Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม Dictionary of Buddhism

พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม Dictionary of Buddhism

Published by Chalermkiat Deesom, 2016-09-20 09:51:19

Description: dictionary_of_buddhism_pra-muan-dhaama พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม

Keywords: พจนานุกรมพุทธศาสตร์,dictionary_of_buddhism

Search

Read the Text Version

หมวด 4 137 [177]ปรากฏของวบิ าก นอกจากอาศัยเหตุคือกรรมแลว ยงั ตอ งอาศยั ฐานคือ คติ อุปธิ กาละ และปโยคะ เปนปจ จัยประกอบดว ย กลา วคือ จะตอ งพจิ ารณา กรรมนยิ าม โดยสัมพนั ธก บั ปจจัยท้ังหลายที่เปนไปตามนิยามอ่ืนๆ ดวย เพราะนิยามหรือกฎธรรมชาติน้ันมีหลายอยาง มใิ ชมแี ตกรรมนยิ ามอยา งเดยี วดู [177] สมบตั ิ 4; [223] นยิ าม 5.Vbh.338. อภ.ิ วิ.35/840/458.[177] สมบัติ 4 (ขอ ด,ี ความเพียบพรอ ม, ความสมบรู ณแ หง องคป ระกอบตา งๆ ซง่ึ อํานวยแกก ารใหผ ลของกรรมดี และไมเปด ชองใหก รรมชั่วแสดงผล, สว นประกอบอาํ นวย ชว ยเสรมิกรรมดี — Sampatti: accomplishment; factors favourable to the ripening of goodKarma)1. คตสิ มบัติ (สมบตั แิ หงคติ, ถงึ พรอ มดวยคต,ิ คตใิ ห; ในชวงยาวหมายถงึ เกดิ ในกาํ เนิดอันอํานวย หรอื ทีเ่ กิดอนั เจริญ ในชว งสน้ั หมายถงึ ที่อยู ทไ่ี ป ทางดําเนินดี หรือทาํ ถกู เรือ่ ง ถูกท่ี คอืกรณีนน้ั สภาพแวดลอ มนน้ั สถานการณนั้น ถิ่นที่นนั้ ตลอดถงึ แนวทางดาํ เนินชวี ติ ขณะนนั้ เอื้ออาํ นวยแกก ารกระทําความดี หรอื การเจริญงอกงามของความดี ทําใหค วามดปี รากฏผลโดยงาย— Gati-sampatti: accomplishment of birth; fortunate birthplace; favourableenvironment, circumstances or career)2. อุปธสิ มบตั ิ (สมบตั แิ หงรา งกาย, ถึงพรอ มดว ยรูปกาย, รูปกายให; ในชว งยาวหมายถงึ มีกายสงา สวยงาม บุคลกิ ภาพดี ในชว งสนั้ หมายถึง รา งกายแข็งแรง มสี ขุ ภาพดี — Upadhi-sampatti: accomplishment of the body; favourable or fortunate body; favourablepersonality, health or physical conditions)3. กาลสมบตั ิ (สมบตั ิแหง กาล, ถงึ พรอ มดว ยกาล, กาลให; ในชว งยาว หมายถึง เกิดอยูในสมัยทีโ่ ลกมีความเจรญิ หรือบานเมอื งสงบสขุ มีการปกครองที่ดี คนในสงั คมอยใู นศีลธรรมสามคั คกี นั ยกยอ งคนดี ไมสง เสรมิ คนชวั่ ในชว งสน้ั หมายถงึ ทาํ ถกู กาลถูกเวลา — Kàla-sampatti: accomplishment of time; favourable or fortunate time)4. ปโยคสมบตั ิ (สมบัตแิ หง การประกอบ, ถงึ พรอมดวยการประกอบความเพียร, กจิ การให;ในชวงยาว หมายถงึ ฝกใฝใ นทางท่ถี ูก นําความเพยี รไปใชขวนขวายประกอบการท่ีถูกตองดงี ามมปี กตปิ ระกอบกจิ การงานทถ่ี กู ตอ ง ทาํ แตค วามดงี ามอยแู ลว ในชว งสน้ั หมายถงึ เมอ่ื ทาํ กรรมดี ก็ทาํ ใหถ งึ ขนาด ทาํ จริงจัง ใหครบถวนตามหลกั เกณฑ ใชว ิธีการที่เหมาะกับเรือ่ ง หรือทาํ ความดีตอเนื่องมาเปนพื้นแลว กรรมดีที่ทาํ เสริมเขา อีก จงึ เหน็ ผลไดงา ย — Payoga-sampatti:accomplishment of undertaking; favourable, fortunate or adequate undertaking) ดู [176] วบิ ตั ิ 4 2; [223] นยิ าม 5.Vbh.339. อภ.ิ ว.ิ 35/840/459.

[178] 138 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร[178] วิปลลาส หรือ วิปลาส 4 (ความรูเ หน็ คลาดเคล่ือน, ความรูเ ขาใจผดิ เพย้ี นจาก ความเปน จริง — Vipallàsa: distortion) วิปลาส มี 3 ระดับ คือ1. สัญญาวิปลาส (สญั ญาคลาดเคล่ือน, หมายรผู ิดพลาดจากความเปนจริง เชน คนตกใจเหน็เชอื กเปน งู — Sa¤¤à-vipallàsa: distortion of perception)2. จติ ตวปิ ลาส (จิตคลาดเคลอื่ น, ความคิดผิดพลาดจากความเปน จรงิ เชน คนบา คดิ เอาหญาเปนอาหาร — Citta-vipallàsa: distortion of thought)3. ทิฏฐวิ ปิ ลาส (ทฏิ ฐคิ ลาดเคลอ่ื น, ความเหน็ ผดิ พลาดจากความเปนจรงิ โดยเฉพาะเช่ือถอื ไปตามสญั ญาวปิ ลาส หรอื จติ ตวปิ ลาสนนั้ เชน มสี ญั ญาวปิ ลาสเหน็ เชอื กเปน งู แลว เกดิ ทฏิ ฐวิ ิปลาสเชื่อหรือลงความเหน็ วา ทบี่ รเิ วณนัน้ มีงชู มุ หรอื มีจิตตวิปลาสวา ทุกส่ิงทเ่ี กิดข้นึ ตอ งมผี ูส รา ง จงึเกดิ ทฏิ ฐวิ ปิ ลาสวา แผน ดนิ ไหวเพราะเทพเจา บนั ดาล — Diññhi-vipallàsa: distortion of views) วิปลาส 3 ระดับนี้ ทเ่ี ปนพนื้ ฐาน เปน ไปใน 4 ดา น คือ1. วิปลาสในสิ่งทไ่ี มเ ท่ียง วา เทย่ี ง (to regard what is impermanent as permanent)2. วิปลาสในส่งิ ท่เี ปนทกุ ข วา เปน สขุ (to regard what is painful as pleasant)3. วิปลาสในสง่ิ ทไี่ มเปน ตัวตน วา เปนตัวตน (to regard what is non-self as a self)4. วิปลาสในส่งิ ที่ไมง าม วา งาม (to regard what is foul as beautiful) A.II.52 องฺ.จตุกฺก.21/49/66[179] วุฒิ หรือ วุฑฒิธรรม 4 (ธรรมเปนเคร่ืองเจริญ, คณุ ธรรมทก่ี อใหเกิดความ เจรญิ งอกงาม — Vuóóhi-dhamma: virtues conducive to growth) 1. สัปปรุ สิ สังเสวะ (เสวนาสัตบุรุษ, คบหาทานผทู รงธรรมทรงปญญาเปนกลั ยาณมติ ร — Sappurisasa§seva: association with good and wise persons) 2. สัทธัมมัสสวนะ (สดับสัทธรรม, ใสใจเลาเรียนฟงอานหาความรูใหไดธรรมที่แท — Saddhammassavana: hearing the good teaching) 3. โยนิโสมนสิการ (ทําในใจโดยแยบคาย, รูจักคิดพิจารณาหาเหตุผลโดยถูกวิธี — Yonisomanasikàra: analytical reflection; wise attention) 4. ธัมมานธุ ัมมปฏปิ ตติ (ปฏิบัติธรรมสมควรแกธรรม, ปฏิบตั ธิ รรมถกู หลัก ใหธ รรมยอย คลอยแกธ รรมใหญ สอดคลอ งตามวตั ถปุ ระสงคข องธรรมทงั้ หลายที่สัมพนั ธกนั , ดาํ เนนิ ชีวติ ถกู ตอ งตามธรรม — Dhammànudhammapañipatti: practice in accord with the Dhamma, i.e. in such a systematic way that all levels and aspects of the Dhamma are in accord as regards their respective purposes; living in conformity with the Dhamma) ธรรมหมวดน้ี ในบาลที ่ีมา เรียกวา ธรรมทีเ่ ปน ไปเพ่อื ปญ ญาวุฒิ [ปญ ญาวุฒธิ รรม] คือ เพอ่ื ความเจรญิ งอกงามแหง ปญ ญา (Pa¤¤àvuóóhi: virtues conducive to growth in wisdom)อยา งไรก็ดี ในการเลา เรยี นธรรมในประเทศไทยที่สืบกนั มา ไดร ูจักธรรมหมวดนใ้ี นช่ือส้นั ๆ

หมวด 4 139 [180]วา วฒุ ิ 4 และอธบิ ายความหมายโดยมงุ ใหคนท่วั ไปเขา ใจและนาํ ไปใชป ระโยชนอยางกวา งๆ จงึจะแสดงความหมายแบบงา ยๆ ไวดวยดงั น้ี1. สปั ปุรสิ สงั เสวะ คบหาสตั บรุ ุษ, เสวนาทานผรู ูผทู รงคณุ ความดี มคี วามประพฤตชิ อบดว ยกาย วาจา ใจ2. สัทธมั มัสสวนะ ฟงสทั ธรรม, ต้งั ใจฟงคาํ สั่งสอนของทาน เอาใจใสเ ลา เรยี น3. โยนโิ สมนสิการ ทาํ ในใจโดยแยบคาย, รจู ักคิดพิจารณาใหเหน็ เหตผุ ลคณุ โทษในสง่ิ ท่ีไดเ ลาเรียนสดบั ฟง น้นั จบั สาระที่จะนําไปใชประโยชนได4. ธัมมานุธัมมปฏิปตติ ปฏิบตั ิธรรมสมควรแกธ รรม, นําสิง่ ทไ่ี ดเ ลา เรยี นและตริตรองเหน็แลวไปใชปฏบิ ตั ใิ หถกู ตอ งตามหลกั สอดคลองกับความมุงหมายของหลกั การน้นั ๆA.II.245. อง.ฺ จตุกกฺ .21/248/332.[180] เวสารัชชะ หรือ เวสารัชชญาณ 4 (ความไมครั่นครา ม, ความแกลวกลาอาจหาญ, พระญาณอนั เปน เหตุใหทรงแกลวกลา ไมครน่ั ครา ม — Vesàrajja: intrepidity;self-confidences) พระตถาคตเจา ไมท รงมองเหน็ วา ใครกต็ าม จักทกั ทว งพระองคไดโดยชอบธรรมในฐานะเหลาน้ี คือ (The Perfect One sees no grounds on which anyone can with justicemake the following charges:)1. สมั มาสัมพุทธปฏญิ ญา (ทานปฏิญญาวา เปนสัมมาสมั พุทธะ ธรรมเหลา นีท้ า นยังไมร ู —Sammàsambuddha-pañi¤¤à: You who claim to be fully self-enlightened are notfully enlightened in these things.)2. ขณี าสวปฏญิ ญา (ทา นปฏญิ ญาวา เปน ขณี าสพ อาสวะเหลา นขี้ องทา นยงั ไมส น้ิ — Khãõàsava-pañi¤¤à: You who claim to have destroyed all taints have not utterly destroyedthese taints.)3. อันตรายิกธรรมวาทะ (ทานกลาวธรรมเหลาใดวา เปน อันตราย ธรรมเหลา นัน้ ไมอ าจกออนั ตรายแกผ สู อ งเสพไดจ รงิ — Antaràyikadhammavàda: Those things which have beendeclared by you to be harmful have no power to harm him that follows them.)4. นยิ ยานกิ ธรรมเทศนา (ทานแสดงธรรมเพ่ือประโยชนอ ยา งใด ประโยชนอยา งนน้ั ไมเ ปนทางนําผูทําตามใหถึงความสิ้นทุกขโดยชอบจริง — Niyyànikadhammadesanà: TheDoctrine taught by you for the purpose of utter extinction of suffering does notlead him who acts accordingly to such a goal.) ดว ยเหตนุ ้ี พระองคจ งึ ทรงถงึ ความเกษม ถงึ ความไมม ภี ยั แกลว กลา ไมค รน่ั ครา มอยู (Sincethis is so, he abides in the attainment of security, of fearlessness and intrepidity.) เวสารัชชะ 4 นี้ คูก บั ทศพล หรอื ตถาคตพล 10 (เรียกกนั ทว่ั ๆ ไปวา ทศพลญาณ) เปน ธรรมทที่ ําใหพระตถาคต ทรงปฏญิ ญาฐานะแหงผูนาํ เปลง สีหนาทในบรษิ ทั ทง้ั หลาย ยงั พรหมจักรให

[181] 140 พจนานุกรมพุทธศาสตรเปน ไป (Endowed with these four kinds of intrepidity, the Perfect One claims theleader’s place, roars his lion’s roar in assemblies, and sets rolling the Divine Wheel.)ดู [323] ทศพลญาณ.M.I.71; A.II.8. ม.มู.12/167/144; องฺ.จตกุ ฺก.21/8/10.[181] ศรัทธา 4 (ความเชือ่ , ความเช่ือทีป่ ระกอบดวยเหตุผล — Saddhà: faith; belief;confidence)1. กัมมสัทธา (เช่อื กรรม, เช่อื การกระทํา, เชอ่ื กฎแหง กรรม, เช่ือวา กรรมมอี ยจู รงิ คือ เช่ือวาเม่ือทาํ อะไรโดยมเี จตนา คอื จงใจทาํ ทงั้ รู ยอมเปนกรรม คือ เปนความดคี วามชั่วมีขนึ้ ในตนเปนเหตุปจจัยกอใหเกิดผลดีผลรายสืบเนื่องตอไป การกระทําไมวางเปลา และเช่ือวาผลที่ตอ งการจะสาํ เรจ็ ไดด วยการกระทํา มิใชดว ยออนวอนหรือนอนคอยโชค เปนตน — Kamma-saddhà: belief in kamma; confidence in accordance with the law of action)2. วิปากสัทธา (เชอ่ื วบิ าก, เชือ่ ผลของกรรม, เชือ่ วา ผลของกรรมมีจริง คอื เช่ือวากรรมทท่ี ําแลว ตองมีผล และผลตอ งมเี หตุ ผลดีเกดิ จากกรรมดี ผลชว่ั เกดิ จากกรรมชัว่ — Vipàka-saddhà: belief in the consequences of actions)3. กัมมัสสกตาสทั ธา (เช่ือความท่สี ตั วม กี รรมเปนของของตน, เช่อื วาแตละคนเปนเจา ของ จะตอ งรับผิดชอบเสวยวิบากเปนไปตามกรรมของตน — Kammassakatà-saddhà: belief inthe individual ownership of action)4. ตถาคตโพธสิ ัทธา (เช่อื ความตรสั รูของพระพุทธเจา, ม่ันใจในองคพ ระตถาคต วา ทรงเปนพระสัมมาสมั พทุ ธะ ทรงพระคุณทั้ง 9 ประการ ตรัสธรรม บญั ญัตวิ นิ ัยไวด ว ยดี ทรงเปน ผูนําทางทีแ่ สดงใหเหน็ วา มนษุ ยคือเราทุกคนนี้ หากฝกตนดวยดี ก็สามารถเขา ถงึ ภมู ิธรรมสงู สุดบริสทุ ธ์ิหลุดพนได ดงั ทพ่ี ระองคไดทรงบําเพญ็ ไวเ ปนแบบอยา ง — Tathàgatabodhi-saddhà:confidence in the Enlightenment of the Buddha)ศรทั ธา 4 อยางน้ี มีมาในบาลเี ฉพาะขอท่ี 4 (ตถาคตโพธสิ ัทธา) อยา งเดยี ว (เชน องฺ.สตฺตก.23/4/3; A.III.3 เปน ตน) วาโดยใจความ ศรัทธา 3 ขอตน ยอมรวมลงในขอที่ 4 ไดท ้ังหมดอน่ึง ขอ 3 มขี อธรรมทม่ี าในบาลคี ลา ยกนั แตเ ปนเรอ่ื งของญาณ หรือปญ ญา ไมใชเร่ืองของศรทั ธา คอื กัมมัสสกตาญาณ (ปรีชาหยงั่ รูความทีส่ ัตวม ีกรรมเปนของตน — knowledge thataction is one’s own possession) เชน อภ.ิ วิ. 35/822/443; Vbh.328. สัทธา 4 น้ี เปนชุดสืบๆ กนั มา ที่คนไทยรจู กั กันมาก ซึง่ จัดรวมข้ึนภายหลงั แตศ รทั ธาทมี่ ีหลกั ฐานมาในคมั ภีร (ชน้ั อรรถกถา) ไดแก สัทธา 2 คือ1. กัมมผลสทั ธา (เชอ่ื กรรมและผลของกรรม, เชอื่ กฎแหง กรรม — Kammaphala-saddhà:belief in kamma and its result; confidence in accordance with the law of action)2. ตถาคตโพธสิ ทั ธา หรือ รตนตั ตยสทั ธา (เชื่อปญ ญาตรัสรูของตถาคต หรอื เชอ่ื พระรัตนตรัย — Tathàgatabodhi-saddhà: confidence in the Enlightenment of the

หมวด 4 141 [183] Buddha, or Ratanattaya-saddhà: confidence in the Triple Gem) จะเห็นวา ขอ 1 กมั มผลสทั ธา ในชุดสทั ธา 2 น้ี ครอบคลุมขอ 1, 2, 3 ในชุดสทั ธา 4 ทงั้ หมด และทานยังไดอธบิ ายไวดวยวา กมั มผลสัทธา เปน โลกิยสัทธา สว น รตนตั ตยสทั ธา ถา ถกู ตองจรงิ แทเ หน็ ประจักษด วยปญ ญามัน่ คงไมหวนั่ ไหว เปนโลกตุ ตรสทั ธา (ท้งั นี้ พงึ ดู อ.ุ อ. 110, 235; อติ ิ.อ.74, 353; เถร.อ.1/490; จริยา.อ.336)[182] สติปฏฐาน 4 (ทตี่ ง้ั ของสต,ิ การตง้ั สตกิ าํ หนดพจิ ารณาสง่ิ ทง้ั หลายใหร เู หน็ ตามความ เปน จรงิ คอื ตามทสี่ งิ่ นน้ั ๆ มนั เปน ของมนั — Satipaññhàna: foundations of mindfulness) 1. กายานปุ สสนาสติปฏฐาน (การตัง้ สตกิ ําหนดพจิ ารณากาย ใหรเู ห็นตามเปนจริงวา เปน แตเพยี งกาย ไมใ ชสตั วบ ุคคลตัวตนเราเขา — Kàyànupassanà-~: contemplation of the body; mindfulness as regards the body) ทา นจําแนกวิธีปฏิบตั ไิ วหลายอยาง คอื อานาปานสติ กําหนดลมหายใจ 1 อริ ยิ าบถ กาํ หนดรทู ันอริ ิยาบถ 1 สัมปชัญญะ สรา ง สัมปชญั ญะในการกระทาํ ความเคลือ่ นไหวทุกอยาง 1 ปฏกิ ูลมนสิการ พจิ ารณาสว นประกอบอนั ไมส ะอาดทงั้ หลายท่ปี ระชมุ เขาเปน รา งกายน้ี 1 ธาตุมนสกิ าร พจิ ารณาเห็นรางกายของตนโดยสัก วา เปนธาตุแตล ะอยา งๆ 1 นวสวี ถิกา พจิ ารณาซากศพในสภาพตา งๆ อนั แปลกกนั ไปใน 9 ระยะ เวลา ใหเห็นคติธรรมดาของรางกาย ของผูอ ื่นเชน ใด ของตนกจ็ ักเปนเชน นน้ั 1 2. เวทนานุปสสนาสติปฏฐาน (การตั้งสติกาํ หนดพิจารณาเวทนา ใหรเู ห็นตามเปนจรงิ วา เปน แตเ พยี งเวทนา ไมใ ชส ตั วบ คุ คลตวั ตนเราเขา — Vedanànupassanà-~: contemplation of feelings; mindfulness as regards feelings) คือ มีสติอยพู รอมดวยความรูชดั เวทนาอันเปน สขุ กด็ ี ทุกขกด็ ี เฉยๆ ก็ดี ท้ังท่ีเปน สามิส และเปนนริ ามสิ ตามท่เี ปน ไปอยใู นขณะนน้ั ๆ 3. จติ ตานุปส สนาสตปิ ฏฐาน (การตั้งสติกาํ หนดพจิ ารณาจิต ใหรเู หน็ ตามเปนจริงวา เปนแต เพียงจิต ไมใ ชสตั วบคุ คลตัวตนเราเขา — Cittànupassanà-~: contemplation of mind; mindfulness as regards mental conditions) คือ มีสติอยพู รอ มดว ยความรูช ดั จติ ของตนที่ มีราคะ ไมม รี าคะ มโี ทสะ ไมม ีโทสะ มีโมหะ ไมมีโมหะ เศราหมองหรอื ผองแผว ฟุงซานหรอื เปน สมาธิ ฯลฯ อยา งไรๆ ตามท่ีเปน ไปอยใู นขณะนั้นๆ 4. ธมั มานปุ ส สนาสตปิ ฏ ฐาน (การตง้ั สตกิ าํ หนดพจิ ารณาธรรม ใหร เู หน็ ตามเปน จรงิ วา เปน แต เพยี งธรรม ไมใ ชส ตั วบ คุ คลตวั ตนเราเขา — Dhammànupassanà-~: contemplation of mind- objects; mindfulness as regards ideas) คอื มีสตอิ ยูพ รอมดวยความรูชัดธรรมทั้งหลาย ไดแ ก นวิ รณ 5 ขนั ธ 5 อายตนะ 12 โพชฌงค 7 อรยิ สัจจ 4 วาคอื อะไร เปน อยา งไร มใี นตน หรือไม เกดิ ข้นึ เจริญบริบรู ณ และดับไปไดอยางไร เปนตน ตามที่เปนจรงิ ของมันอยางนนั้ ๆ.D.II.290–315; M.I.55–63. ท.ี ม.10/273–300/325–351; ม.มู.12/131–152/103–127.[183] สมชีวิธรรม 4 (หลักธรรมของคชู ีวติ , ธรรมทจ่ี ะทาํ ใหค ูส มรสมชี ีวิตสมหรอืสมํ่าเสมอกลมกลนื กัน อยูครองกันยืดยาว — Samajãvidhamma: qualities which make acouple well matched)

[184] 142 พจนานกุ รมพุทธศาสตร1. สมสัทธา (มีศรทั ธาสมกนั — Sama-saddhà: to be matched in faith)2. สมสีลา (มศี ลี สมกัน — Sama-sãlà: to be matched in moral conduct)3. สมจาคา (มจี าคะสมกัน — Sama-càgà: to be matched in generosity)4. สมปญญา (มปี ญ ญาสมกนั — Sama-pa¤¤à: to be matched in wisdom)A.II.60. อง.ฺ จตุกฺก.21/55/80.[184] สมาธิภาวนา 4 (การเจรญิ สมาธิ, วิธฝี ก สมาธิแบบตางๆ จําแนกตามวัตถปุ ระสงค— Samàdhi-bhàvanà: ways or kinds of concentration-development)1. สมาธิภาวนาที่เปนไปเพอ่ื ทิฏฐธรรมสุขวหิ าร (คือเพอ่ื การอยเู ปนสขุ ในปจจบุ ัน เชน ใชเปนเครือ่ งพักผอ นจิต หาความสขุ ยามวาง เปนตน — concentration-development that isconducive to happy living in the present)2. สมาธิภาวนาท่ีเปน ไปเพื่อการไดญาณทสั สนะ (concentration-development thatis conducive to the acquisition of knowledge and insight)3. สมาธภิ าวนาท่เี ปนไปเพ่ือสติและสัมปชัญญะ (concentration-development thatis conducive to mindfulness and full comprehension)4. สมาธิภาวนาที่เปนไปเพื่ออาสวักขยะ คือความสิ้นอาสวะ (concentration-development that is conducive to the destruction of cankers)D.III.222; A.II.44. ท.ี ปา.11/233/233; องฺ.จตุกกฺ .21/41/57.[185] สังขาร 4 (คาํ วา สงั ขาร ท่ีใชในความหมายตา งๆ — Saïkhàra: applications ofthe word formation)1. สงั ขตสงั ขาร (สงั ขารคือสังขตธรรม ไดแ กส ิ่งทัง้ ปวงท่ีเกดิ จากปจจัยปรงุ แตง รูปธรรมก็ตามนามธรรมก็ตาม ไดใ นคําวา อนิจจฺ า วต สงขฺ ารา เปน ตน — Saïkhata-saïkhàra: formationconsisting of the formed)2. อภสิ งั ขตสงั ขาร (สงั ขารคอื สง่ิ ทกี่ รรมแตง ขนึ้ ไดแ กร ปู ธรรมกต็ าม นามธรรมกต็ าม ในภมู สิ ามทเี่ กดิ แตก รรม — Abhisaïkhata-saïkhàra: formation consisting of the karma-formed)3. อภิสังขรณกสังขาร (สังขารคือกรรมท่ีเปนตัวการปรุงแตง ไดแก กุศลเจตนา และอกศุ ลเจตนาท้ังปวงในภูมิสาม ไดใ นคําวา สังขาร ตามหลกั ปฏจิ จสมุปบาท คือ [119] สังขาร 3หรือ [129] อภสิ งั ขาร 3 — Abhisaïkharaõaka-saïkhàra: formation consisting in theact of kamma-forming)4. ปโยคาภิสงั ขาร (สงั ขารคอื การประกอบความเพยี ร ไดแกกําลังความเพยี รทางกายกต็ ามทางใจกต็ าม — Payogàbhisaïkhàra: formation consisting in exertion or impetus)Vism.527. วิสทุ ธฺ .ิ 3/120.

หมวด 4 143 [187][186] สังคหวัตถุ 4 (ธรรมเครอ่ื งยดึ เหนี่ยว คอื ยึดเหนี่ยวใจบุคคล และประสานหมชู น ไวในสามคั ค,ี หลกั การสงเคราะห — Saïgahavatthu: bases of social solidarity; basesof sympathy; acts of doing favours; principles of service; virtues making forgroup integration and leadership)1. ทาน (การให คอื เอือ้ เฟอ เผอื่ แผ เสยี สละ แบง ปน ชวยเหลอื กันดวยส่งิ ของ ตลอดถงึ ใหความรแู ละแนะนาํ สั่งสอน — Dàna: giving; generosity; charity)2. ปยวาจา หรอื เปยยวัชชะ (วาจาเปน ทร่ี กั วาจาดดู ดม่ื นํา้ ใจ หรือวาจาซาบซงึ้ ใจ คือกลา วคาํสุภาพไพเราะออนหวานสมานสามัคคี ใหเกิดไมตรีและความรักใครนับถือ ตลอดถึงคาํ แสดงประโยชนป ระกอบดว ยเหตุผลเปน หลักฐานจงู ใจใหน ิยมยนิ ดี — Piyavàcà: kindly speech;convincing speech)3. อตั ถจรยิ า (การประพฤตปิ ระโยชน คอื ขวนขวายชว ยเหลอื กจิ การ บาํ เพญ็ สาธารณประโยชนตลอดถึงชวยแกไขปรับปรุงสงเสรมิ ในทางจรยิ ธรรม — Atthacariyà: useful conduct;rendering services; life of service; doing good)4. สมานตั ตตา* (ความมีตนเสมอ** คือ ทําตนเสมอตนเสมอปลาย ปฏบิ ตั ิสมาํ่ เสมอกันในชนทั้งหลาย และเสมอในสุขทุกขโดยรวมรับรูรวมแกไข ตลอดถึงวางตนเหมาะแกฐานะ ภาวะบคุ คล เหตกุ ารณแ ละสิ่งแวดลอม ถกู ตอ งตามธรรมในแตล ะกรณี — Samànattatà: evenand equal treatment; equality consisting in impartiality, participation andbehaving oneself properly in all circumstances)ดู [11] ทาน 21; [229] พละ 4.D.III.152,232; A.II.32,248; A.IV.218,363. ท.ี ปา.11/140/167; 267/244; องฺ.จตกุ ฺก.21/32/42; 256/335; องฺ.อฏ ก.23/114/222; อง.ฺ นวก.23/209/377.[187] สังคหวัตถุของผูครองแผนดิน หรอื ราชสังคหวัตถุ 4(สังคหวัตถุของพระราชา, ธรรมเครื่องยึดเหน่ียวจิตใจประชาชน, หลักการสงเคราะหประชาชนของนักปกครอง — Ràja-saïgahavatthu: a ruler’s bases of sympathy; royal acts ofdoing favours: virtues making for national integration)1. สัสสเมธะ (ความฉลาดในการบํารุงพืชพันธุธัญญาหาร สงเสริมการเกษตร —Sassamedha: shrewdness in agricultural promotion)2. ปรุ สิ เมธะ (ความฉลาดในการบาํ รงุ ขา ราชการ รจู กั สง เสรมิ คนดมี คี วามสามารถ — Purisa-medha: shrewdness in the promotion and encouragement of government officials)3. สมั มาปาสะ (ความรูจกั ผกู ผสานรวมใจประชาชนดวยการสงเสรมิ อาชีพ เชน ใหคนจนกูยมื* ในปกรณฝ ายสันสกฤตของมหายาน เปน สมานารถฺ ตา (= บาลี สมานตฺถตา) แปลวา “ความเปน ผมู ีจดุ หมาย รว มกนั หรือความคาํ นึงประโยชนอนั รว มกัน” (having common aims; feeling of common good)**คําแปลน้ีถอื ตามทแ่ี ปลกันมาเดิม แตต ามคาํ อธิบายในคัมภรี  นา จะแปลวา “ความมีตนรว ม” (participation) โดยเฉพาะมงุ เอารว มสขุ รว มทุกข

[188] 144 พจนานุกรมพุทธศาสตร ทุนไปสรางตัวในพาณิชยกรรม เปน ตน — Sammàpàsa: “a bond to bind men’s hearts”; act of doing a favour consisting in vocational promotion as in commercial investment) 4. วาชเปยะ หรือ วาจาเปยยะ (ความมีวาจาอนั ดดู ด่ืมน้าํ ใจ นาํ้ คําควรด่ืม คอื รจู กั พูด รจู กั ปราศรัย ไพเราะ สุภาพนุมนวล ประกอบดวยเหตผุ ล มปี ระโยชน เปนทางแหง สามัคคี ทาํ ใหเกดิ ความเขา ใจอนั ดี และความนยิ มเช่อื ถอื — Vàjapeya: affability in address; kindly and convincing speech) ราชสังคหวตั ถุ 4 ประการนี้ เปนคาํ สอนในพระพทุ ธศาสนา สวนทแี่ กไขปรบั ปรุงคาํ สอนใน ศาสนาพราหมณ โดยกลาวถึงคาํ ศัพทเดียวกัน แตช้ีถึงความหมายอันชอบธรรมทต่ี างออกไป ธรรมหมวดน้ี วาโดยศพั ท ตรงกบั มหายญั 5 (the five great sacrifices) ของพราหมณ คอื 1. อัสสเมธะ (การฆามา บชู ายญั — Assamedha: horse sacrifice) 2. ปรุ สิ เมธะ (การฆาคนบูชายญั — Purisamedha: human sacrifice) 3. สมั มาปาสะ (ยญั อนั สรา งแทน บชู าในทขี่ วา งไมล อดบว งไปหลน ลง — Sammàpàsa: peg- thrown site sacrifice) 4. วาชเปยะ (การดมื่ เพอื่ พลงั หรอื เพอ่ื ชยั — Vàjapeya: drinking of strength or of victory) 5. นิรคั คฬะ หรอื สรรพเมธะ (ยญั ไมม ลี ิ่มสลกั คือ ทัว่ ไปไมมีขีดขนั้ จํากดั , การฆาครบทกุ อยางบูชายญั — Niraggaëa or Sabbamedha: the bolts-withdrawn sacrifice; universal sacrifice) มหายญั 5 ทพ่ี ระราชาพงึ บชู าตามหลกั ศาสนาพราหมณน ้ี พระพทุ ธศาสนาสอนวา เดมิ ทเี ดยี ว เปน หลกั การสงเคราะหท ด่ี งี าม แตพ ราหมณส มยั หนงึ่ ดดั แปลงเปน การบชู ายญั เพอื่ ผลประโยชนใน ทางลาภสกั การะแกต น ความหมายที่พึงตองการซง่ึ พระพทุ ธศาสนาสง่ั สอน 4 ขอแรก มีดังกลาว แลวขางตน สวนขอ ท่ี 5 ตามหลกั สังคหวัตถุ 4 นี้วาเปน ผล แปลวา ไมมลี มิ่ กลอน หมายความวา บานเมืองจะสงบสุขปราศจากโจรผูราย ไมตองระแวงภยั บา นเรอื นไมตองลงกลอน S.I.76; A.II.42; IV.151; It.21; Sn.303; SA.I.145; SnA.321. สํ.ส.15/351/110; องฺ.จตุกฺก.21/39/54; องฺ.อฏ ก.23/91/152; ขุ.อิต.ิ 25/205/246; ข.ุ ส.ุ 25/323/383; สํ.อ.1/169; อติ ิ.อ.123.[188] สังเวชนียสถาน 4 (สถานทเี่ ปน ทต่ี งั้ แหง ความสงั เวช, สถานทเี่ นอื่ งดว ยพทุ ธประวตั ิ ซ่ึงพุทธศาสนิกชนควรไปดูเพื่อเปนเครื่องเตือนใจใหเกิดความไมประมาท จะไดเรงขวนขวาย ประกอบกุศลกรรม และสําหรบั ผูศรัทธาจะไดจารกิ ไปชม เพ่อื เพมิ่ พูนปสาทะ กระทาํ สกั การะ บูชา อันจะนําใหเ ขา ถึงสคุ ตโิ ลกสวรรค — Sa§vejanãyaññhàna: places apt to cause the feeling of urgency; places made sacred by the Buddha’s association; places to be visited with reverence; the four Buddhist Holy Places) 1. ชาตสถาน (ทพี่ ระพทุ ธเจา ประสตู ิ คอื อทุ ยานลมุ พนิ ี — Jàtaññhàna: birthplace of the Buddha)

หมวด 4 145 [189]2. อภสิ มั พทุ ธสถาน (ทพ่ี ระพทุ ธเจา ตรสั รอู นตุ รสมั มาสมั โพธญิ าณ คอื ควงโพธท์ิ ตี่ าํ บลพทุ ธคยา— Abhisambuddhaññhàna: place where the Buddha attained the Enlightenment)3. ธัมมจักกปั ปวตั ตนสถาน (ทพี่ ระพทุ ธเจา ทรงแสดงปฐมเทศนา ธัมมจกั กปั ปวตั ตนสตู รคอื ท่ปี าอสิ ปิ ตนมฤคทายวัน แขวงเมอื งพาราณสี เรยี กปจจุบนั วาสารนาถ — Dhamma-cakkappavattanaññhàna: place where the Buddha preached the First Sermon)4. ปรินิพพตุ สถาน (ที่พระพุทธเจาเสดจ็ ปรินิพพาน คือ ที่สาลวโนทยาน เมอื งกุสนิ ารา —Parinibbutaññhàna: place where the Buddha passed away into Parinibbàna)D.II.140. ที.ม.10/131/163.[189] สัมปชัญญะ 4 (ความรูตัว, ความรตู วั ทวั่ พรอม, ความรูช ดั , ความรทู ่ัวชดั , ความตระหนกั — Sampaja¤¤a: clear comprehension; clarity of consciousness; awareness)1. สาตถกสมั ปชญั ญะ (รูชัดวา มปี ระโยชน หรอื ตระหนักในจดุ หมาย คอื รูตัวตระหนักชัดวาส่ิงที่กระทําน้ันมีประโยชนตามความมุงหมายอยางไรหรือไม หรือวาอะไรควรเปนจุดหมายของการกระทาํ นั้น เชน ผเู จรญิ กรรมฐาน เมื่อจะไป ณ ท่ีใดทห่ี น่ึง มใิ ชสกั วารูส กึ หรือนกึ ขึ้นมาวา จะไป กไ็ ป แตต ระหนกั วา เมือ่ ไปแลวจะไดปติสขุ หรอื ความสงบใจ ชวยใหเ กิดความเจริญโดยธรรมจึงไป โดยสาระคอื ความรตู ระหนักทจ่ี ะเลือกทาํ สงิ่ ทีต่ รงกบั วตั ถุประสงคหรืออาํ นวยประโยชนท่ีมุง หมาย — Sàtthaka-sampaja¤¤a: clear comprehension of purpose)2. สปั ปายสมั ปชญั ญะ (รชู ัดวา เปน สัปปายะ หรือตระหนกั ในความเหมาะสมเกือ้ กลู คอื รูตัวตระหนกั ชดั วา สงิ่ ของนนั้ การกระทํานั้น ท่ที ี่จะไปนนั้ เหมาะกนั กบั ตน เกือ้ กลู แกส ขุ ภาพ แกกจิเอ้ือตอการสละละลดแหง อกุศลธรรมและการเกดิ ขน้ึ เจริญงอกงามแหง กศุ ลธรรม จงึ ใช จึงทาํจงึ ไป หรือเลือกใหเหมาะ เชน ภกิ ษุใชจีวรท่ีเหมาะกับดินฟา อากาศและเหมาะกบั ภาวะของตนท่ีเปนสมณะ ผเู จริญกรรมฐานจะไปฟงธรรมอันมปี ระโยชนใ นที่ชุมนมุ ใหญ แตรวู ามีอารมณซงึ่ จะเปน อันตรายตอกรรมฐาน ก็ไมไป โดยสาระคือ ความรูตระหนักทจ่ี ะเลอื กทาํ แตส ่งิ ท่เี หมาะสบายเออ้ื ตอ กาย จติ ชวี ติ กจิ พนื้ ภมู ิ และภาวะของตน — Sappàya-~: clear comprehension ofsuitability)3. โคจรสมั ปชญั ญะ (รชู ดั วา เปน โคจร หรอื ตระหนกั ในแดนงานของตน คอื รตู วั ตระหนกั ชดั อยูตลอดเวลาถงึ สงิ่ ทเ่ี ปน กจิ หนา ท่ี เปน ตวั งาน เปน จดุ ของเรอื่ งทตี่ นกระทาํ ไมว า จะไปไหนหรอื ทาํ อะไรอนื่ กร็ ตู ระหนกั อยู ไมป ลอ ยใหเ ลอื นหายไป มใิ ชว า พอทาํ อะไรอนื่ หรอื ไปพบกบั สงิ่ อน่ื เรอ่ื งอน่ื ก็เตลดิ เพรดิ ไปกบั สง่ิ นนั้ เรอื่ งนนั้ เปน นกบนิ ไมก ลบั รงั โดยเฉพาะการไมท งิ้ อารมณก รรมฐาน ซงึ่ รวมถงึ การบาํ เพญ็ จติ ภาวนาและปญ ญาภาวนาในกจิ กรรมทกุ อยา งในชวี ติ ประจาํ วนั โดยสาระคอื ความรูตระหนกั ทจี่ ะคมุ กายและจติ ไวใ หอ ยใู นกจิ ในประเดน็ หรอื แดนงานของตน ไมใ หเ ขว เตลดิ เลอ่ื นลอย หรอื หลงลมื ไปเสยี — Gocara-~: clear comprehension of the domain)4. อสมั โมหสัมปชญั ญะ (รูชดั วาไมห ลง หรอื ตระหนกั ในตัวเน้อื หาสภาวะ ไมหลงใหลฟนเฟอ น คือเม่อื ไปไหน ทําอะไร กร็ ตู วั ตระหนกั ชัดในการเคลือ่ นไหว หรือในการกระทาํ นั้น และใน

[190] 146 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตรสง่ิ ท่กี ระทํานั้น ไมห ลง ไมสบั สนเงอะงะฟน เฟอน เขา ใจลว งตลอดไปถึงตวั สภาวะในการกระทาํ ท่ีเปน ไปอยนู ้ัน วา เปน เพยี งการประชุมกันขององคประกอบและปจจัยตางๆ ประสานหนนุ เน่ืองกันขึ้นมาใหป รากฏเปนอยางน้ัน หรือสําเรจ็ กจิ นนั้ ๆ รทู นั สมมติ ไมห ลงสภาวะเชน ยดึ เห็นเปน ตวั ตนโดยสาระคือ ความรูตระหนัก ในเรอ่ื งราว เนือ้ หา สาระ และสภาวะของสิง่ ท่ตี นเกี่ยวของหรือกระทําอยูนั้น ตามที่เปนจริงโดยสมมติสัจจะ หรือตลอดถึงโดยปรมัตถสัจจะ มิใชพ รวดพราดทาํ ไป หรอื สักวา ทํา มใิ ชทาํ อยา งงมงายไมรูเ รอ่ื ง และไมถูกหลอกใหล มุ หลงหรอื เขาใจผิดไปเสียดว ยความพรามัว หรอื ดวยลกั ษณะอาการภายนอกที่ยัว่ ยุ หรือเยา ยวนเปน ตน — Asammoha-~: clear comprehension of non-delusion, or of reality)DA.I.183; VbhA.347. ที.อ.1/228; วิภงคฺ .อ.451.[190] สัมปทา หรอื สัมปทาคุณ 4 (ความถงึ พรอม, ความพรง่ั พรอ มสมบรู ณแ หงองคประกอบตางๆ ซง่ึ ทําใหท านท่ีบริจาคแลว เปน ทานอันยอดเยยี่ ม มผี ลมาก อาจเหน็ ผลทนั ตา— Sampadà: successful attainment; accomplishment; excellence)1. วตั ถสุ มั ปทา (ถงึ พรอ มดวยวตั ถุ คือบุคคลผเู ปนทีต่ ้งั รองรับทาน เชน ทกั ขิไณยบุคคลเปนพระอรหันต หรอื พระอนาคามี ผูเ ขานโิ รธสมาบตั ไิ ด — Vatthu-sampadà: excellence of thefoundation for merit)2. ปจ จัยสัมปทา (ถงึ พรอมดว ยปจจัย คอื สิ่งที่จะใหเ ปน ของบริสุทธ์ิ ไดม าโดยชอบธรรม —Paccaya-sampadà: excellence of the gift)3. เจตนาสมั ปทา (ถงึ พรอมดวยเจตนา คอื มเี จตนาในการใหส มบรู ณค รบ 3 กาล ทัง้ กอ นใหขณะให และหลังให จติ โสมนัส ประกอบดว ยปญ ญา — Cetanà-sampadà: excellence ofthe intention)4. คุณาตเิ รกสัมปทา (ถึงพรอมดวยคณุ สว นพิเศษ คอื ปฏคิ าหกมคี ณุ สมบัติพิเศษ เชนทักขไิ ณยบคุ คลนน้ั ออกจากนิโรธสมาบตั ิใหมๆ — Guõàtireka-sampadà: excellence ofextra virtue)DhA.III.93. ธ.อ.5/88.[191] สัมปรายิกัตถสังวัตตนิกธรรม 4 (ธรรมทเี่ ปน ไปเพอื่ ประโยชนเ บอ้ื งหนา ,ธรรมเปน เหตใุ หส มหมาย, หลกั ธรรมอนั อาํ นวยประโยชนส ขุ ขนั้ สงู ขนึ้ ไป — Samparàyikattha-sa§vattanika-dhamma: virtues conducive to benefits in the future; virtues leadingto spiritual welfare)1. สัทธาสมั ปทา (ถงึ พรอ มดว ยศรัทธา — Saddhà-sampadà: to be endowed withfaith; accomplishment of confidence)2. สลี สมั ปทา (ถึงพรอมดว ยศลี — Sãla-sampadà: to be endowed with morality;accomplishment of virtue)

หมวด 4 147 [193]3. จาคสมั ปทา (ถงึ พรอ มดวยการเสียสละ — Càga-sampadà: to be endowed withgenerosity; accomplishment of charity)4. ปญญาสมั ปทา (ถึงพรอมดวยปญ ญา — Pa¤¤à-sampadà: to be endowed withwisdom; accomplishment of wisdom) ธรรมหมวดนี้ เรยี กกนั สนั้ ๆ วา สมั ปรายกิ ตั ถะ หรอื เรยี กตดิ ปากอยา งไทยๆ วา สมั ปราย-ิกตั ถประโยชน (อตั ถะ กแ็ ปลวา “ประโยชน” จงึ เปน คาํ ซ้าํ ซอนกัน)A.IV.284. องฺ.อฏ ก.23/144/292.[,,,] สัมมัปปธาน 4 ดู [156] ปธาน 4.[192] สุขของคฤหัสถ หรือ คิหิสุข หรอื กามโภคีสุข 4 (สุขของชาวบาน,สุขท่ีชาวบานควรพยายามเขาถึงใหไดสมํ่าเสมอ, สุขอันชอบธรรมที่ผูครองเรือนควรมี —Gihisukha: house-life happiness; deserved bliss of a layperson)1. อตั ถสิ ขุ (สุขเกิดจากความมีทรัพย คอื ความภูมิใจ เอิบอม่ิ ใจ วาตนมีโภคทรัพยที่ไดม าดวยน้ําพักนาํ้ แรงความขยันหมั่นเพียรของตน และโดยชอบธรรม — Atthisukha: bliss ofownership; happiness resulting from economic security)2. โภคสขุ (สุขเกดิ จากการใชจ ายทรัพย คอื ความภูมิใจ เอิบอม่ิ ใจ วาตนไดใชทรพั ยท ่ไี ดม าโดยชอบน้ัน เลย้ี งชพี เลย้ี งผูควรเลี้ยง และบาํ เพญ็ ประโยชน — Bhogasukha: bliss ofenjoyment; enjoyment of wealth)3. อนณสุข (สขุ เกดิ จากความไมเ ปน หน้ี คือ ความภมู ใิ จ เอิบอม่ิ ใจ วาตนเปนไท ไมมีหนีส้ นิ ติดคางใคร — Anaõasukha: bliss of debtlessness; happiness on account of freedomfrom debt)4. อนวชั ชสขุ (สุขเกิดจากความประพฤติไมม โี ทษ คือ ความภมู ิใจ เอิบอ่มิ ใจ วาตนมีความประพฤตสิ ุจริต ไมบกพรองเสียหาย ใครๆ ติเตยี นไมไ ด ทัง้ ทางกาย ทางวาจา และทางใจ —Anavajjasukha: bliss of blamelessness; happiness on account of leading a fault-less life)บรรดาสุข 4 อยางนี้ อนวชั ชสุข มีคา มากทสี่ ดุA.II.69. องฺ.จตกุ ฺก.21/62/90.[,,,] สุหทมิตร 4 ดู [169] สุหทมิตร 4.[193] โสตาปตติยังคะ 41 (องคค ณุ เครอ่ื งบรรลุโสดา, องคประกอบของการบรรลุโสดา, คณุ สมบตั ิทที่ าํ ใหเ ปนพระโสดาบัน — Sotàpattiyaïga: factors of Stream-Entry)1. สัปปรุ สิ สงั เสวะ (เสวนาสตั บรุ ษุ , คบหาทา นผทู รงธรรมทรงปญญาเปนกลั ยาณมติ ร —Sappurisasa§seva: association with good and wise persons)

[193] 148 พจนานุกรมพุทธศาสตร2. สัทธัมมัสสวนะ (สดับสัทธรรม, ใสใจเลาเรียนฟงอานหาความรูใหไดธรรมที่แท —Saddhammassavana: hearing the good teaching)3. โยนิโสมนสิการ (ทําในใจโดยแยบคาย, รูจักคิดพิจารณาหาเหตุผลโดยถูกวิธี —Yonisomanasikàra: analytical reflection; wise attention)4. ธัมมานธุ มั มปฏิปต ติ (ปฏิบตั ิธรรมสมควรแกธ รรม, ปฏิบัติธรรมถูกหลกั ใหธ รรมยอยคลอ ยแกธ รรมใหญ สอดคลอ งตามวตั ถปุ ระสงคของธรรมท้ังหลายท่ีสัมพนั ธก นั , ปฏิบตั ิธรรมน้ันๆ ใหสอดคลองพอดีตามขอบเขตความหมายและวัตถปุ ระสงคท ส่ี อดคลอ งกบั ธรรมขอ อนื่ ๆกลมกลนื กันในหลักใหญท ่เี ปนระบบทัง้ หมด, ดําเนนิ ชวี ิตถกู ตอ งตามธรรม — Dhammànu-dhammapañipatti: practice in accord with the Dhamma, i.e. in such a systematicway that all levels and aspects of the Dhamma are in accord as regards theirrespective purposes; living in conformity with the Dhamma)โสตาปต ตยิ งั คะ 4 หมวดน้ี ตรงกับหลักท่เี รยี กวา [ ],,, ปญญาวุฒธิ รรม 4 หรือ [179] วุฒธิ รรม 4ธรรม 4 ประการนี้ มใิ ชเ พียงเปนโสตาปตติยังคะ ทจ่ี ะใหบรรลโุ สดาปตตผิ ล คือเปนพระโสดาบนัเทา น้นั พระพทุ ธเจาตรสั วา ธรรม 4 ประการน้ี เมอ่ื เจรญิ ปฏบิ ตั ิ ทําใหม าก ยอ มเปน ไปเพ่อื การบรรลุอรยิ ผลไดท กุ ขนั้ จนถึงอรหัตตผล (ส.ํ ม.19/1634–7/516–7 = S.V.411)D.III.227; S.V.347, 404. ที.ปา.11/240/239; สํ.ม.19/1428/434; 1620/509.[194] โสตาปตติยังคะ 42 (องคค ุณเครอ่ื งบรรลุโสดา, คุณสมบัติที่ทําใหเปนพระโสดาบัน, คุณสมบัติของพระโสดาบัน — Sotàpattiyaïga: factors of Stream-Entry)1. ประกอบดว ยความเลอ่ื มใสมนั่ ในพระพทุ ธเจา (unshakable confidence in the Buddha)2. ประกอบดว ยความเลอื่ มใสมนั่ ในธรรม (unshakable confidence in the Dhamma)3. ประกอบดวยความเลอ่ื มใสม่ันในสงฆ (unshakable confidence in the Sangha)4. ประกอบดว ยอรยิ กันตศลี คือ ศลี อนั เปน ทีช่ น่ื ชมพอใจของพระอรยิ ะ บรสิ ุทธ์ิ ไมถ กู ตณั หาและทฏิ ฐิแปดเปอนหรือครอบงํา และเปนไปเพ่อื สมาธิ (unblemished morality)S.V.345. ส.ํ ม.19/1420/431).[195] โสตาปตติยังคะ 43 (องคคุณเครอ่ื งบรรลโุ สดา, คณุ สมบัตทิ ี่ทาํ ใหเปนพระโสดาบัน, คณุ สมบัติของพระโสดาบัน — Sotàpattiyaïga: factors of Stream-Entry)1. ประกอบดว ยความเลอื่ มใสมนั่ ในพระพทุ ธเจา (unshakable confidence in the Buddha)2. ประกอบดว ยความเลอ่ื มใสมั่นในธรรม (unshakable confidence in the Dhamma)3. ประกอบดวยความเลื่อมใสมน่ั ในสงฆ (unshakable confidence in the Sangha)4. ครองเรอื นดว ยใจปราศจากมัจฉรยิ ะ ยนิ ดีในการแจกจายแบง ปนชว ยเหลือผอู ่นื (devo-tion to charity; delight in giving and sharing)S.V.397. สํ.ม.19/1597–8/499.

หมวด 4 149 [198][,,,] หลักการแบงทรัพย 4 สวน ดู [163] โภควภิ าค 4.[196] อคติ 4 (ฐานะอนั ไมพึงถงึ , ทางความประพฤติทผ่ี ดิ , ความไมเที่ยงธรรม, ความ ลาํ เอยี ง — Agati: wrong course of behaviour; prejudice) 1. ฉันทาคติ (ลาํ เอียงเพราะชอบ — Chandàgati: prejudice caused by love or desire; partiality) 2. โทสาคติ (ลําเอยี งเพราะชัง — Dosàgati: prejudice caused by hatred or enmity) 3. โมหาคติ (ลาํ เอยี งเพราะหลง, พลาดผิดเพราะเขลา — Mohàgati: prejudice caused by delusion or stupidity) 4. ภยาคติ (ลําเอียงเพราะกลัว — Bhayàgati: prejudice caused by fear)D.III.182,228; A.II.18. ท.ี ปา.11/176/196; 246/240; องฺ.จตกุ กฺ .21/17/23.[197] อธิษฐาน หรอื อธิษฐานธรรม 4 (ธรรมเปน ท่ีม่นั , ธรรมอันเปนฐานทีม่ ัน่คงของบคุ คล, ธรรมทค่ี วรใชเปนทีป่ ระดษิ ฐานตน เพอื่ ใหส ามารถยดึ เอาผลสาํ เร็จสงู สุดอันเปน ที่หมายได โดยไมเกิดความสําคัญตนผิด และไมเ กดิ สิ่งมัวหมองหมกั หมมทบั ถมตน, บางทีแปลวา“ธรรมทค่ี วรตง้ั ไวใ นใจ” — Adhiññhàna: foundation; foundations on which a tranquilsage establishes himself; virtues which should be established in the mind)1. ปญ ญา (ความรูชดั คือ หยง่ั รูใ นเหตุผล พจิ ารณาใหเ ขาใจในสภาวะของสิง่ ทงั้ หลายจนเขาถงึความจริง — Pa¤¤à: wisdom; insight)2. สัจจะ (ความจริง คือ ดํารงม่ันในความจริงที่รูชัดดวยปญญา เร่ิมแตจริงวาจาจนถึงปรมัตถสัจจะ — Sacca: truthfulness)3. จาคะ (ความสละ คือ สละสิ่งอนั เคยชิน ขอ ทเี่ คยยดึ ถอื ไว และส่งิ ท้ังหลายอันผิดพลาดจากความจริงเสยี ได เริ่มแตสละอามสิ จนถึงสละกเิ ลส — Càga: liberality; renunciation)4. อุปสมะ (ความสงบ คอื ระงับโทษขอขัดของมัวหมองวนุ วายอนั เกิดจากกิเลสท้ังหลายแลวทาํ จติ ใจใหสงบได — Upasama: tranquillity; peace) ทัง้ 4 ขอนี้ พงึ ปฏบิ ตั ติ ามกระทดู งั น้ี1. ปฺ นปฺปมชฺเชยฺย (ไมพ งึ ประมาทปญญา คือ ไมละเลยการใชป ญ ญา — Pa¤¤a§nappamajjeyya: not to neglect wisdom)2. สจจฺ ํ อนรุ กเฺ ขยยฺ (พงึ อนรุ กั ษส จั จะ — Sacca§anurakkheyya:to safeguard truthfulness)3. จาคํ อนุพรฺ ูเหยยฺ (พงึ เพม่ิ พูนจาคะ — Càga§ anubråheyya: to foster liberality)4. สนฺตึ สกิ ฺเขยฺย (พึงศกึ ษาสันติ — Santi§ sikkheyya: to train oneself in tranquillity)D.III.229; M.III.243. ที.ปา.11/254/241; ม.อุ.14/682/437.[198] อบาย หรอื อบายภูมิ 4 (ภาวะหรอื ทอี่ นั ปราศจากความเจรญิ — Apàya: states

[199] 150 พจนานุกรมพุทธศาสตรof loss and woe; low states of existence; unhappy existence)1. นิรยะ (นรก, สภาวะหรอื ทีอ่ ันไมมคี วามสุขความเจรญิ , ภาวะเรา รอนกระวนกระวาย —Niraya: hell; woeful state)2. ติรัจฉานโยนิ (กําเนดิ ดิรจั ฉาน, พวกมดื มัวโงเขลา — Tiracchànayoni: the animalkingdom; realm of beasts)3. ปต ตวิ สิ ยั (แดนเปรต, ภมู แิ หง ผหู วิ กระหายไรส ขุ — Pittivisaya: realm of hungry ghosts)4. อสุรกาย (พวกอสูร, พวกหวาดหวนั่ ไรค วามรื่นเรงิ — Asurakàya: host of demons; theunrelenting and dejected; frightened ghosts)ดู [351] ภูมิ 4, 31. It.93. ข.ุ อติ ิ.25/273/301.[199] อบายมุข 4 (ชอ งทางของความเสอื่ ม, ทางท่จี ะนาํ ไปสูความพินาศ, เหตุยอ ยยับแหง โภคทรพั ย — Apàyamukha: causes of ruin; sources for the destruction of the amassed wealth) 1. อิตถธี ุตตะ (เปนนกั เลงหญงิ , นกั เทยี่ วผูหญิง — Itthãdhutta: seduction of women; debauchery) 2. สุราธุตตะ (เปน นกั เลงสุรา, นักด่ืม — Suràdhutta: drunkenness) 3. อักขธุตตะ (เปนนักการพนัน — Akkhadhutta: indulgence in gambling) 4. ปาปมติ ตะ (คบคนชวั่ — Pàpamitta: bad company) อบายมุข 4 อยางนี้ ตรัสกบั ผคู รองเรอื นที่มหี ลักฐานแลว และตรสั ตอ ทา ยทฏิ ฐธมั มกิ ตั ถ-สงั วัตตนิกธรรม 4 มุง ความวาเปน ทางพนิ าศแหง โภคะท่ีหามาไดแ ลวA.IV.283. อง.ฺ อฏก.23/144/292.[200] อบายมุข 6 (ชอ งทางของความเสอ่ื ม, ทางแหง ความพนิ าศ, เหตยุ อ ยยบั แหง โภคทรพั ย— Apàyamukha: causes of ruin; ways of squandering wealth)1. ตดิ สุราและของมึนเมา (addiction to intoxicants; drug addiction) มโี ทษ 6 คอื1) ทรัพยห มดไปๆ เหน็ ชดั ๆ2) กอการทะเลาะววิ าท3) เปนบอ เกิดแหงโรค4) เสียเกียรตเิ สยี ชือ่ เสยี ง5) ทําใหไมรูอาย6) ทอนกําลังปญญาa) actual loss of wealth

หมวด 4 151 [200] b) increase of quarrels c) liability to disease d) source of disgrace e) indecent exposure f) weakened intelligence. 2. ชอบเท่ียวกลางคนื (roaming the streets at unseemly hours) มีโทษ 6 คอื 1) ชอื่ วา ไมร กั ษาตวั 2) ชอ่ื วาไมร กั ษาลกู เมีย 3) ชอื่ วาไมรกั ษาทรัพยส มบัติ 4) เปนท่ีระแวงสงสัย 5) เปนเปา ใหเขาใสค วามหรอื ขา วลอื 6) เปนทางมาของเรอื่ งเดอื ดรอ นเปนอันมาก a) He himself is without guard and protection. b) So also are his wife and children. c) So also is his property. d) He is liable to be suspected of crimes. e) He is the subject of false rumours. f) He will meet a lot of troubles. 3. ชอบเท่ยี วดูการละเลน (frequenting shows) มโี ทษ โดยการงานเสอ่ื มเสยี เพราะใจ กงั วลคอยคิดจอ ง กับเสียเวลาเมื่อไปดสู ง่ิ น้ันๆ ทั้ง 6 กรณี คอื 1) ราํ ท่ไี หนไปท่นี น่ั 2)–6) ขบั รอง, ดนตรี, เสภา, เพลง, เถิดเทิงทไ่ี หน ไปท่ีนนั่ * (He keeps looking about to see) a) Where is there dancing? b)–f) Where is there singing? ~ choral music? ~ story-telling? ~ cymbal playing? ~ tam-tams? 4. ติดการพนัน (indulgence in gambling) มโี ทษ 6 คือ 1) เม่อื ชนะยอ มกอเวร 2) เมือ่ แพกเ็ สยี ดายทรพั ยท ีเ่ สียไป* คําแปลภาษาไทยถือตามท่แี ปลกนั มา สว นภาษาอังกฤษแปลตางหาก ไมไดมงุ ใหตรงกนั

[201] 152 พจนานุกรมพทุ ธศาสตร3) ทรัพยหมดไปๆ เห็นชดั ๆ4) เขา ทป่ี ระชุม เขาไมเ ชือ่ ถอื ถอ ยคาํ5) เปนท่ีหม่ินประมาทของเพอ่ื นฝงู6) ไมเ ปน ท่ีพึงประสงคของผูท่ีจะหาคูครองใหล ูกของเขา เพราะเหน็ วา จะเลี้ยงลกู เมยี ไมไหวa) As winner, he begets hatred.b) As loser, he regrets his lost money.c) There is actual loss of wealth.d) His word has no weight in an assembly.e) He is scorned by his friends and companions.f) He is not sought after by those who want to marry their daughters, for theywould say that a gambler cannot afford to keep a wife.5. คบคนชัว่ (association with bad companions) มโี ทษ โดยนาํ ใหก ลายไปเปน คนชัว่อยา งคนทตี่ นคบทงั้ 6 ประเภท คอื ไดเ พอื่ นทจี่ ะนาํ ใหกลายเปน1) นกั การพนนั (gamblers)2) นกั เลงหญงิ (rakes; seducers)3) นกั เลงเหลา (drunkards)4) นักลวงของปลอม (cheaters with false things)5) นักหลอกลวง (swindlers)6) นักเลงหัวไม (men of violence)6. เกียจครานการงาน (habit of idleness) มโี ทษ โดยทําใหย กเหตุตางๆ เปนขออางผดัเพี้ยนไมท าํ การงาน โภคะใหมก็ไมเกดิ โภคะทม่ี อี ยกู ็หมดสิ้นไป คอื ใหอ างไปทั้ง 6 กรณวี า1)–6) หนาวนกั — รอนนัก — เย็นไปแลว — ยงั เชา นกั — หวิ นัก — อม่ิ นกั *a)–f) He always makes an excuse that it is too cold, — too hot, — too late, —too early, he is too hungry, — too full and does no work.อบายมขุ หมวดน้ี ตรัสแกส งิ คาลกมาณพ กอนตรัสเรอ่ื งทศิ 6D.III.182–184. ที.ปา.11/178–184/196–198.[201] วัฒนมุข 6 (ธรรมทเ่ี ปนปากทางแหงความเจริญ, ธรรมที่เปนดจุ ประตูชยั อันจะเปดออกไปใหก า วหนา สคู วามเจรญิ งอกงามของชวี ติ — Vaóóhana-mukha: channels of growth;gateway to progress)* บางฉบับเปน “กระหายนกั ” (too thirsty)

หมวด 4 153 [202] 1. อาโรคยะ (ความไมม ีโรค, ความมีสุขภาพดี — ârogya: good health) 2. ศลี (ความประพฤตดิ ี มวี นิ ยั ไมก อ เวรภยั ไดฝ ก ในมรรยาทอนั งาม — Sãla: moral conduct and discipline) 3. พุทธานุมัต (ศึกษาแนวทาง มองดแู บบอยาง เขาถงึ ความคิดของพทุ ธชนเหลา คนผเู ปน บัณฑติ — Buddhànumata: conformity or access to the ways of great, enlightened beings) 4. สุตะ (ใฝเลาเรียนหาความรู ฝกตนใหเชี่ยวชาญและทันตอเหตุการณ — Suta: much learning) 5. ธรรมานวุ ัติ (ดําเนินชวี ติ และกิจการงานโดยทางชอบธรรม — Dhammànuvatti: practice in accord with the Dhamma; following the law of righteousness) 6. อลนี ตา (เพียรพยายามไมระยอ, มีกําลงั ใจแขง็ กลา ไมท อถอยเฉือ่ ยชา เพยี รกา วหนา เรอื่ ย ไป — Alãnatà: unshrinking perseverance) ธรรม 6 ประการชุดน้ี ในบาลีเดมิ เรยี กวา อตั ถทวาร (ประตแู หง ประโยชน, ประตูสจู ดุ หมาย) หรือ อตั ถประมุข (ปากทางสปู ระโยชน, ตน ทางสูจุดหมาย) และอรรถกถาอธิบายคาํ อัตถะ วา หมายถงึ “วฒุ ”ิ คอื ความเจริญ ซ่ึงไดแ ก วฒั นะ ดังนั้นจึงอาจเรยี กวา วฒุ มิ ขุ หรอื ท่คี น ไทยรูสกึ คุน มากกวาวา วฒั นมุข อนง่ึ ในฝา ยอกศุ ล มหี มวดธรรมรจู กั กนั ดที เี่ รยี กวา อบายมขุ 6 ซง่ึ แปลวา ปากทางแหง ความ เสอ่ื ม จงึ อาจเรยี กธรรมหมวดน้ดี ว ยคาํ ทเ่ี ปนคตู รงขา มวา อายมุข 6 (ปากทางแหงความเจรญิ ) J.I.366 ขุ.ชา.27/84/27[202] อปสเสนะ หรือ อปสเสนธรรม 4 (ธรรมดุจพนกั พิง, ธรรมเปนท่อี ิงหรือ พ่งึ อาศยั — Apassena: virtues to lean on; states which a monk should rely on) 1. สงขฺ าเยกํ ปฏเิ สวติ (ของอยางหน่ึง พจิ ารณาแลวเสพ ไดแก สิ่งของมปี จ จยั 4 คอื จวี ร บิณฑบาต เสนาสนะ คลิ านเภสัช เปนตนกด็ ี บคุ คล และธรรมเปนตน ก็ดี ทจี่ ําเปน จะตอ ง เกี่ยวขอ งและมีประโยชน พึงพจิ ารณาแลว จึงใชสอยและเสวนาใหเปนประโยชน — Pañisevanà: The monk deliberately follows or makes use of one thing.) 2. สงฺขาเยกํ อธิวาเสติ (ของอยางหนึ่ง พิจารณาแลว อดกลน้ั ไดแ ก อนฏิ ฐารมณต า งๆ มี หนาว รอ น และทุกขเวทนาเปนตน พึงรูจ กั พิจารณาอดกลั้น — Adhivàsanà: The monk deliberately endures one thing.) 3. สงขฺ าเยกํ ปริวชฺเชติ (ของอยา งหนงึ่ พิจารณาแลว เวน เสยี ไดแ ก สง่ิ ทเ่ี ปน โทษ กอ อันตราย แกรา งกายก็ตาม จิตใจก็ตาม เชน ชางราย คนพาล การพนนั สุราเมรัย เปน ตน พงึ รูจกั พจิ ารณา หลกี เวน เสยี — Parivajjanà: The monk deliberately avoids one thing.) 4. สงขฺ าเยกํ ปฏิวิโนเทติ (ของอยา งหนึง่ พจิ ารณาแลว บรรเทาเสยี ไดแก ส่ิงท่ีเปนโทษกอ

[203] 154 พจนานุกรมพุทธศาสตรอนั ตราย เชน อกุศลวิตก มกี ามวติ ก พยาบาทวติ ก วหิ ิงสาวติ ก เปนตน และความช่ัวรา ยทั้งหลาย เกิดข้ึนแลว พึงรูจ ักพจิ ารณาแกไข บาํ บัดหรอื ขจัดใหส ิน้ ไป — Pañivinodanà: Themonk deliberately suppresses or expels one thing.) อปสเสนะ 4 น้ี เรียกอีกอยางวา อปุ นสิ ยั 4 (ธรรมเปนท่ีพึง่ พงิ หรอื ธรรมชว ยอุดหนุน —Upanissaya: supports; supporting states) เมอื่ รูจ กั พจิ ารณาปฏิบตั ติ อ ส่ิงตางๆ ใหถ ูกตอ งดว ยปญญาตามหลักอปส เสนะ หรอื อุปนสิ ัย4 อยา งนี้ ยอมเปน เหตุใหอ กุศลท่ยี ังไมเ กดิ ก็ไมเ กดิ ขึ้น ท่ีเกิดแลวก็เสอ่ื มสนิ้ ไป และกศุ ลทยี่ ังไมเกิดยอมเกิดข้นึ ทเ่ี กิดข้นึ แลว ก็เจริญยงิ่ ขน้ึ ไป ภกิ ษุผพู รอมดว ยธรรม 4 ประการน้ี ดาํ รงอยูในธรรม 5 คือ ศรทั ธา หริ ิ โอตตปั ปะ วิริยะปญ ญา ทา นเรยี กวา นสิ สยสมั บนั (ผถู งึ พรอ มดว ยทพ่ี ง่ึ อาศยั — fully supported; resourceful).D.III.224,270; A.IV.354; A.V.30. ท.ี ปา.11/236/326; 472/338; องฺ.นวก.23/206/366; องฺ.ทสก.24/20/32.[,,,] อรหันต 4 ดู [62] อรหันต 4.[,,,] อริยบุคคล 4 ดู [56] อริยบคุ คล 4.[203] อริยวงศ 4 (ปฏิปทาที่พระอริยะทั้งหลายปฏิบัติสืบกันมาแตโบราณไมขาดสาย,อริยประเพณี — Ariyava§sa: Ariyan lineage; noble tradition; the fourfoldtraditional practice of the Noble Ones)1. จวี รสนั โดษ (ความสนั โดษดวยจวี ร — Cãvara-santosa: contentment as regardsrobes or clothing)2. ปณ ฑปาตสันโดษ (ความสันโดษดวยบิณฑบาต — Piõóapàta-santosa: contentmentas regards alms-food)3. เสนาสนสนั โดษ (ความสันโดษดวยเสนาสนะ — Senàsana-santosa: contentment asregards lodging)4. ปหานภาวนารามตา (ความยนิ ดใี นการละอกศุ ลและเจรญิ กศุ ล — Pahànabhàvanà-ràmatà: delight in the abandonment of evil and the development of good)การปฏบิ ัติทีจ่ ดั เปนอรยิ วงศใ นธรรมทัง้ 4 ขอนั้น พระภิกษุพึงประพฤติดังน้ีก. สนั โดษดว ยปจจัยใน 3 ขอ ตน ตามมีตามไดข. มปี กติกลา วสรรเสรญิ คุณของความสันโดษใน 3 ขอ น้ันค. ไมป ระกอบอเนสนา คอื การแสวงหาทีผ่ ดิ (ทจุ รติ ) เพราะปจจัยทง้ั 3 อยา งนั้นเปน เหตุ (เพยี ร แสวงหาแตโดยทางชอบธรรม ไมเ กยี จคราน)ง. เมื่อไมได ก็ไมเรารอนทุรนทุรายจ. เมอื่ ได กใ็ ชโ ดยไมต ดิ ไมห มกมนุ ไมส ยบ รเู ทา ทนั เหน็ โทษ มปี ญ ญาใชส งิ่ นน้ั ตามประโยชน ตาม ความหมายของมนั (มแี ละใชด ว ยสตสิ มั ปชญั ญะ ดาํ รงตนเปน อสิ ระ ไมต กเปน ทาสของสงิ่ นนั้ )

หมวด 4 155 [204]ฉ. ไมถ อื เอาการท่ีไดประพฤตธิ รรม 4 ขอ น้ี เปน เหตยุ กตนขม ผูอืน่โดยสรปุ วา เปน ผขู ยนั ไมเ กียจคราน มสี ตสิ ัมปชัญญะในขอนัน้ ๆ เฉพาะขอ 4 ทรงสอนไมใหสันโดษ สว น 3 ขอแรกทรงสอนใหทําความเพียรแสวงหาในขอบเขตที่ชอบดว ยธรรมวินัยและมีความสนั โดษตามนัยทแ่ี สดงขางตนอนึ่ง ในจฬู นิทเทส ทา นแสดงอรยิ วงศข องพระปจเจกพทุ ธเจาตางไปเลก็ นอ ย คอื เปล่ียนขอ4 เปน สันโดษดว ยคิลานปจ จยั เภสชั บรขิ าร (medical equipment)D.III.224; A.II.27; Nd2107. ท.ี ปา.11/237/236; อง.ฺ จตกุ กฺ .21/28/35; ข.ุ จ.ู 30/691/346.[204] อริยสัจจ 4 (ความจริงอันประเสริฐ, ความจรงิ ของพระอริยะ, ความจรงิ ท่ีทําใหผ ูเ ขาถึงกลายเปนอรยิ ะ — Ariyasacca: The Four Noble Truths)1. ทกุ ข (ความทกุ ข, สภาพที่ทนไดย าก, สภาวะทบ่ี ีบค้นั ขัดแยง บกพรอ ง ขาดแกน สารและความเทย่ี งแท ไมใ หความพงึ พอใจแทจรงิ , ไดแก ชาติ ชรา มรณะ การประจวบกับสงิ่ อันไมเปนทร่ี ัก การพลัดพรากจากส่ิงที่รัก ความปรารถนาไมสมหวัง โดยยอวา อุปาทานขันธ 5 เปนทกุ ข— Dukkha: suffering; unsatisfactoriness)2. ทุกขสมทุ ัย (เหตุเกดิ แหงทุกข, สาเหตใุ หทกุ ขเ กิด ไดแ ก ตณั หา 3 คอื กามตณั หา ภวตณั หาและ วภิ วตณั หา — Dukkha-samudaya: the cause of suffering; origin of suffering)3. ทกุ ขนโิ รธ (ความดบั ทกุ ข ไดแ ก ภาวะทตี่ ณั หาดับส้ินไป, ภาวะทเ่ี ขาถึงเม่อื กาํ จัดอวชิ ชาสาํ รอกตัณหาสนิ้ แลว ไมถ กู ยอ ม ไมตดิ ของ หลุดพน สงบ ปลอดโปรง เปนอิสระ คอื นพิ พาน— Dukkha-nirodha: the cessation of suffering; extinction of suffering)4. ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา (ปฏิปทาท่ีนําไปสูความดบั แหงทกุ ข, ขอปฏบิ ัตใิ หถงึ ความดบัทกุ ข ไดแก อริยอัฏฐงั คิกมรรค หรอื เรียกอกี อยางหนง่ึ วา มชั ฌมิ าปฏปิ ทา แปลวา “ทางสายกลาง” มรรคมอี งค 8 นี้ สรุปลงในไตรสิกขา คือ ศลี สมาธิ ปญ ญา — Dukkha-nirodha-gàminã pañipadà: the path leading to the cessation of suffering)อรยิ สจั จ 4 นี้ เรยี กกนั สน้ั ๆ วา ทกุ ข สมทุ ยั นโิ รธ มรรค (Dukkha, Samudaya, Nirodha,Magga); การแสดงอรยิ สัจจ 4 น้ี มีชือ่ เรยี กอกี อยา งหนึง่ วา สามุกกงั สิกาธรรมเทศนา (เชน องฺ.อฏก.23/102/190) แปลตามอรรถกถาวา พระธรรมเทศนาท่ีพระพทุ ธเจาทรงหยิบยกขน้ึ ถือเอาไวดว ยพระองคเ อง คอื ทรงเหน็ ดว ยพระสยมั ภญู าณ (=ตรสั รเู อง) ไมส าธารณะแกผ อู นื่ (แตต ามท่ีอธิบายกนั มา มกั แปลวา “พระธรรมเทศนาทพี่ ระพุทธเจา ทรงยกข้นึ แสดงเอง โดยไมต องปรารภคําถามหรอื การทูลขอรองของผฟู ง อยา งการแสดงธรรมเร่อื งอน่ื ๆ”; ความจรงิ จะแปลวา “พระธรรมเทศนาข้ันสุดยอด” ก็ได ซ่ึงสมกับเปนเร่ืองที่ทรงแสดงทายสุดตอจาก อนุปุพพิกถา 5 คําแปลอยา งหลงั น้ี พงึ เทียบ องฺ.ทสก.24/95/208)ดู [216] ขันธ 5; [74] ตัณหา 3; [293] มรรคมีองค 8; [124] สกิ ขา 3.Vin.I.9; S.V.421; Vbh.99. วนิ ย.4/14/18; ส.ํ ม.19/1665/528; อภิ.ว.ิ 35/145/127.

[205] 156 พจนานกุ รมพุทธศาสตร[205] กิจในอริยสัจจ 4 (หนาท่อี นั จะพึงทาํ ตออรยิ สัจจ 4 แตละอยาง, ขอที่จะตอ ง ปฏบิ ัติใหถกู ตองและเสร็จสิ้นในอริยสัจจ 4 แตล ะอยา ง จงึ จะชือ่ วารูอรยิ สจั จหรอื เปน ผตู รัสรู แลว — Ariyasaccesu kiccàni: functions concerning the Four Noble Truths) 1. ปรญิ ญา (การกาํ หนดรู เปน กจิ ในทกุ ข ตามหลกั วา ทกุ ขฺ ํ อรยิ สจจฺ ํ ปริ เฺ ยยฺ ํ ทกุ ขค วรกาํ หนด รู คอื ควรศกึ ษาใหร จู กั ใหเ ขา ใจชดั ตามสภาพทเ่ี ปน จรงิ ไดแ ก การทาํ ความเขา ใจและกาํ หนด ขอบเขตของปญหา — Pari¤¤à: comprehension; suffering is to be com-prehended) 2. ปหานะ (การละ เปนกิจในสมุทัย ตามหลกั วา ทกุ ฺขสมุทโย อรยิ สจจฺ ํ ปหาตพฺพํ สมุทยั ควร ละ คือ กําจดั ทําใหห มดส้นิ ไป ไดแ กการแกไ ขกาํ จัดตน ตอของปญหา — Pahàna: era- dication; abandonment; the cause of suffering is to be eradicated) 3. สจั ฉกิ ริ ิยา (การทําใหแจง เปนกิจในนิโรธ ตามหลักวา ทุกฺขนิโรโธ อริยสจฺจํ สจฺฉิกาตพพฺ ํ นโิ รธควรทําใหแ จง คือ เขา ถงึ หรือบรรลุ ไดแ กก ารเขาถึงภาวะท่ีปราศจากปญ หา บรรลุจุดหมาย ท่ีตองการ — Sacchikiriyà: realization; the cessation of suffering is to be realized) 4. ภาวนา (การเจรญิ เปน กจิ ในมรรค ตามหลกั วา ทกุ ขฺ นโิ รธคามนิ ี ปฏปิ ทา อรยิ สจจฺ ํ ภาเวตพพฺ ํ มรรคควรเจรญิ คอื ควรฝก อบรม ลงมอื ปฏบิ ตั ิ กระทาํ ตามวธิ กี ารทจี่ ะนาํ ไปสจู ดุ หมาย ไดแ กก ารลงมอื แกไ ขปญ หา — Bhàvanà: development; practice; the path is to be followed or developed) ในการแสดงอริยสจั จ กด็ ี ในการปฏิบตั ิธรรมตามหลกั อรยิ สัจจ กด็ ี จะตอ งใหอ ริยสัจจแตละขอ สัมพันธต รงกนั กับกจิ แตละอยาง จงึ จะเปน การแสดงและเปนการปฏิบตั ิโดยชอบ ทั้งนี้วางเปนหวั ขอไดด ังน้ี1. ทุกข เปนขน้ั แถลงปญ หาทีจ่ ะตอ งทาํ ความเขาใจและรขู อบเขต (ปรญิ ญา) — statement ofevil; location of the problem.2. สมุทัย เปนข้ันวิเคราะหและวินิจฉัยมูลเหตุของปญ หา ซึ่งจะตอ งแกไขกําจดั ใหหมดสิน้ ไป(ปหานะ) — diagnosis of the origin.3. นโิ รธ เปนข้นั ชบี้ อกภาวะปราศจากปญ หา อนั เปนจดุ หมายที่ตอ งการ ใหเ ห็นวาการแกป ญ หาเปนไปได และจุดหมายนนั้ ควรเขา ถึง ซงึ่ จะตอ งทําใหสําเร็จ (สจั ฉิกิริยา) — prognosis of itsantidote; envisioning the solution.4. มรรค เปนขั้นกาํ หนดวิธีการ ขน้ั ตอน และรายละเอยี ดที่จะตอ งปฏิบตั ิในการลงมอื แกปญหา(ภาวนา) — prescription of the remedy; programme of treatment. ความสาํ เรจ็ ในการปฏบิ ตั ิทงั้ หมด พึงตรวจสอบดวยหลัก [73] ญาณ 3 2Vin.I.10; S.V.422. วินย.4/15/20; ส.ํ ม.19/1666/529.[206] ธรรม 4 (ธรรมทงั้ ปวงประดามี จดั ประเภทตามลักษณะความสมั พนั ธทม่ี นุษยพงึปฏิบัตหิ รอื เกย่ี วขอ งเปน 4 จําพวก อนั สอดคลอ งกบั หลักอริยสจั จ 4 และกิจในอริยสัจจ 4 —Dhamma: all dhammas [states, things] classified into 4 categories according asthey are to be rightly treated)

หมวด 4 157 [207]1. ปริญไญยธรรม = ธรรมทเี่ ขากบั กิจในอริยสจั จขอ ท่ี 1 คอื ปริญญา (ธรรมอนั พึงกําหนดร,ูส่ิงทค่ี วรรอบรู หรือรเู ทา ทันตามสภาวะของมัน ไดแก อุปาทานขันธ 5 กลาวคอื ทกุ ขและสิง่ ทั้งหลายทอี่ ยใู นจาํ พวกทเี่ ปน ปญ หาหรอื เปนท่ีตัง้ แหง ปญหา — Pari¤¤eyya-dhamma: thingsto be fully understood, i.e. the five aggregates of existence subject to clinging)2. ปหาตัพพธรรม = ธรรมท่เี ขากับกิจในอริยสจั จข อ ท่ี 2 คือ ปหานะ (ธรรมอนั พงึ ละ, สง่ิ ท่ีจะตอ งแกไขกําจัดทําใหห มดไป วาโดยตนตอรากเหงา ไดแก อวิชชา และภวตณั หา กลาวคือธรรมจําพวกสมทุ ัยทีก่ อ ใหเ กดิ ปญ หาเปนสาเหตขุ องทกุ ข หรือพูดอีกอยางหนงึ่ วา อกศุ ลทงั้ ปวง —Pahàtabba-dhamma: things to be abandoned, i.e. ignorance and craving for being)3. สัจฉิกาตพั พธรรม = ธรรมท่เี ขากับกิจในอรยิ สจั จขอท่ี 3 คือ สจั ฉกิ ิรยิ า (ธรรมอนั พงึประจกั ษแ จง, สิ่งที่ควรไดควรถงึ หรือควรบรรลุ ไดแ ก วิชชา และวมิ ุตติ เมื่อกลา วโดยรวบยอดคอื นิโรธ หรอื นพิ พาน หมายถงึ ธรรมจําพวกทเี่ ปนจดุ หมาย หรือเปน ทด่ี บั หายส้ินไปแหงทุกขหรอื ปญหา — Sacchikàtabba-dhamma: things to be realized, i.e. true knowledgeand freedom or liberation)4. ภาเวตัพพธรรม = ธรรมทีเ่ ขากับกิจในอริยสัจจข อที่ 4 คือ ภาวนา (ธรรมอนั พงึ เจริญหรอืพงึ ปฏิบัติบําเพ็ญ, สิ่งทีจ่ ะตองปฏบิ ัตหิ รอื ลงมือทํา ไดแก ธรรมที่เปนมรรค โดยเฉพาะสมถะและวิปสสนา กลาวคือ ประดาธรรมทเี่ ปนขอปฏบิ ตั หิ รอื เปนวิธกี ารทีจ่ ะทําหรือดาํ เนนิ การเพอื่ ใหบรรลจุ ดุ หมายแหง การสลายทกุ ขห รอื ดบั ปญ หา — Bhàvetabba-dhamma: things to bedeveloped, i.e. tranquillity and insight, or, in other words, the Noble Eightfold Path)M.III.289; S.V.52; A.II.246. ม.อ.ุ 14/829/524; สํ.ม.19/291–5/78;อง.ฺ จตุกกฺ .21/254/333.[207] อรูป หรอื อารุปป 4 (ฌานมอี รูปธรรมเปน อารมณ คอื อรปู ฌาน, ภพของสัตวผ ูเขาถงึ อรูปฌาน, ภพของอรูปพรหม — Aråpa, âruppa: absorptions of the FormlessSphere; the Formless Spheres; immaterial states)1. อากาสานญั จายตนะ (ฌานอันกําหนดอากาศคือชอ งวา งหาท่ีสดุ มิไดเ ปนอารมณ หรอื ภพของผูเขา ถึงฌานนี้ — âkàsàna¤càyatana: Sphere of Infinity of Space)2. วิญญาณัญจายตนะ (ฌานอนั กาํ หนดวญิ ญาณหาทีส่ ดุ มไิ ดเปน อารมณ หรือภพของผูเขา ถึงฌานน้ี — Vi¤¤àõa¤càyatana: Sphere of Infinity of Consciousness)3. อากญิ จญั ญายตนะ (ฌานอันกําหนดภาวะท่ีไมม อี ะไรๆ เปน อารมณ หรอื ภพของผูเขา ถึงฌานน้ี — âki¤ca¤¤àyatana: Sphere of Nothingness)4. เนวสัญญานาสัญญายตนะ (ฌานอนั เขาถึงภาวะมีสญั ญาก็ไมใ ช ไมม สี ญั ญาก็ไมใช หรอืภพของผูเขาถงึ ฌานนี้ — Nevasa¤¤ànàsa¤¤àyatana: Sphere of Neither PerceptionNor Non-Perception)D.III.224; S.IV.227. ที.ปา.11/235/235; ส.ํ สฬ.18/519/326.

[208] 158 พจนานุกรมพทุ ธศาสตร[208] อวิชชา 4 (ความไมร ูแจง, ไมรจู ริง — Avijjà: ignorance; lack of essentialknowledge)1. ทกุ ฺเข อฺาณํ (ไมรูใ นทกุ ข — ignorance of suffering)2. ทกุ ขฺ สมุทเย อฺาณํ (ไมรูใ นทุกขสมุทยั — ~ of the cause of suffering)3. ทุกฺขนิโรเธ อฺาณํ (ไมรูในทุกขนิโรธ — ~ of the cessation of suffering)4. ทุกฺขนิโรธคามนิ ิยา ปฏปิ ทาย อฺาณํ (ไมร ใู นทุกขนิโรธคามนิ ปี ฏิปทา — ~ of thepath leading to the cessation of suffering)กลา วสัน้ ๆ คือ ไมร ใู นอรยิ สัจจ 4S.II.4; S.IV.256; Vbh.135. สํ.นิ.16/17/5; สํ.สฬ.18/505/315; อภิ.ว.ิ 35/256/181.[209] อวิชชา 8 (ความไมรแู จง, ไมรูจริง — Avijjà: ignorance; lack of essentialknowledge) 4 ขอ แรกตรงกับอวิชชา 4; ขอ 5–8 ดงั น้ี5. ปพุ พฺ นฺเต อฺาณํ (ไมร ใู นสว นอดีต — ignorance of the past)6. อปรนฺเต อฺาณํ (ไมรูในสว นอนาคต — ~ of the future)7. ปพุ พฺ นตฺ าปรนเฺ ต อฺ าณํ (ไมร ทู งั้ สว นอดตี ทง้ั สว นอนาคต — ~ of both the past andthe future)8. อทิ ปฺปจฺจยตาปฏิจจฺ สมปุ ปฺ นเฺ นสุ ธมฺเมสุ อฺาณํ (ไมร ูในธรรมทง้ั หลายทีอ่ าศัยกนั จึงเกดิ มขี ้ึนตามหลักอิทปั ปจจยตา — ~ of states dependently originated according tospecific conditionality)Dhs.190,195; Vhh.362. อภ.ิ สํ.34/691/273; 712/281; อภิ.ว.ิ 35/926/490.[210] อันตรายของภิกษุสามเณรผูบวชใหม 4 (ตามบาลีวาภยั สาํ หรับกลุ บุตรผบู วชในธรรมวินัยน้ี อนั เปน เหตุใหป ระพฤติพรหมจรรยอยูไดไ มย ่งั ยืน ตอ งลาสิกขาไป— Bhaya: perils or terrors awaiting a clansman who has gone forth from hometo the homeless life; dangers to newly ordained monks or novices)1. อมู ภิ ยั (ภัยคลืน่ คือ อดทนตอ คําสงั่ สอนไมได เกิดความข้ึงเคียดคบั ใจ เบื่อหนา ยคําตกั เตอื นพรํ่าสอน — æmibhaya: peril of waves, i.e. wrath and resentment causedby inability to accept teaching and advice)2. กุมภีลภัย (ภยั จระเข คือ เหน็ แกปากแกท อ ง ถกู จาํ กดั ดว ยระเบียบวินยั เกย่ี วกับการบรโิ ภคทนไมได — Kumbhãlabhaya: peril of crocodiles, i.e. gluttony)3. อาวฏภัย (ภัยนํ้าวน คือ หวงพะวงใฝทะยานในกามสุข ตัดใจจากกามคุณไมได —âvañabhaya: peril of whirlpools, i.e. desire for sense-pleasures)4.สสุ กุ าภัย (ภัยปลาราย หรือภยั ฉลาม คอื เกดิ ความปรารถนาทางเพศ รักผหู ญิง — Susukàbhaya: peril of sharks, i.e. love for women)M.I.460; A.II.123. ม.ม.13/190/198; องฺ.จตุกฺก.21/122/165.

หมวด 4 159 [212][,,,] อัปปมัญญา 4 ดู [161] พรหมวิหาร 4.[211] อาจารย 4 (ผูประพฤตกิ ารอนั เกื้อกูลแกศษิ ย, ผูท ศี่ ิษยพ ึงประพฤติดว ยความ เออ้ื เฟอ, ผูส ่งั สอนวิชาและอบรมดแู ลความประพฤติ — âcariya: teacher; instructor) 1. บรรพชาจารย (อาจารยใ นบรรพชา คือ ทา นผูใหสิกขาบทในการบรรพชา — Pabbajjà- cariya: initiation-teacher; teacher at the Going Forth) 2. อปุ สมั ปทาจารย (อาจารยใ นอุปสมบท คอื ทานผสู วดกรรมวาจาในอุปสมบทกรรม — Upasampadàcariya: ordination-teacher; teacher at the Admission) 3. นสิ สยาจารย (อาจารยผใู หนสิ ัย คอื ทา นทีต่ นไปขอถือนสิ ยั เปนอนั เตวาสกิ คอื ยอมตนเปน ศษิ ยอยใู นปกครอง — Nissayàcariya: tutelar teacher; teacher from whom one takes the Dependence) 4. อุเทศาจารย หรือ ธรรมาจารย (อาจารยผ ใู หอุเทศ, อาจารยผ ูส อนธรรม คอื ทานท่ี ส่ังสอนใหว ชิ าความรู โดยหลกั วิชาก็ดี เปนท่ีปรกึ ษาไตถ ามคน ควาก็ดี — Uddesàcariya, Dhammàcariya: teacher of textual study; teacher who gives the instruction; teacher of the Doctrine) บางแหง เตมิ โอวาทาจารย (อาจารยผ ใู หโ อวาท คอื อบรมตกั เตือนแนะนาํ เปนครั้งคราว — Ovàdàcariya: teacher who gives admonitions) เขาอกี รวมเปน อาจารย 5.Vism.94; VinA.V.1085, VII.1379. วิสทุ ฺธ.ิ 1/118; วนิ ย.อ.3/182,582; วนิ ย.ฏีกา4/168; มงฺคล.2/289.[,,,] อาสวะ 4 ดู [136] อาสวะ 4.[212] อาหาร 4 (สภาพทีน่ าํ มาซึ่งผลโดยความเปนปจจัยค้าํ จนุ รปู ธรรมและนามธรรมทง้ัหลาย, เครื่องค้ําจนุ ชวี ติ , ส่งิ ทห่ี ลอ เลี้ยงรางกายและจิตใจ ทําใหเ กิดกําลังเจรญิ เติบโตและววิ ัฒนได — âhàra: nutriment)1. กวฬงิ การาหาร (อาหารคือคําขา ว ไดแก อาหารสามญั ที่กลนื กินดดู ซึมเขา ไปหลอ เลย้ี งรา งกาย — Kavaëiïkàràhàra: material food; physical nutriment) เม่ือกาํ หนดรกู วฬิงการาหารไดแลว ก็เปนอนั กาํ หนดรรู าคะทีเ่ กดิ จากเบญจกามคณุ ไดด ว ย2. ผัสสาหาร (อาหารคือผสั สะ ไดแ ก การบรรจบแหง อายตนะภายใน อายตนะภายนอก และวญิ ญาณ เปนปจ จัยใหเกดิ เวทนา พรอมทั้งเจตสกิ ท้งั หลายทจ่ี ะเกิดตามมา — Phassàhàra:nutriment consisting of contact; contact as nutriment) เม่ือกาํ หนดรูผัสสาหารไดแ ลวกเ็ ปนอนั กําหนดรเู วทนา 3 ไดดว ย3. มโนสัญเจตนาหาร (อาหารคือมโนสัญเจตนา ไดแก ความจงใจ เปน ปจจยั แหง การทํา พูดคิด ซ่งึ เรยี กวา กรรม เปนตวั ชกั นํามาซ่ึงภพ คอื ใหเกดิ ปฏสิ นธิในภพทั้งหลาย — Manosa¤cetanàhàra: nutriment consisting of mental volition; mental choice as nutriment)เมือ่ กาํ หนดรูม โนสญั เจตนาหารไดแ ลว ก็เปนอนั กําหนดรูต ัณหา 3 ไดด วย.4. วญิ ญาณาหาร (อาหารคอื วญิ ญาณ ไดแ ก วญิ ญาณเปน ปจ จยั ใหเ กดิ นามรปู — Vi¤¤àõàhàra:

[213] 160 พจนานุกรมพทุ ธศาสตรnutriment consisting of consciousness; consciousness as nutriment) เมอื่ กําหนดรูวิญญาณาหารไดแลว กเ็ ปนอันกาํ หนดรูนามรูปไดด วย.D.III.228; M.I.48; S.II.101; Vbh.401. ที.ปา.11/244/240; ม.มู.12/113/87; ส.ํ นิ.16/245/122; อภ.ิ วิ.35/1081/543.[213] อิทธิบาท 4 (คณุ เคร่อื งใหถ ึงความสาํ เร็จ, คุณธรรมทนี่ าํ ไปสคู วามสาํ เรจ็ แหง ผลที่มงุ หมาย — Iddhipàda: path of accomplishment; basis for success)1. ฉนั ทะ (ความพอใจ คอื ความตอ งการที่จะทาํ ใฝใ จรกั จะทําส่ิงน้นั อยเู สมอ และปรารถนาจะทําใหไดผลดยี ิ่งๆ ข้ึนไป — Chanda: will; zeal; aspiration)2. วิริยะ (ความเพยี ร คือ ขยนั หมนั่ ประกอบส่ิงน้นั ดว ยความพยายาม เขม แขง็ อดทน เอาธุระไมทอ ถอย — Viriya: energy; effort; exertion; perseverance)3. จิตตะ (ความคิดมุง ไป คือ ตงั้ จิตรบั รใู นสง่ิ ท่ีทําและทําสงิ่ นน้ั ดว ยความคิด เอาจิตฝก ใฝไ มปลอ ยใจใหฟ ุงซา นเลอ่ื นลอยไป อุทิศตัวอุทศิ ใจใหแกส ่ิงทท่ี ํา — Citta: thoughtfulness;active thought; dedication)4. วมิ ังสา (ความไตรตรอง หรอื ทดลอง คอื หม่ันใชป ญญาพิจารณาใครครวญตรวจตราหาเหตุผลและตรวจสอบขอย่ิงหยอ นในสง่ิ ที่ทําน้นั มกี ารวางแผน วัดผล คดิ คน วธิ ีแกไ ขปรับปรุงเปน ตน — Vãma§sà: investigation; examination; reasoning; testing)D.III.221; Vbh.216. ที.ปา.11/231/233; อภ.ิ ว.ิ 35/505/292.[214] อุปาทาน 4 (ความยึดมัน่ , ความถอื ม่นั ดวยอาํ นาจกเิ ลส, ความยดึ ติดอันเนือ่ งมาแตตัณหา ผกู พันเอาตัวตนเปน ทต่ี ้ัง — Upàdàna: attachment; clinging; assuming)1. กามปุ าทาน (ความยดึ ม่นั ในกาม คอื รูป เสยี ง กลน่ิ รส โผฏฐัพพะ ท่นี า ใคร นา พอใจ —Kàmupàdàna: clinging to sensuality)2. ทิฏปุ าทาน (ความยึดมัน่ ในทิฏฐหิ รือทฤษฎี คือความเหน็ ลัทธิ หรือหลกั คําสอนตา งๆ —Diññhupàdàna: clinging to views)3. สีลพั พตปุ าทาน (ความยดึ มัน่ ในศลี และพรต คือ ถอื วา จะบรสิ ทุ ธหิ์ ลุดพน ไดเพียงดวยศีลและวตั ร หลกั ความประพฤติ ขอ ปฏิบตั ิ แบบแผน ระเบียบ วิธี ขนบธรรมเนยี มประเพณี ลัทธิพิธตี า งๆ ถือวาจะตอ งเปนอยางนน้ั ๆ โดยสกั วา ทาํ สบื ๆ กันมา หรอื ปฏิบัติตามๆ กันไปอยางงมงาย หรือโดยนิยมวาขลัง วาศักด์ิสิทธ์ิ มิไดเปนไปดวยความรูความเขาใจตามหลักความสัมพนั ธแ หง เหตุและผล —Sãlabbatupàdàna: clinging to mere rules and rituals)4. อัตตวาทุปาทาน (ความยดึ ม่นั ในวาทะวาตัวตน คอื ความถอื หรอื สําคญั หมายอยูในภายในวา มตี ัวตน ที่จะได จะเปน จะมี จะสญู สลาย ถูกบบี คนั้ ทําลาย หรอื เปน เจาของ เปนนายบงั คับบญั ชาสิ่งตางๆ ได ไมม องเห็นสภาวะของสิ่งทง้ั ปวง อันรวมทงั้ ตัวตนวาเปน แตเ พยี งส่งิ ท่ปี ระชมุประกอบกนั เขา เปน ไปตามเหตปุ จ จยั ทง้ั หลายทมี่ าสมั พนั ธก นั ลว นๆ — Attavàdupàdàna:clinging to the ego-belief)

หมวด 4 161 [215]D.III.230; M.I.66; Vbh.375. ที.ปา.11/262/242; ม.ม.ู 12/156/132; อภ.ิ วิ.35/963/506.[215] โอฆะ 4 (สภาวะอนั เปน ดุจกระแสนํา้ หลากทวมใจสตั ว, กิเลสดจุ นํ้าทวมพาผูต กไปใหพินาศ — Ogha: the Four Floods) ไดแ ก กาม ภพ ทิฏฐิ อวิชชา [กาโมฆะ ภโวฆะ ทิฏโฐฆะอวชิ โชฆะ] เหมือนในอาสวะ 4.ดู [136] อาสวะ 4.D.III.230,276; S.V.59; Vbh.374. ที.ปา.11/258/242; สํ.ม.19/333/88; อภ.ิ วิ.35/963/506.

ปญจกะ — หมวด 5 Groups of Five (including related groups)[,,,] กัลยาณธรรม 5 ดู [239] เบญจธรรม.[,,,] กามคุณ 5 ดู [6] กามคณุ 5.[,,,] กําลัง 5 ของพระมหากษัตริย ดู [230] พละ 5 ของพระมหากษัตริย[216] ขันธ 5 หรือ เบญจขันธ (กองแหงรปู ธรรมและนามธรรมหา หมวดที่ประชุมกนั เขาเปน หนว ยรวม ซึง่ บัญญัติเรยี กวา สัตว บคุ คล ตัวตน เรา–เขา เปน ตน , สวนประกอบหาอยาง ทร่ี วมเขาเปนชีวิต — Pa¤ca-khandha: the Five Groups of Existence; Five Aggregates) 1. รปู ขนั ธ (กองรปู , สว นทเ่ี ปน รูป, รา งกาย พฤติกรรม และคุณสมบตั ติ า งๆ ของสว นที่เปน รา งกาย, สวนประกอบฝายรปู ธรรมทง้ั หมด, สิง่ ที่เปน รา งพรอมท้ังคุณและอาการ — Råpa- khandha: corporeality) 2. เวทนาขันธ (กองเวทนา, สวนท่ีเปน การเสวยรสอารมณ, ความรสู กึ สุข ทกุ ข หรือเฉยๆ — Vedanà-khandha: feeling; sensation) 3. สญั ญาขนั ธ (กองสญั ญา, สวนท่ีเปนความกําหนดหมายใหจาํ อารมณน ้นั ๆ ได, ความ กาํ หนดไดหมายรูในอารมณ 6 เชนวา ขาว เขียว ดํา แดง เปนตน — Sa¤¤à-khandha: perception) 4. สงั ขารขันธ (กองสงั ขาร, สว นที่เปน ความปรงุ แตง , สภาพทปี่ รุงแตง จิตใหดหี รือช่ัวหรือเปน กลางๆ, คณุ สมบัติตา งๆ ของจติ มเี จตนาเปน ตัวนาํ ท่ปี รงุ แตง คณุ ภาพของจติ ใหเ ปนกุศล อกศุ ล อัพยากฤต — Saïkhàra-khandha: mental formations; volitional activities) 5. วญิ ญาณขนั ธ (กองวญิ ญาณ, สว นทเี่ ปน ความรแู จง อารมณ, ความรอู ารมณท างอายตนะทง้ั 6 มี การเห็น การไดย นิ เปนตน ไดแ ก วญิ ญาณ 6 — Vi¤¤àõa-khandha: consciousness) ขันธ 5 น้ี ยอ ลงมาเปน 2 คอื นาม และ รูป; รูปขนั ธจัดเปนรูป, 4 ขันธนอกนัน้ เปน นาม. อกี อยางหนง่ึ จัดเขาในปรมัตถธรรม 4: วญิ ญาณขันธเ ปน จติ , เวทนาขันธ สญั ญาขันธ และ สงั ขารขันธ เปน เจตสกิ , รูปขันธ เปน รูป, สว น นิพพาน เปนขนั ธวินมิ ตุ คือ พนจากขันธ 5 เร่อื งขันธ 5 พึงดปู ระกอบในหมวดธรรมอนื่ ๆ เชน 1. รปู ขนั ธ ดู [38] รปู 21, 28; [39] มหาภตู 4; [40] อุปาทายรปู 24. 2. เวทนาขนั ธ ดู [110] เวทนา 2; [111] เวทนา 3; [112] เวทนา 5; [113] เวทนา 6. 3. สญั ญาขันธ ดู [271] สัญญา 6.

หมวด 5 163 [218]4. สังขารขนั ธ ดู [119] สังขาร 3 1; [120] สังขาร 3 2; [129] อภสิ ังขาร 3; [263] เจตนา 6.5. วิญญาณขันธ ดู [268] วญิ ญาณ 6.นอกนี้ ดู [356] จติ 89; [355] เจตสกิ 52S.III.47; Vbh.1. สํ.ข.17/95/58; อภิ.วิ.35/1/1.[,,,] คติ 5 ดู [351] ภูมิ 4 หรือ 31.[217] จักขุ 5 (พระจกั ษอุ นั เปน สมบตั ขิ องพระผมู พี ระภาคเจา — Cakkhu: the Five Eyesof the Blessed One)1. มังสจกั ขุ (ตาเน้ือ คือ ทรงมีพระเนตรอนั งาม มีอาํ นาจ เหน็ แจม ใส ไว และเหน็ ไกล — Ma§sa-cakkhu: the physical eye which is exceptionally powerful and sensitive)2. ทิพพจักขุ (ตาทิพย คอื ทรงมีพระญาณอนั เห็นหมสู ตั วผ เู ปน ไปตางๆ กัน ดวยอํานาจกรรม— Dibba-cakkhu: the Divine Eye)3. ปญ ญาจักขุ (ตาปญญา คอื ทรงประกอบดว ยพระปญ ญาคุณยิ่งใหญ เปนเหตุใหสามารถตรัสรูอรยิ สัจจธรรม เปนตน — Pa¤¤à-cakkhu: the eye of wisdom; Wisdom-Eye)4. พทุ ธจกั ขุ (ตาพระพทุ ธเจา คอื ทรงประกอบดว ยอนิ ทรยิ ปโรปรยิ ตั ตญาณ และอาสยานสุ ยญาณ เปนเหตใุ หท รงทราบอธั ยาศัยและอปุ นิสยั แหงเวไนยสตั ว แลวทรงสัง่ สอนแนะนาํ ใหบรรลุคุณวเิ ศษตา งๆ ยังพุทธกจิ ใหบ ริบรู ณ — Buddha-cakkhu: the eye of a Buddha;Buddha-Eye)5. สมันตจักขุ (ตาเหน็ รอบ คอื ทรงประกอบดวยพระสัพพญั ุตญาณ อันหยัง่ รธู รรมทกุประการ — Samanta-cakkhu: the eye of all-round knowledge; All-seeing Eye;omniscience)Nd2235. ขุ.ม.29/51/52.[,,,] ฌาน 5 ดู [9] ฌาน 4.[218] ธรรมขันธ 5 (กองธรรม, หมวดธรรม, ประมวลธรรมทัง้ ปวงเขาเปนหัวขอใหญ —Dhamma-khandha: bodies of doctrine; categories of the Teaching)1. สลี ขันธ (กองศีล, หมวดศลี ประมวลธรรมท้ังหลาย เชน อปจายนมยั เวยยาวัจจมยัปาติโมกขสงั วร กายสจุ รติ สัมมาวาจา สัมมากัมมนั ตะ สัมมาอาชวี ะ เปน ตน — Sãla-khandha:body of morals; virtue category)2. สมาธขิ นั ธ (กองสมาธ,ิ หมวดสมาธิ ประมวลธรรมท้งั หลาย เชน ฉนั ทะ วริ ิยะ จติ ตะสมั มาวายามะ สมั มาสติ สมั มาสมาธิ เปนตน — Samàdhi-khandha: body of concen-tration; concentration category)3. ปญญาขันธ (กองปญญา, หมวดปญญา ประมวลธรรมทัง้ หลาย เชน ธัมมวิจยะ วมิ ังสา

[219] 164 พจนานุกรมพทุ ธศาสตรปฏสิ มั ภิทา สัมมาทฏิ ฐิ สัมมาสังกัปปะ เปน ตน — Pa¤¤à-khandha: body of wisdom orinsight; understanding category)4. วิมุตตขิ ันธ (กองวิมุตติ, หมวดวิมุตติ ประมวลธรรมทัง้ หลาย เชน ปหาน วิราคะ วิโมกขวสิ ุทธิ สนั ติ นโิ รธ นพิ พาน เปน ตน — Vimutti-khandha: body of deliverance; deliver-ance category)5. วิมุตติญาณทัสสนขันธ (กองวิมตุ ตญิ าณทัสสนะ, หมวดธรรมเกี่ยวกบั การรกู ารเห็นในวมิ ตุ ติ ประมวลธรรมท้ังหลาย เชน ผลญาณ ปจจเวกขณญาณ เปน ตน — Vimutti¤àõa-dassana-khandha: body of the knowledge and vision of deliverance; knowing-and-seeing-of-deliverance category) ธรรมขนั ธ 4 ขอ ตน เรียกอกี อยา งวา สาระ 4 (แกน , หลักธรรมที่เปน แกน , หวั ใจธรรม —essences)D.III.279; A.III.134; A.II.140. ที.ปา.11/420/301; อง.ฺ ปจฺ ก.22/108/152; องฺ.จตุกกฺ .21/150/189.[219] ธรรมเทสกธรรม 5 (ธรรมของนกั เทศก, องคแหง ธรรมกถึก, ธรรมทผี่ ูแสดงธรรมหรือสั่งสอนคนอืน่ ควรตัง้ ไวใ นใจ — Dhammadesaka-dhamma: qualities of apreacher; qualities which a teacher should establish in himself)1. อนุปพุ พฺ ิกถํ (กลา วความไปตามลาํ ดบั คอื แสดงหลักธรรมหรอื เน้อื หาวิชาตามลําดับความงายยากลุมลึก มีเหตุผลสัมพันธตอเน่ืองกันไปโดยลําดับ — Anupubbikatha§: Hisinstruction or exposition is regulated and gradually advanced.)2. ปรยิ ายทสสฺ าวี (ชแ้ี จงยกเหตุผลมาแสดงใหเ ขาใจ คือ ชีแ้ จงใหเ ขาใจชดั ในแตละแงแ ตละประเด็น โดยอธบิ ายขยายความ ยักเยอื้ งไปตา งๆ ตามแนวเหตุผล — Pariyàyadassàvã: Ithas reasoning or refers to causality.)3. อนุทยตํ ปฏิจจฺ (แสดงธรรมดวยอาศัยเมตตา คอื สอนเขาดวยจติ เมตตา มงุ จะใหเปนประโยชนแกเ ขา — Anudayata§ pañicca: It is inspired by kindness; teaching out ofkindliness.)4. น อามิสนฺตโร (ไมแสดงธรรมดวยเห็นแกอามิส คือ สอนเขามใิ ชเพราะมงุ ทีต่ นจะไดล าภหรือผลประโยชนตอบแทน — Na àmisantaro: It is not for worldly gain.)5. อตฺตานฺจ ปรฺจ อนปุ หจฺจ (แสดงธรรมไมก ระทบตนและผูอ่นื คือ สอนตามหลักตามเนอื้ หา มุง แสดงอรรถ แสดงธรรม ไมย กตน ไมเ สียดสขี ม ข่ผี อู ่นื — Anupahacca: It doesnot hurt oneself or others; not exalting oneself while contempting others.)A.III.184. อง.ฺ ปจฺ ก.22/159/205.[220] ธรรมสมาธิ 5 (ธรรมทีท่ าํ ใหเกดิ ความมัน่ สนิทในธรรม เกิดความม่ันใจในการปฏบิ ัตธิ รรมถกู ตอ ง กาํ จัดความขอ งใจสงสยั เสียได เมอื่ เกิดธรรมสมาธิ คือความมน่ั สนทิ ใน

หมวด 5 165 [222]ธรรม ก็จะเกิดจิตตสมาธิ คอื ความตั้งมน่ั ของจิต — Dhamma-samàdhi: concentration ofthe Dhamma; virtues making for firmness in the Dhamma)1. ปราโมทย (ความชน่ื บานใจ รา เรงิ สดใส — Pàmojja: cheerfulness; gladness; joy)2. ปต ิ (ความอม่ิ ใจ, ความปล้มื ใจ — Pãti: rapture; elation)3. ปสสทั ธิ (ความสงบเย็นกายใจ, ความผอ นคลายรนื่ สบาย — Passaddhi: tranquillity;relaxedness)4. สขุ (ความรนื่ ใจไรความของขดั — Sukha: happiness)5. สมาธิ (ความสงบอยูตัวมั่นสนิทของจิตใจ ไมมีส่ิงรบกวนเราระคาย — Samàdhi:concentration) ธรรม หรอื คุณสมบตั ิ 5 ประการน้ี ตรสั ไวทัว่ ไปมากมาย เมอ่ื ทรงแสดงการปฏิบตั ธิ รรมท่ีกาวมาถึงข้ันเกิดความสาํ เร็จชัดเจน ตอจากนี้ ผูปฏิบตั ิจะเดนิ หนาไปสกู ารบรรลผุ ลของสมถะ(คือไดฌาน) หรอื ของวิปสสนา แลวแตก รณี ดังนั้น จงึ ใชเปนเครือ่ งวดั ผลการปฏิบตั ิขน้ั ตอนในระหวางไดด ี และเปนธรรมหรอื คุณสมบัตสิ าํ คญั ของจติ ใจที่ทกุ คนควรทําใหเกิดมีอยเู สมอS.IV.350. สํ.สฬ.18/665–673/429–439.[221] ธรรมสวนานิสงส 5 (อานสิ งสใ นการฟง ธรรม — Dhammassavanànisa§sa:benefits of listening to the Dhamma)1. อสสฺ ตุ ํ สุณาติ (ยอ มไดฟ ง สง่ิ ทีย่ งั ไมเ คยฟง, ไดเรียนรสู ง่ิ ทยี่ งั ไมเ คยเรียนรู — He hearsthings not heard.)2. สตุ ํ ปรโิ ยทเปติ (สง่ิ ทเี่ คยไดฟ ง ก็ทําใหแ จม แจง เขาใจชดั เจนย่ิงขนึ้ — He clears thingsheard.)3. กงขฺ ํ วหิ นติ (แกขอ สงสยั ได, บรรเทาความสงสยั เสยี ได — He dispels his doubts.)4. ทิฏ ึ อชุ ุ กโรติ (ทําความเหน็ ใหถ กู ตองได — He makes straight his views.)5. จติ ฺตมสฺส ปสที ติ (จติ ของเขายอมผองใส — His heart becomes calm and happy.)A.III.248. องฺ.ปจฺ ก.22/202/276.[222] นวกภิกขุธรรม 5 (ธรรมทีค่ วรฝกสอนภกิ ษบุ วชใหมใ หประพฤติปฏบิ ัตอิ ยางมัน่ คง, องคแ หง ภกิ ษใุ หม — Navakabhikkhu-dhamma: qualities of a newly ordainedmonk; qualities which should be established in newly ordained monks)1. ปาตโิ มกขสังวร (สาํ รวมในพระปาฏโิ มกข รกั ษาศีลเครง ครดั ทงั้ ในสวนเวน ขอ หาม และทาํตามขอ อนญุ าต — Pàñimokkhasa§vara: restraint in accordance with the monasticcode of discipline; self-control strictly in accordance with the fundamentaltraining-rules)2. อนิ ทรยี สังวร (สาํ รวมอนิ ทรยี  มสี ตริ ะวงั รกั ษาใจ มใิ หก เิ ลสคอื ความยนิ ดยี นิ รา ยเขา ครอบงาํ

[223] 166 พจนานุกรมพุทธศาสตรเม่อื รับรูอ ารมณด ว ยอนิ ทรยี ท ง้ั 6 มเี หน็ รปู ดว ยตาเปน ตน — Indriyasa§vara: restraint ofthe senses; sense-control)3. ภัสสปรยิ ันตะ (พูดคยุ มีขอบเขต คอื จํากดั การพูดคุยใหนอ ย รขู อบเขต ไมเอิกเกรกิ เฮฮา— Bhassapariyanta: restraint as regards talking)4. กายวูปกาสะ (ปลกี กายอยสู งบ คือ เขา อยใู นเสนาสนะอันสงดั — Kàyavåpakàsa:seclusion as to the body; love of solitude)5. สัมมาทสั สนะ (ปลูกฝงความเห็นชอบ คือ สรา งเสรมิ สมั มาทิฏฐิ — Sammàdassana:cultivation of right views.)A.III.138. องฺ.ปฺจก.22/114/156.[223] นิยาม 5 (กาํ หนดอนั แนนอน, ความเปน ไปอันมรี ะเบยี บแนน อนของธรรมชาติ, กฎธรรมชาติ — Niyàma: orderliness of nature; the five aspects of natural law)1. อตุ นุ ยิ าม (กฎธรรมชาตเิ กยี่ วกบั อณุ หภมู ิ หรอื ปรากฏการณธ รรมชาตติ า งๆ โดยเฉพาะดนิ นา้ํอากาศ และฤดกู าล อนั เปน สงิ่ แวดลอ มสาํ หรบั มนษุ ย — Utu-niyàma: physical inorganicorder; physical laws)2. พชี นยิ าม (กฎธรรมชาตเิ กย่ี วกบั การสบื พนั ธุ มพี นั ธกุ รรมเปน ตน — Bãja-niyàma: physicalorganic order; biological laws)3. จิตตนิยาม (กฎธรรมชาตเิ กีย่ วกบั การทํางานของจิต — Citta-niyàma: psychic law)4. กรรมนยิ าม (กฎธรรมชาตเิ ก่ยี วกบั การกระทําของมนุษย คือ กระบวนการใหผ ลของการกระทาํ — Kamma-niyàma: order of act and result; the law of Kamma; moral laws)5. ธรรมนิยาม (กฎธรรมชาติเกี่ยวกับความสัมพนั ธแ ละอาการที่เปน เหตุเปน ผลแกกันแหง ส่ิงทั้งหลาย — Dhamma-niyàma: order of the norm; the general law of cause andeffect; causality and conditionality) ดู [86] ธรรมนิยาม 3; [176] วิบัติ 4 2; [177] สมบัติ 4.DA.II.432; DhsA.272. ที.อ.2/34; สงคฺ ณี.อ.408.[224] นิโรธ 5 (ความดับกิเลส, ภาวะไรกิเลสและไมมีทุกขเกิดข้ึน — Nirodha:extinction; cessation of defilements; non-arising of suffering)1. วกิ ขมั ภนนโิ รธ (ดบั ดว ยขม ไว คอื การดบั กเิ ลสของทา นผบู าํ เพญ็ ฌาน ถงึ ปฐมฌาน ยอ มขม นวิ รณไวไ ด ตลอดเวลาทอี่ ยใู นฌานนน้ั — Vikkhambhana-nirodha: extinction by suppression)2. ตทงั คนโิ รธ (ดบั ดว ยองคน น้ั ๆ คอื ดบั กเิ ลสดว ยธรรมทเ่ี ปน คปู รบั หรอื ธรรมทตี่ รงขา ม เชนดับสักกายทิฏฐดิ ว ยความรูท ่กี าํ หนดแยกนามรปู ออกได เปนการดบั ช่วั คราวในกรณนี น้ั ๆ —Tadaïga-nirodha: extinction by substitution of opposites)3. สมจุ เฉทนโิ รธ (ดบั ดว ยตัดขาด คือ ดับกิเลสเสรจ็ สน้ิ เดด็ ขาด ดวยโลกตุ ตรมรรค ในขณะ

หมวด 5 167 [226]แหงมรรคนั้น ชอ่ื สมุจเฉทนิโรธ — Samuccheda-nirodha: extinction by cutting off orextirpation)4. ปฏิปสสัทธินิโรธ (ดับดวยสงบระงับ คือ อาศัยโลกุตตรมรรคดับกิเลสเดด็ ขาดไปแลวบรรลโุ ลกุตตรผล กเิ ลสเปน อันสงบระงบั ไปหมดแลว ไมต องขวนขวายเพอ่ื ดับอกี ในขณะแหงผลนัน้ ชื่อ ปฏิปสสทั ธินโิ รธ — Pañipassaddhi-nirodha: extinction by tranquillization)5. นิสสรณนิโรธ (ดับดว ยสลัดออกได หรือดบั ดวยปลอดโปรง ไป คือ ดบั กเิ ลสเสร็จส้นิ แลวดาํ รงอยูในภาวะท่กี ิเลสดับแลว นน้ั ยัง่ ยืนตลอดไป ภาวะนนั้ ชื่อ นสิ สรณนิโรธ ไดแ กอมตธาตุ คอืนพิ พาน — Nissaraõa-nirodha: extinction by escape; extinction by getting freed) ปหาน 5 (การละกิเลส — abandonment), วมิ ตุ ติ 5 (ความหลุดพน — deliverance),วิเวก 5 (ความสงดั , ความปลีกออก — seclusion), วริ าคะ 5 (ความคลายกําหนดั , ความสํารอกออกได — detachment; dispassionateness), โวสสคั คะ 5 (ความสละ, ความปลอย— relinquishing) ก็อยา งเดยี วกนั นี้ท้งั หมดPs.I.27,220–221; Vism.410. ข.ุ ปฏิ.31/65/39; 704/609; วิสทุ ธฺ .ิ 2/249.[225] นิวรณ 5 (ส่ิงทกี่ น้ั จติ ไมใ หก าวหนาในคุณธรรม, ธรรมที่ก้นั จติ ไมใ หบรรลคุ ุณความดี, อกศุ ลธรรมทีท่ าํ จติ ใหเ ศราหมองและทาํ ปญ ญาใหออนกําลงั — Nãvaraõa: hindrances.)1. กามฉนั ทะ (ความพอใจในกาม, ความตองการกามคณุ —Kàmachanda: sensual desire)2. พยาบาท (ความคดิ รา ย, ความขัดเคืองแคนใจ — Byàpàda: illwill)3. ถีนมทิ ธะ (ความหดหแู ละเซ่ืองซมึ — Thãna-middha: sloth and torpor)4. อทุ ธจั จกกุ กจุ จะ (ความฟงุ ซา นและรอ นใจ, ความกระวนกระวายกลมุ กงั วล — Uddhacca-kukkucca: distraction and remorse; flurry and worry; restlessness and anxiety)5. วิจิกิจฉา (ความลังเลสงสยั — Vicikicchà: doubt; uncertainty)A.III.62; Vbh.378. อง.ฺ ปฺจก.22/51/72; อภ.ิ วิ.35/983/510.[,,,] เบญจธรรม ดู [239] เบญจธรรม.[,,,] เบญจศีล ดู [238] ศีล 5.[,,,] ประโยชนที่ควรถือเอาจากโภคทรัพย 5 ดู [232] โภคอาทยิ ะ 5[,,,] ปหาน 5 (การละกิเลส — Pahàna: abandonment) ดู [224] นโิ รธ 5[,,,] ปญจกัชฌาน ดู [7] ฌาน 2.[226] ปติ 5 (ความอม่ิ ใจ, ความดื่มด่าํ — Pãti: joy; interest; zest; rapture)1. ขทุ ทกาปต ิ (ปติเลก็ นอ ย พอขนชูชนั น้ําตาไหล — Khuddakà-pãti: minor rapture;lesser thrill)

[227] 168 พจนานกุ รมพุทธศาสตร2. ขณิกาปติ (ปต ิชั่วขณะ ทําใหร สู ึกแปลบๆ เปนขณะๆ ดจุ ฟา แลบ — Khaõikà-pãti:momentary or instantaneous joy)3. โอกกนั ตกิ าปติ (ปติเปนระลอกหรือปติเปนพักๆ ใหร ูส ึกซลู งมาๆ ในกาย ดจุ คลนื่ ซดั ตอ งฝง — Okkantikà-pãti: showering joy; flood of joy)4. อุพเพคาปต ิ หรือ อุพเพงคาปติ (ปต ิโลดลอย เปนอยางแรงใหรสู กึ ใจฟแู สดงอาการหรอืทําการบางอยางโดยมไิ ดต ง้ั ใจ เชน เปลงอทุ าน เปน ตน หรอื ใหร ูสึกตวั เบาลอยขึ้นไปในอากาศ —Ubbegà-pãti: uplifting joy)5. ผรณาปติ (ปติซาบซา น ใหรูสกึ เย็นซา นแผเอิบอาบไปทว่ั สรรพางค ปต ทิ ี่ประกอบกบั สมาธิทา นมุง เอาขอน้ี — Pharaõà-pãti: suffusing joy; pervading rapture)Vism.143. วสิ ุทฺธ.ิ 1/182.[227] พร 5 (สงิ่ นา ปรารถนาทบ่ี คุ คลหนง่ึ อาํ นวยใหห รอื แสดงความประสงคด ว ยความปรารถนา ดใี หเ กดิ มขี นึ้ แกบ คุ คลอน่ื ; สงิ่ ประเสรฐิ , สง่ิ ดเี ยย่ี ม — Vara: blessing; boon; excellent thing) พรท่รี จู กั กนั มากไดแก ชดุ ที่มจี ํานวน 4 ขอ ซ่งึ เรียกกันวา จตุรพิธพร หรือพร 4 ประการคอื อายุ วรรณะ สขุ ะ พละDh.109; A.II.63. ข.ุ ธ.25/18/29; อง.ฺ จตกุ ฺก.21/58/83.พรทเ่ี ปน ชดุ มจี ํานวน 5 ขอ บาง 6 ขอบาง ก็มี เชน อายุ วรรณะ สขุ ะ พละ ปฏภิ าณ (อง.ฺปฺจก.22/37/44 = A.III.42); อายุ วรรณะ ยศ เกียรติ สขุ ะ พละ (อง.ฺ จตกุ กฺ .21/34/45; อง.ฺ ปจฺ ก.22/32/38; ขุ.อติ ิ. 25/270/299 = A.II.35; A.III.36; It.89); อายุ วรรณะ สุขะ ยศ เกียรติ สคั คะ คอื สวรรคพรอ มทั้ง อุจจากุลีนตา คอื ความมีตระกลู สงู (อง.ฺ ปจฺ ก. 22/43/51 = A.III.48); อายุ วรรณะ ยศ สุขอาธปิ จ จะ คอื ความเปน ใหญ (ข.ุ เปต. 26/106/195 = Pv. 308) และชุดทีจ่ ะกลาวถงึ ตอ ไปคือ อายุวรรณะ สุขะ โภคะ พละ อยา งไรก็ดี พงึ ทราบวา คําวา พร ในท่นี ้ี เปน การใชโดยอนุโลมตามความหมายในภาษาไทยซึง่ เพีย้ นไปแลว จากความหมายเดิมในภาษาบาลี ในภาษาบาลีแตเดิม พร หมายถงึ ผลประโยชนหรือสิทธิพิเศษทีอ่ นญุ าตหรืออาํ นวยใหต ามที่ขอ พรทกี่ ลา วถึง ณ ท่ีน้ีทงั้ หมด ในบาลไี มไดเรียกวา พร แตเรยี กวา ฐานะ หรือ ธรรม ท่นี าปรารถนา นา ใคร นาพอใจ (ซง่ึ จะบรรลไุ ดด ว ยกรรมคอื การกระทาํ ทดี่ ีอนั เปน บญุ ) สําหรบั พระภกิ ษุ พรหรือธรรมอนั นา ปรารถนาเหลานี้ หมายถึงคุณธรรมตางๆ ที่ควรปลูกฝงฝก อบรมใหเกดิ มี ดงั พทุ ธพจนวา : ภิกษทุ อ งเทีย่ วอยู ภายในถ่ินทองเทย่ี วที่เปนแดนของตนอนัสบื ทอดมาแตบ ิดา (คือ สตปิ ฏ ฐาน 4) จักเจริญดว ย1. อายุ คือ พลงั ทห่ี ลอ เลี้ยงทรงชวี ติ ใหส ืบตอ อยูไดย าวนาน ไดแก อิทธบิ าท 4 (for monks,âyu: longevity = the Four Bases of Accomplishment)2. วรรณะ คอื ความงามเอบิ อม่ิ ผอ งใสนา เจรญิ ตาเจรญิ ใจ ไดแ ก ศลี (Vaõõa: beauty =

หมวด 5 169 [229]moral conduct)3. สขุ ะ คอื ความสขุ ไดแ ก ฌาน 4 (Sukha: happiness = the Four Meditative Absorptions)4. โภคะ คอื ความพร่ังพรอ มดว ยทรัพยส มบัติและอปุ กรณตางๆ อันอาํ นวยความสขุ ความสะดวกสบาย ไดแ ก อปั ปมญั ญา หรอื พรหมวหิ าร 4 (Bhoga: wealth = the Four BoundlessSublime States of Mind)5. พละ คอื กาํ ลงั แรงความเขม แขง็ ทที่ าํ ใหข ม ขจดั ไดแ มแ ตก าํ ลงั แหง มาร ทาํ ใหส ามารถดาํ เนนิ ชีวิตที่ดีงามปลอดโปรงเปน สขุ บําเพญ็ กิจดวยบรสิ ุทธิแ์ ละเตม็ ท่ี ไมมีกเิ ลสหรือความทกุ ขใดๆ จะสามารถบบี คนั้ ครอบงาํ ไดแก วมิ ตุ ติ ความหลดุ พน หมดส้ินอาสวะ หรืออรหัตตผล (Bala:strength or power = the Final Freedom) D.III.77. ที.ปา.11/50/85.[228] พละ 5 (ธรรมอันเปนกําลงั — Bala: power)องคธรรม 5 อยา งในหมวดนี้ มชี ือ่ ตรงกับ อินทรีย 5 จงึ ขอใหด ทู ่ี [258] อนิ ทรีย 5พละหมวดนี้เปน หลักปฏบิ ตั ิทางจิตใจ ใหถ งึ ความหลดุ พนโดยตรงD.III.239; A.III.10; Vbh.342. ที.ปา.11/300/252; อง.ฺ ปจฺ ก.22/13/11; อภ.ิ ว.ิ 35/844/462.[229] พละ 4 (ธรรมอนั เปน กาํ ลงั , ธรรมอนั เปนพลงั ทาํ ใหดําเนินชีวิตดว ยความม่นั ใจ ไมหวน่ั ตอ ภัยทุกอยา ง — Bala: strength; force; power)1. ปญญาพละ (กําลังปญญา — Pa¤¤à-bala: power of wisdom)2. วิรยิ พละ (กําลังความเพยี ร — Viriya-bala: power of energy or diligence)3. อนวัชชพละ (กาํ ลังสุจริต หรือ กาํ ลังความบรสิ ทุ ธิ์, ตามศัพทแ ปลวา กาํ ลังการกระทําที่ไมมีโทษ คอื มีกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมบรสิ ุทธิ์ เชน มคี วามประพฤตแิ ละหนา ทีก่ ารงานสจุ ริตไมมีขอ บกพรอ งเสยี หาย พดู จรงิ มีเหตุผล มุงดี ไมร กุ รานใหร า ยใคร ทาํ การดว ยเจตนาบริสทุ ธิ์— Anavajja-bala: power of faultlessness, blamelessness or cleanliness)4. สังคหพละ (กําลังการสงเคราะห คอื การยึดเหนย่ี วนา้ํ ใจคนและประสานหมชู นไวในสามคั คี— Saïgaha-bala: power of sympathy or solidarity) สงเคราะหด ว ยสงั คหวตั ถุ 4 คอื4.1 ทาน (การใหป น โดยปกตหิ มายถึง ชวยเหลอื ในดานทนุ หรือปจ จัยเครอ่ื งยงั ชีพ ตลอดจนเผอื่ แผก ันดว ยไมตรี อยา งเลิศหมายถึงธรรมทาน คือ แนะนําสัง่ สอนใหค วามรคู วามเขาใจ จนเขารูจักพง่ึ ตนเองได — Dàna: gift; charity; benefaction)4.2 เปยยวชั ชะ (พดู จบั ใจ, = ปย วาจา คือ พดู ดว ยนํ้าใจหวังดี มุง ใหเปน ประโยชน และรจู กัพดู ใหเ ปน ผลดี ทําใหเ กดิ ความเชือ่ ถือ สนิทสนม และเคารพนับถอื กัน อยางเลศิ หมายถงึ หมน่ัแสดงธรรม คอยชวยชี้แจงแนะนําหลักความจริง ความถูกตองดีงาม แกผูท่ีตองการ —Peyyavajja: kindly speech)4.3 อตั ถจริยา (บาํ เพญ็ ประโยชน คอื ชว ยเหลอื รับใช ทํางานสรา งสรรค ประพฤติการทเี่ ปน

[230] 170 พจนานกุ รมพุทธศาสตรประโยชน อยางเลิศหมายถงึ ชว ยเหลือสงเสริมคนใหมคี วามเช่อื ถือถกู ตอ ง (สทั ธาสัมปทา) ใหประพฤติดงี าม (สีลสมั ปทา) ใหม คี วามเสียสละ (จาคสมั ปทา) และใหม ีปญญา (ปญ ญาสัมปทา)— Atthacariyà: friendly aid; doing good; life of service)4.4 สมานตั ตตา (มตี นเสมอ คอื เสมอภาค ไมเ อาเปรยี บ ไมถ ือสงู ตา่ํ รวมสุขรว มทุกขด ว ยอยางเลิศหมายถึง มีความเสมอกันโดยธรรม เชน พระโสดาบันมีตนเสมอกับพระโสดาบันเปนตน — Samànattatà: equality; impartiality; participation) พละหมวดน้ี เปนหลักประกนั ของชวี ติ ผูประพฤติธรรม 4 นีย้ อ มดาํ เนนิ ชีวติ ดวยความมั่นใจ เพราะเปน ผมู ีพลังในตน ยอ มขามพน ภยั ทงั้ 5 คือ1. อาชวี ิตภัย (ภัยเน่ืองดว ยการครองชีพ — fear of troubles about livelihood)2. อสโิ ลกภัย (ภัยคือความเสือ่ มเสยี ชอ่ื เสียง — fear of ill-fame)3. ปริสสารชั ชภยั (ภัยคอื ความครั่นครามเกอเขนิ ในทีช่ ุมนุม — fear of embarrassment inassemblies)4. มรณภัย (ภัยคือความตาย — fear of death)5. ทคุ คติภัย (ภยั คือทคุ ติ — fear of a miserable life after death)ดู [186] สังคหวัตถุ 4.A.IV.363. อง.ฺ นวก.23/209/376.[230] พละ 5 ของพระมหากษัตริย (พลังของบุคคลผยู ิง่ ใหญทสี่ ามารถเปนกษัตรยิ ป กครองแผนดินได — Bala: strengths of a king)1. พาหาพละ หรือ กายพละ (กําลงั แขน หรือกาํ ลงั กาย คอื ความแขง็ แรงมสี ขุ ภาพดี สามารถและชาํ นาญในการใชแ ขนใชม อื ใชอ าวธุ ตลอดจนมยี ทุ โธปกรณพ รงั่ พรอ ม — Bàhà-bala, Kàya-bala: strength of arms)2. โภคพละ (กาํ ลงั โภคสมบตั ิ คอื มที ุนทรพั ยบริบรู ณ พรอมท่จี ะใชบ าํ รงุ เลย้ี งคน และดําเนนิกจิ การไดไมติดขัด — Bhoga-bala: strength of wealth)3. อมัจจพละ (กาํ ลังอาํ มาตย หรือกําลังขา ราชการ คอื มีทป่ี รึกษาและขา ราชการระดบั บริหารที่ทรงคุณวฒุ ิเกงกลา สามารถ และจงรักภักดี ซอื่ สตั ยตอแผนดิน — Amacca-bala: strengthof counsellors or ministers)4. อภิชัจจพละ (กําลงั ความมชี าตสิ งู คอื กาํ เนดิ ในตระกูลสงู เปนขตั ตยิ ชาตติ องดว ยความนิยมเชดิ ชขู องมหาชน และไดรบั การฝก อบรมมาแลว เปนอยางดตี ามประเพณแี หง ชาตติ ระกูลนนั้— Abhijacca-bala: strength of high birth)5. ปญ ญาพละ (กาํ ลังปญญา คือ ทรงปรีชาญาณ หย่ังรเู หตผุ ล ผิดชอบ ประโยชน มใิ ชประโยชน สามารถวนิ ิจฉัยเหตกุ ารณท ้งั ภายในภายนอก และดาํ รกิ ารตางๆ ใหไ ดผลเปน อยา งดี— Pa¤¤à-bala: strength of wisdom)

หมวด 5 171 [232] กาํ ลังแขน หรือกาํ ลงั กาย แมจะสําคัญ แตทา นจัดวาตํ่าสดุ หากไมมพี ลงั อน่ื ควบคุมคา้ํ จนุอาจกลายเปน กาํ ลังอนั ธพาล สวนกาํ ลังปญ ญา ทา นจดั วา เปนกําลงั อันประเสริฐ เปนยอดแหงกําลงั ทง้ั ปวง เพราะเปนเครอ่ื งกาํ กับ ควบคุม และนาํ ทางกําลังอ่ืนทกุ อยา งJ.V.120. ขุ.ชา.27/2444/532; ชา.อ.7/348.[231] พหูสูตมีองค 5 (คุณสมบตั ิที่ทาํ ใหควรไดรบั ชอ่ื วา เปน พหสู ูต คือ ผูไ ดเรียนรูม ากหรอื คงแกเรียน — Bahussutaïga: qualities of a learned person)1. พหุสสฺ ตุ า (ฟง มาก คือ ไดเ ลา เรยี นสดับฟง ไวมาก — Bahussutà: having heard orlearned many ideas)2. ธตา (จําได คอื จบั หลักหรอื สาระได ทรงจําความไวแมนยํา — Dhatà: having retainedor remembered them)3. วจสา ปริจิตา (คลอ งปาก คอื ทอ งบน หรือใชพ ดู อยูเ สมอจนแคลว คลอ งจัดเจน — Vacasàparicità: having frequently practised them verbally; having consolidated them byword of mouth)4. มนสานุเปกขฺ ิตา (เพงขน้ึ ใจ คือ ใสใจนึกคดิ พจิ ารณาจนเจนใจ นกึ ถึงครั้งใด กป็ รากฏเนื้อความสวา งชัด — Manasànupekkhità: having looked over them with the mind)5. ทิฏ ยิ า สปุ ฏิวทิ ธฺ า (ขบไดดว ยทฤษฎี หรือแทงตลอดดดี ว ยทิฏฐิ คือ มีความเขา ใจลึกซง้ึมองเห็นประจักษแ จง ดวยปญ ญา ทง้ั ในแงความหมายและเหตผุ ล — Diññhiyà supañividdhà:having thoroughly penetrated them by view)A.III.112. อง.ฺ ปฺจก.22/87/129.[232] โภคอาทิยะ หรือ โภคาทิยะ 5 (ประโยชนท ่ีควรถอื เอาจากโภคทรัพย หรอืเหตุผลทอี่ รยิ สาวกควรยดึ ถือ ในการทีจ่ ะมหี รอื ครอบครองโภคทรพั ย — Bhoga-àdiya: usesof possessions; benefits which one should get from wealth; reasons for earningand having wealth) อริยสาวกแสวงหาโภคทรพั ยมาได ดวยนํ้าพกั นา้ํ แรงความขยนั หมน่ั เพยี รของตน และโดยทางสจุ ริตชอบธรรมแลว1. เลยี้ งตวั มารดาบดิ า บตุ รภรรยา และคนในปกครองทง้ั หลายใหเ ปน สขุ (to make oneself,one’s parents, children, wife, servants and workmen happy and live in comfort)2. บํารุงมติ รสหายและผูรว มกิจการงานใหเปนสุข (to share this happiness andcomfort with one’s friends)3. ใชปองกนั ภยันตราย (to make oneself secure against all misfortunes)4. ทําพลี 5 อยาง (to make the fivefold offering)ก. ญาตพิ ลี สงเคราะหญาติ (to relatives, by giving help to them)

[233] 172 พจนานกุ รมพุทธศาสตรข. อติถพิ ลี ตอนรับแขก (to guests, by receiving them)ค. ปพุ พเปตพลี ทาํ บุญอทุ ศิ ใหผ ูล วงลับ (to the departed, by dedicating merit to them)ง. ราชพลี บาํ รงุ ราชการดว ยการเสยี ภาษอี ากรเปน ตน (to the king, i.e. to the government, bypaying taxes and duties and so on)จ. เทวตาพลี ถวายเทวดา* คือ สกั การะบาํ รุงหรือทําบุญอุทิศสิง่ ท่เี คารพบูชาตามความเช่ือถือ(to the deities, i.e. those beings who are worshipped according to one’s faith)5. อปุ ถัมภบ ํารงุ สมณพราหมณผปู ระพฤติดปี ฏิบัตชิ อบ (to support those monks andspiritual teachers who lead a pure and diligent life) เม่อื ใชโภคทรพั ยท าํ ประโยชนอยา งน้ีแลว ถึงโภคะจะหมดส้ินไป ก็สบายใจไดว า ไดใชโภคะนั้นใหเปนประโยชนถูกตองตามเหตผุ ลแลว ถา โภคะเพิม่ ขน้ึ กส็ บายใจเชน เดยี วกนั เปน อนั ไมตองเดือดรอ นใจในทั้งสองกรณ.ีA.III.45. องฺ.ปจฺ ก.22/41/48.[233] มัจฉริยะ 5 (ความตระหน่ี, ความหวง, ความคดิ กดี กันไมใ หผ ูอนื่ ไดด ี หรอื มีสวนรว ม — Macchariya: meanness; avarice; selfishness; stinginess; possessiveness)1. อาวาสมจั ฉริยะ (ตระหนท่ี ่อี ย,ู หวงทีอ่ าศัย เชน ภกิ ษหุ วงเสนาสนะ กีดกนั ผอู น่ื หรือผมู ใิ ช* ในจฬู นิทเทส ทา นอธิบายความหมายของ เทวดา ไวว า ไดแ กส ่งิ ที่นบั ถอื เปน ทกั ขิไณยของตนๆ (เย เยสํทกฺขเิ ณยฺยา, เต เตสํ เทวตา — พวกไหนนับถอื สิง่ ใดเปน ทักขไิ ณย สิ่งน้ันก็เปน เทวดาของพวกนัน้ ) และแสดงตัวอยา งไวตามความเช่อื ถอื ของคนสมยั พุทธกาล ประมวลไดเปน 5 ประเภท คือ1. นักบวช นักพรต (ascetics) เชน อาชวี กเปนเทวดาของสาวกอาชวี ก นิครนถ ชฎลิ ปริพาชก ดาบส ก็ เปน เทวดาของสาวกนคิ รนถเปน ตน เหลา น้นั ตามลาํ ดับ2. สตั วเล้ยี ง (domestic animals) เชน ชางเปน เทวดาของพวกประพฤตพิ รตบชู าชาง มา โค ไก กา เปน ตน ก็เปน เทวดาของพวกถอื พรตบชู าสตั วน ั้นๆ ตามลาํ ดับ3. ธรรมชาติ (physical forces and elements) เชน ไฟเปน เทวดาของพวกประพฤติพรตบชู าไฟ แกว มณี ทศิ พระจันทร พระอาทิตย เปน เทวดาของผูถือพรตบูชาส่งิ น้ันๆ ตามลาํ ดับ4. เทพชนั้ ต่ํา (lower gods) เชน นาคเปน เทวดาของพวกประพฤตพิ รตบูชานาค ครุฑ ยกั ษ คนธรรพ เปน เทวดาของผูถอื พรตบชู านาคเปน ตนเหลา นน้ั ตามลําดับ (พระภมู ิจัดเขา ในขอ นี)้5. เทพชน้ั สูง (higher gods) เชน พระพรหม เปน เทวดาของพวกประพฤติพรตบูชาพระพรหม พระอนิ ทรเปน เทวดาของผูถือพรตบชู าพระอนิ ทร เปนตนสําหรับชนท่ียังมีความเช่ือถือในสิ่งเหลาน้ี พระพทุ ธศาสนาสอนเปลี่ยนแปลงเพยี งใหเลกิ เซน สรวงสงั เวยเอาชีวติ บูชายัญหันมาบชู ายญั ชนดิ ใหม คือบรจิ าคทานและบําเพญ็ กศุ ลกรรมตางๆ อทุ ศิ ไปใหแ ทน คอื มงุ ทวี่ ธิ ีการอันจะใหส าํ เรจ็ ประโยชนก อ น สว นการเปลี่ยนแปลงความเชื่อถือเปนเรื่องของการแกไขทางสติปญ ญา ซง่ึประณตี ขึน้ ไปอีกชัน้ หน่งึ โดยเฉพาะนกั บวชในประเภทที่ 1 แมสาวกใดจะเปลย่ี นมานบั ถอื พระพุทธศาสนาโดยสมบูรณ พระพทุ ธเจา กท็ รงแนะนาํ ใหอุปถัมภบาํ รงุ นักบวชนน้ั ตอ ไปดู Devatà ใน Pali Text Society’s Pali-English Dictionary, p. 330 ดวยNd2308. ข.ุ จ.ู 30/120/45.

หมวด 5 173 [234]พวกของตน ไมใ หเ ขาอยู เปน ตน — âvàsa-macchariya: stinginess as to dwelling)2. กุลมัจฉรยิ ะ (ตระหน่ีตระกลู , หวงสกุล เชน ภกิ ษุหวงสกลุ อุปฏ ฐาก คอยกดี กนั ภิกษุอ่นื ไมใหเ ก่ียวของไดรบั การบํารุงดว ย เปนตน — Kula-macchariya: stinginess as to family)3. ลาภมจั ฉริยะ (ตระหน่ีลาภ, หวงผลประโยชน เชน ภิกษุหาทางกดี กนั ไมใหล าภเกดิ ขน้ึ แกภกิ ษุอื่น — Làbha-macchariya: stinginess as to gain)4. วณั ณมจั ฉรยิ ะ (ตระหนี่วรรณะ, หวงสรีรวณั ณะ คือผวิ พรรณของรา งกาย ไมพ อใจใหผูอ ื่นสวยงาม ก็ดี หวงคณุ วัณณะ คอื คําสรรเสรญิ คณุ ไมอยากใหใครมคี ณุ ความดีมาแขงตน หรือไมพ อใจไดย ินคําสรรเสริญคุณความดีของผอู ่ืน กด็ ี ตลอดจนแบง ชนั้ วรรณะกัน — Vaõõa-macchariya: stinginess as to recognition; caste or class discrimination)5. ธัมมมัจฉริยะ (ตระหนีธ่ รรม, หวงวิชาความรู และคุณพเิ ศษท่ีไดบรรลุ ไมย อมสอนไมย อมบอกผูอน่ื กลวั เขาจะรูเทยี มเทาหรอื เกินตน — Dhamma-macchariya: stinginess as toknowledge or mental achievements)D.III.234; A.III.271; Vbh.357. ท.ี ปา.11/282/246; อง.ฺ ปฺจก.22/254/301; อภ.ิ วิ.35/978/509.[234] มาร 5 (สิง่ ท่ีฆาบคุ คลใหตายจากคณุ ความดีหรือจากผลทหี่ มายอนั ประเสรฐิ , สงิ่ ทล่ี า ง ผลาญคณุ ความดี, ตัวการที่กําจัดหรือขัดขวางบุคคลมิใหบรรลุผลสาํ เรจ็ อนั ดีงาม — Màra: theEvil One; the Tempter; the Destroyer)1. กเิ ลสมาร (มารคอื กเิ ลส, กเิ ลสเปนมารเพราะเปนตวั กาํ จดั และขดั ขวางความดี ทาํ ใหส ตั วประสบความพินาศท้งั ในปจ จุบนั และอนาคต — Kilesa-màra: the Màra of defilements)2. ขนั ธมาร (มารคอื เบญจขันธ, ขันธ 5 เปน มาร เพราะเปนสภาพอนั ปจจัยปรงุ แตง มคี วามขัดแยงกันเองอยภู ายใน ไมม นั่ คงทนนาน เปนภาระในการบรหิ าร ทัง้ แปรปรวนเส่อื มโทรมไปเพราะชราพยาธเิ ปนตน ลว นรอนโอกาสมิใหบคุ คลทํากิจหนา ท่ี หรือบาํ เพ็ญคณุ ความดไี ดเตม็ ปรารถนาอยา งแรง อาจถงึ กบั พรากโอกาสน้นั โดยส้นิ เชิง — Khandha-màra: the Màra of theaggregates)3. อภสิ ังขารมาร (มารคืออภสิ ังขาร, อภิสังขารเปนมาร เพราะเปน ตัวปรุงแตง กรรม นําใหเ กิดชาติ ชรา เปนตน ขัดขวางมิใหห ลดุ พน ไปจากสังสารทุกข — Abhisaïkhàra-màra: the Màraof Karma-formations)4. เทวปุตตมาร (มารคือเทพบุตร, เทพยิง่ ใหญระดับสงู สุดแหงชั้นกามาวจรตนหนงึ่ ช่อื วา มารเพราะเปนนิมิตแหงความขัดของ คอยขดั ขวางเหนย่ี วรัง้ บุคคลไว มใิ หลว งพนจากแดนอํานาจครอบงําของตน โดยชักใหหวงพะวงในกามสุขไมหาญเสียสละออกไปบําเพ็ญคุณความดีที่ย่ิงใหญได — Devaputta-màra: the Màra as deity)5. มัจจมุ าร (มารคอื ความตาย, ความตายเปน มาร เพราะเปนตวั การตัดโอกาสที่จะกาวหนาตอไปในคุณความดีทงั้ หลาย — Maccu-màra: the Màra as death)

[235] 174 พจนานุกรมพทุ ธศาสตรVism.211; ThagA.II.16,46. วิสทุ ฺธ.ิ 1/270; เถร.อ. 2/24,383,441; วินย.ฏกี า1/481.[,,,] มิจฉาวณิชชา 5 (การคา ขายทผี่ ดิ หรอื ไมช อบธรรม) เปน คาํ ชน้ั อรรถกถา บาลีเรยี ก อกรณียวณิชชา คอื “วณิชชาทไ่ี มค วรทํา” ดู [235] วณชิ ชา 5.[235] วณิชชา 5 (การคา ขาย 5 อยา ง ในทนี่ ห้ี มายถงึ การคา ขายทเ่ี ปน อกรณยี ะสาํ หรบั อบุ าสก คอื อบุ าสกไมค วรประกอบ — Vaõijjà: trades which should not be plied by a lay disciple) 1. สตั ถวณิชชา (คา ขายอาวุธ — Sattha-vaõijjà: trade in weapons) 2. สตั ตวณิชชา (คาขายมนุษย — Satta-vaõijjà: trade in human beings) 3. มังสวณิชชา (คา ขายเนอ้ื สัตว — Ma§sa-vaõijjà: trade in flesh; อรรถกถาแกว าเลีย้ ง สัตวไ วข าย — trade in animals for meat) 4. มัชชวณชิ ชา (คา ขายของเมา — Majja-vaõijjà: trade in spirits or narcotics) 5. วสิ วณชิ ชา (คา ขายยาพิษ — Visa-vaõijjà: trade in poison)A.III.207. องฺ.ปจฺ ก.22/177/233.[,,,] วัฑฒิ หรอื วัฒิ หรอื วุฒิ 5 ดู [249] อริยวฑั ฒิ 5.[236] วิมุตติ 5 (ความหลุดพน — deliverance) ดู [224] นโิ รธ 5 เทียบ ปหาน 5.[,,,] วิราคะ 5 ดู [224] นิโรธ 5.[,,,] วิเวก 5 ดู [224] นโิ รธ 5.[,,,] เวทนา 5 ดู [112] เวทนา 5.[237] เวสารัชชกรณธรรม 5 (ธรรมทาํ ความกลาหาญ, คณุ ธรรมที่ทําใหเ กดิ ความแกลวกลา — Vesàrajjakaraõa-dhamma: qualities making for intrepidity)1. ศรทั ธา (ความเชอื่ ทมี่ เี หตผุ ล มน่ั ใจในหลกั ทถ่ี อื และในการดที ที่ าํ — Saddhà: faith; confidence)2. ศลี (ความประพฤตถิ กู ตอ งดงี าม ไมผ ดิ ระเบยี บวนิ ยั ไมผ ดิ ศลี ธรรม — Sãla: good conduct;morality)3. พาหุสจั จะ (ความเปนผไู ดศ ึกษาเลาเรียนมาก — Bàhusacca: great learning)4. วริ ยิ ารมั ภะ (ปรารภความเพียร คือ การทไี่ ดเร่ิมลงมอื ทาํ ความเพยี รพยายามในกิจการน้นั ๆอยูแลวอยางมั่นคงจรงิ จัง — Viriyàrambha: exertion; energy)5. ปญญา (ความรอบรู เขา ใจชดั ในเหตุผล ดี ชว่ั ประโยชน มใิ ชประโยชน เปน ตน รคู ดิ รูวนิ จิ ฉยั และรทู จี่ ะจัดการ — Pa¤¤à: wisdom; understanding)A.III.127. อง.ฺ ปจฺ ก.22/101/144.

หมวด 5 175 [239][,,,] โวสสัคคะ 5 ดู [224] นิโรธ 5.[238] ศีล 5 หรือ เบญจศีล (ความประพฤตชิ อบทางกายและวาจา, การรักษากายวาจา ใหเ รยี บรอ ย, การรักษาปกตติ ามระเบียบวนิ ยั , ขอ ปฏบิ ัตใิ นการเวน จากความชวั่ , การควบคุมตน ใหต้ังอยใู นความไมเ บยี ดเบยี น — Pa¤ca-sãla: the Five Precepts; rules of morality) 1. ปาณาติปาตา เวรมณี (เวนจากการปลงชีวิต, เวนจากการฆาการประทษุ รายกนั — Pàõàtipàtà veramaõã: to abstain from killing) 2. อทินนฺ าทานา เวรมณี (เวนจากการถือเอาของท่ีเขามไิ ดให, เวนจากการลัก โกง ละเมิด กรรมสทิ ธิ์ ทําลายทรัพยส ิน — Adinnàdànà ~: to abstain from stealing) 3. กาเมสุมิจฉฺ าจารา เวรมณี (เวนจากการประพฤติผิดในกาม, เวน จากการลว งละเมิดสงิ่ ที่ ผอู ่นื รกั ใครหวงแหน — Kàmesumicchàcàrà ~: to abstain from sexual misconduct) 4. มุสาวาทา เวรมณี (เวนจากการพูดเท็จ โกหก หลอกลวง — Musàvàdà ~: to abstain from false speech) 5. สรุ าเมรยมชชฺ ปมาทฏานา เวรมณี (เวน จากนํ้าเมาคือสรุ าและเมรัยอันเปนทีต่ ้งั แหง ความประมาท, เวน จากสง่ิ เสพตดิ ใหโ ทษ — Suràmerayamajjapamàdaññhànà ~: to abstain from intoxicants causing heedlessness) ศลี 5 ขอ น้ี ในบาลีชั้นเดิมสว นมากเรยี กวา สิกขาบท 5 (ขอ ปฏบิ ัตใิ นการฝกตน — Sikkhà- pada: training rules) บา ง ธรรม 5 บา ง เมื่อปฏบิ ตั ิไดตามนี้ กช็ ื่อวา เปน ผูม ศี ลี คือเปนเบ้อื ง ตนทีจ่ ัดวาเปน ผมู ีศีล (virtuous) คําวา เบญจศีล ทีม่ าในพระไตรปฎ ก ปรากฏในคมั ภีรช้ัน อปทาน และพุทธวงส ตอ มาในสมัยหลงั มชี อ่ื เรียกเพิม่ ขึน้ วา เปน นจิ ศีล (ศลี ทค่ี ฤหสั ถควรรกั ษา เปนประจํา — virtues to be observed uninterruptedly) บาง วา เปน มนุษยธรรม (ธรรม ของมนุษยห รือธรรมทท่ี ําใหเ ปนมนุษย — virtues of man) บาง ดู คาํ สมาทาน ใน AppendixD.III.235; A.III.203,275; Vbh.285. ท.ี ปา.11/286/247; อง.ฺ ปจฺ ก.22/172/227; 264/307; อภ.ิ วิ.35/767/388.[239] เบญจธรรม หรอื เบญจกัลยาณธรรม (ธรรม 5, ธรรมอนั ดีงามหา อยาง,คณุ ธรรมหา ประการ คกู บั เบญจศีล เปน ธรรมเก้ือกลู แกก ารรกั ษาเบญจศลี ผูรักษาเบญจศีลควรมีไวประจาํ ใจ — Pa¤ca-dhamma: the five ennobling virtues; virtues enjoined bythe five precepts)1. เมตตาและกรุณา (ความรกั ใครป รารถนาใหม ีความสุขความเจริญ และความสงสารคิดชวยใหพน ทกุ ข — Mettà-karuõà: loving-kindness and compassion) คกู ับศลี ขอท่ี 12. สมั มาอาชวี ะ (การหาเลย้ี งชพี ในทางสจุ รติ — Sammà-àjãva: right means of livelihood) คูกบั ศลี ขอ ท่ี 23. กามสังวร (ความสังวรในกาม, ความสํารวมระวังรจู กั ยับย้งั ควบคุมตนในทางกามารมณ ไม

[240] 176 พจนานกุ รมพุทธศาสตร ใหห ลงใหลในรปู เสียง กล่ิน รส และสมั ผัส — Kàmasa§vara: sexual restraint) คูก บั ศลี ขอ ท่ี 3 4. สัจจะ (ความสตั ย ความซื่อตรง — Sacca: truthfulness; sincerity) คกู ับศีลขอ ที่ 4 5. สตสิ มั ปชญั ญะ (ระลกึ ไดแ ละรตู วั อยเู สมอ คอื ฝก ตนใหเ ปน คนรจู กั ยงั้ คดิ รสู กึ ตวั เสมอวา สง่ิ ใดควรทาํ และไมค วรทาํ ระวงั มใิ หเ ปน คนมวั เมาประมาท — Sati-sampaja¤¤a: mindfulness and awareness; temperance) คกู บั ศลี ขอ ที่ 5 ขอ 2 บางแหง เปน ทาน (การแบง ปน เออื้ เฟอ เผอื่ แผ — Dàna: giving; generosity) ขอ 3 บาง แหง เปน สทารสนั โดษ (ความพอใจดว ยภรรยาของตน — Sadàrasantosa: contentment with one’s own wife) ขอ 5 บางแหง เปน อปั ปมาทะ (ความไมป ระมาท — Appamàda: heedfulness) เบญจธรรมน้ี ทา นผกู เปนหมวดธรรมขึน้ ภายหลงั จงึ มแี ปลกกนั ไปบาง เมือ่ วา โดยทีม่ า หวั ขอเหลา น้ีสว นใหญประมวลไดจ ากความทอ นทายของกศุ ลกรรมบถขอ ตน ๆ. ดู [320] กศุ ลกรรมบถ 10 2; [238] ศีล 5.[240] ศีล 8 หรือ อัฏฐศีล (การรักษาระเบียบทางกายวาจา, ขอปฏบิ ัติในการฝก หดั กาย วาจาใหยง่ิ ขน้ึ ไป — Aññha-sãla: the Eight Precepts; training rules) 1. ปาณาตปิ าตา เวรมณี (เวน จากการทาํ ชีวิตสัตวใ หต กลวงไป — Pàõàtipàtà veramaõã: to abstain from taking life) 2. อทินฺนาทานา เวรมณี (เวนจากการถือเอาของท่ีเขามิไดใหดวยอาการแหงขโมย — Adinnàdànà ~: to abstain from taking what is not given) 3. อพฺรหฺมจริยา เวรมณี (เวนจากกรรมอันมิใชพรหมจรรย, เวนจากการประพฤติผิด พรหมจรรย คอื รวมประเวณี — Abrahmacariyà ~: to abstain from unchastity) 4. มุสาวาทา เวรมณี (เวนจากการพูดเท็จ — Musàvàdà ~: to abstain from false speech) 5. สุราเมรยมชฺชปมาทฏ านา เวรมณี (เวนจากนํา้ เมา คอื สุราและเมรัยอนั เปน ทตี่ ง้ั แหง ความประมาท — Suràmerayamajjapamàdaññhànà ~: to abstain from intoxicants causing heedlessness) 6. วกิ าลโภชนา เวรมณี (เวน จากการบรโิ ภคอาหารในเวลาวิกาล คือตั้งแตเทยี่ งแลวไป จนถงึ รงุ อรณุ ของวนั ใหม — Vikàlabhojanà ~: to abstain from untimely eating) 7. นจจฺ คตี วาทติ วสิ กู ทสสฺ นมาลาคนธฺ วเิ ลปนธารณมณฑฺ นวภิ สู นฏ านา เวรมณี (เวน จากการฟอ นราํ ขับรอง บรรเลงดนตรี ดกู ารละเลนอนั เปน ขาศึกตอพรหมจรรย การทัดทรง ดอกไม ของหอม และเครือ่ งลูบไล ซ่งึ ใชเ ปน เคร่อื งประดบั ตกแตง — Naccagãtavàdita- visåkadassana-màlàgandhavilepanadhàraõamaõóanavibhåsanaññhànà ~: to abstain from dancing, singing, music and unseemly shows, from wearing garlands,

หมวด 5 177 [242]smartening with scents, and embellishment with unguents)8. อจุ จฺ าสยนมหาสยนา เวรมณี (เวน จากทนี่ อนอนั สงู ใหญห รหู ราฟมุ เฟอ ย — Uccàsayana-mahàsayanà ~: to abstain from the use of high and large luxurious couches)คําสมาทาน ใหเตมิ สิกฺขาปทํ สมาทยิ ามิ ตอทายทกุ ขอ แปลเพ่มิ วา “ขา พเจา ขอสมาทานสกิ ขาบท คือเจตนางดเวน จาก ... หรือ ขา พเจา ขอถอื ขอ ปฏบิ ตั ใิ นการฝกตนเพือ่ งดเวนจาก ...” ศลี 8 น้ี สมาทานรกั ษาพเิ ศษในวนั อโุ บสถ เรยี กวา อโุ บสถ (Uposatha: the Observances)หรอื อโุ บสถศลี (precepts to be observed on the Observance Day)A.IV.248. อง.ฺ อฏก.23/131/253.[241] ศีล 8 ทั้งอาชีวะ หรอื อาชีวัฏฐมกศีล (ศลี มีอาชวี ะเปนคาํ รบ 8, หลักความประพฤติรวมทง้ั อาชีวะทบี่ รสิ ุทธด์ิ วยเปน ขอ ที่ 8 — âjãvaññhamaka-sãla: virtue havinglivelihood as eight; the set of eight precepts of which pure livelihood is theeighth)1.–7. ตรงกบั กศุ ลกรรมบถ 7 ขอ ตน (กายกรรม 3 วจีกรรม 4)8. สมั มาอาชวี ะ อาชีวัฏฐมกศลี น้ี เปน ศลี สวนอาทพิ รหมจรรย คือ เปนหลักความประพฤติเบอ้ื งตน ของพรหมจรรย กลาวคอื มรรค เปนสงิ่ ท่ีตองประพฤตใิ หบรสิ ทุ ธิ์ในข้ันตนของการดาํ เนนิ ตามอริย-อัฏฐงั คิกมรรค วาโดยสาระ อาชีวฏั ฐมกศลี กค็ อื องคม รรค 3 ขอ ในหมวดศีล คอื ขอที่ 3, 4, 5 ไดแ กสมั มาวาจา สัมมากมั มนั ตะ และ สัมมาอาชวี ะ น่ันเอง ดู [293] มรรคมีองค 8; [319] กศุ ลกรรมบถ 101; [320] กศุ ลกรรมบถ 102.Vism.11. วิสุทธฺ .ิ 1/13.[242] ศีล 10 หรือ ทศศีล (การรกั ษาระเบยี บทางกายวาจา, ขอปฏบิ ัตใิ นการฝก หัดกาย วาจาใหย่งิ ข้ึนไป — Dasa-sãla: the Ten Precepts; training rules) 6 ขอแรกเหมือนในศีล 8; ขอ ที่ 7 แยกเปน 2 ขอ ดังน้ี7. นจจฺ คีตวาทติ วสิ กู ทสฺสนา เวรมณี (เวน จากการฟอ นราํ ขับรอ ง บรรเลงดนตรี ดูการละเลน อนั เปน ขา ศกึ ตอพรหมจรรย — Nacca~dassanà ~: to abstain from dancing,singing, music and unseemly shows)8. มาลาคนธฺ วิเลปนธารณมณฑฺ นวภิ ูสนฏ านา เวรมณี (เวน จากการทดั ทรงดอกไมของหอม และเครอ่ื งลบู ไล ซงึ่ ใชเ ปน เครอื่ งประดบั ตกแตง — Màlà~ñhànà ~: to abstainfrom wearing garlands, smartening with scents, and embellishment with unguents)เล่ือนขอ 8 ในศีล 8 เปน ขอ 9 และเติมขอ 10 ดังน้ี

[243] 178 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร10. ชาตรูปรชตปฏคิ ฺคหณา เวรมณี (เวนจากการรับทองและเงนิ — Jàtaråparajata-pañiggahaõà ~: to abstain from accepting gold and silver)สกิ ขาบท 10 นี้ เปน ศลี ทสี่ ามเณรและสามเณรรี ักษาเปน ประจํา หรอื อบุ าสกอบุ าสิกาผมู ีอตุ สาหะจะรักษากไ็ ด Kh.I.1. ขุ.ข.ุ 25/1/1.[,,,] สกทาคามี 5 ดู [59] สกคามี 3, 5.[,,,] สมบัติของอุบาสก 5 ดู [259] อุบาสกธรรม 5.[243] สังวร 5 (ความสาํ รวม, ความระวงั ปด ก้นั บาปอกศุ ล — Sa§vara: restraint) สงั วรศลี (ศลี คอื สงั วร, ความสาํ รวมเปน ศลี — virtue as restraint) ไดแ ก สงั วร 5 อยา ง คอื1. ปาฏโิ มกขสังวร (สาํ รวมในปาฏโิ มกข คอื รกั ษาสกิ ขาบทเครงครดั ตามท่ีทรงบัญญตั ิไวในพระปาฏโิ มกข — Pàñimokkha-sa§vara: restraint by the monastic code of discipline)2. สตสิ งั วร (สํารวมดวยสติ คอื สํารวมอินทรียมีจกั ษุเปน ตน ระวังรกั ษามิใหบ าปอกศุ ลธรรมเขา ครอบงาํ เมอ่ื เหน็ รปู เปน ตน — Sati-sa§vara: restraint by mindfulness) = อนิ ทรยี สงั วร3. ญาณสังวร (สาํ รวมดวยญาณ คือ ตัดกระแสกิเลสมีตณั หาเปนตน เสียได ดวยใชปญญาพิจารณา มิใหเขามาครอบงําจิต ตลอดถึงรูจักพิจารณาเสพปจจัยส่ี — ¥àõa-sa§vara:restraint by knowledge) = ปจ จัยปจ จเวกขณ4. ขนั ตสิ ังวร (สาํ รวมดว ยขันติ คือ อดทนตอหนาว รอ น หิว กระหาย ถอยคาํ แรงราย และทุกขเวทนาตางๆ ได ไมแ สดงความวิการ — Khanti-sa§vara: restraint by patience)5. วริ ยิ สังวร (สาํ รวมดว ยความเพยี ร คอื พยายามขับไล บรรเทา กําจดั อกศุ ลวิตกทเี่ กิดขนึ้ แลวใหหมดไปเปนตน ตลอดจนละมจิ ฉาชีพ เพียรแสวงหาปจ จยั ส่ีเลยี้ งชีวติ ดว ยสัมมาชพี ท่ีเรียกวาอาชวี ปาริสทุ ธิ — Viriya-sa§vara: restraint by energy) = อาชวี ปารสิ ทุ ธ.ิในคมั ภรี บางแหง ทีอ่ ธิบายคาํ วา วินัย แบงวนิ ยั เปน 2 คอื สังวรวนิ ยั กบั ปหานวนิ ยั และจาํ แนกสงั วรวนิ ยั เปน 5 มแี ปลกจากนเี้ ฉพาะขอ ท่ี 1 เปน สลี สงั วร. (ดู สตุ ตฺ .อ.1/9; สงคฺ ณ.ี อ.505; SnA.8;DhsA.351).Vism.7; PsA.14,447; VbhA.330. วสิ ทุ ธฺ .ิ 1/8; ปฏิสํ.อ.16; วิภงคฺ .อ.429.[244] สุทธาวาส 5 (พวกมีทอี่ ยอู นั บรสิ ุทธ์ิ หรือท่ีอยขู องทานผูบ ริสุทธิ์ คอื ทเ่ี กิดของพระอนาคามี — Suddhàvàsa: pure abodes) ไดแ ก อวหิ า อตปั ปา สทุ สั สา สทุ สั สี และ อกนฏิ ฐาสทุ ธาวาส 5 น้ี เปนรปู าวจรภมู ิ (ชัน้ จตตุ ถฌานภูมิ ลาํ ดบั ท่ี 3 ถึง 7) ในพระไตรปฎกแสดงไวในรายช่ือทีร่ วมกบั ภมู อิ ่นื ๆ บา งเทาทมี่ เี ร่ืองเก่ียวขอ ง จงึ ไมม รี ายช่ือภูมิทงั้ หมดทุกชน้ั ทุกระดับครบถวนในที่เดยี ว แตในคมั ภีรชน้ั อรรถกถาบางแหง ทานแสดงรายชอื่ ภูมิไวท้งั หมดครบทุกชน้ัทุกระดับ มจี ํานวนรวมทั้งสิ้น 31 ภูมิ จงึ จะแสดงความหมายของชื่อสทุ ธาวาสภูมทิ ัง้ 5 นี้ รวมไวในรายช่ือภมู ิ 31 นั้น

หมวด 5 179 [246]ดู [351] ภูมิ 31.D.III.237; M.III.99–103; Pug.17. ที.ปา.11/2/250; ม.อ.ุ 14/317–332/216–225; อภ.ิ ป.ุ 36/56/149.[,,,] องคแหงธรรมกถึก 5 ดู [219] ธรรมเทสกธรรม 5.[,,,] องคแหงภิกษุใหม 5 ดู [222] นวกภกิ ขุธรรม 5.[245] อนันตริยกรรม 5 (กรรมหนกั ทสี่ ดุ ฝา ยบาปอกศุ ล ซง่ึ ใหผ ลรนุ แรงตอ เนอ่ื งไป โดยไมม กี รรมอนื่ จะมากนั้ หรอื คน่ั ได — Anantariya-kamma: immediacy-deeds; heinouscrimes which bring immediate, uninterrupted and uninterruptible results)1. มาตุฆาต (ฆามารดา — Màtughàta: matricide)2. ปตฆุ าต (ฆา บดิ า — Pitughàta: patricide)3. อรหันตฆาต (ฆาพระอรหนั ต — Arahantaghàta: killing an Arahant)4. โลหติ ปุ บาท (ทาํ รา ยพระพุทธเจาจนถงึ พระโลหติ หอ ขน้ึ ไป — Lohituppàda: causing aBuddha to suffer a contusion or to bleed)5. สงั ฆเภท (ยงั สงฆใ หแ ตกกนั , ทาํ ลายสงฆ — Saïghabheda: causing schism in theOrder)กรรม 5 นี้ ในพระบาลีเรียกวา อนันตรกิ กรรมA.III.146; Vbh.378. องฺ.ปจฺ ก.22/129/165; อภิ.ว.ิ 35/984/510.[,,,] อนาคามี 5 ดู [60] อนาคามี 5.[246] อนุปุพพิกถา 5 (เรอื่ งทก่ี ลาวถงึ ตามลําดับ, ธรรมเทศนาทแ่ี สดงเนอ้ื ความลมุ ลกึลงไปโดยลาํ ดับ เพ่ือขดั เกลาอัธยาศัยของผฟู ง ใหประณตี ขน้ึ ไปเปนช้นั ๆ จนพรอ มท่ีจะทําความเขา ใจในธรรมสว นปรมตั ถ — Anupubbikathà: progressive sermon; graduated sermon;subjects for gradual instruction)1. ทานกถา (เรอ่ื งทาน, กลา วถึงการให การเสยี สละเผอ่ื แผแ บง ปน ชว ยเหลือกัน — Dàna-kathà: talk on giving, liberality or charity)2. สลี กถา (เรอื่ งศลี , กลา วถงึ ความประพฤตทิ ถ่ี กู ตอ งดงี าม — Sãla-kathà: talk on morality orrighteousness)3. สัคคกถา (เรื่องสวรรค, กลาวถึงความสุขความเจริญ และผลทน่ี า ปรารถนาอันเปน สวนดขี องกาม ทจี่ ะพงึ เขาถึง เมอื่ ไดประพฤติดงี ามตามหลกั ธรรมสองขอตน — Sagga-kathà: talk onheavenly pleasures)4. กามาทนี วกถา (เรือ่ งโทษแหง กาม, กลา วถงึ สวนเสยี ขอบกพรอ งของกาม พรอมทั้งผลรายท่สี บื เนือ่ งมาแตกาม อนั ไมค วรหลงใหลหมกมนุ มัวเมา จนถงึ รูจกั ที่จะหนา ยถอนตนออกได —Kàmàdãnava-kathà: talk on the disadvantages of sensual pleasures)

[247] 180 พจนานุกรมพทุ ธศาสตร5. เนกขมั มานิสงั สกถา (เรอ่ื งอานสิ งสแ หงความออกจากกาม, กลา วถึงผลดขี องการไมหมกมุนเพลดิ เพลนิ ตดิ อยูใ นกาม และใหม ฉี นั ทะทจ่ี ะแสวงความดงี ามและความสขุ อันสงบทีป่ ระณีตย่งิ ขน้ึ ไปกวานน้ั — Nekkhammànisa§sa-kathà: talk on the benefits of renouncingsensual pleasures) ตามปกติ พระพทุ ธเจาเม่อื จะทรงแสดงพระธรรมเทศนาแกคฤหสั ถ ผูมอี ุปนิสัยสามารถทจ่ี ะบรรลธุ รรมพเิ ศษ ทรงแสดงอนปุ ุพพิกถาน้ีกอน แลว จงึ ตรสั แสดงอริยสัจจ 4 เปนการทําจิตใหพรอมท่จี ะรับ ดจุ ผา ทซี่ ักฟอกสะอาดแลว ควรรับนาํ้ ยอ มตางๆ ไดดว ยดีVin.I.15; D.I.148. วินย.4/27/32; ที.ส.ี 9/237/189.[247] อภิณหปจจเวกขณ 5 (ขอที่สตรีก็ตาม บรุ ุษก็ตาม คฤหัสถก็ตาม บรรพชติ ก็ตาม ควรพจิ ารณาเนืองๆ — Abhiõhapaccavekkhaõa: ideas to be constantlyreviewed; facts which should be again and again contemplated)1. ชราธัมมตา (ควรพิจารณาเนืองๆ วา เรามคี วามแกเ ปนธรรมดา ไมลว งพนความแกไปได— Jaràdhammatà: He should again and again contemplate: I am subject to decayand I cannot escape it.)2. พยาธธิ มั มตา (ควรพจิ ารณาเนอื งๆ วา เรามคี วามเจบ็ ปว ยเปน ธรรมดา ไมล ว งพน ความเจบ็ปว ยไปได — Byàdhidhammatà: I am subject to disease and I cannot escape it.)3. มรณธมั มตา (ควรพจิ ารณาเนอื งๆ วา เรามีความตายเปนธรรมดา ไมลว งพนความตายไปได — Maraõadhammatà: I am subject to death and I cannot escape it.)4. ปยวนิ าภาวตา (ควรพจิ ารณาเนอื งๆ วา เราจกั ตองมคี วามพลัดพรากจากของรักของชอบใจท้งั สน้ิ — Piyavinàbhàvatà: There will be division and separation from all that aredear to me and beloved.)5. กัมมสั สกตา (ควรพจิ ารณาเนอื งๆ วา เรามีกรรมเปน ของตน เราทาํ กรรมใด ดกี ต็ าม ชั่วกต็ าม จักตองเปนทายาท ของกรรมน้นั — Kammassakatà: I am owner of my deed,whatever deed I do, whether good or bad, I shall become heir to it.) ขอท่ีควรพิจารณาเนืองๆ 5 อยางนี้ มวี ัตถปุ ระสงคเพอื่ ละสาเหตตุ า งๆ มคี วามมัวเมาเปนตน ที่ทาํ ใหสตั วทง้ั หลายตกอยูใ นความประมาท และประพฤติทจุ ริตทางไตรทวาร กลาวคอืขอ 1 เปนเหตุละหรอื บรรเทาความเมาในความเปนหนมุ สาวหรือความเยาวว ยัขอ 2 เปนเหตลุ ะหรือบรรเทาความเมาในความไมม ีโรค คอื ความแขง็ แรงมีสขุ ภาพดีขอ 3 เปน เหตลุ ะหรอื บรรเทาความเมาในชีวิตขอ 4 เปนเหตลุ ะหรอื บรรเทาความยดึ ติดผูกพันในของรกั ทั้งหลายขอ 5 เปน เหตุละหรอื บรรเทาความทุจรติ ตา งๆ โดยตรงเมือ่ พิจารณาขยายวงออกไป เห็นวามิใชตนผูเดยี วทีต่ อ งเปน อยา งน้ี แตเปนคตธิ รรมดาของ

หมวด 5 181 [248]สตั วท ง้ั ปวงทจ่ี ะตอ งเปนไป เมือ่ พจิ ารณาเหน็ อยางนเ้ี สมอๆ มรรคก็จะเกิดขนึ้ เมอ่ื เจริญมรรคนัน้มากเขา ก็จะละสังโยชนท้งั หลาย สิน้ อนุสยั ได.A.III.71. อง.ฺ ปจฺ ก.22/57/81.[248] ปพพชิตอภิณหปจจเวกขณ 10 (ธรรมทบี่ รรพชิตควรพจิ ารณาเนอื งๆ— Pabbajita-abhiõhapaccavekkhaõa: ideas to be constantly reviewed by a monk;facts which the monk should again and again contemplate) บรรพชติ ควรพจิ ารณาเนืองๆ วา (เติมลงหนาขอความทุกขอ)1. เราถึงความมเี พศตา งจากคฤหสั ถแลว * (I have come to a status different fromthat of a layman.) ขอ นบี้ าลีวา “เววณณฺ ยิ มหฺ ิ อชฺฌูปคโต” ในทนี่ ้แี ปล เววณฺณิย วา ความมีเพศตา ง (จากคฤหสั ถ) แตห ลายทา น แปลวา ความปราศจากวรรณะ (casteless state) คือเปน คนนอกระบบชนชน้ั หรือ หมดวรรณะ คอื หมดฐานะในสังคม หรอื เปนคนนอกสงั คม (outcast) ความตางหรอื ปราศจาก หรอื หมดไปน้ี อรรถกถาอธบิ ายวา เปน ไปในสองทาง คือ ทางสรีระ เพราะปลงผมและหนวดแลว และทางบรขิ าร คอื เครือ่ งใช เพราะแตกอ นครัง้ เปนคฤหัสถ เคยใชผาดๆี รบัประทานอาหารรสเลิศในภาชนะเงินทอง เปนตน ครัน้ บวชแลว ก็นุง หม ผายอมฝาดฉนั อาหารคลุกเคลา ในบาตรเหล็กบาตรดิน ปหู ญา นอนตา งเตยี ง เปนตน สวนวัตถุประสงคแ หงการพิจารณาธรรมขอ น้ี อรรถกถาแกวา จะละความกําเรบิ ใจ (ความจจู ีเ้ งา งอน) และมานะ (ความถอื ตัว) เสยี ได.2. การเล้ยี งชีพของเราเน่ืองดวยผูอืน่ ** (คือตองอาศยั ผอู ื่น — My livelihood is bound upwith others.) วตั ถุประสงค ตามอรรถกถาแกว า เพอ่ื ใหม อี ิรยิ าบถเรยี บรอ ยเหมาะสม มอี าชวี ะบรสิ ุทธิ์เคารพในบิณฑบาต และบรโิ ภคปจจยั ส่ีดวยใสใ จพิจารณา3. เรามอี ากปั กิริยาอยา งอ่นื ที่จะพงึ ทํา*** (I have a different way to behave.) อรรถกถาอธบิ ายวา เราควรทําอากปั ป (คอื กิริยามารยาท) ที่ตางจากของคฤหสั ถ เชน มีอนิ ทรยี สงบ กา วเดินสมํ่าเสมอ เปน ตน และแสดงวัตถปุ ระสงคว า เพ่อื ใหมอี ิริยาบถเรียบรอยเหมาะสม บําเพ็ญไตรสกิ ขาไดบ ริบรู ณ* ใน นวโกวาท มตี อวา “อาการกริ ยิ าใดๆ ของสมณะ เราตองทําอาการกิริยานน้ั ๆ“** ใน นวโกวาท มีตอวา “เราควรทาํ ตัวใหเ ขาเล้ียงงาย.”*** ใน นวโกวาท ทรงเรยี งเปน ขอ ความใหมว า “อาการกายวาจาอยางอืน่ ทีเ่ ราจะตอ งทําใหดขี ึน้ ไปกวา นย้ี ังมอี ยู อีก ไมใชเพยี งเทา น้.ี ” จะเหน็ วา ขอ 1 กับขอ 3 ทรงตคี วามตา งออกไป ถา แปลตามนยั อรรถกถา ขอ 1 จะได วา “เราเปนผหู มดวรรณะ คอื ไมมฐี านะในสังคมแลว จะตองไมมีความกระดา งถือตวั ใดๆ” ขอ 3 จะไดวา “เราจะตอ งมีอาการกริ ยิ าตา งจากคฤหัสถ สาํ รวมใหเหมาะกบั ความเปน สมณะ”. (องฺ.อ.3/395)

[249] 182 พจนานุกรมพทุ ธศาสตร4. ตวั เรายงั ติเตยี นตัวเราเองโดยศีลไมไ ดอยูหรอื ไม (Can I still not reproach myself onmy virtue’s account?) ขอ น้ี มวี ัตถปุ ระสงคเ พือ่ ใหเกิดหิรพิ รงั่ พรอมอยใู นใจ ชว ยใหม ีสงั วรทางไตรทวาร5. เพื่อนพรหมจรรยทั้งหลายผูเปนวิญูชนพิจารณาแลว ยังติเตียนเราโดยศีลไมไดอยูหรอื ไม (Do my discerning fellows in the holy life, on considering me, notreproach me on my virtue’s account?) ขอ นี้ มีวตั ถปุ ระสงคเพอ่ื ใหด ํารงโอตตปั ปะในภายนอกไวได ชว ยใหมสี งั วรทางไตรทวาร6. เราจกั ตอ งมีความพลัดพรากจากของรกั ของชอบใจท้ังสนิ้ (There will be divisionand separation from all that are dear to me and beloved.) ขอนี้ มีวัตถปุ ระสงคเ พ่อื ใหเ ปน ผูไมประมาท และเปน อันไดต ้งั มรณสติไปดวย7. เรามกี รรมเปน ของตน เราทาํ กรรมใด ดกี ต็ าม ชวั่ กต็ าม จกั ตอ งเปน ทายาทของกรรมนน้ั (I amowner of my deed, whatever deed I do, whether good or bad, I shall become heir to it.) ขอ นี้ มวี ัตถปุ ระสงคเพอ่ื ปองกันมิใหกระทําความชั่ว8. วนั คนื ลว งไปๆ เราทําอะไรอยู (How has my passing of the nights and days been?) ขอนี้ มีวตั ถุประสงคเ พอ่ื ทําความไมป ระมาทใหบ รบิ รู ณ9. เรายินดใี นท่สี งัดอยหู รือไม (Do I delight in a solitary place or not?) ขอนี้ มีวตั ถปุ ระสงคเ พ่ือทาํ กายวเิ วกใหบริบูรณ10. คณุ วเิ ศษยิ่งกวามนษุ ยส ามญั ท่เี ราบรรลแุ ลว มีอยูห รอื ไม ที่จะใหเ ราเปนผไู มเ กอเขนิเม่อื ถูกเพอ่ื นบรรพชิตถาม ในกาลภายหลัง (Have I developed any extraordinaryqualities whereon when later questioned by my fellows in the holy life I shall notbe confounded?)ขอ นี้ มีวัตถปุ ระสงคเพ่ือมใิ หเปนผตู ายเปลาA.V.87; Netti.185. องฺ.ทสก.24/48/91; องฺ.อ.3/395.[,,,] อรหันต 5 ดู [62] อรหนั ต 5.[249] อริยวัฑฒิ หรอื อารยวัฒิ 5 (ความเจรญิ อยา งประเสรฐิ , หลกั ความเจรญิ ของอารยชน — Ariyà vaóóhi: noble growth; development of a civilized or righteous man)1. ศรัทธา (ความเช่อื ความมั่นใจในพระรัตนตรัย ในหลักแหง ความจริงความดงี ามอันมเี หตุผล— Saddhà: confidence)2. ศลี (ความประพฤติดี มีวินยั เลย้ี งชพี สุจรติ — Sãla: good conduct; morality)3. สตุ ะ (การเลาเรียนสดบั ฟงศกึ ษาหาความรู — Suta: learning)4. จาคะ (การเผ่อื แผเสยี สละ เออื้ เฟอ มีนํา้ ใจชวยเหลอื ใจกวา ง พรอ มที่จะรบั ฟงและรวมมือ

หมวด 5 183 [251]ไมค บั แคบเอาแตต ัว — Càga: liberality)5. ปญญา (ความรอบรู รคู ิด รพู จิ ารณา เขา ใจเหตผุ ล รจู ักโลกและชีวติ ตามความเปน จริง —Pa¤¤à: wisdom)A.III.80. อง.ฺ ปจฺ ก.22/63–64/91–92.[250] อายุสสธรรม หรือ อายุวัฒนธรรม 5 (ธรรมทเ่ี ก้อื กลู แกอายุ หรอื ธรรมท่ีสง เสรมิ สขุ ภาพ, ธรรมทชี่ ว ยใหอ ายยุ นื — âyussa-dhamma: things conducive to long life)1. สปั ปายการี (ทาํ สงิ่ ทส่ี บายคอื เออื้ ตอ ชวี ติ — Sappàyakàrã: to do what is suitable foroneself and favourable to one’s health; to act in accordance with the rules of hygiene)2. สปั ปายมตั ตญั ู (รจู กั ประมาณในสงิ่ ทสี่ บาย — Sappàye matta¤¤å: to be moderateeven as to things suitable and favourable)3. ปรณิ ตโภชี (บรโิ ภคสงิ่ ท่ียอยงาย เชน เค้ยี วใหละเอียด — Pariõatabhojã: to eat foodwhich is ripe or easy to digest)4. กาลจารี (ประพฤตเิ หมาะในเรอื่ งเวลา เชน รจู กั เวลา ทาํ ถกู เวลา ทาํ เปน เวลา ทาํ พอเหมาะแกเวลา เปน ตน — Kàlacàrã: to behave oneself properly as regards time and thespending of time.)5. พรหมจารี (ถือพรหมจรรย ถึงจะเปนคฤหัสถก็รูจักควบคุมกามารมณเวนเมถุนบาง —Brahmacàrã: to practise sexual abstinence) อายุวฒั นธรรมน้ี มีอีกหมวดหนึ่ง สามขอแรกเหมือนกนั แปลกแตข อ 4 และ 5 เปน4. สีลวา (มีศลี ประพฤตดิ ีงาม ไมท ําความผิด — Sãlavà: to be morally upright)5. กัลยาณมิตตะ (มีกัลยาณมติ ร — Kalyàõamitta: to have good friends)A.III.145. อง.ฺ ปจฺ ก.22/125–6/163.[,,,] อารยวัฒิ 5 ดู [249] อริยวฑั ฒิ 5.[251] อาวาสิกธรรม 51 (ธรรมของภกิ ษุผูอยปู ระจาํ วดั , แปลถือความมาใชใ หเหมาะกบั ปจ จุบันวา คุณสมบตั ิของเจาอาวาส, หมวดที่ 1 ประเภทท่นี ายกยอ ง หรือเปนทชี่ น่ื ชูเจรญิ ใจ— âvàsika-dhamma: qualities of an esteemable resident or incumbent of amonastery; qualities of an esteemable abbot)1. ถึงพรอมดวยอากัปกิริยาและวัตรปฏิบัติ (มีกิริยามารยาททาทีการแสดงออกทางกายวาจาสํารวมงดงาม และเอาใจใสปฏิบัติกิจหนาที่สมํ่าเสมอเรียบรอย — âkappavatta-sampanna: to be accomplished in manner and duties)2. เปน พหูสตู (ไดศึกษาเลา เรียนมาก รูหลักพระธรรมวินยั มีความรูความเขา ใจกวา งขวางลึกซ้งึ — Bahussuta: to have great learning)3. ประพฤตขิ ัดเกลา (ฝก อบรมตนในไตรสกิ ขา ชอบความสงบ ยนิ ดใี นกลั ยาณธรรม — Pañi-

[252] 184 พจนานุกรมพุทธศาสตรsallekhità: to be fond of solitude)4. มีกลั ยาณพจน (มีวาจางาม กลา วกลั ยาณพจน รูจ กั พดู รูจกั เจรจานาศรทั ธาและนาํ ปญ ญา— Kalyàõavàca: to have kindly and convincing speech)5. มปี ญ ญา (รูเขาใจ รูคิด รพู ิจารณา เฉลยี วฉลาด สามารถแกป ญ หา ไมซ มึ เซอเบอะบะ —Pa¤¤avà: to be wise)A.III.261. อง.ฺ ปฺจก.22/231/290.[252] อาวาสิกธรรม 52 (คณุ สมบัติของเจาอาวาส หมวดท่ี 2 ประเภทเปน ทีร่ กั ท่ีเคารพของสพรหมจารี คอื เพื่อนภกิ ษุสามเณรผูประพฤติพรหมจรรยร วมกัน — âvàsikadhamma:qualities of a beloved and respected incumbent or abbot)1. มศี ลี (ตง้ั อยใู นศลี สาํ รวมในพระปาฏโิ มกข ประพฤตเิ ครง ครดั ในสกิ ขาบททงั้ หลาย — Sãlavà:to have good conduct)2. เปน พหสู ตู (ไดศ กึ ษาเลา เรยี นมาก รหู ลกั พระธรรมวนิ ยั มคี วามรคู วามเขา ใจกวา งขวางลกึ ซงึ้— Bahussuta: to have great learning)3. มกี ลั ยาณพจน (มีวาจางาม กลาวกลั ยาณพจน รูจักพดู รจู ักเจรจานาศรทั ธาและนําปญ ญา— Kalyàõavàca: to have lovely and convincing speech)4. เปน ฌานลาภี (ไดแ คลว คลอ งในฌาน 4 ทเ่ี ปน เครอื่ งอยสู ขุ สบายในปจ จบุ นั — Jhànalàbhã: tobe able to gain pleasure of the Four Absorptions at will)5. ประจักษแจงวิมุตติ (บรรลุเจโตวิมุตติ ปญญาวิมุตติ ส้ินอาสวะแลว —Vimutti-sacchikattà: to have gained the Deliverance)A.III.262. องฺ.ปฺจก.22/232/290.[253] อาวาสิกธรรม 53 (คุณสมบัติของเจา อาวาส หมวดท่ี 3 ประเภทอาวาสโสภณคอื ทาํ วัดใหง าม — âvàsika-dhamma: qualities of an incumbent or abbot whograces the monastery)1. มีศีล (ตั้งอยูในศีล สํารวมในพระปาฏิโมกข ประพฤติเครงครัดในสิกขาบททั้งหลาย — Sãlavà: to have good conduct)2. เปนพหูสตู (ไดศกึ ษาเลา เรยี นมาก รหู ลกั พระธรรมวนิ ัย มีความรคู วามเขา ใจกวางขวางลกึซง้ึ — Bahussuta: to have great learning)3. มีกัลยาณพจน (มวี าจางาม กลา วกัลยาณพจน รจู ักพูด รจู ักเจรจานา ศรัทธาและนาํ ปญญา— Kalyàõavàca: to have lovely and convincing speech)4. สามารถกลาวธรรมกี ถา (สามารถกลา วสอนธรรมใหผูมาหาเหน็ แจมชดั ยอมรับไปปฏบิ ัติเราใจใหแกลว กลา และเบกิ บานใจ — Dhammikathàya sandassaka: to be able to teach,incite, rouse and satisfy those who visit him with talk on the Dhamma)

หมวด 5 185 [255]5. เปน ฌานลาภี (ไดแคลว คลอ งในฌาน 4 ทเี่ ปน เครื่องอยูสขุ สบายในปจจุบนั — Jhàna-làbhã: to be able to gain pleasure of the Four Absorptions at will)A.III.262. องฺ.ปจฺ ก.22/233/291.[254] อาวาสิกธรรม 54 (คุณสมบตั ิของเจาอาวาส หมวดท่ี 4 ประเภทมอี ุปการะมากแกวัด — âvàsika-dhamma: qualities of an incumbent or abbot who is of greatservice to his monastery)1. มีศีล (ต้ังอยูในศีล สํารวมในพระปาฏิโมกข ประพฤติเครงครัดในสิกขาบททั้งหลาย — Sãlavà: to have good conduct)2. เปน พหสู ตู (ไดศ กึ ษาเลาเรยี นมาก รหู ลกั พระธรรมวนิ ยั มคี วามรคู วามเขา ใจกวางขวางลกึซึ้ง — Bahussuta: to have great learning)3. รจู ักปฏสิ ังขรณ (เอาใจใสด ูแลซอ มแซมเสนาสนะและส่ิงของทชี่ ํารุดหักพัง — Khaõóa-phullapañisaïkharaka: to repair broken and dilapidated things)4. บอกกลา วในคราวจะไดท าํ บญุ แกม หาสงฆ (เมอ่ื มสี งฆห มใู หญม าจากตา งถน่ิ ตา งแควนขวนขวายบอกชาวบา นผปู วารณาไวใ หม าทาํ บญุ — Pu¤¤akaraõàyàrocaka: to inform thehouseholders of the arrival of incoming monks in order that the former may makemerit)5. เปน ฌานลาภี (ไดแ คลว คลองในฌาน 4 ที่เปน เคร่ืองอยสู ุขสบายในปจจุบนั — Jhàna-làbhã: to be able to gain pleasure of the Four Absorptions at will)A.III.263. องฺ.ปฺจก.22/234/292.[255] อาวาสิกธรรม 55 (คุณสมบัตขิ องเจา อาวาส หมวดที่ 5 ประเภทอนุเคราะหคฤหัสถ — âvàsika-dhamma: qualities of an incumbent or abbot who is kind tolay people)1. ชักนําคฤหัสถใหถือปฏิบัติในอธิศีล (เอาใจใสชักชวนแนะนําชาวบานใหสมาทานในอธิศีลคอื ใหร กั ษาศลี 5 ทเ่ี ปน พน้ื ฐานเพอ่ื กา วขน้ึ สคู ณุ ความดที ส่ี งู ขน้ึ ไป — Adhisãle samàdapaka:to incite them to higher virtue) อธศิ ลี ในทน่ี ้ี ทา นอธบิ ายวา ไดแ กเ บญจศลี ทเี่ ปนไปเพอ่ื คณุเบ้ืองสูง2. ยังคฤหัสถใหต้ังอยูในธรรมทัศนะ (เอาใจใสช ้แี จงแสดงธรรมแนะนาํ ชาวบานใหรเู หน็ เขา ใจธรรม — Dhammadassane nivesaka: to encourage them in the discernment oftruth or the vision of the doctrine)3. ไปเยย่ี มใหสติคนเจ็บไข — Gilànasatuppàdaka: to visit the sick and rouse themto mindfulness and awareness)4. บอกกลาวในคราวจะไดทําบุญแกมหาสงฆ (เมื่อมีสงฆหมูใหญมาจากตางถิ่นตางแควน

[256] 186 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตรขวนขวายบอกชาวบา นผูปวารณาไวใ หมาทําบุญ — Pu¤¤akaraõàyàrocaka: to inform thehouseholders of the arrival of incoming monks in order that the former maymake merit)5. ไมทําศรัทธาไทยใหต กไป (ชาวบานถวายโภชนะใดๆ จะดอยหรอื ดี กฉ็ ันดวยตนเอง ไมทาํ ของท่เี ขาถวายดวยศรทั ธาใหห มดคณุ คาไปเสยี — Saddhàdeyyàvinipàtaka: to eat anygiven food himself, whether it is mean or choice, not frustrating the gift of faith)A.III.263. อง.ฺ ปจฺ ก.22/235/292.[256] อาวาสิกธรรม 56 (คณุ สมบตั ิของเจาอาวาส หมวดท่ี 6 ประเภทมคี วามสขุความเจรญิ ดจุ ไดร บั เชญิ ขน้ึ ไปอยใู นสวรรค — âvàsika-dhamma: qualities of an incumbentor abbot who is prosperous as if put in heaven)1. พจิ ารณาใครค รวญโดยรอบคอบแลว จงึ กลา วตาํ หนติ เิ ตยี นบคุ คลทค่ี วรตาํ หนติ เิ ตยี น —to speak in blame of a person deserving blame only after deliberately testing andplumbing the matter.2. พิจารณาใครครวญโดยรอบคอบแลว จึงกลาวยกยองสรรเสริญบุคคลท่ีควรยกยองสรรเสรญิ — to speak in praise of a person deserving praise only after deliberatelytesting and plumbing the matter.3. พจิ ารณาใครค รวญโดยรอบคอบแลว จงึ แสดงความไมเ ลอ่ื มใส ในฐานะอนั ไมค วรเลอื่ มใส— to show disbelief in what deserves disbelief only after deliberately testing andplumbing the matter.4. พจิ ารณาใครค รวญโดยรอบคอบแลว จงึ แสดงความเลอื่ มใส ในฐานะอนั ควรเลอื่ มใส — toshow appreciation in what deserves appreciation only after deliberately testing andplumbing the matter.5. ไมย ังศรัทธาไทยใหต กไป — not to frustrate the gift of faith.เจา อาวาสท่ปี ระพฤติตรงขา มจากนี้ ยอมเส่อื มดุจถกู จบั ไปขงั ในนรก.A.III.264. อง.ฺ ปจฺ ก.22/236/293.[257] อาวาสิกธรรม 57 (คณุ สมบัติของเจาอาวาส หมวดที่ 7 ประเภทมคี วามสุขความเจริญดจุ ไดร บั เชิญขน้ึ ไปอยูในสวรรค อกี หมวดหนงึ่ — âvàsika-dhamma)1. พจิ ารณาใครค รวญโดยรอบคอบแลว จงึ กลา วตําหนติ เิ ตยี นบคุ คลทคี่ วรตาํ หนติ เิ ตยี น —Anuviccavaõõabhàsaka: to speak in blame of a person deserving blame only afterdeliberately testing and plumbing the matter.2. พิจารณาใครครวญโดยรอบคอบแลว จึงกลาวยกยองสรรเสริญบุคคลท่ีควรยกยองสรรเสรญิ — Anuviccàvaõõabhàsaka: to speak in praise of a person deserving


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook