หมวด 5 187 [259]praise only after deliberately testing and plumbing the matter.3. ไมมีอาวาสมจั ฉริยะ คือ ไมตระหนี่หวงแหนที่อยอู าศัย — Na àvàsamaccharã: not tobe stingy as to lodging)4. ไมม ีกุลมัจฉริยะ คือ ไมต ระหนี่หวงแหนตระกูลอปุ ฏ ฐาก — Na kulamaccharã: not to bestingy as to supporting families)5. ไมม ีลาภมัจฉริยะ คือ ไมต ระหน่หี วงแหนลาภ — Na làbhamaccharã: not to be stingyas to gain) นอกจากน้ี ยังมีอาวาสิกธรรมประเภทมีความสุขความเจริญเหมือนไดรับเชิญไปอยูในสวรรค อกี 3 หมวด แตม ีความแตกตางเพียงเล็กนอย หรือกําหนดไดง าย คือ หมวดหนึ่ง เปลย่ี นเฉพาะขอ 5 เปน ไมยังศรัทธาไทยใหตกไป อีกหมวดหน่ึง เปลย่ี น 4 ขอตน เปนเรอ่ื งมัจฉรยิ ะทง้ั หมด คอื เปน ไมม อี าวาสมัจฉริยะ,ไมม ีกลุ มัจฉรยิ ะ, ไมมลี าภมัจฉริยะ, ไมม วี ณั ณมจั ฉริยะ สวนขอสดุ ทา ยเปน ไมย งั ศรัทธาไทยใหตกไป อกี หมวดหนึ่ง เปล่ียนเปน เร่ืองมัจฉริยะท้ัง 5 ขอ คือ เปนผไู มม ีมจั ฉริยะทง้ั 5ดู [233] มัจฉริยะ 5.A.III.264–6. อง.ฺ ปฺจก.22/237–240/293–295.[258] อินทรีย 5 (ธรรมทเ่ี ปนใหญในกิจของตน — Indriya: controlling faculty)1. สัทธา (ความเชื่อ — Saddhà: confidence)2. วริ ยิ ะ (ความเพียร — Viriya: energy; effort)3. สติ (ความระลึกได — Sati: mindfulness)4. สมาธิ (ความตง้ั จิตมั่น — Samàdhi: concentration)5. ปญ ญา (ความรูทวั่ ชัด — Pa¤¤à: wisdom; understanding) หมวดธรรมน้ีเรยี กอยา งหนึง่ วา พละ 5 ทเี่ รยี กวา พละ เพราะความหมายวา เปน พลัง ทาํ ใหเกิดความม่ันคง ซ่ึงความไรศรัทธาเปนตน แตละอยางจะเขาครอบงําไมได สวนที่เรียกวาอินทรีย เพราะความหมายวา เปน ใหญใ นการกระทําหนาทีแ่ ตล ะอยางๆ ของตน คือเปน เจาการในการครอบงําเสียซึ่งความไรศ รทั ธา ความเกยี จครา น ความประมาท ความฟงุ ซา น และความหลงตามลาํ ดับดู [228] พละ 5. S.V.191–204; 235–237; Ps.II.1–29. ส.ํ ม.19/843–900/256–271; 1061–1069/310–312; ข.ุ ปฏ.ิ 31/423–463/300–344.[259] อุบาสกธรรม 5 (ธรรมของอบุ าสกทดี่ ,ี สมบตั ิ หรอื องคค ุณของอุบาสก อยา ง เยี่ยม — Upàsaka-dhamma: qualities of an excellent lay disciple)
[260] 188 พจนานกุ รมพุทธศาสตร1. มศี รัทธา (to be endowed with faith)2. มีศลี ( to have good conduct)3. ไมถ อื มงคลต่นื ขา ว เชื่อกรรม ไมเช่ือมงคล คือ มงุ หวงั ผลจากการกระทําและการงาน มใิ ชจากโชคลางและส่งิ ท่ีต่ืนกนั วา ขลงั ศักดิส์ ิทธิ์ (not to be superstitious, believing in deeds,not luck)4. ไมแสวงหาทกั ขไิ ณยภายนอกหลกั คําสอนน้ี คอื ไมแสวงหาเขตบุญนอกหลกั พระพุทธ-ศาสนา (not to seek for the gift-worthy outside of the Buddha’s teaching)5. กระทําความสนบั สนุนในพระศาสนาน้เี ปน เบือ้ งตน คอื ขวนขวายในการอุปถัมภบํารงุ พระพุทธศาสนา (to do his first service in a Buddhist cause) ธรรม 5 อยา งน้ี ในบาลที มี่ าเรยี กวา ธรรมของอบุ าสกรตั น (อบุ าสกแกว ) หรอื ธรรมของอบุ าสกปทมุ (อุบาสกดอกบวั )ดู [260] อบุ าสกธรรม 7 ดวย.A.III.206. อง.ฺ ปฺจก.22/175/230.[260] อุบาสกธรรม 7 (ธรรมทเี่ ปน ไปเพอ่ื ความเจรญิ ของอบุ าสก — Upàsaka-dhamma:qualities conducive to the progress of a lay disciple)1. ไมข าดการเย่ียมเยอื นพบปะพระภกิ ษุ (not to fail to see the monks)2. ไมละเลยการฟง ธรรม (not to neglect to hear the Teaching)3. ศกึ ษาในอธิศีล (to train oneself in higher virtue)4. มากดว ยความเล่ือมใสในภิกษทุ ัง้ หลาย ทงั้ ท่เี ปน เถระ นวกะ และปูนกลาง (to be fullof confidence in the monks, whether elder, newly ordained or mid-term)5. ไมฟ ง ธรรมดว ยต้ังใจจะคอยเพงโทษติเตียน (to listen to the Dhamma not in orderto criticize)6. ไมแ สวงหาทกั ขไิ ณยภายนอกหลกั คําสอนนี้ (not to seek for the gift-worthy outsideof the Buddha’s teaching)7. กระทําความสนับสนุนในพระศาสนานีเ้ ปน เบือ้ งตน คอื ขวนขวายในการอปุ ถัมภบ ํารงุพระพทุ ธศาสนา (to do his first service in a Buddhist cause) ธรรม 7 น้ี เรยี กอกี อยา งหนง่ึ วา สมั ปทาของอบุ าสก (สมบตั ขิ องอบุ าสก — accomplishments ofa lay disciple.)A.IV.25,26. องฺ.สตฺตก.23/27,28/26,27.
ฉกั กะ — หมวด 6 Groups of Six (including related groups)[261] คารวะ หรอื คารวตา 6 (ความเคารพ, การถอื เปน สง่ิ สาํ คญั ท่จี ะพึงใสใจและ ปฏบิ ตั ิดว ยความเอ้อื เฟอ หรอื โดยความหนักแนน จริงจัง, การมองเห็นคุณคาและความสําคัญ แลวปฏิบัติตอบุคคลหรือส่ิงนั้นโดยถูกตอง ดวยความจริงใจ — Gàrava, Gàravatà: reverence; esteem; attention; respect; appreciative action) 1. สตั ถคุ ารวตา (ความเคารพในพระศาสดา — reverence for the Master) ขอ นบี้ างแหง เขยี นเปน พทุ ธคารวตา (ความเคารพในพระพทุ ธเจา — Satthu-gàravatà: reverence for the Buddha) 2. ธมั มคารวตา (ความเคารพในธรรม — Dhamma-gàravatà: reverence for the Dhamma) 3. สังฆคารวตา (ความเคารพในสงฆ — Saïgha-gàravatà: reverence for the Order) 4. สกิ ขาคารวตา (ความเคารพในการศกึ ษา — Sikkhà-gàravatà: reverence for the Training) 5. อัปปมาทคารวตา (ความเคารพในความไมประมาท — Appamàda-gàravatà: reverence for earnestness) 6. ปฏิสนั ถารคารวตา (ความเคารพในปฏสิ ันถาร — Pañisanthàra-gàravatà: reverence for hospitality)ธรรม 6 อยา งนี้ ยอ มเปนไปเพือ่ ความไมเส่อื มแหงภิกษุ.A.III.330. อง.ฺ ฉกฺก.22/303/368.[262] จริต หรอื จริยา 6 (ความประพฤติปกต,ิ ความประพฤติซึง่ หนักไปทางใดทางหนงึ่อันเปน ปกตปิ ระจาํ อยูใ นสนั ดาน, พื้นเพของจิต, อปุ นิสยั , พ้ืนนสิ ยั , แบบหรอื ประเภทใหญๆแหง พฤตกิ รรมของคน — Carita, Cariyà: intrinsic nature of a person; characteristicbehaviour; character; temperament) ตัวความประพฤติเรยี กวา จรยิ า บคุ คลผูมคี วามประพฤติอยางนัน้ ๆ เรียกวา จริต1. ราคจรติ (ผมู รี าคะเปนความประพฤติปกต,ิ ประพฤติหนกั ไปทางรักสวยรักงาม — Ràga-carita: one of lustful temperament) กรรมฐานคปู รบั สําหรบั แก คอื อสุภะและกายคตาสติ2. โทสจริต (ผมู โี ทสะเปนความประพฤตปิ กต,ิ ประพฤติหนักไปทางใจรอนหงุดหงิด — Dosa-carita: one of hating temperament) กรรมฐานท่ีเหมาะ คอื พรหมวิหารและกสิณ โดยเฉพาะวณั ณกสณิ3. โมหจรติ (ผมู โี มหะเปน ความประพฤตปิ กต,ิ ประพฤตหิ นกั ไปทางเขลา เหงาซมึ เงอื่ งงง งมงาย— Moha-carita: one of deluded temperament) กรรมฐานทเี่ กอื้ กลู คอื อานาปานสติ และพงึ
[263] 190 พจนานุกรมพทุ ธศาสตรแกดว ยมีการเรียน ถาม ฟงธรรม สนทนาธรรมตามกาล หรืออยูกบั ครู4. สัทธาจริต (ผมู ศี รัทธาเปน ความประพฤติปกต,ิ ประพฤติหนกั ไปทางมจี ิตซาบซ้ึง ช่นื บานนอมใจเล่อื มใสโดยงา ย — Saddhà-carita: one of faithful temperament) พงึ ชักนาํ ไปในสิ่งทีค่ วรแกค วามเลือ่ มใส และความเช่อื ที่มเี หตุผล เชน พิจารณาอนสุ ติ 6 ขอ ตน5. พทุ ธิจรติ หรือ ญาณจริต (ผูม คี วามรเู ปน ความประพฤตปิ กต,ิ ประพฤตหิ นกั ไปทางใชความคิดพิจารณา — Buddhi-carita or ¥àõa-carita: one of intelligent temperament)พงึ สง เสรมิ ดวยแนะนําใหใชความคดิ ในทางทชี่ อบ เชน พจิ ารณาไตรลักษณ กรรมฐานทเ่ี หมาะคือ มรณสติ อุปสมานุสติ จตุธาตุววฏั ฐาน และอาหาเรปฏิกลู สญั ญา6. วิตกจริต (ผูมวี ิตกเปน ความประพฤติปกติ, ประพฤติหนักไปทางนกึ คิดจับจดฟงุ ซาน —Vitakka-carita: one of speculative temperament) พงึ แกด วยสงิ่ ท่ีสะกดอารมณ เชนเจรญิ อานาปานสติ หรอื เพง กสิณ เปน ตนNd1359, 453; Nd2138; Vism.101 ขุ.ม.29/727/435; 889/555; ขุ.จ.ู 30/492/242; วิสุทฺธ.ิ 1/127.[263] เจตนา หรือ สัญเจตนา 6 หมวด (ความจงใจ, ความตงั้ ใจ, ความจํานง, ความแสวงหาอารมณ — Cetanà; Sa¤cetanà: volition; choice; will)1. รูปสญั เจตนา (ความจํานงรูป — Råpa-sa¤cetanà: volition concerning visibleobjects; choice of forms; will directed to forms)2. สทั ทสญั เจตนา (ความจํานงเสียง — Sadda~: volition concerning audible objects;choice of sounds; will directed to sounds)3. คันธสัญเจตนา (ความจาํ นงกลิ่น — Gandha~: volition concerning odorousobjects; choice of odours; will directed to odours)4. รสสัญเจตนา (ความจาํ นงรส — Rasa~: volition concerning sapid objects; choiceof tastes; will directed to tastes)5. โผฏฐัพพสัญเจตนา (ความจาํ นงโผฏฐัพพะ — Phoññhabba~: volition concerningtangible objects; choice of tangible objects; will directed to bodily impressions)6. ธัมมสัญเจตนา (ความจํานงธรรมารมณ — Dhamma~: volition concerningideational objects; choice of ideas; will derected to mental objects) หกอยา งน้ี เรียกเต็มตามศัพทว า เจตนากาย หรือ สัญเจตนากาย 6 (กองเจตนา หมวดเจตนา — bodies of choice; classes of volition)D.III.244; S.III.64; Vbh.102. ท.ี ปา.11/310/255; ส.ํ ข.17/116/74; อภิ.ว.ิ 35/159/132.[264] ตัณหา 6 (ความทะยานอยาก — Taõhà: craving)1. รปู ตัณหา (อยากไดรปู — Råpa-taõhà: craving for forms)2. สทั ทตณั หา (อยากไดเ สยี ง — Sadda~: craving for sounds)
หมวด 6 191 [265]3. คนั ธตัณหา (อยากไดกลน่ิ — Gandha~: craving for odours)4. รสตณั หา (อยากไดรส — Rasa~: craving for tastes)5. โผฏฐัพพตัณหา (อยากไดโผฏฐัพพะ — Phoññhabba~: craving for tangible objects)6. ธมั มตณั หา (อยากในธรรมารมณ — Dhamma~: craving for mental objects) หกอยา งนี้ เรียกเต็มตามศัพทว า ตัณหากาย 6 (กองตัณหา, หมวดตัณหา — bodies orclasses of craving)D.III.244,280; S.II.3; Vbh.102. ท.ี ปา.11/311/256; 425/303; ส.ํ น.ิ 16/10/3; อภ.ิ ว.ิ 35/159/132.[,,,] ทวาร 6 ดู [78] ทวาร 6.[265] ทิศ 6 (บคุ คลประเภทตางๆ ทเ่ี ราตอ งเกี่ยวขอ งสมั พนั ธท างสังคมดจุ ทิศท่ีอยรู อบตวั —Disà: directions; quarters)1. ปรุ ัตถมิ ทิศ (ทิศเบ้อื งหนา คือ ทศิ ตะวันออก ไดแก มารดาบดิ า เพราะเปนผมู อี ปุ การะแกเ รามากอน — Puratthima-disà: parents as the east or the direction in front)ก. บตุ รธดิ าพึงบํารงุ มารดาบดิ า ผูเปน ทิศเบอ้ื งหนา ดังนี้1) ทา นเลี้ยงเรามาแลว เล้ียงทานตอบ2) ชวยทาํ การงานของทา น3) ดาํ รงวงศสกุล4) ประพฤตติ นใหเ หมาะสมกับความเปนทายาท5) เมอื่ ทานลว งลบั ไปแลว ทําบญุ อุทิศใหท า นIn five ways a child should minister to his parents as the eastern quarter (sayingto himself):a) Having been supported by them, I will support them in my turn.b) I will do their work for them.c) I will keep up the honour and the traditions of my family.d) I will make myself worthy of my heritage.e) I will make offerings, dedicating merit to them after their death.*ข. บิดามารดายอ มอนเุ คราะหบ ตุ รธดิ า ดังน้ี1) หา มปรามจากความช่ัว2) ใหต ั้งอยใู นความดี3) ใหศ กึ ษาศิลปวิทยา* แปลอกี อยางวา “I will grant donations on their behalf.”
[265] 192 พจนานุกรมพุทธศาสตร 4) หาคูครองทส่ี มควรให 5) มอบทรัพยสมบัติใหในโอกาสอนั สมควรIn five ways his parents, thus served as the eastern quarter, show their love for him: a) They keep him back from evil. b) They train him in virtue. c) They have him taught arts and sciences. d) They arrange for his marriage to a suitable wife. e) They hand over his inheritance to him in due time.2. ทกั ษิณทศิ (ทศิ เบอ้ื งขวา คือ ทิศใต ไดแ ก ครอู าจารย เพราะเปน ทกั ขไิ ณยบุคคลควรแกก ารบูชาคณุ — Dakkhiõa-disà: teachers as the south or the direction in the right)ก. ศษิ ยพ งึ บาํ รุงครอู าจารย ผูเ ปน ทิศเบ้อื งขวา ดังนี้ 1) ลกุ ตอ นรบั 2) เขา ไปหา (เพื่อบาํ รงุ คอยรบั ใช ปรึกษา ซักถาม และรบั คาํ แนะนาํ เปนตน)* 3) ใฝใจเรยี น (คอื มีใจรกั เรียนดว ยศรทั ธา และรูจกั ฟงใหเกดิ ปญญา)** 4) ปรนนบิ ัติ ชว ยบรกิ าร 5) เรียนศิลปวทิ ยาโดยเคารพ (คือ เอาจริงเอาจงั ถือเปนกิจสาํ คัญ)In five ways a pupil should minister to his teachers as the southern quarter: a) by rising to receive them. b) by waiting upon them. c) by eagerness to learn. d) by personal service. e) by attentively learning the arts and sciences.ข. ครอู าจารยยอมอนเุ คราะหศษิ ย ดังน้ี 1) ฝก ฝนแนะนําใหเปน คนดี 2) สอนใหเขา ใจแจม แจง 3) สอนศลิ ปวทิ ยาใหส้นิ เชิง 4) ยกยอ งใหปรากฏในหมคู ณะ 5) สรางเคร่ืองคุมภัยในสารทศิ (สอนฝกใหร ูจักเล้ียงตวั รกั ษาตนในอันที่จะดําเนนิ ชวี ิตตอ ไปดวยดี รับรองความรูความประพฤติใหเปนท่ยี อมรับในการไปประกอบอาชีพเปน อยู* อปุ ฏ าน** สสุ สฺ ูสา (= ฟงดว ยดี)
หมวด 6 193 [265] ไดดว ยดี) In five ways his teachers, thus served as the southern quarter, show their love for him: a) They train him so that he is well-trained. b) They teach him in such a way that he understands and remembers well what he has been taught. c) They thoroughly instruct him in the lore of every art. d) They introduce him to his friends and companions. e) They provide for his safety and security in every quarter. 3. ปจ ฉมิ ทิศ (ทศิ เบ้ืองหลัง คือ ทศิ ตะวนั ตก ไดแก บตุ รภรรยา เพราะมขี ้นึ ภายหลงั และคอย เปนกําลังสนับสนุนอยูขางหลัง — Pacchima-disà: wife and children as the west or the direction behind) ก. สามีพงึ บํารุงภรรยา ผูเ ปนทศิ เบ้ืองหลงั ดังน้ี 1) ยกยองใหเ กียรตสิ มกับฐานะท่ีเปนภรรยา 2) ไมด หู มิ่น 3) ไมน อกใจ 4) มอบความเปนใหญใ นงานบานให 5) หาเครือ่ งประดบั มาใหเปน ของขวญั ตามโอกาส In five ways a husband should serve his wife as the western quarter: a) by honouring her. b) by being courteous to her. c) by being faithful to her. d) by handing over authority to her. e) by providing her with ornaments. ข. ภรรยายอมอนเุ คราะหส ามี ดงั น้ี 1) จัดงานบานใหเ รยี บรอ ย 2) สงเคราะหญ าตมิ ิตรท้งั สองฝายดวยดี 3) ไมนอกใจ 4) รักษาทรัพยส มบัตทิ ี่หามาได 5) ขยันไมเ กยี จครา นในงานทง้ั ปวง In five ways his wife, thus served as the western quarter, shows her love for him:
[265] 194 พจนานุกรมพทุ ธศาสตร a) The household affairs are to be well managed. b) She should be hospitable and helpful to friends and relations of both hers and his. c) She should be faithful to him. d) She should take care of the goods he brings home. e) She should be skilful and industrious in all her duties.4. อตุ ตรทศิ (ทิศเบ้อื งซา ย คือ ทิศเหนอื ไดแก มติ รสหาย เพราะเปนผชู ว ยใหข า มพน อุปสรรคภยั อนั ตราย และเปนกาํ ลังสนับสนุน ใหบรรลคุ วามสําเรจ็ — Uttara-disà: friends andcompanions as the north or the direction in the left)ก. บุคคลพึงบาํ รุงมิตรสหาย ผเู ปน ทศิ เบอ้ื งซา ย ดังน้ี 1) เผือ่ แผแ บง ปน 2) พดู จามีนาํ้ ใจ 3) ชว ยเหลือเก้อื กูลกนั 4) มีตนเสมอ รว มสุขรวมทุกขกัน 5) ซ่ือสตั ยจรงิ ใจตอกนัIn five ways a clansman should serve his friends and associates as the northernquarter: a) by generosity. b) by kind words. c) by helping them and acting for their welfare. d) by putting them on equal terms. e) by being sincere to them.ข. มิตรสหายยอ มอนเุ คราะหต อบ ดงั นี้ 1) เมื่อเพือ่ นประมาท ชว ยรกั ษาปอ งกนั 2) เม่ือเพ่ือนประมาท ชวยรักษาทรัพยสมบตั ิของเพื่อน 3) ในคราวมีภัย เปน ท่พี ึ่งได 4) ไมละทงิ้ ในยามทุกขย าก 5) นบั ถือตลอดถึงวงศญาตขิ องมติ รIn five ways his friends and associates, thus served as the northern quarter,show their love for him: a) They protect him when he is careless.
หมวด 6 195 [265] b) They guard his property when he is careless. c) They are a refuge for him when he is in danger. d) They do not leave him in his troubles. e) They show due respect to other members of his family. 5. เหฏฐิมทศิ (ทศิ เบ้ืองลาง ไดแ ก คนรบั ใชแ ละคนงาน เพราะเปน ผชู ว ยทาํ การงานตางๆ เปน ฐานกาํ ลังให — Heññhima-disà: servants and workmen as the nadir) ก. นายพงึ บํารงุ คนรับใชและคนงาน ผเู ปน ทศิ เบอื้ งลา ง ดังนี้ 1) จดั การงานใหทาํ ตามความเหมาะสมกับกําลงั ความสามารถ 2) ใหค าจา งรางวลั สมควรแกงานและความเปนอยู 3) จดั สวสั ดกิ ารดี มีชว ยรกั ษาพยาบาลในยามเจบ็ ไข เปน ตน 4) ไดข องแปลกๆ พิเศษมา ก็แบงปน ให 5) ใหม ีวนั หยดุ และพักผอนหยอ นใจตามโอกาสอนั ควร In five ways a master should serve his servants and workmen as the lower quarter: a) by assigning them work according to their strength. b) by giving them due food and wages. c) by caring for them in sickness. d) by sharing with them unusual luxuries. e) by giving them holidays and leave at suitable time. ข. คนรบั ใชแ ละคนงานยอ มอนุเคราะหน าย ดังน้ี 1) เริม่ ทําการงานกอ นนาย 2) เลิกงานทหี ลงั นาย 3) ถือเอาแตของทนี่ ายให 4) ทําการงานใหเ รยี บรอ ยและดยี ิ่งขนึ้ 5) นาํ เกียรตคิ ณุ ของนายไปเผยแพร In five ways his servants and workmen, thus served as the lower quarter, show their love for him: a) They get up to work before him. b) They go to rest after him. c) They take only what is given to them. d) They do their work well. e) They spread about his praise and good name.
[265] 196 พจนานกุ รมพุทธศาสตร6. อุปริมทิศ (ทศิ เบื้องบน ไดแก สมณพราหมณ คือ พระสงฆ เพราะเปนผูส ูงดว ยคณุ ธรรมและเปนผูนาํ ทางจิตใจ — Uparima-disà: monks as the zenith)ก. คฤหัสถยอ มบํารงุ พระสงฆ ผเู ปน ทศิ เบอื้ งบน ดงั นี้1) จะทาํ สิง่ ใด กท็ าํ ดว ยเมตตา2) จะพูดสิ่งใด กพ็ ดู ดวยเมตตา3) จะคิดสิ่งใด ก็คดิ ดว ยเมตตา4) ตอ นรบั ดวยความเตม็ ใจ5) อปุ ถมั ภดวยปจจยั 4In five ways a clansman should serve monks and Brahmins as the upper quarter:a) by kindly acts.b) by kindly words.c) by kindly thoughts.d) by keeping open house to them.e) by supplying them with their material needs.ข. พระสงฆย อมอนุเคราะหคฤหสั ถ ดังนี้1) หา มปรามจากความช่วั2) ใหต ้งั อยใู นความดี3) อนุเคราะหด วยความปรารถนาดี4) ใหไดฟง ส่ิงทีย่ งั ไมเ คยฟง5) ทาํ ส่งิ ท่เี คยฟงแลว ใหแจม แจง6) บอกทางสวรรค คอื ทางชวี ติ ท่มี คี วามสุขความเจริญใหIn six ways the monks, thus served as the upper quarter, show their love for him:a) They keep him back from evil.b) They encourage him to do good.c) They feel for him with kindly thoughts.d) They teach him what he has not heard before.e) They correct and clarify what he has learnt.f) They show him the way to heaven.ผปู ฏบิ ตั ดิ งั กลา วนี้ชือ่ วา ปกปกรักษาทั่วทุกทศิ ใหเปน แดนเกษมสขุ ปลอดภยั D.III.189–192. ท.ี ปา.11/198–204/202–206.[,,,] ธรรมคุณ 6 ดู [306] ธรรมคุณ 6.
หมวด 6 197 [267][,,,] ธาตุ 6 ดู [148] ธาตุ 6.[,,,] บัญญัติ 6 ดู [28] บัญญติ 2, 6.[266] ปยรูป สาตรูป 6 × 10 (ส่ิงทม่ี สี ภาวะนารกั นาชนื่ ใจ เปน ที่เกดิ และเปนทีด่ ับ ของตณั หา — Piyaråpa sàtaråpa: delightful and pleasurable things) หมวด 1 ดู [276] อายตนะภายใน 6 หมวด 2 ดู [277] อายตนะภายนอก 6 หมวด 3 ดู [268] วิญญาณ 6 หมวด 4 ดู [272] สัมผสั 6 หมวด 5 ดู [113] เวทนา 6 หมวด 6 ดู [271] สญั ญา 6 หมวด 7 ดู [263] สัญเจตนา 6 หมวด 8 ดู [264] ตัณหา 6 หมวด 9 ไดแก วติ ก 6 คือ รปู วติ ก สัททวติ ก คนั ธวติ ก รสวิตก โผฏฐัพพวติ ก ธมั มวิตก (ความตรติ รกึ เกี่ยวกับรปู ฯลฯ — Vitakka: thought-conception concerning visual forms, etc.) หมวด 10 ไดแ ก วจิ าร 6 คอื รปู วจิ าร สทั ทวจิ าร คนั ธวจิ าร รสวจิ าร โผฏฐพั พวจิ าร ธมั มวจิ าร (ความตรองเกย่ี วกบั รูป ฯลฯ — Vicàra: discursive thought concerning visual forms, etc.)D.II.308; M.1.62. ที.ม.10/297/343; ม.มู.12/147/120.[267] ภัพพตาธรรม 6 (ธรรมอนั ทาํ ใหเปน ผูค วรที่จะบรรลกุ ุศลธรรมทีย่ ังไมบรรลุและทาํ กศุ ลธรรมทบ่ี รรลุแลวใหเ จริญเพิ่มพูน, คุณสมบตั ิทท่ี ําใหเ ปนผูควร เหมาะ สามารถ หรือพรอมท่ีจะไดจะถึงสิ่งดีงามท่ียังไมไดไมถึง และทําส่ิงดีงามท่ีไดที่ถึงแลวใหเจริญเพิ่มพูน —Bhabbatà-dhamma: qualities making one fit for attaining the wholesome not yetattained and augmenting the wholesome already attained)1. ฉลาดในหลกั ความเจรญิ คอื รเู ขา ใจกระบวนเหตปุ จ จัยทจ่ี ะทาํ ใหเกดิ ความเจริญเพ่ิมพูน(to be knowledgeable about improvement or gain)2. ฉลาดในหลักความเส่ือม คือ รูเขาใจกระบวนเหตุปจจัยท่ีจะทําใหเ กิดความสูญเสียเสื่อมสลาย (to be knowledgeable about loss or decline)3. ฉลาดในอุบาย คือ รเู ขาใจชํานาญในวธิ ีการทจ่ี ะแกไ ขจัดทําดําเนินการใหส ําเร็จลุลว ง (to beskilful in the means)4. สรางฉนั ทะท่จี ะบรรลกุ ศุ ลธรรมที่ยังมิไดบ รรลุ (to arouse the will to attain the good
[268] 198 พจนานุกรมพทุ ธศาสตรone has not attained)5. ระวงั รักษากุศลธรรมทไ่ี ดลุถงึ แลว (to maintain the good one has attained)6. ทําใหส ําเรจ็ ลุจดุ หมายดว ยการกระทําตอเน่อื งไมย ง้ั หยดุ หรอื ขาดตอน (to accomplishone’s aim through persevering performance or continuance in action)A.III.432 องฺ.ฉกกฺ .22/350/482[,,,] วัฒนมุข 6 ดู [201] วัฒนมุข 6.[268] วิญญาณ 6 (ความรแู จง อารมณ — Vi¤¤àõa: consciousness; sense-awareness)1. จกั ขวุ ิญญาณ (ความรูอารมณท างตา คือ รรู ปู ดว ยตา, เหน็ — Cakkhu-vi¤¤àõa: eye-consciousness)2. โสตวิญญาณ (ความรูอารมณทางหู คือ รูเสียงดวยหู, ไดยิน — Sota~: ear-consciousness)3. ฆานวิญญาณ (ความรอู ารมณทางจมกู คือ รกู ล่นิ ดว ยจมกู , ไดก ล่นิ — Ghàna~: nose-consciousness)4. ชิวหาวิญญาณ (ความรอู ารมณท างลิ้น คอื รรู สดวยลิ้น, รรู ส — Jivhà~: tongue-consciousness)5. กายวิญญาณ (ความรอู ารมณท างกาย คอื รโู ผฏฐพั พะดว ยกาย, รสู กึ กายสมั ผสั — Kàya~:body-consciousness)6. มโนวิญญาณ (ความรอู ารมณทางใจ คือ รธู รรมารมณดวยใจ, รูความนึกคดิ — Mano~:mind-consciousness)D.III.243; Vbh.180. ที.ปา.11/306/255; อภ.ิ วิ.35/120/105.[,,,] เวทนา 6 ดู [113] เวทนา 6.[269] เวปุลลธรรม 6 (คุณสมบตั ทิ จี่ ะทําใหเปนผูเติบใหญไพบลู ยใ นธรรมหรือคณุ ความดที งั้ หลายในเวลาไมน าน — Vepulla-dhamma: qualities leading to the attainment ofgreatness and full development in wholesome states)1. อาโลกพหโุ ล (เปน ผมู ากดว ยความสวางแหง ปญญาหย่ังรู — âlokabahulo: to be rich inthe lustre of wisdom or clarity of vision)2. โยคพหุโล (เปนผมู ากดวยความเพียรประกอบการ — Yogabahulo: to be devoted tothe endeavour)3. เวทพหโุ ล (เปน ผูม ากดวยความเบกิ บานใจ คอื มปี ต ปิ ราโมทยอ ยูเ สมอ — Vedabahulo:to be full of joy and cheerfulness)4. อสนตุฏิพหโุ ล (เปน ผูมากดว ยความไมส ันโดษในกศุ ลธรรมทั้งหลาย คอื ไมร อู ่ิมไมร พู อใน
หมวด 6 199 [270]การบําเพ็ญความดี — Asantuññhibahulo: to be full of intellectual discontent with thegood already achieved)5. อนิกฺขิตฺตธโุ ร (ไมท อดธุระในกุศลธรรมทงั้ หลาย — Anikkhittadhuro: not to shirk theresponsibility of cultivating the good)6. อตุ ฺตริฺจ ปตาเรติ (เพยี รพยายามทํากจิ บดั นใ้ี หลลุ วง กาวสคู ุณความดที ส่ี ูงยิง่ ขึ้นไป —Uttari¤ca patàreti: to strive perseveringly for further attainments)A.III.432 อง.ฺ ฉกกฺ .22/351/482[270] สวรรค 6 (ภพท่ีมอี ารมณอ ันเลิศ, โลกทม่ี ีแตค วามสขุ , เทวโลก, ในท่นี หี้ มายเฉพาะสวรรคช ัน้ กามาพจร คอื ช้ันทย่ี งั เกย่ี วขอ งกับกาม ซงึ่ เรียกเต็มวา ฉกามาพจรสวรรค หรือกามาวจรสวรรค 6 — Sagga: the six heavens of the sense-sphere) เรียงจากชนั้ ต่าํ ขึ้นไปดังน้ี1. จาตุมหาราชิกา (สวรรคทที่ า วมหาราช 4 หรอื ทา วจตโุ ลกบาล ปกครอง — Càtum-mahàràjikà: The realm of the Four Great Kings คือ ทาวธตรฐ จอมคนธรรพ ครองทศิตะวันออก; ทาววิรูฬหก จอมกมุ ภัณฑ ครองทศิ ใต; ทาววริ ูปก ษ จอมนาค ครองทิศตะวนั ตก;ทาวกุเวร หรือ เวสสวณั จอมยกั ษ ครองทิศเหนอื )2. ดาวดงึ ส (แดนทอ่ี ยแู หง เทพ 33 มที า วสกั กะ หรอื พระอนิ ทรเ ปน จอมเทพ บางทเี รยี ก ไตรตรงึ ส— Tàvati§sà: the realm of the Thirty-three Gods)3. ยามา (แดนทอี่ ยแู หง เทพผปู ราศจากทกุ ข มที า วสยุ ามเปน ผปู กครอง — Yàmà: the realm ofthe Yàma Gods)4. ดุสิต (แดนที่อยูแหงเทพผูเอิบอิ่มดวยสิริสมบัติของตน มีทาวสันดุสิตเปนจอมเทพ —Tusità: the realm of the satisfied gods) ถอื กนั วาเปนทีอ่ บุ ตั ิของพระโพธิสัตวใ นพระชาติสดุ ทายกอ นจะเปน พระพทุ ธเจา และเปน ท่อี บุ ัติของพระพทุ ธมารดา5. นิมมานรดี (แดนทอี่ ยูแหงเทพผมู คี วามยินดใี นการเนรมติ มีทา วสนุ ิมมิตเปนจอมเทพ ถือกนั วา เทวดาชัน้ น้ี ปรารถนาสง่ิ ใดส่ิงหน่ึง ยอมนิรมติ ไดเ อง — Nimmànaratã: the realm ofthe gods who rejoice in their own creations)6. ปรนิมมิตวสวัตดี (แดนที่อยูแหงเทพผูยังอาํ นาจใหเปนไปในสมบัติที่ผูอื่นนิรมิตให คือเสวยสมบตั ทิ เ่ี ทพพวกอนื่ นริ มิตให มีทา ววสวตั ดเี ปนจอมเทพ — Paranimmitavasavattã: therealm of gods who lord over the creation of others)คําอธิบายทแ่ี สดงไวน้ี มาในคัมภีรร นุ หลงั เชน อภธิ ัมมัตถวิภาวินี เปนตนดู [351] ภูมิ 31. S.V.423; Comp.138. สํ.ม.19/1681/531; สงคฺ ห.25.[,,,] สัญเจตนา 6 ดู [263] เจตนา 6
[271] 200 พจนานุกรมพุทธศาสตร[271] สัญญา 6 (ความกําหนดไดหมายร,ู ความหมายรอู ารมณ, ความจําไดห มายรู — Sa¤¤à: perception) 1. รปู สัญญา (ความหมายรรู ปู เชนวา ดํา แดง เขียว ขาว เปนตน — Råpa-sa¤¤à: perception of form) 2. สัททสญั ญา (ความหมายรเู สียง เชน วา ดัง เบา ทุม แหลม เปน ตน — Sadda~: perception of sound) 3. คันธสัญญา (ความหมายรูกลิ่น เชนวา หอม เหม็น เปนตน — Gandha~: perception of smell) 4. รสสัญญา (ความหมายรูร ส เชน วา หวาน เปรย้ี ว ขม เค็ม เปน ตน — Rasa~: perception of taste) 5. โผฏฐัพพสัญญา (ความหมายรูส ัมผัสทางกาย เชน วา ออน แข็ง หยาบ ละเอยี ด รอน เยน็ เปน ตน — Phoññhabba~: perception of tangible objects) 6. ธมั มสญั ญา (ความหมายรอู ารมณท างใจ เชน วา งาม นา เกลียด เทยี่ ง ไมเ ที่ยง เปนตน — Dhamma~: perception of mind-objects)D.III.244; A.III.413. ท.ี ปา.11/309/255; องฺ.ฉกกฺ .22/334/461.[272] สัมผัส หรอื ผัสสะ 6 (ความกระทบ, ความประจวบกันแหง อายตนะภายในอายตนะภายนอก และวิญญาณ — Samphassa, Phassa: contact; sense-impression)1. จกั ขสุ มั ผสั (ความกระทบทางตา คอื ตา + รปู + จกั ขวุ ญิ ญาณ — Cakkhu-samphassa:eye-contact)2. โสตสัมผสั (ความกระทบทางหู คอื หู + เสยี ง + โสตวญิ ญาณ — Sota~: ear-contact)3. ฆานสัมผัส (ความกระทบทางจมกู คอื จมูก + กลน่ิ + ฆานวิญญาณ — Ghàna~: nose-contact)4. ชวิ หาสัมผัส (ความกระทบทางลน้ิ คือ ล้ิน + รส + ชวิ หาวิญญาณ — Jivhà~: tongue-contact)5. กายสัมผัส (ความกระทบทางกาย คือ กาย + โผฏฐพั พะ + กายวญิ ญาณ — Kàya~:body-contact)6. มโนสมั ผสั (ความกระทบทางใจ คอื ใจ + ธรรมารมณ + มโนวญิ ญาณ — Mano~:mind-contact)D.III.243; S.II.3. ท.ี ปา.11/307/255; ส.ํ นิ.16/12/4.[273] สารณียธรรม 6 (ธรรมเปนทตี่ งั้ แหงความใหร ะลึกถงึ , ธรรมเปน เหตุใหระลกึ ถึงกัน, ธรรมท่ีทําใหเกดิ ความสามัคคี, หลกั การอยรู ว มกัน — Sàraõãyadhamma: states ofconciliation; virtues for fraternal living) สาราณียธรรม ก็ใช
หมวด 6 201 [273]1. เมตตากายกรรม (ต้งั เมตตากายกรรมในเพ่อื นพรหมจรรย ทง้ั ตอหนาและลับหลงั คือชวยเหลอื กิจธรุ ะของผรู ว มหมคู ณะดว ยความเต็มใจ แสดงกริ ยิ าอาการสุภาพ เคารพนับถอื กนัทงั้ ตอ หนาและลับหลัง — Mettàkàyakamma: to be amiable in deed, openly and inprivate)2. เมตตาวจกี รรม (ตั้งเมตตาวจีกรรมในเพ่อื นพรหมจรรย ทัง้ ตอ หนา และลบั หลัง คอื ชวยบอกแจงสง่ิ ทเี่ ปนประโยชน ส่ังสอน แนะนําตกั เตอื นดว ยความหวงั ดี กลา ววาจาสภุ าพ แสดงความเคารพนับถอื กัน ท้งั ตอหนา และลบั หลงั — Mettàvacãkamma: to be amiable inword, openly and in private)3. เมตตามโนกรรม (ตัง้ เมตตามโนกรรมในเพือ่ นพรหมจรรย ทั้งตอหนาและลบั หลัง คือ ตัง้จติ ปรารถนาดี คดิ ทําสิง่ ท่ีเปนประโยชนแกก ัน มองกันในแงดี มีหนาตายม้ิ แยมแจมใสตอกนั —Mettàmanokamma: to be amiable in thought, openly and in private)4. สาธารณโภคิตา (ไดข องส่ิงใดมากแ็ บง ปนกนั คือ เมื่อไดส งิ่ ใดมาโดยชอบธรรม แมเปนของเล็กนอย ก็ไมหวงไวผ เู ดยี ว นํามาแบงปน เฉลีย่ เจอื จาน ใหไดม สี วนรวมใชส อยบริโภคท่ัวกนั— Sàdhàraõabhogità: to share any lawful gains with virtuous fellows) ขอน้ี ใชอปั ปฏวิ ภิ ตั ตโภคี ก็ได5. สลี สามญั ญตา (มีศลี บรสิ ทุ ธิเ์ สมอกนั กับเพอื่ นพรหมจรรยท ัง้ หลาย ท้ังตอ หนา และลบั หลงัคอื มคี วามประพฤตสิ จุ ริตดีงาม ถูกตอ งตามระเบยี บวินยั ไมท าํ ตนใหเ ปนท่นี า รงั เกียจของหมูคณะ — Sãlasàma¤¤atà: to keep without blemish the rules of conduct along withone’s fellows, openly and in private)6. ทิฏฐสิ ามัญญตา (มที ิฏฐิดงี ามเสมอกันกบั เพอื่ นพรหมจรรยท ั้งหลาย ทงั้ ตอ หนา และลบั หลงัคอื มคี วามเหน็ ชอบรวมกนั ในขอทเี่ ปน หลักการสาํ คัญอันจะนาํ ไปสคู วามหลุดพน ส้นิ ทกุ ข หรือขจัดปญหา — Diññhisàma¤¤atà: to be endowed with right views along with one’sfellows, openly and in private) ธรรม 6 ประการนี้ มีคุณคอื เปน สารณยี ะ (ทําใหเปน ท่รี ะลึกถึง — making others tokeep one in mind) เปน ปยกรณ (ทาํ ใหเ ปนทรี่ ัก — endearing) เปน ครกุ รณ (ทาํ ใหเ ปน ที่เคารพ — bringing respect) เปนไปเพ่ือ ความสงเคราะห (ความประสานกลมกลนื —conducing to sympathy or solidarity) เพอ่ื ความไมว ิวาท (to non-quarrel) เพอื่ ความสามคั คี (to concord; harmony) และเพอ่ื เอกภี าพ (ความเปนอันหนึง่ อันเดียวกัน — tounity) D.III.245; A.III.288–9. ท.ี ปา.11/317/257; อง.ฺ ฉกกฺ .22/282–3/321–3.[,,,] อนุตตริยะ 6 ดู [127] อนตุ ตรยิ ะ 6[,,,] อบายมุข 6 ดู [200] อบายมขุ 6.
[274] 202 พจนานกุ รมพุทธศาสตร[274] อภิญญา 6 (ความรูย ่งิ ยวด — Abhi¤¤à: superknowledge; ultra-conscious insight) 1. อทิ ธวิ ธิ า หรอื อทิ ธิวธิ ิ (ความรทู ีท่ ําใหแ สดงฤทธิต์ า งๆ ได — Iddhividhà: magical powers) 2. ทิพพโสต (ญาณท่ที าํ ใหมีหูทพิ ย — Dibbasota: divine ear) 3. เจโตปรยิ ญาณ (ญาณที่ใหก าํ หนดใจคนอื่นได — Cetopariya¤àõa: penetration of the minds of others; cf. telepathy) 4. ปุพเพนวิ าสานสุ สติ (ญาณท่ที าํ ใหร ะลึกชาตไิ ด — Pubbenivàsànussati: remem- brance of former existences; cf. retrocognition) 5. ทพิ พจกั ขุ (ญาณท่ีทําใหม ีตาทิพย — Dibbacakkhu: divine eye) 6. อาสวักขยญาณ (ญาณที่ทาํ ใหอาสวะสน้ิ ไป — âsavakkhaya¤àõa: knowledge of the exhaustion of all mental intoxicants)หา ขอ แรกเปน โลกิยะ (โลกียอภิญญา) ขอทา ยเปน โลกุตตระ.ดู [106] วิชชา 3; [297] วชิ ชา 8.D.III.281; A.III.280; ที.ปา.11/431/307; อง.ฺ ฉกฺก.22/273/311.[275] อภิฐาน 6 (กรรมทเ่ี ดนยิง่ กวา กรรมอน่ื ๆ, ฐานะอันยิ่งยวด, ฐานอนั หนัก, ความผิดพลาดสถานหนกั — Abhiñhàna: major wrong doings; great mistakes)อภฐิ าน 5 ขอ แรก ตรงกบั อนนั ตรยิ กรรม 5 คอื มาตฆุ าต ปต ฆุ าต อรหนั ตฆาต โลหติ ปุ บาทและ สงั ฆเภท เพมิ่ ขอ 6 คอื6. อญั ญสตั ถทุ เทส* (ถอื ศาสดาอนื่ คอื ถอื ถกู อยแู ลว กลบั ไพลท ง้ิ ไปถอื ผดิ — A¤¤asatthuddesa:professing the doctrines of an alien teacher; adopting another teacher) อภฐิ านนี้ ในบาลที มี่ าเดมิ เรยี กวา อภพั พฐาน (ฐานะทบ่ี คุ คลผถู งึ พรอ มดว ยทฏิ ฐิ คอื ตง้ั แตพ ระโสดาบนั ขนึ้ ไป ไมอ าจจะกระทาํ คอื เปน ไปไมไ ดท จี่ ะทาํ — Abhabbaññhàna: acts which areincapable of being committed by a person possessed of right views; impossibilities)ดู [245] อนันตริยกรรม 5.A.III.439; Kh.VI.10, Sn.231. อง.ฺ ฉกกฺ .22/365/490; ข.ุ ข.ุ 25/7/7; ข.ุ ส.ุ 25/314/369.[276] อายตนะภายใน 6 (ทีเ่ ช่อื มตอ ใหเกิดความร,ู แดนตอความรูฝา ยภายใน —Ajjhattikàyatana: internal sense-fields) บาลีเรยี ก อัชฌตั ตกิ ายตนะ1. จกั ขุ (จักษุ, ตา — Cakkhu: the eye)2. โสตะ (หู — Sota: the ear)* บางแหง เรยี ก อัญญสตั ถารทุ เทส
หมวด 6 203 [277]3. ฆานะ (จมกู — Ghàna: the nose)4. ชิวหา (ล้นิ — Jivhà: the tongue)5. กาย (กาย — Kàya: the body)6. มโน (ใจ — Mana: the mind) ทง้ั 6 น้ี เรียกอกี อยางวา อนิ ทรยี 6 เพราะเปน ใหญในหนา ทขี่ องตนแตละอยา ง เชน จกั ษุเปน เจา การในการเห็น เปน ตนD.III.243; M.III.216; Vbh.70. ท.ี ปา.11/304/255; ม.อุ.14/619/400; อภิ.วิ.35/99/85.[277] อายตนะภายนอก 6 (ท่เี ช่ือมตอใหเกดิ ความร,ู แดนตอความรฝู ายภายนอก —Bàhiràyatana: external sense-fields) บาลเี รยี ก พาหิรายตนะ1. รปู ะ (รูป, สิ่งทีเ่ หน็ หรอื วัณณะ คอื สี — Råpa: form; visible objects)2. สทั ทะ (เสียง — Sadda: sound)3. คนั ธะ (กลิน่ — Gandha: smell; odour)4. รสะ (รส — Rasa: taste)5. โผฏฐัพพะ (สมั ผัสทางกาย, สง่ิ ทีถ่ กู ตอ งกาย — Phoññhabba: touch; tangible objects)6. ธรรม หรอื ธรรมารมณ (อารมณท ่ีเกิดกับใจ, ส่งิ ทีใ่ จนึกคิด — Dhamma: mind-objects) ท้ัง 6 นี้ เรยี กทวั่ ไปวา อารมณ 6 คือ เปน สงิ่ สําหรบั ใหจติ ยึดหนวงD.III.243; M.III.216; Vbh.70. ที.ปา.11/305/255; ม.อ.ุ 14/620/400; อภิ.วิ.35/99/85.
สตั ตกะ — หมวด 7 Groups of Seven[278] กัลยาณมิตรธรรม 7 (องคค ณุ ของกลั ยาณมติ ร, คณุ สมบตั ขิ องมติ รดหี รอื มติ รแท คอื ทา นทค่ี บหรอื เขา หาแลว จะเปน เหตใุ หเ กดิ ความดงี ามและความเจรญิ ในทนี่ ม้ี งุ เอามติ รประเภท ครหู รอื พ่เี ลีย้ งเปน สาํ คัญ — Kalyàõamitta-dhamma: qualities of a good friend) 1. ปโ ย (นารัก ในฐานเปน ที่สบายใจและสนิทสนม ชวนใหอยากเขา ไปปรกึ ษาไตถาม — Piyo: lovable; endearing) 2. ครุ (นาเคารพ ในฐานประพฤติสมควรแกฐ านะ ใหเ กดิ ความรูสกึ อบอุน ใจ เปนที่พึ่งได และ ปลอดภัย — Garu: esteemable; respectable; venerable) 3. ภาวนีโย (นา เจริญใจ หรือนา ยกยอ ง ในฐานทรงคณุ คือความรแู ละภมู ิปญญาแทจ ริง ทั้งเปน ผูฝ กอบรมและปรบั ปรงุ ตนอยเู สมอ ควรเอาอยา ง ทาํ ใหร ะลึกและเอยอางดวยซาบซงึ้ ภูมใิ จ — Bhàvanãyo: adorable; cultured; emulable) 4. วตตฺ า จ (รจู กั พูดใหไ ดผ ล รูจักชแี้ จงใหเ ขาใจ รูวาเม่อื ไรควรพูดอะไรอยา งไร คอยใหค าํ แนะ นําวากลา วตักเตือน เปนทป่ี รกึ ษาทด่ี ี — Vattà ca: being a counsellor) 5. วจนกขฺ โม (อดทนตอถอ ยคํา คอื พรอมท่จี ะรบั ฟงคาํ ปรึกษา ซกั ถาม คาํ เสนอ และวพิ ากษ วจิ ารณ อดทนฟงไดไมเบอ่ื ไมฉุนเฉยี ว — Vacanakkhamo: being a patient listener) 6. คมฺภรี ฺจ กถํ กตฺตา (แถลงเรื่องล้ําลึกได สามารถอธบิ ายเรือ่ งยุงยากซับซอ นใหเขาใจ และ ใหเ รยี นรเู ร่ืองราวท่ลี กึ ซ้งึ ยิ่งข้ึนไป — Gambhãra¤ca katha§ kattà: able to deliver deep discourses or to treat profound subjects) 7. โน จฏ าเน นโิ ยชเย (ไมช ักนาํ ในอฐาน คือ ไมแนะนาํ ในเรื่องเหลวไหล หรือชักจูงไปใน ทางเสื่อมเสยี — No caññhàne niyojaye: never exhorting groundlessly; not leading orspurring on to a useless end)A.IV.31. องฺ.สตตฺ ก.23/34/33.[279] ธรรมมีอุปการะมาก 7 (Bahukàra-dhamma: virtues of great assistance)ธรรมหมวดนี้ ทา นหมายเอาอรยิ ทรัพย 7 ประการดู [292] อรยิ ทรพั ย 7D.III.282. ท.ี ปา.11/433/310.[280] บุพนิมิตแหงมรรค 7 (ธรรมท่เี ปน เครื่องหมายบง บอกลวงหนาวา มรรคมีองค 8 ประการอนั ประเสรฐิ จะเกดิ ขน้ึ แกผ นู น้ั ดจุ แสงอรณุ เปน บพุ นมิ ติ ของการทดี่ วงอาทติ ยจ ะอทุ ยั , แสงเงนิ แสงทองของชวี ติ ทดี่ ,ี รงุ อรณุ ของการศกึ ษา — Magguppàda-pubbanimitta: a
หมวด 7 205 [281]foregoing sign for the arising of the Noble Eightfold Path; precursor of the NoblePath; harbinger of a good life or of the life of learning)1. กลั ยาณมิตตตา (ความมกี ัลยาณมติ ร, มมี ติ รด,ี คบหาคนท่เี ปน แหลง แหงปญ ญาและแบบอยา งทด่ี ี — Kalyàõamittatà: good company; having a good friend; association witha good and wise person)2. สลี สมั ปทา (ความถึงพรอมดว ยศีล, การทาํ ศีลใหถ ึงพรอ ม, ต้งั ตนอยูในวินยั และมีความประพฤติท่ัวไปดงี าม — Sãla-sampadà: perfection of morality; accomplishment indiscipline and moral conduct)3. ฉันทสมั ปทา (ความถึงพรอมดว ยฉันทะ, การทาํ ฉนั ทะใหถ ึงพรอ ม, ความใฝใจอยากจะทาํกจิ หนา ที่และส่งิ ท้งั หลายทเ่ี กย่ี วขอ งใหดงี าม, ความใฝร ูใฝส รา งสรรค — Chanda-sampadà:perfection of aspiration; accomplishment in constructive desire)4. อัตตสมั ปทา (ความถึงพรอมดว ยตนทฝ่ี ก ดีแลว, การทําตนใหถึงพรอ มดว ยคณุ สมบัติของผูท่พี ัฒนาแลว โดยสมบรู ณ ท้งั ดา นกาย ศีล จิต และปญ ญา [ทจี่ ะเปน ภาวิตตั ต คือผมู ตี นอันไดพัฒนาแลว] — Atta-sampadà: perfection of oneself; acomplishment in self that hasbeen well trained; dedicating oneself to training for the realization of one’s fullhuman potential; self-actualization)5. ทิฏฐสิ ัมปทา (ความถึงพรอมดว ยทฏิ ฐ,ิ การทาํ ทิฏฐิใหถ งึ พรอม, การต้งั อยูในหลกั ความคดิความเช่ือถือท่ีถูกตองดีงามมีเหตุผล เชน ถือหลักความเปนไปตามเหตุปจจัย — Diññhi-sampadà: perfection of view; accomplishment in view; to be established in goodand reasoned principles of thought and belief)6. อปั ปมาทสมั ปทา (ความถงึ พรอ มดว ยความไมป ระมาท, การทาํ ความไมป ระมาทใหถ งึ พรอ ม— Appamàda-sampadà: perfection of heedfulness; accomplishment in diligence)7. โยนิโสมนสิการสัมปทา (ความถึงพรอมดวยโยนโิ สมนสกิ าร, การทําโยนิโสมนสกิ ารใหถ งึพรอ ม, ความฉลาดคิดแยบคายใหเห็นความจรงิ และหาประโยชนได — Yonisomanasikàra-sampadà: perfection of wise reflection; accomplishment in systematic attention) เมอื่ ใดธรรมทเี่ ปนบุพนมิ ิต 7 ประการนี้ แมอยางใดอยา งหนึง่ เกดิ มีในบุคคลแลว เม่อื นั้นยอมเปน อันหวงั ไดว าเขาจกั เจรญิ พัฒนา ทาํ ใหม าก ซ่ึงมรรคมอี งค 8 ประการอันประเสริฐ คอืจกั ดาํ เนนิ กา วไปในมัชฌมิ าปฏิปทา.ดู [34] ปจ จัยใหเกิดสมั มาทฏิ ฐิ 2, [293] มรรคมีองค 8S.V.30–31. สํ.ม.19/130–6/36.[281] โพชฌงค 7 (ธรรมทเ่ี ปน องคแ หง การตรสั รู — Bojjhaïga: enlightenment factors)1. สติ (ความระลึกได สาํ นกึ พรอ มอยู ใจอยกู ับกจิ จติ อยูก ับเรอื่ ง — Sati: mindfulness)
[282] 206 พจนานุกรมพทุ ธศาสตร2. ธมั มวจิ ยะ (ความเฟนธรรม, ความสอดสอ งสืบคน ธรรม — Dhammavicaya: truthinvestigation)3. วิริยะ (ความเพยี ร — Viriya: effort; energy)4. ปต ิ (ความอมิ่ ใจ — Pãti: zest; rapture)5. ปสสัทธิ (ความผอ นคลายสงบเยน็ กายใจ — Passaddhi: tranquillity; calmness)6. สมาธิ (ความมใี จต้ังม่นั จติ แนว แนในอารมณ — Samàdhi: concentration)7. อุเบกขา (ความมีใจเปนกลางเพราะเห็นตามเปนจรงิ — Upekkhà: equanimity)แตล ะขอ เรียกเต็ม มี สัมโพชฌงค ตอ ทายเปน สติสมั โพชฌงค เปน ตน.D.III.251,282; Vbh.277. ที.ปา.11/327/264; 434/310; อภิ.วิ.35/542/306.[282] ภรรยา 7 (ภรรยาแบบตางๆ จาํ แนกโดยคณุ ธรรม ความประพฤติ ลกั ษณะนิสัย และการปฏบิ ตั ติ อ สามี — Bhariyà: seven types of wives)1. วธกาภรยิ า (ภรรยาเยย่ี งเพชฌฆาต, ภรรยาทคี่ ิดราย ซื้อไดดว ยเงนิ มิไดอ ยกู นิ ดวยความพอใจ ยินดชี ายอ่ืน ดหู มิ่นและคิดทาํ ลายสามี — Vadhakà-bhariyà: a wife like a slayer;destructive wife)2. โจรีภรยิ า (ภรรยาเย่ยี งโจร, ภรรยาผลู างผลาญทรพั ยส มบัติ — Corã~: a wife like arobber; thievish wife)3. อยั ยาภรยิ า (ภรรยาเยย่ี งนาย, ภรรยาทเี่ กยี จครา น ไมใ สใ จการงาน กนิ มาก ปากรา ย หยาบคายใจเหยี้ ม ชอบขม สามี — Ayyà~: a wife like a mistress: Madam High and Mighty)4. มาตาภรยิ า (ภรรยาเย่ยี งมารดา, ภรรยาทีห่ วังดเี สมอ คอยหวงใยเอาใจใสส ามี เหมือนมารดาปกปองบตุ ร และประหยดั รักษาทรัพยท่ีหามาได — Màtà~: a wife like a mother;motherly wife)5. ภคินีภริยา (ภรรยาเยีย่ งนองสาว, ภรรยาผเู คารพรักสามี ดงั นองรักพ่ี มีใจออนโยน รจู กัเกรงใจและคลอยตามสามี — Bhaginã~: a wife like a sister; sisterly wife)6. สขภี รยิ า (ภรรยาเยี่ยงสหาย, ภรรยาที่เปน เหมอื นเพ่ือน พบสามเี มือ่ ใด ก็ปลาบปลมื้ ดใี จเหมือนเพอื่ นพบเพอื่ นทจ่ี ากไปนาน เปน ผมู ีการศกึ ษาอบรม มกี ริ ยิ ามารยาท ความประพฤตดิ ีภักดีตอสามี — Sakhã~: a wife like a companion; friendly wife)7. ทาสภี รยิ า (ภรรยาเยย่ี งทาสี, ภรรยาทย่ี อมอยใู นอาํ นาจสามี ถกู ขตู ะคอกเฆ่ียนตี ก็อดทนไมโกรธตอบ — Dàsã~: a wife like a handmaid; slavish wife) ทา นสอนใหภรรยาสาํ รวจตนวา ท่ีเปน อยู ตนเปนภรรยาประเภทไหน และจะใหด คี วรจะเปนภรรยาประเภทใด; สําหรบั ชาย อาจใชเปน หลักสํารวจอปุ นสิ ัยของตนวาควรแกหญิงประเภทใดเปนคคู รอง และสํารวจหญงิ ทจี่ ะเปน คูครองวาเหมาะกบั อปุ นสิ ัยของตนหรอื ไม.A.IV.91; J.II.347. อง.ฺ สตฺตก.23/60/92; ชา.อ.4/92.
หมวด 7 207 [284][283] เมถุนสังโยค 7 (อาการทเี่ กย่ี วขอ งกบั เมถนุ หรอื นบั เนอื่ งในเมถนุ , ความประพฤติ พวั พนั กบั เมถนุ , เครอื่ งผกู มดั ไวก บั เมถนุ — Methuna-sa§yoga: bonds of sexuality; sex- bonds which cause the renting or blotching of the life of chastity despite no actual sexual intercourse) สมณะ ก็ดี พราหมณ กด็ ี บางคน ปฏญิ าณตนวา เปนพรหมจารี เขามไิ ดรว มประเวณีกับมาตคุ ามก็ จรงิ แตยงั ยนิ ดี ปลาบปล้ืม ช่นื ใจ ดวยเมถุนสังโยค 7 อยางใดอยา งหนง่ึ พรหมจรรยข องผนู ้นั ยังช่อื วาขาด ทะลุ ดา ง พรอย เปนการประพฤตพิ รหมจรรยท ีไ่ มบริสุทธ์ิ ประกอบดวยเมถุนสังโยค ยอ มไมพ น ไปจาก ทุกข กลาวคือ 1. ยินดกี ารลูบไล ขดั สี ใหอ าบน้ํา และการนวดฟน ของมาตคุ าม ปล้มื ใจดวยการบําเรอนน้ั (enjoyment of massage, manipulation, bathing and rubbing down by women) 2. ไมถึงอยางน้นั แตยังกระซกิ กระซ้ี เลน หัว สัพยอก กับมาตคุ าม ปลม้ื ใจดว ยการกระทํา อยา งนัน้ (enjoyment of joking, jesting and making merry with women) 3. ไมถ ึงอยางนนั้ แตยงั เพง จอ งดตู ากับมาตคุ าม ปลืม้ ใจดว ยการทําอยางนัน้ (enjoyment of gazing and staring at women eye to eye) 4. ไมถึงอยา งนน้ั แตยงั ชอบฟงเสียงมาตคุ ามหัวเราะ ขบั รอง หรือรอ งไหอ ยู ขางนอกฝา นอกกําแพง แลว ปลม้ื ใจ (enjoyment of listening to women as they laugh, talk, sing or weep beyond a wall or a fence) 5. ไมถึงอยางน้ัน แตยังชอบตามนึกถึงการเกาท่ีไดเคยหัวเราะพูดจาเลนหัวกับมาตุคาม แลวปลม้ื ใจ (enjoyment of recalling the laughs, talks and jests one formerly had with women) 6. ไมถึงอยา งนน้ั แตชอบดูคฤหบดี หรือบุตรคฤหบดี ผเู อบิ อ่มิ พร่ังพรอ มดวยกามคณุ ท้ัง 5 บํารุงบําเรอตนอยู แลวปล้ืมใจ (enjoyment of seeing a householder or a householder’s son indulging in sensual pleasures) 7. ไมถงึ อยางน้นั แตป ระพฤตพิ รหมจรรย ต้ังปรารถนาเพ่อื จะไดเปน เทพเจาหรือเทพองค ใดองคห นึ่ง (leading the life of chastity aspiring to be reborn as a god or a deity)A.IV.54. อง.ฺ สตฺตก.23/47/56.[284] วิญญาณฐิติ 7 (ภูมิเปน ที่ต้ังแหง วญิ ญาณ — Vi¤¤àõaññhiti: abodes orsupports of consciousness)1. สัตวบางพวก มกี ายตางกนั มีสญั ญาตา งกัน เชน พวกมนษุ ย เทพบางเหลา วินิปาติกะ(เปรต) บางเหลา (beings different in body and in perception)2. สัตวบ างพวก มีกายตางกัน แตมสี ัญญาอยา งเดียวกัน เชน เหลา เทพจําพวกพรหมผูเกดิ ในภูมปิ ฐมฌาน (beings different in body, but equal in perception)
[285] 208 พจนานุกรมพุทธศาสตร3. สตั วบางพวก มีกายอยา งเดียวกนั แตม สี ญั ญาตา งกนั เชน พวกเทพอาภสั สรา (beingsequal in body, but different in perception)4. สัตวบางพวก มีกายอยางเดียวกัน มีสัญญาอยางเดียวกัน เชน พวกเทพสุภกิณหะ(beings equal in body and in perception)5. สัตวบ างพวก ผูเขา ถงึ ชั้นอากาสานญั จายตนะ (beings reborn in the sphere ofBoundless Space)6. สตั วบางพวก ผูเขา ถงึ ช้ันวญิ ญาณัญจายตนะ (beings reborn in the sphere ofBoundless Consciousness)7. สตั วบางพวก ผเู ขา ถงึ ชั้นอากิญจัญญายตนะ (beings reborn in the sphere ofNothingness)D.III.253; A.IV.39. ท.ี ปา.11/335/265; อง.ฺ สตตฺ ก.23/41/41.[285] วิสุทธิ 7 (ความหมดจด, ความบริสุทธ์ทิ ่ีสูงขึ้นไปเปนขน้ั ๆ, ธรรมที่ชาํ ระสัตวใหบริสุทธิ์ ยังไตรสิกขาใหบริบูรณเปนขั้นๆ ไปโดยลําดับ จนบรรลุจุดหมายคือนิพพาน —Visuddhi: purity; stages of purity; gradual purification)1. สลี วิสทุ ธิ (ความหมดจดแหงศีล คือ รกั ษาศลี ตามภมู ขิ ั้นของตนใหบริสุทธ์ิ และใหเปน ไปเพือ่ สมาธิ — Sãla-visuddhi: purity of morality) วสิ ทุ ธมิ คั คว า ไดแก ปารสิ ุทธศิ ีล 4 [160]2. จิตตวิสทุ ธิ (ความหมดจดแหง จติ คอื ฝก อบรมจิตจนบังเกดิ สมาธพิ อเปน บาทฐานแหงวปิ ส สนา — Citta~: purity of mind) วสิ ทุ ธิมคั คว า ไดแก สมาบัติ 8 พรอมท้งั อุปจาร3. ทฏิ ฐิวิสทุ ธิ (ความหมดจดแหง ทฏิ ฐิ คอื ความรเู ขา ใจมองเหน็ นามรปู ตามสภาวะทเ่ี ปน จรงิเปน เหตขุ ม ความเขา ใจผดิ วา เปน สตั วบ คุ คลเสยี ได เรมิ่ ดาํ รงในภมู แิ หง ความไมห ลงผดิ — Diññhi~:purity of view; purity of understanding) จดั เปน ขนั้ กาํ หนดทุกขสัจจ4. กงั ขาวติ รณวสิ ุทธิ (ความหมดจดแหงญาณเปนเหตุขามพนความสงสัย, ความบริสุทธขิ์ ้นั ท่ีทําใหก าํ จดั ความสงสยั ได คอื กําหนดรูปจ จัยแหงนามรูปไดแ ลวจึงส้นิ สงสยั ในกาลทัง้ 3 — Kaïkhàvitaraõa~: purity of transcending doubts) ขอน้ีตรงกับ ธรรมฐติ ญิ าณ หรอืยถาภตู ญาณ หรือ สมั มาทสั สนะ จดั เปนข้นั กําหนดสมุทัยสัจจ5. มัคคามคั คญาณทัสสนวิสทุ ธิ (ความหมดจดแหง ญาณทร่ี ูเ ห็นวา เปนทางหรอื มใิ ชทาง คอืเร่ิมเจริญวิปสสนาตอไปดวยพิจารณากลาป จนมองเห็นความเกิดข้ึน และความเสื่อมไปแหงสังขารทง้ั หลาย อนั เรยี กวา อุทยัพพยานปุ สสนา เปน ตรณุ วิปสสนา คือวิปส สนาญาณออนๆ แลวมวี ิปสสนูปกิเลส เกิดขนึ้ กาํ หนดไดวาอุปกเิ ลสท้ัง 10 แหง วปิ ส สนานนั้ มิใชทาง สวนวปิ ส สนาท่ีเรม่ิ ดําเนินเขาสูวถิ นี ั่นแลเปนทางถกู ตอง เตรยี มที่จะประคองจติ ไวใ นวิถีคือ วปิ สสนา-ญาณ นั้นตอไป — Maggàmagga¤àõadassana~: purity of the knowledge and visionregarding path and not-path) ขอ น้จี ดั เปนข้ันกาํ หนดมัคคสจั จ
หมวด 7 209 [286]6. ปฏปิ ทาญาณทสั สนวสิ ทุ ธิ (ความหมดจดแหง ญาณอนั รเู หน็ ทางดาํ เนนิ คอื ประกอบความเพยี รในวปิ ส สนาญาณทง้ั หลายเรม่ิ แตอ ทุ ยพั พยานปุ ส สนาญาณทพ่ี น จากอปุ กเิ ลสดาํ เนนิ เขา สวู ถิ ที างแลว นนั้ เปน ตน ไป จนถงึ สจั จานโุ ลมกิ ญาณหรอื อนโุ ลมญาณ อนั เปน ทส่ี ดุ แหง วปิ ส สนา ตอ แตน กี้ ็จะเกดิ โคตรภญู าณ คนั่ ระหวา งวสิ ทุ ธขิ อ นกี้ บั ขอ สดุ ทา ย เปน หวั ตอ แหง ความเปน ปถุ ชุ นกบั ความเปน อรยิ บคุ คล โดยสรปุ วสิ ทุ ธขิ อ น้ี กค็ อื วปิ ส สนาญาณ 9 — Pañipadà¤àõadassana~: purityof the knowledge and vision of the way of progress)7. ญาณทสั สนวสิ ทุ ธิ (ความหมดจดแหง ญาณทัสสนะ คอื ความรูในอริยมรรค 4 หรือมรรคญาณ อนั เกิดถดั จากโคตรภญู าณเปนตนไป เมื่อมรรคเกิดแลว ผลจติ แตละอยา งยอมเกิดขน้ึ ในลาํ ดับถัดไปจากมรรคญาณน้ันๆ ความเปนอริยบุคคลยอมเกิดข้ึนโดยวิสทุ ธิขอนี้ เปน อันบรรลุผลทห่ี มายสูงสุดแหง วสิ ุทธิ หรอื ไตรสกิ ขา หรอื การปฏบิ ัตธิ รรมในพระพุทธศาสนาทัง้ ส้ิน— ¥àõadassana~: purity of knowledge and vision) วสิ ทุ ธิ 7 เปนปจจยั สง ตอ กนั ขน้ึ ไปเพือ่ บรรลนุ พิ พาน ดุจรถ 7 ผลัดสงตอกนั ใหบคุ คลถงึ ที่หมาย โดยนยั ดงั แสดงแลวดู [328] วิปส สนปู กิเลส 10; [311] วปิ ส สนาญาณ 9.M.I.149; Vism.1–710. ม.มู.12/298/295; คมั ภรี วิสทุ ธมิ คั คทง้ั หมด.[286] สัปปายะ 7 (สิง่ ทส่ี บาย, สภาพเอ้ือ, ส่งิ ทเ่ี ก้ือกูล, ส่ิงที่เอื้อตอการอยดู ีและการท่จี ะพฒั นาชีวิต, สงิ่ ทีเ่ หมาะกัน อันเกอื้ หนุนในการเจรญิ ภาวนาใหไ ดผลดี ชว ยใหส มาธติ ัง้ มน่ั ไมเสื่อมถอย — Sappàya: beneficial or advantageous conditions; suitable oragreeable things; things favourable to mental development)1. อาวาสสปั ปายะ (ทอี่ ยอู นั เหมาะ เชน ปลอดภยั ไมพ ลกุ พลา นจอแจ — âvàsa-sappàya:suitable abode) บางแหง เรยี ก เสนาสนสัปปายะ2. โคจรสปั ปายะ (แหลง อาหารอํานวย ท่ีเที่ยวบณิ ฑบาตทเี่ หมาะดี เชน มีหมบู านหรือชมุ ชนที่มีอาหารบริบรู ณอ ยไู มใ กลไมไ กลเกินไป — Gocara~: suitable resort)3. ภสั สสัปปายะ (การพูดคุยทเ่ี หมาะกัน เชน พูดคุยเลาขานกนั แตใ นกถาวตั ถุ 10 และพดู แตพอประมาณ ขา วสารและส่อื สารทีเ่ ออ้ื ปญญา — Bhassa~: suitable speech) บางแหง เรียกธัมมัสสวนสปั ปายะ4. ปคุ คลสัปปายะ (บคุ คลทีถ่ กู กันเหมาะกนั เชน ไมมคี นราย แตม ีทานผทู รงคณุ ธรรม ทรงภูมปิ ญ ญาเปนทีป่ รึกษาเหมาะใจ — Puggala~: suitable person)5. โภชนสัปปายะ (อาหารที่เหมาะกัน เชน ถกู กับรางกาย เกอ้ื กลู ตอสขุ ภาพ ฉนั ไมย าก —Bhojana~: suitable food) บางแหง เรียก อาหารสัปปายะ6. อุตสุ ปั ปายะ (ดนิ ฟา อากาศธรรมชาติแวดลอ มที่เหมาะ เชน ไมห นาวเกนิ ไป ไมร อ นเกนิ ไปเปนตน — Utu~: suitable climate)7. อิรยิ าปถสัปปายะ (อิริยาบถทเี่ หมาะกนั เชน บางคนถกู กับจงกรม บางคนถกู กับนั่ง ตลอด
[287] 210 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตรจนมกี ารเคลื่อนไหวทีพ่ อดี มอี ริ ยิ าบถสมดลุ — Iriyàpatha~: suitable posture)Vism. 127; Vin.A.II.429; MA.II.911. วิสุทฺธ.ิ 1/161; วนิ ย.อ.1/524; ม.อ.3/570.[287] สัปปุริสธรรม 71 (ธรรมของสัตบรุ ษุ , ธรรมทีท่ ําใหเปนสตั บุรษุ , คณุ สมบตั ขิ องคนดี, ธรรมของผูดี — Sappurisa-dhamma: qualities of a good man; virtues of agentleman)1. ธัมมัญุตา (ความรจู กั ธรรม รหู ลัก หรือ รูจกั เหตุ คือ รหู ลักความจริง รหู ลักการ รูหลักเกณฑ รกู ฎแหงธรรมดา รกู ฎเกณฑแหง เหตผุ ล และรหู ลกั การทจี่ ะทําใหเ กดิ ผล เชน ภิกษุรูวาหลักธรรมขอน้ันๆ คอื อะไร มอี ะไรบาง พระมหากษตั รยิ ท รงทราบวา หลกั การปกครองตามราชประเพณเี ปน อยา งไร มอี ะไรบา ง รูวา จะตองกระทําเหตอุ นั นๆ้ี หรือกระทาํ ตามหลกั การขอ นๆี้ จงึจะใหเกดิ ผลทตี่ องการหรือบรรลจุ ดุ หมายอนั นัน้ ๆ เปนตน — Dhamma¤¤utà: knowing thelaw; knowing the cause)2. อัตถญั ุตา (ความรูจ ักอรรถ รคู วามมุงหมาย หรอื รูจกั ผล คอื รคู วามหมาย รคู วามมุงหมาย รปู ระโยชนที่ประสงค รูจ ักผลที่จะเกดิ ขนึ้ สืบเนือ่ งจากการกระทํา หรอื ความเปนไปตามหลกั เชน รวู าหลกั ธรรมหรือภาษติ ขอนั้นๆ มีความหมายวา อยา งไร หลักน้ันๆ มีความมงุ หมายอยางไร กาํ หนดไวหรือพงึ ปฏิบตั ิเพ่อื ประสงคประโยชนอ ะไร การที่ตนกระทาํ อยูม ีความมงุ หมายอยา งไร เมื่อทาํ ไปแลวจะบังเกิดผลอะไรบาง ดงั นีเ้ ปน ตน — Attha¤¤utà: knowing themeaning; knowing the purpose; knowing the consequence)3. อตั ตัญุตา (ความรูจักตน คือ รวู า เราน้ัน วา โดยฐานะ ภาวะ เพศ กําลัง ความรู ความสามารถ ความถนดั และคณุ ธรรม เปนตน บดั น้ี เทาไร อยางไร แลวประพฤตใิ หเหมาะสม และรูท่จี ะแกไขปรบั ปรงุ ตอ ไป — Atta¤¤utà: knowing oneself)4. มัตตญั ุตา (ความรจู ักประมาณ คอื ความพอดี เชน ภกิ ษุรูจกั ประมาณในการรับและบรโิ ภคปจจัยส่ี คฤหสั ถรจู ักประมาณในการใชจา ยโภคทรพั ย พระมหากษตั ริยร ูจักประมาณในการลงทณั ฑอาชญาและในการเกบ็ ภาษี เปน ตน — Matta¤¤utà: moderation; knowing howto be temperate; sense of proportion)5. กาลญั ตุ า (ความรจู กั กาล คอื รกู าลเวลาอนั เหมาะสม และระยะเวลาทคี่ วรหรอื จะตอ งใชใ นการประกอบกจิ ทาํ หนา ทกี่ ารงาน หรอื ปฏบิ ตั กิ ารตา งๆ เชน ใหต รงเวลา ใหเ ปน เวลา ใหท นั เวลา ใหพอเวลา ใหเ หมาะเวลา เปน ตน — Kàla¤¤utà: knowing the proper time; knowing how tochoose and keep time)6. ปรสิ ญั ตุ า (ความรจู กั บรษิ ทั คอื รจู กั ชมุ ชน และรจู กั ทปี่ ระชมุ รกู ริ ยิ าทจ่ี ะประพฤตติ อ ชมุ ชนนนั้ ๆ วา ชมุ ชนนเ้ี มอื่ เขา ไปหา จะตอ งทาํ กริ ยิ าอยา งน้ี จะตอ งพดู อยา งนี้ ชมุ ชนนค้ี วรสงเคราะหอยา งนี้ เปน ตน — Parisa¤¤utà: knowing the assembly; knowing the society)7. ปคุ คลญั ุตา หรือ ปคุ คลปโรปรญั ุตา (ความรจู กั บคุ คล คือ ความแตกตางแหงบคุ คลวา โดยอธั ยาศัย ความสามารถ และคณุ ธรรม เปนตน ใครๆ ยิ่งหรือหยอนอยางไร และรูท ่จี ะ
หมวด 7 211 [289]ปฏบิ ตั ติ อบุคคลน้นั ๆ ดวยดี วา ควรจะคบหรือไม จะใช จะตําหนิ ยกยอง และแนะนําสั่งสอนอยางไร เปน ตน — Puggala¤¤utà: knowing the individual; knowing the differentindividuals) ภิกษุผูประกอบดวยสปั ปุรสิ ธรรม 7 ขอนี้ ชอ่ื วา เปน ผปู ระกอบดว ยสงั ฆคุณครบ 9 แมพ ระอรหันตสัมมาสัมพทุ ธเจา และพระเจาจักรพรรดิ กท็ รงประกอบดวยธรรมเหลานี้ (ทา นแสดงไวเฉพาะขอหลัก 5 ขอ คอื ขอ 1, 2, 4, 5, 6 องฺ.ปจฺ ก.22/131/166; A.III.148) จงึ ทรงยงั ธรรมจกั รและอาณาจักรใหเปน ไปดว ยดี.D.III.252,283; A.IV.113. ที.ปา.11/331/264; 439/312; อง.ฺ สตตฺ ก.23/65/114.[,,,] สัปปุริสธรรม 72 ดู [301] สัปปรุ สิ ธรรม 8.[,,,] สมบัติของอุบาสก 7 ดู [260] อุบาสกธรรม 7.[,,,] องคคุณของกัลยาณมิตร 7 ดู [278] กลั ยาณมิตรธรรม 7.[288] อนุสัย 7 (กิเลสทนี่ อนเนอ่ื งอยูในสันดาน — Anusaya: latent tendencies)1. กามราคะ (ความกําหนดั ในกาม, ความอยากไดต ดิ ใจในกาม — Kàmaràga: lust forsensual pleasures)2. ปฏฆิ ะ (ความขัดใจ, ความหงดุ หงิดขัดเคือง คอื โทสะ — Pañigha: repulsion; irritation;grudge)3. ทฏิ ฐิ (ความเหน็ ผิด, การยึดถอื ความเห็น เอาความคิดเห็นเปนความจรงิ — Diññhi: wrongview; speculative opinion)4. วจิ ิกจิ ฉา (ความลังเล, ความสงสยั — Vicikicchà: doubt; uncertainty)5. มานะ (ความถือตวั — Màna: conceit)6. ภวราคะ (ความกําหนดั ในภพ, ความอยากเปน อยากย่งิ ใหญ อยากยัง่ ยืน — Bhavaràga:lust for becoming)7. อวชิ ชา (ความไมร ูจรงิ คือ โมหะ — Avijjà: ignorance) อนสุ ัย 7 นี้ เรยี กอกี อยา งหนงึ่ วา สังโยชน 7D.III.254, 282; A.IV.8; Vbh.383. ที.ปา.11/337/266; องฺ.สตฺตก.23/11/8; อภิ.วิ.35/1005/517.[2ธ89ร]รมอป7ร(ธิหรรามนอันิยไธมเรปนรทมตี่ ั้งแ7ห1ง คขวาอมงเสกือ่ มษเัตปนรไิยปเวพัชื่อคชวีามหเรจอืรญิ วฝัชายชเดีอยี วปสราํ ิหหรับาหนมิยชู น-หรือผูบ รหิ ารบา นเมือง — Vajjã-aparihàniyadhamma: things leading never to declinebut only to prosperity; conditions of welfare)1. หม่นั ประชุมกนั เนอื งนิตย (to hold regular and frequent meetings)2. พรอ มเพรยี งกนั ประชุม พรอมเพรยี งกันเลกิ ประชมุ พรอ มเพรยี งกันทํากิจท่ีพงึ ทํา (to
[290] 212 พจนานุกรมพทุ ธศาสตรmeet together in harmony, disperse in harmony, and do their business andduties in harmony) ขอ น้แี ปลอีกอยา งหนงึ่ วา : พรอ มเพรยี งกันลกุ ขึ้นปองกนั บานเมือง พรอมเพรียงกนั ทํากิจท้ังหลาย3. ไมบ ญั ญตั ิส่งิ ทมี่ ิไดบ ญั ญัติไว (อนั ขัดตอ หลักการเดมิ ) ไมล มลา งสิง่ ทบี่ ัญญตั ไิ ว (ตามหลักการเดมิ ) ถอื ปฏบิ ตั ิม่ันตามวัชชธี รรม (หลกั การ) ตามท่ีวางไวเดิม (to introduce norevolutionary ordinance, or break up no established ordinance, but abide by theoriginal or fundamental Vajjian norm and principles)4. ทานเหลา ใดเปน ผใู หญในชนชาววัชชี เคารพนับถอื ทา นเหลา นน้ั เห็นถอ ยคําของทานวาเปนสิ่งอนั ควรรับฟง (to honour and respect the elders among the Vajjians anddeem them worthy of listening to)5. บรรดากุลสตรกี ุลกุมารที ้ังหลาย ใหอยดู ีโดยมิถูกขมเหง หรือฉุดครา ขืนใจ (the womenand girls of the families are to dwell without being forced or abducted)6. เคารพสกั การะบชู าเจดยี (ปชู นยี สถานและปชู นยี วตั ถุ ตลอดถงึ อนสุ าวรยี ต า งๆ) ของวชั ชี(ประจําชาต)ิ ทงั้ หลาย ทัง้ ภายในและภายนอก ไมป ลอ ยใหธ รรมิกพลีท่ีเคยใหเ คยทําแกเจดียเหลานน้ั เสอื่ มทรามไป (to honour and worship the Vajjian shrines, monumentsand objects of worship, both central and provincial, and do not neglect those righteousceremonies held before for them)7. จัดใหความอารกั ขา คุมครอง ปองกัน อนั ชอบธรรม แกพระอรหันตท ั้งหลาย (ในทน่ี ก้ี ินความกวา ง หมายถงึ บรรพชิตผดู ํารงธรรมเปนหลักใจของประชาชนทวั่ ไป) ตัง้ ใจวา ขอพระอรหันตท ั้งหลายทย่ี ังมไิ ดม า พึงมาสูแวนแควน ทม่ี าแลวพึงอยูใ นแวนแควน โดยผาสุก(to provide the rightful protection, shelter and support for the Arahants and wishthat the Arahants who have not come may enter the realm and those who haveentered may dwell pleasantly therein) อปรหิ านยิ ธรรม 7 ประการน้ี พระพทุ ธเจาตรสั แสดงแกเ จา วัชชที ง้ั หลาย ผูปกครองรฐั โดยระบอบสามัคคีธรรม (republic) ซ่งึ รัฐคอู ริยอมรับวา เมอ่ื ชาววัชชยี ังปฏิบัติตามหลักธรรมนี้ จะเอาชนะดว ยการรบไมได นอกจากจะใชก ารเกลีย้ กลอ มหรือยุแยกใหแตกสามัคคี.D.II.73; A.IV.15. ท.ี ม.10/68/86; องฺ.สตตฺ ก.23/20/18.[290] อปริหานิยธรรม 72 ของภิกษุ หรอื ภิกขุอปริหานิยธรรม 7(ธรรมอนั ไมเปนท่ีตง้ั แหงความเส่ือม เปนไปเพ่ือความเจริญฝา ยเดียว สําหรับภิกษุท้งั หลาย —Bhikkhu-aparihàniyadhamma: things leading never to decline but only toprosperity; conditions of welfare)1. หม่ันประชมุ กนั เนอื งนติ ย (to hold regular and frequent meetings)2. พรอ มเพรยี งกนั ประชมุ พรอ มเพรยี งกนั เลกิ ประชมุ พรอ มเพรยี งกนั ทํากจิ ทส่ี งฆจ ะตอ งทาํ
หมวด 7 213 [291](to meet together in harmony, disperse in harmony, and do the business andduties of the Order in harmony)ขอน้แี ปลอกี อยา งวา: พรอ มเพรียงกนั ประชมุ พรอ มเพรยี งกันลุกขึ้นจัดการแกไขสิง่ เสยี หาย เหตุไมงาม พรอมเพรียงกนั ทํากิจท่ีสงฆจ ะตอ งทาํ3. ไมบ ญั ญตั สิ งิ่ ทพ่ี ระพทุ ธเจา ไมท รงบญั ญตั ิ ไมล ม ลา งสง่ิ ทพี่ ระองคท รงบญั ญตั ไิ ว สมาทานศกึ ษาอยใู นสกิ ขาบททงั้ หลายตามทพ่ี ระองคท รงบญั ญตั ไิ ว (to introduce no revolutionaryordinance, break up no established ordinance, but train oneself in accordance withthe prescribed training rules)4. ภกิ ษเุ หลา ใดเปน ผใู หญ เปน สงั ฆบดิ ร เปน สงั ฆปรณิ ายก เคารพนบั ถอื ภกิ ษเุ หลา นนั้ เหน็ถอ ยคําของทา นวา เปน สงิ่ อนั ควรรบั ฟง (to honour and respect those elders of longexperience, the fathers and leaders of the Order and deem them worthy oflistening to)5. ไมล อุ าํ นาจตณั หาคอื ความอยากทเี่ กดิ ขน้ึ (not to fall under the influence of cravingwhich arises)6. ยินดีในเสนาสนะปา (to delight in forest retreat)7. ตงั้ สตริ ะลกึ ไวใ นใจวา สพรหมจารี (เพอื่ นพรหมจาร)ี ทง้ั หลายผมู ศี ลี งาม ซง่ึ ยงั ไมม า ขอใหมา ทมี่ าแลว ขอใหอ ยผู าสกุ (to establish oneself in mindfulness, with this thought,“Let disciplined co-celibates who have not come, come hither, and let those thathave already come live in comfort.”)D.II.77; A.IV.20. ท.ี ม.10/70/90; องฺ.สตฺตก.23/21/21.[291] อปริหานิยธรรม 73 ของภิกษุ หรอื ภิกขุอปริหานิยธรรม 7อีกหมวดหนึ่ง (Bhikkhu-aparihàniyadhamma)1. น กมฺมารามตา (ไมมวั เพลินการงาน คือไมห ลงเพลิดเพลินหมกมุนวุน อยูก ับงาน เชน การเย็บจวี ร ทาํ บริขารตางๆ เปน ตน จนเสอ่ื มเสยี การเลาเรียนศึกษาบาํ เพญ็ สมณธรรม — Nakammàràmatà: not to be fond of business)2. น ภสฺสารามตา (ไมม วั เพลินการคุย — Na bhassàràmatà: not to be fond of gossip)3. น นิททฺ ารามตา (ไมม ัวเพลินการหลับนอน — Na niddàràmatà: not to be fond ofsleeping)4. น สงคฺ ณกิ ารามตา (ไมม วั เพลินการคลุกคลีหมูค ณะ — Na saïgaõikàràmatà: not tobe fond of society)5. น ปาปจ ฉฺ ตา (ไมเ ปนผูมคี วามปรารถนาลามก, ไมตกอยใู นอาํ นาจความปรารถนาลามก —Na pàpicchatà: not to have nor fall under the influence of evil desire)6. น ปาปมิตฺตตา (ไมเ ปนผมู ปี าปมติ ร — Na pàpamittatà: not to have evil friends)
[292] 214 พจนานุกรมพทุ ธศาสตร7. น อนตฺ ราโวสานํ (ไมถ ึงความหยุดยง้ั นอนใจเสยี ในระหวาง ดวยการบรรลุคณุ วเิ ศษเพียงชั้นตน ๆ — Na antaràvosàna§: not to come to a stop on the way by theattainment of lesser success)D.II.78; A.IV.21. ที.ม.10/71/92; องฺ.สตตฺ ก.23/22/23.[292] อริยทรัพย 7 (ทรัพยอ นั ประเสริฐ, ทรัพยคอื คณุ ธรรมประจาํ ใจอยา งประเสริฐ —Ariya-dhana: noble treasures)1. ศรัทธา (ความเชื่อที่มีเหตุผล ม่ันใจในหลักที่ถือและในการดีที่ทํา — Saddhà:confidence)2. ศลี (การรกั ษากายวาจาใหเรียบรอย ประพฤติถูกตองดีงาม — Sãla: morality; goodconduct; virtue)3. หริ ิ (ความละอายใจตอ การทําความชั่ว — Hiri: moral shame; conscience)4. โอตตัปปะ (ความเกรงกลวั ตอ ความช่วั — Ottappa: moral dread; fear-to-err)5. พาหสุ จั จะ (ความเปนผูไ ดศกึ ษาเลา เรยี นมาก — Bàhusacca: great learning )6. จาคะ (ความเสียสละ เออื้ เฟอ เผ่ือแผ — Càga: liberality)7. ปญญา (ความรคู วามเขา ใจถองแทใ นเหตุผล ดีชั่ว ถกู ผดิ คณุ โทษ ประโยชน มใิ ชประโยชนรูคิด รูพจิ ารณา และรูทจี่ ะจดั ทาํ — Pa¤¤à: wisdom) อริยทรพั ย เปน ทรพั ยอันประเสรฐิ อยูภายในจติ ใจ ดกี วา ทรัพยภายนอก เพราะไมมีผูใดแยง ชงิ ไมส ูญหายไปดว ยภัยอันตรายตา งๆ ทาํ ใจใหไ มอ า งวางยากจน และเปน ทุนสรา งทรัพยภายนอกไดดว ย ธรรม 7 นี้ ทา นเรยี กวา เปน พหกุ ารธรรม หรอื ธรรมมอี ปุ การะมาก (Bahukàradhamma:virtues of great assistance; D.III.282; ท.ี ปา.11/433/310) เพราะเปน กาํ ลงั หนนุ ชวยสง เสริมในการบําเพ็ญคุณธรรมตางๆ ยังประโยชนตนและประโยชนผูอ่ืนใหสําเร็จไดอยางกวางขวางไพบูลยเปรียบเหมือนคนมีทรพั ยม าก ยอ มสามารถใชจ า ยทรพั ยเ ล้ยี งตนเลย้ี งผอู ่ืนใหมคี วามสขุ และบําเพญ็ ประโยชนตางๆ ไดเ ปน อนั มาก. D.III.163,267; A.IV.5. ที.ปา.11/326/264; อง.ฺ สตตฺ ก.23/6/5.[,,,] อริยบุคคล 7 ดู [63] อรยิ บคุ คล 7.[,,,] อุบาสกธรรม 7 ดู [260] อบุ าสกธรรม 7.
อฏั ฐกะ — หมวด 8 Groups of Eight (including related groups)[,,,] ฌาน 8 ดู [10] ฌาน 8.[293] มรรคมีองค 8 หรอื อัฏฐังคิกมรรค (เรียกเตม็ วา อริยอฏั ฐงั คกิ มรรค แปลวา “ทางมอี งคแ ปดประการ อนั ประเสรฐิ ” — Aññhaïgika-magga: the Noble Eightfold Path); องค 8 ของมรรค (มคั คังคะ — factors or constituents of the Path) มีดงั น้ี 1. สัมมาทฏิ ฐิ (เหน็ ชอบ ไดแก ความรูอ รยิ สัจจ 4 หรือ เห็นไตรลักษณ หรอื รอู กศุ ลและ อกุศลมลู กับกศุ ลและกศุ ลมูล หรือเห็นปฏจิ จสมุปบาท — Sammàdiññhi: Right View; Right Understanding) 2. สมั มาสังกปั ปะ (ดาํ ริชอบ ไดแก เนกขัมมสงั กัปป อพยาบาทสงั กปั ป อวหิ ิงสาสังกัปป — Sammàsaïkappa: Right Thought) ดู [69] กศุ ลวิตก 3 3. สมั มาวาจา (เจรจาชอบ ไดแ ก วจสี จุ ริต 4 — Sammàvàcà: Right Speech) 4. สมั มากัมมันตะ (กระทาํ ชอบ ไดแ ก กายสจุ รติ 3 — Sammàkammanta: Right Action) 5. สมั มาอาชวี ะ (เล้ียงชพี ชอบ ไดแ ก เวน มิจฉาชีพ ประกอบสมั มาชีพ — Sammà-àjãva: Right Livelihood) 6. สัมมาวายามะ (พยายามชอบ ไดแก ปธาน หรือ สัมมัปปธาน 4 — Sammàvàyàma: Right Effort) 7. สัมมาสติ (ระลึกชอบ ไดแก สตปิ ฏ ฐาน 4 — Sammàsati: Right Mindfulness) 8. สมั มาสมาธิ (ตั้งจติ มนั่ ชอบ ไดแก ฌาน 4 — Sammàsamàdhi: Right Concentration) องค 8 ของมรรค จัดเขาในธรรมขันธ 3 ขอ ตน คอื ขอ 3, 4, 5 เปน ศลี ขอ 6, 7, 8 เปนสมาธิ ขอ 1, 2 เปน ปญญา ดู [124] สิกขา 3; และหมวดธรรมทีอ่ างถงึ ทัง้ หมด มรรคมีองค 8 นี้ เปน อริยสัจจ ขอท่ี 4 และไดช ่ือวา มัชฌมิ าปฏปิ ทา แปลวา “ทางสายกลาง” เพราะเปนขอปฏิบัติอันพอดีที่จะนําไปสูจุดหมายแหงความหลุดพนเปนอิสระ ดับทุกขปลอดปญหา ไมต ิดขอ งในทสี่ ุดทั้งสอง คือ กามสขุ ลั ลกิ านุโยค และอัตตกลิ มถานโุ ยค ดู [15] ที่สุด 2; [204] อริยสจั จ 4D.II.312; M.I.61; M.III.251; Vbh.235. ที.ม.10/299/348; ม.ม.ู 12/149/123; ม.อุ.14/704/453; อภิ.ว.ิ 35/569/307.[294] ลักษณะตัดสินธรรมวินัย 8 หรอื หลักกําหนดธรรมวินัย 8(Dhammavinaya-nicchayalakkhaõa: criteria of the Doctrine and the Discipline)ธรรมเหลา ใดเปน ไปเพอ่ื
[295] 216 พจนานกุ รมพุทธศาสตร1. วิราคะ คือ ความคลายกาํ หนัด, ความไมติดพนั เปน อิสระ (Viràga: detachment;dispassionateness) มิใชเ พอื่ ความกําหนดั ยอ มใจ หรอื เสริมความติดใคร2. วิสงั โยค คือ ความหมดเครื่องผกู รดั , ความไมประกอบทกุ ข (Visa§yoga: release frombondage) มิใชเพื่อผูกรดั หรือประกอบทกุ ข3. อปจยะ คือ ความไมพ อกพนู กเิ ลส (Apacaya: dispersion of defilements) มใิ ชเพ่ือพอกพนู กเิ ลส4. อัปปจฉตา คอื ความอยากอันนอ ย, ความมักนอ ย (Appicchatà: wanting little) มิใชเพ่ือความอยากอนั ใหญ, ความมักใหญ หรอื มักมากอยากใหญ5. สันตฏุ ฐี คอื ความสนั โดษ (Santuññhi: contentment) มใิ ชเ พือ่ ความไมสนั โดษ6. ปวเิ วก คือ ความสงดั (Paviveka: seclusion; solitude) มใิ ชเพือ่ ความคลกุ คลอี ยูในหมู7. วิริยารัมภะ คอื การประกอบความเพยี ร (Viriyàrambha: energy; exertion) มใิ ชเพือ่ความเกยี จคราน8. สภุ รตา คอื ความเลย้ี งงา ย (Subharatà: being easy to support) มใิ ชเ พอ่ื ความเลยี้ งยากธรรมเหลานี้ พึงรวู าเปน ธรรม เปน วินยั เปนสัตถุสาสน คอื คําสอนของพระศาสดา; หมวดน้ีตรสั แกพ ระนางมหาปชาบดโี คตมีVin.II.259; A.IV.280. วินย.7/523/331; องฺ.อฏก.23/143/289.[295] ลักษณะตัดสินธรรมวินัย 7 หรอื หลักกําหนดธรรมวินัย 7(Dhammavinaya-jànanalakkhaõa: criteria of the Doctrine and the Discipline) ธรรมเหลาใดเปน ไปเพอ่ื1. เอกันตนิพพิทา (ความหนายส้ินเชิง, ไมหลงใหลเคลิบเคลิ้ม — Ekantanibbidà:disenchantment)2. วิราคะ (ความคลายกําหนัด, ไมยึดติดรัดตัว เปนอสิ ระ — Viràga: detachment)3. นิโรธ (ความดบั , หมดกิเลสหมดทุกข — Nirodha: extinction)4. อุปสมะ (ความสงบ — Upasama: calm; peace)5. อภญิ ญา (ความรูย่ิง, ความรูชัด — Abhi¤¤à: discernment; direct knowledge)6. สมั โพธะ (ความตรสั รู — Sambodha: enlightenment)7. นพิ พาน (นิพพาน — Nibbàna) ธรรมเหลา น้ี พงึ รวู า เปน ธรรม เปนวนิ ัย เปน สตั ถุสาสน คือคาํ สอนของพระศาสดา; หมวดนี้ตรสั แกพ ระอบุ าลีA.IV.143. อง.ฺ สตตฺ ก.23/80/146.[296] โลกธรรม 8 (ธรรมดาของโลก, เรอื่ งของโลก, ความเปนไปตามคตธิ รรมดาซ่ึงหมนุ
หมวด 8 217 [297]เวียนมาหาสัตวโลกและสัตวโลกก็หมุนเวียนตามมันไป — Loka-dhamma: wordlyconditions; wordly vicissitudes)1. ลาภ (ไดล าภ, มลี าภ — Làbha: gain)2. อลาภ (เสื่อมลาภ, สูญเสยี — Alàbha: loss)3. ยส (ไดยศ, มยี ศ — Yasa: fame; rank; dignity)4. อยส (เสื่อมยศ — Ayasa: obscurity)5. นินทา (ตเิ ตียน — Nindà: blame)6. ปสงั สา (สรรเสริญ — Pasa§sà: praise)7. สขุ (ความสุข — Sukha: happiness)8. ทกุ ข (ความทุกข — Dukkha: pain)โดยสรปุ เปน 2 คือ ขอ 1, 3, 6, 7 เปน อิฏฐารมณ คอื สว นท่ีนา ปรารถนา; ขอทีเ่ หลือเปนอนิฏฐารมณ คือ สวนทไี่ มนา ปรารถนาโลกธรรมเหลา นี้ ยอ มเกดิ ขน้ึ ทง้ั แกป ถุ ชุ นผมู ไิ ดเ รยี นรู และแกอ รยิ สาวกผไู ดเ รยี นรู ตา งกนัแตว า คนพวกแรกยอ มไมร เู หน็ เขา ใจตามความเปน จรงิ ลมุ หลง ยนิ ดยี นิ รา ย ปลอ ยใหโ ลกธรรมเขาครอบงาํ ยา่ํ ยจี ติ ฟยู บุ เรอื่ ยไป ไมพ น จากทกุ ข มโี สกะปรเิ ทวะ เปน ตน สว นอรยิ สาวกผไู ดเ รยี นรูพจิ ารณาเหน็ ตามเปน จรงิ วา สงิ่ เหลา นอี้ ยา งใดกต็ ามทเี่ กดิ ขนึ้ แกต น ลว นไมเ ทยี่ ง เปน ทกุ ข มคี วามแปรปรวนเปน ธรรมดา ไมห ลงใหลมวั เมาเคลมิ้ ไปตามอฏิ ฐารมณ ไมข นุ มวั หมน หมองคลมุ คลง่ั ไปในเพราะอนฏิ ฐารมณ มสี ตดิ าํ รงอยู เปน ผปู ราศจากทกุ ข มโี สกะปรเิ ทวะ เปน ตนA.IV.157. อง.ฺ อฏก.23/96/159.[297] วิชชา 8 (ความรแู จง , ความรวู ิเศษ — Vijjà: supernormal knowledge)1. วปิ ส สนาญาณ (ญาณในวปิ สสนา, ญาณท่ีเปนวิปส สนา คอื ปญ ญาทพ่ี จิ ารณาเหน็ สังขารคือนามรปู โดยไตรลักษณ มีตางกันออกไปเปน ชัน้ ๆ ตอเนื่องกัน — Vipassanà¤àõa: insight-knowledge)2. มโนมยิทธิ (ฤทธ์สิ าํ เร็จดวยใจ, ฤทธิท์ างใจ คือ นิรมติ กายอ่ืนออกจากกายนี้ ดุจชกั ไสจากหญาปลอง ชักดาบจากฝก หรอื ชกั งอู อกจากคราบ — Manomayiddhi: mind-made magicalpower)3. อิทธิวธิ า หรอื อิทธิวธิ ิ (แสดงฤทธติ์ า งๆ ได — Iddhividhà: supernormal powers)4. ทิพพโสต (หูทพิ ย — Dibbasota: divine ear)5. เจโตปรยิ ญาณ (ความรูท่กี าํ หนดใจผูอ ื่นได — Cetopariya¤àõa: penetration of theminds of others)6. ปพุ เพนวิ าสานุสสติ (ระลึกชาติได — Pubbenivàsànussati: remembrance of formerexistences)
[298] 218 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร7. ทิพพจักขุ (ตาทพิ ย — Dibbacakkhu: divine eye)8. อาสวักขยญาณ (ความรทู ี่ทําใหส ิน้ อาสวะ — âsavakkhaya¤àõa: knowledge of theexhaustion of mental intexicants) ขอท่ี 2 โดยมากจัดเขา ในขอท่ี 3 ดว ย ขอท่ี 3 ถึง 8 (6 ขอ ทาย) ตรงกับ อภญิ ญา 6 ดู [106]วิชชา 3; [274] อภญิ ญา 6; [311] วิปส สนาญาณ 9.D.I.76–84; M.II.17. ท.ี ส.ี 9/131–138/101–112.[298] วิโมกข 8 (ความหลุดพน, ภาวะทีจ่ ิตปลอดพน จากสงิ่ รบกวนและนอ มดิ่งเขาไปในอารมณน้นั ๆ อยางปลอ ยตวั หรือปลอดตวั เตม็ ที่ ซึ่งเปนไปในขัน้ ตอนตา งๆ — Vimokkha:liberations; the eight stages of release)1. ผมู รี ูป มองเห็นรูปทั้งหลาย (ไดแก รูปฌาน 4 ของผูไดฌานโดยเจริญกสิณทีก่ ําหนดวตั ถใุ นกายของตน เชน สผี ม — Remaining in the Fine-Material Sphere, one perceivescorporeal forms.)2. ผูม อี รปู สญั ญาภายใน มองเหน็ รูปทั้งหลายภายนอก (ไดแ ก รูปฌาน 4 ของผูไ ดฌานโดยเจริญกสิณกาํ หนดอารมณภายนอก — Not perceiveing internal corporeal forms, oneperceives corporeal forms externally.)3. ผนู อมใจด่งิ ไปวา “งาม” (ไดแ ก ฌานของผเู จริญวรรณกสิณ กําหนดสที ง่ี าม หรอื เจริญอัปปมัญญา — One is intent on the thought, “It is beautiful”.)4. เพราะลว งเสยี ซง่ึ รปู สญั ญาโดยประการทงั้ ปวง เพราะปฏฆิ สญั ญาดบั ไป เพราะไมใ สใ จนานตั ตสญั ญา จงึ เขา ถงึ อากาสานญั จายตนะ โดยมนสกิ ารวา อากาศหาทสี่ ดุ มไิ ด (— Oneattains and abides in the Sphere of Unbounded Space.)5. เพราะลว งเสยี ซึง่ อากาสานญั จายตนะโดยประการทั้งปวง จึงเขา ถงึ วญิ ญาณญั จายตนะโดยมนสิการวา วญิ ญาณหาท่สี ดุ มไิ ด (— One attains and abides in the Sphere ofUnbounded Consciousness.)6. เพราะลว งเสยี ซงึ่ วญิ ญาณญั จายตนะโดยประการทงั้ ปวง จงึ เขา ถงึ อากญิ จญั ญายตนะ โดยมนสกิ ารวา ไมม อี ะไรเลย (— One attains and abides in the Sphere of Nothingness.)7. เพราะลว งเสยี ซง่ึ อากญิ จญั ญายตนะโดยประการทง้ั ปวง จงึ เขา ถงึ เนวสญั ญานาสญั ญายตนะอยู (— One attains and abides in the Sphere of Neither-Perception-Nor-Non-perception.)8. เพราะลว งเสยี ซง่ึ เนวสญั ญานาสญั ญายตนะโดยประการทงั้ ปวง จงึ เขา ถงึ สญั ญาเวทยติ นโิ รธอยู (— One attains and abides in the Cessation of Perception and Feeling.) D.III.262,288; A.IV.306. ที.ปา.11/350/276; 453/328; องฺ.อฏก.23/163/315.[,,,] ศีล 8 ดู [240] ศีล 8.
หมวด 8 219 [301][,,,] ศีล 8 ทั้งอาชีวะดู [241] ศีล 8 ทง้ั อาชีวะ.[299] สมาบัติ 8 (คุณวเิ ศษเปนท่ีอันบุคคลเขา ถงึ หรือ ธรรมวเิ ศษท่ีควรเขาถงึ , การบรรลุ ข้นั สูง — Samàpatti: attainment) ไดแ ก ฌาน 8 คือ รูปฌาน 4 และอรูปฌาน 4 ดู [9] ฌาน 4; [10] ฌาน 8; [207] อรปู 4.Ps.I.20. ขุ.ปฏิ.31/60/34.[300] สัปปุริสทาน 8 (ทานของสัตบรุ ษุ , การใหอยางสตั บรุ ุษ — Sappurisa-dàna:gifts of a good man)1. สุจึ เทติ (ใหของสะอาด — to give clean things)2. ปณีตํ เทติ (ใหข องประณีต — to give choice things)3. กาเลน เทติ (ใหข องเหมาะกาล ใหถ ูกเวลา — to give at fitting times)4. กปฺปย ํเทติ (ใหของสมควร ใหของทคี่ วรแกเขา ซงึ่ เขาจะใชไ ด—to give proper things)5. วเิ จยยฺ เทติ (พจิ ารณาเลือกให ใหด วยวิจารณญาณ เลือกของ เลอื กคนทจ่ี ะให ใหเกดิ ผลเกดิ ประโยชนมาก — to give with discretion)6. อภณิ หฺ ํ เทติ (ใหเ นอื งนติ ย ใหป ระจาํ หรอื สมาํ่ เสมอ — to give repeatedly or regularly)7. ททํ จิตตฺ ํ ปสาเทติ (เมอื่ ให ทําจติ ผอ งใส — to calm one’s mind on giving)8. ทตฺวา อตตฺ มโน โหติ (ใหแ ลว เบิกบานใจ — to be glad after giving)A.IV.243. อง.ฺ อฏก.23/127/248.[301] สัปปุริสธรรม 8 (ธรรมของสัตบรุ ษุ , ธรรมทท่ี าํ ใหเ ปนสัตบุรุษ, คณุ สมบตั ขิ องคนดี — Sappurisa-dhamma: qualities of a good man)1. สทธฺ มมฺ สมนนฺ าคโต (ประกอบดว ยสทั ธรรม 7 ประการ — Saddhamma-samannàgato:to be endowed with the seven virtues) คอื ก. มศี รัทธา — to have confidence ข. มหี ริ ิ — to have moral shame ค. มโี อตตปั ปะ — to have moral fear ง. เปนพหูสูต — to be much learned จ. มีความเพยี รอันปรารภแลว — to be of stirred-up energy ฉ. มสี ติมนั่ คง — to have established mindfulness ช. มีปญญา — to have wisdom2. สปฺปรุ ิสภตตฺ ี (ภักดสี ัตบรุ ษ คอื คบหาสมณพราหมณ ทา นผปู ระกอบดวยสัทธรรม 7ประการขา งตน เปน มติ รสหาย — Sappurisa-bhattã: to consort with good men)3. สปปฺ รุ สิ จนิ ฺตี (คิดอยา งสตั บรุ ุษ คอื จะคดิ สงิ่ ใด กไ็ มคดิ เพือ่ เบยี ดเบียนตนและผอู น่ื —
[301] 220 พจนานุกรมพทุ ธศาสตรSappurisa-cintã: to think as do good men)4. สปฺปรุ สิ มนตฺ ี (ปรึกษาอยา งสตั บุรุษ คอื จะปรึกษาการใด ก็ไมปรกึ ษาเพือ่ เบียดเบยี นตนและผูอ่นื — Sappurisa-mantã: to consult as do good men)5. สปปฺ รุ สิ วาโจ (พดู อยา งสตั บรุ ษุ คอื พดู แตค าํ ทถี่ กู ตอ งตามวจสี จุ รติ 4 — Sappurisa-vàco:to speak as do good men)6. สปปฺ ุรสิ กมฺมนโฺ ต (ทําอยางสตั บุรุษ คอื ทาํ การที่ถกู ตอ งตามกายสจุ รติ 3 — Sappurisa-kammanto: to act as do good men)7. สปปฺ รุ สิ ทฏิ ี (มคี วามเหน็ อยา งสตั บรุ ษุ คอื มสี มั มาทฏิ ฐิ เชน วา ทาํ ดไี ดด ี ทาํ ชว่ั ไดช ว่ั เปน ตน— Sappurisa-diññhã: to have the views of good men)8. สปปฺ รุ ิสทานํ เทติ (ใหทานอยา งสัตบรุ ุษ คือ ใหต ามหลกั สปั ปุรสิ ทาน เชนใหโดยเออื้ เฟอทง้ัแกข องทตี่ ัวให ท้ังแกผรู ับทาน ใหของบรสิ ุทธิ์ ใหโ ดยเขา ใจถงึ ผลทจ่ี ะมีตามมา เปน ตน —Sappurisadàna§ deti: to give a gift as do good men) บางทเี รียกวา สปั ปุริสธรรม 7 เพราะนับเฉพาะสัทธรรม 7 ในขอ 1M.III.23. ม.อ.ุ 14/143/112.[,,,] หลักตัดสินธรรมวินัย 8 ดู [294] ลักษณะตัดสินธรรมวนิ ัย 8.[,,,] อริยบุคคล 8 ดู [57] อริยบุคคล 8.[,,,] อริยอัฏฐังคิกมรรค ดู [293] มรรคมีองค 8.[,,,] อวิชชา 8 ดู [209] อวชิ ชา 8.[,,,] อาชีวัฏฐมกศีล ดู [241] ศีล 8 ทงั้ อาชวี ะ.[,,,] อุโบสถศีล ดู [240] ศีล 8.
นวกะ — หมวด 9 Groups of Nine (including related groups)[302] นวังคสัตถุศาสน (คาํ สอนของพระศาสดามอี งค 9 — Navaïga-satthusàsana: the Teacher’s nine-factored dispensation; the Master’s ninefold teaching) 1. สตุ ตฺ ํ (สตู ร ไดแ ก พทุ ธพจนท มี่ สี าระเปน แกนรอ ยเรยี งเรอื่ งหนง่ึ ๆ หมายเอาอภุ โตวภิ งั ค นทิ เทส ขนั ธกะ ปรวิ าร พระสตู รในสตุ ตนบิ าต และพทุ ธวจนะอนื่ ๆ ทม่ี ชี อื่ วา สตุ ตะ หรอื สตุ ตนั ตะ กลา ว งา ยคอื วนิ ยั ปฎ ก คมั ภรี น ทิ เทสทงั้ สอง และพระสตู รทงั้ หลาย — Sutta: threads; discourses) 2. เคยยฺ ํ (เคยยะ ไดแ ก ความทม่ี รี อ ยแกว และรอ ยกรองผสมกนั หมายเอาพระสตู รทมี่ คี าถาทง้ั หมด โดยเฉพาะสคาถวรรคในสงั ยตุ ตนกิ าย — Geyya: discourses mixed with verses; songs) 3. เวยยฺ ากรณํ (ไวยากรณ ไดแก ความรอยแกว ลวน หมายเอาพระอภิธรรมปฎกทง้ั หมด พระ สูตรที่ไมมีคาถา และพทุ ธพจนอืน่ ใดทไ่ี มจดั เขา ในองค 8 ขอที่เหลอื — Veyyàkaraõa: prose- expositions) 4. คาถา (คาถา ไดแก ความรอยกรองลว น หมายเอา ธรรมบท เถรคาถา เถรคี าถา และคาถา ลว นในสตุ ตนิบาตทีไ่ มม ชี ่ือวา เปน สตู ร — Gàthà: verses) 5. อทุ านํ (อุทาน ไดแ ก พระคาถาที่ทรงเปลงดว ยพระหฤทัยสหรคตดว ยโสมนสั สมั ปยตุ ดว ย ญาณ พรอมท้ังขอความอันประกอบอยูดวย รวมเปนพระสูตร 82 สูตร — Udàna: exclamations; psalms; verses of uplift) 6. อิติวุตฺตกํ (อติ วิ ุตตกะ ไดแ ก พระสตู ร 110 สูตร ทีต่ รัสโดยนัยวา วุตฺตํ เหตํ ภควตา — Itivuttaka: Thus-said discourses) 7. ชาตกํ (ชาดก ไดแ ก ชาดก 550 เรอ่ื ง มอี ปณ ณกชาดก เปน ตน — Jàtaka: birth-stories) 8. อพฺภูตธมมฺ ํ (อัพภูตธรรม หรือเรอื่ งอัศจรรย ไดแก พระสตู รท่วี า ดว ยขออัศจรรย ไมเ คยมี ทุกสตู ร เชน ทต่ี รัสวา “ภกิ ษุท้ังหลาย ขอ อัศจรรยไมเ คยมี 4 อยางนี้ หาไดใ นอานนท” ดงั น้ี เปน ตน — Abbhåtadhamma: marvellous ideas) 9. เวทลฺลํ (เวทัลละ ไดแ ก พระสตู รแบบถามตอบ ซงึ่ ผูถามไดท ัง้ ความรูและความพอใจ ถาม ตอ ๆ ไป เชน จฬู เวทลั ลสตู ร มหาเวทลั ลสตู ร สมั มาทฏิ ฐสิ ตู ร สกั กปญ หสตู ร สงั ขารภาชนยี สตู ร และมหาปณุ ณมสูตร เปนตน — Vedalla: question-and-answer; catechetical suttas) คาํ วา นวงั คสตั ถุสาสน น้ี เปน คํารนุ คัมภรี อ ปทาน พทุ ธวงส และอรรถกถาท้งั หลาย บางทีเรยี กวา ชนิ สาสน บา ง พทุ ธวจนะ บา ง สว นในบาลที ม่ี าทงั้ หลายเรยี กวา ธรรม บา ง สตุ ะ บา งดู [51] สาสน หรือ ศาสนา 2.Vin.III.8; M.I.133; A.II.5; A.III.86. วนิ ย.1/7/12; ม.ม.ู 12/278/268; องฺ.จตกุ กฺ .21/6/8; อง.ฺ ปจฺ ก.22/73/98.
[303] 222 พจนานุกรมพทุ ธศาสตร[303] พุทธคุณ 9 (คณุ ของพระพทุ ธเจา — Buddhaguõa: virtues or attributes of the Buddha) อติ ิป โส ภควา (แมเพราะอยา งน้ๆี พระผมู ีพระภาคเจาน้นั — Thus indeed is he, the Blessed One,) 1. อรหํ (เปนพระอรหันต คือ เปนผูบริสุทธ์ิ ไกลจากกิเลส ทําลายกาํ แหง สังสารจกั รไดแลว เปน ผูควรแนะนาํ สงั่ สอนผูอน่ื ควรไดรับความเคารพบูชา เปนตน — Araha§: holy; worthy; accomplished) 2. สมมฺ าสมฺพทุ ฺโธ (เปนผตู รัสรูชอบเอง — Sammàsambuddho: fully self-enlightened) 3. วิชชฺ าจรณสมปฺ นโฺ น (เปนผูถงึ พรอ มดว ยวิชชา คือความรู และจรณะ คือ ความประพฤติ — Vijjàcaraõa-sampanno: perfect in knowledge and conduct) 4. สุคโต (เปนผเู สด็จไปดแี ลว คือ ทรงดาํ เนินพระพทุ ธจรยิ าใหเปนไปโดยสาํ เรจ็ ผลดวยดี พระ องคเองก็ไดตรัสรูสาํ เร็จเปนพระพุทธเจา ทรงบาํ เพญ็ พุทธกิจกส็ ําเรจ็ ประโยชนยิง่ ใหญแกช นทัง้ หลายในที่ที่เสด็จไป และไดประดิษฐานพระศาสนาไว แมปรินิพพานแลวก็เปนประโยชนแก มหาชนสบื มา — Sugato: well-gone; well-farer; sublime) 5. โลกวทิ ู (เปน ผรู ูแจงโลก คอื ทรงรูแจง สภาวะอนั เปน คตธิ รรมดาแหงโลกคือสงั ขารทง้ั หลาย ทรงหยงั่ ทราบอัธยาศยั สนั ดานแหง สัตวโลกท้งั ปวง ผูเ ปนไปตามอํานาจแหง คติธรรมดาโดยถอง แท เปนเหตใุ หทรงดําเนนิ พระองคเปน อิสระ พนจากอํานาจครอบงําแหงคติธรรมดานัน้ และทรง เปนทีพ่ ึ่งแหงสตั วท ้ังหลายผูย งั จมอยูในกระแสโลกได — Lokavidå: knower of the worlds) 6. อนุตตฺ โร ปรุ ิสทมฺมสารถิ (เปน สารถฝี กบรุ ุษท่ีฝกได ไมมีใครยงิ่ ไปกวา คอื ทรงเปน ผูฝ ก คนไดด ีเยีย่ ม ไมมผี ูใ ดเทยี มเทา — Anuttaro purisadammasàrathi: the incomparable leader of men to be tamed) 7. สตฺถา เทวมนุสฺสานํ (เปนศาสดาของเทวดาและมนุษยทั้งหลาย — Satthà deva- manussàna§: the teacher of gods and men) 8. พทุ โฺ ธ (เปน ผูต ่นื และเบกิ บานแลว คือ ทรงตื่นเองจากความเชือ่ ถือและขอ ปฏบิ ตั ทิ ้ังหลายทถี่ อื กนั มาผดิ ๆ ดว ย ทรงปลกุ ผอู ืน่ ใหพ น จากความหลงงมงายดวย อนึ่ง เพราะไมติด ไมหลง ไมห วง กงั วลในสิง่ ใดๆ มีการคาํ นึงประโยชนสว นตนเปน ตน จึงมีพระทยั เบกิ บาน บาํ เพญ็ พทุ ธกิจไดถ ูก ตองบรบิ รู ณ โดยถือธรรมเปนประมาณ การทท่ี รงพระคุณสมบูรณเชน นี้ และทรงบําเพ็ญพทุ ธกจิ ไดเรียบรอยบริบรู ณเ ชน นี้ ยอมอาศยั เหตคุ ือความเปน ผูต ่นื และยอ มใหเ กิดผลคอื ทําใหท รงเบิก บานดวย — Buddho: awakened) 9. ภควา (ทรงเปน ผูมโี ชค คือ จะทรงทําการใด กล็ ุลว งปลอดภัยทุกประการ หรอื เปน ผูจาํ แนก แจกธรรม — Bhagavà: blessed; analyst) พุทธคณุ 9 นี้ เรียกอกี อยา งวา นวารหาทิคณุ (คุณของพระพุทธเจา 9 ประการ มี อรหํ เปนตน ) บางทีเลือนมาเปน นวรหคุณ หรอื นวารหคณุ แปลวา “คุณของพระพทุ ธเจา ผูเปน
หมวด 9 223 [306]พระอรหันต 9 ประการ”M.I.37; A.III.285. ม.มู.12/95/67; อง.ฺ ฉกฺก.22/281/317.[304] พุทธคุณ 2 (Buddhaguõa: virtues, qualities or attributes of the Buddha)1. อัตตหติ สมบัติ (ความถงึ พรอมแหงประโยชนตน, ทรงบาํ เพญ็ ประโยชนส วนพระองคเ องเสร็จสิ้นสมบูรณแลว — Attahita-sampatti: to have achieved one’s own good;accomplishment of one’s own welfare) พระคุณขอ นม้ี ุงเอาพระปญ ญาเปนหลกั เพราะเปนเครอ่ื งใหสาํ เรจ็ พุทธภาวะ คอื ความเปน พระพุทธเจา และความเปน อตั ตนาถะ คือ พง่ึ ตนเองได2. ปรหติ ปฏิบัติ (การปฏบิ ตั ิเพอื่ ประโยชนแกผูอน่ื , ทรงบาํ เพญ็ พทุ ธจริยาเพอ่ื ประโยชนแกผูอื่น— Parahita-pañipatti: practice for the good or welfare of others) พระคณุ ขอนมี้ งุ เอาพระกรณุ าเปน หลัก เพราะเปน เคร่ืองใหสําเรจ็ พทุ ธกิจ คอื หนา ที่ของพระพุทธเจา และความเปนโลกนาถ คอื เปน ท่พี ่งึ ของชาวโลกได พทุ ธคณุ 9 ในขอ กอน [303] ยอลงแลว เปน 2 อยา งดังแสดงมานี้ คอื ขอ 1, 2, 3, 5 เปนสว นอตั ตหติ สมบตั ิ ขอ 6, 7 เปนสว นปรหิตปฏบิ ัติ ขอ 4, 8, 9 เปน ท้งั อตั ตหิตสมบัติและปรหติ ปฏบิ ตั ิDAò.I.8 (ฉบับไทยยังไมพ มิ พ) วสิ ุทธฺ .ิ ฏกี า1/258/381; 246/338 (ฉบบั โรมันยังไมพมิ พ)[305] พุทธคุณ 3 (Buddhaguõa: virtues, qualities or attributes of the Buddha)1. ปญ ญาคุณ (พระคุณคือพระปญ ญา — Pa¤¤à: wisdom)2. วสิ ุทธิคุณ (พระคุณคือความบรสิ ุทธ์ิ — Visuddhi: purity)3. กรุณาคุณ (พระคณุ คือพระมหากรุณา — Karuõà: compassion) ในพระคณุ 3 น้ี ขอ ทเ่ี ปน หลกั และกลา วถงึ ทว่ั ไปในคมั ภรี ต า งๆ มี 2 คอื ปญ ญา และกรณุ าสว นวสิ ุทธิ เปน พระคุณเนอื่ งอยใู นพระปญ ญาอยแู ลว เพราะเปนผลเกดิ เองจากการตรสั รู คัมภรี ท้ังหลายจึงไมแ ยกไวเ ปนขอ หนงึ่ ตางหาก(ฉบบั โรมันยงั ไมพ ิมพ) นัย วิสุทฺธ.ิ ฏีกา1/1.[306] ธรรมคุณ 6 (คุณของพระธรรม — Dhammaguõa: virtues or attributes ofthe Dhamma)1. สฺวากฺขาโต ภควตา ธมโฺ ม (พระธรรมอนั พระผมู พี ระภาคเจาตรัสดีแลว คอื ตรสั ไวเ ปนความจริงแท อีกท้ังงามในเบื้องตน งามในทา มกลาง งามในทีส่ ดุ พรอ มท้งั อรรถพรอ มท้งัพยัญชนะ ประกาศหลักการครองชีวิตอันประเสรฐิ บริสทุ ธิ์ บรบิ ูรณส ิน้ เชงิ — Svàkkhàto:Well proclaimed is the Dhamma by the Blessed One)2. สนทฺ ิฏ โิ ก (อนั ผปู ฏบิ ัติจะพึงเห็นชัดดวยตนเอง คือ ผูใดปฏบิ ตั ิ ผูใดบรรลุ ผนู ัน้ ยอ มเหน็ประจักษด ว ยตนเอง ไมต องเชอื่ ตามคาํ ของผอู นื่ ผูใดไมป ฏิบตั ิ ไมบรรลุ ผอู ืน่ จะบอกก็เหน็ ไมไ ด— Sandiññhiko: to be seen for oneself)
[307] 224 พจนานุกรมพุทธศาสตร3. อกาลิโก (ไมป ระกอบดว ยกาล คอื ไมข ึน้ กบั กาลเวลา พรอมเมอ่ื ใด บรรลไุ ดท นั ที บรรลุเมื่อใด เหน็ ผลไดท นั ที อกี อยา งวา เปน จรงิ อยอู ยา งไร กเ็ ปน อยา งนน้ั ไมจ าํ กดั ดว ยกาล — Akàliko:not delayed; timeless)4. เอหิปสฺสิโก (ควรเรยี กใหม าดู คือ เชญิ ชวนใหมาชม และพิสูจน หรือทา ทายตอการตรวจสอบ เพราะเปนของจรงิ และดีจริง — Ehipassiko: inviting to come and see; invitinginspection)5. โอปนยโิ ก (ควรนอมเขามา คอื ควรนอ มเขามาไวใ นใจ หรอื นอมใจเขาไปใหถ งึ ดว ยการปฏบิ ัตใิ หเ กิดมขี ึ้นในใจ หรอื ใหใจบรรลถุ งึ อยางนนั้ หมายความวา เชิญชวนใหทดลองปฏบิ ัติดูอีกอยา งหนง่ึ วาเปนสิง่ ทน่ี ําผปู ฏิบตั ิใหเขาไปถงึ ทหี่ มายคือนิพพาน — Opanayiko: worthy ofinducing in and by one’s own mind; worthy of realizing; to be tried by practice;leading onward)6. ปจฺจตฺตํ เวทติ พโฺ พ วิ ฺูหิ (อันวญิ ชู นพึงรูเฉพาะตน คือ เปน วสิ ยั ของวิญชู นจะพงึ รูได เปน ของจําเพาะตน ตองทําจงึ เสวยไดเฉพาะตัว ทาํ ใหก นั ไมไ ด เอาจากกันไมได และรูไ ดประจกั ษท่ีในใจของตนน่เี อง — Paccatta§ veditabbo vi¤¤åhi: directly experienceableby the wise) คุณขอ ที่ 1 มคี วามหมายกวา งรวมทง้ั ปรยิ ัติธรรม คือ คาํ สัง่ สอนดว ย สวนขอที่ 2 ถงึ 6 มุงใหเปนคณุ ของโลกตุ ตรธรรม จะเหน็ ไดในที่อนื่ ๆ วา ขอที่ 2 ถึง 6 ทานแสดงไวเ ปน คณุ บทของนพิ พาน กม็ ีM.I.37; A.III.285. ม.มู.12/95/67; อง.ฺ ฉกฺก.22/281/318.[307] สังฆคุณ 9 (คุณของพระสงฆ — Saïghaguõa: virtues of the Sangha;virtues or attributes of the community of noble disciples)1. สปุ ฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงโฺ ฆ (พระสงฆส าวกของพระผมู พี ระภาค เปนผปู ฏบิ ัติดี —Supañipanno: Of good conduct is the community of noble disciples of theBlessed One)2. อุชุปฏปิ นโฺ น (เปน ผูปฏบิ ตั ติ รง — Ujupañipanno: of upright conduct)3. ายปฏิปนโฺ น (เปนผูปฏิบตั ถิ กู ทาง — ¥àyapañipanno: of right conduct)4. สามีจปิ ฏปิ นฺโน (เปนผปู ฏบิ ตั สิ มควร — Sàmãcipañipanno: of dutiful conduct; ofproper conduct) ยททิ ํ จตตฺ าริ ปรุ สิ ยคุ านิ อฏ ปรุ สิ ปคุ คฺ ลา (ไดแ ก คบู รุ ษุ 4 ตวั บคุ คล 8 — namely, thefour pairs of men, the eight types of individuals.) เอส ภควโต สาวกสงฺโฆ (พระสงฆส าวกของพระผมู ีพระภาคนี้ — This community ofthe disciples of the Blessed One is)
หมวด 9 225 [309]5. อาหุเนยฺโย (เปนผูควรแกของคํานับ คือควรรับของที่เขานํามาถวาย — âhuneyyo:worthy of gifts)6. ปาหเุ นยฺโย (เปนผคู วรแกการตอ นรับ — Pàhuneyyo: worthy of hospitality)7. ทกขฺ ิเณยโฺ ย (เปนผคู วรแกท ักษิณา, ควรแกข องทาํ บุญ — Dakkhiõeyyo: worthy ofofferings)8. อฺชลิกรณีโย (เปน ผคู วรแกการทาํ อัญชลี, ควรแกการกราบไหว — A¤jalikaraõãyo:worthy of reverential salutation)9. อนตุ ฺตรํ ปฺุกฺเขตฺตํ โลกสสฺ (เปนนาบญุ อันยอดเยย่ี มของโลก, เปน แหลง ปลกู ฝงและเผยแพรความดีที่ยอดเยี่ยมของโลก — Anuttara§ pu¤¤akkhetta§ lokassa: theincomparable field of merit or virtue for the world)M.I.37; A.III.286. ม.ม.ู 12/95/67; องฺ.ฉกฺก.22/281/318.[308] มละ 9 (มลทิน — Mala: stains)1. โกธะ (ความโกรธ — Kodha: anger)2. มักขะ (ความลบหลูค ุณทาน, ความหลคู วามดีผอู ่ืน — Makkha: detraction; depre-ciation)3. อิสสา (ความริษยา — Issà: envy; jealousy)4. มัจฉริยะ (ความตระหนี่ — Macchariya: stinginess; meanness)5. มายา (มารยา — Màyà: deceit)6. สาเถยยะ (ความโออ วดหลอกเขา, สาไถย — Sàtheyya: hypocrisy)7. มสุ าวาท (การพูดปด — Musàvàda: false speech)8. ปาปจ ฉา (ความปรารถนาลามก — Pàpicchà: evil desire)9. มจิ ฉาทิฏฐิ (ความเห็นผิด — Micchàdiññhi: false view)Vbh.389. อภ.ิ ว.ิ 35/1021/526.[309] มานะ 9 (ความถอื ตวั , ความสาํ คญั ตนเปน อยา งนน้ั อยา งน้ี — Màna: conceit; pride)1. เปน ผเู ลศิ กวา เขา สาํ คญั ตวั วา เลศิ กวา เขา (Being superior to others, one thinks, “Betteram I.”)2. เปน ผเู ลศิ กวา เขา สาํ คญั ตวั วา เสมอเขา (Being superior to others, one thinks, “Equalam I.”)3. เปน ผเู ลศิ กวา เขา สาํ คญั ตวั วา เลวกวา เขา (Being superior to others, one thinks, “Worseam I.”)4. เปน ผเู สมอเขา สาํ คญั ตวั วา เลศิ กวา เขา (Being equal to others, one thinks, “Better am
[310] 226 พจนานกุ รมพุทธศาสตรI.”)5. เปน ผเู สมอเขา สาํ คญั ตวั วา เสมอเขา (Being equal to others, one thinks, “Equal am I.”)6. เปน ผเู สมอเขา สาํ คญั ตวั วา เลวกวา เขา (Being equal to others, one thinks, “Worse amI.”)7. เปน ผเู ลวกวา เขา สาํ คญั ตวั วา เลศิ กวา เขา (Being inferior to others, one thinks, “Betteram I.”)8. เปน ผเู ลวกวา เขา สาํ คญั ตวั วา เสมอเขา (Being inferior to others, one thinks, “Equal amI.”)9. เปน ผเู ลวกวา เขา สาํ คญั ตวั วา เลวกวา เขา (Being inferior to others, one thinks, “Worseam I.”)Nd180; Nd2226; Vbh.389. ข.ุ ม.29/102/94; 829/519; ขุ.จ.ู 30/578/283; อภ.ิ วิ.35/1022/527[310] โลกุตตรธรรม 9 (ธรรมอนั มใิ ชวิสัยของโลก, สภาวะพน โลก — Lokuttara-dhamma: supermundane states) (+ โพธปิ ก ขยิ ธรรม 37 = 46: ขุ.ปฏิ.31/620/535; Ps.II.166)มรรค 4 (Magga: the Four Paths)ผล 4 (Phala: the Four Fruitions)นิพพาน หรอื อสงั ขตธาตุ 1 (Nibbàna: the Unconditioned State)ดู [27] นิพพาน 2; [164] มรรค 4; [165] ผล 4.Dhs.1094. อภ.ิ ส.ํ 34/706/278; 911/355.[311] วิปสสนาญาณ 9 (ญาณในวปิ สสนา, ญาณท่ีนบั เขา ในวปิ ส สนา หรือทจี่ ดั เปนวิปส สนา คือ เปน ความรูทท่ี าํ ใหเ กิดความเห็นแจง เขาใจสภาวะของส่ิงทัง้ หลายตามเปนจริง —Vipassanà¤àõa: insight-knowledge)1. อุทยัพพยานปุ ส สนาญาณ (ญาณอันตามเห็นความเกดิ และความดบั คือ พิจารณาความเกิดข้ึนและความดับไปแหงเบญจขันธ จนเห็นชัดวา ส่ิงทั้งหลายเกิดขึ้นคร้ันแลวก็ตองดับไปลว นเกดิ ข้นึ แลวกด็ ับไปทั้งหมด — Udayabbaya¤àõa: knowledge of contemplation onrise and fall)2. ภังคานปุ สสนาญาณ (ญาณอนั ตามเหน็ ความสลาย คอื เมอื่ เหน็ ความเกิดดับเชน น้ันแลวคาํ นงึ เดน ชดั ในสว นความดับอันเปน จดุ จบสิน้ กเ็ ห็นวาสงั ขารท้ังปวงลว นจะตอ งสลายไปท้งั หมด— Bhaïga¤àõa: knowledge of contemplation on dissolution)3. ภยตปู ฏฐานญาณ (ญาณอันมองเหน็ สังขารปรากฏเปนของนากลวั คอื เมื่อพิจารณาเห็นความแตกสลายอนั มที ั่วไปแกทุกส่งิ ทกุ อยางเชนน้ันแลว สังขารทงั้ ปวงไมวา จะเปนไปในภพใดคติใด กป็ รากฏเปน ของนา กลวั เพราะลว นแตจ ะตอ งสลายไป ไมป ลอดภยั ทง้ั สน้ิ — Bhaya¤àõa:knowledge of the appearance as terror)
หมวด 9 227 [312]4. อาทนี วานปุ ส สนาญาณ (ญาณอนั คาํ นงึ เหน็ โทษ คอื เมอื่ พจิ ารณาเหน็ สงั ขารทง้ั ปวงซง่ึ ลว นตอ งแตกสลายไป เปน ของนา กลวั ไมป ลอดภยั ทงั้ สนิ้ แลว ยอ มคาํ นงึ เหน็ สงั ขารทงั้ ปวงนน้ั วา เปน โทษเปนส่ิงท่ีมีความบกพรอ ง จะตองระคนอยูด ว ยทุกข — âdãnava¤àõa: knowledge ofcontemplation on disadvantages)5. นพิ พทิ านปุ ส สนาญาณ (ญาณอนั คาํ นงึ เหน็ ดว ยความหนา ย คอื เมอ่ื พจิ ารณาเหน็ สงั ขารวาเปน โทษเชน นนั้ แลว ยอ มเกดิ ความหนา ย ไมเ พลดิ เพลนิ ตดิ ใจ — Nibbidà¤àõa: knowledge ofcontemplation on dispassion)6. มญุ จติ กุ มั ยตาญาณ (ญาณอนั คาํ นงึ ดว ยใครจ ะพน ไปเสยี คอื เมอ่ื หนา ยสงั ขารทง้ั หลายแลวยอ มปรารถนาทจี่ ะพน ไปเสยี จากสงั ขารเหลา นน้ั — Mu¤citukamyatà¤àõa: knowledge of thedesire for deliverance)7. ปฏิสังขานปุ ส สนาญาณ (ญาณอนั คํานงึ พิจารณาหาทาง คอื เมอ่ื ตอ งการจะพนไปเสยี จึงกลับหันไปยกเอาสังขารทั้งหลายขึ้นมาพิจารณากําหนดดวยไตรลักษณเพือ่ มองหาอุบายทจ่ี ะปลดเปล้ืองออกไป — Pañisaïkhà¤àõa: knowledge of reflective contemplation)8. สงั ขารุเปกขาญาณ (ญาณอนั เปนไปโดยความเปนกลางตอ สังขาร คือ เมอ่ื พิจารณาสงั ขารตอ ไป ยอ มเกิดความรูเหน็ สภาวะของสังขารตามความเปนจรงิ วามคี วามเปนอยูเปน ไปของมันอยา งน้นั เปน ธรรมดา จึงวางใจเปน กลางได ไมยนิ ดียินรา ยในสงั ขารทง้ั หลาย แตนัน้ มองเห็นนพิ พานเปน สันติบท ญาณจึงแลนมุง ไปยังนิพพาน เลกิ ละความเก่ียวเกาะกับสงั ขารเสยี ได —Saïkhàrupekkhà¤àõa: knowledge of equanimity regarding all formations)9. สัจจานโุ ลมิกญาณ หรอื อนุโลมญาณ (ญาณอนั เปนไปโดยอนุโลมแกการหยง่ั รูอรยิ สจั จคือ เมื่อวางใจเปน กลางตอ สงั ขารท้ังหลาย ไมพะวง และญาณแลน มงุ ตรงไปสูน พิ พานแลว ญาณอนั คลอ ยตอ การตรัสรอู ริยสจั จ ยอ มเกิดขนึ้ ในลาํ ดับถดั ไป เปน ขน้ั สดุ ทายของวปิ สสนาญาณ ตอจากน้นั กจ็ ะเกดิ โคตรภูญาณมาคัน่ กลาง แลว เกดิ มรรคญาณใหส าํ เรจ็ ความเปนอริยบคุ คลตอ ไป— Anuloma¤àõa: conformity-knowledge; adaptation-knowledge) ธรรมหมวดน้ี ทา นปรงุ ศพั ทข น้ึ โดยถอื ตามนยั แหง คมั ภรี ป ฏสิ มั ภทิ ามรรค นาํ มาอธบิ ายพสิ ดารในวสิ ทุ ธมิ รรค แตใ นอภธิ มั มตั ถสงั คหะ ทา นเตมิ สมั มสนญาณ (ญาณทก่ี าํ หนดพจิ ารณานามรปู คอื ขนั ธ 5 ตามแนวไตรลกั ษณ — Sammasana¤àõa: comprehension-knowledge)เขามาเปน ขอท่ี 1 จงึ รวมเปน วิปส สนาญาณ 10 และเรียกชื่อญาณขออืน่ ๆ สัน้ กวา น้ี คอื เรียกอทุ ยพั พยญาณ ภงั คญาณ ภยญาณ อาทนี วญาณ นพิ พทิ าญาณ มญุ จติ กุ มั ยตาญาณ ปฏสิ งั ขา-ญาณ สงั ขารเุ ปกขาญาณ อนโุ ลมญาณดู [285] วิสุทธิ 7; [345] ญาณ 16Ps.I.1; Vism.630–671;Comp.210. ข.ุ ปฏ.ิ 31/1/1; วสิ ทุ ธฺ ิ.3/262–319; สงฺคห.55.[312] สัตตาวาส 9 (ภพเปนทีอ่ ยูแ หง สัตว — Sattàvàsa: Abodes of Beings)ขอ 1–4 ตรงกับ วญิ ญาณฐิติ 4 ขอตน
[313] 228 พจนานุกรมพุทธศาสตร5. สัตวบ างพวก ไมม ีสัญญา ไมเ สวยเวทนา เชน เหลา เทพจําพวกอสญั ญีสัตว (beingswithout perception and feeling)ขอ 6–8 ตรงกบั วิญญาณฐติ ิ ขอ ที่ 5–79. สตั วบ างพวก ผเู ขาถึงชั้นเนวสญั ญานาสญั ญายตนะ (beings reborn in the Sphere ofNeither-Perception-Nor-Nonperception)ดู [284] วิญญาณฐิติ 7D.III.263;288; A.IV.401 ท.ี ปา.11/353/277; 457/329; องฺ.อฏ ก.23/228/413.[313] อนุบุพพวิหาร 9 (ธรรมเครอ่ื งอยทู ป่ี ระณตี ตอ กนั ขน้ึ ไปโดยลาํ ดบั — Anupubba-vihàra: progressive abidings; mental states of gradual attainment)รูปฌาน 4 (Råpa-jhàna: the Four Absorptions of the Form Sphere)อรูปฌาน 4 (Aråpa-jhàna: the Four Absorptions of the Formless Sphere)สญั ญาเวทยิตนิโรธ (สมาบตั ทิ ่ดี ับสัญญาและเวทนา — Sa¤¤àvedayitanirodha: extinc-tion of perception and feeling) เรยี กอกี อยา งวา นโิ รธสมาบตั ิ (attainment of extinction) สมาบตั ิขอ ท่ี 9 นี้ เฉพาะแตพ ระอนาคามแี ละพระอรหันตผูช ํานาญในสมาบตั ิ 8 ขา งตน แลวเทา นั้น จงึ จะเขาได อนุบุพพวิหารน้ี เรียกอีกอยางวา อนบุ พุ พนโิ รธ (Anupubba-nirodha: graded stagesof cessation) เพราะตองดบั ขั้นตนๆ แตล ะขนั้ ไปตามลาํ ดับ จงึ จะเขา ถึงข้นั สูงที่อยูถัดข้ึนไปไดดู [9] ฌาน 4; [207] อรปู 4.D.III.265,290;A.IV.410. ที.ปา. 11/355/279; 463/332; องฺ.นวก.23/236/424.
ทสกะ — หมวด 10 Groups of Ten (including related groups)[314] กถาวัตถุ 10 (เรอื่ งทคี่ วรพดู , เรอ่ื งทคี่ วรนาํ มาสนทนากนั ในหมภู กิ ษุ — Kathàvatthu: subjects for discussion; topics of talk among the monks) 1. อปั ปจ ฉกถา (เรื่องความมักนอย, ถอยคาํ ทช่ี กั นําใหม คี วามปรารถนานอ ย ไมมักมากอยาก เดน — Appicchakathà: talk about or favourable to wanting little) 2. สันตุฏฐิกถา (เร่อื งความสันโดษ, ถอ ยคาํ ทีช่ ักนําใหม ีความสันโดษ ไมชอบฟุง เฟอหรือปรน ปรือ — Santuññhikathà: talk about or favourable to contentment) 3. ปวิเวกกถา (เรื่องความสงดั , ถอ ยคาํ ท่ชี กั นาํ ใหม ีความสงดั กายใจ — Pavivekakathà: talk about or favourable to seclusion) 4. อสงั สคั คกถา (เรอื่ งความไมค ลกุ คล,ี ถอ ยคาํ ทช่ี กั นาํ ใหไ มค ลกุ คลดี ว ยหมู — Asa§sagga- kathà: talk about or favourable to not mingling together) 5. วิริยารัมภกถา (เรื่องการปรารภความเพียร, ถอยคําท่ีชักนําใหมุงมั่นทําความเพียร — Viriyàrambhakathà: talk about or favourable to strenuousness) 6. สีลกถา (เรอ่ื งศลี , ถอยคาํ ท่ีชกั นาํ ใหต งั้ อยูในศลี — Sãlakathà: talk about or favourable to virtue or good conduct) 7. สมาธกิ ถา (เร่ืองสมาธ,ิ ถอ ยคาํ ทช่ี กั นาํ ใหท ําจิตมน่ั — Samàdhikathà: talk about or favourable to concentration) 8. ปญญากถา (เร่อื งปญ ญา, ถอยคําท่ีชักนาํ ใหเกิดปญ ญา — Pa¤¤àkathà: talk about or favourable to understanding or insight) 9. วมิ ตุ ตกิ ถา (เรอ่ื งวมิ ตุ ต,ิ ถอ ยคาํ ทช่ี กั นาํ ใหท าํ ใจใหพ น จากกเิ ลสและความทกุ ข — Vimuttikathà: talk about or favourable to deliverance) 10. วมิ ตุ ตญิ าณทสั สนกถา (เรอ่ื งความรคู วามเหน็ ในวมิ ตุ ต,ิ ถอ ยคาํ ทช่ี กั นาํ ใหส นใจและเขา ใจ เรอื่ งความรคู วามเหน็ ในภาวะทหี่ ลดุ พน จากกเิ ลสและความทกุ ข — Vimutti¤àõadassanakathà: talk about or favourable to the knowledge and vision of deliverance)M.I.145; III.113; A.V.129. ม.ม.ู 12/292/287; ม.อ.ุ 14/348/239; องฺ.ทสก.24/69/138.[315] กสิณ 10 (แปลตามรปู ศัพทวา “ทง้ั หมด” หรอื “ลวน”; วตั ถุอนั จูงใจ, วตั ถสุ าํ หรบั เพงเพ่ือจงู จติ ใหเปน สมาธิ — Kasiõa: meditation devices)ก. ภตู กสิณ 4 (กสิณคือมหาภตู รูป — Bhåta-kasiõa: Element-Kasiõa)
[316] 230 พจนานุกรมพทุ ธศาสตร1. ปฐวีกสณิ (กสิณคอื ดิน, กสิณทีใ่ ชด นิ เปน อารมณ — Pañhavã~: the Earth Kasiõa)2. อาโปกสิณ (กสิณคือน้ํา — âpo~: the Water Kasiõa)3. เตโชกสิณ (กสิณคือไฟ — Tejo~: the Fire Kasiõa)4. วาโยกสณิ (กสิณคือลม — Vàyo~: the Air Kasiõa: Wind Kasiõa)ข. วรรณกสิณ 4 (กสณิ คือสี — Vaõõa~: Colour Kasiõa)5. นลี กสิณ (กสณิ คอื สเี ขียวคราม — Nãla~: the Blue Kasiõa)6. ปตกสณิ (กสิณคอื สเี หลอื ง — Pãta~: the Yellow Kasiõa)7. โลหติ กสณิ (กสิณคือสแี ดง — Lohita~: the Red Kasiõa)8. โอทาตกสณิ (กสณิ คือสีขาว — Odàta~: the White Kasiõa)ค. กสิณอ่นื ๆ9. อาโลกกสิณ (กสณิ คอื แสงสวา ง — âloka~: the Light Kasiõa)10. อากาสกสิณ (กสิณคอื ทวี่ า งเปลา, ชองวา ง — âkàsa~: the Space Kasiõa) กสณิ ท่ีมาในบาลี เชน อง.ฺ ทสก.24/25/48 (A.V.46) ไมมี อาโลกกสิณ แตมี วิญญาณกสณิ (กสิณคือวิญญาณ — Vi¤¤àõa~: the Consciousness Kasiõa) เปนขอ ท่ี 10 และ อากาสกสิณ เปนขอท่ี 9Vism.118–169. วสิ ุทฺธ.ิ 1/150–217.[316] กามโภคี 10 (ผบู รโิ ภคกาม, ผูครองเรือน, คฤหสั ถ — Kàmabhogã: enjoyers ofsensual pleasures; laymen; householders)กลุมท่ี 1 แสวงหาไมช อบธรรม (those seeking wealth unlawfully and arbitrarily)1. พวกหน่งึ แสวงหาโภคทรัพยโ ดยไมชอบธรรม โดยทารุณขม ขี,่ ไดมาแลวไมเล้ียงตนใหอ่มิ หนําเปน สขุ , ทง้ั ไมแจกจา ยแบง ปนและไมใ ชทํากรรมดี(So seeking wealth, a certain one neither makes himself happy and cheerful, nordoes he share with others, nor does he do meritorious deeds.)2. พวกหนึ่ง แสวงหาโภคทรัพยโดยไมช อบธรรม โดยทารุณขมข่ี, ไดม าแลว เลี้ยงตนใหอ่มิ หนําเปน สุข, แตไ มแจกจายแบงปนและไมใชท ํากรรมดี(So seeking wealth, a certain one makes himself happy and cheerful, but hedoes not share with others and does no meritorious deeds.)3. พวกหนงึ่ แสวงหาโภคทรพั ยโ ดยไมชอบธรรม โดยทารณุ ขม ข,่ี ไดม าแลว เลยี้ งตนใหอมิ่ หนําเปน สขุ ดวย, แจกจายแบง ปนและใชทํากรรมดีดว ย(So seeking wealth, a certain one does make himself happy and cheerful, hedoes share with others and does meritorious deeds.)(พวกท่ี 1: ควรตําหนิทง้ั 3 สถาน; พวกที่ 2: ตําหนิ 2 สถาน, ชม 1 สถาน; พวกท่ี 3: ตาํ หนิ 1 สถาน, ชม
หมวด 10 231 [316]2 สถาน — These are blameworthy in three, two and one respect, and praiseworthy innone, one and two respects, respectively.)กลุมที่ 2 แสวงหาชอบธรรมบา ง ไมชอบธรรมบา ง (those seeking wealth both lawfullyand unlawfully, arbitrarily and unarbitrarily)4. พวกหนงึ่ แสวงหาโภคทรพั ยโ ดยชอบธรรมบา งไมช อบธรรมบา ง ทารณุ ขม ขบี่ า งไมท ารณุขม ขบี่ า ง, ไดม าแลว ไมเ ลย้ี งตนใหอ มิ่ หนาํ เปน สขุ , ไมแ จกจา ยแบง ปน และไมใ ชท าํ กรรมดี(Same as 1)5. พวกหนง่ึ แสวงหาโภคทรพั ยโ ดยชอบธรรมบา งไมช อบธรรมบา ง ทารณุ ขม ขบ่ี า งไมท ารณุขม ขบ่ี า ง, ไดม าแลว เลย้ี งตนใหอ มิ่ หนาํ เปน สขุ , แตไ มแ จกจา ยแบง ปน และไมใ ชท าํ กรรมดี(Same as 2)6. พวกหน่ึง แสวงหาโภคทรัพยโดยชอบธรรมบางไมชอบธรรมบาง ทารุณขมข่ีบางไมทารณุ ขม ขบ่ี า ง, ไดม าแลว เลย้ี งตนใหอ ม่ิ หนําเปน สขุ , ทง้ั แจกจา ยแบง ปน และใชท าํ กรรมดี(Same as 3)(พวกท่ี 4: ควรตาํ หนิ 3 สถาน, ชม 1 สถาน; พวกที่ 5: ตาํ หนิ 2 สถาน, ชม 2 สถาน; พวกท่ี 6: ตาํ หนิ 1สถาน, ชม 3 สถาน — These are blameworthy in three, two and one respect, and praiseworthyin one, two and three respects, respectively.)กลุมท่ี 3 แสวงหาชอบธรรม (those seeking wealth lawfully and unarbitrarily)7. พวกหน่ึง แสวงหาโภคทรัพยโ ดยชอบธรรม ไมทารุณขมข,่ี ไดม าแลว ไมเ ลี้ยงตนใหอมิ่ หนําเปนสขุ , ไมแ จกจา ยแบงปนและไมใ ชท ํากรรมดี (Same as 1)8. พวกหนึ่ง แสวงหาโภคทรัพยโดยชอบธรรม ไมทารุณขมข่ี, ไดมาแลวเล้ียงตนใหอิม่ หนําเปน สุข, แตไ มแ จกจา ยแบง ปนและไมใ ชท ํากรรมดี (Same as 2)9. พวกหน่ึง แสวงหาโภคทรัพยโดยชอบธรรม ไมทารุณขมข่ี, ไดมาแลวก็เลี้ยงตนใหอิม่ หนําเปน สขุ ดวย, ทงั้ แจกจา ยแบง ปนและใชท ํากรรมดีดวย; แตเ ขายังติด ยงั สยบมัวเมายงั หมกมนุ บรโิ ภคโภคะเหลา นัน้ โดยไมร เู ทา ทนั เหน็ โทษ ไมมปี ญ ญาทําตนใหเปน อสิ ระหลดุ พน เปนนายเหนอื โภคทรพั ย (Same as 3. But he makes use of his wealth withgreed and longing, is infatuated therewith, heedless of danger, lacking theinsight to achieve spiritual freedom.)(พวกท่ี 7: ควรตาํ หนิ 2 สถาน, ชม 1 สถาน; พวกท่ี 8: ตาํ หนิ 1 สถาน, ชม 2 สถาน; พวกท่ี 9: ชม 3สถาน, ตาํ หนิ 1 สถาน — These are blameworthy in two, one and one respect, andpraiseworthy in one, two and three respects, respectively.)พวกพเิ ศษ: แสวงหาชอบธรรม และใชอ ยา งรูเทา ทนั เปนอิสระ10. พวกหนึ่ง แสวงหาโภคทรัพยโดยชอบธรรม ไมทารุณขมขี่, ไดมาแลวเลย้ี งตนใหอ่ิมหนําเปนสุข, แจกจายแบงปนและใชทํากรรมดี; อีกท้ังไมสยบมัวเมา ไมหมกมุนบริโภคโภคะเหลา น้นั อยางรูเทา ทันเหน็ โทษ มปี ญ ญาทําตนใหเปนอิสระหลุดพน เปน นาย
[317] 232 พจนานกุ รมพุทธศาสตรเหนอื โภคทรัพย (Seeking wealth lawfully and unarbitrarily, a certain one does makehimself happy and cheerful, he does share with others and does meritorious deeds.Moreover, he makes use of his wealth without greed and longing, withoutinfatuation, is heedful of danger and possessed of the insight that keeps for himselfspiritual freedom.)(พวกท่ี 10 นี้ ทรงสรรเสริญวาเปน ผเู ลิศ ประเสริฐ สูงสุด ควรชมทงั้ 4 สถาน — Of these ten this oneis the best, the greatest and the noblest, being praiseworthy in all the four respects.)S.IV.331; A.V.176. ส.ํ สฬ.18/631–643/408–415; อง.ฺ ทสก.24/91/188.[317] กาลามสูตรกังขานิยฐาน 10 (หมายถงึ วิธีปฏบิ ตั ิในเรอ่ื งทค่ี วรสงสัย หรอืหลกั ความเชื่อ ท่ตี รัสไวใ นกาลามสตู ร — Kàlàmasutta-kaïkhàniyaññhàna: how to dealwith doubtful matters; advice on how to investigate a doctrine, as contained inthe Kàlàmasutta)1. มา อนุสฺสเวน (อยาปลงใจเชือ่ ดว ยการฟง ตามกันมา — Be not led by report)2. มา ปรมปฺ ราย (อยาปลงใจเชื่อ ดวยการถอื สืบๆ กนั มา — Be not led by tradition)3. มา อิตกิ ริ าย (อยาปลงใจเชอื่ ดว ยการเลาลอื — Be not led by hearsay)4. มา ปฏ กสมฺปทาเนน (อยาปลงใจเช่ือ ดว ยการอา งตําราหรอื คมั ภรี — Be not led by theauthority of texts)5. มา ตกกฺ เหตุ (อยา ปลงใจเชื่อ เพราะตรรก — Be not led by mere logic)6. มา นยเหตุ (อยา ปลงใจเชอื่ เพราะการอนมุ าน — Be not led by inference)7. มา อาการปริวิตกฺเกน (อยา ปลงใจเชือ่ ดว ยการคดิ ตรองตามแนวเหตผุ ล — Be not ledby considering appearances)8. มา ทฏิ นิ ชิ ฌฺ านกขฺ นตฺ ยิ า (อยา ปลงใจเชอื่ เพราะเขา ไดก บั ทฤษฎที พ่ี นิ จิ ไวแ ลว — Be notled by the agreement with a considered and approved theory)9. มา ภพฺพรูปตาย (อยา ปลงใจเช่ือ เพราะมองเหน็ รปู ลกั ษณะนา จะเปน ไปได — Be not ledby seeming possibilities)10. มา สมโณ โน ครตู ิ (อยา ปลงใจเชือ่ เพราะนบั ถือวา ทานสมณะน้ีเปน ครูของเรา — Benot led by the idea, ‘This is our teacher’.) ตอ เมื่อใด รูเขาใจดว ยตนวา ธรรมเหลา นั้น เปน อกศุ ล เปน กุศล มีโทษ ไมมีโทษ เปนตนแลว จงึ ควรละหรือถือปฏบิ ตั ิตามนั้น สตู รน้ี ในบาลเี รยี กวา เกสปุตตยิ สูตร ท่ีชอื่ กาลามสูตร เพราะทรงแสดงแกช นเผา กาลามะแหงวรรณะกษัตรยิ ท่ชี อ่ื เกสปตุ ตยิ สตู ร เพราะพวกกาลามะนนั้ เปน ชาวเกสปตุ ตนิคมA.I.189. องฺ.ติก.20/505/241.
หมวด 10 233 [319][318] กิเลส 10 (สภาพท่ที ําใหจ ิตเศราหมอง — Kilesa: defilements) 1. โลภะ (ความอยากได — Lobha: greed) 2. โทสะ (ความคดิ ประทุษราย — Dosa: hatred) 3. โมหะ (ความหลง, ความไมร ู, ความเขลา — Moha: delusion) 4. มานะ (ความถือตวั — Màna: conceit) 5. ทิฏฐิ (ความเหน็ ผิด — Diññhi: wrong view) 6. วิจิกิจฉา (ความลงั เลสงสยั , ความเคลอื บแคลง — Vicikicchà: doubt; uncertainty) 7. ถนี ะ (ความหดห,ู ความทอแทถ ดถอย — Thãna: sloth) 8. อทุ ธัจจะ (ความฟุงซา น — Uddhacca: restlessness) 9. อหิริกะ (ความไมละอายตอความชว่ั — Ahirika: shamelessness) 10. อโนตตปั ปะ (ความไมเกรงกลวั ตอความช่ัว — Anottappa: lack of moral dread) สบิ อยา งนี้ ในบาลีเดิมเรยี กวา กเิ ลสวตั ถุ (สิง่ กอความเศราหมอง) 10Vbh.391. อภิ.ว.ิ 35/1026/528.[319] กุศลกรรมบถ 101 (ทางแหงกศุ ลกรรม, ทางทาํ ความดี, กรรมดีอันเปน ทางนาํ ไปสูสคุ ติ — Kusala-kammapatha: wholesome course of action) วาโดยหัวขอ ยอ ดงั นี้ก. กายกรรม 3 (การกระทาํ ทางกาย — Kàyakamma: bodily action)1. ปาณาติปาตา เวรมณ*ี (เวน จากปลงชีวิต — Pàõàtipàtà veramaõã: abstention fromkilling)2. อทินฺนาทานา เวรมณี (เวนจากถือเอาของทีเ่ ขามไิ ดใหโดยอาการขโมย — Adinnàdànà ~:abstention from taking what is not given)3. กาเมสุมจิ ฺฉาจารา เวรมณี (เวนจากประพฤติผดิ ในกาม — Kàmesumicchàcàrà ~:abstention from sexual misconduct)ข. วจีกรรม 4 (การกระทําทางวาจา — Vacãkamma: verbal action)4. มุสาวาทา เวรมณี (เวนจากพดู เท็จ — Musàvàdà ~: abstention from false speech)5. ปสุณาย วาจาย เวรมณี (เวนจากพูดสอเสียด — Pisuõàya vàcàya ~: abstentionfrom tale-bearing)6. ผรุสาย วาจาย เวรมณี (เวนจากพดู คาํ หยาบ — Pharusàya vàcàya ~: abstentionfrom harsh speech)7. สมผฺ ปปฺ ลาปา เวรมณี (เวน จากพดู เพอ เจอ — Samphappalàpà ~: abstention from* เวรมณี แปลวา “เจตนาท่ที ําใหเวน” หรอื “เจตนาทีต่ รงขาม” เมือ่ จะแปลใหเตม็ ความ จึงควรแปลวา “การ กระทาํ ทวี่ างจากการคิดเบยี ดเบยี น” หรอื “การทําดีทตี่ รงขา มกบั การเบยี ดเบยี นชีวติ ” ดงั นเ้ี ปน ตน
[320] 234 พจนานุกรมพทุ ธศาสตรvain talk or gossip)ค. มโนกรรม 3 (การกระทาํ ทางใจ — Manokamma: mental action)8. อนภชิ ฺฌา (ความไมค ดิ เพง เล็งอยากไดข องเขา — Anabhijjhà: non-covetousness)9. อพยฺ าปาท (ความไมค ดิ รายตอ ผอู นื่ — Abyàpàda: non-illwill)10. สมฺมาทิฏ ิ (ความเหน็ ชอบ ถูกตองตามคลองธรรม — Sammàdiññhi: right view)D.III.269,290. ที.ปา.11/360/284; 471/337.[320] กุศลกรรมบถ 102 (ทางแหง กศุ ลกรรม, ทางทําความด,ี กรรมดอี ันเปนทางนําไปสคู วามสขุ ความเจริญหรือสุคติ — Kusala-kammapatha: wholesome course of action) วาโดยขอธรรมสมบูรณ (แปลตัดเอาแตใจความ) ดงั น้ีก. กายกรรม 3 (การกระทําทางกาย — bodily action)1. ปาณาติปาตํ ปหาย ฯเปฯ สพฺพปาณภตู หติ านกุ มฺป โหติ (ละการฆา การเบยี ดเบียน มีเมตตากรุณาชวยเหลือเก้ือกูลกัน — to avoid the destruction of life and be anxious forthe welfare of all lives)2. อทนิ นฺ าทานํ ปหาย ฯเปฯ อทินฺนํ เถยฺยสงฺขาตํ อนาทาตา โหติ (ละอทนิ นาทานเคารพกรรมสิทธใ์ิ นทรัพยสนิ ของผอู ืน่ — to avoid stealing, not violating the right toprivate property of others)3. กาเมสุมิจฺฉาจารํ ปหาย ฯเปฯ น จารติ ฺตํ อาปชฺชติ า โหติ (ละการประพฤติผดิ ในกามไมลว งละเมดิ ประเพณีทางเพศ — to avoid sexual misconduct, not transgressing sexmorals)ข. วจีกรรม 4 (การกระทาํ ทางวาจา — verbal action)4. มสุ าวาทํ ปหาย ฯเปฯ น สมฺปชานมุสา ภาสิตา โหติ (ละการพดู เทจ็ ไมย อมกลา วเท็จเพราะเหตุตนเอง ผอู น่ื หรือเพราะเห็นแกผ ลประโยชนใดๆ — to avoid lying, notknowingly speaking a lie for the sake of any advantage)5. ปสณุ ํ วาจํ ปหาย ฯเปฯ สมคคฺ กรณึ วาจํ ภาสติ า โหติ (ละการพดู คําสอเสียด ชวยสมานคนที่แตกราวกัน สงเสริมคนที่สมัครสมานกนั ชอบกลา วถอ ยคาํ ที่สรา งสามัคคี — toavoid malicious speech, unite the discordant, encourage the united and utterspeech that makes for harmony)6. ผรสุ ํ วาจํ ปหาย ฯเปฯ พหชุ นมนาปา ตถารปู วาจํ ภาสิตา โหติ (ละคาํ หยาบ พูดแตคาํ สุภาพออ นหวาน — to avoid harsh language and speak gentle, loving, courteous,dear and agreeable words)7. สมผฺ ปปฺ ลาป ปหาย ฯเปฯ กาลวาที ภตู วาที อตถฺ วาที ธมมฺ วาที วนิ ยวาที นธิ านวตึวาจํ ภาสติ า โหติ ฯเปฯ (ละการพูดเพอ เจอ พูดแตคาํ จริง มเี หตุผล มีสารประโยชน ถูก
หมวด 10 235 [321]กาลเทศะ — to avoid frivolous talk; to speak at the right time, in accordance withfacts, what is useful, moderate and full of sense)ค. มโนกรรม 3 (การกระทาํ ทางใจ — mental action)8. อนภชิ ฺฌาลุ โหติ ฯเปฯ (ไมเพงเลง็ อยากไดข องผูอื่น — to be without covetousness)9. อพยฺ าปนฺนจติ ฺโต โหติ ฯเปฯ สขุ ี อตฺตานํ ปริหรนฺตตู ิ (ไมม ีจิตคดิ ราย คิดปรารถนาแตว า ขอใหส ัตวท ้งั หลายไมมเี วร ไมเ บียดเบยี น ไมมีทกุ ข ครองตนอยเู ปน สขุ เถดิ — to be freefrom ill-will, thinking, ‘Oh, that these beings were free from hatred and ill- will,and would lead a happy life free from trouble.’)10. สมมฺ าทฏิ โิ ก โหติ ฯเปฯ สยํ อภิ ฺ า สจฉฺ กิ ตวฺ า ปเวเทนตฺ ตี ิ (มคี วามเหน็ ชอบ เชนวา ทานมผี ล การบชู ามผี ล ผลวบิ ากของกรรมดกี รรมชวั่ มี เปน ตน — to possess right viewsuch as that gifts, donations and offerings are not fruitless and that there areresults of wholesome and unwholesome actions) กศุ ลกรรมบถหมวดนี้ ในบาลีเรียกชือ่ หลายอยาง เชนวา ธรรมจริยา (ความประพฤติธรรม— righteous conduct) บา ง โสไจย (ความสะอาดหรอื เครอ่ื งชาํ ระตวั — cleansing) บา ง อรยิ -ธรรม (อารยธรรม, ธรรมของผเู จรญิ — virtues of a noble or civilized man) บา ง อรยิ มรรค(มรรคาอนั ประเสรฐิ — the noble path) บา ง สทั ธรรม (ธรรมด,ี ธรรมแท — good law; truelaw) บา ง สปั ปรุ สิ ธรรม (ธรรมของสตั บรุ ษุ — qualities of a good man) บา ง ฯลฯM.I.287; A.V.266,275–278. ม.ม.ู 12/485/523; อง.ฺ ทสก.24/165/287; 168–181/296–300.[321] อกุศลกรรมบถ 10 (ทางแหง อกศุ ลกรรม, ทางทาํ ความชว่ั , กรรมช่ัวอันเปน ทางนาํ ไปสคู วามเสอ่ื ม ความทุกข หรือทุคติ — Akusala-kammapatha: unwholesome courseof action)ก. กายกรรม 3 (การกระทําทางกาย — Kàyakamma: bodily action)1. ปาณาตบิ าต (การทาํ ชวี ติ ใหต กลว ง, ปลงชวี ติ — Pàõàtipàta: destruction of life; killing)2. อทนิ นาทาน (การถือเอาของที่เขามิไดใ ห โดยอาการขโมย, ลกั ทรพั ย — Adinnàdàna:taking what is not given; stealing)3. กาเมสุมิจฉาจาร (ความประพฤติผิดในกาม — Kàmesumicchàcàra: sexualmisconduct)ข. วจีกรรม 4 (การกระทําทางวาจา — Vacãkamma: verbal action)4. มุสาวาท (การพดู เทจ็ — Musàvàda: false speech)5. ปสุณาวาจา (วาจาสอเสยี ด — Pisuõàvàcà: tale-bearing; malicious speech)6. ผรสุ วาจา (วาจาหยาบ — Pharusavàcà: harsh speech)7. สัมผัปปลาปะ (คาํ พดู เพอ เจอ — Samphappalàpa: frivolous talk; vain talk; gossip)
[322] 236 พจนานุกรมพทุ ธศาสตรค. มโนกรรม 3 (การกระทาํ ทางใจ — Manokamma: mental action)8. อภชิ ฌา (เพง เลง็ อยากไดของเขา — Abhijjhà: covetousness; avarice)9. พยาบาท (คิดรายผูอืน่ — Byàpàda: illwill)10. มจิ ฉาทฏิ ฐิ (เหน็ ผดิ จากคลองธรรม — Micchàdiññhi: false view; wrong view)D.III.269,290; A.V.264. ที.ปา.11/359/284; 470/337; อง.ฺ ทสก.24/165/285.[322] เถรธรรม 10 (คุณธรรมท่ที าํ ใหพ ระเถระอยูส ําราญในท่ีทุกสถาน — Thera-dhamma: qualities which make for happy living of an elder monk)1. เถโร รตฺตฺู (เปน ผูใหญ บวชนาน รเู หน็ กจิ การ ทรงจําเร่ืองราวไวไ ดม าก — Theroratta¤¤å: to be an elder monk of long experience)2. สลี วา (มศี ลี เครงครัดในสกิ ขาบททั้งหลาย — Sãlavà: to be virtuous; to have goodconduct)3. พหุสสฺ โุ ต (เปนพหสู ูตทรงความรู — Bahussuto: to be much learned)4. สฺวาคตปาฏโิ มกโฺ ข (ทรงปาฏิโมกข รหู ลักแหงวนิ ัย แคลวคลอง ชํานชิ ํานาญ สามารถวนิ ิจฉัยไดดว ยดี — Svàgatapàñimokkho: to be well versed in the codes of discipline)5. อธกิ รณสมุปฺปาทวูปสมกสุ โล (ฉลาดในการระงับอธิกรณทีเ่ กดิ ขน้ึ — Adhikaraõa-samuppàdavåpasamakusalo: to be skilled in settling a legal question that hasarisen)6. ธมมฺ กาโม (เปน ผใู ครธรรม รักความรู รักความจริง รูจ กั รับฟงและรจู กั พูด ทาํ ใหเปนทีช่ น่ืชมสนทิ สนมสบายใจ นาเขาไปปรกึ ษาสนทนา และชอบศกึ ษา ยินดปี รีดาในหลกั ธรรมหลกั วนิ ัยที่ยง่ิ ๆ ขน้ึ ไป — Dhammakàmo: to love the Dhamma, be pleasant to consult andconverse with, and find joy in the advanced teaching of both the Doctrine andthe Discipline)7. สนฺตุฏโ (เปน ผูส ันโดษดว ยปจ จัยส่ตี ามมตี ามได — Santuññho: to be content withwhatsoever supply of the four requisites he may get)8. ปาสาทิโก (จะไปจะมา มีอาการกริ ยิ านา เลอื่ มใส แมเขา ไปในละแวกบาน ก็สาํ รวมเปน อันดี— Pàsàdiko: to be charming and perfectly composed in his goings out andcomings in and in sitting in the house)9. ฌานลาภี (ไดแคลว คลองในฌาน 4 ทเ่ี ปน เครอื่ งอยูสุขสบายในปจ จุบัน — Jhànalàbhã: tobe able to gain pleasure of the Four Absorptions)10. วมิ ุตฺโต (บรรลุเจโตวมิ ุตติปญ ญาวมิ ุตติ สน้ิ อาสวะ — Vimutto: to have gained theDeliverance)A.V.201. องฺ.ทสก.24/98/215.
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402