Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม Dictionary of Buddhism

พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม Dictionary of Buddhism

Published by Chalermkiat Deesom, 2016-09-20 09:51:19

Description: dictionary_of_buddhism_pra-muan-dhaama พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม

Keywords: พจนานุกรมพุทธศาสตร์,dictionary_of_buddhism

Search

Read the Text Version

หมวด 5 187 [259]praise only after deliberately testing and plumbing the matter.3. ไมมีอาวาสมจั ฉริยะ คือ ไมตระหนี่หวงแหนที่อยอู าศัย — Na àvàsamaccharã: not tobe stingy as to lodging)4. ไมม ีกุลมัจฉริยะ คือ ไมต ระหนี่หวงแหนตระกูลอปุ ฏ ฐาก — Na kulamaccharã: not to bestingy as to supporting families)5. ไมม ีลาภมัจฉริยะ คือ ไมต ระหน่หี วงแหนลาภ — Na làbhamaccharã: not to be stingyas to gain) นอกจากน้ี ยังมีอาวาสิกธรรมประเภทมีความสุขความเจริญเหมือนไดรับเชิญไปอยูในสวรรค อกี 3 หมวด แตม ีความแตกตางเพียงเล็กนอย หรือกําหนดไดง าย คือ หมวดหนึ่ง เปลย่ี นเฉพาะขอ 5 เปน ไมยังศรัทธาไทยใหตกไป อีกหมวดหน่ึง เปลย่ี น 4 ขอตน เปนเรอ่ื งมัจฉรยิ ะทง้ั หมด คอื เปน ไมม อี าวาสมัจฉริยะ,ไมม ีกลุ มัจฉรยิ ะ, ไมมลี าภมัจฉริยะ, ไมม วี ณั ณมจั ฉริยะ สวนขอสดุ ทา ยเปน ไมย งั ศรัทธาไทยใหตกไป อกี หมวดหนึ่ง เปล่ียนเปน เร่ืองมัจฉริยะท้ัง 5 ขอ คือ เปนผไู มม ีมจั ฉริยะทง้ั 5ดู [233] มัจฉริยะ 5.A.III.264–6. อง.ฺ ปฺจก.22/237–240/293–295.[258] อินทรีย 5 (ธรรมทเ่ี ปนใหญในกิจของตน — Indriya: controlling faculty)1. สัทธา (ความเชื่อ — Saddhà: confidence)2. วริ ยิ ะ (ความเพียร — Viriya: energy; effort)3. สติ (ความระลึกได — Sati: mindfulness)4. สมาธิ (ความตง้ั จิตมั่น — Samàdhi: concentration)5. ปญ ญา (ความรูทวั่ ชัด — Pa¤¤à: wisdom; understanding) หมวดธรรมน้ีเรยี กอยา งหนึง่ วา พละ 5 ทเี่ รยี กวา พละ เพราะความหมายวา เปน พลัง ทาํ ใหเกิดความม่ันคง ซ่ึงความไรศรัทธาเปนตน แตละอยางจะเขาครอบงําไมได สวนที่เรียกวาอินทรีย เพราะความหมายวา เปน ใหญใ นการกระทําหนาทีแ่ ตล ะอยางๆ ของตน คือเปน เจาการในการครอบงําเสียซึ่งความไรศ รทั ธา ความเกยี จครา น ความประมาท ความฟงุ ซา น และความหลงตามลาํ ดับดู [228] พละ 5. S.V.191–204; 235–237; Ps.II.1–29. ส.ํ ม.19/843–900/256–271; 1061–1069/310–312; ข.ุ ปฏ.ิ 31/423–463/300–344.[259] อุบาสกธรรม 5 (ธรรมของอบุ าสกทดี่ ,ี สมบตั ิ หรอื องคค ุณของอุบาสก อยา ง เยี่ยม — Upàsaka-dhamma: qualities of an excellent lay disciple)

[260] 188 พจนานกุ รมพุทธศาสตร1. มศี รัทธา (to be endowed with faith)2. มีศลี ( to have good conduct)3. ไมถ อื มงคลต่นื ขา ว เชื่อกรรม ไมเช่ือมงคล คือ มงุ หวงั ผลจากการกระทําและการงาน มใิ ชจากโชคลางและส่งิ ท่ีต่ืนกนั วา ขลงั ศักดิส์ ิทธิ์ (not to be superstitious, believing in deeds,not luck)4. ไมแสวงหาทกั ขไิ ณยภายนอกหลกั คําสอนน้ี คอื ไมแสวงหาเขตบุญนอกหลกั พระพุทธ-ศาสนา (not to seek for the gift-worthy outside of the Buddha’s teaching)5. กระทําความสนบั สนุนในพระศาสนาน้เี ปน เบือ้ งตน คอื ขวนขวายในการอุปถัมภบํารงุ พระพุทธศาสนา (to do his first service in a Buddhist cause) ธรรม 5 อยา งน้ี ในบาลที มี่ าเรยี กวา ธรรมของอบุ าสกรตั น (อบุ าสกแกว ) หรอื ธรรมของอบุ าสกปทมุ (อุบาสกดอกบวั )ดู [260] อบุ าสกธรรม 7 ดวย.A.III.206. อง.ฺ ปฺจก.22/175/230.[260] อุบาสกธรรม 7 (ธรรมทเี่ ปน ไปเพอ่ื ความเจรญิ ของอบุ าสก — Upàsaka-dhamma:qualities conducive to the progress of a lay disciple)1. ไมข าดการเย่ียมเยอื นพบปะพระภกิ ษุ (not to fail to see the monks)2. ไมละเลยการฟง ธรรม (not to neglect to hear the Teaching)3. ศกึ ษาในอธิศีล (to train oneself in higher virtue)4. มากดว ยความเล่ือมใสในภิกษทุ ัง้ หลาย ทงั้ ท่เี ปน เถระ นวกะ และปูนกลาง (to be fullof confidence in the monks, whether elder, newly ordained or mid-term)5. ไมฟ ง ธรรมดว ยต้ังใจจะคอยเพงโทษติเตียน (to listen to the Dhamma not in orderto criticize)6. ไมแ สวงหาทกั ขไิ ณยภายนอกหลกั คําสอนนี้ (not to seek for the gift-worthy outsideof the Buddha’s teaching)7. กระทําความสนับสนุนในพระศาสนานีเ้ ปน เบือ้ งตน คอื ขวนขวายในการอปุ ถัมภบ ํารงุพระพทุ ธศาสนา (to do his first service in a Buddhist cause) ธรรม 7 น้ี เรยี กอกี อยา งหนง่ึ วา สมั ปทาของอบุ าสก (สมบตั ขิ องอบุ าสก — accomplishments ofa lay disciple.)A.IV.25,26. องฺ.สตฺตก.23/27,28/26,27.

ฉกั กะ — หมวด 6 Groups of Six (including related groups)[261] คารวะ หรอื คารวตา 6 (ความเคารพ, การถอื เปน สง่ิ สาํ คญั ท่จี ะพึงใสใจและ ปฏบิ ตั ิดว ยความเอ้อื เฟอ หรอื โดยความหนักแนน จริงจัง, การมองเห็นคุณคาและความสําคัญ แลวปฏิบัติตอบุคคลหรือส่ิงนั้นโดยถูกตอง ดวยความจริงใจ — Gàrava, Gàravatà: reverence; esteem; attention; respect; appreciative action) 1. สตั ถคุ ารวตา (ความเคารพในพระศาสดา — reverence for the Master) ขอ นบี้ างแหง เขยี นเปน พทุ ธคารวตา (ความเคารพในพระพทุ ธเจา — Satthu-gàravatà: reverence for the Buddha) 2. ธมั มคารวตา (ความเคารพในธรรม — Dhamma-gàravatà: reverence for the Dhamma) 3. สังฆคารวตา (ความเคารพในสงฆ — Saïgha-gàravatà: reverence for the Order) 4. สกิ ขาคารวตา (ความเคารพในการศกึ ษา — Sikkhà-gàravatà: reverence for the Training) 5. อัปปมาทคารวตา (ความเคารพในความไมประมาท — Appamàda-gàravatà: reverence for earnestness) 6. ปฏิสนั ถารคารวตา (ความเคารพในปฏสิ ันถาร — Pañisanthàra-gàravatà: reverence for hospitality)ธรรม 6 อยา งนี้ ยอ มเปนไปเพือ่ ความไมเส่อื มแหงภิกษุ.A.III.330. อง.ฺ ฉกฺก.22/303/368.[262] จริต หรอื จริยา 6 (ความประพฤติปกต,ิ ความประพฤติซึง่ หนักไปทางใดทางหนงึ่อันเปน ปกตปิ ระจาํ อยูใ นสนั ดาน, พื้นเพของจิต, อปุ นิสยั , พ้ืนนสิ ยั , แบบหรอื ประเภทใหญๆแหง พฤตกิ รรมของคน — Carita, Cariyà: intrinsic nature of a person; characteristicbehaviour; character; temperament) ตัวความประพฤติเรยี กวา จรยิ า บคุ คลผูมคี วามประพฤติอยางนัน้ ๆ เรียกวา จริต1. ราคจรติ (ผมู รี าคะเปนความประพฤติปกต,ิ ประพฤติหนกั ไปทางรักสวยรักงาม — Ràga-carita: one of lustful temperament) กรรมฐานคปู รบั สําหรบั แก คอื อสุภะและกายคตาสติ2. โทสจริต (ผมู โี ทสะเปนความประพฤตปิ กต,ิ ประพฤติหนักไปทางใจรอนหงุดหงิด — Dosa-carita: one of hating temperament) กรรมฐานท่ีเหมาะ คอื พรหมวิหารและกสิณ โดยเฉพาะวณั ณกสณิ3. โมหจรติ (ผมู โี มหะเปน ความประพฤตปิ กต,ิ ประพฤตหิ นกั ไปทางเขลา เหงาซมึ เงอื่ งงง งมงาย— Moha-carita: one of deluded temperament) กรรมฐานทเี่ กอื้ กลู คอื อานาปานสติ และพงึ

[263] 190 พจนานุกรมพทุ ธศาสตรแกดว ยมีการเรียน ถาม ฟงธรรม สนทนาธรรมตามกาล หรืออยูกบั ครู4. สัทธาจริต (ผมู ศี รัทธาเปน ความประพฤติปกต,ิ ประพฤติหนกั ไปทางมจี ิตซาบซ้ึง ช่นื บานนอมใจเล่อื มใสโดยงา ย — Saddhà-carita: one of faithful temperament) พงึ ชักนาํ ไปในสิ่งทีค่ วรแกค วามเลือ่ มใส และความเช่อื ที่มเี หตุผล เชน พิจารณาอนสุ ติ 6 ขอ ตน5. พทุ ธิจรติ หรือ ญาณจริต (ผูม คี วามรเู ปน ความประพฤตปิ กต,ิ ประพฤตหิ นกั ไปทางใชความคิดพิจารณา — Buddhi-carita or ¥àõa-carita: one of intelligent temperament)พงึ สง เสรมิ ดวยแนะนําใหใชความคดิ ในทางทชี่ อบ เชน พจิ ารณาไตรลักษณ กรรมฐานทเ่ี หมาะคือ มรณสติ อุปสมานุสติ จตุธาตุววฏั ฐาน และอาหาเรปฏิกลู สญั ญา6. วิตกจริต (ผูมวี ิตกเปน ความประพฤติปกติ, ประพฤติหนักไปทางนกึ คิดจับจดฟงุ ซาน —Vitakka-carita: one of speculative temperament) พงึ แกด วยสงิ่ ท่ีสะกดอารมณ เชนเจรญิ อานาปานสติ หรอื เพง กสิณ เปน ตนNd1359, 453; Nd2138; Vism.101 ขุ.ม.29/727/435; 889/555; ขุ.จ.ู 30/492/242; วิสุทฺธ.ิ 1/127.[263] เจตนา หรือ สัญเจตนา 6 หมวด (ความจงใจ, ความตงั้ ใจ, ความจํานง, ความแสวงหาอารมณ — Cetanà; Sa¤cetanà: volition; choice; will)1. รูปสญั เจตนา (ความจํานงรูป — Råpa-sa¤cetanà: volition concerning visibleobjects; choice of forms; will directed to forms)2. สทั ทสญั เจตนา (ความจํานงเสียง — Sadda~: volition concerning audible objects;choice of sounds; will directed to sounds)3. คันธสัญเจตนา (ความจาํ นงกลิ่น — Gandha~: volition concerning odorousobjects; choice of odours; will directed to odours)4. รสสัญเจตนา (ความจาํ นงรส — Rasa~: volition concerning sapid objects; choiceof tastes; will directed to tastes)5. โผฏฐัพพสัญเจตนา (ความจาํ นงโผฏฐัพพะ — Phoññhabba~: volition concerningtangible objects; choice of tangible objects; will directed to bodily impressions)6. ธัมมสัญเจตนา (ความจํานงธรรมารมณ — Dhamma~: volition concerningideational objects; choice of ideas; will derected to mental objects) หกอยา งน้ี เรียกเต็มตามศัพทว า เจตนากาย หรือ สัญเจตนากาย 6 (กองเจตนา หมวดเจตนา — bodies of choice; classes of volition)D.III.244; S.III.64; Vbh.102. ท.ี ปา.11/310/255; ส.ํ ข.17/116/74; อภิ.ว.ิ 35/159/132.[264] ตัณหา 6 (ความทะยานอยาก — Taõhà: craving)1. รปู ตัณหา (อยากไดรปู — Råpa-taõhà: craving for forms)2. สทั ทตณั หา (อยากไดเ สยี ง — Sadda~: craving for sounds)

หมวด 6 191 [265]3. คนั ธตัณหา (อยากไดกลน่ิ — Gandha~: craving for odours)4. รสตณั หา (อยากไดรส — Rasa~: craving for tastes)5. โผฏฐัพพตัณหา (อยากไดโผฏฐัพพะ — Phoññhabba~: craving for tangible objects)6. ธมั มตณั หา (อยากในธรรมารมณ — Dhamma~: craving for mental objects) หกอยา งนี้ เรียกเต็มตามศัพทว า ตัณหากาย 6 (กองตัณหา, หมวดตัณหา — bodies orclasses of craving)D.III.244,280; S.II.3; Vbh.102. ท.ี ปา.11/311/256; 425/303; ส.ํ น.ิ 16/10/3; อภ.ิ ว.ิ 35/159/132.[,,,] ทวาร 6 ดู [78] ทวาร 6.[265] ทิศ 6 (บคุ คลประเภทตางๆ ทเ่ี ราตอ งเกี่ยวขอ งสมั พนั ธท างสังคมดจุ ทิศท่ีอยรู อบตวั —Disà: directions; quarters)1. ปรุ ัตถมิ ทิศ (ทิศเบ้อื งหนา คือ ทศิ ตะวันออก ไดแก มารดาบดิ า เพราะเปนผมู อี ปุ การะแกเ รามากอน — Puratthima-disà: parents as the east or the direction in front)ก. บตุ รธดิ าพึงบํารงุ มารดาบดิ า ผูเปน ทิศเบอ้ื งหนา ดังนี้1) ทา นเลี้ยงเรามาแลว เล้ียงทานตอบ2) ชวยทาํ การงานของทา น3) ดาํ รงวงศสกุล4) ประพฤตติ นใหเ หมาะสมกับความเปนทายาท5) เมอื่ ทานลว งลบั ไปแลว ทําบญุ อุทิศใหท า นIn five ways a child should minister to his parents as the eastern quarter (sayingto himself):a) Having been supported by them, I will support them in my turn.b) I will do their work for them.c) I will keep up the honour and the traditions of my family.d) I will make myself worthy of my heritage.e) I will make offerings, dedicating merit to them after their death.*ข. บิดามารดายอ มอนเุ คราะหบ ตุ รธดิ า ดังน้ี1) หา มปรามจากความช่ัว2) ใหต ั้งอยใู นความดี3) ใหศ กึ ษาศิลปวิทยา* แปลอกี อยางวา “I will grant donations on their behalf.”

[265] 192 พจนานุกรมพุทธศาสตร 4) หาคูครองทส่ี มควรให 5) มอบทรัพยสมบัติใหในโอกาสอนั สมควรIn five ways his parents, thus served as the eastern quarter, show their love for him: a) They keep him back from evil. b) They train him in virtue. c) They have him taught arts and sciences. d) They arrange for his marriage to a suitable wife. e) They hand over his inheritance to him in due time.2. ทกั ษิณทศิ (ทศิ เบอ้ื งขวา คือ ทิศใต ไดแ ก ครอู าจารย เพราะเปน ทกั ขไิ ณยบุคคลควรแกก ารบูชาคณุ — Dakkhiõa-disà: teachers as the south or the direction in the right)ก. ศษิ ยพ งึ บาํ รุงครอู าจารย ผูเ ปน ทิศเบ้อื งขวา ดังนี้ 1) ลกุ ตอ นรบั 2) เขา ไปหา (เพื่อบาํ รงุ คอยรบั ใช ปรึกษา ซักถาม และรบั คาํ แนะนาํ เปนตน)* 3) ใฝใจเรยี น (คอื มีใจรกั เรียนดว ยศรทั ธา และรูจกั ฟงใหเกดิ ปญญา)** 4) ปรนนบิ ัติ ชว ยบรกิ าร 5) เรียนศิลปวทิ ยาโดยเคารพ (คือ เอาจริงเอาจงั ถือเปนกิจสาํ คัญ)In five ways a pupil should minister to his teachers as the southern quarter: a) by rising to receive them. b) by waiting upon them. c) by eagerness to learn. d) by personal service. e) by attentively learning the arts and sciences.ข. ครอู าจารยยอมอนเุ คราะหศษิ ย ดังน้ี 1) ฝก ฝนแนะนําใหเปน คนดี 2) สอนใหเขา ใจแจม แจง 3) สอนศลิ ปวทิ ยาใหส้นิ เชิง 4) ยกยอ งใหปรากฏในหมคู ณะ 5) สรางเคร่ืองคุมภัยในสารทศิ (สอนฝกใหร ูจักเล้ียงตวั รกั ษาตนในอันที่จะดําเนนิ ชวี ิตตอ ไปดวยดี รับรองความรูความประพฤติใหเปนท่ยี อมรับในการไปประกอบอาชีพเปน อยู* อปุ ฏ าน** สสุ สฺ ูสา (= ฟงดว ยดี)

หมวด 6 193 [265] ไดดว ยดี) In five ways his teachers, thus served as the southern quarter, show their love for him: a) They train him so that he is well-trained. b) They teach him in such a way that he understands and remembers well what he has been taught. c) They thoroughly instruct him in the lore of every art. d) They introduce him to his friends and companions. e) They provide for his safety and security in every quarter. 3. ปจ ฉมิ ทิศ (ทศิ เบ้ืองหลัง คือ ทศิ ตะวนั ตก ไดแก บตุ รภรรยา เพราะมขี ้นึ ภายหลงั และคอย เปนกําลังสนับสนุนอยูขางหลัง — Pacchima-disà: wife and children as the west or the direction behind) ก. สามีพงึ บํารุงภรรยา ผูเ ปนทศิ เบ้ืองหลงั ดังน้ี 1) ยกยองใหเ กียรตสิ มกับฐานะท่ีเปนภรรยา 2) ไมด หู มิ่น 3) ไมน อกใจ 4) มอบความเปนใหญใ นงานบานให 5) หาเครือ่ งประดบั มาใหเปน ของขวญั ตามโอกาส In five ways a husband should serve his wife as the western quarter: a) by honouring her. b) by being courteous to her. c) by being faithful to her. d) by handing over authority to her. e) by providing her with ornaments. ข. ภรรยายอมอนเุ คราะหส ามี ดงั น้ี 1) จัดงานบานใหเ รยี บรอ ย 2) สงเคราะหญ าตมิ ิตรท้งั สองฝายดวยดี 3) ไมนอกใจ 4) รักษาทรัพยส มบัตทิ ี่หามาได 5) ขยันไมเ กยี จครา นในงานทง้ั ปวง In five ways his wife, thus served as the western quarter, shows her love for him:

[265] 194 พจนานุกรมพทุ ธศาสตร a) The household affairs are to be well managed. b) She should be hospitable and helpful to friends and relations of both hers and his. c) She should be faithful to him. d) She should take care of the goods he brings home. e) She should be skilful and industrious in all her duties.4. อตุ ตรทศิ (ทิศเบ้อื งซา ย คือ ทิศเหนอื ไดแก มติ รสหาย เพราะเปนผชู ว ยใหข า มพน อุปสรรคภยั อนั ตราย และเปนกาํ ลังสนับสนุน ใหบรรลคุ วามสําเรจ็ — Uttara-disà: friends andcompanions as the north or the direction in the left)ก. บุคคลพึงบาํ รุงมิตรสหาย ผเู ปน ทศิ เบอ้ื งซา ย ดังน้ี 1) เผือ่ แผแ บง ปน 2) พดู จามีนาํ้ ใจ 3) ชว ยเหลือเก้อื กูลกนั 4) มีตนเสมอ รว มสุขรวมทุกขกัน 5) ซ่ือสตั ยจรงิ ใจตอกนัIn five ways a clansman should serve his friends and associates as the northernquarter: a) by generosity. b) by kind words. c) by helping them and acting for their welfare. d) by putting them on equal terms. e) by being sincere to them.ข. มิตรสหายยอ มอนเุ คราะหต อบ ดงั นี้ 1) เมื่อเพือ่ นประมาท ชว ยรกั ษาปอ งกนั 2) เม่ือเพ่ือนประมาท ชวยรักษาทรัพยสมบตั ิของเพื่อน 3) ในคราวมีภัย เปน ท่พี ึ่งได 4) ไมละทงิ้ ในยามทุกขย าก 5) นบั ถือตลอดถึงวงศญาตขิ องมติ รIn five ways his friends and associates, thus served as the northern quarter,show their love for him: a) They protect him when he is careless.

หมวด 6 195 [265] b) They guard his property when he is careless. c) They are a refuge for him when he is in danger. d) They do not leave him in his troubles. e) They show due respect to other members of his family. 5. เหฏฐิมทศิ (ทศิ เบ้ืองลาง ไดแ ก คนรบั ใชแ ละคนงาน เพราะเปน ผชู ว ยทาํ การงานตางๆ เปน ฐานกาํ ลังให — Heññhima-disà: servants and workmen as the nadir) ก. นายพงึ บํารงุ คนรับใชและคนงาน ผเู ปน ทศิ เบอื้ งลา ง ดังนี้ 1) จดั การงานใหทาํ ตามความเหมาะสมกับกําลงั ความสามารถ 2) ใหค าจา งรางวลั สมควรแกงานและความเปนอยู 3) จดั สวสั ดกิ ารดี มีชว ยรกั ษาพยาบาลในยามเจบ็ ไข เปน ตน 4) ไดข องแปลกๆ พิเศษมา ก็แบงปน ให 5) ใหม ีวนั หยดุ และพักผอนหยอ นใจตามโอกาสอนั ควร In five ways a master should serve his servants and workmen as the lower quarter: a) by assigning them work according to their strength. b) by giving them due food and wages. c) by caring for them in sickness. d) by sharing with them unusual luxuries. e) by giving them holidays and leave at suitable time. ข. คนรบั ใชแ ละคนงานยอ มอนุเคราะหน าย ดังน้ี 1) เริม่ ทําการงานกอ นนาย 2) เลิกงานทหี ลงั นาย 3) ถือเอาแตของทนี่ ายให 4) ทําการงานใหเ รยี บรอ ยและดยี ิ่งขนึ้ 5) นาํ เกียรตคิ ณุ ของนายไปเผยแพร In five ways his servants and workmen, thus served as the lower quarter, show their love for him: a) They get up to work before him. b) They go to rest after him. c) They take only what is given to them. d) They do their work well. e) They spread about his praise and good name.

[265] 196 พจนานกุ รมพุทธศาสตร6. อุปริมทิศ (ทศิ เบื้องบน ไดแก สมณพราหมณ คือ พระสงฆ เพราะเปนผูส ูงดว ยคณุ ธรรมและเปนผูนาํ ทางจิตใจ — Uparima-disà: monks as the zenith)ก. คฤหัสถยอ มบํารงุ พระสงฆ ผเู ปน ทศิ เบอื้ งบน ดงั นี้1) จะทาํ สิง่ ใด กท็ าํ ดว ยเมตตา2) จะพูดสิ่งใด กพ็ ดู ดวยเมตตา3) จะคิดสิ่งใด ก็คดิ ดว ยเมตตา4) ตอ นรบั ดวยความเตม็ ใจ5) อปุ ถมั ภดวยปจจยั 4In five ways a clansman should serve monks and Brahmins as the upper quarter:a) by kindly acts.b) by kindly words.c) by kindly thoughts.d) by keeping open house to them.e) by supplying them with their material needs.ข. พระสงฆย อมอนุเคราะหคฤหสั ถ ดังนี้1) หา มปรามจากความช่วั2) ใหต ้งั อยใู นความดี3) อนุเคราะหด วยความปรารถนาดี4) ใหไดฟง ส่ิงทีย่ งั ไมเ คยฟง5) ทาํ ส่งิ ท่เี คยฟงแลว ใหแจม แจง6) บอกทางสวรรค คอื ทางชวี ติ ท่มี คี วามสุขความเจริญใหIn six ways the monks, thus served as the upper quarter, show their love for him:a) They keep him back from evil.b) They encourage him to do good.c) They feel for him with kindly thoughts.d) They teach him what he has not heard before.e) They correct and clarify what he has learnt.f) They show him the way to heaven.ผปู ฏบิ ตั ดิ งั กลา วนี้ชือ่ วา ปกปกรักษาทั่วทุกทศิ ใหเปน แดนเกษมสขุ ปลอดภยั D.III.189–192. ท.ี ปา.11/198–204/202–206.[,,,] ธรรมคุณ 6 ดู [306] ธรรมคุณ 6.

หมวด 6 197 [267][,,,] ธาตุ 6 ดู [148] ธาตุ 6.[,,,] บัญญัติ 6 ดู [28] บัญญติ 2, 6.[266] ปยรูป สาตรูป 6 × 10 (ส่ิงทม่ี สี ภาวะนารกั นาชนื่ ใจ เปน ที่เกดิ และเปนทีด่ ับ ของตณั หา — Piyaråpa sàtaråpa: delightful and pleasurable things) หมวด 1 ดู [276] อายตนะภายใน 6 หมวด 2 ดู [277] อายตนะภายนอก 6 หมวด 3 ดู [268] วิญญาณ 6 หมวด 4 ดู [272] สัมผสั 6 หมวด 5 ดู [113] เวทนา 6 หมวด 6 ดู [271] สญั ญา 6 หมวด 7 ดู [263] สัญเจตนา 6 หมวด 8 ดู [264] ตัณหา 6 หมวด 9 ไดแก วติ ก 6 คือ รปู วติ ก สัททวติ ก คนั ธวติ ก รสวิตก โผฏฐัพพวติ ก ธมั มวิตก (ความตรติ รกึ เกี่ยวกับรปู ฯลฯ — Vitakka: thought-conception concerning visual forms, etc.) หมวด 10 ไดแ ก วจิ าร 6 คอื รปู วจิ าร สทั ทวจิ าร คนั ธวจิ าร รสวจิ าร โผฏฐพั พวจิ าร ธมั มวจิ าร (ความตรองเกย่ี วกบั รูป ฯลฯ — Vicàra: discursive thought concerning visual forms, etc.)D.II.308; M.1.62. ที.ม.10/297/343; ม.มู.12/147/120.[267] ภัพพตาธรรม 6 (ธรรมอนั ทาํ ใหเปน ผูค วรที่จะบรรลกุ ุศลธรรมทีย่ ังไมบรรลุและทาํ กศุ ลธรรมทบ่ี รรลุแลวใหเ จริญเพิ่มพูน, คุณสมบตั ิทท่ี ําใหเ ปนผูควร เหมาะ สามารถ หรือพรอมท่ีจะไดจะถึงสิ่งดีงามท่ียังไมไดไมถึง และทําส่ิงดีงามท่ีไดที่ถึงแลวใหเจริญเพิ่มพูน —Bhabbatà-dhamma: qualities making one fit for attaining the wholesome not yetattained and augmenting the wholesome already attained)1. ฉลาดในหลกั ความเจรญิ คอื รเู ขา ใจกระบวนเหตปุ จ จัยทจ่ี ะทาํ ใหเกดิ ความเจริญเพ่ิมพูน(to be knowledgeable about improvement or gain)2. ฉลาดในหลักความเส่ือม คือ รูเขาใจกระบวนเหตุปจจัยท่ีจะทําใหเ กิดความสูญเสียเสื่อมสลาย (to be knowledgeable about loss or decline)3. ฉลาดในอุบาย คือ รเู ขาใจชํานาญในวธิ ีการทจ่ี ะแกไ ขจัดทําดําเนินการใหส ําเร็จลุลว ง (to beskilful in the means)4. สรางฉนั ทะท่จี ะบรรลกุ ศุ ลธรรมที่ยังมิไดบ รรลุ (to arouse the will to attain the good

[268] 198 พจนานุกรมพทุ ธศาสตรone has not attained)5. ระวงั รักษากุศลธรรมทไ่ี ดลุถงึ แลว (to maintain the good one has attained)6. ทําใหส ําเรจ็ ลุจดุ หมายดว ยการกระทําตอเน่อื งไมย ง้ั หยดุ หรอื ขาดตอน (to accomplishone’s aim through persevering performance or continuance in action)A.III.432 องฺ.ฉกกฺ .22/350/482[,,,] วัฒนมุข 6 ดู [201] วัฒนมุข 6.[268] วิญญาณ 6 (ความรแู จง อารมณ — Vi¤¤àõa: consciousness; sense-awareness)1. จกั ขวุ ิญญาณ (ความรูอารมณท างตา คือ รรู ปู ดว ยตา, เหน็ — Cakkhu-vi¤¤àõa: eye-consciousness)2. โสตวิญญาณ (ความรูอารมณทางหู คือ รูเสียงดวยหู, ไดยิน — Sota~: ear-consciousness)3. ฆานวิญญาณ (ความรอู ารมณทางจมกู คือ รกู ล่นิ ดว ยจมกู , ไดก ล่นิ — Ghàna~: nose-consciousness)4. ชิวหาวิญญาณ (ความรอู ารมณท างลิ้น คอื รรู สดวยลิ้น, รรู ส — Jivhà~: tongue-consciousness)5. กายวิญญาณ (ความรอู ารมณท างกาย คอื รโู ผฏฐพั พะดว ยกาย, รสู กึ กายสมั ผสั — Kàya~:body-consciousness)6. มโนวิญญาณ (ความรอู ารมณทางใจ คือ รธู รรมารมณดวยใจ, รูความนึกคดิ — Mano~:mind-consciousness)D.III.243; Vbh.180. ที.ปา.11/306/255; อภ.ิ วิ.35/120/105.[,,,] เวทนา 6 ดู [113] เวทนา 6.[269] เวปุลลธรรม 6 (คุณสมบตั ทิ จี่ ะทําใหเปนผูเติบใหญไพบลู ยใ นธรรมหรือคณุ ความดที งั้ หลายในเวลาไมน าน — Vepulla-dhamma: qualities leading to the attainment ofgreatness and full development in wholesome states)1. อาโลกพหโุ ล (เปน ผมู ากดว ยความสวางแหง ปญญาหย่ังรู — âlokabahulo: to be rich inthe lustre of wisdom or clarity of vision)2. โยคพหุโล (เปนผมู ากดวยความเพียรประกอบการ — Yogabahulo: to be devoted tothe endeavour)3. เวทพหโุ ล (เปน ผูม ากดวยความเบกิ บานใจ คอื มปี ต ปิ ราโมทยอ ยูเ สมอ — Vedabahulo:to be full of joy and cheerfulness)4. อสนตุฏิพหโุ ล (เปน ผูมากดว ยความไมส ันโดษในกศุ ลธรรมทั้งหลาย คอื ไมร อู ่ิมไมร พู อใน

หมวด 6 199 [270]การบําเพ็ญความดี — Asantuññhibahulo: to be full of intellectual discontent with thegood already achieved)5. อนิกฺขิตฺตธโุ ร (ไมท อดธุระในกุศลธรรมทงั้ หลาย — Anikkhittadhuro: not to shirk theresponsibility of cultivating the good)6. อตุ ฺตริฺจ ปตาเรติ (เพยี รพยายามทํากจิ บดั นใ้ี หลลุ วง กาวสคู ุณความดที ส่ี ูงยิง่ ขึ้นไป —Uttari¤ca patàreti: to strive perseveringly for further attainments)A.III.432 อง.ฺ ฉกกฺ .22/351/482[270] สวรรค 6 (ภพท่ีมอี ารมณอ ันเลิศ, โลกทม่ี ีแตค วามสขุ , เทวโลก, ในท่นี หี้ มายเฉพาะสวรรคช ัน้ กามาพจร คอื ช้ันทย่ี งั เกย่ี วขอ งกับกาม ซงึ่ เรียกเต็มวา ฉกามาพจรสวรรค หรือกามาวจรสวรรค 6 — Sagga: the six heavens of the sense-sphere) เรียงจากชนั้ ต่าํ ขึ้นไปดังน้ี1. จาตุมหาราชิกา (สวรรคทที่ า วมหาราช 4 หรอื ทา วจตโุ ลกบาล ปกครอง — Càtum-mahàràjikà: The realm of the Four Great Kings คือ ทาวธตรฐ จอมคนธรรพ ครองทศิตะวันออก; ทาววิรูฬหก จอมกมุ ภัณฑ ครองทศิ ใต; ทาววริ ูปก ษ จอมนาค ครองทิศตะวนั ตก;ทาวกุเวร หรือ เวสสวณั จอมยกั ษ ครองทิศเหนอื )2. ดาวดงึ ส (แดนทอ่ี ยแู หง เทพ 33 มที า วสกั กะ หรอื พระอนิ ทรเ ปน จอมเทพ บางทเี รยี ก ไตรตรงึ ส— Tàvati§sà: the realm of the Thirty-three Gods)3. ยามา (แดนทอี่ ยแู หง เทพผปู ราศจากทกุ ข มที า วสยุ ามเปน ผปู กครอง — Yàmà: the realm ofthe Yàma Gods)4. ดุสิต (แดนที่อยูแหงเทพผูเอิบอิ่มดวยสิริสมบัติของตน มีทาวสันดุสิตเปนจอมเทพ —Tusità: the realm of the satisfied gods) ถอื กนั วาเปนทีอ่ บุ ตั ิของพระโพธิสัตวใ นพระชาติสดุ ทายกอ นจะเปน พระพทุ ธเจา และเปน ท่อี บุ ัติของพระพทุ ธมารดา5. นิมมานรดี (แดนทอี่ ยูแหงเทพผมู คี วามยินดใี นการเนรมติ มีทา วสนุ ิมมิตเปนจอมเทพ ถือกนั วา เทวดาชัน้ น้ี ปรารถนาสง่ิ ใดส่ิงหน่ึง ยอมนิรมติ ไดเ อง — Nimmànaratã: the realm ofthe gods who rejoice in their own creations)6. ปรนิมมิตวสวัตดี (แดนที่อยูแหงเทพผูยังอาํ นาจใหเปนไปในสมบัติที่ผูอื่นนิรมิตให คือเสวยสมบตั ทิ เ่ี ทพพวกอนื่ นริ มิตให มีทา ววสวตั ดเี ปนจอมเทพ — Paranimmitavasavattã: therealm of gods who lord over the creation of others)คําอธิบายทแ่ี สดงไวน้ี มาในคัมภีรร นุ หลงั เชน อภธิ ัมมัตถวิภาวินี เปนตนดู [351] ภูมิ 31. S.V.423; Comp.138. สํ.ม.19/1681/531; สงคฺ ห.25.[,,,] สัญเจตนา 6 ดู [263] เจตนา 6

[271] 200 พจนานุกรมพุทธศาสตร[271] สัญญา 6 (ความกําหนดไดหมายร,ู ความหมายรอู ารมณ, ความจําไดห มายรู — Sa¤¤à: perception) 1. รปู สัญญา (ความหมายรรู ปู เชนวา ดํา แดง เขียว ขาว เปนตน — Råpa-sa¤¤à: perception of form) 2. สัททสญั ญา (ความหมายรเู สียง เชน วา ดัง เบา ทุม แหลม เปน ตน — Sadda~: perception of sound) 3. คันธสัญญา (ความหมายรูกลิ่น เชนวา หอม เหม็น เปนตน — Gandha~: perception of smell) 4. รสสัญญา (ความหมายรูร ส เชน วา หวาน เปรย้ี ว ขม เค็ม เปน ตน — Rasa~: perception of taste) 5. โผฏฐัพพสัญญา (ความหมายรูส ัมผัสทางกาย เชน วา ออน แข็ง หยาบ ละเอยี ด รอน เยน็ เปน ตน — Phoññhabba~: perception of tangible objects) 6. ธมั มสญั ญา (ความหมายรอู ารมณท างใจ เชน วา งาม นา เกลียด เทยี่ ง ไมเ ที่ยง เปนตน — Dhamma~: perception of mind-objects)D.III.244; A.III.413. ท.ี ปา.11/309/255; องฺ.ฉกกฺ .22/334/461.[272] สัมผัส หรอื ผัสสะ 6 (ความกระทบ, ความประจวบกันแหง อายตนะภายในอายตนะภายนอก และวิญญาณ — Samphassa, Phassa: contact; sense-impression)1. จกั ขสุ มั ผสั (ความกระทบทางตา คอื ตา + รปู + จกั ขวุ ญิ ญาณ — Cakkhu-samphassa:eye-contact)2. โสตสัมผสั (ความกระทบทางหู คอื หู + เสยี ง + โสตวญิ ญาณ — Sota~: ear-contact)3. ฆานสัมผัส (ความกระทบทางจมกู คอื จมูก + กลน่ิ + ฆานวิญญาณ — Ghàna~: nose-contact)4. ชวิ หาสัมผัส (ความกระทบทางลน้ิ คือ ล้ิน + รส + ชวิ หาวิญญาณ — Jivhà~: tongue-contact)5. กายสัมผัส (ความกระทบทางกาย คือ กาย + โผฏฐพั พะ + กายวญิ ญาณ — Kàya~:body-contact)6. มโนสมั ผสั (ความกระทบทางใจ คอื ใจ + ธรรมารมณ + มโนวญิ ญาณ — Mano~:mind-contact)D.III.243; S.II.3. ท.ี ปา.11/307/255; ส.ํ นิ.16/12/4.[273] สารณียธรรม 6 (ธรรมเปนทตี่ งั้ แหงความใหร ะลึกถงึ , ธรรมเปน เหตุใหระลกึ ถึงกัน, ธรรมท่ีทําใหเกดิ ความสามัคคี, หลกั การอยรู ว มกัน — Sàraõãyadhamma: states ofconciliation; virtues for fraternal living) สาราณียธรรม ก็ใช

หมวด 6 201 [273]1. เมตตากายกรรม (ต้งั เมตตากายกรรมในเพ่อื นพรหมจรรย ทง้ั ตอหนาและลับหลงั คือชวยเหลอื กิจธรุ ะของผรู ว มหมคู ณะดว ยความเต็มใจ แสดงกริ ยิ าอาการสุภาพ เคารพนับถอื กนัทงั้ ตอ หนาและลับหลัง — Mettàkàyakamma: to be amiable in deed, openly and inprivate)2. เมตตาวจกี รรม (ตั้งเมตตาวจีกรรมในเพ่อื นพรหมจรรย ทัง้ ตอ หนา และลบั หลัง คอื ชวยบอกแจงสง่ิ ทเี่ ปนประโยชน ส่ังสอน แนะนําตกั เตอื นดว ยความหวงั ดี กลา ววาจาสภุ าพ แสดงความเคารพนับถอื กัน ท้งั ตอหนา และลบั หลงั — Mettàvacãkamma: to be amiable inword, openly and in private)3. เมตตามโนกรรม (ตัง้ เมตตามโนกรรมในเพือ่ นพรหมจรรย ทั้งตอหนาและลบั หลัง คือ ตัง้จติ ปรารถนาดี คดิ ทําสิง่ ท่ีเปนประโยชนแกก ัน มองกันในแงดี มีหนาตายม้ิ แยมแจมใสตอกนั —Mettàmanokamma: to be amiable in thought, openly and in private)4. สาธารณโภคิตา (ไดข องส่ิงใดมากแ็ บง ปนกนั คือ เมื่อไดส งิ่ ใดมาโดยชอบธรรม แมเปนของเล็กนอย ก็ไมหวงไวผ เู ดยี ว นํามาแบงปน เฉลีย่ เจอื จาน ใหไดม สี วนรวมใชส อยบริโภคท่ัวกนั— Sàdhàraõabhogità: to share any lawful gains with virtuous fellows) ขอน้ี ใชอปั ปฏวิ ภิ ตั ตโภคี ก็ได5. สลี สามญั ญตา (มีศลี บรสิ ทุ ธิเ์ สมอกนั กับเพอื่ นพรหมจรรยท ัง้ หลาย ท้ังตอ หนา และลบั หลงัคอื มคี วามประพฤตสิ จุ ริตดีงาม ถูกตอ งตามระเบยี บวินยั ไมท าํ ตนใหเ ปนท่นี า รงั เกียจของหมูคณะ — Sãlasàma¤¤atà: to keep without blemish the rules of conduct along withone’s fellows, openly and in private)6. ทิฏฐสิ ามัญญตา (มที ิฏฐิดงี ามเสมอกันกบั เพอื่ นพรหมจรรยท ั้งหลาย ทงั้ ตอ หนา และลบั หลงัคอื มคี วามเหน็ ชอบรวมกนั ในขอทเี่ ปน หลักการสาํ คัญอันจะนาํ ไปสคู วามหลุดพน ส้นิ ทกุ ข หรือขจัดปญหา — Diññhisàma¤¤atà: to be endowed with right views along with one’sfellows, openly and in private) ธรรม 6 ประการนี้ มีคุณคอื เปน สารณยี ะ (ทําใหเปน ท่รี ะลึกถึง — making others tokeep one in mind) เปน ปยกรณ (ทาํ ใหเ ปนทรี่ ัก — endearing) เปน ครกุ รณ (ทาํ ใหเ ปน ที่เคารพ — bringing respect) เปนไปเพ่ือ ความสงเคราะห (ความประสานกลมกลนื —conducing to sympathy or solidarity) เพอ่ื ความไมว ิวาท (to non-quarrel) เพอื่ ความสามคั คี (to concord; harmony) และเพอ่ื เอกภี าพ (ความเปนอันหนึง่ อันเดียวกัน — tounity) D.III.245; A.III.288–9. ท.ี ปา.11/317/257; อง.ฺ ฉกกฺ .22/282–3/321–3.[,,,] อนุตตริยะ 6 ดู [127] อนตุ ตรยิ ะ 6[,,,] อบายมุข 6 ดู [200] อบายมขุ 6.

[274] 202 พจนานกุ รมพุทธศาสตร[274] อภิญญา 6 (ความรูย ่งิ ยวด — Abhi¤¤à: superknowledge; ultra-conscious insight) 1. อทิ ธวิ ธิ า หรอื อทิ ธิวธิ ิ (ความรทู ีท่ ําใหแ สดงฤทธิต์ า งๆ ได — Iddhividhà: magical powers) 2. ทิพพโสต (ญาณท่ที าํ ใหมีหูทพิ ย — Dibbasota: divine ear) 3. เจโตปรยิ ญาณ (ญาณที่ใหก าํ หนดใจคนอื่นได — Cetopariya¤àõa: penetration of the minds of others; cf. telepathy) 4. ปุพเพนวิ าสานสุ สติ (ญาณท่ที าํ ใหร ะลึกชาตไิ ด — Pubbenivàsànussati: remem- brance of former existences; cf. retrocognition) 5. ทพิ พจกั ขุ (ญาณท่ีทําใหม ีตาทิพย — Dibbacakkhu: divine eye) 6. อาสวักขยญาณ (ญาณที่ทาํ ใหอาสวะสน้ิ ไป — âsavakkhaya¤àõa: knowledge of the exhaustion of all mental intoxicants)หา ขอ แรกเปน โลกิยะ (โลกียอภิญญา) ขอทา ยเปน โลกุตตระ.ดู [106] วิชชา 3; [297] วชิ ชา 8.D.III.281; A.III.280; ที.ปา.11/431/307; อง.ฺ ฉกฺก.22/273/311.[275] อภิฐาน 6 (กรรมทเ่ี ดนยิง่ กวา กรรมอน่ื ๆ, ฐานะอันยิ่งยวด, ฐานอนั หนัก, ความผิดพลาดสถานหนกั — Abhiñhàna: major wrong doings; great mistakes)อภฐิ าน 5 ขอ แรก ตรงกบั อนนั ตรยิ กรรม 5 คอื มาตฆุ าต ปต ฆุ าต อรหนั ตฆาต โลหติ ปุ บาทและ สงั ฆเภท เพมิ่ ขอ 6 คอื6. อญั ญสตั ถทุ เทส* (ถอื ศาสดาอนื่ คอื ถอื ถกู อยแู ลว กลบั ไพลท ง้ิ ไปถอื ผดิ — A¤¤asatthuddesa:professing the doctrines of an alien teacher; adopting another teacher) อภฐิ านนี้ ในบาลที มี่ าเดมิ เรยี กวา อภพั พฐาน (ฐานะทบ่ี คุ คลผถู งึ พรอ มดว ยทฏิ ฐิ คอื ตง้ั แตพ ระโสดาบนั ขนึ้ ไป ไมอ าจจะกระทาํ คอื เปน ไปไมไ ดท จี่ ะทาํ — Abhabbaññhàna: acts which areincapable of being committed by a person possessed of right views; impossibilities)ดู [245] อนันตริยกรรม 5.A.III.439; Kh.VI.10, Sn.231. อง.ฺ ฉกกฺ .22/365/490; ข.ุ ข.ุ 25/7/7; ข.ุ ส.ุ 25/314/369.[276] อายตนะภายใน 6 (ทีเ่ ช่อื มตอ ใหเกิดความร,ู แดนตอความรูฝา ยภายใน —Ajjhattikàyatana: internal sense-fields) บาลีเรยี ก อัชฌตั ตกิ ายตนะ1. จกั ขุ (จักษุ, ตา — Cakkhu: the eye)2. โสตะ (หู — Sota: the ear)* บางแหง เรยี ก อัญญสตั ถารทุ เทส

หมวด 6 203 [277]3. ฆานะ (จมกู — Ghàna: the nose)4. ชิวหา (ล้นิ — Jivhà: the tongue)5. กาย (กาย — Kàya: the body)6. มโน (ใจ — Mana: the mind) ทง้ั 6 น้ี เรียกอกี อยางวา อนิ ทรยี  6 เพราะเปน ใหญในหนา ทขี่ องตนแตละอยา ง เชน จกั ษุเปน เจา การในการเห็น เปน ตนD.III.243; M.III.216; Vbh.70. ท.ี ปา.11/304/255; ม.อุ.14/619/400; อภิ.วิ.35/99/85.[277] อายตนะภายนอก 6 (ท่เี ช่ือมตอใหเกดิ ความร,ู แดนตอความรฝู ายภายนอก —Bàhiràyatana: external sense-fields) บาลเี รยี ก พาหิรายตนะ1. รปู ะ (รูป, สิ่งทีเ่ หน็ หรอื วัณณะ คอื สี — Råpa: form; visible objects)2. สทั ทะ (เสียง — Sadda: sound)3. คนั ธะ (กลิน่ — Gandha: smell; odour)4. รสะ (รส — Rasa: taste)5. โผฏฐัพพะ (สมั ผัสทางกาย, สง่ิ ทีถ่ กู ตอ งกาย — Phoññhabba: touch; tangible objects)6. ธรรม หรอื ธรรมารมณ (อารมณท ่ีเกิดกับใจ, ส่งิ ทีใ่ จนึกคิด — Dhamma: mind-objects) ท้ัง 6 นี้ เรยี กทวั่ ไปวา อารมณ 6 คือ เปน สงิ่ สําหรบั ใหจติ ยึดหนวงD.III.243; M.III.216; Vbh.70. ที.ปา.11/305/255; ม.อ.ุ 14/620/400; อภิ.วิ.35/99/85.

สตั ตกะ — หมวด 7 Groups of Seven[278] กัลยาณมิตรธรรม 7 (องคค ณุ ของกลั ยาณมติ ร, คณุ สมบตั ขิ องมติ รดหี รอื มติ รแท คอื ทา นทค่ี บหรอื เขา หาแลว จะเปน เหตใุ หเ กดิ ความดงี ามและความเจรญิ ในทนี่ ม้ี งุ เอามติ รประเภท ครหู รอื พ่เี ลีย้ งเปน สาํ คัญ — Kalyàõamitta-dhamma: qualities of a good friend) 1. ปโ ย (นารัก ในฐานเปน ที่สบายใจและสนิทสนม ชวนใหอยากเขา ไปปรกึ ษาไตถาม — Piyo: lovable; endearing) 2. ครุ (นาเคารพ ในฐานประพฤติสมควรแกฐ านะ ใหเ กดิ ความรูสกึ อบอุน ใจ เปนที่พึ่งได และ ปลอดภัย — Garu: esteemable; respectable; venerable) 3. ภาวนีโย (นา เจริญใจ หรือนา ยกยอ ง ในฐานทรงคณุ คือความรแู ละภมู ิปญญาแทจ ริง ทั้งเปน ผูฝ กอบรมและปรบั ปรงุ ตนอยเู สมอ ควรเอาอยา ง ทาํ ใหร ะลึกและเอยอางดวยซาบซงึ้ ภูมใิ จ — Bhàvanãyo: adorable; cultured; emulable) 4. วตตฺ า จ (รจู กั พูดใหไ ดผ ล รูจักชแี้ จงใหเ ขาใจ รูวาเม่อื ไรควรพูดอะไรอยา งไร คอยใหค าํ แนะ นําวากลา วตักเตือน เปนทป่ี รกึ ษาทด่ี ี — Vattà ca: being a counsellor) 5. วจนกขฺ โม (อดทนตอถอ ยคํา คอื พรอมท่จี ะรบั ฟงคาํ ปรึกษา ซกั ถาม คาํ เสนอ และวพิ ากษ วจิ ารณ อดทนฟงไดไมเบอ่ื ไมฉุนเฉยี ว — Vacanakkhamo: being a patient listener) 6. คมฺภรี ฺจ กถํ กตฺตา (แถลงเรื่องล้ําลึกได สามารถอธบิ ายเรือ่ งยุงยากซับซอ นใหเขาใจ และ ใหเ รยี นรเู ร่ืองราวท่ลี กึ ซ้งึ ยิ่งข้ึนไป — Gambhãra¤ca katha§ kattà: able to deliver deep discourses or to treat profound subjects) 7. โน จฏ าเน นโิ ยชเย (ไมช ักนาํ ในอฐาน คือ ไมแนะนาํ ในเรื่องเหลวไหล หรือชักจูงไปใน ทางเสื่อมเสยี — No caññhàne niyojaye: never exhorting groundlessly; not leading orspurring on to a useless end)A.IV.31. องฺ.สตตฺ ก.23/34/33.[279] ธรรมมีอุปการะมาก 7 (Bahukàra-dhamma: virtues of great assistance)ธรรมหมวดนี้ ทา นหมายเอาอรยิ ทรัพย 7 ประการดู [292] อรยิ ทรพั ย 7D.III.282. ท.ี ปา.11/433/310.[280] บุพนิมิตแหงมรรค 7 (ธรรมท่เี ปน เครื่องหมายบง บอกลวงหนาวา มรรคมีองค 8 ประการอนั ประเสรฐิ จะเกดิ ขน้ึ แกผ นู น้ั ดจุ แสงอรณุ เปน บพุ นมิ ติ ของการทดี่ วงอาทติ ยจ ะอทุ ยั , แสงเงนิ แสงทองของชวี ติ ทดี่ ,ี รงุ อรณุ ของการศกึ ษา — Magguppàda-pubbanimitta: a

หมวด 7 205 [281]foregoing sign for the arising of the Noble Eightfold Path; precursor of the NoblePath; harbinger of a good life or of the life of learning)1. กลั ยาณมิตตตา (ความมกี ัลยาณมติ ร, มมี ติ รด,ี คบหาคนท่เี ปน แหลง แหงปญ ญาและแบบอยา งทด่ี ี — Kalyàõamittatà: good company; having a good friend; association witha good and wise person)2. สลี สมั ปทา (ความถึงพรอมดว ยศีล, การทาํ ศีลใหถ ึงพรอ ม, ต้งั ตนอยูในวินยั และมีความประพฤติท่ัวไปดงี าม — Sãla-sampadà: perfection of morality; accomplishment indiscipline and moral conduct)3. ฉันทสมั ปทา (ความถึงพรอมดว ยฉันทะ, การทาํ ฉนั ทะใหถ ึงพรอ ม, ความใฝใจอยากจะทาํกจิ หนา ที่และส่งิ ท้งั หลายทเ่ี กย่ี วขอ งใหดงี าม, ความใฝร ูใฝส รา งสรรค — Chanda-sampadà:perfection of aspiration; accomplishment in constructive desire)4. อัตตสมั ปทา (ความถึงพรอมดว ยตนทฝ่ี ก ดีแลว, การทําตนใหถึงพรอ มดว ยคณุ สมบัติของผูท่พี ัฒนาแลว โดยสมบรู ณ ท้งั ดา นกาย ศีล จิต และปญ ญา [ทจี่ ะเปน ภาวิตตั ต คือผมู ตี นอันไดพัฒนาแลว] — Atta-sampadà: perfection of oneself; acomplishment in self that hasbeen well trained; dedicating oneself to training for the realization of one’s fullhuman potential; self-actualization)5. ทิฏฐสิ ัมปทา (ความถึงพรอมดว ยทฏิ ฐ,ิ การทาํ ทิฏฐิใหถ งึ พรอม, การต้งั อยูในหลกั ความคดิความเช่ือถือท่ีถูกตองดีงามมีเหตุผล เชน ถือหลักความเปนไปตามเหตุปจจัย — Diññhi-sampadà: perfection of view; accomplishment in view; to be established in goodand reasoned principles of thought and belief)6. อปั ปมาทสมั ปทา (ความถงึ พรอ มดว ยความไมป ระมาท, การทาํ ความไมป ระมาทใหถ งึ พรอ ม— Appamàda-sampadà: perfection of heedfulness; accomplishment in diligence)7. โยนิโสมนสิการสัมปทา (ความถึงพรอมดวยโยนโิ สมนสกิ าร, การทําโยนิโสมนสกิ ารใหถ งึพรอ ม, ความฉลาดคิดแยบคายใหเห็นความจรงิ และหาประโยชนได — Yonisomanasikàra-sampadà: perfection of wise reflection; accomplishment in systematic attention) เมอื่ ใดธรรมทเี่ ปนบุพนมิ ิต 7 ประการนี้ แมอยางใดอยา งหนึง่ เกดิ มีในบุคคลแลว เม่อื นั้นยอมเปน อันหวงั ไดว าเขาจกั เจรญิ พัฒนา ทาํ ใหม าก ซ่ึงมรรคมอี งค 8 ประการอันประเสริฐ คอืจกั ดาํ เนนิ กา วไปในมัชฌมิ าปฏิปทา.ดู [34] ปจ จัยใหเกิดสมั มาทฏิ ฐิ 2, [293] มรรคมีองค 8S.V.30–31. สํ.ม.19/130–6/36.[281] โพชฌงค 7 (ธรรมทเ่ี ปน องคแ หง การตรสั รู — Bojjhaïga: enlightenment factors)1. สติ (ความระลึกได สาํ นกึ พรอ มอยู ใจอยกู ับกจิ จติ อยูก ับเรอื่ ง — Sati: mindfulness)

[282] 206 พจนานุกรมพทุ ธศาสตร2. ธมั มวจิ ยะ (ความเฟนธรรม, ความสอดสอ งสืบคน ธรรม — Dhammavicaya: truthinvestigation)3. วิริยะ (ความเพยี ร — Viriya: effort; energy)4. ปต ิ (ความอมิ่ ใจ — Pãti: zest; rapture)5. ปสสัทธิ (ความผอ นคลายสงบเยน็ กายใจ — Passaddhi: tranquillity; calmness)6. สมาธิ (ความมใี จต้ังม่นั จติ แนว แนในอารมณ — Samàdhi: concentration)7. อุเบกขา (ความมีใจเปนกลางเพราะเห็นตามเปนจรงิ — Upekkhà: equanimity)แตล ะขอ เรียกเต็ม มี สัมโพชฌงค ตอ ทายเปน สติสมั โพชฌงค เปน ตน.D.III.251,282; Vbh.277. ที.ปา.11/327/264; 434/310; อภิ.วิ.35/542/306.[282] ภรรยา 7 (ภรรยาแบบตางๆ จาํ แนกโดยคณุ ธรรม ความประพฤติ ลกั ษณะนิสัย และการปฏบิ ตั ติ อ สามี — Bhariyà: seven types of wives)1. วธกาภรยิ า (ภรรยาเยย่ี งเพชฌฆาต, ภรรยาทคี่ ิดราย ซื้อไดดว ยเงนิ มิไดอ ยกู นิ ดวยความพอใจ ยินดชี ายอ่ืน ดหู มิ่นและคิดทาํ ลายสามี — Vadhakà-bhariyà: a wife like a slayer;destructive wife)2. โจรีภรยิ า (ภรรยาเย่ยี งโจร, ภรรยาผลู างผลาญทรพั ยส มบัติ — Corã~: a wife like arobber; thievish wife)3. อยั ยาภรยิ า (ภรรยาเยย่ี งนาย, ภรรยาทเี่ กยี จครา น ไมใ สใ จการงาน กนิ มาก ปากรา ย หยาบคายใจเหยี้ ม ชอบขม สามี — Ayyà~: a wife like a mistress: Madam High and Mighty)4. มาตาภรยิ า (ภรรยาเย่ยี งมารดา, ภรรยาทีห่ วังดเี สมอ คอยหวงใยเอาใจใสส ามี เหมือนมารดาปกปองบตุ ร และประหยดั รักษาทรัพยท่ีหามาได — Màtà~: a wife like a mother;motherly wife)5. ภคินีภริยา (ภรรยาเยีย่ งนองสาว, ภรรยาผเู คารพรักสามี ดงั นองรักพ่ี มีใจออนโยน รจู กัเกรงใจและคลอยตามสามี — Bhaginã~: a wife like a sister; sisterly wife)6. สขภี รยิ า (ภรรยาเยี่ยงสหาย, ภรรยาที่เปน เหมอื นเพ่ือน พบสามเี มือ่ ใด ก็ปลาบปลมื้ ดใี จเหมือนเพอื่ นพบเพอื่ นทจ่ี ากไปนาน เปน ผมู ีการศกึ ษาอบรม มกี ริ ยิ ามารยาท ความประพฤตดิ ีภักดีตอสามี — Sakhã~: a wife like a companion; friendly wife)7. ทาสภี รยิ า (ภรรยาเยย่ี งทาสี, ภรรยาทย่ี อมอยใู นอาํ นาจสามี ถกู ขตู ะคอกเฆ่ียนตี ก็อดทนไมโกรธตอบ — Dàsã~: a wife like a handmaid; slavish wife) ทา นสอนใหภรรยาสาํ รวจตนวา ท่ีเปน อยู ตนเปนภรรยาประเภทไหน และจะใหด คี วรจะเปนภรรยาประเภทใด; สําหรบั ชาย อาจใชเปน หลักสํารวจอปุ นสิ ัยของตนวาควรแกหญิงประเภทใดเปนคคู รอง และสํารวจหญงิ ทจี่ ะเปน คูครองวาเหมาะกบั อปุ นสิ ัยของตนหรอื ไม.A.IV.91; J.II.347. อง.ฺ สตฺตก.23/60/92; ชา.อ.4/92.

หมวด 7 207 [284][283] เมถุนสังโยค 7 (อาการทเี่ กย่ี วขอ งกบั เมถนุ หรอื นบั เนอื่ งในเมถนุ , ความประพฤติ พวั พนั กบั เมถนุ , เครอื่ งผกู มดั ไวก บั เมถนุ — Methuna-sa§yoga: bonds of sexuality; sex- bonds which cause the renting or blotching of the life of chastity despite no actual sexual intercourse) สมณะ ก็ดี พราหมณ กด็ ี บางคน ปฏญิ าณตนวา เปนพรหมจารี เขามไิ ดรว มประเวณีกับมาตคุ ามก็ จรงิ แตยงั ยนิ ดี ปลาบปล้ืม ช่นื ใจ ดวยเมถุนสังโยค 7 อยางใดอยา งหนง่ึ พรหมจรรยข องผนู ้นั ยังช่อื วาขาด ทะลุ ดา ง พรอย เปนการประพฤตพิ รหมจรรยท ีไ่ มบริสุทธ์ิ ประกอบดวยเมถุนสังโยค ยอ มไมพ น ไปจาก ทุกข กลาวคือ 1. ยินดกี ารลูบไล ขดั สี ใหอ าบน้ํา และการนวดฟน ของมาตคุ าม ปล้มื ใจดวยการบําเรอนน้ั (enjoyment of massage, manipulation, bathing and rubbing down by women) 2. ไมถึงอยางน้นั แตยังกระซกิ กระซ้ี เลน หัว สัพยอก กับมาตคุ าม ปลม้ื ใจดว ยการกระทํา อยา งนัน้ (enjoyment of joking, jesting and making merry with women) 3. ไมถ ึงอยางนนั้ แตยงั เพง จอ งดตู ากับมาตคุ าม ปลืม้ ใจดว ยการทําอยางนัน้ (enjoyment of gazing and staring at women eye to eye) 4. ไมถึงอยา งนน้ั แตยงั ชอบฟงเสียงมาตคุ ามหัวเราะ ขบั รอง หรือรอ งไหอ ยู ขางนอกฝา นอกกําแพง แลว ปลม้ื ใจ (enjoyment of listening to women as they laugh, talk, sing or weep beyond a wall or a fence) 5. ไมถึงอยางน้ัน แตยังชอบตามนึกถึงการเกาท่ีไดเคยหัวเราะพูดจาเลนหัวกับมาตุคาม แลวปลม้ื ใจ (enjoyment of recalling the laughs, talks and jests one formerly had with women) 6. ไมถึงอยา งนน้ั แตชอบดูคฤหบดี หรือบุตรคฤหบดี ผเู อบิ อ่มิ พร่ังพรอ มดวยกามคณุ ท้ัง 5 บํารุงบําเรอตนอยู แลวปล้ืมใจ (enjoyment of seeing a householder or a householder’s son indulging in sensual pleasures) 7. ไมถงึ อยางน้นั แตป ระพฤตพิ รหมจรรย ต้ังปรารถนาเพ่อื จะไดเปน เทพเจาหรือเทพองค ใดองคห นึ่ง (leading the life of chastity aspiring to be reborn as a god or a deity)A.IV.54. อง.ฺ สตฺตก.23/47/56.[284] วิญญาณฐิติ 7 (ภูมิเปน ที่ต้ังแหง วญิ ญาณ — Vi¤¤àõaññhiti: abodes orsupports of consciousness)1. สัตวบางพวก มกี ายตางกนั มีสญั ญาตา งกัน เชน พวกมนษุ ย เทพบางเหลา วินิปาติกะ(เปรต) บางเหลา (beings different in body and in perception)2. สัตวบ างพวก มีกายตางกัน แตมสี ัญญาอยา งเดียวกัน เชน เหลา เทพจําพวกพรหมผูเกดิ ในภูมปิ ฐมฌาน (beings different in body, but equal in perception)

[285] 208 พจนานุกรมพุทธศาสตร3. สตั วบางพวก มีกายอยา งเดียวกนั แตม สี ญั ญาตา งกนั เชน พวกเทพอาภสั สรา (beingsequal in body, but different in perception)4. สัตวบางพวก มีกายอยางเดียวกัน มีสัญญาอยางเดียวกัน เชน พวกเทพสุภกิณหะ(beings equal in body and in perception)5. สัตวบ างพวก ผูเขา ถงึ ชั้นอากาสานญั จายตนะ (beings reborn in the sphere ofBoundless Space)6. สตั วบางพวก ผูเขา ถงึ ช้ันวญิ ญาณัญจายตนะ (beings reborn in the sphere ofBoundless Consciousness)7. สตั วบางพวก ผเู ขา ถงึ ชั้นอากิญจัญญายตนะ (beings reborn in the sphere ofNothingness)D.III.253; A.IV.39. ท.ี ปา.11/335/265; อง.ฺ สตตฺ ก.23/41/41.[285] วิสุทธิ 7 (ความหมดจด, ความบริสุทธ์ทิ ่ีสูงขึ้นไปเปนขน้ั ๆ, ธรรมที่ชาํ ระสัตวใหบริสุทธิ์ ยังไตรสิกขาใหบริบูรณเปนขั้นๆ ไปโดยลําดับ จนบรรลุจุดหมายคือนิพพาน —Visuddhi: purity; stages of purity; gradual purification)1. สลี วิสทุ ธิ (ความหมดจดแหงศีล คือ รกั ษาศลี ตามภมู ขิ ั้นของตนใหบริสุทธ์ิ และใหเปน ไปเพือ่ สมาธิ — Sãla-visuddhi: purity of morality) วสิ ทุ ธมิ คั คว า ไดแก ปารสิ ุทธศิ ีล 4 [160]2. จิตตวิสทุ ธิ (ความหมดจดแหง จติ คอื ฝก อบรมจิตจนบังเกดิ สมาธพิ อเปน บาทฐานแหงวปิ ส สนา — Citta~: purity of mind) วสิ ทุ ธิมคั คว า ไดแก สมาบัติ 8 พรอมท้งั อุปจาร3. ทฏิ ฐิวิสทุ ธิ (ความหมดจดแหง ทฏิ ฐิ คอื ความรเู ขา ใจมองเหน็ นามรปู ตามสภาวะทเ่ี ปน จรงิเปน เหตขุ ม ความเขา ใจผดิ วา เปน สตั วบ คุ คลเสยี ได เรมิ่ ดาํ รงในภมู แิ หง ความไมห ลงผดิ — Diññhi~:purity of view; purity of understanding) จดั เปน ขนั้ กาํ หนดทุกขสัจจ4. กงั ขาวติ รณวสิ ุทธิ (ความหมดจดแหงญาณเปนเหตุขามพนความสงสัย, ความบริสุทธขิ์ ้นั ท่ีทําใหก าํ จดั ความสงสยั ได คอื กําหนดรูปจ จัยแหงนามรูปไดแ ลวจึงส้นิ สงสยั ในกาลทัง้ 3 — Kaïkhàvitaraõa~: purity of transcending doubts) ขอน้ีตรงกับ ธรรมฐติ ญิ าณ หรอืยถาภตู ญาณ หรือ สมั มาทสั สนะ จดั เปนข้นั กําหนดสมุทัยสัจจ5. มัคคามคั คญาณทัสสนวิสทุ ธิ (ความหมดจดแหง ญาณทร่ี ูเ ห็นวา เปนทางหรอื มใิ ชทาง คอืเร่ิมเจริญวิปสสนาตอไปดวยพิจารณากลาป จนมองเห็นความเกิดข้ึน และความเสื่อมไปแหงสังขารทง้ั หลาย อนั เรยี กวา อุทยัพพยานปุ สสนา เปน ตรณุ วิปสสนา คือวิปส สนาญาณออนๆ แลวมวี ิปสสนูปกิเลส เกิดขนึ้ กาํ หนดไดวาอุปกเิ ลสท้ัง 10 แหง วปิ ส สนานนั้ มิใชทาง สวนวปิ ส สนาท่ีเรม่ิ ดําเนินเขาสูวถิ นี ั่นแลเปนทางถกู ตอง เตรยี มที่จะประคองจติ ไวใ นวิถีคือ วปิ สสนา-ญาณ นั้นตอไป — Maggàmagga¤àõadassana~: purity of the knowledge and visionregarding path and not-path) ขอ น้จี ดั เปนข้ันกาํ หนดมัคคสจั จ

หมวด 7 209 [286]6. ปฏปิ ทาญาณทสั สนวสิ ทุ ธิ (ความหมดจดแหง ญาณอนั รเู หน็ ทางดาํ เนนิ คอื ประกอบความเพยี รในวปิ ส สนาญาณทง้ั หลายเรม่ิ แตอ ทุ ยพั พยานปุ ส สนาญาณทพ่ี น จากอปุ กเิ ลสดาํ เนนิ เขา สวู ถิ ที างแลว นนั้ เปน ตน ไป จนถงึ สจั จานโุ ลมกิ ญาณหรอื อนโุ ลมญาณ อนั เปน ทส่ี ดุ แหง วปิ ส สนา ตอ แตน กี้ ็จะเกดิ โคตรภญู าณ คนั่ ระหวา งวสิ ทุ ธขิ อ นกี้ บั ขอ สดุ ทา ย เปน หวั ตอ แหง ความเปน ปถุ ชุ นกบั ความเปน อรยิ บคุ คล โดยสรปุ วสิ ทุ ธขิ อ น้ี กค็ อื วปิ ส สนาญาณ 9 — Pañipadà¤àõadassana~: purityof the knowledge and vision of the way of progress)7. ญาณทสั สนวสิ ทุ ธิ (ความหมดจดแหง ญาณทัสสนะ คอื ความรูในอริยมรรค 4 หรือมรรคญาณ อนั เกิดถดั จากโคตรภญู าณเปนตนไป เมื่อมรรคเกิดแลว ผลจติ แตละอยา งยอมเกิดขน้ึ ในลาํ ดับถัดไปจากมรรคญาณน้ันๆ ความเปนอริยบุคคลยอมเกิดข้ึนโดยวิสทุ ธิขอนี้ เปน อันบรรลุผลทห่ี มายสูงสุดแหง วสิ ุทธิ หรอื ไตรสกิ ขา หรอื การปฏบิ ัตธิ รรมในพระพุทธศาสนาทัง้ ส้ิน— ¥àõadassana~: purity of knowledge and vision) วสิ ทุ ธิ 7 เปนปจจยั สง ตอ กนั ขน้ึ ไปเพือ่ บรรลนุ พิ พาน ดุจรถ 7 ผลัดสงตอกนั ใหบคุ คลถงึ ที่หมาย โดยนยั ดงั แสดงแลวดู [328] วิปส สนปู กิเลส 10; [311] วปิ ส สนาญาณ 9.M.I.149; Vism.1–710. ม.มู.12/298/295; คมั ภรี วิสทุ ธมิ คั คทง้ั หมด.[286] สัปปายะ 7 (สิง่ ทส่ี บาย, สภาพเอ้ือ, ส่งิ ทเ่ี ก้ือกูล, ส่ิงที่เอื้อตอการอยดู ีและการท่จี ะพฒั นาชีวิต, สงิ่ ทีเ่ หมาะกัน อันเกอื้ หนุนในการเจรญิ ภาวนาใหไ ดผลดี ชว ยใหส มาธติ ัง้ มน่ั ไมเสื่อมถอย — Sappàya: beneficial or advantageous conditions; suitable oragreeable things; things favourable to mental development)1. อาวาสสปั ปายะ (ทอี่ ยอู นั เหมาะ เชน ปลอดภยั ไมพ ลกุ พลา นจอแจ — âvàsa-sappàya:suitable abode) บางแหง เรยี ก เสนาสนสัปปายะ2. โคจรสปั ปายะ (แหลง อาหารอํานวย ท่ีเที่ยวบณิ ฑบาตทเี่ หมาะดี เชน มีหมบู านหรือชมุ ชนที่มีอาหารบริบรู ณอ ยไู มใ กลไมไ กลเกินไป — Gocara~: suitable resort)3. ภสั สสัปปายะ (การพูดคุยทเ่ี หมาะกัน เชน พูดคุยเลาขานกนั แตใ นกถาวตั ถุ 10 และพดู แตพอประมาณ ขา วสารและส่อื สารทีเ่ ออ้ื ปญญา — Bhassa~: suitable speech) บางแหง เรียกธัมมัสสวนสปั ปายะ4. ปคุ คลสัปปายะ (บคุ คลทีถ่ กู กันเหมาะกนั เชน ไมมคี นราย แตม ีทานผทู รงคณุ ธรรม ทรงภูมปิ ญ ญาเปนทีป่ รึกษาเหมาะใจ — Puggala~: suitable person)5. โภชนสัปปายะ (อาหารที่เหมาะกัน เชน ถกู กับรางกาย เกอ้ื กลู ตอสขุ ภาพ ฉนั ไมย าก —Bhojana~: suitable food) บางแหง เรียก อาหารสัปปายะ6. อุตสุ ปั ปายะ (ดนิ ฟา อากาศธรรมชาติแวดลอ มที่เหมาะ เชน ไมห นาวเกนิ ไป ไมร อ นเกนิ ไปเปนตน — Utu~: suitable climate)7. อิรยิ าปถสัปปายะ (อิริยาบถทเี่ หมาะกนั เชน บางคนถกู กับจงกรม บางคนถกู กับนั่ง ตลอด

[287] 210 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตรจนมกี ารเคลื่อนไหวทีพ่ อดี มอี ริ ยิ าบถสมดลุ — Iriyàpatha~: suitable posture)Vism. 127; Vin.A.II.429; MA.II.911. วิสุทฺธ.ิ 1/161; วนิ ย.อ.1/524; ม.อ.3/570.[287] สัปปุริสธรรม 71 (ธรรมของสัตบรุ ษุ , ธรรมทีท่ ําใหเปนสตั บุรษุ , คณุ สมบตั ขิ องคนดี, ธรรมของผูดี — Sappurisa-dhamma: qualities of a good man; virtues of agentleman)1. ธัมมัญุตา (ความรจู กั ธรรม รหู ลัก หรือ รูจกั เหตุ คือ รหู ลักความจริง รหู ลักการ รูหลักเกณฑ รกู ฎแหงธรรมดา รกู ฎเกณฑแหง เหตผุ ล และรหู ลกั การทจี่ ะทําใหเ กดิ ผล เชน ภิกษุรูวาหลักธรรมขอน้ันๆ คอื อะไร มอี ะไรบาง พระมหากษตั รยิ ท รงทราบวา หลกั การปกครองตามราชประเพณเี ปน อยา งไร มอี ะไรบา ง รูวา จะตองกระทําเหตอุ นั นๆ้ี หรือกระทาํ ตามหลกั การขอ นๆี้ จงึจะใหเกดิ ผลทตี่ องการหรือบรรลจุ ดุ หมายอนั นัน้ ๆ เปนตน — Dhamma¤¤utà: knowing thelaw; knowing the cause)2. อัตถญั ุตา (ความรูจ ักอรรถ รคู วามมุงหมาย หรอื รูจกั ผล คอื รคู วามหมาย รคู วามมุงหมาย รปู ระโยชนที่ประสงค รูจ ักผลที่จะเกดิ ขนึ้ สืบเนือ่ งจากการกระทํา หรอื ความเปนไปตามหลกั เชน รวู าหลกั ธรรมหรือภาษติ ขอนั้นๆ มีความหมายวา อยา งไร หลักน้ันๆ มีความมงุ หมายอยางไร กาํ หนดไวหรือพงึ ปฏิบตั ิเพ่อื ประสงคประโยชนอ ะไร การที่ตนกระทาํ อยูม ีความมงุ หมายอยา งไร เมื่อทาํ ไปแลวจะบังเกิดผลอะไรบาง ดงั นีเ้ ปน ตน — Attha¤¤utà: knowing themeaning; knowing the purpose; knowing the consequence)3. อตั ตัญุตา (ความรูจักตน คือ รวู า เราน้ัน วา โดยฐานะ ภาวะ เพศ กําลัง ความรู ความสามารถ ความถนดั และคณุ ธรรม เปนตน บดั น้ี เทาไร อยางไร แลวประพฤตใิ หเหมาะสม และรูท่จี ะแกไขปรบั ปรงุ ตอ ไป — Atta¤¤utà: knowing oneself)4. มัตตญั ุตา (ความรจู ักประมาณ คอื ความพอดี เชน ภกิ ษุรูจกั ประมาณในการรับและบรโิ ภคปจจัยส่ี คฤหสั ถรจู ักประมาณในการใชจา ยโภคทรพั ย พระมหากษตั ริยร ูจักประมาณในการลงทณั ฑอาชญาและในการเกบ็ ภาษี เปน ตน — Matta¤¤utà: moderation; knowing howto be temperate; sense of proportion)5. กาลญั ตุ า (ความรจู กั กาล คอื รกู าลเวลาอนั เหมาะสม และระยะเวลาทคี่ วรหรอื จะตอ งใชใ นการประกอบกจิ ทาํ หนา ทกี่ ารงาน หรอื ปฏบิ ตั กิ ารตา งๆ เชน ใหต รงเวลา ใหเ ปน เวลา ใหท นั เวลา ใหพอเวลา ใหเ หมาะเวลา เปน ตน — Kàla¤¤utà: knowing the proper time; knowing how tochoose and keep time)6. ปรสิ ญั ตุ า (ความรจู กั บรษิ ทั คอื รจู กั ชมุ ชน และรจู กั ทปี่ ระชมุ รกู ริ ยิ าทจ่ี ะประพฤตติ อ ชมุ ชนนนั้ ๆ วา ชมุ ชนนเ้ี มอื่ เขา ไปหา จะตอ งทาํ กริ ยิ าอยา งน้ี จะตอ งพดู อยา งนี้ ชมุ ชนนค้ี วรสงเคราะหอยา งนี้ เปน ตน — Parisa¤¤utà: knowing the assembly; knowing the society)7. ปคุ คลญั ุตา หรือ ปคุ คลปโรปรญั ุตา (ความรจู กั บคุ คล คือ ความแตกตางแหงบคุ คลวา โดยอธั ยาศัย ความสามารถ และคณุ ธรรม เปนตน ใครๆ ยิ่งหรือหยอนอยางไร และรูท ่จี ะ

หมวด 7 211 [289]ปฏบิ ตั ติ อบุคคลน้นั ๆ ดวยดี วา ควรจะคบหรือไม จะใช จะตําหนิ ยกยอง และแนะนําสั่งสอนอยางไร เปน ตน — Puggala¤¤utà: knowing the individual; knowing the differentindividuals) ภิกษุผูประกอบดวยสปั ปุรสิ ธรรม 7 ขอนี้ ชอ่ื วา เปน ผปู ระกอบดว ยสงั ฆคุณครบ 9 แมพ ระอรหันตสัมมาสัมพทุ ธเจา และพระเจาจักรพรรดิ กท็ รงประกอบดวยธรรมเหลานี้ (ทา นแสดงไวเฉพาะขอหลัก 5 ขอ คอื ขอ 1, 2, 4, 5, 6 องฺ.ปจฺ ก.22/131/166; A.III.148) จงึ ทรงยงั ธรรมจกั รและอาณาจักรใหเปน ไปดว ยดี.D.III.252,283; A.IV.113. ที.ปา.11/331/264; 439/312; อง.ฺ สตตฺ ก.23/65/114.[,,,] สัปปุริสธรรม 72 ดู [301] สัปปรุ สิ ธรรม 8.[,,,] สมบัติของอุบาสก 7 ดู [260] อุบาสกธรรม 7.[,,,] องคคุณของกัลยาณมิตร 7 ดู [278] กลั ยาณมิตรธรรม 7.[288] อนุสัย 7 (กิเลสทนี่ อนเนอ่ื งอยูในสันดาน — Anusaya: latent tendencies)1. กามราคะ (ความกําหนดั ในกาม, ความอยากไดต ดิ ใจในกาม — Kàmaràga: lust forsensual pleasures)2. ปฏฆิ ะ (ความขัดใจ, ความหงดุ หงิดขัดเคือง คอื โทสะ — Pañigha: repulsion; irritation;grudge)3. ทฏิ ฐิ (ความเหน็ ผิด, การยึดถอื ความเห็น เอาความคิดเห็นเปนความจรงิ — Diññhi: wrongview; speculative opinion)4. วจิ ิกจิ ฉา (ความลังเล, ความสงสยั — Vicikicchà: doubt; uncertainty)5. มานะ (ความถือตวั — Màna: conceit)6. ภวราคะ (ความกําหนดั ในภพ, ความอยากเปน อยากย่งิ ใหญ อยากยัง่ ยืน — Bhavaràga:lust for becoming)7. อวชิ ชา (ความไมร ูจรงิ คือ โมหะ — Avijjà: ignorance) อนสุ ัย 7 นี้ เรยี กอกี อยา งหนงึ่ วา สังโยชน 7D.III.254, 282; A.IV.8; Vbh.383. ที.ปา.11/337/266; องฺ.สตฺตก.23/11/8; อภิ.วิ.35/1005/517.[2ธ89ร]รมอป7ร(ธิหรรามนอันิยไธมเรปนรทมตี่ ั้งแ7ห1ง คขวาอมงเสกือ่ มษเัตปนรไิยปเวพัชื่อคชวีามหเรจอืรญิ วฝัชายชเดีอยี วปสราํ ิหหรับาหนมิยชู น-หรือผูบ รหิ ารบา นเมือง — Vajjã-aparihàniyadhamma: things leading never to declinebut only to prosperity; conditions of welfare)1. หม่นั ประชุมกนั เนอื งนิตย (to hold regular and frequent meetings)2. พรอ มเพรยี งกนั ประชุม พรอมเพรยี งกันเลกิ ประชมุ พรอ มเพรยี งกันทํากิจท่ีพงึ ทํา (to

[290] 212 พจนานุกรมพทุ ธศาสตรmeet together in harmony, disperse in harmony, and do their business andduties in harmony) ขอ น้แี ปลอีกอยา งหนงึ่ วา : พรอ มเพรยี งกันลกุ ขึ้นปองกนั บานเมือง พรอมเพรียงกนั ทํากิจท้ังหลาย3. ไมบ ญั ญตั ิส่งิ ทมี่ ิไดบ ญั ญัติไว (อนั ขัดตอ หลักการเดมิ ) ไมล มลา งสิง่ ทบี่ ัญญตั ไิ ว (ตามหลักการเดมิ ) ถอื ปฏบิ ตั ิม่ันตามวัชชธี รรม (หลกั การ) ตามท่ีวางไวเดิม (to introduce norevolutionary ordinance, or break up no established ordinance, but abide by theoriginal or fundamental Vajjian norm and principles)4. ทานเหลา ใดเปน ผใู หญในชนชาววัชชี เคารพนับถอื ทา นเหลา นน้ั เห็นถอ ยคําของทานวาเปนสิ่งอนั ควรรับฟง (to honour and respect the elders among the Vajjians anddeem them worthy of listening to)5. บรรดากุลสตรกี ุลกุมารที ้ังหลาย ใหอยดู ีโดยมิถูกขมเหง หรือฉุดครา ขืนใจ (the womenand girls of the families are to dwell without being forced or abducted)6. เคารพสกั การะบชู าเจดยี  (ปชู นยี สถานและปชู นยี วตั ถุ ตลอดถงึ อนสุ าวรยี ต า งๆ) ของวชั ชี(ประจําชาต)ิ ทงั้ หลาย ทัง้ ภายในและภายนอก ไมป ลอ ยใหธ รรมิกพลีท่ีเคยใหเ คยทําแกเจดียเหลานน้ั เสอื่ มทรามไป (to honour and worship the Vajjian shrines, monumentsand objects of worship, both central and provincial, and do not neglect those righteousceremonies held before for them)7. จัดใหความอารกั ขา คุมครอง ปองกัน อนั ชอบธรรม แกพระอรหันตท ั้งหลาย (ในทน่ี ก้ี ินความกวา ง หมายถงึ บรรพชิตผดู ํารงธรรมเปนหลักใจของประชาชนทวั่ ไป) ตัง้ ใจวา ขอพระอรหันตท ั้งหลายทย่ี ังมไิ ดม า พึงมาสูแวนแควน ทม่ี าแลวพึงอยูใ นแวนแควน โดยผาสุก(to provide the rightful protection, shelter and support for the Arahants and wishthat the Arahants who have not come may enter the realm and those who haveentered may dwell pleasantly therein) อปรหิ านยิ ธรรม 7 ประการน้ี พระพทุ ธเจาตรสั แสดงแกเ จา วัชชที ง้ั หลาย ผูปกครองรฐั โดยระบอบสามัคคีธรรม (republic) ซ่งึ รัฐคอู ริยอมรับวา เมอ่ื ชาววัชชยี ังปฏิบัติตามหลักธรรมนี้ จะเอาชนะดว ยการรบไมได นอกจากจะใชก ารเกลีย้ กลอ มหรือยุแยกใหแตกสามัคคี.D.II.73; A.IV.15. ท.ี ม.10/68/86; องฺ.สตตฺ ก.23/20/18.[290] อปริหานิยธรรม 72 ของภิกษุ หรอื ภิกขุอปริหานิยธรรม 7(ธรรมอนั ไมเปนท่ีตง้ั แหงความเส่ือม เปนไปเพ่ือความเจริญฝา ยเดียว สําหรับภิกษุท้งั หลาย —Bhikkhu-aparihàniyadhamma: things leading never to decline but only toprosperity; conditions of welfare)1. หม่ันประชมุ กนั เนอื งนติ ย (to hold regular and frequent meetings)2. พรอ มเพรยี งกนั ประชมุ พรอ มเพรยี งกนั เลกิ ประชมุ พรอ มเพรยี งกนั ทํากจิ ทส่ี งฆจ ะตอ งทาํ

หมวด 7 213 [291](to meet together in harmony, disperse in harmony, and do the business andduties of the Order in harmony)ขอน้แี ปลอกี อยา งวา: พรอ มเพรียงกนั ประชมุ พรอ มเพรยี งกันลุกขึ้นจัดการแกไขสิง่ เสยี หาย เหตุไมงาม พรอมเพรียงกนั ทํากิจท่ีสงฆจ ะตอ งทาํ3. ไมบ ญั ญตั สิ งิ่ ทพ่ี ระพทุ ธเจา ไมท รงบญั ญตั ิ ไมล ม ลา งสง่ิ ทพี่ ระองคท รงบญั ญตั ไิ ว สมาทานศกึ ษาอยใู นสกิ ขาบททงั้ หลายตามทพ่ี ระองคท รงบญั ญตั ไิ ว (to introduce no revolutionaryordinance, break up no established ordinance, but train oneself in accordance withthe prescribed training rules)4. ภกิ ษเุ หลา ใดเปน ผใู หญ เปน สงั ฆบดิ ร เปน สงั ฆปรณิ ายก เคารพนบั ถอื ภกิ ษเุ หลา นนั้ เหน็ถอ ยคําของทา นวา เปน สงิ่ อนั ควรรบั ฟง (to honour and respect those elders of longexperience, the fathers and leaders of the Order and deem them worthy oflistening to)5. ไมล อุ าํ นาจตณั หาคอื ความอยากทเี่ กดิ ขน้ึ (not to fall under the influence of cravingwhich arises)6. ยินดีในเสนาสนะปา (to delight in forest retreat)7. ตงั้ สตริ ะลกึ ไวใ นใจวา สพรหมจารี (เพอื่ นพรหมจาร)ี ทง้ั หลายผมู ศี ลี งาม ซง่ึ ยงั ไมม า ขอใหมา ทมี่ าแลว ขอใหอ ยผู าสกุ (to establish oneself in mindfulness, with this thought,“Let disciplined co-celibates who have not come, come hither, and let those thathave already come live in comfort.”)D.II.77; A.IV.20. ท.ี ม.10/70/90; องฺ.สตฺตก.23/21/21.[291] อปริหานิยธรรม 73 ของภิกษุ หรอื ภิกขุอปริหานิยธรรม 7อีกหมวดหนึ่ง (Bhikkhu-aparihàniyadhamma)1. น กมฺมารามตา (ไมมวั เพลินการงาน คือไมห ลงเพลิดเพลินหมกมุนวุน อยูก ับงาน เชน การเย็บจวี ร ทาํ บริขารตางๆ เปน ตน จนเสอ่ื มเสยี การเลาเรียนศึกษาบาํ เพญ็ สมณธรรม — Nakammàràmatà: not to be fond of business)2. น ภสฺสารามตา (ไมม วั เพลินการคุย — Na bhassàràmatà: not to be fond of gossip)3. น นิททฺ ารามตา (ไมม ัวเพลินการหลับนอน — Na niddàràmatà: not to be fond ofsleeping)4. น สงคฺ ณกิ ารามตา (ไมม วั เพลินการคลุกคลีหมูค ณะ — Na saïgaõikàràmatà: not tobe fond of society)5. น ปาปจ ฉฺ ตา (ไมเ ปนผูมคี วามปรารถนาลามก, ไมตกอยใู นอาํ นาจความปรารถนาลามก —Na pàpicchatà: not to have nor fall under the influence of evil desire)6. น ปาปมิตฺตตา (ไมเ ปนผมู ปี าปมติ ร — Na pàpamittatà: not to have evil friends)

[292] 214 พจนานุกรมพทุ ธศาสตร7. น อนตฺ ราโวสานํ (ไมถ ึงความหยุดยง้ั นอนใจเสยี ในระหวาง ดวยการบรรลุคณุ วเิ ศษเพียงชั้นตน ๆ — Na antaràvosàna§: not to come to a stop on the way by theattainment of lesser success)D.II.78; A.IV.21. ที.ม.10/71/92; องฺ.สตตฺ ก.23/22/23.[292] อริยทรัพย 7 (ทรัพยอ นั ประเสริฐ, ทรัพยคอื คณุ ธรรมประจาํ ใจอยา งประเสริฐ —Ariya-dhana: noble treasures)1. ศรัทธา (ความเชื่อที่มีเหตุผล ม่ันใจในหลักที่ถือและในการดีที่ทํา — Saddhà:confidence)2. ศลี (การรกั ษากายวาจาใหเรียบรอย ประพฤติถูกตองดีงาม — Sãla: morality; goodconduct; virtue)3. หริ ิ (ความละอายใจตอ การทําความชั่ว — Hiri: moral shame; conscience)4. โอตตัปปะ (ความเกรงกลวั ตอ ความช่วั — Ottappa: moral dread; fear-to-err)5. พาหสุ จั จะ (ความเปนผูไ ดศกึ ษาเลา เรยี นมาก — Bàhusacca: great learning )6. จาคะ (ความเสียสละ เออื้ เฟอ เผ่ือแผ — Càga: liberality)7. ปญญา (ความรคู วามเขา ใจถองแทใ นเหตุผล ดีชั่ว ถกู ผดิ คณุ โทษ ประโยชน มใิ ชประโยชนรูคิด รูพจิ ารณา และรูทจี่ ะจดั ทาํ — Pa¤¤à: wisdom) อริยทรพั ย เปน ทรพั ยอันประเสรฐิ อยูภายในจติ ใจ ดกี วา ทรัพยภายนอก เพราะไมมีผูใดแยง ชงิ ไมส ูญหายไปดว ยภัยอันตรายตา งๆ ทาํ ใจใหไ มอ า งวางยากจน และเปน ทุนสรา งทรัพยภายนอกไดดว ย ธรรม 7 นี้ ทา นเรยี กวา เปน พหกุ ารธรรม หรอื ธรรมมอี ปุ การะมาก (Bahukàradhamma:virtues of great assistance; D.III.282; ท.ี ปา.11/433/310) เพราะเปน กาํ ลงั หนนุ ชวยสง เสริมในการบําเพ็ญคุณธรรมตางๆ ยังประโยชนตนและประโยชนผูอ่ืนใหสําเร็จไดอยางกวางขวางไพบูลยเปรียบเหมือนคนมีทรพั ยม าก ยอ มสามารถใชจ า ยทรพั ยเ ล้ยี งตนเลย้ี งผอู ่ืนใหมคี วามสขุ และบําเพญ็ ประโยชนตางๆ ไดเ ปน อนั มาก. D.III.163,267; A.IV.5. ที.ปา.11/326/264; อง.ฺ สตตฺ ก.23/6/5.[,,,] อริยบุคคล 7 ดู [63] อรยิ บคุ คล 7.[,,,] อุบาสกธรรม 7 ดู [260] อบุ าสกธรรม 7.

อฏั ฐกะ — หมวด 8 Groups of Eight (including related groups)[,,,] ฌาน 8 ดู [10] ฌาน 8.[293] มรรคมีองค 8 หรอื อัฏฐังคิกมรรค (เรียกเตม็ วา อริยอฏั ฐงั คกิ มรรค แปลวา “ทางมอี งคแ ปดประการ อนั ประเสรฐิ ” — Aññhaïgika-magga: the Noble Eightfold Path); องค 8 ของมรรค (มคั คังคะ — factors or constituents of the Path) มีดงั น้ี 1. สัมมาทฏิ ฐิ (เหน็ ชอบ ไดแก ความรูอ รยิ สัจจ 4 หรือ เห็นไตรลักษณ หรอื รอู กศุ ลและ อกุศลมลู กับกศุ ลและกศุ ลมูล หรือเห็นปฏจิ จสมุปบาท — Sammàdiññhi: Right View; Right Understanding) 2. สมั มาสังกปั ปะ (ดาํ ริชอบ ไดแก เนกขัมมสงั กัปป อพยาบาทสงั กปั ป อวหิ ิงสาสังกัปป — Sammàsaïkappa: Right Thought) ดู [69] กศุ ลวิตก 3 3. สมั มาวาจา (เจรจาชอบ ไดแ ก วจสี จุ ริต 4 — Sammàvàcà: Right Speech) 4. สมั มากัมมันตะ (กระทาํ ชอบ ไดแ ก กายสจุ รติ 3 — Sammàkammanta: Right Action) 5. สมั มาอาชวี ะ (เล้ียงชพี ชอบ ไดแ ก เวน มิจฉาชีพ ประกอบสมั มาชีพ — Sammà-àjãva: Right Livelihood) 6. สัมมาวายามะ (พยายามชอบ ไดแก ปธาน หรือ สัมมัปปธาน 4 — Sammàvàyàma: Right Effort) 7. สัมมาสติ (ระลึกชอบ ไดแก สตปิ ฏ ฐาน 4 — Sammàsati: Right Mindfulness) 8. สมั มาสมาธิ (ตั้งจติ มนั่ ชอบ ไดแก ฌาน 4 — Sammàsamàdhi: Right Concentration) องค 8 ของมรรค จัดเขาในธรรมขันธ 3 ขอ ตน คอื ขอ 3, 4, 5 เปน ศลี ขอ 6, 7, 8 เปนสมาธิ ขอ 1, 2 เปน ปญญา ดู [124] สิกขา 3; และหมวดธรรมทีอ่ างถงึ ทัง้ หมด มรรคมีองค 8 นี้ เปน อริยสัจจ ขอท่ี 4 และไดช ่ือวา มัชฌมิ าปฏปิ ทา แปลวา “ทางสายกลาง” เพราะเปนขอปฏิบัติอันพอดีที่จะนําไปสูจุดหมายแหงความหลุดพนเปนอิสระ ดับทุกขปลอดปญหา ไมต ิดขอ งในทสี่ ุดทั้งสอง คือ กามสขุ ลั ลกิ านุโยค และอัตตกลิ มถานโุ ยค ดู [15] ที่สุด 2; [204] อริยสจั จ 4D.II.312; M.I.61; M.III.251; Vbh.235. ที.ม.10/299/348; ม.ม.ู 12/149/123; ม.อุ.14/704/453; อภิ.ว.ิ 35/569/307.[294] ลักษณะตัดสินธรรมวินัย 8 หรอื หลักกําหนดธรรมวินัย 8(Dhammavinaya-nicchayalakkhaõa: criteria of the Doctrine and the Discipline)ธรรมเหลา ใดเปน ไปเพอ่ื

[295] 216 พจนานกุ รมพุทธศาสตร1. วิราคะ คือ ความคลายกาํ หนัด, ความไมติดพนั เปน อิสระ (Viràga: detachment;dispassionateness) มิใชเ พอื่ ความกําหนดั ยอ มใจ หรอื เสริมความติดใคร2. วิสงั โยค คือ ความหมดเครื่องผกู รดั , ความไมประกอบทกุ ข (Visa§yoga: release frombondage) มิใชเพื่อผูกรดั หรือประกอบทกุ ข3. อปจยะ คือ ความไมพ อกพนู กเิ ลส (Apacaya: dispersion of defilements) มใิ ชเพ่ือพอกพนู กเิ ลส4. อัปปจฉตา คอื ความอยากอันนอ ย, ความมักนอ ย (Appicchatà: wanting little) มิใชเพ่ือความอยากอนั ใหญ, ความมักใหญ หรอื มักมากอยากใหญ5. สันตฏุ ฐี คอื ความสนั โดษ (Santuññhi: contentment) มใิ ชเ พือ่ ความไมสนั โดษ6. ปวเิ วก คือ ความสงดั (Paviveka: seclusion; solitude) มใิ ชเพือ่ ความคลกุ คลอี ยูในหมู7. วิริยารัมภะ คอื การประกอบความเพยี ร (Viriyàrambha: energy; exertion) มใิ ชเพือ่ความเกยี จคราน8. สภุ รตา คอื ความเลย้ี งงา ย (Subharatà: being easy to support) มใิ ชเ พอ่ื ความเลยี้ งยากธรรมเหลานี้ พึงรวู าเปน ธรรม เปน วินยั เปนสัตถุสาสน คอื คําสอนของพระศาสดา; หมวดน้ีตรสั แกพ ระนางมหาปชาบดโี คตมีVin.II.259; A.IV.280. วินย.7/523/331; องฺ.อฏก.23/143/289.[295] ลักษณะตัดสินธรรมวินัย 7 หรอื หลักกําหนดธรรมวินัย 7(Dhammavinaya-jànanalakkhaõa: criteria of the Doctrine and the Discipline) ธรรมเหลาใดเปน ไปเพอ่ื1. เอกันตนิพพิทา (ความหนายส้ินเชิง, ไมหลงใหลเคลิบเคลิ้ม — Ekantanibbidà:disenchantment)2. วิราคะ (ความคลายกําหนัด, ไมยึดติดรัดตัว เปนอสิ ระ — Viràga: detachment)3. นิโรธ (ความดบั , หมดกิเลสหมดทุกข — Nirodha: extinction)4. อุปสมะ (ความสงบ — Upasama: calm; peace)5. อภญิ ญา (ความรูย่ิง, ความรูชัด — Abhi¤¤à: discernment; direct knowledge)6. สมั โพธะ (ความตรสั รู — Sambodha: enlightenment)7. นพิ พาน (นิพพาน — Nibbàna) ธรรมเหลา น้ี พงึ รวู า เปน ธรรม เปนวนิ ัย เปน สตั ถุสาสน คือคาํ สอนของพระศาสดา; หมวดนี้ตรสั แกพ ระอบุ าลีA.IV.143. อง.ฺ สตตฺ ก.23/80/146.[296] โลกธรรม 8 (ธรรมดาของโลก, เรอื่ งของโลก, ความเปนไปตามคตธิ รรมดาซ่ึงหมนุ

หมวด 8 217 [297]เวียนมาหาสัตวโลกและสัตวโลกก็หมุนเวียนตามมันไป — Loka-dhamma: wordlyconditions; wordly vicissitudes)1. ลาภ (ไดล าภ, มลี าภ — Làbha: gain)2. อลาภ (เสื่อมลาภ, สูญเสยี — Alàbha: loss)3. ยส (ไดยศ, มยี ศ — Yasa: fame; rank; dignity)4. อยส (เสื่อมยศ — Ayasa: obscurity)5. นินทา (ตเิ ตียน — Nindà: blame)6. ปสงั สา (สรรเสริญ — Pasa§sà: praise)7. สขุ (ความสุข — Sukha: happiness)8. ทกุ ข (ความทุกข — Dukkha: pain)โดยสรปุ เปน 2 คือ ขอ 1, 3, 6, 7 เปน อิฏฐารมณ คอื สว นท่ีนา ปรารถนา; ขอทีเ่ หลือเปนอนิฏฐารมณ คือ สวนทไี่ มนา ปรารถนาโลกธรรมเหลา นี้ ยอ มเกดิ ขน้ึ ทง้ั แกป ถุ ชุ นผมู ไิ ดเ รยี นรู และแกอ รยิ สาวกผไู ดเ รยี นรู ตา งกนัแตว า คนพวกแรกยอ มไมร เู หน็ เขา ใจตามความเปน จรงิ ลมุ หลง ยนิ ดยี นิ รา ย ปลอ ยใหโ ลกธรรมเขาครอบงาํ ยา่ํ ยจี ติ ฟยู บุ เรอื่ ยไป ไมพ น จากทกุ ข มโี สกะปรเิ ทวะ เปน ตน สว นอรยิ สาวกผไู ดเ รยี นรูพจิ ารณาเหน็ ตามเปน จรงิ วา สงิ่ เหลา นอี้ ยา งใดกต็ ามทเี่ กดิ ขนึ้ แกต น ลว นไมเ ทยี่ ง เปน ทกุ ข มคี วามแปรปรวนเปน ธรรมดา ไมห ลงใหลมวั เมาเคลมิ้ ไปตามอฏิ ฐารมณ ไมข นุ มวั หมน หมองคลมุ คลง่ั ไปในเพราะอนฏิ ฐารมณ มสี ตดิ าํ รงอยู เปน ผปู ราศจากทกุ ข มโี สกะปรเิ ทวะ เปน ตนA.IV.157. อง.ฺ อฏก.23/96/159.[297] วิชชา 8 (ความรแู จง , ความรวู ิเศษ — Vijjà: supernormal knowledge)1. วปิ ส สนาญาณ (ญาณในวปิ สสนา, ญาณท่ีเปนวิปส สนา คอื ปญ ญาทพ่ี จิ ารณาเหน็ สังขารคือนามรปู โดยไตรลักษณ มีตางกันออกไปเปน ชัน้ ๆ ตอเนื่องกัน — Vipassanà¤àõa: insight-knowledge)2. มโนมยิทธิ (ฤทธ์สิ าํ เร็จดวยใจ, ฤทธิท์ างใจ คือ นิรมติ กายอ่ืนออกจากกายนี้ ดุจชกั ไสจากหญาปลอง ชักดาบจากฝก หรอื ชกั งอู อกจากคราบ — Manomayiddhi: mind-made magicalpower)3. อิทธิวธิ า หรอื อิทธิวธิ ิ (แสดงฤทธติ์ า งๆ ได — Iddhividhà: supernormal powers)4. ทิพพโสต (หูทพิ ย — Dibbasota: divine ear)5. เจโตปรยิ ญาณ (ความรูท่กี าํ หนดใจผูอ ื่นได — Cetopariya¤àõa: penetration of theminds of others)6. ปพุ เพนวิ าสานุสสติ (ระลึกชาติได — Pubbenivàsànussati: remembrance of formerexistences)

[298] 218 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร7. ทิพพจักขุ (ตาทพิ ย — Dibbacakkhu: divine eye)8. อาสวักขยญาณ (ความรทู ี่ทําใหส ิน้ อาสวะ — âsavakkhaya¤àõa: knowledge of theexhaustion of mental intexicants) ขอท่ี 2 โดยมากจัดเขา ในขอท่ี 3 ดว ย ขอท่ี 3 ถึง 8 (6 ขอ ทาย) ตรงกับ อภญิ ญา 6 ดู [106]วิชชา 3; [274] อภญิ ญา 6; [311] วิปส สนาญาณ 9.D.I.76–84; M.II.17. ท.ี ส.ี 9/131–138/101–112.[298] วิโมกข 8 (ความหลุดพน, ภาวะทีจ่ ิตปลอดพน จากสงิ่ รบกวนและนอ มดิ่งเขาไปในอารมณน้นั ๆ อยางปลอ ยตวั หรือปลอดตวั เตม็ ที่ ซึ่งเปนไปในขัน้ ตอนตา งๆ — Vimokkha:liberations; the eight stages of release)1. ผมู รี ูป มองเห็นรูปทั้งหลาย (ไดแก รูปฌาน 4 ของผูไดฌานโดยเจริญกสิณทีก่ ําหนดวตั ถใุ นกายของตน เชน สผี ม — Remaining in the Fine-Material Sphere, one perceivescorporeal forms.)2. ผูม อี รปู สญั ญาภายใน มองเหน็ รูปทั้งหลายภายนอก (ไดแ ก รูปฌาน 4 ของผูไ ดฌานโดยเจริญกสิณกาํ หนดอารมณภายนอก — Not perceiveing internal corporeal forms, oneperceives corporeal forms externally.)3. ผนู อมใจด่งิ ไปวา “งาม” (ไดแ ก ฌานของผเู จริญวรรณกสิณ กําหนดสที ง่ี าม หรอื เจริญอัปปมัญญา — One is intent on the thought, “It is beautiful”.)4. เพราะลว งเสยี ซง่ึ รปู สญั ญาโดยประการทงั้ ปวง เพราะปฏฆิ สญั ญาดบั ไป เพราะไมใ สใ จนานตั ตสญั ญา จงึ เขา ถงึ อากาสานญั จายตนะ โดยมนสกิ ารวา อากาศหาทสี่ ดุ มไิ ด (— Oneattains and abides in the Sphere of Unbounded Space.)5. เพราะลว งเสยี ซึง่ อากาสานญั จายตนะโดยประการทั้งปวง จึงเขา ถงึ วญิ ญาณญั จายตนะโดยมนสิการวา วญิ ญาณหาท่สี ดุ มไิ ด (— One attains and abides in the Sphere ofUnbounded Consciousness.)6. เพราะลว งเสยี ซงึ่ วญิ ญาณญั จายตนะโดยประการทงั้ ปวง จงึ เขา ถงึ อากญิ จญั ญายตนะ โดยมนสกิ ารวา ไมม อี ะไรเลย (— One attains and abides in the Sphere of Nothingness.)7. เพราะลว งเสยี ซง่ึ อากญิ จญั ญายตนะโดยประการทง้ั ปวง จงึ เขา ถงึ เนวสญั ญานาสญั ญายตนะอยู (— One attains and abides in the Sphere of Neither-Perception-Nor-Non-perception.)8. เพราะลว งเสยี ซง่ึ เนวสญั ญานาสญั ญายตนะโดยประการทงั้ ปวง จงึ เขา ถงึ สญั ญาเวทยติ นโิ รธอยู (— One attains and abides in the Cessation of Perception and Feeling.) D.III.262,288; A.IV.306. ที.ปา.11/350/276; 453/328; องฺ.อฏก.23/163/315.[,,,] ศีล 8 ดู [240] ศีล 8.

หมวด 8 219 [301][,,,] ศีล 8 ทั้งอาชีวะดู [241] ศีล 8 ทง้ั อาชีวะ.[299] สมาบัติ 8 (คุณวเิ ศษเปนท่ีอันบุคคลเขา ถงึ หรือ ธรรมวเิ ศษท่ีควรเขาถงึ , การบรรลุ ข้นั สูง — Samàpatti: attainment) ไดแ ก ฌาน 8 คือ รูปฌาน 4 และอรูปฌาน 4 ดู [9] ฌาน 4; [10] ฌาน 8; [207] อรปู 4.Ps.I.20. ขุ.ปฏิ.31/60/34.[300] สัปปุริสทาน 8 (ทานของสัตบรุ ษุ , การใหอยางสตั บรุ ุษ — Sappurisa-dàna:gifts of a good man)1. สุจึ เทติ (ใหของสะอาด — to give clean things)2. ปณีตํ เทติ (ใหข องประณีต — to give choice things)3. กาเลน เทติ (ใหข องเหมาะกาล ใหถ ูกเวลา — to give at fitting times)4. กปฺปย ํเทติ (ใหของสมควร ใหของทคี่ วรแกเขา ซงึ่ เขาจะใชไ ด—to give proper things)5. วเิ จยยฺ เทติ (พจิ ารณาเลือกให ใหด วยวิจารณญาณ เลือกของ เลอื กคนทจ่ี ะให ใหเกดิ ผลเกดิ ประโยชนมาก — to give with discretion)6. อภณิ หฺ ํ เทติ (ใหเ นอื งนติ ย ใหป ระจาํ หรอื สมาํ่ เสมอ — to give repeatedly or regularly)7. ททํ จิตตฺ ํ ปสาเทติ (เมอื่ ให ทําจติ ผอ งใส — to calm one’s mind on giving)8. ทตฺวา อตตฺ มโน โหติ (ใหแ ลว เบิกบานใจ — to be glad after giving)A.IV.243. อง.ฺ อฏก.23/127/248.[301] สัปปุริสธรรม 8 (ธรรมของสัตบรุ ษุ , ธรรมทท่ี าํ ใหเ ปนสัตบุรุษ, คณุ สมบตั ขิ องคนดี — Sappurisa-dhamma: qualities of a good man)1. สทธฺ มมฺ สมนนฺ าคโต (ประกอบดว ยสทั ธรรม 7 ประการ — Saddhamma-samannàgato:to be endowed with the seven virtues) คอื ก. มศี รัทธา — to have confidence ข. มหี ริ ิ — to have moral shame ค. มโี อตตปั ปะ — to have moral fear ง. เปนพหูสูต — to be much learned จ. มีความเพยี รอันปรารภแลว — to be of stirred-up energy ฉ. มสี ติมนั่ คง — to have established mindfulness ช. มีปญญา — to have wisdom2. สปฺปรุ ิสภตตฺ ี (ภักดสี ัตบรุ ษ คอื คบหาสมณพราหมณ ทา นผปู ระกอบดวยสัทธรรม 7ประการขา งตน เปน มติ รสหาย — Sappurisa-bhattã: to consort with good men)3. สปปฺ รุ สิ จนิ ฺตี (คิดอยา งสตั บรุ ุษ คอื จะคดิ สงิ่ ใด กไ็ มคดิ เพือ่ เบยี ดเบียนตนและผอู น่ื —

[301] 220 พจนานุกรมพทุ ธศาสตรSappurisa-cintã: to think as do good men)4. สปฺปรุ สิ มนตฺ ี (ปรึกษาอยา งสตั บุรุษ คอื จะปรึกษาการใด ก็ไมปรกึ ษาเพือ่ เบียดเบยี นตนและผูอ่นื — Sappurisa-mantã: to consult as do good men)5. สปปฺ รุ สิ วาโจ (พดู อยา งสตั บรุ ษุ คอื พดู แตค าํ ทถี่ กู ตอ งตามวจสี จุ รติ 4 — Sappurisa-vàco:to speak as do good men)6. สปปฺ ุรสิ กมฺมนโฺ ต (ทําอยางสตั บุรุษ คอื ทาํ การที่ถกู ตอ งตามกายสจุ รติ 3 — Sappurisa-kammanto: to act as do good men)7. สปปฺ รุ สิ ทฏิ  ี (มคี วามเหน็ อยา งสตั บรุ ษุ คอื มสี มั มาทฏิ ฐิ เชน วา ทาํ ดไี ดด ี ทาํ ชว่ั ไดช ว่ั เปน ตน— Sappurisa-diññhã: to have the views of good men)8. สปปฺ รุ ิสทานํ เทติ (ใหทานอยา งสัตบรุ ุษ คือ ใหต ามหลกั สปั ปุรสิ ทาน เชนใหโดยเออื้ เฟอทง้ัแกข องทตี่ ัวให ท้ังแกผรู ับทาน ใหของบรสิ ุทธิ์ ใหโ ดยเขา ใจถงึ ผลทจ่ี ะมีตามมา เปน ตน —Sappurisadàna§ deti: to give a gift as do good men) บางทเี รียกวา สปั ปุริสธรรม 7 เพราะนับเฉพาะสัทธรรม 7 ในขอ 1M.III.23. ม.อ.ุ 14/143/112.[,,,] หลักตัดสินธรรมวินัย 8 ดู [294] ลักษณะตัดสินธรรมวนิ ัย 8.[,,,] อริยบุคคล 8 ดู [57] อริยบุคคล 8.[,,,] อริยอัฏฐังคิกมรรค ดู [293] มรรคมีองค 8.[,,,] อวิชชา 8 ดู [209] อวชิ ชา 8.[,,,] อาชีวัฏฐมกศีล ดู [241] ศีล 8 ทงั้ อาชวี ะ.[,,,] อุโบสถศีล ดู [240] ศีล 8.

นวกะ — หมวด 9 Groups of Nine (including related groups)[302] นวังคสัตถุศาสน (คาํ สอนของพระศาสดามอี งค 9 — Navaïga-satthusàsana: the Teacher’s nine-factored dispensation; the Master’s ninefold teaching) 1. สตุ ตฺ ํ (สตู ร ไดแ ก พทุ ธพจนท มี่ สี าระเปน แกนรอ ยเรยี งเรอื่ งหนง่ึ ๆ หมายเอาอภุ โตวภิ งั ค นทิ เทส ขนั ธกะ ปรวิ าร พระสตู รในสตุ ตนบิ าต และพทุ ธวจนะอนื่ ๆ ทม่ี ชี อื่ วา สตุ ตะ หรอื สตุ ตนั ตะ กลา ว งา ยคอื วนิ ยั ปฎ ก คมั ภรี น ทิ เทสทงั้ สอง และพระสตู รทงั้ หลาย — Sutta: threads; discourses) 2. เคยยฺ ํ (เคยยะ ไดแ ก ความทม่ี รี อ ยแกว และรอ ยกรองผสมกนั หมายเอาพระสตู รทมี่ คี าถาทง้ั หมด โดยเฉพาะสคาถวรรคในสงั ยตุ ตนกิ าย — Geyya: discourses mixed with verses; songs) 3. เวยยฺ ากรณํ (ไวยากรณ ไดแก ความรอยแกว ลวน หมายเอาพระอภิธรรมปฎกทง้ั หมด พระ สูตรที่ไมมีคาถา และพทุ ธพจนอืน่ ใดทไ่ี มจดั เขา ในองค 8 ขอที่เหลอื — Veyyàkaraõa: prose- expositions) 4. คาถา (คาถา ไดแก ความรอยกรองลว น หมายเอา ธรรมบท เถรคาถา เถรคี าถา และคาถา ลว นในสตุ ตนิบาตทีไ่ มม ชี ่ือวา เปน สตู ร — Gàthà: verses) 5. อทุ านํ (อุทาน ไดแ ก พระคาถาที่ทรงเปลงดว ยพระหฤทัยสหรคตดว ยโสมนสั สมั ปยตุ ดว ย ญาณ พรอมท้ังขอความอันประกอบอยูดวย รวมเปนพระสูตร 82 สูตร — Udàna: exclamations; psalms; verses of uplift) 6. อิติวุตฺตกํ (อติ วิ ุตตกะ ไดแ ก พระสตู ร 110 สูตร ทีต่ รัสโดยนัยวา วุตฺตํ เหตํ ภควตา — Itivuttaka: Thus-said discourses) 7. ชาตกํ (ชาดก ไดแ ก ชาดก 550 เรอ่ื ง มอี ปณ ณกชาดก เปน ตน — Jàtaka: birth-stories) 8. อพฺภูตธมมฺ ํ (อัพภูตธรรม หรือเรอื่ งอัศจรรย ไดแก พระสตู รท่วี า ดว ยขออัศจรรย ไมเ คยมี ทุกสตู ร เชน ทต่ี รัสวา “ภกิ ษุท้ังหลาย ขอ อัศจรรยไมเ คยมี 4 อยางนี้ หาไดใ นอานนท” ดงั น้ี เปน ตน — Abbhåtadhamma: marvellous ideas) 9. เวทลฺลํ (เวทัลละ ไดแ ก พระสตู รแบบถามตอบ ซงึ่ ผูถามไดท ัง้ ความรูและความพอใจ ถาม ตอ ๆ ไป เชน จฬู เวทลั ลสตู ร มหาเวทลั ลสตู ร สมั มาทฏิ ฐสิ ตู ร สกั กปญ หสตู ร สงั ขารภาชนยี สตู ร และมหาปณุ ณมสูตร เปนตน — Vedalla: question-and-answer; catechetical suttas) คาํ วา นวงั คสตั ถุสาสน น้ี เปน คํารนุ คัมภรี อ ปทาน พทุ ธวงส และอรรถกถาท้งั หลาย บางทีเรยี กวา ชนิ สาสน บา ง พทุ ธวจนะ บา ง สว นในบาลที ม่ี าทงั้ หลายเรยี กวา ธรรม บา ง สตุ ะ บา งดู [51] สาสน หรือ ศาสนา 2.Vin.III.8; M.I.133; A.II.5; A.III.86. วนิ ย.1/7/12; ม.ม.ู 12/278/268; องฺ.จตกุ กฺ .21/6/8; อง.ฺ ปจฺ ก.22/73/98.

[303] 222 พจนานุกรมพทุ ธศาสตร[303] พุทธคุณ 9 (คณุ ของพระพทุ ธเจา — Buddhaguõa: virtues or attributes of the Buddha) อติ ิป โส ภควา (แมเพราะอยา งน้ๆี พระผมู ีพระภาคเจาน้นั — Thus indeed is he, the Blessed One,) 1. อรหํ (เปนพระอรหันต คือ เปนผูบริสุทธ์ิ ไกลจากกิเลส ทําลายกาํ แหง สังสารจกั รไดแลว เปน ผูควรแนะนาํ สงั่ สอนผูอน่ื ควรไดรับความเคารพบูชา เปนตน — Araha§: holy; worthy; accomplished) 2. สมมฺ าสมฺพทุ ฺโธ (เปนผตู รัสรูชอบเอง — Sammàsambuddho: fully self-enlightened) 3. วิชชฺ าจรณสมปฺ นโฺ น (เปนผูถงึ พรอ มดว ยวิชชา คือความรู และจรณะ คือ ความประพฤติ — Vijjàcaraõa-sampanno: perfect in knowledge and conduct) 4. สุคโต (เปนผเู สด็จไปดแี ลว คือ ทรงดาํ เนินพระพทุ ธจรยิ าใหเปนไปโดยสาํ เรจ็ ผลดวยดี พระ องคเองก็ไดตรัสรูสาํ เร็จเปนพระพุทธเจา ทรงบาํ เพญ็ พุทธกิจกส็ ําเรจ็ ประโยชนยิง่ ใหญแกช นทัง้ หลายในที่ที่เสด็จไป และไดประดิษฐานพระศาสนาไว แมปรินิพพานแลวก็เปนประโยชนแก มหาชนสบื มา — Sugato: well-gone; well-farer; sublime) 5. โลกวทิ ู (เปน ผรู ูแจงโลก คอื ทรงรูแจง สภาวะอนั เปน คตธิ รรมดาแหงโลกคือสงั ขารทง้ั หลาย ทรงหยงั่ ทราบอัธยาศยั สนั ดานแหง สัตวโลกท้งั ปวง ผูเ ปนไปตามอํานาจแหง คติธรรมดาโดยถอง แท เปนเหตใุ หทรงดําเนนิ พระองคเปน อิสระ พนจากอํานาจครอบงําแหงคติธรรมดานัน้ และทรง เปนทีพ่ ึ่งแหงสตั วท ้ังหลายผูย งั จมอยูในกระแสโลกได — Lokavidå: knower of the worlds) 6. อนุตตฺ โร ปรุ ิสทมฺมสารถิ (เปน สารถฝี กบรุ ุษท่ีฝกได ไมมีใครยงิ่ ไปกวา คอื ทรงเปน ผูฝ ก คนไดด ีเยีย่ ม ไมมผี ูใ ดเทยี มเทา — Anuttaro purisadammasàrathi: the incomparable leader of men to be tamed) 7. สตฺถา เทวมนุสฺสานํ (เปนศาสดาของเทวดาและมนุษยทั้งหลาย — Satthà deva- manussàna§: the teacher of gods and men) 8. พทุ โฺ ธ (เปน ผูต ่นื และเบกิ บานแลว คือ ทรงตื่นเองจากความเชือ่ ถือและขอ ปฏบิ ตั ทิ ้ังหลายทถี่ อื กนั มาผดิ ๆ ดว ย ทรงปลกุ ผอู ืน่ ใหพ น จากความหลงงมงายดวย อนึ่ง เพราะไมติด ไมหลง ไมห วง กงั วลในสิง่ ใดๆ มีการคาํ นึงประโยชนสว นตนเปน ตน จึงมีพระทยั เบกิ บาน บาํ เพญ็ พทุ ธกิจไดถ ูก ตองบรบิ รู ณ โดยถือธรรมเปนประมาณ การทท่ี รงพระคุณสมบูรณเชน นี้ และทรงบําเพ็ญพทุ ธกจิ ไดเรียบรอยบริบรู ณเ ชน นี้ ยอมอาศยั เหตคุ ือความเปน ผูต ่นื และยอ มใหเ กิดผลคอื ทําใหท รงเบิก บานดวย — Buddho: awakened) 9. ภควา (ทรงเปน ผูมโี ชค คือ จะทรงทําการใด กล็ ุลว งปลอดภัยทุกประการ หรอื เปน ผูจาํ แนก แจกธรรม — Bhagavà: blessed; analyst) พุทธคณุ 9 นี้ เรียกอกี อยา งวา นวารหาทิคณุ (คุณของพระพุทธเจา 9 ประการ มี อรหํ เปนตน ) บางทีเลือนมาเปน นวรหคุณ หรอื นวารหคณุ แปลวา “คุณของพระพทุ ธเจา ผูเปน

หมวด 9 223 [306]พระอรหันต 9 ประการ”M.I.37; A.III.285. ม.มู.12/95/67; อง.ฺ ฉกฺก.22/281/317.[304] พุทธคุณ 2 (Buddhaguõa: virtues, qualities or attributes of the Buddha)1. อัตตหติ สมบัติ (ความถงึ พรอมแหงประโยชนตน, ทรงบาํ เพญ็ ประโยชนส วนพระองคเ องเสร็จสิ้นสมบูรณแลว — Attahita-sampatti: to have achieved one’s own good;accomplishment of one’s own welfare) พระคุณขอ นม้ี ุงเอาพระปญ ญาเปนหลกั เพราะเปนเครอ่ื งใหสาํ เรจ็ พุทธภาวะ คอื ความเปน พระพุทธเจา และความเปน อตั ตนาถะ คือ พง่ึ ตนเองได2. ปรหติ ปฏิบัติ (การปฏบิ ตั ิเพอื่ ประโยชนแกผูอน่ื , ทรงบาํ เพญ็ พทุ ธจริยาเพอ่ื ประโยชนแกผูอื่น— Parahita-pañipatti: practice for the good or welfare of others) พระคณุ ขอนมี้ งุ เอาพระกรณุ าเปน หลัก เพราะเปน เคร่ืองใหสําเรจ็ พทุ ธกิจ คอื หนา ที่ของพระพุทธเจา และความเปนโลกนาถ คอื เปน ท่พี ่งึ ของชาวโลกได พทุ ธคณุ 9 ในขอ กอน [303] ยอลงแลว เปน 2 อยา งดังแสดงมานี้ คอื ขอ 1, 2, 3, 5 เปนสว นอตั ตหติ สมบตั ิ ขอ 6, 7 เปนสว นปรหิตปฏบิ ัติ ขอ 4, 8, 9 เปน ท้งั อตั ตหิตสมบัติและปรหติ ปฏบิ ตั ิDAò.I.8 (ฉบับไทยยังไมพ มิ พ) วสิ ุทธฺ .ิ ฏกี า1/258/381; 246/338 (ฉบบั โรมันยังไมพมิ พ)[305] พุทธคุณ 3 (Buddhaguõa: virtues, qualities or attributes of the Buddha)1. ปญ ญาคุณ (พระคุณคือพระปญ ญา — Pa¤¤à: wisdom)2. วสิ ุทธิคุณ (พระคุณคือความบรสิ ุทธ์ิ — Visuddhi: purity)3. กรุณาคุณ (พระคณุ คือพระมหากรุณา — Karuõà: compassion) ในพระคณุ 3 น้ี ขอ ทเ่ี ปน หลกั และกลา วถงึ ทว่ั ไปในคมั ภรี ต า งๆ มี 2 คอื ปญ ญา และกรณุ าสว นวสิ ุทธิ เปน พระคุณเนอื่ งอยใู นพระปญ ญาอยแู ลว เพราะเปนผลเกดิ เองจากการตรสั รู คัมภรี ท้ังหลายจึงไมแ ยกไวเ ปนขอ หนงึ่ ตางหาก(ฉบบั โรมันยงั ไมพ ิมพ) นัย วิสุทฺธ.ิ ฏีกา1/1.[306] ธรรมคุณ 6 (คุณของพระธรรม — Dhammaguõa: virtues or attributes ofthe Dhamma)1. สฺวากฺขาโต ภควตา ธมโฺ ม (พระธรรมอนั พระผมู พี ระภาคเจาตรัสดีแลว คอื ตรสั ไวเ ปนความจริงแท อีกท้ังงามในเบื้องตน งามในทา มกลาง งามในทีส่ ดุ พรอ มท้งั อรรถพรอ มท้งัพยัญชนะ ประกาศหลักการครองชีวิตอันประเสรฐิ บริสทุ ธิ์ บรบิ ูรณส ิน้ เชงิ — Svàkkhàto:Well proclaimed is the Dhamma by the Blessed One)2. สนทฺ ิฏ โิ ก (อนั ผปู ฏบิ ัติจะพึงเห็นชัดดวยตนเอง คือ ผูใดปฏบิ ตั ิ ผูใดบรรลุ ผนู ัน้ ยอ มเหน็ประจักษด ว ยตนเอง ไมต องเชอื่ ตามคาํ ของผอู นื่ ผูใดไมป ฏิบตั ิ ไมบรรลุ ผอู ืน่ จะบอกก็เหน็ ไมไ ด— Sandiññhiko: to be seen for oneself)

[307] 224 พจนานุกรมพุทธศาสตร3. อกาลิโก (ไมป ระกอบดว ยกาล คอื ไมข ึน้ กบั กาลเวลา พรอมเมอ่ื ใด บรรลไุ ดท นั ที บรรลุเมื่อใด เหน็ ผลไดท นั ที อกี อยา งวา เปน จรงิ อยอู ยา งไร กเ็ ปน อยา งนน้ั ไมจ าํ กดั ดว ยกาล — Akàliko:not delayed; timeless)4. เอหิปสฺสิโก (ควรเรยี กใหม าดู คือ เชญิ ชวนใหมาชม และพิสูจน หรือทา ทายตอการตรวจสอบ เพราะเปนของจรงิ และดีจริง — Ehipassiko: inviting to come and see; invitinginspection)5. โอปนยโิ ก (ควรนอมเขามา คอื ควรนอ มเขามาไวใ นใจ หรอื นอมใจเขาไปใหถ งึ ดว ยการปฏบิ ัตใิ หเ กิดมขี ึ้นในใจ หรอื ใหใจบรรลถุ งึ อยางนนั้ หมายความวา เชิญชวนใหทดลองปฏบิ ัติดูอีกอยา งหนง่ึ วาเปนสิง่ ทน่ี ําผปู ฏิบตั ิใหเขาไปถงึ ทหี่ มายคือนิพพาน — Opanayiko: worthy ofinducing in and by one’s own mind; worthy of realizing; to be tried by practice;leading onward)6. ปจฺจตฺตํ เวทติ พโฺ พ วิ ฺูหิ (อันวญิ ชู นพึงรูเฉพาะตน คือ เปน วสิ ยั ของวิญชู นจะพงึ รูได เปน ของจําเพาะตน ตองทําจงึ เสวยไดเฉพาะตัว ทาํ ใหก นั ไมไ ด เอาจากกันไมได และรูไ ดประจกั ษท่ีในใจของตนน่เี อง — Paccatta§ veditabbo vi¤¤åhi: directly experienceableby the wise) คุณขอ ที่ 1 มคี วามหมายกวา งรวมทง้ั ปรยิ ัติธรรม คือ คาํ สัง่ สอนดว ย สวนขอที่ 2 ถงึ 6 มุงใหเปนคณุ ของโลกตุ ตรธรรม จะเหน็ ไดในที่อนื่ ๆ วา ขอที่ 2 ถึง 6 ทานแสดงไวเ ปน คณุ บทของนพิ พาน กม็ ีM.I.37; A.III.285. ม.มู.12/95/67; อง.ฺ ฉกฺก.22/281/318.[307] สังฆคุณ 9 (คุณของพระสงฆ — Saïghaguõa: virtues of the Sangha;virtues or attributes of the community of noble disciples)1. สปุ ฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงโฺ ฆ (พระสงฆส าวกของพระผมู พี ระภาค เปนผปู ฏบิ ัติดี —Supañipanno: Of good conduct is the community of noble disciples of theBlessed One)2. อุชุปฏปิ นโฺ น (เปน ผูปฏบิ ตั ติ รง — Ujupañipanno: of upright conduct)3. ายปฏิปนโฺ น (เปนผูปฏิบตั ถิ กู ทาง — ¥àyapañipanno: of right conduct)4. สามีจปิ ฏปิ นฺโน (เปนผปู ฏบิ ตั สิ มควร — Sàmãcipañipanno: of dutiful conduct; ofproper conduct) ยททิ ํ จตตฺ าริ ปรุ สิ ยคุ านิ อฏ ปรุ สิ ปคุ คฺ ลา (ไดแ ก คบู รุ ษุ 4 ตวั บคุ คล 8 — namely, thefour pairs of men, the eight types of individuals.) เอส ภควโต สาวกสงฺโฆ (พระสงฆส าวกของพระผมู ีพระภาคนี้ — This community ofthe disciples of the Blessed One is)

หมวด 9 225 [309]5. อาหุเนยฺโย (เปนผูควรแกของคํานับ คือควรรับของที่เขานํามาถวาย — âhuneyyo:worthy of gifts)6. ปาหเุ นยฺโย (เปนผคู วรแกการตอ นรับ — Pàhuneyyo: worthy of hospitality)7. ทกขฺ ิเณยโฺ ย (เปนผคู วรแกท ักษิณา, ควรแกข องทาํ บุญ — Dakkhiõeyyo: worthy ofofferings)8. อฺชลิกรณีโย (เปน ผคู วรแกการทาํ อัญชลี, ควรแกการกราบไหว — A¤jalikaraõãyo:worthy of reverential salutation)9. อนตุ ฺตรํ ปุฺกฺเขตฺตํ โลกสสฺ (เปนนาบญุ อันยอดเยย่ี มของโลก, เปน แหลง ปลกู ฝงและเผยแพรความดีที่ยอดเยี่ยมของโลก — Anuttara§ pu¤¤akkhetta§ lokassa: theincomparable field of merit or virtue for the world)M.I.37; A.III.286. ม.ม.ู 12/95/67; องฺ.ฉกฺก.22/281/318.[308] มละ 9 (มลทิน — Mala: stains)1. โกธะ (ความโกรธ — Kodha: anger)2. มักขะ (ความลบหลูค ุณทาน, ความหลคู วามดีผอู ่ืน — Makkha: detraction; depre-ciation)3. อิสสา (ความริษยา — Issà: envy; jealousy)4. มัจฉริยะ (ความตระหนี่ — Macchariya: stinginess; meanness)5. มายา (มารยา — Màyà: deceit)6. สาเถยยะ (ความโออ วดหลอกเขา, สาไถย — Sàtheyya: hypocrisy)7. มสุ าวาท (การพูดปด — Musàvàda: false speech)8. ปาปจ ฉา (ความปรารถนาลามก — Pàpicchà: evil desire)9. มจิ ฉาทิฏฐิ (ความเห็นผิด — Micchàdiññhi: false view)Vbh.389. อภ.ิ ว.ิ 35/1021/526.[309] มานะ 9 (ความถอื ตวั , ความสาํ คญั ตนเปน อยา งนน้ั อยา งน้ี — Màna: conceit; pride)1. เปน ผเู ลศิ กวา เขา สาํ คญั ตวั วา เลศิ กวา เขา (Being superior to others, one thinks, “Betteram I.”)2. เปน ผเู ลศิ กวา เขา สาํ คญั ตวั วา เสมอเขา (Being superior to others, one thinks, “Equalam I.”)3. เปน ผเู ลศิ กวา เขา สาํ คญั ตวั วา เลวกวา เขา (Being superior to others, one thinks, “Worseam I.”)4. เปน ผเู สมอเขา สาํ คญั ตวั วา เลศิ กวา เขา (Being equal to others, one thinks, “Better am

[310] 226 พจนานกุ รมพุทธศาสตรI.”)5. เปน ผเู สมอเขา สาํ คญั ตวั วา เสมอเขา (Being equal to others, one thinks, “Equal am I.”)6. เปน ผเู สมอเขา สาํ คญั ตวั วา เลวกวา เขา (Being equal to others, one thinks, “Worse amI.”)7. เปน ผเู ลวกวา เขา สาํ คญั ตวั วา เลศิ กวา เขา (Being inferior to others, one thinks, “Betteram I.”)8. เปน ผเู ลวกวา เขา สาํ คญั ตวั วา เสมอเขา (Being inferior to others, one thinks, “Equal amI.”)9. เปน ผเู ลวกวา เขา สาํ คญั ตวั วา เลวกวา เขา (Being inferior to others, one thinks, “Worseam I.”)Nd180; Nd2226; Vbh.389. ข.ุ ม.29/102/94; 829/519; ขุ.จ.ู 30/578/283; อภ.ิ วิ.35/1022/527[310] โลกุตตรธรรม 9 (ธรรมอนั มใิ ชวิสัยของโลก, สภาวะพน โลก — Lokuttara-dhamma: supermundane states) (+ โพธปิ ก ขยิ ธรรม 37 = 46: ขุ.ปฏิ.31/620/535; Ps.II.166)มรรค 4 (Magga: the Four Paths)ผล 4 (Phala: the Four Fruitions)นิพพาน หรอื อสงั ขตธาตุ 1 (Nibbàna: the Unconditioned State)ดู [27] นิพพาน 2; [164] มรรค 4; [165] ผล 4.Dhs.1094. อภ.ิ ส.ํ 34/706/278; 911/355.[311] วิปสสนาญาณ 9 (ญาณในวปิ สสนา, ญาณท่ีนบั เขา ในวปิ ส สนา หรือทจี่ ดั เปนวิปส สนา คือ เปน ความรูทท่ี าํ ใหเ กิดความเห็นแจง เขาใจสภาวะของส่ิงทัง้ หลายตามเปนจริง —Vipassanà¤àõa: insight-knowledge)1. อุทยัพพยานปุ ส สนาญาณ (ญาณอันตามเห็นความเกดิ และความดบั คือ พิจารณาความเกิดข้ึนและความดับไปแหงเบญจขันธ จนเห็นชัดวา ส่ิงทั้งหลายเกิดขึ้นคร้ันแลวก็ตองดับไปลว นเกดิ ข้นึ แลวกด็ ับไปทั้งหมด — Udayabbaya¤àõa: knowledge of contemplation onrise and fall)2. ภังคานปุ สสนาญาณ (ญาณอนั ตามเหน็ ความสลาย คอื เมอื่ เหน็ ความเกิดดับเชน น้ันแลวคาํ นงึ เดน ชดั ในสว นความดับอันเปน จดุ จบสิน้ กเ็ ห็นวาสงั ขารท้ังปวงลว นจะตอ งสลายไปท้งั หมด— Bhaïga¤àõa: knowledge of contemplation on dissolution)3. ภยตปู ฏฐานญาณ (ญาณอันมองเหน็ สังขารปรากฏเปนของนากลวั คอื เมื่อพิจารณาเห็นความแตกสลายอนั มที ั่วไปแกทุกส่งิ ทกุ อยางเชนน้ันแลว สังขารทงั้ ปวงไมวา จะเปนไปในภพใดคติใด กป็ รากฏเปน ของนา กลวั เพราะลว นแตจ ะตอ งสลายไป ไมป ลอดภยั ทง้ั สน้ิ — Bhaya¤àõa:knowledge of the appearance as terror)

หมวด 9 227 [312]4. อาทนี วานปุ ส สนาญาณ (ญาณอนั คาํ นงึ เหน็ โทษ คอื เมอื่ พจิ ารณาเหน็ สงั ขารทง้ั ปวงซง่ึ ลว นตอ งแตกสลายไป เปน ของนา กลวั ไมป ลอดภยั ทงั้ สนิ้ แลว ยอ มคาํ นงึ เหน็ สงั ขารทงั้ ปวงนน้ั วา เปน โทษเปนส่ิงท่ีมีความบกพรอ ง จะตองระคนอยูด ว ยทุกข — âdãnava¤àõa: knowledge ofcontemplation on disadvantages)5. นพิ พทิ านปุ ส สนาญาณ (ญาณอนั คาํ นงึ เหน็ ดว ยความหนา ย คอื เมอ่ื พจิ ารณาเหน็ สงั ขารวาเปน โทษเชน นนั้ แลว ยอ มเกดิ ความหนา ย ไมเ พลดิ เพลนิ ตดิ ใจ — Nibbidà¤àõa: knowledge ofcontemplation on dispassion)6. มญุ จติ กุ มั ยตาญาณ (ญาณอนั คาํ นงึ ดว ยใครจ ะพน ไปเสยี คอื เมอ่ื หนา ยสงั ขารทง้ั หลายแลวยอ มปรารถนาทจี่ ะพน ไปเสยี จากสงั ขารเหลา นน้ั — Mu¤citukamyatà¤àõa: knowledge of thedesire for deliverance)7. ปฏิสังขานปุ ส สนาญาณ (ญาณอนั คํานงึ พิจารณาหาทาง คอื เมอ่ื ตอ งการจะพนไปเสยี จึงกลับหันไปยกเอาสังขารทั้งหลายขึ้นมาพิจารณากําหนดดวยไตรลักษณเพือ่ มองหาอุบายทจ่ี ะปลดเปล้ืองออกไป — Pañisaïkhà¤àõa: knowledge of reflective contemplation)8. สงั ขารุเปกขาญาณ (ญาณอนั เปนไปโดยความเปนกลางตอ สังขาร คือ เมอ่ื พิจารณาสงั ขารตอ ไป ยอ มเกิดความรูเหน็ สภาวะของสังขารตามความเปนจรงิ วามคี วามเปนอยูเปน ไปของมันอยา งน้นั เปน ธรรมดา จึงวางใจเปน กลางได ไมยนิ ดียินรา ยในสงั ขารทง้ั หลาย แตนัน้ มองเห็นนพิ พานเปน สันติบท ญาณจึงแลนมุง ไปยังนิพพาน เลกิ ละความเก่ียวเกาะกับสงั ขารเสยี ได —Saïkhàrupekkhà¤àõa: knowledge of equanimity regarding all formations)9. สัจจานโุ ลมิกญาณ หรอื อนุโลมญาณ (ญาณอนั เปนไปโดยอนุโลมแกการหยง่ั รูอรยิ สจั จคือ เมื่อวางใจเปน กลางตอ สงั ขารท้ังหลาย ไมพะวง และญาณแลน มงุ ตรงไปสูน พิ พานแลว ญาณอนั คลอ ยตอ การตรัสรอู ริยสจั จ ยอ มเกิดขนึ้ ในลาํ ดับถดั ไป เปน ขน้ั สดุ ทายของวปิ สสนาญาณ ตอจากน้นั กจ็ ะเกดิ โคตรภูญาณมาคัน่ กลาง แลว เกดิ มรรคญาณใหส าํ เรจ็ ความเปนอริยบคุ คลตอ ไป— Anuloma¤àõa: conformity-knowledge; adaptation-knowledge) ธรรมหมวดน้ี ทา นปรงุ ศพั ทข น้ึ โดยถอื ตามนยั แหง คมั ภรี ป ฏสิ มั ภทิ ามรรค นาํ มาอธบิ ายพสิ ดารในวสิ ทุ ธมิ รรค แตใ นอภธิ มั มตั ถสงั คหะ ทา นเตมิ สมั มสนญาณ (ญาณทก่ี าํ หนดพจิ ารณานามรปู คอื ขนั ธ 5 ตามแนวไตรลกั ษณ — Sammasana¤àõa: comprehension-knowledge)เขามาเปน ขอท่ี 1 จงึ รวมเปน วิปส สนาญาณ 10 และเรียกชื่อญาณขออืน่ ๆ สัน้ กวา น้ี คอื เรียกอทุ ยพั พยญาณ ภงั คญาณ ภยญาณ อาทนี วญาณ นพิ พทิ าญาณ มญุ จติ กุ มั ยตาญาณ ปฏสิ งั ขา-ญาณ สงั ขารเุ ปกขาญาณ อนโุ ลมญาณดู [285] วิสุทธิ 7; [345] ญาณ 16Ps.I.1; Vism.630–671;Comp.210. ข.ุ ปฏ.ิ 31/1/1; วสิ ทุ ธฺ ิ.3/262–319; สงฺคห.55.[312] สัตตาวาส 9 (ภพเปนทีอ่ ยูแ หง สัตว — Sattàvàsa: Abodes of Beings)ขอ 1–4 ตรงกับ วญิ ญาณฐิติ 4 ขอตน

[313] 228 พจนานุกรมพุทธศาสตร5. สัตวบ างพวก ไมม ีสัญญา ไมเ สวยเวทนา เชน เหลา เทพจําพวกอสญั ญีสัตว (beingswithout perception and feeling)ขอ 6–8 ตรงกบั วิญญาณฐติ ิ ขอ ที่ 5–79. สตั วบ างพวก ผเู ขาถึงชั้นเนวสญั ญานาสญั ญายตนะ (beings reborn in the Sphere ofNeither-Perception-Nor-Nonperception)ดู [284] วิญญาณฐิติ 7D.III.263;288; A.IV.401 ท.ี ปา.11/353/277; 457/329; องฺ.อฏ ก.23/228/413.[313] อนุบุพพวิหาร 9 (ธรรมเครอ่ื งอยทู ป่ี ระณตี ตอ กนั ขน้ึ ไปโดยลาํ ดบั — Anupubba-vihàra: progressive abidings; mental states of gradual attainment)รูปฌาน 4 (Råpa-jhàna: the Four Absorptions of the Form Sphere)อรูปฌาน 4 (Aråpa-jhàna: the Four Absorptions of the Formless Sphere)สญั ญาเวทยิตนิโรธ (สมาบตั ทิ ่ดี ับสัญญาและเวทนา — Sa¤¤àvedayitanirodha: extinc-tion of perception and feeling) เรยี กอกี อยา งวา นโิ รธสมาบตั ิ (attainment of extinction) สมาบตั ิขอ ท่ี 9 นี้ เฉพาะแตพ ระอนาคามแี ละพระอรหันตผูช ํานาญในสมาบตั ิ 8 ขา งตน แลวเทา นั้น จงึ จะเขาได อนุบุพพวิหารน้ี เรียกอีกอยางวา อนบุ พุ พนโิ รธ (Anupubba-nirodha: graded stagesof cessation) เพราะตองดบั ขั้นตนๆ แตล ะขนั้ ไปตามลาํ ดับ จงึ จะเขา ถึงข้นั สูงที่อยูถัดข้ึนไปไดดู [9] ฌาน 4; [207] อรปู 4.D.III.265,290;A.IV.410. ที.ปา. 11/355/279; 463/332; องฺ.นวก.23/236/424.

ทสกะ — หมวด 10 Groups of Ten (including related groups)[314] กถาวัตถุ 10 (เรอื่ งทคี่ วรพดู , เรอ่ื งทคี่ วรนาํ มาสนทนากนั ในหมภู กิ ษุ — Kathàvatthu: subjects for discussion; topics of talk among the monks) 1. อปั ปจ ฉกถา (เรื่องความมักนอย, ถอยคาํ ทช่ี กั นําใหม คี วามปรารถนานอ ย ไมมักมากอยาก เดน — Appicchakathà: talk about or favourable to wanting little) 2. สันตุฏฐิกถา (เร่อื งความสันโดษ, ถอ ยคาํ ทีช่ ักนําใหม ีความสันโดษ ไมชอบฟุง เฟอหรือปรน ปรือ — Santuññhikathà: talk about or favourable to contentment) 3. ปวิเวกกถา (เรื่องความสงดั , ถอ ยคาํ ท่ชี กั นาํ ใหม ีความสงดั กายใจ — Pavivekakathà: talk about or favourable to seclusion) 4. อสงั สคั คกถา (เรอื่ งความไมค ลกุ คล,ี ถอ ยคาํ ทช่ี กั นาํ ใหไ มค ลกุ คลดี ว ยหมู — Asa§sagga- kathà: talk about or favourable to not mingling together) 5. วิริยารัมภกถา (เรื่องการปรารภความเพียร, ถอยคําท่ีชักนําใหมุงมั่นทําความเพียร — Viriyàrambhakathà: talk about or favourable to strenuousness) 6. สีลกถา (เรอ่ื งศลี , ถอยคาํ ท่ีชกั นาํ ใหต งั้ อยูในศลี — Sãlakathà: talk about or favourable to virtue or good conduct) 7. สมาธกิ ถา (เร่ืองสมาธ,ิ ถอ ยคาํ ทช่ี กั นาํ ใหท ําจิตมน่ั — Samàdhikathà: talk about or favourable to concentration) 8. ปญญากถา (เร่อื งปญ ญา, ถอยคําท่ีชักนาํ ใหเกิดปญ ญา — Pa¤¤àkathà: talk about or favourable to understanding or insight) 9. วมิ ตุ ตกิ ถา (เรอ่ื งวมิ ตุ ต,ิ ถอ ยคาํ ทช่ี กั นาํ ใหท าํ ใจใหพ น จากกเิ ลสและความทกุ ข — Vimuttikathà: talk about or favourable to deliverance) 10. วมิ ตุ ตญิ าณทสั สนกถา (เรอ่ื งความรคู วามเหน็ ในวมิ ตุ ต,ิ ถอ ยคาํ ทช่ี กั นาํ ใหส นใจและเขา ใจ เรอื่ งความรคู วามเหน็ ในภาวะทหี่ ลดุ พน จากกเิ ลสและความทกุ ข — Vimutti¤àõadassanakathà: talk about or favourable to the knowledge and vision of deliverance)M.I.145; III.113; A.V.129. ม.ม.ู 12/292/287; ม.อ.ุ 14/348/239; องฺ.ทสก.24/69/138.[315] กสิณ 10 (แปลตามรปู ศัพทวา “ทง้ั หมด” หรอื “ลวน”; วตั ถุอนั จูงใจ, วตั ถสุ าํ หรบั เพงเพ่ือจงู จติ ใหเปน สมาธิ — Kasiõa: meditation devices)ก. ภตู กสิณ 4 (กสิณคือมหาภตู รูป — Bhåta-kasiõa: Element-Kasiõa)

[316] 230 พจนานุกรมพทุ ธศาสตร1. ปฐวีกสณิ (กสิณคอื ดิน, กสิณทีใ่ ชด นิ เปน อารมณ — Pañhavã~: the Earth Kasiõa)2. อาโปกสิณ (กสิณคือน้ํา — âpo~: the Water Kasiõa)3. เตโชกสิณ (กสิณคือไฟ — Tejo~: the Fire Kasiõa)4. วาโยกสณิ (กสิณคือลม — Vàyo~: the Air Kasiõa: Wind Kasiõa)ข. วรรณกสิณ 4 (กสณิ คือสี — Vaõõa~: Colour Kasiõa)5. นลี กสิณ (กสณิ คอื สเี ขียวคราม — Nãla~: the Blue Kasiõa)6. ปตกสณิ (กสิณคอื สเี หลอื ง — Pãta~: the Yellow Kasiõa)7. โลหติ กสณิ (กสิณคือสแี ดง — Lohita~: the Red Kasiõa)8. โอทาตกสณิ (กสณิ คือสีขาว — Odàta~: the White Kasiõa)ค. กสิณอ่นื ๆ9. อาโลกกสิณ (กสณิ คอื แสงสวา ง — âloka~: the Light Kasiõa)10. อากาสกสิณ (กสิณคอื ทวี่ า งเปลา, ชองวา ง — âkàsa~: the Space Kasiõa) กสณิ ท่ีมาในบาลี เชน อง.ฺ ทสก.24/25/48 (A.V.46) ไมมี อาโลกกสิณ แตมี วิญญาณกสณิ (กสิณคือวิญญาณ — Vi¤¤àõa~: the Consciousness Kasiõa) เปนขอ ท่ี 10 และ อากาสกสิณ เปนขอท่ี 9Vism.118–169. วสิ ุทฺธ.ิ 1/150–217.[316] กามโภคี 10 (ผบู รโิ ภคกาม, ผูครองเรือน, คฤหสั ถ — Kàmabhogã: enjoyers ofsensual pleasures; laymen; householders)กลุมท่ี 1 แสวงหาไมช อบธรรม (those seeking wealth unlawfully and arbitrarily)1. พวกหน่งึ แสวงหาโภคทรัพยโ ดยไมชอบธรรม โดยทารุณขม ขี,่ ไดมาแลวไมเล้ียงตนใหอ่มิ หนําเปน สขุ , ทง้ั ไมแจกจา ยแบง ปนและไมใ ชทํากรรมดี(So seeking wealth, a certain one neither makes himself happy and cheerful, nordoes he share with others, nor does he do meritorious deeds.)2. พวกหนึ่ง แสวงหาโภคทรัพยโดยไมช อบธรรม โดยทารุณขมข่ี, ไดม าแลว เลี้ยงตนใหอ่มิ หนําเปน สุข, แตไ มแจกจายแบงปนและไมใชท ํากรรมดี(So seeking wealth, a certain one makes himself happy and cheerful, but hedoes not share with others and does no meritorious deeds.)3. พวกหนงึ่ แสวงหาโภคทรพั ยโ ดยไมชอบธรรม โดยทารณุ ขม ข,่ี ไดม าแลว เลยี้ งตนใหอมิ่ หนําเปน สขุ ดวย, แจกจายแบง ปนและใชทํากรรมดีดว ย(So seeking wealth, a certain one does make himself happy and cheerful, hedoes share with others and does meritorious deeds.)(พวกท่ี 1: ควรตําหนิทง้ั 3 สถาน; พวกที่ 2: ตําหนิ 2 สถาน, ชม 1 สถาน; พวกท่ี 3: ตาํ หนิ 1 สถาน, ชม

หมวด 10 231 [316]2 สถาน — These are blameworthy in three, two and one respect, and praiseworthy innone, one and two respects, respectively.)กลุมที่ 2 แสวงหาชอบธรรมบา ง ไมชอบธรรมบา ง (those seeking wealth both lawfullyand unlawfully, arbitrarily and unarbitrarily)4. พวกหนงึ่ แสวงหาโภคทรพั ยโ ดยชอบธรรมบา งไมช อบธรรมบา ง ทารณุ ขม ขบี่ า งไมท ารณุขม ขบี่ า ง, ไดม าแลว ไมเ ลย้ี งตนใหอ มิ่ หนาํ เปน สขุ , ไมแ จกจา ยแบง ปน และไมใ ชท าํ กรรมดี(Same as 1)5. พวกหนง่ึ แสวงหาโภคทรพั ยโ ดยชอบธรรมบา งไมช อบธรรมบา ง ทารณุ ขม ขบ่ี า งไมท ารณุขม ขบ่ี า ง, ไดม าแลว เลย้ี งตนใหอ มิ่ หนาํ เปน สขุ , แตไ มแ จกจา ยแบง ปน และไมใ ชท าํ กรรมดี(Same as 2)6. พวกหน่ึง แสวงหาโภคทรัพยโดยชอบธรรมบางไมชอบธรรมบาง ทารุณขมข่ีบางไมทารณุ ขม ขบ่ี า ง, ไดม าแลว เลย้ี งตนใหอ ม่ิ หนําเปน สขุ , ทง้ั แจกจา ยแบง ปน และใชท าํ กรรมดี(Same as 3)(พวกท่ี 4: ควรตาํ หนิ 3 สถาน, ชม 1 สถาน; พวกที่ 5: ตาํ หนิ 2 สถาน, ชม 2 สถาน; พวกท่ี 6: ตาํ หนิ 1สถาน, ชม 3 สถาน — These are blameworthy in three, two and one respect, and praiseworthyin one, two and three respects, respectively.)กลุมท่ี 3 แสวงหาชอบธรรม (those seeking wealth lawfully and unarbitrarily)7. พวกหน่ึง แสวงหาโภคทรัพยโ ดยชอบธรรม ไมทารุณขมข,่ี ไดม าแลว ไมเ ลี้ยงตนใหอมิ่ หนําเปนสขุ , ไมแ จกจา ยแบงปนและไมใ ชท ํากรรมดี (Same as 1)8. พวกหนึ่ง แสวงหาโภคทรัพยโดยชอบธรรม ไมทารุณขมข่ี, ไดมาแลวเล้ียงตนใหอิม่ หนําเปน สุข, แตไ มแ จกจา ยแบง ปนและไมใ ชท ํากรรมดี (Same as 2)9. พวกหน่ึง แสวงหาโภคทรัพยโดยชอบธรรม ไมทารุณขมข่ี, ไดมาแลวก็เลี้ยงตนใหอิม่ หนําเปน สขุ ดวย, ทงั้ แจกจา ยแบง ปนและใชท ํากรรมดีดวย; แตเ ขายังติด ยงั สยบมัวเมายงั หมกมนุ บรโิ ภคโภคะเหลา นัน้ โดยไมร เู ทา ทนั เหน็ โทษ ไมมปี ญ ญาทําตนใหเปน อสิ ระหลดุ พน เปนนายเหนอื โภคทรพั ย (Same as 3. But he makes use of his wealth withgreed and longing, is infatuated therewith, heedless of danger, lacking theinsight to achieve spiritual freedom.)(พวกท่ี 7: ควรตาํ หนิ 2 สถาน, ชม 1 สถาน; พวกท่ี 8: ตาํ หนิ 1 สถาน, ชม 2 สถาน; พวกท่ี 9: ชม 3สถาน, ตาํ หนิ 1 สถาน — These are blameworthy in two, one and one respect, andpraiseworthy in one, two and three respects, respectively.)พวกพเิ ศษ: แสวงหาชอบธรรม และใชอ ยา งรูเทา ทนั เปนอิสระ10. พวกหนึ่ง แสวงหาโภคทรัพยโดยชอบธรรม ไมทารุณขมขี่, ไดมาแลวเลย้ี งตนใหอ่ิมหนําเปนสุข, แจกจายแบงปนและใชทํากรรมดี; อีกท้ังไมสยบมัวเมา ไมหมกมุนบริโภคโภคะเหลา น้นั อยางรูเทา ทันเหน็ โทษ มปี ญ ญาทําตนใหเปนอิสระหลุดพน เปน นาย

[317] 232 พจนานกุ รมพุทธศาสตรเหนอื โภคทรัพย (Seeking wealth lawfully and unarbitrarily, a certain one does makehimself happy and cheerful, he does share with others and does meritorious deeds.Moreover, he makes use of his wealth without greed and longing, withoutinfatuation, is heedful of danger and possessed of the insight that keeps for himselfspiritual freedom.)(พวกท่ี 10 นี้ ทรงสรรเสริญวาเปน ผเู ลิศ ประเสริฐ สูงสุด ควรชมทงั้ 4 สถาน — Of these ten this oneis the best, the greatest and the noblest, being praiseworthy in all the four respects.)S.IV.331; A.V.176. ส.ํ สฬ.18/631–643/408–415; อง.ฺ ทสก.24/91/188.[317] กาลามสูตรกังขานิยฐาน 10 (หมายถงึ วิธีปฏบิ ตั ิในเรอ่ื งทค่ี วรสงสัย หรอืหลกั ความเชื่อ ท่ตี รัสไวใ นกาลามสตู ร — Kàlàmasutta-kaïkhàniyaññhàna: how to dealwith doubtful matters; advice on how to investigate a doctrine, as contained inthe Kàlàmasutta)1. มา อนุสฺสเวน (อยาปลงใจเชือ่ ดว ยการฟง ตามกันมา — Be not led by report)2. มา ปรมปฺ ราย (อยาปลงใจเชื่อ ดวยการถอื สืบๆ กนั มา — Be not led by tradition)3. มา อิตกิ ริ าย (อยาปลงใจเชอื่ ดว ยการเลาลอื — Be not led by hearsay)4. มา ปฏ กสมฺปทาเนน (อยาปลงใจเช่ือ ดว ยการอา งตําราหรอื คมั ภรี  — Be not led by theauthority of texts)5. มา ตกกฺ เหตุ (อยา ปลงใจเชื่อ เพราะตรรก — Be not led by mere logic)6. มา นยเหตุ (อยา ปลงใจเชอื่ เพราะการอนมุ าน — Be not led by inference)7. มา อาการปริวิตกฺเกน (อยา ปลงใจเชือ่ ดว ยการคดิ ตรองตามแนวเหตผุ ล — Be not ledby considering appearances)8. มา ทฏิ  นิ ชิ ฌฺ านกขฺ นตฺ ยิ า (อยา ปลงใจเชอื่ เพราะเขา ไดก บั ทฤษฎที พ่ี นิ จิ ไวแ ลว — Be notled by the agreement with a considered and approved theory)9. มา ภพฺพรูปตาย (อยา ปลงใจเช่ือ เพราะมองเหน็ รปู ลกั ษณะนา จะเปน ไปได — Be not ledby seeming possibilities)10. มา สมโณ โน ครตู ิ (อยา ปลงใจเชือ่ เพราะนบั ถือวา ทานสมณะน้ีเปน ครูของเรา — Benot led by the idea, ‘This is our teacher’.) ตอ เมื่อใด รูเขาใจดว ยตนวา ธรรมเหลา นั้น เปน อกศุ ล เปน กุศล มีโทษ ไมมีโทษ เปนตนแลว จงึ ควรละหรือถือปฏบิ ตั ิตามนั้น สตู รน้ี ในบาลเี รยี กวา เกสปุตตยิ สูตร ท่ีชอื่ กาลามสูตร เพราะทรงแสดงแกช นเผา กาลามะแหงวรรณะกษัตรยิ  ท่ชี อ่ื เกสปตุ ตยิ สตู ร เพราะพวกกาลามะนนั้ เปน ชาวเกสปตุ ตนิคมA.I.189. องฺ.ติก.20/505/241.

หมวด 10 233 [319][318] กิเลส 10 (สภาพท่ที ําใหจ ิตเศราหมอง — Kilesa: defilements) 1. โลภะ (ความอยากได — Lobha: greed) 2. โทสะ (ความคดิ ประทุษราย — Dosa: hatred) 3. โมหะ (ความหลง, ความไมร ู, ความเขลา — Moha: delusion) 4. มานะ (ความถือตวั — Màna: conceit) 5. ทิฏฐิ (ความเหน็ ผิด — Diññhi: wrong view) 6. วิจิกิจฉา (ความลงั เลสงสยั , ความเคลอื บแคลง — Vicikicchà: doubt; uncertainty) 7. ถนี ะ (ความหดห,ู ความทอแทถ ดถอย — Thãna: sloth) 8. อทุ ธัจจะ (ความฟุงซา น — Uddhacca: restlessness) 9. อหิริกะ (ความไมละอายตอความชว่ั — Ahirika: shamelessness) 10. อโนตตปั ปะ (ความไมเกรงกลวั ตอความช่ัว — Anottappa: lack of moral dread) สบิ อยา งนี้ ในบาลีเดิมเรยี กวา กเิ ลสวตั ถุ (สิง่ กอความเศราหมอง) 10Vbh.391. อภิ.ว.ิ 35/1026/528.[319] กุศลกรรมบถ 101 (ทางแหงกศุ ลกรรม, ทางทาํ ความดี, กรรมดีอันเปน ทางนาํ ไปสูสคุ ติ — Kusala-kammapatha: wholesome course of action) วาโดยหัวขอ ยอ ดงั นี้ก. กายกรรม 3 (การกระทาํ ทางกาย — Kàyakamma: bodily action)1. ปาณาติปาตา เวรมณ*ี (เวน จากปลงชีวิต — Pàõàtipàtà veramaõã: abstention fromkilling)2. อทินฺนาทานา เวรมณี (เวนจากถือเอาของทีเ่ ขามไิ ดใหโดยอาการขโมย — Adinnàdànà ~:abstention from taking what is not given)3. กาเมสุมจิ ฺฉาจารา เวรมณี (เวนจากประพฤติผดิ ในกาม — Kàmesumicchàcàrà ~:abstention from sexual misconduct)ข. วจีกรรม 4 (การกระทําทางวาจา — Vacãkamma: verbal action)4. มุสาวาทา เวรมณี (เวนจากพดู เท็จ — Musàvàdà ~: abstention from false speech)5. ปสุณาย วาจาย เวรมณี (เวนจากพูดสอเสียด — Pisuõàya vàcàya ~: abstentionfrom tale-bearing)6. ผรุสาย วาจาย เวรมณี (เวนจากพดู คาํ หยาบ — Pharusàya vàcàya ~: abstentionfrom harsh speech)7. สมผฺ ปปฺ ลาปา เวรมณี (เวน จากพดู เพอ เจอ — Samphappalàpà ~: abstention from* เวรมณี แปลวา “เจตนาท่ที ําใหเวน” หรอื “เจตนาทีต่ รงขาม” เมือ่ จะแปลใหเตม็ ความ จึงควรแปลวา “การ กระทาํ ทวี่ างจากการคิดเบยี ดเบยี น” หรอื “การทําดีทตี่ รงขา มกบั การเบยี ดเบยี นชีวติ ” ดงั นเ้ี ปน ตน

[320] 234 พจนานุกรมพทุ ธศาสตรvain talk or gossip)ค. มโนกรรม 3 (การกระทาํ ทางใจ — Manokamma: mental action)8. อนภชิ ฺฌา (ความไมค ดิ เพง เล็งอยากไดข องเขา — Anabhijjhà: non-covetousness)9. อพยฺ าปาท (ความไมค ดิ รายตอ ผอู นื่ — Abyàpàda: non-illwill)10. สมฺมาทิฏ ิ (ความเหน็ ชอบ ถูกตองตามคลองธรรม — Sammàdiññhi: right view)D.III.269,290. ที.ปา.11/360/284; 471/337.[320] กุศลกรรมบถ 102 (ทางแหง กศุ ลกรรม, ทางทําความด,ี กรรมดอี ันเปนทางนําไปสคู วามสขุ ความเจริญหรือสุคติ — Kusala-kammapatha: wholesome course of action) วาโดยขอธรรมสมบูรณ (แปลตัดเอาแตใจความ) ดงั น้ีก. กายกรรม 3 (การกระทําทางกาย — bodily action)1. ปาณาติปาตํ ปหาย ฯเปฯ สพฺพปาณภตู หติ านกุ มฺป โหติ (ละการฆา การเบยี ดเบียน มีเมตตากรุณาชวยเหลือเก้ือกูลกัน — to avoid the destruction of life and be anxious forthe welfare of all lives)2. อทนิ นฺ าทานํ ปหาย ฯเปฯ อทินฺนํ เถยฺยสงฺขาตํ อนาทาตา โหติ (ละอทนิ นาทานเคารพกรรมสิทธใ์ิ นทรัพยสนิ ของผอู ืน่ — to avoid stealing, not violating the right toprivate property of others)3. กาเมสุมิจฺฉาจารํ ปหาย ฯเปฯ น จารติ ฺตํ อาปชฺชติ า โหติ (ละการประพฤติผดิ ในกามไมลว งละเมดิ ประเพณีทางเพศ — to avoid sexual misconduct, not transgressing sexmorals)ข. วจีกรรม 4 (การกระทาํ ทางวาจา — verbal action)4. มสุ าวาทํ ปหาย ฯเปฯ น สมฺปชานมุสา ภาสิตา โหติ (ละการพดู เทจ็ ไมย อมกลา วเท็จเพราะเหตุตนเอง ผอู น่ื หรือเพราะเห็นแกผ ลประโยชนใดๆ — to avoid lying, notknowingly speaking a lie for the sake of any advantage)5. ปสณุ ํ วาจํ ปหาย ฯเปฯ สมคคฺ กรณึ วาจํ ภาสติ า โหติ (ละการพดู คําสอเสียด ชวยสมานคนที่แตกราวกัน สงเสริมคนที่สมัครสมานกนั ชอบกลา วถอ ยคาํ ที่สรา งสามัคคี — toavoid malicious speech, unite the discordant, encourage the united and utterspeech that makes for harmony)6. ผรสุ ํ วาจํ ปหาย ฯเปฯ พหชุ นมนาปา ตถารปู  วาจํ ภาสิตา โหติ (ละคาํ หยาบ พูดแตคาํ สุภาพออ นหวาน — to avoid harsh language and speak gentle, loving, courteous,dear and agreeable words)7. สมผฺ ปปฺ ลาป ปหาย ฯเปฯ กาลวาที ภตู วาที อตถฺ วาที ธมมฺ วาที วนิ ยวาที นธิ านวตึวาจํ ภาสติ า โหติ ฯเปฯ (ละการพูดเพอ เจอ พูดแตคาํ จริง มเี หตุผล มีสารประโยชน ถูก

หมวด 10 235 [321]กาลเทศะ — to avoid frivolous talk; to speak at the right time, in accordance withfacts, what is useful, moderate and full of sense)ค. มโนกรรม 3 (การกระทาํ ทางใจ — mental action)8. อนภชิ ฺฌาลุ โหติ ฯเปฯ (ไมเพงเลง็ อยากไดข องผูอื่น — to be without covetousness)9. อพยฺ าปนฺนจติ ฺโต โหติ ฯเปฯ สขุ ี อตฺตานํ ปริหรนฺตตู ิ (ไมม ีจิตคดิ ราย คิดปรารถนาแตว า ขอใหส ัตวท ้งั หลายไมมเี วร ไมเ บียดเบยี น ไมมีทกุ ข ครองตนอยเู ปน สขุ เถดิ — to be freefrom ill-will, thinking, ‘Oh, that these beings were free from hatred and ill- will,and would lead a happy life free from trouble.’)10. สมมฺ าทฏิ  โิ ก โหติ ฯเปฯ สยํ อภิ ฺ า สจฉฺ กิ ตวฺ า ปเวเทนตฺ ตี ิ (มคี วามเหน็ ชอบ เชนวา ทานมผี ล การบชู ามผี ล ผลวบิ ากของกรรมดกี รรมชวั่ มี เปน ตน — to possess right viewsuch as that gifts, donations and offerings are not fruitless and that there areresults of wholesome and unwholesome actions) กศุ ลกรรมบถหมวดนี้ ในบาลีเรียกชือ่ หลายอยาง เชนวา ธรรมจริยา (ความประพฤติธรรม— righteous conduct) บา ง โสไจย (ความสะอาดหรอื เครอ่ื งชาํ ระตวั — cleansing) บา ง อรยิ -ธรรม (อารยธรรม, ธรรมของผเู จรญิ — virtues of a noble or civilized man) บา ง อรยิ มรรค(มรรคาอนั ประเสรฐิ — the noble path) บา ง สทั ธรรม (ธรรมด,ี ธรรมแท — good law; truelaw) บา ง สปั ปรุ สิ ธรรม (ธรรมของสตั บรุ ษุ — qualities of a good man) บา ง ฯลฯM.I.287; A.V.266,275–278. ม.ม.ู 12/485/523; อง.ฺ ทสก.24/165/287; 168–181/296–300.[321] อกุศลกรรมบถ 10 (ทางแหง อกศุ ลกรรม, ทางทาํ ความชว่ั , กรรมช่ัวอันเปน ทางนาํ ไปสคู วามเสอ่ื ม ความทุกข หรือทุคติ — Akusala-kammapatha: unwholesome courseof action)ก. กายกรรม 3 (การกระทําทางกาย — Kàyakamma: bodily action)1. ปาณาตบิ าต (การทาํ ชวี ติ ใหต กลว ง, ปลงชวี ติ — Pàõàtipàta: destruction of life; killing)2. อทนิ นาทาน (การถือเอาของที่เขามิไดใ ห โดยอาการขโมย, ลกั ทรพั ย — Adinnàdàna:taking what is not given; stealing)3. กาเมสุมิจฉาจาร (ความประพฤติผิดในกาม — Kàmesumicchàcàra: sexualmisconduct)ข. วจีกรรม 4 (การกระทําทางวาจา — Vacãkamma: verbal action)4. มุสาวาท (การพดู เทจ็ — Musàvàda: false speech)5. ปสุณาวาจา (วาจาสอเสยี ด — Pisuõàvàcà: tale-bearing; malicious speech)6. ผรสุ วาจา (วาจาหยาบ — Pharusavàcà: harsh speech)7. สัมผัปปลาปะ (คาํ พดู เพอ เจอ — Samphappalàpa: frivolous talk; vain talk; gossip)

[322] 236 พจนานุกรมพทุ ธศาสตรค. มโนกรรม 3 (การกระทาํ ทางใจ — Manokamma: mental action)8. อภชิ ฌา (เพง เลง็ อยากไดของเขา — Abhijjhà: covetousness; avarice)9. พยาบาท (คิดรายผูอืน่ — Byàpàda: illwill)10. มจิ ฉาทฏิ ฐิ (เหน็ ผดิ จากคลองธรรม — Micchàdiññhi: false view; wrong view)D.III.269,290; A.V.264. ที.ปา.11/359/284; 470/337; อง.ฺ ทสก.24/165/285.[322] เถรธรรม 10 (คุณธรรมท่ที าํ ใหพ ระเถระอยูส ําราญในท่ีทุกสถาน — Thera-dhamma: qualities which make for happy living of an elder monk)1. เถโร รตฺตฺู (เปน ผูใหญ บวชนาน รเู หน็ กจิ การ ทรงจําเร่ืองราวไวไ ดม าก — Theroratta¤¤å: to be an elder monk of long experience)2. สลี วา (มศี ลี เครงครัดในสกิ ขาบททั้งหลาย — Sãlavà: to be virtuous; to have goodconduct)3. พหุสสฺ โุ ต (เปนพหสู ูตทรงความรู — Bahussuto: to be much learned)4. สฺวาคตปาฏโิ มกโฺ ข (ทรงปาฏิโมกข รหู ลักแหงวนิ ัย แคลวคลอง ชํานชิ ํานาญ สามารถวนิ ิจฉัยไดดว ยดี — Svàgatapàñimokkho: to be well versed in the codes of discipline)5. อธกิ รณสมุปฺปาทวูปสมกสุ โล (ฉลาดในการระงับอธิกรณทีเ่ กดิ ขน้ึ — Adhikaraõa-samuppàdavåpasamakusalo: to be skilled in settling a legal question that hasarisen)6. ธมมฺ กาโม (เปน ผใู ครธรรม รักความรู รักความจริง รูจ กั รับฟงและรจู กั พูด ทาํ ใหเปนทีช่ น่ืชมสนทิ สนมสบายใจ นาเขาไปปรกึ ษาสนทนา และชอบศกึ ษา ยินดปี รีดาในหลกั ธรรมหลกั วนิ ัยที่ยง่ิ ๆ ขน้ึ ไป — Dhammakàmo: to love the Dhamma, be pleasant to consult andconverse with, and find joy in the advanced teaching of both the Doctrine andthe Discipline)7. สนฺตุฏโ  (เปน ผูส ันโดษดว ยปจ จัยส่ตี ามมตี ามได — Santuññho: to be content withwhatsoever supply of the four requisites he may get)8. ปาสาทิโก (จะไปจะมา มีอาการกริ ยิ านา เลอื่ มใส แมเขา ไปในละแวกบาน ก็สาํ รวมเปน อันดี— Pàsàdiko: to be charming and perfectly composed in his goings out andcomings in and in sitting in the house)9. ฌานลาภี (ไดแคลว คลองในฌาน 4 ทเ่ี ปน เครอื่ งอยูสุขสบายในปจ จุบัน — Jhànalàbhã: tobe able to gain pleasure of the Four Absorptions)10. วมิ ุตฺโต (บรรลุเจโตวมิ ุตติปญ ญาวมิ ุตติ สน้ิ อาสวะ — Vimutto: to have gained theDeliverance)A.V.201. องฺ.ทสก.24/98/215.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook