หมวด 10 237 [323][323] ทศพลญาณ (บาลีเรยี ก ตถาคตพลญาณ 10 คอื พระญาณอันเปน กําลงั ของพระ ตถาคต 10 ประการ ทท่ี าํ ใหพระองคสามารถบันลือสีหนาท ประกาศพระศาสนาไดมัน่ คง — Dasa-bala¤àõa: the Ten Powers of the Perfect One) 1. ฐานาฐานญาณ (ปรีชาหยง่ั รูฐ านะและอฐานะ คือ รูก ฎธรรมชาติเกย่ี วกับขอบเขตและขดี ขั้น ของส่ิงท้ังหลายวา อะไรเปนไปได อะไรเปน ไปไมไ ด และแคไ หนเพยี งไร โดยเฉพาะในแงความ สัมพนั ธระหวางเหตกุ บั ผล และกฎเกณฑทางจริยธรรม เกยี่ วกบั สมรรถวิสยั ของบุคคล ซ่งึ จะได รบั ผลกรรมท่ีดแี ละช่วั ตางๆ กัน — òhànàñhàna-¤àõa: knowledge of instance and no instance; knowledge of possibilities and impossibilities) 2. กรรมวปิ ากญาณ (ปรชี าหยง่ั รูผลของกรรม คอื สามารถกาํ หนดแยกการใหผ ลอยา งสลบั ซบั ซอ น ระหวา งกรรมดกี บั กรรมช่ัว ทสี่ มั พันธก บั ปจ จยั แวดลอ มตา งๆ มองเห็นรายละเอียดและ ความสัมพันธภายในกระบวนการกอผลของกรรมอยางชัดเจน — Kammavipàka-¤àõa: knowledge of the ripening of action; knowledge of the results of kamma) 3. สัพพตั ถคามนิ ปี ฏิปทาญาณ (ปรชี าหยั่งรขู อปฏบิ ัตทิ ่ีจะนาํ ไปสูคติท้งั ปวง คอื สุคติ ทุคติ หรอื พน จากคติ หรอื ปรชี าหยง่ั รขู อ ปฏบิ ตั ทิ จ่ี ะนาํ ไปสอู รรถประโยชนท ง้ั ปวง กลา วคอื ทฏิ ฐธมั มกิ ตั ถะ สมั ปรายิกตั ถะ หรอื ปรมัตถะ คอื รวู า เมอ่ื ปรารถนาจะเขาถงึ คติหรอื ประโยชนใด จะตองทําอะไร บา ง มรี ายละเอียดวิธีปฏิบตั อิ ยา งไร — Sabbatthagàminãpañipadà-¤àõa: knowledge of the way that leads anywhere; knowledge of the practices leading to all destinies and all goals) 4. นานาธาตญุ าณ (ปรีชาหย่ังรูสภาวะของโลกอันประกอบดว ยธาตตุ างๆ เปนอเนก คอื รู สภาวะของธรรมชาติ ทัง้ ฝายอปุ าทนิ นกสังขารและฝา ยอนปุ าทินนกสังขาร เชน รูจ กั สวนประกอบ ตา งๆ ของชีวติ สภาวะของสว นประกอบเหลานน้ั พรอ มท้งั ลกั ษณะและหนา ทข่ี องมนั แตล ะอยาง อาทิการปฏบิ ตั หิ นา ทข่ี องขันธ อายตนะ และธาตุตางๆ ในกระบวนการรับรู เปนตน และรเู หตุ แหงความแตกตา งกนั ของสิง่ ทัง้ หลายเหลา นั้น — Nànàdhàtu-¤àõa: knowledge of the world with its many different elements) 5. นานาธิมุตตกิ ญาณ (ปรีชาหย่งั รูอ ธมิ ตุ ิ คอื รอู ธั ยาศยั ความโนมเอียง ความเช่ือถือ แนว ความสนใจ เปนตน ของสัตวท้ังหลายที่เปนไปตางๆ กัน — Nànàdhimuttika-¤àõa: knowledge of the different dispositions of beings) 6. อนิ ทรยิ ปโรปริยตั ตญาณ (ปรีชาหย่ังรคู วามย่ิงและหยอ นแหง อนิ ทรยี ข องสัตวท ้ังหลาย คอื รวู า สตั วนนั้ ๆ มศี รัทธา วริ ยิ ะ สติ สมาธิ ปญญา แคไ หน เพียงใด มกี เิ ลสมาก กเิ ลสนอ ย มี อินทรียออน หรือแกกลา สอนงาย หรือสอนยาก มีความพรอมท่ีจะตรัสรูหรือไม — Indriyaparopariyatta-¤àõa: knowledge of the state of faculties of beings; knowledge of the inferiority and superiority of the controlling faculties of various beings; knowledge as regards maturity of persons)
[324] 238 พจนานกุ รมพุทธศาสตร7. ฌานาทสิ งั กิเลสาทิญาณ (ปรชี าหยง่ั รูความเศราหมอง ความผองแผว การออกแหง ฌานวโิ มกข สมาธิ และสมาบตั ทิ ง้ั หลาย — Jhànàdisaïkilesàdi-¤àõa: knowledge of defilement,cleansing and emergence in the cases of the meditations, liberations, concen-trations and attainments)8. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ (ปรีชาหย่ังรูอันทําใหระลึกภพท่ีเคยอยูในหนหลังได —Pubbenivàsànussati-¤àõa: knowledge of the remembrance of former existences)9. จตุ ูปปาตญาณ (ปรชี าหย่งั รูจุติและอุบัตขิ องสัตวท้ังหลายอนั เปน ไปตามกรรม — Cutå-papàta-¤àõa: knowledge of the decease and rebirth of beings)10. อาสวักขยญาณ (ปรีชาหยง่ั รคู วามสนิ้ ไปแหงอาสวะทั้งหลาย — âsavakkhaya-¤àõa:knowledge of the exhaustion of mental intoxicants)M.I.69; A.V.33; Vbh.336. ม.ม.ู 12/166/140; อง.ฺ ทสก.24/21/35; อภิ.ว.ิ 35/839/454.[,,,] ทศพิธราชธรรม ดู [326] ราชธรรม 10.[,,,] ธรรมจริยา 10 เปนอกี ช่อื หน่งึ ของ [320] กศุ ลกรรมบถ 10 2.[,,,] ธรรมมีอุปการะมาก 10 ดู [324] นาถกรณธรรม 10.[324] นาถกรณธรรม 10 (ธรรมอนั กระทําท่พี ่งึ , ธรรมสรา งทพี่ ่งึ , คณุ ธรรมที่ทาํ ใหต นเปนที่พึง่ ของตนได — Nàthakaraõa-dhamma: virtues which make for protection)1. สลี (ความประพฤตดิ งี ามสจุ รติ รกั ษาระเบยี บวนิ ยั มอี าชวี ะบรสิ ทุ ธิ์ — Sãla: good conduct;keeping moral habits)2. พาหสุ จจฺ (ความเปนผไู ดศึกษาเลา เรียนมาก มคี วามรคู วามเขาใจลึกซ้ึง — Bàhusacca:great learning)3. กลยฺ าณมติ ตฺ ตา (ความมกี ลั ยาณมติ ร, การคบคนดี ไดที่ปรกึ ษา และผแู นะนาํ ส่งั สอนทดี่ ี— Kalyàõamittatà: good company; association with good people)4. โสวจสฺสตา (ความเปน ผูว างา ยสอนงาย รับฟงเหตผุ ล — Sovacassatà: amenability tocorrection; meekness; easy admonishability)5. กงิ กฺ รณเี ยสุ ทกฺขตา (ความเอาใจใสชวยขวนขวายในกิจใหญน อ ยทุกอยางของเพอ่ื นรวมหมูคณะ รจู ักพจิ ารณาไตรตรอง สามารถจดั ทําใหส าํ เร็จเรียบรอ ย — Kiïkaraõãyesu dakkhatà:willingness to give a helping hand; diligence and skill in managing all affairs ofone’s fellows in the community)6. ธมฺมกามตา (ความเปนผูใครธ รรม คอื รกั ธรรม ใฝความรใู ฝความจริง รูจกั พูดรูจ ักรับฟงทาํ ใหเกิดความพอใจ นารวมปรึกษาสนทนา ชอบศึกษา ยินดีปรีดาในหลักธรรมหลกั วินยั ท่ีละเอยี ดลึกซึ้งยิ่งๆ ขึ้นไป — Dhammakàmatà: love of truth; to love the Dhamma, be
หมวด 10 239 [325]pleasant to consult and converse with and rejoice in the advanced teaching ofboth the Doctrine and the Discipline)7. วริ ยิ ารมภฺ (ความขยนั หมนั่ เพยี ร คอื เพยี รละความชวั่ ประกอบความดี มใี จแกลว กลา บากบน่ักา วหนา ไมย อ ทอ ไมท อดทง้ิ ธรุ ะ — Viriyàrambha: energy; effort; energetic exertion)8. สนฺตฏุ ี (ความสนั โดษ คอื ยนิ ดี มคี วามสขุ ความพอใจดว ยปจ จยั สที่ หี่ ามาไดด ว ยความเพยี รอันชอบธรรมของตน — Santuññhã: contentment)9. สติ (ความมสี ติ รจู ักกาํ หนดจดจํา ระลกึ การทที่ าํ คาํ ท่พี ูดไวได เปนอยูอ ยา งไมประมาท —Sati: mindfulness; ability to remember what one has done and spoken)10. ปฺา (ความมีปญญาหย่งั รูเ หตุผล รูจกั คิดพิจารณา เขา ใจภาวะของสิ่งทงั้ หลายตามความเปน จริง — Pa¤¤à: wisdom; insight) นาถกรณธรรมน้ี ทานเรียกวา เปน พหุการธรรม หรือ ธรรมมีอปุ การะมาก เพราะเปนกําลังหนนุ ในการบาํ เพญ็ คุณความดที ง้ั หลาย ยงั ประโยชนต นและประโยชนผ ูอน่ื ใหส ําเรจ็ ไดอ ยา งกวางขวางไพบูลยD.III.266,290; A.V.23. ที.ปา.11/357/281; 466/334; องฺ.ทสก.24/17/25.[325] บารมี 10 หรอื ทศบารมี (ปฏปิ ทาอนั ยวดยิ่ง, คุณธรรมท่ีประพฤตปิ ฏบิ ตั ิอยา งยงิ่ ยวด คอื ความดที บ่ี าํ เพญ็ อยา งพเิ ศษ เพอื่ บรรลซุ ง่ึ จดุ หมายอนั สงู เชน ความเปน พระพทุ ธเจาและความเปนมหาสาวก เปน ตน — Pàramã: perfections)1. ทาน (การให การเสียสละ — Dàna: giving; charity; generosity; liberality)2. ศีล (การรกั ษากายวาจาใหอ ยูใ นหลกั ความประพฤติทเี่ ปนแบบแผนแหงภาวะของตน, ความประพฤตดิ งี ามถกู ตอ งตามระเบยี บวินยั —Sãla: morality; good conduct)3. เนกขัมมะ (การออกบวช, ความปลีกตัวปลกี ใจจากกาม — Nekkhamma: renunciation)4. ปญ ญา (ความรอบร,ู ความหยัง่ รเู หตุผล เขา ใจสภาวะของส่งิ ท้ังหลายตามความเปน จรงิ และรจู ักแกไ ขปฏบิ ตั ิจัดการตางๆ — Pa¤¤à: wisdom; insight; understanding)5. วิรยิ ะ (ความเพียร, ความแกลวกลา ไมเ กรงกลวั อปุ สรรค พยายามบากบ่นั อตุ สาหะ กา วหนาเร่อื ยไป ไมท อดทิ้งธุระหนาที่ — Viriya: energy; effort; endeavour)6. ขันติ (ความอดทน, ความทนทานของจิตใจ สามารถใชส ติปญ ญาควบคุมตนใหอ ยใู นอํานาจเหตุผล และแนวทางความประพฤติหรือการปฏิบตั ิ ที่ตง้ั ไวเพือ่ จุดหมายอนั ชอบ ไมลุอํานาจกเิ ลส— Khanti: forbearance; tolerance; endurance)7. สัจจะ (ความจริง คอื พูดจริง ทาํ จริง และจริงใจ — Sacca: truthfulness)8. อธษิ ฐาน (ความตงั้ ใจม่นั , การตัดสินใจเด็ดเดีย่ ว วางจุดหมายแหงการกระทาํ ของตนไวแ นนอน และดาํ เนนิ ตามนัน้ แนว แน — Adhiññhàna: resolution; self-determination)9. เมตตา (ความรักใคร, ความปรารถนาดี มีไมตรี คิดเกื้อกลู ใหผูอ่นื และเพ่ือนรวมโลกทั้งปวง
[326] 240 พจนานกุ รมพุทธศาสตรมีความสุขความเจริญ — Mettà: loving-kindness; friendliness)10.อเุ บกขา (ความวางใจเปน กลาง, ความวางใจสงบราบเรยี บสมาํ่ เสมอ เทยี่ งธรรม และดาํ รงอยูในธรรม ไมเอนเอยี งหรือหว่นั ไหวไปดวยความยินดียนิ รา ยชอบชังหรอื แรงเยา ยวนย่ัวยุใดๆ —Upekkhà: equanimity; indifference to praise and blame in the performance of duty)ทศบารมีนี้ เรยี งตามท่ถี ือวาไดบ ําเพญ็ ในทศชาติ (จดั แบบไทย) ดงั น้ี1. พระเตมีย — เนกขัมมะ (ขอท่ี 3) 2. พระมหาชนก — วิริยะ (5)3. พระสุวรรณสาม — เมตตา (9) 4. พระเนมิราช — อธษิ ฐาน (8)5. พระมโหสถ — ปญ ญา (4) 6. พระภูริทัตต — ศีล (2)7. พระจนั ทกมุ าร — ขนั ติ (6) 8. พระนารทะ — อุเบกขา (10)9. พระวธิ ุระ — สจั จะ (7) 10. พระเวสสันดร — ทาน (1) บารมีน้นั ทานกลาววา จะบาํ เพ็ญใหบ รบิ ูรณ ตอ งครบ 3 ขั้น คือ1. บารมี (ระดับสามญั เชน ทานบารมี ไดแ ก ใหทรัพยส นิ เงินทอง สมบัตนิ อกกาย — Pàramã:ordinary perfections)2. อุปบารมี (ระดับรองหรือจวนจะสูงสุด เชน ทานอปุ บารมี ไดแก การเสียสละอวัยวะเปนทาน— Upapàramã: superior perfections)3. ปรมตั ถบารมี (ระดับสูงสดุ เชน ทานปรมตั ถบารมี ไดแก การสละชีวิตเพอ่ื ประโยชนแกผูอ่ืน — Paramatthapàramã: supreme perfections) บําเพ็ญทั้ง 10 บารมี ครบ 3 ขน้ั น้ี เรียกวา สมตสึ ปารมี หรอื สมดึงสบารมี แปลวา “บารมี30 ถว น”. Bv.6. ขุ.พทุ ธ.33/1/414; ขุ.จรยิ า.33/36/596.[,,,] บุญกิริยาวัตถุ 10 ดู [89] บุญกริ ิยาวตั ถุ 10.[,,,] ปพพชิตอภิณหปจจเวกขณ 10 ดู [248] ปพ พชติ อภณิ หปจ จเวกขณ 10.[,,,] มิจฉัตตะ ดู [334] มจิ ฉตั ตะ 10.[,,,] มูลเหตุการบัญญัติพระวินัย 10 ดู [327] วัตถุประสงคใ นการบัญญตั ิ พระวนิ ยั 10.[326] ราชธรรม 10 หรอื ทศพิธราชธรรม (ธรรมของพระราชา, กจิ วตั รทพ่ี ระเจา แผน ดนิ ควรประพฤต,ิ คณุ ธรรมของผปู กครองบา นเมอื ง, ธรรมของนกั ปกครอง — Ràjadhamma: virtues or duties of the king; royal virtues; virtues of a ruler) 1. ทาน (การให คอื สละทรพั ยส่งิ ของ บํารงุ เลยี้ ง ชวยเหลือประชาราษฎร และบําเพญ็ สาธารณประโยชน — Dàna: charity; liberality; generosity) 2. ศลี (ความประพฤติดงี าม คอื สํารวมกายและวจที วาร ประกอบแตก ารสุจริต รักษากิตติคุณ
หมวด 10 241 [327]ใหควรเปนตัวอยาง และเปนทเี่ คารพนบั ถอื ของประชาราษฎร มิใหมขี อทใ่ี ครจะดูแคลน — Sãla:high moral character)3. ปรจิ จาคะ (การบรจิ าค คอื เสยี สละความสขุ สาํ ราญ เปน ตน ตลอดจนชวี ติ ของตน เพอ่ืประโยชนส ขุ ของประชาชน และความสงบเรยี บรอ ยของบา นเมอื ง — Pariccàga: self-sacrifice)4. อาชชวะ (ความซ่อื ตรง คือ ซอื่ ตรงทรงสัตยไ รม ารยา ปฏบิ ัตภิ ารกิจโดยสุจริต มีความจริงใจไมห ลอกลวงประชาชน — âjjava: honesty; integrity)5. มัททวะ (ความออนโยน คือ มอี ธั ยาศยั ไมเยอหย่ิงหยาบคายกระดา งถือองค มคี วามงามสงาเกิดแตทวงทีกิริยาสุภาพนุมนวล ละมุนละไม ใหไดความรักภักดี แตมิขาดยําเกรง —Maddava: kindness and gentleness)6. ตปะ (ความทรงเดช คือ แผดเผากเิ ลสตัณหา มใิ หเขามาครอบงาํ ยํา่ ยจี ติ ระงับยบั ยั้งขมใจไดไมยอมใหหลงใหลหมกมุน ในความสุขสําราญและความปรนเปรอ มีความเปนอยสู มาํ่ เสมอ หรืออยางสามญั มุงมนั่ แตจ ะบาํ เพ็ญเพียร ทาํ กิจใหบ รบิ ูรณ — Tapa: austerity; self-control;non-indulgence)7. อักโกธะ (ความไมโ กรธ คอื ไมก ริ้วกราดลอุ าํ นาจความโกรธ จนเปน เหตุใหว ินจิ ฉัยความและกระทําการตา งๆ ผดิ พลาดเสยี ธรรม มเี มตตาประจําใจไวระงบั ความเคอื งขุน วินจิ ฉยั ความและกระทาํ การดว ยจติ อันราบเรยี บเปน ตัวของตนเอง — Akkodha: non-anger; non-fury)8. อวหิ งิ สา (ความไมเ บยี ดเบยี น คอื ไมบ บี คนั้ กดขี่ เชน เกบ็ ภาษขี ดู รดี หรอื เกณฑแ รงงานเกนิขนาด ไมห ลงระเรงิ อาํ นาจ ขาดความกรณุ า หาเหตเุ บยี ดเบยี นลงโทษอาชญาแกป ระชาราษฎรผ ใู ดเพราะอาศยั ความอาฆาตเกลยี ดชงั — Avihi§sà: non-violence; non-oppression)9. ขันติ (ความอดทน คือ อดทนตองานท่ีตรากตรํา ถงึ จะลาํ บากกายนาเหนอ่ื ยหนา ยเพยี งไร ก็ไมทอถอย ถึงจะถกู ยั่วถกู หยันดวยคาํ เสยี ดสีถากถางอยา งใด ก็ไมห มดกาํ ลังใจ ไมย อมละทิง้กรณยี ท ีบ่ าํ เพญ็ โดยชอบธรรม — Khanti: patience; forbearance; tolerance)10. อวโิ รธนะ (ความไมค ลาดธรรม คอื วางองคเ ปน หลกั หนกั แนน ในธรรม คงทไี่ มม คี วามเอนเอยี งหวนั่ ไหวเพราะถอ ยคาํ ทด่ี รี า ย ลาภสกั การะ หรอื อฏิ ฐารมณ อนฏิ ฐารมณใ ดๆ สถติ มนั่ ในธรรมทงั้ สว นยตุ ธิ รรม คอื ความเทย่ี งธรรม กด็ ี นติ ธิ รรม คอื ระเบยี บแบบแผนหลกั การปกครอง ตลอดจนขนบธรรมเนยี มประเพณอี นั ดงี าม กด็ ี ไมป ระพฤตใิ หเ คลอ่ื นคลาดวบิ ตั ไิ ป — Avirodhana: non-deviation from righteousness; conformity to the law)ราชธรรม 10 นี้ พงึ จดจาํ งา ยๆ โดยคาถาในบาลี ดงั นี้ ทานํ สีลํ ปรจิ ฺจาคํ อาชชฺ วํ มทฺทวํ ตป อกโฺ กธํ อวิหึสฺจ ขนฺติฺจ อวิโรธน.ํJ.V.378. ขุ.ชา.28/240/86.[327] วัตถุประสงคในการบัญญัติพระวินัย 10 (เหตุผลที่พระพุทธเจา
[327] 242 พจนานกุ รมพุทธศาสตรทรงปรารภหรือประโยชนท่ีทรงประสงค ในการทรงบัญญัติสิกขาบทแกพระสงฆสาวก —Sikkhàpada-pa¤¤atti atthavasa: reasons for laying down the course of training formonks; purposes of monastic legislation) ก. วา ดวยประโยชนแ กส งฆหรือสว นรวม1. สงฺฆสุฏตุ าย (เพอื่ ความรบั วาดีแหง สงฆ คอื เพ่ือความเรียบรอยดีงามแหงสงฆ ซึง่ ไดทรงช้ีแจงใหมองเหน็ คณุ โทษแหง ความประพฤตนิ ัน้ ๆ ชัดเจนแลว จงึ ทรงบัญญตั สิ ิกขาบทขึน้ ไวโดยความเหน็ ชอบรว มกนั — for the excellence of the unanimous Order)2. สงฆฺ ผาสตุ าย (เพือ่ ความผาสุกแหง สงฆ — for the comfort of the Order) ข. วา ดวยประโยชนแกบุคคล3. ทมุ มฺ งกฺ นู ํ ปคุ คฺ ลานํ นคิ คฺ หาย (เพอ่ื ขม บคุ คลผเู กอ ยาก คอื เพอ่ื กาํ ราบคนผดู า น ประพฤติทราม — for the control of shameless persons)4. เปสลานํ ภกิ ขฺ นู ํ ผาสวุ หิ าราย (เพื่อความอยูผาสกุ แหง เหลาภิกษุผูม ศี ีลดีงาม — for theliving in comfort of well-behaved monks) ค. วาดว ยประโยชนแ กความบริสทุ ธ์ิ หรอื แกช ีวิต ทัง้ ทางกายและทางใจ5. ทฏิ ธมมฺ กิ านํ อาสวานํ สวํ ราย (เพอ่ื ปด กนั้ อาสวะทง้ั หลายอนั จะบงั เกดิ ในปจ จบุ นั คอื เพอ่ืระวงั ปด ทางความเสอ่ื มเสยี ความทกุ ข ความเดอื ดรอ น ทจ่ี ะมใี นปจ จบุ นั — for the restraint ofthe cankers in the present; for the prevention of temporal decay and troubles)6. สมปฺ รายกิ านํ อาสวานํ ปฏฆิ าตาย (เพอื่ บาํ บดั อาสวะทง้ั หลายอนั จะบงั เกดิ ในอนาคต คอืเพอื่ ปอ งกนั มใิ หเ กดิ ความเสอื่ มเสยี ความทกุ ขค วามเดอื ดรอ น ทจ่ี ะมมี าในภายหนา หรอื ภพหนา —for warding off the cankers in the hereafter; for protection against spiritual decayand troubles) ง. วา ดวยประโยชนแ กประชาชน7. อปปฺ สนนฺ านํ ปสาทาย (เพอ่ื ความเลอ่ื มใสของชมุ ชนทยี่ งั ไมเ ลอ่ื มใส — for the confidenceof those who have not yet gained confidence)8. ปสนนฺ านํ ภยิ โฺ ยภาวาย (เพื่อความเล่ือมใสย่ิงข้นึ ไปของชมุ ชนทเี่ ล่ือมใสแลว — for theincrease of the confidence of the confident) จ. วา ดว ยประโยชนแ กพ ระศาสนา9. สทธฺ มมฺ ฏ ิตยิ า (เพอื่ ความตงั้ มนั่ แหง สทั ธรรม — for the lastingness of the true doctrine)10. วนิ ยานคุ คฺ หาย (เพอ่ื อนเุ คราะหว นิ ยั คอื ทาํ ใหม บี ทบญั ญตั สิ าํ หรบั ใชเ ปน หลกั เกณฑจ ดั ระเบยี บของหมู สนบั สนนุ ความมวี นิ ยั ใหห นกั แนน มนั่ คงยง่ิ ขนึ้ — for the support of the discipline) Vin.III.20; A.V.70. วินย.1/20/37; องฺ.ทสก.24/31/74.[,,,] วิปสสนาญาณ 10 ดู [311] วปิ ส สนาญาณ 9.
หมวด 10 243 [329][328] วิปสสนูปกิเลส 10 (อุปกิเลสแหง วปิ ส สนา, ธรรมารมณทเ่ี กิดแกผ ไู ดต รุณ- วิปสสนา หรอื วปิ ส สนาออ นๆ ทาํ ใหเขา ใจผิดวา ตนบรรลุมรรคผลแลว เปน เหตุขัดขวางใหไ มก า ว หนา ตอไปในวปิ ส สนาญาณ — Vipassanåpakilesa: imperfections or defilements of insight) 1. โอภาส (แสงสวาง — Obhàsa: illumination; luminous aura) 2. ญาณ (ความหยง่ั รู — ¥àõa: knowledge) 3. ปติ (ความอมิ่ ใจ — Pãti: rapture; unprecedented joy) 4. ปส สัทธิ (ความสงบเย็น — Passaddhi: tranquillity) 5. สขุ (ความสุขสบายใจ — Sukha: bliss; pleasure) 6. อธโิ มกข (ความนอมใจเช่อื , ศรทั ธาแกก ลา, ความปลงใจ — Adhimokkha: fervour; assurance; resolution) 7. ปคคาหะ (ความเพยี รท่พี อดี — Paggàha: exertion; well-exerted energy) 8. อุปฏ ฐาน (สตแิ กก ลา, สติชัด — Upaññhàna: established mindfulness) 9. อเุ บกขา (ความมีจิตเปน กลาง — Upekkhà: equanimity) 10. นกิ นั ติ (ความพอใจ, ติดใจ — Nikanti: delight) ดู [285] วิสทุ ธฺ ิ 7 โดยเฉพาะขอ 5 คือ มัคคามคั คญาณทัสสนวิสุทธิVism.633. วสิ ุทธฺ .ิ 3/267.[,,,] ศีล 10 ดู [242] ศีล 10.[329] สังโยชน 101 (กเิ ลสอันผกู ใจสัตว, ธรรมท่ีมดั สัตวไ วก ับวฏั ฏทกุ ข หรอื ผกู กรรมไวกบั ผล — Sa§yojana: fetters; bondage)ก. โอรัมภาคยิ สงั โยชน 5 (สงั โยชนเ บอ้ื งต่าํ เปนอยา งหยาบ เปน ไปในภพอนั ตํ่า — Oram-bhàgiya~: lower fetters)1. สกั กายทฏิ ฐิ (ความเหน็ วา เปนตัวของตน เชน เห็นรปู เห็นเวทนา เหน็ วิญญาณ เปนตนเปนตน — Sakkàyadiññhi: personality-view; false view of individuality)2. วิจิกจิ ฉา (ความสงสัย, ความลังเล ไมแนใ จ — Vicikicchà: doubt; uncertainty)3. สลี พั พตปรามาส (ความถอื มนั่ ศลี พรต โดยสกั วา ทาํ ตามๆ กนั ไปอยา งงมงายเหน็ วา จะบรสิ ทุ ธ์ิหลดุ พน ไดเ พยี งดว ยศลี และวตั ร — Sãlabbataparàmàsa: adherence to rules and rituals)4. กามราคะ (ความกาํ หนดั ในกาม, ความตดิ ใจในกามคณุ — Kàmaràga: sensual lust)5. ปฏฆิ ะ (ความกระทบกระทงั่ ในใจ, ความหงดุ หงดิ ขดั เคอื ง — Pañigha: repulsion; irritation)ข. อุทธัมภาคยิ สงั โยชน 5 (สังโยชนเ บือ้ งสูง เปน อยางละเอยี ด เปน ไปแมใ นภพอันสงู —Uddhambhàgiya~: higher fetters)
[330] 244 พจนานุกรมพุทธศาสตร6. รปู ราคะ (ความตดิ ใจในอารมณแหง รูปฌาน หรอื ในรูปธรรมอนั ประณีต, ความปรารถนาในรปู ภพ — Råparàga: greed for fine-material existence; attachment to realms of form)7. อรปู ราคะ (ความตดิ ใจในอารมณแ หง อรปู ฌาน หรอื ในอรปู ธรรม, ความปรารถนาในอรปู ภพ— Aråparàga: greed for immaterial existence; attachment to formless realms)8. มานะ (ความสาํ คัญตน คือ ถือตนวาเปน นั่นเปนน่ี — Màna: conceit; pride)9. อุทธัจจะ (ความฟุงซา น — Uddhacca: restlessness; distraction)10. อวิชชา (ความไมร ูจริง, ความหลง — Avijjà: ignorance) สังโยชน 10 ในหมวดนี้ เปน แนวพระสตู ร หรือ สตุ ตนั ตนัย แตในบาลีแหงพระสตู รนัน้ ๆ มีแปลกจากทีน่ เ้ี ล็กนอ ย คือ ขอ 4 เปน กามฉนั ท (ความพอใจในกาม — sensual desire) ขอ 5เปน พยาบาท (ความขดั เคือง, ความคิดรา ย — ill-will) ใจความเหมือนกันลาํ ดบั การละสงั โยชน 10 น้ี ใหดู [164] มรรค 4.S.V.61; A.V.13; Vbh.377. ส.ํ ม.19/349/90; อง.ฺ ทสก.24/13/18; อภ.ิ ว.ิ 35/976–7/509.[330] สังโยชน 102 (ธรรมที่มัดสตั วไวกับทุกข — Sa§yojana: fetters; bondage)1. กามราคะ 2. ปฏฆิ ะ 3. มานะ 4. ทฏิ ฐิ (ความเหน็ ผดิ — Diññhi: false views) 5. วจิ กิ จิ ฉา6. สลี พั พตปรามาส 7. ภวราคะ (ความตดิ ใจปรารถนาในภพ — Bhavaràga: greed forexistence) 8. อสิ สา (ความรษิ ยา — Issà: envy; jealousy) 9. มจั ฉรยิ ะ (ความตระหนี่ —Macchariya: meanness; stinginess) 10. อวชิ ชา สงั โยชน 10 ในหมวดนี้ เปนแนวพระอภิธรรม หรอื อภิธรรมนยั ไดแ สดงความหมายไวเฉพาะขอทตี่ า งจากหมวดกอ นVbh.391. อภ.ิ ว.ิ 35/1029/528.[331] สัญญา 10 (ความกําหนดหมาย, แนวความคดิ ความเขาใจ สาํ หรับใชกาํ หนดพจิ ารณาในการเจริญกรรมฐาน — Sa¤¤à: perception; contemplation; ideas as objectsof meditation)1. อนิจฺจสฺา (กาํ หนดหมายความไมเ ทย่ี งแหงสังขาร — Anicca-sa¤¤à: contemplationon impermanency)2. อนตตฺ สฺ า (กาํ หนดหมายความเปน อนตั ตาแหง ธรรมทง้ั ปวง — Anatta~: contemplationon impersonality)3. อสภุ สฺ า (กาํ หนดหมายความไมง ามแหง กาย — Asubha~: contemplation on foulnessor loathsomeness)4. อาทนี วสฺา (กําหนดหมายโทษทกุ ขข องกายอนั มคี วามเจ็บไขตางๆ — âdãnava~:contemplation on the disadvantages of the body)5. ปหานสฺา (กําหนดหมายเพื่อละอกุศลวิตกและบาปธรรมท้ังหลาย — Pahàna~:
หมวด 10 245 [333]contemplation on abandonment or overcoming)6. วริ าคสฺ า (กาํ หนดหมายวริ าคะวา เปน ธรรมละเอยี ดประณตี — Viràga~: contemplationon detachment)7. นโิ รธสฺา (กําหนดหมายนิโรธวาเปน ธรรมละเอยี ดประณตี — Nirodha~: contem-plation on cessation)8. สพพฺ โลเก อนภริ ตสฺ า (กาํ หนดหมายความไมน า เพลดิ เพลนิ ในโลกทง้ั ปวง — Sabbalokeanabhirata~: contemplation on the non-delightfulness of the whole world)9. สพพฺ สงขฺ าเรสุ อนฏิ สฺ า (กาํ หนดหมายความไมน า ปรารถนาในสงั ขารทง้ั ปวง —Sabba-saïkhàresu aniññha~: contemplation on the non-pleasantness of the whole world)10. อานาปานสติ (สตกิ ําหนดลมหายใจเขาออก — ânàpànasati: mindfulness of in-and out-breathing)ในขอ 9. อนฏิ สฺ า พระบาลีเดิมเปน อนจิ จฺ สฺ า บาง อนจิ ฉฺ าสฺ า บาง.D.III.291; A.V.109. ท.ี ปา.11/473/340; องฺ.ทสก.24/60/116.[332] สัทธรรม 10 (ธรรมอนั ด,ี ธรรมทแ่ี ท, ธรรมของสตั บุรษุ , หลักหรอื แกน ศาสนา —Saddhamma: true doctrine; essential Dharma)1.–9. โลกุตตรธรรม 9 (มรรค 4 ผล 4 นิพพาน 1 — Lokuttara-dhamma: the ninesupermundane states, viz., the Four Paths, the Four Fruitions and Nibbàna)10. ปริยตั ธิ รรม (ธรรมคอื คาํ สัง่ สอนอันจะตองเลาเรยี น กลา วคอื พทุ ธพจน — Pariyatti-dhamma: the text to be studied, i.e. the words of the Buddha)(ฉบบั อกั ษรโรมนั ยังไมไ ดพมิ พ) สงฺคห.ฏกี า 65.[333] สัมมัตตะ 10 (ภาวะทถ่ี กู , ความเปน สงิ่ ทถี่ กู — Sammatta: rightness; right states)8 ขอ ตน ตรงกบั องคม รรค 8 ขอ คอื สมั มาทฏิ ฐิ สมั มาสงั กปั ปะ สมั มาวาจาสมั มากมั มนั ตะ สมั มาอาชวี ะ สมั มาวายามะ สมั มาสติ สมั มาสมาธิ และเพม่ิ 2 ขอ คอื9. สมั มาญาณ (รชู อบ ไดแ ก ผลญาณ และปจ จเวกขณญาณทงั้ 19 ประเภท — Sammà¤àõa:right knowledge; right insight)10. สมั มาวมิ ตุ ติ (หลดุ พน ชอบ ไดแ ก อรหตั ตผลวมิ ตุ ติ — Sammàvimutti: right deliverance) ธรรมหมวดนี้ เรียกช่อื อีกอยางวา อเสขธรรม (ธรรมของพระอเสขะ — Asekhadhamma:qualities of the adept)ดู [293] มรรคมอี งค 8.D.III.271,292; M.I.42; A.V.212. ที.ปา.11/362/286; 475/342; ม.ม.ู 12/104/75; อง.ฺ ทสก.24/104/226; ม.อ.1/260; อง.ฺ อ.2/319,474,481.
[334] 246 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร[334] มิจฉัตตะ 10 (ภาวะทผ่ี ดิ , ความเปน สง่ิ ทผ่ี ดิ —Micchatta: wrongness; wrong states) 1. มจิ ฉาทิฏฐิ (เห็นผดิ ไดแก ความเห็นผิดจากคลองธรรมตามหลักกศุ ลกรรมบถ และความ เหน็ ที่ไมนาํ ไปสูค วามพน ทกุ ข — Micchàdiññhi: wrong view) 2. มจิ ฉาสงั กปั ปะ (ดาํ รผิ ดิ ไดแ ก ความดาํ รทิ ี่เปน อกศุ ลท้งั หลาย ตรงขามจากสัมมาสงั กัปปะ — Micchàsaïkappa: wrong thought) 3. มิจฉาวาจา (วาจาผิด ไดแก วจีทจุ รติ 4 — Micchàvàcà: wrong speech) 4. มจิ ฉากัมมันตะ (กระทําผดิ ไดแก กายทุจรติ 3 — Micchàkammanta: wrong action) 5. มิจฉาอาชีวะ (เล้ียงชีพผิด ไดแก เลี้ยงชีวติ ในทางทุจรติ — Micchà-àjãva: wrong livelihood) 6. มจิ ฉาวายามะ (พยายามผดิ ไดแ ก ความเพยี รตรงขามกบั สัมมาวายามะ — Micchà- vàyàma: wrong effort) 7. มิจฉาสติ (ระลกึ ผดิ ไดแก ความระลกึ ถึงเร่ืองราวท่ีลวงแลว เชน ระลกึ ถึงการไดท รัพย การ ไดยศ เปน ตน ในทางอกศุ ล อันจดั เปน สตเิ ทยี ม เปน เหตุชักนําใจใหเกิดกเิ ลสมีโลภะ มานะ อิสสา มจั ฉริยะ เปน ตน — Micchàsati: wrong mindfulness) 8. มิจฉาสมาธิ (ต้ังจติ ผิด ไดแ ก ต้งั จติ เพง เล็ง จดจอ ปก ใจแนวแนในกามราคะ พยาบาท เปนตน หรือเจรญิ สมาธแิ ลว หลงเพลิน ตดิ หมกมนุ ตลอดจนนาํ ไปใชผ ดิ ทาง ไมเปน ไปเพ่ือ ญาณทสั สนะ และความหลดุ พน — Micchàsamàdhi: wrong concentration) 9. มจิ ฉาญาณ (รผู ิด ไดแก ความหลงผิดท่ีแสดงออกในการคดิ อบุ ายทาํ ความช่ัว และในการ พิจารณาทบทวนวา ความชวั่ น้นั ๆ ตนกระทําไดอ ยางดแี ลว เปน ตน — Micchà¤àõa: wrong knowledge) 10. มิจฉาวิมุตติ (หลดุ พน ผดิ ไดแก ยงั ไมถ ึงวิมตุ ติ สาํ คญั วาถึงวิมตุ ติ หรือสําคญั ผดิ ในสิ่งท่ี มใิ ชวิมุตตวิ าเปน วมิ ตุ ติ — Micchàvimutti: wrong deliverance)D.III.290; M.I.42; A.V.212. ท.ี ปา.11/469/337; ม.มู.12/104/76; องฺ.ทสก.24/103/226; ม.อ.1/259; วิภงคฺ .อ.676.[,,,] อกุศลกรรมบถ 10 ดู [321] อกุศลกรรมบถ 10.[335] อนุสติ 10 (ความระลกึ ถงึ , อารมณอ นั ควรระลกึ ถงึ เนอื งๆ — Anussati: recollection;constant mindfulness)1. พุทธานสุ ติ (ระลกึ ถึงพระพุทธเจา คอื นอ มจติ ระลึกถึงและพิจารณาคุณของพระองค —Buddhànussati: recollection of the Buddha; contemplation on the virtues of theBuddha)2. ธมั มานสุ ติ (ระลกึ ถงึ พระธรรม คอื นอ มจติ ระลกึ ถงึ และพจิ ารณาคณุ ของพระธรรม — Dhammà-nussati: recollection of the Dhamma; contemplation on the virtues of the Doctrine)3. สังฆานุสติ (ระลึกถึงพระสงฆ คือ นอมจิตระลึกถึงและพิจารณาคุณของพระสงฆ —
หมวด 10 247 [336]Saïghànussati: recollection of the Sangha; contemplation on the virtues of the Order)4. สลี านสุ ติ (ระลกึ ถงึ ศลี คอื นอ มจติ ราํ ลกึ พจิ ารณาศลี ของตนทไี่ ดป ระพฤตปิ ฏบิ ตั ิ บรสิ ทุ ธ์ิ ไมดา งพรอ ย — Sãlànussati: recollection of morality; contemplation on one’s own morals)5. จาคานุสติ (ระลึกถึงการบริจาค คอื นอ มจิตระลึกถึงทานทตี่ นไดบรจิ าคแลว และพจิ ารณาเห็นคณุ ธรรมคอื ความเผื่อแผเ สียสละนที้ ม่ี ีในตน — Càgànussati: recollection of liberality;contemplation on one’s own liberality)6. เทวตานสุ ติ (ระลึกถึงเทวดา คอื นอมจิตระลกึ ถึงเทวดาทง้ั หลายท่ีตนเคยรู และพจิ ารณาเหน็ คณุ ธรรมอนั ทาํ บุคคลใหเ ปนเทวดาน้นั ๆ ตามทีม่ ีอยใู นตน — Devatànussati: recollectionof deities; contemplation on the virtues which make people become gods as canbe found in oneself)7. มรณสติ (ระลึกถงึ ความตายอนั จะตองมีมาถึงตนเปนธรรมดา พิจารณาทจ่ี ะใหเกิดความไมประมาท — Maraõassati: mindfulness of death; contemplation on death)8. กายคตาสติ (สติอันไปในกาย คือ กาํ หนดพิจารณากายนี้ ใหเหน็ วาประกอบดวยสวนตางๆอันไมสะอาด ไมงาม นารังเกียจ เปนทางรูเ ทา ทนั สภาวะของกายนี้ มใิ หหลงใหลมัวเมา —Kàyagatà-sati: mindfulness occupied with the body; contemplation on the 32impure parts of the body)9. อานาปานสติ (สตกิ าํ หนดลมหายใจเขา ออก — ânàpànasati: mindfulness on breathing)10. อปุ สมานสุ ติ (ระลกึ ถงึ ธรรมเปน ทส่ี งบ คอื ระลกึ ถงึ และพจิ ารณาคณุ ของพระนพิ พาน อนัเปน ทรี่ ะงบั กเิ ลสและความทกุ ข — Upasamànussati: recollection of peace; contemplationon the virtue of Nibbàna)ดู [354] กรรมฐาน 40.A.I.30,41; Vism.197. อง.ฺ เอก.20/179–180/39–40; 224/54; วิสุทธฺ ิ.1/251.[,,,] อภิณหปจจเวกขณ 10 ดู [248] ปพพชติ อภณิ หปจ จเวกขณ 10.[,,,] อเสขธรรม 10 ดู [333] สัมมตั ตะ 10.[336] อสุภะ 10 (สภาพอนั ไมง าม, ซากศพในสภาพตา งๆ ซง่ึ ใชเ ปน อารมณแ หง สมถกรรมฐาน— Asubha: ten kinds of foulness; corpses at different stages of decay)1. อทุ ธมุ าตกะ (ซากศพทเ่ี นา พองขนึ้ อดื — Uddhumàtaka: bloated corpse; swollen-up corpse)2. วนิ ลี กะ (ซากศพทมี่ สี เี ขยี วคลาํ้ คละดว ยสตี า งๆ — Vinãlaka: bluish discoloured corpse;livid corpse)3. วิปพุ พกะ (ซากศพทมี่ ีนาํ้ เหลืองไหลเยิ้มอยูตามทที่ ี่แตกปริออก — Vipubbaka: festeringcorpse)4. วจิ ฉทิ ทกะ (ซากศพทีข่ าดจากกันเปน 2 ทอน — Vicchiddaka: split or cut up corpse;
[337] 248 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตรdisjoint corpse)5. วิกขายิตกะ (ซากศพทถี่ ูกสตั ว เชน แรง กา สุนขั จกิ ท้ึงกัดกินแลว — Vikkhàyitaka:gnawed corpse)6. วกิ ขิตตกะ (ซากศพท่กี ระจุยกระจาย มือเทา ศีรษะหลดุ ออกไปขา งๆ — Vikkhittaka:scattered corpse; mangled corpse)7. หตวิกขิตตกะ (ซากศพที่ถกู สับฟน บั่นเปนทอ นๆ กระจายออกไป — Hatavikkhittaka:hacked and scattered corpse; mutilated and mangled corpse)8. โลหิตกะ (ซากศพท่ีมโี ลหติ ไหลอาบเรย่ี ราดอยู — Lohitaka: blood-stained corpse;bleeding corpse)9. ปฬุ วุ กะ (ซากศพท่ีมหี นอนคลาคล่ําเต็มไปหมด — Puëuvaka: worm-infested corpse)10. อัฏฐกิ ะ (ซากศพทีย่ ังเหลืออยแู ตรางกระดกู หรือกระดกู ทอน — Aññhika: skeleton)ดู [354] กรรมฐาน 40.Vism.178. วิสทุ ธฺ .ิ 1/226.[337] อันตคาหิกทิฏฐิ 10 (ความเหน็ อันถอื เอาทสี่ ดุ , ความเหน็ ผิดทแ่ี ลน ไปสดุ โตงขางใดขา งหนง่ึ — Antagàhika-diññhi: the ten erroneous extremist views) คอื เห็นวา1. โลกเทย่ี ง (The world is eternal.)2. โลกไมเ ที่ยง (The world is not eternal.)3. โลกมีท่ีสดุ (The world is finite.)4. โลกไมมีทีส่ ุด (The world is infinite.)5. ชีวะก็อันนน้ั สรีระกอ็ ันนั้น (The soul and the body are identical.)6. ชีวะกอ็ ยางหนึง่ สรีระกอ็ ยา งหนึง่ (The soul is one thing and the body is another.)7. ตถาคตเบอ้ื งหนา แตตาย ยอมเปนอกี (The Tathàgata is, after death.)8. ตถาคตเบื้องหนาแตต าย ยอมไมเ ปน อกี (The Tathàgata is not, after death.)9. ตถาคตเบอ้ื งหนา แตตาย ยอมเปนอกี ก็ใช ไมเ ปนอกี ก็ใช (The Tathàgata both isand is not, after death.)10. ตถาคตเบอื้ งหนาแตตาย ยอ มเปน อีก ก็มิใช ยอ มไมเปน อกี ก็มิใช (The Tathàgataneither is nor is not, after death.) คาํ วา ตถาคต ในทน่ี ี้ อรรถกถาบางแหงวา หมายถงึ “สัตว” (เชน ม.อ.3/135; สงฺคณ.ี อ.528) บางแหงวา “อัตตา” หรอื “อาตมนั ” (อุ.อ.430) บางแหง วา “พระพุทธเจา” (สํ.อ.3/192)M.I.426; S.IV.392; A.V.193; ม.ม.13/147/143; สํ.สฬ.18/788/476; อง.ฺ ทสก.24/193/206;Ps.I.151; Vbh.392. ข.ุ ปฏ.ิ 31/337/226; อภ.ิ ว.ิ 35/1032/529.
อติเรกทสกะ — หมวดเกนิ 10 Groups of More Than Ten[338] กรรม 12 (การกระทําท่ีประกอบดวยเจตนา ดีกต็ าม ชว่ั กต็ าม, ในทีน่ ี้หมายถงึ กรรม ประเภทตา งๆ พรอ มทง้ั หลกั เกณฑเ กยี่ วกบั การใหผ ลของกรรมเหลา นน้ั — Kamma: karma; kamma; action; volitional action) หมวดท่ี 1 วาโดยปากกาล คือ จาํ แนกตามเวลาท่ีใหผ ล (classification according to the time of ripening or taking effect) 1. ทฏิ ฐธรรมเวทนยี กรรม (กรรมใหผ ลในปจ จบุ นั คอื ในภพน้ี — Diññhadhamma-vedanãya- kamma: kamma to be experienced here and now; immediately effective kamma) 2. อปุ ปช ชเวทนยี กรรม (กรรมใหผ ลในภพทจี่ ะไปเกดิ คอื ในภพหนา — Upapajja-vedanãya- kamma: kamma to be experienced on rebirth; kamma ripening in the next life) 3. อปราปรยิ เวทนยี กรรม (กรรมใหผ ลในภพตอ ๆ ไป — Aparàpariya-vedanãya-kamma: kamma to be experienced in some subsequent lives; indefinitely effective kamma) 4. อโหสกิ รรม (กรรมเลกิ ใหผ ล ไมม ผี ลอกี — Ahosi-kamma: lapsed or defunct kamma) หมวดที่ 2 วา โดยกิจ คอื จําแนกการใหผ ลตามหนาที่ (classification according to function) 5. ชนกกรรม (กรรมแตง ใหเ กดิ , กรรมท่เี ปน ตวั นาํ ไปเกดิ — Janaka-kamma: productive kamma; reproductive kamma) 6. อุปตถมั ภกกรรม (กรรมสนบั สนนุ , กรรมท่เี ขาชว ยสนับสนุนหรือซํา้ เติมตอจากชนกกรรม — Upatthambhaka-kamma: supportive kamma; consolidating kamma) 7. อุปปฬกกรรม (กรรมบบี คัน้ , กรรมท่มี าใหผล บีบคน้ั ผลแหง ชนกกรรมและอปุ ตถัมภกรรม นนั้ ใหแ ปรเปลยี่ นทเุ ลาลงไป บน่ั ทอนวบิ ากมใิ หเ ปน ไปไดน าน — Upapãëaka-kamma: obstructive kamma; frustrating kamma) 8. อปุ ฆาตกกรรม (กรรมตดั รอน, กรรมทแ่ี รง ฝา ยตรงขา มกบั ชนกกรรมและอปุ ต ถมั ภกกรรม เขาตดั รอนการใหผลของกรรมสองอยางนัน้ ใหขาดไปเสยี ทีเดียว เชน เกิดในตระกูลสงู มง่ั คั่ง แตอ ายสุ ้ัน เปนตน — Upaghàtaka-kamma: destructive kamma; supplanting kamma) หมวดท่ี 3 วา โดยปากทานปริยาย คือ จําแนกตามความยักเย้อื งหรอื ลําดับความแรงใน การใหผล (classification according to the order of ripening) 9. ครกุ กรรม (กรรมหนกั ใหผ ลกอ น ไดแ ก สมาบตั ิ 8 หรอื อนนั ตรยิ กรรม — Garuka-kamma: weighty kamma) 10. พหุลกรรม หรอื อาจณิ ณกรรม (กรรมทํามากหรือกรรมชิน ใหผ ลรองจากครุกกรรม
[339] 250 พจนานุกรมพุทธศาสตร— Bahula-kamma or âciõõa-kamma: habitual kamma)11. อาสนั นกรรม (กรรมจวนเจยี น หรอื กรรมใกลตาย คือกรรมทาํ เมือ่ จวนจะตายจบั ใจอยูใหมๆ ถา ไมมี 2 ขอ กอน ก็จะใหผลกอนอื่น — âsanna-kamma: death-threshold kamma;proximate kamma)12. กตตั ตากรรม หรอื กตตั ตาวาปนกรรม (กรรมสกั วา ทาํ , กรรมทท่ี าํ ไวด ว ยเจตนาอนั ออ นหรอื มใิ ชเ จตนาอยา งนน้ั โดยตรง ตอ เมอื่ ไมม กี รรมอน่ื ใหผ ลแลว กรรมนจ้ี งึ จะใหผ ล — Katattà-kamma or Katattàvàpana-kamma: reserve kamma; casual act) กฏตั ตากรรม กเ็ ขยี น กรรม 12 หรอื กรรมส่ี 3 หมวดนี้ มไิ ดมมี าในบาลใี นรปู เชนนโี้ ดยตรง พระอาจารยส มัยตอมา เชน พระพทุ ธโฆษาจารย เปนตน ไดรวบรวมมาจดั เรยี งเปน แบบไวใ นภายหลงั .Vism.601; Comp.144. วิสทุ ธฺ .ิ 3/223; สงคฺ ห.28.[339] จักรวรรดิวัตร 5, 12 (วตั รของพระเจา จกั รพรรด,ิ พระจรยิ าทพ่ี ระจกั รพรรดพิ งึทรงบําเพ็ญสม่ําเสมอ, ธรรมเนียมการทรงบําเพ็ญพระราชกรณียของพระเจาจักรพรรดิ, หนาท่ีของนกั ปกครองผยู งิ่ ใหญ — Cakkavatti-vatta: duties of a universal king or a great ruler)1. ธรรมาธปิ ไตย (ถือธรรมเปน ใหญ เคารพนบั ถอื บูชายาํ เกรงธรรม ยดึ ธรรมเปน หลัก เปนธงชยั เปนธรรมาธปิ ไตย — Dhammàdhipateyya: supremacy of the law of truth andrighteousness; rule of the Dhamma; rule of the true law) (1) และ2. ธรรมิการักขา (จัดการรักษาปองกันและคุมครองอันชอบธรรมและเปนธรรม —Dhammikàrakkhà: provision of the right watch, ward and protection) ก. อนั โตชน (แกช นภายใน ต้ังแตพ ระมเหสี โอรส ธิดา จนถงึ ผูปฏบิ ตั ริ าชการในพระองค ทงั้ หมด คอื คนในปกครองสว นตวั ตง้ั แตบ ตุ รธดิ าเปน ตน ไป ดว ยใหก ารบาํ รงุ เลย้ี งอบรม สงั่ สอนเปนตน ใหอยโู ดยเรยี บรอ ยสงบสุข และมีความเคารพนบั ถอื กัน — for one’s own folk) (2)ข. พลกาย (แกก องทพั คือ ปวงเสนาขาทหาร, ขา ราชการฝายทหาร — for the army; the armed forces; military personnel) (3)ค. ขัตติยะ (แกกษัตริยท้ังหลายผูอยูในพระบรมเดชานุภาพ, เจาเมืองข้ึน, ปจจุบัน สงเคราะหช นชัน้ ปกครองและนักบรหิ ารช้นั ผใู หญท ้ังหลาย, ขา ราชการฝา ยปกครอง — for colonial kings; administrative officers) (4)ง. อนุยนต (แกผ ูตามเสดจ็ คือ ราชบริพารทั้งหลาย, ปจจุบันควรสงเคราะหขา ราชการฝาย พลเรอื นเขา ทง้ั หมด — for the royal dependants; civil servants) (5)จ. พราหมณคฤหบดี (แกช นเจา พธิ ี เจา ตาํ รา พอ คา เจา ไรเ จา นา คอื ครอู าจารย นกั วชิ าการ หมอ พอคา ผูประกอบวิชาชีพตางๆ และเกษตรกร ดวยชวยจัดหาทุนและอุปกรณ เปน ตน — for brahmins and householders; the professional, traders and the agricultural) (6)
หมวดเกิน 10 251 [339] ฉ. เนคมชานบท (แกช าวนิคมชนบท คือ ราษฎรทัง้ ปวงทุกทอ งถิ่นตลอดถึงชายแดนท่ัวไป ไมท อดทงิ้ — for town and country dwellers; townsmen and villagers; upcountry people) (7) ช. สมณพราหมณ (แกพ ระสงฆแ ละบรรพชติ ผทู รงศลี ทรงคณุ ธรรม — for the religious) (8) ญ.มคิ ปกษี (แกมฤคและปกษี คือ สตั วอ ันควรสงวนทง้ั หลาย — for beasts and birds) (9)3. อธรรมการนเิ สธนา (หา มกน้ั มใิ หม กี ารอนั อธรรมเกดิ ขนึ้ ในพระราชอาณาเขต คอื จดั การปอ งกนัแกไ ข มใิ หม กี ารกระทาํ ความผดิ ความชวั่ รา ยเดอื ดรอ นเกดิ ขน้ึ ในบา นเมอื ง — Adhammakàra-nisedhanà: to let no wrongdoing prevail in the kingdom) (10)4. ธนานปุ ระทาน (ปนทรพั ยเฉลย่ี ใหแ กช นผูไรทรพั ย มิใหมคี นขัดสนยากไรในแวน แควน —Dhanànuppadàna: to let wealth be given or distributed to the poor) (11)5. ปริปุจฉา (ปรึกษาสอบถามปญ หากับสมณพราหมณ ผูประพฤตดิ ี ปฏิบัติชอบ ผูไมประมาทมัวเมา อยูเสมอตามกาลอันควร เพ่ือใหรูชัดการอันดีชั่ว ควรประกอบหรือไม เปนไปเพ่ือประโยชนส ขุ หรือไม แลว ประพฤติปฏิบตั ิใหเ ปน ไปโดยถกู ตอง ขอนีป้ จจบุ นั สงเคราะหนักปราชญนักวชิ าการผทู รงคณุ ธรรมเขาดวย — Paripucchà: to go from time to time to see andseek advice from the men of religious life who maintain high moral standards; tohave virtuous counsellors and seek after greater virtue) (12) จกั รวรรดิวตั รน้ี มาใน จกั กวตั ตสิ ตู ร ตามทม่ี าทอ่ี าง ในพระบาลี คอื พระไตรปฎก ทา นไมระบุจํานวนขอ ไว แตน ับตามทต่ี รัสไว เปนหลักการทีย่ ดึ ถือหนึ่งขอ และหลกั ปฏิบัติ 4 ขอ จงึ รวมเปน 5 ขอ อยางไรกด็ ี ขอ ยอ ยที่แยกออกไปจากขอ 2 (ธรรมกิ ารักขา) แตล ะอยาง ในช้ันอรรถกถาคงเห็นวามคี วามสาํ คัญมาก และมีรายละเอยี ดวธิ ีปฏิบัตจิ ําเพาะตา งกันออกไป จงึ จัดเปน วัตรแตละขอ เทากันหมด นับได 12 ขอ ตามตวั เลขในวงเลบ็ ขางหลงั แตใ นอรรถกถาแหงพระสูตรนเ้ี อง (ที.อ.3/46) ทานจดั ตางออกไปดงั น้ี1. อนโฺ ตชนสมฺ ึ พลกายสมฺ ึ (สงเคราะหช นภายใน และพลกายกองทหาร)2. ขตตฺ ิเยสุ (สงเคราะหก ษตั รยิ เมอื งขึ้นท้ังหลาย)3. อนุยนเฺ ตสุ (สงเคราะหเ หลา เชอ้ื พระวงศ ผตู ามเสดจ็ เปน ราชบรพิ าร)4. พฺราหฺมณคหปตเิ กสุ (คมุ ครองพราหมณแ ละคฤหบดที งั้ หลาย)5. เนคมชานปเทสุ (คมุ ครองชาวราษฎรพน้ื เมืองท้งั หลาย)6. สมณพรฺ าหมฺ เณสุ (คุมครองเหลา สมณพราหมณ)7. มิคปกฺขีสุ (คมุ ครองเนือ้ นกทเ่ี อาไวสืบพันธ)ุ 8. อธมมฺ การปฏกิ เฺ ขโป (หามปรามมิใหม กี ารประพฤติการอนั ผดิ ธรรม)
[340] 252 พจนานกุ รมพุทธศาสตร 9. อธนานํ ธนานุปปฺ ทาน (ทาํ นุบํารงุ ผขู ดั สนไรทรัพย)10. สมณพรฺ าหมฺ เณ อปุ สงกฺ มติ วฺ า ปหฺ าปจุ ฉฺ น (เขา ไปหาและสอบถามปญ หากะสมณพราหมณ)11. อธมมฺ ราคสสฺ ปหาน (เวนความกําหนดั ในกามโดยอาการไมเ ปน ธรรม)12. วสิ มโลภสฺส ปหาน (เวน โลภกลา ไมเ ลอื กควรไมค วร) ที่จํากันมาสวนมาก ก็ถือตามนัยอรรถกถาน้ี อยางไรก็ดี ตามนัยน้ี ทานไมนับขอธรรมาธิปไตย เขา ในจํานวน 12 ขอ และเพม่ิ ขอ 11, 12 เขามาใหม ซ่ึงไมมีมาในบาลเี ดิม (ขอ11, 12 นี้ โดยเหตผุ ลนาจะมอี ยูแลวในหลักทศพธิ ราชธรรม)ดู [326] ราชธรรม 10 ดวย.D.III.61. ท.ี ปา.11/35/65.[340] ปฏิจจสมุปบาท มอี งคหรอื หัวขอ 12 (การเกิดขน้ึ พรอ มแหงธรรมท้ังหลายเพราะอาศยั กัน, ธรรมทีอ่ าศยั กันเกิดข้ึนพรอม, การที่สง่ิ ทง้ั หลายอาศัยกันๆ จงึ เกิดมีขนึ้ — Pañicca-samuppàda: the Dependent Origination; conditioned arising)1.–2. อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา เพราะ อวิชชา เปน ปจจยั สังขาร จึงมี (Dependent on Ignorance arise Kamma-Formations.)3. สงฺขารปจจฺ ยา วิฺาณํ เพราะสงั ขารเปนปจ จยั วิญญาณ จึงมี (Dependent on Kamma-Farmations arises Consciousness.)4. วิฺาณปจฺจยา นามรปู เพราะวิญญาณเปนปจ จัย นามรปู จงึ มี (Dependent on Consciousness arise Mind and Matter.)5. นามรูปปจฺจยา สฬายตนํ เพราะนามรปู เปนปจ จัย สฬายตนะ จงึ มี (Dependent on Mind and Matter arise the Six Sense-Bases.)6. สฬายตนปจจฺ ยา ผสฺโส เพราะสฬายตนะเปนปจจยั ผสั สะ จึงมี (Dependent on the Six Sense-Bases arises Contact.)7. ผสฺสปจจฺ ยา เวทนา เพราะผัสสะเปนปจ จัย เวทนา จงึ มี (Dependent on Contact arises Feeling.)8. เวทนาปจจฺ ยา ตณฺหา เพราะเวทนาเปน ปจ จัย ตณั หา จงึ มี (Dependent on Feeling arises Craving.)9. ตณฺหาปจจฺ ยา อุปาทานํ เพราะตณั หาเปนปจจัย อุปาทาน จงึ มี (Dependent on Craving arises Clinging.)10. อุปาทานปจจฺ ยา ภโว เพราะอุปาทานเปนปจจัย ภพ จงึ มี (Dependent on Clinging arises Becoming.)11. ภวปจจฺ ยา ชาติ เพราะภพเปน ปจ จัย ชาติ จึงมี (Dependent on Becoming arisesBirth.)
หมวดเกนิ 10 253 [340]12. ชาตปิ จจฺ ยา ชรามรณํ เพราะชาตเิ ปนปจ จัย ชรามรณะ จึงมี (Dependent on Birth arise Decay and Death.) โสกปรเิ ทวทุกขฺ โทมนสสฺ ุปายาสา สมฺภวนตฺ ิ ความโศก ความครํา่ ครวญ ทุกข โทมนสั และความคบั แคนใจ ก็มีพรอ ม (There also arise sorrow, lamentation, pain, grief and despair.) เอวเมตสฺส เกวลสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสสฺ สมุทโย โหติ. ความเกิดขน้ึ แหง กองทกุ ขท ั้งปวงน้ี จงึ มดี ว ยประการฉะนี้ (Thus arises this whole mass of suffering.) แสดงตามลาํ ดับ จากตนไปหาปลายอยางนี้ เรียกวา อนโุ ลมเทศนา (teaching in forwardorder) ถาแสดงยอนกลับจากปลายมาหาตน วา ชรามรณะเปน ตน มเี พราะชาตเิ ปน ปจ จัย ชาตมิ ีเพราะภพเปน ปจ จยั ฯลฯ สังขารมีเพราะอวิชชาเปนปจจยั เรยี กวา ปฏโิ ลมเทศนา (teaching inbackward order) องค (factors) หรอื หัวขอ 12 นัน้ มคี วามหมายโดยสงั เขป ดังนี้1. อวชิ ชา (Avijjà: ignorance) ความไมรู คอื ไมรูใ นอรยิ สัจจ 4 หรอื ตามนัยอภิธรรมวา อวิชชา 8 ดู [208] อวิชชา 4; [209] อวิชชา 82. สังขาร (Saïkhàra: kamma-formations) สภาพที่ปรุงแตง ไดแ ก [120] สังขาร 3 2 หรือ [129] อภิสงั ขาร 33. วิญญาณ (Vi¤¤àõa: consciousness) ความรูแจงอารมณ ไดแ ก [268] วญิ ญาณ 64. นามรปู (Nàma-råpa: mind and matter) นามและรูป ไดแก เวทนา สญั ญา เจตนา ผัสสะ มนสกิ าร หรอื ตามนัยอภธิ รรมวา นามขนั ธ 3 + รปู ดู [216] ขนั ธ 5 (ขอ 2, 3, 4); [38] รปู 21, 28; [39] มหาภตู หรอื ภตู รปู 4; [40] อปุ าทารปู หรอื อปุ าทายรปู 24; [41] รปู 225. สฬายตนะ (Saëàyatana: six sense-bases) อายตนะ 6 ไดแก [276] อายตนะภายใน 66. ผสั สะ (Phassa: contact) ความกระทบ, ความประจวบ ไดแ ก [272] สัมผสั 67. เวทนา (Vedanà: feeling) ความเสวยอารมณ ไดแ ก [113] เวทนา 68. ตณั หา (Taõhà: craving) ความทะยานอยาก ไดแ ก ตัณหา 6 มีรปู ตัณหา เปนตน (ตณั หา ในรปู ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในสัมผัสทางกาย และในธรรมารมณ) ดู [74] ตัณหา 3 ดวย9. อปุ าทาน (Upàdàna: clinging; attachment) ความยดึ มน่ั ไดแก [214] อปุ าทาน 410. ภพ (Bhava: becoming) ภาวะชวี ติ ไดแ ก [98] ภพ 3 อกี นยั หนง่ึ วา ไดแ ก กรรมภพ (ภพ คอื กรรม — active process of becoming ตรงกบั [129] อภสิ งั ขาร 3) กบั อปุ ปต ตภิ พ (ภพคอื ทอ่ี บุ ตั ิ — rebirth-process of becoming ตรงกบั [98] ภพ 3)11. ชาติ (Jàti: birth) ความเกิด ไดแก ความปรากฏแหง ขนั ธท ง้ั หลาย การไดอายตนะ12. ชรามรณะ (Jarà-maraõa: decay and death) ความแกแ ละความตาย ไดแ ก ชรา (ความ
[340] 254 พจนานุกรมพุทธศาสตร เสอื่ มอาย,ุ ความหงอ มอนิ ทรยี ) กบั มรณะ (ความสลายแหง ขนั ธ, ความขาดชวี ติ นิ ทรยี ) ทง้ั 12 ขอ เปน ปจ จยั ตอ เนอ่ื งกนั ไป หมนุ เวยี นเปน วงจร ไมม ตี น ไมม ปี ลาย เรยี กวา ภวจกั ร(วงลอ หรอื วงจรแหง ภพ — Bhava-cakka: wheel of existence) และมขี อ ควรทราบเกยี่ วกบัภวจกั รอกี ดงั น้ีก.อัทธา 3 (Addhà: periods; times) คอื กาล 3 ไดแ ก 1) อดีต = อวชิ ชา สงั ขาร 2) ปจจบุ นั = วญิ ญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ 3) อนาคต = ชาติ ชรา มรณะ (+ โสกะ ฯลฯ)ข. สงั เขป หรอื สงั คหะ 4 (Saïkhepa or Saïgaha: sections; divisions) คอื ชวง หมวด หรือ กลุม 4 ไดแก 1) อดีตเหตุ = อวชิ ชา สังขาร 2) ปจจุบนั ผล = วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา 3) ปจจบุ ันเหตุ = ตัณหา อปุ าทาน ภพ 4) อนาคตผล = ชาติ ชรามรณะ (+ โสกะ ฯลฯ)ค. สนธิ 3 (Sandhi: links; connection) คอื ขวั้ ตอ ระหวางสงั เขปหรอื ชวงท้งั 4 ไดแก 1) ระหวาง อดตี เหตุ กบั ปจจบุ นั ผล 2) ระหวาง ปจ จบุ นั ผล กบั ปจ จบุ นั เหตุ 3) ระหวาง ปจจบุ นั เหตุ กับ อนาคตผลง. วฏั ฏะ 3 ดู [105] วัฏฏะ 3จ. อาการ 20 (âkàra: modes; spokes; qualities) คอื องคป ระกอบแตละอยา ง อันเปนดุจ กาํ ของลอ จําแนกตามสวนเหตุ (causes) และสว นผล (effects) ไดแก 1) อดีตเหตุ 5 = อวชิ ชา สงั ขาร ตณั หา อุปาทาน ภพ 2) ปจ จุบนั ผล 5 = วญิ ญาณ นามรปู สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา 3) ปจ จุบันเหตุ 5 = อวิชชา สงั ขาร ตณั หา อุปาทาน ภพ 4) อนาคตผล 5 = วญิ ญาณ นามรปู สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา อาการ 20 นี้ ก็คือ หวั ขอท่ีกระจายใหเ ต็ม ในทกุ ชว งของสงั เขป 4 น่นั เองฉ. มลู 2 (Måla: roots) คอื กิเลสทีเ่ ปน ตวั มลู เหตุ ซึ่งกาํ หนดเปน จุดเร่มิ ตน ในวงจรแตละชว ง ได แก 1) อวิชชา เปนจุดเริ่มตน ในชว งอดตี สง ผลถึงเวทนาในชวงปจ จุบนั 2) ตณั หา เปน จดุ เร่ิมตนในชว งปจจุบัน สงผลถึงชรามรณะในชวงอนาคต พงึ สังเกตดว ยวา การกลาวถึงสว นประกอบของภวจักรตามขอ ก. ถึง ฉ. นี้ เปนคาํ อธิบายใน
หมวดเกิน 10 255 [340]คัมภรี รุนหลงั เชน อภิธมั มตั ถสังคหะ เปนตน การแสดงหลกั ปฏจิ จสมปุ บาท ใหเ หน็ ความเกดิ ขน้ึ แหง ธรรมตา งๆ โดยอาศยั ปจ จยั สบื ทอดกนัไปอยา งนี้ เปน สมทุ ยวาร คอื ฝา ยสมทุ ยั ใชเ ปน คาํ อธบิ ายอรยิ สจั จข อ ท่ี 2 (สมทุ ยั สจั จ) คอื แสดงใหเ หน็ ความเกดิ ขน้ึ แหง ทกุ ข ปฏจิ จสมปุ บาททแี่ สดงแบบนี้ เรยี กวา อนโุ ลมปฏจิ จสมปุ บาท (directDependent Origination) การแสดงในทางตรงขา มกบั ขา งตน น้ี เปน นโิ รธวาร คอื ฝา ยนโิ รธ ใชอธิบายอริยสจั จข อที่ 3(นโิ รธสจั จ) เรยี กวา ปฏิโลมปฏิจจสมุปบาท (reverse Dependent Origination ซึ่งความจรงิ ก็คือ Dependent Extinction น่ันเอง) แสดงใหเห็นความดบั ไปแหง ทกุ ข ดวยอาศัยความดับไปแหงปจจัยท้ังหลายสืบทอดกันไป ตัวบทของปฏิจจสมุปบาทแบบปฏิโลมน้ี พึงเทียบจากแบบอนโุ ลมนน่ั เอง เชน1.–2. อวิชชฺ าย เตฺวว อเสสวริ าคนิโรธา สงขฺ ารนโิ รโธ เพราะอวชิ ชาสํารอกดับไปไมเ หลือ สงั ขารจึงดบั (Through the total fading away and cessation of ignorance, cease kamma- formations.)3. สงฺขารนโิ รธา วิฺาณนิโรโธ เพราะสังขารดับ วญิ ญาณจึงดับ (Through the cessation of kamma-formations, ceases consciousness.) ฯลฯ12. ชาตนิ โิ รธา ชรามรณํ เพราะชาตดิ บั ชรามรณะ (จงึ ดบั ) (Through the cessation of birth, cease decay and death.) โสกปรเิ ทวทกุ ขฺ โทมนสสฺ ปุ ายาสา นริ ุชฌฺ นตฺ ิ ความโศก ความคราํ่ ครวญ ทุกข โทมนสั ความคับแคนใจ ก็ดบั (Also cease sorrow, lamentation, pain, grief and despair.) เอวเมตสฺส เกวลสฺส ทกุ ขฺ กขฺ นธฺ สฺส นิโรโธ โหต.ิ ความดับแหงกองทุกขท ั้งปวงนี้ ยอมมดี ว ยประการฉะน้ี (Thus comes about the cessation of this whole mass of suffering.) นี้เปน อนโุ ลมเทศนา ของปฏโิ ลมปฏจิ จสมปุ บาท สวน ปฏิโลมเทศนา ก็พงึ แสดงยอ นวา ชรามรณะ เปนตน ดับ เพราะชาตดิ ับ ชาติดบั เพราะภพดับ ฯลฯ สงั ขารดบั เพราะอวิชชาดับ อยางเดียวกบั ในอนโุ ลมปฏจิ จสมุปบาท ปฏจิ จสมปุ บาทนี้ มชี อื่ เรยี กอยา งอนื่ อกี ทสี่ าํ คญั คอื อทิ ปั ปจ จยตา (ภาวะทมี่ อี นั นๆ้ี เปน ปจ จยั— Idappaccayatà: specific conditionality) ธรรมนยิ าม (ความเปน ไปอนั แนน อนแหง ธรรมดา,กฎธรรมชาติ — Dhammaniyàma: orderliness of nature; natural law) และ ปจ จยาการ(อาการทสี่ ง่ิ ทงั้ หลายเปน ปจ จยั แกก นั — Paccayàkàra: mode of conditionality; structure of
[341] 256 พจนานกุ รมพุทธศาสตรconditions) เฉพาะชอื่ หลงั นเ้ี ปน คาํ ทนี่ ยิ มใชใ นคมั ภรี อ ภธิ รรม และคมั ภรี ร นุ อรรถกถา.Vin.I.1; S.II.1; Vbh.135; Vism.517; Comp.188 วนิ ย.4/1/1; ส.ํ นิ.16/1/1; อภิ.วิ.35/274/185; วิสทุ ธฺ .ิ 3/107; สงฺคห.45.[,,,] ปจจยาการ 12 ดู [340] ปฏจิ จสมุปบาท.[,,,] สันโดษ 12 ดู [122] สนั โดษ 3, 12[341] อายตนะ 12 (ส่ิงท่เี ชื่อมตอกันใหเกิดความรู, แดนตอ หรอื แดนเกดิ แหง ความรู —âyatana: sense-fields; sense-spheres)1. อายตนะภายใน 6 ดู [276] อายตนะภายใน 6.2. อายตนะภายนอก 6 ดู [277] อายตนะภายนอก 6.Vbh.70. อภิ.วิ.35/99/85.[342] ธุดงค 13 (องคค ุณเคร่อื งสลัดหรือกาํ จดั กเิ ลส, ขอ ปฏบิ ตั ปิ ระเภทวัตรที่ผสู มคั รใจจะพึงสมาทานประพฤติได เพื่อเปนอุบายขัดเกลากิเลส ชวยสงเสริมความมักนอยและสันโดษเปนตน — Dhutaïga: means of shaking off or removing defilements; austerepractices; ascetic practices) หมวดที่ 1 จีวรปฏิสังยุตต (เก่ียวกับจีวร — connected with robes)1. ปงสุกูลิกังคะ (องคแหงผูถือทรงผาบงั สุกุลเปน วัตร คําสมาทานโดยอธิษฐานใจหรือเปลงวาจาวา “คหปติจวี รํ ปฏิกขฺ ปิ ามิ, ปส ุกูลกิ งคฺ ํ สมาทยิ าม”ิ แปลวา “เรางดคฤหบดีจวี ร สมาทานองคแ หง ผ—ู ” — Pa§sukålikaïga: refuse-rag-wearer’s practice)2. เตจวี รกิ งั คะ (องคแ หง ผถู อื ทรงเพยี งไตรจวี รเปน วตั ร คาํ สมาทานวา “จตตุ ถฺ จวี รํ ปฏิกขฺ ปิ าม,ิเตจวี รกิ งคฺ ํ สมาทยิ าม”ิ แปลวา “ขา พเจา งดจวี รผนื ที่ 4 สมาทานองคแ หง ผ—ู ” —Tecãvarikaïga:triple-robe-wearer’s practice) หมวดที่ 2 ปณ ฑปาตปฏิสงั ยตุ ต (เก่ยี วกบั บณิ ฑบาต — connected with almsfood)3. ปณฑปาติกังคะ (องคแหงผูถือเท่ียวบิณฑบาตเปนวัตร คําสมาทานวา “อติเรกลาภํปฏกิ ขฺ ปิ ามิ, ปณฺฑปาติกงคฺ ํ สมาทิยาม”ิ แปลวา “ขาพเจางดอตเิ รกลาภ สมาทานองคแหง ผ—ู ”— Piõóapàtikaïga: alms-food-eater’s practice)4. สปทานจาริกังคะ (องคแหงผูถือเที่ยวบิณฑบาตไปตามลําดับเปนวัตร คําสมาทานวา“โลลุปปฺ จารํ ปฏกิ ฺขปิ ามิ, สปทานจารกิ งคฺ ํ สมาทิยามิ” แปลวา “ขา พเจา งดการเที่ยวตามใจอยากสมาทานองคแหง ผ—ู ” — Sapadànacàrikaïga: house-to-house-seeker’s practice)5. เอกาสนิกงั คะ (องคแหง ผถู ือนัง่ ฉนั ณ อาสนะเดียวเปน วัตร คือฉนั วันละมอื้ เดยี ว ลกุ จากที่แลวไมฉ นั อกี คาํ สมาทานวา “นานาสนโภชนํ ปฏิกฺขปิ ามิ, เอกาสนิกงฺคํ สมาทยิ าม”ิ แปลวา“ขา พเจา งดการฉนั ณ ตา งอาสนะ สมาทานองคแ หง ผ—ู ” — Ekàsanikaïga: one-sessioner’spractice)
หมวดเกนิ 10 257 [342]6. ปตตปณ ฑิกังคะ (องคแ หงผูถือฉนั เฉพาะในบาตรเปน วัตร คือ ไมใ ชภาชนะใสอาหารเกนิ 1อยางคือบาตร คาํ สมาทานวา “ทุตยิ ภาชนํ ปฏิกขฺ ปิ ามิ, ปตตฺ ปณฺฑิกงฺคํ สมาทิยาม”ิ แปลวา“ขา พเจางดภาชนะที่สอง สมาทานองคแ หง ผู—” — Pattapiõóikaïga: bowl-food-eater’spractice)7. ขลปุ จ ฉาภตั ตกิ งั คะ (องคแ หง ผถู อื หา มภตั ทถี่ วายภายหลงั เปน วตั ร คอื เมอื่ ไดป ลงใจกาํ หนดอาหารทเ่ี ปน สว นของตน ซงึ่ เรยี กวา หา มภตั ดว ยการลงมอื ฉนั เปน ตน แลว ไมร บั อาหารทเ่ี ขานาํ มาถวายอกี แมจ ะเปน ของประณตี คาํ สมาทานวา “อตริ ติ ตฺ โภชนํ ปฏกิ ขฺ ปิ าม,ิ ขลปุ จฉฺ าภตตฺ กิ งคฺ ํสมาทยิ าม”ิ แปลวา “ขา พเจา งดโภชนะอนั เหลอื เฟอ สมาทานองคแ หง ผ—ู ” — Khalupacchà-bhattikaïga: later-food-refuser’s practice) หมวดที่ 3 เสนาสนปฏสิ งั ยตุ ต (เกย่ี วกบั เสนาสนะ — connected with the resting place)8. อารญั ญิกงั คะ (องคแหงผูถ ืออยูปา เปนวตั ร อยูห างบา นคนอยางนอ ย 500 ชั่วธนู คือ 25เสน คาํ สมาทานวา “คามนฺตเสนาสนํ ปฏิกฺขิปาม,ิ อารฺกิ งคฺ ํ สมาทยิ าม”ิ แปลวา “ขา พเจางดเสนาสนะชายบาน สมาทานองคแหงผู—” — âra¤¤ikaïga: forest-dweller’s practice)9. รกุ ขมลู กิ งั คะ (องคแ หง ผถู อื อยโู คนไมเ ปน วตั ร คาํ สมาทานวา “ฉนนฺ ํ ปฏกิ ขฺ ปิ าม,ิ รกุ ขฺ มลู กิ งคฺ ํสมาทยิ าม”ิ แปลวา “ขา พเจา งดทมี่ งุ บงั สมาทานองคแ หง ผ—ู ” — Rukkhamålikaïga: tree-root-dweller’s practice)10. อพั โภกาสิกังคะ (องคแหง ผถู อื อยูทแ่ี จงเปนวตั ร คําสมาทานวา “ฉนนฺ จฺ รกุ ขฺ มลู ฺจปฏกิ ฺขิปาม,ิ อพฺโภกาสิกงฺคํ สมาทิยาม”ิ แปลวา “ขาพเจางดทม่ี ุงบังและโคนไม สมาทานองคแ หงผ—ู ” — Abbhokàsikaïga: open-air-dweller’s practice)11. โสสานิกังคะ (องคแหงผูถืออยูปาชาเปนวัตร คําสมาทานวา “อสุสานํ ปฏิกฺขิปามิ,โสสานกิ งคฺ ํ สมาทยิ าม”ิ แปลวา “ขา พเจา งดทมี่ ใิ ชป า ชา สมาทานองคแ หง ผ—ู ” — Sosànikaïga:charnel-ground-dweller’s practice)12. ยถาสนั ถตกิ งั คะ (องคแ หง ผถู อื อยใู นเสนาสนะแลว แตเ ขาจดั ให คาํ สมาทานวา “เสนาสน-โลลปุ ปฺ ปฏกิ ขฺ ปิ าม,ิ ยถาสนถฺ ตกิ งคฺ ํ สมาทยิ าม”ิ แปลวา “ขา พเจา งดความอยากเอาแตใ จในเสนาสนะสมาทานองคแหง ผ—ู ” — Yathàsanthatikaïga: any-bed-user’s practice) หมวดที่ 4 วริ ิยปฏสิ งั ยุตต (เก่ียวกับความเพยี ร — connected with energy)13. เนสัชชิกงั คะ (องคแหง ผูถือการน่ังเปนวัตร คือเวนนอน อยูด วยเพียง 3 อิรยิ าบถ คําสมาทานวา “เสยฺยํ ปฏกิ ขฺ ปิ าม,ิ เนสชชฺ กิ งคฺ ํ สมาทิยาม”ิ แปลวา “ขา พเจา งดการนอน สมาทานองคแหงผู— ” — Nesajjikaïga: sitter’s practice) ขอ ควรทราบเพิ่มเติมเกย่ี วกับธดุ งค 13ก. โดยยอ ธุดงคมี 8 ขอ เทาน้ัน คือ 1) องคหลัก 3 (สสี ังคะ — principal practices) คือ สปทานจาริกังคะ (เทา กบั ไดร ักษา ปณ ฑปาตกิ งั คะดว ย) เอกาสนกิ งั คะ (เทา กบั ไดร กั ษาปต ตปณ ฑกิ งั คะ และขลปุ จ ฉาภตั ตกิ งั คะ
[343] 258 พจนานกุ รมพุทธศาสตรดวย) และอัพโภกาสิกงั คะ (ทาํ ใหรุกขมูลกิ ังคะ กับยถาสนั ถติกังคะ หมดความจาํ เปน)2) องคเ ดยี่ วไมค าบเกย่ี วขอ อนื่ 5 (อสมั ภนิ นงั คะ — individual practices) คอื อารญั ญกิ งั คะปง สกุ ลู กิ งั คะ เตจวี รกิ งั คะ เนสชั ชกิ งั คะ และโสสานกิ งั คะข. โดยนสิ สยั คอื ทอ่ี าศยั (dependence) มี 2 คอื ปจ จยั นสิ ติ 12 (อาศยั ปจ จยั — dependent on requisites) กบั วิริยนสิ ติ 1 (อาศัยความเพยี ร — dependent on energy)ค. โดยบุคคลผถู ือ1) ภกิ ษุ ถอื ไดท ้งั 13 ขอ2) ภิกษณุ ี ถอื ได 8 ขอ (คอื ขอ 1, 2, 3, 4, 5, 6, 12, 13)3) สามเณร ถอื ได 12 ขอ (คือเวนขอ 2 เตจวี รกิ ังคะ)4) สกิ ขมานาและสามเณรี ถือได 7 ขอ (คอื ลดขอ 2 ออกจากท่ภี ิกษุณถี อื ได)5) อุบาสกอบุ าสกิ า ถือได 2 ขอ (คอื ขอ 5 และ 6)ง. โดยระดับการถือ แตล ะขอ ถอื ได 3 ระดับ คือ1) อยา งอุกฤษฎ หรืออยางเครง เชน ผถู อื อยูปา ตองใหไดอ รุณในปาตลอดไป2) อยา งมธั ยม หรอื อยา งกลาง เชน ผถู อื อยปู า อยใู นเสนาสนะชายบา นตลอดฤดฝู น 4 เดอื น ที่เหลืออยปู า3) อยา งออ น หรอื อยา งเพลา เชน ผถู อื อยปู า อยใู นเสนาสนะชายบา นตลอดฤดฝู นและหนาวรวม 8 เดือนจ. ขอ 9 และ 10 คือ รกุ ขมูลกิ งั คะ และอพั โภกาสกิ งั คะ ถอื ไดเฉพาะนอกพรรษา เพราะวินยั กําหนดใหต องถอื เสนาสนะในพรรษาฉ. ธุดงคไ มใ ชบ ทบญั ญัติทางวินยั ขึน้ กบั ความสมคั รใจ มีหลักทั่วไปในการถือวา ถา ถอื แลวชว ย ใหก รรมฐานเจรญิ หรือชวยใหกุศลธรรมเจรญิ อกุศลธรรมเสอื่ ม ควรถือ ถา ถือแลวทาํ ให กรรมฐานเส่อื ม หรอื ทาํ ใหกุศลธรรมเสอ่ื ม อกศุ ลธรรมเจรญิ ไมค วรถือ สวนผทู ่ีถอื หรอื ไมถ ือ กไ็ มท ําใหกรรมฐานเจริญหรือเส่ือม เชน เปน พระอรหันตแลว อยา งพระมหากัสสปะ เปนตน หรอื คนอน่ื ๆ กต็ าม ควรถอื ได ฝายแรกควรถือในเมอ่ื คดิ จะอนุเคราะหช ุมชนในภายหลงั ฝาย หลงั เพอื่ เปนวาสนาตอไปช. ธุดงคทม่ี าในบาลเี ดิม ไมพบครบจํานวนในทเ่ี ดียว (ทีพ่ บจาํ นวนมาก คอื ม.อ.ุ 14/186/138;M.III.40 มขี อ 1, 3, 5, 8, 9, 10, 11, 12, 13; องฺ.ทสก.24/181/245; A.V.219 มีขอ 1, 5, 6, 7, 8, 9, 10, 11, 12, 13;ข.ุ ม.29/918/584; Nd1188 มขี อ 1, 2, 3, 4, 7, 8, 12, 13) นอกจากคมั ภีรปรวิ าร (วนิ ย.8/982/330; 1192/475;Vin.V.131,198) ซึ่งมหี ัวขอครบถวน สวนคําอธิบายทั้งหมดพึงดูในคัมภีรวสิ ทุ ธิมัคค.Vism.59–83. วสิ ุทธฺ .ิ 1/73–104.[343] กิจ หรอื วิญญาณกิจ 14 (กจิ ของวญิ ญาณ, หนา ทข่ี องจติ — Vi¤¤àõa-kicca:functions of consciousness; psychic functions)
หมวดเกิน 10 259 [344]1. ปฏิสนธิ (หนา ทส่ี ืบตอภพใหม ไดแกจ ิต 19 คอื อเุ บกขาสนั ตรี ณะ 2 มหาวบิ าก 8 รปู วบิ าก5 อรปู วิบาก 4 — Pañisandhi: re-linking; rebirth-linking)2. ภวังคะ (หนาที่เปนองคของภพ ไดแ กจติ 19 อยางเดยี วกับปฏสิ นธิ — Bhavaïga: life-continuum; factor of being)3. อาวัชชนะ (หนา ที่คํานึงอารมณใหม ไดแก จติ 2 คอื ปญจทวาราวัชชนะ และมโนทวารา-วชั ชนะ — âvajjana: apprehending; adverting)4. ทัสสนะ (หนาท่ีเหน็ รูป ไดแ ก จักขวุ ิญญาณ 2 — Dassana: seeing)5. สวนะ (หนาทไ่ี ดยนิ เสยี ง ไดแ ก โสตวิญญาณ 2 — Savana: hearing)6. ฆายนะ (หนา ทีร่ กู ลิ่น ไดแก ฆานวิญญาณ 2 — Ghàyana: smelling)7. สายนะ (หนา ทีล่ ิ้มรส ไดแก ชิวหาวิญญาณ 2 — Sàyana: tasting)8. ผสุ นะ (หนา ทถี่ กู ตอ งโผฏฐพั พะ ไดแ ก กายวญิ ญาณ 2 — Phusana: contacting; touching)9. สมั ปฏิจฉนะ (หนา ที่รบั อารมณ ไดแก สมั ปฏจิ ฉนะ 2 — Sampañicchana: receiving)10. สันตรี ณะ (หนา ท่พี จิ ารณาอารมณ ไดแ ก สนั ตรี ณะ 3 — Santãraõa: investigating)11. โวฏฐพั พนะ หรอื โวฏฐปนะ (หนา ทต่ี ดั สนิ อารมณ ไดแ ก มโนทวาราวชั ชนะ 1 — Voññhapana:determining)12. ชวนะ (หนา ทแ่ี ลน เสพอารมณ อนั เปน ชว งทท่ี าํ กรรม ไดแ ก จติ 55 คอื กศุ ลจติ 21, อกศุ ลจติ 12, กริ ยิ าจติ 18 คอื เวน อาวชั ชนะทง้ั สอง โลกตุ ตรผลจติ 4 — Javana: apperception;impulsion)13. ตทาลมั พนะ (หนา ที่รับอารมณต อจากชวนะกอ นตกภวงั ค ไดแก จติ 11 คอื มหาวิบาก 8สันตรี ณะ 3 — Tadàlambana: retention; registration)14. จตุ ิ (หนา ทเี่ คลอ่ื นจากภพปจ จบุ นั ไดแ ก จติ 19 อยา งเดยี วกบั ในปฏสิ นธิ — Cuti: decease;death; shifting) จดั โดยฐานทจ่ี ติ ทาํ กจิ 14 นี้ มี 10 คอื รวมขอ 4, 5, 6, 7, 8 เปน ขอ เดยี ว คอื ปญ จวญิ ญาณ-ฐาน (fivefold sense-impressions) นอกนนั้ คงชอื่ เดมิ กจิ 14 นี้ ในวิสุทธิมคั คเรียกวา วญิ ญาณปวตั ติ หรอื วิญญาณปวัตติอาการ (อาการที่วญิ ญาณเปนไป — modes of occurrence of consciousness)ดู [356] จิต 89.Vism.457; Comp.114. วิสุทธฺ .ิ 3/29; สงฺคห.15[344] จรณะ 15 (ความประพฤติ, ปฏิปทา, ขอ ปฏิบตั อิ นั เปนทางบรรลวุ ิชชา หรือนพิ พาน— Caraõa: conduct; course of practice)1. สีลสมั ปทา (ความถงึ พรอ มดว ยศลี คอื ประพฤติถูกตอ งดงี าม สํารวมในพระปาฏิโมกข มีมารยาทเรยี บรอ ย ประพฤตเิ ครง ครดั ในสกิ ขาบททง้ั หลาย — Sãla-sampadà: accomplishment of
[345] 260 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตรmorals)2. อปณ ณกปฏปิ ทา 3 ดู [128] อปณณกปฏปิ ทา 33. สทั ธรรม 7 ดู [301] สัปปุรสิ ธรรม 8 ขอ 1.4. ฌาน 4 ดู [9] ฌาน 4 ในบาลที ่มี า ทานเรยี กวา เปน เสขปฏปิ ทา คอื ขอ ปฏบิ ตั อิ นั เปนทางดาํ เนนิ ของพระเสขะ (alearner’s course of practice)M.I.354. ม.ม.13/26/26.[345] ญาณ 16 หรอื โสฬสญาณ (ความหย่ังรู ในทน่ี ้หี มายถึงญาณท่เี กดิ ข้ึนแกผ ูเจรญิ วปิ สสนาตามลําดับ ต้งั แตต น จนถงึ ทส่ี ดุ — Soëasa-¤àõa: insight; knowledge)1. นามรปู ปรจิ เฉทญาณ (ญาณกาํ หนดจาํ แนกรนู ามและรปู คอื รวู า สงิ่ ทง้ั หลายมแี ตร ปู ธรรมและนามธรรม และกาํ หนดแยกไดว า อะไรเปน รปู ธรรม อะไรเปน นามธรรม —Nàmaråpa-pariccheda-¤àõa: knowledge of the delimitation of mentality–materiality)2. ปจจยปรคิ คหญาณ (ญาณกาํ หนดรปู จ จัยของนามและรูป คอื รูวา รูปธรรมและนามธรรมท้ังหลายเกดิ จากเหตปุ จ จยั และเปน ปจจัยแกกัน อาศัยกัน โดยรูตามแนวปฏจิ จสมุปบาท ก็ดีตามแนวกฎแหงกรรมกด็ ี ตามแนววัฏฏะ 3 ก็ดี เปน ตน — Paccaya-pariggaha-¤àõa:knowledge of discerning the conditions of mentality–materiality)3. สัมมสนญาณ (ญาณกําหนดรูดว ยพิจารณาเห็นนามและรปู โดยไตรลักษณ คือ ยกรูปธรรมและนามธรรมท้งั หลายขึ้นพิจารณาโดยเหน็ ตามลกั ษณะท่เี ปน ของไมเท่ียง เปน ทกุ ข มิใชต วั ตน— Sammasana-¤àõa: knowledge of comprehending mentality–materiality asimpermanent, unsatisfactory and not-self)4.–12. ไดแก วปิ ส สนาญาณ 9 ดู [311]13. โคตรภูญาณ (ญาณครอบโคตร คือ ความหยัง่ รูที่เปนหวั ตอแหง การขามพน จากภาวะปุถชุ นเขา สูภาวะอริยบคุ คล — Gotrabhå-¤àõa: knowledge at the moment of the“Change-of-lineage”)14. มัคคญาณ (ญาณในอริยมรรค คือ ความหย่งั รูที่ใหสําเรจ็ ภาวะอรยิ บุคคลแตละขัน้ —Magga-¤àõa: knowledge of the Path)15. ผลญาณ (ญาณในอริยผล คอื ความหย่งั รทู ่ีเปน ผลสําเร็จของพระอรยิ บุคคลช้ันน้ันๆ —Phala-¤àõa: knowledge of Fruition)16. ปจจเวกขณญาณ (ญาณหย่งั รดู วยการพิจารณาทบทวน คอื สาํ รวจรมู รรคผล กเิ ลสท่ลี ะแลว กเิ ลสท่ีเหลืออยู และนพิ พาน เวนแตวาพระอรหนั ตไมมีการพิจารณากเิ ลสท่ียังเหลืออยู —Paccavekkhaõa-¤àõa: knowledge of reviewing)ในญาณ 16 นี้ 14 อยา ง (ขอ 1–13 และ 16) เปน โลกยี ญาณ, 2 อยาง (ขอ 14 และ 15)
หมวดเกนิ 10 261 [346] เปน โลกุตตรญาณ ญาณ 16 (บางทีเรยี กวา โสฬสญาณ ซ่ึงกแ็ ปลวาญาณ 16 นั่นเอง) ทจี่ ดั ลําดบั เปน ชุดและ เรียกชอื่ เฉพาะอยางน้ี มิใชม าในพระบาลีเดิมโดยตรง พระอาจารยใ นสายวงการวิปสสนาธุระได สอนสืบกนั มา โดยประมวลจากคัมภรี ป ฏิสมั ภทิ ามัคค และวิสุทธิมัคค ในกาลตอมา (พึงดู ขุ.ปฏิ.31/มาตกิ า/1–2 = Ps.1 และ วิสทุ ธฺ ิ.3/206–328 = Vism.587–678)[,,,] รูปพรหม หรอื พรหมโลก 16 ดู [351] ภมู ิ 4 หรือ 31.[,,,] โสฬสวัตถุกอานาปานสติ ดู [346] อานาปานสติ 16 ฐาน[,,,] อานาปานสติ 16 ขั้น ดู [346] อานาปานสติ 16 ฐาน[346] อานาปานสติ 16 ฐาน (สติกาํ หนดลมหายใจ, การเจริญอานาปานสติ คอื ใช สตกิ ําหนดลมหายใจเขา–ออก แบบท่เี ปน การเจรญิ สติปฏ ฐานไปดว ยครบทั้ง 4 — Soëasa– vatthuka-ànàpànassati: mindfulness of breathing with sixteen bases) จตุกกะที่ 1: กายานุปสสนา 1) ทฆี ํ วา อสสฺ สนฺโต ‘ทฆี ํ อสฺสสาม’ี ติ ปชานาต,ิ ทีฆํ วา ปสฺสสนฺโต ‘ทฆี ํ ปสฺสสามี’ติ ปชานาติ; 2) รสสฺ ํ วา อสฺสสนโฺ ต ‘รสฺสํ อสฺสสามี’ติ ปชานาต,ิ รสสฺ ํ วา ปสฺสสนโฺ ต ‘รสฺสํ ปสฺสสาม’ี ติ ปชานาต;ิ 3) ‘สพพฺ กายปฏสิ เํ วที อสสฺ สสิ สฺ าม’ี ติ สกิ ขฺ ต,ิ ‘สพพฺ กายปฏสิ เํ วที ปสฺสสิสฺสามี’ติ สกิ ขฺ ติ; 4) ‘ปสสฺ มภฺ ยํ กายสงขฺ ารํ อสฺสสิสฺสาม’ี ติ สิกฺขติ, ‘ปสฺสมภฺ ยํ กายสงขฺ ารํ ปสฺสสิสฺสามี’ติ สิกฺขต.ิ 1) เม่อื หายใจเขายาว เธอกร็ ูชัดวา เราหายใจเขา ยาว หรอื เมอื่ หายใจออกยาว เธอก็รชู ดั วา เราหายใจออกยาว 2) เมื่อหายใจเขาสนั้ เธอก็รชู ัดวา เราหายใจเขาส้ัน หรือเมือ่ หายใจออกส้ัน เธอกร็ ูชดั วา เราหายใจออกสน้ั 3) เธอสําเหนยี กวา เราจกั รูท ่วั กาย(กองลม)ท้ังหมด หายใจเขา เธอสําเหนียกวา เราจกั รูท ่ัวกาย(กองลม)ทั้งหมด หายใจออก 4) เธอสาํ เหนยี กวา เราจกั ผอนระงับกายสังขาร หายใจเขา เธอสําเหนียกวา เราจกั ผอนระงับกายสงั ขาร หายใจออก 1. Breathing in long, he knows: “I am breathing in long”; or breathing out long, he knows: “I am breathing out long”.
[346] 262 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร2. Breathing in short, he knows: “I am breathing in short”; or breathing out short, he knows: “I am breathing out short”.3. He trains thus: “Experiencing the entire (breath-) body, I shall breathe in”; he trains thus: “Experiencing the entire (breath-) body, I shall breathe out”.4. He trains thus: “Calming the bodily formation, I shall breathe in”; he trains thus: “Calming the bodily formation, I shall breathe out”. จตกุ กะที่ 2: เวทนานปุ ส สนา5) ‘ปต ิปฏสิ เํ วที อสฺสสิสสฺ าม’ี ติ สิกขฺ ต,ิ ‘ปติปฏสิ ํเวที ปสฺสสสิ สฺ าม’ี ติ สิกฺขต;ิ6) ‘สขุ ปฏิสเํ วที อสฺสสิสฺสาม’ี ติ สิกขฺ ต,ิ ‘สขุ ปฏิสเํ วที ปสสฺ สสิ ฺสามี’ติ สิกขฺ ต;ิ7) ‘จติ ฺตสงฺขารปฏสิ ํเวที อสสฺ สสิ ฺสามี’ติ สิกฺขติ, ‘จติ ตฺ สงขฺ ารปฏสิ เํ วที ปสสฺ สสิ สฺ าม’ี ติ สกิ ขฺ ติ;8) ‘ปสสฺ มฺภยํ จติ ตฺ สงฺขารํ อสสฺ สิสฺสาม’ี ติ สกิ ขฺ ต,ิ ‘ปสฺสมฺภยํ จติ ตฺ สงขฺ ารํ ปสสฺ สิสสฺ ามี’ติ สิกขฺ ต.ิ5) เธอสาํ เหนยี กวา เราจกั เสวยรูปติ หายใจเขา เธอสาํ เหนียกวา เราจกั เสวยรูปติ หายใจออก6) เธอสาํ เหนียกวา เราจกั เสวยรคู วามสุข หายใจเขา เธอสําเหนียกวา เราจกั เสวยรูความสุข หายใจออก7) เธอสําเหนยี กวา เราจกั เสวยรูจิตสังขารหายใจเขา เธอสาํ เหนยี กวา เราจักเสวยรจู ิตสงั ขาร หายใจออก8) เธอสาํ เหนียกวา เราจักผอนระงับจติ สังขาร หายใจเขา เธอสาํ เหนียกวา เราจักผอ นระงับจิตสังขาร หายใจออก5. He trains thus: “Experiencing rapture, I shall breathe in”; he trains thus: “Experiencing rapture, I shall breathe out”.6. He trains thus: “Experiencing joy, I shall breathe in”; he trains thus: “Experiencing joy, I shall breathe out”.7. He trains thus: “Experiencing the mental formation, I shall breathe in”; he trains thus: “Experiencing the mental formation, I shall breathe out”.8. He trains thus: “Calming the mental formation, I shall breathe in”; he trains thus: “Calming the mental formation, I shall breathe out”.
หมวดเกนิ 10 263 [346] จตกุ กะท่ี 3: จติ ตานุปส สนา9) ‘จติ ฺตปฏสิ เํ วที อสสฺ สิสฺสามี’ติ สกิ ฺขต,ิ ‘จติ ฺตปฏิสํเวที ปสสฺ สิสฺสามี’ติ สกิ ขฺ ติ;10) ‘อภิปปฺ โมทยํ จติ ฺตํ อสสฺ สิสฺสามี’ติ สกิ ขฺ ติ, ‘อภิปฺปโมทยํ จิตฺตํ ปสฺสสิสสฺ ามี’ติ สิกขฺ ติ11) ‘สมาทหํ จิตฺตํ อสสฺ สสิ สฺ าม’ี ติ สกิ ขฺ ต,ิ ‘สมาทหํ จิตตฺ ํ ปสฺสสสิ สฺ าม’ี ติ สิกฺขต;ิ12) ‘วโิ มจยํ จติ ฺตํ อสสฺ สิสฺสามี’ติ สิกขฺ ติ, ‘วโิ มจยํ จติ ตฺ ํ ปสสฺ สสิ ฺสามี’ติ สิกฺขติ.9) เธอสําเหนียกวา เราจักรทู ว่ั ถงึ จิต หายใจเขา เธอสําเหนียกวา เราจกั รทู ั่วถงึ จติ หายใจออก10) เธอสาํ เหนยี กวา เราจกั ทาํ จิตใหรา เรงิ หายใจเขา เธอสําเหนยี กวา เราจักทาํ จิตใหราเรงิ หายใจออก11) เธอสําเหนียกวา เราจกั ทําจติ ใหต งั้ มัน่ หายใจเขา เธอสําเหนยี กวา เราจกั ทําจิตใหต ั้งม่ัน หายใจออก12) เธอสาํ เหนียกวา เราจกั ปลอ ยเปลื้องจติ หายใจเขา เธอสําเหนียกวา เราจกั ปลอ ยเปล้อื งจิต หายใจออก9. He trains thus: “Experiencing the mind, I shall breathe in”; he trains thus: “Experiencing the mind, I shall breathe out”.10. He trains thus: “Gladdening the mind, I shall breathe in”; he trains thus: “Gladdening the mind, I shall breathe out”.11. He trains thus: “Concentrating the mind, I shall breathe in”; he trains thus: “Concentrating the mind, I shall breathe out”.12. He trains thus: “Liberating the mind, I shall breathe in”; he trains thus: “Liberating the mind, I shall breathe out”. จตุกกะที่ 4: ธัมมานุปส สนา13) ‘อนิจจฺ านุปสฺสี อสสฺ สสิ สฺ ามี’ติ สกิ ฺขต,ิ ‘อนจิ จฺ านุปสฺสี ปสสฺ สสิ สฺ ามี’ติ สิกขฺ ต;ิ14) ‘วิราคานปุ สสฺ ี อสสฺ สสิ ฺสาม’ี ติ สกิ ฺขติ, ‘วริ าคานุปสฺสี ปสฺสสสิ ฺสามี’ติ สกิ ฺขต;ิ15) ‘นิโรธานุปสฺสี อสสฺ สสิ ฺสามี’ติ สกิ ฺขติ,
[346] 264 พจนานกุ รมพุทธศาสตร ‘นิโรธานปุ สฺสี ปสฺสสิสสฺ าม’ี ติ สิกขฺ ติ; 16) ‘ปฏินิสสฺ คคฺ านุปสฺสี อสสฺ สสิ สฺ าม’ี ติ สกิ ขฺ ติ, ‘ปฏินิสฺสคคฺ านปุ สฺสี ปสฺสสิสฺสาม’ี ติ สกิ ขฺ ต.ิ 13) เธอสําเหนยี กวา เราจกั พิจารณาเหน็ ความไมเทย่ี ง หายใจเขา เธอสาํ เหนยี กวา เราจกั พจิ ารณาเห็นความไมเท่ียง หายใจออก 14) เธอสําเหนียกวา เราจกั พิจารณาเห็นความคลายออกได หายใจเขา เธอสาํ เหนยี กวา เราจักพิจารณาเห็นความคลายออกได หายใจออก 15) เธอสาํ เหนยี กวา เราจกั พิจารณาเหน็ ความดบั กิเลส หายใจเขา เธอสําเหนยี กวา เราจกั พิจารณาเห็นความดับกิเลส หายใจออก 16) เธอสาํ เหนยี กวา เราจกั พจิ ารณาเหน็ ความสลดั คนื ได หายใจเขา เธอสําเหนียกวา เราจักพจิ ารณาเห็นความสลดั คืนได หายใจออก 13. He trains thus: “Contemplating impermanence, I shall breathe in”; he trains thus: “Contemplating impermanence, I shall breathe out”. 14. He trains thus: “Contemplating fading away, I shall breathe in”; he trains thus: “Contemplating fading away, I shall breathe out”. 15. He trains thus: “Contemplating cessation, I shall breathe in”; he trains thus: “Contemplating cessation, I shall breathe out”. 16. He trains thus: “Contemplating relinquishment, I shall breathe in”; he trains thus: “Contemplating relinquishment, I shall breathe out”.ขอควรทราบ: ก) คาํ วา หายใจเขา และ หายใจออก นนั้ พงึ ทราบวา เปน คาํ ทม่ี กี ารแปลตา งกนั คอื อรรถกถาแหง พระวนิ ยั แปล อสสฺ าส วา “หายใจออก” และ ปสสฺ าส วา “หายใจเขา ” สว นอรรถกถาแหง พระสตู รแปล กลบั ตรงขา ม คอื แปล อสสฺ าส วา “หายใจเขา ” และ ปสสฺ าส วา “หายใจออก” ในทนี่ ถ้ี อื ตามคาํ แปล ของอรรถกถาแหงพระสูตร ผศู ึกษาทราบอยา งน้แี ลว จะใชแบบใดกไ็ ด พึงเลอื กตามปรารถนา ข) “สําเหนยี กวา” เปนคําแปลตามสํานวนเกา หมายถึงคําบาลวี า สกิ ฺขติ จะแปลแบบทบั ศัพทเ ปน “ศึกษาวา ” กไ็ ด ค) ธรรมหมวดนี้ เรยี กตามบาลแี หง คมั ภรี ป ฏสิ มั ภทิ ามคั คว า โสฬสวตั ถกุ อานาปานสติ (เชน ข.ุ ปฏ.ิ 31/361/244; 386/260=Ps.I.162; 173 คาํ บาลเี ดิมเปน โสฬสวตฺถุกา อานาปานสฺสติ บาง โสฬสวตถฺ ุโก อานาปานสสฺ ตสิ มาธิ บา ง บางทอี รรถกถาก็เรยี กยกั เยือ้ งไปวา โสฬสวตฺถุกา อานาปานสสฺ ติ- สมาธิภาวนา บา ง โสฬสวตถฺ ุกํ อานาปานสฺสตกิ มฺมฏานํ บาง) แปลแบบรักษาศัพทวา “อานา- ปานสตมิ วี ตั ถุ 16” แตในทนี่ ้เี ลือกแปลตามคาํ อธบิ ายในคัมภีร ปรมัตถมญั ชสุ า มหาฎีกาแหง วิสทุ ธิมคั ค (วิสุทธฺ .ิ ฏีกา2/34) วา “อานาปานสติ 16 ฐาน” เพราะในภาษาไทย คาํ วา ฐาน เปน คาํ ทค่ี นุ
หมวดเกนิ 10 265 [347]และชว ยสอ่ื ความหมายของคาํ วา วตั ถุ ในทนี่ ไี้ ดด ี แตจ ะแปลวา “อานาปานสติ 16 หลกั ” หรือ“อานาปานสติ 16 หวั ขอ (หรอื 16 ขอ )” กไ็ ด บางทกี เ็ รยี กใหฟ ง เปน ลาํ ดบั วา “อานาปานสติ 16 ขนั้ ”ง) 16 ฐาน หรือ 16 หลกั หรือ 16 หวั ขอ หรือ 16 ขอ หรอื 16 ขั้นนน้ั ทานจัดเปน 4 จตกุ กะคือเปน หมวดส่ี 4 หมวด ดงั นี้ 1. กายานุปสสนาจตุกกะ (หมวดสี่แหงกายานปุ สสนา) 2. เวทนานปุ ส สนาจตุกกะ (หมวดสแ่ี หง เวทนานปุ สสนา) 3. จิตตานุปสสนาจตกุ กะ (หมวดสแ่ี หง จติ ตานปุ สสนา) 4. ธมั มานุปส สนาจตกุ กะ (หมวดสี่แหง ธมั มานุปส สนา)เปนการระบุชดั วา สว นไหนเปนสติปฏ ฐานขอใดจ) วาโดยไตรสกิ ขา ระหวา งปฏิบัตินัน้• ความมีกายวาจาตั้งอยูในความสงบสํารวม โดยมีเจตนาอันปลอดจากการละเมิดหรือ เบียดเบียน (กายิกวาจสกิ อวตี กิ กมะ) เปน ศีล• การมีสตกิ าํ หนด ดวยจิตท่ตี ั้งม่ันมีอารมณหนงึ่ เดียวตามทีก่ าํ หนด (จติ ตสั เสกัคตา) เปน สมาธิ• ความมีสมั ปชญั ญะรูทั่วพรอม มองเห็นตามสภาวะ เปน ปญ ญาฉ) ในการปฏบิ ตั ินี้ ศีลเปนเพียงฐานที่รองรบั อยู สวนธรรมท่ปี ฏบิ ัติซงึ่ จะเจรญิ ข้นึ ไป คือ สมาธิและปญ ญา อนั ไดแ ก สมถะ และวิปส สนา ในขอตอ ไปช) ในการปฏบิ ัติท้งั หมดน้ี สามจตุกกะแรก มที ้ัง สมถะ และ วิปสสนา แตจ ตกุ กะที่ ๔ เปนวิปส สนา ลวนฌ) โสฬสวัตถกุ อานาปานสติ น้ี พระพทุ ธเจาตรัสแสดงบอย พบไดหลายแหงในพระไตรปฎกแตท ่ปี ระมวลเร่ืองเกี่ยวขอ งและขอความแวดลอมไวครบถวน ซ่ึงรูจกั กนั ดแี ละเปนทอี่ างอิงกนั ทว่ัไป คอื อานาปานสติสตู ร (ม.อุ.14/282–291/190–202=MIII.78–88) นอกจากนั้นยังมคี าํ อธิบายโดยพสิ ดารในพระไตรปฎ ก ปรากฏใน ปฏสิ ัมภทิ ามคั ค (ข.ุ ปฏ.ิ 31/361–422/244-299; = Ps.I.162–196) สว นในชนั้ อรรถกถา กม็ อี ธบิ ายหลายแหง โดยเฉพาะทค่ี น ควา ไดส ะดวก คอื วสิ ทุ ธมิ คั ค (วสิ ุทธ .ิ 2/52-88=Vism.266–293)Vin.III.70; M.I.425; M.III.82; S.V.311; วนิ ย.1/178/132; ม.ม.13/146/140; ม.อุ.14/287/193;A.V.111; Ps.I.162. ส.ํ ม.19/1305/394; อง.ทสก.24/60/119; ข.ุ ปฏ.ิ 31/361/244.[347] อุปกิเลส หรอื จิตตอุปกิเลส 16 (ธรรมเครอ่ื งเศรา หมอง, สิง่ ทท่ี ําใหจ ติ ขุนมัว รบั คณุ ธรรมไดยาก ดุจผาเปรอะเปอนสกปรก ยอ มไมไดด ี — Upakkilesa: mentaldefilements)1. อภชิ ฌาวสิ มโลภะ (คดิ เพง เลง็ อยากได โลภไมส มควร, โลภกลา จอ งจะเอา ไมเ ลอื กควรไมควร — Abhijjhà-visamalobha: greed and covetousness; covetousness and
[348] 266 พจนานุกรมพุทธศาสตรunrighteous greed)2. พยาบาท (คิดรา ยเขา — Byàpàda: malevolence; illwill)3. โกธะ (ความโกรธ — Kodha: anger)4. อุปนาหะ (ความผูกโกรธ — Upanàha: grudge; spite)5. มักขะ (ความลบหลูคุณทา น, ความหลคู วามดีของผอู ื่น, การลบลางปด ซอนคุณคา ความดีของผอู น่ื — Makkha: detraction; depreciation; denigration)6. ปลาสะ (ความตเี สมอ, ยกตวั เทยี มทาน, เอาตัวขึน้ ต้งั ขวางไว ไมยอมยกใหใครดกี วา ตน —Palàsa: domineering; rivalry; envious rivalry)7. อิสสา (ความริษยา — Issà: envy; jealousy)8. มัจฉรยิ ะ (ความตระหนี่ — Macchariya: stinginess; meanness)9. มายา (มารยา — Màyà: deceit)10. สาเถยยะ (ความโออวดหลอกเขา, หลอกดว ยคาํ โออ วด — Sàñheyya: hypocrisy)11. ถมั ภะ (ความหวั ดือ้ , กระดา ง — Thambha: obstinacy; rigidity)12. สารมั ภะ (ความแขง ด,ี ไมย อมลดละ มงุ แตจ ะเอาชนะกนั — Sàrambha: presumption;competing contention; contentiousness; contentious rivalry; vying; strife)13. มานะ (ความถือตัว, ทะนงตน — Màna: conceit)14. อตมิ านะ (ความถอื ตัววา ย่ิงกวา เขา, ดูหม่ินเขา — Atimàna: excessive conceit;contempt)15. มทะ (ความมัวเมา — Mada: vanity)16. ปมาทะ (ความประมาท, ละเลย, เลินเลอ — Pamàda: heedlessness; negligence;indolence) ขอ 2 มีตางออกไป คอื ในธมั มทายาทสตู ร เปน โทสะ (ความคิดประทษุ รายเขา —hatred) (ม.ม.ู 12/26/26)M.I.36. ม.มู.12/93/65.[348] ธาตุ 18 (ส่ิงท่ที รงสภาวะของตนอยเู อง ตามที่เหตุปจจัยปรุงแตงขน้ึ เปน ไปตามธรรมนยิ ามคือกาํ หนดแหงธรรมดา ไมม ผี สู รา งผบู นั ดาล และมีรูปลักษณะกิจอาการเปน แบบจาํ เพาะตวั อันพึงกําหนดเอาเปนหลกั ไดแ ตละอยา งๆ — Dhàtu: elements)1. จกั ขธุ าตุ (ธาตคุ อื จกั ขปุ สาท — Cakkhu-dhàtu: eye element)2. รูปธาตุ (ธาตุคือรูปารมณ — Råpa~: visible-data element)3. จกั ขวุ ิญญาณธาตุ (ธาตุคือจักขวุ ญิ ญาณ — Cakkhuvi¤¤àõa~: eye-consciousnesselement)4. โสตธาตุ (ธาตคุ อื โสตปสาท — Sota~: ear element)
หมวดเกิน 10 267 [349]5. สัททธาตุ (ธาตุคอื สัททารมณ — Sadda~: sound element)6. โสตวิญญาณธาตุ (ธาตุคือโสตวิญญาณ — Sotavi¤¤àõa~: ear-consciousnesselement)7. ฆานธาตุ (ธาตุคือฆานปสาท — Ghàna~: nose element)8. คนั ธธาตุ (ธาตุคือคนั ธารมณ — Gandha~: odour element)9. ฆานวญิ ญาณธาตุ (ธาตุคือฆานวญิ ญาณ — Ghànavi¤¤àõa~: nose-consciousnesselement)10. ชวิ หาธาตุ (ธาตคุ อื ชวิ หาปสาท — Jivhà~: tongue element)11. รสธาตุ (ธาตุคอื รสารมณ — Rasa~: flavour element)12. ชวิ หาวญิ ญาณธาตุ (ธาตคุ อื ชวิ หาวญิ ญาณ — Jivhàvi¤¤àõa~: tongue-consciousnesselement)13. กายธาตุ (ธาตุคือกายปสาท — Kàya~: body element)14. โผฏฐัพพธาตุ (ธาตุคอื โผฏฐัพพารมณ — Phoññhabba~: tangible-data element)15. กายวญิ ญาณธาตุ (ธาตุคือกายวิญญาณ — Kàyavi¤¤àõa~: body-consciousnesselement)16. มโนธาตุ (ธาตุคอื มโน — Mano~: mind element)17. ธรรมธาตุ (ธาตุคอื ธรรมารมณ — Dhamma~: mental-data element)18. มโนวิญญาณธาตุ (ธาตคุ ือมโนวิญญาณ — Manovi¤¤àõa~: mind-consciousnesselement) ขอ ควรสังเกตก. ขอ 3, 6, 9, 12, 15 ไดแ ก ทวิปญจวญิ ญาณจิต รวมเปน จิต = 10ข. ขอ 16 มโนธาตุ ไดแ ก สมั ปฏิจฉนะ 2 กบั ปญ จทวาราวชั ชนะ 1 รวมเปน จิต = 3ค. ขอ 18 มโนวญิ ญาณธาตุ ไดแ ก จติ นอกเหนอื จากนนั้ อกี = 76 รวมเปนจติ ทัง้ ส้นิ = 89ดู [356] จติ 89 หรอื 121.Vbh.87; Vism.484; Comp.183. อภิ.วิ.35/124/108; วสิ ทุ ฺธิ.3/65; สงคฺ ห.44.[349] อินทรีย 22 (ส่งิ ท่ีเปนใหญใ นการทํากจิ ของตน คือ ทําใหธ รรมอื่นๆ ที่เก่ียวขอ งเปน ไปตามตน ในกิจนนั้ ๆ ในขณะท่ีเปนไปอยูนนั้ — Indriya: faculties)หมวดที่ 11. จกั ขนุ ทรยี (อินทรีย คอื จักขุปสาท — Cakkhundriya: eye-faculty)2. โสตินทรีย (อนิ ทรีย คือ โสตปสาท — Sotindriya: ear-faculty)
[349] 268 พจนานุกรมพุทธศาสตร3. ฆานนิ ทรยี (อินทรยี คือ ฆานปสาท — Ghànindriya: nose-faculty)4. ชิวหินทรีย (อินทรีย คอื ชิวหาปสาท — Jivhindriya: tongue-faculty)5. กายนิ ทรีย (อินทรีย คือ กายปสาท — Kàyindriya: body-faculty)6. มนนิ ทรยี (อินทรยี คือ ใจ ไดแก จิต ทจี่ ําแนกเปน 89 หรือ 121 ก็ตาม — Manindriya: mind-faculty) หมวดที่ 27. อติ ถินทรีย (อนิ ทรยี คอื อติ ถภี าวะ — Itthindriya: femininity faculty)8. ปุริสินทรีย (อินทรยี คอื ปุรสิ ภาวะ — Purisindriya: masculinity faculty; virility)9. ชีวิตินทรยี (อินทรยี คอื ชีวิต — Jãvitindriya: life faculty; vitality) หมวดที่ 310. สขุ นิ ทรยี (อนิ ทรีย คอื สขุ เวทนา — Sukhindriya: bodily-pleasure faculty)11. ทกุ ขนิ ทรีย (อินทรีย คอื ทกุ ขเวทนา — Dukkhindriya: bodily-pain faculty)12. โสมนสั สินทรยี (อนิ ทรยี คอื โสมนสั สเวทนา — Somanassindriya: joy faculty)13. โทมนัสสนิ ทรีย (อินทรีย คือ โทมนสั สเวทนา — Domanassindriya: grief faculty)14. อุเปกขินทรยี (อินทรีย คอื อเุ บกขาเวทนา — Upekkhindriya: indifference faculty) หมวดที่ 415. สัทธนิ ทรีย (อนิ ทรยี คือ ศรทั ธา — Saddhindriya: faith faculty)16. วริ ิยินทรีย (อินทรยี คือ วริ ยิ ะ — Viriyindriya: energy faculty)17. สตินทรีย (อินทรยี คอื สติ — Satindriya: mindfulness faculty)18. สมาธินทรีย (อินทรีย คอื สมาธิ ไดแ ก เอกคั คตา — Samàdhindriya: concentration faculty)19. ปญญนิ ทรีย (อินทรยี คือ ปญ ญา — Pa¤¤indriya: wisdom faculty) หมวดที่ 520. อนัญญาตัญญสั สามตี นิ ทรยี (อนิ ทรยี แหงผูป ฏบิ ัตดิ วยมุงวาเราจักรสู จั จธรรมทย่ี งั มิไดรู ไดแ ก โสตาปตติมัคคญาณ — Ana¤¤àta¤¤assàmãtindriya: ‘I shall come to know the unknown’ faculty, i.e. knowledge of the Stream-Entry Path.)21. อัญญินทรยี (อินทรยี คอื อัญญา หรอื ปญ ญาอนั รูท ว่ั ถึง ไดแก ญาณ 6 ในทามกลาง คือ โสตาปต ตผิ ลญาณ ถงึ อรหัตตมคั คญาณ — A¤¤indriya: perfect-knowledge faculty, i.e. knowledge of the six intermediate Paths and Fruitions)22. อญั ญาตาวนิ ทรีย (อินทรียแหง ทานผรู ูทั่วถงึ แลว กลา วคอื ปญญาของพระอรหันต ไดแก อรหัตตผลญาณ — A¤¤àtàvindriya: perfect-knower faculty, i.e. knowledge of the Fruition of Arahantship)
หมวดเกนิ 10 269 [350] อินทรยี 22 น้ี ท่ีมาในพระสตู ร มกี ระจายอยูเ ปน หมวดๆ ในทหี่ ลายแหง ไมครบทง้ั 22 ในที่เดยี วกัน เฉพาะทีม่ าสาํ คญั ไดแก อินทรยี สังยตุ ต (ส.ํ ม.19/843–1089/256–318; S.V.193–243) สวนทม่ี าในพระอภิธรรม และปกรณพ ิเศษภายหลงั มี วิสทุ ธิมคั ค และ อภิธมั มัตถสังคหะ เปนตน มคี ําอธิบายโดยพสิ ดารVbh.122; Vism.491; Comp.175. อภิ.ว.ิ 35/236/161; วิสทุ ธฺ ิ.3/72; สงฺคห.41.[350] ปจจัย 24 (ลักษณะหรอื อาการแหงความสัมพนั ธระหวา งสิง่ ทัง้ หลาย ที่ส่ิงหนง่ึ หรอืสภาวธรรมอยางหนึ่ง เปน องคประกอบท่ีชว ยเอ้ือ เกือ้ หนนุ คํา้ จุน เปน เหตุ หรือเปนเง่ือนไข ใหสงิ่ อ่นื หรอื สภาวธรรมอยางอน่ื เกดิ ขนึ้ คงอยู หรอื เปน ไปอยางใดอยางหน่งึ — Paccaya:condition; mode of conditionality or relation)1. เหตุปจ จยั (ปจจยั โดยเปนเหตุ — Hetu-paccaya: root condition)2. อารัมมณปจ จยั (ปจ จัยโดยเปน อารมณ — ârammaõa-paccaya: object condition)3. อธปิ ตปิ จ จยั (ปจ จยั โดยเปน เจา ใหญ — Adhipati-paccaya: predominance condition)4. อนันตรปจจัย (ปจจัยโดยเปนภาวะตอเนือ่ งไมมีชองระหวา ง — Anantara-paccaya:immediacy condition)5. สมนันตรปจจัย (ปจจัยโดยเปนภาวะตอเนื่องทันที — Samanantara-paccaya:contiguity condition)6. สหชาตปจจัย (ปจจัยโดยเกดิ รว มกัน — Sahajàta-paccaya: connascence condition)7. อญั ญมญั ญปจ จัย (ปจจัยโดยอาศยั ซ่งึ กันและกนั — A¤¤ama¤¤a-paccaya: mutualitycondition)8. นสิ สยปจ จยั (ปจ จัยโดยเปนทอี่ าศัย — Nissaya-paccaya: dependence condition)9. อปุ นสิ สยปจจยั (ปจจัยโดยเปน เครอื่ งหนนุ หรือกระตุนเรา — Upanissaya-paccaya:decisive-support condition; inducement condition)10. ปุเรชาตปจจยั (ปจจยั โดยเกดิ กอน — Purejàta-paccaya: prenascence condition)11. ปจ ฉาชาตปจจัย (ปจ จยั โดยเกดิ ทีหลงั — Pacchàjàta-paccaya: postnascencecondition)12. อาเสวนปจจัย (ปจจัยโดยการซํ้าบอยหรือทําใหชิน — âsevana-paccaya:repetition condition)13. กรรมปจ จยั (ปจ จยั โดยเปน กรรมคอื เจตจาํ นง — Kamma-paccaya: kamma condition)14. วปิ ากปจจัย (ปจ จยั โดยเปน วิบาก — Vipàka-paccaya: kamma-result condition)15. อาหารปจ จัย (ปจ จยั โดยเปน อาหาร คือเปน เครื่องหลอ เล้ยี ง — âhàra-paccaya:nutriment condition)16. อินทรียปจจัย (ปจ จัยโดยเปนเจาการ — Indriya-paccaya: faculty condition)
[351] 270 พจนานุกรมพทุ ธศาสตร 17. ฌานปจ จยั (ปจ จยั โดยภาวะจติ ทเ่ี ปน ฌาน — Jhàna-paccaya: absorption condition) 18. มรรคปจ จัย (ปจ จยั โดยเปนมรรค — Magga-paccaya: path condition) 19. สมั ปยุตตปจจยั (ปจจยั โดยประกอบกัน — Sampayutta-paccaya: association condition) 20. วปิ ปยตุ ตปจ จยั (ปจ จยั โดยแยกตา งหากกนั — Vippayutta-paccaya: dissociation condition) 21. อัตถิปจ จยั (ปจ จยั โดย[ตอง]มอี ยู — Atthi-paccaya: presence condition) 22. นตั ถปิ จจยั (ปจ จยั โดย[ตอ ง]ไมมีอยู — Natthi-paccaya: absence condition) 23. วิคตปจจัย (ปจจัยโดย[ตอง]ปราศไป — Vigata-paccaya: disappearance condition) 24. อวคิ ตปจจยั (ปจจยั โดย[ตอ ง]ไมปราศไป — Avigata-paccaya: non-disappearance condition) ปจ จยั 24 น้ี เปน สาระของคําอธิบายทัง้ หมดในคัมภีรปฏฐานแหง พระอภธิ รรมปฎ ก คอื พระไตรปฎกบาลี 6 เลม ตง้ั แตเลม 40 ถึงเลม 45 Pañ.1 อภิ.ป.40/1/1[,,,] รูป 28 ดู [38] รปู 28; [39] มหาภูต 4; [40] อุปาทารปู 24[351] ภูมิ 4 หรอื 31 (ชนั้ แหง จติ , ระดบั จติ ใจ, ระดบั ชวี ติ — Bhåmi: planes of existence; planes of life) 1. อบายภมู ิ 4 (ภูมทิ ่ปี ราศจากความเจรญิ — Apàya-bhåmi: planes of loss and woe; unhappy planes) 1) นริ ยะ (นรก — Niraya: woeful state; hell) 2) ตริ ัจฉานโยนิ (กําเนดิ ดิรัจฉาน — Tiracchànayoni: animal kingdom) 3) ปตติวิสัย (แดนเปรต — Pittivisaya: ghost-sphere) 4) อสรุ กาย (พวกอสรู — Asurakàya: host of demons) 2. กามสคุ ตภิ มู ิ 7 (กามาวจรภมู ทิ เี่ ปน สคุ ต,ิ ภมู ทิ เี่ ปน สคุ ตซิ งึ่ ยงั เกยี่ วขอ งกบั กาม — Kàmasugati- bhåmi: sensuous blissful planes) 1) มนุษย (ชาวมนษุ ย — Manussà: human realm) 2) จาตุมหาราชิกา (สวรรคชน้ั ท่ที าวมหาราช 4 ปกครอง — Càtummahàràjikà: realm of the Four Great Kings) 3) ดาวดึงส (แดนแหง เทพ 33 มที า วสักกะเปนใหญ — Tàvati§sà: realm of the Thirty-three Gods) 4) ยามา (แดนแหงเทพผูปราศจากความทุกข — Yàmà: realm of the Yàma gods)
หมวดเกนิ 10 271 [351] 5) ดุสิต (แดนแหง เทพผูเ อิบอิม่ ดวยสริ ิสมบตั ิของตน — Tusità: realm of satisfied gods) 6) นมิ มานรดี (แดนแหงเทพผูยินดใี นการเนรมิต — Nimmànaratã: realm of the gods who rejoice in their own creations) 7) ปรนิมมิตวสวัตดี (แดนแหงเทพผูยังอํานาจใหเปนไปในสมบัติที่ผูอื่นนิรมิตให — Paranimmitavasavattã: realm of gods who lord over the creation of others) ภมู ทิ ง้ั 11 ใน 2 หมวดน้ี รวมเปน กามาวจรภมู ิ 11 (ชนั้ ทท่ี อ งเทยี่ วอยใู นกาม — Kàmàvacara- bhåmi: Sensuous Planes)3. รูปาวจรภมู ิ 16 (ชนั้ ทท่ี องเที่ยวอยใู นรปู , ชั้นรปู พรหม — Råpàvacara-bhåmi: Form Planes) ก. ปฐมฌานภูมิ 3 (ระดบั ปฐมฌาน — first-Jhàna planes) 1) พรหมปารสิ ชั ชา (พวกบริษัทบรวิ ารมหาพรหม — Brahmapàrisajjà: realm of great Brahmas’ attendants) 2) พรหมปโุ รหิตา (พวกปุโรหติ มหาพรหม — Brahmapurohità: realm of great Brahmas’ ministers) 3) มหาพรหมา (พวกทา วมหาพรหม — Mahàbrahmà: realm of great Brahmas) ข. ทุติยฌานภูมิ 3 (ระดบั ทุติยฌาน — second-Jhàna planes) 4) ปริตตาภา (พวกมีรัศมนี อ ย — Parittàbhà: realm of Brahmas with limited lustre) 5) อปั ปมาณาภา (พวกมรี ศั มปี ระมาณไมไ ด — Appamàõàbhà: realm of Brahmas with infinite lustre) 6) อาภสั สรา (พวกมีรัศมสี ุกปลงั่ ซา นไป — âbhassarà: realm of Brahmas with radiant lustre) ค. ตติยฌานภมู ิ 3 (ระดับตตยิ ฌาน — third-Jhàna planes) 7) ปริตตสุภา (พวกมลี าํ รศั มงี ามนอย — Parittasubhà: realm of Brahmas with limited aura) 8) อัปปมาณสุภา (พวกมีลาํ รศั มีงามประมาณมไิ ด — Appamàõasubhà: realm of Brahmas with infinite aura) 9) สุภกิณหา (พวกมีลาํ รัศมีงามกระจา งจา — Subhakiõhà: realm of Brahmas with steady aura) ง. จตตุ ถฌานภมู ิ 3–7 (ระดบั จตุตถฌาน — fourth-Jhàna planes) 10) เวหัปผลา (พวกมผี ลไพบูลย — Vehapphalà: realm of Brahmas with
[351] 272 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร abundant reward) 11) อสัญญสี ตั ว (พวกสัตวไ มมสี ัญญา — Asa¤¤ãsattà: realm of non-percipient beings) (*) สทุ ธาวาส 5 (พวกมที ่อี ยูอนั บรสิ ุทธิ์ หรอื ทอี่ ยขู องทา นผูบ รสิ ทุ ธ์ิ คือ ท่เี กิดของ พระอนาคามี — Suddhàvàsa: pure abodes) คอื 12) อวหิ า (เหลาทา นผูไ มเสื่อมจากสมบัตขิ องตน หรือผูไมล ะไปเรว็ , ผคู งอยูนาน — Avihà: realm of Brahmas who do not fall from prosperity) 13) อตัปปา (เหลาทานผูไมท ําความเดอื ดรอนแกใคร หรอื ผูไมเดือดรอ นกับใคร — Atappà: realm of Brahmas who are serene) 14) สุทัสสา (เหลา ทานผูงดงามนาทศั นา — Sudassà: realm of Brahmas who are beautiful) 15) สทุ ัสสี (เหลา ทานผมู องเหน็ ชดั เจนดี หรอื ผมู ที ศั นาแจมชัด — Sudassã: realm of Brahmas who are clear-sighted) 16) อกนฏิ ฐา (เหลาทา นผูไมมีความดอยหรือเล็กนอยกวา ใคร, ผูสงู สุด — Akaniññhà: realm of the highest or supreme Brahmas)4. อรปู าวจรภมู ิ 4 (ช้นั ท่ที องเทีย่ วอยูในอรูป, ช้ันอรปู พรหม — Aråpàvacara-bhåmi: formless planes) 1) อากาสานญั จายตนภมู ิ (ชน้ั ทเี่ ขา ถงึ ภาวะมอี ากาศไมม ที สี่ ดุ — âkàsàna¤càyatana- bhåmi: realm of infinite space) 2) วญิ ญาณญั จายตนภมู ิ (ชน้ั ทเี่ ขา ถงึ ภาวะมวี ญิ ญาณไมม ที สี่ ดุ — Vi¤¤àõa¤càyatana- bhåmi: realm of infinite consciousness) 3) อากิญจญั ญายตนภมู ิ (ชน้ั ทีเ่ ขา ถงึ ภาวะไมมอี ะไร — âki¤ca¤¤àyatana-bhåmi: realm of nothingness) 4) เนวสัญญานาสญั ญายตนภูมิ (ชั้นท่เี ขา ถงึ ภาวะมีสัญญากไ็ มใช ไมมสี ัญญากไ็ มใช — Nevasa¤¤ànàsa¤¤àyatana-bhåmi: realm of neither perception nor non- perception) ปุถชุ น พระโสดาบัน และพระสกทาคามี ยอมไมเกิดในสทุ ธาวาสภมู ;ิ พระอรยิ ะไมเ กดิ ในอสญั ญีภพ และในอบายภมู ;ิ ในภูมนิ อกจากน้ี ยอมมีทัง้ พระอริยะและมใิ ชอริยะไปเกิด. ในพระไตรปฎก ไมพบทใี่ ดแสดงรายชื่อภมู ิทงั้ หลายไวท ั้งหมดในทเ่ี ดียว บาลีแสดงรายชื่อภมู ิมากทส่ี ุด (มีเฉพาะช้ันสุคติภมู )ิ พบท่ี ม.อ.ุ 14/317–332/216–225 (M.III.99–103) กลา วตงั้ แตมนุษยขึ้นไปจนถึงอรปู าวจรภูม.ิ
หมวดเกนิ 10 273 [352] ในบาลีแหงทีฆนกิ าย เปน ตน* แสดงคติ (ทไี่ ปเกดิ ของสัตว, แบบการดาํ เนนิ ชีวติ — Gati:destiny; course of existence) วามี 5 คอื นิรยะ ตริ ัจฉานโยนิ เปตตวิ สิ ัย มนษุ ย และเทพ(พวกเทพ — heavenly world ไดแกภ มู ิ 26 ต้ังแตจาตมุ หาราชกิ าข้นึ ไปทั้งหมด) จะเห็นวาภูมิ31 สงเคราะหลงไดในคติ 5 ท้งั หมด ขาดแตอสรุ กาย อยางไรก็ดี ในอรรถกถาแหง อติ ิวุตตกะเปน ตน ** ทานกลาววา อสรู สงเคราะหล งในเปตติวิสยั ดวย จงึ เปนอนั สงเคราะหล งไดบริบูรณและในคติ 5 น้ัน 3 คติแรกจดั เปน ทุคติ (woeful courses) 2 คตหิ ลงั เปนสุคติ (happycourses).เนอ่ื งดว ยภมู ิ 31 นจ้ี ดั ไดเ ปน 4 ระดบั อยา งทีก่ ลา วมา บางทจี งึ เรียกวา ภูมิ 4 อนึง่ พึงเทียบภมู ิ 31 หรอื ภมู ิ 4 หมวดน้ี กับ [162] ภูมิ 4 ท่มี าในพระบาลดี ว ย กลา วคอืภมู ิ 31 หรอื 4 หมวดน้ี จดั เขา ในภูมิ 3 ขอ ตนใน [162] ภูมิ 4 ดงั น้ี อบายภูมิ 4 และ กามสุคติ-ภมู ิ 7 รวมเขาเปนกามาวจรภมู ิ (11) สว นรูปาวจรภูมิ (16) และ อรูปาวจรภูมิ (4) ตรงกนั รวมภูมิทงั้ หมด 31 น้ี เปน โลกยี ภูมิ พนจากนีไ้ ปเปนโลกตุ ตรภูมิดู [162] ภูมิ 4; [198] อบาย 4; [207] อรปู 4; [270] สวรรค 6.Comp.137. สงฺคห.25.[352] โพธิปกขิยธรรม 37 (ธรรมอันเปนฝก ฝายแหง ความตรสั รู คือ เกอื้ กลู แกก าร ตรสั รู, ธรรมท่ีเกื้อหนนุ แกอริยมรรค — Bodhipakkhiya-dhamma: virtues partaking ofenlightenment; qualities contributing to or constituting enlightenment; enlightenmentstates)1. สตปิ ฏฐาน 4 ดู [182]2. สมั มัปปธาน 4 ดู [156]3. อิทธบิ าท 4 ดู [213]4. อินทรีย 5 ดู [258]5. พละ 5 ดู [228]6. โพชฌงค 7 ดู [281]7. มรรคมอี งค 8 ดู [293] โพธปิ ก ขยิ ธรรมน้ี ตามทท่ี ว่ั ไปในพระไตรปฎ ก ตรสั ไวเ พยี งเปน คาํ รวมๆ โดยไมไ ดร ะบชุ อ่ื องคธรรม นอกจากในสงั ยตุ ตนกิ ายแหง พระสตุ ตนั ตปฎ ก ทมี่ พี ทุ ธพจนต รสั ระบไุ วว า ไดแ ก อนิ ทรยี 5(ส.ํ ม.19/1024/301; 1041–3/305; 1071–1081/313–5) และในคัมภีรว ิภังคแ หง พระอภธิ รรมปฎก ซง่ึ ไขความวา โพธิปก ขิยธรรม ไดแก โพชฌงค 7 (อภิ.วิ.35/611/336)* ที.ปา.11/281/246; ม.มู.12/170/148; องฺ.นวก.23/272/480 (D.III.234; M.I.73; A.IV.459)** อุ.อ.174; อติ ิ.อ.168 (approx., UdA.140; ItA.101)
[353] 274 พจนานุกรมพุทธศาสตร ธรรมชดุ น้ี เมอ่ื ตรสั ระบชุ ือ่ ทง้ั ชดุ ในพระสูตร ทรงเรยี กวาเปน อภญิ ญาเทสิตธรรม เชน ที.ม.10/107/141; ท.ี ปา.11/108/140; ม.อุ. 14/54/51) คอื เปนอภิญญาเทสิตธรรม 37 และในพระอภธิ รรมทานแสดงไวว าธรรม 37 ประการนีเ้ ปน สัทธรรม นอกจากน้ี ธรรม 37 ประการชดุ นี้ยังไดชอื่ วาเปน สันติบท คือ ธรรมท่เี ปน ไปเพ่ือการบรรลสุ นั ติ (รวมทงั้ เปน อมตบท และ นิพพานบท เปน ตน —ขุ.ม.29/701/414; ขุ.จ.ู 30/391/188)และเปน เสรีธรรม หรือ ธรรมเสรี (ข.ุ จู.30/681/340; 684/342) ในพระวนิ ยั ปฎ ก ทา นแสดงธรรม 37 ประการนไ้ี วเ ปน คาํ จาํ กดั ความของคาํ วา มรรคภาวนา(ดู วินย.1/236/175; 2/308/212) ตอ มา ในคมั ภรี ช น้ั อรรถกถา รวมถงึ วสิ ทุ ธมิ คั ค จงึ ระบแุ ละแจกแจงไวช ดั เจนวา โพธปิ ก ขยิ ธรรม37 ประการ ไดแกธ รรมเหลา นี้ (ดู อง.ฺ อ.1/77; อิติ.อ.287; ปฏิส.ํ อ.2/95, 196, 261; วสิ ุทฺธ.ิ 3/328)Vism.681. วิสทุ ธฺ .ิ 3/328.[353] มงคล 38 (สิง่ ทท่ี าํ ใหมโี ชคดี, ธรรมอันนํามาซ่งึ ความสขุ ความเจริญ — Maïgala:blessings; เรยี กเตม็ วา อดุ มมงคล คือมงคลอนั สงู สดุ — highest blessing)คาถาที่ 11. อเสวนา จ พาลานํ (ไมคบคนพาล — Bàla-asevanà: not to associate with fools; to dissociate from the wicked)2. ปณฑฺ ติ านฺจ เสวนา (คบบัณฑิต — Paõóitasevanà: to associate with the wise)3. ปูชา จ ปชู นียานํ (บูชาคนทค่ี วรบชู า — Påjaneyyapåjà: to honour those who are worthy of honour)คาถาท่ี 24. ปฏิรูปเทสวาโส จ (อยใู นปฏิรูปเทศ, อยใู นถิ่นมีส่งิ แวดลอ มดี — Pañiråpadesavàsa: living in a suitable region; good environment)5. ปพุ เฺ พ จ กตปฺุตา (ไดท ําความดใี หพ รอมไวกอ น, ทาํ ความดีเตรียมพรอมไวแตตน — Pubbekatapu¤¤atà: having formerly done meritorious deeds)6. อตฺตสมฺมาปณิธิ จ (ตั้งตนไวชอบ — Attasammàpaõidhi: setting oneself in the right course; right direction in self-guidance; perfect self-adjustment)คาถาที่ 37. พาหสุ จจฺ ฺจ (เลาเรียนศกึ ษามาก, ทรงความรูก วางขวาง, ใสใจสดบั ตรับฟงคน ควา หาความ รอู ยูเสมอ — Bàhusacca: great learning; extensive learning)8. สปิ ฺปฺจ (มีศิลปวทิ ยา, ชาํ นาญในวชิ าชีพของตน — Sippa: skill; knowledge of the arts and sciences)
หมวดเกนิ 10 275 [353]9. วนิ โย จ สสุ ิกฺขโิ ต (มีวนิ ยั ทไ่ี ดศ ึกษาดีแลว , มีระเบียบวินัยดี, ไดฝก อบรมตนไวด ี — Vinaya: highly trained discipline)10. สภุ าสติ า จ ยา วาจา (วาจาสภุ าษิต, รจู กั ใชว าจาพูดใหเ ปนผลดี — Subhàsitavàcà: well-spoken speech)คาถาที่ 411. มาตาปต อุ ปุ ฏ านํ (บาํ รงุ มารดาบดิ า — Màtàpitu-upaññhàna: support of mother and father)12.–13. ปตุ ตฺ ทารสสฺ สงคฺ โห = ปตุ ตฺ สงคฺ ห (สงเคราะหบ ตุ ร — Puttasaïgaha: cherishing of children) และ ทารสงคฺ ห (สงเคราะหภ รรยา — Dàrasaïgaha: cherishing of wife)14. อนากุลา จ กมฺมนฺตา (การงานไมอากลู — Anàkulakammanta: a livelihood which is free from complications)*คาถาที่ 515. ทานฺจ (รูจักให, เผ่ือแผแ บงปน, บรจิ าคสงเคราะหแ ละบําเพญ็ ประโยชน — Dàna: charity; liberality; generosity)16. ธมมฺ จรยิ า จ(ประพฤตธิ รรม, ดาํ รงอยใู นศลี ธรรม — Dhammacariyà: righteous conduct)17. าตกานฺจ สงฺคโห (สงเคราะหญาติ — ¥àtakasaïgaha: rendering aid to relations)18. อนวชชฺ านิ กมฺมานิ (การงานทีไ่ มมีโทษ, กจิ กรรมที่ดงี าม เปนประโยชน ซ่งึ ไมเ ปน ทางเสีย หาย — Anavajjakamma: blameless actions; unexceptionable or beneficial activities)**คาถาที่ 619. อารตี วริ ตี ปาปา (เวน จากความชัว่ — Pàpavirati: abstaining from evils and avoiding them)20. มชฺชปานา จ สฺโม (เวนจากการด่มื นํ้าเมา — Majjapànasa¤¤ama: abstinence from intoxicants)21. อปฺปมาโท จ ธมเฺ มสุ (ไมประมาทในธรรมท้งั หลาย — Appamàda: diligence in virtue; perseverance in virtuous acts)* ทานอธิบายวา ไดแ ก อาชีพการงาน ทีท่ ําดวยความขยนั หม่นั เพยี ร เอาธรุ ะ รจู กั กาล ไมคงั่ คา งยอ หยอน — spheres of work which are free from such unprofitableness as dilatoriness and tardiness. (ขทุ ทฺ ก. อ. 153; KhA.139).**ทา นยกตัวอยางไว เชน การสมาทานอุโบสถ การบําเพญ็ สาธารณประโยชน สรางสวน ปลูกปา สรา งสะพาน เปนตน (ขทุ ฺทก.อ.156; KhA.141)
[353] 276 พจนานกุ รมพุทธศาสตรคาถาท่ี 722. คารโว จ (ความเคารพ, การแสดงออกทแ่ี สดงถึงความเปนผูร ูจักคุณคาของบุคคล ส่ิงของ สถานที่ หรอื กจิ การนั้นๆ และรูจักใหความสาํ คญั และความใสใจเอื้อเฟอ โดยเหมาะสม — Gà rava: reverence; respect; appreciative action)23. นิวาโต จ (ความสภุ าพออนนอม, ถอ มตน — Nivàta: humility, courtesy; politeness)24. สนตฺ ฏุ ี จ(ความสนั โดษ, ความเอบิ อม่ิ พงึ พอใจในผลสาํ เรจ็ ทไี่ ดส รา งขน้ึ หรอื ในลาภทแ่ี สวงหา มาได ดว ยเรยี่ วแรงความเพยี รพยายามของตนโดยทางชอบธรรม —Santuññhã: contentment)25. กตฺุตา (มคี วามกตญั ู — Kata¤¤utà: gratitude)26. กาเลน ธมฺมสฺสวนํ (ฟง ธรรมตามกาล, แสวงความรูเ ก่ียวกบั หลกั ความจรงิ ความดีงาม และเร่ืองทเ่ี ปน ประโยชน — Dhammassavana: the opportune hearing of the Dhamma; listening to good advice and the teaching of Truth on due occasions)คาถาท่ี 827. ขนตฺ ี จ (มคี วามอดทน — Khanti: patience; forbearance; tolerance)28. โสวจสฺสตา (เปนผูวางายสอนงาย, พูดกันงาย ฟงเหตุผล — Sovacassatà: amenability to correction; being easy to admonish)29. สมณานฺจ ทสฺสนํ (พบเห็นสมณะ, เยีย่ มเยือนเขาหาทา นผูส งบกเิ ลส — Samaõa- dassana: seeing the monks or holy persons)30. กาเลน ธมมฺ สากจฉฺ า (สนทนาธรรมตามกาล, หาโอกาสสนทนาแลกเปลย่ี นความรคู วามคดิ เหน็ กนั เกยี่ วกบั หลกั ความจรงิ ความดงี ามและเรอ่ื งทเ่ี ปน ประโยชน — Dhammasàkacchà: religious discussion at due seasons; regular or opportune discussion of Truth)คาถาที่ 931. ตโป จ (มคี วามเพียรเผากิเลส, รูจักบังคับควบคุมตน ไมป รนเปรอตามใจอยาก — Tapa: self-control; simple life)32. พฺรหมฺ จริยฺจ (ประพฤตพิ รหมจรรย, ดําเนินตามอรยิ มรรค, การรจู ักควบคมุ ตนในทาง เพศ หรือถอื เมถนุ วริ ัติตามควร* — Brahmacariya: a holy life)33. อริยสจจฺ าน ทสสฺ นํ (เหน็ อริยสัจจ, เขาใจความจริงของชีวติ — Ariyasacca-dassana: discernment of the Noble Truths)34. นพิ พฺ านสจฉฺ กิ ริ ยิ า จ (ทาํ พระนพิ พานใหแ จง , บรรลนุ พิ พาน — Nibbàna-sacchikiriyà: realization of Nibbàna)* พรหมจรรยใ นท่นี ้ี มุงเอาอัฏฐงั คกิ มรรคเปน หลัก แตจะตคี วามแคบหมายถงึ เมถนุ วิรตั ิก็ได ความหมายอยา ง หยอนสําหรบั คฤหสั ถ คอื ถือพรหมจรรยใ นบุคคลทีม่ ใิ ชค ูครอง หรอื ถอื เดด็ ขาดในวันอโุ บสถ เปน ตน
หมวดเกนิ 10 277 [354]คาถาท่ี 1035. ผุฏสฺส โลกธมเฺ มหิ จติ ฺตํ ยสฺส น กมฺปติ (ถกู โลกธรรม จติ ไมหวนั่ ไหว — Akampita- citta: to have a mind which is not shaken when touched by worldly vicissitudes)36. อโสกํ (จิตไรเศรา — Asokacitta: to have the mind which is free from sorrow)37. วิรชํ (จิตปราศจากธุลี — Virajacitta: to have the mind which is undefiled)38. เขมํ (จิตเกษม — Khemacitta: to have the mind which is secure) แตละคาถามบี ทสรุปวา “เอตมฺมงคฺ ลมุตตฺ มํ” (น้เี ปน มงคลอันอดุ ม — this is the highestblessing)มคี าถาสรปุ ทา ยมงคลทัง้ 38 นีว้ า สพพฺ ตถฺ มปราชติ า ตนเฺ ตสํ มงฺคลมตุ ฺตมนตฺ .ิ ” “เอตาทิสานิ กตฺวาน สพฺพตฺถ โสตถฺ ึ คจฺฉนตฺ ิ แปลวา “เทวะมนุษยท งั้ หลายกระทาํ มงคลเชนนี้แลว ยอ มเปน ผไู มป ราชยั ในทีท่ กุ สถาน ยอ มถึงความสวัสดีในที่ทั้งปวง นี้คอื อุดมมงคลของเทวะมนุษยเ หลา นนั้ .” (Those who have donethese things see no defeat and go in safety everywhere. To them these are thehighest blessings.)Kh.V.3; Sn.259–268. ข.ุ ข.ุ 25/5/3; ข.ุ สุ.25/317/376.[354] กรรมฐาน 40 (ท่ีตั้งแหงการทํางานของจิต, สิ่งท่ีใชเปนอารมณในการเจริญภาวนา, อปุ กรณในการฝกอบรมจติ — Kammaññhàna: mental exercises; subjects ofmeditation)1. กสิณ 10 ดู [315]2. อสภุ ะ 10 ดู [336]3. อนุสติ 10 ดู [335]4. อัปปมัญญา 4 ดู [161]5. อาหาเรปฏกิ ลู สญั ญา (กาํ หนดพจิ ารณาความเปน ปฏกิ ลู ในอาหาร — âhàrepañikålasa¤¤à:perception of the loathsomeness of food)6. จตธุ าตวุ วฏั ฐาน (กาํ หนดพิจารณาธาตุ 4, พิจารณาเหน็ รางกายของตนโดยสักวา เปน ธาตุ 4แตละอยา งๆ; ธาตุมนสกิ าร ก็เรียก — Catudhàtu-vavaññhàna: analysis of the fourelements)7. อรูป 4 ดู [207] กรรมฐานใดใหไดสมาธถิ ึงขนั้ ใด ดู [99] ภาวนา 3; กรรมฐานใดเหมาะกบั จรติ ใด ดู [262]จริต 6.Vism.110; Comp.204. วสิ ุทธฺ ิ.1/139; สงคฺ ห.51.
[355] 278 พจนานกุ รมพุทธศาสตร[355] เจตสิก 52 (ธรรมท่ีประกอบกบั จติ , สภาวธรรมท่ีเกดิ ดับพรอมกับจติ มอี ารมณแ ละ วัตถทุ ี่อาศยั เดยี วกนั กับจติ , อาการและคณุ สมบัตติ า งๆ ของจิต — Cetasika: mental factors; mental concomitants) ก. อัญญสมานาเจตสิก 13 (เจตสกิ ที่มีเสมอกนั แกจ ิตพวกอ่นื คอื ประกอบเขาไดกับจิตทุก ฝายทั้งกุศลและอกุศล มิใชเขาไดแตฝายใดฝายหนึ่งพวกเดียว — A¤¤asamàna- cetasika: the Common-to-Each-Other; general mental factors) 1) สพั พจิตตสาธารณเจตสกิ 7 (เจตสิกทเ่ี กดิ ท่ัวไปกบั จิตทุกดวง — Sabbacitta- sàdhàraõa~: universal mental factors; the Primary) 1. ผัสสะ (ความกระทบอารมณ — Phassa: contact; sense-impression) 2. เวทนา (ความเสวยอารมณ — Vedanà: feeling) 3. สัญญา (ความหมายรอู ารมณ — Sa¤¤à: perception) 4. เจตนา (ความจงใจตอ อารมณ — Cetanà: volition) 5. เอกคั คตา (ความมอี ารมณเ ปน อนั เดยี ว — Ekaggatà: one-pointedness; concentration) 6. ชวี ติ นิ ทรยี (อนิ ทรยี ค อื ชวี ติ , สภาวะทเี่ ปน ใหญใ นการรกั ษานามธรรมทงั้ ปวง — Jãvitindriya: vitality; life-faculty) 7. มนสกิ าร (ความกระทาํ อารมณไวในใจ, ใสใ จ — Manasikàra: attention) 2) ปกณิ ณกเจตสิก 6 (เจตสิกทเี่ รีย่ รายแพรกระจายทว่ั ไป คือ เกิดกับจิตไดท ง้ั ฝายกศุ ล และอกุศล แตไมแ นน อนเสมอไปทุกดวง — Pakiõõaka~: particular mental factors; the Secondary) 8. วติ ก (ความตรกึ อารมณ — Vitakka: initial application; thought conception; applied thought) 9. วจิ าร (ความตรองหรอื พจิ ารณาอารมณ — Vicàra: sustained application; discursive thinking; sustained thought) 10. อธิโมกข (ความปลงใจหรือปกใจในอารมณ — Adhimokkha: determination; resolution) 11. วิรยิ ะ (ความเพยี ร — Viriya: effort; energy) 12. ปต ิ (ความปลาบปล้มื ในอารมณ, อมิ่ ใจ — Pãti: joy; interest) 13. ฉนั ทะ (ความพอใจในอารมณ — Chanda: conation; zeal) ข. อกศุ ลเจตสกิ 14 (เจตสกิ ฝา ยอกศุ ล — Akusala~: immoral or unwholesome mental factors; unprofitable mental factors) 1) สพั พากุสลสาธารณเจตสิก 4 (เจตสิกทเ่ี กดิ ท่ัวไปกบั อกุศลจิตทุกดวง — Sabbà- kusalasàdhàraõa~: universal immorals; the Primary)
หมวดเกิน 10 279 [355]14. โมหะ (ความหลง — Moha: delusion)15. อหิริกะ (ความไมละอายตอ บาป — Ahirika: shamelessness; lack of moral shame)16. อโนตตปั ปะ (ความไมสะดงุ กลัวตอบาป — Anottappa: fearlessness of wrong- doing; lack of moral dread)17. อทุ ธจั จะ (ความฟุงซา น — Uddhacca: restlessness; unrest) 2) ปกณิ ณกอกุสลเจตสกิ 10 (อกุศลเจตสิกทเ่ี กดิ เรย่ี รายแกอ กศุ ลจิต — Pakiõõaka- akusala~: particular immorals; the Secondary)18. โลภะ (ความอยากไดอารมณ — Lobha: greed)19. ทิฏฐิ (ความเหน็ ผดิ — Diññhi: wrong view)20. มานะ (ความถือตัว — Màna: conceit)21. โทสะ (ความคิดประทุษราย — Dosa: hatred)22. อิสสา (ความริษยา — Issà: envy; jealousy)23. มัจฉรยิ ะ (ความตระหน่ี — Macchariya: stinginess; meanness)24. กกุ กจุ จะ (ความเดือดรอนใจ — Kukkucca: worry; remorse)25. ถีนะ (ความหดหู — Thãna: sloth)26. มทิ ธะ (ความงวงเหงา — Middha: torpor)27. วิจิกจิ ฉา (ความคลางแคลงสงสัย — Vicikicchà: doubt; uncertainty; scepsis)ค. โสภณเจตสกิ 25 (เจตสกิ ฝายดงี าม — Sobhaõa~: beautiful mental factors; lofty mental factors) 1) โสภณสาธารณเจตสกิ 19 (เจตสกิ ทเ่ี กิดทวั่ ไปกับจิตดงี ามทุกดวง — Sobhaõa- sàdhàraõa~: universal beautiful mental factors; the Primary)28. สัทธา (ความเช่ือ — Saddhà: confidence; faith)29. สติ (ความระลกึ ได, ความสํานกึ พรอมอยู — Sati: mindfulness)30. หิริ (ความละอายตอ บาป — Hiri: moral shame; conscience)31. โอตตัปปะ (ความสะดงุ กลวั ตอ บาป — Ottappa: moral dread)32. อโลภะ (ความไมอ ยากไดอ ารมณ — Alobha: non-greed)33. อโทสะ (ความไมคิดประทษุ ราย — Adosa: non-hatred)34. ตัตรมัชฌตั ตตา (ความเปน กลางในอารมณน ้นั ๆ — Tatramajjhattatà: equanimity; specific neutrality)35. กายปส สทั ธิ (ความสงบแหง กองเจตสกิ — Kàya-passaddhi: tranquillity of mental body)36. จติ ตปสสัทธิ (ความสงบแหง จติ — Citta-passaddhi: tranquillity of mind)
[356] 280 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร37. กายลหตุ า (ความเบาแหง กองเจตสิก — Kàya-lahutà: lightness of mental body; agility of ~)38. จติ ตลหตุ า (ความเบาแหงจิต — Citta-lahutà: lightness of mind; agility of ~)39. กายมทุ ตุ า (ความออ นหรอื นมุ นวลแหง กองเจตสกิ — Kàya-mudutà: pliancy of mental body; elasticity of ~)40. จติ ตมทุ ตุ า (ความออ นหรอื นมุ นวลแหง จติ — Citta-mudutà: pliancy of mind; elasticity of ~)41. กายกมั มญั ญตา (ความควรแกก ารงานแหง กองเจตสกิ — Kàya-kamma¤¤atà: adaptability of mental body; wieldiness of ~)42. จิตตกมั มัญญตา (ความควรแกก ารงานแหง จติ — Citta-kamma¤¤atà: adaptability of mind; wieldiness of ~)43. กายปาคญุ ญตา (ความคลองแคลวแหงกองเจตสกิ — Kàya-pàgu¤¤atà: proficiency of mental body)44. จติ ตปาคญุ ญตา (ความคลอ งแคลว แหง จติ — Citta-pàgu¤¤atà: proficiency of mind)45. กายุชกุ ตา (ความซอ่ื ตรงแหง กองเจตสกิ — Kàyujukatà: rectitude of mental body; uprightness of ~)46. จติ ตชุ กุ ตา (ความซอื่ ตรงแหง จติ — Cittujukatà: rectitude of mind; uprightness of ~) 2) วิรตีเจตสกิ 3 (เจตสิกท่เี ปน ตวั ความงดเวน — Viratã~: abstinences)47. สมั มาวาจา (เจรจาชอบ — Sammàvàcà: right speech)48. สัมมากมั มันตะ (กระทําชอบ — Sammàkammanta: right action)49. สมั มาอาชีวะ (เลีย้ งชีพชอบ — Sammà-àjãva: right livelihood) 3) อปั ปมญั ญาเจตสกิ 2 (เจตสกิ คอื อปั ปมญั ญา — Appama¤¤à~: boundless states)50. กรุณา (ความสงสารสตั วผถู งึ ทกุ ข — Karuõà: compassion)51. มุทิตา (ความยนิ ดีตอ สัตวผูไดส ขุ — Mudità: sympathetic joy) 4) ปญ ญนิ ทรยี เจตสกิ 1 (เจตสกิ คอื ปญ ญนิ ทรยี — Pa¤¤indriya~: fuculty of wisdom)52. ปญ ญนิ ทรยี หรอื อโมหะ (ความรเู ขา ใจ ไมห ลง — Pa¤¤indriya, Amoha: undeluded- ness; wisdom)Comp.94. สงคฺ ห.7.[356] จิต 89 หรอื 121 (ธรรมชาตทิ ่ีรอู ารมณ, สภาพทีน่ กึ คดิ , ความคดิ , ใจ, วญิ ญาณ— Citta: mind; thought; consciousness; a state of consciousness) จติ มไี วพจน คอื คาํ ที่ตา งเพยี งรูป แตม ีความหมายเหมอื นกันหรอื คลา ยกนั ใชแ ทนกนั ไดหลายคาํ เชน มโน มานสั หทยั บณั ฑร มนายตนะ มนนิ ทรยี และ วญิ ญาณ เปนตน (อภิ.สํ.
หมวดเกิน 10 281 [356]34/21/10; ฯลฯ) คําเหลา น้มี ีความหมายเกยกนั มิใชตรงกันโดยสมบรู ณ ใชแ ทนกนั ไดในบางโอกาสมิใชเ สมอไป เมอื่ จดั แบง สภาวธรรมทงั้ หลายเปน ประเภทๆ ทเี่ รยี กวา ขนั ธ 5 จติ ไดแ ก วญิ ญาณขนั ธ แตในคัมภีรอภิธรรมยุคตอ มา นยิ มประมวลสภาวธรรมเขา เปน 4 อยา ง เรยี กวา ปรมตั ถธรรม 4 จิตเปน ปรมัตถธรรมอยา งที่ 1; ดู [157] ปรมตั ถธรรม 4; [216] ขนั ธ 5. คัมภรี อภิธรรมรุนอรรถกถา ประมวลเรื่องจติ ทแ่ี สดงไวใ นพระอภธิ รรมปฎ กแลว แจงนบัสภาพจิตท้งั หลายไววา มีจาํ นวน 89 หรอื โดยพสิ ดารมี 121 เรียกวา จิต 89 หรือ 121 เบอ้ื งตน น้ี จะประมวลจติ ทง้ั หมดไวเ ปน หมวดหมใู หญๆ กอ น เพอ่ื สะดวกในการศกึ ษากาํ หนดจดจาํ และทบทวนตอ ไป ในทนี่ ี้ พงึ ทราบวธิ จี าํ แนกประเภท 2 แบบ เปรยี บเทยี บกนั ดงั น้ี** ทา นเรยี บเรยี งเปน คาถาสรปุ ความไว ดงั นี้ กสุ ลาเนกวีสติ ทวฺ าทสากสุ ลาเนว กฺรยิ าจติ ฺตานิ วีสติ ฯ ฉตฺตึเสว วปิ ากานิ รูเป ปณณฺ รสรี เิ ย จตปุ ฺาสธา กาเม อฎธานตุ ตฺ เร ตถา ฯ จติ ตฺ านิ ทฺวาทสารูเป ปเภทํ ปน มานสํ อิตฺถเมกูนนวุตปิ ฺ- วภิ ชนตฺ ิ วิจกขฺ ณา ฯ เอกวสี สตํ วาถ
[356] 282 พจนานกุ รมพุทธศาสตร โสภณจิต 59 (91) ฌานจติ 67 ก. โดยชาตปิ ระเภท ข. โดยภมู ิประเภท 1. อกุศลจติ 12 1. กามาวจรจติ 54 - โลภมูลจติ 8 1) อกศุ ลจิต 12 - โทสมลู จิต 2 - โลภมูลจติ 8 - โมหมลู จติ 2 - โทสมลู จิต 2 - โมหมลู จิต 2 2. กศุ ลจิต 21 (37) 2) อเหตกุ จติ 18 - มหากุศลจิต 8 - อกุศลวิบากจติ 7 - รปู าวจรกุศลจิต 5 - กุศลวิบากอเหตุกจิต 8 - อรปู าวจรกุศลจิต 4 - อเหตกุ กริ ยิ าจติ 3 - โลกุตตรกุศลจิต 4 (20) 3) กามาวจรโสภณจิต 24 3. วิปากจติ 36 (52) - มหากศุ ลจติ 8 - มหาวบิ ากจติ 8 - อกุศลวิบากจติ 7 - มหากริ ิยาจิต 8 - กศุ ลวบิ ากอเหตกุ จิต 8 - มหาวิบากจติ 8 2. รปู าวจรจิต 15 - รูปาวจรวบิ ากจติ 5 - อรปู าวจรวบิ ากจิต 4 1) รปู าวจรกุศลจิต 5 - โลกุตตรวบิ ากจิต 4 (20) 2) รูปาวจรวิบากจติ 5 3) รูปาวจรกริ ยิ าจิต 5 4. กิริยาจิต 20 3. อรูปาวจรจติ 12 - อเหตกุ กริ ิยาจิต 3 - มหากริ ิยาจิต 8 1) อรปู าวจรกุศลจติ 4 - รปู าวจรกริ ิยาจติ 5 2) อรูปาวจรวิบากจิต 4 - อรปู าวจรกริ ยิ าจติ 4 3) อรปู าวจรกิรยิ าจติ 4 4. โลกุตตรจติ 8 (× ฌาน 5 = 40) 1) โลกตุ ตรกศุ ลจติ 4 (20) 2) โลกุตตรวบิ ากจติ 4 (20)หมายเหต:ุ ตวั เลขในวงเลบ็ ( ) หมายถงึ จาํ นวนอยา งพสิ ดาร เมอ่ื นบั จติ เปน 121 (พงึ สงั เกตวา จาํ นวนจะเพมิ่เฉพาะ โลกตุ ตรจติ อยา งเดยี ว คอื โลกตุ ตรจติ อยา งยอ มี 8 อยา งพสิ ดารจาํ แนกออกไปตามฌานทงั้ 5 เปน 40) ตอ ไปจะแสดง จติ 89 หรอื 121 ตามแบบภมู ิประเภท (แบบชาตปิ ระเภทพงึ กาํ หนดเอาจากแบบภมู ิประเภทน้ี ตามหวั ขอท่ีแสดงไวแลว )
หมวดเกิน 10 283 [356]1. กามาวจรจติ 54 (จติ ทเี่ ปน ไปในกามภูมิ — Kàmàvacara-citta: consciousness of theSense Sphere)1) อกศุ ลจติ 12 (จติ อันเปน อกุศล — Akusala-citta: immoral consciousness) อกุศลจติมีแตทเี่ ปน กามาวจรนเี้ ทา นั้น คือ• โลภมลู จติ 8 (จิตมโี ลภะเปน มลู — Lobhamåla-citta: consc rooted in greed)1. โสมนสสฺ สหคตํ ทฏิ คิ ตสมปฺ ยุตฺตํ อสงขฺ าริกํ2. ” ” สสงฺขารกิ ํ3. ” ทิฏ ิคตวิปฺปยุตฺตํ อสงขฺ าริกํ4. ” ” สสงฺขาริกํ5. อเุ ปกฺขาสหคตํ ทฏิ คิ ตสมฺปยุตฺตํ อสงฺขารกิ ํ6. ” ” สสงขฺ าริกํ7. ” ทฏิ คิ ตวปิ ปฺ ยุตฺตํ อสงขฺ ารกิ ํ8. ” ” สสงฺขาริกํ1. จติ ทเ่ี กดิ พรอ มดว ยโสมนสั สเวทนา ประกอบดวยมจิ ฉาทิฏฐิ ไมม กี ารชักนํา2. ” ” มกี ารชักนํา3. ” ไมป ระกอบดว ยมจิ ฉาทฏิ ฐิ ไมม กี ารชักนาํ4. “ ” มีการชกั นาํ5. จติ ท่ีเกดิ พรอมดวยอุเบกขาเวทนา ประกอบดว ยมจิ ฉาทฏิ ฐิ ไมม ีการชกั นาํ6. ” ” มีการชักนํา7. ” ไมป ระกอบดว ยมจิ ฉาทฏิ ฐิ ไมม ีการชกั นํา8. ” ” มกี ารชักนํา1. One consc, accom by joy, assoc with wrong view, unprompted.*2. ~ , ~ , ~ , prompted.3. ~ , ~ , dissoc from wrong view, unprompted.4. ~ , ~ , ~ , prompted.5. One consc, accom by indif, assoc with wrong view, unprompted.6. ~ , ~ , ~ , prompted.7. ~ , ~ , dissoc from wrong view, unprompted.8. ~ , ~ , ~ , prompted.* consc = consciousness; accom = accompanied; assoc = associated; dissoc = dissociated; indif = indifference.
[356] 284 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร• โทสมูลจิต 2* (จิตมโี ทสะเปน มลู — Dosamåla-citta: consc rooted in hatred)1. โทมนสสฺ สหคตํ ปฏฆิ สมปฺ ยุตตฺ ํ อสงฺขารกิ ํ2. ” ” สสงฺขาริกํ1. จติ ท่ีเกิดพรอ มดว ยโทมนัสสเวทนา ประกอบดว ยปฏิฆะ ไมมกี ารชักนํา2. ” ” มกี ารชักนาํ1. One consc, accom by grief, assoc with resentment, unprompted.2. ~ , ~ , ~ , prompted.• โมหมลู จิต 8 (จติ มโี มหะเปน มลู — Mohamåla-citta: consc rooted in delusion)1. อุเปกขฺ าสหคตํ วจิ กิ จิ ฺฉาสมฺปยุตฺตํ2. ” อุทธฺ จฺจสมฺปยุตฺตํ1. จิตทเี่ กิดพรอ มดว ยอเุ บกขาเวทนา ประกอบดวยวิจิกจิ ฉา2. ” ประกอบดวยอทุ ธจั จะ1. One consc, accom by indif, assoc with uncertainty.2. ~ , ~ , assoc with restlessness. 2) อเหตกุ จติ 18 (จติ อันไมม สี มั ปยุตตเหตุ คอื ไมประกอบดวยเหตุ 6 ไดแก โลภะ โทสะ โมหะ อโลภะ อโทสะ อโมหะ — Ahetuka-citta: rootless consc) • อกศุ ลวบิ ากจติ 7 (จติ ทเี่ ปน ผลของอกศุ ล — Akusalavipàka-citta: rootless resultant-of-immorality consc)1. อุเปกขฺ าสหคตํจกขฺ วุ ิ ฺาณํ2. ” โสตวิฺาณํ3. ” ฆานวิฺาณํ4. ” ชิวฺหาวิฺาณํ5. ทกุ ฺขสหคตํ กายวิฺาณํ6. อเุ ปกฺขาสหคตํสมฺปฏจิ ฉฺ นนฺ ํ7. อุเปกขฺ าสหคตํสนตฺ รี ณํ1. จักขุวิญญาณจิต ที่เกิดพรอ มดวยอเุ บกขาเวทนา2. โสตวญิ ญาณจติ ”3. ฆานวิญญาณจิต ”4. ชิวหาวิญญาณจติ ”* เรยี ก ปฏฆิ สมั ปยตุ ตจติ ก็ได
หมวดเกนิ 10 285 [356]5. กายวญิ ญาณจติ ที่เกดิ พรอมดว ยทกุ ขเวทนา6. สัมปฏจิ ฉนั นจิต ทีเ่ กิดพรอมดว ยอเุ บกขาเวทนา7. สนั ตีรณจิต ”1. Eye-consc, accom by indif.2. Ear-consc, ~3. Nose-consc, ~4. Tongue-consc, ~5. Body-consc, accom by pain.6. Receiving-consc, accom by indif.7. Investigating-consc, ~• กุศลวิบากอเหตกุ จิต 8 (จติ ทเ่ี ปนผลของกุศล ไมม ีสมั ปยตุ ตเหตุ — Kusalavipàka-ahetuka-citta: rootless resultant-of-morality consc)1. อเุ ปกขฺ าสหคตํ จกฺขุวิ ฺาณํ2. “ โสตวิ ฺาณํ3. “ ฆานวิฺาณํ4. “ ชวิ ฺหาวิฺาณํ5. สุขสหคตํ กายวิ ฺาณํ6. อุเปกขฺ าสหคตํ สมปฺ ฏิจฉฺ นนฺ ํ7. โสมนสฺสสหคตํ สนฺตีรณํ8. อุเปกฺขาสหคตํ สนตฺ รี ณํ1. จักขวุ ิญญาณจติ ทีเ่ กดิ พรอ มดว ยอุเบกขาเวทนา2. โสตวญิ ญาณจติ ”3. ฆานวิญญาณจิต ”4. ชวิ หาวญิ ญาณจิต ”5. กายวิญญาณจิต ทีเ่ กดิ พรอ มดว ยสุขเวทนา6. สมั ปฏจิ ฉนั นจติ ทเ่ี กิดพรอ มดว ยอุเบกขาเวทนา7. สันตรี ณจิต ท่ีเกิดพรอมดวยโสมนัสสเวทนา8. สนั ตีรณจติ ที่เกิดพรอ มดว ยอเุ บกขาเวทนา1.–4. Eye-, Ear-, Nose-, Tongue-consc, accom by indif.5. Body-consc, accom by pleasure.6. Receiving-consc, accom by indif.
[356] 286 พจนานกุ รมพุทธศาสตร7. Investigating-consc, accom by joy.8. Investigating-consc, accom by indif. • อเหตกุ กริ ยิ าจิต 3 (จิตทเ่ี ปน เพียงกริ ยิ า ไมม สี มั ปยุตตเหตุ — Ahetukakiriyà-citta:rootless functional consc)1. อุเปกขฺ าสหคตํ ปฺจทฺวาราวชชฺ นํ2. ” มโนทฺวาราวชชฺ นํ3. โสมนสสฺ สหคตํ หสติ ปุ ฺปาทจติ ตฺ ํ1. ปญจทวาราวัชชนจติ * ทเ่ี กดิ พรอมดว ยอเุ บกขาเวทนา2. มโนทวาราวชั ชนจิต** ”3. หสิตปุ ปาทจติ *** ท่เี กดิ พรอมดว ยโสมนสั สเวทนา1. Five-sense-door adverting consc, accom by indif.2. Mind-door adverting consc, accom by indif.3. Smile-producing consc, accom by joy. 3) กามาวจรโสภณจิต 24 (จิตดงี ามทเ่ี ปน ไปในกามภูมิ — Kàmàvacara-sobhaõa-citta:Sense-Sphere beautiful consc• มหากศุ ลจิต หรือ สเหตกุ กามาวจรกศุ ลจิต 8 (จิตท่เี ปน กศุ ลยง่ิ ใหญ หรอื กศุ ลจติ ที่เปนไปในกามภมู ิ มสี ัมปยตุ ตเหตุ — Mahàkusala-citta: moral consc)1. โสมนสสฺ สหคตํ าณสมฺปยตุ ตฺ ํ อสงขฺ าริกํ2. ” ” สสงฺขารกิ ํ3 ” าณวิปฺปยตุ ฺตํ อสงฺขาริกํ4. ” ” สสงขฺ าริกํ5. อเุ ปกฺขาสหคตํ าณสมปฺ ยตุ ฺตํ อสงขฺ าริกํ6. ” ” สสงฺขารกิ ํ7. ” าณวิปฺปยตุ ตฺ ํ อสงขฺ าริกํ8. “ “ สสงฺขารกิ ํ1. จิตท่ีเกดิ พรอมดวยโสมนัสสเวทนา ประกอบดว ยปญ ญา ไมม ีการชกั นาํ2. ” ” มกี ารชักนํา* จติ ท่รี าํ พงึ ถงึ อารมณท ี่กระทบทวารท้งั 5** จติ ท่รี ําพึงถงึ อารมณอ ันมาถงึ คลองในมโนทวาร = โวฏฐพั พนะ***จติ ทีท่ ําใหเกิดการแยมยิม้ ของพระอรหนั ต
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402