Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore สารอาหารสำหรับคนไทย 2563

สารอาหารสำหรับคนไทย 2563

Published by ครูเกตุ, 2020-06-06 09:37:07

Description: สารอาหารสำหรับคนไทย 2563

Search

Read the Text Version

ผใู้ หญ่ การศกึ ษาคา่ เฉลยี่ การบรโิ ภคธาตทุ องแดงต่อวนั ใน 8 ประเทศในทวีปยุโรป การบริโภคธาตุทองแดง และ คา่ มธั ยฐาน ในกลมุ่ ผใู้ หญอ่ ายมุ ากกวา่ 18 ปี ในเพศชายและเพศหญงิ (ตารางท่ี 3) คา่ ปรมิ าณสารอาหารทพ่ี อเพยี ง ในแตล่ ะวนั ของผใู้ หญ่ ไดจ้ ากการศกึ ษา zero copper balance พบวา่ ปรมิ าณธาตทุ องแดง ทพี่ อเพยี งในแตล่ ะวนั สำ� หรับผู้ใหญ่ชาย และ หญิง เท่ากับ 1.6 และ 1.3 มิลลิกรมั ตอ่ วัน ตามล�ำดับ ตารางท่ี 3 ปริมาณธาตุทองแดงทพ่ี อเพยี งในแต่ละวนั ส�ำหรับผู้ใหญ่ หญิงต้ังครรภ์ ปรมิ าณของธาตทุ องแดงทตี่ อ้ งการตลอดการต้งั ครรภ์ คอื 16 มิลลิกรัมใน 280 วนั ซึง่ รวมปรมิ าณของ ธาตทุ องแดงของทารกในครรภแ์ ละรกดว้ ย โดยมคี วามสมั พนั ธก์ บั การเจรญิ เตบิ โตของเนอ้ื เยอ่ื มารดา ทารกในครรภ์ และรก หญงิ ต้งั ครรภ์ต้องไดร้ บั ธาตุทองแดงเพิม่ ขึ้นจากความตอ้ งการในหญิงทีไ่ ม่ได้ตัง้ ครรภ์ คอื 0.06 มิลลกิ รัม ต่อวนั (หรือ 16 มลิ ลิกรมั ต่อ 280 วัน) ธาตุทองแดงจากอาหารดูดซมึ ได้ ร้อยละ 50 ดงั นน้ั ปริมาณธาตุทองแดง ทพี่ อเพยี งในแตล่ ะวนั (Adequate Intake) ของหญงิ ตงั้ ครรภ์ จงึ เพม่ิ ขน้ึ จากทแี่ นะนำ� ในผใู้ หญห่ ญงิ 0.2 มลิ ลกิ รมั ต่อวนั หรอื ค่าทีแ่ นะน�ำให้บริโภคสำ� หรบั หญิงต้ังครรภเ์ ทา่ กบั 1.5 มิลลกิ รัมตอ่ วัน หญงิ ให้นมบุตร ปรมิ าณทองแดงในนำ้� นมแมจ่ ากการศกึ ษาในประเทศทางตะวนั ตก พบวา่ ใน 6 เดอื นแรกของการใหน้ มบตุ ร ความเข้มข้นของทองแดงในน�้ำนมมคี วามแปรปรวนตง้ั แต่ 0.1-1.0 มลิ ลิกรมั ต่อลติ ร จากนนั้ ปรมิ าณธาตุทองแดง ในนำ�้ นมแมจ่ ะลดลงในชว่ ง 6 เดือนแรก โดยเฉลยี่ ที่ 0.35 มิลลกิ รมั ตอ่ ลิตร คดิ ค่าเฉลยี่ ปริมาณน้�ำนมตอ่ วัน คอื 0.8 ลติ รตอ่ วัน ดงั นน้ั ปรมิ าณธาตุทองแดงทอ่ี อกไปกับนำ้� นมแม่ คือ 0.28 มลิ ลิกรมั ต่อวัน การดดู ซมึ ธาตทุ องแดง ไดเ้ พยี ง รอ้ ยละ 50 ดงั นนั้ จงึ แนะนำ� ใหบ้ รโิ ภคอาหารทม่ี ธี าตทุ องแดงเพมิ่ ขนึ้ 0.56 มลิ ลกิ รมั ตอ่ ปรมิ าณธาตทุ องแดง ท่ีควรไดร้ ับประจำ� วันส�ำหรับคนไทย แสดงไว้ในตารางท่ี 4 ปริมาณสารอาหารอา้ งองิ ทีค่ วรไดร้ บั ประจ�ำ วันส�ำ หรับคนไทย พ.ศ. 2563 350

ตารางท่ี 4 ปรมิ าณธาตทุ องแดงทีค่ วรได้รับประจ�ำวนั ส�ำหรบั คนไทยวัยตา่ ง ๆ * แรกเกิดจนถึงกอ่ นอายุ 6 เดือน † อายุ 1 ปี จนถงึ ก่อนอายุ 4 ปี แหลง่ อาหารของธาตทุ องแดง อาหารที่มธี าตทุ องแดงมาก ไดแ้ ก่ เน้ือสตั ว์ชนิดต่าง ๆ โดยเฉพาะตับมมี ากที่สุด รองลงมาได้แก่ อาหารทะเล เชน่ หอยนางรม ถว่ั เมลด็ แหง้ โกโก้ เชอรร์ ี เห็ด ธัญชาติ และเจลาติน น้ำ� ดม่ื ซงึ่ มแี รธ่ าตตุ า่ ง ๆ เจือปนอย่เู ลก็ นอ้ ย รวมทั้งยาเมด็ แรธ่ าตุรวม (multi-mineral supplements)1 ปริมาณสูงสุดของธาตทุ องแดงที่รับได้ในแต่ละวนั ปริมาณสงู สุดของธาตุทองแดงทีร่ ับได้แตล่ ะวนั {Tolerable Upper Intake level (UL)} คอื 5 มิลลกิ รมั ต่อวนั มรี ายงานท่แี สดงว่าการดืม่ ของเหลวและบรโิ ภคอาหารที่ปนเปอื้ นธาตุทองแดงปริมาณสงู จะมรี สชาติของ โลหะท่ีท�ำให้เกิดอาการไม่สบายของระบบทางเดินอาหาร เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ปวดศีรษะ เป็นตะคริวท่ีท้อง อุจจาระร่วง เปน็ ต้น ปรมิ าณสารอาหารอา้ งอิงที่ควรได้รบั ประจ�ำ วนั ส�ำ หรบั คนไทย พ.ศ. 2563 351

มังกานสี Manganese หน้าที่ส�ำ คัญในรา่ งกาย มงั กานสี มคี วามสำ� คญั ตอ่ เมตาบอลสิ มตา่ ง ๆ ในรา่ งกาย ไดแ้ ก่ เมตาบอลสิ มของกรดอะมโิ น คอเลสเตอรอล และคาร์โบไฮเดรต อีกทั้งยังเป็นแร่ธาตุท่ีจ�ำเป็นส�ำหรับการสร้างกระดูกและการทำ� งานของสมอง มังกานีส มบี ทบาทหนา้ ทส่ี ำ� คญั เกย่ี วขอ้ งกับเอนไซมต์ ่าง ๆ2 มังกานีสช่วยกระตนุ้ การท�ำงานของเอนไซมห์ ลายกลุ่ม ไดแ้ ก่ oxidoreductases (lyases, lygases, hydrolases, kinases, decarboxylases และ transferases) ซึง่ เอนไซม์ เหล่านี้อาจมีแร่ธาตุอื่นช่วยกระตุ้นร่วมด้วย เอนไซม์จ�ำเพาะท่ีต้องการมังกานีสเป็นตัวกระตุ้นเพียงอย่างเดียว ไดแ้ ก่ glycosyl transferase และ xylosyl transferase ซงึ่ มคี วามสำ� คญั ในการสรา้ ง proteoglycan ทเ่ี ปน็ สว่ น ประกอบสำ� คญั ในการสรา้ งกระดูก glutamine synthetase เป็นตวั เร่งปฏิกิรยิ าการสร้าง glutamine ในสมอง farnesyl pyrophosphate synthetase มคี วามสำ� คญั ในกระบวนการสงั เคราะหค์ อเลสเตอรอล และ phosphoenol- pyruvate carboxykinase มคี วามสำ� คญั ในขบวนการเผาผลาญกลโู คส มงั กานสี ยงั เปน็ สว่ นประกอบของเอนไซม์ ทมี่ แี รธ่ าตเุ ปน็ องคป์ ระกอบ (metalloenzymes) ทสี่ ำ� คญั 3 ชนดิ ไดแ้ ก่ arginase ซง่ึ เปน็ เอนไซมใ์ น cytoplasm ท�ำหน้าท่ีเกี่ยวกับการสร้าง urea เอนไซม์ pyruvate carboxylase เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาข้ันแรกของการสร้าง คารโ์ บไฮเดรตจาก pyruvate ภาวะผดิ ปกต/ิ ภาวะเป็นโรค อาการขาดมังกานีสยังไม่เห็นเด่นชัดในคน มีรายงานคนที่กินอาหารที่มีมังกานีสไม่เพียงพอเป็นเวลานาน จะมนี ำ้� หนกั ตวั ลดลง การงอกของผม เลบ็ และผวิ หนงั ผดิ ปกติ ระดบั คอเลสเตอรอลและกลโู คสในระบบไหลเวยี น เลอื ดลดลง ในเดก็ ทใี่ หอ้ าหารทางสายยางเปน็ เวลานานและขาดมงั กานสี พบวา่ มคี วามผดิ ปกตขิ องกระดกู และมี การเจรญิ เตบิ โตชา้ เมอ่ื เสรมิ มงั กานสี ใหพ้ บวา่ อาการดงั กลา่ วกลบั เปน็ ปกติ อาการขาดมงั กานสี ยงั มสี ว่ นเกย่ี วขอ้ ง กบั โรคกระดกู พรนุ เบาหวาน ลมชกั หวั ใจและหลอดเลอื ด ตอ้ และการหายของแผล นอกจากนนั้ การไดร้ บั มงั กานสี ในปริมาณที่ไม่เพียงพออาจเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งบางชนิดเนื่องจากร่างกายพร่องเอนไซม์ Manganese superoxide dismutase (MnSOD) ซง่ึ มฤี ทธิ์ต้านอนุมลู อสิ ระ ปรมิ าณทแ่ี นะน�ำให้บรโิ ภค2 เนื่องจากไม่มีข้อมูลการบริโภคมังกานีสของคนไทย การก�ำหนดข้อแนะน�ำการบริโภคจึงใช้ข้อมูลจาก การบริโภคสารอาหารทีพ่ อเพียงในแต่ละวนั (AI) จากขอ้ แนะน�ำของ EFSA และทอนดว้ ยน้�ำหนกั มาตรฐานของ คนไทยตามแตล่ ะกล่มุ วยั ทารก คา่ เฉล่ยี ปรมิ าณมงั กานสี ในนำ�้ นมแมใ่ นช่วง 6 เดือนแรก คอื 15 ไมโครกรมั ตอ่ ลติ ร และคา่ เฉล่ียปริมาณ นำ้� นม คอื 0.8 ลติ รตอ่ วนั ดงั นน้ั จงึ กำ� หนดปรมิ าณมงั กานสี ทท่ี ารกควรบรโิ ภคในชว่ ง 6 เดอื นแรก คอื 12 ไมโครกรมั ตอ่ วนั ในทารก อายุ 7-11 เดอื น รายงานในประเทศแคนาดา พบคา่ เฉลย่ี ปรมิ าณบรโิ ภคมงั กานสี ตอ่ วนั ในเดก็ อายุ 6 เดอื น และ 12 เดือน คอื 71 และ 80 ไมโครกรัมตอ่ น้ำ� หนกั ตัว 1 กโิ ลกรมั ตามล�ำดบั คา่ เฉลี่ยปริมาณมังกานีส ท่เี ดก็ ทารกท่ีดมื่ นมผสมเสริมมังกานสี คือ 110 และ 140 ไมโครกรัมตอ่ น้ำ� หนกั ตวั 1 กโิ ลกรมั ในเดก็ อายุ 6 เดอื น และ 12 เดอื น ตามลำ� ดบั ปริมาณสารอาหารอ้างองิ ทคี่ วรได้รบั ประจำ�วันส�ำ หรับคนไทย พ.ศ. 2563 352

เด็กและวยั รุน่ ปรมิ าณมงั กานสี ทไี่ ดร้ บั อยา่ งพอเพยี งในแตล่ ะวนั (Adequate Intake) ในเดก็ และวยั รนุ่ คำ� นวณเชน่ เดยี ว กบั ผใู้ หญจ่ ากการบรโิ ภคของชาวยโุ รป และทอนคา่ นำ้� หนกั ตวั มาตรฐานของเดก็ ไทยเปน็ ขอ้ กำ� หนดสำ� หรบั เดก็ ไทย ดังแสดงในตารางที่ 5 ผู้ใหญ่ การก�ำหนดค่าปริมาณมังกานีสที่ควรได้รับอย่างพอเพียงในแต่ละวัน (Adequate Intake) ศึกษาจาก mixed diet ในประชากรทวีปยุโรป ซ่ึงไม่มีอาการแสดงของการขาดมังกานีส จากข้อมูลการสำ� รวจค่าเฉล่ีย การบริโภคมังกานีสในผู้ใหญ่เพศชาย และเพศหญิง คือ ระหว่าง 2-6 มิลลิกรัมต่อวัน หรือเฉลี่ยประมาณ 3 มิลลกิ รัมต่อวนั ดังน้ัน จึงกำ� หนดปริมาณมังกานสี ท่ีควรไดร้ บั อยา่ งพอเพียงในแต่ละวนั (Adequate Intake) คือ 3 มลิ ลกิ รัมตอ่ วัน หญงิ ต้ังครรภแ์ ละหญงิ ใหน้ มบุตร ไมม่ ขี อ้ มลู การบรโิ ภคมงั กานสี ในหญงิ ตง้ั ครรภแ์ ละนำ้� หนกั ทเ่ี พมิ่ ขน้ึ ในชว่ งตง้ั ครรภไ์ มม่ ผี ลกระทบตอ่ ความ ตอ้ งการมงั กานสี เพราะวา่ รา่ งกายมกี ารควบคมุ ปรมิ าณมงั กานสี (homeostatic control of manganese) และ มังกานีสท่ีหลั่งมาในน้�ำนมแม่มีเพียงจ�ำนวนเล็กน้อย จึงไม่มีความจ�ำเป็นต้องเพิ่มค่าความต้องการมังกานีสจาก ค่าทแ่ี นะน�ำผูใ้ หญห่ ญงิ ดงั นัน้ ค่าปรมิ าณมงั กานสี ทไ่ี ดร้ ับอย่างพอเพยี งในแตล่ ะวนั (Adequate Intake) ในหญิง ตงั้ ครรภแ์ ละหญงิ ใหน้ มบตุ ร เทา่ กบั 3 มลิ ลกิ รมั ตอ่ วนั แลว้ ทอนดว้ ยนำ�้ หนกั มาตรฐานของไทย ดงั แสดงในตารางท่ี 5 ตารางที่ 5 ปริมาณมงั กานีสท่ีควรได้รับในแต่ละวันสำ� หรับคนไทยวัยตา่ ง ๆ * การคำ� นวณปริมาณมังกานสี ทพ่ี อเพยี งในแตล่ ะวัน ตามปรมิ าณน�้ำหนกั (Isometric scaling) โดยอา้ งองิ เทียบกบั น้ำ� หนกั ผู้ใหญ่ ค่าเฉล่ยี น�้ำหนักของผู้ใหญ่ 66.3 กโิ ลกรัม ควรได้รบั ปริมาณมังกานสี ทพ่ี อเพียงในแต่ละวนั 3 มลิ ลิกรมั ดังนนั้ นปำ�้รหมิ านณกั ม1ังกกาิโลนกสี รทัม่ีพอคเวพรยีไดงร้ในบั แปตร่ลมิ ะาวณนั มเทังก่าากนบั ีสคทา่่ีพนอ�ำ้ เหพนียกังใเนฉลแย่ีตใล่ นะปวรันะ0ช.า0ช4น5ไ2ทมยแลิ ตล่ลิกะรัมชว่ งอายุ × 0.0452 ( มลิ ลกิ รัมต่อวนั ) † ‡ ทารกแรกเกดิ ถงึ กอ่ นอายุ 6 เดอื น II อายุ 1 ปี ถงึ ก่อนอายุ 4 ปี ปริมาณสารอาหารอ้างองิ ทค่ี วรไดร้ บั ประจำ�วันส�ำ หรับคนไทย พ.ศ. 2563 353

ตารางที่ 6 ปริมาณมังกานีสอ้างอิงทค่ี วรไดร้ ับประจ�ำวันสำ� หรบั กลุ่มบุคคลวยั ตา่ งๆ * ทารกแรกเกดิ ถึงกอ่ นอายุ 6 เดือน † อายุ 1 ปี ถงึ กอ่ นอายุ 4 ปี ปริมาณสารอาหารอา้ งอิงทีค่ วรได้รับประจ�ำ วันส�ำ หรบั คนไทย พ.ศ. 2563 354

แหล่งอาหารของมงั กานีส มงั กานสี พบในอาหารประเภทต่าง ๆ โดยมปี ริมาณตง้ั แต่ 0.02 มิลลกิ รัมต่อ 100 กรัม ในอาหารจ�ำพวก เนอื้ สัตว์ชนดิ เปด็ ไก่ ปลา และผลติ ภัณฑ์นม ไปจนถงึ 2.0 มิลลกิ รัมตอ่ 100 กรมั ในธญั ชาติ ถั่วเมลด็ แหง้ และ ผลไมแ้ ห้ง ผักและผลไม้มีปรมิ าณมังกานีสประมาณ 0.05-2.0 มิลลิกรมั ต่อ 100 กรมั ชาและกาแฟ มปี ริมาณ มังกานีสสงู ถึง 30.0-70.0 มลิ ลกิ รมั ต่อ 100 กรมั ดงั นัน้ ผทู้ ่ีดม่ื น้�ำชาและกาแฟจะไดร้ ับมงั กานสี ถงึ ร้อยละ 10 ของปรมิ าณมังกานีสทงั้ หมดทีไ่ ดจ้ ากอาหาร ปรมิ าณสูงสดุ ของมังกานสี ทีร่ บั ไดใ้ นแต่ละวัน ค่าปรมิ าณสูงสุดของมงั กานีสที่รบั ไดใ้ นแต่ละวนั {Tolerable Upper Intake Level (UL)} จากการศึกษา ในประชากรยโุ รป คือ 11 มิลลกิ รัมตอ่ วัน ภาวะเป็นพิษ ภาวะเป็นพิษจากมังกานีสน้ันมีอาการที่จ�ำเพาะ อาจมีการชะงักการเจริญเติบโตและภาวะเลือดจาง อบุ ตั กิ ารณข์ องการเกดิ พษิ ของมังกานสี ทพ่ี บในคน ได้แก่ ในผู้ทีห่ ายใจเอาฝุ่นมังกานสี เขา้ ไปในปรมิ าณสงู พบการ เป็นพษิ ต่อระบบประสาทส่วนกลาง ผทู้ ดี่ ม่ื น้�ำที่มคี วามเขม้ ข้นของมังกานสี สงู (1,800-2,300 ไมโครกรัมต่อลติ ร) จะพบอาการผิดปกตขิ องประสาทสว่ นทีค่ วบคมุ การเคลื่อนไหว (motor nervous system) และในผ้ทู ี่ดืม่ นำ้� ท่ีมี การปนเปอื้ นของแบตเตอร่นี าน 2-3 เดือน พบอาการผิดปกตทิ างประสาทอยา่ งรนุ แรง แต่ไม่พบรายงานภาวะเป็นพิษจากการได้รับมังกานีสปริมาณสูงจากอาหาร ทั้งนี้ อาจเนื่องมาจาก bioavailability ของมงั กานสี ในอาหารต�่ำกว่าในนำ้� ด่ืม ปริมาณสารอาหารอ้างอิงท่คี วรไดร้ บั ประจำ�วนั ส�ำ หรบั คนไทย พ.ศ. 2563 355

โมลิบดนิ ัม Molybdenum หน้าทีส่ ำ�คญั ในรา่ งกาย โมลบิ ดนิ มั ทำ� หนา้ ทเี่ ปน็ โคแฟกเตอรข์ องเอนไซมใ์ นรา่ งกาย ไดแ้ ก่ sulphite oxidase, xanthine oxidase และ aldehyde oxidase เอนไซมเ์ หลา่ นเี้ กย่ี วขอ้ งกบั catabolism ของกรดอะมโิ นทม่ี กี ำ� มะถนั เปน็ สว่ นประกอบ และสารประเภท heterocyclic compound รวมทัง้ เบสของ DNA ท้งั purine และ pyrimidine โดยท่เี อนไซม์ sulphite oxidase ทำ� หน้าท่เี ปลี่ยน sulphite ใหเ้ ป็น sulfate เอนไซม์ xanthine oxidase ท�ำหนา้ ทีเ่ ปล่ียน hypoxanthine ให้เป็น xanthine และเปลย่ี นตอ่ ไปเป็นกรดยูรคิ ส่วนเอนไซม์ aldehyde oxidase ท�ำหนา้ ที่ ออกซิไดซ์และก�ำจัดพิษใน purine, pyrimidine, pteridine และสารจ�ำพวกเดียวกัน นอกจากน้ันโมลิบดินัม ยงั มคี วามเกยี่ วขอ้ งกบั การปกปอ้ ง receptor ของ glucocorticoid ซง่ึ เปน็ สเตอรอยดฮ์ อรโ์ มนทส่ี ำ� คญั ในรา่ งกาย3 ภาวะผิดปกต/ิ ภาวะเปน็ โรค โดยทวั่ ไปไม่พบการขาดธาตโุ มลบิ ดินมั ในคน แตค่ นไข้ทไ่ี ดร้ บั อาหารทางสายยางเป็นเวลานาน อาจมกี าร ขาดโมลบิ ดนิ มั ได้ โดยท่พี บความผดิ ปกติของเมตาบอลิสมของกรดอะมโิ นทีม่ ธี าตกุ �ำมะถนั เป็นส่วนประกอบและ นวิ คลโิ อไทด์ เนอ่ื งจากขาดเอนไซม์ sulphite oxidase ทำ� ใหเ้ กดิ ความเสยี หายตอ่ สมองและระบบประสาท อาจพบ การขาดเอนไซม์ sulphite oxidase ในเด็กเกดิ ใหมท่ มี่ ีความบกพร่องทางพันธกุ รรมได้เช่นกนั ปรมิ าณท่แี นะนำ�ใหบ้ รโิ ภค ทารกและเดก็ เลก็ ไม่มีข้อมูลเพียงพอส�ำหรับค�ำนวณปริมาณโมลิบดินัมท่ีแนะน�ำในแต่ละวันในวัยทารกและเด็กเล็ก ดังนั้น ในการค�ำนวณปรมิ าณโมลิบดินมั ทแ่ี นะนำ� ในแตล่ ะวนั ใช้การคำ� นวณตาม Isometric scaling จากน้�ำหนกั ผู้ใหญ่ และทอนตามน�้ำหนักมาตรฐานในเด็ก ดังน้ัน ในเด็กอายุ 7-11 เดือน ปริมาณโมลิบดินัมท่ีแนะน�ำในแต่ละวัน คดิ จาก Adequate Intake คอื 10 ไมโครกรมั ตอ่ วัน ผใู้ หญ3่ ค่าเฉลี่ยปริมาณการบริโภคโมลิบดินัมในแต่ละวันของชาวยุโรป ในผู้หญิง 58 ไมโครกรัมต่อวัน ผู้ชาย 74 ไมโครกรัมต่อวัน การศกึ ษา balance study (Zero Molybdenum balance) พบการสญู เสยี โมลิบดินมั 22 ไมโครกรมั ตอ่ วนั ใน 3 เดอื น การคำ� นวณหาคา่ ปรมิ าณโมลบิ ดนิ มั ทไ่ี ดร้ บั อยา่ งพอเพยี งในแตล่ ะวนั (Adequate Intake) ค�ำนวณตามปริมาณน�ำ้ หนักของผ้ใู หญอ่ ายมุ ากกว่า 18 ปี และใช้คา่ Isometric scaling ตามทีแ่ นะนำ� โดย WHO Reference Study Group ได้คา่ 66.3 กิโลกรัม ไดป้ รมิ าณโมลิบดินมั ทีค่ วรได้รบั ในแตล่ ะวันส�ำหรบั ผู้ใหญ่ คือ 65 ไมโครกรัมต่อวันและทอนด้วยน�้ำหนักมารฐานของคนไทยเป็นข้อแนะน�ำการบริโภคของคนไทย ดงั แสดงในตารางที่ 7 ส�ำหรบั หญิงตงั้ ครรภ์ และหญิงใหน้ มบุตร กำ� หนดปริมาณโมลิบดนิ มั ทีแ่ นะนำ� ในแตล่ ะวัน เท่ากบั ผใู้ หญห่ ญงิ ปรมิ าณสารอาหารอา้ งองิ ทค่ี วรไดร้ บั ประจ�ำ วนั ส�ำ หรบั คนไทย พ.ศ. 2563 356

ตารางที่ 7 ปรมิ าณโมลบิ ดนิ ัมทีพ่ อเพยี งในแตล่ ะวัน (Adequate Intake) * การคำ� นวณปรมิ าณโมลบิ ดนิ มั ทพี่ อเพยี งในแตล่ ะวนั ตามปรมิ าณนำ้� หนกั Isometric scaling โดยอา้ งองิ เทยี บกบั นำ�้ หนกั ผใู้ หญ่ ค่าเฉลีย่ น้�ำหนักของผู้ใหญ่ (หญงิ และชาย) คือ 66.3 กิโลกรมั ได้รบั ปริมาณโมลบิ ดนิ ัมทพี่ อเพยี งในแต่ละวัน 65 ไมโครกรัม ต่อวนั ดังนั้นน�้ำหนกั 1 กโิ ลกรัม ควรไดร้ ับปริมาณโมลิบดนิ ัมท่ีพอเพยี งในแตล่ ะวัน 0.9803 ไมโครกรัม ปรมิ าณโมลบิ ดนิ มั ทพี่ อเพยี งในแตล่ ะวนั สำ� หรบั คนไทย = คา่ นำ้� หนกั เฉลยี่ ในประชาชนไทยแตล่ ะชว่ งอายุ ×0.9803 (ไมโครกรมั ตอ่ วนั ) † ทารกแรกเกดิ ถึงกอ่ นอายุ 6 เดอื น ‡ อายุ 1 ปี ถงึ กอ่ นอายุ 4 ปี ปริมาณสารอาหารอา้ งองิ ทีค่ วรไดร้ บั ประจำ�วันสำ�หรบั คนไทย พ.ศ. 2563 357

ตารางที่ 8 ปรมิ าณโมลบิ ดนิ ัมอา้ งอิงทค่ี วรได้รบั ประจำ� วนั ส�ำหรับกลุม่ บคุ คลวัยตา่ งๆ * ทารกแรกเกิดถึงก่อนอายุ 6 เดือน † อายุ 1 ปี จนถึงก่อนอายุ 4 ปี ปริมาณสารอาหารอ้างองิ ทค่ี วรได้รับประจ�ำ วันสำ�หรับคนไทย พ.ศ. 2563 358

แหลง่ อาหารของโมลิบดนิ มั ปริมาณโมลิบดินัมท่ีได้รับจากอาหารข้ึนกับปริมาณของโมลิบดินัมที่มีอยู่ในอาหาร อาหารท่ีมีปริมาณ โมลิบดินัมมาก ได้แก่ น้ำ� นมและผลิตภัณฑ์ ถว่ั เมล็ดแห้ง ตบั ไต ธัญชาติ และขนมอบต่างๆ สว่ นอาหารประเภท ผัก ผลไม้ น�ำ้ ตาล นำ�้ มนั ปลา จะมโี มลิบดนิ มั ในปรมิ าณนอ้ ย ปรมิ าณสูงสดุ ของโมลบิ ดนิ ัมทรี่ บั ไดใ้ นแต่ละวัน ปริมาณสูงสุดของโมลิบดนิ ัมที่รับได้ในแตล่ ะวัน {Tolerable Upper Intake Level (UL)} คอื 0.6 มลิ ลกิ รมั ตอ่ วนั ภาวะเป็นพษิ การไดร้ บั โมลบิ ดนิ มั จากอาหารสงู ถงึ 10-15 มลิ ลกิ รมั ตอ่ วนั ทำ� ใหม้ อี าการคลา้ ยโรคเกาต์ และไตขบั ทองแดง ออกมาทางปสั สาวะมากขนึ้ และปรมิ าณทองแดงในรา่ งกายลดลง ปัจจุบันยังไม่มีข้อสรปุ เก่ยี วกบั ผลต่อสุขภาพ ทเ่ี กิดจากการไดร้ บั โมลบิ ดินมั สงู เกนิ ไป ปรมิ าณสารอาหารอา้ งองิ ทีค่ วรไดร้ บั ประจ�ำ วนั ส�ำ หรับคนไทย พ.ศ. 2563 359

โครเมยี ม Chromium หน้าทีส่ ำ�คัญในร่างกาย4 โครเมียมท�ำหน้าท่ีเสริมการท�ำงานของฮอร์โมนอินซูลิน จากการศึกษาพบว่า chromium-binding substance ท่มี นี ้�ำหนักโมเลกลุ ต่�ำ มบี ทบาทในเมตาบอลิสมของคาร์โบไฮเดรตและไขมันผา่ นกลไกของอินซูลนิ สารดังกล่าวจะจบั กบั insulin receptor (IR) โดยกระตุ้นการทำ� งานของ insulin receptor tyrosine kinase ทำ� ให้ inactive IR เปลยี่ นเป็น active IR ในประเทศไทยยงั ไมม่ ขี อ้ มลู เกยี่ วกบั โครเมยี มทไี่ ดร้ บั จากอาหาร สว่ นคนอเมรกิ นั ไดร้ บั โครเมยี มจากอาหาร ประมาณวนั ละ 12-16 ไมโครกรมั ตอ่ 1,000 กโิ ลแคลอรี โดยปกตริ า่ งกายดดู ซมึ โครเมยี มไดน้ อ้ ย (รอ้ ยละ <0.5-2) และเก็บสะสมทตี่ บั มา้ ม เน้อื เยื้อ และกระดกู โครเมียมท่ไี ม่ถกู ดดู ซึมจะถูกขบั ออกทางอุจจาระ ขณะท่โี ครเมยี ม ทถ่ี กู ดดู ซมึ จะถกู ขบั ออกทางปสั สาวะรอ้ ยละ 2 รา่ งกายจะไดร้ บั โครเมยี ม 10 ไมโครกรมั ตอ่ วนั ถา้ บรโิ ภคโครเมยี ม จากอาหาร 40 ไมโครกรัมตอ่ วนั ปัจจัยทีม่ ีผลตอ่ ความตอ้ งการโครเมียม การดดู ซมึ ของโครเมยี มในอาหารมปี จั จยั หลายชนดิ จากงานวจิ ยั ในคนและสตั วพ์ บวา่ วติ ามนิ ซเี พมิ่ การดดู ซมึ ของโครเมียมจากอาหาร คนปกตทิ ีบ่ ริโภคอาหารท่ีมนี �ำ้ ตาลสูง (ร้อยละ 35 ของพลงั งานทงั้ หมด) ทำ� ใหม้ ีการขับ โครเมียมออกทางปัสสาวะเพ่ิมขึ้น การทดลองในหนูพบว่าการเติมกรดอะมิโนในอาหารท�ำให้การดูดซึมของ โครเมยี มเพ่ิมขน้ึ 2 เทา่ ในทางตรงกนั ขา้ มอาหารท่ีมปี ริมาณไฟเตทสงู จะลดการดูดซมึ ของโครเมยี ม นอกจากน้ี การศกึ ษาในหนพู บวา่ การใช้ยาบางชนิด เช่น ยาลดกรด หรือ dimethylprostaglandin E2 ลดการดดู ซมึ ของ โครเมยี มและลดระดับโครเมียมท่ีคงอยใู่ นรา่ งกาย ภาวะผดิ ปกติ/ภาวะเป็นโรค มรี ายงานภาวะขาดโครเมยี มในผปู้ ว่ ยหญงิ ทไี่ ดร้ บั อาหารทง้ั หมดทางหลอดเลอื ดดำ� โดยไมไ่ ดเ้ สรมิ โครเมยี ม เป็นเวลานานกว่า 3 ปี โดยพบวา่ น�้ำหนักตัวลดลงและมอี าการชาปลายมือปลายเทา้ ระดับกลโู คส และกรดไขมนั อิสระในเลือดผิดปกติ เมื่อให้โครเมียม 250 ไมโครกรัมต่อวันในสารละลายที่ให้ทางหลอดเลือดด�ำเป็นเวลา 2 สปั ดาห์ พบวา่ เมตาบอลสิ มของกลโู คสดขี นึ้ ดงั นนั้ American Medical Association แนะนำ� ใหเ้ สรมิ โครเมยี ม วนั ละ 10-15 ไมโครกรัมแกผ่ ูป้ ว่ ยที่ไดร้ บั อาหารทางหลอดเลือดด�ำ การเสรมิ โครเมยี มไดผ้ ลดีในคนท่มี ี glucose tolerance test ผดิ ปกติ แตจ่ ะไมม่ ผี ลในคนทม่ี ี glucose tolerance test ปกติ การศกึ ษาในอาสาสมคั รทม่ี รี ะดบั คอเลสเตอรอลมากกวา่ 240 มิลลิกรัมตอ่ 100 มลิ ลลิ ิตร การเสรมิ โครเมยี มวันละ 150 ไมโครกรัม ชว่ ยลดระดบั total cholesterol, LDL-cholesterol และ apolipoprotein B การศกึ ษาในประเทศจนี พบวา่ การเสรมิ โครเมยี ม ใหผ้ ลดตี อ่ การควบคมุ ระดับน�ำ้ ตาลในเลอื ด ปริมาณสารอาหารอา้ งองิ ทคี่ วรได้รบั ประจำ�วันส�ำ หรับคนไทย พ.ศ. 2563 360

ปรมิ าณทแี่ นะน�ำ ใหบ้ รโิ ภค เน่ืองจากไม่มีข้อมูลเก่ียวกับภาวะโภชนาการของโครเมียมในคนไทย การกำ� หนดปริมาณโครเมียมอ้างอิง ที่ควรได้รับประจ�ำวัน (DRI) จึงใช้ข้อมูลปริมาณอ้างอิงท่ีควรได้รับประจ�ำวัน (DRI) ของประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นหลกั และปรับค่าตามนำ้� หนกั มาตรฐานของคนไทย และไมส่ ามารถก�ำหนดความต้องการโครเมยี มโดยเฉลย่ี {Average Rrequirements (AR)} และปริมาณโครเมียมท่ีควรได้รับประจ�ำวัน {Recommended Dietary Allowance (RDA)} ได้ปรมิ าณโครเมียมอา้ งองิ ทค่ี วรไดร้ บั ประจำ� วันของบคุ คลวยั ตา่ ง ๆ มีดงั น้ี ทารกอายุ 0-5 เดือน เนื่องจากไม่มีหลักฐานท่ีบ่งช้ีว่าปริมาณโครเมียมในน้�ำนมแม่ไม่เพียงพอต่อ ความต้องการของทารก ดงั นัน้ จึงสนับสนุนใหเ้ ลี้ยงทารกด้วยน�้ำนมแม่ 0.25 ไมโครกรัมต่อลิตรเปน็ ข้อแนะน�ำ ทารกอายุ 6-11 เดอื น ปริมาณโครเมยี มอ้างองิ ทคี่ วรได้รบั ประจ�ำวนั เทา่ กับ 5.5 ไมโครกรัม เดก็ และวยั รุ่นอายุ 1-18 ป4ี ดังแสดงในตารางที่ 9 ปรมิ าณสารอาหารอ้างองิ ท่คี วรไดร้ ับประจ�ำ วันสำ�หรับคนไทย พ.ศ. 2563 361

ตารางท่ี 9 ปรมิ าณโครเมียมอ้างอิงที่ควรไดร้ บั ประจำ� วนั ส�ำหรบั กลมุ่ บุคคลวยั ตา่ งๆ * ทารกแรกเกดิ ถงึ กอ่ นอายุ 6 เดอื น † อายุ 1 ปี จนถึงก่อนอายุ 4 ปี ปรมิ าณสารอาหารอา้ งองิ ท่ีควรไดร้ บั ประจ�ำ วันส�ำ หรับคนไทย พ.ศ. 2563 362

แหล่งอาหารของโครเมียม อาหารที่มีโครเมยี มสงู ได้แก่ ผกั ผลไม้ ธัญชาติ โดยเฉพาะธญั ชาติทไ่ี มไ่ ด้ขดั สี โดยทั่วไป เนื้อสัตว์ สตั วป์ กี ปลา และผลิตภณั ฑ์นมมีโครเมียมนอ้ ยกวา่ 1 ไมโครกรัมตอ่ 1 หนว่ ยบรโิ ภค ปรมิ าณสงู สุดของโครเมียมท่ีรับได้ในแตล่ ะวัน ปัจจุบนั ยงั ไม่มีข้อมลู เพยี งพอที่จะนำ� มากำ� หนดคา่ ปรมิ าณสงู สดุ ของโครเมียมท่ีรบั ได้ในแต่ละวัน ภาวะเปน็ พษิ มีรายงานภาวะไตล้มเหลวจากการกิน chromium picolinate ปริมาณสูง รสชาติของโครเมียมทำ� ให้เกดิ อาการไมส่ บายของระบบทางเดินอาหาร เช่น คลนื่ ไส้ อาเจียน ปวดศีรษะ เปน็ ตะคริวทที่ อ้ ง อุจจาระร่วง เปน็ ตน้ นอกจากนกี้ ารปนเปอ้ื นของสารประกอบ Cr6+ ทเี่ กดิ ในบรรยากาศบรเิ วณโรงงานอตุ สาหกรรมทำ� ใหเ้ กดิ โรคภมู แิ พ้ ของผวิ หนังและโรคมะเรง็ ปอด เอกสารอา้ งองิ 1. EFSA NDA Panel (EFSA Panel on Dietetic Products, Nutrition and Allergies), 2015. Scientific Opinion on Dietary Reference Value for copper. EFSA Journal. 2015;13(10):4253,51pp. doi:10.2903/j.efsa.2015.4253 2. EFSA NDA Panel (EFSA Panel on Dietetic Products, Nutrition and Allergies), 2013. Scientific Opinion on Dietary Reference Value for manganese. EFSA Journal 2013;11(11):3419,44pp. doi:10.2903/j.efsa.2013.3419 3. EFSA NDA Panel (EFSA Panel on Dietetic Products, Nutrition and Allergies), 2013. Scientific Opinion on Dietary Reference Value for molybdenum. EFSA Journal 2013;11(8):3333,35pp. doi:10.2903/j.efsa.2013.333 4. Food and Nutrition Board, Institute of Medicine. Dietary Reference Intakes for vitamin A, vitaminK, arsenic, boron, chromium, copper, iodine, iron, manganese, molybdenum, nickel, silicon, vanadium, and zinc. Washington D.C.:National Academies Press, 2002. ปรมิ าณสารอาหารอา้ งองิ ทค่ี วรไดร้ บั ประจ�ำ วนั สำ�หรบั คนไทย พ.ศ. 2563 363

ปรมิ าณสารอาหารอา้ งองิ ท่คี วรไดร้ บั ประจำ�วันส�ำ หรับคนไทย พ.ศ. 2563 364

น้�ำ และอิเลก็ โทรไลต์ ปรมิ าณสารอาหารอา้ งอิงท่คี วรได้รบั ประจำ�วนั สำ�หรบั คนไทย พ.ศ. 2563 365

ปรมิ าณสารอาหารอา้ งองิ ท่คี วรไดร้ บั ประจำ�วันส�ำ หรับคนไทย พ.ศ. 2563 366

น้�ำ Water สาระส�ำคญั นำ�้ เปน็ สง่ิ จำ� เปน็ ในการดำ� รงชพี ของสงิ่ มชี วี ติ ปฏกิ ริ ยิ าทเ่ี กดิ ขนึ้ ในกระบวนการเผาผลาญอาหาร (metabolic process) ตา่ ง ๆ ในรา่ งกายลว้ นอาศยั นำ้� เปน็ ตวั กลาง เซลลต์ า่ ง ๆ ในรา่ งกายของมนษุ ย์ นอกจากอยใู่ นสง่ิ แวดลอ้ ม ท่ีเป็นน�้ำแล้ว ยังมีแร่ธาตุซึ่งจัดเป็นอิเล็กโทรไลต์ (electrolytes) ท่ีส�ำคัญละลายอยู่ในส่วนที่เป็นน�้ำท่ัวร่างกาย การเปลย่ี นแปลงของนำ�้ จะมผี ลตอ่ การเปลยี่ นแปลงดา้ นความเขม้ ขน้ ของเกลอื แร่ และการเปลยี่ นแปลงของแรธ่ าตุ จะมผี ลทำ� ใหเ้ กดิ การเปลยี่ นแปลงดา้ นการกระจายของนำ้� ซงึ่ จะสง่ ผลตอ่ การทำ� งานของเซลลต์ า่ ง ๆ ภายในรา่ งกาย ดงั น้นั นำ�้ และอิเลก็ โทรไลตจ์ งึ มีความสัมพันธก์ นั จนไมส่ ามารถแยกจากกันได้ ความตอ้ งการนำ้� ของรา่ งกายขนึ้ กบั ความตอ้ งการพลงั งานของแตล่ ะกลมุ่ อายแุ ละเพศ ความตอ้ งการนำ�้ ของ ทารกอายุ 0-5 เดือน ขน้ึ กบั ปริมาณพลงั งานทที่ ารกไดร้ บั จากนำ�้ นมแม่ ทารกอายุ 0-5 เดอื น ควรได้รบั น้ำ� วันละ 1-1.5 มลิ ลลิ ติ รตอ่ กโิ ลแคลอรขี องพลงั งานทใี่ ช1้ คดิ เปน็ ปรมิ าณนำ�้ 750-1,125 มลิ ลลิ ติ รตอ่ วนั ซง่ึ เพยี งพอสำ� หรบั การเจริญเตบิ โตของทารก ทารกอายุ 6-11 เดือน มีความต้องการน�ำ้ 800 มิลลิลติ รต่อวัน เด็กอายุ 1-3, 4-5 และ 6-8 ปี มคี วามตอ้ งการนำ้� 1,000, 1,300 และ 1,400 มิลลลิ ิตรต่อวนั ตามล�ำดับ วัยรุ่นเพศชายอายุ 9-18 ปี มีความต้องการนำ้� 1,700-2,250 มิลลลิ ิตรตอ่ วนั วัยรุ่นเพศหญงิ อายุ 9-18 ปี มีความตอ้ งการนำ้� 1,600-1,850 มลิ ลลิ ติ รตอ่ วนั 2 ผใู้ หญเ่ พศชายอายุ 19-70 ปี มคี วามตอ้ งการนำ�้ 2,100-2,150 มลิ ลลิ ติ รตอ่ วนั ผใู้ หญเ่ พศหญงิ อายุ 19-70 ปี มคี วามตอ้ งการน�้ำ 1,750 มลิ ลิลิตรต่อวนั 2 ผ้ใู หญเ่ พศชายอายุ 71 ปีขน้ึ ไป มคี วามต้องการน้�ำ 1,750 มลิ ลลิ ติ รตอ่ วนั ผใู้ หญเ่ พศหญงิ อายุ 71 ปขี นึ้ ไป มคี วามตอ้ งการนำ�้ 1,550 มลิ ลลิ ติ รตอ่ วนั หญงิ ตง้ั ครรภไ์ ตรมาสที่ 2 และ 3 ควรเพ่ิมความต้องการนำ้� จากปกตอิ กี 300 มลิ ลลิ ติ รตอ่ วนั 2 และหญงิ ให้นมบุตรหลังคลอดบตุ รจนถงึ 1 ปี ควรเพมิ่ ความต้องการน้ำ� จากปกติอกี 500 มิลลลิ ิตรต่อวนั ปจั จบุ นั การดม่ื นำ�้ และเครอื่ งดมื่ ตา่ ง ๆ มหี ลายรปู แบบ3 มรี ายงานการศกึ ษาในผใู้ หญอ่ ายเุ ฉลยี่ 40 ปี จำ� นวน ประมาณ 17,000 คน ใน 13 ประเทศ จาก 3 ทวีป โดยท�ำการบนั ทึกการดืม่ น�ำ้ และเคร่อื งดื่มทกุ ชนิดในรอบ 7 วัน พบวา่ ปรมิ าณเฉลย่ี ของนำ�้ ทไี่ ดร้ บั คอื 760–1,780 มลิ ลลิ ติ รตอ่ วนั และพลงั งานจากเครอ่ื งดม่ื ของประชากร 2 ใน 3 พบวา่ สงู ถงึ 565-694 กโิ ลแคลอรตี อ่ วนั ซง่ึ เกนิ กวา่ ทอ่ี งคก์ ารอนามยั โลกไดก้ ำ� หนดไว้ นบั ไดว้ า่ เปน็ ปญั หาซอ่ นเรน้ ท่ีอาจถูกมองข้ามในระบบสาธารณสุข จึงควรมีการเฝ้าระวังและสร้างความตระหนักของการได้รับพลังงานเกิน จากการดม่ื เคร่ืองดม่ื ตา่ ง ๆ และควรให้ความสำ� คัญกับการดม่ื น�้ำเปลา่ ทป่ี ราศจากพลงั งาน ข้อมลู ทว่ั ไป รา่ งกายประกอบดว้ ยสว่ นทเี่ ปน็ ของแขง็ และสว่ นทเี่ ปน็ ของเหลว สว่ นทเ่ี ปน็ ของเหลวประกอบดว้ ยนำ้� และ แรธ่ าตุ การกระจายของของเหลวดงั กลา่ วเรม่ิ จากอาหารและนำ�้ เมอ่ื เขา้ สกู่ ระเพาะอาหารจะมกี ารยอ่ ย การดดู ซมึ ทกี่ ระเพาะอาหารเกดิ ขน้ึ นอ้ ยมาก ถา้ อาหารเคม็ จดั นำ�้ จะถกู ดงึ เขา้ มาในกระเพาะอาหารเพมิ่ ขน้ึ เพอ่ื ปรบั ความเขม้ ขน้ ให้ใกล้เคียงกับของเหลวในเลือด ของเหลวจากกระเพาะอาหารเม่ือผ่านไปสู่ล�ำไส้เล็ก ซ่ึงมีน�้ำย่อยหลั่งมาจาก ถงุ นำ�้ ดแี ละตบั ออ่ นเพอ่ื ยอ่ ยอาหารจำ� พวกไขมนั โปรตนี และคารโ์ บไฮเดรต สารอาหารตา่ ง ๆ ทไี่ ดร้ บั จากการยอ่ ย รวมทงั้ แร่ธาตุ วติ ามิน และนำ้� จะถูกดดู ซมึ เข้าสรู่ ่างกาย น้ำ� ทถี่ กู ดดู ซมึ จะเข้าสู่หลอดเลอื ดแล้วกระจายไปยงั สว่ นต่าง ๆ ของร่างกาย ปรมิ าณน้ำ� ในรา่ งกายของทารกมคี า่ เฉลี่ยร้อยละ 75-80 ของน้�ำหนกั ตวั เมอ่ื อายุเพ่ิมขึน้ ปรมิ าณน้ำ� ในร่างกายจะลดลง ผู้ใหญ่มีน�้ำในร่างกายเฉลี่ยร้อยละ 55-60 ของน้�ำหนักตัว4 ซึ่งเป็นน�้ำที่กระจายอยู่ในเซลล์ (intracellular fluid) ร้อยละ 40 และอยภู่ ายนอกเซลล์ (extracellular fluid) รอ้ ยละ 20 โดยเปน็ ของเหลวใน หลอดเลือดร้อยละ 5 ปริมาณสารอาหารอา้ งอิงท่ีควรไดร้ ับประจำ�วันส�ำ หรับคนไทย พ.ศ. 2563 367

การศึกษาถึงปริมาณน้�ำภายในร่างกายทั้งส่วนที่อยู่ในเซลล์และนอกเซลล์ เป็นการศึกษาท่ียุ่งยากและ ซับซ้อนมาก จากการค้นคว้าไม่พบการศึกษาในประเทศไทย แต่มีการศึกษาในต่างประเทศ ซ่ึงมีการก�ำหนด ความตอ้ งการนำ�้ ในวยั ตา่ ง ๆ โดยการใชค้ วามตอ้ งการพลงั งานเปน็ หลกั ดงั นนั้ จงึ ไดใ้ ชห้ ลกั การดงั กลา่ วมาพจิ ารณา กำ� หนดความตอ้ งการนำ�้ ใหเ้ หมาะสมส�ำหรับคนไทย นำ�้ เปน็ สารอาหารทส่ี ำ� คญั ทส่ี ดุ สำ� หรบั นกั กฬี า5 การตรวจสอบการขาดนำ�้ ของนกั กฬี าทำ� ไดโ้ ดยการชงั่ นำ�้ หนกั กอ่ นและหลงั การฝกึ ซอ้ ม เมอื่ พบวา่ นำ้� หนกั ลดลงควรเพม่ิ การดม่ื นำ�้ ในการฝกึ ซอ้ มครง้ั ตอ่ ไป อยา่ งไรกต็ าม ถา้ พบวา่ นำ้� หนกั เพม่ิ ขน้ึ เปน็ ไปไดว้ า่ ดมื่ นำ้� มากเกนิ ไป อาจมผี ลใหเ้ กดิ ภาวะโซเดยี มตำ�่ ในกระแสเลอื ดจากการออกกำ� ลงั กาย {(exercise-associated hyponatremia (EAH)} ซงึ่ เป็นอนั ตรายตอ่ รา่ งกาย ในปี ค.ศ.1988 มรี ายงานว่า พบการเกดิ EAH ครง้ั แรกจากการแขง่ ขนั comrades marathon ระยะทาง 88 กโิ ลเมตร ทป่ี ระเทศสหรฐั อเมรกิ า และพบในปี ค.ศ. 2011 ทส่ี ิงคโปร์ จากการแข่งขัน marathon และ double marathon (42 และ 84 กโิ ลเมตร ตามลำ� ดบั ) ในบรรยากาศที่ร้อนช้ืน ถงึ แม้อบุ ัตกิ ารณก์ ารเกิด EAH จะไมม่ ากนกั แตอ่ าจมีอนั ตรายถงึ ชวี ิตส�ำหรบั นกั กฬี า บทบาทหนา้ ท่ี น�้ำและอิเล็กโทรไลต์ เป็นสารอาหารซ่ึงต้องได้รับและขับถ่ายออกจากร่างกายในแต่ละวัน เม่ือได้รับมาก จะมกี ารขบั ถา่ ยออกมาก ถา้ ขบั ถา่ ยออกไมท่ นั จะเกดิ การคงั่ หรอื ถา้ มกี ารเสยี ไปมากกวา่ ทไี่ ดร้ บั จะเกดิ การขาดนำ้� และอเิ ลก็ โทรไลตไ์ ด้ รา่ งกายตอ้ งการนำ้� เพอื่ ใชใ้ นกระบวนการเผาผลาญอาหารใหไ้ ดพ้ ลงั งาน ใชใ้ นการดำ� รงชวี ติ และท�ำกจิ กรรมต่าง ๆ ร่างกายได้รับน้�ำจากการกินและการออกซิเดชนั (oxidation) ของสารอาหาร ส�ำหรบั การ สูญเสยี น้ำ� ในรา่ งกายจะสญู เสยี ไปทางผิวหนงั ลมหายใจ อุจจาระ และปสั สาวะ เปน็ ตน้ รา่ งกายมกี ารควบคุมน้ำ� ให้อยใู่ นสภาพสมดลุ เพ่ือให้เซลล์ทำ� งานได้เปน็ ปกติ กลไกนี้ประกอบดว้ ย ออสโมรเี ซบ็ เตอร์ (osmoreceptor) ชว่ ยรกั ษาระดบั ความเขม้ ขน้ ของสารละลายของนำ�้ ภายนอกเซลลแ์ ละภายใน เซลล์ ใหม้ คี า่ อยรู่ ะหวา่ ง 280 + 6 มลิ ลอิ คิ ววิ าเลนทต์ อ่ นำ�้ หนกั นำ้� 1 กโิ ลกรมั โดยทคี่ า่ ของโซเดยี ม มคี า่ อยรู่ ะหวา่ ง 130-150 มลิ ลอิ คิ ววิ าเลนทต์ อ่ 1 ลติ รของตวั ทำ� ละลาย รา่ งกายมกี ระบวนการกระจาย (integrative mechanism) ทก่ี ระต้นุ การกระหายน�้ำหรอื กระต้นุ การหลง่ั ของฮอรโ์ มนที่ยบั ย้ังการขบั ปสั สาวะและการท�ำหนา้ ท่ีของไต ภาวะผิดปกติ/ภาวะเปน็ โรค ภาวะของการได้รับน�้ำมากเกินกว่าอัตราการขับถ่ายของไต จะมีผลท�ำให้ความเข้มข้นของตัวถูกละลาย มคี า่ ต�่ำกวา่ ปกติ เรยี กภาวะนว้ี ่า ไฮโปออสโมลาริตี (hypo-osmolarity) เป็นภาวะที่มักไม่คอ่ ยพบในคนปกตทิ ่ีมี สุขภาพดี อาการของไฮโปออสโมลาริตที ่ีแสดงคอื มึนงง ความคิดสับสน หมดสติ ชักและอาจเสียชีวติ ได้ อาการ เหลา่ นน้ี อกจากขน้ึ กบั ปรมิ าณของนำ้� แลว้ ยงั ขนึ้ กบั ระดบั ของโซเดยี มและอตั ราการลดลงของโซเดยี มในของเหลว ในเลอื ดด้วย6 ปรมิ าณทแี่ นะน�ำใหบ้ รโิ ภค ปริมาณท่ีแนะน�ำให้บริโภคมีความสัมพันธ์กับความต้องการน�้ำของร่างกาย ดังน้ันในการหาปริมาณน้�ำท่ี ร่างกายต้องการเพ่ือรักษาสภาพร่างกายให้เป็นปกตินั้นจะต้องศึกษาในระดับการครองธาตุ4 แต่วิธีการท่ีปฏิบัติ คอ่ นข้างซบั ซอ้ นและผลท่ไี ด้มีความแปรปรวนมาก เนือ่ งจากความต้องการน้ำ� เพือ่ ให้เกิดความสมดลุ นั้น จะมีน้�ำ บางส่วนที่สูญเสียไปโดยไม่สามารถมองเห็นและรับรู้ได้ (insensible loss) นอกจากนั้นยังมีน�้ำส่วนที่จะต้องใช้ เพอ่ื รกั ษาความเขม้ ขน้ ของสารตา่ ง ๆ โดยการกกั เกบ็ หรอื ขบั ถา่ ยทไ่ี ต ซง่ึ จะเปลยี่ นแปลงไปตามสว่ นประกอบของ อาหารทก่ี นิ และยงั มผี ลจากปัจจยั อน่ื ๆ อกี จึงเป็นการยากทจ่ี ะหาปรมิ าณความตอ้ งการของนำ้� ทง้ั หมดไดอ้ ย่าง ถกู ต้องแม่นยำ� ปรมิ าณสารอาหารอ้างองิ ทีค่ วรไดร้ ับประจำ�วันสำ�หรับคนไทย พ.ศ. 2563 368

ปรมิ าณนำ�้ ทแ่ี นะนำ� ใหบ้ รโิ ภคจงึ ประเมนิ จากความตอ้ งการพลงั งาน โดยกำ� หนดใหน้ ำ้� ทคี่ วรไดร้ บั คอื 100- 150 มลิ ลิลติ รตอ่ 100 กโิ ลแคลอรขี องพลงั งานท่ีได้รบั ตอ่ วัน ดงั แสดงไว้ในตารางที่ 1 ตารางที่ 1 ปรมิ าณน�้ำอา้ งอิงทคี่ วรได้รบั ประจ�ำวันสำ� หรบั กลุ่มบุคคลวัยตา่ งๆ *+ แรกเกดิ จนถงึ ก่อนอายุ 6 เดอื น ข้ึนกบั ปจั จัยหลายอย่าง ทารกมีพืน้ ที่ผวิ กายมาก เมอื่ เทยี บกบั น้�ำหนักตัวและมีปรมิ าณนำ�้ ทารกอายุ 0-5 เดอื น ความต้องการน�ำ้ ในทารกแรกเกดิ ในร่างกายและน้�ำที่หมุนเวียนใช้ภายในร่างกายมาก ขณะทีไ่ ตมีความสามารถจ�ำกดั ในการขจัดน้ำ� และปรมิ าณสารสะลายต่างๆ ที่เป็นผลจาก เมตาบอลิสมของโปรตีน น�้ำนมแมม่ ีปริมาณโปรตีนทเี่ หมาะสมกับการเจรญิ เติบโตของทารก สว่ นนมผสมมีโปรตีนสูงกว่าน�ำ้ นมแม่ การไดร้ ับ คโปวราตมีนตส้องูงอกาาจรนทำ้�ำ� ขใหอท้งทารากรกเกขิดน้ึ ภกาบั วปะขริมาดาณน�้ำนอ้ำ� ยน่ามงแรุนม่ทแรไี่ ดงไ้รดบั ้ ใเนน่อืแงตจ่ลาะกวทนั าทรกาไรมก่สแารมกาเกรถดิ แ0ส-ด5งเอดาือกนาครกวรรไะดหร้ าบั ยนนำ้� �ำ้ วแันลละะไม1่ส-า1ม.5ารมถลิ บลอลิ กิตครวตาอ่ มกติโ้อลงแกคาลรอไรดี้ ของพลังงานท่ีใชค้ ิดเปน็ ปรมิ าณน้ำ� 750-1,125 มิลลิลิตรต่อวัน ซงึ่ เพยี งพอส�ำหรบั การเจรญิ เตบิ โตของทารก II อายุ 1 ปี จนถึงก่อนอายุ 4 ปี ปรมิ าณสารอาหารอา้ งองิ ทค่ี วรไดร้ บั ประจำ�วนั ส�ำ หรบั คนไทย พ.ศ. 2563 369

ค่าความต้องการของน�้ำที่ก�ำหนดในตารางท่ี 1 มีค่าใกล้เคียงกับปริมาณของน�้ำท่ีเพียงพอ (adequate intake) ทกี่ ำ� หนดโดยหนว่ ยงานความปลอดภยั ดา้ นอาหารแหง่ สหภาพยโุ รป {European Food Safety Authority (EFSA)} ทีไ่ ด้มกี ารปรบั ปรุงในปี พ.ศ. 2553 และ 25607, 8 ซ่งึ ไดร้ ะบวุ ่าคา่ ปรมิ าณของน�้ำท่ีเพียงพอจากขอ้ มูล การบริโภคน�ำ้ ในแตล่ ะช่วงอายุ รว่ มกบั ค่าความเข้มข้นของปัสสาวะอย่ใู นชว่ งทป่ี กติ และปริมาณนำ้� ตามพลงั งาน จากอาหารทบ่ี รโิ ภคดว้ ย โดยคา่ ปรมิ าณของนำ้� ทเี่ พยี งพอทกี่ ำ� หนดไวน้ นั้ อยภู่ ายใตส้ ภาพแวดลอ้ มทอี่ ณุ หภมู ไิ มร่ อ้ น หรอื หนาวมากเกนิ ไป (moderate environment temperature) และมกี จิ กรรมทางกายปานกลาง (moderate physical activity level) นักกีฬาหรือผู้ใช้แรงงาน นักกีฬาหรือผู้ใช้แรงงานจะมีการเสียเหง่ือมาก เน่ืองจากเหงื่อประกอบด้วยน้�ำ ร้อยละ 99 ทเ่ี หลือเปน็ แร่ธาตุ เมื่อร่างกายมีการเสยี เหงื่อทำ� ให้เกดิ การสญู เสยี น�้ำ เมื่อสูญเสยี น้ำ� จนถงึ ระดบั หนึ่ง จะมีผลต่อการท�ำงานของร่างกาย จากการศึกษาพบว่าการสูญเสียน�้ำ ร้อยละ 2 ของน�้ำหนักตัว มีผลท�ำให้ ประสิทธิภาพการท�ำงานลดลง หรือความสามารถในการเล่นกีฬาลดลงไปเหลือร้อยละ 905 ดังน้ันเพ่ือป้องกัน การเกิดปัญหาดังกล่าว จึงต้องให้ได้รับน้�ำอย่างเพียงพอกับความต้องการของร่างกาย การป้องกันไม่ให้นักกีฬา เกิดการเสียน�้ำ ควรดื่มน้�ำก่อนการฝึกซ้อมหรือเล่นกีฬา ขณะเล่น และหลังการเล่นกีฬา หากร่างกายขาดน�้ำ จะทำ� ใหน้ กั กฬี าฝกึ ซอ้ มหรอื เลน่ กฬี าไมไ่ ดเ้ ตม็ ที่ นกั กฬี าสามารถสงั เกตการเสยี นำ�้ ไดจ้ ากนำ้� หนกั ตวั ทลี่ ดลงเนอ่ื งจาก การฝึกซอ้ ม ถ้าน้ำ� หนักลดลงครง่ึ กิโลกรัม ควรทดแทนด้วยการดม่ื นำ้� 2 แก้ว และขณะท่มี ีการฝกึ ซอ้ มหรอื แขง่ ขนั ควรดมื่ นำ้� เปน็ ระยะ ๆ ไมค่ วรปลอ่ ยใหเ้ กดิ การกระหายนำ�้ ซงึ่ แสดงวา่ รา่ งกายขาดนำ�้ แลว้ นกั กฬี าทเ่ี ปน็ เดก็ จะพบ ปัญหารุนแรงมากกว่านักกีฬาท่ีเป็นผู้ใหญ่ การรับรู้ในการขาดน้�ำในเด็กจะเป็นเช่นเดียวกับในผู้สูงอายุซ่ึงมักจะ ชา้ กว่าในผูใ้ หญ่9,10 การค�ำนวณความต้องการน�้ำ การคำ� นวณมีหลกั ในการคดิ โดยใช้ปรมิ าณนำ�้ ต่อหน่งึ หนว่ ยน้ำ� หนกั ตวั หรือ ต่อหนว่ ยพืน้ ท่ผี วิ กาย เพ่ือให้ได้ปริมาณที่เหมาะสมสำ� หรบั แต่ละคน การคิดโดยใชต้ ่อหนง่ึ หน่วยน�ำ้ หนักตวั ไดผ้ ล ไมค่ ่อยดีนกั การคิดโดยใชต้ อ่ หนว่ ยพ้นื ท่ีผวิ กายใช้ไดด้ ีส�ำหรบั รา่ งกายทุกขนาด แต่การค�ำนวณและการคดิ พน้ื ที่ ผิวกายจ�ำเป็นต้องรู้น�้ำหนักและส่วนสูงเพื่อน�ำไปเปรียบเทียบหาค่าพ้ืนที่ผิวกายอีกซ่ึงยุ่งยากและไม่นิยมใช้ ดว้ ยเหตุผลดงั กล่าวจงึ ใชว้ ิธกี ารคำ� นวณความตอ้ งการของน�้ำโดยคิดจากปริมาณความตอ้ งการพลงั งาน การคำ� นวณความตอ้ งการนำ�้ โดยคดิ จากปรมิ าณความตอ้ งการพลงั งาน กำ� หนดใหน้ ำ�้ ทคี่ วรไดร้ บั คอื 100-150 มิลลลิ ติ รตอ่ 100 กโิ ลแคลอรี ของพลังงานท่ใี ช้จรงิ รวมกบั นำ้� ท่ีไดจ้ ากการออกซิเดชนั อกี ประมาณ 10-20 มิลลิลิตรต่อ 100 กิโลแคลอรี เมื่อได้น้�ำท่ีมีน�้ำตาลเป็นแหล่งของพลังงาน แต่ถ้าได้พลังงานจากโปรตีน จะตอ้ งใชน้ ำ้� ในการขบั ถา่ ยของเสยี เพมิ่ ขน้ึ จงึ ควรไดร้ บั นำ้� ประมาณ 150 มลิ ลลิ ติ รตอ่ 100 กโิ ลแคลอรี รวมกบั นำ�้ จาก ออกซิเดชันอกี 10-20 มลิ ลิลิตรตอ่ 100 กโิ ลแคลอรี รวมเป็นน้�ำทต่ี อ้ งการทัง้ หมดประมาณ 150-170 มลิ ลิลิตร ต่อพลังงาน 100 กโิ ลแคลอรี นอกจากนั้นมกี ารใช้พลงั งานเพื่อการเผาผลาญ ทำ� ใหเ้ กดิ ความรอ้ นในร่างกาย ขณะเดยี วกนั มขี องเสยี ทจี่ ะตอ้ งขบั ออกทางไต ทางลมหายใจ ในการรกั ษาสมดลุ ของรา่ งกายทง้ั ดา้ นอณุ หภมู แิ ละ การขบั ของเสยี ซง่ึ มนี ำ้� เปน็ ปจั จยั เพราะจะตอ้ งใชน้ ำ้� ระบายความรอ้ นออกทางผวิ หนงั และขบั ถา่ ยของเสยี ออกทางไต ดังนน้ั ความต้องการน้ำ� ซง่ึ ได้คดิ รวมปรมิ าณน้ำ� ที่ใช้เพ่ือทดแทนการสญู เสียไปทางอวัยวะตา่ ง ๆ แลว้ ดังน1ี้ 1 ปริมาณสารอาหารอา้ งอิงท่คี วรได้รับประจำ�วันสำ�หรับคนไทย พ.ศ. 2563 370

การสูญเสยี น�้ำ น้�ำที่สญู เสยี (มิลลิลติ รตอ่ 100 กโิ ลแคลอรี) การสญู เสยี น�้ำที่ไม่สามารถรับร้ไู ด้ (insensible loss) ทางปอด 45 ทางผวิ หนัง 15 30 การสญู เสียนำ�้ ที่สามารถรับรไู้ ด้ (sensible loss) 55-105 ทางเหงอ่ื 20 ทางอุจจาระ 5 ทางปสั สาวะ 30-80 รวมปรมิ าณนำ�้ ทส่ี ญู เสีย 100-150 ปรมิ าณนำ�้ ทแี่ นะนำ� ใหบ้ รโิ ภค จะตอ้ งเปน็ ผลรวมของปรมิ าณนำ�้ ทป่ี ระเมนิ ไดจ้ ากการใชพ้ ลงั งานของแตล่ ะ กลุ่มอายุ รวมกับปรมิ าณน�้ำทรี่ า่ งกายต้องสญู เสียไป ตวั อยา่ ง การค�ำนวณความตอ้ งการน�้ำของผู้ใหญ่ ผชู้ ายอายุ 50 ปี มีนำ้� หนัก 50 กิโลกรมั ตอ้ งการพลังงาน เมอ่ื คดิ จากนำ้� หนกั ตวั ไดเ้ ทา่ กบั 1,500+(20x30) = 2,100 กโิ ลแคลอรี ความตอ้ งการนำ้� 1-1.5 มลิ ลลิ ติ รตอ่ กโิ ลแคลอรี คดิ เป็นปรมิ าณน�้ำท่รี ่างกายตอ้ งได้รบั 2,100-3,150 มลิ ลิลติ ร แหล่งของนำ�้ แหลง่ สำ� คญั ของนำ�้ ทรี่ า่ งกายไดร้ บั สว่ นใหญม่ าจากการดม่ื นำ�้ ปกติ ในประเทศไทยนน้ั ประชากร มกั ไดร้ บั นำ้� จากการดมื่ นำ้� ปกติ ซง่ึ แตกตา่ งจากประเทศในยโุ รปและอเมรกิ าทไ่ี ดร้ บั นำ้� ในรปู ของเครอื่ งดม่ื ชนดิ ตา่ ง ๆ เปน็ สว่ นใหญ่ จากการส�ำรวจปริมาณน้ำ� ในอาหารท่ีไดร้ ับใน 1 วัน11 จากหลายประเทศระหว่างปี พ.ศ. 2520-2521 พบว่า คา่ เฉล่ียของปริมาณน้ำ� ทไ่ี ด้รบั เปน็ 2.8 ถว้ ย (680 มิลลิลติ ร) ต่อคนต่อวนั ในปี พ.ศ. 2524 พบว่าได้รับน�ำ้ จากการ ดม่ื นำ�้ นมเปน็ 11/3 ถ้วย (320 มิลลิลติ ร) ตอ่ คนต่อวนั ดม่ื น้ำ� ชา กาแฟเป็น 11/2 ถว้ ย (360 มลิ ลิลิตร) ต่อคนตอ่ วนั นำ้� อัดลมและเครอื่ งด่ืมชนดิ ตา่ ง ๆ อีก 13/4 ถ้วย (420 มิลลลิ ิตร) ตอ่ คนต่อวัน นอกจากนั้นการทีอ่ าหารบางชนดิ มนี ำ�้ เปน็ สว่ นประกอบ โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ ผกั และผลไมม้ นี ำ้� เปน็ สว่ นประกอบถงึ รอ้ ยละ 85-95 นบั เปน็ อกี ทางหนง่ึ ท่ีรา่ งกายได้รบั นำ้� ภาวะเปน็ พษิ การไดร้ บั นำ�้ มากเกนิ กวา่ อตั ราการขบั ถา่ ยของไตจะมผี ลทำ� ใหค้ วามเขม้ ขน้ ของตวั ถกู ละลายมคี า่ ตำ่� กวา่ ปกติ เรียกภาวะนวี้ า่ ไฮโปออสโมลารติ ี (hypoosmolarity) เป็นภาวะทเ่ี กดิ ได้ยากในคนปกติทม่ี สี ขุ ภาพดี อาการของ ไฮโปออสโมลาริตีท่แี สดงใหเ้ หน็ คือ มึนงง ความคิดสับสน หมดสติ ชกั และอาจเสียชวี ติ ได้ อาการเหลา่ นนี้ อกจาก ขน้ึ กบั ปรมิ าณของนำ้� แลว้ ยงั ขน้ึ กบั ระดบั ของโซเดยี มและอตั ราการลดลงของระดบั โซเดยี มในของเหลวในเลอื ดดว้ ย ปรมิ าณสารอาหารอา้ งอิงทค่ี วรไดร้ บั ประจ�ำ วนั สำ�หรับคนไทย พ.ศ. 2563 371

เอกสารอ้างองิ 1. Food and Nutrition Board, National Research Council. Recommended Dietary Allowances,10th ed. Washington, D.C.: National Academy Press, 1989. 2. Food and Nutrition Board, National Research Council. Recommended Dietary Allowances, 9th ed. Washington, D.C.: National Academy Press, 1980. 3. Guelinckx I, Fereira-Pego C, Moreno LA, Kavouras SA, Gandy J, Martinez H. et al. Intake of water and different beverages in adults across 13 countries. Eur J Nutr 2015; 54suppl(2):S45-S55. 4. Weisberg HF. Water, electrolyte and acid-base balance. 2nd ed. Baltimore: Waverly Press,1962;47. 5. อาหารและโภชนาการสำ� หรบั นกั กีฬา ใน: สุขมุ า รกั วานชิ สมใจ มามี พูนศรี เลิศลกั ขณวงศ์ อจั ฉรา พรเสถยี รกลุ บรรณาธกิ าร โภชนาการกบั การกฬี า กรงุ เทพมหานคร: โรงพมิ พอ์ งคก์ ารสงเคราะหท์ หารผา่ นศกึ 2539;36-7 6. Maxwell MH, Kleeman CR. Fluid and electrolyte disturbance in pediatrics: Clinical disorders of fluid and electrolyte metabolism. New York, NY: Mc Graw-Hill, 1962; 445-88. (Adapted from Holliday MA, Segar WE. Pediatrics 1957;19:823-32.) 7. European Food Safety Authority. Scientific Opinion on Dietary Reference Values for Water. Parma: EFSA Journal 2010;8:1459. 8. European Food Safety Authority. Dietary reference values for nutrients: Summary report. EFSA supporting publication. 2017. 9. Holliday MA, Segar WE. The maintenance need for water in parental fluid therapy. Pediatrics 1957;19:823-32. 10. กลั ยา กิจบุญชู เพมิ่ สมรรถภาพนักกฬี าดว้ ยโภชนาการ พิมพ์ครงั้ ที่ 2 กรุงเทพมหานคร: โอ เอส พริ้นตงิ้ เฮาส์ 2558 11. USDA (U.S. Department of Agriculture). Nationwide Food Consumption Survey. Nutrient Intakes: Individuals in 48 States. Year 1977-1978. Report no.1-2. Consumer Nutrition Division, Human Nutrition Information Service. U.S. Department of Agriculture, Hyattsville, 1984; Md. 439 pp. ปรมิ าณสารอาหารอา้ งอิงทค่ี วรได้รับประจ�ำ วันสำ�หรบั คนไทย พ.ศ. 2563 372

โซเดียม Sodium สาระสำ�คญั โซเดยี มจดั เปน็ แรธ่ าตทุ แ่ี ตกตวั เปน็ อเิ ลก็ โทรไลตท์ สี่ ำ� คญั ของของเหลวภายนอกเซลล์ เปน็ ไอออนทม่ี ปี ระจบุ วก (cation)* มอี ทิ ธพิ ลตอ่ การกระจายของนำ้� ในรา่ งกาย หนา้ ทท่ี สี่ ำ� คญั ของโซเดยี ม คอื รกั ษาระดบั ความเขม้ ขน้ ของ ออสโมลารติ ใี นของเหลวภายนอกเซลล์ ในขณะทโี่ ปตสั เซยี มรกั ษาระดบั ของออสโมลารติ ขี องของเหลวภายในเซลล์ ออสโมลารติ ขี องของเหลวภายนอกและภายในเซลลจ์ ะเทา่ กนั ดว้ ยความสมดลุ โดยการใหน้ ำ�้ ผา่ นเขา้ หรอื ออกจาก เซลล์ ปรมิ าณนำ�้ ภายนอกเซลลจ์ ะตอ้ งมเี พยี งพอ โดยเฉพาะสว่ นของของเหลวในหลอดเลอื ดเพอื่ ใหเ้ ลอื ดไหลเวยี น นำ� อาหารและออกซิเจนไปเล้ียงเซลลใ์ นอวยั วะต่าง ๆ ได1้ ร่างกายรักษาปริมาณของโซเดียมให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ โดยปรับอัตราการขับถ่ายให้อยู่ในสภาพสมดุลกับ ปรมิ าณทรี่ า่ งกายไดร้ บั ในแต่ละวนั การขาดโซเดียมในคนปกติจึงเกิดได้ยาก รา่ งกายขบั ถา่ ยโซเดียมได้ 3 ทาง คอื เหงอ่ื ปสั สาวะ และอจุ จาระ2 การขบั ออกมกี ลไกในการควบคมุ ปรมิ าณของโซเดยี ม เมอื่ ปรมิ าณของโซเดยี มมกี าร เปลี่ยนแปลง มีผลใหอ้ อสโมลารติ ีและปรมิ าณของของเหลวภายนอกเซลล์เปล่ยี นแปลงดว้ ย ร่างกายจะพยายาม รกั ษาแรงดงึ นำ้� ของของเหลวภายนอกเซลลห์ รอื ระดบั ของโซเดยี มในเลอื ดไมใ่ หม้ กี ารเปลย่ี นแปลงจนเกดิ อนั ตราย โดยการกกั เกบ็ หรอื ขบั ถา่ ยโซเดยี ม หรอื นำ้� หรอื ทง้ั สองอยา่ งทไี่ ต การทร่ี า่ งกายขาดนำ้� หรอื การทค่ี วามเขม้ ขน้ ของ โซเดียมในเลือดสงู จะกระตนุ้ กลไกการกระหายน�้ำเพื่อใหร้ ่างกายไดร้ บั นำ้� เพม่ิ เป็นการเพม่ิ ปรมิ าณของของเหลว และลดความเข้มข้นของโซเดยี ม ความต้องการโซเดยี มของทารกอายุ 0-5 เดือน ขึ้นกบั ปรมิ าณน้�ำนมแม่ท่เี ดก็ ปกตไิ ดร้ บั ตอ่ วัน ทารกอายุ 6-11 เดอื น มคี วามต้องการโซเดยี ม 175-550 มลิ ลกิ รัมตอ่ วัน เดก็ อายุ 1-3 ปี มีความตอ้ งการ 225-675 มิลลกิ รัม ตอ่ วัน เดก็ อายุ 4-5 และ 6-8 ปี มคี วามต้องการ 300-950 มิลลกิ รมั ต่อวัน วัยร่นุ เพศชายอายุ 9-12, 13-15 และ 16-18 ปี มีความต้องการ 400-1,175, 500-1,500 และ 525-1,600 มลิ ลกิ รัมต่อวัน ตามล�ำดบั วยั รุ่นเพศหญิง อายุ 9-12, 13-15 และ16-18 ปี มคี วามตอ้ งการ 350-1,100, 400-1,250 และ 425-1,275 มิลลกิ รมั ตอ่ วัน ตามล�ำดบั ผใู้ หญเ่ พศชายอายุ 19-30 ปี มคี วามตอ้ งการ 500-1,475 มลิ ลกิ รมั ต่อวนั ผ้ใู หญเ่ พศหญิง อายุ 19-30 มีความตอ้ งการ 400-1,200 มลิ ลิกรัมตอ่ วัน ผใู้ หญ่เพศชายอายุ 31-70 ปี มคี วามตอ้ งการ 475-1,450 มิลลกิ รมั ตอ่ วัน ผูใ้ หญเ่ พศหญิง อายุ 31-70 ปี มีความตอ้ งการ 400-1,200 มลิ ลกิ รมั ต่อวนั ผใู้ หญ่เพศชายอายุ 70 ปขี นึ้ ไป มคี วามตอ้ งการ 400-1,200 มลิ ลกิ รมั ตอ่ วนั ผใู้ หญเ่ พศหญงิ อายุ 70 ปขี น้ึ ไป มคี วามตอ้ งการ 350-1,050 มลิ ลกิ รมั ต่อวัน หญิงตั้งครรภ์ไตรมาสที่ 1,2 และ 3 มีความต้องการเพ่ิมขึ้นจากปกติอีก 50-200 มิลลิกรัมต่อวัน เนอ่ื งจากมกี ารเพิ่มขน้ึ ของของเหลวภายนอกเซลล์ ความตอ้ งการของทารกในครรภ์ และปริมาณน้�ำในถงุ น�ำ้ คร่�ำ หญิงให้นมบุตรมีความต้องการเพ่ิมจากปกติอีก 125-350 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งปริมาณโซเดียมดังกล่าวได้รับจาก การกินอาหารปกติก็เพยี งพอ3 * 1 มิลลิอิคววิ าเลนท์ของโซเดียม = โซเดยี ม 23 มลิ ลิกรมั ปรมิ าณสารอาหารอ้างอิงทค่ี วรได้รับประจำ�วนั สำ�หรับคนไทย พ.ศ. 2563 373

ขอ้ มลู ทว่ั ไป โซเดยี มเปน็ แรธ่ าตุธรรมชาติทรี่ ่างกายตอ้ งการ ร่างกายไม่สามารถผลติ โซเดยี มได้เอง จงึ จำ� เป็นต้องได้รับ จากอาหาร โซเดยี มในรา่ งกายสว่ นใหญอ่ ยใู่ นลกั ษณะทเ่ี ปน็ อเิ ลก็ โทรไลต์ ซงึ่ โซเดยี มเปน็ ไอออนประจบุ วก (cation) ทมี่ อี ยมู่ ากทส่ี ดุ ในของเหลวภายนอกเซลล์ (พลาสมา) ทรี่ า่ งกายขาดไมไ่ ดม้ อี ทิ ธพิ ลตอ่ การกระจายของนำ้� ในรา่ งกาย โดยมแี รงดึงน�้ำหรือมคี ่าออสโมลารติ อี ยรู่ ะหวา่ ง 280 ± 10 มลิ ลิออสโมล4 โซเดียมในร่างกายมี 2 ลักษณะ สว่ นใหญเ่ ป็นโซเดียมที่มกี ารแลกเปล่ียนได้ (exchangeable sodium) มอี ยรู่ อ้ ยละ 71 โดยแบง่ เปน็ โซเดยี มในนำ้� เลอื ดรอ้ ยละ 11 ในนำ�้ ภายนอกเซลลท์ นี่ อกเหนอื จากนำ�้ เลอื ดรอ้ ยละ 29 ในนำ้� ระหวา่ งเซลล์ (interstitial cell) รอ้ ยละ 2.5 ในนำ้� ภายในเซลล์ (intracellular) รอ้ ยละ 2.5 ในเนอื้ เยอ่ื เกย่ี วพนั (connective tissue) รอ้ ยละ 12 และในกระดกู รอ้ ยละ 14 มสี ว่ นนอ้ ย คอื ประมาณ รอ้ ยละ 29 เปน็ โซเดยี มทไี่ มม่ ี การแลกเปลีย่ น (non-exchangeable sodium) ซึง่ สว่ นใหญอ่ ยทู่ กี่ ระดูก4 บทบาทหน้าท่ี ร่างกายต้องการโซเดียมเพ่ือช่วยรักษาความสมดุลของแรงดันออสโมติกและการกระจายตัวของของเหลว ในร่างกาย ท�ำให้ระบบไหลเวียนของของเหลวภายในร่างกายเป็นปกติ ปริมาตรและออสโมลาริตีของของเหลว ขนึ้ อยกู่ บั ปรมิ าตรของน้ำ� และความเขม้ ขน้ ของโซเดียมในของเหลวภายนอกเซลล์ นอกจากนีโ้ ซเดยี มยังท�ำหนา้ ที่ สง่ สญั ญาณในระบบประสาทและกลา้ มเนอื้ โดยกระบวนการโซเดยี ม - โปตสั เซยี มปม๊ั (sodium - potassium pump) คือมีการเปลี่ยนแปลงระหว่างโซเดียมกับโปตัสเซียม และการเข้าจับกับคลอไรด์ท่ีไต โซเดียมยังช่วยรักษา ความสมดลุ ของกรด - ด่าง โดยการจบั กับไบคาร์บอเนตและคลอไรด์5 การควบคมุ ปรมิ าณโซเดยี มของรา่ งกาย6-8 รา่ งกายมกี ารสญู เสยี โซเดยี มทางผวิ หนงั ทางเดนิ อาหารและไต การควบคมุ ปรมิ าณของโซเดยี มใหอ้ ยใู่ นภาวะสมดลุ จงึ ขนึ้ อยกู่ บั การทำ� หนา้ ทขี่ องไตและกลไกการทำ� งานทเ่ี กดิ จาก ฮอรโ์ มนของตอ่ มหมวกไตและตอ่ มพทิ อุ ทิ ารี (pituitary gland) ไตทำ� หนา้ ทข่ี บั ถา่ ยโซเดยี มโดยกรองผา่ นโกลเมอรลู สั (glomerulus) ปริมาณของโซเดียมส่วนเกินจะถูกกรองผ่านออกไปพร้อมกับน�้ำ ขณะเดียวกันบริเวณท่อไตจะมี การดดู กลบั ของโซเดยี มพรอ้ มกบั นำ�้ เขา้ สรู่ า่ งกายใหมต่ ลอดความยาวของทอ่ ไต การดดู กลบั จะเกดิ มากทส่ี ดุ บรเิ วณ ส่วนตน้ ของท่อไต ฮอร์โมนอลั โดสเตอโรน (aldosterone) จะออกฤทธทิ์ ีท่ ่อไตช่วยใหม้ ีการดูดกลบั ของโซเดยี ม และขบั โปตสั เซียมออกที่ท่อไตสว่ นปลาย ฮอร์โมนอัลโดสเตอโรนและฮอร์โมนท่ียับยั้งการขับปัสสาวะ (antidiuretic hormone) ควบคุมปริมาณ ของโซเดียมและรักษาภาวะสมดุลระหว่างโซเดียมและน�้ำโดยวิธีการง่าย ๆ ดังน้ี คือ เมื่อปริมาณของโซเดียม ในของเหลวภายนอกเซลลล์ ดลง ตอ่ มอะดรีนลั (adrenal gland) จะส่งฮอรโ์ มนอัลโดสเตอโรนไปท่ไี ต เพอื่ ใหม้ ี การดดู กลบั ของโซเดยี ม เมอื่ ปรมิ าณของโซเดยี มภายนอกเซลลเ์ พมิ่ ขน้ึ อลั โดสเตอโรนจะลดลง มผี ลทำ� ใหโ้ ซเดยี ม ถกู ขบั ออกมาทางปสั สาวะ นอกจากนเี้ มอ่ื โซเดยี มในของเหลวภายนอกเซลลส์ งู ขน้ึ คา่ ออสโมลารติ ขี องนำ�้ ภายนอก เซลล์จะสูงข้ึนด้วย กระตุ้นให้มีการหลั่งฮอร์โมนที่ยับย้ังการขับปัสสาวะ ดังน้ันเม่ือโซเดียมในของเหลวภายนอก เซลลล์ ดลง จะมีผลท�ำให้ออสโมลาริตีของน้�ำภายนอกเซลล์ลดลงดว้ ย ภาวะผิดปกติ/ภาวะเปน็ โรค ผลของโซเดียมตอ่ สขุ ภาพ ในภาวะปกตริ า่ งกายจะรกั ษาความสมดลุ ของการครองธาตโุ ซเดยี ม เชน่ เมอ่ื รา่ งกายไดร้ บั โซเดยี มมากเกนิ ความตอ้ งการ รา่ งกายจะขบั ออกทางไต และเมอ่ื รา่ งกายไดร้ บั โซเดยี มนอ้ ยเกนิ ไปจะมกี ารดดู ซมึ กลบั ของโซเดยี ม เข้าสรู่ ่างกายเพ่ือรกั ษาสมดลุ แต่ในบางภาวะรา่ งกายอาจมปี ริมาณของโซเดียมนอ้ ยหรอื มากเกินไป ดังเช่น ปริมาณสารอาหารอ้างอิงทค่ี วรได้รับประจ�ำ วนั ส�ำ หรับคนไทย พ.ศ. 2563 374

ภาวะท่รี า่ งกายขาดโซเดียม ระดบั โซเดยี มในเลอื ดน้อยกวา่ 135 มลิ ลอิ คี ววิ าเลนทต์ ่อลิตร ภาวะนี้เรียกว่าภาวะโซเดียมในเลอื ดตำ่� (hyponatremia)9 ส�ำหรับค่าท่นี ้อยกว่า 100 มลิ ลอิ ีคววิ าเลนทต์ ่อลติ ร จะท�ำให้เสยี ชวี ติ ได้ ภาวะดังกล่าว จะเกดิ ข้ึนเม่อื 1. ร่างกายมีการสญู เสยี โซเดียมไปพรอ้ มกับการสูญเสยี นำ้� โดย 1.1 ทางผวิ หนงั เชน่ การเสยี เหงอื่ มาก การถกู ไฟไหม้หรอื น�้ำรอ้ นลวก เป็นผลใหร้ ่างกายสญู เสียน�้ำ ภายนอกเซลล์มาก ดงั นนั้ ปรมิ าณโซเดียมจึงมกี ารสญู เสยี ไปด้วย 1.2 ทางระบบทางเดินอาหาร เช่น อาเจียนอย่างรุนแรง อุจจาระร่วง หรือกินยาถ่ายติดต่อกัน เปน็ เวลานาน 1.3 ทางไต เช่น การได้รบั ยาขบั ปัสสาวะเป็นเวลานาน โรคไตทเ่ี กดิ จากประสิทธภิ าพการท�ำงานลดลง หรือต่อมหมวกไตท�ำงานนอ้ ยลง 2. ระดับโซเดยี มในเลอื ดลดลงเน่ืองจากการได้รบั น�ำ้ เพมิ่ ข้ึน ดังนี้ 2.1 ทางปาก ดม่ื นำ้� มาก มกั รว่ มกบั ความบกพรอ่ งในการขบั ถา่ ยนำ�้ โดยเฉพาะภาวะไตวายเฉยี บพลนั 2.2 ทางทวารหนกั เช่น การสวนด้วยน�ำ้ 2.3 ทางหลอดเลือดดำ� เม่ือมีการใหอ้ าหารทางหลอดเลอื ดด�ำ หรือให้สารละลายทางเสน้ เลือด 2.4 ทางการหายใจ เช่น ทารกทต่ี อ้ งบรบิ าลในตูอ้ บที่มคี วามช้ืนสงู เปน็ เวลานาน นอกจากนน้ั การเพม่ิ ขนึ้ ของเมตาบอลสิ มเนอื่ งจากการอกั เสบทางรา่ งกายมผี ลทำ� ใหน้ ำ�้ ในรา่ งกายเพม่ิ ขน้ึ สง่ ผลใหต้ รวจพบระดบั ของโซเดยี มในเลอื ดลดลงด้วย 3. ร่างกายมีระดับโซเดียมในเลือดลดลงเน่ืองจากร่างกายไม่สามารถขับถ่ายน้�ำออกได้ตามปกติ เช่น โรคหวั ใจล้มเหลวอยา่ งรนุ แรง โรคไตวาย และโรคตับ เปน็ ต้น ภาวะร่างกายมโี ซเดยี มสงู ค่าของโซเดียมในเลือดสูงกว่าค่าปกติมากกว่า 145 มิลลิอีควิวาเลนท์ต่อลิตร เรียกว่าภาวะโซเดียม ในเลอื ดสงู (hypernatremia) มกั พบในเดก็ เลก็ ทม่ี คี วามผดิ ปกตใิ นการควบคมุ ระดบั นำ�้ ภายในรา่ งกาย เชน่ ทารก คลอดกอ่ นก�ำหนด การได้รบั อาหารที่มโี ซเดยี มหรอื เกลือมากแต่รบั น้ำ� ไมเ่ พยี งพอ การเสยี น�ำ้ มากทางการหายใจ ขณะหอบหรอื เกดิ จากความผิดปกตขิ องต่อมไฮโปทลั ลามสั (hypothalamus) โซเดยี มกับการท�ำงานของไต การบรโิ ภคโซเดยี มมากเกนิ ความตอ้ งการสง่ ผลตอ่ การเปน็ โรคไตดว้ ย คอื จะเรง่ ภาวะเสอื่ มของไต ทำ� ให้ เกิดภาวะโปรตนี อัลบูมินรว่ั ในปสั สาวะ (increased urinary albumin excretion) รวมถงึ เกิดพังผดื ท่ไี ต (renal fibrosis) มีการศกึ ษาพบวา่ ผทู้ ่บี รโิ ภคโซเดยี มมากกวา่ 4,600 มลิ ลิกรัมตอ่ วนั (เกลือ 2 ช้อนชา) มีอัตราการขับ ครีเอตินิน (creatinine) ลดลงและภาวะโปรตีนร่ัวในปัสสาวะสูงข้ึนเมื่อเทียบกับผู้ท่ีบริโภคโซเดียมน้อยกว่า 2,300 มลิ ลิกรัมต่อวัน การลดการบรโิ ภคโซเดียมจาก 3,800 มิลลิกรัมต่อวันเป็น 2,500 มลิ ลกิ รัมต่อวัน จะลด ภาวะโปรตนี ร่วั ในปสั สาวะ ซง่ึ จะลดโอกาสการเกิดภาวะไตวาย10 โซเดยี มกับปริมาณแคลเซียมและกลไกการเปลย่ี นแปลงของกระดกู การบริโภคโซเดียมสูงยังเพิ่มความเส่ียงต่อการเป็นโรคกระดูกพรุนจากการสูญเสียธาตุแคลเซียมผ่าน ปสั สาวะ11 การศกึ ษาในผู้ชาย 410 คนและผหู้ ญงิ 476 คน อายุ 20-79 ปี พบวา่ การบรโิ ภคโซเดียมสูงมีความ สัมพนั ธก์ ับการสญู เสียแคลเซยี มและสารไฮดรอกซโี พรลีน (hydroxyproline) ทางปัสสาวะมาก11 ซ่ึงแสดงว่ามี การสลายของเนอื้ เยอื่ ทกี่ ระดกู การบรโิ ภคโซเดยี มเพม่ิ ขน้ึ วนั ละ 1.2 ชอ้ นชา (คดิ เปน็ เกลอื โซเดยี มคลอไรด์ 5.9 กรมั ) จะท�ำใหแ้ คลเซียมถกู ขับออก 23-39 มิลลิกรัม ความสัมพนั ธ์นีเ้ กิดขน้ึ ทัง้ เพศชายและเพศหญิง เด็กและผูส้ งู อายุ ปรมิ าณสารอาหารอ้างอิงทคี่ วรได้รบั ประจำ�วนั สำ�หรับคนไทย พ.ศ. 2563 375

ถ้ายังคงบริโภคโซเดียมปริมาณมากเป็นเวลานาน ๆ จะเกิดการสูญเสียแคลเซียมแบบสะสมเป็นผลให้เกิดภาวะ กระดกู บางเพม่ิ ขนึ้ และแตกรา้ วไดง้ า่ ย12 การลดปรมิ าณการบรโิ ภคโซเดยี มเปน็ การชว่ ยรกั ษาปรมิ าณของแคลเซยี ม ในกระดกู นอกเหนอื จากการชว่ ยควบคมุ ความดนั โลหติ ดงั นนั้ การแนะนำ� ใหล้ ดการบรโิ ภคโซเดยี มจงึ มคี วามจำ� เปน็ สำ� หรบั เดก็ และวยั รนุ่ เพอ่ื ปอ้ งกนั การสญู เสยี แคลเซยี มจากกระดกู และการเกดิ โรคกระดกู พรนุ เมอื่ เขา้ สวู่ ยั สงู อาย1ุ 3 โซเดยี มกบั การครองธาตขุ องร่างกาย การลดปรมิ าณการบรโิ ภคโซเดยี มมผี ลทำ� ใหก้ ารทำ� งานของอนิ ซลู นิ ดขี นึ้ 14 ดงั นน้ั ในผปู้ ว่ ยเบาหวานทก่ี นิ อาหารรสจืดจะควบคมุ โรคเบาหวานไดง้ ่ายขึ้น นอกจากนยี้ ังพบว่าการบริโภคโซเดยี มในอาหารต่าง ๆ มาก มผี ลให้ มกี ารบรโิ ภคเครอ่ื งดม่ื ทงั้ แบบเหลวและแบบทมี่ รี สหวานมากขน้ึ 15,16 และพบวา่ เดก็ ในวยั 4-18 ปี สว่ นใหญด่ มื่ เครอื่ งดม่ื ท่มี ีรสหวาน และพบวา่ มคี วามสัมพันธ์กบั ภาวะน้ำ� หนักเกินและโรคอว้ นในเดก็ นอกจากนย้ี งั มหี ลกั ฐานทพี่ บวา่ การไดร้ บั โซเดยี มทม่ี ากเกนิ ไปจะเรง่ การเตบิ โตของแบคทเี รยี เฮลโิ คแบคเตอร์ ไพโลไร (Helicobacter pylori) ซง่ึ เชื้อน้ีจะไปท�ำลายเยอ่ื บุกระเพาะอาหาร และเป็นสาเหตขุ องการเกิดมะเร็ง กระเพาะอาหาร17 การบริโภคโซเดียมสูงยังท�ำให้เย่ือบุผนังหลอดลมมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสารภูมิแพ้และ สิ่งแวดลอ้ มมากกวา่ ปกติ (bronchial hyper-reactivity)18 ท�ำใหเ้ ป็นโรคหอบหดื จะเห็นได้วา่ การบรโิ ภคโซเดยี มสงู เป็นหนง่ึ ในปจั จัยเส่ยี งส�ำคัญของโรคไมต่ ดิ ตอ่ เรื้อรงั ซ่งึ มีสถานการณ์ ความรนุ แรงมากขนึ้ ท�ำใหเ้ กิดการเสียชีวติ กอ่ นวัยอนั ควร โซเดยี มกบั การออกก�ำลังกาย ขณะออกก�ำลังกายร่างกายของนักกีฬามีการสูญเสียน้�ำทางเหง่ือเป็นส่วนใหญ่ รวมทั้งมีการสูญเสีย เกลอื แรด่ ว้ ย19 ปรมิ าณการสญู เสยี โซเดยี มมากหรอื นอ้ ยขนึ้ กบั ความหนกั เบาของการออกกำ� ลงั กายและระยะเวลา ของการออกก�ำลงั กาย รายงานการศึกษาในนกั ว่งิ ฮาล์ฟมาราธอน (half marathon) ไทย จ�ำนวน 10 คน มีการ สูญเสียเหงื่อประมาณ 2.6 ลิตร หรือร้อยละ 4.7 ของน้�ำหนักตัว20 การเสียเหงื่อส่วนใหญ่ เป็นการเสียน�้ำจาก รา่ งกาย การชดเชยด้วยเครื่องดมื่ เกลือแรม่ ปี ระโยชนเ์ พยี งเปน็ การชดเชยน�้ำทีร่ ่างกายเสียไปในเหงื่อ การบรโิ ภค อาหารปกติจะสามารถชดเชยแร่ธาตทุ ีส่ ญู เสยี ทางเหงอื่ ได้ รา่ งกายจะเสียเกลือคลอไรดไ์ ปพร้อมกบั เหงือ่ เหงื่อ 1 ลติ ร มีเกลอื 1-2 กรัม ในรา่ งกายคนปกตมิ ีเกลอื สำ� รอง 4.6 กรมั หากนกั กฬี าเลน่ กฬี าตำ่� กวา่ 1 ชว่ั โมง ไมจ่ ำ� เปน็ ตอ้ งกนิ เกลอื เสรมิ เพราะมเี กลอื สำ� รองอยใู่ นรา่ งกาย หากกินเกลือเพ่ิมจะมีเกลือในร่างกายมากเกินไปท�ำให้เกิดอันตรายได้ ปกติร่างกายจะขับเกลือออกไปทางเหง่ือ และปัสสาวะ แต่ถ้าร่างกายไม่สามารถขับเกลือออกได้ เกลือท่ีอยู่ในกระแสเลือดจะเป็นตัวดึงน�้ำออกจากเซลล์ ท�ำใหเ้ ปน็ อันตราย21 โภชนาการกับการกีฬาสัมพันธ์กับสมรรถนะและสภาพร่างกาย อาหารนักกีฬาควรเป็นอาหารที่มี ความสมดลุ ของสารอาหาร ประกอบดว้ ยกลมุ่ สารอาหารทใ่ี หพ้ ลงั งาน กลมุ่ สารอาหารทช่ี ว่ ยในกระบวนการใหพ้ ลงั งาน และน้�ำด้วย22 โซเดยี มกบั โรคความดันโลหิตสงู และโรคหัวใจและหลอดเลอื ด การไดร้ บั โซเดยี มมากเกนิ ไป ไตจะทำ� หนา้ ทขี่ บั โซเดยี มทงิ้ ไปทางปสั สาวะ ถา้ ไตขบั โซเดยี มออกไดไ้ มห่ มด โซเดียมจะคั่งอยู่ในร่างกาย ส่งผลให้มีการดึงน้�ำไว้ในร่างกาย ท�ำให้มีปริมาณของเหลวไหลเวียนในร่างกายมาก สง่ ผลใหค้ วามดนั โลหติ สงู ขน้ึ ซง่ึ เปน็ สาเหตสุ ำ� คญั ของการเจบ็ ปว่ ยและเสยี ชวี ติ ดว้ ยโรคหวั ใจและหลอดเลอื ด และ โรคหลอดเลอื ดสมองตบี ตนั 23 ภาวะความดนั โลหิตสูงท�ำใหห้ ัวใจตอ้ งท�ำงานหนกั ขึน้ ท�ำใหห้ ลอดเลอื ดทว่ั รา่ งกาย ปรบั ตวั หนาและแขง็ ขน้ึ จงึ พบวา่ การบรโิ ภคโซเดยี มสงู มผี ลทำ� ใหก้ ลา้ มเนอ้ื หวั ใจหอ้ งซา้ ยหนาขนึ้ (left ventricular hypertrophy)24 และเกดิ การสะสมของพงั ผดื ในกลา้ มเนอื้ หวั ใจ ไตและหลอดเลอื ด25 การศกึ ษาพบวา่ การลดการบรโิ ภค ปริมาณสารอาหารอา้ งอิงทีค่ วรไดร้ บั ประจ�ำ วันสำ�หรับคนไทย พ.ศ. 2563 376

โซเดียมเพียงเล็กน้อย (ประมาณ 700-800 มิลลิกรัมต่อวัน) สามารถลดอัตราการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ถงึ รอ้ ยละ 20 และลดอัตราตายได้รอ้ ยละ 5-7 อย่างมีนยั ส�ำคัญทางสถิต1ิ 0 มกี ารศกึ ษาแสดงใหเ้ หน็ ถงึ ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งการบรโิ ภคเกลอื (โซเดยี ม) มากมผี ลตอ่ การเกดิ ความดนั โลหติ สงู และยงั แสดงให้เห็นวา่ การบรโิ ภคเกลอื ลดลงจะมผี ลท�ำให้ความดนั โลหิตของผู้ที่มีความดันโลหติ สูงและ ผทู้ มี่ คี วามดนั โลหติ ปกตลิ ดลงไดท้ งั้ สองกลมุ่ 26 การลดปรมิ าณเกลอื จะสามารถลดความดนั โลหติ ในผปู้ ว่ ยเบาหวาน ได2้ 7,28 การศกึ ษาในประเทศเนเธอรแ์ ลนด์29 โดยตดิ ตามทารกแรกเกดิ จนถงึ วยั หนมุ่ สาวซงึ่ มกี ารควบคมุ โซเดยี ม ให้ไดใ้ นระดบั ตำ่� เทา่ ปรมิ าณในน�้ำนมแมใ่ นช่วงอายตุ ้งั แต่แรกเกิดจนถงึ 6 เดอื นและติดตามจนเด็กมีอายุ 15 ปี 30 พบว่าเด็กกลุ่มท่ีมีการควบคุมการได้รับโซเดียมในช่วงอายุ 6 เดือนแรก มีความดันโลหิตต่�ำกว่ากลุ่มท่ีไม่มีการ ควบคมุ การศึกษานี้มคี วามสำ� คญั มากและเปน็ สง่ิ จำ� เป็นในการแนะน�ำการใหโ้ ซเดียมแกท่ ารกแรกเกิดในปริมาณ เท่ากับโซเดียมในน�้ำนมแม่ ซ่ึงจะมีผลต่อความดันโลหิตเม่ือเด็กเติบโตเข้าสู่วัยหนุ่มสาวและเป็นผู้ใหญ่ในอนาคต การศึกษาโดยการท�ำการวิเคราะห์อภิมาน (meta-analysis) พบว่าการลดการบริโภคโซเดียมลง 1,800 มิลลกิ รัมต่อวนั ทำ� ใหค้ วามดนั โลหิต systolic/diastolic ลดลง 2/1 มิลลิเมตรปรอท ในกลมุ่ ทไี่ ม่เปน็ โรค ความดันโลหิตสูง31 และลดลง 5/2.7 มิลลิเมตรปรอทในกลุ่มท่ีเป็นความดันโลหิตสูง32 นอกจากน้ีการศึกษา ในเด็กพบวา่ การลดการบรโิ ภคโซเดยี มสามารถลดความดนั โลหิต systolic/diastolic 1.2/1.3 มิลลเิ มตรปรอท และสามารถลดความดนั systolic 2.5 มลิ ลเิ มตรปรอทในกลมุ่ ทารก33 ประโยชนข์ องการลดการบรโิ ภคโซเดยี มตอ่ ความดนั โลหติ เหน็ ไดช้ ดั ขน้ึ ในกลมุ่ ผปู้ ว่ ยความดนั โลหติ สงู ทค่ี วบคมุ ไดย้ าก (poorly controlled hypertension) จากการศกึ ษาพบวา่ การลดการบรโิ ภคโซเดียมลง 4,600 มิลลิกรมั ตอ่ วัน จะสามารถลดความดนั โลหติ systolic/ diastolic 22.7/9.1 มลิ ลเิ มตรปรอทในผปู้ ว่ ยกลมุ่ ดงั กล่าว34 การบรโิ ภคโซเดยี มของคนไทย การสำ� รวจอาหารและโภชนาการของคนไทย โดยกรมอนามยั กระทรวงสาธารณสขุ ได้เรม่ิ ดำ� เนินการ คร้ังท่ี 1 ตง้ั แต่ปี พ.ศ. 2503 จนถึงครัง้ ที่ 5 พ.ศ. 2546 โดยการศึกษาปริมาณอาหารท่บี รโิ ภคใน 4 คร้งั แรก ใชว้ ิธี การชั่งน้�ำหนักปริมาณอาหารท่ีบริโภค (weighing method)35,36 ส�ำหรับคร้ังท่ี 5 มีการเปล่ียนวิธีการส�ำรวจ การบริโภคอาหารโดยวิธกี ารซักประวตั ิการบริโภคอาหารยอ้ นหลัง 24 ชว่ั โมง37 จากการสำ� รวจพบวา่ การบริโภค เครื่องปรงุ รส เพิม่ ขึ้นจากวันละ 7.0 กรมั ต่อคนต่อวนั ในปี พ.ศ. 2503 เปน็ 20.5 กรมั ต่อคนต่อวันในปี พ.ศ. 2538 ปริมาณการใชเ้ ครอ่ื งปรุงรสที่สำ� รวจในปี พ.ศ. 2546 รายงานว่ามีการบริโภคเพยี ง 4.1 กรมั ซึ่งขอ้ มูลรายงานทม่ี ี ปรมิ าณการใชเ้ ครอื่ งปรงุ รสทตี่ า่ํ ลงดงั กลา่ วนน้ี า่ จะเปน็ ผลมาจากวธิ กี ารสำ� รวจอาหารทเ่ี ปลยี่ นไปโดยการใชก้ ารซกั ประวตั ิย้อนหลัง ซ่งึ ไมส่ ามารถทราบถึงปรมิ าณการใช้เคร่อื งปรงุ รสในขณะประกอบอาหารได้ สว่ นการใช้นำ�้ ปลา เพ่ิมข้ึนจาก 0.8 กรมั ตอ่ คนต่อวนั ในปี พ.ศ. 2503 เป็น 11.5 กรัมต่อคนตอ่ วนั ในปี พ.ศ. 2529 ขณะทีม่ ีการใช้ เกลอื ลดลงจาก 2.4 กรัมต่อคนตอ่ วนั ในปี พ.ศ. 2503 เปน็ 0.8 กรัมต่อคนตอ่ วันในปี พ.ศ. 2529 อยา่ งไรกต็ าม ปรมิ าณการใชเ้ ครอื่ งปรงุ รสทมี่ รี ายงานดงั กลา่ วนนั้ ไมส่ ามารถคำ� นวณหาปรมิ าณโซเดยี มทบี่ รโิ ภคได้ เนอ่ื งจากไมม่ ี รายละเอียดมากพอของเครอ่ื งปรุงรสท่กี ล่าวถงึ ในปี พ.ศ. 2550 กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ท�ำการสำ� รวจปริมาณการบรโิ ภคโซเดยี มคลอไรดข์ องประชากรไทย โดยมีวตั ถปุ ระสงคห์ ลกั เพอ่ื สำ� รวจปรมิ าณการบรโิ ภคโซเดยี มคลอไรดข์ องประชากรจากอาหารทมี่ สี ว่ นประกอบของโซเดยี มคลอไรดจ์ าก แหล่งผลิตภณั ฑ์อาหารต่าง ๆ เพอ่ื ใหไ้ ด้ข้อมลู ส�ำหรบั การก�ำหนดมาตรการการเสริมเกลอื ไอโอดนี ในอาหารและ ผลติ ภณั ฑอ์ าหาร การสำ� รวจใชว้ ธิ กี ารชง่ั อาหาร 3 วนั (3-day weighing method) โดยพบวา่ ประชากรไทยไดร้ บั ปริมาณสารอาหารอ้างอิงทคี่ วรได้รับประจำ�วนั สำ�หรับคนไทย พ.ศ. 2563 377

โซเดยี มคลอไรดโ์ ดยเฉล่ยี 10.9 ± 2.6 กรมั โดยมาจากเครื่องปรงุ รสต่าง ๆ 8.0 ± 2.6 กรัม คิดเป็นร้อยละ 80.3 ของโซเดยี มคลอไรดท์ ง้ั หมดทไี่ ดร้ บั 37 สว่ นทเี่ หลอื ไดร้ บั จากอาหารทมี่ โี ซเดยี มคลอไรดส์ งู ซงึ่ อาหารและผลติ ภณั ฑ์ อาหารทนี่ ิยมบริโภค 10 ลำ� ดับแรกคือ บะหมส่ี �ำเรจ็ รูปพร้อมเคร่อื งปรุง ปลากระปอ๋ ง ปลาทนู ึ่ง น้�ำพริกตา่ ง ๆ ปลาสม้ ขา้ วโพดตม้ ลกู ชนิ้ แคบหมู มนั ฝรงั่ ทอด และไขเ่ คม็ ตามลำ� ดบั สำ� หรบั ผลติ ภณั ฑเ์ ครอ่ื งปรงุ รสทคี่ รวั เรอื น ใช้ในปริมาณเฉลยี่ มาก 5 ล�ำดับแรก คอื น้�ำปลา ซีอว้ิ ขาว เกลือ กะปิ และซอสหอยนางรม โดยมีปรมิ าณการใช้ 11.6 ± 11.9, 3.2 ± 3.5, 3.1 ± 1.7, 2.9 ± 3.9 และ 2.2 ± 3.7 กรมั ต่อคนตอ่ วนั ตามล�ำดบั ซง่ึ เมื่อค�ำนวณ ปรมิ าณทใี่ ชเ้ ครอ่ื งปรงุ รสดงั กลา่ วเปน็ ปรมิ าณโซเดยี มคลอไรดพ์ บวา่ เกลอื และนำ�้ ปลาเปน็ แหลง่ ของโซเดยี มสงู สดุ ปริมาณการบริโภคน�้ำปลาท่ีรายงานในครั้งน้ี (11.6 ± 11.9 กรัม) เทียบกับที่มีรายงานการบริโภคน�้ำปลาในปี พ.ศ. 2529 (11.5 กรัม) พบวา่ ไม่มคี วามแตกต่างกนั ปรมิ าณการบรโิ ภคโซเดยี มคลอไรดข์ องประชากรไทยทส่ี ำ� รวจในปี พ.ศ. 2550 คำ� นวณเทยี บเปน็ ปรมิ าณ ของโซเดยี ม (รอ้ ยละ 40 ของปรมิ าณโซเดยี มคลอไรด)์ พบวา่ ประชากรไทยไดร้ บั โซเดยี มจากอาหารทบี่ รโิ ภคสงู ถงึ 4,351 มลิ ลกิ รมั ตอ่ คนตอ่ วนั 38 คดิ เปน็ 2.9 เทา่ ของความตอ้ งการโซเดยี มเฉลยี่ ท่ี 1,500 มลิ ลกิ รมั ปรมิ าณโซเดยี ม ท่ีได้นี้น่าจะมีค่าต�่ำกว่าปริมาณโซดียมท่ีบริโภคจริงเน่ืองจากเป็นปริมาณโซเดียมท่ีได้จากเครื่องปรุงรสและ แหลง่ อาหารทม่ี โี ซเดยี มคลอไรดส์ งู เทา่ นนั้ ไมไ่ ดม้ กี ารรวมปรมิ าณโซเดยี มทม่ี อี ยใู่ นอาหารอนื่ ๆ ทม่ี กี ารบรโิ ภค หรอื จากผงชรู ส (โมโนโซเดียมกลตู าเมต) ทนี่ ิยมใช้อยา่ งแพร่หลายดว้ ย การส�ำรวจสุขภาพประชาชนไทยโดยการตรวจร่างกายครั้งที่ 4 พ.ศ. 2551-2552 ท่ีด�ำเนินการ โดยสำ� นกั งานส�ำรวจสขุ ภาพประชากรไทย สถาบันวจิ ัยระบบสาธารณสุข ได้ท�ำการส�ำรวจการบรโิ ภคอาหารของ ประชาชนไทยรว่ มด้วยเปน็ ครัง้ แรก ซ่งึ มรี ายงานออกมาในปี พ.ศ. 2554 พบว่า มีการประเมินปรมิ าณการบริโภค โซเดยี มดว้ ย โดยใช้วธิ กี ารซกั ประวัติการบรโิ ภคอาหารยอ้ นหลงั 24 ชว่ั โมง จากบคุ คลตัวอย่าง 2,969 คน พบว่า มกี ารบริโภคโซเดียมสงู กวา่ ปริมาณทแ่ี นะนำ� กลา่ วคือคา่ มธั ยฐาน (median) ของการบริโภคโซเดียมอยทู่ ่ี 3,264 มิลลกิ รมั ต่อคนตอ่ วนั 39 ขอ้ มลู การสำ� รวจดงั กล่าวชีใ้ หเ้ หน็ ว่าประชากรทกุ กลมุ่ อายุมีการบริโภคโซเดียมมากกว่า ปริมาณท่ีแนะน�ำให้บริโภค โดยท่ีประชาชนไทยที่มีอายุมากข้ึน มีการบริโภคโซเดียมมากข้ึน ซึ่งพบว่าผู้ท่ีมีอายุ มากกว่า 70 ปี บรโิ ภคโซเดียมมากกว่าปริมาณความตอ้ งการ 3.0-3.6 เท่า ขอ้ มูลการส�ำรวจบ่งชว้ี ่าเพศหญงิ มกี าร บรโิ ภคโซเดยี มสงู กวา่ เพศชาย เมอ่ื พจิ ารณาขอ้ มลู ตามภาคจะเหน็ วา่ คา่ มธั ยฐานการบรโิ ภคโซเดยี มของประชาชน ไทยภาคเหนอื (3,733 มลิ ลิกรัม) สงู กว่าภาคอ่ืน ๆ ของประเทศ และผทู้ ี่อาศยั นอกเขตเทศบาลบริโภคโซเดยี ม สงู กวา่ ผทู้ อ่ี าศยั ในเขตเทศบาล อยา่ งไรกต็ ามขอ้ มลู ปรมิ าณการบรโิ ภคโซเดยี มทไี่ ดจ้ ากการสำ� รวจนนี้ า่ จะมคี า่ ตำ�่ กวา่ ความเป็นจริง เน่ืองจากการส�ำรวจปริมาณการบริโภคอาหารครั้งนี้ใช้การสัมภาษณ์อาหารย้อนหลัง 24 ชั่วโมง ขอ้ มลู การสำ� รวจอาหารทไ่ี ดจ้ ะตอ้ งนำ� มาแปลงเปน็ สารอาหารตา่ ง ๆ ซง่ึ พบวา่ ฐานขอ้ มลู โซเดยี มทใ่ี ชใ้ นการศกึ ษา นมี้ เี พียงร้อยละ 65.9 การส�ำรวจการบริโภคอาหารของประชาชนไทย ภายใตก้ ารส�ำรวจสขุ ภาพประชาชนไทยโดยการตรวจ รา่ งกายครงั้ ที่ 4 พ.ศ. 2551-2552 ไดร้ ายงานปรมิ าณการใชเ้ ครอื่ งปรงุ รสทม่ี โี ซเดยี มสงู แยกตามเพศและกลมุ่ อายดุ ว้ ย ซึ่งพบวา่ ประชาชนไทยอายุ 60-69 ปี มกี ารใช้เคร่อื งปรงุ รสทีม่ โี ซเดยี มสงู มากกวา่ กล่มุ วยั อื่น ๆ โดยมีคา่ มธั ยฐาน การใชเ้ ครอ่ื งปรงุ รสทมี่ โี ซเดยี มสงู ถงึ 24.5 และ 24.1 กรมั ในเพศชายและเพศหญงิ ตามลำ� ดบั เมอื่ พจิ ารณาเปรยี บเทยี บ ค่ามัธยฐานการบริโภคกับค่าเฉลี่ยของการบริโภคเคร่ืองปรุงรสท่ีมีโซดียมสูงในแต่ละวัย พบว่าค่าเฉล่ียของ การบรโิ ภคสงู กวา่ คา่ มธั ยฐานของการบรโิ ภค แสดงใหเ้ หน็ วา่ มปี ระชากรกลมุ่ หนง่ึ ในแตล่ ะชว่ งวยั มกี ารใชเ้ ครอ่ื งปรงุ รส ท่ีมีโซเดียมสูงในปริมาณท่ีสูงมาก การใช้เครื่องปรุงรสที่มีโซเดียมสูงที่ส�ำรวจในปี พ.ศ. 2551-2552 ในผู้ใหญ่ ทม่ี ีอายมุ ากกว่า 19 ปีข้ึนไป โดยเฉลี่ยสงู ถงึ 30.5 และ 30.0 กรมั ตอ่ คนตอ่ วัน ในเพศชายและเพศหญิง ปรมิ าณสารอาหารอา้ งองิ ท่ีควรไดร้ ับประจำ�วนั สำ�หรับคนไทย พ.ศ. 2563 378

ตามล�ำดับ ซ่ึงพบว่ามีปริมาณที่สูงเพิ่มขึ้นจากท่ีมีรายงานปริมาณการใช้เครื่องปรุงรสที่เสนอในปี พ.ศ. 2529 (24.0 กรมั ) และพ.ศ. 2538 (20.5 กรมั )39 ปรมิ าณท่แี นะนำ�ใหบ้ รโิ ภค ปริมาณสารอาหารโซเดียมอ้างอิงที่ควรได้รับประจ�ำวันส�ำหรับคนไทยท่ีก�ำหนดข้ึนครั้งนี้ แต่ละช่วงอายุ คล้ายคลงึ กับทีร่ ายงานโดย Food and Nutrition Board, Institute of Medicine40 ซึ่งระบุว่าการศึกษาในเรอ่ื ง ความตอ้ งการโซเดียมของร่างกายยงั มไี ม่มากพอที่จะก�ำหนดเปน็ คา่ ความต้องการ {(Recommended Dietary Allowance (RDA)} ไดจ้ งึ กำ� หนดเปน็ คา่ ประมาณของโซเดยี มทเ่ี พยี งพอกบั ความตอ้ งการของรา่ งกาย {(Adequate Intake (AI)} แทน ค่า AI ของโซเดียมแบ่งตามกลุ่มอายุ โดยท่ีค่า AI ของโซเดียมส�ำหรับทารกแรกเกิดจนถึง อายุ 6 เดอื น ก�ำหนดตามปริมาณโซเดยี มทอี่ ยู่ในนํา้ นมเแม่ โดยเฉล่ียปรมิ าณน�้ำนมทที่ ารกดื่มใน 1 วัน เมอ่ื ทารก มีอายุ 7-12 เดือน ก�ำหนดความต้องการของโซเดียมตามปริมาณของน้�ำนมแม่รวมกับปริมาณโซเดียมที่มีอยู่ใน อาหารตามวยั สำ� หรับทารก3 ส�ำหรบั วัยเดก็ 1-18 ปี ไม่มกี ารศกึ ษาความตอ้ งการของโซเดียมโดยตรง จงึ ใชก้ าร ประเมนิ จากคา่ ความตอ้ งการของโซเดยี มในผใู้ หญ่ เนอื่ งจากการทำ� งานของไตในวยั นไี้ มแ่ ตกตา่ งจากผใู้ หญ่ ปรมิ าณ ความตอ้ งการโซเดยี มจงึ คำ� นวณตามสดั สว่ นปรมิ าณพลงั งานทตี่ อ้ งการเปน็ หลกั คา่ AI ของโซเดยี มในผใู้ หญก่ ำ� หนด ไวท้ ่ี 1.5 กรมั (65 มลิ ลโิ มล) ตอ่ วนั เพอ่ื ทดแทนโซเดยี มทม่ี กี ารสญู เสยี ออกทางเหงอ่ื ในกรณที ค่ี นอยใู่ นทม่ี อี ากาศรอ้ น (high temperature) หรือมีการเคล่ือนไหวของรา่ งกายมาก (physically active) คา่ AI ทกี่ ำ� หนดนไี้ ม่ได้รวมถึง การสญู เสยี เหงอ่ื ทม่ี ากผดิ ปกตใิ นนกั กฬี าทม่ี กี ารแขง่ ขนั หรอื คนทต่ี อ้ งทำ� งานในทที่ มี่ คี วามรอ้ นสงู มาก เชน่ พนกั งาน ดบั เพลงิ ขณะทก่ี ำ� ลงั ดบั ไฟ สำ� หรบั ผสู้ งู อายคุ า่ AI ของโซเดยี มกำ� หนดใหม้ คี า่ ลดลง เนอ่ื งจากความสามารถของไต ในการกรองโซเดยี มลดลง สว่ นหญงิ ตง้ั ครรภแ์ ละหญงิ ใหน้ มบตุ ร Institute of Medicine รายงานวา่ ไมม่ หี ลกั ฐาน ทแี่ สดงวา่ มีความตอ้ งการโซเดียมเพม่ิ ขนึ้ จากเดมิ ขอ้ มลู การศกึ ษาความตอ้ งการโซเดยี มมอี ยนู่ อ้ ยมาก งานวจิ ยั ในกลมุ่ ชน Yanomamo Indians ในประเทศ บราซลิ พบวา่ มนษุ ยส์ ามารถมชี วี ติ อยไู่ ดต้ ง้ั แตร่ ะดบั การบรโิ ภคโซเดยี มทต่ี ำ่� มากเพยี ง 0.2 กรมั ตอ่ วนั (10 มลิ ลโิ มล ตอ่ วนั ) จนถงึ การบริโภคโซเดยี มท่ีสูงมากถึง 10.3 กรัมตอ่ วัน (450 มิลลิโมลตอ่ วนั ) ในประเทศญ่ปี ุ่นตอนเหนือ41 ขอ้ มลู ดงั กลา่ วสะทอ้ นใหเ้ หน็ ถงึ ความสามารถของรา่ งกายในการปรบั ใหม้ กี ารสญู เสยี โซเดยี มมากนอ้ ยตามปรมิ าณ ทไี่ ดร้ บั และมเี พยี งการศกึ ษาเดยี วโดย Allsopp และคณะในปี ค.ศ. 1998 ทไี่ ดท้ ำ� การศกึ ษาการเปลยี่ นแปลงของ ระดับฮอร์โมนอัลโดสเตอโรนและปริมาณโซเดียมที่มีการขับออกทางเหง่ือเมื่ออาสาสมัครอยู่ในส่ิงแวดล้อมที่มี อุณหภมู เิ ปลีย่ นไปจาก 25-40 องศาเซลเซยี ส และมกี ารบริโภคโซเดยี มทแ่ี ตกตา่ งกันตงั้ แต่ 66.3 มิลลิโมลต่อวนั จนถงึ 348.4 มลิ ลโิ มลตอ่ วนั การศกึ ษาพบวา่ เมอื่ สงิ่ แวดลอ้ มมอี ณุ หภมู สิ งู ขน้ึ จะมกี ารสญู เสยี โซเดยี มในเหงอื่ ลดลง โดยเฉพาะเมื่อกินอาหารท่ีมีโซเดียมต�่ำ ขณะที่การเปล่ียนแปลงของฮอร์โมนอัลโดสเตอโรนมีความแปรปรวน ไมช่ ดั เจน เนอื่ งจากเมตาบอลสิ มของโซเดยี มมคี วามสมั พนั ธอ์ ยา่ งใกลช้ ดิ กบั ปรมิ าณนำ�้ ดงั นนั้ การกำ� หนดความตอ้ งการ ของโซเดยี มพจิ ารณาจากปริมาณความตอ้ งการพลงั งานเพือ่ การเจรญิ เตบิ โต และอัตราการเพิ่มขน้ึ ของของเหลว ภายนอกเซลล์ ดังน้ันความต้องการของโซเดียมจึงข้ึนกับความต้องการของการใช้พลังงานในแต่ละเพศและกลุ่ม อายตุ า่ ง ๆ ความตอ้ งการโซเดยี มจะมคี า่ เทา่ กบั 1-3 มลิ ลอิ คิ ววิ าเลนทต์ อ่ พลงั งาน 100 กโิ ลแคลอร6ี -8สำ� หรบั ทารกประเมนิ ความตอ้ งการของโซเดยี มตามปรมิ าณโซเดยี มทอ่ี ยใู่ นนำ�้ นมแม่ และอาหารเสรมิ ทไี่ ดร้ บั เพม่ิ เมอ่ื อายุ 6 เดือนขน้ึ ไป ค่าของโซเดยี มทีค่ วรไดร้ บั แตล่ ะกลมุ่ เพศและอาย3ุ ดงั แสดงไว้ในตารางท่ี 1 ปริมาณสารอาหารอา้ งอิงที่ควรไดร้ ับประจำ�วันส�ำ หรบั คนไทย พ.ศ. 2563 379

ตารางที่ 1 ปริมาณโซเดียมอา้ งอิงท่ีควรได้รบั ประจำ� วนั สำ� หรับกลมุ่ บคุ คลวยั ต่าง ๆ * ปแรรกมิ เากณิดโจซนเดถยีงึ กม่อทนีไ่ ดอ้ราบั ยจุ 6ากเดนอืำ้� นนมแมแ่ ละจากอาหารทเ่ี พิ่มขนึ้ † ‡ หแอลญายะิงุปต1รัง้ มิปคารี จณรนภนถ์ม้ำ� งึีคใกนวอ่ าถนมงุ อตนา้อำ�้ ยคงุกรา่�ำ4รหปโซญี เดิงตียั้งมคเพรรมิ่ ภขม์ ้ึนนี เ้�ำนหอื่ นงักจเาพกิ่มมขีกนึ้ ารตเลพอมิ่ ดขออางยขุตองั้ งคเหรรลภวโ์ภดายยเนฉลอี่ยกเซ11ลลก์ ิโคลวการมมั ตอ้มงคี กวาารมขตอ้องงทกาารรกพในลังคงรารนภ์ II เจพามิ่กขอน้ึาหในาชรว่ปงกอตาซิ ยึง่ คุ เพรรยี ภง์พ4อ-9กเบั ดคอื วนาปมรตะอ้ มงากณาร300 กโิ ลแคลอรตี อ่ วนั ซงึ่ ปรมิ าณโซเดยี มทตี่ อ้ งการเพม่ิ ขนึ้ ควรเปน็ โซเดยี มทไ่ี ดร้ บั **เมหทิลญา่ ลกงิ กิ บัใรหมั1้นต3ม5อ่ บลมตุ ิติลรรลมปกิ ีครรวมิมั าาตมตอ่ ตรวอ้โันดงกยซาเ่งึฉรปลพรย่ีลิมขังาองณางนนโซเำ�้ พเนดมิ่ มียขทมึน้ ่ีหดใังญนกกงิ ลใา่าหรว้นสไรมดา้ บ้จงาุตนกร�้ำกผนาลมรติ บจไดราโิว้กภันกคลาอระาว7หิเค5าร0ราปมะกลิหตล์นิกลิ �ำ้ ็เิตนพรมียแคงพมิดอพ่เปบ็นวป่ารมิมีโซาเณดโยี ซมเดปยีระมมในานณ้ำ� น18ม0แม่ ปริมาณสารอาหารอา้ งอิงที่ควรได้รับประจำ�วันส�ำ หรบั คนไทย พ.ศ. 2563 380

คา่ ปรมิ าณของโซเดยี มทคี่ วรไดร้ บั ประจำ� วนั ทก่ี ำ� หนดในตารางที่ 1 มคี า่ ตำ่� กวา่ เลก็ นอ้ ย เมอ่ื เทยี บกบั คา่ ปรมิ าณ ทเี่ พยี งพอ (adequate intake) ของโซเดยี มกำ� หนดโดย National Academy of Science ทป่ี รบั ปรงุ และเผยแพรใ่ หม่ ในเดอื นมนี าคม ปี พ.ศ. 2562 ทรี่ ะบคุ า่ ประมาณของโซเดยี มทเี่ พยี งพอเทา่ กบั 1,500 มลิ ลกิ รมั ตอ่ วนั สำ� หรบั บคุ คล ทอ่ี ายตุ ง้ั แต่ 13 ปขี นึ้ ไป ทง้ั นห้ี ญงิ ในชว่ งทต่ี งั้ ครรภแ์ ละใหน้ มบตุ รไมไ่ ดแ้ นะนำ� ใหบ้ รโิ ภคโซเดยี มเพมิ่ ขน้ึ ปรมิ าณท่ี ก�ำหนดดังกล่าวเป็นปริมาณต�่ำสุดของการบริโภคท่ีได้จากการศึกษาวิจัยแบบสุ่มซึ่งไม่พบว่ามีหลักฐานท่ีแสดง อาการของการขาดโซเดียม42 แหล่งอาหารของโซเดยี ม อาหารเกอื บทกุ ชนดิ มโี ซเดยี มเปน็ องคป์ ระกอบ แตจ่ ะมปี รมิ าณมากนอ้ ยแตกตา่ งกนั ขน้ึ กบั ชนดิ อาหารและ การปรงุ แตง่ ดังน้ันโดยท่วั ไปร่างกายจะไดร้ ับโซเดยี มจากการบรโิ ภคอาหารใน 3 ลักษณะ คอื (1) อาหารตามธรรมชาติ ไดแ้ ก่ เนอ้ื ววั เนือ้ หมู น�ำ้ นม ผักกาดหอม สบั ปะรด เปน็ ตน้ อาหาร แต่ละชนดิ มปี รมิ าณโซเดยี มทแ่ี ตกตา่ งกนั โดยอาหารประเภทนำ้� นม เนอื้ สตั วม์ โี ซเดยี มมากกวา่ อาหารประเภท ผักและผลไม้ การประมาณค่าปริมาณโซเดียมโดยเฉลี่ยที่มีอยู่ในอาหารตามธรรมชาติตามลักษณะ กลมุ่ อาหาร ดงั แสดงไว้ในตารางที่ 2 (2) การบริโภคอาหารส�ำเร็จรูปและอาหารท่ีใช้เกลือในการถนอมอาหาร ได้แก่ ปลากระป๋อง ไข่เค็ม อาหารแปรรูปต่าง ๆ เช่น เบคอน แฮม ไส้กรอก อาหารส�ำเร็จรูปจ�ำพวกบะหม่ี โจ๊ก รวมท้ัง ขนมขบเคีย้ วตา่ ง ๆ (3) การเติมเคร่อื งปรุงรสตา่ ง ๆ ในอาหาร ได้แก่ น้ำ� ปลา ซอี ิ้ว เตา้ เจี้ยว น้ำ� มนั หอย และซอสปรุงรส ชนิดต่าง ๆ คนทั่วไปมักเข้าใจว่าเกลือแกงมีโซเดียมปริมาณสูง ขณะท่ีไม่ได้สนใจโซเดียมท่ีแฝงอยู่ ในรปู อนื่ ๆ เชน่ เครอ่ื งปรงุ รสประเภทนำ้� ปลา ซอี ว้ิ ซอสถวั่ เหลอื ง ซง่ึ มโี ซเดยี มประมาณ 880 – 1,620 มิลลิกรัม ตอ่ 1 ช้อนโต๊ะ ดังแสดงไว้ในตารางท่ี 3 อาหารตามธรรมชาติ อาหารท่ยี ังไมผ่ า่ นการแปรรูปจะมีโซเดียมอยนู่ ้อยกว่าอาหารทผ่ี ่านการแปรรูปแลว้ อาหารประเภทธญั ชาติ ผัก ผลไม้ มกั มีโซเดียมนอ้ ยกว่าอาหารประเภทเนือ้ สตั ว์ การสำ� รวจทม่ี าของโซเดียมใน อาหารอเมรกิ นั 43 พบว่า ส่วนใหญ่รอ้ ยละ 77 มาจากอาหารส�ำเรจ็ รูป (processed food) และการถนอมอาหาร ส่วนท่เี หลอื รอ้ ยละ 12 มากบั อาหารตามธรรมชาติ (naturally occurring) มสี ว่ นนอ้ ย รอ้ ยละ 5 มาจากการเตมิ ขณะท�ำครวั หรือประกอบอาหาร และร้อยละ 6 มาจากการเตมิ เพิม่ ขณะบรโิ ภคอาหาร ส�ำหรับโซเดยี มในอาหาร ของคนไทยยังไมไ่ ด้มีการศึกษาอยา่ งชดั เจนวา่ ไดร้ บั โซเดยี มจากแหลง่ อาหารประเภทตา่ ง ๆ เป็นสัดส่วนเทา่ ใด การศึกษาของสถาบันโภชนาการ มหาวทิ ยาลยั มหิดล ทไ่ี ด้ท�ำวจิ ยั ทางคลินิกในมนษุ ย์ พบว่าในการเตรียม อาหารให้คนบริโภคทั่วไป โดยจัดเป็นเมนูหมุนเวียน 2 สัปดาห์ ประกอบด้วยอาหารท่ีคนไทยกินเป็นประจ�ำ ทงั้ เมนอู าหารสำ� รบั และอาหารจานเดยี ว พบวา่ โซเดยี มสว่ นใหญใ่ นอาหารทก่ี นิ มาจากเครอื่ งปรงุ รสทใ่ี ชใ้ นระหวา่ ง การท�ำครวั หรอื ประกอบอาหารร้อยละ 71 ขณะทีม่ ากับอาหารตามธรรมชาตเิ พยี งรอ้ ยละ 18 และผู้บริโภคเติม เพ่ิมขณะกินอาหารร้อยละ 11 ดังแสดงไว้ในรูปที่ 1 อย่างไรก็ตามข้อมูลสัดส่วนโซเดียมในอาหารไทยดังกล่าว ไม่สามารถแบ่งได้วา่ เป็นโซเดียมท่ไี ด้จากอาหารแปรรูปเป็นสัดส่วนเท่าใด รวมทง้ั ยงั ไม่ไดร้ วมโซเดียมทไี่ ด้มาจาก ของว่างหรอื อาหารขบเค้ยี วตา่ ง ๆ ด้วย ปรมิ าณสารอาหารอ้างอิงทค่ี วรไดร้ บั ประจ�ำ วันสำ�หรับคนไทย พ.ศ. 2563 381

ตารางท่ี 2 ปรมิ าณพลังงาน สารอาหารหลกั รวมทั้งโซเดียมในอาหารตามหลกั การอาหารแลกเปล่ยี น ตารางท่ี 3 ปริมาณโซเดยี มในเครอ่ื งปรงุ รสต่าง ๆ * หน่วยที่ใช้ในการบริโภคหรือประกอบอาหาร เครือ่ งปรุงรส 1 ชอ้ นชา มนี ้ำ� หนกั ประมาณ 5 กรัม เครอ่ื งปรุงรส 1 ชอ้ นโต๊ะ = 3 ช้อนชา = 15 กรัม ซุปกอ้ น 1 ก้อน มีน้�ำหนกั 10 กรมั รอ้ ยละ 11 เตมิ เพิม่ ขณะกิน รอ้ ยละ 18 จากอาหารตามธรรมชาติ รอ้ ยละ 71 จากเครือ่ งปรุงรสทใี่ ชใ้ นระหว่าง การประกอบอาหาร รปู ที่ 1 แหลง่ ของโซเดียมในอาหารไทย ปริมาณสารอาหารอ้างอิงที่ควรได้รบั ประจ�ำ วันสำ�หรบั คนไทย พ.ศ. 2563 382

ถึงแม้ว่าโซเดียมส่วนใหญ่ในอาหารอยู่ในรูปโซเดียมคลอไรด์ ซ่ึงมาจากเกลือแกงหรือเครื่องปรุงรสต่าง ๆ เป็นหลักแล้ว ร่างกายยังได้รับโซเดียมที่มาจากสารประกอบอ่ืน ท่ีพบมากในอาหารไทยคือ การเติมผงชูรส (โมโนโซเดียมกลูตาเมต) นอกจากนี้ยังมีสารประกอบโซเดียมอ่ืน ๆ ท่ีมีการเติมในกระบวนการผลิตอาหารด้วย วัตถุประสงค์ต่างๆ ดังแสดงไว้ในตารางท่ี 4 ดังน้ันเพ่ือลด/เลี่ยงการได้รับโซเดียมท่ีมากจึงควรกินอาหารสด ตามธรรมชาติ หลีกเล่ยี งอาหารท่ีผ่านการแปรรปู ตา่ ง ๆ หรอื มีการปรุงรสมากเกนิ ความจำ� เป็น ตารางท่ี 4 โซเดียมทม่ี ีอยู่ในสารประกอบต่างๆ ทใ่ี ช้ในกระบวนการผลติ อาหาร43 *ดัดแปลงจาก ตารางการใช้วัตถุเจือปนอาหาร แนบท้ายประกาศส�ำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ข้อก�ำหนดการใช้วัตถุ เจอื ปนอาหาร ลงวนั ท่ี 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 254744 ปริมาณสารอาหารอา้ งองิ ท่คี วรได้รบั ประจ�ำ วนั ส�ำ หรบั คนไทย พ.ศ. 2563 383

ปรมิ าณสงู สดุ ของโซเดียมที่รบั ได้ในแตล่ ะวนั การบรโิ ภคโซเดียมที่มากเกนิ ความตอ้ งการในระยะยาวมผี ลเสยี ต่อสุขภาพมาก ซง่ึ พบว่าการบริโภคโซเดยี ม ท่ีมากสัมพนั ธก์ ับการเกิดโรคไมต่ ิดต่อเร้อื รงั ต่าง ๆ {non-communicable diseases (NCD)} ท่เี ป็นปัญหาสาธารณสุข ในขณะน้ี คอื ความดันโลหิตสูง โรคหวั ใจและหลอดเลอื ด (cardiovascular disease) และโรคหลอดเลือดสมอง (stroke) ซึง่ พบวา่ เม่ือลดปรมิ าณการบรโิ ภคโซเดียมลง ทำ�ใหค้ วามดนั โลหติ ลดลงและลดความเส่ียงของการเปน็ โรคไมต่ ดิ ต่อเรอ้ื รัง (NCD) ด้วย ปริมาณการบริโภคโซเดียมในปัจจุบันจากรายงานต่าง ๆ ท่วั โลกพบวา่ มปี รมิ าณ โซเดียมทบ่ี รโิ ภคมากกวา่ ความตอ้ งการมาก องค์การอนามยั โลกได้ดำ�เนนิ การทบทวนวรรณกรรมหลักฐาน เชงิ ประจกั ษ์เกีย่ วกบั เรื่องน้ี รวมท้งั ทำ�การวิเคราะหอ์ ภมิ าน (meta-analysis) และสรปุ เปน็ ข้อแนะนำ�อย่างหนักแน่น (strong recoFmmendation) วา่ ผูใ้ หญ่ (อายุ ≥ 16 ปี) ควรลดการบริโภคโซเดียมลงให้น้อยกว่า 2 กรัมตอ่ วนั (เทียบเท่ากบั เกลือโซเดยี มคลอไรด์ 5 กรมั ตอ่ วัน) นอกจากนี้ยงั มรี ายงานทค่ี ำ�นวณ dose-response ของการบริโภค โซเดียมที่ลดความเสยี่ งต่อความดันโลหิตสูง และแสดงให้เห็นว่าควรมีการบริโภคโซเดยี มลดลงเหลอื 1,200 มลิ ลกิ รมั ตอ่ วนั 45 สำ�หรบั เดก็ อายุ 2-15 ปี ควรลดสดั ส่วนจากปริมาณท่กี ำ�หนดในผูใ้ หญล่ งมาตามปริมาณความตอ้ งการ ของพลังงานที่ลดลง ดังน้ันค่าปรมิ าณสูงสดุ ทีร่ บั ได้ และไมท่ ำ�ให้เกดิ อนั ตรายจงึ ควรกำ�หนดไว้ที่ 2,000 มิลลิกรมั ต่อวนั ซึ่งสอดคล้องกับการกำ�หนดของ Codex Committee on Nutrition and Foods for Special Dietary Uses (CCNFSDU) ที่พิจารณาดำ�เนินการเก่ยี วกับการกำ�หนดคา่ Nutrient Reference Values (NRVs) สำ�หรับ สารอาหารที่มีผลต่อการเพ่มิ ความเสย่ี งต่อการเกดิ โรคไม่ติดตอ่ เรือ้ รัง (NCD) สำ�หรับประชากรท่ัวไปท่เี รยี กว่า NRVs-NCD ของโซเดียมเทา่ กบั 2,000 มลิ ลกิ รัมตอ่ วนั นโยบายเพ่ือการลดโซเดยี ม การลดปริมาณโซเดียมได้รับการยกเป็นเป้าหมายระดับโลกในการท่ีจะควบคุมป้องกันโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง {non-communicable diseases (NCDs)} โดยองคก์ ารอนามยั โลก {World Health Organization (WHO)} และสหประชาชาติ {United Nation (UN)} โดยมีเป้าหมายท่ีจะลดการบริโภคโซเดยี มลงรอ้ ยละ 30 ภายในปี พ.ศ.256846 สำ� หรบั ประเทศไทยนโยบายการลดการบรโิ ภคเกลอื และโซเดยี มเพอื่ ลดความเสย่ี งตอ่ การเกดิ โรคไมต่ ดิ ตอ่ เร้ือรงั ได้รบั การยกเปน็ วาระเข้าสูส่ มชั ชาสุขภาพแหง่ ชาตคิ รง้ั ท่ี 8 ในปี พ.ศ. 2558 และได้รับความเห็นชอบเป็น มติเพื่อการควบคุมการบริโภคเกลือและโซเดียม โดยให้กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานท่ีเกี่ยวข้องจัดท�ำ ยุทธศาสตร์ระดับชาติ จัดต้ังกลไกเพ่ือด�ำเนินงานตามยุทธศาสตร์ และสนับสนุนให้มีการจัดท�ำแผนปฏิบัติการ เพ่ือการควบคุมการบรโิ ภคเกลอื และโซเดยี มในระดบั ชาติ จงั หวดั และทอ้ งถน่ิ ตอ่ ไป47 ภาวะเป็นพษิ การไดร้ บั เกลอื หรอื การบรโิ ภคอาหารทมี่ เี กลอื มากเกนิ ไป และ/หรอื การไดร้ บั นำ�้ ไมเ่ พยี งพอ มผี ลทำ� ใหเ้ กดิ 1. ไตเส่ือมเนอ่ื งจากมีการกรองเพมิ่ ขน้ึ อาการเสอ่ื มของไตจะยังคงอยตู่ ลอดไป 2. การเกดิ โรคความดันโลหติ สงู ซึ่งแสดงให้เหน็ เมอื่ บริโภคเกลือลดลง จะมีผลให้ความดันโลหิตลดลง ได้34 ส�ำหรับผู้ป่วยเบาหวานการลดลงของความดันโลหิตมีความส�ำคัญมากต่อการควบคุมระดับ น้�ำตาล36 และทำ� ให้การทำ� งานของอนิ ซลู นิ ดีขน้ึ 14 ปรมิ าณสารอาหารอา้ งอิงท่ีควรได้รบั ประจำ�วันส�ำ หรบั คนไทย พ.ศ. 2563 384

3. โรคหัวใจ การบริโภคเกลือปริมาณมากมีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคหัวใจโดยเกิดความผิดปกติท่ี กล้ามเนือ้ หัวใจและอตั ราการเตน้ ของหัวใจ39 4. ท�ำให้เกิดการสูญเสียแคลเซียม การบริโภคเกลือปริมาณมากเป็นเวลานาน ๆจะท�ำให้แคลเซียมใน กระดูกถกู นำ� ออกมาใช้ นอกจากนนั้ ยงั มคี วามสัมพันธก์ บั การสูญเสียแคลเซยี มทางปัสสาวะ รวมทัง้ สารไฮดรอกซีโพรลีน (hydroxyproline)48 ซึ่งแสดงว่ามีการสลายของเนื้อเยื่อท่ีกระดูก ถ้ายังคง บรโิ ภคเกลอื ในปรมิ าณมากอยเู่ ปน็ เวลานาน ๆ จะเกดิ การสญู เสยี แบบสะสมเปน็ ผลใหเ้ กดิ กระดกู บาง เพิ่มขึน้ และแตกร้าวได้งา่ ย และเกดิ โรคกระดูกพรนุ เม่อื เขา้ สวู่ ัยสงู อาย1ุ 3 เอกสารอ้างอิง 1. วนั ทนยี ์ เกรยี งสนิ ยศ: ลดโซเดยี ม ยดื ชวี ติ กรงุ เทพมหานคร: โรงพมิ พอ์ งคก์ ารสงเคราะหท์ หารผา่ นศกึ กนั ยายน 2555 2. Holbrook JT, Patterson KY, Bodner JE, Douglas LW, Veillon C, Kelsay JL,et al. Sodium and potassium intake and balance in adults consuming selfselected diets. Am J Clin Nutr 1984;40:786-93. 3. กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ปริมาณสารอาหารอ้างอิงทคี่ วรได้รบั ประจำ� วันส�ำหรับคนไทย พ.ศ. 2546 กรงุ เทพมหานคร: โรงพิมพอ์ งค์การรับส่งสินคา้ และพสั ดุภณั ฑ์ (รสพ) 2546 4. Ferbes GB, Lowis AM. Total sodium, potassium and chloride in adult man. J Clin Invest 1956;35:596-600. 5. Luft FC, Zemel MB, Sowers JA, Fineberg NS, Weinberger MH. Sodium bicarbonate and sodium chloride: Effects on blood pressure and electrolyte homeostasis in normal and hypertensive man. J Hypertens 1990;8:663-70. 6. Adelman RD, Solbung MJ. Pathophysiology of body fluids and fluid therapy. In: Behrman RE, Kleigman RM, Arvin AM, Nelson WE, eds. Nelson textbook of pediatrics. 15th ed. Philadelphia: WB Saunders Company,1996;189-90. 7. Frohnert PP. Body composition. In: Knox EG, ed. Textbook or renal pathophysiology. Hagers Town, MD: Harper Row; 1978. 8. วันดี วราวทิ ย์ หลักการรกั ษาดว้ ยสารนำ้� ใน: อีเลค็ โทรลัยตใ์ นเด็ก วนั ดี วราวทิ ย์ บรรณาธกิ าร กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์บ�ำรุงนกุ ูลกจิ 2523 9. Newborg B, Kempner W. Analyses of 177 cases of hypertensive vascular disease with papilledema; one hundred twenty-six patients treated with rice diet. Am J Med 1955;19:33-47. 10. He FJ, MacGregor GA. Salt reduction lowers cardiovascular risk: meta-analysis of outcome trials. Lancet 2011;378:380-2. 11. Wright JD, Wang C-Y, Kennedy-Stephenson J, Ervin RB. Dietary intake of ten key nutrients for public health. Adv Data Vital Health Stat 2003;334:1-4. 12. Saggar-Malik AK, Markandu ND, MacGregor GA, Cappuccio FP. Moderate salt restriction for the management of hypertension and hypercalciuria. (Case report) J Hum Hypertens 1996;10:811-3. 13. Cappuccio FP. Dietary prevention of osteoporosis. Are we ignoring the evidence? [Letter]. Am J Clin Nutr 1996;63:787-8. ปริมาณสารอาหารอา้ งองิ ทคี่ วรไดร้ ับประจำ�วันสำ�หรับคนไทย พ.ศ. 2563 385

14. Feldman RD, Logan AG, Schmidt ND. Dietary salt restriction increase vascular insulin resistance. Clin Pharmacol Ther 1996;60:444-51. 15. He FJ, Markandu ND, Sagnella GA, MacGregor GA. Effect of salt intake on renal excretion of water in humans. Hypertension 2001;38:317-20. 16. He FJ, Marrero NM, MacGregor GA. Salt intake is related to soft drink consumption in children and adolescents: a link to obesity? Hypertension 2008;51:629-34. 17. Joossens JV, Hill MJ, Elliott P, Stamler R, Lesaffre E, Dyer A, et al. Dietary salt, nitrate and stomach cancer mortality in 24 countries. European Cancer Prevention (ECP) and the INTERSALT Cooperative Research Group. Int J Epidemiol 1996;25:494-504. 18. Burney P. A diet rich in sodium may potentiate asthma. Epidemiologic evidence for a new hypothesis. Chest 1987;91:143S-148S. 19. อุรุวรรณ แยม้ บริสุทธ์ิ กัลยา กิจบญุ ชู ความสำ� คัญของน�ำ้ กับนกั กีฬา โภชนาการวารสาร 2534;35:32-40 20. เปโส ขบวนดี การสญู เสียเหงื่อและเกลอื ในการว่ิงฮาร์ฟมาราธอน งานวิจยั สถาบันวิจยั และพฒั นาแห่งมหาวทิ ยาลัย เกษตรศาสตร์ 2534 21. อาหารและโภชนาการสำ� หรับนกั กฬี า ใน: สขุ ุมา รกั วานชิ สมใจ มามี พูนศรี เลศิ ลกั ขณวงศ์ อจั ฉรา พรเสถยี รกลุ บรรณาธกิ าร โภชนาการกบั การกฬี า กรงุ เทพมหานคร: โรงพิมพ์องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศกึ 2539:36-7 22. กลั ยา กิจบุญชู เพิม่ สมรรถภาพนกั กีฬาด้วยโภชนาการ พิมพ์ครัง้ ที่ 2 กรุงเทพมหานคร: โอ.เอส.พริน้ ต้ิง เฮ้าส์ 2558 23. World Health Organisation. World Health Report 2002: Reducing Risks, Promoting Healthy Life. Geneva, Switzerland: World Health Organisation; 2002. 24. Schmieder RE, Langenfield MRW, Friedrich A, Schobel HP, Gatzka CD, Weihprecht H. Angiotensin II related to sodium excretion modulates left ventricular structure in human essential in hypertension. Circulation 1996;94:1393-8. 25. Frohlich ED. The salt conundrum: a hypothesis. Hypertension 2007;50:161-6. 26. Gilleran G, O’Leary M, Barlett WA, Vinall H, Jones AF, Dodson PM. Effect of dietary sodium substitution with potassium and magnesium in hypertensive type II diabetics: a randomized blind controlled parallel study. J Hum Hypertens 1996;10:517-21. 27. Mühlhauser I, Prange K, Sawicki PT, Bender R, Dworschak A, Schaden W, et al. Effect of dietary sodium on blood pressure in IDDM patients with nephropathy. Diabetologia 1996;39:212-9. 28. Geleijnse JM, Hofman A, Witteman JCM, Hazebroek AAJM, Valkenburg HA, Grobbee DE. Longterm effects of neonatal sodium restriction on blood pressure. Hypertension 1997;29:913-7. 29. Hoffman A, Hazebroek A, Valkenburg HA. A randomized trial of sodium intake pressure in newborn infants. JAMA 1983;250:370-3. 30. Barba G, Cappucci FP, Russo L, Stinga F, Iacone R, Strazullo P. Renal function and blood pressure response to dietary salt restriction in normotensive men. Hypertension 1996;27:1160-4. 31. Rastenyte D, Tuomilehto J, Moltchanov V, Linstrom J, Pietinen P, Nissinen A. Association between salt intake, heart rate and blood pressure. J Hum Hypertens 1997;11:57-62. ปริมาณสารอาหารอ้างอิงท่ีควรไดร้ ับประจ�ำ วนั สำ�หรับคนไทย พ.ศ. 2563 386

32. Hooper L, Bartlett C, Davey Smith G, Ebrahim S. Systematic review of long term effects of advice to reduce dietary salt in adults. BMJ 2002; 325(7365):628. 33. He FJ, MacGregor GA. Reducing population salt intake worldwide: from evidence to implementation. Prog Cardiovasc Dis 2010;52:363-82. 34. Appel LJ, Frohlich ED, Hall JE, Pearson TA, Sacco RL, Seals DR, et al. The importance of population -wide sodium reduction as a means to prevent cardiovascular disease and stroke: a call to action from the American Heart Association. Circulation 2011;123:1138-43. 35. กองโภชนาการ กรมอนามยั กระทรวงสาธารณสขุ รายงานการสำ� รวจภาวะอาหารและโภชนาการของประเทศไทย ครั้งที่ 3 พ.ศ. 2529 กรุงเทพมหานคร: โรงพมิ พ์องค์การสงเคราะหท์ หารผา่ นศกึ 2529 36. กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข รายงานการสำ� รวจภาวะอาหารและโภชนาการของประเทศไทย คร้งั ท่ี 4 พ.ศ. 2538 นนทบรุ ี: กรมอนามยั กระทรวงสาธารณสุข 2538 37. กองโภชนาการ กรมอนามยั กระทรวงสาธารณสุข รายงานการสำ� รวจภาวะอาหารและโภชนาการของประเทศไทย ครง้ั ที่ 5 พ.ศ. 2546 กรุงเทพมหานคร: องคก์ ารรับส่งสินค้าและพัสดภุ ัณฑ์ (รสพ) 2549 38. กองโภชนาการ กรมอนามยั กระทรวงสาธารณสุข และองค์การยูนเิ ซฟ สำ� นักงานประเทศไทย รายงานการสำ� รวจ ปรมิ าณการบรโิ ภคโซเดยี มคลอไรดข์ องประชากรไทย 2552 39. สำ� นกั งานสำ� รวจสุขภาพประชาชนไทย สถาบันวจิ ัยระบบสาธารณสขุ รายงานการสำ� รวจการบรโิ ภคอาหารของ ประชาชนไทย การส�ำรวจสขุ ภาพประชาชนไทยโดยการตรวจร่างกายครัง้ ที่ 4 พ.ศ. 2551-2552, มถิ ุนายน 2554 40. Institute of Medicine. Dietary Reference Intakes for water, potassium, sodium, chloride and sulfate. Washington, D.C.: National Academy Press; 2004. 41. Dahl LK. Possible role of salt intake in the development of essential hypertension - An International Symposium. Berlin: Springe, 1960; 52-65. 42. National Academies of Sciences, Engineering, and Medicine. Dietary Reference Intakes for Sodium and Potassium. Washington, D.C.: The National Academies Press; 2019. Available from https://doi. org/10.17226/25353. 43. ตารางการใชว้ ตั ถเุ จอื ปนอาหาร แนบทา้ ยประกาศสำ� นกั งานคณะกรรมการอาหารและยา ขอ้ กำ� หนดการใชว้ ตั ถเุ จอื ปน อาหาร ลงวนั ท่ี 3 พฤศจกิ ายน 2547 44. ส�ำนกั อาหาร ส�ำนกั งานคณะกรรมการอาหารและยา แนวทางการใชว้ ตั ถุเจือปนอาหารและกฎหมายทีเ่ กย่ี วขอ้ ง พมิ พ์ครงั้ ที่ 2 นนทบุร:ี ส�ำนักอาหาร สำ� นักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสขุ 2556 45. U.S. Department of Agriculture and U.S. Department of Health and Human Services. Dietary Guidelines for Americans, 2010. 7th ed., Washington, D.C.: U.S. Government Printing Office, December 2010. 46. World Health Organization. Set of 9 voluntary targets for 2025 [cited 2016 May 18]. Available from:http://www.who.int/nmh/global_monitoring_framework/gmf1_large.jpg?ua=1 47. ส�ำนักงานคณะกรรมการสขุ ภาพแห่งชาติ: มตสิ มชั ชาสุขภาพแห่งชาติ ครัง้ ที่ 8 พ.ศ. 2558 กรุงเทพมหานคร: บรษิ ัท พมิ พ์สริ พิ ฒั นา จำ� กัด มกราคม 2559 48. Itoh R, Suyama Y. Sodium excretion in relation to calcium and hyperhydroxyproline excretion in healthy Japanese population. Am J Clin Nutr 1996;63:735-40. ปริมาณสารอาหารอา้ งองิ ทคี่ วรไดร้ บั ประจำ�วันส�ำ หรับคนไทย พ.ศ. 2563 387

โปตสั เซียม Potassium สาระสำ�คัญ โปตสั เซยี มจดั เปน็ แรธ่ าตทุ แ่ี ตกตวั เปน็ อเิ ลก็ โทรไลตท์ สี่ ำ� คญั ของของเหลวภายในเซลล์ เปน็ ไอออนทม่ี ปี ระจบุ วก (cation)* มอี ทิ ธพิ ลตอ่ การกระจายของนำ้� ในรา่ งกาย1 หนา้ ทท่ี ส่ี ำ� คญั ของโปตสั เซยี ม คอื รกั ษาระดบั ความเขม้ ขน้ ของออสโมลารติ ใี นของเหลวภายในเซลล์ ออสโมลารติ ขี องของเหลวภายนอก และภายในเซลลเ์ ทา่ กนั ดว้ ยการปรบั ความสมดลุ ของนำ�้ และความเปน็ กรด-ดา่ งภายในรา่ งกายโดยใหน้ ำ�้ ผา่ นเขา้ หรอื ออกจากเซลล์ โปตสั เซยี มผา่ นเขา้ เซลลไ์ ดโ้ ดยอาศยั เอนไซม์ Na-K ATPase โปตสั เซยี มชว่ ยในการหดตวั ของกลา้ มเนอื้ การนำ� ความรสู้ กึ ทางประสาท และชว่ ยในการทำ� งานของเอนไซมภ์ ายในรา่ งกายหลายชนดิ ทเ่ี กย่ี วกบั กระบวนการเมตาบอลสิ ม เกลอื โปตสั เซยี ม ทบี่ รโิ ภคจะดดู ซมึ เขา้ รา่ งกายไดบ้ างสว่ นของโปตสั เซยี มทข่ี บั ออกมาจากอจุ จาระขน้ึ กบั ระดบั ของฮอรโ์ มนอลั โดสเตอโรน คนปกติต้องการโปตัสเซียมจากอาหารประมาณวันละ 1,950-3,900 มิลลิกรัม (เทียบเท่ากับ 50-100 มลิ ลอิ คิ ววิ าเลนท)์ ความตอ้ งการโปตสั เซยี มขนึ้ กบั ความตอ้ งการพลงั งาน โดยกำ� หนดคา่ ความตอ้ งการโปตสั เซยี ม เปน็ 3-5 มลิ ลิอิคววิ าเลนท์ตอ่ ความตอ้ งการพลงั งาน 100 กโิ ลแคลอรีต่อวนั ความต้องการโปตัสเซยี มของทารกอายุ 0-5 เดอื น ขึน้ กับปรมิ าณนำ�้ นมแมท่ ี่เดก็ ปกติไดร้ ับตอ่ วนั ทารกอายุ 6-11 เดือน มีความตอ้ งการโปตัสเซียม 925-1,550 มิลลิกรัมตอ่ วนั เด็กอายุ 1-3 ปี มีความต้องการ 1,175-1,950 มิลลิกรัมตอ่ วัน เด็กอายุ 4-5 และ 6-8 ปี มีความต้องการ 1,525-2,550 และ 1,625-2,725 มลิ ลิกรัมตอ่ วัน ตามล�ำดบั วยั ร่นุ เพศชายอายุ 9-12, 13-15 และ 16-18 ปี มคี วามต้องการ 1,975-3,325, 2,450-4,100 และ 2,700-4,500 มิลลิกรมั ตอ่ วนั ตามล�ำดับ วัยรุน่ เพศหญงิ อายุ 9-12, 13-15 และ16-18 ปี มคี วามต้องการ 1,875- 3,125, 2,100-3,500 และ 2,150-3,600 มลิ ลกิ รัมตอ่ วัน ตามลำ� ดับ ผใู้ หญเ่ พศชายอายุ 19-30 ปี มีความต้องการ 2,525-4,200 มลิ ลิกรัมต่อวัน ผูใ้ หญ่เพศหญงิ อายุ 19-30 ปี มีความต้องการ 2,050-3,400 มลิ ลกิ รมั ต่อวนั ผใู้ หญ่ เพศชายอายุ 31-70 ปี มีความตอ้ งการ 2,450-4,100 มิลลกิ รมั ตอ่ วัน ผู้ใหญ่เพศหญิง อายุ 31-70 ปี มคี วาม ต้องการ 2,050-3,400 มิลลกิ รัมตอ่ วนั ผ้ใู หญ่เพศชายอายุ 71 ปขี ึน้ ไป มีความต้องการ 2,050-3,400 มลิ ลิกรัม ตอ่ วนั ผ้ใู หญ่เพศหญงิ อายุ 71 ปขี ้นึ ไป มีความตอ้ งการ 1,825-3,025 มลิ ลิกรมั ต่อวนั หญิงตง้ั ครรภไ์ ตรมาสที่ 2 และ 3 ความต้องการโปตัสเซยี มเพ่ิมขนึ้ จากปกตอิ ีก 350-575 มิลลิกรมั ตอ่ วัน หญงิ ให้นมบตุ ร ความต้องการเพ่มิ จากปกตอิ ีก 575-975 มิลลิกรัมตอ่ วนั * 1 มลิ ลิอิควิวาเลนท์ของโปตสั เซยี ม = โปตัสเซยี ม 39 มิลลกิ รมั ขอ้ มลู ทั่วไป จากรายงานการสำ� รวจการบรโิ ภคอาหารของประชาชนไทยในการสำ� รวจสขุ ภาพประชาชนไทย โดยการตรวจ รา่ งกายครงั้ ที่ 4 พ.ศ. 2551-2552 พบวา่ คา่ มธั ยฐานของโปตสั เซยี มทไี่ ดร้ บั จากการบรโิ ภคอาหารในเดก็ อายุ 1-8 ปี อย่ใู นช่วง 670.1-964.9 มิลลิกรมั ตอ่ วนั ในเดก็ วยั ร่นุ อายุ 9-18 ปี มีคา่ มัธยฐานการบริโภคโปตัสเซยี มอย่รู ะหวา่ ง 776.5-1,246.9 มลิ ลกิ รมั ตอ่ วนั ในผใู้ หญอ่ ายุ 19-59 ปี มคี า่ มธั ยฐาน การบรโิ ภคโปตสั เซยี มระหวา่ ง 915.9-1,185.4 มิลลิกรัมต่อวัน ส่วนในวัยผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป มีค่ามัธยฐานการบริโภคโปตัสเซียมระหว่าง 850.0-1,114.4 มิลลกิ รัมต่อวัน2 ปรมิ าณสารอาหารอา้ งอิงที่ควรได้รับประจ�ำ วนั สำ�หรับคนไทย พ.ศ. 2563 388

การศึกษาในเขตชนบทภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยในกลุ่มประชากรท่ีใช้แรงงานในไร่อ้อย พบว่า ประมาณร้อยละ 30 ของประชากรที่ท�ำการศึกษามีค่าของโปตัสเซียมในเลือดตลอดปีเฉลี่ยอยู่ในเกณฑ์ต�่ำ และประมาณรอ้ ยละ 70-90 มคี า่ เฉลยี่ ตลอดปขี องระดบั ของโปตสั เซยี มทขี่ บั ถา่ ยออกทางปสั สาวะนอ้ ยกวา่ เกณฑป์ กติ สำ� หรบั ปรมิ าณโปตสั เซยี มทไี่ ดร้ บั จากอาหารมคี า่ ประมาณ 800-900 มลิ ลกิ รมั ตอ่ วนั เทา่ นนั้ 3 ยงั ไมม่ ผี ศู้ กึ ษา ปริมาณโปตัสเซียมท่ีประชากรได้รับส�ำหรับภาคอื่น ๆ การประเมินตามชนิดของอาหารส�ำหรับประชากร ในภาคกลางจะมีคา่ สงู กวา่ อาหารของภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื เนอ่ื งจากประเทศไทยอยใู่ นเขตรอ้ นชน้ื รา่ งกายมกี ารสญู เสยี เหงอื่ ไดง้ า่ ยและมากนอ้ ยแตกตา่ งกนั ตามฤดกู าล โดยเฉพาะฤดรู อ้ นมีการสูญเสียเหง่อื มาก ท�ำให้ร่างกายมกี ารสูญเสยี โปตัสเซยี มมากเช่นกนั บทบาทหน้าท่ี โปตัสเซียมเป็นไอออนซ่ึงมีประจุบวกท่ีส�ำคัญ อยู่ภายในเซลล์มากกว่าภายนอกเซลล์ ความแตกต่างของ ประจุท่ผี ิวของเซลลท์ �ำใหเ้ กดิ การหดตวั และการคลายตัวของเซลล์กลา้ มเนอื้ เปน็ ช่วงสัน้ ๆ กรณที ่ีมกี ารแตกหรอื ท�ำลายของเซลลภ์ ายในรา่ งกายจะมผี ลท�ำใหร้ ะดบั โปตสั เซียมของน้�ำภายนอกเซลล์สูงขน้ึ เช่น คนไขท้ ่ถี กู ไฟไหม้ น้ำ� รอ้ นลวก หรือหลังผา่ ตัด เปน็ ตน้ โปตสั เซยี มชว่ ยรกั ษาภาวะสมดลุ ของนำ�้ และความเปน็ กรด-ดา่ งภายในรา่ งกาย ภาวะทมี่ กี ารขาดโปตสั เซยี ม จะมีโปตัสเซียมออกมาในปัสสาวะน้อย ไฮโดรเจนไอออนออกมาในปัสสาวะมาก ท�ำให้ปัสสาวะมีภาวะเป็นกรด เมอ่ื ตรวจหาอเิ ลก็ โทรไลตใ์ นเลอื ด พบวา่ มไี บคารบ์ อเนต (bicarbonate) สงู แสดงวา่ เลอื ด มภี าวะเปน็ ดา่ ง ซง่ึ จะคนื สู่ สภาวะปกตไิ ดเ้ มอื่ ไดร้ บั โปตสั เซยี มเพยี งพอ ในภาวะทนี่ ำ�้ ภายนอกเซลลม์ สี ภาพเปน็ ดา่ ง นำ�้ ภายในเซลลจ์ ะมสี ภาพ เปน็ กรด เนอ่ื งจากมกี ารเสยี โปตสั เซยี มจากเซลล์ โซเดยี มและไฮโดรเจนไอออนเขา้ ไปแทนท่ี เปน็ เหตใุ หค้ ารบ์ อเนต ถูกดดู ซึมเพมิ่ ขึ้นทไ่ี ต มผี ลทำ� ใหไ้ บคาร์บอเนตในเลือดสูงขน้ึ โปตสั เซยี มชว่ ยในการหดตวั ของกลา้ มเนอ้ื การนำ� ความรสู้ กึ ทางประสาท และชว่ ยในการทำ� งานของเอนไซม์ ภายในเซลล์หลายชนิดที่เกี่ยวกับกระบวนการเมตาบอลิสม เช่น กระบวนการไกลโคไลซิส (glycolysis) และ กระบวนการออกซเิ ดทีฟฟอสโฟไรเลชัน (oxidative phosphorylation)4 โปตสั เซยี มท�ำใหก้ ารขบั แคลเซียมออกทางปสั สาวะลดลง ดังนนั้ จงึ ชว่ ยลดโอกาสการเกดิ น่ิวลงได4้ นอกจากน้ี สารประกอบเกลอื โปตัสเซียมทีเ่ ป็นดา่ ง เชน่ โปตัสเซียมไบคารบ์ อเนตหรือโปตสั เซยี มซเิ ตรต ยงั ช่วยป้องกันการ สลายแคลเซยี มออกจากกระดูกอกี ด้วย5 ภาวะผิดปกต/ิ ภาวะเป็นโรค ระดับของโปตัสเซียมในของเหลวในเลือดอยู่ระหวา่ ง 3.5-5.6 มลิ ลิอิคววิ าเลนท์ตอ่ ลติ ร ซึง่ นอ้ ยกว่าระดับ โปตัสเซียมภายในเซลล์ (150 มลิ ลอิ คิ วิวาเลนท์ต่อลติ ร) ปริมาณของโปตัสเซยี มในของเหลวในเลือด มีการเพ่มิ ขึ้น หรอื ลดลงไดร้ วดเรว็ โดยโปตสั เซยี มเขา้ หรอื ออกจากเซลล์ หากไดร้ บั โปตสั เซยี มจากอาหารนอ้ ยกวา่ 1,000 มลิ ลกิ รมั ต่อวัน ติดต่อกันจะเร่ิมท�ำให้มีภาวะโปตัสเซียมในเลือดต�่ำ6 การสูญเสียโปตัสเซียมออกจากร่างกาย 200-400 มลิ ลอิ คิ ววิ าเลนท์ จะทำ� ใหโ้ ปตสั เซยี มในเลอื ดตำ่� ลง 1 มลิ ลอิ คิ ววิ าเลนทต์ อ่ ลติ ร การเปลย่ี นแปลงความเปน็ กรด-ดา่ ง (pH) 0.1 หนว่ ย จะทำ� ใหโ้ ปตสั เซยี มออกจากเซลล์ 0.3-1.2 มลิ ลอิ คิ ววิ าเลนท7์ การอาเจยี นและอจุ จาระรว่ งจะเสยี โปตัสเซยี มไปประมาณ 20-40 มิลลิอิควิวาเลนทต์ ่อลติ ร ปริมาณสารอาหารอา้ งองิ ท่คี วรไดร้ ับประจำ�วันสำ�หรับคนไทย พ.ศ. 2563 389

การทโี่ ปตสั เซยี มในเลอื ดตำ�่ มสี าเหตจุ ากการสญู เสยี โปตสั เซยี มไปทางระบบทางเดนิ อาหารหรอื ทางไต รว่ มกบั การได้รบั อาหารทางปากหรืออาหารทางหลอดเลือดที่มโี ปตัสเซียมไมเ่ พียงพอ การสูญเสียฮอรโ์ มนคอร์ติโคสเตอรอยด์ท่ีเพ่มิ ขน้ึ โดยเฉพาะผูป้ ว่ ยหลังผา่ ตดั ผูม้ ภี าวะเครียด ผู้ที่ได้รับยา ขยายหลอดลมชนดิ พ่น ยาจำ� พวกสเตอรอยด์ หรอื ฮอรโ์ มนอลั โดสเตอโรนเพมิ่ ขนึ้ จะส่งผลใหม้ กี ารสญู เสยี โปตสั เซยี ม ทางไต และมภี าวะทเี่ ลอื ดเปน็ ดา่ ง อาการและอาการแสดงของภาวะโปตสั เซยี มในเลอื ดตำ่� มกั ไมจ่ ำ� เพาะ อาทเิ ชน่ ออ่ นเพลยี กลา้ มเนอ้ื อ่อนแรง ทอ้ งผูก หากระดบั โปตสั เซียมในเลือดต�ำ่ ลงนอ้ ยกวา่ 3.0 มลิ ลอิ ิคววิ าเลนทต์ อ่ ลติ ร ภายในเวลาทร่ี วดเร็วอาจทำ� ให้เกิดการเต้นผิดจงั หวะของหวั ใจได้8 การป้องกันภาวะโปตัสเซียมต�่ำท�ำได้โดยการบริโภคโปตัสเซียมจากอาหารให้เพียงพอกับความต้องการ ของร่างกายเพ่ือรกั ษาของเหลวในรา่ งกายให้อยู่ในภาวะสมดลุ โดยควรไดร้ บั โปตสั เซียม 2-3 มลิ ลิอิคววิ าเลนทต์ ่อ ความตอ้ งการพลงั งาน 100 กิโลแคลอรตี ่อวัน หรอื เสริมด้วยการบรโิ ภคนำ้� สม้ น้�ำมะพรา้ ว กลว้ ย และผลไมท้ ี่มี โปตัสเซียมสูง ถ้ายังคงมีการสูญเสียโปตัสเซียมมากขึ้นควรเพ่ิมเป็น 5-6 มิลลิอิควิวาเลนท์ต่อความต้องการของ พลงั งาน 100 กโิ ลแคลอรตี อ่ วนั การแกไ้ ขภาวะโปตสั เซยี มในเลอื ดตำ�่ โดยการใหส้ ารประกอบโปตสั เซยี มควรเลอื ก ทางการกนิ กอ่ น เชน่ โปตสั เซียมคลอไรดช์ นดิ นำ�้ หรือเมด็ ไม่ควรเตมิ โปตสั เซยี มลงในน�้ำเกลือทใี่ หท้ างหลอดเลอื ด การใหโ้ ปตสั เซยี มทมี่ คี วามเขม้ ขน้ เกนิ 40 มลิ ลอิ คิ ววิ าเลนทต์ อ่ ลติ ร จะตอ้ งมขี อ้ บง่ ชที้ างการแพทยอ์ ยใู่ นความดแู ล ของแพทย์อยา่ งใกลช้ ดิ และต้องวัดคลื่นหวั ใจตลอดเวลา9 ปริมาณทแี่ นะน�ำ ให้บรโิ ภค การก�ำหนดค่าความต้องการโปตัสเซียมพิจารณาจากปริมาณความต้องการพลังงานเพ่ือการเจริญเติบโต การเพ่ิมขึ้นของมวลกล้ามเนื้อ และการสูญเสียโปตัสเซียมไปทางอุจจาระ ความต้องการโปตัสเซียมในแต่ละเพศ และกลุม่ อายตุ ่าง ๆ มคี ่าเท่ากับ 3-5 มิลลอิ ิคววิ าเลนทต์ อ่ พลงั งาน 100 กิโลแคลอรีต่อวนั 10-12 คนปกติจะได้รับโปตัสเซียมจากอาหารประมาณวันละ 1,950-3,900 มิลลิกรัม (เทียบเท่ากับ 50-100 มิลลิอิควิวาเลนท์) ดังได้กล่าวมาแล้วว่าความต้องการโปตัสเซียมข้ึนอยู่กับความต้องการพลังงาน โดยก�ำหนด คา่ ความต้องการโปตัสเซยี มเป็น 3-5 มลิ ลอิ ิคววิ าเลนทต์ อ่ ความตอ้ งการพลังงาน 100 กิโลแคลอรตี อ่ วัน คา่ ของ โปตัสเซยี มท่คี วรไดร้ ับต่อวันของแตล่ ะเพศและกลมุ่ อายุ ดังแสดงไว้ในตารางที่ 1 ปรมิ าณสารอาหารอ้างอิงท่ีควรได้รับประจ�ำ วนั สำ�หรับคนไทย พ.ศ. 2563 390

ตารางที่ 1 ปริมาณโปตสั เซยี มอา้ งอิงท่ีควรได้รับประจำ� วนั ส�ำหรับกล่มุ บุคคลวัยต่าง ๆ * แรกเกิดจนถงึ กอ่ นอายุ 6 เดือน † อายุ 1 ปี จนถงึ ก่อนอายุ 4 ปี ปรมิ าณสารอาหารอา้ งอิงทีค่ วรไดร้ ับประจ�ำ วันสำ�หรบั คนไทย พ.ศ. 2563 391

ความต้องการของโปตัสเซียมที่ปรับปรุงและเผยแพร่ใหม่ในเดือนมีนาคมปี พ.ศ. 2562 โดย National Academy of Science ไดร้ ะบเุ ปน็ คา่ ประมาณของโปตัสเซียมท่ีเพยี งพอเท่ากับ 3,400 และ 2,600 มลิ ลิกรมั ต่อวัน ส�ำหรับบุคคลทอ่ี ายุต้ังแต่ 19 ปี ขนึ้ ไปในเพศชายและเพศหญงิ ตามล�ำดับ13 ค่าดังกล่าวก�ำหนดจากคา่ สงู สดุ ของ มธั ยฐานปรมิ าณการบรโิ ภคของประชากรอเมรกิ นั ทมี่ รี ะดบั ความดนั โลหติ ปกตแิ ละไมม่ รี ายงานวา่ เปน็ โรคเกยี่ วกบั ระบบหัวใจและหลอดเลือด ขณะทห่ี นว่ ยงานความปลอดภยั ด้านอาหารแหง่ สหภาพยโุ รป {European Food Safety Authority (EFSA)} ไดก้ ำ� หนดคา่ ประมาณของโปตสั เซยี มทเ่ี พยี งพอเทา่ กบั 3,500 มลิ ลกิ รมั ตอ่ วนั สำ� หรบั ผทู้ ม่ี อี ายุ 18 ปขี น้ี ไปทง้ั เพศชายและเพศหญงิ 14 โดยอา้ งองิ วา่ เปน็ ปรมิ าณทม่ี คี วามสมั พนั ธก์ บั ระดบั ความดนั โลหติ ที่ดี ซึ่งจะเห็นได้ว่าค่าความต้องการโปตัสเซียมท่ีก�ำหนดโดยหน่วยงานท้ังสองดังกล่าวอยู่ระหว่างช่วงของ ความตอ้ งการโปตัสเซยี มอา้ งอิงท่ีกำ� หนด ดงั แสดงไว้ในตารางท่ี 1 ผลของสารอาหารตอ่ สุขภาพ การบรโิ ภคโปตสั เซยี มในปรมิ าณทต่ี ำ่� มคี วามสมั พนั ธก์ บั การเกดิ โรคไมต่ ดิ ตอ่ {noncommunicable diseases (NCDs)} ซงึ่ ไดแ้ ก่ โรคความดนั โลหติ สงู โรคหวั ใจและหลอดเลอื ด โรคนว่ิ ในไต และความหนาแนน่ ของมวลกระดกู ตำ่� การเพ่มิ การบริโภคโปตสั เซียมจะช่วยลดความดนั โลหติ ลดความเส่ียงของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลอื ด และ ช่วยบรรเทาผลเสียจากการทไี่ ด้รับโซเดยี มเกินความตอ้ งการของร่างกาย15-17 การบรโิ ภคโปตสั เซยี มในอาหารทเ่ี พม่ิ มากขนึ้ มหี ลกั ฐานยนื ยนั ทางการแพทยว์ า่ ชว่ ยลดระดบั ความดนั โลหติ การเกดิ โรคหลอดเลอื ดสมองและโรคอว้ นลงพงุ ซงึ่ นบั เปน็ metabolic syndrome การบรโิ ภคโปตสั เซยี มปรมิ าณ 90-120 มลิ ลิอคิ ววิ าเลนท์ หรือ 3,510-4,680 มลิ ลิกรัมตอ่ วนั จะทำ� ใหค้ วามดนั โลหิตลดลงมากทสี่ ดุ โดยจะช่วย ลดความดนั ซิสโตลิกและไดแอสโตลิกลงได้เฉล่ีย 7.16 และ 4.01 มลิ ลเิ มตรปรอทตามล�ำดบั 18 เชื่อว่าโปตัสเซยี ม ชว่ ยลดความดันโลหิตผา่ นกลไกการเพมิ่ การขับออกและลดการดดู กลับของโซเดียมท่ีไต19 การบรโิ ภคโปตัสเซยี ม 3,510- 4,680 มิลลิกรัมต่อวนั จะช่วยลดโอกาสการเกิดโรคหลอดเลอื ดสมองไดร้ ้อยละ 3020 การบริโภคโปตัสเซียม ทเี่ พ่ิมขน้ึ ทุก ๆ 1 กรัม จะชว่ ยลดอุบัตกิ ารณ์การเกิดโรคอว้ นลงพุง และภาวะดอื้ ตอ่ อินซลู ินได้รอ้ ยละ 11 และ 10 ตามลำ� ดบั 21 อยา่ งไรกต็ าม การบรโิ ภคโปตสั เซยี มในอาหารในปรมิ าณทเ่ี พม่ิ มากขน้ึ ยงั ไมพ่ บหลกั ฐานวา่ ชว่ ยลด การเกดิ โรคหลอดเลอื ดหวั ใจและอตั ราการเสยี ชวี ติ 22 การบรโิ ภคโปตสั เซยี มทเ่ี พมิ่ ขนึ้ สมั พนั ธก์ บั การลดอบุ ตั กิ ารณ์ การเกิดโรคหลอดเลือดสมองแตกหรืออุดตัน23 ถึงแม้ว่าจะไม่พบความสัมพันธ์ระหว่างการบริโภคโปตัสเซียมกับ การเกดิ โรคหลอดเลือดหวั ใจ และโรคหวั ใจและหลอดเลอื ด แตโ่ รคหัวใจและหลอดเลือดมคี วามสมั พนั ธ์กนั อยา่ ง ชดั เจนกบั ความดนั โลหติ ดงั นน้ั การบรโิ ภคโปตสั เซยี มทเ่ี พม่ิ ขน้ึ จงึ ทำ� ใหเ้ กดิ ประโยชนก์ บั โรคหวั ใจและหลอดเลอื ด ในทางออ้ มโดยผ่านทางผลดีจากการลดความดนั โลหิต ซง่ึ องคก์ ารอนามยั โลกมีการแนะน�ำใหก้ ินโปตสั เซยี มจาก อาหารใหเ้ พม่ิ ขนึ้ เพอ่ื ลดความดนั โลหติ และลดความเสย่ี งของการเกดิ โรคหวั ใจและหลอดเลอื ด ซงึ่ นบั เปน็ strong recommendation และแนะนำ� วา่ ควรบรโิ ภคอยา่ งนอ้ ย 3,510 มลิ ลกิ รมั ตอ่ วนั สำ� หรบั ผใู้ หญ่ สว่ นเดก็ แนะนำ� ให้ บริโภคโดยปรบั สดั สว่ นตามพลังงานทคี่ วรไดร้ บั ในแตล่ ะช่วงวัย24 แหลง่ อาหารของโปตัสเซียม โปตัสเซียมพบอยู่ในอาหารหลายประเภท25 โปตัสเซียมพบมากในเน้ือสัตว์ ผักใบเขียว ผลไม้บางชนิด ดังแสดงไว้ในตารางท่ี 2 ปริมาณสารอาหารอา้ งองิ ทค่ี วรไดร้ ับประจำ�วนั ส�ำ หรับคนไทย พ.ศ. 2563 392

ตารางท่ี 2 แหล่งอาหารของโปตัสเซียม ปริมาณโปตสั เซียม แหล่งอาหาร* (มลิ ลกิ รมั ต่ออาหาร 100 กรมั ) เนอ้ื หมู เนือ้ ไก่ เน้ือปลา และเนื้อววั 200-400 กระถนิ (ฝกั แก่และยอดออ่ น) ผักบุง้ ไทย ชะอม ปวยเลง้ 400-500 กระเจ๊ียบ (ดอก) ข้เี หล็ก (ใบ) ชะพลู (ใบ) 500-600 กลว้ ย มะละกอสุก ลำ� ไย ขนุน 300-400 ทเุ รียน 430-680 ถั่วเมล็ดแห้งตา่ งๆ 600-1,600 ขา้ วกล้อง เมลด็ ฟกั ทอง 325-400 * อาหารบางชนิดมีการเตมิ โปตสั เซยี มระหวา่ งกระบวนการผลติ ปริมาณโปตัสเซียมที่ร่างกายได้รับขึ้นอยู่กับชนิดของอาหาร ผู้ท่ีกินผักและผลไม้จ�ำนวนมาก มักจะได้รับ โปตัสเซียมมาก ซ่ึงส่วนเกินจะถูกขับออกทางไต ส�ำหรับผู้ที่มีปัญหาเร่ืองไตจะมีการขับโปตัสเซียมไม่ดีเท่าท่ีควร ในผ้ทู เี่ ร่ิมมีปญั หาเร่อื งไตจำ� เป็นตอ้ งหลีกเลยี่ งการบริโภคผกั และผลไม้ท่ีมโี ปตสั เซียมสงู ปริมาณสูงสุดของโปตัสเซยี มท่รี บั ไดใ้ นแต่ละวัน ปรมิ าณสงู สดุ ทร่ี า่ งกายรบั ไดแ้ ละไมเ่ กดิ อนั ตรายในภาวะปกติ คอื การไดร้ บั 5 มลิ ลอิ คิ ววิ าเลนทต์ อ่ พลงั งาน 100 กิโลแคลอรีตอ่ วัน การบรโิ ภคโปตัสเซียมสงู ถึง 15,600 มลิ ลกิ รมั ตอ่ วันตดิ ตอ่ กันเปน็ เวลาหลายสปั ดาห์ พบว่า ไม่มีผลเสีย26 แต่หากไดร้ ับปรมิ าณสงู ทางปากหรอื ทางหลอดเลอื ดควรอย่ใู นความดแู ลของแพทย์ ภาวะเปน็ พิษ โดยปกติไตสามารถขับโปตสั เซียมออกทางปัสสาวะไดถ้ งึ วันละ 7,800 มิลลิกรัม โดยความสามารถนจี้ ะเสียไป หากการทำ� งานของไตลดลงรอ้ ยละ 9027 ความเปน็ พษิ เกดิ ขน้ึ จากการมโี ปตสั เซยี มในเลอื ดสงู กวา่ 5.5 มลิ ลอิ คิ ววิ าเลนท์ ตอ่ ลติ ร28 ทำ� ใหก้ ารทำ� หนา้ ทขี่ องอวยั วะผดิ ปกติ สาเหตเุ นอ่ื งจากเกดิ การเคลอื่ นยา้ ยของโปตสั เซยี มออกจากเซลล์ เชน่ ภาวะทเี่ ลอื ดเปน็ กรด เมด็ เลอื ดแดงแตกในหลอดเลอื ด การทไ่ี ตไมส่ ามารถขบั ถา่ ยโปตสั เซยี มออกทางปสั สาวะ ไดโ้ ดยเกดิ จากความผิดปกตขิ องไต ไตวาย ภาวะขาดฮอรโ์ มนอัลโดสเตอโรน หรอื ท่อไตไม่สามารถตอบสนองต่อ ฮอร์โมนอลั โดสเตอโรน เป็นต้น โดยทีโ่ ปตสั เซียมเขา้ เซลล์ไม่ได้ และ/หรือขบั ถา่ ยออกทางไตไมท่ ัน ถา้ โปตสั เซยี ม ในซรี มั เพมิ่ ขน้ึ 2 มลิ ลอิ คิ ววิ าเลนทต์ อ่ ลติ ร ทำ� ใหเ้ กดิ อาการรนุ แรงทห่ี วั ใจได2้ 9 การเกดิ พษิ อยา่ งเฉยี บพลนั เกดิ ขน้ึ ได้ จากการทร่ี า่ งกายไดร้ บั โปตสั เซยี มมากเกนิ ไปโดยการกนิ หรอื ไดร้ บั ทางหลอดเลอื ด (ประมาณ 18 กรมั ) อาจทำ� ให้ เป็นอันตรายถึงชีวิต ภาวะท่ีโปตัสเซียมสูงมีผลให้การเต้นของหัวใจผิดปกติ โดยไม่แสดงอาการแต่สามารถ ตรวจสอบได้ด้วยการวัดคล่ืนไฟฟ้าของหัวใจ ในภาวะน้ีอาจท�ำให้หัวใจหยุดเต้นได้ มีผลต่อระบบประสาทและ กลา้ มเนือ้ ท�ำใหก้ ลา้ มเน้อื หัวใจออ่ นแรงและเป็นอัมพาต ปรมิ าณสารอาหารอ้างองิ ท่คี วรไดร้ บั ประจ�ำ วันส�ำ หรับคนไทย พ.ศ. 2563 393

เอกสารอ้างองิ 1. Forbes GB, Lewis AM. Total sodium, potassium and chloride in adult man. J Clin Invest 1956;35:596-600. 2. วชิ ยั เอกพลากร วราภรณ์ เสถียรนพเก้า บรรณาธกิ าร รายงานการส�ำรวจการบรโิ ภคอาหารของประชาชนไทย การส�ำรวจสขุ ภาพประชาชนไทยโดยการตรวจรา่ งกายครง้ั ท่ี 4 พ.ศ. 2551-2552 นนทบรุ ี: บริษทั เดอะ กราฟโิ ก ซสิ เต็มส์ จ�ำกดั 2554 3. Sriboonlue P, Prasongwatana V, Suwantrai S, Bovornpadungkitti S, Tungsanga K, Tosukhowong P. Nutritional potassium status of healthy adult males residing in the rural northeast Thailand. J Med Assoc Thai 1998;81:223-32. 4. ปวณี า สุสัณฐติ พงษ์ สมจิตร เอ่ียมอ่อง ขจร ตรี ณธนากุล สมชาย เอีย่ มออ่ ง Hypokalemia and hyperkalemia ใน Textbook of nephrology สมชาย เอีย่ มออ่ ง สมจิตร เอีย่ มอ่อง เก้อื เกยี รติ ประดิษฐ์พรศลิ ป์ ขจร ตรี ณธนากลุ เกรยี ง ตงั้ สง่า วิศิษฏ์ สติ ปรชี า บรรณาธกิ าร กรงุ เทพมหานคร: เท็กซ์ แอนด์ เจอรน์ ลั พับลเิ คชน่ั 2554;239-314 5. Weaver C. Potassium and health. Adv Nutr 2013;4:368S-377S. 6. Hernandez RE, Schambelan M, Cogan MG, Colman J, Morris RC Jr, Sebastian A. Dietary NaCl determines the severity of potassium depletion-induced metabolic alkalosis. Kidney Int 1987;31:1356-67. 7. Burnell JM, Villamil MF, Uyeno BT, Seribner BH. The effect in human of extracellular pH change on the relationship between serum potassium concentration and intracellular potassium. J Clin Invest 1956;35:935-9. 8. Gennari F. Hypokalemia. NEJM 1998;13:451-8. 9. NRC (National Research Council). Diet and Health: Implications for reducing chronic disease risk. Report of the Committee on Diet and Health, Food and Nutrition Board. Washington D.C.: National Academy Press, 1989;750 pp. 10. Adelman RD, Solbung MJ. Pathophysiology of body fluids and fluid therapy. In: Behrman RE, Kleigman RM, Arvin AM, Nelson WE, eds. Nelson textbook of pediatrics. 15th ed. Philadelphia: WB Saunders company, 1996;189-90. 11. Frohnert PP. Body composition. In: Knox EG, ed. Textbook or renal pathophysiology. Hagers Town, MD: Harper Row,1978. 12. วันดี วราวิทย์ บรรณาธกิ าร หลักการรกั ษาดว้ ยสารนำ�้ กรุงเทพมหานคร: โรงพมิ พ์บำ� รุงนกุ ลู กจิ 2523 13. National Academy of Sciences, Engineering, and Medicine. Dietary Reference Intakes for Sodium and Potassium. Washington, D.C.: The National Academies Press; 2019. (https://doi.org/10.17226/25353.) 14. European Food Safety Authority. Dietary reference values for nutrients: Summary report. EFSA supporting publication; 2017. 15. Dietary Guidelines Advisory Committee. The report of the Dietary Guidelines Advisory Committee on Dietary Guidelines for Americans. Washington, D.C., Department of Health and Human Services and Department of Agriculture; 2005. (http://www.health.gov/dietaryguidelines/dga2005/report/ default.htm) 16. Whelton PK, He J, Cutler JA, Brancati FL, Appel LJ, Follmann D, Klag MJ. Effects of oral potassium on blood pressure. Meta-analysis of randomized controlled clinical trials.JAMA, 1997;277:1624–32. (http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/9168293.) ปรมิ าณสารอาหารอ้างอิงทคี่ วรไดร้ บั ประจ�ำ วนั สำ�หรบั คนไทย พ.ศ. 2563 394

17. WHO. Prevention of recurrent heart attacks and strokes in low and middle income populations: Evidence-based recommendations for policy makers and health professionals. Geneva, World Health Organization (WHO); 2003. (http://www.who.int/cardiovascular_diseases/resources/pub0402/en/) 18. WHO. Effect of increased potassium intake on blood pressure, renal function, blood lipids and other potential adverse effects. Geneva: World Health Organization (WHO); 2012. 19. Houston C. The important of potassium in managing hypertension. Curr Hypertens Rep 2011;13:307-17. 20. Aburto J, Hanson S, Gutierrez H, Hooper L, Elliott P, Cappuccio FP. Effect of increased potassium on cardiovascular risk factors and disease: systematic review and meta-analyses. BMJ 2013;346:f1378. 21. Hajeong Lee, Jeonghwan Lee, Seung-sik Hwang, Sejoong Kim, Ho Jun Chin, Jin Suk Han, et al. Potassium intake and the prevalence of metabolic syndrome: the Korean national health and nutrition examination 2008-2010. Plos One 2013;8:e55106. 22. WHO. Effect of increased potassium intake on cardiovascular disease, coronary heart disease and stroke. Geneva, World Health Organization (WHO); 2012. 23. Whelton P, He J. Health effects of sodium and potassium in humans. Curr Opin Lipidol 2014;25:75-9. 24. WHO. Guideline: Potassium intake for adults and children. Geneva, World Health Organization (WHO); 2012. (http://www.who.int/nutrition/publications/guidelines/potassium_intake_printversion.pdf) 25. Institute of Nutrition, Mahidol University and ASEANFOODS Regional Database Center of INFOODS. Thai Food Composition Tables. Bangkok: Paluk Tai Co.Ltd; 1999. 26. Rabelink TJ, Koomans HA, Hené RJ, Dorhout Mees EJ. Early and late adjustment to potassium loading in humans. Kidney Int 1990;38:942-7. 27. He J, Macgregor A. Beneficial effects of potassium on human health. Physiol Plant 2008;133:725-35. 28. Food and Nutrition Board, National Research Council. Recommended Dietary Allowances. 9th ed. Committee on Dietary Allowances. Washington, D.C.: National Academy Press; 1980. 29. วันดี วราวิทย์ ภาวะโปตสั เซียมในเลอื ดต่�ำ ภาวะโปตัสเซียมในเลอื ดสูง ใน: ธรี ชยั ฉันทโรจนศ์ ริ ิ สุวรรณา เรอื งกาญจนเศรษฐ์ สรายทุ ธ สุภาพพรรณชาติ สุรางค์ หงส์อิง สรุ างค์ เจียมจรรยา บรรณาธิการ. คมู่ ือกุมารเวชศาสตร์ฉุกเฉิน (ฉบับพิมพ์ครัง้ ท่ี 3) กรุงเทพมหานคร: บริษัทพมิ พ์สวยจำ� กดั : 2545;143-8 ปริมาณสารอาหารอา้ งองิ ท่คี วรได้รบั ประจ�ำ วนั สำ�หรบั คนไทย พ.ศ. 2563 395

คลอไรด์ Chloride สาระสำ�คัญ คลอไรดเ์ ปน็ ธาตทุ ม่ี ปี ระจลุ บ (anion)* มมี ากทส่ี ดุ ในรา่ งกายและกระจายอยใู่ นสว่ นของของเหลวภายนอกเซลล์ มีความส�ำคัญในการช่วยรักษาปริมาณน้�ำและสารอีเล็กโทรไลต์ท้ังหมดในร่างกายให้อยู่ในสภาพสมดุล ปริมาณ ทีพ่ บในเลือดมีคา่ 97-107 มลิ ลอิ ิคววิ าเลนทต์ ่อลติ ร1 คลอไรดเ์ ปน็ สว่ นประกอบท่ีจำ� เป็นของนำ้� ยอ่ ยในกระเพาะ อาหารและน�ำ้ ไขสนั หลัง พบคลอไรด์ปรมิ าณนอ้ ยในเซลล์ทุกชนิดของรา่ งกาย (ปริมาณคลอไรดใ์ นเมด็ เลือดแดง ประมาณ 75 มลิ ลอิ คิ ววิ าเลนทต์ อ่ กโิ ลกรมั )2 การดดู ซมึ คลอไรดจ์ ะเกดิ ขนึ้ ทบ่ี รเิ วณปลายของทอ่ ไตสว่ นตน้ พรอ้ มกบั โซเดยี ม การดดู ซมึ ตอ้ งใชพ้ ลงั งาน (active transport) คา่ ของคลอไรดใ์ นเลอื ดมคี วามสมั พนั ธโ์ ดยตรงกบั คา่ ของโซเดยี ม ปริมาณคลอไรด์ในเลือดสูงได้ถ้าการท�ำงานของไตผิดปกติ หรือผู้ป่วยกินยาท่ีมีคลอไรด์สูงท�ำให้เกิดภาวะเลือด เปน็ กรด (hyperchloremic metabolic acidosis)3 การกำ� หนดคา่ ความตอ้ งการคลอไรดข์ องคนปกตมิ คี า่ เทา่ กบั 1-3 มลิ ลอิ คิ ววิ าเลนทต์ อ่ ความตอ้ งการพลงั งาน 100 กโิ ลแคลอรีต่อวัน4-6 ความต้องการคลอไรดข์ องทารกอายุ 0-5 เดอื น ขนึ้ กับปริมาณน้ำ� นมแม่ทเ่ี ดก็ ปกตไิ ด้รับ ทารกอายุ 6-11 เดอื น มคี วามต้องการคลอไรด์ 275-550 มิลลิกรัมต่อวนั เด็กอายุ 1-3, 4-5 และ 6-8 ปี มคี วาม ต้องการ 350-700, 450-900 และ 500-975 มลิ ลิกรัมต่อวัน ตามลำ� ดับ วัยร่นุ เพศชายอายุ 9-12, 13-15 และ 16-18 ปี มคี วามตอ้ งการ 600-1,200, 750-1,500 และ 825-1,650 มลิ ลกิ รมั ตอ่ วนั ตามลำ� ดบั วยั รนุ่ เพศหญงิ อายุ 9-12, 13-15 และ16-18 ปี มีความตอ้ งการ 550-1,125, 625-1,250 และ 650-1,300 มลิ ลกิ รัมต่อวัน ตามล�ำดับ ผู้ใหญ่เพศชายอายุ 19-30 ปี มีความตอ้ งการ 750-1,500 มลิ ลิกรัมต่อวนั ผูใ้ หญ่เพศหญงิ อายุ 19-30 ปี มคี วาม ตอ้ งการ 600-1,225 มลิ ลกิ รมั ตอ่ วนั ผใู้ หญเ่ พศชายอายุ 31-70 ปี มคี วามตอ้ งการ 725-1,475 มลิ ลกิ รมั ตอ่ วนั ผใู้ หญ่ เพศหญงิ อายุ 31-70 ปี มีความตอ้ งการ 600-1,225 มิลลิกรมั ตอ่ วัน ผใู้ หญเ่ พศชายอายุ 71 ปีข้นึ ไป มคี วามต้องการ 600-1,225 มลิ ลกิ รมั ตอ่ วนั ผใู้ หญเ่ พศหญงิ อายุ 71 ปขี นึ้ ไป มคี วามตอ้ งการ 600-1,075 มลิ ลกิ รมั ตอ่ วนั หญงิ ตงั้ ครรภ์ ไตรมาสท่ี 2 และ 3 มคี วามตอ้ งการคลอไรดเ์ พม่ิ ขนึ้ จากปกตอิ กี 100-200 มลิ ลกิ รมั ตอ่ วนั หญงิ ใหน้ มบตุ ร มคี วามตอ้ งการ เพมิ่ จากปกติอกี 175-350 มลิ ลกิ รมั ตอ่ วนั ต้งั แตห่ ลงั คลอดจนถึง 11 เดือน * 1 มลิ ลอิ คิ ววิ าเลนทข์ องคลอไรด์ = คลอไรด์ 35.5 มิลลกิ รมั ขอ้ มูลทว่ั ไป ภาวะปกติจะไม่พบการขาดคลอไรด์จากการบริโภคอาหาร จะพบได้บ้างในเด็กทารกท่ีได้รับคลอไรด์จาก นำ�้ นมไมเ่ พยี งพอ7 โดยทวั่ ไปในผใู้ หญเ่ พศชายและเพศหญงิ จะไดร้ บั ปรมิ าณคลอไรดใ์ นอาหารประมาณ 7.8-11.8 และ 5.8-7.8 กรัมตอ่ วัน ตามลำ� ดบั 8 การสญู เสียคลอไรดม์ กั เกิดร่วมกับการสญู เสียโซเดียม เช่น การเสยี เหงอื่ มาก ตลอดเวลา โรคอจุ จาระร่วงเร้อื รัง หรอื อาเจยี น การเกิดบาดแผล และโรคไต หากมีปรมิ าณคลอไรดใ์ นเลอื ดสูง คลอไรดส์ ่วนเกินจะถกู ขับออกทางปสั สาวะและอุจจาระในรูปของแอมโมเนียมคลอไรด์9 ปรมิ าณสารอาหารอา้ งอิงทค่ี วรได้รบั ประจ�ำ วนั ส�ำ หรบั คนไทย พ.ศ. 2563 396

บทบาทหนา้ ที่ คลอไรด์ช่วยให้เกิดสภาพสมดุลของน�้ำและออสโมลาริตีภายในร่างกาย อาศัยการท�ำงานร่วมกับโซเดียม โดยคลอไรด์จะถูกดดู ซึมร่วมไปกับโซเดยี มท้งั ท่ไี ตและทางเดินอาหาร อีกทั้งยังมคี วามสำ� คญั ในการควบคุมสมดุล กรด-ด่างในเลอื ดโดยท�ำงานตรงกนั ข้ามกบั ไบคาร์บอเนต10 นอกจากนคี้ ลอไรดย์ ังท�ำหน้าที่เป็นบัฟเฟอร์ (buffer) ของนำ้� ภายในเซลล์ โดยเมอ่ื เกดิ มไี ฮโดรเจนไอออน (H+) เพมิ่ ขน้ึ ในนำ้� ภายนอกเซลล์ คลอไรดไ์ อออน (CI-) จะเขา้ ไป ใ(เHปน+น็เซ)ผลเลกลใดิ ์เหพเปค้ ่ือว็นแากลมรกเดขทค้มี่กาขับร้น์บไขบออคนงาิกไรฮ์บ(โHดอ2รเCนเจOตน3)ไ(อซHองึ่CอเOปนน็-3)ก(Hรไ+ดบ)อคลอ่าดนรล์บแงอล11ะเนแหตตนทกา้ ี่อตทอวั ี่อเกปืน่ ม็นาๆนจำ�้าขก(อHเซง2คลOลล)อ์ แไจรละดะร์ควไามดรตแ้ ์บกัวอก่ นเับปไไดน็ ฮอสโอดว่ กนรเไปจซรนดะไ์ กอ(CออOบอ2ทน) ี่ สำ� คัญของน�้ำยอ่ ยในกระเพาะอาหารและน้ำ� ไขสนั หลัง ภาวะผดิ ปกติ/ภาวะเป็นโรค ร่างกายสูญเสียคลอไรด์ได้โดยการสูญเสียจากทางเดินอาหาร เช่น ผู้ท่ีมีอาการอาเจียน การได้รับอาหาร ทางสายยาง (nasogastric tube) อจุ จาระรว่ งเรื้อรงั ในเด็ก (congenital chloride diarrhea) การสญู เสียทาง ผิวหนงั เชน่ การเสยี เหงือ่ มาก ผทู้ ี่เป็นโรค cystic fibrosis หรอื สญู เสียคลอไรดจ์ ากโรคทางไต เชน่ โรคไตเรื้อรงั การได้รับยาขับปัสสาวะ หรือโรคทางพันธุกรรม Bartter’s syndrome12 ผลจากการสูญเสียคลอไรด์ท�ำให้เกิด ภาวะคลอไรดใ์ นเลอื ดตำ�่ 13 ซงึ่ ทำ� ใหเ้ กดิ อาการแสดง เชน่ กลา้ มเนอ้ื เกรง็ และเปน็ ตะครวิ มอื สน่ั หายใจตนื้ และเรว็ อันเน่อื งมาจากเลือดเป็นด่าง หากไมไ่ ด้รบั การแกไ้ ขจนเกิดภาวะคลอไรดต์ ่�ำรุนแรง อาจทำ� ให้เกดิ อาการชักเกรง็ หวั ใจเตน้ ผิดจงั หวะและอาจหยุดหายใจได้14,15 ปรมิ าณท่ีแนะนำ�ใหบ้ รโิ ภค การกำ� หนดคา่ ความตอ้ งการคลอไรดข์ องคนปกตมิ คี า่ เทา่ กบั 1-3 มลิ ลอิ คิ ววิ าเลนทต์ อ่ ความตอ้ งการพลงั งาน 100 กิโลแคลอรตี ่อวนั ดงั แสดงไว้ในตารางที่ 1 ปริมาณสารอาหารอา้ งอิงทค่ี วรไดร้ ับประจ�ำ วันสำ�หรบั คนไทย พ.ศ. 2563 397

ตารางท่ี 1 ปริมาณคลอไรดอ์ ้างองิ ท่คี วรได้รบั ประจ�ำวันสำ� หรบั กลมุ่ บคุ คลวยั ตา่ ง ๆ * แรกเกิดจนถึงก่อนอายุ 6 เดอื น † อายุ 1 ปี จนถึงกอ่ นอายุ 4 ปี ปรมิ าณสารอาหารอ้างอิงท่ีควรได้รับประจ�ำ วันส�ำ หรบั คนไทย พ.ศ. 2563 398

ในภาวะปกตกิ ารไดร้ บั หรอื สญู เสยี คลอไรดน์ น้ั จะเกดิ ควบคกู่ บั ปรมิ าณของโซเดยี ม ปรมิ าณทรี่ า่ งกายตอ้ งการ จะข้นึ อยูก่ บั ความตอ้ งการพลงั งาน ดงั น้ันคา่ คลอไรดต์ ่ำ� สุดที่ควรไดร้ บั จะมคี า่ เทา่ กับ 1 มลิ ลิอคิ ววิ าเลนทต์ อ่ 100 กิโลแคลอรี (35.5 มิลลิกรัมต่อ 100 กิโลแคลอรี) ค่าสูงสุดที่ได้รับจะมีค่าเท่ากับ 3 มิลลิอิควิวาเลนท์ต่อ 100 กโิ ลแคลอรี (106.5 มลิ ลกิ รัมต่อ 100 กโิ ลแคลอร)ี น�้ำนมแม่มคี ลอไรดเ์ ป็นสว่ นประกอบประมาณ 390 มิลลิกรัม ตอ่ ลิตร (11 มลิ ลอิ ิคววิ าเลนทต์ อ่ ลิตร) ซ่งึ ท�ำให้ระดบั ของคลอไรดส์ งู กว่าโซเดยี ม ดังนน้ั สตู รนมผงสำ� หรับทารก ควรมีอตั ราส่วนของโซเดียมรวมกบั โปตัสเซียมตอ่ คลอไรดเ์ ทา่ กับ 1.5-2.0 : 1 เพอ่ื ทำ� ใหเ้ กดิ ความสมดุลกรดด่าง เหมาะสมสำ� หรบั ทารก16 นมผงเลยี้ งทารกมคี ลอไรดใ์ กลเ้ คยี งกบั ความตอ้ งการของทารกและเปน็ ปรมิ าณทส่ี ามารถ รักษาสมดลุ ความเปน็ กรดด่างได1้ 7 ปรมิ าณของคลอไรด์อา้ งอิงทีค่ วรไดร้ ับประจำ� วันทแ่ี สดงไว้ในตารางท่ี 1 มคี า่ ตำ�่ กว่า adequate intake ของคลอไรดท์ ่กี ำ� หนดโดย National Academy of Science ในปี พ.ศ. 254918 ซ่ึงกำ� หนดคา่ ประมาณคลอไรด์ ท่ีเพียงพอตามปริมาณโมลาร์ริตีท่ีเท่ากันกับค่าประมาณของโซเดียมที่เพียงพอ อย่างไรก็ตามพบว่าการก�ำหนด ความตอ้ งการสารอาหารของหลายหนว่ ยงาน เชน่ ความปลอดภยั ดา้ นอาหารแหง่ สหภาพยโุ รป {European Food Safety Authority (EFSA)}19 ส�ำนักบรกิ ารสขุ ภาพ กระทรวงสาธารณสขุ แรงงานและสวสั ดิการประเทศญีป่ นุ่ (Health Service Bureau, Ministry of Health, Labour and Welfare, Japan)20 ไม่มกี ารก�ำหนด ค่าความต้องการของคลอไรด์ แหล่งอาหารคลอไรด์ คลอไรดท์ ไ่ี ดร้ บั จากการบรโิ ภคสว่ นใหญจ่ ะอยใู่ นรปู ของเกลอื โซเดยี มคลอไรด์ (sodium chloride) สำ� หรบั โปตัสเซียมคลอไรด์ (potassium chloride) มีปรมิ าณน้อย ดังนัน้ แหลง่ อาหารของคลอไรด์จะเป็นแหล่งเดยี วกับ โซเดียม อาหารที่ปรุงส�ำเร็จเป็นแหล่งของคลอไรด์ท่ีส�ำคัญ ส�ำหรับคลอไรด์ที่ใช้เพ่ือการฆ่าเชื้อโรคในน้�ำประปา พบวา่ มีคา่ อยู่ระหว่าง 12-44 มลิ ลิกรมั ต่อลติ ร มคี ่าเฉลย่ี 29 มิลลิกรัมต่อลิตร ซง่ึ เป็นค่าที่นอ้ ยมาก21 ภาวะเปน็ พิษ ภาวะไฮเปอร์คลอรเี มีย (hyperchloremia) เปน็ ภาวะท่ีคลอไรดใ์ นเลือดสงู มักจะเกดิ รว่ มกับภาวะเลอื ด เป็นกรด สาเหตุเกิดจากอุจจาระร่วงอย่างรุนแรง การบริโภคสารประกอบคลอไรด์ที่มากเกินไป เช่น เกลือแกง (sodium chloride) แคลเซยี มคลอไรด์ หรอื แอมโมเนียมคลอไรด์ หรอื ยาบางประเภท เชน่ อะเซตาโซลาไมด์ (acetazolamide) และไตรแอมเตอรนี (triamterene) นอกจากนย้ี งั พบวา่ ภาวะทมี่ คี ลอไรดส์ งู มคี วามสมั พนั ธก์ บั การเพิ่มขึ้นของความดนั โลหิตอีกด้วย22,23 อาการและอาการแสดงของภาวะคลอไรดใ์ นเลอื ดสูง ได้แก่ อ่อนเพลีย กล้ามเนอื้ อ่อนแรง สับสน ปวดศีรษะ เลอื ดเป็นกรด และความไวของรีเฟลก็ ซล์ ดลง24 ปรมิ าณสารอาหารอา้ งองิ ทีค่ วรไดร้ ับประจ�ำ วนั ส�ำ หรับคนไทย พ.ศ. 2563 399


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook