Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม Dictionary of Buddhism

พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม Dictionary of Buddhism

Published by Chalermkiat Deesom, 2016-09-20 09:51:19

Description: dictionary_of_buddhism_pra-muan-dhaama พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม

Keywords: พจนานุกรมพุทธศาสตร์,dictionary_of_buddhism

Search

Read the Text Version

36พละ 227 พุทธโอวาท 3 97 พทุ ธตั ถจริยา 96พละ 4 229 พุทธานุมตั 201 พทุ ธานสุ ติ 335พละ 5 228, 352 พทุ ธาปเทส 166 พุทธิจริต 262พละ 5 ของพระมหากษัตริย 230 พุทฺโธ 303 เพียรของคฤหสั ถ, ความ 32พลกาย 339 เพยี รของบรรพชติ , ความ 32 แพศย 173พลี 289 โพชฌงค 7 281, 352 โพธิปก ขยิ ธรรม 37 51, 352พลี 5 232 ไพบูลย 2 44พหกุ ารธรรม 4 140พหุการธรรม 7 292พหกุ ารธรรม 10 324พหุลกรรม 338พหสุ สฺ ตุ า 231พหุสสฺ ุโต 322พหูสูต 231, 251, 252, 253, 254พหูสูตมีองค 5 231 ภควา 303พัฒนา 37 ภคนิ ภี รยิ า 282พาลาน,ํ อเสวนา จ 353 ภพ (ดู วิโมกข ดว ย) 340พาหาพละ 230 ภพ 3 98พาหิรายตนะ 6 277 ภยญาณ, ภยตปู ฏ ฐานญาณ 311พาหสุ จฺจ 324 ภยาคติ 196พาหุสัจจะ 237, 292 ภรรยา 265พาหสุ จฺจจฺ 353 ภรรยา 7 282พชี นิยาม 223 ภวจักร 105, 340พุทธ ดู พระพทุ ธเจา ภวตัณหา 74, 204, 206, 357พทุ ธกิจ 304 ภวโยคะ 170พุทธคารวตา 261 ภวราคะ 288, 330พุทธคณุ 2 304 ภวังคะ 343พทุ ธคุณ 3 305 ภวาสวะ 135, 136พทุ ธคุณ 9 303 ภโวฆะ 215พทุ ธจริยา 3 96 ภังคญาณ, ภังคานุปสสนาญาณ 311พทุ ธจักขุ 217 ภพั พตาธรรม 6 267พทุ ธเจดีย 4 141 ภพพฺ รปู ตาย 317พุทธบัญญัติ 290 ภัย 5 229พทุ ธภาวะ 304 ภัสสปรยิ นั ตะ 222พทุ ธรปู 141 ภสั สสัปปายะ 286พุทธลีลาในการสอน 4 172 ภาวนา 205, 206พุทธวงส 75 ภาวนา 2 36พทุ ธวจนะ 302 ภาวนา 3 99

37ภาวนา 4 37 มนสานุเปกฺขิตา 231ภาวนาปธาน 156 มนสกิ าร 355ภาวนามยปญญา 93 มนายตนะ 356ภาวนามยั 88, 89 มนนิ ทรยี  349, 356ภาวนโี ย 278 มนษุ ย 284, 298, 351ภาวรปู 2 40, 359 มนษุ ยธรรม 238ภาวติ 4 37 มนุษยโลก 103ภาวิตกาย 37 มนุษยสมบัติ 114ภาวิตจติ 37 มโน (ดู ปย รปู สาตรปู ดว ย) 276, 356ภาวิตปญ ญา 37 มโนกรรม 66ภาวิตศลี 37 มโนกรรม 3 319, 320, 321ภาวติ ตั ต 280 มโนทวาร 77, 78ภาเวตพั พธรรม 36, 206 มโนทวาราวัชชนะ 343ภิกขุนีวิภังค 75/1ก มโนทวฺ าราวชฺชนํ 356ภกิ ขุวภิ ังค 75/1ก มโนทจุ ริต 80ภกิ ขุอปรหิ านิยธรรม 71 290 มโนธาตุ 348ภิกขอุ ปริหานยิ ธรรม 72 291 มโนมยทิ ธิ 297ภกิ ษณุ ีบริษทั 151 มโนวญิ ญาณ 266, 268ภิกษุบรษิ ัท 151 มโนวิญญาณธาตุ 348ภูตกสิณ 4 315 มโนสงั ขาร 120ภตู รูป 38, 39, 146 มโนสัญเจตนาหาร 212ภูมิ 284 มโนสมั ผสั 266, 272ภมู ิ 4 162 มโนสมั ผสั สชาเวทนา 113, 266ภูมิ 4, 31 351 มโนสจุ รติ 81ภมู ปิ ระเภท (จิต) 356 มรณะ 340เภสัช 159, 203 มรณธัมมตา 247โภคะ 227 มรณภัย 229โภคพละ 230 มรณสติ 335โภควภิ าค 4 163 มรรค 7, 204, 205, 241โภคสุข 192 มรรค 4 164, 310, 332โภคอาทิยะ, โภคาทิยะ 5 232 มรรคปจจยั 350โภชนสัปปายะ 286 มรรคภาวนา 352โภชเนมตั ตญั ุตา 128 มรรคมีองค 8 293, 352 มรรคสมงั คี 57มงคล 259 มละ 9 308มงคล 38 353 มหากิรยิ าจิต 8 356มตะ 83, 84, 150 มหากุศลจติ 8 356มทะ 347 มหานทิ เทส 75

38มหาปกรณ 75 มานะ 9 309มหาปเทส 41 166 มานัส 356มหาปเทส 42 167 มายา 308, 347มหาพรหมา 351 มาร 5 234มหาภตู 4 38, 39, 146 มารดาบดิ า 265มหาภตู รูป 4 39, 359 มาลาคนธฺ ฯเปฯ วิภูสนฏานา เวรมณี 242มหายญั 5 187 มา อนุสสฺ เวน ฯเปฯ 317มหาราช 4 270 มคิ ปก ษี 339มหาวรรค 75 มจิ ฉตั ตะ 10 334มหาวบิ าก 8 356 มิจฉากัมมันตะ 334มหาวบิ ากจติ 8 356 มิจฉาญาณ 334มหาวิภงั ค 75/1ก มิจฉาทฏิ ฐิ 34, 308, 321, 334มหาสงฆ 254, 255 มจิ ฉาวณิชชา 5 235มกั ขะ 308, 347 มิจฉาวาจา 334มักนอ ย 294 มิจฉาวายามะ 334มัคคจิต 4 356 มจิ ฉาวมิ ุตติ 334มัคคญาณ 345 มิจฉาสติ 334มคั คสมังคี (ดู มรรคสมงั ค)ี มจิ ฉาสมาธิ 334มคั คงั คะ 293 มจิ ฉาสงั กัปปะ 334มัคคามคั คญาณทัสสนวิสทุ ธิ 285, 328 มจิ ฉาอาชีวะ 334มังสจักขุ 217 มิตรเทียม 4 168มงั สวณิชชา 235 มติ รแท 4 169มัจจุมาร 234 มิตรแนะประโยชน 169มจั ฉรยิ ะ 308, 330, 347, 355 มติ รปฏริ ูปก 4 168มัจฉริยะ 5 233, 257 มิตรมนี ้ําใจ 169มชชฺ ปานา จ สฺโม 353 มติ รรวมสุขรว มทกุ ข 169มชั ชวณิชชา 235 มติ รสหาย 265มชั ฌิมนิกาย 75 มติ รอุปการะ 169มชั ฌิมาปฏปิ ทา 15, 204, 293 มิทธะ 355มตั ตัญตุ า 287 มญุ จิตกุ มั ยตาญาณ 311มทั ทวะ 326 มุทิตา 161, 355มนั ทกุมาร 84 มทุ ตุ า 40มาฆบูชา 97 มุสาวาท 137, 308, 321มาตาปตอุ ปุ ฏฐาน 123 มุสาวาทํ ปหาย ฯเปฯ 320มาตาปตอุ ปุ ฏานํ 353 มุสาวาทา เวรมณี 238, 240, 319มาตาภรยิ า 282 มลู 2 340มาตุฆาต 245, 275 มลู เหตุแหง การบญั ญตั พิ ระวินัย 10 327มานะ 91, 288, 318, 329, 330, 347, 355 เมตตา 67, 161, 325

39เมตตากายกรรม 273 ราคคั คิ 130เมตตามโนกรรม 273เมตตาและกรณุ า 239 ราชธรรม 10 326เมตตาวจีกรรม 273เมถนุ สงั โยค 7 283 ราชพลี 232โมมูหจิต 2 356โมหะ 4, 68, 318, 355 ราชสังคหวัตถุ 4 187โมหจรติ 262โมหมูลจิต 2 356 รกุ ขมลู เสนาสนะ 159โมหัคคิ 130โมหาคติ 196 รุกขมลู ิกงั คะ 342ยกยอ ง 256, 257 รปู , รปู ะ 6, 40, 157, 216, 266, 277, 298ยถาภตู ญาณ 285 รปู 21, 28 38ยถาพลสนั โดษ 122 รปู 22 41ยถาลาภสนั โดษ 122ยถาสนั ถติกังคะ 342 รปู 28 38ยถาสารปุ ปสนั โดษ 122ยมก 75 รปู ขันธ 216ยส 296ยกั ษ 270 รูปฌาน 4 7, 8, 9, 10, 299, 313ยามาโยคะ 4 270, 351 รปู ตัณหา 264, 266โยคพหุโล 170โยนิ 4 269 รปู ธรรม 19, 345โยนโิ สมนสิการ 171โยนโิ สมนสกิ ารสมั ปทา รปู ธาตุ 348 2, 34, 179, 193รส, รสะ 280 รปู ประมาณ 158รสตัณหารสธาตุ 6, 40, 266, 277 รูปพรหม 16 351รสวิจาร 264, 266รสวติ ก 348 รปู ภพ 98รสสญั เจตนา 266รสสญั ญา 266 รูปราคะ 329รตตฺ ฺู 263, 266รตั นตรัย 266, 271 รปู รปู 18 359ราคจรติ 322 100, 116 รปู โลก 103 262 รปู วจิ าร 266 รูปวติ ก 266 รปู วิบาก 5 343 รปู สัญเจตนา 263, 266 รปู สญั ญา 266, 271 รปู ป ปมาณกิ า 158 รูปสฺส กมฺมฺ ตา 40 รปู สฺส ชรตา 40 รูปสฺส มทุ ตุ า 40 รูปสสฺ ลหตุ า 40 รปู สสฺ สนฺตติ 40 รูปสสฺ อนิจฺจตา 40 รูปสสฺ อปุ จย 40 รปู าวจร 8 รปู าวจรกริ ิยาจติ 5 356 รูปาวจรกุสลจติ 5 356 รปู าวจรจิต 15 356

40รปู าวจรภมู ิ 16 162, 351 โลกุตตรธรรม 20, 306รปู าวจรวิบากจติ 5 356 โลกตุ ตรธรรม 9, 46 310, 332รปู าวจรสมาธิ 99 โลกตุ ตรภมู ิ 162, 351รปู โน ธมฺมา 19 โลกตุ ตรวบิ ากจิต 4 (20)ฤทธ์ิ 2 42 โลภะ 356 โลภมูลจิต 8 4, 68, 318, 355, 359ลหตุ า 40 โลหติ กะลกั ขณรูป 4 40, 359 โลหิตกสิณ 356ลักขณูปนชิ ฌาน โลหติ ุปบาท 336ลักษณะตดั สินธรรมวินัย 7 7 315ลกั ษณะตัดสนิ ธรรมวนิ ัย 8 295 245, 275ลทั ธนิ อกพุทธศาสนา 3 294ลาภ 101 วจนกฺขโม 278ลาภมจั ฉรยิ ะ 296ลาภานุตตรยิ ะ 233, 257 วจสา ปริจติ า 231ลีลาการสอน 4 127ลูขประมาณ 172 วจกี รรม 66ลูขปั ปมาณกิ า 158เล่ือมใส 158 วจกี รรม 4 241, 319, 320, 321โลก (เท่ียง ไมเท่ยี ง ฯลฯ) 256โลก 31 337 วจีทวาร 77โลก 32 102โลก 33 103 วจีทุจริต 80โลกธรรม 8 104โลกธมฺเมหิ 296 วจีบรม 168โลกนาถ 353โลกบาล 4 304 วจีวิญญตั ิ 40โลกบาลธรรม 2 270โลกวิทู 23 วจสี งั ขาร 119, 120โลกัตถจรยิ า 303โลกาธิปไตย วจสี ุจริต 81โลกียญาณ 96โลกียธรรม 125 วณชิ ชา 5 235โลกียภูมิ 345โลกยี อภิญญา 20 วธกาภริยา 282โลกตุ ตรกศุ ลจติ 4 (20) 162, 351โลกุตตรจติ 8 (40) 63, 274 วรรณะ 227, 248โลกุตตรญาณ 356 356 วรรณะ 4 173 345 วรรณกสณิ 4 315 วโย ปฺายติ 117 วสวตั ดี 270 วัชชอี ปริหานิยธรรม 7 289 วัฏฏะ 3 104, 340 วัฑฒิ หรือ วัฒิ หรือ วฒุ ิ 5 249 วัฒนมุข 6 201 วัณณะ 227, 277 วัณณมจั ริยะ 233, 257 วตฺตา จ 278 วัตถกุ าม 5 วตั ถุประสงคการบญั ญัติวินัย 10 327 วตั ถสุ มั ปทา 190 วตั รปฏิบัติ 251

41วาจา, สภุ าสติ า จ ยา 353 วิญญาณาหาร 212วาจาเปยยะ 187 วติ ก 9, 355วาชเปยะ 187 วติ ก 6 266วาโยกสณิ 315 วติ กจริต 262วาโยธาตุ 39, 146, 147, 148 วิตกกฺ วิจารปต ิสุเขกคคฺ ตาสหิตํ 356วิกขมั ภนนโิ รธ 224 วิธปี ฏบิ ัติตอ ทุกข– สุข 4 174วิกขัมภนปหาน 224 วธิ ูโร 95วิกขายติ กะ 336 วนิ ยั 35, 75, 166, 167, 243, 294, 295วกิ ขิตตกะ 336 วนิ ัย 2 243วกิ ารรูป 3, 5 40, 359 วนิ ัยปฎ ก 75วกิ าลโภชนา เวรมณี 240 วินยานคุ ฺคหาย 327วคิ ตปจ จัย 350 วนิ โย จ สุสิกฺขโิ ต 353วจิ ฉทิ ทกะ 336 วินปิ าตกิ ะ 284, 312วิจาร 9, 355 วนิ ลี กะ 336 วบิ ตั ิ 41 175วจิ าร 6 266 วบิ ัติ 42 176วจิ ารปต สิ ุเขกคฺคตาสหติ ํ 356วิจกิ จิ ฉา 225, 288, 318, 329, 330, 355 วิปจิตัญู 153วิจิกจิ ฺฉาสมฺปยตุ ฺตํ 356 วิปปยตุ ตปจ จยั 350วิเจยยฺ เทติ 300 วปิ ริณามทกุ ขตา 79วชิ ชมานบัญญตั ิ 28 วิปริตมนสิการ 359วิชชา 3 106 วิปล ลาส, วิปลาส 4 178วิชชา 8 297 วิปล ลาสนิมติ 107วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน 303 วิปสสนา 7, 47, 346วชิ ชาภาคิยธรรม 36 วปิ สสนาญาณ 9 285, 297, 311, 345วิชชามาเนนวิชชมานบญั ญตั ิ 28 วิปส สนาญาณ 10 311วชิ ชามาเนนอวชิ ชมานบญั ญตั ิ 28 วิปสสนาธรุ ะ 26วญิ ญัติรูป 2 40, 359 วปิ สสนาภาวนา 36วิญญาณ 340, 356 วิปส สนายานกิ 61วิญญาณ 6 266, 268 วิปส สนูปกเิ ลส 10 285, 328วญิ ญาณกสิณ 315 วิปากจิต 36 (52) 356วญิ ญาณกจิ 14 343 วปิ ากจิตตฺ ํ 356วญิ ญาณขนั ธ 216, 356 วปิ ากปจ จัย 350วญิ ญาณฐติ ิ 7 284 วิปากวัฏฏ 105วญิ ญาณธาตุ 148, 149 วิปากสทั ธา 181วญิ ญาณปวตั ต,ิ วิญญาณปวัตติอาการ 343 วปิ ุพพกะ 336วญิ ญาณญั จายตนะ 207, 284, 298, 312 วิภวตัณหา 74, 204, 357วิฺ าณจฺ ายตนกุสลจติ ตฺ ํ 356 วภิ ังค (วินัย) 75วญิ ญาณญั จายตนภมู ิ 351 วิภังค (อภธิ รรม) 75

42วมิ ังสา 213 วิสุทธคิ ุณ 305วมิ านวตั ถุ 75/2วิมตุ ตานุตตริยะ 126 วิสทุ ธเิ ทพ 82วิมตุ ติ 227, 252วิมุตติ 2 43 วิหิงสาวติ ก 70วิมตุ ติ 5 224, 236วมิ ุตติกถา 314 วฑุ ฒิธรรม 4 179, 193วมิ ตุ ติขันธ 218วิมตุ ติญาณทัสสนกถา 314 วุฑฒิธรรม, วฑุ ฒธิ รรม 5 249วิมุตตญิ าณทัสสนขนั ธ 218วิมุตโฺ ต 322 วุฒมิ ขุ 201วโิ มกข 3 107วิโมกข 8 298 วุตตฺ ํ เหตํ ภควตา 302วริ ชํ 353วริ ตเี จตสกิ 3 355 เวทนา 340, 355วริ ตั ิ 3 108วิราคะ 294, 295 เวทนา 2 110วริ าคะ 5 224วิราคสฺ า 331 เวทนา 3 111วิริยะ 213, 228, 281, 325, 355วริ ิยนิสิต 342 เวทนา 5 112วิรยิ ปฏสิ งั ยตุ ต 342วริ ิยพละ 229 เวทนา 6 113, 266, 358วิริยสังวร 243วิรยิ ารมฺภ 324 เวทนา 108 358วิรยิ ารัมภะ 2, 237, 294, 301วิรยิ ารมั ภกถา 314 เวทนาขนั ธ 216วริ ิยนิ ทรยี  349วิรูปก ษ 270 เวทนาเจตสิก 5 359วริ ูฬหก 270วเิ วก 3 109 เวทนานปุ สสนา, เวทนานุปสสนาสตปิ ฏ ฐาน 182, 346วเิ วก 5 224วสิ มโลภสสฺ ปหานํ 339 เวทนานุปส สนาจตกุ กะ 346วิสวณชิ ชา 235วิสังโยค 294 เวทลลฺ ํ 302วสิ ยั รูป 4, 5 40, 359วิสทุ ธิ เวทพหโุ ล 269วสิ ทุ ธิ 7 92 285 เวปลุ ละ 2 44 เวปุลลธรรม 6 269 เวยยฺ ากรณํ 302 เวยยาวจั จมัย 89 เววณณฺ ิย 248 เวสสวณั 270 เวสารัชชะ 4 180 เวสารชั ชกรณธรรม 5 237 เวสารัชชญาณ 4 180 เวหัปผลา 351 โวฏฐพั พนะ, โวฏฐปนะ 343, 356 โวสสัคคะ 5 224 ศรัทธา 183, 237, 249, 259, 292, 301 ศรัทธา 4 181 ศรัทธาไทย 255, 256, 257 ศาสนา 2 51 ศษิ ย 265 ศลี (ดู สลี วา ดวย) 37, 124, 183, 194, 201, 204,

43227, 237, 249, 252, 253, 254, 259, 292, 324, สมติงสบารมี 325 สมถะ 346 325, 326, 346 สมถภาวนา 36 สมถยานิก 61, 63ศลี 5 238 สมนนั ตรปจจยั 350 สมบตั ิ 31 114ศีล 8 240 สมบตั ิ 32 115 สมบตั ิ 4 177ศีล 8 ท้งั อาชวี ะ 241 สมบตั ขิ องอุบาสก 5 259 สมบัตขิ องอบุ าสก 7 260ศลี 10 242 สมปญ ญา 183 สมมตกิ ถา 18ศลี วิบตั ิ 175 สมมตเิ ทพ 82 สมมตเิ ทสนา 18ศทู ร 173 สมมติสจั จะ 50 สมสัทธา 183สกทาคามิผล 165 สมสลี า 183 สมันตจักขุ 217สกทาคามผิ ลจิตตฺ ํ 356 สมาทปนา 172 สมาทานวริ ัติ 108สกทาคามิมรรค 164 สมาธิ (ดู พละ 5 ดวย) 37, 124, 204, 220, 258, 281, 346สกทาคามิมคฺคจิตตฺ ํ 356 สมาธิ 2 45 สมาธิ 31 46สกทาคามี 56, 57, 351 สมาธิ 32 47 สมาธกิ ถา 314สกทาคามี 3, 5 59 สมาธิขันธ 218 สมาธินทรยี  63, 349สขภี รยิ า 282 สมาธิภาวนา 4 184 สมานสุขทกุ ข 169สงเคราะห 273 สมานตั ตตา 186, 229 สมาบัติ 8 299สจิตตฺ ปริโยทปนํ 97 สมุจเฉทนิโรธ 224 สมุจเฉทปหาน 224สติ 3, 25, 228, 281, 301, 324, 355 สมุจเฉทวริ ตั ิ 108 สมตุ เตชนา 172สตินทรีย 349 สมุทยวาร 340 สมทุ ัย 204, 205สตปิ ฏฐาน 346สติปฏ ฐาน 4 182, 352สตสิ งั วร 243สติสมั ปชัญญะ 184, 239สทารสนั โดษ 239สนธิ 3 340สนิทานธัมมเทสนา 134สปทานจาริกังคะ 342สพรหมจารี 290สมจาคา 183สมชีวติ า 144สมชีวิธรรม 4 183สมณบริษัท 152สมณพราหมณ 265, 339สมณพราหมณปริปุจฉา 339สมณานฺจ ทสสฺ นํ 353สมโณ โน ครูติ 317สมดึงสบารมี 325

44สยัมภญู าณ 204 สงั คหพละ 229สรณะ 3 100, 116สรรพเมธะ สังคหวัตถุ 4 186สวนะ 187สรรี ะ 343 สังคหวัตถุของผคู รองแผนดิน 4 187สวนานตุ ตริยะ 337สวรรค 6 127 สงฺคโห, าตกานจฺ 353สวรรคสมบตั ิ 270สวฺ ากขฺ าโต ภควตา ธมโฺ ม 114 สงคฺ โห, ปุตตฺ ทารสสฺ 353สฺวาคตปาฏโิ มกโฺ ข 306สสงั ขารปรนิ พิ พายี 322 สงฆฺ คตา ทกขฺ ณิ า 12สหชาตปจ จัย 60สเหตกุ กามาวจรกริ ยิ าจติ 8 350 สงั ฆคารวตา 261สเหตุกกามาวจรกศุ ลจิต 8 356สเหตุกกามาวจรวิบากจติ 8 356 สงั ฆคุณ 9 307สฬายตนะ 356สอปุ าทิเสสนิพพาน 276, 340 สังฆทาน 12สอุปาทเิ สสบุคคล 27สักกะ 27 สังฆบดิ ร 290สกั กายทฏิ ฐิ 270สคั คกถา 329 สงั ฆปริณายก 290สังกิเลส 246สงั ขตธรรม 33 สงฺฆผาสตุ าย 327สงั ขตลกั ษณะ 3 21สงั ขตสงั ขาร 117 สงั ฆเภท 245, 275สงขฺ าเยกํ ฯเปฯ 185สังขาร 2 202 สงฆฺ สุฏุตาย 327สังขาร 31 48สงั ขาร 32 119 สังฆานสุ ติ 335สงั ขาร 4 120สังขารขันธ 185 สงั ฆาปเทส 166สังขารทกุ ขตา 216สงั ขารโลก 79 สังยุตตนกิ าย 75สังขารุเปกขาญาณ 102สงั เขป 4 311 สังโยชน 7 288สังคณี 340 สงั โยชน 101 164, 329สงั คหะ 2 75/3 สังโยชน 102สังคหะ 4 49 330 340 สังวร 5 243 สังวรปธาน 156 สงั วรวนิ ยั 5 243 สงั วรศลี 243 สังเวชนยี สถาน 4 188 สังสารจกั ร 105 สงั เสทชะ 171 สัจจะ 139, 197, 239, 325 สจั จะ 2 50 สจั จญาณ 73 สจั จานโุ ลมิกญาณ 311 สัจฉกิ าตพั พธรรม 206 สัจฉกิ ริ ยิ า 205, 206 สญั เจตนา 6 263, 266 สัญเจตนากาย 263 สัญญมะ 123 สัญญา 284, 312, 355 สญั ญา 6 266, 271

45สัญญา 10 331 สันติ 197สญั ญาขันธ 216 สนั ติบท 352สัญญาวปิ ลาส 178 สนั ตีรณะ, สันตีรณจติ 343, 356สญั ญาเวทยติ นิโรธ 119, 298, 313 สนั ตฏุ ฐกิ ถา 314สตั ตวณิชชา 235 สนตฺ ุฏี 324สัตตกั ขัตตงุ ปรมะ 58 สนตฺ ุฏ ี จ 353สัตตาวาส 9 312 สนั ตฏุ ฐี 2, 294, 353สัตถวณิชชา 235 สนฺตฏุ โ  322สตถฺ า เทวมนุสฺสานํ 303 สันทัสสนา 172สตั ถุคารวตา 261 สนทฺ ิฏโิ ก 306สตั ถสุ าสน 166, 294, 295 สัปปาฏหิ าริยธัมมเทสนา 134สตั ว 337 สปั ปายะ 7 286สัตวโลก 102 สปั ปายการี 250สัททะ 6, 40, 266, 277 สัปปายสมั ปชัญญะ 189สทั ทตณั หา 264, 266 สปั ปายมตั ตญั ู 250สทั ทธาตุ 348 สปปฺ รุ สิ กมฺมนโฺ ต 301สัททบัญญตั ิ 28 สปปฺ ุรสิ จินฺตี 301สัททวิจาร 266 สปั ปรุ ิสทาน 8 300สัททวิตก 266 สปปฺ รุ ิสทานํ เทติ 301สทั ทสญั เจตนา 263, 266 สปฺปุริสทฏิ ี 301สัททสัญญา 266, 271 สปั ปรุ ิสธรรม 71 287สทั ธรรม 1, 2, 34, 352 สปั ปรุ ิสธรรม 72 301สทั ธรรม 3 121 สปั ปุรสิ ธรรม 8 301สัทธรรม 7 301, 344 สปั ปรุ สิ ธรรม 10 320สัทธรรม 10 332 สปปฺ รุ ิสธมมฺ สมนนฺ าคโต 301สทฺธมฺมสมนนฺ าคโต 301 สัปปุริสบญั ญัติ 3 123สทั ธมั มสวนะ 179, 193 สปปฺ ุริสภตฺตี 301สทธฺ มฺมฏิตยิ า 327 สปปฺ ุริสมนฺตี 301สัทธา (ดู ศรทั ธา ดว ย) 228, 355 สปปฺ ุริสวาโจ 301สัทธาจริต 262 สปั ปรุ ิสสังเสวะ 179, 193สทั ธานุสารี 63 สัปปรุ ิสูปสสยะ 140สัทธาวิมตุ 63 สพั พจติ ตสาธารณเจตสิก 7 355สัทธาสัมปทา 191, 229 สพฺพปาปสสฺ อกรณํ 97สทั ธินทรยี  63, 349 สพฺพโลเก อนภิรตสฺา 331สันดุสิต 270 สพพฺ สงขฺ าเรสุ อนิฏสฺ า 331สนั โดษ (ดู สนั ตุฏฐี ดว ย) 65, 294 สัพพญั ตุ าญาณ 217สนั โดษ 3, 12 122 สพั พตั ถคามินีปฏทิ าญาณ 323สันตติ 40 สัพพากุสลสาธารณเจตสิก 4 354

46สพเฺ พ สงขฺ ารา ฯเปฯ 86 สมั มาสมั พุทธปฏิญญา 180สัมปชญั ญะ 2, 25, 182 สมฺมาสมฺพุทโฺ ธ 303สมั ปชญั ญะ 4 189 สมั มาอาชวี ะ 239, 293, 241, 333, 355สัมปฏจิ ฉนะ, สัมปฏิจฉันนะ, สัมปฏจิ ฉนั นจิต 343, สัสสตทฏิ ฐิ 13 348, 356 สัสสเมธ 187สัมปทา 4 190 สาตถกสัมปชัญญะ 189สมั ปทาของอุบาสก 260 สาเถยยะ 308, 347สัมปทาคณุ 4 190 สาธารณโภคี 273สัมปยุตตปจ จยั 350 สามเณร, สามเณรี 242สมั ปรายกิ ตั ถะ 3, 132 สามัคคีธรรม 289สัมปรายิกัตถสงั วตั ตนกิ ธรรม 4 191 สามัญญผล 4 165สมปฺ รายิกานํ อาสวานํ ปฏฆิ าตาย 327 สามญั ลักษณะ, สามญั ลกั ษณ 3 76, 86สัมปหังสนา 172 สามิสสขุ 53สัมปต ตวิรตั ิ 108 สามี 265สัมผปั ปลาปะ 321 สามีจปิ ฏปิ นโฺ น 307สมฺผปปฺ ลาป ปหาย ฯเปฯ 320 สามุกกังสิกาธรรมเทศนา 204สมฺผปฺปลาปา เวรมณี 319 สายนะ 343สัมผัส 6 268, 272 สาระ 4 218สมั พหลุ เถราปเทส, สมั พหลุ ัตเถราปเทส 166 สารณียธรรม 6 273สัมโพธะ 295 สารัมภะ 347สมั มสนญาณ 311, 345 สาราณียธรรม 6 273สมั มัตตะ 10 333 สาวก 142สมั มปั ปธาน 4 156, 352 สาสน 2 51สมั มากัมมันตะ 293, 241, 333, 354 สิกขฺ ติ 346สมั มาญาณ 355 สกิ ขา 3 124สมั มาทสั สนะ 222, 285 สิกขาคารวตา 261สมั มาทิฏฐิ 2, 34, 293, 319, 333 สกิ ขานุตตรยิ ะ 127สมฺมาทิฏ ิ 319 สกิ ขาบท 290สมฺมาทิฏ ิโก 320 สิกขาบท 5 238สมั มาปฏปิ ทา 51 สกิ ฺขาปทํ สมาทิยามิ 240สมั มาปาสะ 187 สิงคาลกมาณพ 200สัมมาวาจา 293, 241, 333, 355 สิปปฺ จฺ 353สัมมาวายามะ 293, 333 สีล (ดู ศีล ดว ย) 324สมั มาวิมุตติ 333 สลี กถา 246, 314สมั มาสติ 293, 333 สีลขนั ธ 218สมั มาสมาธิ 293, 333 สลี ภาวนา 37สมั มาสงั กปั ปะ 293, 333 สีลมยั 88, 89สัมมาสมั พุทธเจดีย 4 141 สลี วา (ดู ศีล ดว ย) 250, 322

47สลี วิสุทธิ 285 สุทธาวาส 5 244, 351สีลสังวร 243 สุทธิ 2 54สลี สมั ปทา 2, 191, 229, 280, 344 สปุ ฏิปนฺโน 307สลี สามัญญตา 273 สภุ กิณหา 284, 312, 351สลี พั พตปรามาส 329, 330 สุภรตา 294สีลพั พตปุ าทาน 214 สุภาสิตา จ ยา วาจา 353สีลานสุ ติ 335 สรุ า 200สสี ังคะ 342 สุราธตุ ตะ 199สหี นาท 180 สุราเมรยมชชฺ ปมาทฏ านา เวรมณี 238, 240สุกขวปิ สสก 61, 62 สสุ ุกาภยั 210สุข, สขุ ะ 9, 174, 220, 227, 296, 328 สหุ ทมติ ร 4 169สุข 21 52สขุ 22 53 สูตร 166 เสขะ 1, 2, 55สขุ ของคฤหัสถ 4 192 เสขปฏปิ ทา 344สขุ เวทนา (ดู เวทนา ดว ย) 111 เสตฆุ าตวิรตั ิ 108สุขสหคตํ 356 เสนาสนะ 159สขุ า ปฏิปทา ขปิ ฺปาภิ ฺ า 154 เสนาสนปฏิสังยุตต 342สุขา ปฏปิ ทา ทนธฺ าภิฺ า 154 เสนาสนสัปปายะ 286สขุ นิ ทรยี  112, 349 เสนาสนสันโดษ 203สเุ ขกคฺคตาสหิตํ 356 เสนาสนะปา 290สคุ ติ 351 เสรีธรรม 352สคุ โต 303 เสวนา, ปณฑฺ ติ านฺจ 353สุจริต 81 เสยี ง (ดู สทั ทะ)สจุ ึ เทติ 300 โสก 1, 340สญุ ญตะ 7 โสไจย 10 320สญุ ญตวโิ มกข 107 โสดาบนั 56, 57, 275, 351สุญญตสมาธิ 47 โสดาบัน 3 58สตุ ะ 201, 249, 302 โสดาปตตผิ ล 165สตุ ํ ปริโยทเปติ 221 โสดาปต ติมรรค 164สุตตฺ ํ 302 โสตะ 40, 266, 276สุตตนบิ าต 75 โสตทวาร 78สุตตวภิ ังค 75 โสตธาตุ 348สตุ ตนั ตนัย 330 โสตวญิ ญาณ 266, 268, 356สตุ ตนั ตปฎก 75 โสตวญิ ญาณธาตุ 348สุตมยปญญา 93 โสตสมั ผัส 266, 272สุทสั สา 351 โสตสมั ผสั สชาเวทนา 113, 266สุทัสสี 351 โสตาปตฺติผลจิตตฺ ํ 356สุทธวิปสสนายานิก 61 โสตาปตตฺ ิมคคฺ จิตตฺ ํ 356

48โสตาปตตยิ ังคะ 41 193 อกศุ ลจติ ตปุ บาท 12 85โสตาปต ติยงั คะ 42 194โสตาปตติยังคะ 43 195 อกุศลเจตสกิ 14 355โสตนิ ทรยี  349โสภณจติ 59 (92) 356 อกศุ ลธรรม 85โสภณเจตสิก 25 355โสภณสาธารณเจตสกิ 19 355 อกศุ ลมูล 3 4, 68โสมนสั 112, 358โสมนสฺสสหคตํ 356 อกุศลวติ ก 3 70โสมนสั สินทรีย 349โสรัจจะ อกุศลวบิ ากจิต 7 356โสวจสสฺ ตา 24โสสานกิ งั คะ 324, 353 อคติ 4 196โสฬสญาณโสฬสวตั ถุกอานาปานสติ 342 องค 12 (ปฏิจจสมุปบาท) 340 345 346 องคคุณของกัลยาณมิตร 7 278 องคประกอบของการศึกษา 34 องคประกอบภายนอก 1 องคประกอบภายใน 2 องคมรรค 293 องคแหง ธรรมกถกึ 5 219 องคแหงภกิ ษุใหม 5 222 อดเิ รกลาภ 159หตวิกขิตตกะ 336 อดตี 340หทยั 356 อดตี เหตุ 340หทยั รูป 1 40, 359 อตปั ปา 351หทยั วัตถุ 40 อติชาตบุตร 90หลักการแบง ทรัพย 4 สวน 163 อตถิ ิพลี 232หลักกาํ หนดธรรมวนิ ยั 7 295 อตมิ านะ 347หลกั กาํ หนดธรรมวนิ ยั 8 294 อตีตงั สญาณ 72หสิตุปฺปาทจติ ฺตํ 356 อทินนาทาน 137, 321หริ ิ 23, 292, 301, 354 อทินฺนาทานํ ปหาย ฯเปฯ 320เหฏฐิมทศิ 265 อทินฺนาทานา เวรมณี 238, 240, 319เหตุปจ จัย 350 อทกุ ขมสุขเวทนา (ดู เวทนา ดว ย) 111 อโทสะ 4, 67, 355อกนิฏฐา 351 อธนานํ ธนานปุ ฺปทานํ 339อกรณยี วณชิ ชา 5 235อกปั ปย ะ 167 อธมมฺ การปฏกิ เฺ ขโป 339อกาลโิ ก 306อกิริยทิฏฐิ 14 อธมฺมราคสสฺ ปหานํ 339อกริ ิยา 101อกศุ ล 1, 2, 317 อธรรมการนิเสธนา 339อกศุ ลกรรมอกศุ ลกรรมบถ 10 4 อธิกรณสมปุ ฺปาทวปู สมกสุ โล 322อกุศลจติ 12 321 356 อธิคมสัทธรรม 121 อธจิ ติ ตสิกขา 124 อธิปตปิ จ จัย 350 อธิปไตย 3 125 อธปิ จ จสลี วนั ตสถาปนา (ดู อาธปิ จ จสลี วนั ตสถาปนา)

49อธิปญญาสิกขา 124 อนิฏฐารมณ 296 อนิมติ ตะ 7อธโิ มกข 328, 355 อนิมติ ตวโิ มกข อนมิ ติ ตสมาธิ 107อธิศีล 124, 255, 260 อนกุ ัมปกะ 47 อนุชาตบุตร 169อธษิ ฐาน 325 อนุตตฺ รํ ปุฺ กฺเขตตฺ ํ โลกสสฺ 90 อนุตตริยะ 3 307อธิษฐาน 4 197 อนุตตริยะ 6 126 อนุตตฺ โร ปรุ สิ ทมมฺ สารถิ 127อธษิ ฐานธรรม 4 197 อนทุ ยตํ ปฏจิ จฺ 303 อนบุ พุ พนิโรธ 219อธสิ ลี สิกขา 124 อนบุ พุ พวิหาร 9 313 อนปุ ปยภาณี 313อนณสุข 192 อนปุ าทนิ นกรูป 168 อนุปาทินนกสังขาร 41อนภชิ ฌฺ า 319 อนุปาทินนธรรม 48 อนุปาทิเสสนิพพาน 22อนภิชฺฌาลุ 320 อนปุ าทิเสสบคุ คล 27 อนุปพุ ฺพิกถํ 27อนรยิ ปริเยสนา 33 อนปุ พุ พิกถา 5 219 อนยุ นต 246อนวัชชพละ 229 อนุรกั ขนาปธาน 339 อนโุ ลมญาณ 156อนวัชชสขุ 192 อนุโลมเทศนา 311, 345 อนุโลมปฏจิ จสมปุ บาท 340อนวชฺชานิ กมฺมานิ 353 อนุโลมปฏปิ ทา 340 อนสุ ติ 10 51อนญั ญตัญญสั สามีตนิ ทรยี  349 อนสุ สตานุตตริยะ 335, 354 อนสุ ฺสเวน 127อนตั ตตา 76, 107 อนสุ ยั 7 317 อนสุ าวรีย 288อนตั ตลักษณะ 47 อนุสาสนีปาฏหิ ารยิ  289 อเนสนา 94อนตตฺ สฺ า 331 อโนตตัปปะ 203 อบาย 4 318, 355อนตตฺ า 86 อบายภมู ิ 4 196, 351 อบายมขุ 4 196, 351อนัตตานปุ สสนา 107 199อนนั ตรปจจัย 350อนันตรกิ กรรม, อนันตรยิ กรรม 5 245, 275อนากุลา จ กมมฺ นตฺ า 353อนาคต 340อนาคตผล 340อนาคตงั สญาณ 72อนาคามิผล 165อนาคามผิ ลจิตตฺ ํ 356อนาคามิมคคฺ จิตตฺ ํ 356อนาคามิมรรค 164อนาคามี 56, 57อนาคามี 5 60อนกิ ขฺ ิตฺตธุโร 269อนจิ จตา 40, 76, 107อนจิ จลกั ษณะ 47อนิจฺจสฺ า 331อนิจจฺ า 86อนจิ จานปุ สสนา 107

50อบายมุข 6 200, 201 อภสิ งั ขรณกสังขาร 185อปจยะ 294 อภิสงั ขาร 3 129อปจายนมยั 89 อภิสงั ขารมาร 234อปทาน 75 อภิสัมพทุ ธสถาน 188อปรนฺเต อฺ าณํ 209 อมตบท 352อปราปรยิ เวทนียกรรม 338 อมัจจพละ 230อปริยาปน นภูมิ 162 อโมหะ 4, 67, 355อปรหิ านิยธรรม 71 289 อยส 296อปริหานิยธรรม 72 290 อโยนิโสมนสิการอปริหานิยธรรม 73 291 อรรถ 31 34อปณณกปฏปิ ทา 3 อรรถ 32 132อปสเสนะ, อปส เสนธรรม 4 128, 344 อรรถบัญญัติ 133อปายโกศล 202 อรหํอปายสหาย 71 อรหัตตผล 28อปญุ ญาภสิ งั ขาร 168 อรหตฺตผลจติ ตฺ ํ 303อปปฺ ฏวิ าณิตา ปธานสมฺ ึ 129 อรหตั ตผลวมิ ุตติ 63, 165, 227อพยาบาทวิตก 65 อรหตั ตมรรค 356อพยาบาทสังกัปป 69 อรหตตฺ มคฺคจิตตฺ ํ 333อพยฺ าปนนฺ จิตฺโต 293 อรหันต 164อพฺยาปาท 320 อรหนั ต 2 356อพฺรหฺมจริยา เวรมณี 319 อรหนั ต 4, 5, 60 37, 56, 57, 289อภพั พฐาน 240 อรหันตฆาต 61อภิชาตบุตร 275 อรหันตสมั มาสมั พทุ ธเจา 62อภิชฌา 90 อริยะ 245, 275อภชิ ฌาวสิ มโลภะ 321 อริยกันตศลี 287อภิชจั จพลงั 347 อริยทรพั ย 7 351อภิญญา 230 อรยิ ธรรม 10 194อภิญญา 6 295 อริยบคุ คล 2 292อภญิ ญาเทสิตธรรม 37 274 อริยบคุ คล 4 320อภิญญายธมั มเทสนา 352 อริยบคุ คล 7 55อภฐิ าน 6 134 อรยิ บคุ คล 8 56อภิณหปจ จเวกขณ 275 อริยปริเยสนา 63อภิณหปจ จเวกขณ 10 247 อริยมรรค 10 57, 345อภิณหฺ ํ เทติ 248 อริยวงศ 4 33อภิธรรม 300 อริยวฑั ฒิ 5 320อภิธรรมนัย 75 อรยิ สจั จ 203อภิธรรมปฎก 330 อริยสจั จ 4 249อภิสงั ขตสังขาร 75 อริยสจจฺ าน ทสฺสนํ 285 185 204, 208, 209, 246 353

51อริยสาวกกบั โลกธรรม 296 อสงั ขารปรนิ ิพพายี 60 อสงขฺ าริกํ 356อริยอฏั ฐงั คกิ มรรค 1, 2, 204, 241, 293 อสังสคั คกถา 314 อสัญญีภพ, อสัญญสี ตั ว 312, 351อรูป 4 207, 354 อสนตฺ ุฏ ิตา กุสเลสุ ธมเฺ มสุ 65 อสนตฺ ุฏพิ หโุ ล 269อรปู ฌาน 4 7, 10, 63, 207, 299, 313 อสมั ภนิ นงั คะ 342 อสัมโมหสัมปชัญญะ 189อรปู ธรรม 19 อสิโลกภยั 229 อสภุ ะ 10 336, 354อรปู ภพ 98 อสภุ สฺา 331 อสุรกาย 198, 351อรูปราคะ 329 อเสขะ 55 อเสขธรรม 10 333อรปู โลก 104 อเสวนา จ พาลานํ 353 อโสกํ 353อรปู วิบาก 4 343 อหงิ สา 123 อหิริกะ 318, 355อรปู าวจร 8 อเหตุกกริ ยิ าจิต 3 356 อเหตกุ จติ 18 356อรูปาวจรกริ ิยาจิต 4 356 อเหตกุ ทิฏฐิ 14 อเหตุวาท 101อรูปาวจรกศุ ลจิต 4 356 อเหตุอปจจยั วาท 101 อโหสกิ รรม 338อรูปาวจรจิต 12 356 อกั โกธะ 326 อักขธุตตะ 199อรูปาวจรภมู ิ 4 162, 351 อัคคิ 31 130 อคั คิ 32 131อรูปาวจรวิบากจิต 4 356 อัคคปิ ารจิ รยิ า 3 131 อังคตุ ตรนิกาย 75อรปู น า ธมฺมา 19 อชั ฌตั ติกายตนะ 6 246, 276 อชฺ ลิกรณีโย 307อลาภ 296 อัญญถตั ตะ 117, 118 อัญญทัตถหุ ร 168อลีนตา 201 อัญญมญั ญปจจัย 350 อัญญสมานาเจตสิก 13 354อโลภะ 4, 67, 355 อัญญสัตถารทุ เทส, อญั ญสัตถุทเทส 275 อญั ญาตาวินทรีย 349อวชาตบุตร 90อวคิ ตปจจัย 350อวชิ ชมานบญั ญัติ 28อวิชชา 206, 288, 329, 330, 340อวิชชา 4 208อวชิ ชา 8 209อวชิ ชมาเนนวชิ ชมานบัญญตั ิ 28อวิชชามาเนนอวชิ ชมานบญั ญัติ 28อวิชชาโยคะ 170อวชิ ชาสวะ 135, 136อวิชโชฆะ 215อวิโรธนะ 326อวิหา 351อวหิ ิงสา 326อวิหงิ สาวติ ก 69อวิหิงสาสังกัปป 293อสงั ขตธรรม 21อสังขตธาตุ 1 310อสังขตลกั ษณะ 3 118

52อญั ญนิ ทรีย 349 อปปฺ ฏวิ าณติ า ปธานสมฺ ึ 65อัฏฐศลี 240 อปั ปฏวิ ิภตั ตโภคี 273อฏั ฐงั คกิ มรรค 293 อัปปณหิ ติ ะ 7อัฏฐิกะ 336 อัปปณหิ ิตวิโมกข 107อัณฑชะ 171 อัปปณิหิตสมาธิ 47อัตตกลิ มถานุโยค 15, 293 อัปปนาภาวนา 99อตั ตนาถะ 304 อัปปนาสมาธิ 45, 46อัตตวาทุปาทาน 214 อปั ปมัญญา 4 161, 227, 354อัตตสัมปทา 2, 280 อัปปมัญญาเจตสกิ 2 355อัตตสมั มาปณธิ ิ 140 อัปปมาณสภุ า 351อตฺตสมมฺ าปณิธิ 353 อัปปาณาภา 351อตั ตหิตสมบตั ิ 304 อปั ปมาทะ 2, 3, 239อตั ตญั ุตา 287 อปั ปมาทคารวตา 261อตั ตตั ถะ 133 อปั ปมาทสัมปทา 2, 280อัตตา 337 อปปฺ มาโท จ ธมเฺ มสุ 353อัตตาธปิ ไตย 125 อปฺปสนฺนานํ ปสาทาย 327อตตฺ านฺจ ปรจฺ อนปุ หจฺจ 219 อัปปจ ฉกถา 314อตั ตาภนิ เิ วส 107 อปั ปจฉตา 2, 294อัตถะ 144, 191 อพภฺ ตู ธมมฺ ํ 302อัตถะ 2 64 อัพโภกาสิกังคะ 342อัตถะ 31 132อตั ถะ 32 133 อัพยากตธรรม 85 อยั ยาภริยา 282อตั ถจริยา 186, 229 อสั สเมธะ 187อัตถทวาร 201 อสสฺ าส 346อัตถปฏิสมั ภทิ า 155 อสฺสุตํ สณุ าติ 221อตั ถประมขุ 201 อากัปกิรยิ า 251อตั ถักขายี 169 อาการ 12 73อัตถญั ตุ า 287 อาการ 20 340อัตถิปจ จัย 350 อาการ 32 147อตั ถิสุข 192 อาการทพี่ ระพุทธเจาทรงสง่ั สอน 3 134อทั ธา 3 340 อาการปรวิ ิตกฺเกน 317อนั ตคาหกิ ทฏิ ฐิ 10 337 อากาสกสิณ 315อันตราปรนิ พิ พายี 60 อากาสธาตุ 40, 148, 149อันตรายของภิกษุสามเณรผบู วชใหม 4 210 อากาสานญั จายตนะ 207, 284, 298, 312อันตรายิกธรรมวาทะ 180 อากาสานฺจายตนกสุ ลจิตฺตํ 356อันตา 2 15 อากาสานญั จายตนภูมิ 351อนั โตชน 339 อากิญจญั ญายตนะ 207, 284, 298, 312อนั วัตถปฏิปทา 51 อากิจฺ ฺ ายตนกสุ ลจติ ฺตํ 356

53อากิญจัญญายตนภูมิ 351 อายตนะ 12 341อาจารย 265 อายตนะภายนอก 6 266, 277, 341อาจารย 4, 5 211 อายตนะภายใน 6 266, 278, 341อาจารวิบัติ 175 อายมขุ 201อาจณิ ณกรรม 338 อายุ 227อาชชวะ 326 อายุวัฒนธรรม 5 250อาชีวะ 241 อายสุ สธรรม 5 250อาชวี ปาริสทุ ธิ 243 อารตี วริ ตี ปาปา 353อาชวี ปาริสทุ ธศิ ีล 160 อารมณ 6 277อาชีววิบัติ 175 อารมณ 150 359อาชวี ฏั ฐมกศีล 241 อารยธรรม 10 320อาชวี ิตภัย 229 อารยวัฒิ 5 249อาณาจกั ร 287 อารยอษั ฎางคกิ มรรค (ดู อริยอัฏฐังคิกมรรคอาตมนั 337 ดว ย) 1, 2อาทิกัมมิกะ 75/1ก อารักขสมั ปทา 144อาทิพรหมจรรย 241 อารักขา 289อาทีนวญาณ, อาทีนวานปุ ส สนาญาณ 311 อารญั ญิกังคะ 342อาทนี วสฺา 331 อารมั มณปจจยั 350อาเทศนาปาฏหิ ารยิ  94 อารัมมณปู นิชฌาน 7อาธิปจจะ 227 อารุปป 4 8, 207อาธปิ จจสลี วนั ตสถาปนา 138 อาโรคยะ 201อานาปานสติ 183, 331, 335 อาโลกกสณิ 315อานาปานสติ 16 ฐาน 346 อาโลกพหโุ ล 269อาเนญชาภสิ งั ขาร 129 อาวฏภัย 210อาโปกสณิ 315 อาวัชชนะ 343อาโปธาตุ 39, 146, 147, 148 อาวาสมัจฉริยะ 233, 257อาพาธกิ ะ 83, 84, 150 อาวาสสัปปายะ 286อาภัสสรา (ดู สัตตาวาส 9 ดวย) 284, 351 อาวาสโสภณ 253 อาวาสกิ ธรรม 51 251อามิสทาน 11 อาวาสกิ ธรรม 52 252 อาวาสกิ ธรรม 53 253อามิสบชู า 30 อาวาสิกธรรม 54 254 อาวาสกิ ธรรม 55 255อามสิ ปฏิสนั ถาร 31 อาวาสกิ ธรรม 56 256 อาวาสกิ ธรรม 57 257อามสิ ปริเยสนา 33อามิสไพบลู ย 44อามิสฤทธิ์ 42อามสิ เวปุลละ 44อามสิ สงเคราะห 49 อาสยานสุ ยญาณ 217อามิสสังคหะ 49 อาสวะ 3 135อายโกศล 71 อาสวะ 4 136, 170, 215

54อาสวกั ขยะ 184 อจุ จากุลีนตา 227อาสวักขยญาณ 106, 274, 297, 323 อจุ ฺจาสยนมหาสยนา เวรมณี 240อาสนั นกรรม 338 อุจเฉททฏิ ฐิ 13อาเสวนปจ จยั 350 อุชปุ ฏปิ นโฺ น 307อาหาร 4 212 อฏุ ฐานสมั ปทา 144อาหารปจ จัย 350 อดุ มมงคล 353อาหารรูป 1 40, 359 อุตตรทศิ 265อาหาเรปฏกิ ูลสญั ญา 354 อตุ ตฺ ริจฺ ปตาเรติ 269อาหเุ นยฺโย 307 อุตนุ ยิ าม 223อาหไุ นยคั คิ 131 อตุ สุ ปั ปายะ 286อฏิ ฐารมณ 296 อุทเทสิกเจดีย 141อิตถตั ตะ 40 อุทธงั โสโตอกนฏิ ฐคามี 60อิตถนิ ทรีย 40, 349 อุทธจั จะ 318, 329, 355อติ ถีธุตตะ 199 อทุ ธัจจกกุ กจุ จะ 225อิติกริ าย 317 อทุ ธฺ จจฺ สมปฺ ยตุ ตฺ ํ 356อติ ปิ  โส ภควา 303 อทุ ธมั ภาคยิ สังโยชน 5 329อิติวุตตกะ 75, 302 อทุ ธุมาตกะ 336อิทธบิ าท 4 213, 227, 352 อุทยัพพยญาณ = อุทยัพพยานปุ สสนาญาณอทิ ธิปาฏหิ ารยิ  94 อทุ ยัพพยานปุ สสนาญาณ 92, 311อิทธิวิธา, อทิ ธิวธิ ิ 274, 297 อทุ าน 75อทิ ปั ปจจยตา 340 อทุ านํ 302อิทปปฺ จฺจยตาปฏิจฺจสมปุ ฺปนฺเนสุ ธมเฺ มสุ อเุ ทศาจารย 211อฺาณํ 209 อุบาสกธรรม 5 259อนิ ทร 270 อุบาสกธรรม 7 260อนิ ทรยี  5 228, 258, 352 อุบาสกบรษิ ัท 151อนิ ทรยี  6 276 อุบาสกปทมุ 259อินทรีย 22 349 อุบาสกรตั น 259อนิ ทริยปโรปรยิ ตั ตญาณ 217, 323 อบุ าสกิ าบริษทั 151อนิ ทรียปจจัย 350 อเุ บกขา 9, 161, 281, 325, 328, 358อินทรียสงั วร 128, 222, 243 อุเบกขาเวทนา 111, 112อนิ ทรยี สังวรศีล 160 อเุ บกขาสนั ตรี ณะ 2 343อริ ยิ าบถ 182 อโุ บสถ, อโุ บสถศลี 240อิริยาปถสัปปายะ 286 อปุ การกะ 169อิศวรกรณวาท 101 อปุ กเิ ลส 16 347อสิ สรนิมมานเหตวุ าท 101 อุปฆาตกกรรม 338อสิ สา 308, 330, 347, 355 อุปจยะ 40, 359อคุ คหนมิ ติ 87 อุปจารภาวนา 99อุคฆฏิตญั ู 153 อุปจารสมาธิ 45, 46

55อุปธิวบิ ัติ 176 อปุ ายาส 1, 340อุปธวิ เิ วก 109อุปธสิ มบัติ 177 อเุ ปกขฺ าสหคตํ 356อปุ นาหะ 347, 359อุปนิสยั 4 202 อเุ ปกขนิ ทรีย 349อปุ นสิ สยปจ จัย 350อุปบารมี 325 อุเปกฺเขกคฺคตาสหิตํ 356อุปปชชเวทนยี กรรม 338อปุ ปตตเิ ทพ 82 อพุ เพคาปต ิ, อพุ เพงคาปติ 226อปุ ปต ติภพ 340อปุ ฺปาโท ปฺ ายติ 117 อภุ โตภาควิมุต 61, 62, 63อปุ ปฬกกรรม 338อุปรมิ ทศิ 265 อุภยัตถะ 133อปุ สมะ 197, 295อปุ สมานสุ ติ 335 อูมิภัย 210อุปสมั ปทาจารย 211อปุ หัจจปรนิ ิพพายี 60 เอกเถราปเทส, เอกตั เถราปเทส 166อุปญญาตธรรม 2 65อุปฏฐาน 328 เอกพีชี 58อุปตถมั ภกกรรม 338อปุ าทาน 340 เอกคั คตา 9, 354อปุ าทาน 4 214อปุ าทานขันธ 5 206 เอกันตนพิ พทิ า 295อปุ าทารปู , อุปาทายรูป 24 38, 40อุปาทนิ นกรปู 41 เอกาสนกิ งั คะ 342อุปาทินนกสังขาร 48อุปาทินนธรรม 22 เอกภี าพ 273อุปายโกศล 71 เอเกน โภเค ภุ เฺ ชยยฺ 163 เอหปิ สสฺ ิโก 306 โอกกนั ตกิ าปต ิ 226 โอกาสโลก 102 โอฆะ 4 215 โอตตัปปะ 23, 292, 301, 355 โอทาตกสณิ 315 โอปนยโิ ก 306 โอปปาติกะ 171 โอภาส 328 โอรัมภาคยิ สงั โยชน 5 329 โอวาทของพระพทุ ธเจา 3 97 โอวาทปาฏิโมกข (โอวาทปาติโมกข) 97 โอวาทาจารย 211

เอกกะ — หมวด 1 Groups of One (including related groups)[1] กัลยาณมิตตตา (ความมกี ลั ยาณมติ ร คอื มผี แู นะนาํ สงั่ สอน ทป่ี รกึ ษา เพอื่ นทคี่ บหา และบุคคลผูแวดลอมท่ีดี, ความรูจักเลือกเสวนาบุคคล หรือเขารวมหมูกับทานผทู รงคุณทรง ปญ ญามคี วามสามารถ ซงึ่ จะชว ยแวดลอ ม สนับสนุน ชักจงู ช้ชี องทาง เปนแบบอยาง ตลอดจน เปนเครอื่ งอุดหนนุ เกื้อกูลแกกัน ใหด ําเนนิ กาวหนา ไปดวยดี ในการศึกษาอบรม การครองชีวติ การประกอบกจิ การ และธรรมปฏิบตั ,ิ สิง่ แวดลอ มทางสงั คมทดี่ ี — Kalyànฺamittatà: having good friends; good company; friendship with the lovely; favourable social environment) ขอนเ้ี ปน องคป ระกอบภายนอก (external factor; environmental factor) “ภิกษุท้ังหลาย เมื่อดวงอาทิตยอุทัยอยู ยอมมีแสงอรุณข้ึนมากอน เปน บุพนิมิต ฉันใด ความมีกัลยาณมิตรกเ็ ปน ตัวนํา เปน บุพนมิ ติ แหง การเกิดข้ึนของอารยอษั ฎางคิกมรรค แกภกิ ษุ ฉันน้ัน” “ความมีกัลยาณมติ ร เทากับเปนพรหมจรรย (การครองชีวิตประเสริฐ) ท้งั หมดทีเดยี ว เพราะวา ผมู ีกลั ยาณมิตรพงึ หวงั ส่ิงนไี้ ด คอื จักเจรญิ จกั ทําใหมากซ่ึงอารยอัษฎางคกิ มรรค” “อาศยั เราผเู ปน กลั ยาณมิตร เหลา สัตวผูมีชาตเิ ปนธรรมดา ก็พน จากชาติ ผูมีชราเปนธรรมดา ก็พนจากชรา ผมู มี รณะเปนธรรมดา ก็พน จากมรณะ ผมู โี สกะ ปริเทวะ ทุกข โทมนสั และอุปายาสเปนธรรมดา ก็พนจากโสกะ ปริเทวะ ทกุ ข โทมนัส และอปุ ายาส” “เราไมเล็งเห็นองคประกอบภายนอกอ่ืนแมสักอยางเดียว ที่มีประโยชนมากสําหรับภิกษุผูเปนเสขะเหมอื นความมีกัลยาณมติ ร, ภกิ ษุผูมีกัลยาณมติ ร ยอมกาํ จัดอกุศลได และยอมยงั กุศลใหเกดิ ข้ึน” “ความมีกลั ยาณมติ ร ยอมเปน ไปเพ่ือประโยชนย ่งิ ใหญ, เพ่อื ความดํารงม่ัน ไมเ ส่อื มสูญ ไมอนั ตรธานแหงสทั ธรรม” ฯลฯS.V.2–30; A.I.14–18; It.10. ส.ํ ม. 19/5–129/2–36; องฺ.เอก. 20/72–128/16–25; ขุ.อติ ิ. 25/195/237.[2] โยนิโสมนสิการ (การใชความคิดถกู วิธี คอื การทําในใจโดยแยบคาย มองสิ่งทง้ัหลายดวยความคิดพจิ ารณาสบื คน ถงึ ตนเคา สาวหาเหตผุ ลจนตลอดสาย แยกแยะออกพิเคราะหดูดวยปญ ญาทค่ี ิดเปน ระเบียบและโดยอบุ ายวธิ ี ใหเ ห็นสิ่งนนั้ ๆ หรอื ปญหาน้นั ๆ ตามสภาวะและตามความสัมพันธแหง เหตปุ จจัย — Yonisomanasikàra: reasoned attention; systematicattention; analytical thinking; critical reflection; thinking in terms of specificconditionality; thinking by way of causal relations or by way of problem-solving)ขอนีเ้ ปน องคประกอบภายใน (internal factor; personal factor) และเปน ฝา ยปญญา (afactor belonging to the category of insight or wisdom)“ภกิ ษทุ ง้ั หลาย เมื่อดวงอาทติ ยอ ุทัยอยู ยอมมีแสงอรณุ ขนึ้ มากอน เปน บุพนมิ ิต ฉันใด ความถึงพรอม

[3] 58 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตรดว ยโยนิโสมนสิการ กเ็ ปน ตวั นํา เปน บพุ นมิ ติ แหง การเกดิ ข้ึนของอารยอัษฎางคกิ มรรค แกภ กิ ษุ ฉันนั้น” “เราไมเ ลง็ เห็นองคป ระกอบภายในอ่นื แมส ักอยา งเดียว ที่มีประโยชนม าก สําหรับภกิ ษผุ เู ปนเสขะ เหมอื นโยนิโสมนสกิ าร ภิกษุผูมโี ยนิโสมนสิการ ยอ มกําจดั อกศุ ลได และยอมยงั กุศลใหเกดิ ขน้ึ ” “เราไมเ ลง็ เหน็ ธรรมอื่น แมสักขอ หน่ึง ซึง่ เปน เหตใุ หสมั มาทฏิ ฐิท่ียงั ไมเ กิด ก็เกดิ ขึ้น ทเี่ กิดขน้ึ แลว ก็เจรญิ ยงิ่ ขึ้น เหมอื นโยนิโสมนสกิ ารเลย” “เราไมเ ล็งเห็นธรรมอน่ื แมส กั ขอ หนง่ึ ซ่ึงจะเปนเหตุใหความสงสยั ทย่ี งั ไมเกิด กไ็ มเ กิดข้ึน ทีเ่ กิดขน้ึ แลวก็ถูกขจัดเสยี ได เหมือนโยนิโสมนสิการเลย” “โยนิโสมนสิการ ยอมเปน ไปเพอื่ ประโยชนยิง่ ใหญ, เพื่อความดํารงมัน่ ไมเส่อื มสูญ ไมอ นั ตรธานแหงสัทธรรม” ฯลฯ ธรรมขอ อื่น ที่ไดรบั ยกยอ งคลายกับโยนโิ สมนสิการนี้ ในบางแง ไดแ ก อปั ปมาทะ (ความไมประมาท — earnestness; diligence), วิรยิ ารัมภะ (การปรารภความเพยี ร, ทําความเพียรมุงม่ัน — instigation of energy; energetic effort), อัปปจ ฉตา (ความมกั นอ ย, ไมเหน็ แกไ ด— fewness of wishes; paucity of selfish desire), สนั ตุฏฐี (ความสันโดษ —contentment), สัมปชัญญะ (ความรตู วั , สาํ นกึ ตระหนักชดั ดวยปญญา — awareness; fullcomprehension); กุสลธัมมานุโยค (การหม่นั ประกอบกุศลธรรม — pursuit of wholesomestates; devotion to good things); สีลสัมปทา (ความถึงพรอมแหง ศีล — possession ofvirtue); ฉนั ทสัมปทา (ความถึงพรอมแหงฉันทะ — possession of will), อตั ตสมั ปทา (ความถึงพรอมแหงตนคอื มจี ติ ใจซงึ่ พัฒนาเต็มที่แลว — self–realization, self-actualization),ทฏิ ฐิสัมปทา (ความถงึ พรอมแหงทิฏฐิ — possession of right view), และ อปั ปมาทสมั ปทา(ความถึงพรอ มแหงอัปปมาทะ — possession of earnestness)S.V.2–30; A.I.11–31; It.9. ส.ํ ม. 19/5–129/2–36; องฺ.เอก.20/60–186/13–41; ข.ุ อิต.ิ 25/194/236.[3] อัปปมาทะ (ความไมป ระมาท คือ ความเปน อยอู ยางไมขาดสติ หรือความเพยี รทม่ี สี ติเปนเครื่องเรงเราและควบคุม ไดแก การดาํ เนินชีวิตโดยมีสติเปนเคร่ืองกํากับความประพฤติปฏิบัตแิ ละการกระทาํ ทุกอยาง ระมดั ระวงั ตวั ไมย อมถลาํ ลงไปในทางเสื่อม แตไ มยอมพลาดโอกาสสําหรับความดีงามและความเจริญกาวหนา ตระหนักในสิ่งท่ีพึงทําและพึงละเวน ใสใจสาํ นกึ อยูเ สมอในหนาทอ่ี ันจะตอ งรับผดิ ชอบ ไมยอมปลอยปละละเลย กระทาํ การดวยความจริงจัง รอบคอบ และรดุ หนาเร่ือยไป — Appamàda: earnestness; diligence; heedfulness)ขอน้เี ปน องคป ระกอบภายใน (internal factor; personal factor) และเปนฝา ยสมาธิ (afactor belonging to the category of concentration) “ภิกษุทงั้ หลาย เมือ่ ดวงอาทิตยอ ุทยั อยู ยอมมีแสงอรุณขนึ้ มากอน เปนบุพนมิ ติ ฉันใด ความถงึ พรอ มดว ยความไมประมาท ก็เปนตวั นํา เปน บุพนิมิตแหงการเกดิ ขนึ้ ของอารยอษั ฎางคกิ มรรค แกภิกษุ ฉันน้ัน” “ธรรมเอก ที่มีอุปการะมาก เพื่อการเกิดข้นึ แหง อารยอษั ฎางคกิ มรรค ก็คือ ความถึงพรอ มดว ยความไมประมาท”

หมวด 1 59 [3] “เราไมเลง็ เหน็ ธรรมอนื่ แมส กั ขอหนึ่ง ซงึ่ เปนเหตุใหอ ารยอษั ฎางคิกมรรคทย่ี งั ไมเกิด กเ็ กดิ ขึ้น ท่เี กดิ ขึ้นแลว ก็เจริญบริบูรณ เหมือนอยางความถึงพรอ มดวยความไมประมาทน้เี ลย” “รอยเทา ของสตั วบ กทง้ั หลาย ชนิดใดๆ กต็ าม ยอ มลงในรอยเทาชางไดท ัง้ หมด, รอยเทาชาง เรยี กวาเปน ยอดของรอยเทา เหลา นน้ั โดยความใหญ ฉนั ใด กศุ ลธรรมทง้ั หลาย อยา งใดๆ กต็ าม ยอ มมีความไมประมาทเปน มลู ประชมุ ลงในความไมป ระมาทไดท ง้ั หมด ความไมป ระมาท เรยี กไดว า เปน ยอดของธรรมเหลานน้ั ฉนั นนั้ ”“ผูมีกลั ยาณมติ ร พงึ เปนอยโู ดยอาศัยธรรมเอกขอ นี้ คอื ความไมประมาทในกุศลธรรมท้ังหลาย” “ธรรมเอกอันจะทําใหย ดึ เอาประโยชนไวไดทงั้ 2 อยา ง คอื ท้ังทฏิ ฐธมั มิกตั ถะ (ประโยชนปจ จุบันประโยชนเฉพาะหนา หรือประโยชนส ามญั ของชีวติ เชน ทรพั ย ยศ กามสขุ เปนตน ) และสมั ปรายิกตั ถะ(ประโยชนเ บอ้ื งหนา หรอื ประโยชนข ั้นสงู ขนึ้ ไปทางจติ ใจหรือคณุ ธรรม) กค็ อื ความไมป ระมาท” “สังขาร (ส่งิ ที่ปจจยั ปรุงแตง ข้นึ ) ท้งั หลาย มคี วามเสือ่ มสน้ิ ไปเปนธรรมดา ทา นท้ังหลายจงยังประโยชนท ี่มงุ หมายใหส าํ เรจ็ ดว ยความไมป ระมาทเถดิ ” “ความไมป ระมาท ยอมเปน ไปเพ่ือประโยชนย ่งิ ใหญ, เพ่ือความดํารงมน่ั ไมเสื่อมสญู ไมอ นั ตรธานแหงสัทธรรม” ฯลฯD.II.156; S.I.86–89; S.V.30–45; ท.ี ม. 10/143/180; สํ.ส. 15/378–384/125–129;A.I.11–17; A.III.365; A.V.21. สํ.ม. 19/135–262/37–66; องฺ.เอก. 20/60–116/13–23; อง.ฺ ฉกกฺ . 22/324/407; อง.ฺ ทสก. 24/15/23.

ทุกะ — หมวด 2 Groups of Two (including related groups)[4] กรรม 2 (การกระทํา, การกระทาํ ทป่ี ระกอบดว ยเจตนา ทางกายกต็ าม ทางวาจาก็ตาม ทางใจกต็ าม — Kamma: action; deed) 1. อกศุ ลกรรม (กรรมท่ีเปนอกศุ ล, กรรมช่ัว, การกระทําท่ีไมดี ไมฉลาด ไมเ กดิ จากปญ ญา ทาํ ใหเส่ือมเสียคณุ ภาพชีวติ หมายถึง การกระทําทเี่ กดิ จากอกศุ ลมูล คือ โลภะ โทสะ หรอื โมหะ — Akusala-kamma: unwholesome action; evil deed; bad deed) 2. กุศลกรรม (กรรมท่เี ปน กุศล, กรรมด,ี การกระทําท่ดี ี ฉลาด เกดิ จากปญญา สงเสรมิ คุณภาพของชวี ิตจติ ใจ หมายถึง การกระทําทเี่ กดิ จากกุศลมูล คอื อโลภะ อโทสะ หรืออโมหะ — Kusala-kamma: wholesome action; good deed)A.I.104, 263; It.25,55. องฺ.ตกิ .20/445/131,551/338; ขุ.อิต.ิ 25/208/248;242/272.[,] กรรมฐาน 2 ดู [36] ภาวนา 2.[5] กาม 2 (ความใคร, ความอยาก, ความปรารถนา, สงิ่ ทน่ี าใครน า ปรารถนา — Kàma:sensuality)1. กิเลสกาม (กิเลสทท่ี ําใหใคร, ความอยากท่เี ปน ตัวกเิ ลส — Kilesa-kàma: subjectivesensuality)2. วัตถุกาม (วตั ถอุ นั นาใคร, สงิ่ ทนี่ าปรารถนา, สิง่ ที่อยากได, กามคุณ — Vatthu-kàma:objective sensuality) Nd12. ขุ.มหา.29/2/1[6] กามคุณ 5 (สวนทนี่ า ใครนาปรารถนา, สว นทด่ี หี รอื สว นอรอยของกาม — Kàmaguõa: sensual pleasures; sensual objects) 1. รูปะ (รปู — Råpa: form; visible object) 2. สทั ทะ (เสยี ง — Sadda: sound) 3. คันธะ (กล่ิน — Gandha: smell; odour) 4. รสะ (รส — Rasa: taste) 5. โผฏฐัพพะ (สัมผสั ทางกาย — Phoññhabba: touch; tangible object) หา อยางน้ี เฉพาะสวนท่นี า ปรารถนา นา ใคร นา พอใจ (agreeable, delightful, pleasur-able) เรยี กวา กามคณุM.I.85,173. ม.มู.12/197/168; 327/333.

หมวด 2 61 [9][7] ฌาน 2 (การเพง, การเพงพนิ ิจดว ยจิตท่ีเปนสมาธแิ นว แน — Jhàna: meditation; scrutiny; examination) 1. อารัมมณูปนชิ ฌาน (การเพง อารมณ ไดแ กส มาบัติ 8 คอื รูปฌาน 4 และอรูปฌาน 4 — ârammaõåpanijjhàna: object-scrutinizing Jhàna) 2. ลักขณูปนชิ ฌาน (การเพง ลักษณะ ไดแ ก วปิ ส สนา มรรค และ ผล — Lakkhaõåpa- nijjhàna: characteristic-examining Jhàna) วิปส สนา ชอ่ื วาลักขณูปนิชฌาน เพราะพนิ ิจสังขารโดยไตรลกั ษณ มรรค ช่อื วา ลักขณูปนชิ ฌาน เพราะยงั กิจแหง วิปส สนานน้ั ใหส ําเรจ็ ผล ช่ือวา ลกั ขณูปนชิ ฌาน เพราะเพง นิพพานอันมีลกั ษณะเปน สญุ ญตะ อนมิ ติ ตะ และ อปั ปณหิ ิตะ อยา งหนึ่ง และเพราะเหน็ ลักษณะอนั เปนสจั จภาวะของนพิ พาน อยางหนึง่ ฌานท่ีแบง เปน 2 อยางน้ี มมี าในคมั ภรี ช้ันอรรถกถา. ดู [8], [9], [10] ฌาน ตางๆ และ [47] สมาธิ 32.AA.II.41; PsA.281; DhsA.167. อง.ฺ อ.1/536; ปฏสิ ํ.อ.221; สงคฺ ณ.ี อ.73.[8] ฌาน 2 ประเภท (ภาวะจิตท่ีเพงอารมณจ นแนว แน — Jhàna: absorption)1. รปู ฌาน 4 (ฌานมรี ูปธรรมเปนอารมณ, ฌานทเี่ ปน รปู าวจร — Råpa-jhàna: Jhànas ofthe Fine-Material Sphere)2. อรปู ฌาน 4 (ฌานมอี รปู ธรรมเปนอารมณ, ฌานที่เปน อรปู าวจร — Aråpa-jhàna: Jhànas ofthe Immaterial Sphere)คําวา รูปฌาน กด็ ี อรปู ฌาน กด็ ี เริ่มใชคราวจัดรวมพุทธพจน เดิมเรียกเพียงวา ฌาน และอารุปป.D.III.222; Dhs.56. ท.ี ปา.11/232/233; อภ.ิ ส.ํ 34/192/78.[9] ฌาน 4 = รูปฌาน 4 (the Four Jhànas) 1. ปฐมฌาน (ฌานท่ี 1 — Pañhama-jhàna: the First Absorption) มีองค 5 คือ วติ กวิจาร ปต ิ สุข เอกคั คตา2. ทตุ ยิ ฌาน (ฌานท่ี 2 — Dutiya-jhàna: the Second Absorption) มอี งค 3 คือ ปต ิ สขุเอกัคคตา3. ตตยิ ฌาน (ฌานที่ 3 — Tatiya-jhàna: the Third Absorption) มอี งค 2 คอื สขุ เอกคั คตา4. จตุตถฌาน (ฌานที่ 4 — Catuttha-jhàna: the Fourth Absorption) มอี งค 2 คอือเุ บกขา เอกัคคตาคมั ภรี ฝ ายอภธิ รรม นยิ มแบง รูปฌานน้เี ปน 5 ขัน้ เรยี กวา ฌานปญ จกนยั หรอื ปญจ-กชั ฌาน โดยแทรก ทุติยฌาน (ฌานที่ 2) ทม่ี อี งค 4 คือ วิจาร ปต ิ สุข เอกคั คตา เพ่ิมเขา มา

[10] 62 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตรแลว เลือ่ นทุตยิ ฌาน ตติยฌาน และจตตุ ถฌาน ในฌาน 4 ขา งตนน้อี อกไปเปน ตตยิ ฌาน จตุตถฌาน และปญ จมฌาน ตามลําดบั (โดยสาระก็คือ การจาํ แนกขัน้ ตอนใหล ะเอยี ดมากขึน้ นน่ั เอง)M.I.40. ม.มู.12/102/72.[10] ฌาน 8 = รูปฌาน 4 + อรูปฌาน 4 (อรปู ฌาน 4 ดู [207] อรูป 4)[11] ทาน 21 (การให, การเสยี สละ, การบรจิ าค — Dàna: gift; giving; charity; liberality)1. อามิสทาน (การใหสิง่ ของ — âmisadàna: material gift)2. ธรรมทาน (การใหธรรม, การใหความรูและแนะนําสั่งสอน — Dhammadàna: gift ofTruth; spiritual gift) ใน 2 อยางน้ี ธรรมทานเปนเลิศ อามสิ ทานชว ยคาํ้ จุนชีวิต ทาํ ใหเขามที พ่ี ึ่งอาศยั แตธรรมทานชวยใหเขารจู ักพึง่ ตนเองไดต อไป เมือ่ ใหอ ามสิ ทาน พึงใหธรรมทานดวย. A.I.90. อง.ฺ ทกุ .20/386/114.[12] ทาน 22 (การให — Dàna: gift; giving; almsgiving; offering; charity; liberality; generosity; benevolence; donation; benefaction) 1. ปาฏบิ ุคลกิ ทาน (การใหจําเพาะบุคคล, ทานทใ่ี หเจาะจงตัวบคุ คลหรือใหเฉพาะแกบุคคลผู ใดผูหนง่ึ — Pàñipuggalika-dàna: offering to a particular person; a gift designated to a particular person) 2. สงั ฆทาน (การใหแกสงฆ, ทานที่ถวายแกส งฆเปนสวนรวม หรือใหแ กบ ุคคล เชน พระภิกษุ หรอื ภิกษุณีอยา งเปนกลางๆ ในฐานะเปนตวั แทนของสงฆ โดยอทุ ศิ ตอสงฆ ไมเจาะจงรปู ใดรูป หน่ึง — Saïghadàna: offering to the Sangha; a gift dedicated to the Order or to the community of monks as a whole) ในบาลเี ดมิ เรียกปาฏบิ คุ ลิกทานวา ปาฏิปุคคฺ ลกิ า ทกขฺ ณิ า (ของถวายหรอื ของใหทีจ่ ําเพาะบคุ คล) และเรยี กสงั ฆทาน วา สงฆฺ คตา ทกขฺ ิณา (ของถวายหรือของใหทถ่ี ึงในสงฆ) ในทาน 2 อยางนี้ พระพทุ ธเจา ตรสั สรรเสริญสงั ฆทานวา เปน เลศิ มผี ลมากที่สุด ดังพทุ ธพจนว า “เราไมกลาววา ปาฏิบุคลกิ ทานมีผลมากกวาของที่ใหแกสงฆ ไมว าโดยปรยิ ายใดๆ” และไดตรสั ชักชวนใหใ หส งั ฆทานM.III.254–6; A.III.392. ม.อ.ุ 14/710–3/459–461; อางใน มงคฺ ล.2/16; อง.ฺ ฉกฺก.22/330/439[13] ทิฏฐิ 2 (ความเห็น, ความเห็นผิด — Diññhi: view; false view)1. สัสสตทฏิ ฐิ (ความเห็นวาเที่ยง, ความเหน็ วามอี ัตตาและโลกซึ่งเท่ยี งแทย ั่งยืนคงอยตู ลอดไป— Sassata-diññhi: eternalism)2. อจุ เฉททิฏฐิ (ความเห็นวา ขาดสูญ, ความเห็นวา มีอตั ตาและโลกซ่ึงจักพินาศขาดสญู หมดสิ้นไป — Uccheda-diññhi: annihilationism)

หมวด 2 63 [17]S.III.97. สํ.ข.17/179–180/120.[14] ทิฏฐิ 3 (ความเห็น, ความเห็นผิด — Diññhi: view; false view)1. อกิรยิ ทฏิ ฐิ (ความเหน็ วา ไมเ ปน อนั ทํา, เหน็ วา การกระทาํ ไมมีผล — Akiriya-diññhi: view ofthe inefficacy of action)2. อเหตุกทิฏฐิ (ความเหน็ วา ไมมีเหต,ุ เหน็ วา สิง่ ทัง้ หลายไมม ีเหตุปจ จยั — Ahetuka-diññhi:view of non-causality)3. นัตถกิ ทิฏฐิ (ความเห็นวาไมม ,ี เหน็ วา ไมม ีการกระทําหรือสภาวะทจ่ี ะกําหนดเอาเปนหลักได— Natthika-diññhi: nihilistic view; nihilism)M.I.404. ม.ม.13/105/111.[15] ที่สุด หรือ อันตา 2 (ขอ ปฏิบัติหรือการดาํ เนินชีวติ ท่ีเอยี งสดุ ผดิ พลาดไปจากทางอันถกู ตอง คอื มัชฌมิ าปฏิปทา — Antà: the two extremes)1. กามสขุ ลั ลกิ านโุ ยค (การหมกมุนอยูดว ยกามสุข — Kàmasukhallikànuyoga: theextreme of sensual indulgence; extreme hedonism)2. อัตตกลิ มถานโุ ยค (การประกอบความลําบากเดอื ดรอนแกต นเอง, การบบี ค้ันทรมานตนใหเดือดรอ น — Attakilamathànuyoga: the extreme of self-mortification; extremeasceticism)Vin.I.10; S.V.420. วินย.4/13/18; ส.ํ ม.19/1664/528.[16] ทุกข 2 (สภาพที่ทนไดย าก, ความทุกข, ความไมสบาย — Dukkha: pain; suffering;discomfort)1. กายกิ ทกุ ข (ทุกขทางกาย — Kàyika-dukkha: bodily pain; physical suffering)2. เจตสกิ ทกุ ข (ทกุ ขท างใจ, โทมนสั — Cetasika-dukkha: mental pain; mental suffering)ดู [79] ทกุ ขตา 3 ดวย.D.II.306; S.V.209. ท.ี ม.10/295/342; ส.ํ ม.19/942,944/280.[17] เทศนา 21 (การแสดงธรรม, การชี้แจงแสดงความ — Desanà: preaching;exposition)1. บุคคลาธิษฐานเทศนา (เทศนามบี คุ คลเปนที่ตง้ั , เทศนาอา งคน, แสดงโดยยกคนขน้ึ อาง,ยกคนเปนหลกั ฐานในการอธบิ าย — Puggalàdhiññhàna-desanà: exposition in terms ofpersons)2. ธรรมาธิษฐานเทศนา (เทศนามธี รรมเปน ที่ตงั้ , เทศนาอา งธรรม, แสดงโดยยกหลักหรือตัวสภาวะขน้ึ อาง — Dhammàdhiññhàna-desanà: exposition in terms of ideas)เทศนา 2 นี้ ทา นสรุปมาจากเทศนา 4 ในคมั ภีรท่ีอางไว

[18] 64 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตรPsA.449. ปฏสิ .ํ อ.77.[18] เทศนา 22 (การแสดงธรรม ของพระพุทธเจา, การชี้แจงแสดงความ — Desanà:preaching; exposition; teaching)1. สมมติเทศนา (เทศนาโดยสมมต,ิ แสดงตามความหมายที่รูรว มกนั หรือตกลงยอมรบั กนัของชาวโลก เชน วา บุคคล สัตว หญิง ชาย กษตั รยิ  เทวดา เปน ตน — Sammati-desanà:conventional teaching)2. ปรมตั ถเทศนา (เทศนาโดยปรมตั ถ, แสดงตามความหมายของสภาวธรรมแทๆ เชน วา อนจิ จงัทกุ ขงั อนตั ตา ขนั ธ ธาตุ อายตนะ เปน ตน — Paramattha-desanà: absolute teaching)ผูฟงจะเขาใจความ สาํ เรจ็ ประโยชนดว ยเทศนาอยางใด กท็ รงแสดงอยางนั้น ใน ท.ี อ. 1/436; สํ.อ. 2/98 และ ปจฺ .อ. 182 เปนตน กลาวถงึ กถา 2 คอื สมมติกถา และปรมัตถกถา พึงทราบความหมายตามแนวความอยา งเดยี วกันน้ีดู [50] สัจจะ 2.AA.I.94; etc. องฺ.อ.1/99, ฯลฯ.[19] ธรรม 21 (สภาวะ, สงิ่ , ปรากฏการณ — Dhamma: things; states; phenomena)1. รูปธรรม (สภาวะอันเปนรูป, ส่ิงท่ีมีรูป, ไดแกรูปขันธทั้งหมด — Råpadhamma:materiality; corporeality)2. อรปู ธรรม (สภาวะมใิ ชร ปู , สง่ิ ทไี่ มม รี ปู , ไดแ กน ามขนั ธ 4 และนพิ พาน — Aråpadhamma:immateriality; incorporeality)ในบาลที มี่ า ทา นเรียก รปู โน ธมฺมา และ อรูปโน ธมมฺ าDhs.193,245. อภิ.ส.ํ 34/705/279; 910/355.[20] ธรรม 22 (สภาวะ, สิ่ง, ปรากฏการณ — Dhamma: things; states; phenomena)1. โลกยี ธรรม (ธรรมอนั เปน วสิ ยั ของโลก, สภาวะเนอื่ งในโลก ไดแกขันธ 5 ทีเ่ ปนสาสวะทั้งหมด — Lokiya-dhamma: mundane states)2. โลกุตตรธรรม (ธรรมอันมิใชวิสยั ของโลก, สภาวะพนโลก ไดแ กมรรค 4 ผล 4 นพิ พาน 1— Lokuttara-dhamma: supermundane states) (+ โพธิปก ขยิ ธรรม 37: ข.ุ ปฏิ.620; Ps.II.166)ดู [310] โลกุตตรธรรม 9.Dhs.193,245. อภ.ิ ส.ํ 34/706/279; 911/355.[21] ธรรม 23 (สภาวะ, สิ่ง, ปรากฏการณ — Dhamma: things; states; phenomena)1. สังขตธรรม (สิง่ ทีป่ จจัยปรงุ แตง คือ ขันธ 5 ทั้งหมด — Saïkhata-dhamma: condi-tioned things; compounded things)2. อสังขตธรรม (ส่ิงท่ีปจจยั ไมป รงุ แตง คอื นพิ พาน — Asaïkhata-dhamma: the

หมวด 2 65 [26]Unconditioned, i.e. Nibbàna)Dhs.193,244. อภ.ิ ส.ํ 34/702/278; 907/354.[22] ธรรม 24 (สภาวะ, สิง่ , ปรากฏการณ — Dhamma: things; states; phenomena)1. อุปาทนิ นธรรม (ธรรมทถี่ ูกยดึ , ธรรมทก่ี รรมอันสัมปยตุ ดวยตณั หาและทิฏฐเิ ขา ยดึ ครองไดแ ก นามขนั ธ 4 ท่ีเปนวบิ าก และรปู ทเี่ กิดแตกรรมทัง้ หมด — Upàdinna-dhamma: statesgrasped by craving and false view; grasped states)2. อนปุ าทนิ นธรรม (ธรรมทไี่ มถ กู ยดึ , ธรรมทกี่ รรมอนั สมั ปยตุ ดว ยตณั หาและทฏิ ฐไิ มเ ขา ยดึ ครองไดแ ก นามขนั ธ 4 สว นนอกน้ี รปู ทมี่ ใิ ชเ กดิ แตก รรม และโลกตุ ตรธรรมทง้ั หมด — Anupàdinna-dhamma: states not grasped by craving and false view; ungrasped states)Dhs.211,255. อภิ.สํ.34/779/305; 955/369.[23] ธรรมคุมครองโลก 2 (ธรรมทีช่ ว ยใหโ ลกมคี วามเปนระเบยี บเรยี บรอ ย ไมเดอื ดรอนและสับสนวนุ วาย — Lokapàla-dhamma: virtues that protect the world)1. หริ ิ (ความละอายบาป, ละอายใจตอ การทาํ ความชวั่ — Hiri: moral shame; conscience)2. โอตตัปปะ (ความกลัวบาป, เกรงกลวั ตอความช่วั — Ottappa: moral dread)A.I.51; It.36. อง.ฺ ทกุ .20/255/65; ข.ุ อติ ิ. 25/220/257.[24] ธรรมทําใหงาม 2 (Sobhaõakaraõa-dhamma: gracing virtues)1. ขนั ติ (ความอดทน, อดไดท นไดเ พอื่ บรรลคุ วามดงี ามและความมงุ หมายอนั ชอบ — Khanti:patience: forbearance; tolerance)2. โสรจั จะ (ความเสงย่ี ม, อธั ยาศยั งาม รกั ความประณตี หมดจดเรยี บรอ ยงดงาม — Soracca:modesty; meekness)Vin.I.349; A.I.94. วินย.5/244/335; อง.ฺ ทกุ . 20/410/118.[,,] ธรรมที่พระพุทธเจาเห็นคุณประจักษ 2 ดู [65] อุปญญาตธรรม 2.[,,] ธรรมเปนโลกบาล 2 ดู [23] ธรรมคมุ ครองโลก 2.[25] ธรรมมีอุปการะมาก 2 (ธรรมท่ีเก้อื กลู ในกจิ หรือในการทําความดที กุ อยา ง —Bahukàra-dhamma: virtues of great assistance)1. สติ (ความระลึกได, นกึ ได, สํานกึ อยไู มเ ผลอ — Sati: mindfulness)2. สัมปชัญญะ (ความรูชัด, รูชัดสิ่งที่นึกได, ตระหนัก, เขาใจชัดตามความเปน จริง —Sampaja¤¤a: clear comprehension)D.III.273; A.I.95. ที.ปา.11/378/290; อง.ฺ ทกุ .20/424/119.[26] ธุระ 2 (หนาท่กี ารงานทีพ่ ึงกระทาํ , กจิ ในพระศาสนา — Dhura: burden; task; busi-

[27] 66 พจนานุกรมพุทธศาสตรness; responsibility in the Dispensation)1. คนั ถธรุ ะ (ธุระฝา ยคัมภีร, กิจดานการเลา เรยี น — Gantha-dhura: burden of study;task of learning)2. วิปสสนาธุระ (ธรุ ะฝา ยเจรญิ วิปสสนา, กิจดา นการบําเพญ็ ภาวนา หรือเจรญิ กรรมฐาน อนัรวมทั้งสมถะท่ีเปนเบ้ืองตน ซ่ึงเรียกรวมเขาไวดวยโดยฐานมีวิปสสนาเปนสวนสําคัญและคลุมยอด — Vipassanà-dhura: burden of insight development; task of meditationpractice)ธุระ 2 นี้ มาในอรรถกถาDhA.I.7. ธ.อ.1/7.[27] นิพพาน 2 (สภาพทีด่ ับกเิ ลสและกองทุกขแ ลว , ภาวะทเ่ี ปนสุขสูงสดุ เพราะไรก ิเลสไรทุกข เปน อสิ รภาพสมบรู ณ — Nibbàna: Nirvàõa; Nibbàna)1. สอุปาทเิ สสนิพพาน (นิพพานยงั มีอุปาทเิ หลอื — Saupàdisesa-nibbàna: Nibbànawith the substratum of life remaining)2. อนปุ าทิเสสนิพพาน (นพิ พานไมม อี ุปาทิเหลือ — Anupàdisesa-nibbàna: Nibbànawithout any substratum of life remaining) หมายเหต:ุ ตามคาํ อธิบายนัยหนงึ่ วา1. = ดบั กเิ ลส ยงั มีเบญจขนั ธเ หลอื (= กิเลสปรินิพพาน — Kilesa-parinibbàna: extinctionof the defilements)2. = ดบั กิเลส ไมมเี บญจขันธเหลือ (= ขันธปรนิ พิ พาน — Khandha-parinibbàna: extinc-tion of the Aggregates) หรือ1. = นพิ พานของพระอรหนั ตผ ูยงั เสวยอารมณท ี่นาชอบใจและไมน า ชอบใจทางอินทรยี  5 รบั รูสุขทกุ ขอ ยู2. = นพิ พานของพระอรหนั ตผรู ะงับการเสวยอารมณทัง้ ปวงแลวIt.38. ขุ.อิต.ิ 25/222/258.อกี นัยหนง่ึ กลา วถึงบุคคลวา1. สอปุ าทเิ สสบุคคล = พระเสขะ2. อนปุ าทิเสสบุคคล = พระอเสขะA.IV.379. อง.ฺ นวก.23/216/394.[28] บัญญัติ 2 และ 6 (การกาํ หนดเรยี ก หรอื สิ่งทถ่ี กู กาํ หนดเรยี ก, การกาํ หนดตงั้ หรอื ตราไวใหเ ปน ที่รกู นั — Pa¤¤atti: designation; term; concept) 1. ปญ ญาปยบัญญัติ หรอื อรรถบัญญัติ (บญั ญตั ใิ นแงเ ปนส่งิ อันพึงใหร กู นั , บญั ญัตทิ ีเ่ ปน

หมวด 2 67 [29]ความหมาย, บัญญตั คิ ือความหมายอนั พึงกาํ หนดเรียก, ตวั ความหมายทจ่ี ะพึงถกู ต้ังชือ่ เรียก —Pa¤¤àpiya~, Attha~: the Pa¤¤atti to be made known or conveyed; concept)2. ปญญาปนบัญญัติ หรือ นามบญั ญตั ิ หรอื สทั ทบญั ญตั ิ (บญั ญตั ใิ นแงเ ปน เครอ่ื งใหรูกัน, บญั ญัติที่เปนชอื่ , บญั ญัติที่เปน ศัพท, ชอ่ื ที่ต้ังขึ้นใชเ รียก — Pa¤¤àpana~, Nàma~,Sadda~: the Pa¤¤atti that makes known or conveys; term; designation) ปญญาปยบญั ญัติ เรยี กเตม็ วา ปฺาปย ตฺตา ปฺตตฺ ิ, ปญ ญาปนบัญญัติ เรียกเตม็ วาปฺาปนโต ปฺตฺติ ปญญาปนบญั ญัติ หรือ นามบัญญัติ แยกยอยออกเปน 6 อยา ง คือ1. วชิ ชมานบญั ญัติ (บญั ญัติสงิ่ ท่ีมอี ยู เชน รูป เวทนา สมาธิ เปน ตน — Vijjamàna~:designation of a reality; real concept)2. อวิชชมานบัญญัติ (บัญญตั สิ ิ่งทไี่ มมอี ยู เชน มา แมว รถ นายแดง เปนตน — Avijja-màna~: designation of an unreality; unreal concept)3. วชิ ชมาเนนอวชิ ชมานบญั ญตั ิ (บญั ญตั สิ งิ่ ทไี่ มม ี ดว ยสง่ิ ทม่ี ี เชน คนดี นกั ฌาน ซงึ่ ความจรงิมแี ตด ี คือภาวะทเ่ี ปนกศุ ล และฌาน แตคนไมม ี เปน ตน — Vijjamànena-avijjamàna~:designation of an unreality by means of a reality; unreal concept by means ofreal concept)4. อวิชชมาเนนวิชชมานบญั ญัติ (บัญญัตสิ ิ่งทีม่ ี ดว ยสงิ่ ท่ไี มม ี เชน เสียงหญิง ซ่ึงความจริงหญิงไมมี มแี ตเ สยี ง เปน ตน — Avijjamànena-vijjamàna~: designation of a reality bymeans of an unreality; real concept by means of an unreal concept)5. วชิ ชมาเนนวิชชมานบญั ญัติ (บญั ญัตสิ ่ิงทม่ี ี ดว ยส่ิงทม่ี ี เชน จกั ขุสมั ผสั โสตวญิ ญาณเปน ตน — Vijjamànena-vijjamàna~: designation of a reality by means of a reality;real concept by means of a real concept)6. อวชิ ชมาเนนอวชิ ชมานบญั ญัติ (บัญญตั ิสง่ิ ทไี่ มมี ดวยส่งิ ทีไ่ มม ี เชน ราชโอรส ลูกเศรษฐี เปน ตน — Avijjamànena-avijjamàna~: designation of an unreality by meansof an unreality; unreal concept by means of an unreal concept)Pug.A.171; Comp.198. ปฺจ.อ.32; สงคฺ ห.49; สงคฺ ห.ฏีกา253.[29] บุคคลหาไดยาก 2 (Dullabha-puggala: rare persons)1. บพุ การี (ผูทาํ อปุ การะกอ น, ผทู าํ ความดหี รอื ทําประโยชนใหแ ตต นโดยไมต อ งคอยคดิ ถึงผลตอบแทน — Pubbakàrã: one who is first to do a favour; previous benefactor; readybenefactor)2. กตญั ูกตเวที (ผรู ูอปุ การะท่ีเขาทําแลว และตอบแทน, ผรู ูจ กั คณุ คาแหงการกระทาํ ดขี องผูอ่นื และแสดงออกเพือ่ บชู าความดนี น้ั — Kata¤¤åkatavedã: one who is grateful and

[30] 68 พจนานกุ รมพุทธศาสตรrepays the done favour; grateful person) A.I.87. อง.ฺ ทกุ .20/364/108.[30] บูชา 2 (Påjà: worship; acts of worship; honouring) 1. อามิสบชู า (บูชาดวยสิ่งของ — âmisa-påjà: worship or honouring with material things; material worship) 2. ปฏิบตั ิบูชา (บชู าดว ยการปฎิบตั ิ — Pañipatti-påjà: worship or honouring with practice; practical worship)ในบาลที มี่ า ปฏิบตั บิ ูชา เปน ธรรมบชู าA.I.93; D.II.138. อง.ฺ ทกุ .20/401/117; นยั ท.ี ม.10/129/160.[31] ปฏิสันถาร 2 (การตอ นรับ, การรับรอง, การทักทายปราศรัย — Pañisanthàra:hospitality; welcome; greeting) 1. อามสิ ปฏิสันถาร (ปฏิสันถารดว ยสิง่ ของ — âmisa-pañisanthàra: worldly hospitality;material or carnal greeting)2. ธรรมปฏสิ นั ถาร (ปฏิสันถารดวยธรรมหรอื โดยธรรม — Dhamma-pañisanthàra: doc-trinal hospitality; spiritual greeting)A.I.93; Vbh.360. องฺ.ทุก.20/397/116; อภิ.ว.ิ 35/921/487.[32] ปธาน 2 (ความเพียร หมายเอาความเพยี รทีท่ าํ ไดยาก — Padhàna: hard struggles;painstaking endeavours)1. คหิ ปิ ธาน (ความเพยี รของคฤหสั ถ ทจี่ ะอาํ นวยปจ จยั สแี่ กบ รรพชติ เปน ตน ) — Gihi-padhàna:struggle of householders to provide the four requisites.2. ปพพชิตปธาน (ความเพยี รของบรรพชิต ทีจ่ ะไถถอนกองกเิ ลส — Pabbajita-padhàna:struggle of the homeless to renounce all substrates of rebirth.A.I.49; Netti 159. องฺ.ทุก.20/248/63.[33] ปริเยสนา 2 (การแสวงหา — Pariyesanà: search; quest)1. อนริยปรเิ ยสนา (แสวงหาอยางไมป ระเสริฐ, แสวงหาอยา งอนารยะ คือ ตนเองเปนผมู ีชาติชรา พยาธิ มรณะ โสกะ และสงั กเิ ลสเปนธรรมดา กย็ งั ใฝแสวงหาแตส ิง่ อนั มีชาติ ชรา พยาธิมรณะ โสกะ และสังกเิ ลสเปน ธรรมดา — Anariya-pariyesanà: unariyan or ignoblesearch)2. อริยปริเยสนา (แสวงหาอยา งประเสรฐิ , แสวงหาอยา งอารยะ คือ ตนเปนผูมีชาติ ชรา พยาธิมรณะ โสกะ และสงั กเิ ลสเปนธรรมดา แตร จู กั โทษขอ บกพรองของสง่ิ ทีม่ สี ภาพเชน นัน้ แลว ใฝแสวงธรรมอันเกษม คอื นิพพาน อันไมมสี ภาพเชน นัน้ — Ariya-pariyesanà: ariyan or

หมวด 2 69 [35]noble search) สองอยางน้ี เทียบไดกบั อามิสปรเิ ยสนา และ ธรรมปริเยสนา ท่ีตรัสไวในอังคุตตรนกิ าย;แตส าํ หรบั คนสามญั อาจารยภ ายหลงั อธิบายวา ขอแรกหมายถงึ มจิ ฉาอาชีวะ ขอหลงั หมายถึงสัมมาอาชวี ะ ดังนก้ี ม็ ี.M.I.161; A.I.93. ม.ม.ู 12/313/314; องฺ.ทุก.ฺ 20/399/116.[34] ปจจัยใหเกิดสัมมาทิฏฐิ 2 (ทางเกิดแหงแนวความคดิ ทีถ่ กู ตอ ง, ตน ทางของปญ ญาและความดีงามทงั้ ปวง — Sammàdiññhi-paccaya: sources or conditions for thearising of right view)1. ปรโตโฆสะ (เสียงจากผอู ่ืน การกระตนุ หรอื ชกั จงู จากภายนอก คือ การรับฟงคําแนะนาํ ส่ังสอน เลาเรียน หาความรู สนทนาซกั ถาม ฟง คําบอกเลา ชักจูงของผอู ืน่ โดยเฉพาะการสดบัสัทธรรมจากทา นผเู ปนกลั ยาณมติ ร — Paratoghosa: another's utterance; inducementby others; hearing or learning from others)2. โยนโิ สมนสกิ าร (การใชความคดิ ถกู วิธี ความรจู ักคดิ คิดเปน คือ ทําในใจโดยแยบคายมองสิง่ ทงั้ หลายดวยความคิดพิจารณา รูจักสบื สาวหาเหตผุ ล แยกแยะสงิ่ นนั้ ๆ หรอื ปญ หานนั้ ๆออก ใหเ หน็ ตามสภาวะและตามความสมั พนั ธแ หง เหตปุ จ จยั — Yonisomanasikàra: reasonedattention; systematic attention; genetical reflection; analytical reflection) ขอธรรม 2 อยางนี้ ไดแ ก ธรรมหมวดท่ี [1] และ [2] น่ันเอง แปลอยา งปจจบุ ันวา “องคประกอบของการศกึ ษา” หรือ “บุพภาคของการศกึ ษา” โดยเฉพาะขอท่ี 1 ในทนี่ ใี้ ชคํากวา งๆ แตธรรมทต่ี อ งการเนน กค็ ือ กัลยาณมิตตตา ปจ จยั ใหเกดิ มจิ ฉาทิฏฐิ ก็มี 2 อยาง คอื ปรโตโฆสะ และ อโยนิโสมนสกิ าร ซึง่ ตรงขามกับที่กลา วมาน.้ีดู [280] บพุ นมิ ิตแหงมรรค 7, [293] มรรคมอี งค 8M.I.294; A.I.87. ม.ม.ู 12/497/539; องฺ.ทุก. 20/371/110.[35] ปาพจน 2 (วจนะอนั เปนประธาน, พทุ ธพจนห ลกั , คําสอนหลกั ใหญ — Pàvacana:fundamental text; fundamental teaching)1. ธรรม (คําสอนแสดงหลักความจริงท่ีควรรู และแนะนําหลักความดีท่ีควรประพฤติ —Dhamma: the Doctrine)2. วินัย (ขอ บัญญัตทิ ีว่ างไวเ ปนหลกั กํากบั ความประพฤติใหเปน ระเบยี บเรียบรอ ยเสมอกัน —Vinaya: the Discipline)ดู [75] ไตรปฎก ดวย. DII.154. ท.ี ม. 10/141/178.[,,] พุทธคุณ 2 ดู [304] พทุ ธคุณ 2.

[36] 70 พจนานุกรมพุทธศาสตร[,,] พุทธคุณ 3 ดู [305] พทุ ธคุณ 3.[,,] ไพบูลย 2 ดู [44] เวปุลละ 2.[36] ภาวนา 2 (การเจริญ, การทาํ ใหเ กิดใหม ีข้ึน, การฝก อบรมจติ ใจ — Bhàvanà: mental development) 1. สมถภาวนา (การฝก อบรมจติ ใหเกิดความสงบ, การฝกสมาธิ — Samatha-bhàvanà: tranquillity development) 2. วิปสสนาภาวนา (การฝกอบรมปญญาใหเ กิดความรแู จงตามเปนจริง, การเจริญปญญา — Vipassanà-bhàvanà: insight development) สองอยางนี้ ในบาลที ี่มาทา นเรียกวา ภาเวตพั พธรรม และ วชิ ชาภาคิยธรรม. ในคมั ภรี ส มัย หลัง บางทีเรยี กวา กรรมฐาน (อารมณเ ปนทต่ี ง้ั แหงงานเจริญภาวนา, ท่ีตั้งแหงงานทาํ ความเพยี ร ฝกอบรมจิต, วธิ ฝี กอบรมจิต — Kammaññhàna: stations of mental exercises; mental exercise; สงคฺ ห. 51; Comp. 202)D.III.273; A.I.60. ท.ี ปา.11/379/290; องฺ.ทุก.20/275/77.[37] ภาวนา 4 (การเจรญิ , การทาํ ใหเปนใหมขี ึ้น, การฝกอบรม, การพฒั นา — Bhàvanà:growth; cultivation; training; development)1. กายภาวนา (การเจรญิ กาย, พฒั นากาย, การฝกอบรมกาย ใหรจู ักตดิ ตอ เกีย่ วของกบั สิง่ ทั้งหลายภายนอกทางอนิ ทรียทงั้ หา ดวยดี และปฏบิ ตั ิตอ สงิ่ เหลาน้ันในทางทเ่ี ปน คุณ มิใหเกดิ โทษใหก ศุ ลธรรมงอกงาม ใหอ กศุ ลธรรมเส่ือมสูญ, การพัฒนาความสมั พนั ธก ับสิ่งแวดลอ มทางกายภาพ — Kàya-bhàvanà: physical development)2. สีลภาวนา (การเจรญิ ศีล, พฒั นาความประพฤติ, การฝก อบรมศลี ใหต ัง้ อยูในระเบียบวนิ ัยไมเบียดเบียนหรือกอ ความเดอื ดรอนเสียหาย อยูรว มกบั ผอู นื่ ไดดว ยดี เกื้อกูลแกกนั — Sãla-bhàvanà: moral development)3. จติ ตภาวนา (การเจรญิ จิต, พัฒนาจิต, การฝกอบรมจติ ใจ ใหเขมแขง็ ม่นั คง เจริญงอกงามดว ยคุณธรรมท้ังหลาย เชน มีเมตตากรณุ า มีฉนั ทะ ขยันหมนั่ เพยี ร อดทน มสี มาธิ และสดชืน่เบกิ บาน เปน สขุ ผองใส เปนตน — Citta-bhàvanà: cultivation of the heart; emotionaldevelopment)4. ปญ ญาภาวนา (การเจริญปญญา, พัฒนาปญ ญา, การฝก อบรมปญญา ใหร ูเขาใจสง่ิ ทั้งหลายตามเปน จริง รูเ ทา ทนั เห็นแจง โลกและชวี ติ ตามสภาวะ สามารถทาํ จติ ใจใหเ ปน อสิ ระ ทาํ ตนใหบริสุทธิ์จากกิเลสและปลอดพนจากความทุกข แกไขปญหาที่เกิดข้ึนไดดวยปญญา —Pa¤¤à-bhàvanà: cultivation of wisdom; intellectual development; wisdomdevelopment)ในบาลที ม่ี า ทา นแสดงภาวนา 4 น้ี ในรปู ทเ่ี ปน คณุ บทของบคุ คล จงึ เปน ภาวติ 4 คอื ภาวติ กาย

หมวด 2 71 [39]ภาวิตศลี ภาวติ จิต ภาวิตปญญา (ผไู ดเจรญิ กาย ศีล จติ และปญญาแลว ) บุคคลที่มคี ณุ สมบตั ิชดุ นคี้ รบถวนยอ มเปนพระอรหนั ตA.III.106. องฺ.ปฺจก. 22/79/121.[38] รูป 21, 28 (สภาวะทแี่ ปรปรวนแตกสลายเพราะปจ จยั ตางๆ อันขดั แยง , รา งกายและสวนประกอบฝายวัตถุพรอมทั้งพฤติกรรมและคุณสมบัติของมัน, สวนที่เปนรางกับทั้งคุณและอาการ — Råpa: corporeality; materiality; matter)1. มหาภูต หรือ ภตู รปู 4 (สภาวะอันปรากฏไดเปนใหญๆ โตๆ หรือเปนตางๆ ไดม ากมาย, รปูทีม่ ีอยูโ ดยสภาวะ, รปู ตน เดมิ ไดแ กธาตุ 4 — Mahàbhåta: primary elements)2. อปุ าทารูป หรอื อุปาทายรปู 24 (รูปอาศยั , รูปที่เปนไปโดยอาศัยมหาภตู , คุณและอาการแหง มหาภตู — Upàdà-råpa: derivative materiality)M.II.262; Ps.I.183. ม.อุ.14/83/75; ขุ.ปฏ.ิ 31/403/275. รูป 28 ก็คือรปู 2 หมวดขางตน นีเ้ อง แตน ับขอ ยอ ย กลา วคอื1. มหาภูต หรือ ภตู รูป 4 (รูปใหญ, รูปเดิม — Mahàbhåta: primary elements; greatessentials) ดู [39]2. อุปาทายรปู 24 (รปู อาศัย, รปู สบื เนือ่ ง — Upàdà-råpa: derived material qualities) ดู[40]Comp.157. สงฺคห.33.[39] มหาภูต หรอื ภูตรูป 4 (Mahàbhåta: the Four Primary Elements; primarymatter)1. ปฐวธี าตุ (สภาวะทแ่ี ผไปหรอื กินเนือ้ ท,ี่ สภาพอันเปนหลกั ที่ตง้ั ที่อาศยั แหงสหชาตรูป เรยี กสามัญวา ธาตุแขนแข็ง หรอื ธาตดุ ิน — Pañhavã-dhàtu: element of extension; solidelement; earth)2. อาโปธาตุ (สภาวะท่ีเอิบอาบหรอื ดูดซึม หรอื ซานไป ขยายขนาด ผนกึ พูนเขาดว ยกัน เรียกสามญั วา ธาตเุ หลว หรือ ธาตุนา้ํ — âpo-dhàtu: element of cohesion; liquid element;water)3. เตโชธาตุ (สภาวะท่ีทําใหรอ น เรยี กสามญั วา ธาตุไฟ — Tejo-dhàtu: element of heat orradiation; heating element; fire)4. วาโยธาตุ (สภาวะทท่ี าํ ใหส นั่ ไหว เคลอื่ นท่ี และคา้ํ จนุ เรยี กสามญั วา ธาตลุ ม — Vàyo-dhàtu:element of vibration or motion; air element; wind) สอี่ ยา งนี้ เรยี กอกี อยา งหนง่ึ วา ธาตุ 4 (ในคมั ภรี ช นั้ หลงั มี 2–3 แหง เรยี กวา มหาภตู รปู 4)D.I.214; Vism.443; Comp.154. ท.ี สี.9/343/277; วิสทุ ฺธิ.3/11; สงคฺ ห.33.

[40] 72 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร[40] อุปาทารูป หรอื อุปาทายรูป 24 (Upàdà-råpa: derivative materiality) ก. ปสาทรูป 5 (รูปทเี่ ปนประสาทสาํ หรบั รบั อารมณ — Pasàda-råpa: sensitive material qualities) 1. จกั ขุ (ตา — Cakkhu: the eye) 2. โสตะ (หู — Sota: the ear) 3. ฆานะ (จมกู — Ghàna: the nose) 4. ชิวหา (ล้นิ — Jivhà: the tongue) 5. กาย (กาย — Kàya: the body) ข. โคจรรูป หรอื วสิ ัยรูป 5 (รปู ทีเ่ ปน อารมณหรือแดนรบั รูของอนิ ทรีย — Gocara-råpa or Visaya-råpa: material qualities of sense-fields) 6. รปู ะ (รปู — Råpa: form) 7. สัททะ (เสยี ง — Sadda: sound) 8. คันธะ (กล่ิน — Gandha: smell) 9. รสะ (รส — Rasa: taste) 0. โผฏฐัพพะ (สมั ผสั ทางกาย — Phoññhabba: tangible objects) ขอน้ีไมนับเพราะเปน อนั เดียวกับมหาภูต 3 คอื ปฐวี เตโช และ วาโย ท่กี ลา วแลวในมหาภตู ค. ภาวรูป 2 (รูปที่เปนภาวะแหงเพศ — Bhàva-råpa: material qualities of sex) 10. อิตถตั ตะ, อิตถินทรยี  (ความเปนหญิง — Itthatta: femininity) 11. ปุริสัตตะ, ปรุ ิสินทรยี  (ความเปน ชาย — Purisatta: masculinity) ง. หทยั รปู 1 (รปู คือหทัย — Hadaya-råpa: physical basis of mind) 12. หทยั วัตถุ* (ที่ตัง้ แหง ใจ, หวั ใจ — Hadaya-vatthu: heart-base) จ. ชีวติ รูป 1 (รูปท่ีเปนชีวิต — Jãvita-råpa: material quality of life) 13. ชีวติ ินทรยี  (อินทรียค อื ชวี ติ — Jãvitindriya: life-faculty; vitality; vital force) ฉ. อาหารรูป 1 (รปู คืออาหาร — âhàra-råpa: material quality of nutrition) 14. กวฬงิ การาหาร (อาหารคือคําขาว, อาหารทก่ี ิน — Kavaëiïkàràhàra: edible food; nutriment) ช. ปรจิ เฉทรปู 1 (รปู ทก่ี าํ หนดเทศะ — Pariccheda-råpa: material quality of delimitation) 15. อากาสธาตุ (สภาวะคอื ชองวาง — âkàsa-dhàtu: space-element) ญ. วิญญัติรูป 2 (รปู คอื การเคล่อื นไหวใหร คู วามหมาย — Vi¤¤atti-råpa: material quality* ขอนี้ ในพระไตรปฎก รวมท้งั อภธิ รรมปฎก ไมมี เวนแตป ฏ ฐานใชคาํ วา วัตถุ ไมม ี หทัย

หมวด 2 73 [42]of communication)16. กายวญิ ญตั ิ (การเคลือ่ นไหวใหรคู วามหมายดว ยกาย — Kàya-vi¤¤atti: bodily inti-mation; gesture)17. วจวี ิญญตั ิ (การเคล่ือนไหวใหร คู วามหมายดวยวาจา — Vacã-vi¤¤atti: verbal inti-mation; speech)ฎ. วิการรปู 5 (รปู คืออาการทดี่ ดั แปลงทาํ ใหแ ปลกใหพ ิเศษได — Vikàra-råpa: materialquality of plasticity or alterability)18. [รูปส สะ] ลหตุ า (ความเบา — Lahutà: lightness; agility)19. [รูปส สะ] มทุ ุตา (ความออ นสลวย — Mudutà: pliancy; elasticity; malleability)20. [รูปสสะ] กัมมัญญตา (ความควรแกการงาน, ใชการได — Kamma¤¤atà:adaptability; wieldiness)0. วญิ ญัตริ ปู 2 ไมน ับเพราะซาํ้ ในขอ ญ.ฏ. ลักขณรปู 4 (รูปคือลักษณะหรืออาการเปนเคร่อื งกําหนด — Lakkhaõa-råpa: materialquality of salient features)21. [รูปสสะ] อปุ จยะ (ความกอตัวหรอื เติบขึน้ — Upacaya: growth; integration)22. [รูปสสะ] สนั ตติ (ความสืบตอ — Santati: continuity)23. [รปู ส สะ] ชรตา (ความทรุดโทรม — Jaratà: decay)24. [รูปสสะ] อนิจจตา (ความปรวนแปรแตกสลาย — Aniccatà: impermanence)Dhs.127; Vism.443; Comp.155. อภิ.ส.ํ 34/504/185; วิสุทธฺ .ิ 3/11; สงฺคห.34.[41] รูป 22 (สงิ่ ท่เี ปน รา งพรอ มทัง้ คณุ และอาการ — Råpa: matter; materiality) 1. อปุ าทนิ นกรปู (รปู ทก่ี รรมยดึ ครองหรอื เกาะกมุ ไดแ กร ปู ทเ่ี กดิ จากกรรม — Upàdinnaka- råpa: kammically grasped materiality; clung-to materiality; organic matter) 2. อนุปาทินนกรูป (รูปท่ีกรรมไมยึดครองหรือเกาะกุม ไดแกรูปท่ีมิใชเกิดจากกรรม — Anupàdinnaka-råpa: kammically ungrasped materiality; not-clung-to materiality;inorganic matter)Vbh.14; Vism.450; Comp.159. อภิ.ว.ิ 35/36/19; วสิ ุทฺธ.ิ 3/20; สงคฺ ห.35.[42] ฤทธิ์ 2 (อิทธิ คือความสาํ เรจ็ ความรงุ เรอื ง — Iddhi: achievement; success;prosperity)1. อามสิ ฤทธ (อามิสเปนฤทธิ์, ความสาํ เรจ็ หรอื ความรุง เรอื งทางวตั ถุ — âmisa-iddhi:achievement of carnality; material or carnal prosperity)2. ธรรมฤทธิ์ (ธรรมเปน ฤทธิ,์ ความสาํ เร็จหรอื ความรงุ เรอื งทางธรรม — Dhamma-iddhi:

[43] 74 พจนานุกรมพุทธศาสตรachievement of righteousness; doctrinal or spiritual prosperity) A.I.93. อง.ฺ ทกุ .20/403/117.[,,] โลกบาลธรรม 2 ดู [23] ธรรมคุมครองโลก 2.[43] วิมุตติ 2 (ความหลดุ พน — Vimutti: deliverance; liberation; freedom) 1. เจโตวิมตุ ติ (ความหลดุ พน แหง จิต, ความหลดุ พนดวยอาํ นาจการฝกจติ , ความหลดุ พนแหง จติ จากราคะ ดว ยกําลังแหงสมาธิ — Cetovimutti: deliverance of mind; liberation by concentration) 2. ปญ ญาวิมตุ ติ (ความหลุดพน ดว ยปญญา, ความหลุดพนดวยอํานาจการเจรญิ ปญญา, ความ หลดุ พนแหงจิตจากอวชิ ชา ดวยปญญาท่รี ูเหน็ ตามเปนจริง — Pa¤¤àvimutti: deliverance through insight; liberation through wisdom) A.I.60. องฺ.ทกุ .20/276/78.[,,] เวทนา 2 ดู [110] เวทนา 2.[44] เวปุลละ 2 (ความไพบูลย — Vepulla: abundance) 1. อามิสเวปุลละ (อามิสไพบลู ย, ความไพบลู ยแหงอามสิ — âmisa-vepulla: abundance of material things; material abundance) 2. ธมั มเวปุลละ (ธรรมไพบลู ย ความไพบลู ยแ หงธรรม — Dhamma-vepulla: abundance of virtues; doctrinal or spiritual abundance) A.I.93. องฺ.ทุก.20/407/117.[45] สมาธิ 2 (ความตงั้ มน่ั แหง จติ , ภาวะทจี่ ติ สงบนง่ิ จบั อยทู อ่ี ารมณอ นั เดยี ว — Samàdhi: concentration) 1. อปุ จารสมาธิ (สมาธเิ ฉียดๆ, สมาธิจวนจะแนว แน — Upacàra-samàdhi: access con- centration) 2. อัปปนาสมาธิ (สมาธแิ นวแน, สมาธิแนบสนทิ , สมาธิในฌาน — Appanà-samàdhi: attainment concentration)Vism.85, 371. วิสทุ ฺธ.ิ 1/105; 2/194.[46] สมาธิ 31 (ความตงั้ มน่ั แหง จติ , ภาวะทจ่ี ติ สงบนง่ิ จบั อยทู อี่ ารมณอ นั เดยี ว — Samàdhi:concentration)1. ขณิกสมาธิ (สมาธชิ ่ัวขณะ — Khaõika-samàdhi: momentary concentration)2. อุปจารสมาธิ (สมาธิจวนจะแนว แน — Upacàra-samàdhi: access concentration)3. อปั ปนาสมาธิ (สมาธแิ นวแน — Appanà-samàdhi: attainment concentration)DhsA.117; Vism.144. สงฺคณี.อ.207; วิสุทฺธิ.1/184.

หมวด 2 75 [50][47] สมาธิ 32 (ความตัง้ มน่ั แหง จิต หมายถึงสมาธใิ นวปิ สสนา หรือตัววิปส สนานั่นเอง แยก ประเภทตามลกั ษณะการกาํ หนดพจิ ารณาไตรลกั ษณ ขอ ทใี่ หส าํ เรจ็ ความหลดุ พน — Samàdhi: concentration) 1. สญุ ญตสมาธิ (สมาธิอันพิจารณาเหน็ ความวาง ไดแ ก วปิ ส สนาทีใ่ หถ งึ ความหลดุ พน ดวย กาํ หนดอนตั ตลักษณะ — Su¤¤ata-samàdhi: concentration on the void) 2. อนมิ ิตตสมาธิ (สมาธิอันพิจารณาธรรมไมม นี มิ ิต ไดแ ก วิปสสนาทใ่ี หถงึ ความหลดุ พนดวย กาํ หนดอนิจจลักษณะ — Animitta-samàdhi: concentration on the signless) 3. อัปปณหิ ิตสมาธิ (สมาธิอนั พิจารณาธรรมไมมคี วามตั้งปรารถนา ไดแ ก วปิ ส สนาท่ใี หถงึ ความหลุดพน ดวยกําหนดทกุ ขลกั ษณะ — Appaõihita-samàdhi: concentration on the desireless or non-hankering)ดู [107] วิโมกข 3.D.III.219; A.I.299; Ps.I.49. ท.ี ปา.11/228/231; องฺ.ตกิ .20/599/385; ขุ.ปฏิ.31/92/70.[48] สังขาร 2 (สภาพทป่ี จจยั ท้ังหลายปรุงแตงขึ้น, ส่ิงท่เี กดิ จากเหตุปจ จยั — Saïkhàra:conditioned things; compounded things)1. อปุ าทินนกสงั ขาร (สังขารทกี่ รรมยดึ ครองหรอื เกาะกมุ ไดแ กอปุ าทนิ นธรรม — Upà-dinnaka-saïkhàra: kammically grasped phenomena)2. อนุปาทินนกสังขาร (สังขารท่กี รรมไมย ดึ ครองหรือเกาะกมุ ไดแกอนปุ าทนิ นธรรมทงั้ หมดเวน แตอสงั ขตธาตุ คอื นพิ พาน — Anupàdinnaka-saïkhàra: kammically ungraspedphenomena)ดู [22] ธรรม 24; [41] รปู 22; [119] สงั ขาร 3 1; [185] สงั ขาร 4 ดวย.AA.IV.50. องฺ.อ.3/223; วภิ งคฺ .อ.596.[49] สังคหะ 2 (การสงเคราะห — Saïgaha: aid; giving of help or favours; act ofaiding or supporting)1. อามสิ สังคหะ (อามิสสงเคราะห, สงเคราะหด ว ยอามิส — âmisa-saïgaha: supportingwith requisites; material aid)2. ธมั มสังคหะ (ธรรมสงเคราะห, สงเคราะหดวยธรรม — Dhamma-saïgaha: aiding byteaching or showing truth; spiritual aid) A.I.91. อง.ฺ ทุก.20/393/115.[50] สัจจะ 2 (ความจรงิ — Sacca: truth) 1. สมมติสจั จะ (ความจรงิ โดยสมมตุ ิ, ความจริงท่ขี ้นึ ตอ การยอมรับของคน, ความจริงท่ีถือ ตามความกาํ หนดหมายตกลงกันไวของชาวโลก เชน วา คน สัตว โตะ หนงั สอื เปนตน —

[51] 76 พจนานุกรมพุทธศาสตรSammati-sacca: conventional truth)2. ปรมตั ถสจั จะ (ความจริงโดยปรมตั ถ, ความจรงิ ท่มี อี ยใู นธรรมชาติ โดยไมข นึ้ ตอ การยอมรบั ของคน, ความจริงตามความหมายขน้ั สดุ ทายทีต่ รงตามสภาวะและเทา ทีจ่ ะกลาวถงึ ได เชนวารปู นาม เวทนา จติ เจตสิก เปน ตน — Paramattha-sacca: ultimate truth, absolute truth)AA.I.95; KvuA.34. องฺ.อ.1/100; ปจฺ .อ.153,182,241; ฯลฯ.[51] สาสน หรือ ศาสนา 2 (คําสอน — Sàsana: teaching; dispensation)1. ปริยัติศาสนา (คาํ สอนฝายปริยัติ, คําสอนอันจะตองเลาเรียนหรือจะตอ งชํา่ ชอง ไดแกสุตตะ เคยยะ ฯลฯ เวทลั ละ — Pariyatti-sàsana: teaching to be studied or mastered;textual or scriptural teaching; dispensation as text) = [302] นวงั คสัตถุศาสน2. ปฏิบัตศิ าสนา (คาํ สอนฝายปฏิบัต,ิ คาํ สอนท่จี ะตองปฏบิ ัติ ไดแ ก สมั มาปฏิปทา อนโุ ลม-ปฏปิ ทา อปจ จนีกปฏปิ ทา (ปฏปิ ทาทไี่ มขดั ขวาง) อนั วัตถปฏิปทา (ปฏิปทาทเี่ ปนไปตามความมุงหมาย) ธัมมานธุ ัมมปฏิปทา (ปฏิบัตธิ รรมถูกหลัก) กลา วคือ การบําเพญ็ ศีลใหบรบิ ูรณ, [128]ความคมุ ครองทวารในอนิ ทรียทงั้ หลาย โภชเนมัตตญั ตุ า ชาคริยานุโยค สตสิ ัมปชัญญะ, [182]สตปิ ฏฐาน 4, [156] สัมมัปปธาน 4, [213] อิทธบิ าท 4, [258] อนิ ทรยี  5, [228] พละ 5, [281]โพชฌงค 7, [293] มรรคมอี งค 8 — Pañipatti-sàsana: teaching to be practised;practical teaching; dispensation as practice) ทเี่ ปน สําคัญในหมวดนี้ กค็ ือ [352] โพธิ-ปก ขิยธรรม 37. Nd1143. ขุ.ม.29/232/175.[52] สุข 21 (ความสขุ — Sukha: pleasure; happiness) 1. กายกิ สุข (สขุ ทางกาย — Kàyika-sukha: bodily happiness) 2. เจตสิกสขุ (สขุ ทางใจ — Cetasika-sukha: mental happiness) A.I.80. องฺ.ทกุ .20/315/101.[53] สุข 22 (ความสขุ — Sukha: pleasure; happiness) 1. สามสิ สขุ (สขุ อิงอามสิ , สุขอาศยั เหยือ่ ลอ, สขุ จากวตั ถคุ ือกามคุณ — Sàmisa-sukha: carnal or sensual happiness) 2. นริ ามิสสุข (สขุ ไมอ ิงอามิส, สุขไมตองอาศยั เหย่ือลอ , สุขปลอดโปรง เพราะใจสงบหรือไดรู แจงตามเปน จริง — Niràmisa-sukha: happiness independent of material things or sensual desires; spiritual happiness) A.I.80. องฺ.ทกุ .20/313/101.[54] สุทธิ 2 (ความบรสิ ุทธ์,ิ ความสะอาดหมดจด — Suddhi: purity) 1. ปรยิ ายสทุ ธิ (ความบริสทุ ธ์บิ างสว น, หมดจดในบางแงบางดา น ไดแก ความบรสิ ุทธข์ิ อง

หมวด 2 77 [57]ปถุ ุชนจนถึงพระอริยบุคคลผตู ้งั อยูในอรหัตตมรรค ทคี่ รองตนบรสิ ุทธ์ดิ ว ยขอปฏิบัติหรือธรรมที่ตนเขา ถงึ บางอยา ง แตย ังมกี จิ ในการละและเจริญซึ่งจะตองทําตอไปอีก — Pariyàya-suddhi:partial purity)2. นิปปรยิ ายสุทธิ (ความบริสทุ ธ์สิ ้นิ เชงิ , หมดจดแทจรงิ เต็มความหมาย ไดแก ความบรสิ ทุ ธ์ิของพระอรหันตผูเสร็จกิจในการละและการเจริญธรรม ครองตนไรมลทินทุกประการ —Nippariyàya-suddhi: absolute purity)AA.I.293–4. อง.ฺ อ.2/4.[,,] อรหันต 2 ดู [61] อรหันต 2.[55] อริยบุคคล 2 (บคุ คลผปู ระเสริฐ, ผบู รรลุธรรมพิเศษต้ังแตโ สดาปตตมิ รรคขนึ้ ไป, ผูเปนอารยะในความหมายของพระพุทธศาสนา — Ariya-puggala: noble individuals; holypersons)1. เสขะ (พระเสขะ, พระผยู ังตองศกึ ษา ไดแ กพระอรยิ บคุ คล 7 เบ้ืองตนในจาํ นวน 8 —Sekha: the learner)2. อเสขะ (พระอเสขะ, พระผูไ มต องศึกษา ไดแ กผ บู รรลุอรหตั ตผลแลว — Asekha: theadept)ทง้ั 2 ประเภทน้ี ในบาลที ีม่ าเรยี กวา ทักขไิ ณยบุคคล 2. A.I.62. องฺ.ทุก.20/280/80.[56] อริยบุคคล 4 1. โสดาบนั (“ผถู งึ กระแส”, ทา นผบู รรลโุ สดาปต ตผิ ลแลว — Sotàpanna: Stream-Enterer) 2. สกทาคามี (“ผกู ลบั มาอกี ครง้ั เดยี ว”, ทา นผบู รรลสุ กทาคามผิ ลแลว — Sakadàgàmã:Once-Returner)3. อนาคามี (“ผไู มเ วยี นกลบั มาอกี ”, ทา นผบู รรลอุ นาคามผิ ลแลว — Anàgàmã: Non-Returner)4. อรหนั ต (“ผคู วร”, “ผหู กั กาํ แหง สงสารแลว ”, ทา นผบู รรลอุ รหตั ตผลแลว — Arahanta: theWorthy One) ดู [164] มรรค 4; [329] สงั โยชน 10 1.D.I.156. นัย ที.สี.9/250–253/199–200.[57] อริยบุคคล 8 แยกเปน มรรคสมงั คี (ผพู รอ มดว ยมรรค) 4, ผลสมังคี (ผพู รอ มดว ยผล) 41. โสดาบัน (ทา นผูบรรลุโสดาปตตผิ ลแลว , พระผตู ้งั อยูในโสดาปตติผล — one who hasentered the Stream; one established in the Fruition of Stream-Entry; Stream-Enterer)

[58] 78 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร2. ทา นผปู ฏบิ ัตเิ พื่อทําใหแ จง โสดาปต ตผิ ล (พระผูตัง้ อยูใ นโสดาปตติมรรค — one whohas worked for the realization of the Fruition of Stream-Entry; one established inthe Path of Stream-Entry)3. สกทาคามี (ทา นผบู รรลุสกทาคามิผลแลว, พระผตู ง้ั อยใู นสกทาคามผิ ล — one who is aOnce-Returner; one established in the Fruition of Once-Returning)4. ทา นผูป ฏิบตั ิเพอ่ื ทําใหแจงสกทาคามผิ ล (พระผตู งั้ อยใู นสกทาคามิมรรค — one whohas worked for the realization of the Fruition of Once-Returning; one establishedin the Path of Once-Returning)5. อนาคามี (ทานผูบ รรลอุ นาคามิผลแลว, พระผูต้ังอยใู นอนาคามิผล — one who is aNon-Returner; one established in the Fruition of Non-Returning)6. ทา นผปู ฏบิ ตั ิเพอื่ ทําใหแ จงอนาคามิผล (พระผตู ้ังอยูในอนาคามิมรรค — one whohas worked for the realization of the Fruition of Non-Returning; one establishedin the Path of Non-Returning)7. อรหันต (ทา นผูบรรลุอรหตั ตผลแลว , พระผตู ั้งอยใู นอรหัตตผล — one who is anArahant; one established in the Fruition of Arahantship)8. ทานผปู ฏิบัตเิ พอ่ื ทําใหแ จง อรหัตตผล (พระผูต ั้งอยใู นอรหัตตมรรค — one who hasworked for the realization of the Fruition of Arahantship; one established in thePath of Arahantship)ทงั้ 8 ประเภทนี้ ในบาลที ี่มาทั้งหลายเรยี กวา ทกั ขไิ ณยบุคคล 8ดู [164–5] มรรค 4 ผล 4 ดวย.D.III.255; A.IV.291; Pug 73. ท.ี ปา.11/342/267; องฺ.อฏก.23/149/301; อภิ.ป.ุ 36/150/233.[58] โสดาบัน 3 (ทา นผูบรรลโุ สดาปต ตผิ ลแลว , ผแู รกถงึ กระแสอนั นาํ ไปสูพระนพิ พานแนตอ การตรัสรูขา งหนา — Sotàpanna: Stream-Enterer)1. เอกพีชี (ผูมีพืชคอื อตั ภาพอนั เดยี ว คือ เกิดอีกครั้งเดียว กจ็ ักบรรลอุ รหัต — Ekabãjã: theSingle-Seed)2. โกลงั โกละ (ผไู ปจากสกุลสสู กุล คือ เกดิ ในตระกลู สงู อีก 2–3 คร้ัง หรอื เกิดในสุคติอีก 2–3ภพ ก็จักบรรลุอรหัต — Kolaïkola: the Clan-to-Clan)3. สัตตักขตั ตุงปรมะ (ผูมเี จด็ ครั้งเปน อยางยิง่ คือ เวยี นเกิดในสุคติภพอกี อยา งมากเพยี ง 7ครง้ั ก็จักบรรลุอรหัต — Sattakkhattu§parama: the Seven-Times-at-Most) เกณฑแบงหรือเหตใุ หเ ปน เชน น้ี กําหนดดว ยวิปส สนาและความมีอินทรียอันแกก ลา ปานกลาง และออ นกวา กนั ตามลาํ ดับA.I.233: IV.380; V.120; Pug.3,16,74. อง.ฺ ติก.20/528/302;อง.ฺ นวก.23/216/394;องฺ.ทสก.24/64/129/;อภ.ิ ปุ.36/47–9/147.

หมวด 2 79 [61][59] สกทาคามี 3, 5 (ทา นผบู รรลสุ กทาคามผิ ลแลว , ผกู ลบั มาอกี ครงั้ เดยี ว — Sakadà- gàmã: Once-Returner) พระสกทาคามีนี้ ในบาลมี ไิ ดแยกประเภทไว แตในคัมภีรร ุนหลังแยกประเภทไวหลายอยาง เชน ในคัมภีรป รมตั ถโชตกิ า แยกไวเ ปน 3 ประเภท คือ ผไู ดบ รรลุผลนัน้ ในกามภพ 1 ในรูป ภพ 1 ในอรูปภพ 1 ในคัมภีรป รมัตถมัญชุสา จาํ แนกไว 5 ประเภท คือ ผูบรรลุในโลกน้แี ลว ปรนิ พิ พานในโลก นี้เอง 1 ผบู รรลใุ นโลกน้แี ลว ปรนิ ิพพานในเทวโลก 1 ผบู รรลุในเทวโลกแลว ปรินิพพานใน เทวโลกนน้ั เอง 1 ผูบรรลุในเทวโลกแลว เกิดในโลกนีจ้ ึงปรินพิ พาน 1 ผบู รรลใุ นโลกนแ้ี ลว ไป เกดิ ในเทวโลกหมดอายุแลว กลบั มาเกดิ ในโลกนจี้ งึ ปรินิพพาน 1 และอธิบายตอ ทายวา พระ สกทาคามีท่ีกลา วถงึ ในบาลหี มายเอาประเภทที่ 5 อยา งเดียว นอกจากน้ี ทีท่ านแบงออกเปน 4 บาง 12 บาง ก็มี แตจ ะไมก ลา วไวในทนี่ ี้KhA.182. ขทุ ทฺ ก.อ.199; วิสทุ ฺธ.ิ ฏกี า3/655.[60] อนาคามี 5 (ทา นผบู รรลอุ นาคามผิ ลแลว , ผูไมเวียนกลบั มาอกี — Anàgàmã: Non-Returner)1. อันตราปรินพิ พายี (ผปู รนิ พิ พานในระหวาง คอื เกิดในสุทธาวาสภพใดภพหนงึ่ แลว อายยุ งัไมถ ึงกง่ึ ก็ปรนิ พิ พานโดยกเิ ลสปรินิพพาน — Antarà-parinibbàyã: one who attainsParinibbàna within the first half life-span)2. อุปหัจจปรนิ ิพพายี (ผูจวนจะถึงจงึ ปรนิ พิ พาน คือ อายุพน ก่ึงแลว จวนจะถงึ ส้นิ อายุจึงปรินพิ พาน — Upahacca-parinibbàyã: one who attains Parinibbàna after the firsthalf life-span)3. อสังขารปรนิ พิ พายี (ผูป รินิพพานโดยไมต อ งใชแรงชกั จงู คือ ปรนิ ิพพานโดยงาย ไมต องใชความเพยี รนัก — Asaïkhàra-parinibbàyã: one who attains Parinibbàna withoutexertion)4. สสังขารปรินิพพายี (ผูปรินพิ พานโดยใชแรงชกั จูง คอื ปรนิ พิ พานโดยตองใชความเพยี รมาก — Sasaïkhàra-parinibbàyã: one who attains Parinibbàna with exertion)5. อทุ ธงั โสโตอกนฏิ ฐคามี (ผูมกี ระแสในเบื้องบนไปสอู กนิฏฐภพ คอื เกดิ ในสทุ ธาวาสภพใดภพหนึ่งก็ตาม จะเกิดเลอ่ื นตอ ขึ้นไปจนถึงอกนฏิ ฐภพแลวจงึ ปรนิ พิ พาน — Uddha§soto-akaniññhagàmã: one who goes upstream bound for the highest realm; up-streamerbound for the Not-Junior Gods)เกณฑแบง ไดแกค วามตางแหง อนิ ทรีย มศี รัทธาเปนตน ท่ียิ่งหยอ นกวากนั A.I.233; IV.14,70,380; V.120; Pug.16. องฺ.ตกิ .20/528/302; อง.ฺ นวก.23/216/394; องฺ.ทสก.24/64/129; อภ.ิ ปุ.36/52–6/148.[61] อรหันต 2 (ผูบ รรลอุ รหัตตผลแลว , ทานผสู มควรรบั ทักษิณาและการเคารพบชู าอยาง

[62] 80 พจนานกุ รมพุทธศาสตรแทจ รงิ — Arahanta: an Arahant; arahant; Worthy One)1. สกุ ขวิปส สก (ผเู หน็ แจงอยางแหง แลง คือ ทานผูมไิ ดฌ าน สาํ เรจ็ อรหัตดวยเจรญิ แตวปิ ส สนาลว นๆ — Sukkhavipassaka: the dry-visioned; bare-insight worker)2. สมถยานิก (ผูมสี มถะเปนยาน คอื ทานผูเจรญิ สมถะจนไดฌานสมาบตั แิ ลว จงึ เจรญิวปิ ส สนาตอ จนไดสําเร็จอรหัต — Samathayànika: one whose vehicle is tranquillity;the quiet-vehicled) การจําแนกพระอรหันตเปนสองประเภทอยางนี้ มาในคัมภีรชั้นหลังเชน ปรมัตถโชติกาเปนตน ไมปรากฏในบาลีแหง ใด สรปุ คําอธบิ ายเพอ่ื เขาใจเพิม่ เติมดงั น้ี ประเภทที่ 1 คอื ทานทอ่ี าศัยเพียงอปุ จารสมาธิ เจรญิ วปิ ส สนาไปจนถึงท่สี ุด แตเ มือ่ จะสาํ เรจ็อรหตั นนั้ กเ็ ปน ผไู ดป ฐมฌาน ประเภทน้ี เรยี กอกี อยา งวา วปิ ส สนายานกิ หรอื สทุ ธวปิ ส สนายานกิ(ผมู ีวปิ ส สนาลว นๆ เปน ยาน — Suddhavipassanàyànika: one whose vehicle is pureinsight; the insight-vehicled)ประเภทที่ 2 คอื ที่บาลีเรียกวา อภุ โตภาควิมตุKhA.178,183; Vism.587,666. ขทุ ทฺ ก.อ.200; วสิ ุทฺธิ.3/206,312; วิสทุ ฺธิ.ฏีกา3/398;576.[62] อรหันต 4, 5, 60 (Arahanta: an Arahant; arahant; Worthy One)1. สกุ ขฺ วปิ สฺสโก (ผูเ จริญวปิ สสนาลว น — Sukkhavipassaka: bare-insight worker)2. เตวชิ โฺ ช (ผูไดวิชชาสาม — Tevijja: one with the Threefold Knowledge)3. ฉฬภิฺโ (ผูไ ดอภญิ ญาหก — Chaëabhi¤¤a: one with the Sixfold Super-knowledge)4. ปฏสิ มฺภทิ ปฺปตฺโต (ผูบ รรลปุ ฏิสมั ภทิ า — Pañisambhidappatta: one having attainedthe Analytic Insights) พระอรหันตท้ังส่ีในหมวดนี้ สมเด็จพระมหาสมณเจา กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงประมวลแสดงไวในหนังสอื ธรรมวภิ าค ปริเฉทที่ 2 หนา 41 พึงทราบคําอธิบายตามที่มาเฉพาะของคาํ นั้นๆ แตในคัมภรี ทง้ั หลายนยิ มจาํ แนกเปน 2 อยาง เหมอื นในหมวดกอนบาง เปน 5 อยา งบา ง ท่ีเปน 5 คือ1. ปญ ญาวมิ ตุ (ผูห ลดุ พนดวยปญญา — Pa¤¤àvimutta: one liberated by wisdom)2. อุภโตภาควิมุต (ผูหลดุ พนทั้งสองสวน คือ ไดท ้งั เจโตวมิ ุตติ ขนั้ อรปู สมาบตั กิ อน แลว ไดปญ ญาวมิ ุตติ — Ubhatobhàgavimutta: one liberated in both ways)3. เตวชิ ชะ (ผไู ดวชิ ชาสาม — Tevijja: one possessing the Threefold Knowledge)4. ฉฬภิญญะ (ผไู ดอภิญญาหก — Chaëabhi¤¤a: one possessing the Sixfold Super-knowledge)

หมวด 2 81 [63]5. ปฏิสัมภิทปั ปตตะ (ผบู รรลุปฏสิ มั ภทิ าสี่ — Pañisambhidappatta: one having gainedthe Four Analytic Insights) ท้ังหมดน้ี ยอ ลงแลว เปน 2 คอื พระปญญาวิมุต กับพระอุภโตภาควิมตุ เทานัน้ พระสุกข-วปิ ส สกท่ีกลาวถงึ ขางตน เปน พระปญ ญาวิมุต ประเภทหน่ึง (ในจาํ นวนพระปญญาวมิ ตุ 5ประเภท คอื พระสกุ ขวิปส สก และทานผไู ดฌ าน 4 ข้นั ใดข้นั หน่ึงมากอ นไดบ รรลุอรหัตตผล)พระเตวชิ ชะ กับพระฉฬภญิ ญะ เปน อุภโตภาควิมตุ ทั้งนัน้ แตท านแยกพระอุภโตภาควมิ ุตไวเปน ขอ หนง่ึ ตางหาก เพราะพระอุภโตภาควิมตุ ทไ่ี มไดโ ลกยี วิชชาและโลกียอภญิ ญา กม็ ี สว นพระปฏิสัมภิทัปปต ตะ ไดความแตกฉานท้งั สด่ี วยปจ จยั ทัง้ หลาย คือ การเลาเรยี น สดบั สอบคนประกอบความเพียรไวเกา และการบรรลุอรหัต. พระอรหนั ต 5 นัน้ แตล ะประเภท จําแนกโดยวโิ มกข 3 รวมเปน 15 จาํ แนกออกไปอกี โดยปฏิปทา 4 จึงรวมเปน 60 ความละเอยี ดในขอนี้ จะไมแ สดงไว เพราะจะทําใหฟ น เฝอ ผตู อ งการทราบยิง่ ขึ้นไป พงึ นาํ หลกั ท่ีกลาวมาต้งั เปนเกณฑจ ําแนกไดเ องดู [61] อรหันต 2; [106] วชิ ชา 3; [155] ปฏสิ มั ภทิ า 4; [274] อภิญญา 6.Vism.710. วิสุทธฺ ิ.3/373; วสิ ุทธฺ ิ.ฏีกา3/657.[63] อริยบุคคล 7 (บุคคลผูประเสริฐ — Ariyapuggala: noble individuals) เรียงจากสูงลงมา1. อุภโตภาควมิ ตุ (ผูห ลดุ พนท้งั สองสว น คอื ทา นทไ่ี ดสัมผสั วิโมกข 8 ดว ยกาย และส้ินอาสวะแลวเพราะเหน็ ดว ยปญญา หมายเอาพระอรหันตผ ไู ดเจโตวิมุตติข้ันอรปู สมาบตั ิมากอนที่จะไดปญ ญาวิมตุ ติ — Ubhatobhàgavimutta: one liberated in both ways)2. ปญญาวมิ ตุ (ผหู ลุดพนดวยปญ ญา คือ ทา นทมี่ ิไดสมั ผสั วโิ มกข 8 ดวยกาย แตสนิ้ อาสวะแลว เพราะเหน็ ดว ยปญ ญา หมายเอาพระอรหนั ตผ ไู ดป ญ ญาวมิ ตุ ตกิ ส็ าํ เรจ็ เลยทเี ดยี ว — Pa¤¤a-vimutta: one liberated by understanding)3. กายสกั ขี (ผเู ปน พยานดว ยนามกาย หรอื ผูประจักษกับตวั คือ ทา นท่ไี ดส ัมผัสวโิ มกข 8ดวยกาย และอาสวะบางสวนกส็ ิ้นไปเพราะเหน็ ดวยปญ ญา หมายเอาพระอรยิ บคุ คลผูบ รรลุโสดาปตตผิ ลแลว ขนึ้ ไป จนถึงเปน ผปู ฏบิ ัติเพือ่ อรหตั ทม่ี ีสมาธนิ ทรียแกกลา ในการปฏิบัติ — Kàya-sakkhã: the body-witness)4. ทิฏฐิปปตตะ (ผบู รรลุสัมมาทฏิ ฐิ คือ ทา นท่เี ขาใจอริยสจั จธรรมถกู ตอ งแลว และอาสวะบางสวนกส็ นิ้ ไปเพราะเห็นดวยปญ ญา หมายเอาพระอริยบคุ คลผบู รรลโุ สดาปต ติผลแลว ขน้ึ ไป จนถงึ เปน ผูปฏบิ ตั เิ พ่ืออรหตั ทม่ี ปี ญญินทรียแกกลาในการปฏบิ ัติ — Diññhippatta: one attainedto right view)5. สัทธาวมิ ุต (ผูหลุดพนดวยศรัทธา คอื ทา นท่เี ขา ใจอริยสัจจธรรมถกู ตอ งแลว และอาสวะบางสวนกส็ น้ิ ไปเพราะเห็นดวยปญ ญา แตม ีศรทั ธาเปนตวั นํา หมายเอาพระอริยบคุ คลผบู รรลุโสดาปตตผิ ลแลวขน้ึ ไป จนถงึ เปนผูปฏบิ ัตเิ พือ่ อรหตั ท่มี ีสทั ธินทรียแกกลาในการปฏิบัติ —

[63] 82 พจนานุกรมพุทธศาสตรSaddhàvimutta: one liberated by faith)6. ธัมมานุสารี (ผแู ลน ไปตามธรรม หรอื ผแู ลนตามไปดวยธรรม คือ ทานผูป ฏิบตั เิ พอื่ บรรลุโสดาปต ติผลที่มปี ญญนิ ทรยี แกกลา อบรมอริยมรรคโดยมปี ญ ญาเปน ตัวนาํ ทานผนู ีถ้ า บรรลุผลแลวกลายเปน ทิฏฐปิ ปต ตะ — Dhammànusàrã: the truth-devotee)7. สัทธานุสารี (ผูแลน ไปตามศรัทธา หรอื ผูแลน ตามไปดว ยศรทั ธา คอื ทานผปู ฏบิ ัตเิ พื่อบรรลุโสดาปต ติผลที่มีสัทธินทรียแ กกลา อบรมอรยิ มรรคโดยมศี รทั ธาเปนตวั นํา ทานผูน ถ้ี าบรรลุผลแลวกลายเปน สทั ธาวมิ ตุ — Saddhànusàrã: the faith-devotee)กลาวโดยสรุปบคุ คลประเภทที่ 1 และ 2 (อภุ โตภาควมิ ตุ และปญญาวิมตุ ) ไดแ กพระอรหนั ต 2 ประเภท บคุ คลประเภทที่ 3, 4 และ 5 (กายสกั ขี ทฏิ ฐิปปต ตะ และสทั ธาวิมตุ ) ไดแ กพระโสดาบันพระสกทาคามี พระอนาคามี และทา นผตู ้ังอยูในอรหตั ตมรรค จาํ แนกเปน 3 พวกตามอนิ ทรียที่แกกลา เปนตัวนําในการปฏบิ ัติ คอื สมาธินทรีย หรือปญ ญินทรยี  หรอื สทั ธินทรีย บุคคลประเภทที่ 6 และ 7 (ธมั มานุสารี และสทั ธานุสารี) ไดแกทานผูต้งั อยใู นโสดาปต ต-ิมรรค จาํ แนกตามอนิ ทรียท่ีเปน ตวั นําในการปฏิบัติ คอื ปญญินทรยี  หรอื สทั ธนิ ทรีย อยา งไรกต็ าม ขอ ความทีอ่ ธบิ ายมาเกย่ี วกับบุคคลประเภทที่ 3, 4, 5 บางคมั ภีรก ลาววาเปนการแสดงโดยนปิ ปริยาย คอื แสดงความหมายโดยตรงจาํ เพาะลงไป แตในคัมภีรปฏสิ มั ภทิ ามคั คทา นแสดงความหมายโดยปริยาย เรยี กผูทีป่ ฏิบัติโดยมสี ัทธนิ ทรียเปนตวั นาํ วาเปน สัทธาวิมตุตั้งแตบ รรลโุ สดาปตตผิ ล ไปจนบรรลุอรหตั ตผล; เรียกผูปฏบิ ัตโิ ดยมีสมาธินทรยี เ ปน ตัวนาํ วาเปน กายสักขี ต้ังแตบรรลุโสดาปตติมรรค ไปจนบรรลุอรหัตตผล; เรียกผูท่ีปฏิบัติโดยมีปญญินทรยี เปนตวั นาํ วาเปน ทฏิ ฐปิ ปตตะ ตัง้ แตบ รรลโุ สดาปต ติผลไปจนบรรลอุ รหตั ตผล;โดยนยั นีจ้ งึ มีคาํ เรียกพระอรหันตว า สทั ธาวิมุต หรือ กายสักขี หรอื ทฏิ ฐปิ ปตตะ ไดด ว ย แตถาถือศพั ทเครงครัด กม็ แี ต อุภโตภาควมิ ตุ กบั ปญญาวิมตุ เทาน้ัน ในฎีกาแหงวิสุทธิมคั คคอื ปรมตั ถมญั ชุสา มคี ําอธิบายวา ผไู มไ ดว ิโมกข 8 เมื่อต้งั อยใู นโสดาปตตมิ รรคเปน สทั ธานสุ ารี หรือ ธมั มานสุ ารี อยา งใดอยางหน่ึง ตอ จากนัน้ เปน สัทธาวมิ ุต หรือทิฏฐิปปตตะ จนไดสําเรจ็ อรหตั ตผล จงึ เปน ปญญาวมิ ุต; ผูไดวิโมกข 8 เม่อื ต้งั อยใู นโสดาปตตมิ รรคเปน สทั ธานุสารี หรอื ธัมมานุสารี อยา งใดอยางหนง่ึ ตอ จากนนั้ เปน กายสกั ขีเมอื่ สาํ เร็จอรหตั ตผล เปน อุภโตภาควมิ ุต นอกจากน้ี มีขอสงั เกตวา บุคคลประเภทกายสกั ขีนเี่ องที่ไดช ือ่ วา สมถยานิก; สวนคําวาปญญาวิมุต บางแหงมีคําจาํ กัดความแปลกออกไปจากนี้วา ไดแกผ ูท บ่ี รรลุอรหตั โดยไมไดโลกียอภญิ ญา 5 และอรปู ฌาน 4 (ส.ํ นิ.16/283–9/147–150; S.II.121.)อรยิ บุคคล 7 นี้ ในพระสุตตันตปฎก นยิ มเรียกวา ทักขไิ ณยบุคคล 7.D.III.105,254; A.I.118; Ps.II.52; Pug.10,73; Vism.659. ท.ี ปา.11/80/115; 336/266; องฺ.ติก.20/460/148; ขุ.ปฏ.ิ 31/493–5/380–3; อภ.ิ ปุ.36/13/139; วสิ ทุ ธิ.3/302; วสิ ุทธ.ิ ฏกี า3/562–568.

หมวด 2 83 [65][64] อัตถะ 2 (อรรถ, ความหมาย — Attha: meaning) พระสูตรทพี่ ระพทุ ธเจา ตรัส วา โดยการแปลความหมาย มี 2 ประเภท คอื 1. เนยยตั ถะ ([พระสตู ร]ซง่ึ มีความหมายทีจ่ ะตองไขความ, พทุ ธพจนท ีต่ รสั ตามสมมติ อันจะ ตองเขาใจความจริงแททซี่ อ นอยูอีกชัน้ หน่ึง เชน ท่ีตรสั เรื่องบุคคล ตัวตน เรา–เขา วา บุคคล 4 ประเภท, ตนเปนท่พี ่งึ ของตน เปนตน — Neyyattha: with indirect meaning; with meaning to be defined, elucidated or interpreted) 2. นตี ตั ถะ ([พระสูตร]ซึ่งมีความหมายทีแ่ สดงชัดโดยตรงแลว , พุทธพจนทต่ี รัสโดยปรมัตถ ซงึ่ มคี วามหมายตรงไปตรงมาตามสภาวะ เชนท่ีตรสั วา รปู เสียง กลน่ิ รส เปนตน — Nãtattha: with direct or manifest meaning; with defined or elucidated meaning) ผใู ดแสดงพระสตู รที่เปนเนยยัตถะ วา เปน นีตตั ถะ หรือแสดงพระสูตรทเ่ี ปนนตี ัตถะ วาเปน เนยยตั ถะ ผนู นั้ ช่อื วา กลาวตพู ระตถาคต. A.I. 60 องฺ.ทุก.20/270/76[65] อุปญญาตธรรม 2 (ธรรมทพี่ ระพทุ ธเจา ไดท รงปฏิบตั ิเหน็ คุณประจกั ษก ับพระองค เอง คอื พระองคไดท รงอาศัยธรรม 2 อยา งนีด้ ําเนนิ อริยมรรคาจนบรรลุจุดหมายสงู สุด คือ สัมมาสมั โพธญิ าณ — Upa¤¤àta-dhamma: two virtues realized or ascertained by the Buddha himself) 1.อสนตฺ ุฏิตา กสุ เลสุ ธมฺเมสุ (ความไมสนั โดษในกศุ ลธรรม, ความไมรูอิ่มไมร พู อใน การสรา งความดีและสิ่งท่ีดี — Asantuññhità kusalesu dhammesu: discontent in moral states; discontent with good achievements) 2.อปฺปฏิวาณิตา ปธานสมฺ ึ (ความไมระยอ ในการพากเพียร, การเพยี รพยายามกาวหนา เรอื่ ยไปไมย อมถอยหลงั — Appañivàõità padhànasmi§: perseverance in exertion; unfaltering effort)D.III.214; A.I.50,95; Dhs.8,234. ที.ปา.11/227/227; อง.ฺ ทกุ .20/251/64; 422/119; อภ.ิ ส.ํ 34/15/8; 875/339.

ติกะ — หมวด 3 Groups of Three (including related groups)[66] กรรม 3 (การกระทาํ , การกระทาํ ท่ปี ระกอบดวยเจตนา ดกี ต็ าม ชว่ั กต็ าม — Kamma: action; deed) 1. กายกรรม (กรรมทําดวยกาย, การกระทําทางกาย — Kàya-kamma: bodily action) 2. วจกี รรม (กรรมทาํ ดวยวาจา, การกระทําทางวาจา — Vacã-kamma: verbal action) 3. มโนกรรม (กรรมทําดวยใจ, การกระทาํ ทางใจ — Mano-kamma: mental action)M.I.373. ม.ม.13/64/56.[67] กุศลมูล 3 (รากเหงา ของกุศล, ตน ตอของความดี — Kusala-måla: wholesomeroots; roots of good actions)1. อโลภะ (ความไมโ ลภ, ธรรมท่เี ปน ปฏิปก ษก ับโลภะ, ความคดิ เผื่อแผ, จาคะ — Alobha:non-greed; generosity)2. อโทสะ (ความไมคิดประทษุ ราย, ธรรมท่ีเปน ปฏปิ ก ษก บั โทสะ, เมตตา — Adosa: non-hatred; love)3. อโมหะ (ความไมห ลง, ธรรมทเี่ ปนปฏิปก ษก บั ความหลง, ปญ ญา — Amoha: non-delusion; wisdom)D.III.275. ท.ี ปา.11/394/292.[68] อกุศลมูล 3 (รากเหงาของอกุศล, ตนตอของความช่ัว — Akusala-måla:unwholesome roots; roots of bad actions)1. โลภะ (ความอยากได — Lobha: greed)2. โทสะ (ความคิดประทุษรา ย — Dosa: hatred)3. โมหะ (ความหลง — Moha: delusion)D.III.275; It.45. ท.ี ปา.11/393/291; ขุ.อติ .ิ 25/228/264.[69] กุศลวิตก 3 (ความตรกึ ทเ่ี ปน กศุ ล, ความนกึ คดิ ทดี่ งี าม — Kusala-vitakka:wholesome thoughts)1. เนกขัมมวติ ก (ความตรึกปลอดจากกาม, ความนึกคิดในทางเสยี สละ ไมต ดิ ในการปรนปรอืสนองความอยากของตน — Nekkhamma-vitakka: thought of renunciation; thought freefrom selfish desire)

หมวด 3 85 [72]2. อพยาบาทวิตก (ความตรกึ ปลอดจากพยาบาท, ความนกึ คดิ ท่ีประกอบดวยเมตตา ไมข ดัเคืองหรอื เพง มองในแงร าย — Abyàpàda-vitakka: thought free from hatred)3. อวหิ งิ สาวติ ก (ความตรกึ ปลอดจากการเบยี ดเบยี น, ความนกึ คดิ ทปี่ ระกอบดว ยกรณุ าไมค ดิ รา ยหรอื มงุ ทาํ ลาย — Avihi§sà-vitakka: thought of non-violence; thought free from cruelty)A.III.446. อง.ฺ ฉกฺก.22/380/496.[70] อกุศลวิตก 3 (ความตรกึ ที่เปน อกศุ ล, ความนกึ คดิ ทไี่ มด ี — Akusala-vitakka:unwholesome thoughts)1. กามวิตก (ความตรึกในทางกาม, ความนึกคิดในทางแสหาหรือพัวพันติดของในสิ่งสนองความอยาก — Kàma-vitakka: thought of sensual pleasures)2. พยาบาทวติ ก (ความตรกึ ในทางพยาบาท, ความนกึ คดิ ทป่ี ระกอบดว ยความขดั เคอื งเพง มองในแงร า ย — Byàpàda-vitakka: thought full of hatred or ill-will; malevolent thought)3. วหิ งิ สาวิตก (ความตรกึ ในทางเบียดเบียน, ความนกึ คดิ ในทางทําลาย ทาํ รายหรอื กอ ความเดือดรอ นแกผ อู นื่ — Vihi§sà-vitakka: thought of violence or cruelty; cruel thought)A.III.446. องฺ.ฉกฺก.22/380/496.[71] โกศล 3 (ความฉลาด, ความเชยี่ วชาญ — Kosalla: skill; proficiency)1. อายโกศล (ความฉลาดในความเจริญ, รอบรูท างเจรญิ และเหตขุ องความเจรญิ — âya-kosalla: proficiency as to gain or progress)2. อปายโกศล (ความฉลาดในความเสอื่ ม, รอบรทู างเสอ่ื มและเหตขุ องความเสอ่ื ม — Apàya-kosalla: proficiency as to loss or regress)3. อปุ ายโกศล (ความฉลาดในอบุ าย, รอบรวู ธิ แี กไ ขเหตกุ ารณแ ละวธิ ที จี่ ะทาํ ใหส าํ เรจ็ — Upàya-kosalla: proficiency as to means and methods)D.III.220; Vbh.325. ที.ปา.11/228/231; อภ.ิ วิ.35/807/439.[72] ญาณ 31 (ความหย่งั ร,ู ปรีชาหย่ังรู — ¥àõa: insight; knowledge)1. อตีตังสญาณ (ญาณหย่ังรูสวนอดีต, รูอดีตและสาวหาเหตุปจจัยอันตอเน่ืองมาได —Atãta§sa-¤àõa: insight into the past; knowledge of the past)2. อนาคตังสญาณ (ญาณหย่ังรูสวนอนาคต, รูอนาคต หยง่ั ผลทจี่ ะเกดิ สืบตอ ไปได —Anàgata§sa-¤àõa: insight into the future; knowledge of the future)3. ปจจุปปน นังสญาณ (ญาณหยั่งรูสว นปจ จุบัน, รปู จจบุ นั กําหนดไดถ งึ องคประกอบและเหตปุ จ จัยของเรอ่ื งทีเ่ ปนไปอยู — Paccuppanna§sa-¤àõa: insight into the present;knowledge of the present)D.III.275. ท.ี ปา.11/396/292.

[73] 86 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร[73] ญาณ 32 (ความหยัง่ รู, ปรชี าหย่งั รู — ¥àõa: insight; knowledge) 1. สจั จญาณ (หยัง่ รูสจั จะ คอื ความหยง่ั รอู ริยสัจจ 4 แตล ะอยา งตามทเ่ี ปน ๆ วา นที้ ุกข นี้ ทกุ ขสมทุ ยั นท้ี ุกขนิโรธ นีท้ ุกขนโิ รธคามินปี ฏปิ ทา — Sacca-¤àõa: knowledge of the Truths as they are) 2. กิจจญาณ (หย่ังรกู จิ คอื ความหยัง่ รกู ิจอันจะตอ งทําในอริยสจั จ 4 แตล ะอยางวา ทกุ ขควร กําหนดรู ทกุ ขสมุทัยควรละเสีย เปน ตน — Kicca-¤àõa: knowledge of the functions with regard to the respective Four Noble Truths) 3. กตญาณ (หยัง่ รกู ารอันทําแลว คอื ความหย่ังรูว า กจิ อันจะตอ งทําในอริยสัจจ 4 แตละอยา ง นน้ั ไดทําเสรจ็ แลว — Kata-¤àõa: knowledge of what has been done with regard to the respective Four Noble Truths) ญาณ 3 ในหมวดนี้ เน่ืองดว ยอริยสจั จ 4 โดยเฉพาะ เรียกชือ่ เตม็ ตามทมี่ าวา ญาณ-ทัสสนะ อนั มปี รวิ ฏั ฏ 3 (ญาณทัสสนะมรี อบ 3 หรือ ความหยงั่ รหู ย่งั เหน็ ครบ 3 รอบ — thrice- revolved knowledge and insight) หรือ ปรวิ ฏั ฏ 3 แหงญาณทสั สนะ (the three aspects of intuitive knowledge regarding the Four Noble Truths) ปรวิ ฏั ฏ หรอื วนรอบ 3 นี้ เปน ไปในอรยิ สจั จท งั้ 4 รวมเปน 12 ญาณทสั สนะนนั้ จงึ ไดช อื่ วา มีอาการ 12 (twelvefold intuitive insight หรอื knowing and seeing under twelve modes) พระผมู พี ระภาคทรงมีญาณทสั สนะตามเปน จรงิ ในอรยิ สัจจ 4 ครบวนรอบ 3 มอี าการ 12(ตปิ ริวฏฏํ ทวฺ าทสาการํ ยถาภตู ํ าณทสสฺ นํ ) อยา งนแี้ ลว จึงปฏิญาณพระองคไ ดวาทรงบรรลุอนุตตรสมั มาสัมโพธญิ าณแลว. ดู [205] กจิ ในอรยิ สัจจ 4.Vin.I.11; S.V.422. วนิ ย.4/16/21; ส.ํ ม.19/1670/530; ส.ํ อ.3/409.[74] ตัณหา 3 (ความทะยานอยาก — Taõhà: craving)1. กามตณั หา (ความทะยานอยากในกาม, ความอยากไดกามคุณ คือส่ิงสนองความตองการทางประสาทท้ังหา — Kàma-taõhà: craving for sensual pleasures; sensual craving)2. ภวตณั หา (ความทะยานอยากในภพ, ความอยากในภาวะของตัวตนทจี่ ะได จะเปนอยางใดอยา งหนงึ่ อยากเปน อยากคงอยตู ลอดไป, ความใครอ ยากทป่ี ระกอบดว ยภวทฏิ ฐหิ รอื สสั สตทฏิ ฐิ— Bhava-taõhà: craving for existence)3. วิภวตัณหา (ความทะยานอยากในวิภพ, ความอยากในความพรากพนไปแหงตัวตนจากความเปนอยางใดอยา งหนึง่ อันไมป รารถนา อยากทําลาย อยากใหด บั สูญ, ความใครอยากที่ประกอบดว ยวิภวทิฏฐิหรืออุจเฉททฏิ ฐิ — Vibhava-taõhà: craving for non-existence;craving for self-annihilation)A.III.445; Vbh.365. อง.ฺ ฉกกฺ .22/377/494; อภิ.วิ.35/933/494.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook