Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 2565_ประวัติพระพุทธศาสนา ร่างแรก PDF รวมไฟล์

2565_ประวัติพระพุทธศาสนา ร่างแรก PDF รวมไฟล์

Published by banchongmcu_surin, 2022-05-11 07:51:05

Description: 2565_ประวัติพระพุทธศาสนา ร่างแรก PDF รวมไฟล์

Search

Read the Text Version

มหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย Mahachulalongkornrajavidyalaya University หลักสูตรพุทธศาสตรบัณฑิต ต�ำ รา วชิ ากล่มุ พระพทุ ธศาสนา รหัสวชิ า ๐๐๐ ๒๓๗ ประวัตพิ ระพทุ ธศาสนา History of Buddhism (ฉบับปรับปรุง) โครงการจดั ท�ำและพัฒนาหลักสูตร มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั ปงี บประมาณ ๒๕๖๕ 00. .indd 1 5/10/2022 12:53:23 PM

ประวตั พิ ระพุทธศาสนา History of Buddhism (ฉบับปรับปรงุ ) ผู้แต่ง : คณาจารย์ มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย บรรณาธิการ : พระเมธีวรญาณ, ผศ.ดร. พระมหาสรุ ศักด์ิ ปจจฺ นตฺ เสโน, ผศ.ดร. รศ.ดร.ประพฒั น์ ศรีกูลกิจ ผศ.ดร.ศิริโรจน์ นามเสนา ผศ.ดร.เสฐยี ร ทั่งทองมะดนั ผู้ทรงคุณวุฒติ รวจสอบ : รศ.ดนยั ปรีชาเพมิ่ ประสทิ ธิ์ ศิลปะและรปู เลม่ : นายสมบรู ณ์ เพ่งพิศ พสิ ูจนอ์ กั ษร : นายสุชญา ศริ ธิ ัญภร ออกแบบปก : นายพจิ ติ ร พรมลี พมิ พ์ครงั้ ที่ ๑ : พฤษภาคม ๒๕๖๕ จ�ำนวนพิมพ ์ : ๑๐๐ เลม่ จ�ำนวนหน้า : ๔๒๐ หนา้ ลขิ สทิ ธ ์ิ ลขิ สิทธ์ขิ องส�ำนกั พิมพ์มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย หา้ มการลอกเลยี นไมว่ ่าสว่ นใดๆ ของหนงั สือเลม่ นี้ นอกจากจะได้รบั อนญุ าตเป็นลายลกั ษณอ์ กั ษรเท่านั้น ขอ้ มูลทางบรรณานกุ รมของส�ำนักหอสมุดแหง่ ชาติ คณาจารย์ มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั . ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา = History of Buddhism.-- พระนครศรอี ยธุ ยา : โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , 2565. 420 หนา้ . 1. พทุ ธศาสนา -- ประวตั .ิ I. ชอื่ เรอ่ื ง. 294.309 ISBN 978-616-300-790-2 จดั พมิ พโ์ ดย : มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั เลขท่ี ๗๙ หมู่ ๑ ตำ� บลล�ำไทร อ�ำเภอวงั น้อย จังหวัดพระนครศรอี ยธุ ยา ๑๓๑๗๐ โทร ๐๓๕ ๒๔๘ ๐๐๐ (ตอ่ ๘๗๗๓) โทรสาร ๐๓๕ ๒๔๘ ๐๑๓ พิมพ์ท ี่ : โรงพมิ พ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั เลขที่ ๗๙ หมู่ ๑ ต�ำบลล�ำไทร อำ� เภอวังน้อย จังหวดั พระนครศรีอยธุ ยา ๑๓๑๗๐ โทรศัพท์ ๐๓๕ ๒๔๘๐๐๐ ต่อ ๘๕๕๕-๘๕๕๙ โทรสาร ๐๓๕ ๒๔๘-๕๔๕ 00. .indd 2 5/10/2022 12:53:23 PM

ค�ำปรารภ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย มีโครงการจัดท�ำและพัฒนาหลักสูตร ปีงบประมาณ ๒๕๖๕ ด�ำเนินงานกจิ กรรมต่าง ๆ (๑) การพัฒนาหลักสตู รตามกรอบมาตรฐานคณุ ภาพระดับอดุ มศึกษา (TQF for High Education) (๒) การจัดท�ำรายละเอยี ดหลกั สูตรใหม่ ระดับ ปริญญาตรี ปริญญาโท และ ปรญิ ญาเอก (๓) คา่ ตอบแทนผเู้ ชย่ี วชาญดา้ นหลกั สตู ร (๔) สมั มนาเชงิ ปฏบิ ตั กิ ารใหค้ วามรกู้ ารกรอกขอ้ มลู หลกั สตู รเข้าระบบ Che Co (๕) จัดนิทรรศการตลาดนัดหลักสูตร (๖) คลนิ กิ หลักสตู ร (๗) จัดท�ำต้นฉบับ หลักสูตรปริญญาตรี ส�ำหรับการเขียนต�ำราในคร้ังน้ี มุ่งหมายให้เป็นที่ยอมรับและใช้ร่วมกันได้ พัฒนา รูปแบบของหนังสือ และต�ำราให้มีเอกลักษณ์ร่วมกัน สวยงาม คงทน น่าสนใจต่อการศึกษาค้นคว้า ซึ่งจัดใหม้ กี ารประชุมเขียนตำ� ราผ่านระบบออนไลน์ ผา่ น Zoom Meeting ID 4984640486 โดยไดร้ ับ ความรว่ มมอื รว่ มใจกนั ของคณาจารยม์ หาวทิ ยาลยั จากหลายสว่ นงาน ทงั้ สว่ นกลาง วทิ ยาเขต วทิ ยาลยั สงฆ์ รว่ มกนั พฒั นารายวชิ าหมวดวชิ าศกึ ษาทวั่ ไปและวชิ าแกนพระพทุ ธศาสนา จำ� นวน ๓ รายวชิ า คอื ประวตั ิ พระพุทธศาสสนา วรรณกรรมพระพุทธศาสนาและเทศกาลและพิธีกรรมพระพุทธศาสนา ด้วยวิริยะ อุตสาหะแรงกล้า มุ่งมั่นกล่ันความรู้สู่ช้ินงานด้วยความรอบรู้ พรั่งพรูด้วยประสบการณ์ แลกเปลี่ยน เรียนรู้ซ่ึงกันและกันอย่างมีมิตรไมตรีพัฒนาตนพัฒนางานให้มีเน้ือหาสาระถูกต้อง เพียบพร้อมด้วย อรรถและพยญั ชนะ เปน็ ที่ยอมรับของสังคม ต�ำราประวัติพระพุทธศาสนา(ฉบับปรุง) เล่มน้ี มีแบ่งเป็น ๑๐ บท ประกอบด้วย บทท่ี ๑ ความส�ำคัญและลักษณะเด่นของพระพุทธศาสนา บทที่ ๒ ประวัติพระพุทธศาสนาในอินเดีย บทที่ ๓ พระพุทธศาสนาในอินเดยี หลงั พทุ ธกาล บทที่ ๔ พระพทุ ธศาสนาในเอเชียใต้ บทที่ ๕ ประวตั พิ ระพทุ ธ- ศาสนาในเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต้ บทท่ี ๖ ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนาในเอเชยี ตะวนั ออกไกล บทท่ี ๗ ประวตั ิ พระพุทธศาสนาในยุโรป อเมริกาและออสเตรเลีย บทท่ี ๘ ขบวนการและองค์กรทางพระพุทธศาสนา บทที่ ๙ บทบาทคณะสงฆไ์ ทยกบั การสบื สานพระพทุ ธศาสนา บทที่ ๑๐ ประวตั กิ ารปกครองคณะสงฆไ์ ทย ขออนโุ มทนาขอบคณุ คณะกรรมการโครงการจดั ทำ� และพฒั นาหลกั สตู ร คณาจารยแ์ ละเจา้ หนา้ ที่ ของมหาวิทยาลัยทุกรูปทุกท่านท่ีได้เสียสละเวลาอันมีค่าพัฒนาเนื้อหารายวิชาเล่มนี้ให้เกิดมีขึ้น อันจะ เป็นสมบัติของมหาวิทยาลัยสืบไป หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ต�ำราเล่มนี้คงอ�ำนวยประโยชน์เชิงวิชาการ ด้านประวัตพิ ระพทุ ธศาสนาแกค่ ณาจารย์ นสิ ิต นกั ศกึ ษา และประชาชนผู้ท่ีสนใจ ตลอดไป (พระธรรมวัชรบัณฑิต, ศ.ดร.) อธกิ ารบดมี หาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย 00. .indd 3 5/10/2022 12:53:23 PM

ค�ำน�ำ ต�ำราเล่มนี้ ได้พัฒนาขึ้นตามโครงการจัดท�ำและพัฒนาหลักสูตร ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕ กองวิชาการ ส�ำนักงานอธิการบดี มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ได้ก�ำหนดเป้าหมายเพ่ือ จัดท�ำต้นฉบับจ�ำนวน ๓ รายวิชา คือ (๑) ประวัติพระพุทธศาสนา (๒) วรรณกรรมพระพุทธศาสนา (๓) เทศกาลและพิธีกรรมพระพุทธศาสนา ซ่ึงเป็นรายวิชากลุ่มพระพุทธศาสนา (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๔) มหาวิทยาลัยประกาศใช้รายวิชา ข้อสอบกลาง พ.ศ. ๒๕๖๔ โดยมีวัตถุประสงค์ ดังนี้ (๑) เพื่อปรับปรุงเนื้อหาต�ำราวิชาแกนพุทธศาสนาและหมวดวิชาศึกษาทั่วไปท่ีใช้สอนในมหาวิทยาลัย ให้เป็นไปตามหลักสูตรพุทธศาสตรบัณฑิต ตามกรอบมาตรฐานระดับอุดมศึกษา (๒) เพื่อให้คณาจารย์ ของมหาวทิ ยาลยั ไดเ้ สนอผลงานทางวชิ าการ ดว้ ยการสรา้ งสรรผลงานอยา่ งเปน็ ระบบ รองรบั การประกนั คุณภาพการศึกษาของมหาวิทยาลัย (๓) เพ่ือเผยแพร่ผลงานทางวิชาการของคณาจารย์มหาวิทยาลัย ใหเ้ ปน็ ทีย่ อมรับทว่ั ไปในประเทศและระดับสากล ต�ำรา “ประวัติพระพุทธศาสนา” เล่มน้ี เป็นวิชาหน่ึงในวิชากลุ่มพระพุทธศาสนา ท่ีก�ำหนดให้ ศกึ ษา “ศกึ ษาประวัตศิ าสนาพระพุทธศาสนาตั้งแต่อดตี จนถงึ ปัจจบุ ัน ความส�ำคญั และลักษณะเดน่ ของ พระพุทธศาสนา การแยกนิกายของพระพุทธศาสนา การขยายตัวของพระพุทธศาสนาเข้าไปในนานา ประเทศ และอิทธิพลของพระพุทธศาสนาต่อวัฒนธรรมในประเทศน้ัน ๆ รวมทั้งศึกษาขบวนการและ องคก์ ารใหม่ ๆ ในวงการพระพทุ ธศาสนายคุ ปจั จุบนั และอนาคต” ซึ่งมรี ายละเอียดทคี่ ณะผเู้ ขยี นได้น�ำ เสนอไวแ้ ลว้ ในบทต่าง ๆ การเขยี นรายวชิ าประวตั พิ ระพทุ ธศาสนาในครง้ั นี้ เปน็ การประชมุ สมั มนาแบบออนไลน์ โดยเขยี น ตำ� ราเน้อื หาประวัติพระพทุ ธศาสนา โดยมกี รอบท�ำงาน ประชุมตามระเบียบวาระการประชุม วิเคราะห์ ขอบข่ายเนื้อหารายวิชาประวัติพระพุทธศาสนา แตกวัตถุประสงค์รายวิชา วิเคราะห์แบ่งเน้ือหา แบ่งบทเรียน เขียนวัตถุประสงค์การเรียนประจ�ำบท วิเคราะห์เน้ือหาแต่ละบทเรียน สารบัญ บทเรียน แผนการสอน การเขยี นประมวลรายวชิ า ในครง้ั นมี้ คี ณาจารย์ จากคณะ วทิ ยาลยั สงฆ์ เขา้ รว่ มการประชมุ จำ� นวน ๑๑ รูป/คน ประกอบด้วย พระครปู ริยตั กิ ติ ติธำ� รง, รศ.ดร.คณบดคี ณะสังคมศาสตร์ พระเมธี- วรญาณ, ผศ.ดร.รองคณบดีคณะพุทธศาสตร์ พระมหาสุรศักด์ิ ปจฺจนฺตเสโน, ผศ.ดร.ผอ.สถาบันภาษา พระครธู รรมธรศิริวฒั น์ สริ วิ ฑฒฺ โน, ผศ.ดร.วข.อุบลราชธานี รศ.ดร.ประพฒั น์ ศรีกูลกจิ วส. พทุ ธชนิ ราช รศ.ดร.เทพประวณิ จันทรแ์ รง วข. เชยี งใหม่ ผศ.ดร.ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเริง วข.นครราชสมี า ผศ.บรรจง โสดาดี วข สุรินทร์ ผศ.ดร.ศิริโรจน์ นามเสนา วข. นครสวรรค์ และมี ผศ.ดร.เสฐียร ท่ังทองมะดัน วข. นครราชสมี า เปน็ เลขานกุ าร นายสชุ ญา ศิริธญั ภร กองวชิ าการ เป็นผู้ช่วยเลขานุการ พรอ้ มด้วย ผู้บรหิ าร และคณะทำ� งาน กองวิชาการ สำ� นักงานอธกิ ารบดี โดยมีจดั การเขียนประวัติพระพทุ ธศาสนา ประชุมแบบออนไลน์ผ่าน Zoom Meeting ID 4984640486 คณะผู้เขียนหวังว่า ต�ำราเล่มน้ี จะยังประโยชน์ต่างๆ ให้เกิดขึ้นกับผู้เกี่ยวข้องทุกรูป/ทุกท่าน ตามวตั ถุประสงคข์ องโครงการพอสมควร จึงขอขอบคณุ ทุกท่านท่ไี ด้มสี ว่ นรว่ มทำ� ต�ำราเลม่ นี้ให้เสร็จเป็น รูปเลม่ สมบรู ณ์และจัดพมิ พ์เผยแพรต่ อ่ ไป คณะกรรมการพัฒนาปรับปรุงเน้อื หา รายวิชาประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา พฤษภาคม ๒๕๖๕ 00. .indd 4 5/10/2022 12:53:23 PM

คณะกรรมการด�ำเนนิ งานโครงการจดั ท�ำและพัฒนาหลกั สูตร มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั ประจ�ำปีงบประมาณ ๒๕๖๕ คณะกรรมการด�ำเนนิ งาน คณะกรรมการพฒั นาและปรบั ปรงุ เนือ้ หารายวิชา ทป่ี รึกษา “ประวัติพระพทุ ธศาสนา” พระธรรมวชั รบณั ฑิต, ศ.ดร. พระสวุ รรณเมธาภรณ,์ ผศ. ประธานกรรมการ พระเทพวัชราจารย์, รศ.ดร. พระครปู ริยัตกิ ติ ติธำ� รง, รศ.ดร. รศ.ดร.โกนิฏฐ์ ศรที อง รองประธานกรรมการ พระเมธีวรญาณ, ผศ.ดร. คณะอนุกรรมการพัฒนาและปรับปรงุ รายวิชา กรรมการ “ประวัติพระพทุ ธศาสนา” พระครธู รรมธรศิรวิ ฒั น์ สิริวฑฒฺ โน, ผศ.ดร. พระมหาสรุ ศักด์ิ ปจฺจนฺตเสโน, ผศ.ดร. ประธานอนกุ รรมการ รศ.ดร.ประพัฒน์ ศรีกูลกจิ รศ.ดร.โกนฏิ ฐ์ ศรที อง รศ.ดร.เทพประวิณ จนั ทร์แรง รองประธานอนุกรรมการ ผศ.ดร.ศิริโรจน์ นามเสนา พระมหาขวัญชัย ปุตตฺ วิเสโส ผศ.บรรจง โสดาดี อนกุ รรมการ ผศ.ดร.เสฐียร ทั่งทองมะดัน พระมหาประยุทธ์ ภูรปิ ญฺโญ บรรณาธกิ าร พระมหาศรที นต์ สมจาโร พระเมธีวรญาณ, ผศ.ดร. นายศิลปช์ ยั วงษจ์ �ำนงค์ พระมหาสรุ ศักด์ิ ปจฺจนตฺ เสโน, ผศ.ดร. พระมหาถาวร ถาวรเมธี, ดร. รศ.ดร.ประพัฒน์ ศรีกูลกจิ นางสาวนภัสสร กัลปนาท ผศ.ดร.ศิริโรจน์ นามเสนา นายสุภฐาน สดุ าจนั ทร์ ผศ.ดร.เสฐียร ทง่ั ทองมะดัน นายเอกลักษณ์ เทพวิจติ ร เลขานกุ ารและผูช้ ว่ ยเลขานกุ าร นายจิระศกั ด์ิ ธารสุขกระจา่ ง ผศ.ดร.เสฐียร ทงั่ ทองมะดนั นายศักดิร์ พี พนั พา นายสชุ ญา ศิริธญั ภร นางสาวสจุ ิตรา ชวดรมั ย์ ผทู้ รงคณุ วุฒติ รวจสอบ นางสาวสังเวียน ฟเู ฟื่อง รศ.ดนยั ปรชี าเพมิ่ ประสทิ ธ์ิ อนกุ รรมการและเลขานกุ าร นายสุชญา ศิรธิ ัญภร ดร.อรเนตร บนุ นาค นายสมบรู ณ์ เพ่งพิศ 00. .indd 5 5/10/2022 12:53:23 PM

สารบัญ หนา้ ค�ำปรารภ (๓) ค�ำน�ำ (๔) คณะกรรมการด�ำเนนิ งานโครงกาจดั ท�ำและพัฒนาหลกั สตู ร (๕) บทท่ี ๑ ความสำ� คญั และลกั ษณะเด่นของพระพทุ ธศาสนา ๑.๑ ความนำ� ๑ ๑.๒ ความสำ� คญั ของพระพทุ ธศาสนา ๒ ๑.๓ ลกั ษณะเด่นของพระพทุ ธศาสนา ๒ ๑.๓.๑ เป็นศาสนาแห่งเหตผุ ล ๕ ๑.๓.๒ เป็นศาสนาแห่งอสิ ระเสรภี าพ ๕ ๑.๓.๓ เป็นศาสนาอเทวนิยม ๕ ๑.๓.๔ เป็นศาสนาแห่งสนั ตภิ าพ ๖ ๑.๓.๕ ลกั ษณะเด่นของพระพทุ ธศาสนาทศั นะของนกั วชิ าการ ๖ ๑.๔ หลกั ธรรมสำ� คญั ในพระพทุ ธศาสนา ๖ ๑.๔.๑ หลกั การของปฏจิ จสมปุ บาท ๑๑ ๑.๔.๒ อรยิ สจั ๔ ๑๑ ๑.๔.๓ ไตรลกั ษณ ์ ๑๓ ๑.๔.๔ สงั สารวฏั ๑๔ ๑.๔.๕ กรรม ๑๕ ๑.๔.๖ ขนั ธ์ ๕ ๑๗ ๑.๔.๗ มรรค ๘ ๒๐ ๑.๕ รูปแบบและวธิ กี ารของพระพทุ ธศาสนา ๒๑ สรุปทา้ ยบท ๒๓ คำ� ถามทา้ ยบท ๒๕ เอกสารอา้ งองิ ประจำ� บท ๒๗ บทท่ี ๒ พทุ ธประวตั ใิ นสมยั พทุ ธกาล ๒๙ ๒.๑ ความนำ� ๓๐ ๒.๒ ลทั ธคิ วามเช่อื ก่อนสมยั พทุ ธกาล ๓๑ ๒.๓ ลทั ธคิ วามเช่อื ร่วมสมยั พทุ ธกาล ๓๒ ๓๗ 00. .indd 6 5/10/2022 12:53:24 PM

๒.๔ ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนาช่วงก่อนตรสั รู ้ (7) ๒.๔.๑ ความรูเ้บ้อื งตน้ เก่ยี วกบั พทุ ธประวตั ิ ๔๖ ๒.๔.๒ เหตกุ ารณก์ ่อนประสูติ ๔๗ ๒.๔.๓ เหตกุ ารณช์ ่วงประสูตสิ ทิ ธตั ถะราชกมุ าร ๔๘ ๒.๔.๔ เหตกุ ารณเ์ ก่ยี วกบั ชวี ติ เจา้ ชายสทิ ธตั ถะ ๔๙ ๒.๔.๕ เหตกุ ารณท์ เ่ี ป็นสาเหตเุ จา้ ชายสทิ ธตั ถะเสดจ็ ออกผนวช ๕๐ ๒.๔.๖ เหตกุ ารณท์ ท่ี รงผนวช ๕๒ ๒.๕ ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนาช่วงตรสั รู ้ ๕๒ ๒.๕.๑ เหตกุ ารณช์ ่วงแสวงหาอาจารย ์ ๕๓ ๒.๕.๒ เหตกุ ารณช์ ่วงบำ� เพญ็ ทกุ กรกริ ยิ า ๕๓ ๒.๕.๓ เหตกุ ารณป์ ญั จวคั คยี เ์ ฝ้าปรนนิบตั ิ ๕๔ ๒.๕.๔ เหตกุ ารณร์ บั ขา้ วมธุปาสก่อนตรสั รู ้ ๕๔ ๒.๕.๕ เหตกุ ารณท์ รงเสย่ี งบารมลี อยถาด ๕๔ ๒.๕.๖ เหตกุ ารณท์ ท่ี รงชนะมาร ๕๕ ๒.๕.๗ เหตกุ ารณท์ ท่ี รงตรสั รู ้ ๕๖ ๒.๖ เหตกุ ารณภ์ ายหลงั การตรสั รู้ ๕๗ ๒.๖.๑ เหตกุ ารณบ์ รเิ วณตน้ โพธ์ ิ ๕๙ ๒.๖.๒ เหตกุ ารณเ์ ก่ยี วกบั คำ� อาราธนาของพรหม ๕๙ ๒.๖.๓ เหตกุ ารณส์ ่งสาวกไปประกาศพระศาสนา ๖๓ สรุปทา้ ยบท ๖๔ คำ� ถามทา้ ยบท ๖๖ เอกสารอา้ งองิ ประจำ� บท ๖๗ บทท่ี ๓ พระพทุ ธศาสนาในอนิ เดียหลงั พทุ ธกาล ๖๙ ๓.๑ ความนำ� ๗๐ ๓.๒ การจดั ลำ� ดบั ยุคคำ� สอนในพระพทุ ธศาสนา ๗๑ ๓.๓ พระพทุ ธศาสนาหลงั พทุ ธปรนิ ิพพาน ๕๐๐ ปี ๗๑ ๓.๔ พระพทุ ธศาสนาในยุค พ.ศ. ๕๐๐-๑๐๐๐ ๗๒ ๓.๔.๑ ร่องรอยและบอ่ เกดิ ของนกิ ายมหายาน ๗๙ ๓.๔.๒ แนวคดิ และความเช่อื พ้นื ฐานของนกิ ายมหายาน ๘๐ ๓.๔.๓ มหายานสองสายทม่ี ตี น้ กำ� เนดิ ในอนิ เดยี ๘๔ ๙๑ 00. .indd 7 5/10/2022 12:53:24 PM

(8) ๙๘ ๙๘ ๓.๕ พระพทุ ธศาสนาในยุคเสอ่ื มจากอนิ เดยี ๑๐๑ ๓.๕.๑ การเผยแพร่ของลทั ธพิ ทุ ธตนั ตรยาน ๑๐๓ ๓.๕.๒ พระพทุ ธศาสนาภายใตก้ ารอปุ ถมั ภข์ องฝ่ายอาณาจกั ร ๑๐๖ ๓.๕.๓ สาเหตทุ ท่ี ำ� ใหพ้ ระพทุ ธศาสนาเสอ่ื มจากอนิ เดยี ๑๐๘ สรุปทา้ ยบท ๑๑๐ คำ� ถามทา้ ยบท ๑๑๑ เอกสารอา้ งองิ ประจำ� บท ๑๑๒ บทท่ี ๔ พระพทุ ธศาสนาในเอเชียใต้ ๑๑๒ ๔.๑ ความนำ� ๑๑๓ ๔.๑.๑ ความรูเ้บ้อื งตน้ เก่ยี วกบั เอเซยี ใต ้ ๑๑๓ ๔.๑.๒ ประวตั ศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนาในเอเซยี ใต ้ ๑๑๔ ๔.๒ ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนาในประเทศสหพนั ธส์ าธารณรฐั ประชาธปิ ไตยเนปาล ๑๑๖ ๔.๒.๑ สภาพสงั คมทวั่ ไปของเนปาล ๑๑๗ ๔.๒.๒ การเผยแผ่พระพทุ ธศาสนาเขา้ สู่ประเทศเนปาล ๑๑๘ ๔.๒.๓ บทบาทพระสงฆใ์ นการเผยแผ่ ๑๒๐ ๔.๒.๔ อทิ ธพิ ลและแนวโนม้ พระพทุ ธศาสนาในเนปาล ๑๒๐ ๔.๓ ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนาในประเทศสาธารณรฐั อนิ เดยี ๑๒๓ ๔.๓.๑ สภาพสงั คมทวั่ ไปของอนิ เดยี ๑๒๕ ๔.๓.๒ การเผยแผ่พระพทุ ธศาสนาในอนิ เดยี ๑๒๖ ๔.๓.๓ บทบาทพระสงฆใ์ นการเผยแผ่พระพทุ ธศาสนาในประเทศอนิ เดยี ๑๒๘ ๔.๓.๔ อทิ ธพิ ลและแนวโนม้ พระพทุ ธศาสนาในอนิ เดยี ๑๒๘ ๔.๔ พระพทุ ธศาสนาในประเทศราชอาณาจกั รภฏู าน ๑๓๐ ๔.๔.๑ สภาพสงั คมทวั่ ไปของภฏู าน ๑๓๑ ๔.๔.๒ การเผยแผ่พระพทุ ธศาสนาเขา้ สู่ประเทศภฏู าน ๑๓๓ ๔.๔.๓ บทบาทพระสงฆใ์ นการเผยแผ่ ๑๓๕ ๔.๔.๔ อทิ ธพิ ลและแนวโนม้ พระพทุ ธศาสนาในภฏู าน ๑๓๕ ๔.๕ พระพทุ ธศาสนาในประเทศสาธารณรฐั ประชาชนบงั กลาเทศ ๑๓๗ ๔.๕.๑ สภาพสงั คมทวั่ ไปของบงั คลาเทศ ๑๓๘ ๔.๕.๒ การเผยแผ่พระพทุ ธศาสนาเขา้ สู่บงั กลาเทศ ๔.๕.๓ บทบาทพระสงฆใ์ นการเผยแผ่ 00. .indd 8 5/10/2022 12:53:24 PM

๔.๕.๔ อทิ ธพิ ลและแนวโนม้ พระพทุ ธศาสนาในบงั คลาเทศ (9) ๔.๕.๕ แนวโนว้ พระพทุ ธศาสนาในประเทศบงั คลาเทศ ๔.๖ ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนาในประเทศสาธารณรฐั สงั คมนิยมประชาธปิ ไตยศรลี งั กา ๑๓๘ ๔.๖.๑ สภาพสงั คมทวั่ ไปของศรลี งั กา ๑๓๙ ๔.๖.๒ การเผยแผ่พระพทุ ธศาสนาเขา้ สู่ประเทศศรลี งั กา ๑๓๙ ๔.๖.๓ บทบาทพระสงฆใ์ นการเผยแผ่ ๑๔๐ ๔.๖.๔ อทิ ธพิ ลและแนวโนม้ พระพทุ ธศาสนาในประเทศศรลี งั กา ๑๔๒ สรุปทา้ ยบท ๑๔๔ คำ� ถามทา้ ยบท ๑๔๕ เอกสารอา้ งองิ ประจำ� บท ๑๔๗ บทท่ี ๕ พระพทุ ธศาสนาในเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ ๑๔๘ ๕.๑ ความนำ� ๑๕๐ ๕.๒ พระพทุ ธศาสนาในประเทศพมา่ ๑๕๒ ๕.๒.๑ ภมู ศิ าสตร ์ ๑๕๓ ๕.๒.๒ ความเช่อื ในเร่อื งศาสนา ๑๕๓ ๕.๒.๓ วฒั นธรรมประเพณีในพมา่ ๑๕๓ ๕.๒.๔ การเผยแผ่พระพทุ ธศาสนาเขา้ สู่พมา่ ๑๕๔ ๕.๒.๕ บทบาทพระสงฆใ์ นการเผยแผ่ ๑๕๔ ๕.๒.๖ อทิ ธพิ ลของพระพทุ ธศาสนาในพมา่ ๑๕๕ ๕.๒.๗ แนวโนม้ ของพระพทุ ธศาสนาในประเทศพมา่ ๑๕๖ ๕.๓ พระพทุ ธศาสนาในประเทศกมั พชู า ๑๕๗ ๕.๓.๑ ภมู ศิ าสตร ์ ๑๕๙ ๕.๓.๒ ความเช่อื ในดา้ นศาสนา ๑๖๑ ๕.๓.๓ วฒั นธรรมประเพณี ๑๖๑ ๕.๓.๔ การเผยแผ่พระพทุ ธศาสนาเขา้ สู่กมั พชู า ๑๖๑ ๕.๓.๕ บทบาทพระสงฆใ์ นการแผยแผ่พระพทุ ธศาสนา ๑๖๒ ๕.๓.๖ อทิ ธพิ ลของพระพทุ ธศาสนาในกมั พชู า ๑๖๒ ๕.๓.๗ แนวโนม้ ในอนาคตของพระพทุ ธศาสนาในกมั พชู า ๑๖๔ ๕.๔ พระพทุ ธศาสนาในประเทศลาว ๑๖๕ ๕.๔.๑ ภมู ศิ าสตร ์ ๑๖๖ ๑๖๘ ๑๖๘ 00. .indd 9 5/10/2022 12:53:24 PM

(10) ๑๖๙ ๕.๔.๒ ความเช่อื ในดา้ นศาสนา ๑๗๐ ๕.๔.๓ วฒั นธรรมประเพณี ๑๗๐ ๕.๔.๔ การเผยแผ่พระพทุ ธศาสนาเขา้ สู่ลาว ๑๗๑ ๕.๔.๕ บทบาทของพระสงฆใ์ นการเผยแผ่ ๑๗๓ ๕.๔.๖ อทิ ธพิ ลของพระพทุ ธศาสนาในประเทศลาว ๑๗๔ ๕.๔.๗ แนวโนม้ ของพระพทุ ธศาสนาในลาวในอนาคต ๑๗๕ ๕.๕ พระพทุ ธศาสนาในเวยี ดนาม ๑๗๕ ๕.๕.๑ ภมู ศิ าสตร ์ ๑๗๖ ๕.๕.๒ ความเช่อื ในดา้ นศาสนา ๑๗๗ ๕.๕.๓ วฒั นธรรมประเทศเวยี ดนาม ๑๗๘ ๕.๕.๔ การเผยแผ่พระพทุ ธศาสนาเขา้ สู่เวยี ดนาม ๑๗๙ ๕.๕.๕ บทบาทพระสงฆใ์ นการเผยแผ่พระพทุ ธศาสนา ๑๘๐ ๕.๕.๖ อทิ ธพิ ลของพระพทุ ธศาสนาทม่ี ตี ่อการเมอื งเวยี ดนาม ๑๘๒ ๕.๕.๗ แนวโนม้ ของพระพทุ ธศาสนาในเวยี ดนามในอนาคต ๑๘๓ สรุปทา้ ยบท ๑๘๔ คำ� ถามทา้ ยบท ๑๘๗ เอกสารอา้ งองิ ประจำ� บท ๑๘๘ บทท่ี ๖ ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนาในเอเชียตะวนั ออกไกล ๑๘๙ ๖.๑ ความนำ� ๑๘๙ ๖.๒ ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนาในประเทศจนี ๑๘๙ ๖.๒.๑ สภาพสงั คมทวั่ ไปของจนี ๑๙๒ ๖.๒.๒ การเผยแผ่พระพทุ ธศาสนาในประเทศจนี ๑๙๕ ๖.๒.๓ บทบาทพระสงฆใ์ นจนี ๑๙๖ ๖.๒.๔ อทิ ธพิ ลและแนวโนม้ พระพทุ ธศาสนาในจนี ๑๙๙ ๖.๓ ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนาในเกาหลใี ต ้ ๑๙๙ ๖.๓.๑ สภาพสงั คมทวั่ ไปของเกาหลใี ต ้ ๑๙๙ ๖.๓.๒ การเผยแผ่พระพทุ ธศาสนาในเกาหลใี ต ้ ๒๐๑ ๖.๓.๓ บทบาทของพระสงฆใ์ นเกาหลใี ต ้ ๒๐๒ ๖.๓.๔ อทิ ธพิ ลและแนวโนม้ พระพทุ ธศาสนาในเกาหลใี ต ้ 5/10/2022 12:53:24 PM 00. .indd 10

๖.๔ ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนาในประเทศญป่ี ่นุ (11) ๖.๔.๑ สภาพทวั่ ไปของญป่ี ่นุ ๒๐๔ ๖.๔.๒ การเผยแผ่พระพทุ ธศาสนาในญป่ี ่นุ ๒๐๔ ๖.๔.๓ บทบาทพระสงฆใ์ นญป่ี ่นุ ๒๐๕ ๖.๔.๔ อทิ ธพิ ลและแนวโนม้ พระพทุ ธศาสนาในญป่ี ่นุ ๒๐๙ ๖.๕ ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนาในไตห้ วนั ๒๑๑ ๖.๕.๑ สภาพทวั่ ไปของไตห้ วนั ๒๑๒ ๖.๕.๒ สถานการณพ์ ระพทุ ธศาสนาในไตห้ วนั ๒๑๒ ๖.๕.๓ บทบาทพระสงฆใ์ นไตห้ วนั ๒๑๓ ๖.๕.๔ อทิ ธพิ ลและแนวโนม้ พระพทุ ธศาสนาในไตห้ วนั ๒๐๐ ๖.๖ ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนาในมองโกเลยี ๒๑๖ ๖.๖.๑ สภาพทวั่ ไปของมองโกเลยี ๒๑๘ ๖.๖.๒ การเผยแผ่พระพทุ ธศาสนาในมองโกเลยี ๒๑๘ ๖.๖.๓ บทบาทพระสงฆใ์ นมองโกเลยี ๒๑๙ ๖.๖.๔ อทิ ธพิ ลและแนวโนม้ พระพทุ ธศาสนาในมองโกเลยี ๒๒๐ ๖.๗ ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนาในธเิ บต ๒๒๐ ๖.๗.๑ สภาพทวั่ ไปของธเิ บต ๒๒๒ ๖.๗.๒ การเผยแผ่พระพทุ ธศาสนาในธเิ บต ๒๒๒ ๖.๗.๓ บทบาทของพระสงฆใ์ นธเิ บต ๒๒๓ ๖.๗.๔ อทิ ธพิ ลและแนวโนม้ พระพทุ ธศาสนาในธเิ บต ๒๓๒ สรุปทา้ ยบท ๒๓๓ คำ� ถามทา้ ยบท ๒๓๖ เอกสารอา้ งองิ ประจำ� บท ๒๓๗ บทท่ี ๗ ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนาในยโุ รป อเมรกิ า ออสเตรเลยี ๒๓๙ ๗.๑ ความนำ� ๒๔๐ ๗.๒ ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนาในยุโรป ๒๔๑ ๗.๒.๑ สภาพสงั คมทวั่ ไปของยุโรป ๒๔๒ ๗.๒.๒ การเผยแผ่พระพทุ ธศาสนาในยุโรป ๒๔๒ ๗.๒.๓ บทบาทของคณะสงฆใ์ นยุโรป ๒๔๒ ๗.๒.๔ อทิ ธพิ ลและแนวโนม้ พระพทุ ธศาสนาในยุโรป ๒๔๔ ๒๔๖ 00. .indd 11 5/10/2022 12:53:24 PM

(12) ๒๔๘ ๗.๓ ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนาในอเมรกิ า ๒๔๘ ๗.๓.๑ สภาพสงั คมทวั่ ไปของอเมรกิ า ๒๔๙ ๗.๓.๒ การเผยแผ่พระพทุ ธศาสนาในอเมรกิ า ๒๕๑ ๗.๓.๓ บทบาทของคณะสงฆใ์ นอเมรกิ า ๒๕๒ ๗.๓.๔ อทิ ธพิ ลและแนวโนม้ พระพทุ ธศาสนาในอเมรกิ า ๒๕๔ ๗.๔ ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนาในออสเตรเลยี ๒๕๔ ๗.๔.๑ สภาพสงั คมทวั่ ไปของออสเตรเลยี ๒๕๕ ๗.๔.๒ การเผยแผ่พระพทุ ธศาสนาในออสเตรเลยี ๒๕๕ ๗.๔.๓ บทบาทของคณะสงฆใ์ นออสเตรเลยี ๒๕๖ ๗.๔.๔ อทิ ธพิ ลและแนวโนม้ พระพทุ ธศาสนาในออสเตรเลยี ๒๕๗ สรุปทา้ ยบท ๒๕๙ คำ� ถามทา้ ยบท ๒๖๑ เอกสารอา้ งองิ ประจำ� บท ๒๖๕ บทท่ี ๘ ขบวนการและองคก์ รทางพระพทุ ธศาสนา ๒๖๖ ๘.๑ ความนำ� ๒๖๖ ๘.๒ ขบวนการและองคก์ รทางพระพทุ ธศาสนาในต่างประเทศ ๒๖๖ ๘.๒.๑ สมาคมมหาโพธ์ใิ นประเทศอนิ เดยี ๒๖๘ ๘.๒.๒ ชมุ ชนธเิ บต กลมุ่ ทใ่ี ชห้ ลกั ธรรมแกป้ ญั หาทางสงั คม ๒๗๐ ๘.๒.๓ ชมุ ชนสงั ฆะหมบู่ า้ นพลมั กลมุ่ ทเ่ี นน้ หลกั ปฏบิ ตั ใิ นการดำ� เนนิ ชวี ติ ๒๗๒ เพอ่ื การดำ� รงอยู่อย่างเป็นสุขในสงั คม ๒๗๒ ๘.๓ ขบวนการและองคก์ รพระพทุ ธศาสนาในประเทศไทย ๒๗๔ ๘.๓.๑ กลมุ่ สำ� นกั สวนโมกขพลาราม ๒๗๖ ๘.๓.๒ กลมุ่ สำ� นกั สนั ตอิ โศก กลมุ่ ตคี วามและสรา้ งแนวทางใหม ่ ๒๗๘ ๘.๓.๓ กลมุ่ สำ� นกั วดั พระธรรมกาย ๒๘๐ ๘.๓.๔ กลมุ่ สำ� นกั วดั หนองป่าพง ๒๘๓ ๘.๓.๕ กลมุ่ สำ� นกั วดั นาป่าพง ๒๘๔ ๘.๔ ทศิ ทางขบวนการและองคก์ รทางพระพทุ ธศาสนาในอนาคต ๒๘๖ สรุปทา้ ยบท ๒๘๙ คำ� ถามทา้ ยบท เอกสารอา้ งองิ ประจำ� บท 5/10/2022 12:53:24 PM 00. .indd 12

บทท่ี ๙ บทบาทคณะสงฆไ์ ทยกบั การสบื สานพระพทุ ธศาสนา (13) ๙.๑ ความนำ� ๙.๒ บทบาทคณะสงฆไ์ ทยกบั การสบื สานพระพทุ ธศาสนาในสมยั สุโขทยั ๒๙๑ ๙.๒.๑ สภาพสงั คมทวั่ ไปของสุโขทยั ๒๙๒ ๙.๒.๒ การเผยแผ่พระพทุ ธศาสนาในสุโขทยั ๒๙๔ ๙.๒.๓ บทบาทของคณะพระสงฆใ์ นสุโขทยั ๒๙๔ ๙.๓ บทบาทคณะสงฆไ์ ทยกบั การสบื สานพระพทุ ธศาสนาในสมยั ลา้ นนา ๒๙๖ ๙.๓.๑ สภาพสงั คมทวั่ ไปของลา้ นนา ๒๙๗ ๙.๓.๒ การเผยแผ่พระพทุ ธศาสนาในลา้ นนา ๒๙๘ ๙.๓.๓ บทบาทของคณะพระสงฆใ์ นลา้ นนา ๒๙๘ ๙.๔ บทบาทคณะสงฆไ์ ทยกบั การสบื สานพระพทุ ธศาสนาในสมยั อยุธยา ๒๙๙ ๙.๔.๑ สภาพสงั คมทวั่ ไปสมยั อยุธยา ๒๙๙ ๙.๔.๒ การเผยแผ่พระพทุ ธศาสนาในสมยั อยุธยา ๓๐๐ ๙.๔.๓ บทบาทของคณะพระสงฆใ์ นสมยั อยุธยา ๓๐๑ ๙.๕ พระพทุ ธศาสนาในสมยั ธนบรุ ี ๓๐๒ ๙.๖ พระพทุ ธศาสนาในสมยั รตั นโกสนิ ทร ์ ๓๐๓ สรุปทา้ ยบท ๓๐๔ คำ� ถามทา้ ยบท ๓๐๕ เอกสารอา้ งองิ ประจำ� บท ๓๐๙ บทท่ี ๑๐ ประวตั กิ ารปกครองคณะสงฆไ์ ทย ๓๑๐ ๑๐.๑ ความนำ� ๓๑๒ ๑๐.๒ การปกครองคณะสงฆใ์ นสมยั พทุ ธกาล ๓๑๔ ๑๐.๓ การปกครองสมยั หลงั พทุ ธกาล ๓๑๕ ๑๐.๔ ประวตั กิ ารปกครองคณะสงฆไ์ ทยสมยั สุโขทยั ๓๑๕ ๑๐.๔.๑ รูปแบบการปกครองคณะสงฆไ์ ทยในสมยั สุโขทยั ๓๒๐ ๑๐.๔.๒ โครงสรา้ งการปกครองคณะสงฆไ์ ทยสมยั กรุงสุโขทยั ๓๒๒ ๑๐.๕ ประวตั กิ ารปกครองคณะสงฆไ์ ทยสมยั อยุธยา ๓๒๒ ๑๐.๕.๑ รูปแบบการปกครองคณะสงฆไ์ ทยสมยั กรุงศรอี ยุธยา ๓๒๔ ๑๐.๕.๒ โครงสรา้ งการปกครองคณะสงฆไ์ ทยสมยั กรุงศรอี ยุธยา ๓๒๕ ๓๒๕ ๓๒๗ 00. .indd 13 5/10/2022 12:53:24 PM

(14) ๓๒๘ ๓๓๒ ๑๐.๖ ประวตั กิ ารปกครองคณะสงฆส์ มยั ธนบรุ ี ๓๖๗ ๑๐.๗ ประวตั กิ ารปกครองคณะสงฆส์ มยั รตั นโกสนิ ทร ์ ๓๗๐ ๑๐.๘ ประวตั กิ ารปกครองคณะสงฆไ์ ทยสมยั ปจั จบุ นั ๓๗๕ ๑๐.๙ ทศิ ทางปกครองคณะสงฆไ์ ทยในอนาคต ๓๗๘ สรุปทา้ ยบท ๓๘๐ คำ� ถามทา้ ยบท ๓๘๒ เอกสารอา้ งองิ ประจำ� บท ๓๘๓ เฉลยคำ� ถามปรนยั ทา้ ยบททง้ั ๑๐ บท ๓๙๖ บรรณานุกรม ๓๙๖ ภาคผนวก ๔๐๔ รายละเอยี ดของรายวชิ า คณะกรรมการพฒั นาและปรบั ปรุงเน้ือหารายวชิ าประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา 00. .indd 14 5/10/2022 12:53:24 PM

หอสมดุ แห่งชาติ ถนนสามเสน ดุสิต กรุงเทพฯ 10300 โทรศพั ท์ : 02-2809846 โทรสาร : 02-2809846 วนั ท่อี นมุ ัติ 10 พฤษภาคม 2565 ข้อมลู ทางบรรณานกุ รมของหอสมดุ แหง่ ชาติ ประวัตพิ ระพุทธศาสนา = History of Buddhism.-- พระนครศรอี ยุธยา : โรงพมิ พ์ มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย, 2565. 420 หน้า. 1. พทุ ธศาสนา -- ประวัติ. I. ชื่อเรื่อง. 294.309 ISBN 978-616-300-790-2

บทท่ี ๑ ความสำ� คญั และลกั ษณะเด่นของพระพทุ ธศาสนา พระครูปริยตั กิ ติ ตธิ ำ� รง, รศ.ดร. ผศ.ดร.ศิริโรจน์ นามเสนา วตั ถปุ ระสงคก์ ารเรยี นรูป้ ระจำ� บท เมอ่ื ไดศ้ ึกษาเน้ือหาในบทน้ีแลว้ ผูศ้ ึกษาสามารถ ๑. บอกความสำ� คญั ของพระพทุ ธศาสนาได้ ๒. อธบิ ายลกั ษณะเด่นของพระพทุ ธศาสนาได้ ๓. อธบิ ายหลกั ธรรมสำ� คญั ในพระพทุ ธศาสนาได้ ๔. อธบิ ายรูปแบบวธิ กี ารของพระพทุ ธศาสนาได้ ขอบข่ายเน้ือหา  ความนำ�  ความสำ� คญั ของพระพทุ ธศาสนา  ลกั ษณะเด่นของพระพทุ ธศาสนา  หลกั ธรรมสำ� คญั ในพระพทุ ธศาสนา  รูปแบบวธิ กี ารของพระพทุ ธศาสนา 01. - 1 (1-29).indd 1 5/10/2022 12:55:16 PM

2 ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา ๑.๑ ความน�ำ พระพทุ ธศาสนาไดถ้ อื อุบตั ิข้นึ มาในโลกน้ีประมาณ ๒๕๖๔ ปีเศษ โดยเจา้ ชายสทิ ธตั ถะเป็นกษตั ริย์ ครองเมอื งกบลิ พสั ดุไ์ ดท้ รงเบอ่ื หน่ายในการครองเพศฆราวาส วนั หน่ึงเสดจ็ ประพาสอทุ ยานทรงเหน็ เทวทูตทงั้ ๔ คือ คนแก่ คนเจบ็ คนตายและสมณะ จงึ ไดอ้ อกบวชเมอ่ื เจา้ ชายสทิ ธตั ถะออกบวชแลว้ ไดท้ รงบำ� เพญ็ สง่ิ ทท่ี ำ� ไดย้ ากยง่ิ 1 ๓ อย่าง คอื (๑) กดฟนั ดว้ ยฟนั ใชล้ ้นิ ดนั เพดานไวแ้ น่น (๒) กลนั้ ลมหายใจเขา้ และลมหายใจออก ทงั้ ทางปากและทางจมกู (๓) อดอาหารทกุ อย่าง พระองคจ์ งึ มคี วามดำ� รวิ า่ เราปฏญิ ญาวา่ จะตอ้ งอดอาหารทกุ อย่าง บำ� เพญ็ ทกุ รกริ ยิ าดว้ ยการทรมานตนกย็ งั ไมส่ ามารถหลดุ พน้ จากกเิ ลสได้จงึ ทรงหนั กลบั มาใชว้ ธิ กี ารเดนิ สายกลาง บำ� เพญ็ เพยี รทางจติ จนกระทงั้ ไดบ้ รรลุอนุตตรสมั มาสมั โพธิญาณ ณ ใตต้ น้ ศรมี หาโพธ์ใิ นคืนวนั เพญ็ เดอื น ๖ โดยสามารถเอาชนะพระยามารทม่ี าขดั ขวางดว้ ยบารมี ๓๐ ทศั ซง่ึ ในยามท่ี ๑ ทรงบรรลปุ พุ เพนิวาสนุสตญิ าณ คือระลกึ ชาตปิ างก่อนของพระองคเ์ องได้ ในยามท่ี ๒ ทรงไดบ้ รรลุจตุ ูปปาตญาณ คือ มตี าทพิ ยส์ ามารถเหน็ การจตุ แิ ละอบุ ตั ขิ องสตั วท์ งั้ หลาย ในยามท่ี ๓ คอื ตรสั รูอ้ รยิ สจั ๔วา่ อะไรคอื ทกุ ข์ สมทุ ยั นิโรธ มรรค ความรูน้ ้ที ำ� ใหก้ เิ ลสาสวะหมดส้นิ ไปจากจติ ใจ  กลา่ วคอื ทรงใหห้ ยงั่ ญาณลงในปฏจิ จสมปุ บาทอนั ประกอบ ดว้ ยองคธ์ รรม ๑๒ โดยอนุโลมและปฏโิ ลม ดว้ ยอำ� นาจวฏั ฏะและววิ ฏั ฏะทำ� ใหห้ มน่ื โลกธาตสุ นั่ สะเทอื นเลอ่ื นลนั่ จดถงึ นำ�้ รองแผ่นดนิ เป็นท่สี ุดหมน่ื โลกธาตุมกี ารประดบั ตกแต่งแผ่นผา้ ท่ขี อบจกั รวาลทวั่ ทุกทศิ ทวั่ แผ่นดนิ ถงึ พรหมโลก ตน้ ไมด้ อกกอ็ อกดอก ตน้ ไมผ้ ลกอ็ อกผลเตม็ มดี อกไมน้ านาชนดิ บานสะพรงั่ โลกนั ตรกิ นรกในระหวา่ ง จกั รวาลไมเ่ คยสวา่ งดว้ ยแสงดวงอาทติ ย์ กม็ แี สงสวา่ งเป็นเดยี วกนั มหาสมทุ รกลายเป็นนำ�้ มรี สหวาน แมน่ ำ�้ หยุด ไม่ไหล คนตาบอดแต่กำ� เนิดไดม้ องเหน็ คนหูหนวกไดย้ นิ เสยี ง คนงอ่ ยก็เดนิ ไป เคร่อื งจองจำ� มขี อ่ื คาเป็นตน้ กข็ าดหลดุ ออก ทรงใหก้ เิ ลสทงั้ หลายส้นิ ไปดว้ ยอรหตั มรรค แลว้ ทรงรูแ้ จง้ แทงตลอดสพั พญั ญุตญาณ พรอ้ มกบั แสงเงนิ แสงทองจบั ขอบฟ้าพอดี ในบทน้ีจะเป็นการกลา่ วถงึ ความสำ� คญั ของพระพทุ ธศาสนา ลกั ษณะเด่นของ พระพทุ ธศาสนา หลกั ธรรมทส่ี ำ� คญั ของพระพทุ ธศาสนา รูปแบบและวธิ กี ารของพระพทุ ธศาสนา ดงั จะไดอ้ ธบิ าย ในประเดน็ ต่อไป ๑.๒ ความสำ� คญั ของพระพทุ ธศาสนา พระพทุ ธศาสนานน้ั มคี วามสำ� คญั มากต่อความมนั่ คงของสถาบนั หลกั เราถอื กนั วา่ เป็นศาสนาประจำ� ชาติ การถอื อย่างนน้ั เป็นประเพณีทส่ี บื ต่อมาโดยถกู ตอ้ งตามสมควรแก่เหตุ คอื การทพ่ี ระพทุ ธศาสนากบั ชนชาตไิ ทย ไดม้ คี วามสมั พนั ธแ์ นบแน่นเป็นอนั หน่ึงอนั เดยี วกนั ทงั้ ในทางประวตั ศิ าสตรแ์ ละวฒั นธรรมในทางประวตั ศิ าสตร์ ความเป็นมาของชนชาติไทยกบั ความเป็นมาของพระพุทธศาสนาเก่ียวเน่ืองกนั โดยเฉพาะนบั ตงั้ แต่สมยั ท่ี 1 ม.ม.(ไทย) ๑๓/๓๓๓-๓๓๔/๔๐๑-๔๐๔. 01. - 1 (1-29).indd 2 5/10/2022 12:55:16 PM

บทท่ี ๑ ความสำ� คญั และลกั ษณะเด่นของพระพทุ ธศาสนา 3 ชนชาติไทยมปี ระวตั ิศาสตรอ์ นั ชดั เจน ชาวไทยก็ไดน้ บั ถอื พระพุทธศาสนาต่อเน่ืองตลอดมา จนกล่าวไดว้ ่า ประวตั ศิ าสตรข์ องประเทศไทย เป็นประวตั ศิ าสตรข์ องชนชาตทิ น่ี บั ถอื พระพทุ ธศาสนาในดา้ นวฒั นธรรม วถิ ชี วี ติ ของคนไทยไดผ้ ูกพนั ประสานกลมกลนื กบั หลกั ความเชอ่ื และหลกั ปฏบิ ตั ใิ นพระพทุ ธศาสนา ตลอดเวลายาวนาน จนทำ� ใหเ้ กิดการปรบั ตวั เขา้ หากนั และสนองความตอ้ งการของกนั และกนั ตลอดจนผสมคลุกเคลา้ กบั ความ เช่อื ถอื และขอ้ ปฏบิ ตั สิ ายอ่นื ๆ ทม่ี มี าในหม่ชู นชาวไทย ทำ� ใหเ้กิดมรี ะบบความเช่อื และความประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ ทางพระพทุ ธศาสนาทเ่ี ป็นแบบของคนไทยโดยเฉพาะ อนั มรี ูปลกั ษณะและเน้ือหาของตนเอง ท่ีเนน้ เด่นบางมมุ บางดา้ นเป็นพเิ ศษ แยกออกไดจ้ ากพระพุทธศาสนาอย่างทวั่ ๆ ไป ซ่ึงเรียกไดว้ ่า เป็นพระพทุ ธศาสนาแบบไทย หรอื พระพทุ ธศาสนาของชาวไทยพระพทุ ธศาสนาเป็นศาสนาทป่ี ระชาชนชาวไทย ส่วนใหญ่นบั ถอื จงึ อาจเก่ยี วขอ้ งกบั คนไทย ๒ ดา้ น คอื (๑) ดา้ นทเ่ี ป็นพระธรรมวนิ ยั โดยเฉพาะส่วนทเ่ี รยี กวา่ พทุ ธธรรม (๒) ดา้ นทเ่ี ป็นวฒั นธรรม  พระพทุ ธศาสนาดา้ นท่เี ป็นพระธรรมวนิ ยั  หมายถงึ หลกั การเดมิ เน้ือแทข้ องพระพทุ ธศาสนา หรือตวั แทจ้ รงิ ของพระพทุ ธศาสนานนั้ ตามทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ทรงสงั่ สอนหรอื ทรงแสดงและทรงบญั ญตั ไิ ว้ ซง่ึ ปรากฏอยู่ใน คมั ภรี พ์ ระพทุ ธศาสนา และรกั ษาสบื ทอดต่อกนั มาดว้ ยการจารึก จดจำ� และส่อื สารอา้ งองิ พระคมั ภรี เ์ หล่านนั้ พระพทุ ธศาสนาดา้ นทเ่ี ป็นวฒั นธรรม หมายถงึ พระพทุ ธศาสนาอย่างทค่ี นไทยรูเ้ขา้ ใจและประพฤตปิ ฏบิ ตั สิ ะสม สบื ต่อกนั มา จนซมึ แทรกเขา้ ไปในชวี ติ จติ ใจ กลายเป็นส่วนหน่ึงแห่งลกั ษณะนิสยั และความเป็นอยู่ ซง่ึ ปรากฏ ออกมาทางชีวิตของหมู่ชนและอาศยั หมู่ชนท่ีดำ� เนินตามวิถีชีวิตนนั้ เป็นเคร่ืองรกั ษาสืบทอดตวั ของมนั เอง พระพทุ ธศาสนาฝ่ายธรรมวนิ ยั  ตอ้ งอาศยั การศึกษาเลา่ เรียนและตง้ั ใจปฏบิ ตั ิ จงึ จะปรากฏตวั และแสดงผลได้ แต่พระพทุ ธศาสนาฝ่ายวฒั นธรรม ปรากฏตวั และแสดงผลอย่างเป็นไปเองในชวี ติ ทด่ี ำ� เนินอยู่โดยไม่ตอ้ งรูต้ วั พระพทุ ธศาสนาฝ่ายธรรมวนิ ยั และพระพทุ ธศาสนาฝ่ายวฒั นธรรมนน้ั ต่างกส็ มั พนั ธอ์ งิ อาศยั ซง่ึ กนั และกนั กล่าวคือ การท่พี ระพุทธศาสนาจะกลายเป็นพระพุทธศาสนาของไทย เป็นส่วนหน่ึงของวถิ ชี ีวติ ไทย หรอื เป็นอนั หน่งึ อนั เดยี วกนั กบั ความเป็นไทยได้กเ็ พราะไดส้ ะสมสบื ทอดซมึ แทรกเขา้ ไปในชวี ติ จติ ใจของคนไทย ทวั่ ไปจนกลายเป็นวฒั นธรรมของไทยแต่ในเวลาเดยี วกนั พระพทุ ธศาสนาฝ่ายธรรมวนิ ยั ก็เป็นหลกั การหรือ เป็นกลางหรือเป็นมาตรฐานสำ� หรบั ทบทวนตรวจสอบว่า พระพทุ ธศาสนาฝ่ายวฒั นธรรมเขา้ ใกลห้ รือถอยห่าง ออกไปจากหลกั การทแ่ี ทจ้ ริงของพระพทุ ธศาสนา และเป็นแหลง่ ซง่ึ อำ� นวยเน้ือหาสาระสำ� หรบั ปรบั หรือช่วยดงึ พระพุทธศาสนาฝ่ ายวฒั นธรรมใหเ้ ขา้ สู่หรือใหใ้ กลเ้ ขา้ มาสู่หลกั การท่ีแทจ้ ริงของพระพุทธศาสนามากย่ิงข้นึ พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตโฺ ต) ไดส้ รุปอทิ ธพิ ลของพระพทุ ธศาสนาต่อสงั คมไทย2 ดงั น้ี ๑. เป็นศาสนาของประชากรส่วนใหญ่ของประเทศไทย 2 พระธรรมปิฎก (ป. อ. ปยตุ โฺ ต), ความสำ� คญั ของพระพทุ ธศาสนาในฐานะศาสนาประจำ� ชาต,ิ พมิ พค์ รง้ั ท่ี ๑๐, (กรงุ เทพ- มหานคร : ธรรมสภาและสถาบนั บนั ลอื ธรรม, ๒๕๔๓), หนา้ ๙-๑๐. 01. - 1 (1-29).indd 3 5/10/2022 12:55:16 PM

4 ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา ๒. เป็นรากฐานสำ� คญั ของวฒั นธรรมไทย ๓. เป็นศูนยร์ วมจติ ใจใหช้ นชาวไทยตง้ั อยู่ในความสามคั คี ๔. เป็นหลกั เกณฑแ์ ห่งเสรภี าพในการนบั ถอื ศาสนา ๕. เป็นสถาบนั ทด่ี ำ� รงยนื ยงมาคู่ชาตไิ ทย ๖. เป็นหลกั คำ� สอนสอดคลอ้ งกบั ลกั ษณะนิสยั ของคนไทยทร่ี กั ความเป็นอสิ ระเสรี ๗. เป็นแหลง่ สำ� คญั ทห่ี ลอ่ หลอมเอกลกั ษณข์ องชาตไิ ทย ๘. เป็นมรดกและเป็นคลงั สมบตั อิ นั ลำ�้ ค่าของชนชาตไิ ทย ๙. เป็นหลกั นำ� ทางในการพฒั นาชาตไิ ทย ๑๐. เป็นแหลง่ ของดมี คี ่าทช่ี นชาตไิ ทยมอบใหแ้ ก่อารยธรรมของโลก จะเหน็ ไดว้ ่า พระพทุ ธศาสนามอี ทิ ธิพลต่อการดำ� รงชีวติ ของประชาชนชาวไทยเป็นอย่างย่งิ ไม่เฉพาะ พระภกิ ษุสามเณร และพทุ ธศาสนิกชนเท่านนั้ แต่พระพทุ ธศาสนาในส่วนทเ่ี ป็นวฒั นธรรมยงั ส่งผลกระทบต่อ สภาพเศรษฐกจิ สงั คม การเมอื งโดยรวมอกี ดว้ ย สรุป พระพทุ ธศาสนาเขา้ มามบี ทบาทสำ� คญั ต่อการดำ� เนนิ ชวี ติ ของคนไทยในทกุ ๆ ดา้ น จงึ มลี กั ษณะท่ี เป็นสภาพท่ีกวา้ งขวางและครอบคลุมสงั คมไทย ซ่ึงความสำ� คญั ของพระพุทธศาสนาไดม้ กี ารกล่าวไวอ้ ย่าง ครอบคลุมประเดน็ พระพทุ ธศาสนาถอื ว่าเป็นศาสนาประจำ� ชาตขิ องคนไทย ทง้ั น้ีเพราะการทพ่ี ระพทุ ธศาสนา กบั ชนชาตไิ ทยไดม้ คี วามสมั พนั ธแ์ นบแน่นเป็นอนั หน่งึ อนั เดยี วกนั ทง้ั ในทางประวตั ศิ าสตรแ์ ละวฒั นธรรม ในทาง ประวตั ิศาสตรค์ วามเป็นมาของชนชาติไทย เน่ืองมาดว้ ยกนั กบั ความเป็นมาของพระพทุ ธศาสนา โดยเฉพาะ นบั ตงั้ แต่สมยั ท่ชี นชาติไทยมปี ระวตั ิศาสตรอ์ นั ชดั เจน ชาวไทยก็ไดน้ บั ถอื พระพทุ ธศาสนาต่อเน่ืองตลอดมา จนกล่าวไดว้ ่าประวตั ิศาสตรข์ องประเทศไทย เป็นประวตั ิศาสตรข์ องชนชาติท่นี บั ถอื พระพทุ ธศาสนา ในดา้ น วฒั นธรรม วถิ ชี วี ติ ของคนไทยไดผ้ ูกพนั ประสานกลมกลนื กบั หลกั ความเชอ่ื และหลกั ปฏบิ ตั ใิ นพระพทุ ธศาสนา ตลอดเวลายาวนาน จนทำ� ใหเ้กดิ การปรบั ตวั เขา้ หากนั และสนองความตอ้ งการของกนั และกนั ตลอดจนผสม คลุกเคลา้ กบั ความเช่อื ถอื และขอ้ ปฏบิ ตั สิ ายอ่นื ๆ ทม่ี มี าในหม่ชู นชาวไทย ถงึ ข้นึ ทท่ี ำ� ใหเ้กิดมรี ะบบความเช่อื และความประพฤตปิ ฏบิ ตั ทิ างพระพทุ ธศาสนา ทเ่ี ป็นแบบของคนไทยโดยเฉพาะ อนั มรี ูปลกั ษณะและเน้ือหาของ ตนเอง ทเ่ี นน้ เดน่ บางแงบ่ างดา้ นเป็นพเิ ศษ แยกออกไดจ้ ากพระพทุ ธศาสนาอยา่ งทวั่ ๆ ไป เรยี กวา่ พระพทุ ธศาสนา แบบไทยหรือพระพุทธศาสนาของชาวไทย วฒั นธรรมไทยทุกดา้ นมีรากฐานส�ำคญั อยู่ในพระพุทธศาสนา คำ� มากมายในภาษาไทยมีตน้ กำ� เนิดมาจากภาษาบาลแี ละมีความหมายสืบเน่ือง ปรบั เปล่ยี นมาจากคติใน พระพทุ ธศาสนา แบบแผนและครรลองตามหลกั การของพระพทุ ธศาสนา ไดร้ บั การยดึ ถอื เป็นแนวทาง และเป็น มาตรฐานสำ� หรบั ความประพฤติ การบำ� เพญ็ กจิ หนา้ ท่ี และการดำ� เนนิ ชวี ติ ของคนในสงั คมไทยทกุ ระดบั ทง้ั สถาบนั พระมหากษตั รยิ แ์ ละประชาชนทวั่ ไป 01. - 1 (1-29).indd 4 5/10/2022 12:55:16 PM

บทท่ี ๑ ความสำ� คญั และลกั ษณะเด่นของพระพทุ ธศาสนา 5 ๑.๓ ลกั ษณะเด่นของพระพทุ ธศาสนา พระพุทธศาสนานบั เป็นศาสนาท่ีเกิดข้ึนเพ่ือปรบั ปรุง และแกไ้ ขสงั คมอินเดียในยุคนนั้ ใหด้ ีข้ึนจาก สภาพการณห์ ลายอย่าง เช่น จากการกดขท่ี างชนชนั้ วรรณะของศาสนาพราหมณแ์ ละฮนิ ดู การเหลอ่ื มลำ�้ ทางสงั คม ทช่ี ดั เจน การถอื ชนั้ วรรณะอย่างเขม้ งวด การใชส้ ตั วเ์ ป็นจำ� นวนมากเพอ่ื บวงสรวงบูชายญั ตลอดจนการกดขส่ี ตรี พทุ ธศาสนาจงึ เสมอื นนำ�้ ทพิ ยช์ โลมสงั คมอนิ เดยี โบราณใหข้ าวสะอาดมากกวา่ เดมิ คำ� สอนของพทุ ธศาสนาทำ� ให้ สงั คมโดยทวั่ ไปสงบร่มเยน็ ๑.๓.๑ เป็นศาสนาแหง่ เหตผุ ล พทุ ธศาสนาเป็นศาสนาแห่งความรู้ เพราะเป็นศาสนาแห่งการตรสั รูข้ องพระพทุ ธองคเ์ อง จากปญั ญาของ พระองค์ และธรรมท่พี ระองคต์ รสั รูค้ ือ อริยสจั ๔ ก็เป็นความจริงอย่างแทจ้ ริง ใหเ้ สรีภาพในการพจิ ารณา ใหม้ ปี ญั ญาเหนือศรทั ธา ในขณะท่บี างศาสนาสอนว่าศาสนิกชนตอ้ งมศี รทั ธามาก่อนปญั ญาเสมอ และตอ้ ง มคี วามภกั ดตี ่อพระผูเ้ป็นเจา้ สูงสุด ผูน้ บั ถอื จะสงสยั ในพระเจา้ ไมไ่ ด้ ศาสนาพทุ ธเป็นศาสนาแห่งการศึกษา และ การแสวงหาความจรงิ มคี วามเป็นวทิ ยาศาสตร์ สามารถพสิ ูจนไ์ ดต้ ามหลกั วทิ ยาศาสตร์ เช่น ปรมาณู ปสาทรูป  ปวตั ตกิ มนยั  ไมส่ อนใหเ้ช่อื งา่ ยอย่างไมม่ เี หตผุ ล เช่น หลกั กาลามสูตร ดงพทุ ธพจนท์ พ่ี ระพทุ ธเจา้ ทรงไกต้ รสั ไว้ ในพระวนิ ยั ปิฎกวา่ “เย ธมั มา เหตปุ พั พวา เตสงั เหตงุ ตถาคโต อาห เตสญั จ โย นิโรโธ จ เอวํ วาที มหาสมโณ”3 แปลความไดว้ ่า “ธรรมเหลา่ ใดมเี หตุเป็นแดนเกิด พระตถาคตตรสั แสดงเหตุและความดบั แห่งธรรมเหลา่ นนั้ พระมหาสมณะมปี กตติ รสั อย่างน้ี ฯ” ๑.๓.๒ เป็นศาสนาแหง่ อสิ ระเสรภี าพ พทุ ธศาสนาไมม่ กี ารบงั คบั ใหค้ นศรทั ธา หรอื เชอ่ื แต่สามารถพสิ ูจนไ์ ดด้ ว้ ยตนเอง ศาสนาของพระพทุ ธเจา้ คอื คำ� สอน ซง่ึ ทรงสอนใหผ้ ูฟ้ งั ใชป้ ญั ญาพจิ ารณาอย่างถอ่ งแทก้ ่อนจะปลงใจเชอ่ื ไมใ่ ช่เป็น เทวโองการ (Gospel) จากพระเจา้ ซง่ึ แยง้ ไมไ่ ด้พระสงฆห์ รอื พทุ ธสาวกกม็ ใิ ช่มชิ ชนั นารี ซง่ึ มภี ารกจิ หลกั คอื จารกิ ไปช้ชี วนใหใ้ ครต่อใคร มานบั ถอื พระศาสนา พระสงฆห์ รือพทุ ธสาวกมหี นา้ ท่เี พยี งอธิบายคำ� สอนของพระพทุ ธเจา้ ให้ คนท่สี นใจฟงั เท่านน้ั ใครไม่สนใจฟงั ชาวพทุ ธก็ไม่เคยใชก้ ฎหมายหรือรฐั ธรรมนูญบงั คบั ใหน้ บั ถอื ไม่เคยตงั้ กองทุนให้ การศึกษาฟรี แลว้ สรา้ งเงอ่ื นไขใหผ้ ูร้ บั ทนุ เปลย่ี นมาเป็นชาวพทุ ธ ไมเ่ คยสรา้ งทพ่ี กั อาศยั ใหห้ รอื แจกทานใหอ้ าหาร ฟรี ๆ แลว้ วางเงอ่ื นไขใหค้ นมาขออาศยั ตนตอ้ งหนั มานบั ถอื ศาสนาในภาวะจำ� ยอม ความใจกวา้ งและมหี ลกั คำ� สอนทเ่ี ป็นสจั ธรรม เชญิ ชวนใหม้ าพสิ ูจนด์ ว้ ยการปฏบิ ตั เิ องและเนน้ ใหใ้ ชป้ ญั ญาไตร่ตรองใหร้ อบคอบก่อน นบั ถอื ทำ� ใหพ้ ระพทุ ธศาสนาไดร้ บั การยอมรบั จากวญิ ญูชนไปทวั่ โลก ทง้ั จดุ ม่งุ หมายคือวมิ ตุ ติความหลุดพน้ เป็นอสิ ระจากกเิ ลสตณั หาทง้ั ปวง 3 ว.ิ ม.(ไทย) ๔/๖๐/๗๓. 01. - 1 (1-29).indd 5 5/10/2022 12:55:17 PM

6 ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา ๑.๓.๓ เป็นศาสนาอเทวนิยม เพราะเหตุว่าพระพทุ ธศาสนาไม่เช่ือในอำ� นาจการดลบนั ดาลของพระเจา้ จึงจดั อยู่ในศาสนาประเภท อเทวนิยม ในความหมายท่วี ่าไม่เช่ือว่า พระเจา้ บนั ดาลทุกสรรพส่งิ ไม่เช่ือว่าพระเจา้ สรา้ งโลก พทุ ธศาสนา เป็นศาสนาทไ่ี ม่ผูกตดิ กบั พระผูด้ ลบนั ดาล หรือพระเจา้  ไม่ไดผ้ ูกมดั ตนเองไวก้ บั พระเจา้ ไม่พง่ึ พาอำ� นาจของ พระผูเ้ป็นเจา้ เช่อื ในความสามารถของมนุษยว์ า่ มศี กั ยภาพเพยี งพอ โดยไมต่ อ้ งพง่ึ อำ� นาจใดๆภายนอก เช่อื วา่ มนุษยเ์ องสามารถปลดเปล้อื งความทุกขไ์ ดโ้ ดยไม่รอการดลบนั ดาล และพระพทุ ธเจา้ ทรงตรสั รูโ้ ดยไม่มใี คร สงั่ สอน และไมอ่ า้ งวา่ เป็นทูตของพระเจา้ นกั ปราชญท์ งั้ หลายทง้ั ในอดตี และปจั จบุ นั จงึ กลา่ วยกย่องวา่ เป็นศาสนา ทป่ี ระกาศความเป็นอสิ ระของมนุษยใ์ หป้ รากฏแก่โลกยง่ิ กวา่ ศาสนาใดๆทม่ี มี า แต่หากจะเปรยี บเทยี บกบั ศาสนา อน่ื ทม่ี พี ระเจา้ ชาวพทุ ธทกุ คนคอื พระเจา้ ของตวั เอง เน่ืองจากตวั เองเป็นคนกำ� หนดชะตาชวี ติ ของตวั เอง วา่ จะ มคี วามเจรญิ รุ่งเรอื งในชวี ติ หรอื มคี วามตกตำ�่ ในชวี ติ จากการประพฤตปิ ฏบิ ตั ขิ องตวั เอง ดงั คำ� พทุ ธพจนท์ ว่ี ่า  ตนแลเป็นท่พี ่งึ แห่งตน ซ่งึ ต่างกบั ศาสนาท่มี พี ระเจา้ ท่ชี ะตาชีวติ ทง้ั หมดลว้ นเป็นส่งิ ท่พี ระเจา้ กำ� หนดมาแลว้ เปลย่ี นแปลงไมไ่ ด้ ไมว่ า่ จะเจอเร่อื งดหี รอื รา้ ยกต็ อ้ งทนรบั ชะตากรรมอย่างหลกี เลย่ี งไมไ่ ด้ ๑.๓.๔ เป็นศาสนาแหง่ สนั ตภิ าพ กระบวนการนกั คดิ ของโลกศาสนา พทุ ธศาสนาไดร้ บั การยกย่องจากทวั่ โลกวา่ เป็นศาสนาแห่งสนั ตภิ าพ อย่างแทจ้ รงิ เพราะไมป่ รากฏวา่ มสี งครามศาสนาเกดิ ข้นึ ในนามของพทุ ธศาสนา หรอื เผยแผ่ศาสนาโดยการบงั คบั ผูอ้ น่ื ใหม้ านบั ถอื สอนใหม้ คี วามรกั ต่อสรรพชวี ติ ใดๆไมใ่ ช่เพยี งแค่มนุษยร์ วมถงึ ปวงสตั วส์ รรพสตั วท์ ร่ี ่วมเกดิ แก่ เจบ็ ตายรกั สุขเกลยี ดทกุ ขเ์ ช่นเดยี วกบั เรา รกั ทง้ั ผูอ้ ่นื และตวั เอง ไม่สอนใหเ้กลยี ดตวั เองไม่ใหล้ ะเมดิ สทิ ธิของ ผูอ้ น่ื สหประชาชาตยิ กย่องใหว้ นั วสิ าขบูชาเป็นวนั สนั ตภิ าพโลก โดยพระสงฆไ์ ทยรูปแรกทไ่ี ดร้ บั รางวลั โนเบล คอื พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโฺ ต) ในพ.ศ. ๒๕๓๗ ไดร้ บั รางวลั การศึกษาเพอ่ื สนั ตภิ าพ จากองคก์ ารยูเนสโก (Unesco Prize for Peace Education) ซง่ึ ถอื เป็นความภาคภมู ใิ จของคณะสงฆไ์ ทยและพทุ ธศาสนกิ ชนชาวพทุ ธทวั่ โลก ๑.๓.๕ ลกั ษณะเด่นของพระพทุ ธศาสนาทศั นะของนกั วชิ าการ ๑) อาจารยเ์ สถยี ร โพธนิ นั ทะ ทใ่ี หท้ ศั นะวา่ 4 “พระพทุ ธศาสนาเป็นศาสนาทเ่ี กดิ ข้นึ เพอ่ื ปรบั ปรุงและ แกไ้ ขสงั คมอนิ เดยี ในยุคนน้ั ใหด้ ขี ้นึ จากการกดขข่ี องพราหมณ์ จากการเหลอ่ื มลำ�้ ทางสงั คม จากการถอื วรรณะจดั จากการนิยมบวงสรวงบูชายญั ดว้ ยสตั วเ์ ป็นจำ� นวนมาก จากการกดขส่ี ตรเี พศ พทุ ธศาสนาจงึ เป็นเหมอื นนำ�้ ทพิ ย์ ชโลมสงั คมอนิ เดยี โบราณใหข้ าวสะอาดมากข้นึ กว่าเดมิ คำ� สอนของพระพทุ ธศาสนาทำ� ใหส้ งั คมโดยทวั่ ไปสงบ ร่มเยน็ ทำ� ใหพ้ ทุ ธศาสนามลี กั ษณะพเิ ศษหลายประการทแ่ี ตกต่างจากศาสนาอน่ื ๆ แต่พทุ ธศาสนากอ็ าศยั บคุ ลกิ ภาพ อนั ยง่ิ ใหญ่ของพระพทุ ธเจา้ กบั คำ� สอนอนั ประกอบไปดว้ ยเหตผุ ล พระพทุ ธศาสนาจงึ เป็นปึกแผ่นเจรญิ กา้ วหนา้ มาดว้ ยด”ี 4 เสถยี ร โพธนิ นั ทะ, ประวตั ศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา ฉบบั มขุ ปาฐะ ภาค ๑, (กรุงเทพมหานคร : มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๙), หนา้ ๑๗. 01. - 1 (1-29).indd 6 5/10/2022 12:55:17 PM

บทท่ี ๑ ความสำ� คญั และลกั ษณะเด่นของพระพทุ ธศาสนา 7 ๒) พระอุดรคณาธิการ (ชวนิ ทร์ สระคำ� ) ไดก้ ล่าวถงึ ลกั ษณะแนวคำ� สอนของพระพทุ ธศาสนา ๓ ขอ้ ใหญ่ คอื (๑) สอนโดยการปฏริ ูป เช่น พราหมณบ์ อกวา่ การอาบนำ�้ ในแมน่ ำ�้ คงคา เป็นการลา้ งบาป พระองค์ ไดป้ ฏริ ูปใหเ้ป็นการทำ� สุจรติ ทาง กาย วาจา ใจ (๒) สอนโดยการปฏวิ ตั ิ เช่น พราหมณใ์ หเ้พง่ อาตมนั พระองค์ สอนตรงกนั ขา้ มคอื สอนหลกั อนตั ตา (๓) สอนโดยตงั้ หลกั ธรรมข้นึ มาใหม่ เช่น หลกั ธรรมอรยิ สจั ๔ และท่านยงั ไดส้ รุปลกั ษณะศาสนาพุทธไวว้ ่าไม่เช่ือว่าพระเจา้ เป็นผูส้ รา้ งโลก โลกปรากฏข้นึ ตามธรรมชาติ กรรมเป็นผู ้ สรา้ งสรรคส์ รรพสตั ว์ ทำ� ดไี ดด้ ี ทำ� ชวั่ ไดช้ วั่ เป็นคำ� สอนทไ่ี ม่ผูกขาดโดยบคุ คลใดบคุ คลหน่ึง สอนใหพ้ ง่ึ ตนเอง ปฏเิ สธการนบั ถอื ชน้ั วรรณะใหส้ ทิ ธเิ สรภี าพแก่ผูน้ บั ถอื ทกุ คนสอนใหด้ ำ� เนนิ ชวี ติ ตามมชั ฌมิ าปฏปิ ทาคอื ศีล สมาธิ ปญั ญาปฏเิ สธการบูชายญั ซง่ึ เป็นการเบยี ดเบยี นคนอน่ื ทำ� คนอน่ื ใหไ้ ดร้ บั ทกุ ขท์ รมาน5 ๓) พระราชธรรมนเิ ทศ (ระแบบ ฐติ ญาโณ) ไดก้ ลา่ วถงึ ลกั ษณะเดน่ ของพระพทุ ธศาสนาไวห้ ลายประการ ดงั น้ี เป็นศาสนาท่ไี ม่มรี ากฐานมาจากอทิ ธิฤทธ์ิปาฏหิ าริย์ แต่เป็นศาสนาท่มี เี หตุผลและคุณงามความดที ่เี หน็ ไดจ้ รงิ เป็นตวั อย่างประชาธปิ ไตยทเ่ี ก่าแก่ทส่ี ุดของโลก มหี ลกั การและพธิ กี ารทท่ี นั สมยั มาถงึ ปจั จบุ นั เป็นศาสนา ทส่ี ่งเสรมิ สทิ ธมิ นุษยชน (ภายในใหเ้ป็นอสิ ระจากกเิ ลส ภายนอกใหเ้ลกิ ทาส และหา้ มไมใ่ หภ้ กิ ษุมที าสไวร้ บั ใช)้ สอนไมใ่ หด้ ูหมน่ิ เหยยี ดหยามกนั เพราะเร่อื งวรรณะ เพราะเร่อื งชาตวิ งศต์ ระกูล ใหถ้ อื เร่อื งศีลธรรมเป็นเร่อื งวดั คณุ ค่าของคนสอนใหป้ ฏวิ ตั เิ รอ่ื งการทำ� บญุ จากเรอ่ื งการฆ่าสตั วห์ รอื มนุษยเ์ พอ่ื บูชายญั มาเป็นการใหก้ ารสงเคราะห์ คนอน่ื สอนใหก้ ลา้ เผชญิ ความจรงิ เช่น สอนใหร้ ูจ้ กั การ เกดิ แก่ เจบ็ ตายและนำ� เอาประโยชน์ จากการศึกษา เร่ืองน้ีมาใชแ้ กไ้ ขความไม่แน่นอนของร่างกายสอนใหแ้ กป้ ญั หาความเสอ่ื มทางศีลธรรมโดยไม่ละเลยต่อปญั หา ทางเศรษฐกจิ สอนเนน้ ใหถ้ อื เร่อื งศีลธรรมความถกู ตอ้ งเป็นหลกั สอนเนน้ เร่อื งการใชส้ ตปิ ญั ญาในการดำ� เนินชวี ติ สอนใหพ้ ่งึ ตนเองเช่ือกฎแห่งกรรมปฏเิ สธตรรกศาสตรใ์ หถ้ อื คุณค่าอ่ืนท่สี ูงกว่าสอนใหท้ ำ� ความดีเพ่อื ความดี มหี ลกั เกณฑแ์ ละมคี ำ� สอนทเ่ี ป็นวทิ ยาศาสตรส์ อนใหพ้ ง่ึ ตนเองไมใ่ หร้ อแต่พง่ึ คนอน่ื สอนใหม้ คี วามขยนั หมนั่ เพยี ร ไมเ่ กยี จครา้ นสอนใหม้ เี มตตากรุณาต่อผูอ้ น่ื เอาใจเขามาใส่ใจเราสอนทางสายกลางไมท่ รมานตนเองใหเ้ดอื ดรอ้ น และไม่ปล่อยตวั เองใหห้ ลงระเริงเดนิ ไป(ไม่ประมาท)สอนใหร้ บั ฟงั ความคิดเห็นคนอ่นื บา้ ง ไม่ด้อื รน้ั หวั แขง็ (ประชาธิปไตย)สอนใหร้ กั ษา กาย วาจา ใหเ้ รียบรอ้ ย(ใหม้ ศี ีล)สอนเนน้ ใหก้ ตญั ญูกตเวทติ าเอ้ือเฟ้ือเผ่อื แผ่ สอนไมใ่ หเ้หน็ คนอน่ื ศาสนาอน่ื เป็นศตั รู เป็นตน้ 6 ๔) พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตโต) ไดก้ ลา่ วถงึ ลกั ษณะเด่น ๆ ของพระพทุ ธศาสนาดงั น้ี ๔.๑ ลกั ษณะของพระพทุ ธศาสนา เมอ่ื พูดอย่างทวั่ ๆ ไปก็คอื ลกั ษณะทเ่ี ป็นสายกลาง มนุษย์ เรานน้ั มกั มคี วามโนม้ เอียงท่จี ะไปสุดโต่ง ความสุดโต่งมอี ยู่สองอย่าง คือ สุดโต่งในทางความคิดอย่างหน่ึง 5 พระอดุ รคณาธกิ าร (ชวนิ ทร์ สระคำ� ), ประวตั ศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนาในอนิ เดีย,(กรุงเทพมหานคร :มหาจฬุ าลงกรณ- ราชวทิ ยาลยั ,๒๕๓๔), หนา้ ๑๕๑. 6 พระราชธรรมนิเทศ (ระแบบ ิตาโณ), ประวตั ศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา,พมิ พค์ รงั้ ท่ี ๔, (กรุงเทพมหานคร : มหามกฏุ - ราชวทิ ยาลยั ,๒๕๔๒), หนา้ ๑๑๐. 01. - 1 (1-29).indd 7 5/10/2022 12:55:17 PM

8 ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา และสุดโต่งในทางปฏบิ ตั อิ ย่างหน่ึงในทางปฏบิ ตั ิ มนุษยม์ กั จะหนั ไปหาความสุดโต่ง เช่น ในสมยั หน่ึงคนทงั้ หลาย พากนั เพลดิ เพลนิ มวั เมาในการหาความสุขทางเน้ือหนงั ใหค้ วามสำ� คญั แก่การบำ� รุงบำ� เรอร่างกายมากและใน ยุคนน้ั คนก็ไม่เหน็ ความสำ� คญั ของจติ ใจเลย ซ่งึ ทางพทุ ธศาสนาเรียกว่าเป็น กามสุขลั ลกิ านุโยคพอเปลย่ี นไป อกี ยุคสมยั หน่ึง คนบางพวกกม็ คี วามรูส้ กึ เบอ่ื หน่าย รงั เกยี จความสุขทางร่างกายทางเน้ือหนงั แลว้ กเ็ อยี งไปทาง ดา้ นจติ ใจอย่างเตม็ ท่ี บางทถี งึ กบั ทรมานร่างกาย ยอมสละความสุขทางร่างกายโดยส้นิ เชงิ เพอ่ื จะประสบผลสำ� เรจ็ ในทางจติ ใจ แลว้ กก็ ลายเป็นการเสพตดิ ทางจติ ไปอกี พวกน้อี าจจะถงึ กบั ทำ� การทรมานร่างกาย บำ� เพญ็ ทกุ กรกริ ยิ า อย่างทเ่ี รยี กวา่  อตั ตกลิ มถานุโยค  จนกลายเป็นการทรมานร่างกายไป กไ็ มถ่ กู ตอ้ งเหมอื นกนั ๔.๒ ลกั ษณะของพระพทุ ธศาสนาเป็นเร่อื งของความเป็นสากล พระพทุ ธศาสนามลี กั ษณะสำ� คญั อย่างหน่ึง คือความเป็นสากล เป็นสากลทงั้ ความคิดและการปฏบิ ตั ิเหมอื นอย่างท่เี ป็นสายกลางทงั้ ความคิด และการปฏบิ ตั ใิ นแงค่ วามคดิ ในทน่ี ้ี หมายถงึ เร่อื งสจั ธรรม หรอื คำ� สอนเก่ยี วกบั สจั ธรรม พระพทุ ธศาสนานน้ั สอนความจรงิ เป็นกลางไมข่ ้นึ ต่อบคุ คล กลมุ่ เหลา่ พรรคพวก แมแ้ ต่ตวั พระพทุ ธศาสนาเอง เช่น ท่านสอนวา่ การฆ่าสตั วเ์ ป็นบาป การทำ� ปาณาตปิ าต เร่มิ แต่ฆ่าคนเป็นตน้ ไปเป็นบาป กส็ อนเป็นกลาง ๆ วา่ ไมว่ า่ ฆ่าคนไหน กต็ ามเป็นบาปทงั้ นน้ั ไมไ่ ดจ้ ำ� กดั วา่ นบั ถอื ศาสนาไหน ไมม่ แี บง่ พรรคแบง่ กลมุ่ แบง่ ประเภทวา่ ถา้ นบั ถอื ศาสนาอน่ื เป็นพวกของมารรา้ ย แลว้ กฆ็ ่าไดไ้ มบ่ าป แต่ถา้ เป็นพวกชาวพทุ ธดว้ ยกนั ฆ่าไมไ่ ดเ้ป็นบาป อย่างน้ีไมม่ ี ท่านสอน ความจรงิ เป็นสากลเป็นกลาง ๆ อนั น้ีเป็นลกั ษณะทช่ี ดั เจน ๔.๓ ลกั ษณะของพระพทุ ธศาสนาประกอบดว้ ยองค์ ๒ อย่างท่สี มพอดกี นั คือประกอบดว้ ย ธรรมกบั วนิ ยั หลกั ธรรมกบั วนิ ยั น้ี ไดบ้ อกแต่ตน้ แลว้ ว่า เป็นช่ือหน่ึงของพระพทุ ธศาสนา บางครงั้ เราเรียก พระพทุ ธศาสนาวา่ ธรรมวนิ ยั ซง่ึ ตอ้ งมที ง้ั สองอย่างจงึ จะเป็นพระพทุ ธศาสนาโดยสมบูรณ์ ถา้ มอี ย่างเดยี วก็ยงั ไมค่ รบในโลกปจั จบุ นั น้ี หรอื ในโลกทผ่ี ่านมากต็ าม มกั จะมกี ารถกเถยี งกนั อยู่เสมอวา่ บคุ คลกบั ระบบ อย่างไหน สำ� คญั กวา่ กนั บางคนบอกวา่ บคุ คลสำ� คญั ระบบไมส่ ำ� คญั บางคนบอกวา่ ระบบสสิ ำ� คญั บคุ คลไมส่ ำ� คญั ระบบ เป็นอย่างไร คนก็เป็นไปตามนนั้ คนพวกหน่ึงบอกว่า ปจั เจกชนสำ� คญั สงั คมเกิดจากปจั เจกชน สงั คมจะเป็น อย่างไรกแ็ ลว้ แต่ปจั เจกชน ถา้ ทำ� ปจั เจกชนใหด้ ี สงั คมกด็ ไี ปเอง อกี พวกหน่ึงบอกวา่ สงั คมสสิ ำ� คญั ปจั เจกชน ถกู หลอ่ หลอมโดยสงั คม ทำ� สงั คมใหด้ แี ลว้ ปจั เจกชนก็ดไี ปตามในแงส่ าระกบั รูปแบบ พวกหน่ึงบอกวา่ สาระ สำ� คญั รูปแบบไมส่ ำ� คญั หรอก เน้ือหาสำ� คญั กวา่ รูปแบบเป็นเพยี งเปลอื กนอก บางพวกบอกวา่ รูปแบบสสิ ำ� คญั รูปแบบเป็นเคร่ืองกำ� หนดเน้ือหา ความสำ� คญั ตามส่วนของมนั จะเรียกว่าเป็น ความเป็นกลางหรือความเป็น สายกลาง อกี อย่างหน่ึงของพระพทุ ธศาสนากไ็ ด้ ในเร่อื งสาระกบั รูปแบบ เป็นตน้ ๔.๔ ลกั ษณะของพระพทุ ธศาสนานนั้ มชี อ่ื อย่างหน่ึงวา่ เป็นกรรมวาทหรอื กรรมวาที พระพทุ ธเจา้ เคยตรสั ว่า พระพทุ ธเจา้ ทง้ั หลาย ท่านใชค้ ำ� ว่าทงั้ หลาย คือไม่เฉพาะพระพทุ ธเจา้ องคเ์ ดยี วเท่านนั้ แต่ทกุ องค์ ทง้ั หมด ไม่ว่าจะเป็นพระพุทธเจา้ ทงั้ หลายในอดีตก็ตามในอนาคตก็ตาม แมอ้ งคท์ ่ีอยู่ในยุคปจั จุบนั ก็ตาม 01. - 1 (1-29).indd 8 5/10/2022 12:55:17 PM

บทท่ี ๑ ความสำ� คญั และลกั ษณะเด่นของพระพทุ ธศาสนา 9 ลว้ นเป็นกรรมวาทะเป็นกริ ยิ วาทะและเป็นวริ ยิ วาทะหรอื เป็นกรรมวาทแี ละกริ ยิ วาที (เวลาใชว้ าที ทา่ นมแี ค่สอง คอื กรรมวาทแี ละกริ ยิ วาทแี ต่เมอ่ื เป็นวาทะมสี าม คอื เป็นกรรมวาทะ กริ ยิ วาทะ และวริ ยิ วาทะหลกั การน้ีหมายความ ว่า พระพุทธศาสนานน้ั สอนหลกั กรรม สอนว่าการกระทำ� มจี ริง เป็นกรรมวาทะ สอนว่าทำ� แลว้ เป็นอนั ทำ� เป็นกิริยวาทะ สอนว่าความเพยี รพยายามมผี ลจริง ใหท้ ำ� การดว้ ยความเพยี รพยายามเป็นวริ ิยวาทะ ใหค้ วาม สำ� คญั แก่ความเพยี ร เป็นศาสนาแห่งการกระทำ� เป็นศาสนาแห่งการเพยี รพยายาม ไม่ใช่ศาสนาแห่งการหยุด น่ิงเฉยแห่งความเฉ่ือยชาเกียจครา้ นลกั ษณะของหลกั กรรมน้ี เป็นเร่ืองทน่ี ่าพจิ ารณาเพราะกรรมเป็นหลกั ใหญ่ ในพระพทุ ธศาสนา ๔.๕ พระพุทธศาสนาเป็นวภิ ชั ชวาท ในการสงั คายนาครง้ั ท่ี ๓ พระโมคคลั ลบี ุตรติสสเถระ เป็นประธานครงั้ นน้ั พระเจา้ อโศกมหาราช เป็นพระเจา้ แผ่นดินผูอ้ ุปถมั ภก์ ารสงั คายนา เรียกว่า เอกอคั ร- ศาสนูปถมั ภก พระเจา้ อโศกมหาราชไดต้ รสั ถามพระโมคคลั ลบี ุตรติสสเถระว่า พระพทุ ธศาสนาน้ี มลี กั ษณะ เป็นอย่างไรสอนอย่างไร พระโมคคลั ลบี ตุ รตสิ สเถระทูลตอบวา่ พระพทุ ธศาสนาเป็นวภิ ชั ชวาทวภิ ชั ชวาท คอื อะไร คอื การแสดงความจรงิ หรอื การสอนโดยจำ� แนกแยกแยะ หมายความวา่ ไมม่ องความจรงิ เพยี งดา้ นเดยี ว แต่จำ� แนก แยกแยะมองความจริงครบทุกแงท่ ุกดา้ น ไม่ด่งิ ไปอย่างใดอย่างหน่ึง บุคคลผูม้ หี ลกั การแสดงความจริงดว้ ย วธิ อี ย่างนน้ั ก็เรยี กวา่ วภิ ชั ชวาทหรอื วภิ ชั ชวาที เป็นความโนม้ เอยี งของมนุษยท์ จ่ี ะมองอะไรขา้ งเดยี ว ดา้ นเดยี ว พอเจออะไรอย่างหน่ึง ดา้ นหน่ึง ก็สรุปตีความว่านนั่ คือส่งิ นนั้ ความจริงคืออย่างนนั้ แต่ความจริงท่แี ทข้ อง สง่ิ ทง้ั หลายนน้ั มหี ลายดา้ น ตอ้ งมองใหค้ รบทกุ แงท่ กุ มมุ พระพทุ ธศาสนานน้ั มลี กั ษณะจำ� แนกแยกแยะ ดงั ท่ี เรยี กวา่ วภิ ชั ชวาทคำ� วา่  “วภิ ชั ช” แปลวา่ จำ� แนกแยกแยะมกี ารจำ� แนกแยกแยะทงั้ ในดา้ นความจรงิ เช่น เมอ่ื พดู ถงึ ชวี ติ คนท่านจะจำ� แนกออกไปเป็นขนั ธ์ ๕ โดยแยกออกไปเป็นรูปธรรมและนามธรรมก่อน แลว้ แยกนามธรรม ออกไปอกี เป็น ๕ ขนั ธแ์ มแ้ ต่ ๕ ขนั ธน์ นั้ แต่ละขนั ธย์ งั แยกแยะออกไปอกี ๔.๖ ลกั ษณะของพระพทุ ธศาสนานน้ั มวี มิ ตุ ติ หรอื ความมอี สิ รภาพเป็นจดุ หมายสำ� คญั และไมใ่ ช่ เป็นเพยี งจุดหมายเท่านน้ั แต่มอี ิสรภาพเป็นหลกั การสำ� คญั ทวั่ ไปทเี ดียวในทางธรรมท่านใชค้ ำ� ว่า วมิ ตุ ติรส กบั วมิ ตุ ตสิ าระสำ� หรบั วมิ ตุ ตริ สนน้ั พระพทุ ธเจา้ ตรสั เป็นคำ� อปุ มาว่า มหาสมทุ รแมจ้ ะกวา้ งใหญ่เพยี งใดก็ตาม แต่ทงั้ หมดนนั้ น�ำ้ ในมหาสมุทรท่ีมากมาย มีรสเดียวคือรสเค็ม ฉันใด ธรรมวินยั ของพระองคท์ ่ีสอนไว้ มากมายนน้ั ทงั้ หมดก็มรี สเดียวคือวมิ ตุ ติรสไดแ้ ก่ ความหลุดพน้ จากทุกขแ์ ละกิเลส ฉนั นน้ั ภาษาสมยั ใหม่ เรียกความหลุดพน้ ว่าอสิ รภาพเดยี๋ วน้ีเราไม่ใชค้ ำ� ว่า วมิ ตุ ติ เราตดิ คำ� ว่าอสิ รภาพทจ่ี ริงเราใชค้ ำ� ว่า อสิ รภาพใน ความหมายของวมิ ตุ ตนิ นั่ เอง เวลาแปลเป็นภาษาองั กฤษจะเหน็ ชดั ฝรงั่ แปลวมิ ตุ ตวิ า่ freedom เราแปลอสิ รภาพ เพราะฉะนน้ั อสิ รภาพทใ่ี ชก้ นั ในภาษาไทยจงึ ไปตรงกบั คำ� ว่า วมิ ตุ ต ิ วมิ ตุ ตริ ส ก็คือ รสแห่งอสิ รภาพพระพทุ ธ- ศาสนานนั้ มลี กั ษณะของความหลดุ พน้ หรอื ความเป็นอสิ ระอยู่โดยตลอด ๔.๗ ลกั ษณะของพระพุทธศาสนาถือปญั ญาเป็นหลกั ธรรมสำ� คญั หรือเป็นธรรมแกนกลาง ดงั พทุ ธพจนว์ ่า ปญฺญุตฺตรา สพฺเพ ธมมฺ า ธรรมทงั้ หลายทง้ั ปวงมปี ญั ญาเป็นยอดย่งิ พระพทุ ธศาสนาถอื ว่า 01. - 1 (1-29).indd 9 5/10/2022 12:55:17 PM

10 ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา ปญั ญาเป็นธรรมสูงสุด เป็นตวั ตดั สนิ ขน้ั สุดทา้ ยในการทจ่ี ะเขา้ ถงึ จดุ หมายของพระพทุ ธศาสนาก็อย่างทไ่ี ดบ้ อก พระพทุ ธศาสนาไม่ใช่ศาสนาแห่งศรทั ธาแต่เป็นศาสนาแห่งปญั ญา ซ่งึ บางทกี ็เป็นจดุ อ่อนและหลายคนก็ถอื ว่า เป็นจดุ อ่อนของพระพทุ ธศาสนา เพราะเหตทุ ใ่ี หอ้ สิ รภาพในทางปญั ญาแก่คนมาก ก็เลยทำ� ใหช้ าวพทุ ธเป็นคนท่ี ไม่ค่อยเอาอะไรจริงจงั เช่นเก่ียวกบั ขอ้ ปฏบิ ตั ิในหม่ชู าวพทุ ธในเมอื งไทยปจั จบุ นั น้ี จบั ไม่ค่อยไดว้ ่า ชาวพทุ ธ ถอื ขอ้ ปฏบิ ตั อิ ะไรกนั บา้ ง เอาอะไรเป็นเคร่อื งกำ� หนดวา่ เป็นชาวพทุ ธ มองเป็นรูปธรรมกห็ าไมเ่ หน็ เพราะไปเอาแต่ ปญั ญาแลว้ แต่ใครมปี ญั ญาพจิ ารณาเลอื กปฏบิ ตั เิ ท่าไหนกไ็ ดต้ ามสมคั รใจ ต่างจากในศาสนาอน่ื ซง่ึ ส่วนมากเป็น ศาสนาแห่งศรทั ธาเขาจะบงั คบั กนั เลยหา้ มสงสยั ไมต่ อ้ งถามฉนั บอกอย่างน้ี เธอทำ� ไปกแ็ ลว้ กนั ๔.๘ พระพทุ ธศาสนาประกาศหลกั สำ� คญั เก่ยี วกบั ความจรงิ ของสง่ิ ทง้ั หลาย หรอื ของสภาวธรรม ต่าง ๆ เรียกว่า หลกั อนตั ตา หลกั อนตั ตาน้ีเป็นหลกั ทใ่ี หม่ไม่เคยมผี ูค้ น้ พบมาก่อนความยดึ ตดิ ในอตั ตาหรือ ตวั ตนน้ี เป็นส่งิ ท่ฝี งั ลกึ แนบแน่นในจิตใจมนุษยเ์ ป็นอย่างมาก มนุษยจ์ ะรกั ษาหวงแหนความรูส้ กึ ผูกพนั ใน อตั ตาน้ีไวอ้ ย่างเหนียวแน่นท่สี ุดเท่าท่จี ะทำ� ได้ แมแ้ ต่เมอ่ื หนั มาคน้ ควา้ สจั ธรรมในทางศาสนา เขาก็ตอ้ งเพยี ร พยายามทจ่ี ะรกั ษาอตั ตาน้ีไวใ้ หไ้ ด้เพราะฉะนนั้ นกั คดิ ทงั้ หลายจงึ พฒั นาภาพอตั ตาทย่ี ดึ ไวน้ น้ั ใหป้ ระณีตยง่ิ ข้นึ ไป โดยลำ� ดบั จะเหน็ วา่ ในศาสนาต่างๆ มแี ต่คำ� สอนทใ่ี หพ้ ยายามเขา้ หาอตั ตา เขา้ ถงึ อตั ตา ปรากฏวา่ มศี าสนาเดยี ว คอื พระพทุ ธศาสนาเท่านนั้ ทส่ี อนหลกั อนตั ตาทป่ี ระกาศวา่ ในทส่ี ุดแลว้ สง่ิ ทง้ั หลายไมใ่ ช่อตั ตาพระอรรถกถาจารย์ บอกว่าศาสดาต่าง ๆ ในหลายศาสนารูห้ ลกั อนิจจงั แลว้ รูห้ ลงั ทุกขงั แลว้ เพราะฉะนนั้ หลกั อนิจจงั และทุกขงั จึงมใี นศาสนาอ่นื ท่มี คี วามกา้ วหนา้ ในทางสติปญั ญาดว้ ย แต่ไม่มศี าสนาใดอ่นื ท่ปี ระกาศหลกั อนตั ตา ฉะนน้ั พระพทุ ธศาสนาจงึ ฝืนกระแส ฝืนต่อจติ ใจ ต่อความยดึ ถอื หวงแหนของมนุษยก์ ารท่จี ะมองเหน็ สภาวะท่เี ป็น อนตั ตาน้ี บง่ บอกไปถงึ การทต่ี อ้ งมปี ญั ญา คอื การมปี ญั ญารูเ้ท่าทนั คตธิ รรมดา เหน็ แจง้ ความจรงิ ของสง่ิ ทง้ั หลาย ทเ่ี ป็นไปตามเหตปุ จั จยั ไมม่ ตี วั คงท่ี ทเ่ี ป็นตวั บนั ดาลเป็นตวั บงั คบั สง่ิ ทง้ั หลายใหเ้ป็นไปอย่างใดอย่างหน่ึง ๔.๙ ลกั ษณะของพระพทุ ธศาสนามลี กั ษณะขอ้ ต่อไปท่คี ลา้ ยๆ กบั หลกั อนตั ตานนั่ เอง คือการ มที ศั นคติท่มี องเหน็ ส่งิ ทง้ั หลายตามความสมั พนั ธแ์ ห่งเหตุปจั จยั ไดพ้ ูดแลว้ ว่าหลกั อนตั ตานนั้ โยงมาหาหลกั ความเป็นไปตามเหตุปจั จยั ส่งิ ทง้ั หลายไม่มอี ยู่โดยลำ� พงั ตนแต่องิ อาศยั ซ่งึ กนั และกนั เป็นไปตามเหตุปจั จยั หลกั น้ีเขาว่าคลา้ ย ๆ กบั หลกั สมั พทั ธภาพ (relativity) ในพระพทุ ธศาสนาหลกั น้ีก็คืออิทปั ปจั จยตา หรือ ปฏจิ จสมปุ บาทนนั่ เองหลกั ความสมั พนั ธห์ รือความเป็นไปตามเหตุปจั จยั น้ีเป็นหลกั สำ� คญั ของวปิ สั สนาดว้ ย การปฏิบตั ิใหป้ ญั ญาเห็นแจง้ เกิดเป็นวปิ สั สนานน้ั จะทำ� ใหม้ องเห็นความเป็นไปตามเหตุปจั จยั น้ี และหลกั ปฏจิ จสมปุ บาทหรอื อทิ ปั ปจั จยตาน้ีกเ็ ป็นภมู ธิ รรมของวปิ สั สนา ท่านเรยี กวา่ วปิ สั สนาภมู ิ ประการหน่ึงหลกั ธรรม ทงั้ หลายนน้ั สมั พนั ธซ์ ง่ึ กนั และกนั เช่น ขนั ธ์ ๕ เมอ่ื วเิ คราะหแ์ ยกแยะองคป์ ระกอบออกไป ก็ทำ� ใหเ้หน็ ความ เป็นไปตามเหตปุ จั จยั และรูว้ า่ ขนั ธ์ ๕ นน้ั กเ็ ป็นไปตามหลกั อทิ ปั ปจั จยตาน้ีเอง หลกั ความสมั พนั ธท์ เ่ี ป็นไปตาม เหตปุ จั จยั น้ีแหละ เป็นหลกั ทแ่ี สดงลกั ษณะสำ� คญั อย่างหน่ึงของพระพทุ ธศาสนา ถงึ ขนั้ ทพ่ี ระพทุ ธเจา้ เคยตรสั วา่ 01. - 1 (1-29).indd 10 5/10/2022 12:55:17 PM

บทท่ี ๑ ความสำ� คญั และลกั ษณะเด่นของพระพทุ ธศาสนา 11 การเหน็ ปฏจิ จสมปุ บาทนนั้ แหละ คอื การเหน็ ธรรมตามพระพทุ ธพจนท์ ว่ี า่ ผูใ้ ดเหน็ ปฏจิ จสมปุ บาท ผูน้ นั้ เหน็ ธรรม ผูใ้ ดเหน็ ธรรม ผูน้ นั้ เหน็ ปฏจิ จสมปุ บาท7 สรปุ ลกั ษณะเดน่ ของพทุ ธศาสนาทส่ี ำ� คญั คอื ไมม่ พี ระผเู ้ป็นเจา้ และไมม่ กี ารบงั คบั ศรทั ธา แตพ่ ทุ ธศาสนกิ ชน บางคนยงั ไมเ่ ขา้ ใจในศาสนาพทุ ธอย่างถอ่ งแท้ เอาแต่ออ้ นวอนสง่ิ ศกั ด์สิ ทิ ธ์ศิ าสนาพทุ ธ เป็นศาสนาทเ่ี กดิ ในยุคท่ี สงั คมอนิ เดยี มสี ภาพการณห์ ลายอย่างทว่ี ุน่ วาย เช่น มกี ารแบง่ แยกกดขท่ี างชนชน้ั วรรณะของศาสนาพราหมณ-์ ฮนิ ดู มคี วามเหลอ่ื มลำ�้ ทางสงั คมทช่ี ดั เจนถอื ชนั้ วรรณะอย่างเขม้ งวด มคี วามแตกต่างกนั ทางฐานะอย่างมากมาย (มที ง้ั เศรษฐมี หาศาลและคนยากขาดแคลน) และลทั ธคิ วามเช่อื ศาสดา อาจารยเ์ กดิ ข้นึ มากมายทส่ี อนหลกั การ ยดึ ถอื ปฏบิ ตั อิ ยา่ งผดิ พลาดหรอื สดุ โต่ง เช่น การใชส้ ตั วเ์ ป็นจำ� นวนมากเพอ่ื บวงสรวงบชู ายญั  การบำ� เพญ็ ทกุ รกริ ยิ า ของนกั บวชบางพวก การปลอ่ ยชวี ติ ใหเ้ป็นไปโดยไมแ่ กไ้ ขถอื วา่ เป็นพระประสงคข์ องพระเจา้ รวมถงึ การกดี กนั ไมใ่ หค้ นบางพวกบางกลมุ่ เขา้ ถงึ หลกั การ หลกั คำ� สอนของตนได้ เน่ืองจากขอ้ จำ� กดั ของชาตกิ ำ� เนิด ฐานะ เพศ เป็นตน้ แต่พทุ ธศาสนาเปิดโอกาสใหท้ ุกคนเขา้ ถงึ เป้าหมายสูงสุดไดเ้ สมอกนั โดยไม่แบ่งแยกตามชนั้ วรรณะ จงึ เสมอื นนำ�้ ทพิ ยช์ โลมสงั คมอนิ เดยี โบราณใหข้ าวสะอาดมากกว่าเดมิ คำ� สอนของพทุ ธศาสนาทำ� ใหส้ งั คมโดย ทวั่ ไปสงบร่มเยน็ ๑.๔ หลกั ธรรมสำ� คญั ในพระพทุ ธศาสนา หลกั ธรรมในพระพทุ ธศาสนามมี ากมายกว่า ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขนั ธใ์ นส่วนน้ีจะกล่าวถงึ หลกั ธรรม สำ� คญั ทน่ี กั เผยแผ่ใชช้ ่วยเป็นสารสอ่ื ในการเผยแผ่พระพทุ ธศาสนา คือ หลกั ปฏจิ จสมปุ บาท หลกั อริยสจั ๔ หลกั ไตรลกั ษณ์ หลกั สงั สารวฏั หลกั กรรม หลกั ขนั ธ์ ๕ และหลกั มรรค ๘ ดงั จะไดอ้ ธบิ ายต่อไปน้ี ๑.๔.๑ หลกั การของปฏจิ จสมปุ บาท ปฏจิ จสมปุ บาทนนั้ ทพ่ี ระผูม้ พี ระภาคเจา้ ตรสั ไว้ โดยระบเุ ป็นหวั ขอ้ ธรรมฝ่ายเกดิ จดั เป็นสมทุ ยั วารหรอื โดยอนุโลมนยั 8 พระผูม้ พี ระภาคทรงมนสกิ ารปฏจิ จสมปุ บาทในคราวแรกตรสั รูท้ งั้ อนุโลมและปฏโิ ลมตลอด ปฐมยาม มชั ฌมิ ยาม และปจั ฉิมยามแห่งราตรี ตามลำ� ดบั วา่ พระพทุ ธเจา้ ทรงมนสกิ ารปฏจิ จสมปุ บาทโดยอนุโลม วา่ เพราะอวชิ ชา เป็นปจั จยั สงั ขารจงึ มี เพราะสงั ขาร เป็นปจั จยั วญิ ญาณจงึ มี เพราะวญิ ญาณ เป็นปจั จยั นามรูปจงึ มี เพราะนามรูป เป็นปจั จยั สฬายตนะจงึ มี 7 พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตโฺ ต), ความสำ� คญั ของพระพทุ ธศาสนาในฐานะศาสนาประจำ� ชาต,ิ พมิ พค์ รงั้ ท่ี ๑๐ ,(กรงุ เทพ- มหานคร : ธรรมสภาและสถาบนั บนั ลอื ธรรม,๒๕๔๓), หนา้ ๑๑๕-๑๒๐. 8 ส.ํ นิ. (ไทย) ๑๖/๑/๑-๓. 01. - 1 (1-29).indd 11 5/10/2022 12:55:17 PM

12 ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา เพราะสฬายตนะ เป็นปจั จยั ผสั สะจงึ มี เพราะผสั สะ เป็นปจั จยั เวทนาจงึ มี เพราะเวทนา เป็นปจั จยั ตณั หาจงึ มี เพราะตณั หา เป็นปจั จยั อปุ าทานจงึ มี เพราะอปุ าทาน เป็นปจั จยั ภพจงึ มี เพราะภพ เป็นปจั จยั ชาตจิ งึ มี เพราะชาต ิ เป็นปจั จยั ชรา มรณะ โสกะ ปรเิ ทวะ ทกุ ขะ โทมนสั อปุ ายาสจงึ มกี องทกุ ข์ ส่วนปฏจิ จสมปุ บาท ทง้ั ฝ่ายเกดิ ทงั้ ฝ่ายดบั เมอ่ื จดั เป็นองคธ์ รรม มี ๑๒ ประการ9 ทงั้ มวลน้ีมกี ารเกดิ ข้นึ ดว้ ยอาการอย่างน้ีพระพทุ ธเจา้ ทรงมนสกิ ารปฏจิ จสมปุ บาทโดยปฏโิ ลมวา่ เพราะอวชิ ชาดบั ไปไมเ่ หลอื ดว้ ยวริ าคะ สงั ขารจงึ ดบั เพราะสงั ขารดบั วญิ ญาณจงึ ดบั เพราะวญิ ญาณดบั นามรูปจงึ ดบั เพราะนามรูปดบั สฬายตนะจงึ ดบั เพราะสฬายตนะดบั ผสั สะจงึ ดบั เพราะผสั สะดบั เวทนาจงึ ดบั เพราะเวทนาดบั ตณั หาจงึ ดบั เพราะตณั หาดบั อปุ าทานจงึ ดบั เพราะอปุ าทานดบั ภพจงึ ดบั เพราะภพดบั ชาตจิ งึ ดบั เพราะชาตดิ บั ชรา มรณะ โสกะ ปรเิ ทวะ ทกุ ขะ โทมนสั อปุ ายาสจงึ ดบั กองทกุ ขท์ ง้ั มวลน้ี มกี ารดบั ดว้ ยอาการอย่างน้ี พระผูม้ ีพระภาคทรงทราบทรงเปล่งอุทานในปฐมยามหลงั จากพิจารณาปฏิจจสมุปบาทว่าเม่ือใด ธรรมทงั้ หลายปรากฏแก่พราหมณผ์ ูม้ คี วามเพยี รเพ่งอยู่ เมอ่ื นนั้ ความสงสยั ทงั้ ปวงของพราหมณน์ นั้ ย่อมส้นิ ไป เพราะมารูธ้ รรมพรอ้ มทงั้ เหตุ ทรงเปลง่ อทุ านในมชั ฌมิ ยามหลงั จากทรงพจิ ารณาปฏจิ จสมปุ บาทอกี ว่า เมอ่ื ใด ธรรมทงั้ หลายปรากฏแก่พราหมณผ์ ูม้ คี วามเพยี รเพ่งอยู่ เมอ่ื นนั้ ความสงสยั ทง้ั ปวงของพราหมณน์ นั้ ย่อมส้นิ ไป เพราะไดร้ ูค้ วามส้นิ ไปแห่งปจั จยั ทง้ั หลาย และในปจั ฉิมยามนน้ั เมอ่ื พระผูม้ พี ระภาคทรงพจิ ารณาปฏจิ จสมปุ บาท โดยอนุโลมและปฏโิ ลมตลอดปจั ฉิมยามแห่งราตรจี งึ ทรงเปลง่ อทุ านวา่ เมอ่ื ใดธรรมทงั้ หลายปรากฏแก่พราหมณ์ ผูม้ คี วามเพยี รเพง่ อยู่ เมอ่ื นน้ั พราหมณน์ นั้ ย่อมกำ� จดั มารและเสนาเสยี ไดด้ ุจพระอาทติ ยอ์ ทุ ยั ข้นึ สาดส่องทอ้ งฟ้า ใหส้ วา่ งไสว ฉะนนั้ 9 ส.ํ นิ. (ไทย) ๑๖/๒/๔-๘. 01. - 1 (1-29).indd 12 5/10/2022 12:55:17 PM

บทท่ี ๑ ความสำ� คญั และลกั ษณะเด่นของพระพทุ ธศาสนา 13 สรุป ปฏจิ จสมปุ บาทเป็นหลกั ธรรมหน่ึงทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ทรงตรสั รู้โดยแบง่ เป็นสองสายดว้ ยกนั คอื สายเกดิ และสายดบั สายเกดิ นน้ั เมอ่ื สง่ิ น้ีมสี ง่ิ น้ีจงึ มเี ป็นเหตทุ เ่ี ก่ยี วเน่ืองกนั ส่วนสายดบั เมอ่ื สง่ิ น้ีดบั สง่ิ น้ีจงึ ดบั เมอ่ื เรา พจิ ารณาเหน็ ถงึ ความเป็นจรงิ อย่างน้ีแลว้ เราควรทจ่ี ะละในความยดึ มนั่ ถอื มนั่ วา่ สง่ิ น้ีเป็นของเรานนั่ เป็นของเรา แต่เมอ่ื ถงึ เวลาท่จี ะตอ้ งตายจากโลกน้ีไปแทจ้ ริงแลว้ ส่งิ ทงั้ ปวงท่เี รายดึ มนั่ ว่ามวี ่าเป็นของเรานนั้ กลบั ไม่มเี หลอื อยู่เลย จะเหลอื ไวเ้พยี งสง่ิ ทเ่ี ป็นเพยี งกศุ ลและอกศุ ลเท่านนั้ ทจ่ี ะตดิ ตามตวั เราไปในภพหนา้ ได้ ๑.๔.๒ อรยิ สจั ๔ อรยิ สจั คอื ความจรงิ อนั ประเสรฐิ เป็นธรรมะทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ตรสั รูแ้ ละทรงแสดงคอื ทกุ ข์ สมทุ ยั นิโรธ มรรค ดงั จะไดอ้ ธบิ ายต่อไปน้ี ๑. ธรรมทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ตรสั รู้ คอื อรยิ สจั ๔ ดงั ทพ่ี ระองคต์ รสั วา่ “ภกิ ษุทงั้ หลาย อรยิ สจั ๔ ประการ คือ ทกุ ขอริยสจั สมทุ ยั อริยสจั ทกุ ขนิโรธอริยสจั ทกุ ขนิโรธคามนิ ีปฏปิ ทาอริยสจั เพราะเรารูแ้ จง้ อริยสจั ๔ ประการน้ี ตามความเป็นจรงิ ชาวโลกจงึ เรยี กตถาคตวา่ พระอรหนั ตสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ” ๒. พระพทุ ธองค์ ทรงขยายความอรยิ สจั ๔ ประการไวใ้ นธมั มจกั กปั ปวตั ตนสูตรทท่ี รงแสดงแก่นกั บวช ปญั จวคั คียว์ ่าทุกขอริยสจั คือ ความเกิดเป็นทุกข์ ความแก่เป็นทุกข์ ความเจ็บเป็นทุกข์ ความตายเป็นทุกข์ ความประสบกบั สง่ิ ไมเ่ ป็นทร่ี กั เป็นทกุ ข์ ความพลดั พรากจากสง่ิ เป็นทร่ี กั เป็นทกุ ข์ ความไมไ่ ดส้ ง่ิ ทต่ี นปรารถนา เป็นทกุ ข์ วา่ โดยย่อ ความยดึ มนั่ ขนั ธ์ ๕ เป็นทกุ ข์ ทกุ ขสมทุ ยั อรยิ สจั คอื ตณั หาอนั นำ� ไปเกดิ อกี เป็นความเพลดิ เพลนิ และความกำ� หนดั ทำ� ใหเ้พลดิ เพลนิ ในอารมณน์ น้ั ๆ ไดแ้ ก่ กามตณั หา ภวตณั หา วภิ วตณั หา ทุกขนิโรธอริยสจั คือ ความท่ตี ณั หาดบั ไปอย่างไม่มเี หลอื ดว้ ยวริ าคะ ความสละ ความสลดั ท้งิ ความพน้ ความไมอ่ าลยั ในตณั หา ทกุ ขนิโรธคามนิ ีปฏปิ ทาอรยิ สจั คอื อรยิ มรรคมอี งค์ ๘ ประการ ไดแ้ ก่ สมั มาทฏิ ฐิ สมั มาสงั กปั ปะ สมั มาวาจา สมั มากมั มนั ตะ สมั มาอาชวี ะ สมั มาวายามะ สมั มาสติ สมั มาสมาธิ ๓. ธรรมะทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ตรสั รูม้ มี าก ดจุ ใบไมท้ ง้ั หมดทม่ี อี ยู่ในป่า แต่ทท่ี รงนำ� มาสอนเพยี งกำ� มอื เดยี ว ดงั เร่อื งทพ่ี ระองคท์ รงหยบิ ใบประดู่ลายข้นึ มาแลว้ ตรสั กบั ภกิ ษุทง้ั หลายสรุปความไดว้ ่า “ธรรมทพ่ี ระองคท์ รงรู้ มมี าก เหมอื นใบประดู่ลายทม่ี ใี นป่าประดู่ลาย ซง่ึ พระองคไ์ มท่ รงนำ� มาสอน เพราะไมม่ ปี ระโยชน์ ไมน่ ำ� ไปสู่ความ พน้ ทกุ ข์ ส่วนธรรมทท่ี รงนำ� มาสอนคอื เร่อื งทกุ ข์ เร่อื งทกุ ขสมทุ ยั เร่อื งทกุ ขนิโรธ เร่อื งทกุ ขนิโรธคามนิ ีปฏปิ ทา ซง่ึ มปี ระโยชน์ นำ� ไปสู่ความพน้ ทกุ ข”์ หมายความวา่ ธรรมทท่ี รงนำ� มาสอนเท่ากบั ใบไมก้ ำ� มอื เดยี ว10 สรุปอรยิ สจั ๔ เป็นหลกั ธรรมทแ่ี สดงเหตแุ ละผลของสง่ิ ทเ่ี กดิ ข้นึ รอบตวั เรา หลงั จากทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ไดท้ รง ตรสั รูแ้ ลว้ ทรงทบทวนเพอ่ื ทจ่ี ะนำ� ไปแสดงแก่บคุ คลทต่ี อ้ งการบรรลธุ รรมทง้ั หลายใหเ้ขา้ ใจในเหตแุ หง่ การเกดิ ทกุ ข์ 10 อภ.ิ ว.ิ อ. (ไทย) ๓๕/๒๐๖-๒๑๔/๑๓๐-๑๓๑. 01. - 1 (1-29).indd 13 5/10/2022 12:55:17 PM

14 ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา (ควรรู)้ สมทุ ยั (ควรละ) นิโรธ (ควรทำ� ใหแ้ จง้ ) มรรค (ควรเจรญิ ) และใชเ้ป็นหนทางในการดบั ทกุ ขน์ น้ั ดว้ ยหลกั อรยิ สจั ๔ ประการดงั กลา่ ว ๑.๔.๓ ไตรลกั ษณ์ ไตรลกั ษณ์ คือลกั ษณะของการเปล่ียนแปลงของทุกส่ิงในโลกหรือลกั ษณะ ๓ ประการ (Three characteristics) คอื อนิจจงั ทกุ ขงั อนตั ตา เป็นลกั ษณะทเ่ี ป็นสากลของสง่ิ ทงั้ หลาย เพราะสง่ิ ทง้ั หลายทง้ั หมด ในจกั รวาลน้ี ทงั้ ทเ่ี ป็นรูปธรรมนามธรรมย่อมประกอบดว้ ยลกั ษณะทง้ั ๓ ประการ หรอื กลา่ วอกี นยั หน่ึงลกั ษณะ ทงั้ ๓ ประการน้ี เป็นลกั ษณะของสงั ขตธรรมทงั้ ส้นิ แต่ละลกั ษณะจะมคี วามเก่ียวขอ้ งกนั เม่อื รูล้ กั ษณะใด ลกั ษณะหน่งึ กจ็ ะสามารถทจ่ี ะเชอ่ื มโยงสาวไปยงั ลกั ษณะอน่ื ไดอ้ กี เพอ่ื อธบิ ายใหล้ กึ ซ้งึ ยง่ิ ข้นึ ไป ตามแนวหลกั วชิ า ทม่ี หี ลกั ฐานอยู่ในคมั ภรี ต์ ่าง ๆ ดงั น้ี ๑. อนิจจตา (Impermanence) ความไม่เท่ยี ง ความไม่คงท่ี ความไม่ยงั่ ยนื ภาวะท่เี กิดข้นึ แลว้ เสอ่ื มและสลายไป ๒. ทกุ ขตา (Stress and Conflict) ความเป็นทกุ ข์ กลา่ วคอื ภาวะทถ่ี กู บบี คนั้ ดว้ ยการเกดิ ข้นึ และ สลายตวั ภาวะทก่ี ดดนั ฝืนและขดั แยง้ อยู่ในตวั เพราะปจั จยั ปรุ่งแต่งใหม้ สี ภาพเป็นอย่างนนั้ เปลย่ี นแปลงไปทำ� ให้ คงอยู่ในสภาพนนั้ ไม่ได้ ภาวะทไ่ี ม่สมบูรณ์มคี วามบกพร่องอยู่ในตวั ไม่ใหค้ วามสมอยากทแ่ี ทจ้ รงิ หรอื ความ พงึ พอใจเตม็ ทแ่ี ก่ผูอ้ ยากดว้ ยตณั หาและก่อใหเ้กดิ ทกุ ขแ์ ก่ผูเ้ขา้ ไปอยากเขา้ ไปยดึ ดว้ ยตณั หาอปุ าทาน ๓. อนตั ตตา (Soullessness หรอื Non­ Self) ความเป็นอนตั ตา ความไมใ่ ช่ตวั ตน ความไมม่ ตี วั ตน ทแ่ี ทจ้ รงิ ของมนั 11 สงั ขารทง้ั ปวงไม่เท่ยี ง เรียกตามคำ� บาลวี ่า อนิจจ์ หรืออนิจจะ แต่ในภาษาไทยนิยมใชค้ ำ� ว่าอนิจจงั , ความไมเ่ ทย่ี ง ความเป็นสง่ิ ไมเ่ ทย่ี ง หรอื ภาวะทเ่ี ป็นอนิจจห์ รอื อนจิ จงั นนั้ เรยี กเป็นคำ� ศพั ทต์ ามบาลวี า่ อนจิ จตา, ลกั ษณะทแ่ี สดงถงึ ความไมเ่ ทย่ี ง เรยี กเป็นศพั ทว์ า่ อนิจจลกั ษณะ สงั ขารทงั้ หลายเป็นทกุ ข์ ในภาษาไทย บางทใี ชอ้ ย่างภาษาพดู วา่ ทกุ ขงั , ความเป็นทกุ ข์ ความเป็นของคงทน อยูม่ ไิ ด้ความเป็นสภาวะมคี วามบบี คนั้ ขดั แยง้ หรอื ภาวะเป็นทกุ ขน์ น้ั เรยี กเป็นคำ� ศพั ทต์ ามบาลวี า่ ทกุ ขตา, ลกั ษณะ ทแ่ี สดงถงึ ความเป็นทกุ ข์ เรยี กเป็นศพั ทว์ า่ ทกุ ขลกั ษณะ ธรรมทง้ั ปวง เป็นอนตั ตาความเป็นอนตั ตา ความเป็นของไมใ่ ช่ตวั ตน หรอื ภาวะทเ่ี ป็นอนตั ตานน้ั เลอื กเป็น คำ� ศพั ทต์ ามบาลวี า่ อนตั ตตา, ลกั ษณะทแ่ี สดงถงึ ความเป็นอนตั ตา เรยี กเป็นคำ� ศพั ทว์ า่ อนตั ตลกั ษณะ12 ๑. ประโยชนข์ องการเรียนรูเ้ ร่ืองไตรลกั ษณ์ ประโยชนข์ องการเรียนรูเ้ ร่ืองอนิจจงั เม่อื ไดเ้ รียนรู้ ความไมเ่ ทย่ี งของสง่ิ ทงั้ ปวงแลว้ จะไดป้ ระโยชนห์ ลายประการ ดงั น้ี 11 พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตโฺ ต), พทุ ธธรรม, (กรุงเทพมหานคร : มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๖), หนา้ ๖๘. 12 ส.ํ ข. (ไทย) ๑๗/๑๒๗-๑๒๙/๘๒-๘๔. 01. - 1 (1-29).indd 14 5/10/2022 12:55:17 PM

บทท่ี ๑ ความสำ� คญั และลกั ษณะเด่นของพระพทุ ธศาสนา 15 ๑.๑ ความไม่ประมาท ทำ� ใหค้ นไม่ประมาทมวั เมาในวยั รุ่นว่ายงั หนุ่มสาว ในความไม่มโี รคและ ในชีวติ เพราะความตายอาจมาถงึ เมอ่ื ไรก็ไดไ้ ม่แน่นอน ทำ� ใหไ้ ม่ประมาทในทรพั ยส์ นิ เพราะคนมที รพั ยม์ าก อาจกลบั เป็นคนจนไดท้ ำ� ใหไ้ มด่ ูหมน่ิ ผูอ้ น่ื เพราะผูท้ ไ่ี รท้ รพั ย์ ไรย้ ศ ตำ�่ ตอ้ ยกวา่ ภายหนา้ อาจมที รพั ยม์ ยี ศและ เจรญิ รุ่งเรอื งกวา่ กไ็ ด้เมอ่ื คดิ ไดด้ งั น้ี จะทำ� ใหส้ ำ� รวมตนอ่อนนอ้ มถอ่ มตนไมย่ โสโอหงั วางทา่ ใหญ่โตยกตนขม่ ทา่ น ๑.๒ ทำ� ใหเ้กดิ ความพยายามเพอ่ื ทจ่ี ะกา้ วไปขา้ งหนา้ เพราะรูว้ า่ ถา้ เราพยายามกา้ วไปขา้ งหนา้ แลว้ ชวี ติ ย่อมเปลย่ี นแปลงไปในทางทด่ี ี ๑.๓ ความไมเ่ ทย่ี งแทท้ ำ� ใหร้ ูส้ ภาพการเปลย่ี นแปลงของชวี ติ เมอ่ื ประสบกบั สง่ิ ไมพ่ อใจ กไ็ มส่ ้นิ หวงั และเป็นทกุ ขไ์ มป่ ลอ่ ยตนไปตามเหตกุ ารณน์ น้ั ๆ จนเกนิ ไปพยายามหาทางหลกี เลย่ี งสง่ิ ทไ่ี มด่ ี ๒. ประโยชนข์ องการเรยี นรูเ้รอ่ื งทกุ ขงั เมอ่ื ผูใ้ ดไดเ้รยี นรูเ้รอ่ื งความทกุ ขแ์ ลว้ จะรูว้ า่ ความทกุ ขเ์ ป็นของ ธรรมดาประจำ� โลกอย่างหน่ึงซง่ึ ใคร ๆ จะหลกี เลย่ี งไดย้ ากต่างกนั กแ็ ต่เพยี งรูปแบบของความทกุ ขน์ นั้ เมอ่ื ความ ทกุ ขเ์ กดิ ข้นึ แก่ชวี ติ ผูม้ ปี ญั ญาตรองเหน็ ความจรงิ วา่ ความทกุ ขเ์ ป็นสจั ธรรมอย่างหน่ึงของชวี ติ ชวี ติ ย่อมระคน ดว้ ยความทกุ ขเ์ ป็นธรรมดา เมอ่ื เหน็ เป็นธรรมดาแลว้ ความยดึ มนั่ ก็มนี อ้ ยความทกุ ขส์ ามารถลดลงไดห้ รืออาจ หายไปเพราะไมม่ คี วามยดึ มนั่ ความสุขทเ่ี กดิ จากการปลอ่ ยวางย่อมเป็นสุขอนั บรสิ ุทธ์ิ ๓. ประโยชนข์ องการเรียนรูเ้ ร่ืองอนตั ตา การเรียนรูเ้ ร่ืองอนตั ตาทำ� ใหเ้ รารูค้ วามจริงของส่งิ ทง้ั ปวง ไมต่ อ้ งถกู หลอกลวงจะทำ� ใหค้ ลายตณั หา มานะ ทฏิ ฐทิ ำ� ใหไ้ มย่ ดึ มนั่ เบากาย เบาใจ เพราะเร่อื งอนตั ตาสอนใหเ้รา รูว้ ่า สงั ขารทง้ั ปวงเป็นไปเพอ่ื อาพาธ ฝืนความปรารถนา บงั คบั บญั ชาไม่ไดอ้ ย่างนอ้ ยท่สี ุดเราจะตอ้ งยอมรบั ความจรงิ อย่างหน่ึงวา่ ตวั เราเองจะตอ้ งพบกบั ธรรมชาติ จากความแก่ชราและความตายจากครอบครวั และญาติ พน่ี อ้ งตลอดจนทกุ สง่ิ ทกุ อย่าง สรุป เร่อื งความไมเ่ ทย่ี งของสรรพสง่ิ ทง้ั หลายนนั้ เคยมสี อนอยู่ก่อนพระพทุ ธเจา้ แต่ไมไ่ ดข้ ยายความให้ ลกึ ซ้งึ เหมอื นพระพทุ ธองค์ เรอ่ื งความทกุ ขก์ เ็ หมอื นกนั มกี ารสอนมาแลว้ แต่ไมล่ กึ ซ้งึ ถงึ ทส่ี ดุ ไมป่ ระกอบดว้ ยเหตผุ ล และไม่สามารถช้วี ธิ ีดบั ทุกขท์ ่สี มบูรณ์จริง ๆ ไดเ้ พราะยงั ไม่รูจ้ กั ความทุกขอ์ ย่างเพยี งพอเท่ากบั การตรสั รูข้ อง พระพทุ ธเจา้ ส่วนเร่อื งความไมใ่ ช่ตวั ตนน้ี มสี อนเฉพาะในพระพทุ ธศาสนาเท่านน้ั ขอ้ น้ีเป็นเคร่อื งแสดงใหเ้หน็ วา่ ผูท้ ร่ี ูจ้ กั วา่ อะไรเป็นอะไรถงึ ทส่ี ุดเท่านน้ั ทร่ี ูจ้ กั วา่ อะไรเป็นอะไรถงึ ทส่ี ุดเท่านนั้ จงึ จะรูไ้ ดว้ า่ สง่ิ ทงั้ หลายทงั้ ปวงไมใ่ ช่ ตวั ตนไมใ่ ช่ของตน เหตนุ น้ั จงึ มสี อนแต่โดยพระพทุ ธเจา้ ซง่ึ เป็นผูร้ ูแ้ จง้ ในอะไรเป็นอะไรไดอ้ ย่างถงึ ทส่ี ุด ๑.๔.๔ สงั สารวฏั คำ� วา่ สงั สารวฏั คอื วงั วนแห่งการเวยี นเกดิ เวยี นตายการเวยี นวา่ ยตายเกดิ อยู่ในโลกหรอื ภพภมู ติ ่าง ๆ โดยใจความไดแ้ ก่สงั สาระนนั่ เอง13 สงั สารวฏั คอื การท่องเทย่ี วไปเป็นวงกลม ไดแ้ ก่ เกดิ แลว้ ตายแลว้ เกดิ ใหม่ 13 พระพรหมคณุ าภรณ์ (ป.อ.ปยุตโฺ ต), พจนานุกรมพทุ ธศาสน์ ฉบบั ประมวลศพั ท,์ พมิ พค์ รงั้ ท่ี ๑๒, (กรุงเทพมหานคร: โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๕๑), หนา้ ๔๔๑. 01. - 1 (1-29).indd 15 5/10/2022 12:55:18 PM

16 ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา แลว้ ตายอกี แลว้ เกิดใหม่อกี วนเวยี นอยู่อย่างน้ีอย่างไม่มวี นั จบส้นิ ดว้ ยอำ� นาจของโลภะ โทสะ โมหะเป็นเหตุ และดงั พทุ ธพจนว์ ่า ภกิ ษุทง้ั หลายสงสารน้ีกำ� หนดท่สี ุดเบ้อื งตน้ เบ้อื งปลายไม่ได้ เมอ่ื เหล่าสตั วผ์ ูม้ อี วชิ ชาเป็น เคร่อื งขวางกน้ั มตี ณั หาเป็นเคร่อื งประกอบไวท้ ่องเทย่ี วไปมาอยู่ทส่ี ุดเบ้อื งตน้ ไมป่ รากฏ มี ๓ ประการ คอื กเิ ลส กรรม วบิ าก14 ๑) กเิ ลส เป็นธรรมชาตฝิ ่ายอกศุ ลทม่ี ี โลภะ โทสะ โมหะ ประกอบกบั จติ มอี ยู่ในสนั ดานของปถุ ชุ น ทกุ คนทำ� ใหจ้ ติ เสอ่ื มทรามชกั จูงใหท้ ำ� ความชวั่ ต่าง ๆ มวี เิ คราะหว์ า่ กเิ ลเสนติ อปุ ตาเปนฺตตี ิ กเิ ลสา ธรรมชาตใิ ด ย่อมทำ� ใหเ้ศรา้ หมองเร่ารอ้ น ธรรมชาตนิ นั้ ช่อื ว่ากเิ ลสและยงั มอี นุสยั กเิ ลสทล่ี ะเอยี ดกว่าซ่อนเรน้ อยู่เป็นประจำ� ในขนั ธสนั ดานของบคุ คล ไมแ่ สดงออกมาใหป้ รากฏทางทวารใดเลย15 ต่อเมอ่ื มอี ารมณม์ ากระทบ อนุสยั กเิ ลส ทน่ี อนน่งิ อยู่นน้ั กจ็ ะแปรสภาพเป็นปรยิ ุฏฐานกเิ ลส เกดิ ความยนิ ดยี นิ รา้ ยต่ออารมณน์ นั้ และถา้ ปรยิ ุฏฐานกเิ ลสนน้ั มกี ำ� ลงั มากข้นึ กจ็ ะแปรสภาพเป็นวตี กิ กมกเิ ลส เกดิ เป็นกเิ ลสอย่างหยาบปรากฏข้นึ เป็นการกระทำ� ทแ่ี สดงออกทาง กายและวาจา” ๒) กรรม เป็นการกระทำ� ของบคุ คลทย่ี งั มกี เิ ลสตณั หา ดงั ทพ่ี ระผูม้ พี ระภาคตรสั วา่ ตณั หาทำ� คนให้ เกิดอกี จติ ของคนนนั้ ย่อมพล่านไปเวยี นว่ายในวฏั ฏสงสาร กรรมเป็นท่ไี ปในเบ้อื งหนา้ ของสตั ว์ สตั วท์ ง้ั ปวง จกั ตอ้ งตายเพราะชวี ติ มคี วามตายเป็นทส่ี ุด สตั วท์ งั้ หลายจกั เป็นไปตามกรรม เขา้ ถงึ ผลบญุ และบาป คอื ผูท้ ำ� บาป จกั ไปนรกสว่ นผูท้ ำ� บญุ จกั ไปสวรรค์ ฉะนน้ั บคุ คลควรทำ� กรรมดสี ะสมไวเ้ป็นสมบตั ใิ นโลกหนา้ เพราะบญุ เป็นทพ่ี ง่ึ ของสตั วท์ ง้ั หลายในโลกหนา้ 16 ๓) วบิ าก คอื ผลแห่งกรรมผลโดยตรงของกรรมผลดผี ลรา้ ยทเ่ี กดิ แก่ตน คอื เกดิ ข้นึ ในกระแสสบื ต่อ แห่งชวี ติ ของตน (ชวี ติ สนั ตต)ิ อนั เป็นไปตามกรรมดกี รรมชวั่ ทต่ี นทำ� ไว้ คอื ผลดเี กดิ จากกรรมดผี ลชวั่ เกดิ จาก กรรมชวั่ เพราะกรรมดยี ่อมใหผ้ ลดี กรรมชวั่ ย่อมใหผ้ ลชวั่ เสมอไม่สบั สนกนั เหมอื นอย่างตน้ มะม่วงใหผ้ ลเป็น มะมว่ งตน้ ขนุนใหผ้ ลเป็นขนุนเป็นไปตามชนดิ 17 สรุป คำ� สอนเร่ืองสงั สารวฏั ผูกโยงกบั ภพและกาลเวลาอนั ยาวนานโดยมอี วชิ ชา ตณั หา อุปาทานเป็น เคร่อื งผูกมดั อน่ึงคำ� สอนเร่อื งสงั สารวฏั ในระพทุ ธศาสนามคี ำ� เรยี กอยู่หลายคำ� เช่น ไตรวฏั ฏะและวฏั ฏะ ๓ คอื องคป์ ระกอบทห่ี มนุ เวยี นต่อเน่ืองของภวจกั ร หรอื สงั สารจกั ร สงั สารวฏั คอื การเวยี นวา่ ยตายเกดิ ของสตั วโ์ ลก ทง้ั หลายวนเวยี นอยู่ในวฏั ฏะทไ่ี ม่รูจ้ บส้นิ จงึ มคี วามสำ� คญั กบั การดำ� เนินชวี ติ ของมนุษยแ์ ละสตั วโ์ ลกทง้ั หลาย สงั สารวฏั คือหลกั ธรรมท่ีเก่ียวขอ้ งกบั กิเลส กรรม วบิ ากเป็นสมฏุ ฐานในการทำ� ดีทำ� ชวั่ ทงั้ ในอดีต ปจั จุบนั 14 ส.ํ น.ิ (ไทย) ๑๖/๑๒๙/๒๑๕. 15 ข.ุ อ.ุ อ. (ไทย) ๔๔/๓๖๓/๓๒๔. 16 ส.ํ ส. (ไทย) ๑๕/๑๓๓/๑๖๖. 17 สมเดจ็ พระญาณสงั วรสมเดจ็ พระสงั ฆราช (เจรญิ สุวฑฒฺ โน), หลกั กรรมในพระพทุ ธศาสนา,พมิ พค์ รง้ั ท่ี ๖, (กรุงเทพ- มหานคร : โรงพมิ พม์ หามกฎุ ราชวทิ ยาลยั ,๒๕๕๗), หนา้ ๑๗. 01. - 1 (1-29).indd 16 5/10/2022 12:55:18 PM

บทท่ี ๑ ความสำ� คญั และลกั ษณะเด่นของพระพทุ ธศาสนา 17 อนาคต เม่อื เป็นดงั น้ีแลว้ ผูท้ ่ตี อ้ งการจะพน้ จากสงั สารวฏั จึงตอ้ งพฒั นาตวั เองใหพ้ น้ จากกฎเกณฑด์ งั กล่าว ดว้ ยการดำ� เนนิ ชวี ติ ดว้ ยการรูอ้ รยิ สจั ๔นนั่ เองจะทำ� ใหเ้รารูจ้ กั เหตแุ ห่งทกุ ขแ์ ละหนทางในการดบั ทกุ ขด์ ว้ ย ๑.๔.๕ กรรม กรรมตามหลกั คำ� สอนของพระพทุ ธศาสนา คือ การกระทำ� ท่ที ำ� ดว้ ยเจตนา อนั มพี ้นื ฐานมาจากกิเลส แสดงออกทางกาย วาจา ทง้ั ใจ มที ง้ั กรรมดแี ละกรรมชวั่ ส่งผลต่อผูก้ ระทำ� กรรม สาเหตแุ ห่งกรรมเกดิ จากทกั ษะ ซ่งึ เร่ิมตน้ ท่ใี จเกิดการนึกคิดเรียกว่ามโนกรรม ส่งผลใหผ้ ูก้ ระทำ� ต่อทางกายเรียกว่ากายกรรม และทางวาจา เรยี กวา่ วจกี รรม พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ทรงแสดงเร่อื งกรรมและความดบั ของกรรม โดยจดั แบง่ ประเภทของกรรม ตามช่วงเวลาทใ่ี หเ้กดิ ในกมั มนโิ รธสูสูตร18 ดงั น้ี          ๑. กรรมเก่า คอื จกั ษุ(ตา) โสตะ(หู) ชวิ หา(ล้นิ ) กาย(กาย) มน(ใจ) อนั บณั ฑติ เหน็ วา่ เป็นกรรมเก่า อนั ปจั จยั ทง้ั หลายปรุงแต่งแลว้ สำ� เรจ็ ดว้ ยเจตนาเป็นทต่ี ง้ั แห่งเวทนา  ๒. กรรมใหม่ คอื กรรมทบ่ี คุ คลทำ� ดว้ ยกาย วาจา ใจ ในปจั จบุ นั           ๑) กรรม ๒ กรรมในทางพระพทุ ธศาสนาจะหมายถงึ การกระทำ� โดยเจตนา ซง่ึ เจตนาในทน่ี ้ีกค็ อื กเิ ลสคอื ทกุ ครงั้ ทเ่ี ราทำ� อะไรลงไปดว้ ยกเิ ลสจะเรยี กวา่ เป็นกรรมทงั้ ส้นิ และจะมผี ลเรยี กวา่ วบิ าก โดยกรรมน้ี กม็ อี ยู่ ๒ ประเภท อนั ไดแ้ ก่           ๑.๑ กรรมชวั่ คือการกระทำ� ชวั่ ท่ีอาจเกิดข้นึ ทางกาย หรือวาจา หรือใจก็ได้ ซ่ึงไดแ้ ก่ การเบยี ดเบยี นชวี ติ ทรพั ยส์ นิ และกามารมณ์ของผูอ้ ่นื การพูดโกหก พูดคำ� หยาบ พูดส่อเสยี ด พูดเพอ้ เจอ้ ไรส้ าระ ความคดิ โลก ความคดิ โกรธ และการมคี วามเหน็ ผดิ (เช่นเหน็ วา่ ทำ� ดไี มไ่ ดด้ ที ำ� ชวั่ กบั ไดด้ ี เป็นตน้ )            ๑.๒ กรรมดี คอื การกระทำ� ดี ทอ่ี าจเกดิ ข้นึ ทางกาย หรอื วาจา หรอื ใจกไ็ ด้ อย่างเช่นการมศี ีล การช่วยเหลอื ผูอ้ ่ืนใหพ้ น้ ทุกขห์ รือมคี วามสุขดว้ ยการใหท้ รพั ยห์ รือส่งิ ของบา้ ง ใหค้ วามรูบ้ า้ ง ใหธ้ รรมะบา้ ง ใหโ้ อกาสบา้ ง ใหอ้ ภยั บา้ ง หรอื การเคารพเชอ่ื ฟงั พอ่ แมค่ รูอาจารย์ การเล้ยี งดูบดิ ามารดาใหเ้ป็นสุข การทำ� หนา้ ท่ี การงานทส่ี ุจรติ และการปฏบิ ตั ติ นต่อคนรอบขา้ งอย่างถกู ตอ้ ง เป็นตน้   กรรม ๒19 (การกระทำ� , การกระทำ� ทป่ี ระกอบดว้ ยเจตนา ทางกายก็ตาม ทางวาจาก็ตาม ทางใจก็ตาม (Kamma: action; deed) คือ คำ� ท่หี มายถงึ กระทำ� โดยสมบูรณ์ แปลว่า การกระทำ� โดยเจตนาคือจงใจทำ� การกระทำ� แบง่ ออกเป็น ๓ ทาง ไดแ้ ก่ การกระทำ� ทางกาย ทางวาจา ทางใจทกุ อย่างทเ่ี กดิ จากความจงใจของ ผูก้ ระทำ� ถอื วา่ เป็นกรรมทง้ั ส้นิ ซง่ึ แบง่ ตามออกเป็น ๒ ฝ่าย คอื ๑. กศุ ลกรรม หมายถงึ กรรมฝ่ายดี เป็นการกระทำ� ทด่ี งี าม เกดิ บญุ กศุ ล ไมผ่ ดิ ศีล ไมผ่ ดิ ธรรม ไม่ ทำ� ใหจ้ ติ โศกเศรา้ หรอื อาจเรยี กวา่ กศุ ลเจตนา เพราะตงั้ ใจทำ� ดี ทางทท่ี ำ� ใหเ้กดิ พฤตกิ รรมทจ่ี ดั เป็นกรรมดหี รอื ท่ี 18 ส.ํ สฬา. (ไทย) ๑๘/๑๔๖/๑๗๙. 19 อง.ฺ ตกิ . (ไทย) ๒๐/๔๔๕/๑๓๑,๕๕๑/๓๓๘. 01. - 1 (1-29).indd 17 5/10/2022 12:55:18 PM

18 ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา เรียกว่ากุศลกรรมบถ ๑๐ประการ สามารถแบ่งออกตามทวารท่เี กิดข้นึ ทางกาย ทางวาจา และทางใจไดด้ งั น้ี กายกรรม หรอื กายทวาร หมายถงึ มี ๓ ประการ คอื ๑.๑ ปาณาตปิ าตา เวรมณี งดเวน้ จากการฆ่าสตั วท์ ย่ี งั มชี วี ติ           ๑.๒ อทนิ นาทานา เวรมณี งดเวน้ จากการลกั ขโมยของทผ่ี ูอ้ น่ื ไมใ่ ห้           ๑.๓ กาเมสุมจิ ฉาจารา เวรมณี  งดเวน้ จากการประพฤตผิ ดิ ในกาม           วจกี รรม หรอื วจที วาร หมายถงึ กรรมดที างวาจาทไ่ี ดร้ บั การไตร่ตรองดว้ ยปญั ญา ก่อนทจ่ี ะเป็น คำ� พดู ออกมา เมอ่ื การกระทำ� ทางวาจาดจี งึ เรยี กวา่ วจสี ุจรติ มี ๔ประการ คอื ๑. มสุ าวาทา เวรมณี งดเวน้ จากการพดู เทจ็ คอื พดู โกหก หลอกลวง ตม้ ตนุ๋ เป็นตน้ ๒. ปิสุณาย วาจาย  เวรมณี งดเวน้ จากการพดู ส่อเสยี ด คอื คำ� พดู ทำ� ใหส้ ูญเสยี ความเป็น ทร่ี กั ใคร่ปรองดองกนั เช่น ยุยงใหแ้ ตกกนั เหน็บแนม กระทบกระเทยี บเสยี ดแทง คำ� สบประมาท พดู ลบั หลงั เป็นตน้ เราน่ีเป็นคำ� พดู ทำ� ใหเ้กดิ ทฐิ มิ านะชงิ ดชี งิ เด่น มงุ่ เอาชนะกนั และกนั   ๓. ผรสุ าย วาจาย เวรมณี งดเวน้ จากการพดู คำ� หยาบคาย คอื พดู คำ� ชนดิ ทค่ี ่อนขอด คำ� หยาบคาย คำ� เผด็ รอ้ น คำ� เหน็บแนมใหเ้จบ็ ใจ เหลา่ น้ีทำ� ใหผ้ ูอ้ น่ื โกรธเคอื งไมท่ ำ� ใหจ้ ติ ตง้ั มนั่             ๔. สมั ผปั ปลาปา เวรมณี งดเวน้ จากการพดู เพอ้ เจอ้ คอื ชอบพดู ไมถ่ กู เวลา ชอบพดู หยอกลอ้ ชอบพดู ไรป้ ระโยชน์ ชอบพดู ไมเ่ ป็นธรรม ชอบพดู ไมเ่ ป็นวนิ ยั เป็นผูพ้ ดู ไมม่ หี ลกั ฐาน ไมเ่ ป็นเวลา ไมม่ ที อ่ี า้ งองิ ไมม่ ที ส่ี ้นิ สุด ไมป่ ระกอบดว้ ยประโยชน ์     มโนกรรม หรอื มโนทวาร หมายถงึ การกระทำ� ทางใจ เมอ่ื มกี ารกระทำ� ทางใจดจี งึ เรยี กวา่ มโนสุจรติ มี ๓ ประการ คอื ๑. อนภชิ ฌา ไมค่ ดิ เพง่ เลง็ อยากไดส้ ง่ิ ของของผูอ้ น่ื ๒. อพยาบาท ไมค่ ดิ ปองรา้ ยเบยี ดเบยี นผูอ้ น่ื   ๓. สมั มาทฏิ ฐิ คดิ ถกู เหน็ ถกู ๒. อกุศลกรรม หรือกรรมฝ่ายชวั่ หมายถงึ การกระทำ� ท่ผี ดิ ศีล ติดถำ�้ เกิดบาปอกุศลทำ� ใหจ้ ิต เศรา้ หมองหรอื อาจเรยี กวา่ อกศุ ลเจตนาดงั พทุ ธพจนท์ ว่ี า่ “เจตนาหงั ภกิ ฺขเว กมั มงั วทามิ เจตยติ วา กมั มงั กโรมิ กาเยนะ วาจายะ มนสา20 แปลความวา่ ภกิ ษุทงั้ หลายเรากลา่ ววา่ เจตนานน้ั แหละคอื กรรม การกระทำ� ทางกาย ทางวาจา ทางใจทส่ี ำ� เรจ็ นน้ั กเ็ พราะอำ� นาจเจตนาดงั น้ี เจตนาเจตสกิ น้ีจะเป็นกรรมไดก้ ต็ ่อเมอ่ื เจตนานน้ั ประกอบกบั จติ ท่เี ป็น (อกุศลและกุศล)” เพราะตงั้ ใจทำ� ชวั่ ทางท่จี ะทำ� ใหเ้ กิดพฤติกรรมท่จี ดั เป็นกรรมชวั่ หรือ ท่เี รียกว่า อกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ สามารถแบ่งออกตามทวารท่เี กิดข้นึ ทางกาย ทางวาจาและทางใจได้ ดงั น้ี กายกรรม หรอื กายทวาร หมายถงึ การกระทำ� ทางกาย เมอ่ื การกระทำ� ทางกายชวั่ จงึ เรยี กวา่ กายทจุ รติ มี ๓ ประการดงั ต่อไปน้ี คอื   20 อภ.ิ ก. (บาล)ี ๓๗/๑๒๘๑/๔๒๒. 01. - 1 (1-29).indd 18 5/10/2022 12:55:18 PM

บทท่ี ๑ ความสำ� คญั และลกั ษณะเด่นของพระพทุ ธศาสนา 19 ๑. ปาณาตบิ าต การจงใจฆ่าสตั วท์ ย่ี งั มชี วี ติ ๒. อทนิ นาทาน การจงใจลกั ขโมยของผูอ้ น่ื ไมใ่ ห้ ๓. กาเมสุมจิ ฉาจารา การจงใจประพฤตผิ ดิ ในกาม           วจกี รรม หรอื วจที วาร หมายถงึ การกระทำ� ทางคำ� พดู ทข่ี าดการไตร่ตรองดว้ ยปญั ญา เมอ่ื กระทำ� ทาง วาจาชวั่ จงึ เรยี กวา่ วจที จุ รติ มี ๔ ประการดงั ต่อไปน้ี คอื   ๑. มสุ าวาท การจงใจพดู เทจ็ คอื พดู โกหก หลอกลวง ตม้ ตนุ๋ เป็นตน้   ๒. ปิสุณาวาจา การจูงใจพดู ส่อเสยี ด คอื คำ� พดู ทำ� ใหส้ ูญเสยี ความเป็นทร่ี กั ใคร่ปรองดองกนั เช่น ยุยงใหแ้ ตกแยก เหน็บแนม กระทบกระเทยี บเสยี ดแทง คำ� สบประมาท พดู ลบั หลงั เป็นตน้ เหลา่ น้เี ป็นคำ� พดู ทำ� ให้ เกดิ ทฐิ มิ านะชงิ ดชี งิ เด่น มงุ่ เอาชนะกนั และกนั   ๓. ผรุสาวาจา การจงใจพูดคำ� หยาบ คือ พูดคำ� ชนิดท่ีค่อนขอด คำ� หยาบคาย ทำ� เผ็ดรอ้ น คำ� เหน็บแนมใหเ้จบ็ ใจ เหลา่ น้ีทำ� ใหผ้ ูอ้ น่ื โกรธเคอื งไมท่ ำ� ใหจ้ ติ ใจตงั้ มนั่   ๔. สมั ผปั ปลาปา การจงใจพดู เพอ้ เจอ้ คอื ชอบพดู ไมถ่ กู เวลา ชอบพดู หยอกลอ้ ชอบพดู ไรส้ าระ ชอบพดู ไมเ่ ป็นธรรม ชอบพดู ไมเ่ ป็นวนิ ยั เป็นผูพ้ ดู ไมม่ หี ลกั ฐาน ไมเ่ ป็นเวลา ไมม่ ที อ่ี า้ งองิ ไมม่ ที ส่ี ้นิ สดุ ไมป่ ระกอบ ดว้ ยประโยชน ์           มโนกรรม หรอื มโนทวาร หมายถงึ การกระทำ� ทางใจ เมอ่ื มกี ารกระทำ� ทางใจชวั่ เรยี กวา่ มโนทจุ รติ มี ๓ ประการ คอื ๑. อภชิ ฌา คดิ เพง่ เลง็ อยากไดส้ ง่ิ ของของผูอ้ น่ื ๒. พยาบาท คดิ ปองรา้ ยเบยี ดเบยี นผูอ้ น่ื           ๓. มจิ ฉาทฏิ ฐิ คดิ ผดิ เหน็ ผดิ คนสว่ นมากเขา้ ใจวา่ กรรมคอื การกระทำ� ความเขา้ ใจน่ไี มผ่ ดิ แต่เป็นความเขา้ ใจทย่ี งั ไมร่ กั กลมุ่ และถกู ตอ้ ง ทงั้ หมด เพราะมกี ารกระทำ� บางอย่างทไ่ี มน่ บั วา่ เป็นกรรม กรรมแทจ้ ะตอ้ งประกอบดว้ ยหลกั เกณฑ์ ๒ ประการ คอื ผูท้ ำ� มเี จตนาและการกระทำ� นนั้ จะตอ้ งใหผ้ ลเป็นบญุ หรอื เป็นบาปทว่ี า่ ผูท้ ำ� มเี จตนา มหี ลกั การทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ไดต้ รสั ไวใ้ น นพิ เพธกิ ปรยิ ายสูตร ฉกั กนิบาต องั คุตตรนกิ ายวา่ “เจตนาหงั ภกิ ขเว กมั มงั วทามิ แปลวา่ ภกิ ษุ ทง้ั หลายเรากลา่ ววา่ เจตนาเป็นกรรม” เจตนาก็ไดแ้ ก่ความตง้ั ใจหรอื ความรบั รู้ ซง่ึ สามารถแบง่ ตามเจตนาไวเ้ป็น ๓ อย่าง21 คอื  การกระทำ� โดยมเี จตนาเกดิ ข้นึ ในตอนใดตอนหน่ึงถอื วา่ เป็นกรรมทง้ั ส้นิ ส่วนกระทำ� ทไ่ี มม่ เี จตนา คอื ใจไมไ่ ดส้ งั่ ใหท้ ำ� ไมจ่ ดั วา่ เป็นกรรม เช่นคนเจบ็ ซง่ึ มไี ขส้ ูงเกดิ เพอ้ ขา้ งแมจ้ ะพดู คำ� หยาบออกมา เอามอื หรอื เทา้ ไปถกู ใครเขา้ กไ็ มเ่ ป็นกรรม ในทางวนิ ยั กย็ กเวน้ ใหพ้ ระทว่ี กิ ลจรติ ซง่ึ ลว่ งเกนิ สกิ ขาวนิ ยั ไมต่ อ้ งอาบตั ิ ทางน้ีกโ็ ดย หลกั เกณฑท์ ว่ี า่ ถา้ พดู ทำ� ไมม่ เี จตนากระทำ� แลว้ การกระทำ� นน้ั กไ็ มเ่ ป็นกรรม  21 อง.ฺ ฉกกฺ . (ไทย) ๒๒/๖๓/๕๗๗. 01. - 1 (1-29).indd 19 5/10/2022 12:55:18 PM

20 ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา สรุป สาเหตทุ ท่ี ำ� ใหม้ นุษยส์ รา้ งกรรมนน้ั เกดิ จากกเิ ลสหรอื ตณั หาทอ่ี ยู่ในจติ ใจของมนุษยก์ จ็ ะผลกั ดนั ให้ มนุษยเ์ กดิ ความตอ้ งการเกดิ ความปรารถนาความกระหายทอ่ี ยากจะไดใ้ นสง่ิ ต่างๆ ทเ่ี ป็นเหตใุ หม้ นุษยต์ อ้ งทำ� กรรม ถา้ ทำ� กรรมดกี จ็ ะส่งผลในทางทด่ี ี ถา้ ทำ� กรรมชวั่ กจ็ ะส่งผลในทางทช่ี วั่ ตามหลกั ทางพระพทุ ธศาสนาไดพ้ จิ ารณา ถงึ ธรรมอนั เป็นเหตใุ หเ้กดิ กรรมดแี ละกรรมชวั่ โดยการกระทำ� ทางกายทางวาจาและทางใจ ถา้ ทำ� โดยไมม่ คี วามโลภ ความโกรธ ความหลง จดั วา่ เป็นกรรมดแี ต่ถา้ กระทำ� โดยมคี วามโลภ ความโกรธ ความหลงจดั วา่ เป็นกรรมชวั่ ๑.๔.๖ ขนั ธ์ ๕ ความหมายโดยเน้ือความ (อตั ถนยั )ขนั ธ์ ๕ หมายถงึ รูปขนั ธ์ กองรูปเวทนาขนั ธ์ กองเวทนา สญั ญาขนั ธ์ กองสญั ญา สงั ขารขนั ธ์ กองสงั ขาร วญิ ญาณขนั ธก์ องวญิ ญาณ22 ในขนั ธ์ ๕ (The Five Aggrcgates) นนั้ พทุ ธธรรมแยกแยะชวี ติ พรอ้ มทงั้ องคาพยพทงั้ หมดทบ่ี ญั ญตั เิ รยี กวา่ “สตั ว”์ “บคุ คล” ฯลฯ ออกเป็นส่วนประกอบ ต่าง ๆ ๕ ประเภทหรอื ๕ หมวดเรยี กทางธรรมวา่ เบญจขนั ธ์ คอื 23 ๑. รูป (Corporcality) ไดแ้ ก่ ส่วนประกอบฝ่ายรูปธรรมทง้ั หมด ร่างกายและพฤตกิ รรมทงั้ หมด ของร่างกายหรอื สสารและพลงั งานฝ่ายวตั ถุ พรอ้ มทง้ั คณุ สมบตั แิ ละพฤตกิ รรมต่างๆของสสารพลงั งานเหลา่ นนั้ ๒. เวทนา (Feeling หรอื Sensetion) ไดแ้ ก่ ความรูส้ กึ สุขทกุ ขห์ รอื เฉย ๆ ซง่ึ เกดิ จากการผ่านทาง ประสาททงั้ ๕ และทางใจ ๓. สญั ญา (Perception) ไดแ้ ก่ความกำ� หนดไดห้ รอื หมายรู้คอื กำ� หนดรูอ้ าการเคร่อื งหมายลกั ษณะ ต่างๆอนั เป็นเหตใุ หจ้ ำ� อารมณ2์ 4 (object) นน้ั ๆ ได้ ๔. สงั ขาร (Mental Formations หรอื Volitional Activities) ไดแ้ ก่องคป์ ระกอบหรอื คณุ สมบตั ิ ต่าง ๆ ของจติ มเี จตนาเป็นตวั นำ� ซง่ึ แต่งจติ ใหด้ หี รอื ชวั่ หรอื เป็นกลางๆ ปรุงแปรตรติ รกึ นึกคดิ ในใจ และการ แสดงออกทางกายวาจาใหเ้ป็นไปต่าง ๆ เป็นทม่ี าของกรรม เช่น ศรทั ธา สติ หริ ิ โอตตปั ปะ เมตตา กรุณา มทุ ติ า อเุ บกขา25 ปญั ญา โมหะ โลภะ โทสะ มานะ ทฏิ ฐิ อสิ สา มจั ฉรยิ ะ เรยี กรวมอย่างงา่ ย ๆ วา่ เคร่อื งปรุงของจติ เคร่อื งปรุงของความคดิ หรอื เคร่อื งปรุงของกรรม ๕. วญิ ญาณ (Consciousness) ไดแ้ ก่ความรูแ้ จง้ อารมณท์ างประสาททงั้ ๕ และทางใจ คอื การเหน็ การไดย้ นิ การไดก้ ลน่ิ การรูร้ ส การรูส้ มั ผสั ทางกายและการรูอ้ ารมณท์ างใจ 22 อภ.ิ ว.ิ (ไทย) ๓๔/๒/๑-๓๔. 23 รายระเอยี ดบางอย่างเก่ยี วกบั เบญจขนั ธ์ หรอื ขนั ธ์ ๕ 24 คำ� วา่ “อารมณ”์ ในบทความน้ีทกุ แห่งใชใ้ นความหมายทางธรรมเท่านน้ั คอื ความหมายถงึ สง่ิ ทจ่ี ติ รบั รูห้ รอื สง่ิ ทถ่ี กู รบั รู้ โดยอาศยั ทวารทง้ั ๖ ไดแ้ ก่ รูป เสยี ง กลน่ิ รส โผฏฐพั พะและอารมณ์ (ความนกึ คดิ ต่าง) ไมม่ คี วามหมายอยา่ งทเ่ี ขา้ ใจกนั ทวั่ ๆ ไป ในภาษาไทย 25 อเุ บกขา เป็นธรรมสำ� คญั ยง่ิ ขอ้ หน่ึง และมกั มผี ูเ้ขา้ ใจความหมายสบั สนผดิ พลาดอยู่เสมอ จงึ ควรศึกษาใหเ้ขา้ ใจชดั อย่างนอ้ ยตอ้ งสามารถแยกอุเบกขาในหมวดสงั ขาร ซ่งึ ตรงกบั ตตั รมชั ฌตั ตตา ออกจากอุเบกขาในหมวดเวทนา ซ่งึ ตรงกบั อทกุ ขมสุข อนั เป็นความรูส้ กึ เฉย ๆ 01. - 1 (1-29).indd 20 5/10/2022 12:55:18 PM

บทท่ี ๑ ความสำ� คญั และลกั ษณะเด่นของพระพทุ ธศาสนา 21 ขนั ธ์ ๔ ขอ้ หลงั ซง่ึ เป็นพวกนามขนั ธ์ มขี อ้ ควรทำ� ความเขา้ ใจเพม่ิ เตมิ เพอ่ื เหน็ ความหมายชดั เจนยง่ิ ข้นึ และเพอ่ื ป้องกนั ความสบั สน26 ดงั น้ี สญั ญา27 เป็นความรูจ้ ำ� พวกหน่ึง หมายถงึ การหมายรู้ หรอื กำ� หนดรูอ้ าการของอารมณ์ เช่น ลกั ษณะ ทรวดทรง สี สณั ฐาน ฯลฯ ตลอดจนชอ่ื เรยี ก และสมมตบิ ญั ญตั ติ ่างๆวา่ เขยี ว ขาว ดำ� แดง ดงั เบา ทมุ้ แหลม อว้ น ผอม โตะ๊ ปากกา หมู หมา ปลา แมว คน เขา เรา ท่าน เป็นตน้ สรุป ในขนั ธ์ ๕ นนั้ เป็นการหมายรูห้ รือกำ� หนดรูน้ ้ี อาศยั การจบั เผชิญหรือการเทยี บเคียงระหว่าง ประสบการณห์ รอื ความรูเ้ก่ากบั ประสบการณห์ รอื ความรูใ้ หม่ ถา้ ประสบการณใ์ หมต่ รงกบั ประสบการณเ์ ก่า เช่น พบเหน็ คนหรอื สง่ิ ของทเ่ี คยรูจ้ กั แลว้ ไดย้ นิ เสยี งทเ่ี คยไดย้ นิ แลว้ ดงั ตวั อย่างนาย ก. รูจ้ กั นายเขยี ว ต่อมาอกี เดอื นหน่ึงนาย ก. เหน็ นายเขยี วอกี และรูว้ ่าคนทเ่ี ขาเหน็ นน้ั คือนายเขยี ว อย่างน้ีเรยี กว่าจำ� ได้ (เพง่ิ สงั เกตว่า ในทน่ี ้ี “จำ� ได”้ ต่างจาก“จำ� ”) ถา้ ประสบการณใ์ หมไ่ มต่ รงกบั ประสบการณเ์ ก่า เราย่อมนำ� เอาประสบการณห์ รอื ความรูเ้ก่าทม่ี อี ยู่แลว้ นนั่ เอง มาเทยี บเคยี งวา่ เหมอื นกนั หรอื ไมเ่ หมอื นกนั ในส่วนไหนอย่างไร แลว้ หมายรูส้ ง่ิ นนั้ ตามคำ� บอกเล่าหรือตามท่ตี นกำ� หนดเอาว่าเป็นนนั่ เป็นน่ี ไม่ใช่นนั่ ไม่ใช่น่ี อย่างน้ีเรียกว่ากำ� หนดหมายหรือ หมายรู ้ ๑.๔.๗ มรรค ๘ มรรค คอื หนทางสู่ความดบั ทกุ ข์ เป็นหน่ึงใน อรยิ สจั ๔ จงึ เรยี กอกี อย่างว่า ทกุ ขนิโรธคามนิ ีปฏปิ ทา หรือการลงมอื ปฏบิ ตั ิเพอ่ื ใหพ้ น้ จากทุกข์ ประกอบดว้ ยองคป์ ระกอบ ๘ ประการ ในธมั มจกั กปั ปวตั ตนสูตร พระพทุ ธเจา้ ตรสั วา่ อรยิ มรรคมอี งค์ ๘ น้ีเป็นทางสายกลาง คอื เป็นขอ้ ปฏบิ ตั อิ นั พอดที จ่ี ะนำ� ไปสู่ความหลดุ พน้ คอื (๑) สมั มาทฏิ ฐิ (เหน็ ชอบ) (๒) สมั มาสงั กปั ปะ (ดำ� รชิ อบ) (๓) สมั มาวาจา (เจรจาชอบ) (๔) สมั มากมั มนั ตะ (กระทำ� ชอบ) (๕) สมั มาอาชวี ะ (เล้ยี งชพี ชอบ) (๖) สมั มาวายามะ (พยายามชอบ) (๗) สมั มาสติ (ระลกึ ชอบ) (๘) สมั มาสมาธิ (ตงั้ จติ มนั่ ชอบ) สมั มาทฏิ ฐิ คอื ความรูใ้ นทกุ ข์ (ความทกุ ข)์ ความรูใ้ นทกุ ขสมทุ ยั (เหตเุ กดิ แห่งทกุ ข)์ ความรูใ้ นทกุ ขนโิ รธ (ความดบั ทกุ ข)์ ความรูใ้ นทกุ ขนโิ รธคามนิ ปี ฏปิ ทา (ขอ้ ปฏบิ ตั ใิ หถ้ งึ ความดบั ทกุ ข)์ น้ีเรยี กวา่ สมั มาทฏิ ฐิ สมั มาสงั กปั ปะ คือ ความดำ� ริในการออกจากกาม ความดำ� ริในการไม่พยาบาท ความดำ� ริในการ ไมเ่ บยี ดเบยี นน้ีเรยี กวา่ สมั มาสงั กปั ปะ สมั มาวาจา คือ เจตนาเป็นเหตงุ ดเวน้ จากการพูดเทจ็ เจตนาเป็นเหตงุ ดเวน้ จากการพูดส่อเสยี ดเจตนา เป็นเหตงุ ดเวน้ จากการพดู คำ� หยาบ เจตนาเป็นเหตงุ ดเวน้ จากการพดู เพอ้ เจอ้ น้ีเรยี กวา่ สมั มาวาจา สมั มากมั มนั ตะ คอื เจตนาเป็นเหตงุ ดเวน้ จากการฆ่าสตั ว์ เจตนาเป็นเหตงุ ดเวน้ จากการลกั ทรพั ยเ์ จตนา เป็นเหตงุ ดเวน้ จากการประพฤตผิ ดิ ในกามน้ีเรยี กวา่ สมั มากมั มนั ตะ 26 ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๔๙๔/๕๓๖. 27 วสิ ุทธฺ .ิ ๓/๓๕. 01. - 1 (1-29).indd 21 5/10/2022 12:55:18 PM

22 ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา สมั มาอาชวี ะ คือ ขอ้ ทบ่ี คุ คลในธรรมวนิ ยั น้ีละมจิ ฉาอาชวี ะแลว้ สำ� เร็จการเล้ยี งชพี ดว้ ยสมั มาอาชวี ะน้ี เรยี กวา่ สมั มาอาชวี ะ สมั มาวายามะ คอื ขอ้ ทบ่ี คุ คลในธรรมวนิ ยั น้ีสรา้ งฉนั ทะ พยายาม ปรารภความเพยี ร ประคองจติ มงุ่ มนั่ เพอ่ื ป้องกนั บาปอกุศลธรรมท่ยี งั ไม่เกิดมใิ หเ้ กิดข้นึ ฯลฯ เพอ่ื ละบาปอกุศล-ธรรมท่เี กิดข้นึ แลว้ ฯลฯ เพอ่ื ทำ� บาปอกุศลธรรมทย่ี งั ไม่เกิดข้นึ มใิ หเ้กิดข้นึ ฯลฯสรา้ งฉนั ทะ พยายาม ปรารภความเพยี ร ประคองจติ ม่งุ มนั่ เพอ่ื ความดำ� รงอยู่ไมเ่ ลอื นหาย ภยิ โยภาพ ไพบูลย์ เจรญิ เตม็ ทแ่ี หง่ กศุ ลธรรมทเ่ี กดิ ข้นึ แลว้ น้เี รยี กวา่ สมั มาวายามะ สมั มาสติ คือ ขอ้ ทบ่ี คุ คลในธรรมวนิ ยั น้ีเป็นผูม้ คี วามเพยี ร มสี มั ปชญั ญะ มสี ติ พจิ ารณาเหน็ กายใน กายอยู่ พงึ กำ� จดั อภชิ ฌาและโทมนสั ในโลกได้ พจิ ารณาเหน็ เวทนาในเวทนาอยู่ ฯลฯ พจิ ารณาเหน็ จติ ในจติ อยู่ ฯลฯ เป็นผูม้ คี วามเพยี ร มสี มั ปชญั ญะมสี ติ พจิ ารณาเหน็ ธรรมในธรรมอยู่ พงึ กำ� จดั อภชิ ฌาและโทมนสั ในโลกได้ น้ีเรยี กวา่ สมั มาสติ สมั มาสมาธิ คอื ขอ้ ทบ่ี คุ คลในธรรมวนิ ยั น้ีสงดั จากกามและอกศุ ลธรรมทง้ั หลาย บรรลปุ ฐมฌานทม่ี วี ติ ก มวี จิ าร มปี ีตแิ ละสุขอนั เกดิ จากวเิ วกอยู่ เพราะวติ กวจิ ารสงบระงบั ไปแลว้ บรรลทุ ตุ ยิ ฌานทม่ี คี วามผ่องใสภายใน มภี าวะทจ่ี ติ เป็นหน่ึงผดุ ข้นึ ไมม่ วี ติ กไมม่ วี จิ ารมแี ต่ปีตแิ ละสุขอนั เกดิ จากสมาธอิ ยู่ เพราะปีตจิ างคลายไป มจี ติ เป็นอุเบกขา มสี ติ มสี มั ปชญั ญะอยู่และเสวยสุขดว้ ยกาย (นามกาย) บรรลุตติยฌานท่พี ระอริยะทง้ั หลาย กลา่ วสรรเสรญิ วา่ ผูม้ อี เุ บกขา มสี ติ อยู่เป็นสุข เพราะละสุขและทกุ ขไ์ ดเ้พราะโสมนสั และโทมนสั ดบั ไปก่อนแลว้ บรรลจุ ตตุ ถฌานทไ่ี มม่ ที กุ ขไ์ มม่ สี ุขมสี ตบิ รสิ ุทธ์เิ พราะอเุ บกขาอยู่น้ีเรยี กวา่ สมั มาสมาธ2ิ 8 สรุปหลกั ธรรมท่สี ำ� คญั ในพระพทุ ธศาสนา ลว้ นนำ� มาซ่งึ หนทางสู่ความดบั ทุกข์ เป็นหน่ึงในอริยสจั ๔ จงึ เรยี กอกี อย่างวา่ ทกุ ขนโิ รธคามนิ ปี ฏปิ ทา หรอื การลงมอื ปฏบิ ตั เิ พอ่ื ใหพ้ น้ จากทกุ ข์ ประกอบดว้ ยองคป์ ระกอบ ๘ ประการ ในธมั มจกั กปั ปวตั ตนสูตร พระพทุ ธเจา้ ตรสั วา่ อรยิ มรรคมอี งค์ ๘ น้เี ป็นทางสายกลาง คอื เป็นขอ้ ปฏบิ ตั ิ อนั พอดที จ่ี ะนำ� ไปสู่ความหลดุ พน้ ไดแ้ ก่ (๑) สมั มาทฐิ ิ ความเหน็ ชอบ คอื ความเขา้ ใจในทางทถ่ี กู ตอ้ ง (๒) สมั มา- สงั กปั ปะ ความดำ� รชิ อบ คอื ความคดิ ในทางทถ่ี กู ทค่ี วร (๓) สมั มาวาจา เจรจาชอบ คอื งดเวน้ จากการพดู จา ในทางทไ่ี ม่ถกู ไม่ควร (๔) สมั มากมั มนั ตะ ทำ� การงานชอบ คือ การกระทำ� ทเ่ี ป็นกายสุจรติ (๕) สมั มาอาชวี ะ เล้ยี งชพี ชอบ คอื การทำ� มาหากนิ ดว้ ยอาชพี สุจรติ (๖) สมั มาวายามะ พยายามชอบ คอื เพยี รพยายามทางจติ อย่างย่ิงใหญ่ ๔ ประการ (๗) สมั มาสติตงั้ สติชอบ คือ การตงั้ สติพจิ ารณาส่ิงทง้ั หลายตามความเป็นจริง (๘) สมั มาสมาธกิ ารตงั้ จติ มนั่ ชอบ คอื การตง้ั จติ ใหแ้ น่วแน่ อยูใ่ นอารมณใ์ ดอารมณห์ น่งึ ไมฟ่ ้งุ ซา่ นเพอ่ื เป็นแนวทาง แห่งการพฒั นาชวี ติ ใหพ้ ชิ ติ ความทกุ ขท์ ง้ั มวล หรอื ใหร้ ูท้ กุ ขเ์ พอ่ื ทจ่ี ะอยู่ร่วมกบั มนั ได้ เพราะตราบใดทย่ี งั ไม่ส้นิ กเิ ลส ทกุ คนลว้ นแลว้ แต่จะตอ้ งเผชญิ ทกุ ข์ เพราะวา่ ทกุ ขเ์ ป็นหน่ึงในกฎไตรลกั ษณ์ คอื อนิจจงั ความไมเ่ ทย่ี ง ทุกขงั ความทุกขท์ นไดย้ ากและอนตั ตา ความไรต้ วั ตนท่ยี งั่ ยนื ซ่งึ ถอื ว่าเป็นลกั ษณะธรรมชาติของสรรพส่งิ 28 ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๓๗๕/๓๑๙. 01. - 1 (1-29).indd 22 5/10/2022 12:55:18 PM

บทท่ี ๑ ความสำ� คญั และลกั ษณะเด่นของพระพทุ ธศาสนา 23 เมอ่ื จติ ใจมคี วามรอบรูใ้ นกองทุกข์ ก็จะทำ� ใหเ้ รารูเ้ ท่าทนั สาเหตุ และทราบแนวทางในการปฏบิ ตั ิเพอ่ื ไปสู่จดุ ท่ี เรยี กวา่ ส้นิ ทกุ ขด์ ว้ ยมรรคมอี งค์ ๘ ทถ่ี อื วา่ เป็นหนทางแห่งการดบั ทกุ ข์ ใหม้ ฐี านของความเมตตาประกอบ ใหเ้กดิ ความช่มุ เยน็ ในใจตน และแผ่ร่มเงาแห่งความดงี ามน้ีสู่คนอน่ื ใหไ้ ดม้ ากทส่ี ุด ๑.๕ รูปแบบและวธิ กี ารของพระพทุ ธศาสนา รูปแบบและวธิ กี ารของพระพทุ ธศาสนานน้ั มกี ารวางหลกั สทั ธรรม ธรรมทด่ี ,ี ธรรมทแ่ี ท,้ ธรรมของคนด,ี ธรรมของสตั บรุ ุษ คำ� วา่ สทั ธรรม เป็นพระพทุ ธพจนห์ รอื คำ� สงั่ สอนของพระพทุ ธเจา้ ทพ่ี ระองคท์ รงไดท้ รงเทศนา และไดบ้ ญั ญตั ไิ วใ้ นพระธรรม และพระวนิ ยั เพอ่ื ใหเ้ป็นแนวทาง และหลกั ปฏบิ ตั ขิ องภกิ ษุ ภกิ ษุณี และคฤหสั ถ์ ทงั้ หลาย อนั เพอ่ื ใหส้ าวกทงั้ หลายเขา้ ใจในหลกั แก่นแทข้ องพระธรรม อนั นำ� ไปสู่การปฏบิ ตั ิ และยงั ผลใหเ้กดิ ข้นึ ดว้ ยความสุขและการพน้ ทกุ ขม์ หี ลกั สทั ธรรม ๓ อย่าง คอื ๑.  ปรยิ ตั สิ ทั ธรรม สทั ธรรมคือสง่ิ ทพ่ี งึ เลา่ เรยี น ไดแ้ ก่ พทุ ธพจนพ์ ระธรรม และพระวนิ ยั รวมถงึ เอกสารต่างๆทเ่ี ก่ยี วขอ้ ง อาทิ พทุ ธประวตั ิ ประวตั พิ ทุ ธสาวกต่างๆ หลกั วปิ สั สนากรรมฐาน และสมถกรรมฐาน เป็นตน้ ๒.  ปฏิบตั ิสทั ธรรม สทั ธรรม คือ ส่ิงพึงปฏิบตั ิ ไดแ้ ก่ ปฏิปทาอนั จะตอ้ งปฏิบตั ิหรือท่ีเรียกว่า อฏั ฐงั คกิ มรรค หรอื ไตรสกิ ขา อนั ประกอบดว้ ย ศีล สมาธิ ปญั ญา             ๓. ปฏเิ วธสทั ธรรม สทั ธรรม คอื ผลทพ่ี งึ บรรลุ ไดแ้ ก่ ผลอนั เกดิ ข้นึ ดว้ ยการปฏบิ ตั ิ คอื การเขา้ ถงึ หรอื การบรรลปุ ระกอบดว้ ย มรรค ผล และนพิ พาน         ส่วนสทั ธรรม มี ๗ ประการ คอื ๑. ศรทั ธา ๒. หริ ิ ๓. โอตตปั ปะ ๔. พาหสุ จั จะ ๕. วริ ยิ ารมั ภะ ๖. สติ ๗. ปญั ญา29 สรุปไดว้ า่ การปฏบิ ตั ธิ รรมเพอ่ื ใหเ้กดิ ผลทเ่ี ป็นการเขา้ ถงึ หรอื บรรลฌุ านในขนั้ ต่าง ๆ เร่มิ แรกจำ� เป็นตอ้ ง ศึกษาเลา่ เรยี นจนมคี วามรูเ้ป็นพ้นื ฐานเสยี ก่อน ทง้ั จากตำ� ราคำ� สอนในพระธรรม และพระวนิ ยั รวมถงึ เอกสาร อ่นื ๆ ท่เี ก่ียวขอ้ ง จากนน้ั นำ� ความรูท้ ่ไี ดม้ าประยุกตใ์ ชจ้ ริงในการปฏบิ ตั ิ พรอ้ มกบั ฝึกฝนและปรบั ปรุง ซ่งึ ท่ี ตามมากค็ อื ผล อนั เป็นการเขา้ ถงึ การบรรลหุ รอื เขา้ ใจอย่างแจ่มแจง้ ในมรรคผลและนพิ พาน สำ� หรบั รูปแบบและวธิ กี ารของพระพทุ ธศาสนานนั้ มกี ลา่ วไวใ้ นพระสูตรทพ่ี ูดถงึ โอวาทปาฏโิ มกขไ์ วด้ งั น้ี โอวาทปาฏโิ มกขเ์ ป็นหลกั คำ� สอนทส่ี ำ� คญั ของพระพทุ ธศาสนาหรอื คำ� สอนอนั เป็นหวั ใจของพระพทุ ธศาสนา ไดแ้ ก่ 29 พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตโฺ ต), พจนานุกรมพทุ ธศาสน์ ฉบบั ประมวลศพั ท,์ พมิ พค์ รงั้ ท่ี ๑๒, (กรุงเทพมหานคร: โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๕๑), หนา้ ๔๒๗. 01. - 1 (1-29).indd 23 5/10/2022 12:55:18 PM

24 ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา พทุ ธพจน์ ๓ คาถาครง่ึ พระพทุ ธเจา้ ทรงประกาศในวนั มาฆบชู า นอกจากจะเป็นวนั ทส่ี ำ� คญั ของพระพทุ ธศาสนาแลว้ ยงั เป็นวนั ทม่ี เี หตกุ ารณส์ ำ� คญั ยง่ิ ทช่ี าวพทุ ธควรศึกษาและทำ� ความเขา้ ใจ ใหก้ ระจ่างชดั นำ� ไปใชเ้ป็นหลกั ชยั ในการ ดำ� เนนิ ชวี ติ ใหเ้กดิ ความสุข ในฐานะพทุ ธบรษิ ทั ทร่ี ูแ้ จง้ และเหน็ จรงิ   พระพทุ ธองคไ์ ดท้ รงแสดงโอวาทปาฏโิ มกข3์ 0 ทถ่ี อื เป็นหลกั ธรรมสำ� คญั ยง่ิ ใหแ้ ก่พระภกิ ษุ นบั เป็นวนั สำ� คญั ทป่ี ระกอบดว้ ย “องคป์ ระกอบอศั จรรย ์ ๔ ประการ” คอื (๑) พระสงฆส์ าวกทม่ี าประชมุ พรอ้ มกนั ทง้ั  ๑,๒๕๐ องคน์ นั้ ไดม้ าประชมุ กนั ยงั วดั เวฬวุ นั โดยมไิ ดน้ ดั หมาย (๒) พระสงฆท์ ่มี าประชมุ ทง้ั หมดต่างลว้ นเป็น “เอหภิ กิ ขอุ ุปสมั ปทา” คือเป็นพระสงฆไ์ ดร้ บั การอปุ สมบทจาก พระพทุ ธเจา้ โดยตรง (๓) พระสงฆท์ ง้ั หมดทม่ี าประชมุ ลว้ นเป็นพระอรหนั ตผ์ ูท้ รงอภญิ ญา ๖ (๔) เป็นวนั เพญ็ ข้นึ ๑๕ คำ�่ เดอื น ๓ หลงั จากพระพทุ ธองคต์ รสั รูแ้ ลว้ ๙ เดอื น ในวนั น้ี พระองคท์ รงแสดงธรรมปาตโิ มกข์ ใหภ้ กิ ษุไดย้ ดึ เป็นหลกั ปฏบิ ตั ิเพอ่ื ใหห้ ลุดพน้ จากกิเลสและความทุกขไ์ ว้ ๓ หลกั ธรรมอนั เป็นหวั ใจสำ� คญั ของ พระพทุ ธศาสนา ประกอบดว้ ย หลกั การ ๓ อดุ มการณ์ ๔ และวธิ กี าร ๖ หลกั ธรรมทท่ี รงแสดงไดแ้ ก่   ๑. หลกั การ ๓ หรอื หลกั คำ� สอนทค่ี วรปฏบิ ตั ิ ประกอบดว้ ย (๑) สพั พะปาปสั สะ อะกะระณงั แปลวา่ การไมท่ ำ� บาปทง้ั ปวง คอื ลด ละ เลกิ ทำ� บาปทง้ั ปวง อนั ไดแ้ ก่ อกศุ ลกรรมบถ ๑๐ ประกอบดว้ ย ความชวั่ ทางกาย คือ ฆ่าสตั ว์ ลกั ทรพั ย์ ประพฤติผดิ ในกาม ในทางวาจา คือการพูดเทจ็ พูดส่อเสยี ด พูดเพอ้ เจอ้ และในทางใจ คือ การอยากไดส้ มบตั ิของผูอ้ ่ืน การผูกพยาบาท และความเห็นผิดจากทำ� นองคลองธรรม (๒) กสุ ะลสั สูปะสมั ปะทา แปลว่า การทำ� กศุ ลใหถ้ งึ พรอ้ ม คือ การทำ� ความดที กุ อย่างตามกศุ ลกรรมบถ ๑๐ ทง้ั ความดที างกาย ทางวาจา และความดที างใจ ซง่ึ หมายถงึ การละเวน้ หรอื การไมท่ ำ� อกศุ ลกรรมบถ ทง้ั ๑๐ ขอ้ นนั่ เอง (๓) สะจติ ตะปะรโิ ยทะปะนงั แปลวา่ จติ ใจใหผ้ ่องใส คอื ทำ� จติ ใจใหบ้ รสิ ุทธ์ิ หลดุ จากกเิ ลสตณั หาท่ี คอยขดั ขวางจติ ใจไมใ่ หเ้ขา้ ถงึ ความสงบ ไดแ้ ก่ ความพอใจในกาม ความพยาบาท ความหดหู่ทอ้ แท้ความฟ้งุ ซ่าน และความลงั เลสงสยั เอตงั พทุ ธานะสาสะนงั แปลวา่ ธรรม ๓ อย่างน้ีเป็นคำ� สงั่ สอนของพระพทุ ธเจา้ ทงั้ หลาย ๒. อดุ มการณ์ ๔ ประกอบดว้ ย (๑) ขนั ตี ปะระมงั ตะโป ตตี กิ ขา แปลวา่ ความอดทน อดกลนั้ คือ ไม่ทำ� บาปทงั้ กาย วาจา ใจ (๒) ความไม่เบยี ดเบยี น คือ งดเวน้ จากการทำ� รา้ ย หรือเบยี ดเบยี นผูอ้ ่ืน (๓) ความสงบ ไดแ้ ก่ การปฏบิ ตั ติ นใหส้ งบทง้ั ทางกาย วาจา ใจ (๔) นิพพานงั ปะระมงั วะทนั ติ พทุ ธานพิ พาน แปลวา่ นพิ พานเป็นธรรมอนั ยง่ิ ไดแ้ ก่ การดบั ทกุ ข์ อนั เป็นเป้าหมายสูงสุดในพระพทุ ธศาสนา ๓. วธิ กี าร ๖ ไดแ้ ก่ (๑) อะนูปะวาโท แปลวา่ ไมว่ า่ รา้ ย ไมก่ ลา่ วใหร้ า้ ย โจมตใี คร (๒) อะนูปะฆาโต แปลว่า การไม่ทำ� รา้ ย ไม่เบยี ดเบยี นผูอ้ ่นื (๓) ปาตโิ มกเข จะ สงั วะโร แปลว่า การสำ� รวมในปาฏโิ มกข์ คือ เคารพระเบยี บวนิ ยั กฎกตกิ า รวมทงั้ ขนบธรรมเนยี มประเพณีอนั ดงี ามของสงั คม (๔) มตั ตญั ญุตา จะ ภตั ตสั ม๎ งิ แปลวา่ การรูจ้ กั ประมาณ คอื รูจ้ กั ความพอดใี นการบรโิ ภคสง่ิ ต่างๆ (๕) ปนั ตญั จะ สะยะนาสะนงั แปลวา่ การอยู่ 30 เร่อื งเดียวกนั , หนา้ ๕๗๙-๕๘๐. 01. - 1 (1-29).indd 24 5/10/2022 12:55:18 PM

บทท่ี ๑ ความสำ� คญั และลกั ษณะเด่นของพระพทุ ธศาสนา 25 ในสถานท่สี งดั คือ การอยู่ในสถานท่ที ่มี สี ่งิ แวดลอ้ มท่เี หมาะสมและ ๖) อะธิจิตเต จะ อาโยโค31 แปลว่า การฝึกหดั จติ ใจใหส้ งบ หดั ชำ� ระจติ ใจใหเ้กดิ ความสงบ มสี มาธอิ ยู่กบั ปจั จบุ นั สรุป หวั ใจสำ� คญั ของพระพทุ ธศาสนานน้ั ประกอบดว้ ย หลกั การใหญ่ๆ ๓ ประการคือ การไม่ทำ� บาป ทงั้ ปวง การทำ� กุศลใหถ้ ึงพรอ้ ม การทำ� จิตของตนใหข้ าวรอบ อุดมการณ์ ๔ คือ ความอดทน อดกลนั้ ความไม่เบยี ดเบยี น ความสงบ การดบั ทุกข์ และวธิ ีการ ๖ คือ การไม่ว่ารา้ ย การไม่ทำ� รา้ ย การสำ� รวมใน ปาฏโิ มกข์ การรูจ้ กั ประมาณ การอยู่ในสถานทส่ี งดั การฝึกหดั จติ ใจใหส้ งบ ถา้ เราชาวพทุ ธสามารถนำ� ธรรมะ หรอื คำ� สอนของพระพทุ ธองค์ “ปาฏโิ มกข”์ ทแ่ี สดงในวนั มาฆบูชาน้ี ไปประยุกตใ์ ชเ้ป็นแนวทางเป็นหลกั ในการ ดำ� เนนิ ชวี ติ มนั่ ใจไดว้ า่ จะเป็นหนทางเป็นหลกั ชยั ทจ่ี ะนำ� พาชวี ติ ของผูท้ น่ี ำ� ไปปฏบิ ตั จิ ะพบกบั ความสุข ความเจรญิ ในปจั จบุ นั และจะสามารถหลดุ พน้ จากความทกุ ขท์ ง้ั ปวง เขา้ ถงึ ซง่ึ นิพพานอนั คอื เป้าหมายสูงสุดของพทุ ธศาสนา ไดอ้ ย่างแน่นอน สรุปทา้ ยบท พระพทุ ธศาสนาเขา้ มามบี ทบาทสำ� คญั ต่อการดำ� เนินชวี ติ ของคนไทยในทกุ ๆ ดา้ น จงึ มลี กั ษณะทเ่ี ป็น สภาพท่กี วา้ งขวางและครอบคลุมสงั คมไทย พระพทุ ธศาสนาถอื ว่าเป็นศาสนาประจำ� ชาติ ทง้ั น้ี เพราะการท่ี พระพทุ ธศาสนากบั ชนชาตไิ ทยไดม้ คี วามสมั พนั ธแ์ นบแน่นเป็นอนั หน่ึงอนั เดยี วกนั ทง้ั ในทางประวตั ศิ าสตรแ์ ละ วฒั นธรรม ในทางประวตั ศิ าสตร์ ความเป็นมาของชนชาตไิ ทย เน่อื งมาดว้ ยกนั กบั ความเป็นมาของพระพทุ ธศาสนา โดยเฉพาะนบั ตง้ั แต่สมยั ท่ชี นชาติไทยมปี ระวตั ิศาสตรอ์ นั ชดั เจน ชาวไทยก็ไดน้ บั ถอื พระพทุ ธศาสนาต่อเน่ือง ตลอดมา จนกลา่ วไดว้ า่ ประวตั ศิ าสตรข์ องประเทศไทย เป็นประวตั ศิ าสตรข์ องชนชาตทิ น่ี บั ถอื พระพทุ ธศาสนา ในดา้ นวฒั นธรรมวถิ ชี วี ติ ของคนไทยไดผ้ ูกพนั ประสานกลมกลนื กบั หลกั ความเช่อื และหลกั ปฏบิ ตั ใิ นพระพทุ ธ- ศาสนาตลอดเวลายาวนาน จนทำ� ใหเ้กดิ การปรบั ตวั เขา้ หากนั และสนองความตอ้ งการของกนั และกนั ตลอดจน ผสมคลกุ เคลา้ กบั ความเชอ่ื ถอื และขอ้ ปฏบิ ตั สิ ายอน่ื ๆ ทม่ี มี าในหมชู่ นชาวไทย ถงึ ข้นึ ทท่ี ำ� ใหเ้กดิ มรี ะบบความเชอ่ื และความประพฤตปิ ฏบิ ตั ทิ างพระพทุ ธศาสนา ทเ่ี ป็นแบบของคนไทยโดยเฉพาะอนั มรี ูปลกั ษณะและเน้ือหาของ ตนเอง ทเ่ี นน้ เด่นบางแงบ่ างดา้ นเป็นพเิ ศษแยกออกไดจ้ ากพระพทุ ธศาสนาอย่างทวั่ ๆ ไปเรยี กวา่ พระพทุ ธศาสนา แบบไทยหรอื พระพทุ ธศาสนาของชาวไทย วฒั นธรรมไทยทกุ ดา้ นมรี ากฐานสำ� คญั อยู่ในพระพทุ ธศาสนา ลกั ษณะเด่นของพทุ ธศาสนาทส่ี ำ� คญั คอื ไมม่ พี ระผูเ้ป็นเจา้ และไมม่ กี ารบงั คบั ศรทั ธา แต่พทุ ธศาสนิกชน บางคนยงั ไมเ่ ขา้ ใจในศาสนาพทุ ธอย่างถ่องแทเ้อาแต่ออ้ นวอนสง่ิ ศกั ด์ิสทิ ธ์ิ ศาสนาพทุ ธเป็นศาสนาทเ่ี กดิ ในยุคท่ี สงั คมอนิ เดยี มสี ภาพการณห์ ลายอย่างทว่ี ุน่ วาย เช่น มกี ารแบง่ แยกกดขท่ี างชนชน้ั วรรณะของศาสนาพราหมณ์ ฮนิ ดู มคี วามเหลอ่ื มลำ�้ ทางสงั คมทช่ี ดั เจน ถอื ชนั้ วรรณะอย่างเขม้ งวด มคี วามแตกต่างกนั ทางฐานะอย่างมากมาย 31 ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๔๐/๔๕. 01. - 1 (1-29).indd 25 5/10/2022 12:55:18 PM

26 ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา และลทั ธิความเช่อื ศาสดาอาจารยเ์ กิดข้นึ มากมาย ทส่ี อนหลกั การยดึ ถอื ปฏบิ ตั อิ ย่างผดิ พลาดหรือสุดโต่ง เช่น การใชส้ ตั วเ์ ป็นจำ� นวนมากเพอ่ื บวงสรวงบูชายญั  การบำ� เพญ็ ทกุ รกริ ยิ าของนกั บวชบางพวก การปลอ่ ยชวี ติ ใหเ้ป็น ไปโดยไม่แกไ้ ขถอื ว่าเป็นพระประสงคข์ องพระเจา้ รวมถงึ การกดี กนั ไม่ใหค้ นบางพวก บางกลุม่ เขา้ ถงึ หลกั การ หลกั คำ� สอนของตนได้ เน่ืองจากขอ้ จำ� กดั ของชาตกิ ำ� เนดิ ฐานะ เพศ เป็นตน้ แต่พทุ ธศาสนาเปิดโอกาสใหท้ กุ คน เขา้ ถงึ เป้าหมายสูงสุดไดเ้สมอกนั โดยไมแ่ บง่ แยกตามชน้ั วรรณะจงึ เสมอื นนำ�้ ทพิ ยช์ โลมสงั คมอนิ เดยี โบราณให้ ขาวสะอาดมากกวา่ เดมิ คำ� สอนของพทุ ธศาสนาทำ� ใหส้ งั คมโดยทวั่ ไปสงบร่มเยน็ หลกั ธรรมทส่ี ำ� คญั ในพระพทุ ธศาสนา ลว้ นนำ� มา ซง่ึ หนทางสู่ความดบั ทกุ ข์ เป็นหน่ึงในอรยิ สจั ๔ จงึ เรยี กอกี อย่างวา่ ทกุ ขนิโรธคามนิ ปี ฏปิ ทา หรอื การลงมอื ปฏบิ ตั ิ เพอ่ื ใหพ้ น้ จากทกุ ข์ประกอบดว้ ยองคป์ ระกอบ ๘ ประการ ในธมั มจกั กปั ปวตั ตนสูตร พระพทุ ธเจา้ ตรสั วา่ อรยิ มรรค มอี งค์ ๘ น้เี ป็นทางสายกลาง คอื เป็นขอ้ ปฏบิ ตั อิ นั พอดที จ่ี ะนำ� ไปสูค่ วามหลดุ พน้ ไดเ้พอ่ื เป็นแนวทางแหง่ การพฒั นา ชีวติ ใหพ้ ชิ ิตความทุกขท์ งั้ มวล เพราะตราบใดท่ยี งั ไม่ส้นิ กิเลสทุกคนลว้ นแลว้ แต่จะตอ้ งเผชิญทุกข์ เพราะว่า ทกุ ขเ์ ป็นหน่ึงในกฎไตรลกั ษณ์ คอื อนิจจงั ความไมเ่ ทย่ี ง ทกุ ขงั ความทกุ ขท์ นไดย้ ากและอนตั ตาความไรต้ วั ตน ทย่ี งั่ ยนื ซง่ึ ถอื ว่าเป็นลกั ษณะธรรมชาตขิ องสรรพสง่ิ เมอ่ื จติ ใจมคี วามรอบรูใ้ นกองทกุ ข์ ก็จะทำ� ใหเ้รารูเ้ ท่าทนั สาเหตแุ ละทราบแนวทางในการปฏบิ ตั เิ พอ่ื ไปสูจ่ ดุ ทเ่ี รยี กวา่ ส้นิ ทกุ ขด์ ว้ ยมรรคมอี งค์ ๘ ทถ่ี อื วา่ เป็นหนทางแหง่ การ ดบั ทกุ ข์ ใหม้ ฐี านของความเมตตาประกอบ ใหเ้กดิ ความช่มุ เยน็ ในใจตน และแผ่ร่มเงาแห่งความดงี ามน้ีสู่คนอน่ื ใหไ้ ดม้ ากทส่ี ุดหวั ใจสำ� คญั ของพระพทุ ธศาสนานนั้ ประกอบดว้ ย หลกั การ ๓ อดุ มการณ์ ๔ และวธิ กี าร ๖ ถา้ เรา ชาวพทุ ธสามารถนำ� ธรรมะหรอื คำ� สอนของพระพทุ ธองค์ “ปาฏโิ มกข”์ ทแ่ี สดงในวนั มาฆบูชาน้ี ไปประยุกตใ์ ชเ้ป็น แนวทางเป็นหลกั ในการดำ� เนนิ ชวี ติ มนั่ ใจไดว้ า่ จะเป็นหนทางเป็นหลกั ชยั ทจ่ี ะนำ� พาชวี ติ ของผูท้ น่ี ำ� ไปปฏบิ ตั จิ ะพบ กบั ความสุข ความเจรญิ หลดุ พน้ จากความทกุ ขท์ งั้ ปวง เขา้ ถงึ ซง่ึ นพิ พานอนั คอื เป้าหมายสูงสุดของพทุ ธศาสนาได้ อย่างแน่นอน 01. - 1 (1-29).indd 26 5/10/2022 12:55:18 PM

คำ� ถามทา้ ยบท ตอนท่ี ๑ คำ� ช้ีแจง : ขอ้ สอบมีลกั ษณะเป็นแบบอตั นยั มีทง้ั หมด ๑๒ ขอ้ ใหน้ ิสติ ทำ� ทกุ ขอ้ ดงั ต่อไปน้ี ๑. จงอธบิ ายความสำ� คญั ของพระพทุ ธศาสนาพรอ้ มยกตวั อย่าง ๒. จงอธบิ ายลกั ษณะเด่นของพระพทุ ธศาสนาพรอ้ มทง้ั วธิ นี ำ� ไปประยุกตใ์ ช้ ๓. จงอธบิ ายหลกั ธรรมสำ� คญั ในพระพทุ ธศาสนาวา่ มสี ่วนสำ� คญั อย่างไรต่อการเผยแผ่พระพทุ ธศาสนา ๔. จงอธบิ ายรูปแบบวธิ กี ารของพระพทุ ธศาสนาเป็นหลกั หลกั ปฏบิ ตั ใิ นพระพทุ ธศาสนาอย่างไร ๕. จงอธบิ ายลกั ษณะเด่นของพระพทุ ธศาสนาทศั นะของนกั วชิ าการมาพอเขา้ ใจ ๖. จงอธบิ ายหลกั การของปฏจิ จสมปุ บาทวา่ มกี ระบวนการเกดิ ดบั อย่างไร ๗. จงอธบิ ายหลกั การของอรยิ สจั สว่ี า่ มกี ระบวนการพจิ ารณาอย่างไร ๘. จงอธบิ ายหลกั การของกรรมวา่ มกี ระบวนการใหผ้ ลอย่างไร ๙. จงอธบิ ายหลกั การของไตรลกั ษณว์ า่ มกี ระบวนการเปลย่ี นแปลงอย่างไร ๑๐. จงอธบิ ายหลกั การของมรรควา่ มกี ระบวนการในการดบั ทกุ ขอ์ ย่างไร ๑๑. จงอธบิ ายหลกั การของขนั ธ์ ๕ วา่ มอี งคป์ ระกอบอย่างไร ๑๒. จงอธบิ ายหลกั การของสงั สารวฏั วา่ มอี งคป์ ระกอบและกระบวนการอย่างไร ตอนท่ี ๒ คำ� ช้ีแจง : ขอ้ สอบมีลกั ษณะเป็นแบบปรนยั ใหน้ ิสติ ทำ� เคร่อื งหมาย กากบาท (X) ทบั ขอ้ ก ข ค หรอื ง ท่ถี กู ตอ้ งท่สี ดุ เพยี งขอ้ เดียว ดงั ต่อไปน้ี ๑. ความสำ� คญั ของพระพทุ ธศาสนาเป็นอย่างไร ก. มคี วามสำ� คญั มากต่อความมนั่ คงของสถาบนั หลกั ข. มคี วามเป็นสากลของโลก ค. มคี วามเป็นมรรคเป็นผลของกนั และกนั ง. มคี วามสมบูรณอ์ ยู่ในตวั เอง ๒. ลกั ษณะเด่นของพระพทุ ธศาสนาขอ้ ใดถกู ตอ้ งทส่ี ุด ก. เป็นศาสนามงุ่ ผลแห่งนพิ พาน ข. เป็นศาสนาแห่งเหตผุ ลมอี สิ รภาพเสรภี าพเป็นอเทวนยิ ม ค. เป็นศาสนามงุ่ พระโพธสิ ตั ว์ ง. เป็นศาสนามงุ่ พฒั นาตน ๓. หลกั ธรรมสำ� คญั ในพระพทุ ธศาสนามสี ่วนสำ� คญั อย่างไรต่อการเผยแผ่พระพทุ ธศาสนา ก.เป็นหลกั ในการดำ� เนนิ ชวี ติ ข.เป็นหลกั ช่วยในการปกครองบา้ นเมอื ง ค.ช่วยเป็นสารสอ่ื ใหผ้ ูฟ้ งั เขา้ ใจและปฏบิ ตั ติ าม ง.เป็นหลกั ช่วยในการเจรญิ วปิ สั สนา ๔. รูปแบบวธิ กี ารของพระพทุ ธศาสนาใชเ้ป็นหลกั ปฏบิ ตั ใิ นพระพทุ ธศาสนาอย่างไร ก. เพอ่ื เป็นแนวทางของพระอรหนั ต์ ข. เพอ่ื เป็นแนวทางในการหลดุ พน้ 01. - 1 (1-29).indd 27 5/10/2022 12:55:18 PM

28 ค. เพอ่ื เป็นแนวทางในการบำ� เพญ็ บารมี ง. เพอ่ื ใหเ้ป็นแนวทาง และหลกั ปฏบิ ตั ขิ องภกิ ษุ ภกิ ษุณี และคฤหสั ถท์ งั้ หลาย ๕. ขอ้ ใดเป็นลกั ษณะเด่นของพระพทุ ธศาสนาทศั นะของเสถยี ร โพธนิ นั ทะ ก. เป็นศาสนาทเ่ี กดิ ข้นึ เพอ่ื มนุษยโลก ข. เป็นศาสนาทส่ี อนใหค้ นไมย่ ดึ มนั่ ถอื มนั่ ค. เป็นศาสนามงุ่ หลกั พระนพิ พาน ง. เป็นศาสนาทเ่ี กดิ ข้นึ เพอ่ื ปรบั ปรุง และแกไ้ ขสงั คมอนิ เดยี ในยุคนนั้ ใหด้ ขี ้นึ ๖. หลกั การของปฏจิ จสมปุ บาทวา่ มอี ะไรเป็นกระบวนการเกดิ แรก ก. อวชิ ชา ข. ชาติ ค. วญิ ญาณ ง. นามรูป ๗. หลกั การของอรยิ สจั สว่ี า่ มกี ระบวนการพจิ ารณาอย่างไร ก. พจิ ารณาทค่ี วามเขา้ ใจในทกุ ขแ์ ละหนทางดบั ทกุ ข ์ ข. พจิ ารณาทเ่ี หตเุ กดิ ทกุ ขแ์ ละหนทางดบั ทกุ ข์ ค. พจิ ารณาทค่ี วามดบั แห่งทกุ ข์ ง. พจิ ารณาทห่ี าหนทางดบั ๘. หลกั การของกรรมวา่ มกี ระบวนการใหผ้ ลอย่างไร ก. ใหผ้ ลหลงั การกระทำ� ทนั ที ข. ใหผ้ ลตามระยะเวลาทก่ี ำ� หนด ค. ใหผ้ ลเป็นวบิ ากกรรมตดิ ตามไป ง. ใหผ้ ลทง้ั ก่อนทำ� และหลงั ทำ� กรรม ๙. หลกั การของไตรลกั ษณว์ า่ มกี ระบวนการเปลย่ี นแปลงอย่างไร ก. เกดิ ดบั ทกุ ขณะจติ ข. เกดิ ดบั ตามระยะเวลาของกรรม ค. เกดิ การเปลย่ี นแปลงตามเวลา ง. เกดิ ข้นึ ตงั้ อยู่ ดบั ไป ๑๐. หลกั การของมรรควา่ มกี ระบวนการใชใ้ นการดบั ทกุ ขอ์ ย่างไร ก. ใชเ้ป็นหนทางในการดำ� เนนิ ชวี ติ ข. ใชเ้ป็นแนวทางในการเล้ยี งชพี ค. ใชเ้ป็นแนวทางในการปฏบิ ตั งิ าน ง. ใชเ้ป็นหนทางปฏบิ ตั สิ ู่ความดบั ทกุ ข์ 01. - 1 (1-29).indd 28 5/10/2022 12:55:19 PM

เอกสารอา้ งองิ ประจำ� บท พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตโฺ ต). ความสำ� คญั ของพระพทุ ธศาสนาในฐานะศาสนาประจำ� ชาต.ิ พมิ พค์ รง้ั ท่ี ๑๐. กรุงเทพมหานคร: ธรรมสภาและสถาบนั บนั ลอื ธรรม, ๒๕๔๓. พระอดุ รคณาธกิ าร (ชวนิ ทร์ สระคำ� ). ประวตั ศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนาในอนิ เดีย. กรุงเทพมหานคร: โรงพมิ พ์ มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๔. พระราชธรรมนิเทศ (ระแบบ ิตาโณ). ประวตั ิศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา. พมิ พค์ รงั้ ท่ี ๔. กรุงเทพมหานคร: โรงพมิ พม์ หามกฏุ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๒. เสถยี ร โพธนิ นั ทะ. ประวตั ศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา ฉบบั มขุ ปาฐะ ภาค ๑. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หามกฏุ - ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๙. พระธรรมปิฎก (ป. อ. ปยุตโฺ ต). พทุ ธธรรม. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๖. พระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตโฺ ต). พจนานุกรมพทุ ธศาสน์ ฉบบั ประมวลศพั ท.์ พมิ พค์ รง้ั ท่ี ๑๒. กรุงเทพ- มหานคร : โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๕๑. มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั . พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบบั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั . กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๙. . พระไตรปิฎกภาษาบาลี ฉบบั มหาจุฬาเตปิฎกํ ๒๕๐๐. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาจฬุ า- ลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๙. สมเดจ็ พระญาณสงั วรสมเดจ็ พระสงั ฆราช (เจรญิ สุวฑฒฺ โน). หลกั กรรมในพระพทุ ธศาสนา. พมิ พค์ รง้ั ท่ี ๖. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หามกฏุ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๕๗. 01. - 1 (1-29).indd 29 5/10/2022 12:55:19 PM

บทท่ี ๒ พทุ ธประวตั ใิ นสมยั พทุ ธกาล พระเมธวี รญาณ, ผศ.ดร. รศ.ดร.ประพฒั น์ ศรีกูลกจิ วตั ถปุ ระสงคก์ ารเรยี นรูป้ ระจำ� บท เมอ่ื ศึกษาเน้ือหาในบทน้ีแลว้ ผูศ้ ึกษาสามารถ ๑. อธบิ ายและวเิ คราะหล์ ทั ธคิ วามเชอ่ื ก่อนสมยั พทุ ธกาลได้ ๒. อธบิ ายและวเิ คราะหล์ ทั ธคิ วามเชอ่ื ร่วมสมยั พทุ ธกาลได้ ๓. อธบิ ายและวเิ คราะหป์ ระวตั พิ ระพทุ ธศาสนาช่วงก่อนการตรสั รูไ้ ด้ ๔. อธบิ ายและวเิ คราะหป์ ระวตั พิ ระพทุ ธศาสนาช่วงการตรสั รูไ้ ด้ ๕. อธบิ ายประวตั พิ ระพทุ ธศาสนาช่วงหลงั ตรสั รูไ้ ด้ ขอบข่ายเน้ือหา  ความนำ�  ลทั ธคิ วามเชอ่ื ก่อนสมยั พทุ ธกาล  ลทั ธคิ วามเช่อื ร่วมสมยั พทุ ธกาล  ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนาช่วงก่อนตรสั รู้  ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนาช่วงการตรสั รู้  ประวตั พิ ทุ ธศาสนาช่วงหลงั การตรสั รู้ 02. - 2 (30-69).indd 30 5/10/2022 12:56:00 PM

บทท่ี ๒ พทุ ธประวตั ใิ นสมยั พทุ ธกาล 31 ๒.๑ ความน�ำ อารยธรรมชมพูทวปี ลุ่มแม่นำ�้ สนิ ธุ เป็นบ่อเกิดแห่งประเพณีวฒั นธรรมความเช่ือและลทั ธิทางศาสนา มกี ารเคารพนบั ถอื ธรรมชาติ เช่น ดนิ นำ�้ ลม ไฟ ต่อมาววิ ฒั นาการมาเป็นเทพพระเจา้ องคต์ ่าง ๆ สลบั สบั เปลย่ี น ความสำ� คญั ตามยุคสมยั ชนเผ่าท่อี าศยั อยู่แถบบริเวณดงั กล่าวน้ีมาก่อน คือ ชนเผ่าดราวนิ เดยี น หรือพวก มลิ กั ขะ (มผี วิ ดำ� ) เป็นชาวชมพทู วปี ในอดตี มปี ระวตั คิ วามเป็นมายาวนาน มที อ่ี ยู่เป็นหลกั แหลง่ 1 เคารพบูชา เทพเจา้ แห่งโลกธาต2ุ และธรรมชาติ คอื ดนิ นำ�้ ลม ไฟ ซง่ึ เป็นชาวพ้นื เมอื งดงั่ เดมิ ต่อมามชี นเผ่าอารยนั ทม่ี ี ถน่ิ ฐานอยู่ทางทะเลสาปแคสเป้ียนตอนกลางทวปี เอเซยี พากนั อพยพถน่ิ ฐานโดยแยกออกไปสองทาง พวกหน่ึง แยกไปทางเปอรเ์ ซยี อกี พวกหน่ึงแยกไปทางอนิ เดยี (ก่อนพทุ ธกาลประมาณ ๑,๐๐๐ ปี) แลว้ มาตงั้ ถน่ิ ฐานอยู่ บรเิ วณลมุ่ แมน่ ำ�้ สนิ ธุ เดมิ ทมี อี าชพี ลา่ สตั ว์ ประกอบอาชพี ทำ� นาทำ� ไร่มากกวา่ คา้ ขาย เป็นคนผวิ ขาว เคารพพระเจา้ หลายองคท์ เ่ี ป็นรูปแบบธรรมชาติ คอื ดนิ นำ�้ ไฟ ลม พระอาทติ ย์ พระจนั ทร์ และดวงดาว เป็นตน้ เพราะถอื วา่ สามารถใหค้ ุณใหโ้ ทษแก่พวกตนได้ ดนิ แดนแห่งน้ีเดมิ ทเี รยี กวา่ ชมพทู วปี อนั เป็นดนิ แดนอนิ เดยี โบราณ มดี นิ แดนกวา้ งใหญ่ไพศาล มผี ูค้ น หลายเผ่าพนั ธุอ์ ยู่อาศยั มที งั้ ผูท้ ่ีอาศยั เดิมและผูท้ ่ีอพยพเขา้ มาภายหลงั มกี ารปกครอง ชีวติ ความเป็นอยู่ ความเช่อื และการปฏบิ ตั ติ ามแนวความเขา้ ใจของตนทแ่ี ตกต่างกนั พระพทุ ธศาสนาเกิดข้นึ มาในท่ามกลางลทั ธิ หรอื แนวความคดิ ทเ่ี กดิ ข้นึ จากความหลากหลายเหลา่ นนั้ (ชมพทู วปี หรอื อนิ เดยี ในอดตี ครอบคลมุ พ้นื ท่ี อนิ เดยี ปากสี ถาน อฟั กานสิ สถาน เนปาล บงั คลาเทศ และภฏู าน)3 พระโคตมพทุ ธเจา้ มพี ระนามเดมิ ในภาษาบาลวี า่ สทิ ธฺ ตถฺ โคตม เป็นพระพทุ ธเจา้ พระองคป์ จั จบุ นั ผูเ้ป็น ศาสดาของศาสนาพทุ ธ สาวกของพระองคไ์ ม่นิยมออกพระนามโดยตรง แต่เรยี กตามพระสมญั ญาว่า “ภควา” (พระผูม้ พี ระภาคเจา้ ) 1 อารยธรรมลมุ่ แมน่ ำ�้ สนิ ธุ โมเหน็ โจ ดาโร (Mehenjo Dari) ในแควน้ สนิ ธุ และเมอื งฮารปั ปา (Harappa) แควน้ ปญั จาป ตะวนั ตก มกี ารวางผงั เมอื งอย่างดี มลี กั ษณะเมอื งทม่ี กี ำ� แพงเมอื งลอ้ มรอบ มถี นนสายตรงผ่านหลายสาย มยี ุง้ ขา้ วส่วนกลาง บา้ นมลี กั ษณะกวา้ งใหญ่สรา้ งดว้ ยอฐิ ประกอบดว้ ย หอ้ งนำ�้ หอ้ งสว้ ม ทอ่ ถา่ ยนำ�้ เสยี เป็นตน้ แสดงใหเ้หน็ ถงึ อารยธรรมเก่าแก่ทส่ี ุด ของเอเชยี ใต้ อยู่ในยุคสมั ฤทธ์ิ (Bronze Age) สมยั เดยี วกบั อารยธรรมอยี บิ โบราณ อารยธรรมเมโสโปเตเมยี และอารยธรรม มโิ นอนั ทเ่ี กาะครตี อารยธรรมน้ีเจรญิ มาก มเี มอื งทจ่ี ดั วางผงั อย่างดี พรอ้ มทงั้ ระบบชลประทาน รูจ้ กั เขยี นตวั หนงั สอื มมี าตรา ชงั่ -ตวง-วดั นบั ถอื เทพเจา้ ฯลฯ 2 โลกธาตุ (เจา้ โลกธาต)ุ ไดแ้ ก่ ไฟ ลม และนำ�้ เพราะถอื วา่ ทกุ อย่างมชี วี ติ และจติ ใจ และตวั ตน อา้ งใน พระพรหมคณุ าภรณ์ (ป. อ. ปยุตโฺ ต), กาลานุกรม พระพทุ ธศาสนาในอารยธรรมโลก, (กรุงเทพมหานคร : บ.ด่านสุทธาการพมิ พ,์ ๒๕๕๒), หนา้ ๓. ซง่ึ ต่อมาไดว้ วิ ฒั นาการเป็นเทพอคั คนี (ไฟ) วารุต (ลม) วรุณ (ผน) นภ (ทอ้ งไฟ) เป็นตน้ โดยมเี ทพสูงสุดคอื พระนารายณ์ มพี าหนะคอื นาค แมใ้ นสมยั พทุ ธกาล กลมุ่ ทน่ี บั ถอื ไฟกย็ งั มอี ยู่ เช่น ชฏลิ ๓ พน่ี อ้ ง คอื อรุ ุเวลกสั สปะ นทกี สั สปะ คยากสั สปะ 3 พระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตโฺ ต), พจนานุกรมพทุ ธศาสน์ ฉบบั ประมวลศพั ท,์ (กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์ มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๕๑), หนา้ ๗๙-๘๐. 02. - 2 (30-69).indd 31 5/10/2022 12:56:00 PM

32 ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา คมั ภรี พ์ ทุ ธศาสนาทง้ั นิกายเถรวาทและนิกายมหายานบนั ทกึ ตรงกนั ว่า พระโคตมพทุ ธเจา้ ทรงประสูติ ๖๒๓ ปี ก่อนคริสตศ์ กั ราช พระองคท์ รงดำ� รงพระชนมชีพอยู่ระหว่าง ๘๐ ปีก่อนพุทธศกั ราช จนถงึ เร่ิม พทุ ธศกั ราชซง่ึ เป็นวนั ปรนิ ิพพาน ตรงกบั ๕๔๓ ปี ก่อนครสิ ตกาลตามตำ� ราไทยซง่ึ อา้ งองิ ปฏทิ นิ สุรยิ คตไิ ทย และปฏทิ นิ จนั ทรคตไิ ทย และตรงกบั ๔๘๓ ปี ก่อนครสิ ตกาลตามปฏทิ นิ สากล พระโคตมพุทธเจา้ เป็นพระราชโอรสของพระเจา้ สุทโธทนะและพระนางสริ ิมหามายาแห่งแควน้ สกั กะ โคตมโคตร อนั เป็นราชสกุลวงศท์ ่ปี กครองกรุงกบลิ พสั ดุม์ าชา้ นาน ก่อนออกผนวชทรงดำ� รงพระอสิ สริยยศ เป็นรชั ทายาท เมอ่ื เสดจ็ ออกผนวชและบรรลสุ มั มาสมั โพธญิ าณเป็นพระพทุ ธเจา้ แลว้ ทรงไดร้ บั การถวายพระนาม ต่าง ๆ อาทิ พระศากยมนุ ,ี พระพทุ ธโคดม, พระโคดมพทุ ธเจา้ ฯลฯ แต่ทรงเรยี กพระองคเ์ องวา่ ตถาคต แปลวา่ พระผูไ้ ปแลว้ อย่างนน้ั คอื ทรงปฏญิ าณวา่ ทรงพน้ จากทกุ ขท์ ง้ั ปวง สำ� เรจ็ แลว้ ซง่ึ อรหตั ผล พระพทุ ธศาสนาอบุ ตั ขิ ้นึ ดว้ ยมลู เหตทุ แ่ี ตกต่างไปจากศาสนาอ่นื ๆ ทม่ี ใี นโลกโดยส่วนมาก ดว้ ยเหตทุ ่ี ไมไ่ ดอ้ า้ งถงึ การสรา้ ง การบนั ดาลจากพระเจา้ องคใ์ ด พระพทุ ธศาสนาเกดิ ข้นึ จากมนุษย์ โดยมนุษย์ เพอ่ื มนุษย์ เป็นเร่ืองความพากเพยี รพยายามของมนุษยท์ ่ถี ูกทางเป็นเร่ืองคุณงามความดที ่สี รา้ งสมอบรมมาในชาติต่าง ๆ จนบารมเี ต็มบริบูรณ์จนไดต้ รสั รูเ้ ป็นพระพุทธเจา้ พระพุทธศาสนามคี วามสำ� คญั ต่อชีวติ จิตใจของคนมาก เพราะเป็นศาสนาทส่ี อนใหเ้ขา้ ใจเร่อื งเหตแุ ละผลของการกระทำ� ทง้ั ทางกาย วาจา และใจ เช่อื วา่ เหตดุ ี ผลกต็ อ้ งดี เป็นศาสนาทม่ี ่งุ เนน้ เร่ืองของมนุษยส์ ำ� หรบั มนุษย์ เพอ่ื มนุษยโ์ ดยเฉพาะผูป้ ฏบิ ตั ติ ามคำ� สอนของพระพทุ ธองค์ กจ็ ะสามารถเขา้ ใจธรรมชาตขิ องชวี ติ จติ ใจจนถงึ ความเป็นผูม้ ชี วี ติ ทส่ี ะอาด สวา่ ง สงบ พบกบั ความสุขทแ่ี ทจ้ รงิ พระพทุ ธศาสนาสอนเนน้ เรอ่ื งการใชส้ ตปิ ญั ญาในการดำ� เนนิ ชวี ติ ใหพ้ ง่ึ ตนเอง เชอ่ื กฎแหง่ กรรม สอนใหพ้ ง่ึ ตนเอง ไมใ่ หร้ อแต่พง่ึ คนอน่ื สอนทางสายกลาง ไมท่ รมานตนเองใหเ้ดอื ดรอ้ นและไมป่ ลอ่ ยตนเองใหห้ ลงระเรงิ เกนิ ไป สอนไม่ใหป้ ระมาทในการใชช้ ีวติ การศึกษาถงึ ประวตั ิพทุ ธศาสนา จะทำ� ใหผ้ ูศ้ ึกษาเขา้ ใจถงึ การอุบตั ิข้นึ และ ความเป็นมาของพระศาสนาเพอ่ื ใหเ้กดิ ความมนั่ ใจในเหตกุ ารณต์ ่าง ๆ ทม่ี มี าแลว้ ในอดตี และเป็นแรงบนั ดาลใจ ใหเ้กดิ ความซาบซ้งึ ศรทั ธาจากการศึกษายง่ิ ๆ ข้นึ ไป ซง่ึ จะไดอ้ ธบิ ายในรายละเอยี ดตามหวั ขอ้ วตั ถปุ ระสงคท์ ไ่ี ด้ กำ� หนดต่อไป ๒.๒ ลทั ธคิ วามเช่ือกอ่ นสมยั พทุ ธกาล สงั คมชมพูทวปี หรอื ทเ่ี รารูโ้ ดยทวั่ ไป คือดนิ แดนของประเทศอนิ เดยี สมยั โบราณ เป็นดนิ แดนทม่ี คี วาม กวา้ งใหญ่ไพศาลมากมผี ูค้ นหลายเผ่าพนั ธุอ์ าศยั อยู่มที ง้ั ผูอ้ าศยั อยู่ดงั่ เดมิ และกลุ่มท่พี ากนั อพยพเขา้ มาทหี ลงั มกี ารปกครอง ชวี ติ ความเป็นอยู่ ความเช่อื และการปฏบิ ตั ติ ามแนวความเขา้ ใจของตนทแ่ี ตกต่างกนั พระพทุ ธ- ศาสนาเกิดข้นึ มาในท่ามกลางลทั ธิ นิกายต่าง ๆ เกิดข้นึ จากความหลากหลายเหล่านนั้ ซ่ึงกล่าวโดยสรุป มี ๒ ประการ คอื (๑) เช่อื วา่ ตายแลว้ เกดิ (๒) เชอ่ื วา่ ตายแลว้ สูญ กลา่ วคอื ถา้ เชอ่ื วา่ ตายแลว้ เกดิ อย่างแน่นอน กจ็ ดั เป็นมจิ ฉาทฏิ ฐิ เพราะวา่ ความคดิ นน้ั เป็น “สสั สตทฏิ ฐ”ิ (Eternalism) คอื เชอ่ื วา่ ทกุ สง่ิ ทกุ อย่างน้ีเป็นนริ นั ดร์ 02. - 2 (30-69).indd 32 5/10/2022 12:56:00 PM

บทท่ี ๒ พทุ ธประวตั ใิ นสมยั พทุ ธกาล 33 (Eternal) ไมม่ ดี บั สูญ อกี แนวคดิ เช่อื วา่ ตายแลว้ ดบั สูญ คอื ตายแลว้ ทกุ สง่ิ ทกุ อย่างดบั สูญ ความเหน็ วา่ อตั ตา และโลกจะดบั ส้นิ ไปหมดกเ็ ป็นมจิ ฉาทฏิ ฐเิ หมอื นกนั คอื จดั เป็น “อจุ เฉททฏิ ฐ”ิ (Annihilationism) เชอ่ื วา่ ดบั สูญ แนวคดิ ดงั กลา่ วน้ีไดร้ บั อทิ ธพิ ลมาจากศาสนาพราหมณส์ ่วนหน่ึง และลทั ธอิ น่ื ๆ ทเ่ี กดิ ข้นึ ก่อนพระพทุ ธศาสนา ลทั ธพิ ราหมณม์ แี นวคดิ เก่ยี วกบั พระเจา้ เป็นผูส้ รา้ งโลกและสรรพสง่ิ ตลอดถงึ ความเชอ่ื เร่อื งชนชนั้ วรรณะ ในสงั คมอนิ เดยี วรรณะ ในหลกั ความเช่อื ของศาสนาพราหมณ-์ ฮนิ ดู ไดแ้ บง่ คนทอ่ี ยู่เป็น ๔ วรรณะ มหี นา้ ท่ี ทแ่ี ตกต่างกนั ออกไปตามความสำ� คญั ของแต่ละบคุ คล เพอ่ื แบง่ หนา้ ทท่ี างสงั คม เรยี งตงั้ แต่สูงถงึ ตำ�่ คอื 4 ๑. พราหมณ์ (Brahmans) มหี นา้ ท่ศี ึกษาคมั ภรี พ์ ระเวท อบรมสงั่ สอนผูค้ นใหม้ คี วามรูท้ างดา้ น ขนบธรรมเนียมและประเพณี เป็นผูน้ ำ� ทางศาสนา เป็นตวั แทนของพระเจา้ ทำ� หนา้ ท่สี ่อื สารระหว่างพระเจา้ กบั ประชาชน มสี ปี ระจำ� ตวั คอื สขี าวเป็นสญั ลกั ษณ์ จดั เป็นชนชนั้ สูง เช่อื กนั วา่ “เกดิ จากพระโอษฐค์ อื ปากของ พระพรหม” ๒. กษตั รยิ ์ (Kshatriyas) ปกครองบา้ นเมอื ง มหี นา้ ทส่ี ูร้ บ รกั ษาชาตบิ า้ นเมอื ง มสี ปี ระจำ� ตวั คอื สแี ดง เป็นสญั ลกั ษณ์ จดั เป็นชนชนั้ สูง เช่อื กนั วา่ “เกดิ จากพระพาหาคอื แขนของพระพรหม” ๓. ไวศยะ หรอื วรรณะแพศย์ “Vaishyas” ศึกษาดา้ นพานชิ ยศาสตร์ การตลาด การคา้ ขาย ใชว้ าจา คา้ ขาย ไดแ้ ก่กลมุ่ พอ่ คา้ พานิช กสกิ รรม นกั ธุรกจิ เศรษฐี คหบดี ผูป้ ระกอบอาชพี ต่าง ๆ มสี ปี ระจำ� ตวั คอื สเี หลอื งเป็นสญั ลกั ษณ์ จดั เป็นชนชน้ั กลาง เช่อื กนั วา่ “เกดิ จากอทุ รคอื ทอ้ งของพระพรหม” ๔. ศูทร (Shudras) เป็นกลมุ่ แรงงาน กรรมการ มหี นา้ ทเ่ี ป็นกรรมกร ใชแ้ รงงาน การใหบ้ รกิ าร หรอื เป็นกลมุ่ ทาส เป็นกลมุ่ ชนทข่ี าดโอกาสทางสงั คม ไมม่ สี ทิ ธใิ ดๆ ในสงั คม มสี ปี ระจำ� ตวั คอื สดี ำ� เป็นสญั ลกั ษณ์ บรรดาวรรณะเหลา่ น้ี วรรณะชน้ั สูงกบั วรรณะชนั้ ตำ�่ จะไมค่ บคา้ สมาคมซง่ึ กนั และกนั เพราะมที ฏิ ฐมิ านะ ยดึ ถอื ในชนชนั้ วรรณะของตน การแต่งงานขา้ มวรรณะของวรรณะทง้ั ๔ เหล่านน้ั บุตรหรือธิดาท่ีเกิดมาจะกลายเป็น “จณั ฑาล” (Untouchable)5 ทนั ที ซง่ึ ถอื วา่ “เป็นวรรณะทต่ี ำ�่ กวา่ วรรณะทงั้ ปวง” 4 คณาจารย์ มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา ฉบบั ปรบั ปรุง, (กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๕๘), หนา้ ๘. 5 ในระบบวรรณะของศาสนาฮนิ ดู จณั ฑาล เป็นชนชน้ั ทางสงั คมชนชนั้ หน่ึง ซง่ึ จดั วา่ อยู่ในชนชนั้ ตำ�่ หมายถงึ คนทม่ี บี ดิ า และมารดาเป็นคนต่างวรรณะ จงึ เกดิ มาไรว้ รรณะ และมสี ถานะทางสงั คมตำ�่ ยง่ิ กวา่ วรรณะศูทร จณั ฑาลบางคนในอนิ เดยี กำ� เนิด มาจากวรรณะระดบั บ กอ็ าจไดร้ บั การยอมรบั จากคนในสงั คมมากกวา่ จณั ฑาลทก่ี ำ� เนดิ มาจากวรรณะระดบั ลา่ ง ในปจั จบุ นั มจี ณั ฑาล หลายคนทก่ี ำ� เนดิ มาจากวรรณะลา่ ง แต่สามารถเขา้ ไปมสี ่วนร่วมทางการเมอื งการปกครองของอนิ เดยี ได้ ในบรบิ ทสากล ผูม้ คิ วร ยุ่งเก่ยี ว (untouchable) หมายถงึ กลมุ่ คนทส่ี งั คมไมใ่ หก้ ารยอมรบั และไมอ่ ยากไปคบคา้ สมาคมดว้ ย อาทิ คนดำ� ในรวนั ดาและ แอฟรกิ าใต,้ บรุ ะกมุ นิ ในญป่ี ่นุ ยุคศกั ดนิ า ในปจั จบุ นั ทง้ั โลกมผี ูเ้วน้ ตอ้ งอยู่ราว ๑๖๐ ลา้ นคนซง่ึ ส่วนใหญ่เป็นจณั ฑาลทอ่ี าศยั อยู่ ในอนุภมู ภิ าคอนิ เดยี 02. - 2 (30-69).indd 33 5/10/2022 12:56:01 PM

34 ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา ศาสนาพราหมณ์ เป็นศาสนาประเภท “เทวนิยม” ชาวอารยนั เช่อื ในลทั ธิ “เทวนิยม” (Theism) เช่อื วา่ มเี ทพเจา้ สรา้ งโลกและจกั รวาล, จงึ มลี กั ษณะนำ� ไปสู่การเคารพนบั ถอื บูชาเทพเจา้ ในลกั ษณะต่างๆ ชาวอารยนั เชอ่ื วา่ พวกตนเกดิ จากเทพเจา้ สูงสดุ ทไ่ี มใ่ ช่มนุษยห์ รอื สตั ว์ไมส่ ามารถมองเหน็ ดว้ ยตา เทพเจา้ เหลา่ น้ีมศี กั ยภาพดลบนั ดาลใหท้ งั้ สง่ิ ทด่ี แี ละสง่ิ ชวั่ รา้ ยแก่มนุษยแ์ ละสรรพสตั ว์ ความเช่อื เช่นน้ีมพี ้นื ฐานมาจาก “คมั ภรี พ์ ระเวท” (Vedas) ซง่ึ เป็นคมั ภรี ท์ เ่ี ก่าแก่ทส่ี ุดของศาสนาพราหมณ์ คมั ภรี พ์ ระเวท เป็นประสบการณ์ท่พี ราหมณ์รวบรวมข้นึ จากประสบการณ์ทางศาสนา ต่อมาจดั เป็น ๔ หมวด ไดแ้ ก่ ฤคเวค (Rig Veda) ยชรุ เวท (Yajur Veda) สามเวท (Sama Veda) อาถรรพเวท (Athar Veda) - ฤคเวท คอื คมั ภรี ท์ บ่ี ทเป็นสวดสรรเสรญิ เทพเจา้ - ยชรุ เวท คอื คมั ภรี ท์ เ่ี ป็นบทสวดออ้ นวอนในพธิ บี ูชายญั ต่าง ๆ - สามเวท คอื คมั ภรี ท์ เ่ี ป็นบทเพลงขบั สำ� หรบั สวด หรอื รอ้ งเป็นทำ� นองบูชายญั - อาถรรพเวท คอื คมั ภรี ท์ เ่ี ป็นคาถา อาคม และคมั ภรี ไ์ สยศาสตร์ พระเวท (Veda) เป็นคมั ภรี ห์ ลกั ของ “ศาสนาพราหมณ-์ ฮนิ ดู” ถอื วา่ เป็นคมั ภรี ช์ น้ั ศรุติ คอื เป็นความรู้ ทางศาสนาและปรชั ญา ทฤ่ี าษที งั้ หลายผูเ้ป็นบูรพาจารยข์ องศาสนาพราหมณ์ ไดส้ ดบั มาจากพระพรหมโดยตรง แลว้ นำ� มาสงั่ สอนแก่พวกพราหมณผ์ ูม้ หี นา้ ทป่ี ระกอบพธิ กี รรมทางศาสนา หลงั จากนน้ั พวกพราหมณ์ ไดน้ ำ� สบื ต่อกนั มาโดยทางมขุ ปาฐะ คือ เลา่ ต่อปากกนั สบื ๆ มา ในคมั ภรี ์ ของศาสนาพราหมณ์ มไิ ดร้ ะบนุ ามของบรรดาฤาษผี ูเ้ป็นบูรพาจารยไ์ วโ้ ดยละเอยี ด อย่างไรกด็ ี ในพระไตรปิฎก มอี ยู่หลายสูตร เช่น อมั พฏั ฐสูตร และเตวชิ ชสูตรแห่งทฆี นิกาย สลี ขนั ธวรรค ไดก้ ลา่ วถงึ ฤาษี ๑๐ ตนว่า เป็นบูรพาจารยผ์ ูผ้ ูกมนตร์ และสอนมนตร์ (พระเวท) แก่พวกพราหมณ์ ไดแ้ ก่ “ฤๅษอี ฏั ฐกะ ฤๅษวี ามกะ ฤๅษี วามเทวะ ฤๅษเี วสสามติ ร ฤๅษยี มตคั คิ ฤๅษอี งั ครี ส ฤๅษภี ารทั วาชะ ฤๅษวี าเสฏฐะ ฤๅษกี สั สปะ ฤๅษภี คุ” ซง่ึ เป็นผูผ้ ูกมนตรบ์ อกมนตรท์ พ่ี วกพราหมณใ์ นเวลาน้ีขบั ตามกลอ่ มตาม ซง่ึ บทมนตรเ์ ก่า ทท่ี ่านขบั ไว้ กลอ่ มไว้ รวบรวมไว้ กลา่ วไดถ้ กู ตอ้ งตามทท่ี ่านกลา่ วไว้ บอกไดถ้ กู ตอ้ งตามทท่ี ่านบอกไว้ เพยี งคดิ ว่า ‘เรากบั อาจารย์ เรียนมนตรข์ องท่านเหล่านน้ั ’ เธอจกั ไดช้ ่ือว่าเป็นฤๅษหี รือผูป้ ฏบิ ตั ิเพอ่ื เป็นฤๅษเี พราะเหตุ เพยี งเท่านนั้ นนั่ ไมใ่ ช่ฐานะทจ่ี ะเป็นไปได6้ ศาสนาพราหมณ์ - ฮนิ ดู ถอื วา่ พระเวทมไิ ดเ้ป็นผลงานของมนุษย์ หากเป็นพระวจนะของพระเป็นเจา้ จงึ มคี วามถกู ตอ้ งสมบูรณโ์ ดยไมต่ อ้ งพสิ ูจน์ พระเวทคมั ภรี แ์ รก ไดแ้ ก่ ฤคเวท ดร. ราธกฤษณนั อดตี ประธานาธบิ ดแี ละนกั ปรชั ญาชาวอนิ เดยี สนั นษิ ฐาน ว่า คมั ภรี น์ ้ีเกิดมขี ้นึ เมอ่ื ประมาณ ๑,๐๐๐ ปีก่อนพทุ ธกาล, “ฤคเวท” เป็นประมวลบทสวดสรรเสริญเทพเจา้ ซง่ึ แต่งเป็นบทกวที เ่ี รยี กวา่ “โศลก” 6 ท.ี ส.ี (ไทย) ๙/๒๘๕/๑๐๔. 02. - 2 (30-69).indd 34 5/10/2022 12:56:01 PM

บทท่ี ๒ พทุ ธประวตั ใิ นสมยั พทุ ธกาล 35 เมอ่ื กาลเวลาผ่านไป การประกอบยญั กรรมมเี พม่ิ มากข้นึ จงึ ทำ� ใหเ้น้ือหาของคมั ภรี ฤ์ คเวทมเี พม่ิ มากข้นึ ดงั นน้ั เพ่อื ความสะดวกในการประกอบยญั กรรมพวกพราหมณ์ผูท้ ำ� พธิ ีจึงตดั ตอนคมั ภรี ฤ์ คเวท แบ่งแยก ออกเป็น ๒ คมั ภรี ์ คอื คมั ภรี ย์ ชรุ เวท และสามเวท จงึ เป็น ๓ คมั ภรี ์ ทง้ั ฤคเวท รวมเรยี กวา่ ไตรเวทหรอื ไตรเพท (Triveda) คำ� วา่ “ฮนิ ดู” เป็นคำ� นาม หมายถงึ ชอ่ื ศาสนาหน่ึงทเ่ี กดิ ในอนิ เดยี มวี วิ ฒั นาการมาจากศาสนาพราหมณ,์ ผูน้ บั ถอื ศาสนาฮนิ ดู, ถา้ เป็นคำ� วเิ ศษณ์ หมายถงึ ทเ่ี ก่ยี วกบั ศาสนาฮนิ ดู ศาสนาพราหมณ์ เป็นศาสนาแหง่ พธิ กี รรม, มบี ทบาทและมอี ำ� นาจมากต่ออทิ ธพิ ลความเชอ่ื ของประชาชน7 ในยุคตน้ เหลา่ พราหมณ์ (Brahmans) ทำ� หนา้ ทเ่ี ป็นสอ่ื กลางระหวา่ งเทพเจา้ กบั ประชาชน, เป็นทพ่ี งึ ของประชาชน ทางจติ วญิ ญาณ, เป็นครูของประชาชน, เป็นคนมกั นอ้ ย, มงุ่ มนั่ ในความเพยี ร, เคร่งครดั ในพธิ กี รรม, ประพฤติ ปฏบิ ตั พิ รหมจรรย,์ หมนั่ ขยนั ศึกษาคมั ภรี พ์ ระเวท และเสยี สละ พฒั นาการช่วงตน้ ของพราหมณ์ มบี ทบาท และมอี ำ� นาจมาก เป็นสอ่ื กลางระหว่างเทพเจา้ กบั ประชาชน เป็นทพ่ี ง่ึ ของประชาชนทางจติ ใจ เป็นครูของประชาชน เป็นคนมกั นอ้ ยสนั โดษ มงุ่ มนั่ เพยี รเพง่ เคร่งครดั ในพธิ กี รรม ประพฤตพิ รหมจรรย์ (พรฺ าหฺมณา เยภยุ เฺ ยน พรฺ หฺมจรยิ ํ จรนฺต)ิ ขยนั ศึกษาคมั ภรี พ์ ระเวท และเสยี สละ ต่อมา พวกพราหมณล์ งลมื บทบาทของตวั เอง เมอ่ื ไดร้ บั ความเคารพนบั ถอื มาก จงึ สำ� คญั ผดิ ไปวา่ ตนเป็นผูว้ เิ ศษ จงึ สำ� คญั ผดิ ตนเองไปวา่ “จงึ เกดิ ความหลงระเรงิ เกดิ ความยง่ิ ยโสในเพศและวรรณะ แสดงหาผลประโยชนจ์ ากพธิ กี รรม ดว้ ยวธิ ตี ่าง ๆ ลมุ่ หลงในลาภสกั การะ จงึ ทอดท้งิ การศึกษาพระคมั ภรี ์ แลว้ หนั ไปประกอบพธิ กี รรมเป็นหลกั ใหญ่ จนไรซ้ ง่ึ อดุ มการณพ์ ราหมณ”์ ในสมยั พราหมณ์ (พราหมณะ) ประกอบพธิ กี รรมสำ� คญั คอื ๑) ลทั ธิบูชายญั มอี ยู่ตง้ั แต่ชนเผ่าอารยนั หรืออริยกะ เขา้ มาสู่อินเดีย เป็นลทั ธิแบบผสมผสาน ของเจา้ ของถน่ิ เดมิ (ทราวฑิ ) ในยุคน้ีมกี ารบูชายญั พสิ ดารยง่ิ กว่าครงั้ แรก เช่น เดมิ ทบี ูชายญั ดว้ ยการฆ่าแพะ แกะ มา้ (อศั วเมธะ) แต่เมอ่ื ไมม่ แี พะ แกะ มา้ กป็ นั้ รูปสตั วเ์ หลา่ นนั้ ขน้ั มาแทน ถา้ ไมม่ เี ลอื ดสตั วท์ บ่ี ูชายญั กใ็ ชส้ ี แดงแทนเลอื ด การบูชายญั ขนั้ สูงสุดมนุษย์ (ชาย หญงิ -ปรุ สิ เมธะ) คอื ฆ่ามนุษยเ์ พอ่ื สงั เวย บูชา บวงสรงเทพเจา้ เพอ่ื ใหโ้ ปรดปราน สถานการณด์ งั กลา่ วเป็นแนวทางใหมแ่ สดงหาผลประโยชน์ หรอื รายไดใ้ หต้ นเอง ในช่วงปลาย พฒั นาการศาสนาพราหมณ์ จนถงึ ตน้ สมยั พทุ ธกาล ๒) ลทั ธิจารวาก หรือ ลทั ธิโลกยตั ิ เป็นลทั ธิท่สี อนใหเ้ ช่ือว่า กามารมณ์และวตั ถุ เป็นส่งิ น่าใคร่ น่าปรารถนา น่าพอใจ วตั ถเุ ป็นสง่ิ ทท่ี ส่ี ูงสุดเท่านนั้ ๓) ลทั ธทิ รมานตน ลทั ธนิ ้ีสอนใหเ้ช่อื วา่ ร่างกายเป็นบอ่ เกดิ แห่งกเิ ลสตณั หา การบำ� รุงร่างกายใหเ้หตุ เป็นปจั จยั ใหพ้ อพูนกิเลสตณั หาเฟ้ืองฟมุ ากยง่ิ ข้นึ จงึ คิดหาวธิ ีทรมานตนดว้ ยวธิ ีต่างๆ เพอ่ื เผาย่างกิเลสตณั หา ใหเ้หอื ดแหง้ ไป เรยี กวา่ บำ� เพญ็ ตบะ ซง่ึ เร่มิ แรกดว้ ยการออ้ นวอนเทพเจา้ บวงสรงเสเทพเจา้ และบูชายญั ดว้ ย 7 คณาจารย์ มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ประวตั ศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา, หนา้ ๙. 02. - 2 (30-69).indd 35 5/10/2022 12:56:01 PM


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook