Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ศวช. ป4-6

หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ศวช. ป4-6

Published by Opor Kanuengnit Chaloempong, 2022-08-17 05:10:42

Description: หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ศวช. ป4-6

Search

Read the Text Version

147 แบบบันทกึ ปฏิบตั ติ นเป็นพลเมอื งดี คําชแ้ี จง ให้นกั เรยี นบันทึกปฏิบัตติ นเป็นเยาวชนท่ีดี โดยครอบคลมุ ในเรอ่ื ง การทาํ ประโยชนใ์ นโรงเรยี นและ สงั คม พฤติกรรม ผลดจี ากการปฏิบตั ิ ผลเสียจากการไม่ปฏบิ ตั ิ ตวั อย่าง สภาพแวดล้อมดี สภาพแวดล้อมเสื่อมโทรม การเกบ็ ขยะใน ไม่มสี ง่ิ สกปรก บรเิ วณพ้ืนทส่ี ว่ นรวมมีสง่ิ สกปรก โรงเรียน/ชุมชน

148 หน่วยที่ ๑ การคิดแยกแยะระหวา่ งผลประโยชน์ส่วนตน กับผลประโยชนส์ ่วนรวม

149 แผนการจดั การเรียนรู้ หน่วยที่ ๑ ช่อื หน่วย การคิดแยกแยะระหวา่ งผลประโยชนส์ ว่ นตนกบั ผลประโยชนส์ ว่ นรวม ช้นั ประถมศกึ ษาปที ี่ ๕ แผนการจดั การเรียนรู้ที่ ๑ เรอื่ ง การคิดแยกแยะ เวลา ๒ ชั่วโมง ๑. ผลการเรียนรู้ ๑.๑ นักเรียนมคี วามรู้ ความเข้าใจเกย่ี วกับการแยกแยะระหว่างผลประโยชนส์ ่วนตน กบั ผลประโยชน์ สว่ นรวม ๒. จุดประสงค์การเรียนรู้ ๒.๑ นกั เรยี นสามารถบอกความหมายของผลประโยชนส์ ว่ นตนได้ ๒.๒ นกั เรียนสามารถบอกความหมายของผลประโยชนส์ ว่ นรวมได้ ๒.๓ นักเรียนสามารถแยกแยะผลประโยชนส์ ว่ นตนกับผลประโยชนส์ ่วนรวมได้ ๓. สาระการเรยี นรู้ ๓.๑ ความรู้ การคดิ แยกแยะระหว่างผลประโยชนส์ ว่ นตนกบั ผลประโยชนส์ ่วนรวม - ผลประโยชนส์ ่วนตน หมายถงึ ผลตอ่ บุคคลหรือกลมุ่ ในด้านของการงานหรือธุรกิจ รวมถงึ การ ติดตอ่ สัมพันธก์ บั เพื่อน ญาติ ที่ประสงค์ให้คนเหล่านไ้ี ด้ประโยชน์ - ผลประโยชน์ ส่วนรวม หมายถึง ผลประโยชน์ ของชมุ ชนโดยรวม ไมใ่ ชผ่ ลประโยชน์ ส่วนบคุ คล อาจไดม้ าโดยการเสยี สละประโยชน์ส่วนตน - การจาแนกแยกแยะผลประโยชน์ส่วนตนกบั ผลประโยชนส์ ่วนรวมหมายถึง แยกไดว้ ่า การกระทาใดเป็นผลประโยชนส์ ่วนตนและการกระทาใดเป็นผลประโยชน์ส่วนรวม ๓.๒ สมรรถนะสาคญั ของผูเ้ รยี น ๑) ความสามารถในการส่ือสาร ๒) ความสามารถในการคิด ๓.๓ คณุ ลกั ษณะทพี่ งึ ประสงค์ ซอื่ สัตยส์ ุจริต ๔. กจิ กรรมการเรยี นรู้ ๔.๑ ข้นั ตอนการเรียนรู้ ๑) ชว่ั โมงที่ ๑ ๑) ครใู หน้ กั เรียนชมวดี ีทศั นข์ ่าวเร่อื ง แกไ้ ม่จบสี่แยกกล้วยแขกทารถตดิ ผดิ กฎหมาย ๒) ครตู ง้ั คาถาม ดงั นี้ - อะไรเป็นสาเหตทุ ที่ าให้แมค่ ้าต้องมาเรข่ ายกล้วยแขกตามสี่แยกไฟแดง - การกระทาของแม่ค้ามผี ลกระทบอะไรบ้าง ๓) ครูใหน้ ักเรียนแบง่ กลุ่ม กลมุ่ ละ ๔ – ๕ คน

150 ๔) ครูให้นกั เรียนแตล่ ะกลมุ่ ไปแสวงหาข้อมูลเกย่ี วกบั การกระทาทแ่ี สดงให้เห็นถึงผลประโยชน์ สว่ นตนหรือผลประโยชน์ส่วนรวม จากแหลง่ เรยี นรู้ต่าง เช่น ห้องสมดุ โรงเรยี น หนงั สือพิมพ์ อินเทอรเ์ นต็ ฯลฯ ๕) ครใู หน้ กั เรยี นนาขอ้ มลู ทีไ่ ดม้ าเขียนแยกลงในใบงานทก่ี าหนดให้ถกู ตอ้ ง ๒) ชวั่ โมงที่ ๒ ๑. ใหน้ กั เรยี นแตล่ ะกลมุ่ นาเสนอขอ้ มูลเกี่ยวกบั การกระทาทแี่ สดงใหเ้ ห็นถึงผลประโยชน์สว่ นตน กบั ผลประโยชน์สว่ นรวมหน้าชน้ั เรยี น ๒. ครูและนกั เรียนร่วมกนั สรปุ การคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชนส์ ว่ นตนกบั ผลประโยชนส์ ว่ นรวม ดงั นี้ - ผลประโยชน์ส่วนตน หมายถึง ผลประโยชนท์ ี่ทาแล้ว ตนเองเปน็ ผไู้ ดร้ ับประโยชน์ - ผลประโยชน์สว่ นรวม หมายถงึ ผลประโยชนท์ ่ีทาแล้ว ส่วนรวมเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์ ๓. ให้นักเรยี นแตล่ ะกลมุ่ จัดทาปาู ยนิเทศ เรือ่ ง การคดิ แยกแยะผลประโยชนส์ ่วนตนกับผลประโยชน์ ส่วนรวม แลว้ นาไปติดภายในบริเวณโรงเรียน เชน่ ปาู ยประชาสมั พนั ธข์ องโรงเรยี น หน้าหอ้ งสมุด โรงอาหาร สนามเดก็ เล่น ฯลฯ เพ่อื สรา้ งความตระหนกั และใหเ้ ห็นความสาคัญ ของการคิดแยกแยะระหวา่ งผลประโยชน์ส่วนตนกบั ผลประโยชน์ส่วนรวม ๔.๒ สื่อการเรยี นรู้ / แหลง่ การเรยี นรู้ ๑) วีดิทัศน์ขา่ ว เรอ่ื ง แก้ไม่จบสี่แยกกล้วยแขกทารถติด ผดิ กฎหมาย ๒) ใบงาน เรอ่ื ง การแยกแยะผลประโยชน์สว่ นตนกบั ผลประโยชนส์ ว่ นรวม ๓) หนงั สือพิมพ์ ๔) หอ้ งสมุดโรงเรยี น ๕) อนิ เทอรเ์ น็ต ๕. การประเมินผลการเรยี นรู้ ๕.๑ วธิ กี ารประเมนิ ๑) ทดสอบ เรื่อง การคดิ แยกแยะระหวา่ งผลประโยชนส์ ว่ นตนกับผลประโยชน์สว่ นรวม ๒) สงั เกตพฤติกรรม ซอ่ื สตั ยส์ จุ รติ ๕.๒ เคร่อื งมอื ทใ่ี ช้ในการประเมิน ๑) แบบทดสอบ เรอื่ ง การคดิ แยกแยะระหวา่ งผลประโยชนส์ ่วนตนกบั ผลประโยชนส์ ่วนรวม ๒) แบบสังเกตพฤติกรรม ซ่อื สัตยส์ จุ รติ ๕.๓ เกณฑ์การตดั สิน นักเรียนผ่านเกณฑ์การประเมินรอ้ ยละ ๘๐ ขน้ึ ไป ถอื วา่ ผา่ น ๖. บันทึกหลงั การจัดการเรียนรู้ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..………………… ๗. ความคดิ เหน็ ผบู้ รหิ าร ลงชื่อ ................................................ ครผู สู้ อน (...............................................) ........................................................................................................................................................................................................ ....................................................................................................................................................................................................... ลงชอ่ื .....................................ผู้บริหาร (นายกศุ ล ชมุ ปัญญา) ผู้อานวยการโรงเรยี นบ้านศรวี ชิ า “ครุ ุราษฎร์อทุ ศิ ”

151 ๗. ภาคผนวก ใบงาน เร่ือง การคดิ แยกแยะระหวา่ งผลประโยชน์สว่ นตน กบั ผลประโยชน์ส่วนรวม ชอ่ื ............................................................................................................................ช้นั ..............เลขที่................ คาช้ีแจง ใหน้ กั เรยี นนาขอ้ มูลทส่ี ืบค้นมาแยกลงในตาราง ให้ถูกต้อง การกระทาท่แี สดงให้เหน็ ถึงผลประโยชนส์ ่วนตน การกระทาทแี่ สดงให้เห็นถึงผลประโยชน์สว่ นรวม ๑)............................................................................................ ๑).............................................................................................. ................................................................................................ .................................................................................................. ................................................................................................ .................................................................................................. ๒)............................................................................................. ๒)............................................................................................... .................................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................................... ๓)............................................................................................. ๓).............................................................................................. .................................................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................................................. ๔)............................................................................................. ๔)............................................................................................ .................................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................................... ๕)............................................................................................. ๕).......................................................................................... .................................................................................................................................................................................................. ..................................................................................................................................................................................................

152 แบบทดสอบ เรื่อง การคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชนส์ ่วนตน กับผลประโยชนส์ ่วนรวม ช่ือ.............................................................................................................ชนั้ .....................เลขท.ี่ ................. คาช้แี จง ใหน้ กั เรยี นเขียนเคร่อื งหมาย √ หนา้ ขอ้ ความทีเ่ ป็นการกระทาทีแ่ สดงใหเ้ หน็ ถึงผลประโยชนส์ ่วนรวม และเขียนเครอื่ งหมาย x หน้าขอ้ ความที่เปน็ การกระทาทีแ่ สดงใหเ้ ห็นถึงผลประโยชนส์ ่วนตน ________ ๑. เด็กชายตณิ ขรี่ ถจักรยานยนตบ์ นทางเท้าสาธารณะ ________ ๒. เดก็ ชายก้องช่วยเกบ็ ขยะในบรเิ วณโรงเรยี น ________ ๓. เดก็ ชายตูนไม่ตอ่ แถวซื้ออาหาร ________ ๔. เดก็ หญิงแพรวาชว่ ยรดนา้ ต้นไมภ้ ายในบรเิ วณโรงเรียน ________ ๕. เด็กหญิงดารนิ สมัครเปน็ คณะกรรมการโรงเรยี น ________ ๖. นายโจ้นาอาหารข้นึ มารบั ประทานบนรถสาธารณะ ________ ๗. นายเรวตั นาโทรศพั ทม์ อื ถอื มาชาร์จแบตเตอรร์ ี่ในสถานที่ราชการ ________ ๘. เด็กหญงิ พลอยใสอาสาพานอ้ งอนบุ าลไปส่งถงึ ห้องเรยี น ________ ๙. นายแบงค์นาสนุ ขั ของตนเองไปถา่ ยมลู ในท่ีสาธารณะ ________ ๑๐. นายพรเทพขบั แทก็ ซี่นาทรพั ย์สนิ ท่เี กบ็ ไดข้ องผูโ้ ดยสารไปส่งทสี่ ถานตี ารวจ

153 แบบสงั เกตพฤตกิ รรม เรอ่ื ง ซอื่ สตั ย์สจุ รติ คาชีแ้ จง ใหน้ กั เรยี นเขียนเครือ่ งหมาย ลงในช่องทต่ี รงกับพฤติกรรมท่ีเกิดขึน้ จรงิ รายการ รจู้ กั สรุปผล การประเมนิ พูด แยกแยะ ความ เลขท่ี ช่ือ - สกุล จริง ไม่ลกั ตรงไป ทาตัว ประโยชน์ ขโมย ตรงมา นา่ เชอ่ื ถอื ส่วนตน กับ ประโยชน์ ส่วนรวม ผ่าน ไม่ผา่ น เกณฑ์การประเมนิ ผ่านตง้ั แต่ ๓ รายการ ถือวา่ ผา่ น ผ่าน๒ รายการ ถือว่า ไมผ่ ่าน ลงชอ่ื ผู้ประเมิน () ///

154 แผนการจดั การเรียนรู้ หน่วยที่ ๑ ช่ือหน่วย การคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนกบั ผลประโยชนส์ ่วนรวม ชน้ั ประถมศึกษาปที ่ี ๕ แผนการจดั การเรยี นร้ทู ี่ ๒ เรื่อง ระบบคดิ ฐาน ๒ เวลา ๒ ชว่ั โมง ๑. ผลการเรยี นรู้ ๑.๑ มีความรู้ความเขา้ ใจเกยี่ วกบั การแยกแยะระหว่างผลประโยชนส์ ่วนตนกับผลประโยชน์สว่ นรวม ๑.๒ สามารถคดิ แยกแยะระหวา่ งผลประโยชนส์ ว่ นตนกับผลประโยชนส์ ว่ นรวมได้ ๒. จดุ ประสงค์การเรียนรู้ ๒.๑ นกั เรยี นสามารถแยกผลประโยชน์สว่ นตนออกจากผลประโยชน์ส่วนรวมได้ ๒.๒ นกั เรยี นสามารถตระหนกั ถึงผลประโยชน์ส่วนรวมมากอ่ นผลประโยชนส์ ว่ นตน ๓. สาระการเรยี นรู้ ๓.๑ ความรู้ “การปฏบิ ตั งิ านแบบใช้ระบบคดิ ฐาน๒ (Digital)”คอื การทีเ่ จา้ หนา้ ทีข่ องรฐั มรี ะบบการคิด ทสี่ ามารถแยกเรอ่ื งตาแหนง่ หน้าทก่ี บั เรอ่ื งส่วนบคุ คลออกจากกันไดอ้ ยา่ งชดั เจนสง่ิ ไหนถกู สิ่งไหนผดิ สิ่งไหนทา ได้ ส่งิ ไหนทาไมไ่ ดส้ ิง่ ไหนคอื ประโยชน์ส่วนบุคคลส่ิงไหน คือ ประโยชนส์ ่วนรวมไมน่ ามาปะปนกัน ไม่นาบคุ ลากรหรอื ทรพั ยส์ ินของราชการมาใชเ้ พื่อ ประโยชนส์ ่วนบคุ ลไม่เบยี ดบงั ราชการ เหน็ แก่ ประโยชน์ ส่วนรวมหรอื ของหน่วยงานเหนอื กว่าประโยชนส์ ว่ นบคุ คล เครือญาติและพวกพอ้ งไมแ่ สวงหาประโยชน์จาก ตาแหน่งหนา้ ท่รี าชการ ไมร่ ับทรพั ย์สินหรอื ประโยชน์อื่นใดจากการปฏิบตั ิหนา้ ท่ี กรณีเกดิ การขัดกันระหว่าง ประโยชนส์ ว่ นบคุ คลและประโยชน์สว่ นรวม กจ็ ะยึดประโยชนส์ ่วนรวมเปน็ หลัก ๓.๒ สมรรถนะสาคญั ของผเู้ รยี น ๑) ความสามารถในการสอื่ สาร ๒) ความสามารถในการคดิ ๓.๓ คุณลกั ษณะทพ่ี ึงประสงค์ ๑) ซือ่ สัตยส์ จุ รติ ๔. กจิ กรรมการเรยี นรู้ ๔.๑ ขน้ั ตอนการเรียนรู้ ๑) ชว่ั โมงท่ี ๑ ๑. ครูนาขา่ ว “ทงิ้ หมัดเข้ามุม คดตี วั อย่าง” และภาพแผนที่เปรียบเทียบปาุ ไมไ้ ทยปี ๒๕๐๖ – ปัจจุบันให้นักเรียนดู ๒. ครถู ามนกั เรียนว่านกั เรยี นเหน็ อะไรบ้างในขา่ ว เมอื่ นักเรยี นช่วยกนั ตอบเสรจ็ แล้ว ครถู าม นกั เรียนว่ารสู้ ึกอย่างไรต่อข่าวน้ใี ห้ ๓. นักเรยี นแบ่งกลุม่ ชว่ ยกันระดมสมองในประเดน็ ต่อไปนี้ ๓.๑ นักเรียนคิดวา่ สาเหตทุ ที่ าให้เกดิ ปญั หานี้ข้ึนคอื อะไร ๓.๒ นักเรยี นคิดวา่ ตนเองมีสวนรว่ มหรือเคยมสี ่วนทาใหเ้ กิดเหตุการณ์ในภาพหรอื ไม่ อย่างไร ๓.๓ นักเรยี นคดิ ว่าปัญหาที่เกดิ ขน้ึ จะแกไ้ ขได้อย่างไร ๔. ให้นักเรียนบันทึกใบงาน เรอื่ ง ขา่ ว “ท้งิ หมดั เขา้ มมุ คดีตวั อยา่ ง” ๕. ให้แต่ละกลมุ่ ส่งตวั แทนมานาเสนอหน้าชั้นเรียน และเปิดโอกาสให้คนอนื่ แสดงความคดิ เห็น ตอ่ ประเด็นด้วย

155 ๖. ครูเชอ่ื มโยงข่าวท้งิ หมัดเข้ามุม คดตี วั อยา่ ง และภาพแผนทเ่ี ปรยี บเทียบปาุ ไม้ไทยปี ๒๕๐๖ - ปจั จบุ นั ๒) ช่วั โมงท่ี ๒ ๑. ครอู ธิบายความรจู้ ากโรงเรียนสุจรติ คดิ ฐาน ๒ ๒. ครแู ละนักเรยี นสนทนาแนวทางการปรบั เปล่ียนพฤตกิ รรมใหเ้ ป็น ระบบการคดิ ฐาน ๒ ๓. นกั เรยี นสรปุ ความคดิ ในใบงาน เร่ือง สานึกเพื่อส่วนรวม ๔.๒ ส่ือการเรียนรู้ / แหล่งเรยี นรู้ ๑) ใบความรูข้ า่ ว “ทง้ิ หมดั เขา้ มมุ คดีตัวอย่าง” ๒) เอกสารโรงเรียนสุจรติ คิดฐาน ๒ ๓) ภาพแผนทเี่ ปรยี บเทยี บปาุ ไมไ้ ทยปี ๒๕๐๖-ปจั จุบนั ๔) ใบงานที่ ๑ เรอื่ ง ขา่ ว “ทิ้งหมัดเขา้ มมุ คดตี วั อยา่ ง” ๕) ใบงานที่ ๒ เรื่อง สานึกเพ่ือสว่ นรวม ๑. การประเมินผลการเรียนรู้ ๕.๑ วธิ กี ารประเมนิ ๑) สังเกตการตอบคาถาม ๒) ตรวจผลงาน ๕.๒ เคร่อื งมอื ท่ใี ชใ้ นการประเมิน ๑) แบบสงั เกตตอบคาถาม ๒) แบบประเมนิ ผลงาน ๕.๓ เกณฑ์การตัดสนิ ๑) นกั เรียนผา่ นเกณฑ์การประเมินรอ้ ยละ ๘๐ ข้ึนไป ถอื วา่ ผา่ น ๒) นักเรยี นผา่ นเกณฑ์การประเมิน ระดบั ดี ขนึ้ ไป ถือว่า ผ่าน ๖. บันทกึ หลงั การจัดการเรียนรู้ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………….......................... ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………........ ลงชื่อ.......................................ครผู สู้ อน (..........................................) ๗. ความคดิ เห็นผบู้ ริหาร ........................................................................................................................................................................................................ ....................................................................................................................................................................................................... ลงช่อื .....................................ผู้บรหิ าร (นายกศุ ล ชมุ ปญั ญา) ผู้อานวยการโรงเรยี นบา้ นศรวี ิชา “คุรรุ าษฎรอ์ ุทิศ”

156 ๗. ภาคผนวก ใบงานท่ี ๑ เรอื่ ง ขา่ ว “ทงิ้ หมดั เข้ามมุ คดตี วั อย่าง” กลุ่มท่ี............ สมาชกิ กลมุ่ ๑............................................................................................................ ๒............................................................................................................ ๓............................................................................................................ ๔............................................................................................................ ๕............................................................................................................ ๖............................................................................................................ ๗............................................................................................................ ๘............................................................................................................ ๙............................................................................................................ ๑๐.......................................................................................................... ประเดน็ การวิเคราะห์ ๑. นกั เรยี นคดิ ว่าสาเหตุทที่ าให้เกดิ ปญั หานข้ี ้ึนคืออะไร ..................................................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................... ........................................... ................................................................................................................................................................................. .................... ...................................................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ...................................................................... ๒. นักเรียนคดิ วา่ ตนเองมสี ว่ นร่วมหรือเคยมีสว่ นทาให้เกิดเหตุการณ์ในภาพหรอื ไม่ อย่างไร ............................................................................................................................. ....................................................................... .............................................................................................................................................................. …………………………........ ..................................................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ...................................................................... ............................................................................................................................. ....................................................................... ๓. นักเรยี นคดิ วา่ ปัญหาทเ่ี กดิ ขนึ้ จะแกไ้ ขได้อย่างไร ..................................................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ........................................................................ ............................................................................................................................. ........................................................................ ...................................................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. .......................................................................

157 ใบความรู้ จาคุก ๒ ปี ๖ เดือน \"หมอชัยวนั \" ฐานใชร้ ถหลวงงานแตง่ ลูกสาว ศาลอาญาพิพากษาจาคกุ ๒ ปี ๖ เดอื น ปรบั หมนื่ บาท “นายแพทย์ ชยั วัน เจรญิ โชคทวี อดตี คณบดีคณะแพทยศาสตรว์ ชิรพยาบาล นารถหลวง-อุปกรณไ์ ปใช้ในงานแตง่ สุดหรูท้งั ที่บา้ น ที่โรงแรม โดยศาลยงั ปรานี ลดเหลือจาคกุ ๒ ปคี รึ่ง ปรบั หนงึ่ หมน่ื บาท โดยโทษจาคุกใหร้ อลงอาญา ๒ ปีศาลอาญารัชดา อ่านคาพิพากษา ในคดที ่ีอยั การเป็นโจทก์ยื่น ฟอู งนายแพทยช์ ยั วนั เจริญโชคทวี อดีตคณบดคี ณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล ฐานเปน็ เจ้าพนกั งานมีหนา้ ทซี่ ื้อ ทาจัดการหรือรกั ษาทรัพยใ์ ด ใชอ้ านาจในตาแหนง่ โดยทจุ ริตอนั เปน็ การเสยี หายแกร่ ัฐ และ เปน็ เจ้าพนกั งานปฏิบตั ิหนา้ ทีห่ รอื ละเว้นการปฏบิ ตั หิ นา้ ทโ่ี ดยมชิ อบ หรอื ปฏิบตั ิ หรือละเว้นการปฏบิ ัตหิ นา้ ท่ี โดยทจุ รติ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๑ และ ๑๕๗ จากกรณี เมอ่ื วันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๕๔ ขณะจาเลย ดารงตาแหน่งคณบดี คณะแพทยศาสตร์ ไดใ้ ช้อานาจหนา้ ท่ีโดยทุจรติ ดว้ ยการสัง่ ให้เจา้ หนา้ ทนี่ า เกา้ อ้ี ๑๐๐ ตวั พร้อมผ้าปลอกคุมเก้าอ้ี / เคร่อื งถ่ายวิดโี อ ๒ เคร่อื ง / เคร่อื งเล่นวิดีโอ / กล้องถ่ายรปู และผา้ เตน็ ท์หลายผนื เพอื่ นาไปใชใ้ นงานววิ าห์บตุ รสาวจาเลยท่บี ้านพกั สว่ นตัว รวมท้ังรถยนต์ รถตู้ สว่ นกลาง อีก ๔ คนั เพื่อใชร้ ับส่งเจา้ หนา้ ทีเ่ ขา้ รว่ มพธิ ี และขนย้ายอุปกรณ์ ทัง้ ที่บ้านพกั และงานฉลองมงคลสมรส ทีโ่ รงแรมซ่ึงลว้ นเปน็ ทรัพยส์ นิ ของทางราชการ การกระทาของจาเลยนบั เปน็ การใช้อานาจโดยทจุ รติ เพือ่ ประโยชนส์ ว่ นตัว อนั เป็นการเสียหายแกร่ ัฐ และคณะแพทยศาสตร์วชริ พยาบาล ต่อมาเดือนกนั ยายน ๒๕๕๖ คณะกรรมการปอู งกันและปราบปราม การทุจริตแห่งชาตหิ รือ ป.ป.ช. ไดช้ ้มี ลู ความผดิ วนิ ยั และอาญากบั จาเลย โจทก์จงึ ขอใหศ้ าลพิพากษาลงโทษ จาเลยตามความผดิ ดว้ ย คร้งั แรกจาเลยใหก้ ารปฏเิ สธ แตต่ อ่ มา ให้การรับสารภาพไมต่ ่อสูค้ ดศี าลพิเคราะห์ พยานหลกั ฐานโจทก์แลว้ เหน็ วา่ การกระทาของจาเลยเปน็ การทจุ รติ ตอ่ ตาแหนง่ หนา้ ทต่ี ามฟูอง จงึ พิพากษาให้ จาคุก ๕ ปี และปรบั ๒๐,๐๐๐ บาท คาใหก้ ารรบั สารภาพ เปน็ ประโยชนแ์ ก่การพิจารณาคดี ลดโทษให้กึ่งหนง่ึ คงจาคกุ จาเลยไว้ ๒ ปี ๖ เดือนและปรบั ๑๐,๐๐๐ บาท อย่างไรกด็ จี าเลยไดส้ านึกผดิ และชดใช้คา่ เสยี หายคนื ใหแ้ ก่รัฐทันที ประกอบกับเปน็ แพทย์ทาคุณประโยชนต์ ่อสงั คม และไมเ่ คยตอ้ งโทษจาคุกมากอ่ น ศาลจึงเห็นควรให้ รอลงอาญา

158 ภาพเปรียบเทียบแผนที่ปาุ ไม้ไทย ปี ๒๕๐๖ – ปจั จบุ นั แผนทปี่ าุ ไมไ้ ทย ปี ๒๕๐๖ แผนที่ปุาไมไ้ ทยปัจจบุ นั แผนทีแ่ สดงปุาไมท้ ี่สบื คน้ ไดจ้ ากการคน้ คว้า กรมปาุ ไมเ้ ม่ือ ปี ๒๕๖๐ เปรยี บเทียบกับแผนที่พนื้ ที่ปุาไม้ปัจจุบัน

159

160 ใบงานท่ี ๒ เรือ่ ง สานึกเพอื่ ส่วนรวม ชอ่ื -สกลุ .....................................................................ชั้น ป.๕/.................. เลขที่........................ กรณศี กึ ษา ขณะที่นักเรยี นอยใู่ นห้องสมดุ นักเรยี นชอบหนังสือเลม่ หนงึ่ มาก เพราะมีภาพการต์ ูนตวั โปรด เมอื่ นักเรียนเอาไปใหเ้ พ่อื นดู เพ่ือนของนกั เรยี นแนะนาวา่ ใหฉ้ ีกหน้าทีม่ กี ารต์ นู นไี้ ปก็ได้ ไมม่ ีใครรู้ ๑. นกั เรยี นเหน็ ด้วยกับเพอ่ื นหรอื ไม่ …………………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………….... ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..... ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….….... ๒.หากนักเรียนฉีกหน้าหนังสือไป จะสง่ ผลอยา่ งไร ………………………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..……….... …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….... …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..………………….... ๓. นกั เรียนเคยเหน็ หนังสือในหอ้ งสมดุ ทถ่ี กู ฉีกไปหรอื ไม่ นกั เรยี นรู้สกึ อยา่ งไร …………………………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..…….... …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..….... ๔. หากทกุ คนทอี่ ยากได้หนงั สอื ตา่ งกฉ็ ีกหนงั สือกันหมด อะไรจะเกิดขนึ้ …………………………………………………………………………………………………………………………….…………………….................................................. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...... …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..….... ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...………... .

161 แบบสังเกตพฤตกิ รรม เรอ่ื ง ซื่อสตั ย์สุจรติ คาช้ีแจง ให้นกั เรียนเขียนเครอื่ งหมาย ลงในชอ่ งท่ีตรงกับพฤตกิ รรมทเ่ี กิดขน้ึ จรงิ รายการ รู้จัก สรุปผล พดู แยกแยะ ความ เลขท่ี ชือ่ - สกุล จรงิ ไมล่ ัก ตรงไป ทาตัว ประโยชน์ การประเมนิ ขโมย ตรงมา นา่ เชื่อถอื ส่วนตน กับ ประโยชน์ ส่วนรวม ผ่าน ไม่ผา่ น เกณฑ์การประเมนิ ผ่านตง้ั แต่ ๔ รายการ ถอื ว่า ผ่าน ผ่าน ๑ - ๓ รายการ ถือวา่ ไม่ผา่ น ลงชื่อ ผูป้ ระเมิน () ///

162 แบบประเมนิ พฤตกิ รรมการทางานกลุ่ม กลมุ่ .......................................................................................................... สมาชิกในกลุ่ม ๑....................................................................... ๒.................................................................... ๓. ...................................................................... ๔. ...................................................................... ๕. ...................................................................... ๖....................................................................... ๗. ...................................................................... ๘. ...................................................................... ๙. ...................................................................... ๑๐.................................................................. คาชแ้ี จง: ให้นกั เรยี นเขียนเคร่อื งหมาย ลงในช่องที่ตรงกับความเปน็ จรงิ พฤตกิ รรมทส่ี งั เกต ๓ คะแนน ๑ ๒ ๑. มีสว่ นรว่ มในการแสดงความคิดเหน็ ๒. มคี วามกระตือรอื รน้ ในการทางาน ๓. มีความรบั ผิดชอบในงานท่ีได้รับมอบหมาย ๔. มีข้ันตอนในการทางานอย่างเป็นระบบ ๕. ใช้เวลาในการทางานอย่างเหมาะสม รวม เกณฑ์การใหค้ ะแนน ให้ ๓ คะแนน พฤติกรรมทท่ี าเป็นประจา ให้ ๒ คะแนน พฤตกิ รรมทที่ าเปน็ บางครง้ั ให้ ๑ คะแนน พฤตกิ รรมทท่ี าน้อยครัง้ เกณฑ์การให้คะแนน ระดบั คณุ ภาพ ชว่ งคะแนน ดี ๑๓-๑๕ ปานกลาง ๘-๑๒

163 แผนการจดั การเรยี นรู้ หนว่ ยที่ ๑ ชอ่ื หนว่ ย การคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชนส์ ว่ นตนกบั ผลประโยชนส์ ว่ นรวม ชั้นประถมศึกษาปที ่ี ๕ แผนการจดั การเรียนร้ทู ่ี ๓ เรื่อง ระบบคิดฐาน ๑๐ เวลา ๒ ชว่ั โมง ๑. ผลการเรียนรู้ ๑.๑ มีความรูค้ วามเข้าใจเก่ยี วกบั การแยกแยะระหวา่ งผลประโยชนส์ ว่ นตนกบั ผลประโยชนส์ ่วนรวม ๑.๒ สามารถคิดแยกแยะระหวา่ งผลประโยชนส์ ว่ นตนกบั ผลประโยชนส์ ่วนรวมได้ ๒. จุดประสงค์การเรียนรู้ ๒.๑ นกั เรยี นสามารถแยกผลประโยชนส์ ่วนตนออกจากผลประโยชน์สว่ นรวมได้ ๒.๒ นักเรียนตระหนกั ถึงผลประโยชน์ส่วนรวมมาก่อนผลประโยชน์สว่ นตนได้ ๓. สาระการเรียนรู้ ๓.๑ ความรู้ การท่ีเจ้าหนา้ ที่ของรัฐยงั มีระบบการคิดที่ นาประโยชนส์ ่วนตนกบั ประโยชน์สว่ นรวมมาปะปนกนั แยกแยะไม่ออกว่าสิ่งไหนคอื ประโยชนส์ ว่ นตนส่ิงไหนคอื ประโยชนส์ ว่ นรวม นาส่ิงของราชการมาใช้ เพือ่ ประโยชนส์ ่วนตนเบยี ดบงั ราชการ เหน็ แกป่ ระโยชนส์ ่วนตนเหนอื กว่า ประโยชนส์ ว่ นรวมหรอื ของหน่วยงาน จะคอยแสวงหาประโยชนจ์ ากตาแหนง่ หน้าท่ีราชการเพื่อตนเอง เครือญาติ หรือพวกพอ้ ง กรณีเกดิ การขดั กันระหวา่ งประโยชนส์ ่วนตนและประโยชน์ส่วนรวมจะยดึ ประโยชน์สว่ นตนเปน็ หลกั ๓.๒ สมรรถนะสาคญั ของผเู้ รยี น ๑) ความสามารถในการสือ่ สาร ๒) ความสามารถในการคดิ ๓.๓ คุณลักษณะทีพ่ งึ ประสงค์ ซ่ือสัตย์สจุ รติ ๔. กิจกรรมในการเรียนรู้ ๔.๑ ขั้นตอนการเรยี นรู้ ๑) ชว่ั โมงที่ ๑ ๑. ครูให้นักเรยี นหาขา่ วหรอื เหตุการณเ์ กีย่ วกับการทจุ รติ คอรร์ ัปชันหรือกลโกง มาคนละ ๑ ข่าว โดยครูสง่ั ล่วงหนา้ ๑ สปั ดาห์) ๒. ครใู ห้นกั เรียนดูสอ่ื วีดทิ ศั น์ ป.ป.ช. หน่วยท่ี ๓ เร่ือง ทจุ รติ ถนน และจราจรเรยี กเงนิ จาก เว็บไซต์ https://youtube/inlY๖znizw ๓. ครูและนักเรยี นสนทนาเก่ียวกบั เร่อื งทุจริตถนน และจราจรเรียกเงิน ๔. ครูใหน้ ักเรยี นนาขา่ วทเี่ ตรยี มมาทาลงในใบงานท่ี ๑ เรื่องวเิ คราะห์ข่าว แล้ววเิ คราะหข์ า่ ว ตามประเด็นทกี่ าหนดให้ ๕. ครูเลือกนักเรียนออกมานาเสนอข่าวหน้าชน้ั เรียนเพ่อื เป็นการแลกเปลย่ี นร้กู ับเพ่อื น ในชน้ั เรียน

164 ๒) ชัว่ โมงท่ี ๒ ๑. ครูแบง่ กล่มุ นกั เรียน ตอบคาถาม ข้อท่ี ๑-๔ ลงในใบงานที่ ๒ เรื่อง ร่วมรกั ษช์ าติ ๑.๑ นักเรยี นคดิ วา่ เพราะเหตุใดคนจงึ คดิ ทุจริต ถ้าเป็นนักเรยี นจะคิดเช่นนัน้ หรอื ไม่ เพราะเหตใุ ด ๑.๒ ให้นกั เรยี นเสนอแนวทางในการปูองกันการทุจริต ๑.๒ การทจุ รติ จะสง่ ผลต่อชาติ บา้ นเมอื งอย่างไร ๑.๓ ในฐานะของนักเรยี นควรปฏิบตั ติ นอย่างไรจึงจะมสี ่วนร่วมในการดารงไว้ซึง่ ชาติไทย ๒. ให้นักเรยี นแต่ละกลมุ่ เขียนคาขวญั เพ่ือรณรงคแ์ ละปลกู จติ สานึกการปูองกนั การทุจริต ๓. ใหน้ กั เรียนสง่ ตัวแทนนาเสนอผลงาน แล้วนาไปติดปูายนเิ ทศ ๔.๒ สือ่ การเรยี นรู้ / แหล่งเรยี นรู้ ๑) ใบงานท่ี ๑ เรือ่ ง วิเคราะหข์ ่าว ๒) ใบงานที่ ๒ เรื่อง รว่ มรักษ์ชาติ ๓) ส่ือวดี ทิ ัศน์ ป.ป.ช. หนว่ ยที่ ๓ ทุจริตถนน และจราจรเรยี กเงิน จากเว็บไซต์ https://youtube/NwRuG_๒๐๐Oc ๕. การประเมนิ ผลการเรียนรู้ ๕.๑ วิธกี ารประเมนิ ๑) ตรวจผลงาน ๒) สงั เกตพฤตกิ รรม ซื่อสัตยส์ จุ รติ ๕.๒ เครือ่ งมือทใ่ี ชใ้ นการประเมนิ ๑) แบบประเมินผลงาน ๒) แบบสังเกตพฤติกรรม ซ่ือสตั ยส์ จุ รติ ๕.๓ เกณฑ์การตดั สนิ ๑) นกั เรยี นผา่ นเกณฑ์การประเมนิ ร้อยละ ๘๐ ข้ึนไป ถอื วา่ ผ่าน ๒) นกั เรียนผ่านเกณฑ์การประเมนิ ระดับดี ขนึ้ ไป ถือวา่ ผ่าน ๖. บนั ทกึ หลังการจัดการเรยี นรู้ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………….......................... ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………........ ลงช่อื .......................................ครผู สู้ อน ๗. ความคดิ เห็นผ้บู รหิ าร (.........................................) ........................................................................................................................................................................................................ ....................................................................................................................................................................................................... ลงช่ือ.....................................ผู้บริหาร (นายกศุ ล ชุมปัญญา) ผอู้ านวยการโรงเรยี นบ้านศรีวชิ า “ครุ ุราษฎร์อทุ ิศ”

165 ๗. ภาคผนวก ใบงานท่ี ๑ เรอ่ื ง การวิเคราะหข์ ่าว ช่ือ-สกุล......................................................................................ช้ัน ป๕/................. เลขที่................. ติด ตดิ ข่าว ช่อื ขา่ ว......................................................................................................................................................................................... แหล่งทม่ี า.................................................................................................................................................................................... ประเด็นวิเคราะห์ ๑. ขา่ วทน่ี ักเรียนนามาส่งผลกระทบตอ่ ใครบา้ ง ……………………………………………………………………………………………………………………………………………..………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….……… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….…………… ๒. นักเรียนรสู้ ึกอย่างไรตอ่ ขา่ วท่ีนามา ………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….…… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..………

166 ใบงานท่ี ๒ เรือ่ ง รว่ มรักษช์ าตไิ ทย กลุ่มท.ี่ ........... สมาชิกกลมุ่ ๑............................................................................................................ ๒............................................................................................................ ๓............................................................................................................ ๔............................................................................................................ ๕............................................................................................................ ๖............................................................................................................ ๗............................................................................................................ ๘............................................................................................................ ๙............................................................................................................ ๑๐........................................................................................................... ๑. เพราะเหตุใดคนจงึ คดิ ทุจริต ถา้ เปน็ นักเรยี นจะคดิ เช่นนน้ั หรือไมเ่ พราะเหตุใด ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..…… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ๒. ใหน้ ักเรียนเสนอแนวทางในการปอู งกันการทจุ ริต ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..…………………… ๓. การทจุ รติ จะส่งผลตอ่ ชาติ บ้านเมืองอย่างไร ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….…………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………… ๔. ในฐานะของนักเรยี นควรปฏบิ ตั ิตนอยา่ งไรจึงจะมสี ว่ นร่วมในการดารงไวซ้ ่ึงชาติไทย ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….…………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….…………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..…………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

167 แบบประเมนิ พฤติกรรมการทางานกล่มุ กลุ่ม .......................................................................................................... สมาชกิ ในกลุ่ม ๑. ...................................................... ๒......................................................... ๓. ................................................... ๔......................................................... ๕. ..................................................... ๖......................................................... ๗. ...................................................... ๘. ....................................................... ๙. .......................................................๑๐....................................................... คาชแ้ี จง: ใหน้ กั เรียนเขียนเครื่องหมาย ลงในชอ่ งท่ีตรงกับความเป็นจริง พฤตกิ รรมทสี่ งั เกต ๓ คะแนน ๑ ๒ ๓ คะแนน ๑. มสี ว่ นรว่ มในการแสดงความคดิ เห็น ๒ คะแนน ๑ คะแนน ๒. มคี วามกระตอื รอื รน้ ในการทางาน ๓. รับผดิ ชอบในงานทีไ่ ด้รับมอบหมาย ๔. มีขั้นตอนในการทางานอย่างเป็นระบบ ๕. ใช้เวลาในการทางานอยา่ งเหมาะสม รวม เกณฑ์การใหค้ ะแนน ให้ พฤติกรรมทท่ี าเปน็ ประจา ให้ พฤติกรรมทท่ี าเปน็ บางครั้ง ให้ พฤตกิ รรมทท่ี าน้อยครง้ั เกณฑ์การให้คะแนน ระดบั คุณภาพ ดี ชว่ งคะแนน ปานกลาง ๑๓-๑๕ ปรับปรุง ๘-๑๒ ๕-๗

168 แบบประเมินผลงาน เรอื่ ง ............................................................................................. คาชแี้ จง : ทาเคร่อื งหมาย ลงในช่องระดับคะแนนพฤติกรรมท่นี กั เรียนปฏบิ ตั ไิ ด้ตามเกณฑ์การประเมนิ หัวขอ้ ประเมนิ สรปุ การ รวม ประเมิน ลาดับ ระดับคะแนน ความถกู ตอ้ ง ความ ความคดิ คะ ผล ที่ เรยี บร้อย สร้างสรรค์ แนน ไม่ หมายเหตุ ชอ่ื -สกลุ ๓๒ ๑๓ ๒๑๓ ๒๑ ผ่าน ผา่ น ๑. ๒. - ๓. ๔. ๕. ๖. ๗. ๘. ๙. ๑๐. เกณฑ์การตดั สนิ = ดีมาก คะแนน ๘ - ๙ = ปานกลาง คะแนน ๖ - ๗ = พอใช้ คะแนน ๔ - ๕ = ปรบั ปรุง คะแนนตา่ กว่า ๔

169 เกณฑ์การประเมินผลงาน เรอ่ื ง คาขวญั รณรงค์ และปลกู จติ สานกึ การปูองกันการทจุ รติ และการจัดปูายนเิ ทศ ประเดน็ ๓ เกณฑ์การใหค้ ะแนน ๑ การประเมนิ ๑. สะกดคาไดถ้ กู ตอ้ ง ๒ ๑. สะกดคาได้ถกู ต้อง ความถูกต้อง ๒. เนื้อหาตรงตามหัวขอ้ เร่อื ง ๒. เน้ือหาตรงตามหวั ข้อเรื่อง ๓. รูปแบบเขยี นทถี่ ูกตอ้ ง ๑. สะกดคาไดถ้ กู ตอ้ ง ตามกาหนด (คาขวญั ) ๒. เนอื้ หาตรงตามหวั ข้อเรอ่ื ง ความเรยี บร้อย ทางานเป็นระเบยี บเรยี บร้อย ทางานเป็นระเบยี บ งานเสรจ็ งานเสร็จทนั เวลา สวยงาม งานเสรจ็ ทนั เวลาที่ ทนั เวลา กาหนด ความคดิ ๑. ตกแต่ชนิ้ งานได้สวยงามดี ๑. ตกแตช่ ้นิ งานไดส้ วยงามดี ๑. ตกแต่ช้ินงานได้สวยงามดี สร้างสรรค์ มาก มาก มาก ๒.ใช้สานวนภาษาสละสลวย ๒.ใช้สานวนภาษาสละสลวย ๒.ใช้สานวนภาษาสละสลวย น่าสนใจนา่ สนใจน่าสนใจ ๓.มีความคิดริเรมิ่ สรา้ งสรรค์

170 แบบสงั เกตพฤติกรรม เร่ือง ซอ่ื สตั ยส์ จุ รติ คาชี้แจง ใหน้ ักเรียนเขียนเคร่อื งหมาย ลงในชอ่ งทตี่ รงกบั พฤตกิ รรมท่ีเกดิ ข้ึนจริง รายการ รู้จัก แยกแยะ สรปุ ผล การประเมิน เลขท่ี ช่ือ - สกุล พูด ตรงไป ทาตวั ประโยชน์ ความ น่าเชอ่ื ถอื ส่วนตน จรงิ ไมล่ กั ตรงมา กับ ขโมย ประโยชน์ ส่วนรวม ผา่ น ไมผ่ า่ น เกณฑ์การประเมนิ ๓ รายการ ถือวา่ ผ่าน ผ่านต้ังแต่ ๒ รายการ ถอื วา่ ไมผ่ ่าน ผ่าน ลงช่อื ผปู้ ระเมิน ( ) ///

171 แผนการจดั การเรยี นรู้ ชั้นประถมศกึ ษาปีท่ี ๕ เวลา ๒ ชว่ั โมง หนว่ ยที่ ๑ ช่ือหน่วย การคิดแยกแยะระหวา่ งผลประโยชน์ส่วนตนกบั ผลประโยชน์ส่วนรวม แผนการจดั การเรียนร้ทู ่ี ๔ เร่อื ง ความแตกตา่ งระหวา่ งจรยิ ธรรมและการทุจรติ ๑. ผลการเรียนรู้ ๑.๑ นกั เรียนมคี วามรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการแยกแยะระหว่างผลประโยชน์สว่ นตนกับผลประโยชนส์ ่วนรวม ๒. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ ๒.๑ นักเรยี นสามารถบอกความหมายของจรยิ ธรรมได้ ๒.๒ นักเรยี นสามารถบอกความหมายของการทจุ ริตได้ ๒.๓ นกั เรียนสามารถบอกความแตกต่างระหว่างจรยิ ธรรมและการทจุ ริตได้ ๓. สาระการเรยี นรู้ ๓.๑ ความรู้ - จรยิ ธรรม หมายถึง พฤติกรรมท่แี สดงออกเชิงบวกปฏบิ ัตจิ นเป็นนิสัย เป็นสงิ่ ที่ผอู้ ่ืนและสังคมยอมรบั - การทุจริต หมายถึง สงิ่ ทไี่ ม่ดี มีการแสวงหาหรอื เอาผลประโยชน์ของส่วนรวมมาเปน็ ของส่วนตวั ทัง้ ที่ตนเองไมไ่ ดม้ สี ทิ ธิในสง่ิ นั้น การยึดถอื เอาดังกล่าวจะถอื เป็นสิ่งที่ผดิ ท้งั ในแงข่ องกฎหมายและ ศลี ธรรม ๓.๒ สมรรถนะสาคญั ของผเู้ รยี น ๑) ความสามารถในการสอ่ื สาร ๒) ความสามารถในการคดิ ๓) ความสามารถในการใชท้ ักษะชีวิต ๓.๓ คุณลักษณะอนั พึงประสงค์ ซือ่ สตั ย์สจุ รติ ๔. กจิ กรรมการเรียนรู้ ๔.๑ ขัน้ ตอนการเรียนรู้ ๑) ชว่ั โมงที่ ๑ ๑. ครใู หน้ ักเรยี นชมวิดที ศั น์ เรือ่ ง “ หกั เหลี่ยมคอรร์ ปั ชัน เริม่ ที่คณุ จบทคี่ ุณ ” ๒. ครใู หน้ กั เรียนแบง่ กล่มุ ออกเปน็ ๕ กลมุ่ แลว้ ใหน้ ักเรยี นตั้งคาถามจากการชมวิดที ศั น์ โดยครกู าหนดคาถามใหใ้ ช้คาวา่ “ทาไม” “เพราะเหตุใด” “ผลเปน็ อยา่ งไร” เชน่ เพราะเหตุใดโดมจึงพังลง เปน็ ต้น ๓. ครูใหน้ กั เรียนศกึ ษาใบความรู้ เร่ือง “การทุจรติ ” จากนน้ั ครอู ธิบายความหมายของการทุจริต ๒) ช่วั โมงที่ ๒ ๑. ครใู หน้ กั เรยี นยกตัวอยา่ งของเหตุการณห์ รือการกระทาท่แี สดงถงึ การทจุ รติ ต่าง ในสงั คมไทย ๒. ครใู หน้ กั เรียนศกึ ษาใบความรู้ เร่อื ง จริยธรรม จากนน้ั ครอู ธบิ ายความหมายของจรยิ ธรรม ๓. ครใู ห้นักเรียนยกตวั อยา่ งของเหตุการณห์ รือการกระทาท่ีแสดงถึงจรยิ ธรรมต่าง ในสังคมไทยเชน่ ข้าราชการไม่รบั ของขวัญจากผู้มาตดิ ตอ่ ราชการ ๔. ครใู ห้นกั เรยี นเขียนการกระทาทแ่ี สดงให้เหน็ ถงึ การมจี รยิ ธรรมและการกระทาทแ่ี สดงให้ เหน็ ถงึ การทุจรติ ลงในใบงาน เร่อื ง ความแตกตา่ งระหวา่ งจริยธรรมและการทจุ รติ

172 ๕. ครูและนกั เรียนร่วมกันสรุปความแตกตา่ งระหวา่ งจรยิ ธรรมและการทจุ รติ ดังนี้ จริยธรรม หมายถึง แนวทางซึง่ เปน็ กฎเกณฑ์ในการประพฤติ ปฏิบตั ิในสง่ิ ท่ีถกู ตอ้ งดงี ามและเป็นลักษณะทส่ี ังคมตอ้ งการเป็นสง่ิ ท่ี เกิดประโยชนต์ ่อตนเองและสังคมส่วนรวม บุคคลทีม่ ีจริยธรรมอยใู่ นตนเอง ย่อมเป็นทีย่ อมรบั นบั ถอื ของคนในสงั คมและสามารถ ดาเนินชวี ติ ได้อยา่ งเปน็ ปกตสิ ุข เปน็ คนทมี่ คี ณุ ภาพและเปน็ ท่ยี อมรบั ของสงั คมสว่ นรวม การทจุ รติ คือ การคดโกง ไมซ่ ่ือสัตยส์ ุจรติ การกระทาท่ีผดิ กฎหมาย เพ่ือใหเ้ กดิ ความไดเ้ ปรียบในการแขง่ ขนั การใช้อานาจหน้าท่ี ในทางทผี่ ิดเพอ่ื แสวงหาประโยชนห์ รอื ให้ไดร้ ับสิง่ ตอบแทน การใหห้ รอื การรับสินบน การกาหนดนโยบายทีเ่ ออ้ื ประโยชนแ์ กต่ นหรอื พวกพอ้ งรวมถงึ การทจุ รติ เชงิ นโยบาย ความแตกตา่ งระหวา่ งจรยิ ธรรมและการทุจรติ คอื จรยิ ธรรมเป็นแนวทางซ่ึงเปน็ กฎเกณฑใ์ นการประพฤติปฏบิ ตั ใิ นส่งิ ท่ีถกู ต้องดี งาม ส่วนการทจุ รติ คือ การคดโกง ไมซ่ อื่ สัตย์สจุ รติ การกระทาทผี่ ดิ กฎหมาย ๔.๒ สอ่ื การเรียนรู้ /แหล่งการเรยี นรู้ ๑) วดี ิทัศน์ เรื่อง หกั เหล่ยี มคอรร์ ัปชน่ั เรมิ่ ท่ีคณุ จบทีค่ ณุ จากเว็บไซต์ https://www.youtube.com/watech?v=ihlY๖zniZw ๒) ใบความรู้ เรอ่ื ง การทุจรติ ๓) ใบความรู้ เร่ือง จรยิ ธรรม ๔) ใบงาน เร่ือง ความแตกตา่ งระหว่างจริยธรรมและการทจุ รติ ๕. การประเมินผลการเรียนรู้ ๕.๑ วธิ กี ารประเมนิ ๑) ตรวจผลงานการทาใบงาน เรอื่ ง ความแตกต่างระหว่างจรยิ ธรรมและการทจุ รติ ๒) สังเกตพฤติกรรมซ่ือสตั ยส์ จุ รติ ๕.๒ เครื่องมอื ทใี่ ช้ในการประเมนิ ๑) แบบให้คะแนนการตรวจผลงาน เร่อื ง ความแตกต่างระหว่างจริยธรรมและการทจุ รติ ๒) แบบสังเกตพฤตกิ รรมซอื่ สัตย์สจุ ริต ๕.๓ เกณฑ์การตดั สิน นักเรยี นผา่ นเกณฑ์การประเมินร้อยละ ๘๐ ข้ึนไป ถอื ว่า ผา่ น ๖. บันทกึ หลังการจัดการเรยี นรู้ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..…………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….................... …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………........ ลงชือ่ .......................................ครผู สู้ อน ๗. ความคดิ เห็นผู้บริหาร (.........................................) ........................................................................................................................................................................................................ ....................................................................................................................................................................................................... ลงชือ่ .....................................ผู้บรหิ าร (นายกุศล ชุมปัญญา) ผูอ้ านวยการโรงเรยี นบา้ นศรีวิชา “คุรุราษฎรอ์ ทุ ิศ”

173 ๗. ภาคผนวก ใบความรู้ เรื่อง การทจุ ริต การทุจรติ ปัญหาการทจุ ริต เปน็ ปญั หาที่สาคญั ท้งั ของประเทศไทยและประเทศอ่นื ทวั่ โลก ปัญหาการทุจริตจะทาให้เกิดความเส่ือม ในด้านต่าง เกิดขึ้น ท้ังสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และนับวันปัญหาดังกล่าวก็จะรุนแรงมากขึ้น และมีรูปแบบการทุจริตที่ซับซ้อน ยากแก่การตรวจสอบมากข้ึน จากเดิมที่กระทาเพียงสองฝุายปัจจุบันการทุจริตจะกระทากันหลายฝุาย ท้ังผู้ดารงตาแหน่งทาง การเมอื ง เจ้าหนา้ ทขี่ องรฐั และเอกชน โดยประกอบด้วยสองสว่ นใหญ่ คือ ผใู้ ห้ผลประโยชน์กับผรู้ ับผลประโยชน์ ซ่ึงท้ังสองฝาุ ยน้ีจะ มีผลประโยชน์ร่วมกนั ตราบใดทผี่ ลประโยชนส์ มเหตสุ มผลต่อกัน ก็จะนาไปสู่ปญั หาการทุจรติ ได้ บางครง้ั ผู้ท่รี บั ผลประโยชนก์ ็ เป็นผู้ให้ประโยชนไ์ ด้เชน่ กัน โดยผูร้ บั ผลประโยชนแ์ ละผู้ใหผ้ ลประโยชน์ คอื ๑. ผรู้ บั ผลประโยชน์ จะเปน็ เจา้ หน้าทขี่ องรฐั ซ่ึงมีอานาจ หน้าทใี่ นการกระทา การดาเนนิ การตา่ งและรับประโยชนจ์ ะเป็นไปใน รปู แบบต่าง เช่น การจดั ซ้อื จดั จา้ ง การเรยี กรับประโยชนโ์ ดยตรง การกาหนดระเบยี บหรือคณุ สมบตั ิที่เอ้ือต่อตนเองและพวกพ้อง ๒. ผใู้ หผ้ ลประโยชน์ เช่น ภาคเอกชน โดยการเสนอผลตอบแทนในรปู แบบตา่ ง เชน่ เงิน สทิ ธพิ ิเศษอนื่ เพ่ือจงู ใจใหน้ ักการเมือง เจา้ หนา้ ทข่ี องรัฐ กระทาการหรือไมก่ ระทาการอยา่ งใดอยา่ งหนึ่งในตาแหน่งหนา้ ที่ ซึ่งการกระทาดังกลา่ วเปน็ การกระทาทฝ่ี ุาฝืนตอ่ ระเบยี บหรอื ผดิ กฎหมาย เป็นตน้ ทจุ ริต คอื อะไร คาว่าทุจรติ มีการใหค้ วามหมายไดม้ ากมาย หลากหลาย ขึ้นอยู่กับวา่ จะมีการให้ความหมายดังกลา่ วไวว้ ่าอยา่ งไร โดยท่ีคา ว่าทจุ ริตนน้ั จะมีการให้ความหมายโดยหน่วยงานของรฐั หรือการใหค้ วามหมายโดยกฎหมายซึง่ ไมว่ า่ จะเปน็ การให้ความหมายจาก แหลง่ ใด เนื้อหาสาคญั ของคาวา่ ทจุ รติ ก็ยังคงมคี วามหมายทสี่ อดคลอ้ งกนั อย่นู ่นั คอื การทุจรติ เป็นสง่ิ ท่ไี มด่ ี มีการแสวหาหรอื เอา ผลประโยชนข์ องส่วนรวม มาเปน็ ของสว่ นตัว ทงั้ ทตี่ นเองไม่ไดม้ สี ทิ ธิในส่งิ นัน้ การยดึ ถอื เอามาดงั กลา่ วจงึ ถือเปน็ ส่ิงทีผ่ ิด ทง้ั ในแง่ ของกฎหมายและศีลธรรม ดังน้ัน การทจุ รติ คอื การคดโกง ไม่ซอ่ื สัตย์สุจริต การกระทาทผี่ ิดกฎหมาย เพือ่ ให้เกดิ ความได้เปรียบในการแข่งขัน การใช้อานาจ หน้าทใี่ นทางทผี่ ดิ เพื่อแสวงหาประโยชน์หรือใหไ้ ด้รับสิง่ ตอบแทน การใหห้ รอื การรับสินบน การกาหนดนโยบายท่เี ออื้ ประโยชนแ์ ก่ ตนหรอื พวกพอ้ งรวมถงึ การทจุ รติ เชงิ นโยบาย

174 ใบความรู้ เร่ือง จรยิ ธรรม ความดีงามทางสงั คม ถือเป็นกฎเกณฑ์แห่งความประพฤติหรือหลกั ความจรงิ ที่เปน็ แนวทางแหง่ ความประพฤตปิ ฏบิ ัตใิ ห้ มนุษยอ์ ยูร่ ่วมกันในสังคมอยา่ งเปน็ สขุ การศกึ ษาเรอ่ื งจรยิ ธรรม จึงเป็นหนึง่ ในวิชาปรัชญาทศี่ ึกษาเก่ยี วกับความดงี ามทางสงั คม มนุษย์ ความหมายของ จรยิ ธรรม จรยิ ธรรม หมายถงึ ส่งิ ทท่ี าไดใ้ นทางวินัยจนเกิดความเคยชินมีพลังใจ มีความตง้ั ใจแนว่ แนจ่ งึ ต้องอาศัยปญั ญา และปญั ญาอาจเกิด จากความศรัทธาเชอ่ื ถอื ผอู้ น่ื ในทางพุทธศาสนาสอนวา่ จริยธรรมคอื การนาความรู้ ความจริงหรอื กฎธรรมชาตมิ าใช้ให้เป็น ประโยชน์ตอ่ การดาเนินชวี ิตทีด่ ีงาม (พระราชวรมุนี) พจนานกุ รมไทยฉบับราชบณั ฑิตสถาน (๒๕๔๖ ) ใหค้ วามหมายของจริยธรรมไวว้ ่า หมายถึง ธรรมทีเ่ ปน็ ขอ้ ประพฤติปฏิบตั ิ โคลเบริ ก์ (Kohlberg ๑๙๗๒ : ๒๑๒) กลา่ วถงึ จริยธรรมวา่ จรยิ ธรรมเป็นความรู้สกึ ผดิ ชอบช่ัวดเี ป็นกฎเกณฑแ์ ละมาตรฐานของ การประพฤตปิ ฏบิ ัตใิ นสังคมซ่งึ บุคคลพัฒนาขึน้ จนกระทงั่ มพี ฤติกรรมเปน็ ของตนเอง โดยสังคมจะเป็นตวั ตัดสนิ ผลของการกระทา นน้ั วา่ เป็นการกระทา ทีถ่ ูกหรอื ผดิ จากความหมายทก่ี ลา่ วมา สรปุ ไดว้ า่ จรยิ ธรรม หมายถึงแนวทางซ่งึ เปน็ กฎเกณฑใ์ นการประพฤติปฏบิ ตั ใิ นสิ่งท่ีถูกตอ้ งดีงาม และ เป็นลักษณะท่สี ังคมต้องการเป็นสง่ิ ทเี่ กดิ ประโยชนต์ ่อตนเองและสังคมส่วนรวมบคุ คลที่มจี รยิ ธรรมอยใู่ นตนเอง ย่อมเปน็ ทีย่ อมรับ นบั ถอื ของคนในสงั คมและสามารถดาเนินชีวติ ไดอ้ ยา่ งเปน็ ปกตสิ ุข เป็นคนทมี่ ีคณุ ภาพและเปน็ ท่ียอมรบั ของสังคมส่วนรวม

175 ใบงาน เร่ือง ความแตกต่างระหว่างจรยิ ธรรมและการทุจริต ชอื่ ......................................................................................................................ช้ัน....................เลขท่.ี ............... คาช้ีแจง ให้นกั เรยี นเขียนการกระทาท่แี สดงใหเ้ หน็ ถงึ จริยธรรมและการกระทาทแ่ี สดงให้เห็นถึงการทจุ รติ ลงในแผนผังทก่ี าหนดให้ การกระทา การทจุ ริต จรยิ ธรรม

176 แบบสังเกตพฤตกิ รรม เรือ่ ง ซื่อสัตย์สุจรติ คาชี้แจง ให้นักเรยี นเขยี นเครอ่ื งหมาย ลงในช่องทีต่ รงกับพฤติกรรมทีเ่ กดิ ขึ้นจรงิ รายการ รูจ้ ัก สรปุ ผล แยกแยะ การประเมนิ พูด ตรงไป ทาตวั ประโยชน์ เลขที่ ชอ่ื - สกุล ความ น่าเชอื่ ถอื สว่ นตน จริง ไมล่ กั ตรงมา กับ ขโมย ประโยชน์ สว่ นรวม ผ่าน ไมผ่ า่ น เกณฑ์การประเมนิ ๓ รายการ ถือวา่ ผา่ น ๒ รายการ ถือว่า ไม่ผ่าน ผา่ นตั้งแต่ ผ่าน ลงชือ่ ผูป้ ระเมนิ () ///

177 แผนการจดั การเรียนรู้ ช้ันประถมศึกษาปที ่ี ๕ เวลา ๒ ชัว่ โมง หน่วยที่ ๑ ชือ่ หน่วย การคิดแยกแยะระหวา่ งผลประโยชน์ส่วนตนกบั ผลประโยชนส์ ่วนรวม แผนการจดั การเรียนรู้ที่ ๕ เรอื่ ง ประโยชน์ส่วนตนกับประโยชนส์ ่วนรวม ๑. ผลการเรยี นรู้ ๑.๑ นกั เรียนมคี วามรู้ ความเข้าใจเก่ียวกบั การแยกแยะระหว่างผลประโยชนส์ ่วนตนกบั ผลประโยชน์ ส่วนรวม ๒. จุดประสงค์การเรียนรู้ ๒.๑ นกั เรยี นสามารถบอกความหมายของผลประโยชนส์ ว่ นตนกบั ผลประโยชนส์ ่วนรวมได้ ๒.๒ นกั เรียนสามารถบอกการกระทาทเ่ี ปน็ ผลประโยชนส์ ว่ นตนกบั การกระทาท่ีเป็นผลประโยชน์ ส่วนรวมได้ ๓. สาระการเรยี นรู้ ๓.๑ ความรู้ - ความหมายของประโยชนส์ ่วนตนกบั ประโยชน์สว่ นรวม ประโยชนส์ ่วนตน หมายถึง การท่ีบุคคลทว่ั ไปในสถานะเอกชนหรอื เจ้าหน้าทขี่ องรัฐได้ทา กจิ กรรมหรือไดก้ ระทาการตา่ ง เพอื่ ประโยชน์สว่ นตน ครอบครวั ญาติ เพ่อื นหรือของกลมุ่ ในสังคม ประโยชนส์ ว่ นรวมหรอื ประโยชนส์ าธารณะ หมายถึง การที่บุคคลใด ในสถานะทเ่ี ป็นเจา้ หนา้ ที่ ของรฐั ได้กระทาการใด ตามหนา้ ทห่ี รอื ได้ปฏบิ ัติหนา้ ที่ อันเปน็ การดาเนินการในอกี ส่วนหนึง่ ท่ีแยกออกมา จากการดาเนนิ การตามหนา้ ทใ่ี นสถานะของเอกชน ๓.๒ สมรรถนะสาคญั ของผเู้ รยี น ๑) ความสามารถในการส่อื สาร ๒) ความสามารถในการคิด ๓.๓ คุณลักษณะอันพึงประสงค์ ซ่ือสตั ย์สจุ รติ ๔. กิจกรรมการเรียนรู้ ๔.๑ ข้ันตอนการเรียนรู้ ๑) ชวั่ โมงท่ี ๑ ๑. ครูใหน้ ักเรียนดภู าพเกย่ี วกบั สาธารณะสมบตั ิ เช่น สวนสาธารณะ รถไฟสาธารณะ หอ้ งสมดุ เปน็ ตน้ ๒. ครูและนักเรยี นร่วมกันสนทนาเกีย่ วกบั ภาพ ดงั น้ี - ภาพน้เี กย่ี วกบั อะไร - ภาพนีม้ กี จิ กรรมอะไรบา้ ง - ส่ิงของในภาพนี้อะไรทเี่ ป็นของสว่ นตัว - สง่ิ ของในภาพนี้อะไรที่เปน็ ของสว่ นรวม

178 ๓. ครูสรุปความหมายของคาวา่ “ผลประโยชนส์ ว่ นตน” กับ “ผลประโยชน์ส่วนรวม” ๔. ครูซกั ถามนักเรียนเกย่ี วกับสิ่งของส่วนรวม ดังน้ี - สิ่งของท่ีเปน็ ของสว่ นรวมมปี ระโยชน์อยา่ งไร - ใครเป็นผไู้ ด้รับประโยชน์จากสง่ิ ของสว่ นรวมน้นั - ใครเปน็ ผ้ดู ูแลรกั ษาสง่ิ ของสว่ นรวม - มีวธิ กี ารดแู ลรกั ษาสงิ่ ของสว่ นรวมอย่างไร ๕. ครูซักถามนกั เรียนเกยี่ วกับสงิ่ ของสว่ นตน ดังน้ี - สิ่งของที่เป็นของส่วนตนมีประโยชนอ์ ยา่ งไร - ใครเป็นผไู้ ดร้ ับประโยชน์จากสิ่งของสว่ นตนนัน้ - ใครเป็นผู้ดูแลรักษาสง่ิ ของส่วนตน - มวี ธิ กี ารดูแลรกั ษาสิ่งของสว่ นตนอยา่ งไร ๒) ชว่ั โมงท่ี ๒ ๑. ครูให้นกั เรียนทาใบงาน เร่ือง ผลประโยชนส์ ว่ นตนกบั ผลประโยชน์ส่วนรวม ๒. ให้นักเรยี นนาเสนอผลงานหนา้ ชัน้ เรยี น ๓. นกั เรยี นนาผลงานไปตดิ ทีป่ าู ยประชาสัมพันธ์ของโรงเรยี น ๔.๒ ส่อื การเรยี นรู้ ๑) รปู ภาพเก่ยี วกับสาธารณะสมบตั ิ เชน่ สวนสาธารณะ เป็นตน้ ๒) ใบงาน เรือ่ ง ผลประโยชน์ส่วนตนกบั ผลประโยชนส์ ่วนรวม ๕. การประเมินผลการเรียนรู้ ๕.๑ วธิ กี ารประเมิน ๑) ตรวจผลงาน เรอ่ื ง ผลประโยชน์ส่วนตนกบั ผลประโยชนส์ ว่ นรวม ๒) สงั เกตพฤติกรรม ซอ่ื สัตยส์ ุจรติ ๕.๒ เคร่ืองมอื ทใ่ี ช้ในการประเมิน ๑) แบบให้คะแนนการตรวจผลงาน ๒) แบบสังเกตพฤติกรรม ซ่อื สัตยส์ ุจริต ๕.๓ เกณฑ์การตดั สนิ นกั เรยี นผา่ นเกณฑ์การประเมินร้อยละ ๘๐ ขน้ึ ไป ถอื วา่ ผา่ น ๖. บันทึกหลงั การจัดการเรียนรู้ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….……… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….…… ………………………………………………………………………………………………………………………………………….................................................... ๗. ความคดิ เหน็ ผู้บรหิ าร ลงชอ่ื .......................................ครผู ู้สอน (.........................................) ........................................................................................................................................................................................................ ....................................................................................................................................................................................................... ลงช่อื .....................................ผูบ้ ริหาร (นายกุศล ชมุ ปัญญา) ผู้อานวยการโรงเรยี นบา้ นศรีวิชา “คุรรุ าษฎร์อุทศิ ”

179 ๗. ภาคผนวก ใบงาน เร่ือง ผลประโยชน์ส่วนตนกบั ผลประโยชนส์ ่วนรวม ชอ่ื ......................................................................................................................ช้ัน.....................เลขที่............... คาช้แี จง ให้นกั เรยี นดภู าพต่อไปนี้ แลว้ เขียนกิจกรรมท่ีเปน็ ผลประโยชนส์ ว่ นตนหรอื ผลประโยชน์สว่ นรวม ผลประโยชน์ส่วนตน หมายถงึ การท่บี ุคคลทั่วไปในสถานะเอกชนหรือเจา้ หน้าทข่ี องรัฐได้ทากิจกรรมหรอื ได้กระทาการตา่ ง เพอ่ื ประโยชน์สว่ นตน ไดแ้ ก่ ๑.______________________________________________________________________________ ๒.______________________________________________________________________________ ๓.______________________________________________________________________________ ๔.______________________________________________________________________________ ผลประโยชนส์ ่วนรวม หมายถงึ การที่บคุ คลใด ในสถานะทเ่ี ป็นเจา้ หนา้ ทขี่ องรฐั ได้กระทาการใด ตาม หนา้ ทหี่ รือได้ปฏิบตั หิ น้าที่ ได้แก่ ๑.______________________________________________________________________________ ๒.______________________________________________________________________________ ๓.______________________________________________________________________________ ๔.______________________________________________________________________________

180 แบบสงั เกตพฤตกิ รรม เรื่อง ซอ่ื สตั ย์สจุ รติ คาชแ้ี จง ใหน้ ักเรียนเขยี นเคร่ืองหมาย ลงในชอ่ งทีต่ รงกับพฤตกิ รรมท่เี กิดข้นึ จริง รายการ รู้จกั สรปุ ผล แยกแยะ การประเมนิ เลขที่ ช่ือ - สกลุ พดู ไม่ลกั ตรงไป ทาตัว ประโยชน์ ความ ตรงมา นา่ เชื่อถอื ส่วนตน จรงิ ขโมย กบั ประโยชน์ ส่วนรวม ผ่าน ไมผ่ า่ น เกณฑ์การประเมิน ๓ รายการ ถือวา่ ผ่าน ๒ รายการ ถือว่า ไมผ่ ่าน ผา่ นต้ังแต่ ผ่าน ลงชื่อ ผปู้ ระเมิน ( ) ///

181 แผนการจดั การเรยี นรู้ หนว่ ยท่ี ๑ ชื่อหนว่ ย การคดิ แยกแยะระหวา่ งผลประโยชน์สว่ นตนกบั ผลประโยชน์ส่วนรวม ชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี ๕ แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี ๖ เร่อื ง การขดั แย้งกนั ระหว่างผลประโยชนส์ ว่ นตนกับผลประโยชนส์ ว่ นรวม เวลา ๒ ชวั่ โมง ๑. ผลการเรยี นรู้ ๑.๑ นกั เรยี นมคี วามรู้ ความเขา้ ใจเก่ียวกับการแยกแยะระหวา่ งผลประโยชน์ส่วนตน กบั ผลประโยชน์สว่ นรวม ๑.๒ นกั เรียนสามารถคดิ แยกแยะระหวา่ งผลประโยชน์สว่ นตน กับผลประโยชน์ส่วนรวมได้ ๒. จดุ ประสงค์การเรียนรู้ ๒.๑ นกั เรยี นสามารถอธบิ ายความหมายของคาวา่ “ขดั แยง้ กนั ” ได้ ๒.๒ นกั เรยี นสามารถบอกผลกระทบจากการขดั แย้งกนั ระหว่างผลประโยชนส์ ่วนตนกบั ผลประโยชน์ส่วนรวมได้ ๒.๓ นักเรยี นสามารถบอกวธิ กี ารแกไ้ ขความขดั แย้งกนั ระหว่างผลประโยชนส์ ว่ นตนกบั ผลประโยชน์ สว่ นรวมได้ ๓. สาระการเรยี นรู้ ๓.๑ ความรู้ - ความหมายของการขดั แย้ง ความขัดแยง้ กนั ระหวา่ งผลประโยชน์ส่วนตนกับผลประโยชนส์ ว่ นรวม หมายถึง สถานการณ์ หรอื การกระทาทบี่ คุ คลไมว่ ่าจะเปน็ นกั การเมอื ง ขา้ ราชการ พนักงานบริษทั หรือผบู้ รหิ ารเห็นผลประโยชน์ สว่ นตวั มากจนมีผลต่อการตดั สนิ ใจ หรือการปฏบิ ัติหน้าทใ่ี นตาแหน่งหนา้ ทที่ ี่บคุ คลนน้ั รับผดิ ชอบอยู่ และสง่ ผล กระทบต่อประโยชนส์ ่วนรวม ซง่ึ การกระทาน้นั อาจจะเกิดข้ึนอยา่ งรู้ ตวั หรือไม่รตู้ ัว ทง้ั เจตนาและไมเ่ จตนา และมีรูปแบบที่หลากหลาย จนกระทงั่ กลายเป็นส่ิงทปี่ ฏิบตั ิกันทวั่ ไป โดยไมเ่ ห็นวา่ เปน็ ความผิด เชน่ การรบั สนิ บน การจ่ายเงนิ ใตโ้ ตะ๊ การจ่ายเงนิ ตอบแทนเจา้ หน้าทขี่ องรฐั ๓.๒ สมรรถนะสาคญั ของผูเ้ รยี น ๑) ความสามารถในการส่อื สาร ๒) ความสามารถในการคิด ๓.๓ คณุ ลักษณะทพ่ี งึ ประสงค์ ซอ่ื สัตยส์ จุ รติ ๔. กิจกรรมการเรียนรู้ ๔.๑ ขั้นตอนการเรยี นรู้ ๑) ช่ัวโมงที่ ๑ ๑. ครทู บทวนเรื่องผลประโยชนส์ ่วนตนกบั ผลประโยชน์ส่วนรวม ๒. ครเู ลา่ เหตุการณ์เร่ือง “เทศกจิ เตือนแมค่ ้าขายของในทห่ี า้ มขาย” เสียวคอแทน! เทศกจิ เตือนแมค่ า้ ขายของในท่หี ้ามขาย เจอแทงสวนด้วยไม้เสยี บขนม เม่ือเจา้ หนา้ ท่ีเทศกิจเมอื งฉงชิ่งของประเทศจนี ถกู แมค่ า้ วัย ๔๕ ปี ทอี่ ยูใ่ นอารมณโ์ กรธเกรยี้ วใชไ้ มแ้ หลม สาหรบั เสยี บผลไมเ้ ชือ่ มแทงเข้าทค่ี อ โดยเหตุการณด์ ังกล่าวเกดิ ขนึ้ ภายหลงั เจ้าหน้าที่กาลงั เดนิ เข้ามาเตอื น แมค่ ้า ทีข่ ายขนมถงั หูลูใ่ นทห่ี า้ มขาย แต่แทนท่ี เธอจะเกบ็ ของหนีไปเหมือนแมค่ า้ คนอื่นกลับเลือกที่จะ ๓. ครูให้นักเรยี นวิพากษว์ ิจารณเ์ กยี่ วกับการกระทาของแม่คา้ และเจา้ หน้าท่ีเทศกิจ เผชญิ หนา้ และใชไ้ ม้แหลมเปน็ อาวธุ ทารา้ ยอกี ฝาุ ย โชคดีที่เจา้ หน้าที่เทศกจิ ไม่ไดร้ ับอนั ตรายร้ายแรง ในขณะท่ี แมค่ า้ ผกู้ อ่ เหตุถกู ดาเนินคดใี นข้อหาทารา้ ยรา่ งกายเจา้ หนา้ ที่

182 ๔. ครอู ธิบายความหมายของคาวา่ การขดั แยง้ กัน - การขัดแย้งกัน หมายถึง ไมล่ งรอยกนั ไมเ่ หน็ พอ้ งตอ้ งกนั ท้ังในเร่ืองผลประโยชนส์ ่วนตนกบั ผลประโยชนส์ ่วนรวม ๒) ช่วั โมงท่ี ๒ ๑. ครใู หน้ ักเรียนบอกผลกระทบจากการขัดแยง้ กนั ระหวา่ งผลประโยชน์ส่วนตนกับผลประโยชน์ สว่ นรวม ๒. ครสู นทนาซักถามนกั เรยี นวา่ “ถ้านกั เรยี นพบเห็นการกระทาหรอื เหตุการณท์ ขี่ ัดแย้งกัน เช่น เหตุการณน์ ี้ นักเรยี นจะมีวธิ ีการแกไ้ ขความขดั แย้งกันไดอ้ ย่างไร เชน่ ไมเ่ หน็ แกไ่ ด้ ไมโ่ ลภ ไมอ่ ยากไดข้ องผอู้ นื่ เป็นของตนเอง เป็นต้น ๓. ครูใหน้ ักเรยี นทาใบงาน เรอ่ื ง วนิ มอเตอร์ไซค์เจ้าถิน่ ๔. นักเรยี นนาเสนอเพื่อแลกเปลยี่ นเรยี นรู้และนาผลงานตดิ ปาู ยนเิ ทศ ๔.๒ ส่ือการเรียนรู้ ๑) ใบงาน เรือ่ ง วนิ มอเตอร์ไซค์เจา้ ถนิ่ ๒) ข่าว “เทศกิจเตือนแม่ค้าขายของในท่ีห้ามขาย” ๕. การประเมนิ ผลการเรียนรู้ ๕.๑ วธิ กี ารประเมิน ๑) ตรวจผลงาน เรื่อง วินมอเตอรไ์ ซค์เจา้ ถน่ิ ๒) สงั เกตพฤติกรรม ซอ่ื สตั ยส์ จุ รติ ๕.๒ เครอ่ื งมือท่ใี ชใ้ นการประเมนิ ๑) แบบใหค้ ะแนนการตรวจใบงาน เรื่อง วินมอเตอรไ์ ซคเ์ จ้าถิน่ ๒) แบบสงั เกตพฤติกรรม ซอื่ สัตยส์ ุจริต ๕.๓ เกณฑ์การตดั สิน นักเรยี นผ่านเกณฑ์การประเมนิ ร้อยละ ๘๐ ข้นึ ไป ถอื ว่า ผ่าน ๖. บนั ทกึ หลงั การจัดการเรียนรู้ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..………….................... …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………........ ลงชื่อ.......................................ครผู สู้ อน ๗. ความคดิ เหน็ ผู้บรหิ าร (.........................................) ........................................................................................................................................................................................................ ....................................................................................................................................................................................................... ลงช่อื .....................................ผู้บรหิ าร (นายกศุ ล ชมุ ปญั ญา) ผู้อานวยการโรงเรยี นบ้านศรีวิชา “ครุ รุ าษฎร์อทุ ศิ ”

183 ๗. ภาคผนวก ใบงาน เรอ่ื ง วนิ มอเตอรไ์ ซคเ์ จ้าถนิ่ ช่อื ....................................................................................................................ชน้ั . .................เลขท.ี่ ................. คาช้ีแจง ใหน้ กั เรียนอ่านข่าว แลว้ ตอบคาถามตอ่ ไปน้ี นกั ศึกษาจุฬา เรยี กใช้บริการผ่านแอพพลเิ คช่ัน หรือ grab bike เน่ืองจากหนา้ หอพกั ขณะนน้ั ไม่มวี ินมอเตอร์ไซค์รับจา้ ง และเม่ือ grab bike มาถงึ กลับถูกวินมอเตอร์ไซด์รบั จ้างประจา ซอย ขับไลแ่ ละดึงกญุ แจรถออกจนทะเลาะวิวาทกัน เรยี บเรียง PPTV ข่าว ๑) นักเรียนคดิ วา่ การกระทาของวนิ มอเตอรไ์ ซค์รบั จา้ งประจาซอยเป็นการกระทาที่เหมาะสมหรอื ไม่ เพราะเหตใุ ด _________________________________________________________________________ _________________________________________________________________________ _________________________________________________________________________ _________________________________________________________________________ _________________________________________________________________________ _________________________________________________________________________ _________________________________________________________________________ ๒) ถ้านักเรยี นเปน็ นักศึกษาดงั กลา่ ว นักเรยี นจะแกไ้ ขปญั หาทเ่ี กดิ ขน้ึ อยา่ งไร _________________________________________________________________________ _________________________________________________________________________ _________________________________________________________________________ _________________________________________________________________________ _________________________________________________________________________ _________________________________________________________________________ _________________________________________________________________________

184 แบบสงั เกตพฤติกรรม เรอ่ื ง ซื่อสตั ยส์ จุ รติ คาช้แี จง ใหน้ ักเรียนเขยี นเครื่องหมาย ลงในชอ่ งที่ตรงกับพฤตกิ รรมทเ่ี กิดข้นึ จริง รายการ พดู รู้จกั สรุปผล ความ แยกแยะ จริง การประเมิน เลขท่ี ช่อื - สกุล ไม่ลัก ตรงไป ทาตัว ประโยชน์ ขโมย ตรงมา นา่ เชอื่ ถอื สว่ นตน กับ ประโยชน์ สว่ นรวม ผ่าน ไม่ผา่ น เกณฑ์การประเมนิ ๓ รายการ ถือวา่ ผ่าน ๒ รายการ ถือว่า ไม่ผา่ น ผ่านตั้งแต่ ผา่ น ลงชอ่ื ผู้ประเมนิ ( ) ///

185 แผนการจดั การเรยี นรู้ หน่วยที่ ๑ ช่ือหนว่ ย การคดิ แยกแยะระหวา่ งผลประโยชน์สวนตนกบั ผลประโยชนส์ วนรวม ช้ันประถมศกึ ษาปที ี่ ๕ แผนการจดั การเรียนร้ทู ่ี ๗ เร่ือง ผลประโยชนท์ บั ซ้อน เวลา ๒ ชั่วโมง ๑. ผลการเรียนรู้ ๑.๑ มคี วามรู้ ความเขา้ ใจเก่ียวกับการแยกแยะระหวา่ งผลประโยชนส์ ว่ นตนกับผลประโยชนส์ ่วนรวม ๑.๒ ตระหนกั และเห็นความสาคัญของการต่อตา้ นและปูองกนั การทุจรติ ๒. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ ๒.๑ นักเรียนสามารถอธิบายความหมายของผลประโยชน์ทบั ซอ้ นได้ ๒.๒ นกั เรียนสามารถยกตวั อยา่ งผลประโยชน์ทับซ้อนได้ ๓. สาระการเรียนรู้ ๓.๑ ความรู้ ผลประโยชนท์ ับซอ้ น คือ ผลประโยชน์สว่ นตัวของเจา้ หน้าทรี่ ฐั ไปขัดแย้งกับผลประโยชน์ ส่วนรวมแล้วตอ้ ง เลือกเอาอยา่ งใดอย่างหนง่ึ ซ่ึงทาใหต้ ัดสนิ ใจไดย้ ากในอันทจ่ี ะปฏบิ ตั หิ นา้ ทใ่ี ห้ เกดิ ความเปน็ ธรรมและปราศจากอคติ การท่เี จ้าหนา้ ทข่ี องรัฐกระทาการใด ตามอานาจหนา้ ทเี่ พอื่ ประโยชนส์ ว่ นรวม แตก่ ลบั เขา้ ไปมสี ว่ นไดเ้ สยี กบั กิจกรรม หรอื การดาเนนิ การทเี่ อ้ือผลประโยชน์ใหก้ ับตนเองหรือพวกพ้อง ทาใหก้ ารใช้อานาจหนา้ ทเี่ ปน็ ไปโดยไม่สุจรติ กอ่ ให้เกิดผลเสยี ต่อภาครัฐ สาเหตุการเกิด ผลประโยชนท์ บั ซอ้ น เกดิ จากเจา้ หน้าท่ีของรัฐมบี ทบาทท่ขี ดั แย้งกนั ๒ บทบาท ไดแ้ ก่ บทบาทท่ี ๑ คอื บทบาททต่ี ัดสนิ ใจตามหนา้ ทคี่ วามรับผดิ ชอบ บทบาทท่ี ๒ คอื บทบาทที่ตดั สินใจตามผลประโยชนส์ ่วนตวั ซึ่งอาจจะไมผ่ ิดกฎหมาย แตเ่ มือ่ ตัดสินใจไปแล้วจะมผี ลกระทบตอ่ การตัดสินใจตามหน้าทท่ี าให้เกดิ ปัญหาหรือความผดิ ได้ ๓.๒ สมรรถนะสาคญั ของผเู้ รยี น ๑) ความสามารถในการสอ่ื สาร ๒) ความสามารถในการคิด ๓.๓ คุณลักษณะทีพ่ งึ ประสงค์ ๑) ซอ่ื สัตยส์ จุ รติ ๒) มจี ิตสาธารณะ ๔. กจิ กรรมการเรยี นรู้ ๔.๑ ขน้ั ตอนการเรียนรู้ ๑) ช่วั โมงที่ ๑ ๑. ใหน้ ักเรยี นดวู ดิ ทิ ศั น์ เรอ่ื ง นมิ นต์ยิม้ เดลี่ คนดไี ม่คอรร์ ปั ชนั ตอน แยง่ ที่ ซึ่งเปน็ เรื่องเกยี่ วกับ การแย่งทจ่ี อดเรอื โดยมีคนตดิ สนิ บนเจ้าหนา้ ที่ ซ่ึงเจา้ หนา้ ทผี่ ู้นัน้ ไมย่ อมรบั สนิ บน และจับตัวคนท่จี ะใหส้ นิ บน ไปลงโทษ ๒. ให้นักเรยี นร่วมกนั อภิปรายเรอ่ื งที่เกดิ ขึน้ จากการดวู ิดทิ ศั น์ ตามประเดน็ ต่อไปน้ี ๒.๑ เกิดเหตุการณอ์ ะไรข้นึ (เกิดการแยง่ ทจ่ี อดเรอื ระหว่างกลมุ่ คนขบั เรอื ) ๒.๒ คนขบั เรือทาอย่างไรเพื่อให้มีทจ่ี อดเรือ

186 (จ่ายเงินสินบนให้เจ้าหน้าทที่ ีด่ แู ลควบคมุ การจอดเรือ) ๒.๓ เจา้ หน้าทที่ าอย่างไร (ไม่ยอมรับเงินสินบน) ๒.๔ ผลสรปุ ของเหตุการณเ์ ปน็ อยา่ งไร (คนขบั เรือทีพ่ ยายามใหส้ ินบนเจา้ หน้าทถี่ กู จับ) ๒.๕ นกั เรียนคิดวา่ เจ้าหนา้ ทที่ าถกู หรอื ไม่ เพราะเหตุใด (ทาถูกตอ้ ง เพราะ สามารถแยกแยะผลประโยชนส์ ว่ นตนกับผลประโยชนส์ วนรวมได้)่ ๒.๖ ถ้านักเรยี นเปน็ เจา้ หนา้ ทนี่ ักเรียนจะทาอยา่ งไร (ไมร่ ับเงินสินบนและจบั คนขับเรือไปดาเนนิ คดี เพราะการรบั เงนิ สนิ บนเปน็ เรื่องทผ่ี ิด และทาให้ผอู้ น่ื เกิดความเดอื ดรอ้ น) ๒.๗ ผลสรปุ การกระทาของเจา้ หนา้ ทเ่ี ปน็ อยา่ งไร (เจา้ หนา้ ทเ่ี ล็งเหน็ ผลประโยชน์สว่ นรวมมากกวา่ ผลประโยชนส์ ่วนตวั และสามารถ แยกแยะสิง่ สองสง่ิ น้อี อกจากกนั ไดอ้ ย่างชัดเจน ทาใหก้ ารปฏิบตั ิหน้าทเ่ี ปน็ ไปอยา่ งถูกตอ้ งเหมาะสม) ๓. ครูใหน้ กั เรียนศกึ ษาใบความรู้ เรือ่ ง ผลประโยชนท์ ับซ้อน ๔. ครู อธบิ ายความหมายของผลประโยชน์ ทบั ซอ้ นวา่ เกดิ จากการเจ้าหนา้ ที่ของรัฐมบี ทบาท ท่ขี ัดแยง้ กัน ๒ บทบาท ไดแ้ ก่ บทบาทท่ี ๑ คอื บทบาททตี่ ัดสินใจตามหนา้ ทค่ี วามรบั ผดิ ชอบ บทบาทที่ ๒ คือบทบาททต่ี ดั สนิ ใจตามผลประโยชนส์ ่วนตวั ซึง่ อาจจะไม่ผดิ กฎหมาย แต่เมอ่ื ตดั สนิ ใจไปแลว้ จะมผี ลกระทบตอ่ การตดั สินใจตามหน้าทท่ี าให้เกิดปัญหาหรอื ความผดิ ได้ ๕. ครูมอบหมายใหน้ ักเรยี นเขยี นผังมโนทัศน์ เรื่อง ผลประโยชน์ทบั ซ้อน ๒) ช่ัวโมงท่ี ๒ ๑. ครยู กตวั อย่างความขัดแยง้ กนั ของบทบาทหน้าทขี่ องเจ้าหน้าทขี่ องรฐั เชน่ ครสู งั่ ใหน้ กั เรยี น ไปซ้อื ของสาหรบั ทางานประดิษฐ์ในวิชาของตนเองโดยของช้ินนน้ั หาซื้อได้ท่ีรา้ นคา้ ของตนเองเท่านัน้ บทบาทที่ ๑ คอื สง่ั งานตามหนา้ ทขี่ องครู บทบาทท่ี ๒ คอื ต้องการหารายไดเ้ ข้ากจิ การของตวั เอง ผลประโยชน์ทับซอ้ น คือ ครไู ดร้ บั ผลประโยชนจ์ ากการสัง่ ใหน้ กั เรยี นซอื้ ของที่รา้ นค้าของตนเอง ๒. ครูให้นกั เรยี นศึกษาเหตุการณท์ ที่ าให้เกดิ ผลประโยชน์ทับซ้อนจากขา่ วในหนังสือพิมพ์หรือ อินเทอร์เน็ต แลว้ เขยี นเหตุการณน์ ัน้ ลงในใบงาน เรอื่ ง บทบาทท่ขี ดั แยง้ ๓. ครแู ละนักเรียนรว่ มกันสรปุ ผลประโยชนท์ บั ซอ้ นรว่ มกัน แลว้ นาผลงานไปตดิ ปาู ยนเิ ทศ ๔.๒ สื่อการเรียนรู้ / แหล่งการเรียนรู้ ๑) วดี ิทัศน์ เรอ่ื ง นิมนต์ย้มิ เดล่ี คนดีไมค่ อร์รัปชัน ตอน แยง่ ท่ี จากเวบ็ ไซต์ https://m.youtube.com>wach ๒) ใบความรู้ เรือ่ ง ผลประโยชนท์ ับซอ้ น ๓) ใบงาน เรอื่ ง บทบาทท่ขี ดั แย้ง ๕. การประเมนิ ผลการเรียนรู้ ๕.๑ วิธกี ารประเมิน ๑) ตรวจผลงานการทาผงั มโนทัศน์ เร่อื ง ผลประโยชน์ทบั ซ้อน ๒) ตรวจผลงานการทาใบงาน เรื่อง บทบาททข่ี ดั แย้ง

187 ๕.๒ เคร่อื งมอื ท่ีใชใ้ นการประเมิน ๑) แบบประเมินผงั มโนทัศน์ เรอื่ ง ผลประโยชน์ทบั ซอ้ น ๒) แบบตรวจใบงาน เร่อื ง บทบาทที่ขดั แย้ง ๕.๓ เกณฑ์การตดั สิน ๑) นกั เรียนผา่ นการประเมิน รอ้ ยละ ๘๐ ขึน้ ไป ๖. บันทกึ หลังการจัดการเรียนรู้ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….…………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………................... ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..………........ ลงชือ่ .......................................ครูผสู้ อน (.........................................) ๗. ความคดิ เหน็ ผบู้ ริหาร ........................................................................................................................................................................................................ ....................................................................................................................................................................................................... ลงช่ือ.....................................ผู้บริหาร (นายกศุ ล ชุมปัญญา) ผู้อานวยการโรงเรยี นบา้ นศรวี ชิ า “คุรรุ าษฎรอ์ ุทศิ ”

188 ๗. ภาคผนวก ใบความรู้ เรอ่ื ง ผลประโยชน์ทับซอ้ น ผลประโยชนท์ ับซอ้ น คือ ผลประโยชนส์ ่วนตวั ของเจ้าหน้าที่รัฐไปขัดแยง้ กับผลประโยชนส์ ่วนรวมแลว้ ตอ้ งเลอื กเอาอยา่ งใดอย่างหนึง่ ซงึ่ ทาให้ตัดสินใจไดย้ ากในอันทีจ่ ะปฏิบตั ิหนา้ ท่ี ให้เกดิ ความเป็นธรรมและปราศจากอคติการที่เจ้าหนา้ ทข่ี องรัฐกระทาการใด ตามอานาจหน้าทเี่ พ่ือประโยชนส์ ว่ นรวม แตก่ ลบั เข้าไปมีส่วนไดเ้ สียกบั กิจกรรม หรอื การดาเนินการท่เี อ้อื ผลประโยชนใ์ ห้กับตนเองหรือพวกพ้อง ทาใหก้ ารใช้ อานาจหน้าทเ่ี ป็นไปโดยไมส่ จุ รติ กอ่ ใหเ้ กิดผลเสยี ต่อภาครฐั สาเหตุการเกดิ เกดิ จากเจา้ หนา้ ทข่ี องรฐั มบี ทบาทท่ีขัดแยง้ กนั ๒ บทบาท ได้แก่ ผลประโยชนท์ ับซอ้ น บทบาทที่ ๑ คอื บทบาทที่ตดั สนิ ใจตามหนา้ ทคี่ วามรับผดิ ชอบ บทบาทท่ี ๒ คือ บทบาททีต่ ดั สนิ ใจตามผลประโยชน์ ส่วนตวั ซึ่งอาจจะไมผ่ ิดกฎหมาย แต่เมือ่ ตดั สินใจไปแลว้ จะมีผลกระทบต่อ การตัดสินใจตามหนา้ ทที่ าใหเ้ กดิ ปญั หาหรอื ความผดิ ได้ ครูส่งั ใหน้ ักเรยี นไปซ้อื ของสาหรับทางานประดษิ ฐใ์ นวชิ าของตนเอง โดยของชน้ิ น้นั หาซอื้ ไดท้ ร่ี ้านคา้ ของตนเองเทา่ นน้ั บทบาทท่ี ๑ คือ สง่ั งานตามหน้าทขี่ องครู บทบาทที่ ๒ คอื ตอ้ งการหารายไดเ้ ขา้ กจิ การของตัวเอง ผลประโยชน์ทับซอ้ น คอื ครูไดร้ บั ผลประโยชน์จากการสั่งให้นกั เรยี น ซอื้ ของที่ร้านค้าของตนเอง ปลดั อาเภอจัด งานเลย้ี งตอ้ นรบั นายอาเภอท่มี า รับหนา้ ทใ่ี หม่ โดยว่าจ้างนอ้ งชายของภรรยาเป็นผู้จดั การ บทบาทที่ ๑ คือ จัดงานตามหนา้ ทที่ ่ีได้รับมอบหมายบทบาทที่ ๒ คือ จดั หางานวา่ จา้ งให้กจิ การภายในครอบครวั ผลประโยชน์ทบั ซอ้ นคือ อนุมัติโครงการที่มปี ระโยชน์ต่อธุรกจิ ของตนเองโดยที่โครงการนั้นอาจไม่ ก่อให้เกดิ ประโยชนต์ อ่ สว่ นรวม

189 ใบงาน เร่ือง บทบาทท่ีขดั แยง้ ชือ่ ...........................................................สกลุ .......................................................... .เลขที.่ .............ชน้ั ................ ให้นักเรยี นระบุบทบาทที่ ๑ และสมมตบิ ทบาทท่ี ๒ ที่มโี อกาสเกดิ ขนึ้ ในแต่ละอาชพี ทกี่ าหนดให้ บทบาทที่ ๑ บทบาทท่ี ๒ (การทาตามหน้าท)่ี (การทาตามผลประโยชนส์ ว่ นตน) เช่น ผู้อานวยการโรงเรยี นมีหนา้ ทพี่ ิจารณารบั ผู้อานวยการรบั เงนิ จากผู้ปกครองเพอื่ นกั เรียนเข้าศกึ ษาตอ่ แลกเปลยี่ นกับการเข้าเรยี นของนักเรยี น …………………………………………………………… …………………………………………………………… …………………………………………………………… …………………………………………………………… …………………………………………………………… …………………………………………………………… …………………………………………………………… …………………………………………………………… …………………………………………………………. …………………………………………………………. …………………………………………………………… …………………………………………………………… …………………………………………………………… …………………………………………………………… …………………………………………………………… …………………………………………………………… …………………………………………………………… …………………………………………………………… …………………………………………………………. …………………………………………………………. …………………………………………………………… …………………………………………………………… …………………………………………………………… …………………………………………………………… …………………………………………………………… …………………………………………………………… …………………………………………………………… …………………………………………………………… …………………………………………………………. …………………………………………………………. …………………………………………………………… …………………………………………………………… …………………………………………………………… …………………………………………………………… …………………………………………………………… …………………………………………………………… …………………………………………………………… …………………………………………………………… …………………………………………………………. …………………………………………………………. …………………………………………………………… …………………………………………………………… …………………………………………………………… …………………………………………………………… …………………………………………………………… …………………………………………………………… …………………………………………………………… …………………………………………………………… …………………………………………………………. ………………………………………………………….

190 แบบประเมินผังมโนทัศน์ คาชีแ้ จง การบันทึกให้ลงคะแนนในช่องท่ีตรงกบั พฤติกรรมท่เี กดิ ข้นึ จรงิ เลือกใช้ ความ ราย สาระ การ องค์ การ ข้อมลู ที่ ผังมโน สวยงาม ละเอียด ถกู ตอ้ ง สะกด ประกอบ นาเสนอ ทศั น์ ประณีต คา เครื่องของผัง ข้อมลู ดู นาเสนอ รวม สรุปผลการ เหมาะสม ชัดเจน ประเมนิ เหมาะสม ของผงั หมาย มโนทัศน์ ง่าย ถกู ต้อง ท่ี ชื่อ-สกุล การใช้ ครบถ้วน น่าสนใจ มโนทศั น์ ภาษา ตามที่ ถูกต้อง กาหนด ๕ ๕ ๕ ๕ ๕ ๕ ๕ ๕ ๔๐ ผ่าน ไม่ผา่ น

191 แบบบนั ทกึ คะแนนใบงาน ท่ี ชอ่ื -สกลุ จานวนข้อที่ คะแนน ผลการประเมนิ ถูกต้อง ผ่าน ไมผ่ า่ น

192 หนว่ ยท่ี ๒ ความละอายและความไมท่ นตอ่ การทจุ รติ

193 แผนการจดั การเรยี นรู้ ชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี ๕ หน่วยที่ ๒ ชือ่ หน่วย ความละอายและความไม่ทนตอ่ การทจุ รติ เวลา ๑ ช่ัวโมง แผนการจดั การเรียนรทู้ ่ี ๑ เรอื่ ง การทาการบ้าน ๑. ผลการเรียนรู้ ๑.๑ มคี วามร้คู วามเข้าใจ เกีย่ วกับความไมท่ นและความละอายตอ่ การทุจรติ ๑.๒ ปฏิบัตติ นเปน็ ผไู้ ม่ทนและละอายต่อการทจุ รติ ทุกรปู แบบ ๒. จดุ ประสงค์การเรียนรู้ ๒.๑ นักเรยี นสามารถเรยี นรู้และมคี วามเขา้ ใจเกี่ยวกบั ความไมท่ นและความละอายตอ่ การทุจริต ๒.๒ นกั เรียนสามารถปฏิบตั ิตนเป็นผไู้ ม่ทนและละอายตอ่ การทจุ รติ ทุกรปู แบบ ๓. สาระการเรยี นรู้ ๓.๑ ความรู้ การทาการบ้านถอื วา่ เป็นการฝกึ ฝนและการทบทวนบทเรียนทไ่ี ดเ้ รียนมา การแลกเปล่ยี นเรยี นรู้ และ ทาขอ้ ตกลงรว่ มกันในช้ันเรยี น แตถ่ า้ หากลอกการบ้านถอื ว่าเป็นการกระทาทีไ่ มถ่ กู ต้องเป็นการกระทาทที่ จุ รติ ทกี่ ่อใหเ้ กิดผลเสยี ต่อตนเองและผอู้ น่ื ๓.๒ สมรรถนะสาคญั ของผเู้ รยี น ๑) ความสามารถในการคดิ ๒) ความสามารถในการใช้ทกั ษะชวี ิต ๓) ความสามารถในการแกป้ ัญหา ๓.๓ คณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์ มงุ่ มน่ั ในการทางาน ๔. กจิ กรรมการเรียนรู้ ๔.๑ ข้นั การเรียนรู้ ๑) ครูใหน้ กั เรียนดูวดี ิทศั น์ เร่ือง สนมิ เกยี่ วกบั การลอกการบา้ นเพอ่ื น ๒) ให้นักเรียนคดิ วเิ คราะห์ตามหวั ขอ้ ดังต่อไปน้ี ๑. พฤติกรรมของนักเรยี นหญิงในการช่วยเพอื่ นในแตล่ ะคร้งั ถกู ตอ้ งหรือไม่ ๒. ถา้ นักเรียนเปน็ โจกับปอรน์ จะแกป้ ญั หาการไมส่ ง่ การบา้ นไดอ้ ย่างไร ๓) ครใู ห้นักเรยี นส่งตัวแทนออกมานาเสนอการวเิ คราะหข์ องตนเองหน้าช้นั เรยี น ๔) ครูให้นักเรียนทาข้อตกลงรว่ มกนั ในการสง่ การบา้ นแตล่ ะวชิ า แลว้ นาข้อตกลงไปติดตามมุมตา่ ง ของ ห้องเรียน ๕) ครแู ละนักเรียนรว่ มกันสรุป “การลอกการบา้ นเปน็ จดุ เรม่ิ ต้นของการทุจรติ ซงึ่ เป็นการกระทา ที่ไม่ถกู ตอ้ ง ๔.๒ ส่ือการเรียนรู้ ๑) วีดิทัศน์ เรอ่ื ง สนมิ เก่ียวกับการลอกการบา้ นเพ่อื น จากเวบ็ ไซต์ https://youtube/g_mRPxeVhk๘ ๒) ขอ้ ตกลงร่วมกันในการสง่ การบ้านแตล่ ะวชิ า

194 ๕. การประเมนิ ผลการเรยี นรู้ ๕.๑ วิธกี ารประเมนิ สังเกตการพฤตกิ รรม ๕.๒ เครอ่ื งมือในการประเมิน แบบสงั เกตพฤตกิ รรม ๕.๓ เกณฑ์การตดั สนิ ๑) เกณฑ์การประเมินพฤตกิ รรมรายบุคคล ๑. การใหค้ ะแนน ให้ ๑ คะแนน ๒. การสรุปผลการประเมนิ ใหเ้ ปน็ ระดบั คุณภาพ ๔, ๓, ๒, ๑ กาหนดเกณฑไ์ ดต้ ามความเหมาะสมหรอื อาจใชเ้ กณฑด์ ังน้ี ๙–๑๐ คะแนน = ๔ (ดมี าก) ๗–๘ คะแนน = ๓ (ด)ี ๕–๖ คะแนน = ๒ (พอใช้) ๐–๔ คะแนน = ๑ (ควรปรบั ปรงุ ) ๒) นกั เรยี นผ่านเกณฑ์การประเมิน ระดับดี ขึ้นไป ถือว่า ผา่ น ๖. บนั ทกึ หลังการจัดการเรยี นรู้ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………….................................................... ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..………........ ลงชือ่ ................................................ ครผู สู้ อน (...............................................) ๗. ความคดิ เหน็ ผู้บรหิ าร ........................................................................................................................................................................................................ ....................................................................................................................................................................................................... ลงช่ือ.....................................ผูบ้ รหิ าร (นายกศุ ล ชุมปัญญา) ผู้อานวยการโรงเรยี นบ้านศรีวชิ า “ครุ ุราษฎรอ์ ทุ ศิ ”

195 ๗. ภาคผนวก แบบประเมนิ พฤติกรรมในการทางานเปน็ รายบคุ คล ผลงาน/กจิ กรรมที่ ........ เรอื่ ง ............................................................................................ หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี ................................................................................................................ คาช้แี จง สังเกตพฤตกิ รรมในการปฏิบตั ิกจิ กรรมของนักเรยี น แลว้ เขยี นเครื่องหมาย ลงในช่องรายการ พฤติกรรมที่นักเรยี นปฏบิ ตั ิ รายการพฤติกรรม ระดบั คณุ ภาพ ๔๓ ๒ ๑ เลขที่ ชือ่ –สกุล สนใจ ตอบ เสนอ รบั ฟงั ใหค้ วาม ม่งุ มั่น ประเมนิ เคารพ ทาตาม พอใจ รวม ในการ และ ขอ้ หน้าท่ี กับความคะแนน ทางาน คาถาม ความ ความ ชว่ ย ทางาน ปรับปรุง ตกลง ท่ีได้ สาเรจ็ ตรง คดิ เห็น คิดเห็น เหลือ ให้ งานด้วย ของ รับ ของงาน ประเด็น ของผ้อู ่ืน ผอู้ นื่ สาเรจ็ ความเต็ม กล่มุ มอบ ใจ หมาย ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ เกณฑ์การประเมิน ๑. การใหค้ ะแนน ให้ ๑ คะแนน ๒. การสรุปผลการประเมินใหเ้ ป็นระดับคณุ ภาพ ๔, ๓, ๒, ๑ กาหนดเกณฑ์ไดต้ ามความ เหมาะสมหรอื อาจใชเ้ กณฑ์ดงั น้ี ๙–๑๐ คะแนน = ๔ (ดมี าก)๗–๘ คะแนน = ๓ (ด)ี ๕–๖ คะแนน = ๒ (พอใช)้ ๐–๔ คะแนน = ๑ (ควรปรบั ปรุง)

แผนการจดั การเรียนรู้ 196 หนว่ ยที่ ๒ ชื่อหน่วย ความละอายและความไม่ทนต่อการทุจรติ ช้นั ประถมศึกษาปี ๕ แผนการจดั การเรยี นรทู้ ี่ ๒ เร่อื ง การทาเวร เวลา ๑ ชว่ั โมง ๑. ผลการเรียนรู้ ๑.๑ มคี วามร้คู วามเข้าใจ เก่ยี วกบั การแยกแยะระหวา่ งผลประโยชนส์ ว่ นตนกับผลประโยชนส์ ่วนรวม ๑.๒ สามารถคิดแยกแยะระหวา่ งผลประโยชนส์ ่วนตน กับผลประโยชน์ส่วนรวมได้ ๒. จุดประสงค์การเรียนรู้ ๒.๑ นักเรยี นมคี วามรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกับการแยกแยะระหว่างผลประโยชนส์ ่วนตนกบั ผลประโยชนส์ ว่ นรวม ๒.๒ นกั เรียนสามารถคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชน์ส่วนตน กบั ผลประโยชน์ส่วนรวมได้ ๓. สาระการเรยี นรู้ ๓.๑ ความรู้ การอยรู่ ว่ มกันในสังคม จาเป็นอย่างยิ่งทเ่ี ราต้องรจู้ กั มคี วามรับผดิ ชอบรู้หนา้ ทขี่ องตนเอง แยกแยะระหวา่ งผลประโยชน์สว่ นตนกับส่วนรวม มคี วามรับผดิ ชอบต่อสังคม รกั ษาสมบตั สิ ว่ นตนและสว่ นรวม ๓.๒ สมรรถนะสาคญั ของผู้เรยี น ๑. ความสามารถในการแกป้ ญั หา ๒. ความสามารถในการใช้ทกั ษะชีวิต ๓.๓ คณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ มีวนิ ัย ๔. กิจกรรมการเรยี นรู้ ๔.๑ ขน้ั ตอนการเรยี นรู้ ๑) ใหน้ กั เรียนดวู ีดทิ ัศน์ เรอ่ื ง นักเรยี นไมย่ อมทาเวร คณุ ครเู ลยจดั ใหซ้ ะ ๒) ครใู ห้นกั เรียนจับคู่ แลว้ รว่ มกนั วเิ คราะหป์ ระเดน็ ดงั ตอ่ ไปน้ี บันทึกลงในใบงาน เร่อื งคุณครูทร่ี กั ๑. ถ้านักเรียนเปน็ คุณครทู ่านนนั้ นักเรียนจะแกป้ ญั หาจากการทนี่ กั เรยี นไม่ทาเวรอยา่ งไร ๒. ถา้ ไมต่ อ้ งการใหห้ ้องเรยี นสกปรก นกั เรียนจะมีวิธีการช่วยกันอย่างไร ๓) ครใู ห้นักเรียนทาใบงาน เรอ่ื ง คณุ ครทู ร่ี ัก แล้วนาเสนอหน้าชนั้ เรียน ๔) ครใู ห้นักเรียนแบง่ หน้าทรี่ ับผิดชอบการทาเวรท้งั ในหอ้ งเรยี น และนอกหอ้ งเรียน ๕) ครใู หน้ กั เรียนสรา้ งกติกาการใช้ห้องเรยี นร่วมกนั โดยการเขยี นแผนภมู แิ ลว้ นาไปตดิ ปูายนิเทศ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook