัน้ ตนรับเอาแตสง่ิ ทเ่ี หมาะสมกบั ตน — Yathàsàruppa-santosa: contentment with what is befitting)สนั โดษ 3 น้ี เปนไปในปจจยั 4 แตล ะอยา ง จงึ รวมเรยี กวา สนั โดษ 12 อนึ่ง สนั โดษ 3 น้ี เปน คาํ อธบิ ายของพระอรรถกถาจารย ซ่งึ มุงแสดงขอปฏิบตั ขิ องพระภกิ ษุโดยเฉพาะ ปรากฏในอรรถกถาและฎกี ามากมายไมนอยกวา 10 แหง คฤหสั ถพึงพจิ ารณาประพฤติปฏบิ ตั ติ ามสมควร.AA.I.45; KhA.145; UdA.229; etc. ท.ี อ.1/253; ม.อ.2/188; องฺ.อ.1/81; ขุททฺ ก.อ.159; อ.ุ อ.288; ฯลฯ.[123] สัปปุริสบัญญัติ 3 (บัญญตั ขิ องสตั บุรุษ, ขอปฏิบตั ทิ ่ีสัตบุรษุ วางเปน แบบไวหรอื กลาวสรรเสริญไว, ความดีท่คี นดถี อื ลงกนั — Sappurisa-pa¤¤atti: things establishedby righteous people; recommendation of the good)1. ทาน (การใหปน , สละของตนเพือ่ ประโยชนแกผ ูอนื่ — Dàna: giving; generosity;charity; benefaction)2. ปพพัชชา (การถือบวช, เวนการเบยี ดเบียน ดํารงในธรรม คอื อหงิ สา สญั ญมะ และทมะอนั เปน อบุ ายใหไ มเบยี ดเบียนกนั และอยูร ว มกันดวยความสุข — Pabbajjà: renunciationconsisting in non-violence, restraint and self-control)

หมวด 3 107 [125]3. มาตาปต ุอปุ ฏ ฐาน (การบาํ รุงมารดาบดิ า, ปฏิบตั มิ ารดาบดิ าของตนใหเ ปนสุข — Màtà-pitu-upaññhàna: support of mother and father)A.I.151. อง.ฺ ตกิ .20/484/191.[,,,] สามัญลักษณะ 3 ดู [76] ไตรลักษณ.[124] สิกขา 3 หรือ ไตรสิกขา (ขอ ทจี่ ะตองศกึ ษา, ขอ ปฏิบัตทิ เี่ ปนหลกั สาํ หรับศกึ ษาคือ ฝกหดั อบรม กาย วาจา จิตใจ และปญ ญา ใหยิง่ ขน้ึ ไปจนบรรลจุ ดุ หมายสูงสุดคือพระนิพพาน — Sikkhà: the Threefold Learning; the Threefold Training)1. อธสิ ีลสกิ ขา (สิกขาคอื ศลี อนั ยงิ่ , ขอ ปฏิบัติสาํ หรบั ฝก อบรมในทางความประพฤติอยางสงู— Adhisãla-sikkhà: training in higher morality)2. อธิจิตตสิกขา (สกิ ขาคอื จติ อนั ย่ิง, ขอปฏิบัติสําหรับฝกอบรมจติ เพื่อใหเ กดิ คณุ ธรรมเชนสมาธอิ ยา งสงู — Adhicitta-sikkhà: training in higher mentality)3. อธปิ ญ ญาสิกขา (สกิ ขาคือปญญาอันยิง่ , ขอ ปฏบิ ัตสิ ําหรับฝก อบรมปญญาเพื่อใหเ กดิ ความรูแจง อยางสูง — Adhipa¤¤à-sikkhà: training in higher wisdom) เรียกงายๆ วา ศีล สมาธิ ปญ ญา (morality, concentration and wisdom)D.III.220; A.I.229. ท.ี ปา.11/228/231; องฺ.ติก.20/521/294.[,,,] สุจริต 3 ดู [81] สุจริต 3.[,,,] โสดาบัน 3 ดู [58] โสดาบนั 3.[,,,] อกุศลมูล 3 ดู [68] อกุศลมลู 3.[,,,] อกุศลวิตก 3 ดู [70] อกุศลวิตก 3.[125] อธิปไตย 3 (ความเปน ใหญ, ภาวะทถี่ ือเอาเปน ใหญ — Adhipateyya: dominantinfluence; supremacy)1. อัตตาธิปไตย (ความมีตนเปนใหญ, ถือตนเปนใหญ, กระทําการดวยปรารภตนเปนประมาณ — Attàdhipateyya: supremacy of self; self-dependence)2. โลกาธปิ ไตย (ความมโี ลกเปน ใหญ, ถือโลกเปนใหญ, กระทําการดว ยปรารภนิยมของโลกเปน ประมาณ — Lokàdhipateyya: supremacy of the world or public opinion)3. ธัมมาธิปไตย (ความมีธรรมเปน ใหญ, ถอื ธรรมเปนใหญ, กระทําการดว ยปรารภความถกูตอ ง เปน จริง สมควรตามธรรม เปนประมาณ — Dhammàdhipateyya: supremacy of theDhamma or righteousness; rule of the Dhamma; rule of the true law) ผูเปนอัตตาธปิ ก พงึ ใชสติใหมาก; ผูเ ปนโลกาธปิ ก พึงมีปญ ญาครองตน และรพู ินจิ ; ผูเปนธรรมาธปิ ก พงึ ประพฤตใิ หถ กู หลกั ธรรม; ผเู ปน หวั หนา หมเู ปน นกั ปกครอง พงึ ถอื ธรรมาธปิ ไตย.D.III.220; A.I.147. ที.ปา.11/228/231; องฺ.ตกิ .20/479/186.

[126] 108 พจนานกุ รมพุทธศาสตร[126] อนุตตริยะ 3 (ภาวะอนั ยอดเยย่ี ม, สง่ิ ที่ยอดเยย่ี ม — Anuttariya: excellent states; highest ideal; greatest good; unsurpassable experiences) 1. ทสั สนานุตตรยิ ะ (การเหน็ อนั เยยี่ ม ไดแ ก ปญญาอนั เห็นธรรม หรืออยา งสูงสุดคือเห็น นพิ พาน — Dassanànuttariya: ideal sight, supreme or unsurpassable vision) 2. ปฏปิ ทานุตตรยิ ะ (การปฏบิ ัตอิ นั เยี่ยม ไดแ ก การปฏิบตั ธิ รรมทีเ่ ห็นแลว กลาวใหง า ยหมาย เอามรรคมอี งค 8 — Pañipadànuttariya: ideal course; supreme way) 3. วิมตุ ตานตุ ตรยิ ะ (การพน อันเยีย่ ม ไดแ ก ความหลดุ พนอนั เปนผลแหง การปฏิบัติน้นั คือ ความหลดุ พนจากกเิ ลสและทุกขท ้งั ปวง หรอื นิพพาน — Vimuttànuttariya: ideal freedom; supreme deliverance)D.III.219; M.I.235. ที.ปา.11/228/231; ม.ม.ู 12/402/435.[127] อนุตตริยะ 6 (ภาวะอนั ยอดเยีย่ ม, สง่ิ ท่ยี อดเยีย่ ม — Anuttariya: excellent,supreme or unsurpassable experiences)1. ทัสสนานุตตรยิ ะ (การเหน็ อนั เยีย่ ม ไดแก การเห็นพระตถาคต และตถาคตสาวก รวมถึงสิ่งท้งั หลายที่จะใหเกดิ ความเจริญงอกงามแหง จติ ใจ — Dassanànuttariya: supreme sight)2. สวนานตุ ตรยิ ะ (การฟงอันเยีย่ ม ไดแ ก การสดบั ธรรมของพระตถาคต และตถาคตสาวก— Savanànuttariya: supreme hearing)3. ลาภานตุ ตรยิ ะ (การไดอนั เยีย่ ม ไดแก การไดศ รทั ธาในพระตถาคตและตถาคตสาวก หรือการไดอ รยิ ทรพั ย — Làbhànuttariya: supreme gain)4. สิกขานุตตริยะ (การศึกษาอันเยย่ี ม ไดแก การฝก อบรมในอธิศลี อธจิ ติ ต และอธปิ ญญา— Sikkhànuttariya: supreme training)5. ปารจิ รยิ านตุ ตรยิ ะ (การบาํ เรออนั เยยี่ ม ไดแ ก การบาํ รงุ รบั ใชพ ระตถาคต และตถาคตสาวก— Pàricariyànuttariya: supreme service or ministry)6. อนสุ สตานุตตรยิ ะ (การระลึกอันเยยี่ ม ไดแ ก การระลึกถึงพระตถาคต และตถาคตสาวก— Anussatànuttariya: supreme memory)โดยสรปุ คือ การเหน็ การฟง การได การศึกษา การชว ยรบั ใช และการรําลกึ ที่จะเปน ไปเพ่ือความบริสทุ ธ์ิ ลวงพน โสกะปรเิ ทวะ ดบั สูญทุกขโ ทมนัส เพอ่ื การบรรลุญายธรรม ทาํ ใหแจงซง่ึนพิ พานD.III.250,281; A.III.284,325,452. ท.ี ปา.11/321/262; 430/307; องฺ.ฉกกฺ .22/279/316; 301/363.[128] อปณณกปฏิปทา 3 (ขอ ปฏบิ ตั ิท่ไี มผ ดิ , ปฏิปทาทีเ่ ปนสวนแกนสารเนื้อแท ซงึ่จะนําผูปฏิบัติใหถึงความเจริญงอกงามในธรรม เปนผูดาํ เนินอยใู นแนวทางแหงความปลอดพนจากทกุ ขอยา งแนน อนไมผ ิดพลาด — Apaõõaka-pañipadà: sure course; sure practice;unimpeachable path)

หมวด 3 109 [130]1. อินทรียสงั วร (การสาํ รวมอินทรยี  คือระวงั ไมใ หบาปอกศุ ลธรรมครอบงาํ ใจ เมอื่ รับรูอารมณดว ยอินทรยี ท้ัง 6 — Indriya-sa§vara: control of the senses)2. โภชเนมตั ตญั ุตา (ความรจู ักประมาณในการบรโิ ภค คือรูจักพจิ ารณารับประทานอาหารเพอื่ หลอ เลยี้ งรา งกายใชท าํ กจิ ใหช วี ติ ผาสกุ มใิ ชเ พอื่ สนกุ สนานมวั เมา — Bhojane-matta¤¤utà:moderation in eating)3. ชาคริยานุโยค (การหมั่นประกอบความต่ืน ไมเ ห็นแกนอน คอื ขยนั หมัน่ เพยี ร ตน่ื ตวั อยูเปนนิตย ชําระจิตมิใหมีนิวรณ พรอมเสมอทุกเวลาท่ีจะปฏิบัติกิจใหกาวหนาตอไป —Jàgariyànuyoga: practice of wakefulness)A.I.113. อง.ฺ ตกิ .20/455/142.[129] อภิสังขาร 3 (สภาพท่ปี รุงแตง , ธรรมมีเจตนาเปน ประธานอันปรงุ แตงผลแหงการกระทาํ , เจตนาทเี่ ปน ตวั การในการทาํ กรรม — Abhisaïkhàra: volitional formation; formation;activity)1. ปุญญาภิสังขาร (อภิสงั ขารทีเ่ ปน บุญ, สภาพทปี่ รุงแตงกรรมฝายดี ไดแ กกุศลเจตนาทเี่ ปนกามาวจรและรปู าวจร — Pu¤¤àbhisaïkhàra: formation of merit; meritorious formation)2. อปญุ ญาภสิ งั ขาร (อภสิ งั ขารทเ่ี ปน ปฏปิ ก ษต อ บญุ คอื เปน บาป, สภาพทป่ี รงุ แตง กรรมฝา ยชวั่ไดแกอ กุศลเจตนาทั้งหลาย — Apu¤¤àbhisaïkhàra: formation of demerit; demeri-torious formation)3. อาเนญชาภิสงั ขาร (อภสิ ังขารท่เี ปนอาเนญชา, สภาพที่ปรุงแตงภพอันมั่นคงไมห ว่นั ไหว ไดแกก ุศลเจตนาทเ่ี ปนอรูปาวจร 4 หมายเอาภาวะจติ ทีม่ ่ันคงแนวแนดว ยสมาธิแหง จตุตถฌาน —âne¤jàbhisaïkhàra: formation of the imperturbable; imperturbability-producingvolition) อภสิ ังขาร 3 นี้ เปน ความหมายของสังขารในหลักปฏจิ จสมุปบาท ทา นแสดงไวอ ีกนยั หนง่ึเพมิ่ จากนยั วาสังขาร 3 ดู [120] สงั ขาร 3 2Ps.II.206; Vbh.135. ขุ.ปฏ.ิ 31/280/181; อภิ.วิ.35/257/181.[130] อัคคิ 31 (ไฟ, กิเลสท่เี ปรยี บเหมอื นไฟ เพราะเผาลนจิตใจใหเ รารอนและแสพ รานไป— Aggi: fires to be avoided or abandoned)1. ราคคั คิ (ไฟคอื ราคะ ไดแกค วามติดใจ กระสัน อยากได — Ràgaggi: fire of lust)2. โทสคั คิ (ไฟคอื โทสะ ไดแ กค วามขดั เคอื ง ไมพ อใจ คดิ ประทษุ รา ย — Dosaggi: fire of hatred)3. โมหคั คิ (ไฟคือโมหะ ไดแ กค วามหลง ไมรไู มเ ขาใจสภาวะของสงิ่ ท้งั หลายตามเปน จรงิ —Mohaggi: fire of delusion)ไฟ 3 อยา งนี้ ทา นสอนใหละเสยีD.III.217; It.92. ท.ี ปา.11/228/229; ขุ.อิต.ิ 25/273/301.

[131] 110 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร[131] อัคคิ 32 หรือ อัคคิปาริจริยา (ไฟท่คี วรบํารงุ , บุคคลทค่ี วรบูชาดวยใสใ จ บํารงุ เลย้ี งและใหค วามเคารพนบั ถือตามควรแกฐ านะ ดุจไฟบูชาของผบู ูชาไฟ — Aggi: fires to be revered or worshipped) 1. อาหไุ นยคั คิ (ไฟอันควรแกของคํานบั บูชา ไดแกบ ิดามารดา — âhuneyyaggi: fire worthy of reverential gifts, i.e. mother and father) 2. คหปตัคคิ (ไฟของเจาบา น ไดแ ก บุตรภรรยา และคนในปกครอง — Gahapataggi: fire of the householder, i.e. children, wife and dependents) 3. ทกั ขิไณยัคคิ (ไฟอนั ควรแกท ักษณิ า ไดแ กส มณพราหมณ ทา นผูท ําหนา ท่ีสั่งสอนผดงุ ธรรม ผปู ระพฤตดิ ี ปฏิบัติชอบ — Dakkhiõeyyaggi: fire worthy of offerings, i.e. monks and other religious men) ไฟ 3 อยางน้ี เลยี นศพั ทมาจากไฟบชู าในศาสนาพราหมณ แตใ ชใ นความหมายใหม เพ่ือใหเปนประโยชนแกชีวติ และสงั คมอยางแทจรงิ .D.III.217; A.IV.44. ที.ปา.11/228/229; องฺ.สตตฺ ก.23/44/46.[132] อัตถะ หรือ อรรถ 31 (ประโยชน, ผลทมี่ ุงหมาย, จุดหมาย, ความหมาย —Attha: benefit; advantage; welfare; aim; goal; meaning)1. ทิฏฐธัมมกิ ตั ถะ (ประโยชนป จจุบัน, ประโยชนในโลกน้,ี ประโยชนข ้นั ตน — Diññha-dhammikattha: benefits obtainable here and now; the good to be won in this life;temporal welfare)2. สมั ปรายิกตั ถะ (ประโยชนเบ้อื งหนา , ประโยชนใ นภพหนา, ประโยชนข น้ั สงู ขึ้นไป —Samparàyikattha: the good to be won in the life to come; spiritual welfare)3. ปรมตั ถะ (ประโยชนสูงสุด, จุดหมายสงู สุด คอื พระนพิ พาน — Paramattha: thehighest good; final goal, i.e. Nibbàna)อตั ถะ 3 หมวดน้ี ในพระสตู รท่ัวไปมกั แสดงเฉพาะขอ 1 และขอ 2 โดยใหข อ 2 มคี วามหมายครอบคลุมถึงขอ 3 ดวย (เชน ขุ.อิต.ิ 25/201/242; อธิบายใน อิติ.อ.92) บางแหง กก็ ลา วถึงปรมัตถะไวต า งหากโดยเฉพาะ (เชน ขุ.สุ.25/296/338; 313/366; ข.ุ อป.33/165/343)ดู [144] ทิฏฐธัมมกิ ตั ถสงั วตั ตนกิ ธรรม 4, [191] สัมปรายิกตั ถสงั วตั ตนิกธรรม 4 ดว ย.Nd1169, 178, 357; Nd226. ขุ.ม.29/292/205; 320/217; 727/432; ข.ุ จ.ู 30/673/333.[133] อัตถะ หรอื อรรถ 32 (ประโยชน, ผลท่ีมุงหมาย — Attha: benefit;advantage; gain; welfare)1. อัตตัตถะ (ประโยชนตน — Attattha: gain for oneself; one’s own welfare)2. ปรตั ถะ (ประโยชนผอู น่ื — Parattha: gain for others; others’ welfare)3. อภุ ยตั ถะ (ประโยชนท งั้ สองฝา ย — Ubhayattha: gain both for oneself and for others;

หมวด 3 111 [136]welfare both of oneself and of all others) S.II.29; S.V.121–5; A.I.9; A.III.64; Nd1168; Nd226. ส.ํ นิ.16/67/35; สํ.ม.19/603/167; อง.ฺ ทกุ .20/46/10; องฺ.ปฺจก.22/51/72[134] อาการที่พระพุทธเจาทรงส่ังสอน 3 (ลกั ษณะการสอนของพระพทุ ธเจา ที่ทาํ ใหคําสอนของพระองคควรแกการประพฤตปิ ฏบิ ัตติ าม และทาํ ใหเ หลาสาวกเกิดความมั่นใจ เคารพเลอ่ื มใสในพระองคอ ยา งแทจ ริง — Buddha-dhammadesanà: the three aspects of the Buddha’s teaching; the Buddha’s manners of teaching) 1. อภญิ ญายธมั มเทสนา (ทรงแสดงธรรมดว ยความรยู ง่ิ , ทรงรยู งิ่ เหน็ จรงิ เองแลว จงึ ทรงสอนผู อน่ื เพอ่ื ใหร ยู งิ่ เหน็ จรงิ ตาม ในธรรมทคี่ วรรยู ง่ิ เหน็ จรงิ — Abhi¤¤àya-dhammadesanà: Having himself fully comprehended, he teaches others for the full comprehending of what should be fully comprehended; teaching with full comprehension) 2. สนิทานธัมมเทสนา (ทรงแสดงธรรมมเี หตุผล, ทรงสั่งสอนช้ีแจงใหเ หน็ เหตุผลไมเลื่อน ลอย — Sanidàna-dhammadesanà: He teaches the doctrine that has a causal basis; teaching in terms of or with reference to causality) 3. สปั ปาฏหิ ารยิ ธมั มเทสนา (ทรงแสดงธรรมใหเ หน็ จรงิ ไดผ ลเปน อศั จรรย, ทรงสงั่ สอนใหม อง เหน็ ชดั เจนสมจรงิ จนตอ งยอมรบั และนาํ ไปปฏบิ ตั ไิ ดผ ลจรงิ เปน อศั จรรย — Sappàñihàriya- dhammadesanà: He teaches the doctrine that is wondrous as to its convincing power and practicality; teaching in such a way as to be convincing and practical)ขอ 1 บางทานแปลวา “ทรงแสดงธรรมเพ่ือความรูยิ่ง”M.II.9; A.I.276. ม.ม.13/330/322; องฺ.ติก.20/565/356.[135] อาสวะ 3 (สภาวะอันหมักดองสนั ดาน, ส่งิ ท่ีมอมพ้นื จิต, กิเลสทไี่ หลซึมซา นไปยอ มใจเมื่อประสบอารมณต างๆ — âsava: mental intoxication; canker; bias; influx; taint)1. กามาสวะ (อาสวะคือกาม — Kàmàsava: canker of sense-desire)2. ภวาสวะ (อาสวะคอื ภพ — Bhavàsava: canker of becoming)3. อวิชชาสวะ (อาสวะคอื อวิชชา — Avijjàsava: canker of ignorance)ดู [136] อาสวะ 4 ดวย.D.II.81; S.IV.256. ท.ี ม.10/76/96; ส.ํ สฬ.18/504/315.[136] อาสวะ 4 (âsava: mental intoxication; canker)1. กามาสวะ (อาสวะคอื กาม — Kàmàsava: canker of sense-desire)2. ภวาสวะ (อาสวะคอื ภพ — Bhavàsava: canker of becoming)3. ทฏิ ฐาสวะ (อาสวะคือทิฏฐิ — Diññhàsava: canker of views or speculation)4. อวิชชาสวะ (อาสวะคืออวชิ ชา — Avijjàsava: canker of ignorance)

[136] 112 พจนานกุ รมพุทธศาสตร ในท่มี าสวนมาก โดยเฉพาะในพระสตู ร แสดงอาสวะไว 3 อยาง โดยสงเคราะหทิฏฐาสวะเขาในภวาสวะ (ม.อ.1/93) Vbh.373. อภิ.ว.ิ 35/961/504.[,,,] โอวาทของพระพุทธเจา 3 ดู [97] พุทธโอวาท 3.

จตุกกะ — หมวด 4 Groups of Four (including related groups)[137] กรรมกิเลส 4 (กรรมเคร่อื งเศราหมอง, ขอ เสื่อมเสียของความประพฤติ — Kamma-kilesa: defiling actions; contaminating acts; vices of conduct) 1. ปาณาติบาต (การตดั รอนชีวิต — Pàõàtipàta: destruction of life) 2. อทนิ นาทาน (ถอื เอาของทเี่ จา ของมไิ ดใ ห, ลกั ขโมย — Adinnàdàna: taking what is not given) 3. กาเมสุมิจฉาจาร (ประพฤตผิ ดิ ในกาม — Kàmesumicchàcàra: sexual misconduct) 4. มสุ าวาท (พูดเทจ็ — Musàvàda: false speech)D.III.181. ที.ปา.11/174/195.[,,,] กัลยาณมิตร 4 ในท่ีน้ีใชเ ปนคําเรยี กมติ รแท ตามบาลีเรยี กวา สุหทมิตร ดู [169] สุหทมติ ร 4.[,,,] กิจในอริยสัจจ 4 ดู [205] กิจในอรยิ สจั จ 4.[138] กุลจิรัฏฐิติธรรม 4 (ธรรมสําหรับดํารงความมัง่ คง่ั ของตระกลู ใหย งั่ ยืน, เหตุที่ ทําใหต ระกลู มง่ั ค่ังตง้ั อยไู ดน าน — Kula-ciraññhiti-dhamma: reasons for lastingness of awealthy family)1. นัฏฐคเวสนา (ของหายของหมด รูจ กั หามาไว — Naññhagavesanà: seeking for whatis lost)2. ชิณณปฏิสงั ขรณา (ของเกา ของชาํ รุด รจู กั บูรณะซอ มแซม — Jiõõapañisaïkharaõà:repairing what is worn out)3. ปรมิ ติ ปานโภชนา (รจู กั ประมาณในการกนิ การใช — Parimitapànabhojanà: moderationin spending)4. อธปิ จจสีลวนั ตสถาปนา (ตั้งผูมศี ีลธรรมเปน พอบานแมเ รอื น — Adhipaccasãlavanta-ñhàpanà: putting in authority a virtuous woman or man)เหตุที่ตระกูลม่ังคง่ั จะต้งั อยูนานไมไ ด พงึ ทราบโดยนยั ตรงขามจากนี.้A.II.249. องฺ.จตกุ ฺก.21/258/333.[139] ฆราวาสธรรม 4 (ธรรมสําหรบั ฆราวาส, ธรรมสาํ หรับการครองเรอื น, หลกั การครองชวี ติ ของคฤหสั ถ — Gharàvàsa-dhamma: virtues for a good household life;

[140] 114 พจนานุกรมพุทธศาสตรvirtues for lay people)1. สจั จะ (ความจริง, ซอ่ื ตรง ซอื่ สัตย จริงใจ พดู จริง ทําจรงิ — Sacca: truth and honesty)2. ทมะ (การฝก ฝน, การขมใจ ฝกนิสัย ปรับตวั , รจู ักควบคุมจติ ใจ ฝกหดั ดดั นสิ ัย แกไ ขขอบกพรอง ปรับปรงุ ตนใหเจรญิ กาวหนา ดว ยสตปิ ญญา — Dama: taming and training oneself;adjustment; self-development)3. ขันติ (ความอดทน, ตัง้ หนาทาํ หนา ทีก่ ารงานดว ยความขยันหมั่นเพยี ร เขมแข็ง ทนทาน ไมหวน่ั ไหว มัน่ ในจุดหมาย ไมท อถอย — Khanti: tolerance; forbearance; perseverance)4. จาคะ (ความเสียสละ, สละกเิ ลส สละความสุขสบายและผลประโยชนส ว นตนได ใจกวางพรอ มท่ีจะรับฟง ความทุกข ความคดิ เห็น และความตอ งการของผูอ น่ื พรอมท่ีจะรว มมอื ชวยเหลอื เออื้ เฟอ เผอื่ แผ ไมค บั แคบเหน็ แกต นหรอื เอาแตใ จตวั — Càga: liberality; generosity)ในธรรมหมวดน้ี ทมะ ทานมุงเอาดานปญ ญา ขนั ติ ทานเนนแงว ิริยะ.S.I.215; Sn.189. ส.ํ ส.15/845/316; ขุ.สุ.25/311/361.[140] จักร 4 (ธรรมนาํ ชวี ิตไปสคู วามเจรญิ รงุ เรือง ดจุ ลอ นาํ รถไปสทู ่ีหมาย — Cakka:virtues wheeling one to prosperity)1. ปฏริ ปู เทสวาสะ (อยใู นถิ่นท่ดี ี มสี ิง่ แวดลอมเหมาะสม — Pañiråpadesavàsa: living ina suitable region; good or favourable environment)2. สัปปรุ ิสปู สสยะ (สมาคมกบั สตั บรุ ษุ — Sappurisåpassaya: association with goodpeople)3. อตั ตสมั มาปณิธิ (ตง้ั ตนไวชอบ, ตั้งจิตคดิ มุงหมายนําตนไปถกู ทาง — Attasammà-paõidhi: setting oneself in the right course; aspiring and directing oneself in theright way)4. ปพุ เพกตปุญญตา (ความเปนผูไดท ําความดีไวก อนแลว, มพี น้ื เดิมด,ี ไดสรา งสมคณุ ความดีเตรียมพรอ มไวแ ตต น — Pubbekatapu¤¤atà: having formerly done meritoriousdeeds; to have prepared oneself with good background) ธรรม 4 ขอ น้ี เรียกอีกอยางหน่ึงวา พหุการธรรม คอื ธรรมมีอุปการะมาก (virtues ofgreat assistance) เปน เครอ่ื งชวยใหสามารถสรางสมความดีอื่นๆ ทกุ อยาง และชว ยใหป ระสบความเจริญกา วหนาในชีวิต บรรลุความงอกงามไพบลู ย.A.II.32; D.III.276. องฺ.จตุกกฺ .21/31/41; ที.ปา.11/400/293.[141] เจดีย 4 (สงิ่ ทก่ี อขึน้ , ที่เคารพบูชา, ส่งิ ทีเ่ ตอื นใจใหร ะลึกถงึ , ในทน่ี หี้ มายถึง สถานที่หรอื ส่ิงที่เคารพบชู าเนื่องดวยพระพทุ ธเจา หรือพระพทุ ธศาสนา เรียกเต็มวา สมั มาสัมพุทธเจดยี หรอื พทุ ธเจดีย — Cetiya: shrine; Buddhist monument; objects of homage)1. ธาตเุ จดีย (เจดยี บรรจุพระบรมสารรี กิ ธาตุ — Dhàtu-cetiya: a relic shrine; sepulchral

หมวด 4 115 [143]or reliquary monument; stupa enshrining the Buddha’s relics)2. บริโภคเจดยี  (เจดียค ือส่ิงหรือสถานทท่ี ่ีพระพุทธเจาเคยทรงใชส อย อยา งแคบหมายถงึ ตนโพธ์ิ อยางกวางหมายถงึ สงั เวชนียสถาน 4 ตลอดจนสิ่งทัง้ ปวงทีพ่ ระพุทธเจาเคยทรงบรโิ ภค เชนบาตร จีวร และบริขารอนื่ ๆ เปนตน — Paribhoga-cetiya: a shrine by use or byassociation; things and places used by the Buddha, esp. the Bodhi tree)3. ธรรมเจดยี  (เจดยี บ รรจพุ ระธรรม เชน บรรจใุ บลานจารกึ พทุ ธพจนแ สดงหลกั ปฏจิ จสมปุ บาทเปนตน — Dhamma-cetiya: a doctrinal shrine; monument of the Teaching whereinscribed palm-leaves or tablets or scriptures are housed)4. อทุ เทสกิ เจดีย (เจดียส รา งอทุ ิศพระพุทธเจา ไดแ ก พระพุทธรูป — Uddesika-cetiya: ashrine by dedication, i.e. a Buddha-image)เจดยี เ หลา น้ี ในทม่ี าแตล ะแหง ทา นแสดงไว 3 ประเภท นบั รวมทไ่ี มซ าํ้ เขา ดว ยกนั จงึ เปน 4.KhA.222; J.IV.228. ขุททฺ ก.อ.247; ชา.อ.6/185; วินย.ฏีกา1/263.[,,,] ฌาน 4 ดู [9] ฌาน 4.[142] ถูปารหบุคคล 4 (บคุ คลผูควรแกสถปู , ผูม คี ุณความดพี เิ ศษควรสรางสถูปไวเคารพบูชา — Thåpàraha-puggala: persons worthy of a stupa or monument)1. พระตถาคตอรหนั ตสัมมาสัมพุทธเจา (พระพุทธเจา — Buddha: the Buddha; FullyEnlightened One)2. พระปจเจกพุทธเจา (Paccekabuddha: Individually Enlightened One; privateBuddha)3. พระตถาคตสาวก (สาวกของพระพุทธเจา ปกตหิ มายเอาพระอรหันต — Tathàgata-sàvaka: a disciple of the Buddha; an Arahant)4. พระเจา จกั รพรรดิ (จอมราชผูทรงธรรม, พระเจา ธรรมกิ ราช — Cakkavatti: a righteousuniversal monarch; great righteous king or ruler)D.II.142. ท.ี ม.10/134/165.[143] ทักขิณาวิสุทธิ 4 (ความบริสุทธแิ์ หงทักษิณา คือของทาํ บุญ — Dakkhiõà-visuddhi: purifications of offerings; purities in gifts)1. ทักขณิ าท่บี ริสุทธ์ฝิ า ยทายก ไมบรสิ ุทธ์ฝิ ายปฏิคาหก (คอื ทายกมีศีลมกี ัลยาณธรรม แตปฏิคาหกทศุ ลี มีบาปธรรม — the offering purified on the part of the giver, not of therecipient)2. ทักขิณาทีบ่ ริสุทธ์ฝิ ายปฏิคาหก ไมบรสิ ุทธฝ์ิ ายทายก (คือ ทายกทุศีล มบี าปธรรม แตปฏิคาหกมีศลี มีกัลยาณธรรม — the offering purified on the part of the recipient,not of the giver)

[144] 116 พจนานกุ รมพุทธศาสตร3. ทกั ขิณาที่ไมบ รสิ ทุ ธิ์ทั้งฝา ยทายก ทง้ั ฝายปฏคิ าหก (คือ ท้งั สองฝายทุศีล มบี าปธรรม —the offering purified on neither side)4. ทักขณิ าท่ีบรสิ ุทธิท์ ั้งฝา ยทายก ทงั้ ฝา ยปฏคิ าหก (คอื ทั้งสองฝา ยมศี ีล มกี ลั ยาณธรรม —the offering purified on both sides) D.III.231; M.III.256; A.II.80; Kvu.557. ที.ปา.11/266/243; ม.อ.ุ 14/714/461; องฺ.จตกุ กฺ .21/78/104; อภิ.ก.37/1732/590.[,,,] ทรัพยจัดสรรเปน 4 สวน ดู [163] โภควิภาค 4.[144] ทิฏฐธัมมิกัตถสังวัตตนิกธรรม 4 (ธรรมทเ่ี ปน ไปเพอ่ื ประโยชนใ นปจ จบุ นั , หลกั ธรรมอนั อาํ นวยประโยชนส ขุ ขนั้ ตน — Diññhadhammikattha-sa§vattanika-dhamma: virtues conducive to benefits in the present; virtues leading to temporal welfare) 1. อฏุ ฐานสัมปทา (ถึงพรอ มดว ยความหม่นั คือ ขยันหมั่นเพยี รในการปฏบิ ัติหนาท่กี ารงาน ประกอบอาชีพอนั สจุ รติ มคี วามชํานาญ รจู ักใชป ญ ญาสอดสอง ตรวจตรา หาอุบายวิธี สามารถ จดั ดาํ เนนิ การใหไดผ ลดี — Uññhànasampadà: to be endowed with energy and industry; achievement of diligence) 2. อารกั ขสัมปทา (ถงึ พรอ มดว ยการรกั ษา คอื รูจ ักคุมครองเก็บรกั ษาโภคทรัพย และผลงาน อนั ตนไดทาํ ไวดว ยความขยันหมนั่ เพียร โดยชอบธรรม ดว ยกําลังงานของตน ไมใหเปน อันตราย หรือเสื่อมเสีย — ârakkhasampadà: to be endowed with watchfulness; achievement of protection) 3. กลั ยาณมติ ตตา (คบคนดีเปนมติ ร คือ รจู ักกําหนดบุคคลในถน่ิ ท่ีอาศัย เลอื กเสวนา สําเหนยี กศึกษาเย่ยี งอยา งทานผทู รงคณุ มศี รทั ธา ศีล จาคะ ปญญา — Kalyàõamittatà: good company; association with good people) 4. สมชวี ิตา (มีความเปน อยูเ หมาะสม คอื รูจ ักกําหนดรายไดและรายจา ยเล้ียงชวี ิตแตพ อดี มิ ใหฝ ด เคอื งหรือฟมู ฟาย ใหร ายไดเหนือรายจา ย มีประหยดั เกบ็ ไว — Samajãvità: balanced livelihood; living economically)ธรรมหมวดนเี้ รยี กกนั สน้ั ๆ วา ทฏิ ฐธมั มกิ ตั ถะ หรอื เรยี กตดิ ปากอยา งไทยๆ วา ทฏิ ฐธมั มกิ ตั ถ-ประโยชน (อตั ถะ แปลวา ประโยชน จึงมีประโยชนซาํ้ ซอ นกนั สองคาํ )A.IV.281. องฺ.อฏก.23/144/289.[,,,] เทวทูต 4 ดู [150] นิมติ 4.[,,,] ธรรมมีอุปการะมาก 4 ดู [140] จกั ร 4.[,,,] ธรรมเปนเหตุใหสมหมาย 4 ดู [191] สมั ปรายิกัตถสงั วัตตนิกธรรม 4.[145] ธรรมสมาทาน 4 (ขอทย่ี ึดถือเอาเปน หลกั ความประพฤติปฏบิ ัต,ิ หลกั การที่ประพฤต,ิ การทกี่ ระทาํ , การประกอบกรรม — Dhamma-samàdàna: religious undertakings;

หมวด 4 117 [147]undertaken courses of practices)1. ธรรมสมาทานทใ่ี หทกุ ขในปจจุบนั และมที ุกขเปน วิบากตอไป (เชน การประพฤตวิ ตั รทรมานตนของพวกอเจลก หรือการประพฤติอกุศลกรรมบถดวยความยากลําบาก ทง้ั มีความเดอื ดรอนใจ เปนตน — the undertaking that gives suffering in the present andresults in suffering in the future)2. ธรรมสมาทานที่ใหทุกขในปจจุบนั แตม ีสขุ เปน วบิ ากตอ ไป (เชน ผูท กี่ เิ ลสมีกาํ ลังแรงกลาฝน ใจพยายามประพฤตพิ รหมจรรยใ หบ รสิ ทุ ธ์ิบรบิ รู ณ หรือผทู ป่ี ระพฤตกิ ศุ ลกรรมบถดว ยความยากลาํ บาก เปนตน — the undertaking that gives suffering in the present butresults in happiness in the future)3. ธรรมสมาทานทใี่ หส ขุ ในปจ จบุ นั แตม ที กุ ขเ ปน วบิ ากตอ ไป (เชน การหลงมวั เมาหมกมนุ อยใู นกาม หรอื การประพฤตอิ กศุ ลกรรมบถดว ยความสนกุ สนานพอใจ เปน ตน — the undertakingthat gives happiness in the present but results in suffering in the future)4. ธรรมสมาทานที่ใหส ุขในปจจบุ นั และมสี ขุ เปน วิบากตอ ไป (เชน ผทู ีก่ เิ ลสมกี าํ ลงั นอ ยประพฤติพรหมจรรยด วยความพอใจ ไดเ สวยเนกขัมมสขุ หรือผทู ปี่ ระพฤตกิ ศุ ลกรรมบถดว ยความพอใจ ไดเ สวยสขุ โสมนัส เปน ตน — the undertaking that gives happiness in thepresent and results in happiness in the future)D.III.229; M.I.305–316. ท.ี ปา.11/251/241; ม.มู.12/515–534/556–575.[146] ธาตุ 4 (ส่งิ ทที่ รงสภาวะของตนอยูเอง คอื มีอยโู ดยธรรมดา เปนไปตามเหตปุ จจยั ไมม ีผสู ราง ไมมีอัตตา มใิ ชส ตั ว มิใชช วี ะ — Dhàtu: elements) ไดแก ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุและ วาโยธาตุ คือ มหาภูต หรือ ภูตรปู 4 น่ันเอง. ดู [39] มหาภตู 4 และ [147] ธาตุ-กมั มัฏฐาน4[147] ธาตุกัมมัฏฐาน 4 (กรรมฐานคอื ธาต,ุ กรรมฐานท่ีพิจารณาธาตเุ ปน อารมณ คือกาํ หนดพจิ ารณากายนแ้ี ยกเปน สวนๆ ใหเ ห็นวาเปน เพยี งธาตุสแ่ี ตละอยา ง ไมใ ชข องเรา ไมใ ชเ ราไมใ ชต วั ตนของเรา — Dhàtu-kammaññhàna: meditation on the elements; meditationsubject consisting of elements)1. ปฐวีธาตุ (Pañhavã-dhàtu: the earth-element) คอื ธาตทุ ่ีมลี ักษณะแขนแข็ง ภายในตวั ก็มี ภายนอกตวั กม็ ี กลาวเฉพาะทีเ่ ปน ภายใน สําหรบั กําหนด พอใหส าํ เรจ็ ประโยชนเ ปน อารมณของกรรมฐาน ไดแก ผม ขน เล็บ ฟน หนงั เนื้อ เอน็ กระดกู เย่ือในกระดูก มา ม หัวใจ ตบัพังผดื ไต ปอด ไสใหญ ไสน อย อาหารใหม อาหารเกา หรอื ส่งิ อืน่ ใดกต็ ามในตัว ทม่ี ีลักษณะแขนแขง็ เปน ตน อยางเดียวกนั นี้2. อาโปธาตุ (âpo-dhàtu: the water-element) คือ ธาตทุ ีม่ ลี ักษณะเอิบอาบ ภายในตัวกม็ ีภายนอกตัวกม็ ี กลาวเฉพาะท่ีเปนภายใน สําหรบั กําหนด พอใหสาํ เรจ็ ประโยชนเ ปนอารมณของ

[148] 118 พจนานุกรมพุทธศาสตรกรรมฐาน ไดแ ก ดี เสลด หนอง เลอื ด เหง่อื มนั ขน นํ้าตา เปลวมนั น้ําลาย นํ้ามูก ไขขอ มูตรหรอื สงิ่ อ่ืนใดกต็ ามในตวั ท่มี ลี ักษณะเอิบอาบเปนตน อยางเดียวกนั นี้3. เตโชธาตุ (Tejo-dhàtu: the fire-element) คือ ธาตุทมี่ ีลกั ษณะรอน ภายในตวั ก็มี ภายนอกตัวก็มี กลาวเฉพาะท่เี ปน ภายใน สาํ หรบั กําหนด พอใหส ําเร็จประโยชนเปนอารมณข องกรรมฐาน ไดแก ไฟทย่ี งั กายใหอ บอนุ ไฟทย่ี ังกายใหท รดุ โทรม ไฟท่ียังกายใหก ระวนกระวายไฟทีย่ งั อาหารใหย อ ย หรอื สิ่งอ่นื ใดก็ตามในตวั ท่มี ีลกั ษณะรอนเปน ตน อยา งเดยี วกันนี้4. วาโยธาตุ (Vàyo-dhàtu: the air-element) คอื ธาตทุ ่ีมีลักษณะพดั ผันเครงตึง ภายในตวัก็มี ภายนอกตัวก็มี กลาวเฉพาะที่เปนภายใน สําหรบั กําหนด พอใหส ําเรจ็ ประโยชนเ ปน อารมณของกรรมฐาน ไดแก ลมพัดข้นึ เบื้องบน ลมพัดลงเบอื้ งตาํ่ ลมในทอง ลมในไส ลมซานไปตามตวัลมหายใจ หรือสิง่ อืน่ ใดก็ตามในตัว ท่มี ีลกั ษณะพดั ผันไปเปนตน อยางเดยี วกนั นี้ ตวั อยา งธาตทุ ่ีแสดงขา งตน น้ี ในปฐวธี าตมุ ี 19 อยา ง ในอาโปธาตุมี 12 อยาง เติมมัตถลุงคคอื มนั สมอง เขาเปน ขอสดุ ทายในปฐวธี าตุ รวมเปน 32 เรียกวา อาการ 32 หรอื ทวัตติงสาการ(มัตถลุงคไ มมใี นปฐวีธาตุ 19 อยาง เพราะรวมเขา ในอฏั ฐมิ ิญชะ คอื เย่ือในกระดูก) ธาตกุ มั มฏั ฐานน้ี เรยี กอยา งอน่ื วา ธาตมุ นสกิ าร (การพจิ ารณาธาตุ — Dhàtu-manasikàra:contemplation on the elements) บา ง จตธุ าตวุ วฏั ฐาน (การกาํ หนดธาตสุ ่ี — Catudhàtu-vavaññhàna: determining of the four elements) บา ง เมื่อพจิ ารณากําหนดธาตุ 4 ดว ยสตสิ ัมปชัญญะ มองเห็นความเกิดข้ึนและความเสื่อมสลายไปในกาย ตระหนกั วากายน้ีกส็ ักวากาย มิใชส ัตว บุคคล ตวั ตน เราเขา ดงั น้ี จัดเปนกายานุปสสนาสติปฏฐานสวนหน่ึง (หมวดที่ 5คอื ธาตุมนสิการบรรพ).D.II.294; M.I.185; M.III.240; Vism.347. ท.ี ม.10/278/329; ม.มู.12/342/350; ม.อุ.14/684–7/437; วสิ ุทฺธ.ิ 2/161.[148] ธาตุ 6 (Dhàtu: the six elements) ไดแกธาตุ 4 หรอื มหาภตู 4 คือ ปฐวีธาตุอาโปธาตุ เตโชธาตุ และ วาโยธาตุ น้นั กบั เพิ่มอกี 2 อยา ง คอื5. อากาสธาตุ (สภาวะทว่ี า ง โปรง ไป เปน ชอ ง — âkàsa-dhàtu: the space-element)6. วิญญาณธาตุ (สภาวะท่รี แู จงอารมณ ธาตุรู ไดแ กวิญญาณธาตุ 6 คือ จักขวุ ิญญาณธาตุโสต~ ฆาน~ ชิวหา~ กาย~ มโนวิญญาณธาตุ — Vi¤¤àõa-dhàtu: element ofconsciousness; consciousness-element)ดู [39] มหาภตู 4 และ [146] ธาตุ 4.M.III.31; Vbh.82. ม.อ.ุ 14/169/125; อภิ.วิ.35/114/101.[149] ธาตุกัมมัฏฐาน 6 ไดแ ก ธาตกุ มั มฏั ฐาน 4 น้นั และเพ่มิ อกี 2 อยาง คือ5. อากาสธาตุ (the space-element) คอื ธาตุที่มลี กั ษณะเปน ชองวาง ภายในตวั ก็มี ภายนอกตัวก็มี กลาวเฉพาะภายใน สําหรับกาํ หนด พอใหส ําเรจ็ ประโยชน เปน อารมณข องกรรมฐานไดแ ก ชอ งหู ชองจมกู ชอ งปาก ชอ งทวารหนัก ทวารเบา ชองแหงอวยั วะทงั้ หลาย หรือทอี่ นื่ ใดท่ี

หมวด 4 119 [152]มลี ักษณะเปนชอ งวา งอยางเดียวกันน้ี6. วญิ ญาณธาตุ (the consciousness-element) คอื ธาตุท่ีมีลกั ษณะเปนเครอ่ื งรูแ จงอารมณ กลา วคอื วิญญาณธาตุ 6.ดู [147] ธาตุกมั มฏั ฐาน 4; [148] ธาตุ 6.M.III.240. ม.อุ.14/684–9/437–440.[150] นิมิต 4 (เครือ่ งหมาย, เครือ่ งกําหนด, สิ่งทีพ่ ระโพธสิ ตั วท อดพระเนตรเหน็ อนั เปน เหตปุ รารภทีจ่ ะเสด็จออกบรรพชา — Nimitta: the Four Signs; the Four Sights onseeing which the Bodhisatta went forth in the Great Renunciation)1. ชิณณะ (คนแก — Jiõõa: an old man)2. พยาธติ ะ หรอื อาพาธกิ ะ (คนเจ็บ — Byàdhita, âbàdhika: a sick man)3. กาลกตะ (= มตะ, คนตาย — Mata: a dead man)4. ปพพชติ ะ (บรรพชิต, นกั บวช — Pabbajita: a religious; holy man; monk) สามอยางแรกมชี ือ่ เรยี กรวมวา เทวทูต 3 เปน เครอื่ งหมายหรอื สัญญาณเตือนใหระลึกถึงความทกุ ขตามคตธิ รรมดาของชีวิตและบงั เกิดความสังเวช อยางทสี่ ีค่ ือบรรพชติ เปน เคร่อื งหมายใหม องเห็นทางออกท่ีจะพนไปจากทุกข บางแหงทา นเรียกรวมๆ ไปวา เทวทูต 4 โดยอธิบายชนั้หลังวา เปน ทูตของวสิ ุทธิเทพ แตต ามบาลีเรยี กวา นมิ ิต 4.D.II.22; Bv.XVII.14. ที.ม.10/32–38/24–35; ข.ุ พุทธ.33/26/544.[151] บริษัท 41 (ชุมนุม, ท่ีประชมุ , หมูแหงพทุ ธศาสนกิ , ชมุ ชนชาวพุทธ — Parisà: theFour Assemblies; companies)1. ภกิ ษุบรษิ ัท (Bhikkhu-parisà: assembly of monks; Bhikkhus)2. ภกิ ษุณีบรษิ ัท (Bhikkhunã-parisà: assembly of nuns; Bhikkhunis)3. อบุ าสกบริษัท (Upàsaka-parisà: assembly of lay-followers)4. อบุ าสกิ าบริษัท (Upàsikà-parisà: assembly of female lay-followers)A.II.132. อง.ฺ จตุกกฺ .21/129/178.[152] บริษัท 42 (ชมุ นมุ , ทป่ี ระชมุ , ชมุ ชนตามระบบสงั คม — Parisà: assembly; company)1. ขตั ติยบริษทั (ชมุ นุมเจานาย — Khattiya-parisà: company of noblemen)2. พราหมณบริษทั (ชมุ นุมพราหมณ — Bràhmaõa-parisà: company of brahmins)3. คหบดีบรษิ ัท (ชมุ นุมคฤหบดี — Gahapati-parisà: company of householders)4. สมณบรษิ ทั (ชุมนมุ สมณะ — Samaõa-parisà: company of recluses)A.II.132. อง.ฺ จตกุ กฺ .21/130/179.

[153] 120 พจนานุกรมพทุ ธศาสตร[153] บุคคล 4 (ประเภทของบคุ คล — Puggala: four kinds of persons) 1. อคุ ฆฏิตัญู (ผทู ่ีพอยกหวั ขอ กร็ ,ู ผูร เู ขาใจไดฉับพลนั แตพอทานยกหัวขอขน้ึ แสดง — Ugghañita¤¤å: a person of quick intuition; the genius; the intuitive) 2. วิปจิตญั ู (ผรู ตู อ เมื่อขยายความ, ผูรูเขา ใจได ตอเม่ือทานอธบิ ายความพสิ ดารออกไป — Vipacita¤¤å: a person who understands after a detailed treatment; the intellectual) 3. เนยยะ (ผทู พี่ อจะแนะนาํ ได, ผทู พี่ อจะคอ ยชแี้ จงแนะนาํ ใหเ ขา ใจได ดว ยวธิ กี ารฝก สอนอบรม ตอ ไป — Neyya: a person who is guidable; the trainable) 4. ปทปรมะ (ผมู ีบทเปนอยา งย่งิ , ผอู บั ปญ ญา สอนใหรไู ดแตเ พยี งตัวบทคอื พยัญชนะ หรอื ถอยคาํ ไมอาจเขา ใจอรรถคอื ความหมาย — Padaparama: a person who has just word of the text at most; an idiot)A.II.135; Pug 41; Nett.7,125. องฺ.จตุกกฺ .21/133/183; อภ.ิ ปุ.36/108/185.[154] ปฏิปทา 4 (แนวปฏบิ ตั ,ิ ทางดําเนนิ , การปฏบิ ตั ิแบบทเี่ ปน ทางดาํ เนนิ ใหถึงจดุ หมายคือความหลดุ พน หรือความสิ้นอาสวะ — Pañipadà: modes of practice; modes ofprogress to deliverance)1. ทกุ ฺขา ปฏิปทา ทนฺธาภิ ฺา (ปฏิบตั ิลาํ บาก ท้ังรไู ดช า เชนผูปฏิบัตทิ ีม่ ีราคะ โทสะ โมหะแรงกลา ตองเสวยทกุ ขโทมนสั เน่อื งจากราคะ โทสะ โมหะนน้ั อยูเ นอื งๆ หรอื เจรญิ กรรมฐานทม่ี ีอารมณไ มนาชนื่ ใจ เชน อสุภะ เปนตน อกี ทง้ั อนิ ทรียก ็ออน จึงบรรลุโลกตุ ตรมรรคลา ชา พระจกั ขุบาลอาจเปนตัวอยางในขอนีไ้ ด — Dukkhà pañipadà dandhàbhi¤¤à: painful progresswith slow insight)2. ทกุ ขฺ า ปฏปิ ทา ขปิ ปฺ าภิ ฺ า (ปฏบิ ตั ลิ าํ บาก แตร ไู ดเ รว็ เชน ผปู ฏบิ ตั ทิ ม่ี รี าคะ โทสะ โมหะแรงกลา ตอ งเสวยทกุ ขโ ทมนสั เนอื่ งจากราคะ โทสะ โมหะนน้ั อยเู นอื งๆ หรอื เจรญิ กรรมฐานทมี่ อี ารมณไ มนา ชน่ื ใจ เชน อสภุ ะ เปน ตน แตม อี นิ ทรยี แ กก ลา จงึ บรรลโุ ลกตุ ตรมรรคเรว็ ไว บาลยี กพระมหาโมคคลั ลานะเปน ตวั อยา ง — Dukkhà pañipadà khippàbhi¤¤à: painful progress with quickinsight)3. สขุ า ปฏิปทา ทนฺธาภิฺา (ปฏบิ ัตสิ บาย แตรูไดช า เชน ผปู ฏบิ ัตทิ ม่ี ีราคะ โทสะ โมหะไมแรงกลา ไมตอ งเสวยทกุ ขโ ทมนสั เนอ่ื งจากราคะ โทสะ โมหะนัน้ เนืองนติ ย หรอื เจรญิ สมาธิไดฌาน 4 อนั เปนสุขประณตี แตม อี ินทรยี ออน จึงบรรลุโลกตุ ตรมรรคลา ชา — Sukhà pañipadàdandhàbhi¤¤à: pleasant progress with slow insight)4. สขุ า ปฏปิ ทา ขปิ ปฺ าภิ ฺ า (ปฏบิ ตั สิ บาย ทง้ั รไู ดไ ว เชน ผปู ฏบิ ตั ทิ ม่ี รี าคะ โทสะ โมหะไมแ รงกลา ไมต อ งเสวยทกุ ขโ ทมนสั เนอ่ื งจากราคะ โทสะ โมหะนน้ั เนอื งนติ ย หรอื เจรญิ สมาธไิ ดฌ าน 4 อนัเปน สขุ ประณตี อกี ทงั้ มอี นิ ทรยี แ กก ลา จงึ บรรลโุ ลกตุ ตรมรรคเรว็ ไว บาลยี กพระสารบี ตุ รเปน ตวั อยา ง— Sukhà pañipadà khippàbhi¤¤à: pleasant progress with quick insight)A.II.149–152,154–5. อง.ฺ จตุกฺก.21/161–3/200–4; 167–8/207–9.

หมวด 4 121 [157][155] ปฏิสัมภิทา 4 (ปญญาแตกฉาน — Pañisambhidà: analytic insight; penetrating insight; discrimination) 1. อตั ถปฏิสมั ภทิ า (ปญญาแตกฉานในอรรถ, ปรีชาแจง ในความหมาย, เหน็ ขอธรรมหรอื ความยอ ก็สามารถแยกแยะอธิบายขยายออกไปไดโ ดยพิสดาร เห็นเหตอุ ยางหนึ่ง กส็ ามารถคดิ แยกแยะกระจายเช่อื มโยงตอ ออกไปไดจ นลว งรูถึงผล — Attha-pañisambhidà: discrimi- nation of meanings; analytic insight of consequence) 2. ธมั มปฏสิ มั ภทิ า (ปญ ญาแตกฉานในธรรม, ปรชี าแจง ในหลกั , เหน็ อรรถาธบิ ายพสิ ดาร ก็ สามารถจบั ใจความมาตง้ั เปน กระทหู รอื หวั ขอ ได เหน็ ผลอยา งหนง่ึ กส็ ามารถสบื สาวกลบั ไปหาเหตุ ได — Dhamma-pañisambhidà: discrimination of ideas; analytic insight of origin) 3. นริ ตุ ติปฏสิ ัมภทิ า (ปญ ญาแตกฉานในนริ ุกต,ิ ปรีชาแจงในภาษา, รศู พั ท ถอ ยคําบญั ญัติ และภาษาตางๆ เขา ใจใชค าํ พูดชแี้ จงใหผอู น่ื เขา ใจและเห็นตามได — Nirutti-pañisambhidà: discrimination of language; analytic insight of philology) 4. ปฏภิ าณปฏสิ มั ภทิ า (ปญ ญาแตกฉานในปฏภิ าณ, ปรชี าแจง ในความคดิ ทนั การ, มไี หวพรบิ ซมึ ซาบในความรูท ี่มีอยู เอามาเชอื่ มโยงเขาสรางความคดิ และเหตุผลขึ้นใหม ใชป ระโยชนไ ดส บ เหมาะ เขา กบั กรณเี ขา กบั เหตกุ ารณ — Pañibhàõa-pañisambhidà: discrimination of sagacity; analytic insight of ready wit; initiative, creative and applicative insight)A.II.160; Ps.I.119; Vbh.294. องฺ.จตกุ ฺก.21/172/216; ข.ุ ปฏ.ิ 31/268/175; อภิ.วิ.35/784/400.[156] ปธาน 4 (ความเพียร — Padhàna: effort; exertion) 1. สงั วรปธาน (เพยี รระวงั หรือเพยี รปด กั้น คือ เพียรระวังยบั ยง้ั บาปอกุศลธรรมทย่ี ังไมเกดิ มิ ใหเกิดขึน้ — Sa§vara-padhàna: the effort to prevent; effort to avoid) 2. ปหานปธาน (เพียรละหรือเพียรกําจัด คือ เพียรละบาปอกศุ ลธรรมทเี่ กิดขนึ้ แลว — Pahàna-padhàna: the effort to abandon; effort to overcome) 3. ภาวนาปธาน (เพยี รเจริญ หรอื เพียรกอใหเกดิ คอื เพยี รทํากศุ ลธรรมที่ยังไมเ กดิ ใหเ กิดมี ข้นึ — Bhàvanà-padhàna: the effort to develop) 4. อนรุ ักขนาปธาน (เพียรรักษา คอื เพียรรักษากุศลธรรมทเี่ กดิ ขนึ้ แลวใหต งั้ ม่ัน และให เจรญิ ย่ิงขน้ึ ไปจนไพบูลย — Anurakkhanà-padhàna: the effort to maintain) ปธาน 4 นี้ เรียกอกี อยางวา สัมมปั ปธาน 4 (ความเพยี รชอบ, ความเพยี รใหญ — Sammappadhàna: right exertions; great or perfect efforts)A.II.74,16,15. องฺ.จตกุ ฺก.21/69/96; 14/20; 13/19.[157] ปรมัตถธรรม 4 (สภาวะท่ีมีอยูโดยปรมัตถ, สิ่งท่ีเปนจริงโดยความหมายสูง สุด — Paramattha-dhamma: ultimate realities; abstract realities; realities in the

[158] 122 พจนานุกรมพทุ ธศาสตรultimate sense)1. จติ (สภาพที่คิด, ภาวะท่รี ูแจงอารมณ — Citta: consciousness; state of conscious-ness)2. เจตสกิ (สภาวะท่ีประกอบกับจิต, คณุ สมบัติและอาการของจิต — Cetasika: mentalfactors)3. รูป (สภาวะที่เปนราง พรอมทัง้ คุณและอาการ — Råpa: matter; corporeality)4. นิพพาน (สภาวะทสี่ ิ้นกเิ ลสและทุกขท ง้ั ปวง, สภาวะทป่ี ราศจากตัณหา — Nibbàna)ดู รายละเอียดแตล ะอยา งใน [356] จิต 89; [355] เจตสกิ 52; [38] รปู 28; [27] นิพพาน 2.Comp.81. สงคฺ ห.1.[158] ประมาณ หรอื ปมาณิก 4 (บุคคลท่ีถอื ประมาณตางๆ กัน, คนในโลกผถู ือเอา คุณสมบัติตางๆ กัน เปนเครื่องวัดในการที่จะเกิดความเช่ือความเล่ือมใส — Pamàõa, Pamàõika: those who measure, judge or take standard) 1. รูปประมาณ (ผูถือประมาณในรปู , บคุ คลท่ีมองเห็นรูปรา งสวยงาม ทรวดทรงดี อวยั วะ สมสวน ทาทางสงา สมบรู ณพ รอม จงึ ชอบใจเลือ่ มใสนอ มใจท่จี ะเชอ่ื ถอื — Råpa-pamàõa:one who measures by form or outward appearance; one whose faith depends ongood appearance)2. โฆษประมาณ (ผถู ือประมาณในเสียง, บคุ คลท่ีไดยนิ ไดฟ ง เสยี งสรรเสรญิ เกยี รตคิ ุณหรือเสยี งพูดจาทไี่ พเราะ จงึ ชอบใจเลื่อมใสนอมใจที่จะเชื่อถือ — Ghosa-pamàõa: one whomeasures by voice or reputation; one whose faith depends on sweet voice orgood reputation)3. ลูขประมาณ (ผถู ือประมาณในความคราํ่ หรือเศราหมอง, บคุ คลทีม่ องเหน็ ส่ิงของเครอ่ื งใชความเปนอยูท่ีเศราหมอง เชน จีวรคร่ําๆ เปนตน หรือมองเห็นการกระทาํ ครํ่าเครียดเปนทุกรกิริยา ประพฤติเครงครัดเขมงวดขูดเกลาตน จึงชอบใจเล่ือมใสนอมใจที่จะเช่ือถือ —Låkha-pamàõa: one who measures or judges by shabbiness, mediocrity or hardlife; one whose faith depends on shabbiness or ascetic or self-denying practices)4. ธรรมประมาณ (ผูถอื ประมาณในธรรม, บคุ คลที่พิจารณาดว ยปญ ญาเหน็ สารธรรมหรือการปฏบิ ตั ดิ ปี ฏิบัติชอบ คือ ศีล สมาธิ ปญ ญา จงึ ชอบใจเลอ่ื มใสนอ มใจท่จี ะเชือ่ ถอื — Dhamma-pamàõa: one who measures or judges by the teaching or righteous behaviour;one whose faith depends on right teachings and practices) บุคคล 3 จําพวกตน ยงั มีทางพลาดไดมาก โดยอาจเกดิ ความติดใคร ถูกครอบงาํ ชกั พาไปดวยความหลง ถูกพดั วนเวยี นหรอื ติดอยูแคภ ายนอก ไมรูจกั คนที่ตนมองไดอ ยา งแทจ รงิ และไมเขา ถึงสาระ สวนผูถอื ธรรมเปน ประมาณ จึงจะรูชดั คนที่ตนมองอยางแทจ รงิ ไมถูกพัดพาไป

หมวด 4 123 [160]เขาถงึ ธรรมทป่ี ราศจากสงิ่ ครอบคลุม พระพทุ ธเจา ทรงมีพระคุณสมบัตสิ มกบั ทั้งสขี่ อ (เฉพาะขอ 3 ทรงถอื แตพอดี) จงึ ทรงครองใจคนทกุ จําพวกไดทัง้ หมด คนท่ีเหน็ พระพทุ ธเจาแลว ท่จี ะไมเลอ่ื มใสนั้น หาไดยากยงิ่ นัก ในช้ันอรรถกถา นิยมเรียกบคุ คล 4 ประเภทน้วี า รปู ป ปมาณิกา โฆสัปปมาณกิ าลูขัปปมาณกิ า และ ธมั มัปปมาณกิ า ตามลาํ ดบัA.II.71; Pug.7,53; DhA.114; SnA.242. อง.ฺ จตุกกฺ .21/65/93; อภิ.ป.ุ 36/10/135; 133/204; ธ.อ.5/100; สุตฺต.อ.1/329.[159] ปจจัย 4 (สงิ่ คา้ํ จนุ ชีวิต, ส่ิงจําเปน เบ้ืองตนของชีวิต, สงิ่ ทีต่ อ งอาศยั เลี้ยงอัตภาพ —Paccaya: the four necessities of life; requisites)1. จวี ร (ผา นงุ หม — Cãvara: robes; clothing)2. บิณฑบาต (อาหาร — Piõóapàta: almsfood; food)3. เสนาสนะ (ท่ีอยูอาศยั , ทน่ี ัง่ ท่นี อน — Senàsana: lodging)4. คลิ านปจ จยั เภสชั บรขิ าร หรอื เภสชั (ยาและอปุ กรณร กั ษาโรค — Bhesajja: medicine;medical equipment) ส่อี ยา งนี้ สาํ หรับภกิ ษุ จาํ กดั เขา อกี เรยี กวา นสิ สัย 4 แปลวา เครอ่ื งอาศยั ของบรรพชิต(Nissaya: resources; means of support on which the monastic life depends)1. ปณ ฑิยาโลปโภชนะ (โภชนะคอื คาํ ขา วทไี่ ดมาดวยกาํ ลังปลแี ขง — Piõóiyàlopa-bhojana:almsfood of scraps; food obtained by going on the alms-gathering)2. บงั สุกุลจีวร (ผา ทเ่ี ขาทง้ิ ตามกองขยะหรอื ตามปา ชา — Pa§sukålacãvara: discardedcloth taken from the rubbish heap or the charnel ground; rag-robes)3. รกุ ขมลู เสนาสนะ (อยอู าศยั โคนไม — Rukkhamålasenàsana: dwelling at the footof a tree)4. ปูติมุตตเภสชั (ยานํา้ มตู รเนา — Påtimuttabhesajja: medicines pickled in staleurine: ammonia as a medicine) สว นทอ่ี นญุ าตนอกเหนอื จากนเ้ี ปน อดเิ รกลาภ (extra acquisitions; extra allowance)Vin.I.58. วินย.4/87/106.[,,,] ปญญาวุฒิธรรม 4 ดู [179] วฒุ ธิ รรม 4[160] ปาริสุทธิศีล 4 (ศีลคือความบรสิ ทุ ธ์,ิ ศีลเครื่องใหบ รสิ ทุ ธ,ิ์ ความประพฤติบริสทุ ธ์ทิ ่จี ดั เปนศีล — Pàrisuddhi-sãla: morality consisting in purity; morality forpurification; morality of pure conduct)1. ปาฏิโมกขสังวรศีล (ศีลคือความสํารวมในพระปาฏิโมกข เวนจากขอหาม ทําตามขออนญุ าต ประพฤติเครง ครัดในสิกขาบทท้ังหลาย — Pàñimokkhasa§vara-sãla: restraint in

[161] 124 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตรaccordance with the monastic disciplinary code)2. อินทรยี สังวรศลี (ศีลคือความสาํ รวมอนิ ทรยี  ระวังไมใหบ าปอกศุ ลธรรมครอบงาํ เมอ่ื รบั รูอารมณด ว ยอนิ ทรยี ท งั้ 6 — Indriyasa§vara-sãla: restraint of the senses; sense-control)3. อาชวี ปารสิ ทุ ธศิ ีล (ศลี คอื ความบริสทุ ธิ์แหงอาชีวะ เลยี้ งชีวติ โดยทางท่ีชอบ ไมป ระกอบอเนสนา มีหลอกลวงเขาเลยี้ งชพี เปนตน — âjãvapàrisuddhi-sãla: purity of conduct asregards livelihood)4. ปจ จยั สนั นสิ ติ ศีล (ศีลท่ีเกี่ยวกบั ปจ จัย 4 ไดแ กปจจยั ปจจเวกขณ คือพิจารณาใชส อยปจจัยส่ี ใหเปนไปตามความหมายและประโยชนของส่ิงนั้น ไมบริโภคดวยตัณหา —Paccayasannissita-sãla: pure conduct as regards the necessities of life)Vism.16; Comp.212. วสิ ทุ ฺธิ.1/19; สงคฺ ห.55.[,,,] ผล 4 ดู [165] ผล 4.[,,,] พร 4 ดู [227] พร 5.[161] พรหมวิหาร 4 (ธรรมเครื่องอยอู ยา งประเสรฐิ , ธรรมประจําใจอันประเสรฐิ , หลกัความประพฤตทิ ีป่ ระเสรฐิ บรสิ ทุ ธ์,ิ ธรรมท่ตี องมีไวเ ปนหลักใจและกาํ กบั ความประพฤติ จึงจะช่อืวาดําเนินชวี ิตหมดจด และปฏิบตั ิตนตอมนุษยสตั วทง้ั หลายโดยชอบ — Brahmavihàra: holyabidings; sublime states of mind)1. เมตตา (ความรกั ปรารถนาดอี ยากใหเขามคี วามสุข มีจติ อนั แผไมตรแี ละคิดทําประโยชนแกมนุษยส ัตวท่ัวหนา — Mettà: loving-kindness; friendliness; goodwill)2. กรุณา (ความสงสาร คดิ ชวยใหพ นทกุ ข ใฝใจในอนั จะปลดเปล้ืองบําบัดความทุกขยากเดอื ดรอ นของปวงสัตว — Karuõà: compassion)3. มุทติ า (ความยนิ ดี ในเมอ่ื ผอู น่ื อยูด ีมสี ขุ มจี ิตผอ งใสบันเทิง กอปรดว ยอาการแชม ชื่นเบิกบานอยเู สมอ ตอ สัตวท้ังหลายผูดํารงในปกตสิ ุข พลอยยินดดี วยเมือ่ เขาไดดีมสี ุข เจริญงอกงามยิง่ ข้ึนไป — Mudità: sympathetic joy; altruistic joy)4. อุเบกขา (ความวางใจเปนกลาง อันจะใหด ํารงอยใู นธรรมตามทีพ่ ิจารณาเห็นดว ยปญญา คอืมีจติ เรียบตรงเทยี่ งธรรมดจุ ตราชู ไมเ อนเอียงดว ยรักและชัง พิจารณาเห็นกรรมทสี่ ัตวท ้งั หลายกระทําแลว อันควรไดรับผลดีหรือช่วั สมควรแกเหตอุ ันตนประกอบ พรอมทจี่ ะวนิ จิ ฉัยและปฏิบัตไิ ปตามธรรม รวมทงั้ รจู ักวางเฉยสงบใจมองดู ในเมอื่ ไมมีกิจทีค่ วรทาํ เพราะเขารับผิดชอบตนไดดแี ลว เขาสมควรรบั ผดิ ชอบตนเอง หรือเขาควรไดรับผลอนั สมกบั ความรับผิดชอบของตน— Upekkhà: equanimity; neutrality; poise) ผดู าํ รงในพรหมวหิ าร ยอ มชวยเหลอื มนษุ ยส ตั วท้ังหลายดวยเมตตากรุณา และยอ มรกั ษาธรรมไวไ ดดว ยอุเบกขา ดังนัน้ แมจะมกี รุณาทจี่ ะชว ยเหลอื ปวงสัตวแ ตก ต็ อ งมีอุเบกขาดวยท่จี ะมิใหเสียธรรม

หมวด 4 125 [161] พรหมวิหารนี้ บางทีแปลวา ธรรมเครอื่ งอยขู องพรหม, ธรรมเครื่องอยอู ยางพรหม, ธรรม ประจําใจที่ทาํ ใหเปนพรหมหรือใหเสมอดวยพรหม, หรอื ธรรมเครอ่ื งอยขู องทานผูมคี ณุ ยิง่ ใหญ — (abidings of the Great Ones) พรหมวหิ าร 4 เรียกอกี อยา งวา อปั ปมัญญา 4 (Appama¤¤à: unbounded states of mind; illimitables) เพราะแผส ม่าํ เสมอโดยท่วั ไปในมนษุ ยสตั วท ง้ั หลาย ไมมีประมาณ ไม จาํ กดั ขอบเขต พรหมวหิ ารมใี นผใู ด ยอ มทาํ ใหผ นู นั้ ประพฤตปิ ฏบิ ตั เิ กอ้ื กลู แกผ อู น่ื ดว ยสงั คหวตั ถเุ ปน ตน . อนง่ึ ในการที่จะเขาใจและปฏิบัติพรหมวิหาร 4 ใหถูกตอง พึงทราบรายละเอียดบางอยา ง โดยเฉพาะสมบตั ิ และวิบตั ิ ของธรรม 4 ประการนนั้ ดังน้ี ก. ความหมายโดยวเิ คราะหศัพท 1. เมตตา = (มนี าํ้ ใจ)เยอื่ ใยใฝป ระโยชนส ขุ แกค นสตั วท ง้ั หลาย หรอื นา้ํ ใจปรารถนาประโยชนส ขุ ที่ เปนไปตอ มติ ร 2. กรุณา = ทาํ ความสะเทือนใจแกสาธุชน เม่อื คนอื่นประสบทุกข หรอื ถา ยถอนทําทุกขของผอู ่ืน ใหห มดไป หรือแผใ จไปรับรูตอคนสตั วท้งั หลายทีป่ ระสบทกุ ข 3. มุทิตา = โมทนายนิ ดีตอ ผปู ระกอบดวยสมบตั ิหรือผลดนี ้ันๆ 4. อุเบกขา = คอยมองดอู ยู โดยละความขวนขวายวา สัตวท งั้ หลายจงอยา ผูกเวรกนั เปนตน และโดยเขาถงึ ความเปนกลาง ข. ลกั ษณะ หนาท่ีหรอื กิจ (รส) ผลปรากฏ (ปจจุปฏ ฐาน) และปทสั ถาน (เหตุใกล) 1. เมตตา = (ในสถานการณท่ีคนอ่นื อยูเปน ปกต)ิ ลกั ษณะ = เปน ไปโดยอาการเกือ้ กูลแกคนสตั วท งั้ หลาย หนาท่ี = นอมนาํ ประโยชนเ ขา ไปใหแกเขา ผลปรากฏ = กําจดั ความอาฆาตแคนเคืองใหป ราศไป ปทสั ถาน = เหน็ ภาวะท่นี าเจริญใจของคนสตั วท งั้ หลาย 2. กรุณา = (ในสถานการณทค่ี นอน่ื ตกทุกขเ ดอื ดรอน) ลกั ษณะ = เปนไปโดยอาการปลดเปลอ้ื งทกุ ขแกคนสตั วท ้งั หลาย หนาท่ี = ไมน งิ่ ดดู าย/ทนนง่ิ อยไู มไดต อ ทุกขข องคนสตั วทัง้ หลาย ผลปรากฏ = ไมเ บยี ดเบยี น/อวิหิงสา ปทสั ถาน = เห็นภาวะไรท ีพ่ ่ึง/สภาพนาอนาถของคนสตั วทั้งหลายท่ีถูกทกุ ขค รอบงํา 3. มทุ ติ า = (ในสถานการณท่ีคนอ่ืนมีสขุ สาํ เรจ็ หรือทาํ อะไรกาวไปดวยดี) ลกั ษณะ = พลอยยินดี/ยนิ ดีดว ย หนาที่ = ไมริษยา/เปน ปฏปิ กษตอความรษิ ยา ผลปรากฏ = ขจดั ความรษิ ยา ความไมยนิ ดหี รือความทนไมไดตอ ความสขุ สาํ เร็จของผูอ่นื

[161] 126 พจนานุกรมพทุ ธศาสตร ปทัสถาน = เหน็ สมบตั /ิ ความสําเรจ็ ของคนสตั วทงั้ หลาย4. อเุ บกขา = (ในสถานการณรกั ษาธรรมตามความรบั ผดิ ชอบตอ กรรมทเ่ี ขาทาํ ) ลกั ษณะ = เปนไปโดยอาการเปน กลางตอคนสตั วท้งั หลาย หนาที่ = มองเหน็ ความเสมอภาคกนั ในสตั วทงั้ หลาย ผลปรากฏ = ระงับความขัดเคอื งเสยี ใจและความคลอ ยตามดีใจ ปทัสถาน = มองเหน็ ภาวะท่ที ุกคนเปน เจา ของกรรมของตน วา สัตวท้ังหลายจักไดส ุข พน ทุกข ไมเ สอื่ มจากสมบตั ิท่ไี ดท ี่ถึง ตามใจชอบไดอยา งไรค. สมบัติ (ความสมบรู ณหรือความสมั ฤทธิ์ผล) และวบิ ัติ (ความลมเหลว หรอื การปฏิบตั ผิ ิดพลาด ไมสําเรจ็ ผล)1. เมตตา: สมบัติ = สงบหายไรค วามแคนเคอื งไมพอใจ วบิ ตั ิ = เกิดเสนหา2. กรุณา: สมบัติ = สงบหายไรวิหงิ สา วบิ ตั ิ = เกดิ ความโศกเศรา3. มุทิตา: สมบตั ิ = สงบหายไรความริษยา วบิ ตั ิ = เกดิ ความสนกุ สนาน4. อุเบกขา: สมบัติ = สงบหายไมม ีความยินดียนิ รา ย วิบตั ิ = เกิดความเฉยดว ยไมร ู (เฉยโง เฉยเมย เฉยเมนิ )ง. ขาศึก คือ อกศุ ลซ่งึ เปน ศตั รูคปู รบั ท่จี ะทาํ ลายหรอื ทาํ ธรรมนนั้ ๆ ใหเสียไป1. เมตตา: ขาศกึ ใกล = ราคะ ขาศึกไกล = พยาบาท คอื ความขดั เคอื งไมพ อใจ2. กรณุ า: ขาศกึ ใกล = โทมนสั คอื ความโศกเศราเสยี ใจ ขาศึกไกล = วิหงิ สา3. มุทิตา: ขา ศึกใกล = โสมนสั (เชน ดใี จวา ตนจะพลอยไดรบั ผลประโยชน) ขาศกึ ไกล = อรติ คือความไมย นิ ดี ไมใ ยดี รษิ ยา4. อุเบกขา: ขา ศึกใกล = อญั ญาณุเบกขา (เฉยไมร ูเร่อื ง เฉยโง เฉยเมย) ขาศึกไกล = ราคะ (ความใคร) และปฏิฆะ (ความเคอื ง) หรือชอบใจและขดั ใจจ. ตวั อยางมาตรฐาน ทแ่ี สดงความหมายของพรหมวิหารไดช ัด ซ่ึงคัมภีรทงั้ หลายมักยกขึน้ อาง1. เมอ่ื ลกู ยังเล็กเปน เดก็ เยาวว ัย แม – เมตตา รักใครเอาใจใส ถนอมเลี้ยงใหเจริญเตบิ โต2. เมือ่ ลกู เจ็บไขเ กดิ มีทุกขภ ัย แม – กรณุ า หวงใยปกปกรักษา หาทางบําบัดแกไข

หมวด 4 127 [163]3. เมอ่ื ลูกเจรญิ วัยเปนหนมุ สาวสวยสงาแม – มุทติ า พลอยปลาบปลม้ื ใจ หวงั ใหล กู งามสดใสอยูนานเทา นาน4. เมื่อลกู รบั ผิดชอบกจิ หนาท่ขี องตนขวนขวายอยดู ว ยดีแม – อเุ บกขา มีใจน่ิงสงบเปน กลาง วางเฉยคอยดู พึงทราบดว ยวา ฉันทะ คอื กัตตกุ ัมยตาฉนั ทะ (ความอยากจะทาํ ใหด ี หรอื ความตอ งการท่ีจะทําใหคนสัตวท้ังหลายดีงามสมบูรณปราศจากโทษขอบกพรอง เชน อยากใหเขาประสบประโยชนสุข พนจากทกุ ขเ ปน ตน) เปน จดุ ตั้งตน (อาท)ิ ของพรหมวหิ ารท้งั 4 นี้ การขมระงบักเิ ลส (เชนนวิ รณ) ได เปนทามกลาง สมาธิถึงขัน้ อปั ปนา (คอื ภาวะจิตท่ีมน่ั คงเรยี บรื่นสงบสนิทดีท่สี ดุ ) เปน ท่ีจบ ของพรหมวหิ ารทัง้ 4 นนั้AIII.226; Dhs.262; Vism.320. องฺ.ปจฺ ก 22/192/252; อภ.ิ ส.ํ 34/190/75; วิสทุ ธฺ ิ.2/124.[,,,] พละ ดู [229] พละ 4.[,,,] พุทธลีลาในการสอน 4 ดู [172] ลลี าการสอน 4.[,,,] ภาวนา 4 ดู [37] ภาวนา 4.[,,,] ภาวิต 4 ดู [37] ภาวนา 4.[162] ภูมิ 4 (ชัน้ แหงจติ , ระดับจติ ใจ, ระดับชวี ิต — Bhåmi: planes of consciousness;planes of existence; degrees of spiritual development)1. กามาวจรภมู ิ (ชัน้ ทีท่ องเท่ียวอยใู นกาม, ระดบั จติ ใจทย่ี งั ปรารภกามเปนอารมณ คือยังเก่ียวของกับกามคุณ, ระดับจิตใจของสัตวในกามภพทั้ง 11 ชั้น — Kàmàvacara-bhåmi:Sensuous Plane)2. รปู าวจรภมู ิ (ช้ันที่ทองเทย่ี วอยูในรปู , ระดบั จติ ใจทีป่ รารภรปู ธรรมเปน อารมณ, ระดบั จติ ใจของทา นผไู ดฌ านหรอื ผูอยูในรปู ภพทง้ั 16 ชนั้ — Råpàvacara-bhåmi: form-plane)3. อรูปาวจรภูมิ (ชั้นทที่ อ งเท่ียวอยใู นอรปู , ระดบั จติ ใจทปี่ รารภอรูปธรรมเปนอารมณ, ระดับจิตใจของทา นผูไดอ รปู ฌาน หรอื ผูอยใู นอรปู ภพทงั้ 4 ชน้ั — Aråpàvacara-bhåmi: FormlessPlane)4. โลกตุ ตรภูมิ (ชน้ั ทพ่ี น จากโลก, ระดบั แหง โลกตุ ตรธรรม, ระดบั จติ ใจของพระอรยิ เจา อนั พนแลว จากโลกยี ภมู ิ 3 ขางตน — Lokuttara-bhåmi: supramundane plane) ขอน้ใี นบาลที ่มี าเรยี กวา อปรยิ าปนนภูมิ (ขัน้ ท่ไี มน ับเนอื่ งในวัฏฏะ, ระดบั ทไี่ มถกู จํากดั — unbelonging orunlimited plane).ดู [98] ภพ 3 และ [351] ภูมิ 4, 31 ดวย.Ps.I.83. ข.ุ ปฏิ.31/171/122.[163] โภควิภาค 4 (การแบง โภคะเปน 4 สวน, หลักการแบงทรัพยโดยจัดสรรเปน 4

[164] 128 พจนานุกรมพทุ ธศาสตรสวน — Bhogavibhàga: fourfold division of money)1. เอเกน โภเค ภุฺเชยยฺ (1 สว น ใชจ ายเล้ียงตน เล้ียงคนท่ีควรบํารงุ และทําประโยชน —On one part he should live and do his duties towards others.)2.–3. ทฺวีหิ กมมฺ ํ ปโยชเย (2 สว น ใชลงทนุ ประกอบการงาน — With two parts heshould expand his business)4. จตตุ ฺถฺจ นิธาเปยฺย (อกี 1 สวน เกบ็ ไวใชในคราวจําเปน — And he should save thefourth for a rainy day.)D.III.188. ท.ี ปา.11/197/202.[164] มรรค 4 (ทางเขาถงึ ความเปน อริยบคุ คล, ญาณท่ีทําใหล ะสงั โยชนไดขาด — Magga:the path)1. โสดาปต ตมิ รรค (มรรคอนั ใหถ งึ กระแสทนี่ าํ ไปสพู ระนพิ พานทแี รก, มรรคอนั ใหถ งึ ความเปนพระโสดาบนั เปน เหตลุ ะสงั โยชนไ ด 3 คอื สกั กายทฏิ ฐิ วจิ กิ จิ ฉา สลี พั พตปรามาส — Sotàpatti-magga: the Path of Stream-Entry)2. สกทาคามิมรรค (มรรคอันใหถ งึ ความเปน พระสกทาคามี เปน เหตลุ ะสงั โยชนได 3 ขอตนกบั ทาํ ราคะ โทสะ โมหะ ใหเ บาบางลง — Sakadàgàmi-magga: the Path of Once-Returning)3. อนาคามมิ รรค (มรรคอันใหถึงความเปนพระอนาคามี เปนเหตลุ ะสังโยชนเ บ้ืองตาํ่ ไดท ง้ั 5— Anàgàmi-magga: the Path of Non-Returning)4. อรหตั ตมรรค (มรรคอันใหถึงความเปน พระอรหันต เปนเหตุละสังโยชนไดห มดทง้ั 10 —Arahatta-magga: the Path of Arahantship)ดู [329] สังโยชน 101.Vbh.335. อภ.ิ ว.ิ 35/837/453.[165] ผล 4 (ผลท่เี กดิ สืบเนอ่ื งจากการละกเิ ลสไดด วยมรรค, ธรรมารมณอ ันพระอรยิ ะพงึเสวย ท่เี ปนผลเกิดเองในเม่อื กเิ ลสส้นิ ไปดว ยอํานาจมรรคนน้ั ๆ — Phala: fruition)1. โสดาปต ติผล (ผลแหง การเขาถึงกระแสท่ีนําไปสูพระนพิ พาน, ผลอนั พระโสดาบนั พงึ เสวย— Sotàpatti-phala: the Fruition of Stream-Entry)2. สกทาคามิผล (ผลอนั พระสกทาคามีพึงเสวย — Sakadàgàmi-phala: the Fruition ofOnce-Returning)3. อนาคามผิ ล (ผลอันพระอนาคามพี งึ เสวย — Anàgàmi-phala: the Fruition of Non-Returning)4. อรหตั ตผล (ผลคือความเปน พระอรหนั ต, ผลอันพระอรหันตพ งึ เสวย — Arahatta-phala:the Fruition of Arahantship) ผล 4 น้ี บางทีเ่ รียกวา สามัญญผล (ผลของความเปน สมณะ, ผลแหงการบาํ เพญ็ สมณ-

หมวด 4 129 [166]ธรรม — Sàma¤¤a-phala: fruits of a monk’s life; fruits of the monkhood)D.III.227; Vbh.335. ที.ปา.11/242/240; อภิ.ว.ิ 35/837/453.[166] มหาปเทส 41 (ท่ีอางอิงขอใหญ, หลักใหญสําหรับอางเพื่อสอบสวนเทียบเคียงหมวดท่ี 1 วา ดว ยหลกั ทว่ั ไป — Mahàpadesa: great authorities; principal referencesor citations)1. หากมภี กิ ษกุ ลา ววา ขาพเจา ไดส ดับรับมาเฉพาะพระพกั ตรข องพระผมู ีพระภาควา น้ีเปน ธรรมนเี้ ปนวนิ ัย นเี้ ปนสัตถสุ าสน (A monk might say: “Face to face with the Blessed Onedid I hear this; face to face with him did I receive this. This is the Doctrine, thisis the Discipline, this is the Master’s teaching.”)2. หากมีภกิ ษกุ ลาววา ในอาวาสช่อื โนน มสี งฆอ ยู พรอมดวยพระเถระ พรอ มดว ยปาโมกขขา พเจา ไดสดับรบั มาเฉพาะหนาสงฆน นั้ วา น้ีเปน ธรรม น้ีเปนวินยั นี้เปนสัตถุสาสน (A monkmight say: “In such and such a monastery resides an Order together with an eldermonk, together with a leader. Face to face with that Order did I hear this; ...)3. หากมภี กิ ษกุ ลา ววา ในอาวาสชอื่ โนน มภี กิ ษผุ เู ปน พระเถระอยจู าํ นวนมาก เปน พหสู ตู ถงึ อาคม(คอื ชาํ นาญในพทุ ธพจนท ง้ั 5 นกิ าย) ทรงธรรม ทรงวนิ ยั ทรงมาตกิ า ขา พเจา ไดส ดบั รบั มาเฉพาะหนา พระเถระเหลา นนั้ วา นเี้ ปน ธรรม นเ้ี ปน วนิ ยั นเ้ี ปน สตั ถสุ าสน (A monk might say: “Insuch and such a monastery reside a great number of elder monks, widely learned,versed in the Collections, expert on the Doctrine, expert on the Discipline, experton the Summaries. In the presence of those monks did I hear this; ...)4. หากมีภิกษกุ ลาววา ในอาวาสชอ่ื โนน มีภิกษุผูเปน พระเถระอยรู ูปหนึ่ง เปนพหูสตู ถึงอาคมทรงธรรม ทรงวินัย ทรงมาติกา ขาพเจา ไดส ดบั รบั มาเฉพาะหนา พระเถระรปู น้นั วา นี้เปนธรรม นี้เปน วินัย น้เี ปน สตั ถสุ าสน (A monk might say: “In such and such a monasteryresides an elder monk of wide learning ...) เธอทง้ั หลาย ยังไมพ งึ ช่ืนชม ยังไมพงึ คัดคานคาํ กลา วของผนู ัน้ พงึ เรยี นบทและพยัญชนะ(ทั้งขอ ความและถอยคาํ ) เหลา นัน้ ใหด ีแลว พึงสอบดูในสูตรเทียบดใู นวินยั (The words ofthat monk are neither to be welcomed nor scorned, the words and syllablesthereof are to be studied thoroughly, laid beside the Discourses and comparedwith the Discipline.)ก. ถา บทและพยัญชนะเหลาน้ัน สอบลงในสูตรกไ็ มไ ด เทียบเขาในวินัยกไ็ มได พงึ ลงสันนิษฐานวา น้มี ใิ ชดาํ รัสของพระผูมพี ระภาคแนน อน ภิกษุนี้ (สงฆนัน้ พระเถระเหลา นน้ั พระเถระรูปนน้ั )ถือไวผดิ พึงทิ้งเสยี (If, when laid beside the Discourses and compared with theDiscipline, these words and syllables lie not along with the Discourses andagree not with the Discipline then you may come to the conclusion: Surely this

[167] 130 พจนานุกรมพทุ ธศาสตรis not the word of the Blessed One, and it has been wrongly grasped by thatmonk. Then reject it.ข. ถา บทและพยญั ชนะเหลานน้ั สอบลงในสูตรก็ได เทยี บเขาในวนิ ยั กไ็ ด พงึ ลงสันนษิ ฐานวา น้ีเปนดาํ รสั ของพระผมู ีพระภาคแนแ ท ภิกษนุ ี้ (สงฆน ั้น พระเถระเหลานัน้ พระเถระรูปนัน้ ) รบั มาดว ยดี (If, ... they lie along with the Discourses and agree with the Discipline...Surely this is the word of the Blessed One ...) โดยสรปุ คอื การยกขอ อา งหรอื หลกั ฐาน 4 (the four principal appeals to authority) คอื1. พุทธาปเทส (ยกเอาพระพุทธเจาข้ึนอาง — Buddhàpadesa: the appeal to theEnlightened One as authority)2. สงั ฆาปเทส (ยกเอาคณะสงฆข้ึนอา ง — Saïghàpadesa: the appeal to a communityof monks or an Order as authority)3. สัมพหุลัตเถราปเทส (ยกเอาพระเถระจาํ นวนมากข้นึ อา ง — Sambahulattheràpadesa:the appeal to a number of elders as authority) เรียกงายๆ วา สัมพหลุ เถราปเทส4. เอกตั เถราปเทส (ยกเอาพระเถระรูปหน่ึงขนึ้ อา ง — Ekattheràpadesa: the appeal to asingle elder as authority) เรียกงา ยๆ วา เอกเถราปเทส ในคมั ภีรรนุ ฎีกา (เชน อง.ฺ ฏ.ี 2/443) เรียกขอที่ 3 วา คณาปเทส (Gaõàpadesa) และขอ ที่4 วา ปุคคลาปเทส (Puggalàpadesa)D.II.123; A.II.167. ที.ม.10/113/144; อง.ฺ จตกุ ฺก.21/180/227.[167] มหาปเทส 42 หมวดท่ี 2 เฉพาะในทางพระวินัย — Mahàpadesa: greatauthorities; principal references)1. สงิ่ ใดไมไ ดท รงหา มไวว า ไมค วร แตเ ขา กนั กบั สง่ิ ทไ่ี มค วร (อกปั ปย ะ) ขดั กบั สงิ่ ทคี่ วร (กปั ปย ะ)สง่ิ นนั้ ไมค วร(Whatever has not been objected to as not allowable, if it fits in with what isnot allowable and goes against what is allowable, is not allowable.)2. สง่ิ ใดไมไ ดท รงหา มไวว า ไมค วร แตเ ขา กนั กบั สงิ่ ทค่ี วร (กปั ปย ะ) ขดั กบั สง่ิ ทไ่ี มค วร (อกปั ปย ะ)สงิ่ นน้ั ควร(Whatever has not been objected to as not allowable, if it fits in with what isallowable and goes against what is not allowable, is allowable.)3. สง่ิ ใดไมไ ดทรงอนญุ าตไวว า ควร แตเขา กนั กบั สง่ิ ทไี่ มค วร (อกปั ปย ะ) ขดั กบั สง่ิ ทคี่ วร(กปั ปย ะ) สงิ่ นนั้ ไมค วร(Whatever has not been permitted as allowable, if it fits in with what is notallowable and goes against what is allowable, is not allowable.)

หมวด 4 131 [168]4. สง่ิ ใดไมไ ดท รงอนญุ าตไวว า ควร แตเ ขา กนั กบั สง่ิ ทค่ี วร (กปั ปย ะ) ขดั กบั สงิ่ ทไี่ มค วร (อกปั ปย ะ)สง่ิ นนั้ ควร(Whatever has not been permitted as allowable, if it fits in with what is allowableand goes against what is not allowable, is allowable.)Vin.I.250. วินย.5/92/131.[168] มิตรปฏิรูปก หรอื มิตรเทียม 4 (คนเทียมมติ ร, คนท่พี ึงทราบวา เปน ศตั รูผูมาในรางของมิตร — Mittapañiråpaka: false friends; foes in the guise of friends)1. คนปอกลอก คนขนเอาของเพ่อื นไปถายเดียว (อัญญทตั ถุหร — A¤¤adatthuhara:the out-and-out robber) มลี กั ษณะ 4 คอื1) คดิ เอาแตไ ดฝ า ยเดียว2) ยอมเสียนอย โดยหวงั จะเอาใหมาก3) ตวั มีภยั จงึ มาชว ยทํากิจของเพ่ือน4) คบเพ่ือน เพราะเห็นแกผลประโยชนa) He appropriates his friend’s possessions.b) Giving little, he expects a lot in return.c) He gives a helping hand only when he himself is in danger.d) He makes friends with others only for his own interests.2. คนดแี ตพ ดู (วจบี รม — Vacãparama: the man who pays lip-service) มลี กั ษณะ 4 คอื1) ดีแตย กของหมดแลว มาปราศรัย2) ดแี ตอ างของยังไมมมี าปราศรัย3) สงเคราะหด ว ยส่งิ หาประโยชนมิได4) เมื่อเพือ่ นมกี จิ อา งแตเหตขุ ัดของa) He speaks you fair about the past.b) He speaks you fair about the future.c) He tries to gain your favour by empty sayings.d) When help is needed he points to his own ill luck.3. คนหัวประจบ (อนปุ ปย ภาณี — Anuppiyabhàõã: the flatterer) มลี กั ษณะ 4 คอื1) จะทาํ ชั่วก็เออออ2) จะทําดกี เ็ ออออ3) ตอหนาสรรเสริญ4) ลบั หลังนนิ ทา

[169] 132 พจนานกุ รมพุทธศาสตรa) He consents to your doing wrong.b) He consents to your doing right.c) He sings your praises to your face.d) He runs you down behind your back.4. คนชวนฉบิ หาย (อปายสหาย — Apàyasahàya: the leader to destruction) มีลักษณะ 4 คอื1) คอยเปน เพ่อื นดื่มน้ําเมา2) คอยเปนเพอื่ นเท่ียวกลางคืน3) คอยเปน เพอื่ นเท่ยี วดูการเลน4) คอยเปนเพือ่ นไปเลน การพนนัa) He is your companion when you indulge in drinking.b) He is your companion when you roam the streets at unseemly hours.c) He is your companion when you frequent shows and fairs.d) He is your companion when you indulge in gambling.D.III.185. ท.ี ปา.11/186/199.[169] สุหทมิตร หรือ มิตรแท 4 (มติ รมใี จด,ี มติ รทีจ่ ริงใจ — Suhadamitta: truefriends; true-hearted friends)1. มิตรอุปการะ (อุปการกะ — Upakàraka: the helper) มลี ักษณะ 4 คือ1) เพือ่ นประมาท ชวยรกั ษาเพอื่ น2) เพ่อื นประมาท ชวยรักษาทรพั ยส ินของเพ่อื น3) เมื่อมีภัย เปนท่ีพง่ึ พาํ นกั ได4) มกี จิ จําเปน ชว ยออกทรัพยใหเกนิ กวาท่อี อกปากa) He guards you when you are off your guard.b) He guards your property when you are off your guard.c) He is a refuge to you when you are in danger.d) He provides a double supply of what you may ask in time of need.2. มติ รรว มสุขรวมทกุ ข (สมานสขุ ทกุ ข — Samànasukhadukkha: the man who is thesame in weal and woe) มีลกั ษณะ 4 คอื1) บอกความลับแกเ พ่อื น2) ปดความลับของเพือ่ น3) มีภยั อันตราย ไมละทิ้ง

หมวด 4 133 [171]4) แมช ีวติ ก็สละใหไดa) He tells you his secrets.b) He keeps secret your secrets.c) He does not forsake you in your troubles.d) He can even die for your sake.3. มติ รแนะประโยชน (อตั ถกั ขายี — Atthakkhàyã: the man who gives good counsel)มีลกั ษณะ 4 คือ1) จะทําชัว่ เสียหาย คอยหา มปรามไว2) คอยแนะนําใหต ั้งอยใู นความดี3) ใหไดฟง ไดร สู ่ิงทีไ่ มเคยไดรไู ดฟง4) บอกทางสขุ ทางสวรรคใหa) He keeps you back from evil.b) He encourages you to do good.c) He informs you of what you have not heard.d) He shows you the way to heaven.4. มติ รมนี ํ้าใจ (อนุกมั ปกะ มติ รมีความรกั ใคร หรือมิตรผรู กั ใครเอน็ ดู — Anukampaka:the man who sympathizes) มีลักษณะ 4 คือ1) เพอ่ื นมที กุ ข พลอยไมสบายใจ (ทุกข ทกุ ขดวย)2) เพอ่ื นมสี ุข พลอยแชม ชื่นยินดี (สุข สุขดว ย)3) เขาตเิ ตียนเพอ่ื น ชวยยับยัง้ แกใ ห4) เขาสรรเสริญเพ่ือน ชว ยพูดเสริมสนบั สนุนa) He does not rejoice over your misfortunes.b) He rejoices in your good fortune.c) He protests against anyone who speaks ill of you.d) He admires those who speak well of you.D.III.187. ท.ี ปา.11/192/201.[170] โยคะ 4 (สภาวะอนั ประกอบสตั วไ วใ นภพ หรือผกู กรรมไวก ับวิบาก — Yoga: theFour Bonds) ไดแก กามโยคะ ภวโยคะ ทฏิ ฐิโยคะ อวิชชาโยคะ เหมอื นในอาสวะ 4.ดู [136] อาสวะ 4.D.III.230; A.II.10; Vbh.374. ที.ปา.11/259/242; องฺ.จตกุ ฺก.21/10/13; อภ.ิ ว.ิ 35/963/506.[171] โยนิ 4 (กําเนิด, แบบหรอื ชนดิ ของการเกิด — Yoni: ways or kinds of birth;

[172] 134 พจนานุกรมพุทธศาสตรmodes of generation)1. ชลาพุชะ (สัตวเกดิ ในครรภ คอื คลอดออกมาเปน ตวั เชน คน โค สนุ ขั แมว เปน ตน —Jalàbuja: the viviparous; womb-born creatures)2. อณั ฑชะ (สัตวเกิดในไข คือ ออกไขเ ปน ฟองกอ นแลวจึงฟก เปนตวั เชน นก เปด ไก เปน ตน— Aõóaja: the oviparous; egg-born creatures)3. สงั เสทชะ (สัตวเกิดในไคล คือ เกิดในของชนื้ แฉะหมักหมมเนา เปอ ย ขยายแพรออกไปเองเชน กมิ ชิ าตบิ างชนดิ — Sa§sedaja: putrescence-born creatures; moisture-borncreatures)4. โอปปาติกะ (สัตวเกิดผดุ ขน้ึ คือ เกดิ ผดุ เต็มตวั ในทนั ใด ไดแ ก เทวดา สตั วนรก มนษุ ยบางพวก และเปรตบางพวก ทานวา เกิดและตาย ไมต องมีเช้อื หรือซากปรากฏ — Opapàtika:spontaneously born creatures; the apparitional)D.III.230; M.I.73. ที.ปา.11/263/242; ม.ม.ู 12/169/147.[,,,] ราชสังคหวัตถุ 4 ดู [187] สังคหวัตถขุ องผูครองแผนดิน 4.[172] ลีลาการสอน หรือ พุทธลีลาในการสอน หรือ เทศนาวิธี 4(การสอนของพระพทุ ธเจา แตละคร้งั แมท ่เี ปน เพียงธรรมกี ถา หรือการสนทนาทว่ั ไป ซ่ึงมิใชค ราวท่ีมีความมุงหมายเฉพาะพิเศษ ก็จะดําเนินไปอยางสําเร็จผลดีโดยมีองคประกอบท่ีเปนคุณลกั ษณะ 4 ประการ — Desanàvidhi: the Buddha’s style or manner of teaching)1. สันทัสสนา (ชแี้ จงใหเ ห็นชัด คือ จะสอนอะไร กช็ ้แี จงจาํ แนกแยกแยะอธิบายและแสดงเหตุผลใหชดั เจน จนผูฟง เขา ใจแจม แจง เห็นจรงิ เห็นจัง ดังจงู มือไปดเู หน็ กับตา — Sandassanà:elucidation and verification)2. สมาทปนา (ชวนใจใหอ ยากรบั เอาไปปฏบิ ตั ิ คอื สง่ิ ใดควรปฏบิ ตั ิหรอื หดั ทาํ กแ็ นะนําหรือบรรยายใหซ าบซง้ึ ในคณุ คา มองเหน็ ความสาํ คญั ทจ่ี ะตอ งฝก ฝนบาํ เพญ็ จนใจยอมรบั อยากลงมอืทาํ หรือนาํ ไปปฏบิ ตั ิ — Samàdapanà: incitement to take upon oneself; inspirationtowards the goal)3. สมุตเตชนา (เรา ใจใหอาจหาญแกลวกลา คือ ปลุกเราใจใหก ระตือรอื รน เกดิ ความอุตสาหะมีกาํ ลังใจแขง็ ขนั มนั่ ใจทจี่ ะทาํ ใหสาํ เร็จจงได สูงาน ไมหวั่นระยอ ไมกลวั เหนื่อย ไมก ลัวยาก —Samuttejanà: urging; encouragement; animation; filling with enthusiasm)4. สมั ปหังสนา (ปลอบชโลมใจใหส ดชื่นราเริง คือ บํารุงจิตใหแ ชม ชืน่ เบกิ บาน โดยชีใ้ หเ ห็นผลดีหรอื คณุ ประโยชนท จ่ี ะไดร บั และทางท่จี ะกา วหนา บรรลุผลสาํ เร็จย่งิ ขึน้ ไป ทําใหผฟู ง มคี วามหวงัและราเรงิ เบกิ บานใจ — Sampaha§sanà: gladdening; exhilaration; filling withdelight and joy)อรรถกถาชแ้ี จงเพ่มิ เติมวา ขอ 1 ปลดเปลื้องความเขลาหรอื ความมืดมัว ขอ 2 ปลดเปลื้อง

หมวด 4 135 [175]ความประมาท ขอ 3 ปลดเปลอ้ื งความอดื คราน ขอ 4 สมั ฤทธ์ิการปฏิบัติ จํา 4 ขอ นีส้ น้ั ๆ วาชใ้ี หช ดั ชวนใหป ฏบิ ตั ิ เรา ใหก ลา ปลกุ ใหร า เรงิ หรอื แจม แจง จงู ใจ แกลว กลา รา เรงิD.I.126; etc.; DA.II.473; UdA.242,361,384. ที.สี.9/198/161; ฯลฯ, ท.ี อ.2/89; อ.ุ อ.304,457,490.[173] วรรณะ 4 (ชนชนั้ ในสงั คมอนิ เดีย ท่ีกาํ หนดดวยชาติกําเนิด ตามหลกั ศาสนา พราหมณ — Vaõõa: castes) 1. กษตั รยิ  (ชนชนั้ เจา , ชนชน้ั ปกครองหรอื นกั รบ — Khattiya: the warrior-caste; warrior-rulers; noblemen)2. พราหมณ (ชนช้ันเจาตาํ ราเจาพธิ ี, พวกพราหมณ — Bràhmaõa: the priestly caste;brahmins)3. แพศย (ชนชนั้ พอ คา และกสกิ ร — Vessa: the trading and agricultural caste; merchantsand farmers)4. ศูทร (ชนชั้นตํ่า, พวกทาสกรรมกร — Sudda: the low caste; labourers andservants)M.II.128. ม.ม.13/576/520.[174] วิธีปฏิบัติตอทุกข–สุข 4 (หลกั การเพียรพยายามใหไดผลในการละทกุ ขลุสุข, การปฏบิ ตั ิที่ถูกตอ งตอความทกุ ขและความสขุ ซ่ึงเปนไปตามหลักพระพทุ ธศาสนา ทแี่ สดงวา ความเพียรพยายามทถ่ี ูกตอ ง จะมีผลจนสามารถเสวยสุขทไ่ี รทกุ ขได — Sukhapañisa§vedanàya saphalappadhàna: fruitful exertion to enjoy happiness)1. ไมเ อาทุกขท บั ถมตนทม่ี ไิ ดถ กู ทุกขท วมทับ (Being not overwhelmed by suffering, onedoes not overwhelm oneself with suffering.)2. ไมส ละความสขุ ทชี่ อบธรรม (One does not give up righteous happiness.)3. ไมส ยบหมกมนุ (แม) ในสขุ ทชี่ อบธรรมนัน้ (One is not infatuated even with thatrighteous happiness.)4. เพียรพยายามทําเหตุแหงทกุ ขใหหมดสิ้นไป (One strives in the right way to eradicatethe cause of suffering.)ขอ ท่ี 4 อาจพูดอกี สาํ นวนหนงึ่ วา “เพียรปฏิบัติเพือ่ เขาถึงความสขุ ที่ประณีตสงู ขึ้นไป”M.II.223 ม.อ.ุ 14/12/13[175] วิบัติ 41 (ความผิดพลาด, ความเคลือ่ นคลาด, ความเสยี หาย, ความบกพรอ ง, ความใชการไมได — Vipatti: failure; falling away)1. ศลี วิบตั ิ (วบิ ัติแหงศลี , เสียศีล, สาํ หรับพระภกิ ษุ คอื ตอ งอาบตั ปิ าราชิก หรือ สงั ฆาทิเสส —Sãla-vipatti: falling away from moral habit; failure in morality)

[176] 136 พจนานุกรมพทุ ธศาสตร2. อาจารวบิ ัติ (วิบตั ิแหง อาจาระ, เสียความประพฤติ จรรยามรรยาทไมดี, สําหรับพระภิกษุคอื ตอ งลหกุ าบตั ิ แตถลุ ลจั จัย ถงึ ทุพภาสิต — âcàra-vipatti: falling away from goodbehaviour; failure in conduct)3. ทฏิ ฐิวบิ ตั ิ (วบิ ตั แิ หงทิฏฐ,ิ ความเห็นคลาดเคลอ่ื น ผดิ ธรรมผิดวนิ ัย — Diññhi-vipatti:falling away from right view; failure in views)4. อาชวี วบิ ัติ (วบิ ตั ิแหง อาชีวะ, ประกอบมิจฉาชีพ หาเลยี้ งชีพในทางที่ผิด — âjãva-vipatti:falling away from right mode of livelihood; failure in livelihood)Vin.II.87. วนิ ย.6/634/336.[176] วิบัติ 42 (ขอเสีย, จุดออน, ความบกพรองแหงองคประกอบตางๆ ซึ่งไมอํานวยแกการใหผ ลของกรรมดี แตเ ปด ชองใหก รรมชวั่ แสดงผล, สว นประกอบบกพรอง เปดชองใหก รรมชั่ว — Vipatti: failure; defect; unfavourable factors affecting the ripening ofKarma.)1. คติวบิ ตั ิ (วบิ ัติแหงคต,ิ คติเสีย; ในชวงยาวหมายถงึ เกิดในกาํ เนิดตํา่ ทราม หรอื ท่เี กดิ อนั ไรความเจริญ ในชวงสั้นหมายถึง ที่อยู ท่ไี ป ทางดําเนินไมดี หรอื ทาํ ไมถ กู เรื่องไมถกู ที่ คือ กรณีนน้ั สภาพแวดลอ มนนั้ สถานการณน ั้น ถ่นิ น้ัน ตลอดถงึ แนวทางดาํ เนินชวี ติ ขณะนัน้ ไมเอื้ออํานวยแกก ารกระทาํ ความดีหรอื การเจริญงอกงามของความดีและการทผ่ี ลดีจะปรากฏ แตก ลบัเปดทางใหแ กค วามชวั่ และผลราย — Gati-vipatti: failure as regards place of birth;unfavourable environment, circumstances or career)2. อุปธวิ บิ ัติ (วบิ ัตแิ หงรา งกาย, รูปกายเสีย; ในชว งยาวหมายถึง รางกายวิกลวิการ ไมง ดงามบุคลิกภาพไมด ี ในชวงส้ันหมายถึง สุขภาพไมด ี เจ็บปวย มโี รคมาก — Upadhi-vipatti:failure as regards the body; deformed or unfortunate body; unfavourablepersonality, health or physical conditions.)3. กาลวิบตั ิ (วิบัติแหงกาล, กาลเสีย; ในชวงยาวหมายถึง เกิดอยใู นสมยั ทโ่ี ลกไมม คี วามเจริญหรอื บา นเมอื งมีแตภัยพบิ ตั ิ ผูป กครองไมด ี สังคมเสอ่ื มจากศลี ธรรม มกี ารกดขเ่ี บียดเบียนกนัมาก ยกยอ งคนช่ัว บีบคน้ั คนดี ในชว งสัน้ หมายถงึ ทาํ ผดิ กาลผดิ เวลา — Kàla-vipatti: failureas regards time; unfavourable or unfortunate time)4. ปโยควิบตั ิ (วบิ ัติแหง การประกอบ, กิจการเสยี ; ในชว งยาวหมายถึง ฝกใฝใ นทางทผี่ ิดประกอบกิจการงานท่ีผิด หรือมีปกติชอบกระทาํ แตความชว่ั ในชวงส้ันหมายถงึ เมอื่ กระทํากรรมดี กไ็ มทําใหถงึ ขนาด ไมค รบถวนตามหลักเกณฑ ทําจบั จด ใชว ิธีการไมเ หมาะกับเรือ่ งหรือเมื่อประกอบความดีตอเน่ืองมา แตกลบั ทาํ ความช่วั หักลา งเสียในระหวา ง — Payoga-vipatti: failure as regards undertaking; unfavourable, unfortunate or inadequateundertaking)วิบัติ 4 นี้ เปนสิ่งท่ีจะตอ งนํามาประกอบการพิจารณาในเร่ืองการใหผ ลของกรรม เพราะการ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook