Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore (4) เรื่องที่คณะกรรมาธิการพิจารณาเสร็จแล้ว

(4) เรื่องที่คณะกรรมาธิการพิจารณาเสร็จแล้ว

Published by agenda.ebook, 2020-08-27 04:32:45

Description: (4) เรื่องที่คณะกรรมาธิการพิจารณาเสร็จแล้ว การประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 25 ปีที่ 2 ครั้งที่ 26-27 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง) วันที่ 2-3 กันยายน 2563

Search

Read the Text Version

๑๑๕ (๔) ภาษีท่ีเกี่ยวข้องกับน้ามันเชื้อเพลิงท่ีเก็บอยู่ในปัจจุบันไม่มีส่วนที่นาไปใช้ เพ่ือประโยชนใ์ นการอนรุ ักษท์ รัพยากรธรรมชาติและส่งิ แวดล้อมโดยตรง การกาหนดโครงสร้างราคาเช้ือเพลิงและนโยบายการอุดหนุนราคาเชื้อเพลิง ที่เหมาะสม และการนาเงินกองทุนน้ามันเช้ือเพลิงส่วนที่เกินจากการรักษาเสถียรภาพราคาน้ามันมาใช้สนับสนุน นโยบายการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม รวมทั้งการแก้ไขปัญหามลพิษจากการคมนาคม อาจชว่ ยลดฝุน่ ละอองขนาดเล็กจากการคมนาคมไดอ้ ย่างมนี ัยสาคัญ ตารางที่ ๔ โครงสร้างราคาน้ามันเช้อื เพลงิ ท่ีมา: สานักงานนโยบายและแผนพลงั งาน กระทรวงพลังงาน จากการสารวจความคิดเห็นของประชาชนในการดาเนนิ การแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง จากการคมนาคมโดยสวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต พบว่า ร้อยละ ๒๕.๕๕ ของกลุ่มตัวอย่างเห็นว่า ภาคคมนาคมเป็นสาเหตุของการเกิดฝุ่น PM ๒.๕ ท่ีควรได้รับการแก้ไขมากท่ีสุด โดยประชาชนจากกลุ่มตัวอย่าง ต้องการให้รัฐบาลดาเนินการแก้ไขปัญหาฝุ่นควันจากภาคคมนาคมด้วยการ ๑) ตรวจจับรถทุกประเภทที่มีควันดา ๒) บังคับใช้กฎหมายและมาตรการต่างๆ อย่างจริงจัง ๓) ส่งเสริมระบบโครงสร้างพื้นฐาน ๔) ออกกฎหมาย ควบคุมรถเก่า ๕) สนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า ๖) กาหนดเวลาวิ่งของรถบรรทุก และ ๗) สนับสนุน กา๊ ซธรรมชาติ NGV ซ่งึ มีรายละเอยี ด ดังตอ่ ไปนี้ ตารางที่ ๕ ผลการสารวจความคดิ เห็นของประชาชนเกี่ยวกับการดาเนินการแก้ไข ปัญหาฝุน่ ละอองจากการคมนาคมของรัฐบาล ประชาชนตอ้ งการให้รัฐบาลดาเนินการแกไ้ ขปญั หาฝุ่นละอองจากการคมนาคมอยา่ งไร (หน่วย: รอ้ ยละ) ท่ี คมนาคม ภาพรวม เพศ พ้นื ที่ สถานภาพ ๒๒.๒๘ ๑ ตรวจจับรถทุกประเภทท่มี ีควนั ดา ชาย หญงิ กรุงเทพฯ ตา่ งจงั หวัด ประชาชน กลมุ่ เสยี่ ง ๒ บงั คบั ใช้กฎหมาย และมาตรการต่างๆ ๒๓.๑๔ ๒๑.๔๙ ๑๙.๔๖ ๒๕.๔๒ ๒๒.๔๐ ๒๒.๐๓ อย่างจรงิ จัง ๑๘.๙๙ ๑๙.๑๑ ๑๘.๘๘ ๑๙.๗๗ ๑๘.๑๒ ๑๙.๒๓ ๑๘.๔๘ ๓ สง่ เสริมระบบโครงสร้างพืน้ ฐาน ๑๕.๒๐ ๑๔.๐๔ ๑๖.๒๖ ๑๔.๓๔ ๑๖.๑๕ ๑๔.๕๙ ๑๖.๔๙ ๔ ออกกฎหมายควบคุมรถเกา่ เนือ่ งจากรถเก่า ๑๔.๑๓ ๑๔.๗๓ ๑๓.๕๘ ๑๕.๗๙ ๑๒.๒๙ ๑๔.๕๔ ๑๓.๒๖ มแี นวโนม้ ปล่อยมลพิษมากกว่า ๕ ส่งเสรมิ การใชย้ านยนตไ์ ฟฟา้ เชน่ ๑๑.๔๑ ๑๐.๘๔ ๑๑.๙๓ ๑๐.๔๒ ๑๒.๕๐ ๑๑.๓๒ ๑๑.๕๙ ๑๑.๐๑ ๑๐.๘๔ ๑๑.๑๖ ๑๑.๓๑ ๑๐.๖๗ ๑๑.๓๗ ๙.๘๑ ให้เงินสนับสนนุ ลดภาษี หรือสง่ เสรมิ สถานี ๖.๙๘ ๗.๓๐ ๖.๗๐ ๘.๙๑ ๔.๘๕ ๖.๓๔ ๘.๓๕ ๖ กาหนดเวลาวงิ่ ของรถบรรทกุ ๗ ให้เงินสนับสนุนกา๊ ซ NGV ทมี่ า: สวนดุสติ โพล มหาวิทยาลยั สวนดุสิต

๑๑๖ ๓.๑.๒) ผลการพิจารณา ขอ้ เสนอแนะการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กจากการคมนาคม ขอ้ เสนอแนะระยะส้ัน (๑ – ๓ ป)ี ในระยะสั้น คณะกรรมาธิการเห็นว่าควรแก้ไขปัญหาด้วยการมุ่งเน้นการลดมลพิษเบ้ืองต้น และศึกษาประเดน็ ตา่ ง ๆ ทนี่ าไปส่กู ารเปล่ียนแปลงเชงิ โครงสรา้ งในระยะกลางและระยะยาว ดงั นี้ ๑) เพ่มิ พืน้ ทีส่ ีเขียวในเขตเมืองเพื่อชว่ ยดูดซับฝุ่นละอองขนาดเล็กที่เกดิ จากกิจกรรมในเขตเมือง เช่น ตามแนวถนนสายหลกั รถไฟฟา้ และ/หรอื ใตพ้ น้ื ทีท่ างด่วน เปน็ ต้น ๒) ลดมลพษิ ในยานยนตท์ ่ีปล่อยมลพิษมากทกุ ประเภททันที ไดแ้ ก่ (๑) บังคบั ตดิ ตง้ั อุปกรณ์กรองมลพษิ (๒) ตรวจจับยานยนต์ท่ีปล่อยมลพิษควันดาหรือควันขาว โดยเฉพาะในพ้ืนท่ีซ่ึงมีแนวโน้ม จะมีปริมาณฝุ่นละอองมาก ผ่านการต้ังด่านตรวจจับหรือการใช้เทคโนโลยี พร้อมให้รางวัลนาจับสาหรับผู้รายงาน และบังคับห้ามว่ิงจนกว่าจะมีการซ่อมบารุงให้อยู่ในเกณฑ์ปกติของเคร่ืองยนต์ชนิดน้ัน ๆ พร้อมดาเนินการ ตดิ ตามโดยอาจกาหนดระยะเวลาใหม้ ีการรายงานผลการซอ่ มบารุง (๓) จัดหาบุคลการให้เพียงพอในการดาเนินการรับฟังข้อร้องเรียนที่เกี่ยวเน่ืองกับปัญหา ยานยนต์ท่ีปล่อยมลพิษควันดาหรือควันขาวบนท้องถนน พร้อมท้ังดาเนินการติดตามการแก้ไขปัญหา ทม่ี กี ารรอ้ งเรยี นอยา่ งรวดเรว็ (๔) ออกข้อบังคับจากัดยานยนต์ท่ีปล่อยมลพิษสูงห้ามเข้ามาในเขตเมืองในช่วงท่ีมี ค่าฝ่นุ ละอองสูง (๕) เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบประสิทธิภาพและความโปร่งใสในการตรวจสอบ สภาพยานยนต์ โดยนาเทคโนโลยีเขา้ มาใช้เพื่อเพมิ่ ประสิทธภิ าพในการตรวจสอบ (๖) พิจารณาให้มีบทลงโทษผู้ทาหน้าที่ตรวจสภาพยานยนต์และผู้นารถยนต์มาตรวจสภาพ หากมีการทจุ ริตในการตรวจสภาพยานยนต์ ๓) ให้แรงจูงใจในการเปลี่ยนไปใช้ยานยนต์พลังงานสะอาด และให้แรงจูงใจที่มากขึ้น เม่ือเปลีย่ นไปใชย้ านยนตไ์ ฟฟ้า ๔) พิจารณาให้มีนโยบายที่เพิ่มแรงจูงใจแก่ภาคเอกชนเพ่ือผลักดันให้อุตสาหกรรมยานยนต์ ไฟฟ้าภายในประเทศเกดิ ขน้ึ จริงอยา่ งเป็นรูปธรรม ต้งั แตก่ ารผลติ การพฒั นาสถานอี ดั ประจุ การปรบั มาตรฐาน ค่าไฟฟ้าท่เี หมาะสม และการสง่ เสรมิ การใชง้ านในวงกวา้ ง ๕) พิจารณาให้นาน้ามันมาตรฐาน Euro ๕ ท่ีสามารถผลิตได้ในจานวนที่จากัดจากการผลิต น้ามันมาตรฐาน Euro ๔ ในปจั จุบัน มาจาหนา่ ยในชว่ งทมี่ คี ่าฝนุ่ ละอองสงู ของทุก ๆ ปี (เดือนมกราคมถึงเมษายน) ๖) เร่งการปรับมาตรฐานผลิตน้ามันให้เข้าสมู่ าตรฐาน Euro ๕ (มาตรฐานท่ีสูงสุดของเชือ้ เพลิง) ตามกาหนดหรอื เร็วกว่าท่ีหน่วยงานกาหนดไว้ ๗) ใช้เครื่องมือทางเศรษฐกิจและการเงินเพ่ือเปล่ียนพฤติกรรมของผู้บริโภคและสะท้อนต้นทุน ทางส่ิงแวดล้อม เช่น ภาษีสรรพสามิตและภาษีต่อทะเบียนยานยนต์ท่ีสอดคล้องกับปริมาณการปล่อยมลพิษ การปรับโครงสร้างการหักเงินเข้ากองทุนเช้ือเพลิงและการเลิกอุดหนุนราคาน้ามันดีเซล และปรับปรุงการเก็บ คา่ ธรรมเนยี มตามปรมิ าณมลพษิ จากการใช้งานยานยนต์ ๘) กาหนดโครงสรา้ งราคาเช้ือเพลิงทเ่ี หมาะสม โดยสะท้อนต้นทุนทางเศรษฐกจิ และส่งิ แวดล้อม อยา่ งเท่าเทยี มกนั

๑๑๗ ๙) ให้รัฐบาลพิจารณาปรับราคา NGV ให้อยู่ในระดับที่สามารถสร้างแรงจูงใจให้ผู้ใช้ยานยนต์ กลับมาใช้ NGV เน่ืองจากเป็นช่องทางท่ีสามารถลดปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กที่มาจากยานยนต์อย่างมี นยั สาคัญ ๑๐) ศึกษาแนวทางพัฒนาระบบขนส่งมวลชนที่เป็นมิตรต่อส่งแวดล้อมให้ครอบคลุมพื้นที่ชุมชน อย่างแทจ้ ริง ๑๑) เร่งออกและบังคับใช้กฎกระทรวงฯ ฉบับแก้ไข เก่ียวกับการควบคุมการก่อสร้างอาคาร และกาหนดมาตรฐานการก่อสร้างอาคาร การก่อสร้างบนทางเท้า ถนนและทางสาธารณะให้มีการป้องกัน การกระจายของฝุ่นท่ีเข้มงวด โดยเฉพาะอย่างย่ิงในพ้ืนท่ีก่อสร้างขนาดเล็กท่ีมีแนวโน้มในการฟุ้งกระจาย ของฝ่นุ มากกวา่ พ้นื ทกี่ ่อสร้างขนาดใหญ่ ตามท่ีคณะกรรมาธิการได้เสนอแนะ ๑๒) เพ่ิมกฎระเบียบและข้อบังคับในการควบคุมฝุ่นละอองขนาดเลก็ บนท้องถนนท่ีมีแหลง่ กาเนิด จากการขนส่งวัสดุในการก่อสร้าง อาทิ ฝุ่นดินทรายที่ฟุ้งกระจายระหว่างการขนส่ง หรือกองวัสดุดินทราย ท่ีได้มีการจัดส่ง หรือวางกองบริเวณทางเท้าหรือเส้นทางจราจร โดยการล้างทาความสะอาดล้อยานพาหนะ ณ จุดเข้าออกโครงการ จะช่วยลดการฟุ้งกระจายของฝุ่นละอองนอกพื้นท่ีก่อสร้าง อีกทั้ง ภาครัฐต้องกาหนด มาตรฐานการควบคุมและการป้องกนั การกระจายของฝุ่นให้เปน็ เงื่อนไขและอยู่ในต้นทนุ ในการจา้ งงานก่อสร้าง ของภาครัฐทุกประเภท และควรเป็นเงื่อนไขในภาคเอกชนให้มีการจัดทารายงานผลกระทบส่ิงแวดล้อม โดยต้องมีการตรวจตดิ ตามอย่างเข้มงวดโดยหนว่ ยงานทม่ี อี านาจในพนื้ ที่ ๑๓) สื่อสารให้ประชาชนรับทราบถึงข้อมูลสถานการณ์ฝุ่นละอองและผลกระทบจากสถานการณ์ ฝ่นุ ละอองขนาดเล็ก และประชาสมั พนั ธ์มาตรการทภ่ี าครัฐไดด้ าเนนิ การในการลดฝ่นุ จากภาคคมนาคม ๑๔) ศึกษาการปรับปรุงนโยบายและการบังคับใช้กฎหมายด้านสิ่งแวดล้อม เพ่ือกระตุ้นให้เกิด แรงจงู ใจทางเศรษฐกจิ หรือบทลงโทษท่ีสะทอ้ นต้นทนุ ทางส่งิ แวดล้อมอย่างเต็มรปู แบบ ขอ้ เสนอแนะระยะกลาง (๓ - ๕ ป)ี ในระยะกลาง คณะกรรมาธิการเห็นวา่ ควรนาผลจากการศกึ ษาในระยะส้นั มาปฏิบัติจริง โดยเนน้ การเพ่ิมตน้ ทุนกิจกรรมทีท่ าลายส่ิงแวดล้อม พร้อมใหแ้ รงจงู ใจแก่ทางเลือกในการรกั ษาสิ่งแวดลอ้ ม ดังน้ี ๑) เพิ่มพ้ืนที่สีเขียวในเขตเมืองเพ่ือช่วยดูดซับฝ่นุ ละอองขนาดเล็กที่เกิดจากกิจกรรมในเขตเมอื ง เชน่ ตามแนวถนนสายหลกั รถไฟฟา้ และ/หรอื ใต้พน้ื ทที่ างดว่ น เป็นตน้ ๒) ปรับปรุงกระบวนการเกี่ยวกับการใช้ยานยนต์ที่ปล่อยมลพิษสูงทั้งระบบ โดยสร้างแรงจูงใจ ในการเปลยี่ นยานยนต์ที่กอ่ มลพษิ มากเป็นยานยนตท์ ีก่ ่อมลพิษน้อยกวา่ เชน่ จัดหาแนวทางเปล่ียนยานยนตเ์ ก่า ให้เป็นยานยนต์ใหม่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น มาตรการการรับซ้ือยานยนต์เก่าเพื่อเปลี่ยนเป็นยานยนต์ ไฟฟา้ และมาตรการทางเศรษฐกจิ และการเงนิ เพื่อสนับสนุนการใช้ยานยนต์ท่เี ป็นมิตรต่อสิ่งแวดลอ้ ม ๓) พิจารณาให้มีการศึกษาความเป็นไปได้ในการเปิดเสรี LNG เพื่อให้มีการแข่งขันท่ีเป็นไป ตามกลไกตลาด ๔) ปฏิบัติตามแผนการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าตามข้อเสนอแนะระยะส้ันข้อท่ี ๔ และวางระบบ โครงสรา้ งพืน้ ฐานสถานีอดั ประจไุ ฟฟา้ ทวั่ ประเทศ ๕) ปฏิบัติตามแนวทางการศึกษาพัฒนาระบบขนส่งมวลชนที่เป็นมิตรต่อส่ิงแวดล้อม ให้ครอบคลุมพ้ืนท่ีชุมชนอย่างแท้จริง รวมท้ังขยายผลปรบั ปรงุ ระบบขนสง่ มวลชนที่ก่อมลพิษ เช่น ปรับเปลยี่ น รถโดยสารประจาทางมาตรฐาน Euro ตา่ ท่ีเหลือเป็นยานยนต์ไฟฟา้ ทั้งหมด

๑๑๘ ข้อเสนอแนะระยะยาว (๕ – ๑๐ ป)ี ในระยะยาว คณะกรรมาธิการเห็นว่าจาเป็นต้องกาหนดเป้าหมายการลดมลพิษที่เป็นรูปธรรม สะทอ้ นความสาคญั และตน้ ทนุ ทางสง่ิ แวดล้อมที่แทจ้ ริงในระดับประเทศ ดงั นี้ ๑) ปรับปรุงผังเมืองเพ่ือเพ่ิมพ้ืนท่ีสีเขียวเพื่อช่วยดูดซับฝุ่นละอองขนาดเล็กท่ีเกิดจากกิจกรรม ในเขตเมือง ใหม้ ากกวา่ ๙ ตารางเมตรตอ่ คน ตามเกณฑ์มาตรฐานทอ่ี งค์การอนามยั โลกกาหนด ๒) กาหนดเป้าหมายอัตราการปล่อยมลพิษยานยนต์และแนวทางการลดมลพิษให้ได้ ตามเป้าหมายอยา่ งเป็นรปู ธรรม ๓) กระตุ้นให้เกิดการขนส่งและพฤติกรรมการเดินทางที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง เช่น การปรับปรุงผังเมืองท่ีเอื้อต่อการใช้ระบบขนส่งสาธารณะ และ/หรือจักรยาน การจัดให้มีท่ีจอดรถสาธารณะ เพื่ออานวยความสะดวกให้แก่ประชาชนนอกเขตระบบขนส่งสาธารณะในการใช้บริการระบบขนส่งสาธารณะ โดยเฉพาะในเขตเมืองใหญ่ ๔) วางแผนการผลิตและการใช้พลังงานทางเลือกอย่างครบวงจร รวมถึงการวางแผนการผลิต ทางการเกษตร การวางแผนเป้าหมายการบริโภคและการผลิตพลังงาน การผลิตยานยนต์ไฟฟ้าที่มีต้นทุน และราคาขายท่ีเหมาะสมกับกาลังซ้อื ของผบู้ ริโภค ระบบโครงสรา้ งพน้ื ฐานสถานีอดั ประจุไฟฟ้า ๓.๒ ภาคอุตสาหกรรม ๓.๒.๑) ปญั หาฝุ่นละอองขนาดเลก็ จากภาคอตุ สาหกรรม ภาคอุตสาหกรรมเป็นหนึ่งในแหล่งกาเนิดฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM ๒.๕) และมลพิษทางอากาศหลัก ของประเทศไทย ฝุ่นละอองท่ีเกิดจากภาคอุตสาหกรรมแตกต่างจากฝุ่นละอองที่เกิดจากแหล่งกาเนิดอ่ืน เนื่องจากภาคอุตสาหกรรมเป็นแหล่งกาเนิดที่อยู่กับที่ (stationery source) ต่างกับแหล่งกาเนิดมลพิษอ่ืน ๆ และพฤติกรรมการปลดปล่อยมลพิษจากภาคอุตสาหกรรมไม่ข้ึนกับฤดูกาลหรือกิจกรรมของมนุษย์แต่เป็นไป ตามกาลังการผลิต การปลดปล่อยมลพิษทางอากาศของภาคอุตสาหกรรมจึงมีความต่อเนื่องกว่าแหล่งกาเนิด มลพิษทางอากาศอื่น นอกจากน้ี มวลสารของมลพษิ ทางอากาศจากภาคอตุ สาหกรรมยงั มสี ว่ นประกอบทางเคมี และสารระเหยท่ีมีความรนุ แรงและเข้มข้นกว่ามลพิษจากแหลง่ กาเนดิ อน่ื กระทรวงอุตสาหกรรมโดยกรมโรงงานอุตสาหกรรมและสานักงานอุตสาหกรรมจังหวัด ได้ดาเนินการกากับดูแลสถานประกอบการท่ีเข้าข่ายเป็นโรงงานตามพระราชบัญญัติโรงงาน (ฉบับท่ี ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒ จานวนกว่า ๖๗,๐๐๐ โรงงานอยา่ งเข้มงวด ในสว่ นของโรงงานที่มีการปล่อยมลพิษทางอากาศน้ัน จะถูกควบคุมผ่านการกาหนดค่ามาตรฐานการระบายมลพิษทางอากาศ ทั้งในกลุ่มอุตสาหกรรมทั่วไป และอุตสาหกรรมเฉพาะ อุตสาหกรรมปิโตรเคมี อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ เตาเผาวัสดุท่ีไม่ใช้แล้ว โดยรวมถึง การกาหนดให้ต้องจัดทารายงานข้อมูลการระบายมลพิษ และการมีบุคลากรด้านส่ิงแวดล้อมประจาโรงงาน (ผู้ควบคมุ มลพิษอากาศ) จากการศึกษาปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กในภาคอุตสาหกรรม คณะกรรมาธิการพบปัญหาหลัก ใน ๒ ประการ ไดแ้ ก่ ๑) การเก็บขอ้ มูล การตรวจวดั และการรายงานฝ่นุ ควัน และ ๒) เกณฑ์มาตรฐานฝุ่นควนั ส่วนที่ ๑ การเก็บข้อมลู การตรวจวดั และการรายงานฝุ่นควัน ๑) การเกบ็ ขอ้ มูลพื้นฐานของมลพิษอากาศในภาคอุตสาหกรรม จากการศึกษาพบว่า ข้อมูลปริมาณการปลดปล่อยมลพิษทางอากาศ ของอุตสาหกรรมในประเทศไทยที่มีอยู่ในปัจจุบันยังมีสัดส่วนไม่แน่ชัดเน่ืองจากมีข้อมูลพ้ืนฐาน (baseline) ไมเ่ พียงพอ

๑๑๙ อย่างไรก็ดี ประเทศไทยได้มีการดาเนินโครงการทาเนียบการปลดปล่อย และเคล่ือนย้ายมลพิษ (Pollutant Release and Transfer Registers : PRTR) หรือฐานข้อมูลท่ีแสดงถึง ชนิดและปริมาณของมลพิษท่ีมีการปลดปล่อยจากแหล่งกาเนิดสู่สิ่งแวดล้อม รวมทั้งข้อมูลการเคลื่อนย้าย น้าเสียหรือของเสียจากสถานประกอบการเพื่อบาบัดหรือกาจัดทิ้ง เพื่อวัตถุประสงค์ในการเผยแพร่ข้อมูล ชนิดและปริมาณมลพิษท่ีมีการปลดปล่อยสู่สิ่งแวดล้อมแก่หน่วยงานภาครัฐ เอกชน และประชาชนทั่วไป ไดร้ ับทราบแลว้ โดยโครงการทาเนยี บการปลดปล่อยและเคลื่อนย้ายมลพิษ (PRTR) มีระยะเวลาการดาเนินโครงการ ๕ ปี (มีนาคม ๒๕๕๔ – กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙) และได้เริ่มดาเนินการโครงการนาร่องในพื้นที่จังหวัดระยอง เพ่อื ศึกษาหาระบบทเี่ หมาะสมกบั ประเทศไทยเปน็ ทเ่ี รียบร้อยแลว้ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ - ๒๕๕๗ การขยายผลโครงการจากโครงการนาร่องไปปฏิบัติในวงกว้าง รวมถึงการสร้างระบบการเก็บข้อมูล ท่ีเหมาะสมกับภาคอุตสาหกรรมประเภทต่าง ๆ การกาหนดเกณฑ์ในการรายงานข้อมูล และชนิดมลพิษท่ีชัดเจน และการบังคับใช้กฎหมายท่ีเก่ียวข้องอย่างเข้มงวด จะเป็นส่วนสาคัญสาหรับการวางแผนการจัดการมลพิษ จากภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยต่อไป ๒) การควบคมุ ตรวจวดั และรายงานผล คณะกรรมาธิการตั้งข้อสังเกตว่า ระบบการรายงานมลพิษทางอากาศที่มีอยู่ ในปัจจุบนั ยังไม่สามารถตรวจวดั และรายงานผลปริมาณมลพิษทางอากาศที่ปล่อยออกมาจากโรงงานได้ทั้งหมด เนื่องจาก (๑) สารระเหยบางประเภทเกิดจากแหล่งกาเนิดชนิดฟุ้งกระจาย (Fugitive Sources) เช่น ตามหน้าแปลน หรือข้อต่อ (๒) โรงงานท่ีมีแหล่งกาเนิดประเภทอยู่กับที่ (Stationary Sources) บางแห่งยังไม่มีการติดต้ัง ปล่องระบายสารระเหย แตใ่ ชว้ ิธรี ะบายสารระเหยท้ิงภายในพื้นทีโ่ รงงาน และติดพดั ลมดูดอากาศท่ผี นังโรงงาน หรือลูกลอยระบายอากาศท่ีหลังคาโรงงานแทน และ (๓) โรงงานบางแห่งท่ีมีการระบายอากาศออกทางปล่อง ไม่มีจุดสาหรับตรวจวัดมลพิษที่ปล่อย ซึ่ง ๒ สาเหตุแรกที่มีการปล่อยมลพิษในพ้ืนท่ีโรงงานมีแนวโน้ม เป็นอนั ตรายต่อสุขภาพพนกั งานท่ที างานในพื้นทีโ่ รงงานอย่างรา้ ยแรง ทั้งน้ี เ ป็ น เ พร าะกฎ ห มายแล ะข้อบั งคับท่ีมีอยู่ ใน ปัจ จุบั น มุ่ งเน้ นคว บคุม มล พิษ จากอุตสาหกรรมหลัก และ/หรือพื้นท่ีเฉพาะบางพื้นที่ เช่น พ้ืนที่ในบริเวณตาบลมาบตาพุด เป็นต้น เท่าน้ัน แต่ก็ยังให้ความสาคัญกับการควบคุมฝุ่นมลพิษทางอากาศในกลุ่มอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดเล็ก ที่อาจก่อให้เกิดมลพิษหรือฝุ่นละอองทุติยภูมิ (secondary pollutants) หรือหมอกฝุ่น (Smog) ในระดับรอง ดังนั้น การยกระดับความสาคัญให้เทียบเท่ากับมลพิษทางตรงหรือฝุ่นปฐมภูมิ (primary pollutants) จะทาให้สามารถช่วยลดปญั หามลพษิ ทางอากาศ และฝนุ่ ละอองขนาดเล็กในภาคอุตสาหกรรมได้ นอกจากน้ี โครงสร้างการควบคุมดูแลโรงงานอุตสาหกรรมที่เปล่ียนแปลง ตามพระราชบัญญัติโรงงาน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒ ทาให้โรงงานที่มีขนาดเครื่องจักรน้อยกว่า ๕๐ แรงม้า หรือคนงานน้อยกว่า ๕๐ คน พ้นอานาจการควบคุมของกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) และสานักงาน อุตสาหกรรมจังหวัด (สอจ.) และตกไปอยู่ภายใต้การดูแลของหน่วยงานส่วนท้องถิ่น การกระจายอานาจ ให้หน่วยงานท้องถ่ินกากับดูแลจะชว่ ยลดภาระหน้าที่ของหนว่ ยงานท่ีเก่ียวข้องและลดปริมาณมลพิษในท้องถิน่ ได้อย่างมีนัยสาคัญ ท้ังน้ี หน่วยงานท้องถิ่นต้องทางานร่วมกับ กรอ. และ สอจ. ซึ่งเป็นหน่วยงานราชการหลัก ท่ีมีอานาจในการกากับดูแลโรงงานอุตสาหกรรมอย่างใกล้ชิด เพื่อท่ีจะกาหนดมาตรฐานในการดาเนินงาน ให้อยู่ในระดับเดียวกัน และปฏิบัติตามกฎหมายท่ีเกี่ยวข้อง เช่น กฎหมายควบคุมการระบายอากาศเสีย จากโรงงาน กฎหมายทเ่ี กย่ี วข้องกับการรายงานข้อมูลส่ิงแวดล้อมของโรงงาน และกฎหมายทก่ี าหนดใหโ้ รงงาน บางประเภทต้องมีบุคลากรทางส่ิงแวดล้อมประจาโรงงานเพ่ือดูแลระบบป้องกันสิ่งแวดล้อมท่ีเป็นพิษ ของโรงงาน เปน็ ต้น

๑๒๐ สว่ นท่ี ๒ มาตรฐานฝนุ่ ควัน ๑) ฝนุ่ ปฐมภูมิ (ฝุ่นทางตรง) ฝุ่ น ป ฐ ม ภู มิ เ ป็ น ม ว ล ส า ร ท่ี มี ส ภ า พ เ ป็ น ฝุ่ น ทั น ท่ี ท่ี อ อ ก จ า ก แ ห ล่ ง ก า เ นิ ด สามารถพบได้มากในอุตสาหกรรมปูนซิเมนต์และปูนขาว โรงโม่บดหรือย่อยหิน การทาเหมืองแร่ โรงงานท่ีมี การใช้พลังงานความร้อนจากหม้อกาเนิดไอน้า หรือเตาเผา ในเขตพื้นท่ีตาบลหน้าพระลาน จังหวัดสระบุรี จังหวดั ราชบุรี จงั หวดั สุพรรณบุรี จังหวดั ชลบุรี และจังหวัดบรุ ีรัมย์ ปจั จุบนั ได้มกี ารกาหนดมาตรฐานคา่ ฝนุ่ ละอองรวม (TSP หรอื Total Suspended Particulate) ท่ีปล่องระบายเป็นค่ามาตรฐานระดับสากล มีการกาหนดมาตรฐานด้วยความเข้มข้น ที่ปล่องระบาย และมีการศึกษาแบบจาลองทางอากาศ (Air modelling) ต่อความเข้มข้นในบรรยากาศ เพื่อควบคุมปริมาณฝุ่นปฐมภูมิ ทั้งนี้ จากการลงพื้นที่ของคณะกรรมาธิการที่จังหวัดราชบุรี เมื่อวันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๖๓ และประกอบกับข้อมูลที่รับทราบมาก่อนหน้าจากกรมโรงงานอุตสาหกรรม พบว่ามีความเข้าใจ คลาดเคลื่อนในระดับจงั หวัด ในการแยกวดั ค่าฝนุ่ ละอองขนาดเล็ก (PM ๒.๕) ออกจากค่าฝนุ่ ละอองรวม (TSP) ซ่ึงคณะกรรมาธิการเห็นว่าไม่มีความจาเป็นในการวดั ค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM ๒.๕) และการจัดทารายงาน แยกออกจากค่าฝุ่นละอองรวม (TSP) อีกทั้งยังเป็นการเพ่ิมต้นทุนที่ไม่เหมาะสม ดังน้ัน จึงควรเน้นที่การดาเนินการ ตรวจสอบค่าฝุ่นละอองรวม (TSP) โดยเจ้าหน้าท่ีกรมโรงงาน พร้อมทั้งสนับสนุนเคร่ืองมือและงบประมาณ ในการดาเนินงานให้มีประสิทธิภาพ และการผลักดันให้โรงงานเข้าร่วมโครงการทาเนียบการปลดปล่อย และเคลื่อนย้ายมลพิษ (Pollutant Release and Transfer Registration : PRTR) ผ่านแรงจูงใจต่าง ๆ เพ่ือเป็นข้อบังคับให้โรงงานรายงานการปล่อยมลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะโรงงานในพ้ืนท่ีซึ่งมีฝุ่นละออง มาก และควรมีการให้ความสาคัญต่อการสร้างความเข้าใจในการปรับใช้เช้ือเพลิงของอุตสาหกรรมเพ่ือท่ีจะลด ค่าฝนุ่ ละอองรวม (TSP) และฝุน่ ละอองขนาดเลก็ (PM ๒.๕) ลง ๒) ฝุ่นทตุ ยิ ภูมิ (ฝนุ่ ทเ่ี กดิ ขน้ึ ภายหลงั ) นอกจากฝุ่นปฐมภูมิซ่ึงเป็นฝุ่นทางตรงท่ีเกิดจากการเผาไหม้แล้ว ฝุ่นละออง ขนาดเล็กสามารถเกิดจากปฏิกิริยาทางเคมีหรือที่เรียกว่าฝุ่นทุติยภูมิ โดยฝุ่นทุติยภูมิเกิดจากการทาปฏิกิริยา ของก๊าซในอากาศกับสารเคมีจากกระบวนการผลิต (Photochemical reaction) กาเนิดออกมาในรูปแบบ ของก๊าซสองกลุ่ม คือ กลุ่ม NOx SOx และ กลุ่มสารอินทรีย์ระเหยง่าย VOCs เมื่อก๊าซสองกลุ่มนี้ทาปฏิกิริยา กับแสงแดดจะกลายเป็น โอโซน และ Peroxyacetyl nitrate (PAN) ซ่ึงจะก่อให้เกิดฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM ๑ - PM ๒.๕) ต่อไป ซ่ึง ดร. สุรัตน์ บัวเลิศ คณบดีคณะส่ิงแวดล้อม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้ศึกษา และพบความสมั พันธร์ ะหว่างปรมิ าณโอโซน และปรมิ าณฝนุ่ ละอองขนาดเลก็ (PM ๒.๕) ในเขตกรุงเทพมหานคร ภาพท่ี ๖ ฝุ่นทตุ ิยภมู ิ (ฝนุ่ ทเ่ี กิดขน้ึ ภายหลงั ) ภาพ: ฝนุ่ ทุติยภูมิ (ฝุ่นที่เกดิ ขึ้นภายหลงั ) (What causes photochemical smog, Lumen Learning) ในการตรวจสอบและควบคุมค่าฝุ่นละอองต่าง ๆ ได้มีการกาหนดมาตรฐาน ค่าฝุ่นละอองรวม (TSP) ที่ปล่องระบายซ่ึงเป็นค่ามาตรฐานระดับสากลเพ่ือควบคุมปริมาณฝุ่น/ปฐมภูมิ แต่ยังขาดเกณฑ์หรือมาตรฐานในการควบคุมฝุ่นทุติยภูมิในลักษณะเดียวกัน โดยเกณฑ์มาตรฐานปัจจุบัน ได้มีการกาหนดมาตรฐานสารระเหยบางสารประกอบที่สาคัญที่มุ่งเน้นความเป็นพิษและการก่อมะเร็ง ได้แก่ เบนซีน บิวตะไดอีน ไซลีน ครีซอล ดังน้ัน การศึกษาผลกระทบและสัดส่วนปัญหาฝุ่นควันจากแหล่งกาเนิด

๑๒๑ ฝุ่นทุติยภูมิอย่างจริงจัง รวมถึงการกาหนดมาตรฐานค่าสารอินทรีย์ระเหยง่ายรวม (Total Volatile Organic Compound : TVOC) จะช่วยเสริมสร้างความเข้าใจเร่ืองฝุ่นทุติยภูมิ ป้องกันและบรรเทามลพิษท่ีเกิดจาก แหลง่ กาเนดิ ดังกล่าวได้ จากการสารวจความคิดเหน็ ของประชาชนในการดาเนนิ การแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง จากภาคอุตสาหกรรมโดยสวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต พบว่าร้อยละ ๒๘.๗๐ ของกลุ่มตัวอย่างเห็นว่า ภาคอุตสาหกรรมเป็นสาเหตุของการเกิดฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM ๒.๕) ที่ควรได้รับการแก้ไขมากท่ีสุด โดยประชาชนจากกลุ่มตัวอย่างต้องการให้รัฐบาลดาเนินการแก้ไขปัญหาฝุ่นควันจากภาคอุตสาหกรรม ด้วยการ ๑) ควบคุมการปล่อยควันพิษของโรงงานอุตสาหกรรม ๒) สนับสนุนมาตรการภาษี การหักลดหย่อน หรอื การใหเ้ ครดติ ภาษสี าหรับเงนิ ลงทุนในโครงการการลงทุนเครื่องจักรบาบัดมลพิษอากาศท่ีมปี ระสิทธภิ าพสูง ๓) บังคับใช้กฎหมาย และมาตรการต่าง ๆ อย่างจริงจัง และ ๔) เปิดเผยข้อมูลการระบายฝุ่นควันของโรงงานต่าง ๆ ให้สาธารณชนเขา้ ถงึ ได้ ซง่ึ มีรายละเอยี ด ดงั ตอ่ ไปน้ี ตารางท่ี ๖ ผลการสารวจความคดิ เหน็ ของประชาชนเกยี่ วกับการดาเนินการแกไ้ ข ปญั หาฝุน่ ละอองจากภาคอตุ สาหกรรมของรฐั บาล ประชาชนตอ้ งการใหร้ ฐั บาลดาเนนิ การแก้ไขปญั หาฝนุ่ ละอองจากภาคอตุ สาหกรรมอยา่ งไร (หนว่ ย: รอ้ ยละ) ท่ี อุตสาหกรรม ภาพรวม เพศ พื้นที่ สถานภาพ ๓๗.๓๒ ๑ ควบคุมการปลอ่ ยควนั พิษของโรงงานอตุ สาหกรรม ชาย หญงิ กรุงเทพฯ ต่างจงั หวดั ประชาชน กลมุ่ เสยี่ ง ๒ การสนับสนุนดว้ ยมาตรการภาษี การหกั ลดหยอ่ น ๒๔.๙๓ ๒๓.๙๙ ๓๖.๖๙ ๓๗.๙๔ ๓๗.๖๕ ๓๖.๙๙ ๒๗.๓๑ ๓๗.๓๕ หรอื การให้เครดติ ภาษหี ลายเท่าต่อเงินลงทุน ๑๓.๗๖ ในโครงการการลงทุนเครื่องจักรบาบดั มลพษิ อากาศ ๒๔.๕๒ ๒๕.๓๒ ๒๓.๓๙ ๒๖.๔๙ ๒๕.๓๘ ๒๓.๙๗ ทีม่ ีประสิทธิภาพสูง ๒๔.๓๓ ๒๓.๖๖ ๒๗.๒๑ ๒๐.๗๒ ๒๒.๙๐ ๒๖.๓๒ ๓ บงั คับใช้กฎหมาย และมาตรการต่างๆ อยา่ งจริงจงั ๔ เปดิ เผยขอ้ มูลการระบายฝนุ่ ควนั ของโรงงานต่างๆ ๑๔.๔๖ ๑๓.๐๘ ๑๑.๗๔ ๑๕.๘๐ ๑๔.๔๑ ๑๒.๓๕ ใหส้ าธารณชนเข้าถึงได้ ที่มา: สวนดุสติ โพล มหาวทิ ยาลัยสวนดุสติ ๓.๒.๒) ผลการพจิ ารณา ขอ้ เสนอแนะการแก้ไขปญั หาฝนุ่ ละอองขนาดเลก็ จากภาคอตุ สาหกรรม ข้อเสนอแนะระยะสนั้ (๑ – ๓ ปี) ในระยะส้ัน คณะกรรมาธิการเห็นวา่ ควรแก้ไขปัญหาดว้ ยการศกึ ษาข้อมลู พื้นฐาน และผลกระทบ ทเ่ี กิดขนึ้ ให้เกดิ ความเข้าใจเพอื่ นาไปสกู่ ารปฏิบตั ใิ หเ้ หน็ ผลเชงิ โครงสรา้ งในระยะกลางและระยะยาว ดงั นี้ ๑) การแก้ไขปญั หาท่ีมาจากการเกบ็ ข้อมลู พ้ืนฐาน ๑.๑) เร่งให้มีบัญญัติกฎหมายว่าทาเนียบการปลดปล่อยและเคลื่อนย้ายมลพิษ (Pollutant Release and Transfer Registration : PRTR) เพ่ือให้โรงงานอุตสาหกรรมต้องรายงานการปล่อยมลพิษ ทางอากาศใหก้ บั สว่ นราชการที่เก่ียวขอ้ งทราบ โดย (๑) ศึกษาและเก็บข้อมูลพื้นฐานประเด็น การปล่อยฝุ่นควันและมลพิษจากภาคอุตสาหกรรม ท่ัวประเทศ โดยการขับเคลื่อนแผนขยายผลโครงการนาร่องของ โครงการทาเนียบการปลดปล่อย และเคล่ือนย้ายมลพิษ (PRTR) ไปสู่การปฏิบัติในวงกว้าง และประสานงานให้กระทรวงอุตสาหกรรมขยายผล โรงงานที่เป็นกลุ่มเสี่ยงให้จัดทาบัญชีการระบายมลพิษทางอากาศ และให้มีการตรวจวัดสารระเหย เพ่มิ เตมิ จากโครงการนาร่องของโครงการ PRTR ดงั กลา่ ว (๒) เปิดเผยข้อมูลการระบายฝุ่นควันของโรงงานต่าง ๆ จากรายงานตรวจวัดปล่อง ท่สี ่งเป็นประจาอยู่แล้วมายงั กรมโรงงานอุตสาหกรรมใหส้ าธารณชนเข้าถึงได้

๑๒๒ ๑.๒) เร่งปรับปรุงกฎหมายของกรมโรงงานอุตสาหกรรมเพ่ือขยายขอบเขตโรงงาน ท่ีต้องติดตั้งระบบ CEMs ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ รวมถึงทบทวนหน่วยการผลิต เพื่อกาหนดชนิดและขนาด และการขยายพื้นที่บังคับใช้ ๑.๓) ส่งเสริมเมื องอุ ตสาหกรรมเชิงนิ เวศ (Eco - industry town หรือ Eco town) โดยกลุ่มโรงงานที่จะยื่นขอการรับรอง Eco town โรงงานที่อยู่ในพื้นท่ีจาเป็นต้องอยู่ในโครงการทาเนียบ การปลดปล่อยและเคล่ือนย้ายมลพิษ (PRTR) ด้วย ๒) การแก้ไขปัญหาทม่ี าจากฝุ่นปฐมภูมิ ๒.๑) สนับสนุนการดาเนินการตรวจสอบค่าฝุ่นละอองรวม (TSP) ของเจ้าหน้าที่กรมโรงงาน โดยคงค่ามาตรฐานฝุ่นละอองรวม (TSP) และไม่เพ่ิมการเก็บข้อมูลฝุ่นฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM ๑๐ และ PM ๒.๕) แยกจากกนั พรอ้ มทัง้ สนบั สนุนเครอ่ื งมือและงบประมาณในการดาเนินการใหม้ ปี ระสิทธิภาพ ๒.๒) ส่งเสริมการเปล่ียนชนิดเชื้อเพลิงสาหรับโรงงานท่ีปัจจุบันใช้เชื้อเพลิงแข็ง (ถ่านหิน) และเหลว (นา้ มันเตา ดเี ซล) มาเปน็ ก๊าซ ซง่ึ มีการเผาไหมส้ มบรู ณ์ ๒.๓) ประสานการจัดการเย่ียมชมโรงงานท่ีมีประวัติถูกร้องเรียน (Open House) เพื่อให้ ตัวแทนชุมชนหรือผู้ร้องเรียนสามารถติดตามผลการแก้ไขปัญหาในแผนการท่ีโรงงานช้ีแจงไว้เมื่อถูกร้องเรียน เปน็ ประจาทุกปี หรือ ทุกสองปี โดยใหผ้ ู้เชี่ยวชาญจากกรมควบคมุ มลพษิ หรอื กรมโรงงานอุตสาหกรรมเข้ารว่ มด้วย ๒.๔) ให้แรงจูงใจกลุ่มอุตสาหกรรมที่เป็นแหล่งกาเนิดฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM ๒.๕) หลัก เช่น โรงไฟฟ้า โรงงานปูนซิเมนต์ ฯลฯ ในด้านเทคนิค และ/หรือสิทธิประโยชน์ทางภาษีหรือเง่ือนไขในการส่งเสริม การลงทุนเพ่ือพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตและลดการปล่อยฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM ๒.๕) และให้ กล่มุ อุตสาหกรรมดังกลา่ วเปน็ ตน้ แบบในการขยายผลในโรงงานประเภทอ่นื ต่อไป ๒.๕) พิจารณาแรงจูงใจหรือการชดเชยท่ีเหมาะสมในมุมมองด้านส่ิงแวดล้อมให้โครงการ ที่ได้รับการยกเว้นในการทา EIA ให้มีระบบบาบัดมลพิษอากาศท่ีเหมาะสมและยังสามารถดาเนินธุรกิจ ได้อยา่ งยง่ั ยนื โดยอาจเสริมในมุมมองด้านพลังงานทดแทน เชน่ การใช้เช้อื เพลงิ แขง็ ประเภทไบโอแมส เปน็ ตน้ ๒.๖) ขอความร่วมมือโรงงานลดกาลังการผลิตในช่วงท่ีปัญหาฝุ่นควันมีความรุนแรง โดยอาจพิจารณางดเว้นการขอความร่วมมือจากกลุ่มโรงงานที่เข้าร่วมใน โครงการทาเนียบการปลดปล่อย และเคลื่อนย้ายมลพษิ (PRTR) อยู่แลว้ เพ่อื เปน็ รางวัลและแรงจงู ใจให้โรงงานเข้ารว่ มโครงการ PRTR ดงั กลา่ ว ๓) การแกไ้ ขปัญหาท่มี าจากฝนุ่ ทตุ ิยภูมิ ๓.๑) ศึกษาผลกระทบ และสัดส่วนการก่อมลพิษของฝุ่นทุติยภูมิ พร้อมกาหนดแนวทาง การแก้ไขปัญหาในกล่มุ อุตสาหกรรมเปา้ หมายนอกเหนือไปจากภาคอตุ สาหกรรมเคมี ๓.๒) ส่งเสริมเทคโนโลยีการนาสารระเหยไปใช้เป็นเช้ือเพลิงทดแทน เช่น การขยายผล โครงการอนุรักษพ์ ลงั งานของกรมพฒั นาธรุ กิจพลงั งานและพลงั งานทางเลือก กระทรวงพลงั งาน ท่ีมกี ารนาสารระเหย มาใช้เป็นเช้ือเพลิง ผ่านความร่วมมือของหน่วยงานต่าง ๆ เช่น การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กระทรวงอุตสาหกรรม ซ่ึงการขยายผลดังกล่าว เป็นท้ังการลดต้นทุนโรงงาน บาบัดมลพิษทางอากาศ และอนรุ ักษพ์ ลงั งาน ๓.๓) ให้ความรู้แก่ภาคอุตสาหกรรมและหน่วยงานราชการที่เข้าไปตรวจสอบ ให้ตระหนัก และเพ่มิ ความเขม้ งวดการตรวจตรา ทง้ั น้ี รวมถงึ การตรวจสอบโรงงานทีจ่ ุดปล่อยมลพษิ ที่มีแหล่งกาเนิดชัดเจน (Stationery source, non-fugitive source) เพื่อไม่ให้มีการปล่อยฟุ้งกระจายภายใต้หลังคาโรงงาน และการปลอ่ ยมลพิษอากาศต้องจัดทาท่อหรอื ปล่องที่สามารถทาการตรวจวดั และเก็บข้อมลู ไดเ้ ท่านน้ั ๓.๔) ส่งเสริมการแลกเปลี่ยนประสบการณ์การบาบัดมลพิษอากาศระหว่างกลุ่มโรงงาน อุตสาหกรรม ผ่านความร่วมมือของสภาอุตสาหกรรม สมาคมบรรจุภัณฑ์ สถาบันปิโตรเลียม โดยกรมโรงงาน

๑๒๓ อุตสาหกรรม และกรมควบคุมมลพิษ โรงงานต่าง ๆ สามารถนาผลการดาเนินงานท่ีประสบความสาเร็จ มาแลกเปล่ียนและขยายผล ทาให้เพิ่มความภูมิใจและแรงจูงใจต่อโรงงานท่ีสามารถเป็นต้นแบบ และทาให้ลดภาระของภาครัฐในสนับสนุนงบประมาณแก่ภาคเอกชน ข้อเสนอแนะระยะกลาง (๓ - ๕ ปี) ในระยะกลาง คณะกรรมาธิการเห็นว่าควรเร่ิมนาผลจากการศึกษาในระยะส้ันและข้อมูลที่ได้ จากการจัดทาทาเนียบการปลดปล่อยและเคลื่อนย้ายมลพิษ (PRTR) มาวิเคราะห์และสนับสนุนหลักปฏิบัติ ผู้ก่อมลพษิ เป็นผ้จู า่ ย (Polluter Pays Principle : PPP) พรอ้ มให้แรงจูงใจแกท่ างเลอื กรักษาสง่ิ แวดลอ้ ม ดังน้ี ๑) การแก้ไขปญั หาท่มี าจากการเก็บข้อมูลพนื้ ฐาน (๑) กาหนดค่ามาตรฐานที่ต้องรายงานเพ่ิมเติม โดยพิจารณาจากข้อมูลที่ได้จากข้อแนะนา ระยะส้นั มาทาการวิเคราะห์ (๒) เฝ้าตดิ ตามและส่งสญั ญาณความเข้มงวดต่อโรงงานกล่มุ เปา้ หมายที่ไดจ้ ากการวเิ คราะห์ข้อมลู จากโครงการทาเนยี บการปลดปล่อยและเคลอื่ นย้ายมลพิษ (PRTR) ๒) การแกไ้ ขปัญหาทมี่ าจากฝุ่นปฐมภมู ิ (๑) สนับสนุนด้วยมาตรการภาษี การหักลดหย่อนหรือการให้เครดิตภาษีหลายเท่า ต่อเงินลงทุนในโครงการลงทนุ เครื่องจกั รบาบัดมลพิษอากาศทมี่ ีประสทิ ธภิ าพสงู (๒) พฒั นาตลาดเพ่อื รองรับสนิ ค้าบริโภคหรืออุปโภคท่ีมาจากภาคอตุ สาหกรรมหรือกิจกรรม ที่ช่วยลดฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM ๒.๕) ให้สามารถแข่งขันกับกลุ่มอุตสาหกรรมเดิมได้อย่างยั่งยืน ผ่านการสนับสนุนของกระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงการคลัง ๓) การแกไ้ ขปญั หาทมี่ าจากฝุ่นทุตยิ ภูมิ (๑) กาหนดเกณฑ์การระบายอากาศที่มีองค์ประกอบของมลพิษที่ก่อให้เกิดฝุ่นทุติยภูมิ และการติดตามควบคุมทีเ่ ข้มงวด (๒) กาหนดค่ามาตรฐานการปลดปล่อยสารอินทรีย์ระเหยง่ายรวมที่ปล่อง (Total VOCs : TVOCs) โดยเริ่มตน้ จากอตุ สาหกรรมท่ปี ลดปลอ่ ยมลพิษมากกอ่ น (High Pollutant Loading) ขอ้ เสนอแนะระยะยาว (๕ – ๑๐ ป)ี ในระยะยาว คณะกรรมาธิการเห็นว่าจาเป็นต้องมีการออกมาตรการเพื่อสะท้อนต้นทุน ทางสิ่งแวดล้อมท่ีแท้จริง เพื่อให้แรงจูงใจทางเศรษฐกิจและบทลงโทษที่สะท้อนต้นทุนทางส่ิงแวดล้อม อย่างเต็มรูปแบบ รวมถงึ การพฒั นาระบบฐานข้อมูลและระบบเฝ้าระวงั สุขภาพทีเ่ ปน็ หนงึ่ เดียว ๓.๓ การเผาในทโี่ ลง่ ๓.๓.๑) ปัญหาฝุ่นละอองขนาดเลก็ จากการเผาในทโี่ ล่งภาคเกษตรกรรม แผนแม่บทแห่งชาติว่าด้วยการควบคุมการเผาในที่โล่ง กรมควบคุมมลพิษ นิยามการเผา ในท่ีโลง่ ไว้ รวมถงึ การเกิดไฟไหม้ การเผาไหม้ การเกดิ ไฟคุกรุ่นใด ๆ หรอื การเผาวสั ดุใด ๆ ท่ีเกดิ ขน้ึ ในที่เปิดโล่ง โดยก่อให้เกิดฝุ่น ควัน ก๊าซ และสารพิษอื่น ๆ จากการเผาไหม้ซ่ึงสามารถแพร่กระจายไปในบรรยากาศ โดยกิจกรรมหลักท่ีก่อให้เกิดการไฟในที่โล่ง ได้แก่ การเผาเศษพืชเศษวัสดุทางการเกษตร การเผาขยะมูลฝอย จากชุมชน การเผาริมทางหลวง และไฟป่า ท้ังนี้ ข้อมูลการเผาในท่ีโล่งนี้ จะมุ่งเน้นศึกษาการเผาซึ่งเกิดจาก การเผาเศษวัสดุทางการเกษตร และจะพิจารณาปัญหาฝุ่นละอองจากไฟป่าในพื้นที่อนุรักษ์ในข้อ ๔ ต่อไป เมื่อพิจารณาจากข้อมูลจุดความร้อนจาแนกตามพื้นที่ท่ัวประเทศปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - ๒๕๖๒ ของสานักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) พบว่าพ้ืนท่ีเกษตรกรรมมีสัดส่วน จุดความร้อนเฉลี่ยร้อยละ ๒๗ รองจากจุดความร้อนในพื้นท่ีป่าอนุรักษ์และป่าสงวนแห่งชาติ โดยจุดความร้อน ในพน้ื ท่เี กษตรกรรมพบมากในภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื และภาคเหนือของประเทศ

๑๒๔ ภาพท่ี ๗ จุดความรอ้ นพน้ื ทเี่ กษตรเฉล่ยี ๓ ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - ๒๕๖๒ ท่ีมา: จดุ ความรอ้ นพ้นื ทเ่ี กษตรเฉลยี่ ๓ ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - ๒๕๖๒ สานักงานพฒั นาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) เมื่อพิจารณาพ้ืนท่ีเกษตรในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือ และภาคกลาง พบว่าพืชไร่ ท่ีปลกู มาก ๔ อนั ดบั แรก ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนอื และภาคกลาง ได้แก่ ข้าว อ้อย มันสาปะหลัง และข้าวโพดเล้ียงสัตว์ โดยจากการศึกษาแผนแม่บทแห่งชาติว่าด้วยการควบคุมการเผาในที่โล่ง กรมควบคุม มลพิษ พบว่าการเผาในภาคเกษตรกรรมเกิดขึ้นเพื่อความสะดวกในการเตรียมแปลงเพ่ือการเพาะปลูกข้าว ข้าวโพด และเก็บเกี่ยวอ้อย ในขณะท่ีไม่มีการเผามันสาปะหลังเน่ืองจากเกษตรกรจาเป็นต้องเก็บลาต้นท่ีเหลือ ไปเพาะปลูกต่อในฤดูถัดไป สอดคล้องกับการประเมินปริมาณชีวมวลเหลือท้ิงในพื้นท่ีภาคเหนือ โดยสถาบันวิจัย และพัฒนาพลงั งานนครพงิ ค์ มหาวทิ ยาลัยเชยี งใหม่ และวทิ ยาลยั พลงั งานทดแทน มหาวทิ ยาลัยแม่โจ้ ตารางท่ี ๗ พ้นื ท่ปี ลูกพชื เศรษฐกิจหลกั พื้นที่ปลกู พืชเศรษฐกิจหลกั ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ ภาคเหนอื ภาคกลาง ๑๓.๘๒ ล้านไร่ ข้าวนาปีและนาปรงั ๓๘.๖๔ ล้านไร่ ๑๘.๖๓ ลา้ นไร่ ๓.๒๐ ล้านไร่ ๑.๙๓ ลา้ นไร่ ออ้ ย ๕.๓๕ ล้านไร่ ๓.๐๐ ล้านไร่ ๐.๗๘ ลา้ นไร่ มันสาปะหลัง ๔.๗๖ ลา้ นไร่ ๑.๙๓ ลา้ นไร่ ข้าวโพดเลยี้ งสัตว์ ๑.๔๗ ลา้ นไร่ ๔.๖๘ ลา้ นไร่ ท่มี า: สานกั งานเศรษฐกจิ การเกษตร (๒๕๖๑)

๑๒๕ ตารางที่ ๘ ประมาณการชวี มวลเหลอื ท้ิงภาคเหนือปี ๒๕๕๘/๒๕๕๙ ประมาณการชีวมวลเหลอื ทง้ิ ภาคเหนอื ปี ๒๕๕๘/๒๕๕๙ ปริมาณชวี มวลเหลอื ท้งิ รวม ชีวมวลเหลือท้ิงตอ่ ไร่ สดั สว่ นต่อชีวมวลท้ังหมด ออ้ ย ๒๙.๘๒ ล้านตนั /ปี ๒,๙๖๔.๕ กก.สดต่อไร่ รอ้ ยละ ๙๔.๐ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ๗.๙๑ ล้านตัน/ปี ๘๔๗.๓ กก.สดต่อไร่ ร้อยละ ๘๗.๙ ขา้ ว ๖.๑๕ ล้านตัน/ปี ๓๔๖.๖ กก.สดต่อไร่ รอ้ ยละ ๕๔.๒ ที่มา: พ้ืนที่ปลูก สานักงานเศรษฐกิจการเกษตร; ปริมาณชีวมวลเหลือทิ้งท้ังหมด ในพ้ืนที่ภาคเหนือปี ๒๕๕๘/๒๕๕๙ โดยสถาบันวิจัยและพัฒนา พลงั งานนครพิงค์ มหาวิทยาลัยเชยี งใหม่และวทิ ยาลัยพลังงานทดแทน มหาวทิ ยาลยั แม่โจ้ ทัง้ น้ี จากแผนแมบ่ ทแห่งชาติว่าดว้ ยการควบคุมการเผาในท่ีโล่ง กรมควบคุมมลพิษ การเผาเศษพืช จานวน ๑ ตัน จะก่อให้เกิดฝุ่นละอองปริมาณ ๒ ถึง ๑๔ กิโลกรัม โดยจากการประเมินการปลดปล่อยมลพิษ จากการเผาไหม้เศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรในท่ีโล่งแจ้ง โดยนางสาวกิตติยาภรณ์ รองเมือง พบว่าการเผา เศษวัสดุเหลือจากการเกษตรในแปลงนาข้าวจะก่อให้เกิดฝุ่นละอองรวม ๖.๖๙ กรัม/กิโลกรัม แปลงข้าวโพด เลย้ี งสัตว์ ๔.๐๙ กรมั /กโิ ลกรัม และแปลงออ้ ย ๓.๘๕ กรัม/กโิ ลกรัม ส่วนที่ ๑ การเผาในไรอ่ อ้ ย จากการศึกษาพบว่า ปัญหาการเผาในไร่อ้อยมักเกิดขึ้นในช่วงเก็บเก่ียวผลผลิตจาก ๔ สาเหตหุ ลัก ไดแ้ ก่ (๑) แรงงาน ภาวะขาดแรงงานเปน็ ปัญหาหลกั ในการเพาะปลกู อ้อยในประเทศไทย จากการสมั ภาษณ์ นายประสิทธ์ิ วงษาเทียม ผู้อานวยการกองอุตสาหกรรมอ้อย น้าตาลทรายและอุตสาหกรรมต่อเน่ือง พบว่า คา่ แรงเก็บเกย่ี วอ้อยสว่ นใหญ่จะแปรผันตามปรมิ าณการเก็บเก่ียวผลผลิต การเผาอ้อยจะช่วยใหแ้ รงงานตัดอ้อย เก็บเกี่ยวอ้อยได้สะดวกและรวดเร็วกว่าการเก็บเกี่ยวจากแปลงท่ีไม่มีการเผาประมาณ ๒ เท่า สอดคล้องกับ งานวิจัยสาเหตุแรงงานตัดอ้อยไฟไหม้โดยคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ปี พ.ศ. ๒๕๖๒ ซึ่งพบว่าแรงงานตัดอ้อยจะสามารถตัดอ้อยสดได้ประมาณ ๑.๒๕ ตันต่อวัน คิดเป็นค่าแรงการตัดอ้อยเฉล่ีย ๑๗๕ บาทต่อวัน แต่จะสามารถตัดอ้อยไฟไหม้ได้ประมาณ ๒.๕ ตัน หรือคิดเป็นค่าแรงการตัดอ้อยเฉลี่ย ๒๕๐ บาท ต่อวัน ดังน้ัน แรงงานส่วนใหญ่จึงมักปฏิเสธการตัดอ้อยสด เกษตรกรเจ้าของแปลงท่ีไม่มีการเผาจึงหาแรงงาน ยากกวา่ แปลงทมี่ ีการเผา (๒) เครื่องจักรเก็บเก่ียวผลผลิต แม้ว่าปัญหาภาวะขาดแรงงานข้างต้นสามารถแก้ไขได้ ด้วยการใช้เครื่องจักรเก็บเกี่ยวผลผลิต แต่เคร่ืองจักรเก็บเก่ียวในท้องตลาดมีราคาสูง (๖ - ๑๒ ล้านบาท) เกษตรกรรายย่อยซึ่งเป็นเกษตรกรผู้ปลูกอ้อยส่วนใหญ่ของประเทศไม่สามารถจัดหาเงินทุนในการซื้อเคร่ืองจักรได้ และแมว้ า่ จะสามารถจัดหาเงินทุนซ้ือเครื่องจักรได้ การขาดการรวมกลุ่มเกษตรกรในการใช้เครื่องจักรเกบ็ เก่ียว ร่วมกันก็นาไปสู่การขาดการประหยัดต่อขนาด (Economy of scale) ทาให้เกษตรกรมีต้นทุนในการเก็บเกี่ยว อ้อยท่ีสูงข้ึนอย่างมีนัยสาคัญ นอกจากนี้เกษตรกรท่ีต้องการใช้เคร่ืองจักรเก็บเกี่ยวจาเป็นต้องมีการปรับปรุง กระบวนการผลิตต้ังแต่ต้นฤดูการเพาะปลูก เช่น การกาหนดระยะปลูกอ้อยท่ีเหมาะสม เพื่อให้สามารถใช้งาน เครอ่ื งจักรเกบ็ เกี่ยวได้ เกษตรกรท่ไี ม่ไดเ้ ตรียมพรอ้ มต้งั แตต่ ้นฤดูจงึ ไม่สามารถว่าจา้ งเครือ่ งจักรเก็บเกี่ยวได้

๑๒๖ ท้ังน้ี จากข้อมูลของ บริษัท น้าตาลมิตรผล จากัด พบว่าในประเทศไทยมีจานวนรถตัดอ้อย รวมประมาณ ๒,๕๐๐ คัน เปรียบเทียบกับผลผลิตอ้อย ณ วันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๖๓ จานวน ๗๔,๘๙๓,๑๗๕ ตัน ด้วยประสิทธิภาพการทางานของรถตัดอ้อยท่ี ๑๐๐ ตันต่อวัน หากรถตัดอ้อยทางาน ๑๒๐ วันต่อปี จะคิดเป็น ปรมิ าณพ้นื ทคี่ ลอบคลุมเพียงรอ้ ยละ ๔๐ ของจานวนพื้นที่เพาะปลกู อ้อยท่วั ประเทศ (๓) นโยบายการลดปริมาณอ้อยไฟไหม้ นโยบายในปัจจุบันเก่ียวกับการส่งเสริมการลด ปริมาณอ้อยไฟไหม้ คือ ๑) มาตรการหักเงินจากเกษตรกรท่ีนาส่งอ้อยไฟไหม้ ๓๐ บาทต่อตัน (เงินที่หักนาไป เฉล่ียจ่ายให้กับอ้อยสด) ๒) มาตรการสนับสนุนการเพ่ิมผลผลิตอ้อยอย่างครบวงจรผ่านการออกเงินกู้ ดอกเบี้ยต่า (ร้อยละ ๒) โดยธนาคารเพ่ือการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ๓) การรณรงค์ให้หยุดเผา และสร้างจังหวัดต้นแบบ ๕ จังหวัดไม่มีอ้อยไฟไหม้ และ ๔) การรับซื้อใบอ้อยสดราคา ๑,๐๐๐ บาทต่อตัน ของโรงงานน้าตาลบางแห่ง แต่อย่างไรก็ตาม นโยบายดังกล่าวไม่ได้ส่งผลให้การเผาในพ้ืนที่เกษตรลดลง อยา่ งมนี ยั สาคญั ภาพท่ี ๘ สดั ส่วนปริมาณอ้อยไฟไหม้รายปี ท่มี า: สดั ส่วนปริมาณอ้อยไฟไหมร้ ายปี รายงานการผลิตนา้ ตาลทรายของโรงงานนา้ ตาลทว่ั ประเทศประจาปกี ารผลิต ๒๕๕๖/๕๗ – ๒๕๖๒/๖๓ จัดทาโดย สานกั บรหิ ารอ้อยและน้าตาลทราย ปี พ.ศ. ๒๕๕๓ สานักงานคณะกรรมการอ้อยและน้าตาลทราย กระทรวงอุตสาหกรรม (สอน.) ได้กาหนดเป้าหมายการลดปริมาณอ้อยไฟไหม้ออกเป็น ๓ ระยะ ได้แก่ ระยะที่ ๑ กาหนดลดปริมาณอ้อยไฟไหม้ จากฤดูกาลผลิตปี ๒๕๕๒/๕๓ ที่ร้อยละ ๖๓ ลงเหลือร้อยละ ๔๐ ภายในฤดูกาลผลิตปี ๒๕๕๗/๕๘ ระยะที่ ๒ ลดจากร้อยละ ๔๐ เป็นร้อยละ ๒๐ (และภายหลังได้มีการผ่อนผันเป็นร้อยละ ๕๐) ภายในฤดูกาลผลิตปี ๒๕๖๒/๖๓ และ ระยะท่ี ๓ ลดปริมาณอ้อยไฟไหม้ให้ลงเหลือร้อยละศูนย์ภายในฤดูกาลผลิตปี ๒๕๖๗/๖๘ (และภายหลังได้มีการปรับเร่งเป้าหมายเป็นร้อยละ ๒๐ ภายในปีการผลิต ๒๕๖๓/๖๔ และร้อยละ ๐ - ๕ ภายในปกี ารผลิต ๒๕๖๔/๖๕)

๑๒๗ อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณารายงานการผลิตน้าตาลทรายของโรงงานน้าตาลทั่วประเทศประจาปี การผลิต ๒๕๕๖/๕๗ – ๒๕๖๒/๖๓ โดยสานักบริหารอ้อยและน้าตาลทราย พบว่าต้ังแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ปริมาณอ้อยไฟไหม้ยังคงสูงกว่าเกณฑ์ ยกเว้นในปี ๒๕๖๒/๖๓ ซ่ึงมีปริมาณอ้อยไฟไหม้ต่ากว่าเกณฑ์เป้าหมาย ผ่อนผันใหม่หรือที่ร้อยละ ๔๙.๖๕ (ในปี ๒๕๖๒/๖๓ ได้มีการกาหนดเกณฑ์อ้อยไฟไหม้ใหม่เป็นร้อยละ ๓๐ แตไ่ ด้มกี ารผ่อนผนั เกณฑอ์ อ้ ยไฟไหม้ข้ึนเป็นร้อยละ ๕๐) (๔) การรบั ซอื้ ออ้ ยของโรงงาน: ปจั จบุ ันโรงงานน้าตาลมีอปุ สรรคในการลดปริมาณอ้อยไฟไหม้ อนั เน่อื งมาจากการรับซื้อ ดังนี้ ก) ไม่สามารถปฏิเสธการรับซื้ออ้อยจากเกษตรกรได้ ไม่ว่าจะเป็นอ้อยไฟไหม้หรือไม่ เนือ่ งจากพระราชบัญญัตอิ อ้ ยและน้าตาลทราย พ.ศ. ๒๕๒๗ ได้กาหนดโทษปรบั ไม่เกนิ ๕๐๐,๐๐๐ บาท ข) มีการจา่ ยเงนิ เกี๊ยว (เงินสนับสนุนล่วงหน้า) กบั เกษตรกร ค) จาเป็นต้องรับซ้ืออ้อยเข้าโรงงานแม้จะเป็นอ้อยไฟไหม้ เน่ืองจากโรงงานบางแห่ง มกี ารกาหนดเปา้ ผลติ น้าตาล ด้วยสาเหตุข้างต้น จึงส่งผลให้มีจานวนโรงงานน้าตาลที่รับอ้อยไฟไหม้เกินร้อยละ ๕๐ จานวน ๓๓ โรง คิดเปน็ ร้อยละ ๕๘ ของโรงงานท้ังหมดจานวนโรงน้าตาลท่ัวประเทศ ๕๗ โรง ตารางที่ ๙ รายงานการปิดหบี อ้อย ณ วนั ที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๖๓ รายงานการปิดหบี ออ้ ย ณ วนั ท่ี ๒๔ เมษายน ๒๕๖๓ ภาค จานวน จานวนโรงงาน จานวนอ้อย จานวนออ้ ยไฟ สัดส่วนออ้ ย โรงงาน นา้ ตาลท่ีอ้อย ทงั้ หมด ไหม้ ไฟไหมร้ าย นา้ ตาล ไฟไหมเ้ กิน (ตนั ) (ตัน) ภูมภิ าคต่ออ้อย ทัง้ หมด (โรง) ร้อยละ ๕๐ ไหมท้ งั้ ประเทศ (รอ้ ยละ) (โรง) ภาคเหนือ ๑๐ ๔ ๒๐,๑๓๙,๘๖๒ ๙,๑๘๑,๗๓๑ ๒๔.๗ ภาคกลาง ๒๐ ๑๑ ๑๘,๐๕๕,๖๑๘ ๙,๐๓๙,๓๕๔ ๒๔.๓ ภาคตะวันออก ๕ ๔ ๔,๑๘๒,๖๘๒ ๒,๖๕๐,๔๗๖ ๗.๑ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ๒๒ ๓๒,๕๑๕,๐๑๓ ๑๖,๓๑๑,๖๐๑ ๔๓.๙ ๑๔ รวม ๕๗ ๓๓ ๗๔,๘๙๓,๑๗๕ ๓๗,๑๘๓,๑๖๓ ๑๐๐ (ร้อยละ ๕๘ ของโรงงาน ทัง้ หมด) ทม่ี า: โรงงานนา้ ตาลแหง่ ประเทศไทย สว่ นท่ี ๒ การเผาในแปลงนาและแปลงขา้ วโพด การเผาในแปลงนาและแปลงข้าวโพดเล้ียงสัตว์มีสาเหตุหลักมาจากการขาดการจัดการ วัสดุธรรมชาติเหลือจากการเก็บเกี่ยวผลผลิต ได้แก่ ฟางข้าว ตอซังข้าว และตอซังข้าวโพด อย่างเป็นระบบ การเผาเป็นทางเลือกที่เกษตรกรเห็นว่าเป็นการจัดการท่ีสะดวก รวดเร็ว และมีต้นทุนต่าที่สุด ท้ังนี้ เม่ือพิจารณาถึงปัจจัยประกอบ คณะกรรมาธิการพบปัญหาอ่ืนที่ส่งเสริมการเผา ได้แก่

๑๒๘ ๑) การขาดเคร่ืองจักรสาหรับการไถกลบเศษวัสดุการเกษตร เกษตรกรส่วนใหญ่เป็นเกษตรกร รายย่อย และขาดความเป็นเจ้าของในที่ดินทากิน (เช่าพ้ืนที่ทากิน หรือเพาะปลูกบนพ้ืนที่บุกรุก) การลงทุน ซอื้ เครอื่ งจักรขนาดใหญ่อาจเพมิ่ ระดับความเสีย่ งต่อฐานะทางการเงินและขาดความคุ้มค่าในการลงทุน ๒) ลกั ษณะพ้ืนท่ีไมเ่ หมาะสมแก่การใช้รถไถกลบ โดยเฉพาะพื้นทรี่ าบเชงิ เขาและพน้ื ท่ีลาดชนั สงู ๓) ความต้องการใช้พ้ืนที่อย่างต่อเนื่อง การเผาทาให้เกิดความรวดเร็วในการเตรียมปลูกพืช รอบถัดไป ๔) ความเชือ่ เดมิ ท่ีไม่เอื้อต่อการบริหารจัดการดา้ นส่ิงแวดลอ้ ม เชน่ เผาไร่เพอ่ื กาจัดวัชพชื เป็นต้น ๕) การขาดองค์ความรู้และการสนับสนุนการจัดการวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรอย่างมี ประสิทธิภาพ ๖) ขาดการเข้าถึงทางเลือกในการใชป้ ระโยชน์จากวสั ดุเหลือใช้ทางเกษตรอ่ืน เช่น การอัดชวี มวลให้ เป็นก้อน การทาชีวมวลอัดเม็ดเพ่ือส่งขายให้กับโรงงานอุตสาหกรรมในพื้นท่ีใกล้เคียง การขายชีวมวลเหลือทิ้ง ให้โรงไฟฟ้าชุมชน การขายชีวมวลให้แก่โรงงานปูนซีเมนต์เพ่ือใชท้ ดแทนถา่ นหนิ เปน็ ตน้ อย่างไรกต็ าม ปจั จุบนั บริษัทเอกชนบางรายได้เร่ิมมีการรับซ้ือเศษวัสดุทางการเกษตร เชน่ ฟางก้อน (ราคา ๖๐๐ - ๘๐๐ บาทต่อตัน) เปลอื กและซงั ขาวโพด (ราคา ๒๕๐ - ๔๕๐ บาทตอ่ ตนั ) ๗) ขาดการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยเี พอื่ เพิ่มมลู ค่าวสั ดเุ หลอื ใช้ทางการเกษตรในเชงิ พานิชย์อ่ืน เชน่ การผลติ แอลกอฮอล์ และแบตเตอรี่จากชีวมวลเหลือทิ้ง เป็นตน้ จากการสอบถามการดาเนินการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองจากผู้ว่าราชการจังหวัด จานวน ๑๘ กลุ่มจังหวัด พบว่าการบังคับใช้กฎหมายเพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองอันเกิดจากการเผาในท่ีโล่งยังไม่สามารถ ทาได้อย่างมีประสิทธิภาพ เน่ืองจากผู้ว่าราชการจังหวัดขาดอานาจโดยตรง ขาดกฎหมายเฉพาะในการควบคมุ การเผาในทโี่ ลง่ แจ้ง และมีขอ้ จากัดในการรบั รูข้ อ้ เทจ็ จริงอันเปน็ เหตรุ าคาญ การวินิจฉยั ข้อเท็จจริง และขัน้ ตอน การใช้อานาจของเจ้าพนักงานท้องถ่ินในการควบคุมเหตุราคาญ รวมทั้งการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด ในการห้ามเผาในที่โล่งอย่างเด็ดขาดอาจมีผลกระทบต่อวิถีชีวิตและการหาเล้ียงชีพของ ประชาชน เช่น การเผาเศษวัสดุ การเผาถ่าน เป็นต้น นอกจากน้ี การมีส่วนร่วมและความร่วมมือเพื่อลดปริมาณ ฝุ่นละอองของประชาชนและผู้ประกอบการในภาคเกษตรกรรมยังมีน้อย อย่างไรก็ตาม จากการสารวจความคิดเห็นของประชาชนในการดาเนินการแก้ไขปัญหา ฝุ่นละอองจากการเผาในท่ีโล่งโดยสวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต พบว่า ประชาชนจากกลุ่มตัวอย่าง ร้อยละ ๑๖.๒๖ เห็นว่าฝุ่นละอองจากการเผาในที่โล่งเป็นสาเหตุของการเกิดฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM ๒.๕) ที่ควรได้รับการแก้ไขมากท่ีสุด โดยประชาชนจากกลุ่มตัวอย่างต้องการให้รัฐบาลดาเนินการแก้ไขปัญหา ฝุ่นควันจากการเผาท่ีโล่งด้วยการ ๑) ออกมาตรการช่วยเหลือเพ่ือไม่ให้เกษตรกรเผาไร่นา เช่น การสนับสนุน การรวมกลุ่มในการใช้เครื่องจักรแทนการเผา เป็นต้น ๒) ควรสร้างแรงจูงใจให้เกษตรกรเก็บเก่ียวอ้อยสด ด้วยการกาหนดราคารับซื้ออ้อยสดให้สูงกว่าราคารับซื้ออ้อยเผา ๓) สร้างทางเลือกให้แก่ชุมชนโดยส่งเสริม การปลูกไม้โตเร็วหรือพืชยืนต้นในพื้นที่สูงแทนการปลูกพืชเชิงเดี่ยว (ข้าวโพด) พร้อมหาตลาดรองรับ ใหก้ ับชมุ ชนในพน้ื ท่ี และ ๔) สนบั สนุนการใช้ประโยชนจ์ ากวสั ดุเหลอื ใช้ทางเกษตรแก่เกษตรกร

๑๒๙ ตารางที่ ๑๐ ผลการสารวจความคดิ เหน็ ของประชาชน เก่ยี วกบั การดาเนนิ การแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองจากการเผาในที่โลง่ ของรัฐบาล ประชาชนตอ้ งการให้รัฐบาลดาเนนิ การปญั หาฝนุ่ ละอองจากการเผาในที่โลง่ อยา่ งไร ท่ี การเผาท่โี ลง่ ภาพรวม เพศ พน้ื ที่ สถานภาพ (เปอร์เซ็นต)์ ชาย หญิง กรุงเทพฯ ต่างจังหวดั ประชาชน กลุ่มเสย่ี ง ๑ มมี าตรการชว่ ยเหลือเพือ่ ไม่ใหเ้ กษตรกรเผาไรน่ า ๒๙.๖๔ ๒๙.๓๒ ๒๗.๒๓ ๓๑.๕๕ ๒๙.๔๙ ๒๙.๔๔ เช่น สนบั สนุนการรวมกลุ่มในการใช้เครอ่ื งจักร ๒๙.๔๗ แทนการเผา ๒๗.๙๐ ๒๗.๘๔ ๒๘.๙๕ ๒๖.๘๗ ๒๖.๘๐ ๓๐.๒๒ ๒๗.๘๗ ๒ การสร้างแรงจูงใจใหเ้ กษตรกรเก็บเก่ยี วออ้ ยสด ๒๐.๕๑ ๒๒.๒๐ ๒๐.๘๕ ๒๑.๙๐ ๒๒.๕๖ ๑๘.๘๕ ด้วยการกาหนดราคารับซ้อื อ้อยสดให้สงู กว่าราคา ๒๑.๔๐ รบั ซอ้ื อ้อยเผา ๒๑.๙๕ ๒๐.๖๓ ๒๒.๙๘ ๑๙.๖๖ ๒๑.๑๕ ๒๑.๕๐ ๒๑.๒๖ ๓ สร้างทางเลอื กใหแ้ กช่ มุ ชนโดยส่งเสริมการปลูกไม้ โตเร็วหรอื พืชยืนตน้ ในพนื้ ทสี่ ูงแทนการปลกู พชื เชิงเดี่ยว (ขา้ วโพด) พรอ้ มหาตลาดรองรับให้กบั ชุมชนในพ้ืนท่ี ๔ สนับสนุนการใชป้ ระโยชนจ์ ากวัสดุเหลอื ใช้ ทางเกษตรแกเ่ กษตร ทมี่ า: สวนดุสิตโพล มหาวทิ ยาลยั สวนดุสิต ด้วยเหตุนี้ จึงควรมีการให้อานาจแก่ผู้ว่าราชการจังหวัดในการดาเนินการแก้ไขปัญหา ฝุ่นละอองในเขตพ้ืนท่ีของตนเอง ให้เกิดความรวดเร็วในการป้องกันและรับมือปัญหาฝุ่นละออง โดยอาจดาเนินการ จัดตั้งสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศให้เพียงพอในกลุ่มจังหวัดต่าง ๆ ไม่จาเป็นต้องจัดตั้งในทุกพื้นที่ แต่ควรจัด ให้มีบุคลากรที่มีศักยภาพในการใช้และวิเคราะห์ข้อมูลปริมาณฝุ่นละอองจากสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศ ท่ีอยู่ใกล้เคียง รวมถึงข้อมูลดาวเทียมจากหน่วยงานส่วนกลางซ่ึงบ่งบอกถึงจุดความร้อนสะสม และพ้ืนท่ีเผาไหม้ ที่ทันต่อเหตุการณ์ เพ่ือประกอบการพิจารณาจัดทาแผนการดาเนินการแก้ไขปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ควบคู่กับการส่งเสริมให้เกษตรกรใช้ประโยชน์จากวัสดุเหลือท้ิงทางการเกษตร และสนับสนุนทางเลือก ในการทาเกษตรกรรมอื่น ๆ ในพ้ืนท่ีสูงท่ีไม่จาเป็นต้องอาศัยการเผาในช่วงเตรียมการปลูกและการเก็บเก่ียว เพอ่ื ลดแหล่งกาเนิดของฝนุ่ ละออง ๓.๓.๒) ผลการพจิ ารณา ขอ้ เสนอแนะการแก้ไขปญั หาฝุน่ ละอองขนาดเลก็ จากการเผาในทโ่ี ลง่ ภาคเกษตรกรรม การใช้กฎหมายหา้ มเผาไม่สามารถแก้ไขปัญหาการเผาในทีโ่ ล่งภาคเกษตรกรรมไดใ้ นระยะยาว อย่างยั่งยืน จึงจาเป็นต้องมีการบูรณาการกระบวนการแก้ไขปัญหาท่ีจะส่งผลให้เกิดผลกระทบจากการเผา ในท่ีโล่งน้อยท่ีสุด โดยเฉพาะการส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากชีวมวลที่เป็นสาเหตุหลักของการเผา ซึ่งต้องคานึงถึงหลายภาคส่วนตลอดห่วงโซ่การผลิต ต้ังแต่เกษตรกร ผู้รับซื้อผลผลิตทางการเกษตร โรงงานแปรรูปอาหาร และผู้บริโภค และมีการขับเคล่ือนพร้อมกันทุกภาคส่วน ได้แก่ การจัดทาข้อมูล เพื่อระบุพื้นท่ีเผา การควบคุมการเผาอย่างมีประสิทธิภาพในกรณีพ้ืนที่จาเป็นเฉพาะ การเพิ่มศักยภาพ พร้อมกับสนับสนุนระบบโครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะสมให้กับชุมชนเพื่อจัดการชีวมวลจากการเพาะปลูก ได้อย่างถูกวิธี พิจารณาความเหมาะสมของพ้ืนท่ีและศักยภาพของเกษตรกรเพื่อส่งเสริมเกษตรท่ีไม่เผา และการรณรงค์พรอ้ มกบั การสร้างระบบเพ่ือใหเ้ กดิ การบรโิ ภคทเ่ี ปน็ มิตรตอ่ ส่งิ แวดล้อม

๑๓๐ ขอ้ เสนอแนะระยะสน้ั (๑ - ๓ ปี) ๑) ลดปริมาณฝุ่นขนาดเล็กจากการเผาชีวมวลลงทันที ด้วยการบริหารจัดการการเผา โดยให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นศูนย์กลางในการกาหนดนโยบาย ผ่านการจัดระเบียบการชิงเผาในท้องถิ่น กาหนดมาตรการควบคุมการเผาป้องกันการลุกลาม จัดทาปฏิทินวันชิงเผาที่สัมพันธ์กับสภาพอากาศ เพื่อลดการสะสมของฝุ่นละอองขนาดเล็ก ผ่านการใช้เทคโนโลยีการพยากรณ์และการคาดการณ์ฝุ่นควัน ด้วยระบบคอมพิวเตอร์ และ/หรือ กาหนดให้ต้องมีการขออนุญาตก่อนการเผาในท่ีโล่ง และควรกาหนดโทษ หากดาเนนิ การโดยไมไ่ ดร้ บั อนุญาตจากราชการสว่ นทอ้ งถน่ิ ๒) พิจารณาจัดตั้งศูนย์อานวยการวางแผนการชิงเผาพื้นท่ีเกษตร เพื่อทาหน้าที่ในการ วางแผนการบริหารจัดการการเผาในพ้ืนท่ีเกษตร พัฒนาระบบการรายงานสถานการณ์ฝุ่นท่ีเหมาะสม ในระดับท้องถิ่นทั่วประเทศ รวมถึงระบบการนาเสนอข้อมูลให้ผู้ว่าราชการจังหวัดใช้ประกอบการกาหนด นโยบายเพอ่ื บริหารจัดการการชงิ เผาและจัดการเศษวสั ดุเหลอื ใชท้ างการเกษตร ๓) พิจารณาให้หน่วยงานท่ีเก่ียวข้องจัดทาข้อมูล Hotspot และ Burn scar โดยจาแนก ตามประเภทเกษตรกรรมเพ่อื วเิ คราะห์ตน้ เหตแุ ละเพ่ือใช้ในการวางแผนแก้ไขปญั หาอย่างมปี ระสิทธภิ าพสงู สดุ ๔) ส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากวัสดุเหลือท้ิงทางการเกษตรด้วยเทคโนโลยีอย่างง่าย ได้แก่ การแปรรูปชีวมวลให้เป็นพลังงานและผลพลอยได้ (เช่น ชีวมวลอัดแท่ง ถ่านอัดแท่งไร้ควัน และน้าส้มควันไม้) การอัดก้อนฟางข้าว ต้นข้าวโพด ใบอ้อย เพ่ือขาย หรือการไถกลบทาให้ชีวมวลเป็นปุ๋ย พร้อมท้ังสนับสนุน การจัดหาเครื่องมือหรืออุปกรณ์ท่ีเหมาะสม เช่น รถไถ เครื่องอัดก้อนฟาง เตาเผาถ่าน ๒๐๐ ลิตร เป็นต้น เพ่ือให้องคก์ รปกครองส่วนทอ้ งถ่ินมีไว้บริการประชาชน ๕) ส่งเสริมการใช้เครื่องจักรทั้งการเก็บเกี่ยวและการรวบรวมชีวมวลในไร่อ้อย โดยสารวจ ความต้องการใช้รถเก็บเก่ียวในแต่ละพื้นที่ สนับสนุนการปรับแปลงให้เหมาะสมกับการใช้เครื่องจักรเก็บเก่ียว และสนับสนุนและเร่งรัดการให้เงินกู้ดอกเบ้ียต่าแก่โรงงานหรือกลุ่มเกษตรกร ผ่านธนาคารเพื่อการเกษตร และสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีการนาเข้า ในการซ้ือเคร่ืองจักรเพ่ือการเกษตร ผ่านสานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เพ่ือให้เกษตรกรสามารถเข้าถึงเคร่ืองจักรได้ง่าย ในราคาท่ีเหมาะสม ๖) ส่งเสริมการปลูกพืชทางเลือกท่ีไม่มีการเผาในช่วงเตรียมการปลูกและการเก็บเก่ียว โดยคานงึ ถงึ ความเหมาะสมของพ้นื ท่ีและจงู ใจดว้ ยราคาผลผลติ ๗) สนบั สนุนการทาเกษตรกรรมอินทรยี ์ เพอื่ ลดการเผาเศษวัสดเุ หลอื ท้งิ ทางเกษตร ๘) ปรบั ปรงุ กฎหมายให้โรงงานนา้ ตาลมสี ทิ ธิปฏเิ สธการรับซือ้ ออ้ ยไฟไหม้ ขอ้ เสนอแนะระยะกลาง (๓ - ๕ ป)ี ๑) ขยายผลการใชเ้ ครื่องจักรทั้งการเก็บเกี่ยวและการรวบรวมชวี มวลในไร่อ้อย ให้ครอบคลุม ความต้องการใช้รถเก็บเกี่ยวในแต่ละพื้นที่ ขยายผลการปรับแปลงให้เหมาะสมกับการใช้เครื่องจักรเก็บเก่ียว ตดิ ตามและปรับปรุงการให้เงินก้ดู อกเบีย้ ต่า และยกเวน้ ภาษมี ลู คา่ เพ่ิม ภาษกี ารนาเขา้ ๒) จัดทาแผนท่ีชีวมวลในระดับท้องถ่ิน พร้อมทั้งระบุจุดรับซ้ือประเภทต่าง ๆ ท่ีอยู่ในพื้นท่ี เช่น โรงไฟฟ้าชุมชน โรงปูนซีเมนต์ โรงอัดเม็ดเช้ือเพลิงชีวมวล สถานท่ีรับซื้อฟางอัดก้อน เป็นต้น เพ่ือเป็นข้อมูล ให้ผ้ปู ระกอบการตัดสนิ ใจการลงทนุ ดาเนนิ ธุรกิจดา้ นการใชป้ ระโยชนจ์ ากชีวมวล

๑๓๑ ๓) สนับสนุนการบริหารจัดการพื้นท่ีเกษตรกรรมของประเทศ (Zoning) เพื่อส่งเสริม การทาเกษตรท่ีเหมาะสมกับพื้นที่และตรงตามความต้องการของตลาด รวมทั้งความเหมาะสมกับการจัดการ ลดการเผา ๔) กาหนดบทลงโทษตามหลักการผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย (Polluter Pays Principle : PPP) กรณีท่ีมีการส่งเสริมตามข้อเสนอแนะในระยะส้ันแล้ว แต่ยังมีการเผาท่ีผิดไปจากระเบียบการเผา ในข้อเสนอแนะระยะสั้นข้อ ๑ ขอ้ เสนอแนะระยะยาว (๕ - ๑๐ ป)ี ๑) ออกมาตรการเพ่ิมเติมในสนับสนุนการรวมกลุ่มเกษตรกร เป็นสหกรณ์ หรือวิสาหกิจ ชุมชน เพื่อให้เกิดการระดมทุน และร่วมกันใช้เครื่องจักรแทนการเผาไร่อ้อย โดยให้มีการรวมกลุ่มชาวไร่ รายย่อยเป็นสหกรณ์หรือวิสาหกิจชุมชนท่ีถือหุ้นโดย ภาครัฐ (เช่น สอน.) สมาคมชาวไร่อ้อย โรงงาน เพ่ือให้ การรว่ มกลมุ่ มคี วามเปน็ กลาง และสามารถมมี อื อาชีพมาบริหารได้อยา่ งมีประสิทธภิ าพ ๒) สนับสนุนการค้นคว้าวิจัยการพัฒนาเครื่องจักรการเกษตรเพ่ือยกระดับการใช้เคร่ืองจักร ในอตุ สาหกรรมเกษตรดว้ ยฝีมือคนไทย และการทาเกษตรในพ้ืนท่ีสูง ๓) สนับสนุนให้เกิดสถานีพลังงานชุมชนเพื่อเป็นศูนย์ในการแปรรูปวัสดุเหลือใช้ ทางการเกษตร เป็นพลังงาน นาไปใช้ในครัวเรือนหรือประกอบกิจการเพื่อลดต้นทุน สร้างโอกาสในการแข่งขัน ซ่งึ โครงการภายใต้สถานีพลังงานชุมชนควรมกี ารบริหารจัดการพลังงานอยา่ งครบวงจรภายใน ๓ มติ ิ คอื ๓.๑) การเตรียมความพรอ้ ม การจัดหาวตั ถดุ บิ สร้างแหล่งพลงั งานทางเลอื กท่หี ลากหลาย ๓.๒) มีการจดั การแปรรปู ผลผลติ และการแปรรปู ผลิตภณั ฑอ์ ย่างมีประสิทธภิ าพ ๓.๓) บริการการจัดเกบ็ /ขนสง่ /สง่ มอบสนิ คา้ สู่ผู้บริโภค หรอื การจดั การของเสียท่ีเกิดจาก การผลิต หรอื การนาของเสียมาบริหารจัดการให้เกิดประโยชน์ ๔) ผลักดันมาตรฐานและตลาดสินค้าเกษตรเพ่ือเพิ่มแรงจูงใจให้โรงงาน ผู้ผลิต และผู้บริโภค หันมาสนใจแหล่งที่มาของวัตถุดิบทางเกษตร พร้อมส่งเสริมองค์ความรู้ให้แก่เกษตรกรสามารถเข้าเกณฑ์ รบั มาตรฐานได้ ดงั นี้ ๔.๑) ให้มีฉลากสินค้าเกษตรที่ไม่มีการเผาเพ่ือเป็นทางเลือกให้แก่ผู้บริโภคและสร้าง ความตระหนักตอ่ ผบู้ รโิ ภคในการสนบั สนนุ สินคา้ ทม่ี าจากการทาเกษตรที่ดี ๔.๒) ให้มีระบบสอบกลับท่ีเป็นสากล เช่น มาตรฐานการผลิตอ้อยและน้าตาลอย่างย่ังยืน BONSUCRO (บองซูโคร) และมาตรฐานเกษตรอินทรีย์แห่งประเทศไทย (มกท.) ครอบคลุมตลอดห่วงโซ่ ของการผลติ อ้อยและนา้ ตาลโดยตอ้ งมีระบบทสี่ ามารถตรวจสอบย้อนกลบั ไดต้ ้ังแตต่ ้นจนจบกระบวนการ ๕) ให้ภาครัฐให้การสนับสนุนช่วยเหลือด้านราคาเพิ่มเติมจากระเบียบคณะกรรมการกากับ กิจการพลังงานว่าด้วยการจัดหาไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมาก โครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจ ฐานราก พ.ศ.๒๕๖๓ สาหรับโรงไฟฟ้าชุมชนที่มีการรับซื้อวัสดุเหลือทิ้งทางเกษตรที่มีปัญหาการเผาในไร่ ก่อให้เกิดมลพิษ เน่ืองจากปัจจุบันเป็นการรับซ้ือไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าชุมชนในระบบ Feed-in Tariff (FiT) ซ่ึงเป็นอัตราการรับซื้อไฟฟ้าคงที่ตลอดอายุโครงการ (๒๐ ปี) เป็นอุปสรรคต่อโรงไฟฟ้าท่ีรับซ้ือชีวมวล เหลือทิ้งในการเกษตรซ่ึงมีค่าใช้จ่ายในการเก็บรวบรวมสูง จึงทาให้มีต้นทุนที่สูง มากกว่า ๑,๐๐๐ บาทต่อตัน และหากเผชิญกับความผันผวนของราคาวัตถุดิบที่สูงข้ึนอีก ผู้ประกอบการพลังงานทางเลือกโดยเฉพาะ ผู้ประกอบการขนาดเล็กอาจไม่สามารถอยู่รอดได้ ทั้งนี้การเพิ่มเติมด้านราคาควรจะเพิ่มเติมเฉพาะส่วน ของชีวมวลที่มีการเผาเท่านั้น ซ่ึงไดแ้ ก่ ชวี มวลจากแปลงข้าว ขา้ วโพด และอ้อย เพือ่ เพ่มิ แรงจูงใจในการรับซ้ือ ชวี มวลดงั กล่าว

๑๓๒ ๖) จัดต้ังระบบติดตาม (Traceability) ตรวจสอบท่ีมาของผลผลิตผ่านการจัดการของโรงงาน โรงสี ในกลุ่มเกษตรกรปลูกข้าวและข้าวโพด โดยให้องค์กรเอกชนหรือหน่วยงานท้องถ่ินติดตามและให้คาแนะนา เพ่ือไม่ให้เกิดการเผาในแปลงเกษตรเหมือนที่เกิดข้ึนกับอุตสาหกรรมอ้อย ซ่ึงมีรายงานผลผลิตการเกษตร ทเ่ี ผาและไมเ่ ผารายโรงงาน ๗) สนบั สนุนให้มีการเก็บภาษีสิ่งแวดล้อมสาหรับสินคา้ ท่ีก่อให้เกดิ ปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM ๒.๕) ๘) ควรพิจารณากฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับด้านสิ่งแวดล้อมให้ครอบคลุมตลอดห่วงโซ่ อุปทาน เน่ืองจากปัจจุบันกฎหมายส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปที่การจัดการปลายเหตุ ไม่ได้คานึงถึงการควบคุม การจัดการ ตั้งแต่แปลงปลูกเพ่ือเพ่ิมประสิทธิภาพในการผลิต ให้สอดคล้องกับแนวทางการจัดการลด การเผาไหมใ้ นแปลงเกษตร จงึ อาจทาให้กระบวนการไม่สัมฤทธิ์ผลอยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ ๓.๔ ไฟป่า ๓.๔.๑) ปัญหาฝ่นุ ละอองขนาดเลก็ จากไฟปา่ ปัจจุบัน ไฟป่าเป็นปัญหาท่ีเกิดข้ึนอย่างต่อเนื่องและทวีความรุนแรงมากข้ึนทุกปี เม่ือพิจารณา จากข้อมูลจุดความร้อนจาแนกตามพื้นท่ีทั่วประเทศปี พ.ศ. ๒๕๖๐ – ๒๕๖๒ ของสานักงานพัฒนาเทคโนโลยี อวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) พบว่าพื้นท่ีป่ามีสัดส่วนจุดความร้อนสูงสุดในแหล่งกาเนิด จุดความร้อนท่ัวประเทศ โดยปัญหาไฟป่าเป็นปัญหาที่พบมากในภาคเหนือของประเทศ ซึ่งมีลักษณะภูมิประเทศ เป็นภูเขาและแอ่งกระทะ ความกดอากาศสูงท่ีแผ่ปกคลุมพ้ืนที่ภาคเหนือตอนบนในช่วงกุมภาพันธ์ถึงเมษายน ทาให้อากาศจมตัวลงและเกิดการอัดตัวกันปิดกั้นการระบายฝุ่นควันที่เกิดจากไฟป่า ส่งผลต่อคุณภาพอากาศ ในท้องถนิ่ ซ่ึงมีผลโดยตรงต่อสุขภาพของประชาชน การทอ่ งเทย่ี ว และเศรษฐกจิ ทอ้ งถิน่ ภาพท่ี ๙ ขอ้ มลู จดุ ความร้อนจาแนกตามพนื้ ที่ทั่วประเทศปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - ๒๕๖๒ ทม่ี า: สานักงานเทคโนโลยอี วกาศและภมู ิศาสตร์สารสนเทศ (องค์การมหาชน) ๒๕๖๒

๑๓๓ ภาพท่ี ๑๐ แผนภูมเิ ปรยี บเทียบจุดความร้อนสะสม ๙ จงั หวัดภาคเหนือ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ - ๒๕๖๒ ทมี่ า: สานกั งานเทคโนโลยีอวกาศและภูมิศาสตรส์ ารสนเทศ (องค์การมหาชน) ๒๕๖๒ นอกจากน้ี ไฟป่าที่เกิดขึ้นอย่างต่อเน่ืองยังส่งผลโดยตรงต่อปริมาณก๊าซเรือนกระจก ในช้ันบรรยากาศ ส่งผลต่อภาวะโลกร้อน และความสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติอย่างร้ายแรง ไฟจะเปล่ียนแปลงโครงสร้างของสังคมพืช ทาลายกล้าไม้ เม่ือขาดการทดแทนของไม้อายุน้อย ป่าก็เสื่อมโทรมลง สัตว์ป่าขาดที่อยู่อาศัยและแหล่งอาหาร สูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ ดินขาดความอุดมสมบูรณ์ ไมส่ ามารถกักเก็บน้า กอ่ ให้เกดิ ปญั หานา้ ทว่ มดนิ ถล่มได้ รายงานส่วนที่ ๔ นี้เน้นการพิจารณาสาเหตุของการเกิดไฟป่า ๒ ส่วนหลัก ได้แก่ ปัจจัยก่อนเกิดไฟป่า และปัจจยั ทีไ่ ฟป่าขยายวงกวา้ งทวีความรุนแรงมากข้ึนเมอื่ เกดิ ไฟป่าแล้ว สว่ นท่ี ๑ ก่อนเกดิ ไฟป่า รายงานยุทธศาสตร์/มาตรการการแก้ไขปัญหาไฟป่าปี พ.ศ. ๒๕๖๐ โดยกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธ์ุพืช พบว่าไฟป่าที่เกิดข้ึนในประเทศไทยมีสาเหตุหลักมาจากการกระทาของมนุษย์ ซึง่ เปน็ สาเหตุท่ีป้องกันได้ โดยสาเหตุหลกั ของการเกิดไฟป่า ไดแ้ ก่ การหาของป่า สาเหตุรอง ได้แก่ การลา่ สัตว์ การเผาไร่ และสาเหตุอ่ืน เช่น ความขัดแย้งในพ้ืนที่ การลักลอบตัดไม้ ความประมาทและอุบัติเหตุ การเล้ียงสัตว์ และนกั ท่องเทย่ี ว เปน็ ต้น

๑๓๔ ภาพที่ ๑๑ แผนภูมเิ ปรยี บเทียบสาเหตกุ ารเกดิ ไฟป่าทว่ั ประเทศไทย ปงี บประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ - ๒๕๕๙ ท่มี า: รายงานยุทธศาสตร์/มาตรการการแกไ้ ขปัญหาไฟปา่ ปี ๒๕๖๐ โดยกรมอทุ ยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพนั ธ์พุ ืช จากการให้ข้อมูลแก่คณะกรรมาธิการ โดยหนว่ ยงานภาครฐั ที่เกี่ยวข้อง เครือขา่ ยภาคประชาชน ผู้แทนจากชุมชนในเขตป่าอนุรักษ์และป่าสงวน และนักวิชาการ พบว่าสาเหตุของปัญหาไฟป่าในเขตอนุรักษ์ และปา่ สงวนกอ่ นเกิดไฟปา่ สามารถสรุปได้ ดงั นี้ ๑) สิทธใิ นทที่ ากนิ ของชมุ ชน และการบังคับใชก้ ฎหมายทีเ่ กี่ยวข้อง ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาสาเหตุของไฟป่าส่วนหน่ึงที่มักถูกอ้างถึงอยู่บ่อยครั้ง คือ การลาม ของไฟจากการเผาในพนื้ ที่ทากินของชุมชนท่ีอาศัยอยู่ในเขตพื้นท่ีอนุรักษเ์ ขา้ สู่พื้นที่อนุรักษ์ และความไม่ชัดเจน ของแผนที่ขอบเขตของชุมชน โดยภาครัฐมีความพยายามท่ีจะแก้ไขและติดตามมาอย่างต่อเน่ือง แตด่ ว้ ยข้อจากัดของทรพั ยากรตา่ ง ๆ ทาให้การดาเนนิ การไมเ่ ปน็ ไปตามกรอบระยะเวลาท่ีกาหนด กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธ์ุพืช ได้ประมาณการจานวนชุมชนท่ีอาศัยอยู่ ในเขตอุทยานท่วั ประเทศที่ต้องดาเนินการสารวจรวม ๓,๙๗๓ ชุมชน ครอบคลุมประชากร ๒ ลา้ นคนและพื้นที่ ๔.๗ ล้านไร่ หน่วยงานภาครัฐท่ีเกี่ยวข้องกาลังอยู่ระหว่างการดาเนินการสารวจการถือครองท่ีดินร่วมกับชมุ ชน เพ่ือกันพ้ืนท่ีถือครองดังกล่าวออกจากเขตป่าอนุรักษ์ คาดว่าเมื่อจัดทาระบบขอบเขตแผนที่ท่ีชัดเจนแล้วเสร็จ จะช่วยลดความขัดแย้งกับชุมชน รวมถึงส่งเสริมการร่วมกันจัดหาแนวทางในก ารบริหารจัดการพ้ืนท่ี ที่มีความเหมาะสมกับบริบทในพ้ืนที่ ผ่านการใช้กฎหมายที่เก่ียวข้องและมีบทบาทสาคัญในการมีส่วนร่วม ของชุมชนในการลดความขัดแย้งระหว่างภาครัฐกับชุมชน ได้แก่ พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๖๒ มาตรา ๘ ซ่ึงมีการกาหนดเงื่อนไขต่าง ๆ ประกอบไปด้วย การกาหนดขอบเขตพ้ืนที่ของอุทยานแห่งชาติ ให้มีแผนที่แสดงแนวเขตตามระบบสารสนเทศ และให้มีการรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเพ่ือประกอบการพิจารณาในการกาหนดพ้ืนที่ขยาย เพ่ิมเติมหรือการเพิกถอนพื้นท่ีอุทยานแห่งชาติ และมาตรา ๑๘ ซ่ึงกาหนดเงื่อนไขการบริหารจัดการ พื้นที่อุทยานแห่งชาติให้ไปเป็นไปเพ่ือประโยชน์ในการคุ้มครองพ้ืนที่อุทยานแห่งชาติ ประกอบไปด้วยวิธีการ ดาเนินการแนวทางการจดั การและการกากบั การดูแลการใช้พื้นที่ การดาเนนิ การตามมาตรา ๘ และ ๑๘ ดังกล่าวจะทาให้เกดิ ความชัดเจนในการแบ่งเขตพื้นท่ี ทากิน และเขตพ้ืนที่อนุรักษ์ การรับฟังความเห็นของประชาชนท่ีมีส่วนเก่ียวข้องจะช่วยลดความขัดแย้ง

๑๓๕ ระหว่างชุมชนกับภาครัฐ ทาให้เกิดพันธมิตรในการดูแลพื้นท่ีป่าอนุรักษ์ และเกิดแนวทางการบริหารจัดการ พ้นื ทปี่ ่าอนรุ กั ษร์ ว่ มกนั ระหว่างภาครัฐและชมุ ชน ๒) การเผาไร่และการทาการเกษตรในพน้ื ทป่ี ่า ชุมชนในเขตพ้ืนท่ีใกล้เคียงพ้ืนที่ป่าหลายชุมชนจาเป็นต้องพ่ึงพาการปลูกพืชเชิงเดี่ยว ระยะสั้น ซ่ึงได้ผลผลิตและรายได้รวดเร็ว เน่ืองจากข้อจากัดด้านเศรษฐกิจและปัญหาปากท้อง การขาดแคลน เงินทุนในการเพาะปลูก และการขาดการถือครองท่ีดินในระยะยาว เม่ือมีเศษวัสดุเหลือทางการเกษตร เกษตรกรในชุมชนบางรายจัดการเศษวัสดุเหลือทางการเกษตรด้วยการเผา เนื่องจากเป็นทางเลือกที่รวดเร็ว และมีตน้ ทนุ ที่ตา่ กว่าการใช้แรงงานหรือเครื่องจักรขนาดใหญ่ อย่างไรก็ดี เกษตรกรทเ่ี พาะปลูกในบริเวณใกล้ป่า ซึ่งไม่สามารถควบคุมการเผาได้อาจทาให้เกิดการลุกลามของไฟจากไร่เข้าสู่พื้นท่ีป่าเกิดเป็นไฟป่าขนาดใหญ่ นอกจากนี้ มาตรการห้ามเผา ๖๐ วันของภาครัฐ ท่ีไม่สัมพันธ์กับข้อมูลสภาวะอากาศทางอุตุนิยมวิทยา ยังอาจสร้างแรงจูงใจให้ชาวบ้านชิงเผาซากพืชที่ยังไม่แห้งสนิทในช่วงก่อนระยะห้ามเผาซึ่งก่อให้เกิดควัน มากกว่าการเผาซากพชื ทีแ่ ห้งสนทิ แลว้ นอกจากน้ี ปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดจาก การท่ีเกษตรกรแผ้วถางป่าเพิ่มเติมเพื่อขยายพื้นท่ีทากิน เช่น การแผ้วถางป่าในภาคเหนือเพื่อปลูกพืชเชิงเดย่ี ว และการเปลยี่ นสภาพพื้นทป่ี ่าพรุในภาคใตเ้ ป็นพน้ื ที่ปลูกปาล์มน้ามัน ภาพท่ี ๑๒ ภาพไฟไหมป้ ่าพรุควนเคร็ง ตาบลการะเกด อาเภอเชยี รใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช ปี พ.ศ. ๒๕๖๒ ภาพ: ในปี พ.ศ. ๒๕๖๒ ป่าพรุควนเคร็ง ตาบลการะเกด อาเภอเชียรใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช เกิดไฟไหม้ติดต่อกันกินเวลานาน ๑ เดือน เพราะแม้จะดับแล้วยังมีโอกาสปะทุข้ึนมาได้อีก หลังจากเกิดไฟป่าทาให้ป่าพรุที่สิ้นสภาพพ้ืนท่ีชุ่มน้าตามธรรมชาติไปอย่างส้ินเชิง และมีความเสยี หายประมาณ ๑๕,๐๐๐ ไร่ (ภาพขา่ วไทยโพสต์) ปั ญ ห า ดั ง ก ล่ า ว เ ป็น ปัญ หา ท่ี ก่ อ ใ ห้เ กิ ดค ว าม ขั ด แย้ ง อ ย่า ง รุน แร ง ระ ห ว่าง เ จ้า หน้ าที่รัฐ และชุมชนในหลายพ้ืนที่ ในขณะท่ีชุมชนต้ังถ่ินฐานและทามาหากินในพ้ืนท่ีป่า เจ้าหน้าท่ีรัฐมีบทบาท ในการบังคับใช้กฎหมาย ควบคุมการกระทาผิดในพ้ืนที่ ความขัดแย้งดังกล่าวส่งผลโดยตรงต่อการสื่อสาร ระหว่างเจา้ หน้าทรี่ ัฐและชมุ ชนและความร่วมมือในการควบคุมไฟปา่ ในพ้ืนที่

๑๓๖ ส่วนท่ี ๒ เมอ่ื เกิดไฟป่า จากการศึกษาอัตราการลุกลามของไฟป่า (Junpen, A., Garivait, S., & Bonnet, S., ๒๐๑๓) พบว่าเมอ่ื เกดิ ไฟปา่ ไฟจะลกุ ลามในทุกทิศทางและทวคี วามรุนแรงไดอ้ ย่างรวดเร็ว หากไม่สามารถควบคุมไฟป่า ๑ จดุ ไดใ้ นทันที ไฟจะสามารถลุกลามเป็นไฟปา่ กินพ้ืนที่ ๑,๐๐๐ – ๒๖,๐๐๐ ไร่ ไดภ้ ายในระยะเวลา ๑ วัน จากการให้ข้อมูลแก่คณะกรรมาธิการ โดยหน่วยงานภาครัฐท่ีเกี่ยวข้อง เครือข่าย ภาคประชาชน ผแู้ ทนจากชุมชนในเขตป่าอนุรกั ษแ์ ละปา่ สงวน และนกั วิชาการ คณะกรรมาธกิ ารพบวา่ ปัจจุบัน การจัดการไฟป่าโดยภาครัฐยังขาดการประสานงานความร่วมมือกันจากทุกภาคส่วน และขาดการมีส่วนรวม ของชมุ ชนทอี่ ยูบ่ ริเวณพื้นที่ป่าใกลเ้ คยี ง ระบบการแจง้ สถานการณแ์ ละรายงานความคืบหน้าไมท่ นั ต่อเหตุการณ์ แม้จะมีการใช้ดาวเทียมช่วยแจ้งเตือนสถานการณ์ แต่ระบบจากภาพถ่ายดาวเทียมจะรายงานเม่ือเกิดไฟป่า เป็นบริเวณกว้างพอที่ดาวเทียมจะตรวจจับได้ ซึ่งล่าช้ากว่าความเป็นจริง อีกทั้งระบบการกระจายข่าว และแจ้งเตือนไปยังหน่วยงานต่าง ๆ หรือระดับปฏิบัติงานยังขาดประสิทธิภาพในการติดตามสถานการณ์ การทางานรายพ้ืนที่ และขาดระบบสื่อสารบัญชาการ การบริหารจัดการไฟป่าโดยส่วนใหญ่เป็นการส่ือสาร และประสานงานผ่านแอปพลิเคชันไลน์เท่านั้น ทาให้ไม่สามารถจัดระเบียบข้อมูล ประมวลผล และแก้ไข สถานการณ์ได้ทันท่วงที นอกจากน้ี เจ้าหน้าท่ีดับไฟป่าและชุมชนในบริเวณใกล้เขตป่าหลายพ้ืนท่ี ยังขาดแคลนอุปกรณ์ เคร่ืองมือที่มีประสิทธิภาพและบุคลากร ผู้ชานาญการในการต่อสู้กับไฟป่า ชุมชนขาดทักษะในการดับไฟป่า ทาให้เกิดความอันตรายและความเส่ียงเม่ือปฏิบัติหน้าที่สูง ภาพท่ี ๑๓ จุดความรอ้ นในพ้ืนทีเ่ ขตรกั ษาพันธุ์สตั วป์ า่ ห้วยขาแข้ง ภาพ: จดุ ความร้อนจาก Fire Information for Resources Management System (FIRMS) ในพ้นื ทีเ่ ขตรักษาพนั ธ์สุ ัตว์ป่าหว้ ยขาแขง้ ท่แี สดงใหเ้ ห็นถงึ จุดกาเนดิ ไฟปา่ เพยี งไม่กีไ่ ร่ แตข่ าดการจัดการทดี่ ีทาให้ไฟลามและขยายพืน้ ที่กว่า ๒๐๐,๐๐๐ ไร่

๑๓๗ ภาพท่ี ๑๔ ไฟป่าในพ้นื ทลี่ าดชัน ภาพ: ไฟปา่ ในพื้นทลี่ าดชนั ยากตอ่ การปฏบิ ัตติ งิ านของเจา้ หนา้ ทแี่ ละลุกลามอย่างรวดเร็ว ภาพที่ ๑๕ ไฟป่าดอยสุเทพใกลต้ ัวเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ภาพ: ไฟป่าดอยสเุ ทพใกลต้ วั เมอื ง จงั หวดั เชียงใหม่ ถ่ายโดยวรี เดช ทองสวุ รรณ

๑๓๘ ภาพที่ ๑๖ ภาพผู้ท่ีประสบอุบตั ิเหตุเสียชวี ติ ระหวา่ งดับไฟปา่ ภาพ: ชาวบ้านชว่ ยกนั แบกรา่ งของผ้ทู ป่ี ระสบอบุ ตั เิ หตเุ สียชีวิตระหว่างดับไฟป่า จากการสารวจความคิดเห็นของประชาชนในการดาเนินการแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง โดยสวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต พบว่าประชาชนจากกลุ่มตัวอย่างร้อยละ ๑๘.๖๒ มีความเห็นว่าการเผาไหม้ในเขตป่า เปน็ เปน็ สาเหตุของการเกิดฝ่นุ ละอองขนาดเล็ก (PM ๒.๕) ที่ควรได้รับแก้ไขมากท่สี ุด โดยประชาชนจากกลุ่มตัวอย่าง ต้องการให้รัฐบาลดาเนินการแก้ไขปัญหาฝุ่นควันจากไฟป่า ดังนี้ ๑) ออกมาตรการสนับสนุนและป้องกันไม่ให้ เกิดไฟป่า ๒) กาหนดพ้ืนที่ทากิน การใช้ประโยชน์ของชุมชน และพ้ืนที่อนุรักษ์ให้ชัดเจน เร่งแก้ไขสิทธิ ในท่ีทากินของชุมชนที่อาศัยอยู่ในเขตพื้นที่ป่าประเภทต่าง ๆ สร้างหลักประกันในการดารงชีวิต ๓) จัดสรร ทรัพยากรและงบประมาณอย่างเหมาะสมให้กับหน่วยงานปฏิบัติงานและชุมชน ๔) กระจายอานาจให้ชุมชน มีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหากาหนดให้องค์กรบริหารส่วนท้องถ่ิน และชุมชนเป็นผู้ช่วยเจ้าพนักงาน อุดหนุน เครือข่ายชุมชนดูแลป่า ๕) ใช้เทคโนโลยีในการควบคุมไฟป่า (near real - time management) และมีศูนย์กลางข้อมูล ในการแกไ้ ข และ ๖) ร่วมพัฒนาและสง่ เสรมิ กลไกลดก๊าซเรือนกระจกภาคปา่ ไม้

๑๓๙ ตารางที่ ๑๑ ผลการสารวจความคดิ เหน็ ของประชาชนเกี่ยวกับการดาเนินการแก้ไข ปญั หาฝุ่นละอองจากไฟปา่ ของรฐั บาล ประชาชนต้องการใหร้ ัฐบาลดาเนินการแกไ้ ขปัญหาฝนุ่ ละอองจากไฟป่าอยา่ งไร ท่ี ไฟป่า ภาพรวม เพศ พ้นื ท่ี สถานภาพ (เปอร์เซน็ ต)์ ชาย หญงิ กรงุ เทพฯ ตา่ งจังหวดั ประชาชน กลุ่มเส่ียง ๒๕.๖๐ ๒๔.๖๕ ๒๔.๒๘ ๒๕.๙๐ ๒๔.๗๕ ๒๕.๙๙ ๑ มีมาตรการสนบั สนุนและปอ้ งกนั ไม่ให้เกิดไฟป่า ๒๕.๑๐ ๑๘.๖๐ ๑๘.๕๘ ๑๗.๙๐ ๑๙.๒๕ ๑๘.๔๓ ๑๙.๐๐ ๒ กาหนดพนื้ ท่ที ากนิ การใช้ประโยชน์ของชุมชน ๑๘.๕๙ ๑๗.๐๑ ๑๕.๖๕ และพื้นท่อี นรุ กั ษ์ใหช้ ดั เจน เรง่ แก้ไขสิทธิ ๑๗.๑๒ ๑๕.๕๒ ๑๕.๙๑ ๑๗.๒๘ ในท่ีทากินของชุมชนทีอ่ าศยั อยู่ในเขตพน้ื ท่ี ๑๕.๕๘ ๑๕.๘๗ ๑๕.๔๑ ๑๖.๐๔ ๑๕.๗๕ ๑๕.๗๐ ปา่ ประเภทตา่ งๆ สรา้ งหลกั ประกันในการดารงชวี ติ ๑๓.๓๕ ๑๕.๐๐ ๙.๘๖ ๑๐.๒๔ ๓ จัดสรรทรัพยากรและงบประมาณอยา่ งเหมาะสม ๑๖.๓๐ ให้กับหน่วยงานปฏิบตั งิ านและชมุ ชน ๔ กระจายอานาจใหช้ มุ ชนมสี ว่ นร่วมในการแก้ไข ปญั หากาหนดให้องค์กรบริหารส่วนท้องถ่นิ ๑๕.๗๓ และชมุ ชนเปน็ ผู้ชว่ ยเจ้าพนกั งาน อดุ หนุน เครอื ขา่ ยชมุ ชนดแู ลป่า ๕ ใช้เทคโนโลยใี นการควบคมุ ไฟปา่ ๑๔.๒๑ ๑๔.๗๙ ๑๓.๖๖ ๑๕.๑๐ ๑๒.๐๑ (near real-time management) ๑๐.๕๑ ๙.๖๓ ๑๐.๐๗ ๑๐.๐๓ และมีศนู ย์กลางข้อมลู ในการแก้ไข ๖ รว่ มพัฒนาและสง่ เสรมิ กลไกลดก๊าซเรือนกระจก ๑๐.๐๗ ภาคป่าไม้ ทม่ี า: สวนดสุ ิตโพล มหาวิทยาลยั สวนดสุ ติ ๓.๔.๒) ผลการพจิ ารณา จากการศึกษาแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM ๒.๕) ที่มาจาก สาเหตุไฟป่าในเขตป่าอนุรักษ์ คณะกรรมาธิการได้มีข้อสังเกตและข้อเสนอแนะในการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน แบ่งเป็นระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว อย่างไรก็ดีการแก้ไขปัญหาในระยะกลาง และระยะยาว สามารถเริ่มดาเนินการได้ทันที เพื่อการวางรากฐานท่ีมั่นคงและสามารถเห็นผลที่ชัดเจนได้ในอนาคต เช่น การพัฒนาระบบแผนท่ีท่ีมีความชัดเจน การสนับสนุนการพัฒนาแหล่งน้าและแนวคิดการทาเกษตร อย่างย่ังยืนในชุมชนรอบเขตอนุรักษ์ การสนับสนุนการจัดต้ังป่าชุมชน สร้างกฎชุมชนในก ารดูแลป่า และมาตรการบริหารจัดการเชื้อเพลิงและไฟป่า การจัดสรรงบประมาณสนับสนุนให้ชุมชนท่ีมีส่วนร่วม ในการดูแลป่าและควบคุมไฟป่า การส่งเสริมการดาเนินธุรกิจท่ีรับผิดชอบต่อสังคม/ส่ิงแวดล้อม การพัฒนา และส่งเสริมกลไกลดกา๊ ซเรอื นกระจกภาคปา่ ไม้ เป็นต้น ข้อเสนอแนะระยะสนั้ (๑ - ๓ ปี) ภาครฐั นโยบาย ๑) ติดตามเร่งรัดการออกโฉนดที่ดินของกรมท่ีดินตามมติคณะรัฐมนตรี เม่ือวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๔๐ ตามพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๒ มาตรา ๘ เพ่ือให้เกิดการกากับดูแล พื้นที่ที่ชัดเจน ลดความขัดแย้งสิทธิที่ทากินบริเวณใกล้พ้ืนท่ีป่าอนุรักษ์ และเพ่ือให้ความช่วยเหลือจากภาครัฐ เขา้ ถงึ ประชาชน ๒) กาหนดพน้ื ท่ที ากนิ การใช้ประโยชน์ของชุมชน และพ้นื ทอี่ นุรักษใ์ หช้ ัดเจน เร่งแกไ้ ขสิทธิ ในที่ทากินของชุมชนท่ีอยู่ในเขตพ้ืนท่ีป่าประเภทต่าง ๆ สร้างหลักประกันในการดารงชีวิต (ติดตาม

๑๔๐ ผลการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๒ มาตรา ๘ และ ๑๘ เรื่องการกาหนดให้ชุมชน มีส่วนร่วมในการดาเนินการและการออกอนุบัญญัติที่เกี่ยวข้อง) ๓) เร่งรัดการออกอนุบัญญัติตามกฎหมายท่ีเก่ียวข้องเพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมของชุมชน และการรับฟังความคดิ เห็นของชุมชนในการรว่ มอนรุ ักษ์และบริหารจดั การพ้ืนท่ีอนุรกั ษ์ ๔) พัฒนาระบบการศึกษาเรื่องส่ิงแวดล้อมแก่ประชาชน และพัฒนาการสื่อสารเร่ืองผลกระทบ จากไฟป่า สร้างค่านิยมด้านส่ิงแวดล้อมแก่เยาวชน โดยเฉพาะในประเด็นเกี่ยวกับความสาคัญของความหลากหลาย ทางชีวภาพ ๕) จัดทากฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับเกี่ยวกับระบบตรวจสอบย้อนกลับของผลผลิต ทางการเกษตรและการบริหารจัดการพ้ืนที่การเกษตรตลอดห่วงโซ่อุปทาน ให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ ทร่ี ะบไุ วใ้ นขอ้ ก) ถงึ ง) ๖) ผลักดันให้เกิดกลไกลดก๊าซเรือนกระจกภาคป่าไม้ เช่น โครงการลดก๊าซเรือนกระจก ภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (T-VER) และการพัฒนาระบบตลาดซื้อขายคาร์บอนเครดิต เพื่อให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการดูแลรักษาป่า และกระตุ้นให้เกิดการสร้างรายได้จากการปลูกและดูแลไม้ยืนต้น ในเขตป่าชุมชน นโยบายดังกล่าวจะเป็นการเปล่ียนหลักการเผาเพ่ือสร้างรายได้มาเป็นการอนุรักษ์ป่า เพือ่ สรา้ งรายได้ ๗) ปรับตัวชีว้ ัดจากการชีว้ ัดประสิทธิภาพการดับไฟเพียงอย่างเดียวเป็นการชีว้ ัดเชงิ ป้องกัน โดยวดั ประสิทธภิ าพจากจานวนพ้นื ที่ท่ไี มเ่ กิดไฟปา่ โดยกาหนดใหก้ ารลดปรมิ าณจดุ ความร้อนสะสม (Hotspot) เป็นตัวชี้วัดร่วม (Joint KPI) ด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าระหว่าง ๓ กระทรวงที่เก่ียวข้อง ได้แก่ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ละกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสง่ิ แวดลอ้ ม การมีส่วนร่วมของประชาชน ๑) กาหนดบทบาทหนา้ ที่ และระบบรายงานการดูแลไฟปา่ ของภาครัฐและชมุ ชนใหช้ ัดเจน ๒) บังคับใช้กฎหมายและกฎของชุมชนอย่างเคร่งครดั ในกรณีท่ีมีการจงใจก่อความเสียหาย ตอ่ พื้นทอี่ นุรกั ษแ์ ละความหลากหลายทางชีวภาพในพ้นื ท่ีอนุรักษ์ เช่น การจงใจเผาป่าในพน้ื ทอ่ี นรุ ักษ์ ๓) ปรับปรุงฐานข้อมูลชุมชนดูแลป่าและกลไกการทางานพร้อมตัวช้ีวัดที่สามารถตรวจสอบได้ (รวมถึง ตัวช้ีวัดระดับผลผลิต เช่น จานวนคร้ังการเกิดไฟป่า และพื้นท่ีความเสียหายจากไฟป่า และตัวชี้วัด ระดับผลลัพธ์ เช่น ความอุดมสมบูรณ์ของสภาพป่า และผลกระทบต่อชุมชน) รวมถึง ค้นหาชุมชนต้นแบบ รักษาป่าเพ่ือการแลกเปลี่ยนเรยี นรู้ และจดั ทาระบบการลงทะเบียนการใช้ประโยชนใ์ นพ้ืนท่ีอนุรกั ษ์ ๔) จัดทาแผนและขั้นตอนการบังคับใช้สายบญั ชาการในพน้ื ทใี่ ห้ดาเนินการอยา่ งมีประสทิ ธิภาพ ทนั ตอ่ เหตุการณ์ บริหารจดั การกาลงั อย่างเหมาะสมและมีประสทิ ธภิ าพ ๕) กาหนดแผนและมาตรการป้องกันไฟป่าด้วยทาแนวกันไฟ สร้างหอระวังไฟ เส้นทาง เขา้ ถึงพน้ื ท่ี กาหนดชว่ งเวลาการเผาอย่างมีสว่ นรว่ มกบั ชุมชนและสอดคล้องกับวิถชี ีวติ ของท้องถิ่น ๖) จัดสรรงบประมาณสนับสนุนการดาเนินงานตามขอ้ ๑) - ๕) อยา่ งต่อเนอ่ื งและเพียงพอ การบรหิ ารจัดการพ้นื ท่ี ๑) ใชเ้ ทคโนโลยีในการควบคมุ ไฟปา่ (near real-time management) ๒) บริหารจัดการการเผาโดยใช้ข้อมูลการพยากรณ์สภาพอากาศล่วงหน้าของกรมอุตุนิยมวิทยา เป็นฐานในการกาหนดช่วงเวลาปลอดภัยที่สามารถให้ประชาชนบริหารจัดการเผาได้ (กรณีท่ีมีความจาเป็น) และสอดคลอ้ งกบั วถิ ชี วี ติ โดยตอ้ งมกี ฎของชุมชนช่วยควบคมุ

๑๔๑ ๓) จัดตั้งศูนย์อานวยการการบริหารจัดการการเผาในพื้นท่ีป่าในการแก้ไขสถานการณ์ มีระบบรายงานผลการจัดการไฟป่าตอ่ สาธารณชนท่ีเข้าถึงงา่ ยเปน็ ประจา ๔) จัดให้มีเครื่องมือในการดับไฟป่าให้เพียงพอทุกพ้ืนที่ เช่น ถังฉีดน้า มือตบ เคร่ืองเป่า เชอ้ื เพลงิ การอบรมเตรียมความพรอ้ มในการดบั ไฟป่า เปน็ ตน้ ๕) บริหารจัดการเคร่ืองจักรส่วนกลางในการควบคุมไฟป่าให้มีประสิทธิภาพ การใช้งาน ต่องบประมาณท่ีลงทุน และงบประมาณรองรับต่อสถานการณ์ เช่น เฮลิคอปเตอร์ดับไฟ เคร่ืองบินทาฝนหลวง เปน็ ต้น ๖) จัดสรรงบประมาณสนับสนนุ การดาเนินงานตามข้อ ๑) – ๕) อยา่ งต่อเนอื่ งและเพยี งพอ ภาคชุมชน ๑) ให้ชุมชนติดตามและมีส่วนร่วมในการแก้ไขสิทธิในท่ีทากินของชุมชนท่ีอาศัยอยู่ใน เขตพื้นท่ีป่าประเภทต่างๆ (ติดตามผลการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๒ มาตรา ๘ และ ๑๘ เร่อื งการกาหนดใหช้ ุมชนมสี ่วนร่วมในการดาเนินการและการออกอนบุ ัญญตั ิที่เกีย่ วข้อง) ๒) ให้ชุมชนจัดทาฐานข้อมูลของผู้ท่ีมีอาชีพหาของป่าในชุมชนตนเองให้ชัดเจน เพื่อให้สามารถ ตดิ ตามตรวจสอบได้ และควบคมุ ดแู ลในช่วงทมี่ ีความเส่ียงในการเกิดไฟปา่ หรือในฤดูแล้ง ๓) จัดสรรงบประมาณเพ่ือสนับสนุนเครือข่ายชุมชนที่ทางานร่วมกับส่วนราชการในภารกิจ การป้องกนั ไฟป่า เชน่ คา่ เบย้ี เลยี้ ง ค่าเดินทาง คา่ อาหาร เป็นตน้ ภาคเอกชน และวชิ าการ ๑) แลกเปล่ียนเรียนรู้ประสบการณ์และองค์ความรู้ในการหาของป่าอย่างย่ังยืนและลดผลกระทบ จากไฟปา่ กบั ชุมชน ๒) นาหลกั วิชาการมาใช้บริหารจัดการเช้ือเพลิงในปา่ ๓) ร่วมกับภาคประชาชนและชุมชนจัดเวทีเสวนาพูดคุยปัญหาและแนวทางการแก้ไข จากภาคประชาชนเพ่อื สร้างความตระหนกั แก่สังคมอยา่ งต่อเนอื่ ง และสร้างการมสี ว่ นร่วมจากทกุ ภาคสว่ น ๔) ประเมินมูลค่าการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพอันเป็นผลกระทบจากไฟป่า เชงิ เศรษฐศาสตร์ ๕) ศกึ ษาความเป็นไปได้ในการใชป้ ระโยชนจ์ ากการประกนั อคั คภี ัย ข้อเสนอแนะระยะกลาง (๓ - ๕ ป)ี ภาครฐั ๑) พัฒนาระบบแผนที่ท่ชี ดั เจน ลดความขัดแยง้ จากการใช้ทีท่ ากนิ และการหาของป่า ๒) พัฒนาการบริหารการจัดการทรัพยากรน้า เช่น การสร้างฝาย การทาอ่างพวงสันเขา การปลกู ป่าให้เกิดตน้ ทุนนา้ ทางธรรมชาติ เปน็ ต้น ๓) ส่งเสริมการปลูกพืชยืนต้นที่สร้างรายได้มากกว่าพืชเชิงเด่ียว หลังจากการกาหนดขอบเขตพ้ืนที่ ของอุทยานแห่งชาติท่ีชัดเจนตามพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๒ มาตรา ๘ เพื่อเป็นการสร้าง ความม่ันคงทางรายได้ของชุมชน อีกท้ังการปลูกพืชยืนต้นยังเป็นการลดการเผา และสร้างแรงจูงใจในการดูแล ปอ้ งกันไม่ใหเ้ กิดไฟป่า ๔) จัดสรรทรัพยากรและงบประมาณอย่างเหมาะสมสนับสนุนให้หน่วยงานปฏิบัติงาน และชมุ ชนที่มีสว่ นร่วมในการดแู ลปา่ และควบคมุ ไฟป่า

๑๔๒ ๕) ตรากฎหมายรองรับการจัดต้ังตลาดการซ้ือขายมลพิษ โดยเร่ิมจากการจัดต้ังตลาด การซื้อขายคาร์บอนในระยะสั้น และในระยะยาวขยายให้ครอบคลุมถึงฝุ่นละอองชนิดอื่นๆ อาทิ ฝุ่นละออง ขนาดเลก็ (PM ๒.๕) และ VOC เป็นต้น ๖) ตรากฎหมายสิ่งแวดล้อมเพื่อรองรับระบบการกาหนดการปล่อยมลพิษ และการซื้อขาย คาร์บอนเพื่อชดเชยมลพิษที่มีการปล่อยเกินกว่ากาหนด โดยชุมชนสามารถนาปริมาณคาร์บอนที่ป่าชุมชน สามารถดูดซับได้มาขายให้แก่ภาคคมนาคมและอุตสาหกรรมท่ีมีการสร้างคาร์บอนมากเกินกว่าปริมาณ ที่กฎหมายกาหนด เกิดเป็นรายได้ท่ีสามารถนามาใช้ดูแลรักษาและป้องกันไฟป่าและเป็นรายได้เสริมแก่ชุมชน กระตุ้นให้ชุมชนดูแลรักษาป่าชุมชนและป่าอนุรักษ์ และจัดการพื้นท่ีทางการเกษตรที่ส่งผลบวก ต่อสง่ิ แวดล้อมมากข้ึน ภาคชุมชน ๑) กระจายอานาจให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา และให้อานาจและจัดสรรทรัพยากร แก่องค์กรบรหิ ารส่วนท้องถน่ิ และชมุ ชนเปน็ ผชู้ ่วยเจ้าพนกั งานและดูแลป่า ๒) สนับสนุนการจัดต้ังป่าชุมชน สร้างกฎชุมชนในการดูแลป่า และมาตรการบริหารจัดการ เช้อื เพลงิ และไฟป่า ภาคเอกชน และวิชาการ ๑) ร่วมกับชุมชนในการพัฒนาความรู้ พัฒนาตลาด การผลิตท่ีย่ังยืน และระบบการตรวจสอบ ยอ้ นกลับ ๒) ร่วมพัฒนาระบบสร้างแรงจูงใจให้ชุมชนรักษาป่า เช่น กองทุนรักษาป่า และกองทุนพัฒนา อาชพี ท่ยี ัง่ ยืน ขอ้ เสนอแนะระยะยาว (๕ – ๑๐ ปี) ภาครัฐ ๑) จัดทานโยบายด้านการเงิน อาทิ สนับสนุนเงินทุนดอกเบี้ยต่า ขยายระยะเวลาในการผ่อน ชาระคืน เพื่อส่งเสริมให้ชุมชนท่ีอยู่ในบริเวณรอยต่อกับเขตอนุรักษ์หรือพ้ืนท่ีทากินของชุมชนท่ีกันออกจาก เขตอนุรักษ์ตามกฎหมายที่เก่ียวข้องต่างๆ ให้หันมาทาเกษตรยั่งยืนที่อนุรักษ์ดินและน้า ปลูกพืชระยะยาว ไม่สง่ เสริมการทาพืชระยะสนั้ ท่ตี ้องมกี ารเผา ๒) จัดทานโยบายสิทธิประโยชน์ทางภาษีอย่างต่อเนื่องเพ่ือส่งเสริมและสร้างแรงจูงใจ ให้ภาคเอกชน และ/หรือภาคประชาสังคมรว่ มดแู ลรกั ษาปา่ และเขตอนรุ กั ษ์ ภาคชมุ ชน จดั ระบบปา่ เศรษฐกจิ เกษตรผสมผสาน ปลูกพืชระยะยาว อนรุ ักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ สร้างความมัน่ คงทางอาหารในชุมชน แปรรปู ผลผลิตเพือ่ เพม่ิ รายได้ ภาคเอกชน และภาควชิ าการ ๑) ส่งเสริมการดาเนินธุรกิจที่รับผิดชอบต่อสังคมและส่ิงแวดล้อม เช่น พัฒนาและรับรอง มาตรฐานสินค้าและบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการกาหนดมาตรฐานรายงานความยั่งยืน ของภาคธรุ กิจ ๒) รว่ มพัฒนาและสง่ เสรมิ กลไกลดก๊าซเรือนกระจกภาคปา่ ไม้ เชน่ การพฒั นาระบบการซื้อขาย คารบ์ อนทีเ่ ป็นทางการ การทาโครงการลดก๊าซเรอื นกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานประเทศไทย

๑๔๓ ๓.๕ หมอกควันขา้ มแดน ปัญหาหมอกควันข้ามแดนนับเป็นปัญหาระดับนานาชาติที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาวะโลกร้อน จากการศึกษาสถานการณ์หมอกควันข้ามแดน (Transboundary Haze) ในภูมิภาคอาเซียนพบว่าทิศทางลม เป็นปัจจัยสาคัญในการพัดพาหมอกควันจากพ้ืนที่ซึ่งเป็นแหล่งกาเนิดของฝุ่นละอองไปสู่พื้นที่อื่น โดยสาเหตุ ของแหล่งกาเนิดฝุ่นมาจากการเผาในพื้นท่ีโล่งและไฟป่า ซึ่งฝุ่นควันจากกิจกรรมเหล่าน้ีสามารถเคล่ือนตัว ตามมวลอากาศได้อย่างไม่มีขอบเขตจากัด ส่งผลกระทบต่อคุณภาพอากาศในพ้ืนที่ซ่ึงได้รับผลกระทบ โดยมีการตรวจพบปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM ๒.๕) สูงเกินมาตรฐานในหลายประเทศ ท้ังน้ี รายงานส่วนนี้ มุ่งเน้นศึกษาสถานการณ์หมอกควันข้ามแดนซึ่งส่งผลกระทบต่อสถานการณ์หมอกควันของประเทศไทย และอปุ สรรคในการแก้ไขปัญหาหมอกควนั ข้ามแดนอย่างมีประสทิ ธิภาพ ๓.๕.๑) ปัญหาฝนุ่ ละอองขนาดเล็กจากหมอกควันข้ามแดน จากข้อมูลจุดความร้อนและทิศทางลม มีความเป็นไปได้ว่าปัญหาฝุน่ ละอองขนาดเล็ก (PM ๒.๕) ในประเทศไทยมีสาเหตสุ ่วนหนึ่งมาจากฝุ่นละอองขนาดเล็กท่ีเกิดในประเทศใกล้เคยี ง เช่น ฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM ๒.๕) ในภาคเหนือจากการเผาที่โล่งในสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และสาธารณรัฐประชาธิปไตย ประชาชนลาว ฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM ๒.๕) ในภาคกลางจากการเผาที่โล่งในราชอาณาจักรกัมพูชาและลาว และฝุ่นละอองขนาดเลก็ (PM ๒.๕) ในภาคใต้จากปญั หาการเผาที่โลง่ และไฟป่าในสาธารณรฐั อนิ โดนเี ซีย ส่วนท่ี ๑ หมอกควันขา้ มแดนบรเิ วณภาคเหนอื และภาคกลาง จากรายงานจุดความร้อนสะสมระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๕๘ - ๒๕๖๒ พบว่าประเทศท่ีพบ จุดความร้อนสะสมเฉลีย่ ๕ ปี มากท่สี ดุ สามอันดับแรกได้แก่ เมยี นมาร์ ลาว และกัมพชู า ภาพท่ี ๑๗ การเปรียบเทยี บจุดความรอ้ นสะสม ๕ ประเทศ ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๕๘ - ๒๕๖๒ ทม่ี า: สานักงานพัฒนาเทคโนโลยอี วกาศและภมู ิสารสนเทศ (องคก์ ารมหาชน) เมื่อพิจารณาข้อมูลร่องรอยการเผาไหม้จากภาพถ่ายดาวเทียมในอนุภูมิภาคลุ่มน้าโขง (ประเทศเมียนมาร์ ลาว และไทย) ระหวา่ งปี พ.ศ. ๒๕๕๘ – ๒๕๖๒ พบว่ารอ้ ยละ ๓๐ ของจุดความร้อนสะสม เปน็ พนื้ ท่ีทมี่ กี ารปลูกขา้ วโพด และรอ้ ยละ ๗๐ ของจดุ ความรอ้ นสะสมเปน็ พืน้ ทีป่ า่ และการเกษตรอ่ืน ๆ

๑๔๔ ภาพท่ี ๑๘ ภาพรอ่ งรอยพ้นื ทีเ่ ผาไหม้อนุภมู ิภาคล่มุ แมน่ ้าโขง เดือนมกราคม - พฤษภาคม ๒๕๖๓ ที่มา: NASA ภาพท่ี ๑๙ ภาพเปรียบเทยี บร่องรอยพ้ืนทีเ่ ผาไหม้และพน้ื ทปี่ ลกู ข้าวโพดในอนุภูมิภาคลุ่มนา้ โขงปี พ.ศ. ๒๕๕๘ - ๒๕๖๒ ท่ีมา: กรนี พีช ประเทศไทย และศูนย์ภมู ิภาคเทคโนโลยีอวกาศและภมู ิสารสนเทศ พ.ศ. ๒๕๖๓

๑๔๕ จากการศึกษาปัญหาฝุ่นละอองโดยความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และมหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ พบว่านอกจากผลกระทบ ฝุ่นละอองจากการคมนาคมและการเผาในที่โล่งภายในประเทศแล้ว พื้นที่ภาคกลางยังอาจได้รับผลกระทบ เพิ่มเตมิ จากหมอกควันข้ามแดน โดยเฉพาะในช่วงฤดกู ารเผาซึ่งมีแหล่งกาเนิดฝุน่ ละอองปริมาณมากในประเทศ เพ่ือนบ้าน จากการศึกษาการเคล่ือนตัวของมวลอากาศในช่วงฤดูการเผา ปี พ.ศ. ๒๕๖๑ และ ๒๕๖๒ พบว่า ลมพัดพาหมอกควันจากการเผาในที่โล่งบางส่วนในประเทศกัมพูชาและลาวเข้าสู่ประเทศไทย และอาจเป็นไปได้ว่า หมอกควันดังกล่าวส่งผลกระทบเพิ่มเติมแก่สถานการณ์ฝุ่นละอองในประเทศไทย นอกเหนือจากแหล่งกาเนิด ฝนุ่ ละอองท่ีเกิดข้ึนในประเทศ ภาพที่ ๒๐ การจาลองการเคล่ือนที่ของมวลอากาศบริเวณประเทศไทย ลาว กมั พชู า และเวยี ดนาม เดือนธันวาคม - มกราคม ๒๕๖๒ ท่ีมา: มหาวทิ ยาลัยสงขลานครนิ ทร์ มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ และมหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยพี ระจอมเกลา้ พระนครเหนอื ในปี พ.ศ. ๒๕๖๓ การศึกษาข้อมูลจุดความร้อนสะสมและสถานการณ์หมอกควัน ยังคงพบสถานการณ์หมอกควันข้ามแดนอย่างต่อเน่ือง โดยเฉพาะในเดือนมกราคมถึงเมษายนเนื่องจาก เป็นช่วงเก็บเก่ียวผลผลิตและเตรียมพ้ืนที่เพื่อการเพาะปลูกถัดไป ในเดือนมกราคมพบปริมาณจุดความร้อน

๑๔๖ สะสมส่วนมากอยู่บริเวณประเทศกัมพูชายาวนานท่ีสุด ๑๔ - ๒๑ วัน ส่งผลให้มีปริมาณหมอกควันปกคลุม ประเทศกัมพูชาเป็นระยะเวลานาน ประกอบกับทิศทางลม ส่งผลให้ประเทศอื่นในอนุภูมิภาคท่ีมีจุดความร้อน น้อยกว่า ได้รับผลกระทบฝุ่นควันเช่นเดียวกัน โดยบริเวณภาคเหนือและบางส่วนของภาคกลางในประเทศไทย มีหมอกควันปกคลุมยาวนานอันเนื่องมาจากทิศทางลมตะวันออกท่ีพัดพาหมอกควันบางส่วนมาจาก ประเทศกัมพูชา และทิศทางลมทางตอนเหนือของประเทศไทยพัดพาหมอกควันบางส่วนเข้าสู่ตอนบน ของประเทศลาวอกี ทางหนงึ่ จากการรายงาน สถานการณ์หมอกควันข้ามแดนมีความรุนแรงมากข้ึนในช่วง ปลายเดอื นมนี าคมถึงกลางเดอื นเมษายน พบจดุ ความร้อนสะสมปรมิ าณมากในพนื้ ทโี่ ดยรอบประเทศไทย ได้แก่ ประเทศเมียนมาร์ ลาว และกัมพูชา ซ่ึงจากข้อมูลการตรวจวัดปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM ๒.๕) เฉล่ีย ๒๔ ช่ัวโมงในพ้ืนที่ภาคเหนือของประเทศไทยในช่วงเวลาดังกล่าว พบปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM ๒.๕) สูงเกินค่ามาตรฐาน (๕๐ ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร) โดยในบางพื้นท่ีตรวจพบปริมาณฝุ่นละออง ขนาดเลก็ (PM ๒.๕) สงู ถงึ ๒๐๐ ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร อาทิ เชียงราย เชียงใหม่ และแม่ฮอ่ งสอน อย่างไรก็ตาม สถานการณ์หมอกควันปกคลุมพื้นที่และคุณภาพอากาศท่ีสูงนั้น ยังคงต้องคานึงถึงฝุ่นละอองจากการเผาในที่โล่งและไฟป่าในพื้ นที่ภาคเหนือซึ่งเป็นอีกหน่ึงปัจจัยของปัญหา คณุ ภาพอากาศดังกลา่ วด้วย ภาพท่ี ๒๑ จดุ ความร้อนสะสมเดือนมกราคม ๒๕๖๓ ที่มา: ASEAN Specialised Meteorological Centre

๑๔๗ ภาพท่ี ๒๒ สถานการณห์ มอกควนั เดือนมกราคม ๒๕๖๓ ท่ีมา: ASEAN Specialised Meteorological Centre ภาพท่ี ๒๓ จดุ ความรอ้ นสะสมเดือนมีนาคม ๒๕๖๓ ท่มี า: ASEAN Specialised Meteorological Centre

๑๔๘ ภาพที่ ๒๔ สถานการณ์หมอกควนั เดือนมีนาคม ๒๕๖๓ ทมี่ า: ASEAN Specialised Meteorological Centre สว่ นท่ี ๒ หมอกควันข้ามแดนบรเิ วณภาคใต้ จากรายงานสถานการณ์สิ่งแวดล้อมพบว่ากลุ่มประเทศอาเซียนตอนล่าง ได้แก่ ประเทศอินโดนีเซีย มาเลเซยี สิงคโปร์ บรูไน และไทย มกั จะไดร้ ับผลกระทบของหมอกควันขา้ มแดน ในช่วงระหวา่ งเดือนมิถุนายน ถึงกันยายนของทุกปี ซ่ึงเป็นฤดูกาลที่มีการเผาเพื่อเตรียมพื้นท่ีทาการเกษตรและเผาป่าเพื่อขยายพ้ืนท่ี ทาการเกษตร จากการพิจารณาการเคล่ือนตัวของมวลอากาศโดยสถานีวิจัยมลพิษทางอากาศและผลกระทบ ต่อสุขภาพ (ม.อ.) มหาวทิ ยาลัยสงขลานครินทร์ พบว่าบรเิ วณภาคใต้ของประเทศไทยและกลุ่มประเทศอาเซียน ตอนลา่ งจะได้รับผลกระทบหมอกควนั ข้ามแดนในชว่ งวันและเวลาที่มีลมตะวนั ตกเฉียงใตแ้ ละตะวนั ออกเฉียงใต้ อาทิ วันท่ี ๕ กันยายน ๒๕๖๒ พบว่าทิศทางลมตะวันตกเฉียงใต้และตะวันออกเฉียงใต้พัดผ่านจุดความร้อน บางส่วนบนหมู่เกาะสุมาตรา เข้าสู่พื้นที่ตอนล่างของไทย ส่งผลให้มีการเพ่ิมขึ้นของปริมาณฝนุ่ ละอองขนาดเล็ก (PM ๒.๕) เฉลี่ยรายชั่วโมง อยู่ในช่วง ๖๑ - ๑๐๔ ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตรในจังหวัดสงขลา และ ๔๕ - ๕๗ ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร ในจังหวัดปัตตานี ซ่ึงค่าฝุ่นละอองขนาดเล็กสูงเกินค่ามาตรฐาน และอยู่ในระดับ ท่ีมีผลกระทบต่อสุขภาพ ในขณะท่ีวันท่ี ๑๘ กันยายน ๒๕๖๒ องค์การกรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พบว่าทิศทางลมพัดพาหมอกควันจากไฟป่าบริเวณหมู่เกาะสุมาตราและกาลิมันตัน หรือเกาะบอร์เนียว ประเทศอินโดนเี ซยี เขา้ ส่ปู ระเทศสิงคโ์ ปร์และมาเลเซยี ส่งผลใหใ้ นช่วงเวลาดังกล่าวบริเวณตอนใต้ของสิงคโปร์ มีปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM ๒.๕) สูงถึง ๑๓๒ ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร และประเทศมาเลเซีย มีปริมาณฝนุ่ ละอองขนาดเลก็ (PM ๒.๕) ท่ี ๑๒๘ - ๓๕๔ ไมโครกรัม/ลูกบาศกเ์ มตร

๑๔๙ ภาพท่ี ๒๕ ภาพการจาลองการเคลื่อนท่ีของมวลอากาศแบบย้อนกลับ (Backward Trajectory) วนั ท่ี ๕ กนั ยายน ๒๕๖๒ ท่ีมา: มหาวทิ ยาลยั สงขลานครนิ ทร์

๑๕๐ ภาพที่ ๒๖ สถานการณห์ มอกควนั ข้ามแดน วนั ท่ี ๑๘ กนั ยายน ๒๕๖๒ ที่มา: ASEAN Specialised Meteorological Centre ทิศทางลมเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อสถานการณ์หมอกควันข้ามแดนและเป็นปัจจัยท่ีอยู่เหนือ การควบคุม ดังนั้น การดาเนินการแก้ไขปัญหาจากแหล่งกาเนิดของฝุ่นละอองจึงเป็นวิธกี ารท่ีจะบรรเทาปัญหา หมอกควันข้ามแดนท่ีมีประสิทธิภาพมากที่สุด และจากการสารวจความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับ สถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM ๒.๕) และการดาเนินการแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง พบว่าร้อยละ ๑๐.๘๓ มคี วามเหน็ ว่าปญั หาฝนุ่ ละอองจากหมอกควนั ข้ามแดนควรได้รับการแกไ้ ขปญั หามากท่สี ุด ๓.๕.๒) อุปสรรคในการแกไ้ ขปัญหาหมอกควันข้ามแดนอย่างมีประสิทธิภาพ ในหลายปีที่ผ่านมาประเทศสมาชิกของสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรืออาเซียน มีข้อตกลงร่วมกันในการแก้ไขปัญหามลพิศทางอากาศหรือ Transboundary Haze Pollution โดยมีการดาเนินการ ASEAN Agreement on Transboundary Haze Pollution, ๒๐๐๒ (AATHP) และ The Roadmap on The Roadmap on ASEAN Cooperation towards Transboundary Haze Pollution Control with Means of Implementation (๒๕๕๙ - ๒๕๖๓) หรือ Haze-free Roadmap ครอบคลุม ระยะเวลาดาเนินการจากปี พ.ศ. ๒๕๕๙ - ๒๕๖๓ โดยมีหลักกฎหมายและพันธกรณีท่ีรัฐสมาชิกต้องนาไป ปฏิบตั ิตามอาจพจิ ารณาไดท้ ง้ั สน้ิ ๓ ประการดงั ตอ่ ไปนี้

๑๕๑ ประการแรก รฐั สมาชกิ มอี านาจอธิปไตยเหนือการใชป้ ระโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติในเขตอานาจ ของตน มีหน้าท่ีให้หลักประกันว่าโครงการหรือกิจกรรมใด ๆ ที่เกิดขึ้นในรัฐของตนจะไม่ก่อความเสียหาย ต่อส่งิ แวดล้อมของรัฐอ่ืน หรอื ตอ่ พ้ืนทท่ี ่ีอยู่นอกเขตอานาจของรฐั และตอ้ งรว่ มมือกันตามความสามารถของตน ในการป้องกันและเฝา้ ระวังภาวะมลพิษอันเน่ืองมาจากหมอกควันขา้ มแดนจากการเผาในท่ดี ินและ/หรือไฟป่าด้วย ประการที่สอง รัฐต้องจัดให้มีมาตรการป้องกันล่วงหน้า (precautionary measure) เพื่อคาดการณ์ ป้องกัน และเฝ้าระวังภาวะมลพิษอันเน่ืองมาจากหมอกควันพิษข้ามพรมแดนจากการเผาในท่ีดินและ/หรือไฟป่า เพ่อื ลดความรนุ แรงอนั เนื่องมาจากภาวะมลพิษดังกลา่ ว ประการสุดท้าย รัฐสมาชิกทุกรัฐต้องใช้ประโยชน์และบริหารจัดการทรัพยากรรมธรรมชาติ ซ่ึงหมายรวมถึงทรัพยากรป่าไม้และที่ดินอย่างยั่งยืนและเป็นมิตรกับระบบนิเวศด้วย ซึ่งการดาเนินการดังกลา่ ว หมายรวมถึง การให้ผู้มีส่วนได้เสียทุกคน ซ่ึงรวมถึงชุมชนท้องถิ่น องค์กรภาคเอกชน (NGOs) เกษตรกร และวิสาหกิจเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการปัญหาหมอกควันพิษข้ามพรมแดนด้วย เพื่อใหบ้ รรลุซงึ่ หลกั การพื้นฐานของ AATHP สมาชิกอาจดาเนนิ การโดยจัดใหม้ ีมาตรการต่าง ๆ อาทิ ก) มาตรการเพ่ือพฒั นาและใช้มาตรการทางกฎหมายและข้อบังคับอ่นื ๆ รวมถึงโครงการและกลยุทธ์ เพ่ือส่งเสริมนโยบายการปลอดการเผา (zero - burning policy) เพ่ือจัดการกับการเผาในที่ดินและ/หรือไฟป่า ที่ก่อให้เกดิ มลพษิ หมอกควันขา้ มพรมแดน ข) มาตรการเพื่อพัฒนานโยบายท่ีเหมาะสมอ่ืน ๆ เพ่ือลดกิจกรรมท่ีอาจนาไปสู่การเผาในท่ีดิน และ/หรือไฟป่า ค) มาตรการเพอ่ื ระบุและตรวจสอบพื้นท่ีทีม่ ีแนวโนม้ ทีจ่ ะเกิดการเผาในทด่ี นิ และ/หรอื ไฟปา่ ง) มาตรการเพื่อเสริมสร้างการจัดการการเผาในท้องถ่ินและความสามารถในการดับเพลิง และการประสานงานเพื่อปอ้ งกนั การเกิดขน้ึ ของการเผาในที่ดินและ/หรือไฟป่า จ) มาตรการส่งเสริมการศึกษาสาธารณะ การรณรงค์สร้างความตระหนักรู้ และเสริมสร้าง การมีส่วนร่วมของชุมชนในการป้องกันและจัดการการเผาในที่ดินและ/หรือไฟป่าและมลพิษจากห มอกควัน จากการเผาดังกลา่ ว ฉ) มาตรการส่งเสริม ใช้ความรู้ และการปฏิบัติเกี่ยวกับการป้องกันและจัดการอัคคีภัย ของชนพืน้ เมอื ง และ ช) มาตรการที่สร้างหลักประกันว่ามาตรการทางกฎหมาย มาตรการทางด้านบริหารและ/ หรือ มาตรการอ่ืน ๆ ท่เี ก่ียวข้อง จะถกู นามาใชเ้ พ่ือควบคุมการเผาในที่โล่ง (open burning) และปอ้ งกันการเตรียม ทดี่ ินด้วยการเผา นอกเหนือจากมาตรการป้องกนั และควบคุมดังกลา่ ว AATHP กาหนดให้รฐั สมาชิกต้องพฒั นากลยุทธ์ และแผนการตอบโตไ้ มว่ ่าจะเปน็ แผนท่ีดาเนินการโดยรฐั เองหรือรว่ มกนั รวมถึงข้นั ตอนมาตรฐานการปฏิบตั ิงาน สาหรับความร่วมมือในระดับภูมิภาคและระดับประเทศเพ่ือการระบุจัดการและควบคุมความเสี่ยงต่อสุขภาพ ของมนษุ ย์และสิง่ แวดล้อมอันเนอื่ งมาจากการเผา ในส่วนของการเฝ้าระวัง ติดตาม และประเมินมลพิษหมอกควันข้ามแดน AAHTP กาหนดให้รัฐ ต้องดาเนินการท้ังในระดับภูมิภาคและระดับประเทศ โดยในระดับภูมิภาค รัฐสมาชิกต้อง จัดตั้งศูนย์ประสานงาน อาเซียนสาหรับการควบคุมภาวะมลพิษอันเน่ืองมาจากหมอกควันข้ามพรมแดน (ศูนย์ประสานงานอาเซียนฯ ) เพื่ออานวยความสะดวกในการประสานความร่วมมือและการประสานงานระหว่างรัฐภาคี ในการจัดการผลกระทบ ของการเผาในที่ดินและ/หรือไฟป่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งมลพิษจากหมอกควันพิษข้ามพรมแดน ในการนี้ รฐั สมาชกิ ต้องดาเนินการในระดับประเทศ โดยกาหนดเจา้ หน้าที่ผู้มีอานาจอย่างน้อยหน่งึ คนและผู้ประสานงาน

๑๕๒ ระดับประเทศเพื่อประสานการทางานระหว่างรัฐดังกล่าวและศูนย์ประสานงานอาเซียนฯ โดยเจ้าหน้าท่ี ผู้มีอานาจจะต้องทาหน้าทีบ่ ริหารจดั การต่าง ๆ ที่เกยี่ วขอ้ งกับ AATHP ในนามของรัฐ นอกจากนี้ การดาเนินการในระดับประเทศยังรวมถึง การจัดต้ังศูนย์ตรวจสอบระดับชาติ เพ่ือติดตามการเกิดการเผาและภาวะมลพิษจากหมอกควัน โดยศูนย์ตรวจสอบระดับชาตินี้ จะตรวจสอบพื้นท่ี ท่ีมีแนวโน้มท่ีจะเกิดการเผาในที่ดินและ/หรือไฟป่า สภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเกิดไฟ ข้อมูลท่ีเก่ียวข้อง กับภาวะมลพิษจากหมอกควันท่ีเกิดข้ึนจากการเผาหรือไฟป่านั้นจะต้องส่งข้อมูลไม่ว่าจะโดยตรง หรือผ่าน ผู้ประสานงานระดับชาติไปยงั ศูนยป์ ระสานงานอาเซยี นฯ โดยทุกรฐั สมาชกิ จะตอ้ งใหห้ ลกั ประกนั วา่ จะมีการใช้ มาตรการทางกฎหมาย การบริหาร และการเงินที่เหมาะสม ในการระดมอุปกรณ์วัสดุทรัพยากรมนุษย์ และการเงินที่จาเป็นในการตอบสนองและบรรเทาผลกระทบจากการเผาที่ดินและ/หรือไฟป่า และภาวะมลพิษ จากหมอกควนั ทเ่ี กิดขึน้ อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์ปัญหาหมอกควันข้ามแดนข้างต้นแสดงให้เห็นว่าการร่วมมือ ระหว่างประเทศอาเซียนยังไม่สามารถผลักดันให้ประเทศสมาชิกและประเทศไทยเองแก้ไขปัญหาหมอกควัน ขา้ มแดนได้ ซ่งึ ในวงวชิ าการและผู้เกยี่ วข้องได้มีข้อวิพากษ์วิจารณ์ถงึ สาเหตุของปัญหาดงั กลา่ ว อย่างนอ้ ย ๓ ประการ ไดแ้ ก่ (๑) วัฒนธรรมการต่างประเทศของอาเซียน ที่เรยี กว่า “วถิ ีอาเซยี น (ASEAN Way)” (๒) การขาดแคลนเครอ่ื งมอื ในการติดตามการใช้บังคับ ปฏิบัติตาม หรือระงับข้อพิพาทจาก AATHP และ (๓) การขาดการมีส่วนร่วม ของประชาชน ซงึ่ สามารถพจิ ารณาได้ ดังต่อไปน้ี ๑) วฒั นธรรมการตา่ งประเทศของอาเซียน ท่เี รยี กว่า “วิถีอาเซียน (ASEAN Way)” วิถีอาเซียน (ASEAN Way) คือ การที่รัฐสมาชิกให้ความสาคัญอย่างเคร่งครัดกับอานาจอธิปไตย และความเคารพต่อกิจการภายในและภายในของรัฐสมาชิกอ่ืน กรณีเช่นว่านี้สามารถพิจารณาได้ตั้งแต่การเกิดข้ึน ของประชาคมอาเซียน ตามท่ีปรากฏในสนธิสัญญาไมตรีและความร่วมมือในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พ.ศ. ๒๕๑๙ (Treaty of Amity an Cooperation in Southeast Asia (TAC)) โดยข้อ ๒ ของ TAC กาหนดหลักการ พ้ืนฐานของความตกลงเอาไว้ซึ่งรวมถึง (๑) การเคารพซึ่งกันและกันเพ่ือความเป็นอิสระของอานาจอธิปไตย และความเสมอภาคทางบูรณภาพแห่งดินแดนและอัตลักษณ์แห่งชาติของทุกประเทศ (๒) สิทธิของทุกรัฐ ในการเป็นผู้นาของชาติโดยปราศจากการแทรกแซงจากภายนอกการโค่นล้มหรือการบีบบังคับ (๓) การไม่แทรกแซง กิจการภายในของอีกฝ่ายหน่ึง (๔) การต้ังถิ่นฐานของความแตกต่างหรือข้อพิพาทด้วยวิธีสันติ (๕) การยกเลิก การคุกคามหรือการใช้กาลัง และ (๖) ความร่วมมือท่ีมีประสิทธิภาพระหว่างกัน นอกจากน้ี วิถีอาเซียน ยังหมายรวมถึงการตัดสินใจร่วมกันอย่างเอกฉันท์ (consensus) เพื่อหลีกเล่ียงข้อพิพาทและสร้างความเช่ือมัน่ ระหว่างกัน แต่อย่างไรก็ตาม วิถีอาเซียนได้สร้างอุปสรรคในการจัดการภาวะมลพิษข้ามพรมแดน เพราะการจัดการ ปัญหาดังกล่าวอาจหมายถึงการเข้าไปแทรกแซงในกิจการภายในของรัฐสมาชิกอ่ืน ๆ ซ่งึ เปน็ การขัดกับหลักการ พนื้ ฐานทป่ี ระเทศสมาชิกอาเซียนถือปฏิบตั ิอยา่ งเครง่ ครัด ด้วยเหตุนี้ การจัดการภาวะมลพษิ จากหมอกควันพิษ ข้ามพรมแดนในภูมิภาคอาเซยี นจึงทาได้ยากขึ้น และทาให้การปฏิบัติตาม AATHP ไม่สามารถกระทาได้อย่างมี ประสิทธิภาพ ๒) การขาดแคลนเครื่องมือในการติดตามการใช้บังคับ ปฏิบัติตาม หรือระงับข้อพิพาท จาก AATHP สาหรับกลไกการบังคับใช้และปฏิบัติตาม AATHP จะเห็นได้ว่ารัฐสมาชิกมีหน้าท่ี ต้องดาเนินการต่าง ๆ เพ่ือปฏิบัติตามพันธกรณีภายใต้ความตกลงน้ี โดยมาตรการเหล่าน้ีมีตั้งแต่มาตรการ ทางกฎหมาย ทางการบริหารและอื่น ๆ ท่ีจาเป็นในการป้องกันและติดตามภาวะมลพิษอันเนื่องมาจาก หมอกควันข้ามพรมแดน รวมถึงการควบคุมแหล่งกาเนิดไฟ แต่อย่างไรก็ตาม AATHP ไม่ได้กาหนดให้มี

๑๕๓ หน่วยงานท่ีทาหน้าที่ติดตามตรวจสอบการปฏิบัติตามพันธกรณีของรัฐสมาชิก และไม่มีการกาหนดมาตรการ ลงโทษในระดับภูมิภาคสาหรับรัฐสมาชิกท่ีไม่สามารถปฏิบัติตาม AATHP ได้ กรณีนี้แตกต่างกับกับความตกลง ระหว่างประเทศอ่ืน ๆ เช่น United Nations Framework Convention on Climate Change, ๑๙๙๒ (UNFCCC) ที่มีการกาหนดกระบวนการจัดการการไม่ปฏิบัติตามพันธกรณีเอาไว้อย่างชัดเจน การขาดกลไกการปฏิบัติตาม และการบังคับใช้เ ป็นหนึ่ งใน สาเห ตุท่ี ก่ อใ ห้เ กิดภ าว ะ มล พิษ อัน เน่ื อง มาจ า กหม อ ก ควันข้ าม พร ม แ ด น ซ้ า เกือบทุกปี และไม่สามารถแก้ไขปัญหาดงั กล่าวได้อย่างมปี ระสิทธิภาพและย่ังยนื สาหรับกลไกการระงับข้อพิพาทนั้น AATHP ระบุว่าข้อพิพาทที่เกี่ยวข้องกับการตีความ หรือการปฏิบัติตาม AATHP จะถูกพิจารณาตัดสินช้ีขาดด้วยการปรึกษาหารือและการเจรจาต่อรอง ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นวิธีการท่ีไร้ประสิทธิภาพ นอกจากนี้ กฎบัตรอาเซียนซ่ึงเป็นกฎหมายพ้ืนฐาน สาหรับการจัดการความสัมพันธ์ระหว่างรัฐสมาชิกประชาคมอาเซียน ก็ยังไม่มีการจัดตั้งองค์กรตุลาการ ในระดับภูมิภาคเพื่อทาหน้าที่เป็นกลไกการระงับข้อพิพาทท่ีเหมาะสมภายในอาเซียน ด้วยเหตุน้ี การจัดการ ปัญหาตา่ ง ๆ ภายในประชาคมอาเซยี นจึงไมส่ ามารถดาเนินการได้อยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ ในทางวชิ าการ ๓) การขาดการมีสว่ นร่วมของประชาชน แม้ว่า AATHP ให้ความสาคัญกับการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้เสียท้ังหมด รวมถึงชุมชน ท้องถ่ิน องค์กรพัฒนาเอกชน เกษตรกร และองค์กรเอกชนอื่นๆ ในการร่วมกากับดูแลของภาวะมลพิษ อันเนื่องมาจากหมอกควันข้ามพรมแดน การจัดให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการปัญหาดังกล่าว ไม่ได้เป็นหน้าท่ีตาม AATHP แต่เป็นเพียงความสมัครใจและเป็นสิ่งที่ AATHP ส่งเสริมให้รัฐดาเนินการเท่าน้ัน การขาดการมีส่วนร่วมของประชาชน หมายความว่า AATHP ไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่สาเหตุท่ีแท้จริง ของมลภาวะมลพิษอันเน่ืองมาจากหมอกควันข้ามพรมแดนได้ กล่าวโดยเฉพาะ AATHP ไม่สามารถเข้าจัดการ ปัญหากับประชาชนกลุ่มหน่ึงซึ่งเป็นผู้เร่ิมต้นการเผานั่นเอง การขาดการมีส่วนร่วมของประชาชนโดยชุมชน ท้องถ่ินและเกษตรกรรายย่อย ทาให้การบริหารจัดการการเผาในพื้นที่เกษตรกรรมหรือการเผาเพ่ือเก็บของป่า ไม่สามารถดาเนินการได้อย่างมีประสิทธภิ าพ แม้ว่า AATHP จะส่งเสริมการใช้ความรแู้ ละการปฏบิ ัติของชุมชน ท้องถิ่นและชนพ้ืนเมืองในการป้องกันและจัดการอัคคีภัย แต่การดาเนินการของรัฐก็ยังไม่ส่งเสริมให้มี การประสานงานและให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการปัญหาเท่าที่ควร ด้วยเหตุน้ี การขาดการมีส่วนร่วม ของประชาชนยงั คงทาใหร้ ัฐไมอ่ าจแก้ไขปญั หาหมอกควนั พิษขา้ มพรมแดนได้อยา่ งมีประสิทธิภาพ ๓.๕.๓) ผลการพิจารณา ข้อเสนอแนะการแก้ไขปญั หาฝนุ่ ละอองขนาดเล็กจากหมอกควนั ขา้ มแดน ขอ้ เสนอแนะระยะสน้ั (๑ - ๓ ป)ี ผลกั ดนั การแก้ไขปญั หาฝุน่ ควันระดับชุมชนและประเทศ ๑) ผลักดันการแก้ไขปัญหาฝุ่นภายในพื้นท่ีประเทศไทยอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อลดปัญหา ฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM ๒.๕) ให้เหลือน้อยที่สุด โดยมุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาการเผาในที่โล่งและไฟป่าในเขต พนื้ ทีป่ า่ อนุรกั ษ์อนั เป็นแหลง่ กาเนดิ ของฝุน่ ละอองและหมอกควนั ข้ามแดน ๒) บูรณาการแนวคิดเศรษฐกิจจากฐานความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity - based Economy) ในนโยบาย แผนกลยุทธ์ และแผนการการทางานของชาติ เพ่ือบรรลุเป้าหมายการพัฒนา อย่างยงั่ ยนื ของสหประชาชาติ (UN Sustainable Development Goals : SDGs) ๓) ผลักดันให้เกิดความร่วมมือในการจัดทาข้อมูลจุดความร้อน แหล่งที่มาของฝุ่นละออง และสถานการณ์หมอกควันข้ามแดนระหว่างหน่วยงานหรือศูนย์วิเคราะห์ และเผยแพร่ข้อมูลในระดับทวิภาคี หรือพหุภาคี เพือ่ เปน็ ฐานขอ้ มลู หลักในการพิจารณาปัญหาหมอกควนั ข้ามแดน

๑๕๔ ๔) ผลักดันให้เกิดความร่วมมือระหว่างประเทศในระดับอนุภูมิภาคในการถ่ายทอดองค์ความรู้ เกีย่ วกับในการแก้ไขปัญหาการเผาในท่โี ล่งและการจัดการไฟป่า อาทิ การอนุรกั ษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ การสร้างตน้ แบบเกษตรแบบไมเ่ ผา เพื่อการแก้ไขปัญหาทย่ี ่ังยืน ๕) ผลักดันให้มีการสร้างข้อตกลงและกลไกท่ีเป็นมาตรฐานเดียวกันในการแก้ไขปัญหมอกควัน ข้ามแดนในระดับทวิภาคีหรือพหุภาคี โดยอาจมุ่งเน้นที่ประเทศในกลุ่มอนุภูมิภาคลุ่มน้าโขง หรือประเทศ สมาชิกซึ่งมีความพร้อมในการสร้างความร่วมมืออย่างจริงจัง และให้มีการพิจารณาใช้ข้อตกลงและกลไก ท่ีเปน็ มาตรฐานเดียวกันในวงกว้าง ข้อเสนอแนะระยะกลาง (๓ - ๕ ปี) ผลักดนั ความร่วมมือแกไ้ ขปญั หาระดบั อาเซียนและระดับ นานาชาติ ๑) ผลักดันให้เกิดความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนในภาคปฏิบัติอย่างมีประสิทธิภาพ มากขึ้นเพ่ือแก้ไขปัญหาหมอกควันข้ามแดน ไม่ว่าจะเป็นการลดการเผาในพ้ืนท่ีเกษตรหรือพื้นที่ป่าอันเป็น แหล่งกาเนดิ ฝ่นุ ผ่านคามัน่ สัญญา ข้อบงั คบั และการสร้างกลไกความรว่ มมือในรูปแบบการสร้างการมีส่วนร่วม ในการแก้ไขปัญหาหมอกควันข้ามแดนระหวา่ งประเทศสมาชกิ ๒) ผลักดันให้มีการจัดต้ังหน่วยงานกลางในการติดตาม ตรวจสอบ และพิจารณาการดาเนินการ แก้ไขปญั หาหมอกควนั ข้ามแดนตามข้อตกลงระหว่างประเทศสมาชิก ๓) ผลักดันให้เกิดความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาฝุ่นควันระดับนานาชาติ โดยเริ่มต้นจากการ แก้ไขในระดับภูมิภาคก่อน กล่าวคือการแก้ไขปัญหาระหว่างประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มน้าโขง หรือ Technical Working Group on Transboundary Haze Pollution in the Mekong Sub-Region (TWG Mekong) เพื่อให้มีการดาเนินการแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสทิ ธภิ าพมากข้นึ ข้อเสนอแนะระยะยาว (๕ - ๑๐ ปี) ผลักดันการพิจารณาการบังคับใช้กฎหมายท่ีเป็น มาตรฐานเดยี วกัน ผลักดันให้มีการพิจารณาการบังคับใช้กฎหมายเดียวกันในระดับอาเซียน ในการดาเนินการ กับบุคคลหรือนิติบุคคลที่เป็นตัวการ ตัวการร่วม ผู้ใช้ หรือผู้สนับสนุนให้มีกิจกรรมหรือโครงการใด ๆ ทกี่ อ่ ใหเ้ กิดมลพิษทางอากาศท้ังในประเทศตนเองและประเทศสมาชิกอาเซยี น สาเหตอุ น่ื ๆ การเผาในกิจกรรมอ่ืน ๆ ในประเทศไทย มีการเผาในกิจกรรมอ่ืนๆ รวมถึง การเผาเพ่ือกิจกรรมในการบริโภคในครัวเรอื น การค้าขายแบบรถเขน็ และตามร้านอาหาร และการเผาตามประเพณี รวมถึง การณาปนกิจศพ การจุดธูปเทียน บชู าสักการะ การเผาเคร่ืองเซ่นไหว้ในพธิ ีการตา่ ง ๆ การเผาขยะเพ่อื กาจดั เศษวชั พืชตามบ้านเรือน สาหรับการเผาเพ่ือกิจการการบริโภคในครัวเรือน คณะกรรมาธิการมีความเห็นว่าการเผา ในลักษณะดังกล่าวส่วนใหญ่เป็นการเผาแบบกระจัดกระจายและไม่ต่อเนื่อง มีความสาคัญต่อการก่อมลพิษ ในระดับท้องถิ่นแต่แนวทางการป้องกันที่มีประสิทธิภาพสาหรับการเผาในลักษณะนี้คือการสร้างความตระหนักรู้ ถึงผลกระทบและขอความร่วมมือลดการเผา หรือเลือกใช้ทางเลือกในการเผาที่ไม่ก่อให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม และเพ่ิมประสทิ ธภิ าพของท้องถน่ิ ในการจัดการขยะมูลฝอยเพื่อไม่ให้มีการกาจดั ขยะโดยการเผา อย่างไรก็ดี คณะกรรมาธิการมีความเห็นว่าการเผาในการณาปนกิจศพมีลักษณะใกล้เคียง กับการเผาในภาคอุตสาหกรรม เป็นแหล่งกาเนิดฝุ่นละอองขนาดเล็กท่ีอยู่กับท่ี สามารถคาดการณ์และควบคุม เวลาการปลดปล่อยมลพิษทางอากาศได้ อีกท้ังการณาปนกิจมีสารต้นกาเนิดและปัจจัยท่ีก่อให้เกิดไดอ็อกซิน

๑๕๕ สารซ่ึงมีอันตรายต่อสุขภาพสูง แต่ยังไม่มีการกากับและควบคุมดูแลเนื่องจากเป็นการเผาเพื่อประกอบพิธี ทางศาสนา ไม่ได้เป็นการเผาในเชิงพาณิชย์ ท้ังน้ี อ้างอิงข้อมูลจากสานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ มีวัดในประเทศไทยจานวน ๔๑,๓๕๒ วัด จากจานวนดังกล่าว มีวัดท่ีใช้เตาเผาศพปลอดมลพิษตามมาตรฐาน ของกรุงเทพมหานคร และกรมควบคุมมลพิษ อยู่ประมาณ ๒,๐๐๐ แห่ง ซึ่งเป็นเตาเผาแบบสองห้องเผา โดยห้องแรกเป็นห้องเผาศพ และห้องท่ีสองเป็นห้องเผาก๊าซและควันก่อนระบายสู่ชั้นบรรยากาศ และมีการใช้ เชอื้ เพลิงหลากหลายชนดิ ไดแ้ ก่ ฟืนหรอื ถา่ น นา้ มันดเี ซล และก๊าซ LPG ผลการพิจารณา ข้อเสนอแนะการแกไ้ ขปญั หาฝนุ่ ละอองขนาดเล็กจากการณาปนกจิ ศพ ๑) ออกนโยบายท่เี ออื้ ต่อการปรับสุสานและฌาปนสถานใหป้ ลอดมลพิษ เชน่ กาหนดกรอบเวลา ในการจัดฌาปนกิจทเ่ี หมาะสม ๒) สนับสนนุ งบประมาณหรือประสานงานผ่านการบริจาคเพื่อพัฒนาปรับปรุงฌาปนสถานที่มีอยเู่ ดิม ๓) ร่วมมือกับกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงอุตสาหกรรม โดยสานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ในการกาหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์ เตาเผาศพ หรือ มอก. ท่ไี ดม้ าตรฐานการปลดปล่อยมลพิษตามคู่มือแนวทางด้านเทคนิคและแนวทางการปฏิบัติ ด้านส่ิงแวดล้อม (คพ.๐๔-๑๗๓) ของกรมควบคุมมลพิษ โดยต้องมีช่องที่ทาการวัดที่ปล่องได้โดยไม่รบกวน เจ้าภาพ มีระบบสองห้องเผาท่ีให้เกิดการเผาไหม้สมบูรณ์ มีการควบคุมอัตโนมัติ (ลดการควบคุมโดยคน) และมีการบันทกึ ค่าและตรวจสอบย้อนกลบั ได้ ๔) ศึกษาความเป็นไปได้และสง่ เสริมการใช้สารไกอา เอช เพื่อลดการเกดิ มลพิษจากการฌาปนกิจศพ

บทท่ี ๔ บทสรปุ และขอ้ สังเกตของคณะกรรมาธกิ าร ๔.๑ บทสรปุ รายงานการศกึ ษา ปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM ๒.๕) เป็นปัญหาสาคัญและต้องได้รับการแก้ไขอย่างจาเป็นเร่งด่วน เน่ืองจากปัญหาดังกล่าวส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน ระบบเศรษฐกิจ และทรัพยากรธรรมชาติ ของท้ังประเทศไทย และในระดับโลกอย่างมีนัยสาคัญ คณะกรรมาธิการจึงได้วิเคราะห์สาเหตปุ ัญหาฝุ่นละออง ขนาดเล็ก และพิจารณาข้อเสนอแนะและแนวทางการแก้ไขปัญหา แบ่งตามแหล่งกาเนิดฝุ่นละอองหลัก ๕ แหล่ง ได้แก่ (๑) การขนส่งคมนาคม (๒) ภาคอุตสาหกรรม (๓) การเผาในที่โล่ง (๔) ไฟป่า และ (๕) หมอกควัน ข้ามแดน ปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กจากแหล่งกาเนิดต่าง ๆ แตกต่างกันตามพื้นที่ศึกษาหลัก ในขณะที่ปัญหา ฝุ่นละอองจากการคมนาคมพบมากในเขตพื้นที่เศรษฐกิจขนาดใหญ่ท่ีมีการจราจรหนาแน่น ฝุ่นละอองจากอุตสาหกรรม พบมากในเขตอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ฝุ่นละอองจากการเผาที่โล่งพบมากในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือ และภาคกลาง ที่มีการเพาะปลูกอ้อย ข้าว และข้าวโพดเล้ียงสัตว์จานวนมาก และฝุ่นละอองจากไฟป่า พบมากในเขตภาคเหนือ ซึ่งมีรอยต่อของพื้นที่ป่าและพื้นท่ีชุมชนมาก แนวทางการแก้ไขปัญหาจึงจาเป็น ต้องพิจารณาตามความเหมาะสมในแตล่ ะพน้ื ที่ ทั้งนี้ จากการศึกษาสภาพปัญหาและอุปสรรค พบว่าการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กท่ีดีที่สุด คือการแก้ไขที่ต้นกาเนิดของฝุ่นละออง นอกจากน้ี การสะท้อนความสาคัญและต้นทุนทางสิ่งแวดล้อมที่แท้จริง ในระดบั ประเทศเป็นเปา้ หมายท่ีสาคัญในการแก้ไขปญั หาสิง่ แวดล้อมอย่างยงั่ ยนื การจัดการปัญหาข้างต้นต้องเน้นหลักการท่ีว่า ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมไม่ใช่ของฟรี มตี ้นทนุ ในการใช้งาน การกอ่ มลพิษหรือสร้างผลกระทบในทางลบต่อส่ิงแวดล้อมเป็นผลกระทบภายนอกเชิงลบ (Negative Externalities) ต่อประเทศ ทแี่ มจ้ ะยงั ไมเ่ หน็ ผลกระทบในเชิงเศรษฐกิจและสงั คมอยา่ งเป็นรปู ธรรม ในปัจจุบัน แต่อาจสร้างความเสียหายต่อท้ังเศรษฐกิจ สุขภาพประชาชน และความมั่นคงของชาติได้ ในระยะยาว ดังน้ัน จึงมีความจาเป็นเร่งด่วนในการนาแนวคิดผกู้ ่อมลพิษเป็นผู้จา่ ย (Polluter Pays Principle : PPP) ท่ีให้ความสาคัญกับการนาต้นทุนท่ีเกิดจากการก่อมลพิษทางส่ิงแวดล้อมมาเป็นส่วนหนึ่งของต้นทุนการผลิต สินค้าหรือการมาประยุกต์ใช้รวมกับการบริหารจัดการส่ิงแวดล้อมควรเป็นอีกหน่ึงกรอบในการวางกลยุทธ และนโยบายของภาครัฐ ทุกองคาพยพของรัฐจาเป็นต้องทาการประเมินส่ิงแวดล้อมร ะดับยุทธศาสตร์ (Strategic Environmental Assessment : SEA) ทุกครั้งเมื่อทาการกาหนดนโยบาย หรือจัดทาโครงการ ท่ีทุกส่วนราชการเสนอ มีการใช้มาตรการด้านการเงินและการคลัง เพื่อให้ครอบคลุมถึงต้นทุนทางส่ิงแวดล้อม ในการคุ้มครอง อนุรักษ์ ฟ้ืนฟู และบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม รวมถึงกาหนด กระบวนการในการขับเคล่ือนการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กและปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นรูปธรรม ทง้ั น้ี เพือ่ บรรลเุ ป้าหมายยทุ ธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปแี ละการพัฒนาอยา่ งยงั่ ยืนของสหประชาชาติ (SDGs) โดยจากการสารวจความคิดเห็นของประชาชนเก่ียวกับสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM ๒.๕) โดยดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต พบว่า ประชาชนจากกลุ่มตัวอย่างร้อยละ ๕๑.๕๕ เห็นด้วยกับการเก็บภาษี ส่ิงแวดล้อมเพื่อคุณภาพอากาศที่ดีขึ้น ถึงแม้ต้นทุนสินค้าและบริการและค่าครองชีพอาจสูงขึ้น โดยมีท้ังผู้ที่เห็นว่า รฐั บาลควรดาเนนิ การเปลย่ี นแปลงอย่างคอ่ ยเปน็ ค่อยไปและรฐั บาลควรเร่มิ ดาเนินการทันที ดงั ต่อไปนี้

๑๕๗ ตารางท่ี ๑๒ ผลการสารวจความคดิ เห็นของประชาชนเก่ยี วกบั การเกบ็ ภาษสี ง่ิ แวดล้อม ประชาชนมีความคดิ เห็นอยา่ งไร ถา้ จะมีการเกบ็ ภาษสี งิ่ แวดล้อม กล่าวคอื หากต้นทุนสนิ ค้าและบรกิ าร/คา่ ครองชีพสงู ขน้ึ แตค่ ณุ ภาพอากาศดขี น้ึ ที่ คาตอบ ภาพรวม เพศ พน้ื ท่ี สถานภาพ (เปอร์เซ็นต์) ชาย หญิง กรงุ เทพฯ ต่างจังหวัด ประชาชน กลุ่มเสีย่ ง ๑ ไม่เห็นด้วย รฐั บาลควรรักษาระดับคา่ ครองชีพ ๔๗.๕๑ ๔๙.๑๕ ๔๕.๙๑ ๔๘.๒๘ ๔๖.๗๘ ๔๖.๘๐ ๔๙.๐๙ และประชาชนควรมีคุณภาพอากาศที่ดไี ด้พร้อมกนั ๒ เห็นด้วย แตร่ ฐั บาลควรมีการปรับเปลยี่ น ๒๗.๗๙ ๒๖.๙๔ ๒๘.๖๒ ๑๙.๙๒ ๓๕.๓๖ ๒๗.๖๒ ๒๘.๑๘ อย่างคอ่ ยเป็นคอ่ ยไป ๓ เห็นดว้ ย และรฐั บาลควรเรมิ่ ดาเนินการทันที ๒๓.๗๖ ๒๓.๑๕ ๒๔.๓๕ ๓๑.๔๒ ๑๖.๓๙ ๒๔.๙๐ ๒๑.๒๑ ๔ ไม่เห็นดว้ ย คณุ ภาพอากาศไม่สาคญั ๐.๙๔ ๐.๗๖ ๑.๑๒ ๐.๓๘ ๑.๔๗ ๐.๖๘ ๑.๕๒ ทม่ี า: สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ๔.๒ ขอ้ สงั เกตของคณะกรรมาธิการ ๑. ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดลอ้ มไมใ่ ชข่ องฟรี มีตน้ ทนุ ในการใชง้ าน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไม่ใช่ของฟรี มีต้นทุนในการใช้งาน การก่อมลพิษหรือสร้าง ผลกระทบในทางลบต่อสิ่งแวดล้อมเป็นผลกระทบภายนอกเชิงลบ (Negative Externalities) ต่อประเทศ ท่ีแม้จะยังไม่เห็นผลกระทบในเชิงเศรษฐกิจและสังคมอย่างเป็นรูปธรรมในปัจจุบัน แต่สามารถสร้ าง ความเสียหายต่อทั้งเศรษฐกิจ สุขภาพประชาชน และความม่ันคงของชาติได้ในระยะยาว อย่างไรก็ดี การผลิต และกิจกรรมต่าง ๆ ในปัจจุบันคานวณรวมเพียงต้นทุนทางเศรษฐกิจเท่านั้น ไม่ได้มีการคานวณรวมต้นทุน ทางสิ่งแวดล้อม และไม่ได้มีนโยบายหรือกฎหมายที่ครอบคลุมต้นทุนทางสิ่งแวดล้อม ทาให้การผลิต และการบริโภคสินค้าและบริการบางประเภทส่งผลทาลายส่ิงแวดล้อมโดยไม่รู้ตัว การสะท้อนความสาคัญ และต้นทุนทางส่ิงแวดล้อมท่ีแท้จริงในระดับประเทศจึงเป็นหนึ่งในเป้าหมายท่ีสาคัญในการแก้ไขปัญหา ฝุ่นละอองขนาดเล็ก และปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างย่ังยืน ดังนั้น จึงมีความจาเป็นเร่งด่วนในการนาหลักการ ผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย (Polluter Pays Principle : PPP) ที่ให้ความสาคัญกับการนาต้นทุนที่เกิดจากการก่อมลพิษ ทางสง่ิ แวดลอ้ มมาเปน็ สว่ นหนง่ึ ของตน้ ทุนการผลิตสนิ คา้ หรอื การบรกิ าร และนาหลักการ ๓R (Reduce Reuse and Recycle : ๓Rs) มาใช้ในกระบวนการผลิตเพ่ือให้เกิดของเสียท่ีเหลือจากการผลิตน้อยท่ีสุด โดยหน่ึงในแนวคิด ที่จะชว่ ยขบั เคลื่อนหลกั การผ้กู ่อมลพิษเป็นผู้จ่าย ได้แก่ การพัฒนาระบบการซ้ือขายคาร์บอนทเี่ ป็นทางการ ๒. กลไกตลาดสามารถนามาใชส้ ะท้อนตน้ ทุนทางสง่ิ แวดล้อมและแก้ไขปญั หาได้อย่างย่ังยนื ระบบการซ้ือขายคาร์บอนเป็นการกาหนดมูลค่าทางเศรษฐกิจให้แก่ปริมาณคาร์บอนท่ีปลดปล่อย โดยกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่าง ๆ เช่น การคมนาคม การผลิตภาคอุตสาหกรรม การเกษตร ระบบการซ้ือขาย คาร์บอนเป็นการใช้กลไกตลาดในการสร้างแรงจูงใจให้ชุมชนและผู้ผลิตหาแนวทางหรือเทคโนโลยีท่ีลด การปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่มีประสิทธิภาพสูงสุด การพัฒนาระบบการซื้อขายคาร์บอนแบบกาหนดเพดาน การลดและจัดสรรสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจะเป็นกลไกสาคัญในการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และฝุ่นละอองในประเทศอย่างย่ังยืน โดยใช้การพัฒนาโครงการคาร์บอนรวมถึงการควบคุมและจากัดสิทธิ ในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพ่ือให้บรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต ามที่กฎหมายบังคับ (Legally binding target) หรือตลาดซื้อขายคาร์บอนที่ถูกสร้างขึ้นโดยไม่ได้มีกฎหมายบังคับที่เกิดจาก ความร่วมมือกันของภาคเอกชนเพื่อช่วยลดปัญหาด้านการเปล่ยี นแปลงสภาพภูมิอากาศโดยสมัครใจ ซ่ึงไม่ได้มี

๑๕๘ ผลผูกพันตามกฎหมาย (Non - legally binding target) และดาเนินการซื้อขายคาร์บอนเครดิตหรือสิทธิ ในการปล่อยกา๊ ซเรอื นกระจกมาชดเชยปริมาณการปล่อยกา๊ ซเรอื นกระจกของตนเอง ทั้งนี้ ระบบการซ้ือขายคารบ์ อนเปน็ กลไกท่สี ามารถแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กในหลายภาคส่วน พร้อมกัน เช่น ชุมชนสามารถนาปริมาณคาร์บอนท่ีป่าชุมชนสามารถดูดซับได้หรือเกษตรกรสามารถนา ปริมาณคาร์บอนที่ลดได้จากการกาจัดชีวมวลทางการเกษตรอย่างถูกวิธี มาขายให้แก่ภาคคมนาคม และอตุ สาหกรรมทีม่ ีการสร้างคาร์บอนมากเกนิ กวา่ ปริมาณที่กฎหมายกาหนด เกดิ เปน็ รายได้ทสี่ ามารถนามาใช้ ดูแลรักษาและป้องกันไฟป่าและเป็นรายได้เสริมแก่ชุมชน กระตุ้นให้ชุมชนดูแลรักษาป่าชุมชนและป่าอนุรักษ์ และจัดการพ้ืนที่ทางการเกษตรท่ีส่งผลบวกต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ภาคอุตสาหกรรมสามารถคิดค้นหา แนวทางการผลิตที่เป็นมิตรต่อส่ิงแวดล้อมเพื่อลดการปล่อยคาร์บอนและต้นทุนการผลิตให้ได้มากท่ีสุด อาทิ การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ลม ทดแทนถ่านหิน การปรับปรุงระบบไฟฟ้าแสงสว่างเป็นหลอด ประหยัดพลังงาน การผลิตก๊าซชีวภาพ เป็นต้น โดยนอกจากตลาดการค้าคาร์บอนเครดิตจะสามารถสร้างแรงจูงใจ ในการดูแลรักษาป่าในระดับท้องถ่ินและทาให้เกิดการผลิตท่ีเป็นมิตรต่อส่ิงแวดล้อมแล้ว ตลาดการค้าคาร์บอนเครดิต ยังจะช่วยลดภาระของภาครัฐในการจัดสรรทรัพยากรบุคคลและงบประมาณป้องกันและดับไฟป่า ควบคุมดูแล มลพิษ และดูแลพัฒนาให้ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมของประเทศอยู่ในภาวะท่ีสมบูรณ์อีกด้วย ทั้งน้ี เป็นเพราะรายได้จากการขายคาร์บอนเครดิตของชุมชนท่ีอาศัยอยู่ใกล้หรือร่วมกับป่าสามารถนามาใช้ เพื่อการดูแลรักษาป่า และป้องกันไฟป่า อีกท้ังยังลดภาระของภาครัฐในการจัดสรรทรัพยากรบุคคล และงบประมาณเพื่อป้องกันและดับไฟป่า ตัวอย่างของกิจกรรมที่เป็นรูปธรรมที่สามารถลดปริมาณการปล่อย ก๊าซเรือนกระจกอื่น เมื่อระบบการซื้อขายคาร์บอนดาเนินการแล้วเสร็จในระยะสั้น และภาครัฐขยายผลครอบ คลมุ มลพษิ ประเภทอ่ืน เช่น ฝนุ่ ละอองขนาดเล็ก หรือฝุ่นทุติยภมู ิ ตอ่ ไปได้ในระยะยาว ๓. ทุกคนเป็นสว่ นหน่ึงของปญั หาและจาเปน็ ตอ้ งมีส่วนรว่ มในการแก้ไขปัญหา ประชาชนทุกคนเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาทางส่ิงแวดล้อม ความต้องการอุปโภคบริโภคส่งผลโดยตรง ต่อการตัดสินใจผลิตสินค้าและบริการของภาคอุตสาหกรรมและการเกษตร สินค้าและบริการเหล่าน้ันอาศัย ภาคคมนาคมในการขนส่งมายังมือผ้บู ริโภค ผูบ้ รโิ ภคเองก็มีการเดินทางคมนาคมอยา่ งต่อเน่ืองในชีวติ ประจาวัน และในบางกรณีสินค้าและบริการเหล่าน้ันยังสร้างผลกระทบต่อการใช้ทรัพยากรธรรมชาติจากป่าทั้งทางตรง และทางอ้อม ประชาชนทุกคนจึงจาเป็นต้องมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาทางส่ิงแวดล้อม แต่ประชาชน จะเข้าใจสภาพปัญหาและให้ความร่วมมือเป็นแนวร่วมในการแก้ไขปัญหาได้อย่างเต็มที่ก็ต่อเมื่อภาครัฐ มีการประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ข้อมูลท่ีเป็นกลาง มีความโปร่งใส และทันต่อสถานการณ์ มีการสร้างความเชอื่ มโยง มิติทางด้านการใช้ทรัพยากรธรรมชาติสู่การใช้ชีวิต และมีการตรากฎหมายและบังคับใช้กฎหมายที่สามารถส่งเสริม พฤติกรรมการรักษาส่ิงแวดล้อมอย่างแท้จริง ทั้งน้ี เราทุกคนต้องพึงตระหนักเสมอว่าเป็นหน้าที่ของเราทุกคน ท่ีจะส่งมอบทรัพยากรธรรมชาติที่มีคุณภาพเทียบเท่าหรือดีกว่าให้ประชากรรุ่นต่อไป โดยสามารถพิจารณา แนวทางการแก้ไขปญั หาหลกั ได้ ดังตอ่ ไปน้ี ๔. ขอ้ สังเกตแบง่ ตามแหล่งกาเนดิ ของฝุน่ ละอองขนาดเลก็ (PM ๒.๕) ๑) การแก้ไขปญั หาฝ่นุ ละอองขนาดเลก็ จากการคมนาคม ๑.๑) เพิ่มพ้ืนท่ีสีเขียวในเขตเมืองเพ่ือช่วยดูดซับฝุ่นละอองขนาดเล็กที่เกิดจากกิจกรรม ในเขตเมือง เช่น ตามแนวถนนสายหลัก รถไฟฟ้า และ/หรือใตพ้ ้ืนทที่ างดว่ น เปน็ ตน้ ๑.๒) ลดมลพิษในยานยนตท์ ี่ปลอ่ ยมลพษิ มากทุกประเภททนั ที รวมถงึ (๑) บังคบั ติดตั้งอุปกรณก์ รองมลพษิ

๑๕๙ (๒) ตรวจจับยานยนต์ที่ปล่อยมลพิษควันดาหรือควันขาว โดยเฉพาะในพื้นท่ีซึ่งมีแนวโน้ม จะมีปริมาณฝุ่นละอองมาก ผ่านการต้ังด่านตรวจจับ หรือการใช้เทคโนโลยีพร้อมให้รางวัลนาจับสาหรับผู้รายงาน และบังคับห้ามวิ่งจนกว่าจะมีการซ่อมบารุงให้อยู่ในเกณฑ์ปกติของเคร่ืองยนต์ชนิดนั้น ๆ พร้อมทั้งดาเนินการ ตดิ ตามโดยอาจกาหนดระยะเวลาให้มีการรายงานผลการซอ่ มบารงุ (๓) จัดหาบุคลการให้เพียงพอในการดาเนินการรับฟังข้อร้องเรียนที่เก่ียวเนื่องกับปัญหา ยานยนต์ท่ีปล่อยมลพิษควันดาหรือควันขาวบนท้องถนน พร้อมท้ังดาเนินการติดตามการแก้ไขปัญหาที่มี การร้องเรียนอยา่ งรวดเรว็ (๔) ออกข้อบังคับจากัดยานยนต์ที่ปล่อยมลพิษสูงห้ามเข้ามาในเขตเมืองในช่วงท่ีมี ค่าฝนุ่ ละอองสงู (๕) เพ่ิมความเข้มงวดในการตรวจสอบประสิทธิภาพและความโปร่งใสในการตรวจสอบ สภาพยานยนต์ โดยนาเทคโนโลยีเข้ามาใช้เพ่ือเพ่ิมประสิทธิภาพในการตรวจสอบ เนื่องจากยานยนต์บนท้องถนน มีแนวโน้มก่อมลพิษมากขึ้นตามอายุการใช้งานของยานยนต์ การตรวจสอบสภาพยานยนต์ที่เข้มงวด และเป็นระบบจะสามารถช่วยคัดกรองยานยนต์ท่ีก่อมลพิษสูงกว่ามาตรฐานที่กาหนดเพื่อให้เกิดการปรับปรุง คณุ ภาพยานยนต์ใหเ้ ป็นไปตามมาตรฐานและสามารถลดมลพิษจากยานยนต์บนท้องถนนอย่างมนี ัยสาคญั (๖) พิจารณาให้มีบทลงโทษผู้ทาหน้าท่ีตรวจสภาพยานยนต์และผนู้ ารถยนต์มาตรวจสภาพ หากมกี ารทุจริตในการตรวจสภาพยานยนต์ ๑.๓) ใช้เครื่องมือทางเศรษฐกิจและการเงินเพ่ือเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้ผลิตและผู้บริโภค เช่น ภาษีสรรพสามิตและภาษีต่อทะเบียนยานยนต์ที่สอดคล้องกับปริมาณการปล่อยมลพิษ การปรับโครงสร้าง การหักเงินเข้ากองทุนเชื้อเพลิงและการเลิกอุดหนุนราคาน้ามันดีเซล และปรับปรุงการเก็บค่าธรรมเนียม ตามปริมาณมลพิษจากการใช้งานยานยนต์ศึกษาและวางแผนสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้าอย่างเป็นรู ปธรรม ต้ังแต่การผลิต การพัฒนาสถานีอัดประจุ การปรับมาตรฐานค่าไฟฟ้าที่เหมาะสม และรวมถึงให้แรงจูงใจ ในการเปล่ียนไปใชย้ านยนต์พลงั งานสะอาด และให้แรงจงู ใจท่มี ากข้นึ เม่อื เปลย่ี นไปใช้ยานยนตไ์ ฟฟ้า ๑.๔) พัฒนาระบบขนส่งมวลชนให้ไม่ก่อมลพิษและครอบคลุมพื้นที่ชุมชนอย่างแท้จริง โดยเริ่มจากการกาหนดให้หน่วยงานภาครัฐและระบบขนส่งมวลชนให้ใช้ยานยนต์ไฟฟ้าทั้งหมด โดยระยะแรก ให้กาหนดสาหรับหน่วยงานที่ต้ังในพ้ืนท่ีท่ีมีปัญหามลพิษ หรือในเมืองท่ีมีปัญหามลพิษจากการคมนาคมมาก รวมถึงสนับสนุนให้ประชาชนใช้ระบบขนส่งสาธารณะมากขึ้น เช่น จัดอาคารจอดรถให้ประชาชนหันมาใช้งาน ระบบขนสง่ มวลชนมากข้ึน ๑.๕) พิจารณานาน้ามนั มาตรฐาน Euro ๕ ทสี่ ามารถผลิตได้ในจานวนท่ีจากดั จากการผลิตน้ามัน มาตรฐาน Euro ๔ ในปัจจบุ ัน มาจาหนา่ ยในชว่ งที่มคี า่ ฝนุ่ ละอองสูงของทกุ ๆปี (เดอื นมกราคมถึงเมษายน) ๑.๖) ให้รัฐบาลพิจารณาปรับราคา NGV ให้อยู่ในระดับที่สามารถสร้างแรงจูงใจให้ผู้ใช้ยานยนต์ กลับมาใช้ NGV เนื่องจากเป็นช่องทางท่ีสามารถลดปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กที่มาจากยานยนต์ อยา่ งมนี ัยสาคญั ๑.๗) พิจารณาให้มีการศึกษาความเป็นไปได้ในการเปิดเสรี LNG เพื่อให้มีการแข่งขันที่เป็นไป ตามกลไกตลาด ๑.๘) ส่งเสริมการผลิตและการใช้งานยานยนต์ไฟฟ้าอย่างครบวงจร รวมถึงการสร้างสถานี อัดประจุไฟฟ้าทัว่ ประเทศ และการส่งเสริมการลงทนุ และการพฒั นาโครงสรา้ งการผลิตท่รี องรับธรุ กิจเก่ยี วเน่ือง กับการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า ท้ังนี้ เพ่ือเป็นการเสริมศักยภาพในการพัฒนาประเทศจากเดิมที่เป็นฐาน การผลิตยานยนต์ให้ครอบคลุมการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าตามทิศทางการเจริญเติบโตของอุตสาหกรรม

๑๖๐ การผลิตยานยนต์ในอนาคต โดยควรดาเนินการให้แล้วเสร็จภายในปี พ.ศ. ๒๕๗๓ เพ่ือให้ไม่เสียโอกาส ในการแข่งขนั กับประเทศฐานการผลติ ยานยนต์ท่ีสาคัญอื่น ๒) การแกไ้ ขปญั หาฝนุ่ ละอองขนาดเล็กจากภาคอตุ สาหกรรม ๒.๑) เร่งให้มีบัญญัติกฎหมายว่าด้วยทาเนียบการปลดปล่อยและเคล่ือนย้ายมลพิษ (Pollutant Release and Transfer Registration : PRTR) เพ่ือให้โรงงานอุตสาหกรรมต้องรายงานการปล่อยมลพิษ ทางอากาศให้กับสว่ นราชการทีเ่ กีย่ วขอ้ งทราบ โดย (๑) ศึกษาและเก็บข้อมูลพ้ืนฐานประเด็นการปล่อยฝุ่นควันและมลพิษจากภาคอุตสาหกรรม ท่ัวประเทศ โดยการขบั เคลื่อนแผนขยายผลโครงการนารอ่ งของโครงการทาเนียบการปลดปล่อยและเคล่ือนย้าย มลพิษ (PRTR) ไปสู่การปฏิบัติในวงกว้าง และประสานงานให้กระทรวงอุตสาหกรรมขยายผลโรงงาน ที่เป็นกลุ่มเส่ียง ให้จัดทาบัญชีการระบายมลพิษทางอากาศ และให้มีการตรวจวัดสารระเหยเพิ่มเติม จากโครงการนารอ่ งของโครงการ PRTR ดังกลา่ ว (๒) เปิดเผยข้อมูลการระบายฝุ่นควันของโรงงานต่าง ๆ จากรายงานตรวจวัดปล่อง ที่ส่งเป็นประจาอยู่แล้วมายังกรมโรงงานอุตสาหกรรมให้สาธารณชนเข้าถึงได้อย่างง่ายและตลอดเวลา ๒.๒) เฝ้าติดตามและส่งสัญญาณความเข้มงวดต่อโรงงานท่ีมีการปล่อยมลพิษมาก ที่ได้จาก การวิเคราะห์ข้อมูลจากโครงการทาเนียบการปลดปล่อยและเคลื่อนย้ายมลพิษ (PRTR) ผ่านการประสานงาน ของหน่วยงานตา่ งๆ ๒.๓) ขอความร่วมมือโรงงานลดกาลังการผลติ ในช่วงที่ปัญหาฝนุ่ ควันมีความรุนแรง โดยอาจพิจารณา งดเว้นการขอความร่วมมือจากกลุ่มโรงงานท่ีเข้าร่วมในโครงการทาเนียบการปลดปล่อยและเคลื่อนย้ายมลพิษ (PRTR) อยู่แลว้ เพอ่ื เปน็ รางวลั และแรงจงู ใจให้เขา้ ร่วมโครงการ PRTR ดังกลา่ ว ๒.๔) ออกมาตรการเพ่ือสะท้อนตน้ ทุนทางส่ิงแวดล้อมทแี่ ทจ้ รงิ โดยกาหนดบทลงโทษกับโรงงาน อุตสาหกรรมท่ีปลดปล่อยมลพิษเกินเกณฑ์มาตรฐาน และให้แรงจูงใจทางเศรษฐกิจ ในด้านเทคนิค และ/หรือ สิทธิประโยชน์ทางภาษีหรือเง่ือนไขในการส่งเสริมการลงทุนเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตและลดการปล่อย ฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM ๒.๕) โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมท่ีเป็นแหล่งปล่อยฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM ๒.๕) หลัก เช่น โรงไฟฟ้า โรงงานปูนซิเมนต์ ฯลฯ และให้กลุ่มอุตสาหกรรมดังกล่าวเป็นต้นแบบในการขยายผล ในโรงงานประเภทอน่ื ต่อไป ๒.๕) ศึกษาผลกระทบ และสัดส่วนการก่อมลพิษของฝุ่นทุติยภูมิ รวมถึงกาหนดมาตรฐาน ค่าสารอินทรีย์ระเหยง่ายรวม (TVOC : Total Volatile Organic Compound) พร้อมกาหนดแนวทาง การแกไ้ ขปัญหาในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายนอกเหนือไปจากภาคอุตสาหกรรมเคมี เนือ่ งจากเกณฑ์มาตรฐาน ฝุ่นทุตยิ ภูมิปัจจุบันระบุเพียงสารระเหยบางสารประกอบ ๓) การแกไ้ ขปญั หาฝ่นุ ละอองขนาดเล็กจากการเผาท่โี ล่ง ๓.๑) จดั ตง้ั ศูนย์อานวยการการบรหิ ารจดั การการเผาในพน้ื ท่ีเกษตร และใหห้ น่วยงานทเ่ี ก่ียวข้อง จดั ทาขอ้ มลู Hotspot และ Burn scar เพือ่ พัฒนาระบบการรายงานสถานการณฝ์ นุ่ ทีเ่ หมาะสมในระดบั ท้องถ่ิน ท่ัวประเทศ รวมทั้งส่งข้อมูลให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเพ่ือใช้ประกอบการกาหนดนโยบายควบคุมการเผา และวางมาตรการ จัดการทสี่ อดคลอ้ งกับการเพาะปลูกในแตล่ ะพื้นที่ ๓.๒) บริหารจัดการการเผา โดยให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นศูนย์กลางในการกาหนดนโยบาย ผ่านการจัดระเบียบการชิงเผาในท้องถิ่น กาหนดมาตรการควบคุมการเผาป้องกันการลุกลาม ปฏิทินวันชิงเผา ที่สัมพันธ์กับสภาพอากาศผา่ นการใช้เทคโนโลยกี ารพยากรณ์และการคาดการณ์ฝุ่นควันด้วยระบบคอมพิวเตอร์

๑๖๑ เพ่ือลดการสะสมของฝุ่นละอองขนาดเล็กที่เกิดจากการเผาชีวมวล โดยอ้างอิงข้อมูลจากศูนย์อานวยการ การบริหารจัดการการเผาในพื้นทเี่ กษตร จดั ตง้ั ตามข้อเสนอแนะขอ้ ที่ ๓.๑) ๓.๓) ส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากวัสดุเหลือท้ิงทางการเกษตรด้วยเทคโนโลยีอย่างง่าย ได้แก่ การแปรรูปชีวมวลให้เป็นพลังงานและผลพลอยได้ (เช่น ชีวมวลอัดแท่ง ถ่านอัดแท่งไร้ควัน และน้าส้มควันไม้) การอัดก้อนฟางข้าว ต้นข้าวโพด ใบอ้อย เพ่ือขาย หรือการไถกลบทาให้ชีวมวลเป็นปุ๋ย พร้อมทั้งสนับสนุน การจัดหาเครื่องมือหรืออุปกรณ์ท่ีเหมาะสม เช่น รถไถ เคร่ืองอัดก้อนฟาง เตาเผาถ่าน ๒๐๐ ลิตร ฯลฯ ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินมีไว้บริการประชาชน เพื่อสร้างมูลค่าเพ่ิมให้แก่ชีวมวลท่ีมักมีการเผา เม่ือชีวมวลเหล่านมี้ มี ูลคา่ เกษตรกรกจ็ ะลดการเผาและหนั มาเกบ็ เกยี่ วชีวมวลเหลา่ นเ้ี ปน็ รายไดเ้ สริมแทน ๓.๔) ส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกพืชทางเลือกที่ไม่มีการเผาทั้งในช่วงเตรียมการปลูกและการเก็บเกี่ยว เช่น ไม้ผล โดยคานงึ ถงึ ความเหมาะสมของพ้นื ทแี่ ละการจงู ใจด้วยราคาผลผลติ ๓.๕) ส่งเสริมการใช้เครื่องจักรทั้งการเก็บเก่ียวและการรวบรวมชีวมวลในไร่อ้อย โดยสารวจ ความต้องการใช้รถเก็บเกี่ยวในแต่ละพื้นที่ สนับสนุนการปรับแปลงให้เหมาะสมกับการใช้เครื่องจักรเก็บเกี่ยว และสนับสนุนและเร่งรัดการให้เงินกู้ดอกเบ้ียต่าแก่โรงงานหรือกลุ่มเกษตรกร ผ่านธนาคารเพ่ือการเกษตร และสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) การยกเว้นภาษีมูลค่าเพ่ิม ภาษีการนาเข้า ในการซ้ือเคร่ืองจักร ผ่านสานักงาน คณะกรรมการสง่ เสริมการลงทุน (บีโอไอ) เพื่อให้เกษตรกรเข้าถึงเคร่ืองจักรได้งา่ ยและในราคาทเี่ หมาะสม ๓.๖) สนับสนุนการรวมกลุ่มเกษตรกรเป็นสหกรณ์หรือวิสาหกิจชุมชน เพื่อให้เกิดการระดมทุน และร่วมกันใช้เคร่ืองจักรแทนการเผาไร่ โดยให้มีการรวมกลุ่มชาวไร่รายย่อยเป็นสหกรณ์หรือวิสาหกิจชุมชน ท่ีถือหุ้นโดยภาครัฐ (เช่น สอน.) สมาคมชาวไร่อ้อย และ/หรือโรงงาน เพ่ือให้การร่วมกลุ่มมีความเป็นกลาง และมีมืออาชีพมาบรหิ ารได้อย่างมีประสทิ ธิภาพ ๓.๗) ผลักดันมาตรฐานสินค้าเกษตรที่มีระบบสอบกลับ เพ่ือเพิ่มแรงจูงใจให้โรงงาน ผู้ผลิต และผู้บริโภค หันมาสนใจแหล่งที่มาของวัตถุดิบทางเกษตร พร้อมท้ังติดฉลากบนสินค้าเกษตรกรรมที่ไม่เผา เพ่ือเพ่ิมความตระหนักด้านสิ่งแวดล้อมของผู้ผลิตและผู้บริโภค เช่น มาตรฐานการผลิตอ้อยและน้าตาล อย่างย่งั ยืน BONSUCRO (บองซูโคร) และมาตรฐานเกษตรอินทรียแ์ หง่ ประเทศไทย (มกท.) ๓.๘) นาหลักการผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย (Polluter Pays Principle : PPP) ไปประยุกต์ใช้ในการ ควบคุมผลผลิตทางการเกษตรท่ีมีการเผา ๔) การแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเลก็ จากไฟป่าในพน้ื ทอี่ นรุ กั ษ์ ๔.๑) สนับสนุนกาลังและงบประมาณส่วนกลางจากรัฐบาลให้สอดคล้องตามแผนมาตรการ ป้องกันไฟป่า เพ่ือให้การบังคับใช้สายบัญชาการในพื้นท่ีดาเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทันต่อเหตุการณ์ รวมทั้ง พิจารณาการกระจายอานาจให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา ๔.๒) จัดต้ังศูนย์อานวยการการบริหารจัดการการเผาโดยใช้ข้อมูลการพยากรณ์สภาพอากาศ ล่วงหน้าของกรมอุตุนิยมวิทยาเป็นฐานในการกาหนดช่วงเวลาปลอดภัยท่ีสามารถให้ประชาชนบริหารจัดการ เผาได้ (กรณีท่ีมีความจาเป็น) และสอดคลอ้ งกบั วถิ ีชวี ิต โดยต้องมีกฎของชุมชนช่วยควบคุม ๔.๓) ตดิ ตามผลการปฏบิ ัติตามพระราชบญั ญตั ิอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๒ เรือ่ งการกาหนดให้ ชุมชนมีส่วนร่วมในการดาเนินการและเร่งรัดการออกอนุบัญญัติรวมถึงกฎกระทรวงต่าง ๆ ตามที่ระบุไว้ ในกฎหมายท่ีเกี่ยวข้อง รวมถึงพัฒนาระบบแผนที่ ประเภทการใช้พื้นที่ สิทธิและการใช้ประโยชน์ของชุมชน ทอี่ าศยั อย่ใู นเขตพน้ื ท่ปี า่ ประเภทต่าง ๆ ให้ชัดเจน ๔.๔) ผลกั ดนั ใหเ้ กดิ การใช้ประโยชน์ในพ้ืนที่ทากินของชุมชน ภายใต้กรอบของกฎหมายท่ชี ัดเจน เพื่อเพ่ิมทางเลือกให้ชุมชนปลูกพืชยืนต้นระยะยาวท่ีสร้างรายได้และความม่ันคงทางรายได้ที่มากกว่า

๑๖๒ พืชเชิงเด่ียว เมื่อมีการปลูกพืชระยะยาว ชุมชนจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของแนวร่วมในการดูแลไฟป่า ท้ังนี้ เป็นเพราะเมื่อชุมชนปลูกไม้ยืนต้นในบริเวณใกล้เคียงป่า ไฟป่าอาจลุกลามสร้างความเสียหายแก่ผลผลิต ของชุมชน ชุมชนเองจึงจาเป็นต้องมีความต่ืนตัวต่อการเกิดไฟป่าและการดับไฟป่า ทาให้ช่วยลดปัญหาการเผา ในพืน้ ที่ปา่ อนรุ ักษไ์ ด้ ๔.๕) ตรากฎหมายรองรับการจัดตั้งตลาดการซื้อขายมลพิษ โดยเริ่มจากการจัดตั้งตลาดการซื้อ ขายคาร์บอนในระยะสั้น และในระยะยาวขยายให้ครอบคลุมถึงฝุ่นละอองชนิดอ่ืน ๆ อาทิ ฝุ่นละของขนาดเล็ก PM ๒.๕ และ VOC เป็นตน้ ๔.๖) ตรากฎหมายส่ิงแวดล้อมเพื่อรองรับระบบการกาหนดการปล่อยมลพิษ และการซ้ือขาย คาร์บอนเพ่ือชดเชยมลพิษท่ีมีการปล่อยเกิน โดยชุมชนสามารถนาปริมาณคาร์บอนท่ีป่าชุมชนสามารถ ดูดซับได้มาขายให้แก่ภาคคมนาคมและอุตสาหกรรมท่ีมีการสร้างคาร์บอนมากเกินกว่าปริมาณท่ีกฎหมาย กาหนด เกิดเป็นรายได้ท่ีสามารถนามาใช้ดูแลรักษาและป้องกันไฟป่าและเป็นรายได้เสริมแก่ชุมชน กระตุ้นให้ ชุมชนดูแลรักษาป่าชุมชนและปา่ อนุรักษ์ และจัดการพื้นที่ทางการเกษตรทีส่ ่งผลบวกต่อสิ่งแวดลอ้ มมากข้ึน ๔.๗) สรา้ งความตระหนกั ในเร่ืองไฟป่าและแนวทางการแก้ไขปัญหา ผา่ นการจัดเวทีเสวนาพดู คุย ปัญหาไฟป่าและแนวทางการแก้ไขจากภาคประชาชน รวมถึงพัฒนาระบบการศึกษาเรื่องส่ิ งแวดล้อม และสร้างค่านิยมให้เยาวชน ๕) การแกไ้ ขปญั หาฝนุ่ ละอองขนาดเล็กจากหมอกควนั ข้ามแดน ๕.๑) ผลักดันให้เกิดความร่วมมือในการจัดทาข้อมูลจุดความร้อน แหล่งที่มาของฝุ่นละออง และสถานการณ์หมอกควันข้ามแดนระหว่างหน่วยงานหรือศูนย์วิเคราะห์ข้อมูลในระดับทวิภาคีหรือพหุภาคี เพ่ือเป็นฐานข้อมูลหลักในการพิจารณาปัญหาหมอกควันข้ามแดน และสร้างแนวทางแก้ไขท่ีสอดคล้อง กบั การเพาะปลูกซ่ึงเปน็ แหล่งท่มี าของฝุ่นละอองในแตล่ ะพน้ื ท่ี ๕.๒) ผลักดนั ใหเ้ กิดความร่วมมือระหว่างประเทศในระดับอนุภมู ิภาค ในการถา่ ยทอดองค์ความรู้ เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาการเผาในท่ีโล่งและการจัดการไฟป่า อาทิ การสร้างต้นแบบเกษตรแบบไม่เผา เพื่อแก้ไขปัญหาหมอกควนั ขา้ มแดนที่แหล่งกาเนดิ ฝ่นุ ละอองอย่างยง่ั ยนื ๕.๓) ผลักดนั ใหม้ ีการสรา้ งข้อตกลงและกลไกที่เป็นมาตรฐานเดียวกันในการแก้ไขปัญหมอกควัน ขา้ มแดนในระดับทวภิ าคีหรือพหุภาคี โดยอาจม่งุ เนน้ ท่ปี ระเทศในกล่มุ อนภุ มู ภิ าคลุ่มนา้ โขง หรอื ประเทศสมาชิก อาเซียนซึ่งมีความพร้อมในการสร้างความร่วมมืออย่างจริงจัง และให้มีการพิจารณาใช้ข้อตกลงและกลไก ท่ีเป็นมาตรฐานเดียวกันในวงกว้างข้ึน เพ่ือให้เกิดการดาเนินการแก้ไขปัญหาท่ีสอดคล้องกันระหว่างประเทศ สมาชกิ อาเซยี น ๕.๔) ผลักดันให้เกิดความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนในภาคปฏิบัติอย่างมีประสิทธิภาพ มากข้ึนเพ่ือแก้ไขปัญหาหมอกควันข้ามแดน ไม่ว่าจะเป็นการลดการเผาในพื้นท่ีเกษตรหรือพื้นท่ีป่า อันเป็นแหล่งกาเนิดฝุ่น ผ่านคาม่ันสัญญา ข้อบังคับ การสร้างกลไกความร่วมมือในรูปแบบการสร้างการมีส่วนร่วม ในการแก้ไขปัญหาหมอกควันข้ามแดนระหว่างประเทศสมาชิก และจัดต้ัง ASEAN Aerial Fire - Fighting Network เพอื่ ร่วมมือ/ใหค้ วามชว่ ยเหลือระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนในกรณีเกิดอคั คีภยั ๕.๕) ผลักดันให้มีการพิจารณาการบงั คับใช้กฎหมายเดียวกันในระดับอาเซียน ในการดาเนินการ กับบุคคลหรือนิติบุคคลท่ีเป็นตัวการ ตัวการร่วม ผู้ใช้ หรือผู้สนับสนุนให้มีกิจกรรมหรือโครงการใด ๆ ท่ีก่อให้เกิด มลพิษทางอากาศท้ังในประเทศตนเองและประเทศสมาชิกอาเซียน

๑๖๓ คณะกรรมาธิการขอเสนอรายงานผลการศึกษาของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษา แนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM ๒.๕) อย่างเป็นระบบ และข้อสังเกต ของคณะกรรมาธิการ มาเพ่ือได้โปรดพิจารณาและนาเสนอต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป (นายบญุ สิงห์ วรนิ ทร์รักษ)์ เลขานกุ ารคณะกรรมาธิการวิสามญั พจิ ารณาศึกษาแนวทางป้องกัน และแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM ๒.๕) อย่างเปน็ ระบบ สภาผู้แทนราษฎร

ภาคผนวก


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook