Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore (4) เรื่องที่คณะกรรมาธิการพิจารณาเสร็จแล้ว

(4) เรื่องที่คณะกรรมาธิการพิจารณาเสร็จแล้ว

Published by agenda.ebook, 2020-08-27 04:32:45

Description: (4) เรื่องที่คณะกรรมาธิการพิจารณาเสร็จแล้ว การประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 25 ปีที่ 2 ครั้งที่ 26-27 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง) วันที่ 2-3 กันยายน 2563

Search

Read the Text Version

- ๑๘ - หมวด ๑ กฎหมายท่ีเกี่ยวข้องกับการป้องกันและแก้ไขปัญหาการข่มขืน กระทาชาเราและการลว่ งละเมิดทางเพศ ส่วนท่ี ๑ การแก้ไขเพ่ิมเตมิ บทนิยาม มาตรา ๑ (๑๘) “กระทาชาเรา” แหง่ ประมวล กฎหมายอาญา ๑. หลกั การและเหตผุ ล การตีความกระทาชาเรา ในอดีตมุมมองของนักกฎหมายไม่ได้นิยามคาว่า กระทาชาเรา หรืออนาจารไว้ เนื่องจากมองว่าการกระทาชาเราหรือการกระทาอนาจารชัดเจนอยู่แล้ว โดยมองเพียงผู้ชายกระทาต่ อผู้หญิง และจุดสาคัญ คือ มองเพียงว่าการใช้อวัยวะเพศชายสอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศหญิง การแบ่งเส้นระหว่าง กระทาชาเรากับอนาจารว่า อวัยวะเพศสอดใส่หรือยัง ถ้าสอดใส่ไปแล้วถือว่าเป็นการกระทาชาเราสาเร็จ ถ้าสอดใส่ไม่ได้ศาลจะพิจารณาว่าพฤติการณ์ถึงขั้นลงมือกระทาและเป็นพยายามหรือไม่ ถ้าไม่ถึงขั้นพยายาม ศาลจะตคี วามว่าเป็นการกระทาอนาจาร จนกระทั่งปัจจุบันมีการกระทาความผิดทางเพศท่ีเปล่ียนไป ท้ังการกระทา ระหว่างชายกับชาย หรือหญิงกับหญิง หรือหญิงบังคับขืนใจชาย ซึ่งนักกฎหมายมองว่า ควรคุ้มครองผู้ถูกกระทา มากข้ึนท่ีไม่ใช่เร่ืองของอวัยวะเพศ จนกระทั่งมีการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา ในปี พ.ศ. ๒๕๖๒ โดยให้นิยาม “กระทาชาเรา” ในมาตรา ๑ (๑๘) แหง่ ประมวลกฎหมายอาญา บญั ญัตวิ า่ ““กระทำชำเรำ” หมำยควำมว่ำ กระทำเพ่ือสนองควำมใคร่ของผู้กระทำ โดยกำรใช้ อวัยวะเพศของผ้กู ระทำลว่ งลำอวัยวะเพศ ทวำรหนัก หรือช่องปำกของผู้อ่นื ” ก่อนมีการบัญญัตินิยามกระทาชาเรา ได้มีการให้ความหมายกระทาชาเรา ในมาตรา ๒๗๖ วรรคสอง ตามประมวลกฎหมายอาญาที่ได้ขอแก้ไขเพ่ิมเติม เม่ือ พ.ศ. ๒๕๕๐ บัญญัติว่า “กำรกระทำชำเรำตำมวรรคหนึ่ง หมำยควำมว่ำกำรกระทำเพื่อสนองควำมใคร่ของผู้กระทำโดยกำรใช้อวัยวะเพศ ของผู้กระทำกระทำกับอวัยวะเพศ ทวำรหนัก หรือช่องปำกของผู้อื่น หรือกำรใช้สิ่งอ่ืนใดกระทำกับอวัยวะเพศ หรือทวำรหนักของผู้อ่ืน” ซงึ่ บทบญั ญตั ิดงั กล่าวได้ใช้มาตัง้ แต่ พ.ศ. ๒๕๕๐ แต่ยังถือวา่ ไมส่ อดคล้องกบั สงั คมปัจจบุ ัน จึงได้ขอแก้ไขให้บทนิยามครอบคลุมมากขึ้น “กระทาชาเรา”ตามมาตรา ๑ (๑๘) โดยให้เหลือเพียงการใช้ อวัยวะเพศของผูก้ ระทาลว่ งลา้ อวัยวะเพศ ทวารหนกั หรือชอ่ งปากของผอู้ น่ื เท่าน้ัน ส่วนหลักในเร่ืองของการคุ้มครองผู้ถูกกระทาต้องพิจารณานิยามการกระทาอนาจาร หรือกระทาชาเราลดหล่ันกันไป หากนิยามความหมายตามกรณีตัวอย่างไปในแนวเดียวกับการกระทาชาเรา หรืออนาจาร จะมีปัญหาในการตีความเพราะการกระทาอนาจารมีความหมายกว้างเกินไปและโทษที่บัญญัติไว้ใน ประมวลกฎหมายอาญาถือว่าเป็นโทษสถานหนักแล้ว และศาลจะไม่ใช้ดุลพินิจโดยการรอการลงโทษที่เป็นคุณ ต่อจาเลย แต่จะดูพฤติการณ์ตามบทบัญญัติของกฎหมายเนื่องจากป้องกันการตีความแตกต่างกัน ซึ่งเดิมศาลใช้ ดุลพินิจและคาพิพากษาศาลฎีกาเป็นแนวทางในการวินิจฉัย ส่วนอนาจารมีความหมายครอบคลุมอยู่แล้ว ในประมวลกฎหมายอาญา การกระทาชาเราเป็นไปเพ่ือสนองความใคร่ของผู้กระทา ส่วนวิธีการจะต้องพิจารณา ว่าวิธีการเป็นอย่างไร ศาลพิจารณาจากความร้ายแรงของพฤติการณ์ เช่น การใช้อวัยวะเพศ กับการใช้น้ิว ซึ่งความร้ายแรงของพฤติการณ์ท้ังสองการกระทาจะอยู่ในระดับความร้ายแรงเดียวกันหรือไม่ แต่ในมุมมอง และความรู้สึกของผู้ถูกกระทา แม้เป็นอวัยวะเพศหรือน้ิวก็ถือว่าเป็นการข่มขืนทางจิตใจ เป็นการถูกกระทาชาเรา อยู่แล้ว สว่ นศาลจะใช้ดุลพินิจในการลงโทษอย่างไรเปน็ อกี เรื่องหน่ึง แตฐ่ านความผิดก็ควรเป็นกระทาชาเราแม้ใช้น้ิว หรือส่ิงอื่นใด ส่วนระวางโทษก็เป็นดุลพินิจของศาล บทลงโทษตามกฎหมายกับบทลงโทษทางสังคมไม่สะท้อน

- ๑๙ - ข้อเท็จจริงในสังคม ลักษณะของอนาจารตามกฎหมาย แม้บทลงโทษระหว่างอนาจารกับกระทาชาเราเท่ากัน แต่การสูญเสียทางจิตใจของผู้ถูกกระทาท่ีเหมือนถูกกระทาชาเราโดยใช้ส่ิงอ่ืนใดท่ีไม่ใช้อวัยวะเพศล่วงล้าแล้ว ตามท่ีกฎหมายบัญญัติ ซึ่งควรบัญญัติให้เทียบเท่ากับเป็นการกระทาชาเราตามกฎหมายไม่ใช่เป็นการกระทา อนาจารโดยการล่วงล้า ความแตกต่างในเรื่องของความรู้สึกทางสังคมระหว่างคาว่า “กระทาชาเรา” กับ “อนาจาร” มีความแตกต่างโดยสนิ้ เชงิ ซึง่ การกระทาอนาจารดลู ักษณะเหมือนเบากว่า แต่สังคมจะมองว่าเหตุใด จึงลงโทษผู้กระทาความผิดเพียงเป็นการกระทาอนาจาร โดยบทลงโทษทางสังคมกับการดาเนินคดีจะแตกต่างกัน แม้อัตราโทษระหว่างความผิดฐานกระทาอนาจารและฐานข่มขืนกระทาชาเราจะมีอัตราโทษเท่ากัน แต่เมื่อ พิจารณาในแงข่ องความรู้สึกของผู้ถูกกระทาไม่ว่าจะถูกกระทาด้วยอวยั วะเพศหรือสิ่งอ่ืนใด ความรู้สึกก็เหมือน ถูกกระทาชาเราไม่ต่างกัน นอกจากน้ี ยังมีประเด็นของการรับรู้ทางสังคมที่มองว่าการตัดสินลงโทษผู้กระทา ด้วยความผิดฐานกระทาอนาจารให้ความรู้สึกว่าเป็นการลงโทษที่เบากว่าการลงโทษด้วยความผิดฐานข่มขืน กระทาชาเรา ซึ่งหากพิจารณาถึงพฤติการณ์ในบางคดีแล้วสังคมมองว่าเป็นเรื่องการข่มขืนกระทาชาเราไม่ใช่ เร่อื งการกระทาอนาจาร อย่างไรก็ตาม สิทธิของผู้กระทาความผิด คือ การกระทาของจาเลยกระทา เพียงใดรับโทษเพียงนั้น การกระทาของผู้กระทาความผิดเพียงนิดเดียวแต่เป็นการกระทาเทียบเท่าการข่มขืน ซ่ึงเป็นบทลงโทษร้ายแรง ไม่ส่งผลในเรื่องของจิตวิทยาเนื่องจากตั้งแต่การให้ความหมายของกระทาชา เรา มาตรา ๒๗๖ วรรคสอง ตามพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๑๙) พ.ศ. ๒๕๕๐ จนถึงปัจจุบันสถิติของการข่มขนื กระทาชาเราไม่ได้ลดลง แม้บัญญัติให้บทลงโทษร้ายแรงข้ึนแต่การกระทาความผิด กไ็ มไ่ ด้ลดลง การเพ่ิมการกระทาด้วยการใช้ส่ิงอื่นใดจะเข้ามาตรา ๒๗๘ วรรคสอง ตาม พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๑๙) พ.ศ. ๒๕๕๐ ได้บัญญัติว่า “ถ้ำกำรกระทำ ควำมผิดตำมวรรคหนึ่ง เป็นกำรกระทำโดยใช้วัตถุหรืออวัยวะอ่ืนซึ่งมิใช่อวัยวะเพศล่วงลำอวัยวะเพศหรือทวำร หนักของบคุ คลนนั ผู้กระทำตอ้ งระวำงโทษจำคุกตงั แต่สีป่ ีถงึ ยสี่ ิบปี และปรบั ตังแตแ่ ปดหม่ืนบำทถึงสแ่ี สนบำท” ซ่ึงเป็นการบัญญัติโดยการกระทาท่ีใช้วัตถุหรืออวัยวะอื่นโดยการล่วงล้าอวัยวะเพศ โดยกาหนดเป็นฐาน ความผิดอนาจารซ่ึงมีโทษเท่ากันกับการข่มขืนกระทาชาเรา หากตีความตามนิยาม มาตรา ๑ (๑๘) หมายความว่า การใช้อวัยวะเพศจะถือเป็นการกระทาชาเราตามมาตรา ๒๗๖ วรรคสอง ซ่งึ การเพ่ิมโทษอนาจารให้เท่ากับกระทา ชาเรา หากคิดในขอบเขตการสอดใส่อวัยวะเพศโดยใช้ส่ิงอ่ืนใดเทียบเท่าการกระทาสอดใส่โดยอวัยวะเพศก็ควรอยู่ ในขอบเขตของคาว่ากระทาชาเรา สภาพปัญหา ๑) กรณีผู้กระทาบังคับให้ผู้เสียหายซ่ึงเป็นเด็กผู้ชายสอดใส่อวัยวะเพศ ของผู้เสียหายเข้าไปในทวารหนักของผู้กระทา ซ่ึงเป็นการกระทาท่ีบังคับให้ผู้อื่นกระทาการล่วงล้าทวารหนัก ของตนเอง ซ่ึงความหมายของกระทาชาเราเป็นเร่ืองของการล่วงล้าผู้อื่น ดังนั้น พฤติการณ์ดังกล่าวจึงไม่เข้าข่าย การกระทาความผิดฐานข่มขนื กระทาชาเรา แต่เปน็ การกระทาอนาจาร เม่ือตีความตามกฎหมายจะไม่ใช่การกระทาชาเราและไม่ใช่การกระทาอนาจาร โดยการล่วงลา้ ตามมาตรา ๒๗๘ วรรคสอง แต่จะเข้าขอ้ หาของการกระทาอนาจารซงึ่ เปน็ การกระทาอนาจารธรรมดา ตามมาตรา ๒๗๘ วรรคหนึง่ ซึ่งมีอัตราโทษนอ้ ยกว่ากระทาอนาจารโดยการล่วงล้า ส่วนมาตรา ๒๗๘ วรรคสอง ใช้คาว่าใช้วัตถุหรืออวัยวะอื่นซึ่งมิใช่อวัยวะเพศ แต่กรณีดังกล่าวผู้กระทาบังคับให้ผู้เสียหายใช้อวัยวะเพศ ผเู้ สียหายลว่ งล้าทวารหนักของผ้กู ระทา

- ๒๐ - ๒) กรณบี ุคคลที่เป็นเพศเดียวกนั กระทาการข่มขนื กระทาชาเรา หรอื กรณคี รฝู ึกสอน ผูห้ ญิงใช้น้วิ สอดใสใ่ นอวัยวะเพศนักเรียนหญิง เป็นการกระทาไม่ไดใ้ ชเ้ พียงอวัยวะเพศ แตใ่ ชส้ งิ่ อน่ื ใดกระทาเพ่ือ สนองความใคร่ของตนเอง หรือกรณีคนขับแท็กซ่ีใช้น้ิวสอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศหญิงท่ีเป็นผู้เสียหาย การกระทา ดังกล่าวแม้พนักงานสอบสวนได้ตั้งข้อหาเป็นการกระทาชาเรา แต่ระบุลักษณะการกระทาเป็นผู้ต้องหากระทา อนาจารโดยใช้นิ้วสอดใส่ และศาลได้พิจารณาให้เป็นการกระทาชาเรา จึงเห็นได้ว่าแม้เป็นเร่ืองของการต้ังข้อหาผิด แต่เปน็ เรื่องดลุ พินจิ ของศาลหรอื อยั การในการพิจารณาคดีหรอื สัง่ ฟ้อง ๓) การกระทาโดยการบังคับให้ล่วงลา้ ตนเอง กรณีครูผหู้ ญงิ บังคบั ใหเ้ ดก็ นักเรียน ชายสอดใส่อวัยวะเพศของผู้เสียหายกับครูผู้หญิง หากตีความการกระทาของผู้หญิงก็ไม่สามารถข่มขืนผู้ชายได้ เนื่องจากสรีระทางร่างกายของผู้หญิงไม่สามารถล่วงล้าได้ ดังนน้ั คาจากัดความของกระทาชาเราว่า การกระทาต้อง มีการล่วงล้า แต่กรณีดังกล่าวผู้หญิงบังคับผู้ชาย ให้ผู้ชายซึ่งเป็นผู้ถูกกระทาล่วงล้าจึงไม่มีความผิดฐานข่มขืน กระทาชาเรา ๔) กรณีที่ผู้หญิงถูกกระทาด้วยสิ่งอื่นใด หรือเด็กชายถูกกระทาด้วยส่ิงอื่นใด หรือถกู กอดจูบในขณะอาบนา้ หรือเด็กผูช้ ายถูกกระทาโดยใช้สิ่งอื่นใด หรือบังคับให้กระทาเพ่ือสนองความใคร่ ในทางความรู้สึกคือผู้ถูกกระทานั้นสูญเสียความเป็นมนุษย์ แม้อัตราโทษจะสูงเหมือนกันแต่การถูกลงโทษก็ยัง แตกตา่ งกัน และในทางกลับกันผถู้ ูกระทาต้องสูญเสยี ทางจติ ใจในเรื่องเพศหรอื ถูกตราหน้าทางสังคม ซึ่งเรอ่ื งดังกล่าว เป็นเร่ืองละเอียดอ่อนด้านความเสียหายทางจิตใจของผู้ถูกกระทาท้ังผู้หญิง ผู้ชาย หรือผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ ดังนน้ั จาเปน็ ต้องพจิ ารณาแกไ้ ขคดีเก่ยี วกบั เพศใหส้ ะท้อนในสงั คมปจั จุบัน ๕) ประเด็นการแก้ไขบทบัญญัติท่ีเป็นความผิดฐานอนาจารตามมาตรา ๒๗๘ วรรคสอง ที่บัญญัติไว้ว่า “ถ้ำกำรกระทำควำมผิดตำมวรรคหน่ึง เป็นกำรกระทำโดยใช้วัตถุหรืออวัยวะอื่นซึ่งมิใช่ อวัยวะเพศล่วงลำอวัยวะเพศหรือทวำรหนักของบุคคลนัน...” โดยเสนอให้มีการตัดคาว่า “ล่วงล้า” และใช้คาว่า “กระทากับ” ในขอ้ ความดงั กลา่ วแทน ดังน้ี “ถ้าการกระทาความผิดตามวรรคหนึ่ง เป็นการกระทาโดยใช้วัตถุหรืออวัยวะอ่ืน ซ่ึงมใิ ชอ่ วัยวะเพศกระทากับอวัยวะเพศหรอื ทวารหนักของบคุ คลนัน้ ...” เพ่ือเป็นการปิดช่องว่างทางกฎหมายในกรณีคดีตัวอย่าง ท่ีผู้กระทาที่เป็นชาย บังคับให้ผู้เสียหายซึ่งเป็นเด็กผู้ชายสอดใส่อวัยวะเพศของผู้เสียหายเข้าไปในทวารหนักของผู้กระทา หรือกรณีครู ฝกึ สอนผู้หญิงใช้น้ิวสอดใส่ในอวัยวะเพศนักเรียนหญิงเพื่อสนองความใคร่ของตนเอง ซึ่งเม่ือพิจารณาแลว้ พฤติการณ์ ของทั้ง ๒ กรณีไม่ครบตามองค์ประกอบของการกระทาชาเรา และไม่เข้าข่ายตามองค์ประกอบความผิดฐาน กระทาอนาจารโดยการล่วงล้าด้วยเช่นกัน ฉะน้ัน หากมีการแก้ไขบทบัญญัติในมาตรา ๒๗๘ วรรคสอง โดยใช้ คาว่า “กระทากับ” แทนคาว่า “ล่วงล้า” คดีตัวอย่างทั้ง ๒ คดี จะมีองค์ประกอบของการกระทาความผิดตาม บทบญั ญัติที่มกี ารแก้ไขทันที เพราะเป็นความผดิ สาเรจ็ แลว้ แมจ้ ะไมม่ กี ารลว่ งล้า ขอ้ พิจารณาบทนิยาม ถอ้ ยคาตามตัวบทกฎหมาย ไม่สะท้อนข้อเทจ็ จรงิ ท่ีเกิดขึน้ ในสังคม ประเดน็ ดังกล่าว หากมีการตีความตามประมวลกฎหมายอาญาจะต้องพิจารณานิยามของประมวลกฎหมายอาญา “มาตรา ๑ (๑๘) “กระทำชำเรำ” หมำยควำมว่ำ กระทำเพื่อสนองควำมใคร่ของผู้กระทำ โดยกำรใช้อวัยวะเพศของผู้กระทำล่วงลำ อวัยวะเพศ ทวำรหนัก หรือช่องปำกของผู้อ่ืน” เหตุผลและความจาเป็นในการปรับปรุงแก้ไขบทนิยามกระทาชาเรา ตามพระราชบัญญัตแิ ก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๒๗) พ.ศ. ๒๕๖๒ เพ่ือให้บทนยิ ามกระทาชาเรานั้น มีความหมายเป็นไปตามลักษณะของการกระทาชาเราตามธรรมชาติซึ่งสอดคล้องกับแนวคาวินิจฉัยของศาลฎีกา เหตุผลในการแก้ไขบทนิยามดังกล่าวไม่มีความสอดคล้องกับพฤติการณ์แวดล้อมทางสังคมท่ีเปลี่ยนแปลงไป

- ๒๑ - ที่ในปัจจุบันเพศไม่ไดม้ ีเพศแค่เพียงหญิงและชาย ฉะนั้น การกาหนดให้องค์ประกอบความผิดต้องปรากฏพฤติการณ์ ที่ผู้กระทาใช้อวัยวะเพศล่วงล้า ทาให้ไม่สามารถนาตัวบทดังกล่าวไปปรับใช้กับการกระทาที่เกิดข้ึนจริงได้อย่าง ครอบคลุมทุกกรณี ส่งผลให้คดีที่เกิดข้ึนในปัจจุบันหลายคดีไม่สามารถตัดสินลงโทษผู้กระทาความผิดฐานข่มขืน กระทาชาเราและความผิดฐานกระทาอนาจารโดยการล่วงล้า ยกตัวอย่าง กรณีผู้กระทาที่เป็นชายบังคับให้ผู้เสียหาย ซ่ึงเป็นเด็กผู้ชายสอดใส่อวัยวะเพศของผู้เสียหายเข้าไปในทวารหนักของผู้กระทา หรือกรณีครูฝึกสอนผู้หญิงใช้น้ิว สอดใส่ในอวัยวะเพศนักเรียนหญงิ เพื่อสนองความใคร่ของตนเอง เม่อื พจิ ารณาจากบทนิยามจะเห็นได้ว่ากรณตี ัวอย่าง ทั้ง ๒ กรณี มีพฤตกิ ารณ์ที่ไม่ครบตามองคป์ ระกอบของการกระทาชาเรา เนื่องจากความหมายของกระทาชาเรา จะต้องมีพฤติการณ์ล่วงล้าผู้อ่ืน จึงทาให้พฤติการณ์ดังกล่าวไม่เข้าการกระทาความผิดฐานข่มขืนกระทาชาเรา และไม่สามารถปรบั บทไปใช้ความผดิ ฐานกระทาอนาจารโดยการล่วงล้าได้เช่นกัน ดังนั้น จึงควรมีการแก้ไขบทนิยาม กระทาชาเราเพ่ือให้มีความหมายครอบคลุมและสอดคล้องกับสภาพสังคมในปัจจุบัน โดยแนวทางแก้ไขบทนิยาม กระทาชาเรา แบง่ ออกเป็น ๒ แนวทาง แนวทางแก้ไขบทนยิ ามกระทาชาเรา แนวทางท่ี ๑ แนวทางท่ี ๒ แก้ไขเพิ่มเติมบทนิยามในมาตรา ๑ (๑๘) แห่ง นาบทบัญญัติในมาตรา ๒๗๖ วรรคสอง แห่ง ประมวลกฎหมายอาญา โดยให้นาเร่ืองส่ิงอ่ืนใดมา ประมวลกฎหมายอาญา ท่ีได้แก้ไขเพ่ิมเติมตาม บญั ญัตใิ นคานิยาม โดยให้ใชค้ วามต่อไปนแ้ี ทน พระราชบัญญัติแก้ไขเพ่ิมเติมประมวลกฎหมายอาญา “มาตรา ๑ (๑๘) “กระทาชาเรา” หมายความว่า (ฉบับที่ ๑๙) พ.ศ. ๒๕๕๐ แทนความหมายในมาตรา ๑ กระทาเพ่ือสนองความใคร่ของผู้กระทา โดยการใช้ (๑๘) ดังน้ี อวัยวะเพศหรือส่ิงอื่นใดของผู้กระทาหรือของผู้อื่น “มาตรา ๓ ใหย้ กเลิกความในมาตรา ๒๗๖ แห่ง ลว่ งลา้ อวัยวะเพศ ทวารหนกั หรอื ช่องปากของผู้อื่นหรือ ประมวลกฎหมายอาญาซึ่งแกไ้ ขเพิม่ เติมโดยพระราชบัญญัติ ของผกู้ ระทา” แกไ้ ขเพ่ิมเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๒๕ “มาตรา ๒๗๖ ผใู้ ดข่มขืนกระทาชาเราผอู้ น่ื หรือ และมาตรา ๒๗๗ แห่งประมวลกฎหมายอาญา ซ่ึงแก้ไข ผู้ใดข่มขืนกระทาชาเราด้วยวิธีการอ่ืนใดเพื่อสนองความ เพิ่มเตมิ โดยพระราชบัญญัตแิ ก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมาย ใคร่ของผู้กระทาโดยขู่เข็ญด้วยประการใด ๆ โดยใช้ อาญา (ฉบบั ท่ี ๘) พ.ศ. ๒๕๓๐ และใหใ้ ช้ความต่อไปนี้แทน กาลังประทุษร้าย โดยผู้อ่ืนนั้นอยู่ในภาวะท่ีไม่สามารถ มาตรา ๒๗๖ ผใู้ ดข่มขนื กระทาชาเราผอู้ ืน่ โดยขู่ ขัดขนื ได้ หรอื โดยทาให้ผู้อืน่ นั้นเข้าใจผดิ ว่าตนเป็นบุคคลอ่ืน เข็ญด้วยประการใด ๆ โดยใช้กาลังประทุษร้ายโดยผู้อ่ืนน้ัน ต้องระวางโทษจาคุกตั้งแต่สี่ปีถึงย่ีสิบปี และปรับตั้งแต่ อยู่ในภาวะท่ีไม่สามารถขัดขืนได้ หรือโดยทาให้ผู้อื่นน้ัน แปดหมน่ื บาทถึงสแ่ี สนบาท...” เข้าใจผิดว่าตนเป็นบุคคลอ่ืนต้องระวางโทษจาคุกตั้งแต่ส่ีปี คาอธิบาย ถงึ ย่ีสิบปี และปรับต้ังแตแ่ ปดพนั บาทถึงสห่ี มื่นบาท ๑. เสนอเพ่ิมถ้อยคาในมาตรา ๑ (๑๘) ดังนี้ การกระทาชาเราตามวรรคหนึ่ง หมายความว่า “มาตรา ๑ (๑๘) “กระทาชาเรา” หมายความว่า กระทา การกระทาเพ่ือสนองความใคร่ของผู้กระทาโดยการใช้ เพ่ือสนองความใคร่ของผู้กระทา โดยการใช้อวัยวะเพศ อวยั วะเพศของผู้กระทากระทากบั อวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือสิ่งอ่ืนใดของผู้กระทาหรือของผู้อื่นล่วงล้าอวัยวะเพศ หรือช่องปากของผู้อ่ืน หรือการใช้ส่ิงอื่นใดกระทากับ ทวารหนกั หรอื ชอ่ งปากของผู้อ่นื หรอื ของผกู้ ระทา” จะต้อง อวัยวะเพศหรือทวารหนักของผ้อู นื่ ...” พิจารณาขยายความไปถงึ มาตรา ๒๗๖ ซึ่งใช้คาว่า ผู้ใดข่มขืน คาอธิบาย กระทาชาเราผู้อ่ืน จึงขัดกับนิยามการกระทาชาเราต้อง ๑. ความหมาย “กระทาชาเรา” ตามมาตรา ๒๗๖ เป็นการกระทาชาเราผู้อ่ืน แต่กรณีตัวอย่างที่เป็นการ วรรคสอง ตามพระราชบัญญัติแก้ไขเพ่ิมเติมประมวล

- ๒๒ - แนวทางที่ ๑ แนวทางท่ี ๒ กระทาชาเราตนเอง จะเป็นการขัดกับมาตรา ๒๗๖ หรือไม่ กฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๑๙) พ.ศ. ๒๕๕๐ เป็นการกระทา ซ่ึงเสนอให้มีการแก้ไขถ้อยคาตามมาตรา ๒๗๖ วรรคหนึ่ง เพ่ือสนองความใคร่ของผู้กระทาโดยการใช้อวัยวะเพศ ดังน้ี “มาตรา ๒๗๖ ผู้ใดข่มขืนกระทาชาเราผู้อ่ืนหรือผู้ใด ของผู้กระทากระทากับอวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือช่องปาก ข่มขืนกระทาชาเราด้วยวิธีการอื่นใดเพ่ือสนองความใคร่ ของผู้อ่ืน หรือการใช้สิ่งอ่ืนใดกระทากับอวัยวะเพศหรือ ของผู้กระทาโดยขู่เข็ญด้วยประการใด ๆ โดยใช้กาลัง ทวารหนักของผอู้ ่ืน ซึ่งการใหค้ วามหมายตามบทบัญญัติ ประทุษร้าย โดยผู้อ่ืนนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ ดังกล่าวสอดคล้องและครอบคลุมในการมุ่งลงโทษ หรือโดยทาให้ผู้อื่นน้ันเข้าใจผิดว่าตนเป็นบุคคลอ่ืน ผ้กู ระทาความผดิ แลว้ ต้องระวางโทษจาคุกตั้งแต่ส่ีปีถึงย่ีสิบปี และปรับต้ังแต่ ๒. คดีเกี่ยวกับเพศก่อนมีการแก้ไขเพ่ิมเติม แปดหมน่ื บาทถึงส่แี สนบาท...” ประมวลกฎหมายอาญา ในปี พ.ศ. ๒๕๖๒ มีบทบัญญัติ ๒. บทบัญญัติมาตรา ๒๗๖ วรรคสอง แห่ง บางมาตราท่ีให้ยอมความได้ ซึ่งเป็นเหตุของการไม่มาศาล พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา โดยยอมความเป็นข้อจากัดในทางปฏิบัติเปิดช่องทางใน (ฉบับที่ ๑๙) พ.ศ. ๒๕๕๐ ซ่ึงได้ให้ความหมาย “กระทา การยอมความ สุดท้ายผู้ถูกกระทาก็สูญเสียทางจิตใจ ชาเรา” โดยได้บัญญัติการใช้สิ่งอ่ืนใดไว้ ซ่ึงบทนิยามใน และไม่เหลือตัวตน ซึ่งบทบัญญัติเดิม ในปี พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๑ (๑๘) ท่ีได้แก้ไขตามพระราชบัญญัติแก้ไขเพม่ิ เติม มกี ารยอมความกันได้ แต่การแก้ไขเพิ่มเติม ปี พ.ศ. ๒๕๖๒ ประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับท่ี ๒๗) พ.ศ. ๒๕๖๒ ได้ตัด ความผิดเก่ียวกับเพศเป็นความผิดอันยอมความไม่ได้ ดังนั้น การใช้ส่ิงอื่นใดออก โดยการใช้สิ่งอ่ืนใดเพ่ือสนองความใคร่ ควรนาบทบัญญัติเก่ียวกับความหมายกระทาชาเราตาม จะตรงกับข้อเท็จจริงทางสังคม ดังนั้น ควรบัญญัติคาว่า มาตรา ๒๗๖ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพ่ิมเติม ส่ิงอ่ืนใดในความหมายกระทาชาเราด้วย อย่างไรก็ตาม ประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๑๙) พ.ศ. ๒๕๕๐ มาใช้ การกระทาตามบทบัญญตั ิกฎหมายคงตีความว่าต้องเป็น แต่กรณีเร่ืองของบทบัญญัติโทษความผิดคดีเก่ียวกับเพศก็ การกระทาของตนเอง แต่วัตถุต่าง ๆ หรือการบงั คับใหก้ ระทา ยังคงใช้ตามประมวลกฎหมายอาญาในการแก้ไขเพ่ิมเติม ก็คือการกระทาเพื่อสนองความใคร่ซ่ึงเป็นการข่มเหงจิตใจ พ.ศ. ๒๕๖๒ เก่ียวกับการแก้ไขเพิ่มเติมบทกาหนดโทษ ของผ้ถู ูกกระทา ซ่ึ ง ก ร ะ บ ว น ก า ร ท่ี น า ไ ป สู่ ก า ร ล ง โ ท ษ ยั ง มี ข้ อ จ า กั ด ๓. การเพิ่มถ้อยคาในมาตรา ๒๗๖ วรรคแรก และกฎหมายควรบังคับใช้ได้ทุกเพศทุกวัยและปรับ “หรือผู้ใดข่มขืนกระทาชาเราด้วยวิธีการอื่นใดเพ่ือสนอง บทลงโทษถงึ ผทู้ ีม่ ีความหลากหลายทางเพศ ความใครข่ องผู้กระทา” ซง่ึ เป็นการเปิดช่องของการตีความ ๓. การกระทาในประเด็นผู้กระทาบังคับให้ ของคาว่า วิธีการอ่ืนใด ซ่ึงการตีความตามมาตรา ๒๗๘ ผู้ถูกกระทาสอดใส่อวัยวะเพศหรือกระทาอื่นใดเพื่อสนอง เป็นวิธีการอ่ืนใดเช่นเดียวกัน เม่ือกฎหมายอาญาเปิด ความใคร่ของผู้กระทา ความหมายของ “กระทาชาเรา” ช่องให้ตีความซ่ึงไม่สามารถตีความให้ขยายเพ่ือเป็นโทษ ตามมาตรา ๒๗๖ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติแก้ไข ได้เลย โดยคาว่าวิธีการอ่ืนใดเป็นถ้อยคาท่ีกว้างอาจมี เพ่ิมเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๑๙) พ.ศ. ๒๕๕๐ ปญั หาในเรื่องของการตคี วาม “การกระทาเพื่อสนองความใคร่ของผู้กระทาโดยการใช้ ๔. การแก้ไขคาจากัดความของ “กระทาชาเรา” อวัยวะเพศของผู้กระทากระทากับอวยั วะเพศ ทวารหนัก เพ่ือให้ครอบคลุมทุกเพศทุกวัย รวมถึงผู้มีความหลากหลาย หรือช่องปากของผู้อ่ืน หรือการใช้สิ่งอื่นใดกระทากับ ทางเพศ อาจไม่จาเป็นต้องปรับแก้ไขให้นาความหมายของ อวัยวะเพศหรือทวารหนักของผู้อื่น” ซึ่งการใช้คาว่า กระทาชาเราตามมาตรา ๒๗๖ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติ “กระทากบั ” น่าจะครอบคลุมประเดน็ ดงั กลา่ ว ซึ่งผู้กระทา แก้ไขเพ่ิมเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๑๙) บงั คับเพ่อื เป็นผ้ถู กู กระทา พ.ศ. ๒๕๕๐ มาใช้ โดยกฎหมายท่ีได้แก้ไขเพิ่มเติมใหม่ ๔. การนาขอ้ ความตามบทบัญญัติในมาตรา ๒๗๖ นา่ จะสะทอ้ นปัญหาสังคมในปัจจบุ ันได้ และคงมเี จตนารมณ์ วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายอาญา ที่ได้แก้ไขเพ่ิมเติม

- ๒๓ - แนวทางท่ี ๑ แนวทางที่ ๒ ในการแก้ไขท่ีให้ย้ายลักษณะการกระทาของกระทาชาเรา ตามพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา มาอยู่ในสว่ นการกระทาอนาจาร ซ่ึงควรใหม้ ีการใช้กฎหมาย (ฉบับท่ี ๑๙) พ.ศ. ๒๕๕๐ ไปใชแ้ ทนความหมายกระทาชาเรา ไประยะหน่ึงกอ่ น ในมาตรา ๑ (๑๘) มีข้อสังเกตว่าถ้อยคาตามตัวบทดังกล่าว จะทาให้พฤติการณ์ที่ใช้นิ้วหรือปากกาในการกระทานั้น มีความผิดฐานข่มขืนกระทาชาเรา ซึ่งมีประเด็นที่ควร พิจารณาถึงนิติวิธีเก่ียวกับความเหมาะสมระหว่างความ ร้ายแรงของพฤตกิ ารณแ์ ละการกาหนดอัตราโทษ ๒. ประเด็นการพิจารณา แก้ไขเพิ่มเติมบทนิยาม มาตรา ๑ (๑๘) “กระทาชาเรา” ตามประมวลกฎหมาย อาญา เพอ่ื ใหส้ อดคล้องกับเหตกุ ารณ์ปจั จุบนั กรณีพฤตกิ ารณ์ ดังน้ี ๑) กรณีผู้กระทาบังคับให้ผู้เสียหายซึ่งเป็นเด็กผู้ชายสอดใส่อวัยวะเพศ ของผ้เู สียหายเข้าไปในทวารหนักของผ้กู ระทา ๒) การกระทาโดยการบังคับให้ผู้อื่นล่วงล้าตนเอง กรณีครูผู้หญิงบังคับให้ เดก็ นกั เรียนชายกระทาโดยสอดใส่อวยั วะเพศของผเู้ สยี หายกบั ครูผู้หญิง ๓) กรณีบุคคลที่เป็นเพศเดียวกันกระทาการข่มขืนกระทาชาเรา หรือกรณีครู ฝกึ สอนผู้หญงิ ใช้น้ิวสอดใส่ในอวยั วะเพศนักเรยี นหญิง ๔) กรณีที่ผู้หญิงถูกกระทาด้วยสิ่งอื่นใดหรือเด็กชายถูกกระทาด้วยส่ิงอ่ืนใด หรือถูกกอดจูบในขณะอาบน้า หรอื เด็กผู้ชายถกู กระทาดว้ ยสงิ่ อืน่ ใด หรอื บังคับใหก้ ระทาเพอื่ สนองความใคร่ ๓. สรุปผลการศึกษาวิเคราะห์ การแก้ไขเพม่ิ เติมบทนิยามควรมีการพิจารณาศึกษาเพ่ือเปรียบเทียบขอ้ ดี ข้อเสีย และผลกระทบจากการนาตัวบทกฎหมายไปปรับใช้ ท้ังในส่วนท่ีเป็นบทนิยามตามกฎหมายเดิมและท่ีใช้อยู่ ในปัจจุบัน รวมถึงศึกษาเปรียบเทียบกับกฎหมายของต่างประเทศเพ่ือให้การปรับปรุงแก้ไขกฎหมายได้อย่าง เป็นระบบ หลังจากท่ีมีการแก้ไขเพ่ิมเติมบทนิยามกระทาชาเรา ควรมีการจัดทาองค์ความรู้เกี่ยวกับความผิด เกี่ยวกับเพศตามประมวลกฎหมายอาญา เพ่ือเผยแพร่ให้ผู้ปฏิบัติงานหรือประชาชนมีความรู้ความเข้าใจไปใน ทิศทางเดียวกันว่าพฤติการณ์ใดที่เข้าข่ายเป็นความผิดฐานข่มขืนกระทาชาเรา และพฤติการณ์ใดท่ีเข้าข่าย เปน็ ความผดิ ฐานกระทาอนาจาร การพิจารณาบทนิยาม ตามมาตรา ๑ (๑๘) แห่งประมวลกฎหมายอาญา “กระทาชาเรา” หมายความว่า กระทาเพ่ือสนองความใคร่ของผู้กระทา โดยการใช้อวัยวะเพศของผู้กระทา ล่วงล้าอวยั วะเพศ ทวารหนัก หรอื ชอ่ งปากของผอู้ น่ื เพื่อให้สอดคลอ้ งกับเหตกุ ารณ์ปจั จบุ นั ในพฤตกิ ารณ์ ดังน้ี ๑) กรณีผู้กระทาบังคับให้ผู้เสียหายซึ่งเป็นเด็กผู้ชายสอดใส่อวัยวะเพศของ ผเู้ สียหายเข้าไปในทวารหนักของผ้กู ระทา ๒) การกระทาโดยการบังคับให้ผู้อื่นล่วงล้าตนเอง กรณีครูผู้หญิงบังคับให้เด็ก นกั เรยี นชายกระทาสอดใส่อวัยวะเพศของผู้เสียหายกบั ครผู ้หู ญงิ ๓) กรณบี ุคคลท่เี ปน็ เพศเดยี วกันกระทาการข่มขืนกระทาชาเรา หรือกรณคี รูฝึกสอน ผหู้ ญิงใช้นิว้ สอดใสใ่ นอวยั วะเพศนักเรียนหญงิ

- ๒๔ - ๔) กรณีที่ผู้หญิงถูกกระทาด้วยส่ิงอ่ืนใดหรือเด็กชายถูกกระทาด้วยส่ิงอ่ืนใด หรือถกู กอดจบู ในขณะอาบนา้ หรือเด็กผู้ชายถูกกระทาโดยใช้สิ่งอ่ืนใด หรอื บงั คบั ให้กระทาเพอื่ สนองความใคร่ คณะกรรมาธิการวิสามัญได้มีการพิจารณาแนวทางแก้ไขบทนิยามของคาว่า กระทาชาเรา เปน็ ๒ แนวทาง คือ แนวทางท่ี ๑ แก้ไขเพิ่มเติมบทนิยามในมาตรา ๑ (๑๘) แห่งประมวลกฎหมายอาญา โดยให้ใช้ ความต่อไปนแ้ี ทน “มาตรา ๑ (๑๘) “กระทาชาเรา” หมายความว่า กระทาเพ่ือสนองความใคร่ ของผู้กระทา โดยการใช้อวัยวะเพศหรือสิ่งอ่ืนใดของผู้กระทาหรือของผู้อ่ืนล่วงล้าอวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือช่องปากของผู้อืน่ หรือของผู้กระทา” “มาตรา ๒๗๖ ผู้ใดข่มขืนกระทาชาเราผู้อ่ืนหรือผู้ใดข่มขืนกระทาชาเราด้วยวิธีการ อืน่ ใดเพื่อสนองความใคร่ของผู้กระทาโดยขู่เข็ญดว้ ยประการใด ๆ โดยใช้กาลังประทุษรา้ ย โดยผู้อ่ืนน้ันอยู่ในภาวะ ท่ีไม่สามารถขัดขืนได้ หรือโดยทาให้ผู้อื่นนั้นเข้าใจผิดว่าตนเป็นบุคคลอื่น ต้องระวางโทษจาคุกตั้งแต่สี่ปีถึงย่ีสิบปี และปรบั ตง้ั แตแ่ ปดหมน่ื บาทถึงส่แี สนบาท...” แนวทางท่ี ๒ นาบทบัญญัติในมาตรา ๒๗๖ วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายอาญา ท่ีได้แก้ไข เพ่ิมเติมตามพระราชบัญญัติแก้ไขเพ่ิมเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับท่ี ๑๙) พ.ศ. ๒๕๕๐ แทนความหมาย บทนิยามในมาตรา ๑ (๑๘) ดังน้ี “มาตรา ๓ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๒๗๖ แห่งประมวลกฎหมายอาญาซึ่งแก้ไข เพ่ิมเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับท่ี ๕) พ.ศ. ๒๕๒๕ และมาตรา ๒๗๗ แห่งประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๘) พ.ศ. ๒๕๓๐ และให้ใช้ความต่อไปนแ้ี ทน มาตรา ๒๗๖ ผู้ใดข่มขืนกระทาชาเราผู้อ่ืนโดยขู่เข็ญด้วยประการใด ๆ โดยใช้ กาลังประทุษร้ายโดยผู้อื่นนั้นอยู่ในภาวะท่ีไม่สามารถขัดขืนได้ หรือโดยทาให้ผู้อื่นน้ันเข้าใจผิดว่าตนเป็นบุคคลอื่น ต้องระวางโทษจาคุกตง้ั แต่ส่ปี ถี งึ ย่สี บิ ปี และปรับตั้งแต่แปดพันบาทถึงสห่ี มืน่ บาท การกระทาชาเราตามวรรคหน่ึง หมายความว่าการกระทาเพ่ือสนองความใคร่ ของผู้กระทาโดยการใช้อวัยวะเพศของผู้กระทากระทากับอวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือช่องปากของผู้อ่ืน หรือการใชส้ ง่ิ อ่นื ใดกระทากบั อวยั วะเพศหรือทวารหนักของผ้อู น่ื ...” ส่วนที่ ๒ การแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๖ ในส่วน องคป์ ระกอบความผิดในกรณีผู้ถูกกระทาปฏเิ สธด้วยวาจา ท่าทางอย่างชดั แจ้ง ๑. หลกั การและเหตุผล การพิจารณาองค์ประกอบความผิดของการกระทาข่มขืนกระทาชาเราตามประมวล กฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๖ กรณีการปฏิเสธโดยชัดแจ้งของผู้เสียหายต่อการกระทาของผู้กระทาความผิด เกี่ยวกับเพศตามกฎหมายของประเทศเยอรมนี เพื่อนามาปรับใช้ในกรณีสภาพปัญหาเจ้าหน้าที่ตารวจไม่รับ แจ้งความคดีเกย่ี วกับเพศ เนื่องจากยังมีทัศนคติหรือการตีความตามกฎหมายว่าผู้เสียหายในความผิดฐานข่มขืน กระทาชาเราต้องมีการถูกทาร้ายร่างกายก่อนถึงดาเนินคดี หากมีการแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติกฎหมายให้การ ปฏเิ สธโดยชัดแจ้งด้วยวาจาของผู้เสียหาย เปน็ ส่วนหน่งึ ขององค์ประกอบความผิดการขม่ ขนื กระทาชาเรา จะสามารถ แก้ไขปัญหาการไม่รับแจ้งความในคดีเก่ียวกับเพศ และเป็นเร่ืองสิทธิส่วนบุคคลในเนื้อตัวร่างกายของตนเอง ทจี่ ะปฏิเสธไมใ่ ห้บคุ คลใดมากระทา

- ๒๕ - หากมองในแง่กฎหมาย ผู้ถูกกระทาปฏิเสธการมีเพศสัมพันธ์จะถือว่าผู้กระทา มีความผิดเลยหรือไม่ โดยกฎหมายต้องพิจารณาถึงการกระทาและเจตนาของผู้กระทา การกระทาฉุดกระชาก ก็ถือว่าเป็นการกระทาแล้ว นิยามของกระทาชาเราเป็นเร่ืองของการข่มขู่แต่ไม่มีเรื่องการปฏิเสธ มาตรา ๒๗๖ ตามประมวลกฎหมายอาญา จะเกิดการกระทาความผิดฐานข่มขืนกระทาชาเราจะต้องมีการประทุษร้าย โดยผอู้ ื่น อยูใ่ นภาวะไมส่ ามารถขดั ขืนได้ ซ่งึ การยินยอมไมถ่ อื วา่ เป็นความผิดฐานข่มขนื กระทาชาเราได้ กรณีตัวอย่างผู้ถูกกระทาไม่สามารถหลีกเลี่ยงการกระทาของผู้กระทาซ่ึงไม่มี พฤติการณ์ข่มขู่หรือคุกคาม จึงต้องยินยอมให้มีเพศสัมพันธ์เม่ือถูกกระทาชาเราแล้วผู้ถูกกระทาไม่มีบาดแผล เม่ือนาสืบคดีผู้กระทาอาจจะหลุดพ้นจากความผิด ซึ่งเป็นทัศนคติของกระบวนการยุติธรรมท่ีการกระทาชาเรา ผเู้ สียหายต้องถกู ทาร้าย และตอ้ งถูกขม่ ขู่ โดยบางสถานการณ์เมื่ออยู่สองต่อสองผู้หญิงจะไมก่ ล้าขัดขนื ทาใหก้ ารกระทา มลี ักษณะเป็นการสมยอม เม่ือมกี ารดาเนินคดีความผดิ ฐานข่มขนื กระทาชาเรา การพิจารณาจะไม่ครบองค์ประกอบ ความผิดฐานข่มขืนกระทาชาเรา เพราะไม่มีการประทุษร้ายหรือไม่สามารถขัดขืนได้ ซ่ึงหากมีการนาสืบการปฏิเสธ ด้วยวาจาโดยชัดแจ้งหรือมีการกระทาท่ีชัดแจ้งว่ามีการปฏิเสธต่อผู้กระทาความผิดก็อาจเข้าองค์ประกอบความผิด ฐานข่มขนื กระทาชาเราได้ การพจิ ารณาข้อเท็จจรงิ กรณีถูกกระทาและมีการขดั ขืน ถา้ มพี ฤติการณ์ยินยอมเพอื่ ไป ดาเนินคดีอาจจะไม่เข้าหลักการยินยอม เพราะหากมีการยินยอมก็ไม่ใช่ผู้เสียหายเพราะการยินยอมให้กระทาชาเรา และไปดาเนินการฟ้องคดีภายหลังจะนาสืบข้อเท็จจริงยาก ซ่ึงผู้ถูกกระทาอยู่ในภาวะสามารถขัดขืนได้โดยต้อง ดูพฤติการณ์ขัดขืนอาจเป็นเสียงร้องหรือมีการต่อสู้ หากไม่มีพฤติการณ์เช่นน้ีศาลอาจยกฟ้องได้ แต่ถ้าพฤติการณ์ เป็นการยนิ ยอมไปก่อนโดยไม่มีพฤติการณ์ขัดขนื และไม่มีบาดแผล ข้อเทจ็ จริงแบบนี้ยากทจี่ ะนาสบื และกล่าวหา ผู้กระทาความผิด ซ่ึงต้องมีการข่มขืนก่อนโดยผู้เสียหายต้องแสดงให้เห็นว่าไม่สามารถขัดขืนได้ ซึ่งการประทุษร้าย กใ็ ช้กับการกระทาการสะกดจติ โดยต้องมีข้อเท็จจริงหรือกรณีตัวอย่างมากกว่าน้ี มิฉะนัน้ จะไม่เป็นธรรมต่อผู้กระทา ซงึ่ ตอ้ งดูว่าการยินยอมโดยสมคั รใจเพราะอะไร ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๖ บัญญัติว่า “ผู้ใดข่มขืนกระทำชำเรำผู้อื่น โดยขู่เข็ญด้วยประกำรใด ๆ โดยใช้กำลังประทุษร้ำย โดยผู้อื่นนันอยู่ในภำวะท่ีไม่สำมำรถขัดขืนได้ หรือโดยทำให้ ผู้อ่ืนนันเข้ำใจผิดว่ำตนเป็นบุคคลอื่น...” หากพิจารณาคาว่า “ประทุษร้าย” โดยวิธีการอื่น เช่น การใช้ยาหรือ วิธีการอ่ืนใด ถือว่าเป็นการยินยอมโดยไม่สมัครใจ พฤติการณ์ของการกระทาความผิดฐานข่มขืนกระทาชาเรา ผู้ถกู กระทาไมย่ นิ ยอมอยแู่ ล้วแต่พฤติการณ์ท่แี สดงออกมา เชน่ ปฏเิ สธโดยชัดแจ้งแลว้ หรอื ปฏิเสธดว้ ยวาจาวา่ ไม่ ผู้กระทาต้องหยุด ตามหลักไม่ยินยอมของผู้เสียหายต้องมีการต่อสู้ แต่บางพฤติการณ์ผู้ถูกกระทาไม่สามารถ ตอ่ สไู้ ด้ ดังนน้ั จะทาอยา่ งไรให้ผู้กระทาความผิดมีความยับยั้งช่งั ใจหรือตระหนักถึงโทษที่จะตามมา การยกตัวอย่าง กฎหมายของประเทศเยอรมนีเป็นสิ่งท่ีดี ดังน้ัน จึงเป็นการปรับฐานความคิดทั้งผู้เสียหาย ผู้กระทาความผิด และบุคคลในกระบวนการยุติธรรมในเร่ืองการพิจารณาคดีข่มขืนกระทาชาเรา โดยต้องคานึงถึงผู้เสียหาย ทไี่ ม่สามารถต่อส้ขู ัดขนื ไดด้ ว้ ย การกระทาของผู้กระทาเป็นการข่มขืนกระทาชาเรา ซึ่งต้องดูเป็นกรณีว่าการกระทา ข่มขืนกระทาชาเรามีการต่อสู้หรือขัดขืนหรือไม่ โดยปฏิกิริยาการปฏิเสธของผู้ถูกกระทาแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนกลัวอาจนิ่งเฉยไม่ต่อสู้ หรือบางคนอาจมบี าดแผลร่องรอย หรอื บางคนสามารถหนีได้ หากไมค่ รบองคป์ ระกอบ ความผดิ ในการนาสืบโดยไม่มีการขัดขนื แล้วกลับปฏิเสธภายหลังว่าเป็นพฤติการณ์ข่มขนื กระทาชาเราการนาสืบ จะค่อนข้างยาก หากพิจารณาเพียงถ้อยคาหรือคาจากัดความของการปฏิเสธโดยชัดแจ้ง จึงต้องพิจารณากฎหมาย ของประเทศเยอรมนีว่าบัญญัติอย่างไร เพ่ือนามาพิจารณาเปรียบเทียบกฎหมายของประเทศไทยว่ามีถ้อยคา หรือพฤติการณ์ใดที่ขาดหายไป หากมีการเสนอในเรื่องดังกล่าว ซึ่งประมวลกฎหมายอาญาต้องตีความโดยเคร่งครัด

- ๒๖ - กฎหมายของประเทศเยอรมนีการปฏิเสธโดยชัดแจ้งได้ใส่ไปในองค์ประกอบความผิดของการข่มขืนกระทาชาเรา ในการปฏิเสธด้วยวาจาอย่างชัดแจ้งหรือไม่ ซ่ึงถ้ามีพฤติการณ์ขัดขืนมีการต่อสู้แม้ยินยอมในตอนแรกแล้วเปล่ียนใจ ก็เป็นการขัดขืนซ่ึงเข้าองค์ประกอบความผิดแล้ว การปฏิเสธโดยไม่มีพฤติการณ์ของการขัดขืนแต่เป็นการปฏิเสธ ด้วยวาจาอาจยากในการนาสืบ หากส่งสัญญาณว่าไม่ได้เป็นการสมยอมโดยต้องให้ความเป็นธรรมทั้งผู้เสียหาย และผู้กระทาความผดิ ถ้าไมม่ พี ฤติการณ์ขัดขนื อาจไกลกว่าเหตขุ ององค์ประกอบความผดิ ประเด็น การมีเพศสัมพันธ์ท่ีไม่ได้รับความยินยอม หรือได้มีการปฏิเสธด้วยวาจา ท่าทาง อย่างชดั แจง้ สมควรถอื ว่าเปน็ การข่มขนื กระทาชาเราตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๖ หรอื ไม่ ขอ้ พจิ ารณา บทบัญญัติของกฎหมายประเทศเยอรมนีในกรณีการที่ผู้ถูกกระทาแสดงการปฏิเสธ ดว้ ยวาจา German Criminal Code (Strafgesetzbuch – StGB), Section 177 Sexual assault; sexual coercion; rape “(1) Whoever, against a person’s discernible will, performs sexual acts on that person or has that person perform sexual acts on them, or causes that person to perform or acquiesce to sexual acts being performed on or by a third person incurs a penalty of imprisonment for a term of between six months and five years.” เม่ือพิจารณาจากบทบัญญัติของกฎหมายของประเทศเยอรมนีข้างต้น จะเห็นได้ว่า หลัก “Nein Heisst Nein” หรือ หลัก “No Means No” นั้น กฎหมายของประเทศเยอรมนีได้ตัดเรื่องการขัดขืน หรอื การใช้กาลังออกไป และพิจารณาท่ี “Will” หรือเจตจานงของผู้ถูกกระทา ซึ่งหากเปรียบเทียบกบั กฎหมาย ของประเทศไทยก็เหมือนกับตัดองค์ประกอบเรื่อง “โดยใช้กำลังประทุษร้ำย โดยผู้อื่นนันอยู่ในภำวะที่ไม่สำมำรถ ขัดขืนได้ หรือโดยทำให้ผู้อ่ืนนันเข้ำใจผิดว่ำตนเป็นบุคคลอื่น” ออกไป แล้วใช้การพิสูจน์ว่าผู้ถูกกระทาได้ แสดงออกถงึ การให้ความยนิ ยอมหรอื ไม่ แทนการพสิ ูจน์วา่ ผ้ถู ูกกระทาขัดขนื หรือไม่ นอกจากน้ี การเสนอใหม้ กี ารพิจารณาใหก้ ารปฏิเสธอย่างชัดแจ้งของผ้ถู ูกกระทา ให้ถือว่าเป็นการข่มขืน มาจากหลักว่า การมีเพศสัมพันธ์ต้องเกิดจากการยินยอมของทั้งสองฝ่าย ประกอบกับ กรณีตัวอย่างในคดีที่ผู้กระทาบังคับให้ผู้ถูกกระทาใช้อวัยวะเพศล่วงล้าผู้กระทา แล้วกฎหมายไม่ถือว่า เป็นการข่มขืนกระทาชาเราตามมาตรา ๒๗๖ และไม่ใชก่ ารอนาจารด้วยการล่วงลา้ ตามมาตรา ๒๗๘ วรรคสอง จึงได้มกี ารตงั้ ข้อสังเกตไวว้ ่า ผู้เสียหายหรอื ผู้ถูกกระทาอาจจะเป็นฝ่ายทีถ่ ูกข่มขนื กระทาชาเรา โดยมีพฤติการณ์ ทผ่ี ้กู ระทาบังคบั ให้ผถู้ ูกกระทาใช้อวยั วะเพศลว่ งล้าผู้กระทาก็ได้ ดงั นนั้ เม่ือใช้หลักการทั้งสองหลกั ขา้ งต้นมาพิจารณาเปรียบเทียบกบั ตวั บทกฎหมาย ของประเทศเยอรมนีแล้ว จึงเสนอให้มีการพิจารณานาหลักการดังกล่าวในกฎหมายของประเทศเยอรมนีมาปรับใช้ กบั กฎหมายของไทย โดยเสนอให้แก้ไขบทบัญญตั ิในมาตรา ๒๗๖ ความวา่ “ผู้ใดกระทาชาเราผู้อ่ืน หรอื ให้ผอู้ ่ืน กระทาชาเราตนเอง โดยผู้อ่ืนนั้นมิได้ยินยอม หรือได้แสดงการปฏิเสธด้วยวาจา ท่าทาง อย่างชัดแจ้งแก่ผู้น้ัน ตอ้ งระวางโทษ...” หากพิจารณาบทบัญญัติตามมาตรา ๒๗๖ วรรคหนึ่ง “ผู้ใดข่มขืนกระทำชำเรำผู้อ่ืน โดยขู่เข็ญด้วยประกำรใด ๆ โดยใช้กำลังประทุษร้ำย โดยผู้อื่นนันอยู่ในภำวะท่ีไม่สำมำรถขัดขืนได้ หรือโดยทำให้ ผู้อ่ืนนันเข้ำใจผิดว่ำตนเป็นบุคคลอื่น ต้องระวำงโทษจำคุกตังแต่ส่ีปีถึงย่ีสิบปี และปรับตังแต่แปดหมื่นบำท ถงึ ส่ีแสนบำท” ที่บังคับใชอ้ ยู่ในปัจจุบัน คาว่า “การใช้กาลังประทุษร้าย” เป็นองค์ประกอบความผิดท่ีมีความหมาย

- ๒๗ - ครอบคลุมพฤติการณ์อยู่แล้ว เพราะไม่ได้หมายความถึงการใช้กาลังทุบตีเพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงกรณีการกระทา โดยวิธีการอ่ืนใด เช่น การทาอันตรายต่อจิตใจ หรือการกระทาอ่ืนใดที่ทาให้เสียหายไม่สามารถต่อสู้ขัดขืนได้ เป็นต้น ซ่ึงหากมีการแก้ไขบทบัญญัติโดยกาหนดพฤติการณ์ “การแสดงการปฏิเสธด้วยวาจา ท่าทาง อย่างชัดแจ้ง แก่ผู้น้ัน” จะเป็นการสร้างภาระในการนาสืบพยานในชั้นศาลให้แก่ผู้เสียหาย เพื่อพิสูจน์ให้ศาลเห็นถึง พฤติการณ์ที่เป็นการปฏเิ สธโดยชัดแจ้งของผเู้ สียหาย และเป็นการเปิดช่องให้จาเลยใช้ประโยชน์ในการต่อสู้คดี ในทางกลับกนั ก็อาจถกู ใชเ้ ป็นช่องทางเพ่อื กลน่ั แกลง้ กนั ได้ จึงเป็นกรณีทีต่ ้องมกี ารพิจารณาถงึ ขอบเขตของการพสิ ูจน์ ถงึ พฤติการณท์ ีเ่ ป็นองค์ประกอบของความผิดอีกด้วย อย่างไรก็ตาม เนื้อความตามท่ีเสนอให้แก้ไขเป็นบทบัญญัติในมาตรา ๒๗๖ ในส่วนของ “โดยผู้อื่นนั้นมิได้ยินยอม” มีความหมายชัดแจ้งในตัวเองอยู่แล้ว โดยไม่จาเป็นต้องขยายความ ข้างท้ายว่าจะต้องมีพฤติการณ์อย่างไรบ้างถึงจะถือเป็นการไม่ยินยอมตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ เพ่ือเปิดโอกาส ใหม้ กี ารนาสืบขยายความในชั้นศาลต่อไปว่าผูถ้ ูกกระทาแสดงความไม่ยนิ ยอมอยา่ งไร หรือผู้กระทามีพฤติการณ์ อย่างไรท่ีทาให้ผู้ถูกกระทาจาต้องยินยอม เพราะการบัญญัติรายละเอียดของการกระทาไว้ในตัวบทกฎหมาย มากเท่าไร ย่ิงเปิดโอกาสให้ผู้กระทาความผิดใชเ้ ป็นช่องว่างในการต่อสู้คดีมากเท่าน้ัน ท้ังยังเปน็ การสร้างภาระ การนาสบื ใหแ้ ก่ผู้เสียหาย ซึ่งจะทาใหเ้ ปน็ ผลเสียมากกว่าเป็นผลดี ในการน้ี จึงมีการปรับถ้อยคาโดยตดั ขอ้ ความ ในสว่ น “การแสดงการปฏเิ สธด้วยวาจา ทา่ ทาง อยา่ งชัดแจง้ แกผ่ นู้ ้ัน” ออกไป แลว้ ใช้ขอ้ ความดงั ต่อไปน้ี “ผใู้ ดกระทำชำเรำผอู้ ื่น หรือให้ผู้อื่นกระทำชำเรำตนเอง โดยผู้อน่ื นนั มิไดย้ ินยอม ตอ้ งระวำงโทษจำคุกตังแตส่ ่ีปีถึงย่ีสิบปี และปรบั ตงั แตแ่ ปดหมื่นบำทถงึ ส่ีแสนบำท” ทั้งน้ี เพ่ือใช้เป็นแนวทางในการพิจารณา เนื่องจากมีความครอบคลุมถึงพฤติการณ์ ตามกรณีตัวอย่างท่ีผู้ถูกกระทาถูกบังคับให้ใช้อวัยวะเพศล่วงล้าผู้กระทา ทาให้สามารถเอาผิ ดกับผู้กระทา ในความผดิ ฐานขม่ ขนื กระทาชาเราได้ ซึ่งแนวทางการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๖ ของ องคป์ ระกอบความผิดในกรณผี ู้ถกู กระทาปฏิเสธด้วยวาจา ท่าทางอย่างชัดแจง้ แบ่งออกเปน็ ๒ แนวทาง คอื แนวทางท่ี ๑ เสนอใหแ้ กไ้ ขบทบัญญตั ิมาตรา ๒๗๖ วรรคหนึ่ง แหง่ ประมวลกฎหมายอาญา ดังนี้ “มาตรา ๒๗๖ ผู้ใดกระทาชาเราผู้อื่น หรือให้ผู้อื่นกระทาชาเราตนเอง โดยผู้อื่นน้ัน มิไดย้ ินยอม ต้องระวางโทษจาคกุ ตั้งแต่สป่ี ถี ึงย่สี ิบปี และปรบั ต้งั แต่แปดหมืน่ บาทถึงสี่แสนบาท ...” แนวทางที่ ๒ เสนอใหบ้ ัญญัติเป็นมาตรา ๒๗๖/๑ แห่งประมวลกฎหมายอาญา ดงั นี้ “มาตรา ๒๗๖/๑ ผ้ใู ดกระทาชาเราผอู้ ่ืน หรอื ให้ผู้อ่ืนกระทาชาเราตนเอง โดยผู้อนื่ น้ัน มไิ ด้ยินยอม ตอ้ งระวางโทษ...” ๒. ประเด็นการพิจารณา การแก้ไขเพ่ิมเติมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๖ ขององค์ประกอบความผิด ในกรณีผู้ถูกกระทาปฏเิ สธดว้ ยวาจา ท่าทางอย่างชัดแจ้ง ๓. สรุปผลการศึกษาวเิ คราะห์ เสนอแนวทางการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๖ ของ องค์ประกอบความผิดในกรณผี ูถ้ ูกกระทาปฏเิ สธด้วยวาจา ท่าทางอยา่ งชัดแจ้ง โดยแบง่ ออกเป็น ๒ แนวทาง ดงั นี้

- ๒๘ - แนวทางที่ ๑ เสนอให้แกไ้ ขบทบัญญตั ิมาตรา ๒๗๖ วรรคหน่ึง แห่งประมวลกฎหมายอาญา ดงั นี้ “มาตรา ๒๗๖ ผใู้ ดกระทาชาเราผู้อน่ื หรือให้ผูอ้ ่ืนกระทาชาเราตนเอง โดยผู้อน่ื นั้น มิไดย้ ินยอม ต้องระวางโทษจาคกุ ต้ังแต่ส่ปี ถี งึ ย่สี บิ ปี และปรับตั้งแตแ่ ปดหมน่ื บาทถงึ ส่ีแสนบาท ...” แนวทางท่ี ๒ เสนอให้บญั ญตั เิ ป็นมาตรา ๒๗๖/๑ แห่งประมวลกฎหมายอาญา ดงั นี้ “มาตรา ๒๗๖/๑ ผใู้ ดกระทาชาเราผู้อืน่ หรือให้ผ้อู ื่นกระทาชาเราตนเอง โดยผูอ้ ่นื นน้ั มไิ ด้ยินยอม ต้องระวางโทษ...” สว่ นท่ี ๓ การเพิ่มบทนิยามและบทลงโทษของการกระทาคุกคามทางเพศ ในประมวลกฎหมายอาญา ๑. หลกั การและเหตผุ ล คาจากัดความของคาว่าล่วงละเมิดทางเพศกับคุกคามทางเพศ มีรากศัพท์ เหมอื นกัน การล่วงละเมดิ ทางเพศค่อนข้างมคี วามหมายกวา้ งเกินไป ซึ่งรวมถึงการกระทาความผดิ เกี่ยวกับเพศ ตามประมวลกฎหมายอาญา แต่การคุกคามทางเพศจะมีความชัดเจนและเฉพาะเจาะจงมากกว่า ควรบัญญัติ บทนิยามการคุกคามทางเพศในประมวลกฎหมายอาญา กรณีของการคุกคามทางเพศแต่ไม่มีการดาเนินการใด ๆ ได้ เนื่องจากไม่มีบทบัญญัติกฎหมายรองรับในการกระทาดังกล่าว จึงไม่สามารถแจ้งข้อหาได้ โดยเป็นเพียงการรังควาน ยังไมถ่ อื วา่ เป็นการลว่ งละเมิดทางเพศหรอื การทาร้าย การกระทาคุกคามทางเพศ แม้ความร้ายแรงยังไม่ถึงขั้นการอนาจารแต่การกระทา คุกคามทางเพศควรเป็นความผิดมากกว่าบทลหุโทษแห่งประมวลกฎหมายอาญาตามท่ีปรากฏในมาตรา ๓๙๒ และมาตรา ๓๙๗ “มำตรำ ๓๙๒ ผู้ใดทำให้ผู้อ่ืนเกิดควำมกลัว หรือควำมตกใจ โดยกำรขู่เข็ญ ตอ้ งระวำงโทษจำคกุ ไมเ่ กินหนึ่งเดือน หรอื ปรับไม่เกนิ หนง่ึ หม่นื บำท หรือทงั จำทังปรบั มำตรำ ๓๙๗ ผู้ใดกระทำด้วยประกำรใด ๆ ต่อผู้อื่น อันเป็นกำรรังแก ข่มเหง คุกคำม หรือกระทำใหไ้ ดร้ ับควำมอับอำยหรอื เดอื ดร้อนรำคำญ ต้องระวำงโทษปรบั ไมเ่ กนิ ห้ำพันบำท ถ้ำกำรกระทำควำมผิดตำมวรรคหน่ึงเป็นกำรกระทำในที่สำธำรณสถำนหรือต่อหน้ำ ธำรกำนัลหรือเป็นกำรกระทำอันมีลักษณะส่อไปในทำงท่ีจะล่วงเกินทำงเพศ ต้องระวำงโทษจำคุกไม่เกินหน่ึงเดือน หรือปรับไม่เกนิ หน่ึงหม่ืนบำท หรอื ทงั จำทังปรับ ถ้ำกำรกระทำควำมผิดตำมวรรคสองเป็นกำรกระทำโดยอำศัยเหตุที่ผู้กระทำ มีอำนำจเหนือผู้ถูกกระทำอันเน่ืองจำกควำมสัมพันธ์ในฐำนะท่ีเป็นผู้บังคับบัญชำ นำยจ้ำง หรือผู้มีอำนำจเหนือ ประกำรอ่ืน ตอ้ งระวำงโทษจำคกุ ไม่เกนิ หน่ึงเดือน และปรับไมเ่ กินหน่ึงหมน่ื บำท” มาตรา ๓๙๒ และมาตรา ๓๙๗ ซ่ึงเป็นความผิดลหุโทษท่ีมีบทลงโทษค่อนข้างเบา และมีสภาพปัญหาว่าหากมีการฟ้องร้องดาเนินคดีตามมาตรา ๓๙๗ การบังคับใช้กฎหมายของเจ้าหน้าที่ตารวจ มักมีการบังคับใช้กฎหมายให้ปรากฏผลการกระทาก่อนถึงแจ้งข้อหาได้ ข้อเท็จจริงผู้ถูกกระทามีความเดือดร้อนแล้ว การท่ีมีบทบัญญัติดังกล่าวไม่สามารถคุ้มครองกรณีการกระทาคุกคามทางเพศให้มีผลทางรูปธรรมในการบังคับใช้ กฎหมาย

- ๒๙ - ๑.๑ การพิจารณาถอ้ ยคาของคาว่า การคกุ คามทางเพศ การพิจารณาถ้อยคาของคาว่า การคุกคามทางเพศ ได้พิจารณาเปรียบเทียบ ลักษณะการล่วงละเมิดทางเพศหรือคุกคามทางเพศจากบทบัญญัติในพระราชบัญญัติระเบียบ ข้าราชการ พลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ และมาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการล่วงละเมิดทางเพศหรือคุกคามทางเพศ ของกรมกจิ การสตรีและสถาบนั ครอบครัว กระทรวงการพฒั นาสงั คมและความม่ันคงของมนุษย์ ดงั น้ี ลักษณะการลว่ งละเมิดทางเพศหรือคุกคามทางเพศ พระราชบญั ญัตริ ะเบียบข้าราชการพลเรือน กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครวั พ.ศ. ๒๕๕๑ กฎ ก.พ. ว่าด้วยการกระทาการอันเป็นการล่วง แนวปฏบิ ตั เิ พือ่ ป้องกันและแก้ไขปัญหาการล่วง ละเมิดหรือคุกคามทางเพศ พ.ศ. ๒๕๕๓ ได้กาหนดใน ละเมดิ หรือคุกคามทางเพศในการทางาน ข้อ ๒ ข้าราชการพลเรือนสามญั ผู้ใดกระทาการประการ “การล่วงละเมิดทางเพศหรือการคุกคามทางเพศ” ใดประการหน่ึง ดังต่อไปน้ี ต่อข้าราชการด้วยกัน หรือผู้ คือ การกระทาใด ๆ หรือพฤติกรรมท่ีส่อไปในทางเพศ ร่วมปฏิบัติราชการ ไม่ว่าจะเกิดขึ้นในหรือนอกสถานที่ ที่เป็นการบังคับใช้อานาจที่พึงปรารถนาด้วยวาจา ข้อความ ราชการ โดยผู้ถูกกระทามิได้ยินยอมต่อการกระทาน้ัน ท่าทาง แสดงด้วยเสียง รูปภาพ เอกสาร ข้อมูลทาง หรือทาให้ผู้ถูกกระทาเดือดร้อนราคาญ ถือว่าเป็นการ อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ หรอื สงิ่ ของลามกอนาจารเกยี่ วกบั เพศ หรอื กระทาอันเป็นการล่วงละเมิดหรือคุกคามทางเพศ กระทาอย่างอื่นในทานองเดียวกันโดยประการ ตามมาตรา ๘๓ (๘) ที่น่าจะทาให้ผู้อื่นได้รับความเดือดร้อน ราคาญ ได้รับ ความอับอาย หรือรู้สึกว่าถูกเหยียดหยาม และให้หมาย รวมถึงการติดตามรังควาน หรือการกระทาการใด ที่ก่อให้เกิดบรรยากาศไม่ปลอดภัยทางเพศ โดยเฉพาะ จากการสร้างเงื่อนไข ท่ีมีผลต่อการจ้างงาน การสรรหา หรือการแต่งต้ัง หรือผลกระทบอ่ืนใดต่อผู้เสียหาย ทั้งในหนว่ ยงานของรัฐและเอกชน รวมถึงสถาบนั การศกึ ษา พฤติกรรมท่ีเข้าข่ายการล่วงละเมิดทางเพศหรือ คุกคามทางเพศ การกระทาเก่ียวกับเรื่องเพศ ซ่ึงผู้ถูกกระทา ไม่ต้องการและมีความรู้สึกเดือดร้อน ราคาญ อึดอัด อับอาย ถูกดูถูกเหยียดหยาม ถือว่าเข้าข่ายการล่วง ละเมดิ หรือคกุ คามทางเพศ อาทิ (๑) กระทาการด้วยการสัมผัสทางกายท่ีมี การกระทาทางกาย เชน่ ลักษณะส่อไปในทางเพศ เช่น การจูบ การโอบกอด (๑) การสัมผัสร่างกายของผู้อื่น การลูบคลา การจบั อวัยวะสว่ นใดสว่ นหนง่ึ เป็นต้น การถูไถร่างกายผู้อ่ืนอย่างมนี ัยทางเพศ การฉวยโอกาส กอดรัด จูบ การหยอกล้อโดยการแตะเน้ือต้องตัว การฉวยโอกาสกอดรัด และการสัมผัสทางกายอื่นใด ทไี่ มน่ ่าพงึ ประสงค์ การดึงคนมาน่ังตัก (๒) การตามตื้อโดยท่ีอีกฝ่ายหนึ่งไม่เล่นด้วย การตั้งใจยืนใกล้ชิดเกินไป การต้อนเข้ามุมหรือขวาง

- ๓๐ - พระราชบญั ญัตริ ะเบียบข้าราชการพลเรือน กรมกิจการสตรแี ละสถาบันครอบครวั พ.ศ. ๒๕๕๑ ทางเดิน การยักค้ิวหล่ิวตา การผิวปากแบบเชิญชวน การสง่ จบู การเลียรมิ ฝปี าก การทาท่านา้ ลายหก การแสดง พฤติกรรมท่ีสื่อไปในทางเพศโดยใช้มือหรือการเคลื่อนไหว รา่ งกาย เปน็ ต้น (๒) กระทาการด้วยวาจาท่ีส่อไปในทางเพศ การกระทาดว้ ยวาจา เชน่ เช่น วิพากษว์ ิจารณ์รา่ งกาย พูดหยอกลอ้ พูดหยาบคาย (๑) การวิพากษ์วิจารณ์รูปร่าง ทรวดทรง และ เปน็ ตน้ การแต่งกายทส่ี ่อไปทางเพศ (๒) การชักชวนให้กระทาการใด ๆ ในที่ลับตา ซึ่งผู้ถูกกระทาไม่พึงประสงค์และไม่ต้องการ การพูดเรื่อง ตลกเกยี่ วกับเพศ (๓) การเกี้ยวพาราสี พูดจาแทะโลม วิจารณ์ ทรวดทรง การพูดลามก การโทรศัพท์ลามก การเรียก ผ้หู ญงิ ด้วยคาท่ีส่อไปทางเพศ จับกลุ่มวิจารณ์พฤติกรรม ทางเพศของบุคคลในที่ทางาน (๔) การสนทนาเรื่องเพศหรือเพศสัมพันธ์ การแสดงความเห็นต่อรสนิยมทางเพศ และการพูดท่ีส่อไป ในทางเพศ การถามเก่ียวกับประสบการณ์ ความชื่นชอบ ในเรื่องเพศ การสร้างเรื่องโกหกหรือการแพร่ข่าวลือ เกยี่ วกับชีวติ ทางเพศของผอู้ ่ืน (๓) กระทาการด้วยอากัปกิรยิ าทส่ี ่อไปในทางเพศ การกระทาทางสายตา เช่น เช่น การใช้สายตาลวนลาม การทาสัญญาณ หรือ การจ้องมองร่างกายที่ส่อไปในทางเพศ มองช้อน สญั ลกั ษณ์ใด ๆ เป็นต้น ใต้กระโปรง มองหน้าอกหรือจ้องลงไปท่ีคอเสื้อ จนทาให้ (๔) การแสดงหรือสื่อสารด้วยวิธีการใด ๆ ที่ส่อ ผู้ถูกมองรู้สึกอึดอัด อับอาย หรือไม่สบายใจ หรือผู้อื่น ไปในทางเพศ เช่น แสดงรูปลามกอนาจาร ส่งจดหมาย ท่ีอยู่ในบริเวณดังกลา่ วมีความรู้สึกเชน่ เดยี วกัน เป็นตน้ ข้อความ หรอื การส่อื สารรปู แบบอ่นื เปน็ ตน้ การกระทาอน่ื ๆ เช่น (๕) การแสดงพฤติกรรมอ่ืนใดที่ส่อไปในทางเพศ (๑) การแสดงรูปภาพ วัตถุ และข้อความ ซ่ึงผ้ถู กู กระทา ไมพ่ ึงประสงคห์ รือ เดือดร้อนราคาญ ที่เกี่ยวข้องกับเพศ รวมท้ังการเปิดภาพโป๊ในที่ทางาน และในคอมพิวเตอร์ของตน (๒) การแสดงออกที่เกี่ยวกับเพศ เช่น การโชว์ ปฏิทินโป๊ การเขียนหรือวาดภาพทางเพศในที่สาธารณะ การใช้สัญลักษณ์ที่แสดงถึงอวัยวะหรือการร่วมเพศ การสื่อข้อความ รูปภาพ สัญลักษณ์ที่แสดงถึงเรื่องเพศ ทางอนิ เทอรเ์ นต็ เช่น เฟซบุค๊ ไลน์ ฯลฯ เป็นตน้

- ๓๑ - พระราชบัญญัตริ ะเบยี บข้าราชการพลเรอื น กรมกิจการสตรแี ละสถาบันครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๑ การกระทาทางเพศที่มีการแลกเ ปล่ียน ผลประโยชน์ (๑) การให้สัญญาที่จะให้ผลประโยชน์ เช่น ตาแหน่งหน้าทีก่ ารงาน ผลการเรียน ทนุ การศึกษา ดูงาน การเลื่อนเงินเดอื นหรือตาแหน่ง การต่อสัญญาการทางาน หากผู้ถูกล่วงละเมิดหรือถูกคุกคามยอมมีเพศสัมพันธ์ เช่น ขอให้ไปค้างคืนด้วย ขอให้มีเพศสัมพันธ์ด้วย หรือ ขอใหท้ าอยา่ งอื่นทเี่ ก่ียวข้องกบั เรอื่ งเพศ เป็นตน้ (๒) การข่มขู่ให้เกิดผลในทางลบต่อการจ้างงาน การศึกษา การข่มขู่ว่าจะทาร้าย การบังคับให้มีการสัมผัส ทางเพศ หรือการพยายามกระทาชาเรา หรอื กระทาชาเรา อย่างไรก็ตาม ขอบเขตการบังคับใช้ของกฎ ก.พ. ว่าด้วยการกระทาการอันเป็น การล่วงละเมิดหรือคุกคามทางเพศ พ.ศ. ๒๕๕๓ พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๖ และมาตรการ ของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นการให้ความคุ้มครองแก่คนเฉพาะกลุ่มไม่มีผล บังคับใช้แก่ประชาชนทั่วไป รวมถึงยังมีการกาหนดบทลงโทษไว้ค่อนข้างเบา ซึ่งไม่สามารถป้องปรามไม่ให้เกิด การกระทาคุกคามทางเพศ หรือป้องกันไม่ให้มีการกระทาคุกคามทางเพศ ดังน้ัน ถ้าจะให้มีบทบัญญัติท่ีเป็น การป้องกันการล่วงละเมิดทางเพศหรือการคุกคามทางเพศท่ีมีการบังคับใช้เป็นการทั่วไปและคุ้มครองประชาชน อย่างท่ัวถึง จึงควรมีการบัญญัติบทนิยาม และบทลงโทษไว้ในประมวลกฎหมายอาญาเป็นการเฉพาะ เพื่อให้ปัญหา การลว่ งละเมิดทางเพศหรอื การคุกคามทางเพศได้รับการคุม้ ครองภายใต้กฎหมายอยา่ งเป็นรปู ธรรม การกาหนดขอบเขตของคาจากัดความการล่วงละเมิดทางเพศหรือการคุมคาม ทางเพศน้ัน จะต้องมีการพิจารณาลักษณะพฤติการณ์ที่เป็นองค์ประกอบความผิดฐานล่วงละเมิดทางเพศ หรือคุกคามทางเพศด้วย โดยเปรียบเทียบจากบทบัญญัติของกฎหมายท่ีบังคับใช้อยู่ก่อนแล้ว เพ่ือนาไปเป็น ตัวอย่างในการพิจารณาศึกษาว่า บทบัญญัติของกฎหมายแต่ละฉบับนั้น ให้การคุ้มครองอย่างเพียงพอหรือไม่ ซึ่งเม่ือพิจารณาคาจากัดความตามบทบัญญัติของกฎ ก.พ. ว่าด้วยการกระทาการอันเป็นการล่วงละเมิด หรือคุกคามทางเพศ พ.ศ. ๒๕๕๓ พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๖ และมาตรการในการป้องกัน และแก้ไขปัญหาการล่วงละเมิดทางเพศหรือคุกคามทางเพศ ของกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมน่ั คงของมนุษย์ มีการบัญญัติลกั ษณะของการกระทาที่เป็นการล่วงละเมิด ทางเพศหรือการคุกคามทางเพศไว้ค่อนข้างชัดเจน จึงเห็นว่าควรนาเน้ือความจากทั้ง ๓ แห่ง ไปรวบรวม และปรับถอ้ ยคาเพื่อเรียงร้อยใหเ้ ป็นคาจากัดความท่ีแสดงให้เหน็ ถึงลกั ษณะของการกระทาที่เป็นการล่วงละเมิด ทางเพศหรือการคกุ คามทางเพศ นอกจากนี้ ได้พจิ ารณาถอ้ ยคาของคาว่า การคุกคามทางเพศ ดงั นี้ ““การคุกคามทางเพศ” หมายความว่า การกระทาหรือพฤติการณ์ใด ๆ ที่ส่อไป ในทางเพศ (เพ่ือหวังผลประโยชน์ทางเพศของผู้กระทา) เป็นเหตุให้เดือดร้อนราคาญ อับอาย หรือถูกเหยียดหยาม และรวมถึงการติดตามรังควาน หรือกระทาการใดท่ีก่อให้เกิดบรรยากาศไม่ปลอดภัยทางเพศ ไม่ว่าการกระทาน้ัน จะกระทาโดยทางกาย วาจา การส่งเสียง การแสดงอากัปกิริยาท่าทาง การแสดงหรือส่ือสารด้วยวิธีการใด ๆ ไม่ว่าจะกระทาต่อหนา้ หรือกระทาโดยการส่ือสารในชอ่ งทางใด ๆ”

- ๓๒ - ขอ้ พิจารณาบทนยิ าม ๑) หลักนิยามไม่ควรมีคาจากัดความท่ียาวเกินไป ควรมีคาจากัดความท่ีส้ัน และพิจารณาตีความ หากขยายคาจากัดความของคาว่า “ล่วงละเมิดทางเพศ” กับ “การคุกคามทางเพศ” มีขอบเขตต่างกัน กล่าวคือ การล่วงละเมิดทางเพศ หมายความรวมถึงการข่มขืนกระทาชาเรา การอนาจาร อาจทับซ้อนกับการกระทาความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาในคดีข่มขืนกระทาชาเราหรือการกระทาอนาจาร ดังน้ัน จึงพิจารณาเพียงคาจากัดความของคาว่า “การคุกคามทางเพศ” ซึ่งการคุกคามทางเพศอาจยังไม่ถึงกับ เป็นภยันตราย เพียงทาให้ผู้เสียหายเดือดร้อนราคาญ แต่ล่วงละเมิดทางเพศคือล่วงละเมิดถึงขั้นข่มขืนกระทาชาเรา หรืออนาจาร ซง่ึ มีบทบญั ญัติการกระทาความผดิ และบทลงโทษในประมวลกฎหมายอาญาอยู่แล้ว ๒) การพิจารณาบทนิยามของคาว่า “คุกคามทางเพศ” จากกรณีดังกล่าว มีข้อพิจารณาเก่ียวกับพฤติการณ์ของการใช้สายตา ซ่ึงต้องเป็นองค์ประกอบของการกระทาท่เี ป็นการคกุ คามทางเพศ พนักงานสอบสวนจะตีความค่อนข้างยากเก่ียวกับพฤติการณ์ทางสายตาในการนาสืบ โดยต้องดูองค์ประกอบ หรอื พฤติการณ์อย่างอ่นื ประกอบการสอบสวนซึ่งจะต้องสืบสวนไปถึงพฤติการณท์ างสายตาอยู่แลว้ ๓) คาว่า “พฤติการณ์ใด” ครอบคลุมถึงการกระทาทั้งหมดรวมถึงทางสายตา ท่ีพนักงานสอบสวนจะนาสืบ ซ่ึงหากผู้เสียหายมีการดาเนินคดีต้องมีองค์ประกอบท่ีชัดเจนโดยพนักงานสอบสวน หรอื ผู้เสยี หายจะนาสืบกล่าวหากันได้ ๔) การแสดงอากัปกิริยาท่าทาง หมายรวมถึงกาย วาจา การส่งเสียง หรือลักษณะ ท่าทาง และหากเพ่ิมการกระทา “การกระทาหรือพฤติการณ์ใด ๆ ที่ส่อไปในทางเพศ รวมถึงการแสดงด้วยรูปภาพ เอกสาร ข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือส่ิงของลามกอนาจารอันเป็นเหตุให้เดือดร้อนราคาญ อับอาย หรือถูกเหยียดหยาม และรวมถึงการติดตามรังควานหรือกระทาการใดที่ก่อให้เกิดบรรยากาศไม่ปลอดภัยทางเพศ” จะครอบคลุมบทนิยามในการใช้อุปกรณ์อยา่ งอ่ืน ซึ่งไม่ใช่เพียงพฤติการณ์อย่างเดียว แต่หมายรวมถึงการส่งรูปภาพ เอกสาร หรือขอ้ มูลทางอิเล็กทรอนกิ ส์ โดยในปัจจุบนั มีการสง่ ภาพถ่ายหรอื วิดีโอทางเฟซบ๊คุ ไลน์ เป็นการคุกคาม ทางเพศได้ อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาถ้อยคา “การแสดงหรือสื่อสารด้วยวิธีการใด ๆ ไม่ว่าจะกระทาต่อหน้า หรือกระทาโดยการส่ือสารในช่องทางใด” ซ่ึงหมายรวมถึงการสื่อสารด้านดิจิทัลหรือทางอิเล็กทรอนิกส์ด้วย ดังน้ัน หากนาถ้อยคาของการขยายการกระทาหรือพฤติการณ์ใด “ไม่ว่าการกระทาน้ันจะกระทาโดยทางกาย วาจา การส่งเสียง การแสดงอากัปกิริยาท่าทาง การแสดงหรือส่ือสารด้วยวิธีการใด ๆ ไม่ว่าจะกระทาต่อหน้า หรือกระทา โดยการส่ือสารในช่องทางใด ๆ” และนาเหตุ “เป็นเหตุให้เดือดร้อนราคาญ อับอาย หรือถูกเหยียดหยาม และรวมถึง การตดิ ตามรังควาน หรือกระทาการใดที่กอ่ ให้เกดิ บรรยากาศไม่ปลอดภยั ทางเพศ” อยูภ่ ายหลังการกระทา จะทาให้ ความหมายสมบูรณม์ ากข้ึน ๑.๒ การเพ่ิมบทลงโทษของการกระทาการคุกคามทางเพศ ในลักษณะ ๙ ความผิดเกีย่ วกบั เพศแหง่ ประมวลกฎหมายอาญา การเพ่ิมบทลงโทษของการกระทาการคุกคามทางเพศ ในลักษณะ ๙ ความผิด เกีย่ วกบั เพศแห่งประมวลกฎหมายอาญา มีรายละเอียดของขอบเขตและบทลงโทษทางกฎหมายของการกระทา คุกคามทางเพศตามตาราง ดังนี้

ขอบเขตและบทลงโทษทางกฎหมายข พระราชบญั ญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พระราชบัญญัติค้มุ ครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๕๑ มา ต ร า ๑ ๖ บั ญ ญั ติ ห้ า ม ม มาตรา ๘๓ ได้บัญญัติว่า ข้าราชการพลเรือน หัวหน้างาน ผู้ควบคุมงานหรือผู้ตรว สามัญต้องไม่กระทาการใดอันเป็นข้อห้าม (๘) การล่วงเกิน คุกคามหรือก่อความเดือ ต้องไม่กระทาการอันเป็นการ ล่วงละเมิดหรื อ ทางเพศต่อลูกจ้าง คุกคามทางเพศตามที่กาหนดในกฎ ก.พ. มาตรา ๑๔๗ ผู้ใดฝ่าฝืนมาต มาตรา ๘๔ ข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใด ระวางโทษปรบั ไม่เกินสองหม่นื บาท ไม่ป ฏิ บั ติ ต า มข้อป ฏิ บั ติ ต า มมา ต ร า ๘ ๑ แ ล ะ มาตรา ๘๒ หรือฝ่าฝืนข้อห้ามตามมาตรา ๘๓ ผนู้ ้ันเปน็ ผกู้ ระทาผิดวนิ ยั มาตรา ๘๕ การกระทาผิดวินัยในลักษณะ ดังต่อไปนี้ เป็นความผิดวนิ ัยอยา่ งร้ายแรง (๗) เว้นการกระทาหรือกระทาการใด ๆ อันเป็นการไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๘๒ หรือฝ่าฝืน ข้อห้ามตามมาตรา ๘๓ อันเป็นเหตุให้เสียหาย แก่ราชการอยา่ งร้ายแรง

ของการกระทาคกุ คามทางเพศ พ.ศ. ๒๕๔๖ บทบัญญตั ทิ เี่ ก่ยี วข้อง ตามประมวลกฎหมายอาญา มิ ใ ห้ น า ย จ้ า ง วจงาน กระทา หมวด ๓ ลหุโทษ อดรอ้ นราคาญ มาตรา ๓๙๗ ผู้ใดกระทาด้วยประการใด ๆ ต่อผู้อ่ืน อันเป็น การรังแก ข่มเหง คุกคาม หรือกระทาให้ได้รับความอับอายหรือ ตรา ๑๖ ต้อง เดอื ดรอ้ นราคาญ ตอ้ งระวางโทษปรบั ไมเ่ กนิ หา้ พนั บาท ท ถ้ า ก า ร ก ร ะ ท า ค ว า ม ผิ ด ต า ม ว ร ร ค ห นึ่ ง เ ป็ น ก า ร ก ร ะ ท า ใน ท่ี ส าธ าร ณ ส ถ าน ห รื อต่ อห น้ า ธารก านั ลหรื อเป็ นการกระท า อันมีลักษณะส่อไปในทางที่จะล่วงเกินทางเพศ ต้องระวางโทษ - ๓๓ - จาคุกไม่เกินหนึ่งเดอื น หรือปรับไม่เกินหน่ึงหมน่ื บาท หรอื ทงั้ จา ท้งั ปรับ ถ้ า ก า ร ก ร ะ ท า ค ว า ม ผิ ด ต า ม ว ร ร ค ส อ ง เ ป็ น ก า ร ก ร ะ ท า โดยอาศัยเหตุท่ีผู้กระทามีอานาจเหนือผู้ถูกกระทาอันเนื่องจาก ความสัมพันธ์ในฐานะที่เป็นผู้บังคับบัญชา นายจ้าง หรือผู้มี อานาจเหนอื ประการอ่นื ตอ้ งระวางโทษจาคุก

- ๓๔ - นอกจากน้ี ยังมีการพิจารณาตัวอย่างถ้อยคาในการเพ่ิมเติมบทลงโทษ ในประมวลกฎหมายอาญา ดังนี้ “มาตรา .. ผู้ใดกระทาการคุกคามทางเพศต่อผู้อื่น โดยผู้อ่ืนน้ันมิได้ยินยอม ตอ้ งระวางโทษ…. ถ้าการกระทาความผิดตามวรรคหน่ึง เป็นการกระทาต่อเด็กอายุไม่เกิน สบิ ห้าปีซง่ึ มิใช่ภรรยาหรอื สามีของตน โดยเดก็ น้นั จะยนิ ยอมหรอื ไม่กต็ าม ตอ้ งระวางโทษ… มาตรา .. ผู้ใดกระทาการคุกคามทางเพศต่อผู้อื่น โดยเป็นการกระทาโดยอาศัยเหตุ ที่ผู้กระทามีอานาจเหนือผู้ถูกกระทาอันเน่ืองจากความสัมพันธ์ในฐานะทเี่ ป็นผู้บังคับบัญชา นายจา้ ง หรือผู้มอี านาจ เหนือประการอ่นื ต้องระวางโทษ….. ถา้ การกระทาผิดตามวรรคหนึ่ง เปน็ การกระทาโดยผู้ถกู กระทาน้ันยินยอม” ข้อพิจารณาบทลงโทษ ๑) บทลงโทษเกี่ยวกับการคุกคามทางเพศควรมีอัตราโทษสูงกว่าความผิด ลหุโทษ หรือมีอัตราโทษกึ่งหนึ่งของการกระทาความผิดฐานอนาจาร เพ่ือให้การกระทาความผิดฐานคุกคาม ทางเพศมีอตั ราโทษท่ีหนักข้นึ และเข้าสกู่ ระบวนการพิจารณาของศาล ๒) บทลงโทษที่เพ่ิมมาตราซ่ึงเป็นบทฉกรรจ์ของการคุกคามทางเพศที่กระทา โดยอาศัยเหตุท่ีผู้กระทามีอานาจเหนือผู้ถูกกระทาอันเนื่องจากความสัมพันธ์ในฐานะท่ีเป็นผู้บังคับ บัญชา นายจา้ ง หรอื ผ้มู ีอานาจเหนอื ประการอื่น ควรบญั ญตั ิเป็นวรรคสามในมาตราเดยี วกัน ๓) “ถา้ การกระทาผดิ ตามวรรคหน่งึ เป็นการกระทาโดยผู้ถูกกระทานั้นยนิ ยอม” ได้อธิบายว่า วรรคหนึ่งเป็นการไม่ยินยอม ส่วนวรรคสองเป็นการยินยอม หากเป็นการแยกระดับโทษ ของการยินยอมหรือไม่ยินยอมก็ไม่ควรปรับเร่ืองของการยินยอมหรือไม่ยินยอมในเร่ืองของการคุกคามทางเพศ หากบุคคลนั้นยินยอมก็ไม่ควรเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัยต้ังแต่แรก ซึ่งการระบุว่ายินยอมเป็นการกระทาความผิด อาจไมเ่ ปน็ ธรรมกับผู้กระทาความผิด เพราะผู้เสียหายยนิ ยอม จึงควรตัดวรรคสุดทา้ ยออก ๔) มาตรการการป้องกันและแก้ไขปัญหาการล่วงละเมิดหรือคุกคามทางเพศ ในการทางาน โดยมีพระราชบัญญัติส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. ๒๕๕๘ และการเลือกปฏิบัติ ด้วยเหตุแห่งเพศ ซึ่งเป็นสาเหตุหน่ึงของการล่วงละเมิดหรือคุกคามทางเพศ อาจนามาพิจารณาประกอบ เป็นอกี ชอ่ งทางหนึง่ ได้ ๕) การก่อความเดือดร้อนราคาญเป็นการกระทาความผิดลหุโทษ หากพิจารณา การกระทาความผิดและความร้ายแรงของความผิดเก่ียวกับเพศ ตามประมวลกฎหมายอาญา ทั้งการกระทา ความผิดฐานข่มขืนกระทาชาเรา มาตรา ๒๗๖ การกระทาความผิดฐานอนาจาร มาตรา ๒๗๘ การขอเพิ่มเติม การกระทาความผดิ ฐานคุกคามทางเพศในประมวลกฎหมายอาญา ควรบัญญัตเิ ป็นมาตรา ๒๗๘/๑ ผู้ใดคุกคาม ทางเพศต่อผู้อ่ืน และวรรคสองผู้ใดกระทาการคุกคามทางเพศต่อผู้อื่น โดยเป็นการกระทาอาศัยเหตุ ที่ผู้กระทามีอานาจเหนือผู้ถูกกระทาอันเน่ืองจากความสัมพันธ์ในฐานะท่ีเป็นผู้บังคับบัญชา นายจ้าง หรือผู้มี อานาจเหนือประการอืน่ และมาตรา ๒๗๙/๑ ควรเปน็ เรอ่ื งของการจากัดอายุของเดก็ หรือผ้เู ยาว์ ๖) การพิจารณาเทียบเคียงกับการกระทาความผิดฐานอนาจารเป็นการกระทา เข้าถึงตัวและมีการล่วงละเมิดทางเพศแล้ว โดยมีการขู่เข็ญแต่ยังไม่ถึงข้ันล่วงล้า มีการกระทาท่ีเป็นการขู่เข็ญ ด้วยกาลังประทุษร้าย โดยความผิดฐานอนาจารจะไม่ได้บัญญัติถึงการยินยอมเพราะความผิดฐานอนาจาร แม้ผู้เสียหายยินยอมก็ถือว่ามีความผิดแล้ว ดังนั้น จึงต้องพิจารณาขอบเขตของอนาจารกับคุกคามทางเพศ มีความแตกตา่ งกันอย่างไร ซ่ึงบางคร้ังพฤติการณก์ ารคุกคามทางเพศ ผู้เสียหายอาจมีความรู้สึกว่าไม่เดือดร้อน

- ๓๕ - ราคาญใจสามารถปกป้องตัวเองได้ แต่หากผู้เสียหายมีความรู้สึกว่าไม่ถูกต้องหรือไม่ยินยอมแล้วจะเข้า องค์ประกอบของการคุกคามทางเพศซ่ึงจะนาไปสู่การแจ้งความดาเนินคดีได้ อย่างไรก็ตาม หากกาหนด การกระทาในการขู่เข็ญอาจจะเป็นการเพ่ิมองค์ประกอบและทาให้พฤติการณ์ของการคุกคามทางเพศแคบลง โดยในทางกฎหมายถา้ องคป์ ระกอบไมค่ รบก็ไมผ่ ิดซึ่งเป็นการเปิดช่องวา่ งของกฎหมาย ๗) การคุกคามทางเพศมีนัยยะว่าผู้กระทาอาจไม่มีการขู่เข็ญแต่ผู้ถูกกระทา อยู่ในภาวะท่ีไม่สามารถขัดขืนได้ และถ้าเป็นผู้ถูกกระทาที่อยู่ภายใต้บังคับบัญชาซ่ึงเป็นการใช้อานาจเหนือ ผู้ถูกกระทาหากกาหนดขอบเขตการขู่เข็ญและมีการปฏิเสธโดยผู้ถูกกระทาหรือมีลักษณะที่ไม่ใช่การขู่เข็ญ แต่ถกู คุกคามทางเพศโดยใชอ้ านาจเหนือ โดยมเี พียงการกระทาท่ีมีลกั ษณะท่ีทาใหผ้ ู้ถูกกระทารู้สกึ วา่ เดอื ดร้อน ราคาญหรือไมม่ คี วามปลอดภัย ๘) พิจารณาบทลงโทษการคุกคามทางเพศต้องบัญญัติไว้ในมาตรา ๒๘๑ แห่งประมวลกฎหมายอาญา เพ่ือเป็นคดีอาญาที่ยอมความได้หรือเป็นคดีอาญาที่ไม่สามารถยอมความได้ โดยมคี วามเห็นเปน็ ๒ แนวทาง ดงั นี้ แนวทางท่ี ๑ ความผิดฐานคุกคามทางเพศควรเป็นลักษณะค วามผิด อันยอมความได้ โดยคดีเก่ียวกับเพศการดาเนินคดีค่อนข้างนาน จึงควรให้สิทธิผู้ถูกกระทาตัดสินใจว่า จะดาเนินคดีต่อหรือไม่ ซ่ึงการข่มขืนกระทาชาเราในบางกรณีสามารถยอมความกันได้โดยต้องดูเจตนา ของผู้เสียหาย เพราะผู้เสียหายต้องให้ปากคาและเบิกความต่อศาลซึ่งการบัญญัติบทลงโทษผู้กระทาความผิด จึงต้องคานึงถึงผู้เสียหายด้วย โดยเฉพาะความผิดเกี่ยวกับเพศ และมาตรา ๒๘๑ แห่งประมวลกฎหมายอาญา ไดบ้ ัญญตั คิ วามผดิ อันยอมความไดไ้ วว้ า่ “มำตรำ ๒๘๑ ควำมผดิ ตำมมำตรำดังต่อไปนี เป็นควำมผิดอันยอมควำมได้ (๑) มำตรำ ๒๗๖ วรรคหนึ่ง และมำตรำ ๒๗๘ วรรคสอง ซึ่งเป็นกำรกระทำ ระหว่ำงคูส่ มรส ถ้ำมิได้เกิดต่อหน้ำธำรกำนลั หรือไมเ่ ปน็ เหตุให้ผถู้ ูกกระทำรับอันตรำยสำหัสหรือถึงแก่ควำมตำย (๒) มำตรำ ๒๗๘ วรรคหนึ่ง ถ้ำมิได้เกิดต่อหน้ำธำรกำนัล ไม่เป็นเหตุให้ ผู้ถูกกระทำรับอันตรำยสำหัสหรือถึงแก่ควำมตำย หรือมิได้เป็นกำรกระทำแก่บุคคลดังระบุไว้ในมำตรำ ๒๘๕ และมำตรำ ๒๘๕/๒” การตีความตามบทบัญญัติมาตรา ๒๘๑ การข่มขืนกระทาชาเราผู้อ่ืน ตามมาตรา ๒๗๖ วรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นการกระทาระหว่างคู่สมรสที่มิได้เกิดต่อหน้าธารกานัล หรือการกระทาอนาจาร ตามมาตรา ๒๗๘ วรรคหน่ึง ถ้ามิได้เกิดต่อหน้าธารกานัล หมายความว่าหากกระทาสองต่อสองก็เป็นความผิด อันยอมความได้ ดังนัน้ การคุกคามทางเพศเป็นการกระทาท่ีเบากว่าการกระทาอนาจาร และการข่มขืนกระทาชาเรา หากการคุกคามทางเพศเป็นความผิดอันยอมความได้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้เสียหายมากกว่า โดยต้องมี บทบญั ญตั บิ างสว่ นของการคุกคามทางเพศเป็นความผิดอันยอมความได้ แนวทางท่ี ๒ ความผิดฐานคุกคามทางเพศ ควรเป็นลักษณะความผิดอันยอมความ ไม่ได้ ซ่ึงมาตรการปัจจุบันแม้เปน็ ความผิดที่ยอมความได้ แต่ไมม่ ีมาตรการบังคับและมาตรการลงโทษผู้กระทา ความผิดอย่างจริงจัง โดยเฉพาะผู้มีพฤติกรรมท้าทายทางเพศที่สนองความต้องการทางเพศของตน บางคนท่ีเป็น ผู้มีอานาจทางสังคมหรือหากมีการยอมความกันได้ ก็อาจจะนาไปสู่การกระทาท่ีมีความรุนแรงมากข้ึนถึงขั้น ของการข่มขืนกระทาชาเรา ดังน้ัน หากบัญญัติให้ความผิดคุกคามทางเพศเป็นความผิดอันยอมความไม่ได้ จะสามารถหยดุ การกระทาท่ีอาจทาใหเ้ กิดความรุนแรงเพม่ิ ขน้ึ

- ๓๖ - ๒. ประเดน็ การพจิ ารณา ๑) พิจารณาเพิ่มบทนิยาม มาตรา ๑ แห่งประมวลกฎหมายอาญา ของคาว่า “คกุ คามทางเพศ” ๒) เพิ่มลักษณะความผิดและบทลงโทษในลักษณะ ๙ ความผิดเกี่ยวกับเพศ แห่งประมวลกฎหมายอาญา ของการกระทาคุกคามทางเพศ ๓. สรุปผลการศึกษาวิเคราะห์ ข้อเท็จจริงในปัจจุบันแม้มีบทบัญญัติเก่ียวกับการกระทาคุกคามทางเพศ ตามประมวลกฎหมายอาญาและกฎหมายอื่นท่ีเก่ียวข้อง แต่ก็ไม่สามารถเอาผิดผู้กระทาการคุกคามทางเพศ หรือผู้ถูกกระทาไม่ได้รับการคุ้มครอง จึงนาไปสู่การพิจารณาบทนิยามและบทลงโทษเก่ียวกับลักษณะความผิด คุกคามทางเพศ ดังน้ัน การเสนอขอเพิ่มบทนิยามและบทลงโทษของการกระทาคุกคามทางเพศในประมวล กฎหมายอาญา จะทาให้มีกฎหมายคุ้มครองลักษณะของการคุกคามทางเพศท่ีสามารถเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม และปดิ ช่องวา่ งทางกฎหมายได้ โดยมขี ้อเสนอ ดงั นี้ ๑) เพ่มิ บทนยิ ามคาวา่ คุกคามทางเพศ ในมาตรา ๑ แห่งประมวลกฎหมายอาญา ดงั นี้ “มาตรา ๑ (๑๙) “การคุกคามทางเพศ” หมายความว่า การกระทาหรือพฤติการณ์ อนื่ ใด ไมว่ ่าจะเปน็ การกระทาโดยทางกาย วาจา การส่งเสยี ง การแสดงอากัปกิริยาทา่ ทาง การแสดงหรอื สอื่ สาร ดว้ ยวธิ กี ารใด ๆ ไม่ว่าจะกระทาต่อหน้า หรือกระทาโดยการสื่อสารในชอ่ งทางใด ท่ีสอ่ ไปในทางเพศ เป็นเหตใุ ห้ เดือดร้อนราคาญ อับอาย หรือถูกเหยียดหยาม และรวมถึงการติดตามรังควาน หรือกระทาการใดท่ีก่อให้เกิด บรรยากาศไมป่ ลอดภัยทางเพศ” ๒) เพิ่มลักษณะความผิดและบทลงโทษของการกระทาความผิดฐานคุกคามทางเพศ ในประมวลกฎหมายอาญา โดยมีแนวทางการกาหนดบทลงโทษของการกระทาความผิดฐานคกุ คามทางเพศ ดงั นี้ (๑) บทลงโทษมีอัตราสงู กว่าการกระทาความผดิ ลหุโทษ โดยอัตราโทษคกุ คามทางเพศ จะอยูร่ ะหว่างความผิดลหุโทษกับความผดิ ฐานอนาจาร (มำตรำ ๓๙๗ วรรคสอง กำรกระทำอันมีลักษณะสอ่ ไปในทำง ท่ีจะล่วงเกินทำงเพศ ต้องระวำงโทษจำคุกไม่เกินหน่ึงเดือน หรือปรบั ไม่เกินหน่ึงหมนื่ บำท หรอื ทงั จำทังปรับ) (๒) บทลงโทษมีอัตราก่ึงหน่ึงของความผิดฐานอนาจาร (มำตรำ ๒๗๘ ควำมผิด ฐำนอนำจำร ระวำงโทษจำคุกไม่เกินสิบปี หรอื ปรับไมเ่ กินสองแสนบำท หรือทังจำทงั ปรบั ) (๓) บทลงโทษมีอัตราโทษเท่ากับการดาเนินคดีต่อศาลแขวง (คดีอำญำท่ีมีโทษ จำคกุ ไมเ่ กินสำมปี หรือปรับไม่เกนิ หกหมืน่ บำท) ส่วนที่ ๔ การตีความพฤติการณ์ความผิดเกี่ยวกับเพศ กรณีผู้กระทากับเด็ก ผถู้ ูกกระทามีความสมั พันธ์ในเชิงช้สู าว ๑. หลกั การและเหตผุ ล การกระทาความผิดเกี่ยวกับเพศในกรณีผู้กระทากับเด็กผู้ถูกกระทาท่ีเป็นคู่รัก โดยมีอายุใกล้เคียงกนั และมีช่วงอายุอยใู่ นเกณฑ์ของการกระทาความผิดเกีย่ วกบั เพศและความผิดฐานพรากเด็ก หรือพรากผู้เยาว์ ซึง่ สังคมปจั จุบนั เด็กหรือผเู้ ยาว์ได้รับอนุญาตในการออกนอกบ้านตามลาพังโดยไม่มีผู้ปกครอง ดูแล และอาจมีเพศสัมพันธ์กันระหว่างคู่รักในขณะที่เป็นเด็กหรือผู้เยาว์ ซึ่งพฤติการณ์ดังกล่าวอาจทาให้เด็ก หรือผู้เยาว์เข้าข่ายการถกู ฟ้องดาเนินคดีในความผดิ เกี่ยวกับเพศหรือความผิดต่อเสรีภาพในความผิดฐานพรากเด็ก หรือพรากผู้เยาว์ ดังนั้น จึงมีข้อเสนอแนะเก่ียวกับการตีความพฤติการณ์ความผิดเกี่ยวกับเพศ กรณีผู้กระทากับเด็ก ผถู้ ูกกระทามีความสัมพนั ธใ์ นเชงิ ชู้สาว ดังนี้

- ๓๗ - ๑) การดาเนินคดีเกี่ยวกับเพศควรพิจารณาพฤติการณ์ของผู้กระทากับผู้ถูกกระทา โดยมีเพศสัมพันธ์กันในลักษณะท่ีเป็นคู่รักกับการกระทาความผิดทางอาญา รวมถึงนาเรื่องระยะห่างช่วงอายุ ของเดก็ หรือผเู้ ยาว์ มาประกอบการพจิ ารณาสบื สวน สอบสวนและพิจารณาดาเนินคดี ๒) กรณีเด็กหรอื ผู้เยาว์มีเพศสมั พันธร์ ะหว่างเป็นคูร่ ัก และบดิ ามารดา ผูป้ กครอง หรือผู้ดูแล แจ้งความดาเนินคดีความผิดต่อเสรีภาพ ในความผิดฐานพรากเด็กหรือพรากผู้เยาว์ ตามประมวล กฎหมายอาญา มาตรา ๓๑๗ และมาตรา ๓๑๙ ซึ่งผู้ต้องหาอาจไม่ได้มีพฤติการณ์ในการกระทาความผิดอาญา แต่เป็นการมีเพศสัมพันธ์โดยการสมยอมระหว่างคู่รัก ดังน้ัน กระบวนการของการดาเนินคดีต่อผู้ต้องหาที่มี พฤติการณ์ดังกล่าว ควรนาถ้อยคาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๗ วรรคห้า และวรรคหก มาปรับใช้ ในการพจิ ารณาดาเนินคดีโดยให้คานงึ ถึงอายุ ประวัติ ความประพฤติ สติปัญญา การศึกษาอบรม สุขภาพ ภาวะแห่งจิต นิสัย อาชีพ สิ่งแวดล้อมของผู้ต้องหาและเด็กผู้ถูกกระทา ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ต้องหาและเด็กผู้ถูกกระทา หรือเหตุอืน่ อนั ควรเพอื่ ประโยชน์ของเด็กผถู้ ูกกระทาและผู้ตอ้ งหาด้วย ๒. ประเด็นการพจิ ารณา การพิจารณาสืบสวน สอบสวนและพิจารณาคดี การตีความพฤติการณ์ความผิด เกย่ี วกับเพศ กรณผี ูก้ ระทากบั เดก็ ผถู้ กู กระทามีความสัมพันธ์ในเชงิ ชสู้ าว ๓. สรุปผลการศกึ ษาวิเคราะห์ การพิจารณาสืบสวน สอบสวนและพิจารณาคดี การตีความพฤติการณ์ความผิด เกี่ยวกับเพศ กรณีผู้กระทากับเด็กผู้ถูกกระทามีความสัมพันธ์ในเชิงชู้สาว ควรนาหลัก มาตรา ๒๗๗ วรรคห้า และวรรคหก แหง่ ประมวลกฎหมายอาญา ทบ่ี ัญญัติว่า “มำตรำ ๒๗๗... ควำมผิดตำมที่บัญญัติไว้ในวรรคหน่ึง ถ้ำเป็นกำรกระทำโดยบุคคลอำยุไม่เกิน สิบแปดปีกระทำต่อเด็กซึ่งมีอำยุกว่ำสิบสำมปีแต่ยังไม่เกินสิบห้ำปี โดยเด็กนันยินยอม ศำลท่ีมีอำนำจพิจำรณำ คดีเยำวชนและครอบครัวจะพิจำรณำให้มีกำรคุ้มครองสวัสดิภำพของเด็กผู้ถูกกระทำหรือผู้กระทำควำมผิด ตำมกฎหมำยว่ำด้วยกำรคุ้มครองเด็กแทนกำรลงโทษก็ได้ ในกำรพิจำรณำของศำล ให้คำนึงถึงอำยุ ประวัติ ควำมประพฤติ สตปิ ัญญำ กำรศกึ ษำอบรม สุขภำพ ภำวะแห่งจิต นิสยั อำชีพ สิ่งแวดล้อมของผู้กระทำควำมผิด และเดก็ ผู้ถูกกระทำ ควำมสัมพนั ธร์ ะหว่ำงผู้กระทำควำมผิดกบั เด็กผู้ถูกกระทำ หรือเหตุอ่ืนอันควรเพ่ือประโยชน์ ของเด็กผ้ถู กู กระทำดว้ ย ในกรณีท่ีได้มีกำรดำเนินกำรคุ้มครองสวัสดิภำพของเด็กผู้ถูกกระทำหรือผู้กระทำ ควำมผิดตำมกฎหมำยว่ำด้วยกำรคุ้มครองเด็กแล้ว ผู้กระทำควำมผิดไม่ต้องรับโทษ แต่ถ้ำกำรคุ้มครองสวัสดิภำพ ดงั กล่ำวไม่สำเร็จ ศำลจะลงโทษผู้กระทำควำมผิดน้อยกว่ำท่ีกฎหมำยกำหนดไว้สำหรับควำมผิดนันเพียงใดก็ได้ ในกำรพิจำรณำของศำล ใหค้ ำนึงถึงเหตุตำมวรรคหำ้ ด้วย” ปรบั ใช้ในการตีความของกระบวนการสืบสวน สอบสวน และการพจิ ารณาคดี ไดแ้ ก่ ๑) มาตรา ๒๗๙ ความผดิ ฐานพาเดก็ ไปเพ่อื อนาจาร ๒) มาตรา ๒๘๓ ทวิ ความผิดฐานพาไปเพือ่ อนาจาร ๓) มาตรา ๓๑๗ ความผดิ ฐานพรากเด็ก ๔) มาตรา ๓๑๙ ความผิดฐานพรากผเู้ ยาว์

- ๓๘ - ส่วนท่ี ๕ การกาหนดให้บทบัญญัติในประมวลกฎหมายอาญา ลักษณะ ๙ ความผดิ เกี่ยวกบั เพศ เปน็ คดแี พง่ ทีเ่ ก่ียวเน่ืองกบั คดอี าญา ตามประมวลกฎหมายวิธพี จิ ารณาความอาญา ๑. หลักการและเหตผุ ล การพิจารณากาหนดให้บทบัญญัติในประมวลกฎหมายอาญา ลักษณะ ๙ ความผิดเก่ียวกับเพศ เป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา หมวด ๒ การฟ้องคดแี พ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา มาตรา ๔๓ บญั ญัตใิ ห้ “คดีลักทรัพย์ วิง่ รำว ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ โจรสลัด กรรโชก ฉ้อโกง ยักยอกหรือรับของโจร ถ้ำผู้เสียหำยมีสิทธิท่ีจะเรียกร้องทรัพย์สินหรือรำคำท่ีเขำสูญเสียไป เน่ืองจำกกำรกระทำผิดคืน เม่ือพนักงำนอัยกำรย่ืนฟ้องคดีอำญำ ก็ให้เรียกทรัพย์สินหรือรำคำแทนผู้เสียหำยด้วย” โดยเสนอใหม้ กี ารแกไ้ ขเพมิ่ เติมมาตราดังกล่าวโดยใชข้ ้อความ ดังตอ่ ไปนี้ “คดีลักทรัพย์ วิ่งราว ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ โจรสลัด กรรโชก ฉ้อโกง ยักยอก หรือรับของโจร ความผิดเกี่ยวกับเพศ ถ้าผู้เสียหายมีสิทธิท่ีจะเรียกร้องทรัพย์สินหรือราคาท่ีเขาสูญเสียไป เน่ืองจาก การกระทาผิดคนื เมื่อพนักงานอัยการย่นื ฟอ้ งคดีอาญา ก็ใหเ้ รียกทรัพยส์ ินหรือราคาแทนผู้เสียหายด้วย” ซงึ่ การ แกไ้ ขเพิ่มเติมใหค้ วามผิดเก่ียวกบั เพศเปน็ คดีแพ่งทีเ่ กี่ยวเน่ืองกับคดอี าญา เพ่ือเพมิ่ อานาจของอยั การใหส้ ามารถ ดาเนินการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนในส่วนของความเสียหายทางด้านจิตใจ หรือความเสียหายท่ีไม่อาจ คานวณเป็นเงิน โดยท่ผี ู้เสียหายไม่ตอ้ งไปยื่นคาร้องหรอื คาฟอ้ งเองตา่ งหากเปน็ อีกคดี โดยเม่ือพจิ ารณาประมวลกฎหมายวิธีพจิ ารณาความอาญา มาตรา ๔๓ เปน็ กรณี ที่พนักงานอัยการเรียกทรัพย์สินหรือราคาทรัพย์แทนผู้เสียหาย ตามฐานความผิดที่กาหนดไว้ท้ังหมด ๙ ฐาน เป็นความเสียหายท่ีสามารถคานวณเป็นเงินได้อย่างชัดเจน ซึ่งกรณีนี้อัยการจะไม่มีการนาสืบราคาทรัพย์สิน ในชั้นศาล มลู เหตุในการเรยี กรอ้ งค่าสนิ ไหมทดแทนบางประการเปน็ ความเสียหายทเี่ กิดเปน็ ค่าเสยี หายทางแพ่ง ที่เกิดจากมูลความผิดทางอาญาซ่ึงเป็นค่าเสียหายอ่ืนอันมิใช่ตัวเงิน ทาให้มีข้อท่ีต้องพิจารณาว่าการนาสืบ ความเสยี หายดังกลา่ วจะเป็นการเพ่ิมภาระใหแ้ กพ่ นกั งานอยั การหรอื ไม่ อยา่ งไร นอกเหนือจากมาตรา ๔๓ แล้ว มาตรา ๔๔/๑ วรรคหน่ึงและวรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ยงั ได้บัญญัตเิ ก่ียวกับการยื่นคาร้องเพื่อเรียกค่าสินไหมทดแทนไว้ว่า “ในคดีท่ีพนักงำนอัยกำรเป็นโจทก์ ถ้ำผู้เสียหำยมีสิทธิท่ีจะเรียกเอำค่ำสินไหมทดแทนเพรำะได้รับอันตรำย แก่ชีวิต ร่ำงกำย จิตใจ หรือได้รับควำมเสื่อมเสียต่อเสรีภำพในร่ำงกำยชื่อเสียงหรือได้รับควำมเสียหำยในทำง ทรัพย์สนิ อนั เนือ่ งมำจำกกำรกระทำควำมผิดของจำเลย ผู้เสียหำยจะย่นื คำร้องตอ่ ศำลท่ีพิจำรณำคดีอำญำขอให้ บังคับจำเลยชดใชค้ ่ำสินไหมทดแทนแก่ตนก็ได้ กำรย่ืนคำร้องตำมวรรคหนึง่ ผ้เู สียหำยต้องยน่ื คำร้องก่อนเรมิ่ สืบพยำน ในกรณีที่ ไม่มีกำรสบื พยำนใหย้ ื่นคำร้องก่อนศำลวินิจฉัยชีขำดคดี และให้ถือว่ำคำร้องดังกล่ำวเป็นคำฟ้องตำมบทบัญญัติ ประมวลกฎหมำยวิธีพิจำรณำควำมแพ่งและผู้เสียหำยอยใู่ นฐำนะโจทก์ในคดีส่วนแพ่งนัน ทังนี คำร้องดังกล่ำว ต้องแสดงรำยละเอียดตำมสมควรเกี่ยวกับควำมเสียหำยและจำนวนค่ำสินไหมทดแทนที่เรียกร้อง หำกศำลเห็นว่ำ คำรอ้ งนันยงั ขำดสำระสำคญั บำงเร่อื ง ศำลอำจมคี ำสั่งให้ผูร้ อ้ งแก้ไขคำรอ้ งใหช้ ัดเจนก็ได.้ ..” เมอื่ พิจารณาบทบัญญตั มิ าตรา ๔๔/๑ จะเห็นไดว้ ่า กฎหมายกาหนดใหผ้ ู้เสยี หาย มีสิทธิเรียกร้องเอาค่าสินไหมทดแทนได้จากทุกฐานความผิดอยู่แล้ว โดยให้ยื่นคาร้องต่อศาลท่ีพิจารณา คดีอาญากอ่ นเร่ิมการสืบพยาน หรอื กอ่ นศาลวนิ จิ ฉัยช้ีขาดคดใี นกรณที ไี่ ม่มีการสืบพยาน อย่างไรก็ตาม แม้กฎหมายจะได้มีการกาหนดสิทธิของผู้เสียหายในการเรียกร้อง ค่าสินไหมทดแทนจากผู้กระทาความผิดเอาไว้แล้ว แต่ข้อเท็จจริงกลับปรากฏว่ามีผู้เสียหายที่ทราบถึง สิทธิดังกล่าวอยู่น้อยมาก ดังนั้น จึงควรมีการพิจารณาแนวทางการให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายและการเข้าถึง

- ๓๙ - กระบวนการยุติธรรม ในการแจ้งสิทธิให้ผู้เสียหายได้รับทราบถึงสิทธิในการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากจาเลย (หมายถึงผู้กระทาความผิดเมื่อถูกฟ้องคดี) และการจดั หาทนายอาสาเพือ่ ให้ความช่วยเหลือผู้เสียหายในการยื่น คาร้องต่อศาลเพ่ือเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน เน่ืองจากผู้เสียหายบางส่วนไม่ทราบว่าตนมีสิทธิเรียกร้อง ค่าสนิ ไหมทดแทนจากจาเลย และบางสว่ นไมม่ ีทุนทรพั ยท์ ี่จะจ้างทนายความเพ่ือดาเนินการ กรณีตัวอย่างการแจ้งสิทธิให้ผู้เสียหายทราบ ตามพระราชบัญญัติป้องกัน และปราบปรามการคา้ มนุษย์ พ.ศ. ๒๕๕๑ มาตรา ๓๔ ทีม่ ีการกาหนดไว้ว่า “เพอื่ ประโยชน์ในกำรชว่ ยเหลือผ้เู สียหำย ให้พนักงำนสอบสวนหรือพนักงำนอัยกำรแจ้งให้ผู้เสียหำยทรำบในโอกำสแรกถึงสิทธิที่จะเรียกคำ่ สินไหมทดแทน อนั เน่ืองมำจำกกำรกระทำควำมผิดฐำนค้ำมนุษย์ และสิทธิทีจ่ ะได้รับควำมช่วยเหลอื ทำงกฎหมำย” ซึ่งเห็นว่าสามารถ นาไปปรับใช้กับความผิดเกี่ยวกับเพศตามประมวลกฎหมายอาญา โดยให้พนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการ มีหนา้ ท่แี จง้ ใหผ้ ู้เสียหายทราบถึงสิทธทิ ่ีจะเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากจาเลยได้ ๒. ประเด็นการพิจารณา การกาหนดใหบ้ ทบัญญัตใิ นประมวลกฎหมายอาญา ลักษณะ ๙ ความผิดเกีย่ วกบั เพศ เปน็ คดแี พ่งทเี่ กย่ี วเน่ืองกับคดีอาญา ตามประมวลกฎหมายวธิ ีพจิ ารณาความอาญา ๓. สรปุ ผลการศกึ ษาวเิ คราะห์ ควรจัดทาคู่มือเพ่ือเผยแพร่ความรู้ให้แก่ประชาชนทราบถึงสิทธิในการเรียกร้อง ค่าสินไหมทดแทนจากการกระทาความผิดเก่ียวกับเพศ และสิทธิท่ีจะได้รับความช่วยเหลือทางกฎหมาย นอกจากน้ี ควรแจ้งสิทธิให้ผู้เสียหายได้รับทราบถึงสิทธิในการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากจาเลย และการจัดหาทนาย อาสาเพ่ือใหค้ วามชว่ ยเหลือผ้เู สียหายในการย่ืนคาร้องตอ่ ศาลเพ่ือเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน โดยกาหนดใหเ้ ปน็ หน้าท่ี พนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการแจ้งให้ผู้เสียหายทราบในโอกาสแรกถึงสิทธิท่ีจะเรียกค่าสินไหมทดแทน อันเนื่องมาจากการกระทาความผิดเกี่ยวกับเพศ และสิทธิที่จะได้รับความช่วยเหลือทางกฎหมาย โดยอ้างอิง จากการแจ้งสิทธิให้ผู้เสียหายทราบ ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. ๒๕๕๑ มาตรา ๓๔ ท่ีมกี ารกาหนดไว้วา่ “เพื่อประโยชนใ์ นการช่วยเหลือผู้เสียหาย ให้พนกั งานสอบสวนหรือพนกั งานอัยการ แจ้งให้ผู้เสียหายทราบในโอกาสแรกถึงสิทธิท่ีจะเรียกค่าสินไหมทดแทนอันเนื่องมาจากการกระทาความผิดฐาน ค้ามนุษย์ และสิทธิท่ีจะได้รับความช่วยเหลือทางกฎหมาย” ซ่ึงเห็นว่าสามารถนาไปปรับใช้กับความผิดเกี่ยวกับเพศ ตามประมวลกฎหมายอาญา โดยให้พนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการมีหน้าท่ีแจ้งให้ผู้เสียหายทราบถึงสิทธิ ทีจ่ ะเรยี กรอ้ งค่าสินไหมทดแทนจากจาเลยได้ ส่วนท่ี ๖ การสืบพยานไว้ก่อนตามมาตรา ๒๓๗ ทวิ แห่งประมวลกฎหมาย วธิ ีพจิ ารณาความอาญา ๑. หลกั การและเหตผุ ล “มำตรำ ๒๓๗ ทวิ ก่อนฟ้องคดีต่อศำล เม่ือมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่ำพยำนบุคคล จะเดินทำงออกไปนอกรำชอำณำจักร ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง หรือเป็นบุคคลมีถิ่นท่ีอยู่ห่ำงไกลจำกศำล ที่พิจำรณำคดี หรือมีเหตุอันควรเชื่อว่ำจะมีกำรยุ่งเหยิงกับพยำนนันไม่ว่ำโดยทำงตรงหรือทำงอ้อม หรือมีเหตุ จำเป็นอ่ืนอันเป็นกำรยำกแกก่ ำรนำพยำนนันมำสบื ในภำยหน้ำ พนักงำนอัยกำรโดยตนเองหรือโดยได้รับคำร้อง ขอจำกผู้เสียหำยหรือจำกพนักงำนสอบสวน จะยื่นคำร้องโดยระบุกำรกระทำทังหลำยที่อ้ำงว่ำผู้ต้องหำ ได้กระทำผิดตอ่ ศำลเพ่ือให้ศำลมีคำสั่งให้สืบพยำนนันไว้ทนั ทีก็ได้ ถ้ำรตู้ ัวผู้กระทำควำมผิด และผู้นันถูกควบคุม อยู่ในอำนำจพนักงำนสอบสวนหรือพนักงำนอัยกำร ให้พนักงำนอัยกำรนำตัวผู้นันมำศำล หำกถูกควบคุมอยู่ใน อำนำจของศำล ให้ศำลเบกิ ตวั ผนู้ นั มำพิจำรณำต่อไป…”

- ๔๐ - ขอ้ พิจารณาของคณะกรรมาธิการวสิ ามัญ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๓๗ ทวิ มีข้อจากัดเกี่ยวกับ การสืบพยานไว้ก่อนของผู้เสียหายในคดีอาญา ๓ ประการ คือ เหตุยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน เหตุผู้เสียหาย หรือพยานต้องเดินทางไปต่างประเทศมักเป็นกรณีผู้เสียหายเป็นชาวต่างชาติหรือในคดีท่ีเก่ียวกับการค้ามนุษย์ และมีเหตุอ่ืนใด ซ่ึงถ้อยคาของบทกฎหมายเหตุอื่นใดข้ึนอยู่กับผู้ประกอบวิชาชีพเป็นผู้ประเมิน หากมีการ ประสานงานไม่ดีพนักงานสอบสวนจะไม่มีข้อมูลเพ่ือนาไปสู่พนักงานอัยการในการยื่นฟ้องหรือไม่ฟ้องต่อศาล ซ่ึงศาลเคยปฏิเสธในประเด็นมาตรา ๒๓๗ ทวิ อย่างไรก็ตาม อาจารย์จรัญ ภักดีธนากุล เคยให้หลักการ มาตรา ๒๓๗ ทวิ ว่าศาลไม่มีอานาจปฏิเสธการขอสืบพยานไว้ก่อน ดังนั้น หากปรับแก้ไขมาตรา ๒๓๗ ทวิ ควรมี ประเด็นปรับแก้ไข คือ ควรปรับแก้ไขให้ครอบคลุมคดีเก่ียวกับเพศ หรือลักษณะอ่ืน ๆ ท่ีผู้เสียหายต้องดาเนินการ สืบพยานไว้ก่อน เช่น ผลกระทบด้านสุขภาพจิตในกรณีท่ีต้องรอคดีปกติในการสืบพยานเป็นระยะเวลานาน และการปลดเปลื้องภาระของผู้เสียหายในการให้ข้อเท็จจริง เนื่องจากเจ้าหน้าท่ีตารวจ สอบคาให้การมา ไม่ครอบคลุม เม่ือมีการสอบถามเพ่ิมเติม ผู้เสียหายก็ต้องให้การใหม่ ดังนั้น จึงต้องชั่งน้าหนักระหว่าง ผลประโยชน์ทางคดีกับผลประโยชน์ของผู้เสียหายที่เป็นเด็กในระยะยาว ซ่ึงต้องมีการปรับแก้ไขมาตรา ๒๓๗ ทวิ และแนวทางปฏบิ ัติของกระบวนการสืบพยาน จากประเด็นดังกล่าวได้มีการพิจารณาศึกษาเก่ียวกับแนวทางการสืบพยานไว้ก่อน โดยเปรียบเทยี บบทบญั ญัติมาตรา ๒๓๗ ทวิ แหง่ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เพ่ือให้คดีความผิด เกี่ยวกบั เพศทีผ่ ้เู สยี หายเปน็ เด็กสามารถดาเนินการสบื พยานไว้ก่อนได้ ซงึ่ มีข้อพจิ ารณา ดังน้ี ๑) การสืบพยานไว้ก่อนควรคานึงถึงสภาพจิตใจของผู้เสียหายท่ีต้องมานา สืบพยานในช้ันศาลด้วยว่ามีความพร้อมหรือไม่ นอกจากน้ี การสืบพยานผู้เสียหายหรือพยานที่เป็นเด็กในคดี ความผิดเกี่ยวกับเพศน้ัน กฎหมายกาหนดให้ต้องมีนักจิตวิทยา หรือนักสังคมสงเคราะห์ บุคคลท่ีเด็กร้องขอ และพนักงานอยั การรว่ มอยูด่ ้วยเสมอ ๒) การสืบพยานต้องไม่ลืมว่าผู้เสียหายที่เป็นเด็กในฐานะพยาน จะต้องถูก ทนายความฝ่ายจาเลยถามค้าน ซ่ึงหากเร่งนาเด็กมาสืบพยานในช้ันศาลโดยท่ีเด็กไม่มีความพร้อมทาให้เด็ก ยิ่งตื่นกลัวก็จะไม่เป็นผลดีต่อรูปคดีของเด็ก และยังเป็นการเปิดโอกาสให้ทนายความฝ่ายจาเลยเตรียมข้อมูล เพ่ือนามาซักค้านในชั้นการพิจารณาคดีในภายหลัง ซ่ึงจะทาให้ฝ่ายจาเลยได้เปรียบมากกว่า จึงเห็นว่าควรให้ เป็นไปตามข้ันตอนของการดาเนินกระบวนการทางอาญาในรูปแบบเดิม หรือหากจะให้มีการดาเนินการเร็วที่สุด ก็ควรรอใหพ้ นกั งานสอบสวนจดั ทาสานวนการสอบสวนใหแ้ ลว้ เสร็จเสียกอ่ น ๓) การนาสืบพยานไว้ก่อนจะมีผลทาให้การคุ้มครองผู้ต้องหาหรือจาเลย มีขอ้ จากดั ไปโดยปรยิ าย โดยเฉพาะในกรณที ผี่ ตู้ ้องหาหรอื จาเลยหลบหนี อาจยิ่งทาให้การนาสืบข้อเทจ็ จริงหรือ ข้อต่อสู้ของฝ่ายจาเลยไม่สามารถทาได้อย่างครบถ้วนแน่นอน อย่างไรก็ตาม การสืบพยานไว้ก่อนมีข้อดีท่ีว่า ผู้เสยี หายเพ่ิงผา่ นเหตกุ ารณ์มาไม่นาน ทาให้ยงั จาเหตุการณ์ต่าง ๆ ไดด้ ี ซ่ึงหากปล่อยทง้ิ ไว้นานจะทาให้ความทรงจา เลือนราง และอาจถูกฝ่ายจาเลยยื่นข้อเสนอหรือทาการยุ่งเหยิงกับพยาน ดังนั้น หากจะนาการสืบพยานไวก้ ่อน มาใช้กับการสืบพยานเด็กในคดีความผิดเก่ียวกับเพศจะต้องมีการช่ังน้าหนักระหว่างข้อดีและข้อเสียท่ีจะให้มี การสบื พยานไวก้ อ่ นดว้ ยเช่นกนั ๔) การสืบพยานไว้ก่อนควรเป็นเรื่องท่ีผู้เสียหายให้ความยินยอมพร้อมใจหรือ ความประสงค์ของผู้เสยี หายเอง โดยควรมีการเตรียมความพร้อมของผู้เสียหาย และซักซ้อมให้ผู้เสียหายมีความ เขา้ ใจเก่ยี วกบั กระบวนการในการสบื พยานและการดาเนินคดใี นชน้ั ศาล

- ๔๑ - ๒. ประเด็นการพจิ ารณา การสืบพยานคดีเก่ียวกับเพศที่พยานหรือผู้เสียหายเป็นเด็ก ควรมีการสืบพยาน ไวก้ ่อนตามมาตรา ๒๓๗ ทวิ แหง่ ประมวลกฎหมายวิธีพจิ ารณาความอาญาหรอื ไม่ ๓. สรุปผลการศกึ ษาวเิ คราะห์ คณะกรรมาธกิ ารวสิ ามัญไดพ้ จิ ารณาเก่ยี วกับการสบื พยานไว้กอ่ นตามมาตรา ๒๓๗ ทวิ ทั้งในกรณีท่ีเป็นมุมมองด้านสภาพจิตใจของผู้เสียหายหรือพยาน และข้อกังวลเก่ียวกับผลกระทบท่ีเกิดจาก การสบื พยานไว้กอ่ น ซึ่งจะทาใหเ้ กดิ การไดเ้ ปรียบเสยี เปรยี บในรปู คดขี องคู่ความ ส่วนที่ ๗ ข้อเสนอบทลงโทษคดีเก่ียวกับเพศ กรณี การใช้ยาเพ่ือปรับฮอร์โมน ของผกู้ ระทาผิด (Chemical Castration) ๑. หลกั การและเหตผุ ล ข้อเสนอบทลงโทษคดีความผิดเก่ียวกับเพศ กรณี การใช้ยาเพื่อปรับฮอร์โมน ของผ้กู ระทาผดิ (Chemical Castration) พบวา่ สหรฐั อเมรกิ า หรือประเทศในแถบสแกนดเิ นเวียได้นามาตรการ ดังกล่าวไปใช้ในหลายกรณีที่แตกต่างกันไป เช่น กรณีผู้ต้องขังท่ีมี Intelligence Quotient: IQ หรือความฉลาด ทางด้านสติปัญญา ต่ากว่า ๖๐ ที่มีพฤติกรรมในการกระทาความผิดซ้าอย่างไม่อาจแก้ไขได้ กรณีที่มีการกระทาชาเรา ผู้เสียหายท่ีมีอายุต่ากว่า ๑๓ ปี หรือกรณีที่ผู้ต้องขังขอพักการลงโทษ เป็นต้น ซ่ึงวิธีการใดท่ีจะเหมาะกับการนามา ปรับใช้กับประเทศไทยก็ควรที่จะมีการพิจารณาในรายละเอียดต่อไป เมื่อพิจารณาถึงจุดประสงค์ของทัณฑวิทยา ๔ ข้อ ได้แก่ แก้แค้นทดแทน ขม่ ขู่ยับย้ัง ตัดโอกาสในการกระทาผิด และแก้ไขฟนื้ ฟู ซ่ึงมาตรการใช้ยาเพอ่ื ปรับฮอร์โมน ของผู้กระทาผิดจะมีผลในทางข่มขู่ยับย้ัง และตัดโอกาสให้เกิดการกระทาความผดิ ซ้าลดน้อยลง โดยผลของการใช้ยา เพื่อปรับฮอร์โมนของผู้กระทาผิดนั้นไม่ได้มีผลระยะยาวในลักษณะถาวร จะต้องมีการฉีดเป็นระยะ ซึ่งเห็นว่า ประเทศไทยควรมีการพิจารณานามาตรการดังกล่าวมาใช้กับกรณีของผู้ท่ีกระทาความผิดคดีทางเพศซ้า หรือผู้ต้องขัง ทข่ี อพกั การลงโทษ ขอ้ พจิ ารณา ๑) ควรมีการพิจารณาถึงผลข้างเคียงจากการฉีดสารเคมีเข้าไปในร่างกาย ท้ังน้ี มีการตั้งข้อสังเกตไว้ว่า ผลกระทบจากการบังคับใช้มาตรการดังกล่าวจะส่งผลให้ผู้ต้องขังเปลี่ยนพฤติกรรมไป เป็นนกั ฆา่ หรือไม่ ๒) กรณีการลงโทษผู้กระทาความผิดซ้ามีกฎหมายที่กาหนดให้เพ่ิมโทษบังคับใช้ อยู่แล้ว ประกอบกับกฎหมายได้มีการกาหนดให้บุคคลดังกล่าวไม่อยู่ในข่ายได้รับการลดโทษหรือขอพระราชทาน อภัยโทษ เพื่อเป็นการกักตัวผู้กระทาผิดไม่ให้ออกไปกระทาความผิดซ้าได้ในระยะเวลาอันสั้น จึงมีการต้ังข้อสังเกตว่า วิธีการท่ีบังคับใชด้ งั กลา่ วนน้ี ่าจะเปน็ การเพยี งพอต่อการลงโทษผ้กู ระทาความผิดแล้วหรอื ไม่ ๓) การใช้มาตรการลงโทษผู้กระทาความผิดซ้าด้วยการใช้ยาเพื่อปรับฮอร์โมนของ ผู้กระทาผิดจะเป็นการข่มขู่ยับย้ังและตัดโอกาสในการกระทาความผิดต่อไปได้ ส่วนกรณีที่การฉีดให้ผลในระยะสั้น ถือเป็นข้อดีท่ีจะทาให้สามารถประเมินผลกระทบท่ีเป็นข้อดีและข้อเสีย ร่วมกับการประเมินสภาวะทางจิต และพฤตกิ รรมของผู้ต้องขังไดว้ ่ามีความจาเป็นหรือสมควรทจ่ี ะใช้มาตรการลงโทษโดยการใชย้ าเพื่อปรับฮอร์โมน กับบุคคลนน้ั ต่อไปหรอื ไม่ ๔) ในกรณีที่เป็นผู้ต้องขังคดีเพศ กรมราชทัณฑ์จะจัดให้บุคคลดังกล่าวอยู่ในกลุ่ม Watch List และไม่ให้ได้รับการเลื่อนช้ัน อย่างไรก็ตาม มีกรณีตัวอย่างผู้ต้องขังที่รับการลงโทษ ๔ - ๕ ปี เม่ือพ้นโทษแล้วได้รับการปล่อยตัวออกมาก็มีพฤติการณ์กระทาความผิดซ้ากับเด็ก จึงถือเป็นความเส่ียงในการ ปล่อยตัวผู้ต้องขังท่ีมีความต้องการทางเพศที่ผิดปกติ ซ่ึงเหย่ือจะเป็นบุคคลในกลุ่มท่ีไม่สามารถชว่ ยเหลือตนเองได้

- ๔๒ - ดงั นั้น การใช้มาตรการลงโทษโดยการใช้ยาเพ่อื ปรบั ฮอร์โมนของผู้กระทาผดิ จงึ ควรเป็นการพิจารณาใช้เป็นรายกรณี โดยพจิ ารณาถึงพฤตกิ ารณข์ องผู้กระทาความผิดท่สี ่งผลกระทบต่อเหยอ่ื และเป็นภัยตอ่ สงั คม ๒. ประเดน็ การพจิ ารณา ข้อเสนอบทลงโทษคดีเก่ยี วกับเพศ กรณกี ารใช้ยาเพอ่ื ปรับฮอรโ์ มนของผู้กระทาผิด ๓. สรปุ ผลการศกึ ษาวเิ คราะห์ มาตรการลงโทษคดีเก่ียวกับเพศ กรณีการใช้ยาเพื่อปรับฮอร์โมนของผู้กระทาผิด (Chemical Castration) แม้จะมีงานวิจัยรองรับว่ามีผลให้อัตราการกระทาความผิดเก่ียวกับเพศท่ีลดน้อยลง แต่ควรพิจารณาใช้เป็นรายกรณีเท่านั้น โดยเฉพาะลักษณะคดีที่ผู้กระทาความผิดเกี่ยวกับเพศมีพฤติการณ์ กระทาผิดซ้า หรือมีลกั ษณะการกระทาที่เปน็ ภัยตอ่ สงั คม หรอื เป็นคดีท่ีกระทาต่อเด็ก รวมถงึ ควรมกี ระบวนการ ประเมนิ สภาพร่างกายและจติ ใจของผตู้ อ้ งขังทัง้ ก่อนและหลังการใช้มาตรการดังกล่าว หมวด ๒ กระบวนการยุติธรรมกับการป้องกันและแก้ไขปัญหาการข่มขืน กระทาชาเราและการล่วงละเมิดทางเพศ ส่วนที่ ๑ การนาเสนอข่าวเกี่ยวกับการข่มขืนกระทาชาเรา หรือการล่วงละเมิด ทางเพศ ๑. หลักการและเหตผุ ล การนาเสนอข่าวเกี่ยวกับการข่มขืนกระทาชาเรา และการล่วงละเมิดทางเพศ ของส่ือมวลชนทั้งส่ือโทรทัศน์ ส่ือวิทยุ หรือส่ือออนไลน์ท่ีอยู่ภายใต้พระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคล่ืนความถ่ี และกากับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. ๒๕๕๓ โดยมี คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. กากับดูแล และสื่อท่ีก่อตั้งข้ึนเอง เช่น สื่อท้องถิ่น หรือสื่อออนไลน์ในการตั้งเพจเพ่ือนาเสนอข่าวข้ึนเอง โดยการนาเสนอข่าว ของส่ือมวลชนควรมีมาตรฐานในการนาเสนอข่าวเกี่ยวกับการข่มขืนกระทาชาเรา และการล่วงละเมิดทางเพศ โดยมีขอ้ เสนอแนะ ดงั น้ี ๑) การใช้ถ้อยคาในการนาเสนอข่าวเก่ียวกับการข่มขืนกระทาชาเรา หรือการ ล่วงละเมิดทางเพศ ซงึ่ ผู้เสยี หายไมป่ ระสงค์ใหใ้ ช้คาวา่ “เหยื่อ” แทนตวั ผ้เู สยี หาย ๒) กรณีส่ือขอสัมภาษณ์ผู้เสียหายและญาติผู้เสียหาย เพ่ือเป็นข้อมูลในการ นาเสนอข่าว โดยเผยแพร่ถ้อยคา ภาพ เสียง หรือคลิปวิดีโอ ซึ่งอาจทาให้บุคคลที่ใกล้ชิดกับผู้เสียหายทราบว่า เป็นบุคคลใด ดังน้ัน ควรมีการคุ้มครองผู้เสียหายและญาติผู้เสียหายในการนาเสนอข่าวไม่ควรเปิดเผยใบหน้า และแหลง่ ข้อมลู ๓) กรณีผู้เสียหายเป็นแหล่งข้อมูลในการให้สัมภาษณ์กับส่ือมวลชน และนาเสนอ ข้อมูลข่าวที่กระทบผู้ต้องสงสัย อาจเกิดช่องว่างทางกฎหมายที่ทาให้ผู้ต้องสงสัยฟ้องกลับผู้เสียหาย ควรมีมาตรการ หรอื ข้อกฎหมายท่จี ะดาเนินคดีกบั บคุ คลที่เกยี่ วข้อง เพอื่ ค้มุ ครองสิทธขิ องผูเ้ สยี หาย ๔) การนาเสนอข่าวโดยจัดทาในรูปแบบกราฟิกเพื่อจาลองเหตุการณ์ให้เห็น ข้ันตอนของการกระทาการข่มขืนกระทาชาเรา หรือการล่วงละเมิดทางเพศ ซึ่งการนาเสนอข่าวในรูปแบบดังกล่าว อาจทาให้เกิดพฤตกิ รรมลอกเลียนแบบ ซ่งึ การนาเสนอข่าวเกีย่ วกับเพศไม่ควรลงรายละเอยี ดมากเกินไป ๕) การนาเสนอข่าวเก่ียวกับการข่มขืนกระทาชาเรา หรือการล่วงละเมิดทางเพศ โดยไม่ไดก้ ลน่ั กรอง ซงึ่ ควรมมี าตรการในการควบคมุ สอ่ื ออนไลน์ท่จี ัดต้งั เพจขา่ วเอง หรือสอื่ ท้องถ่ิน

- ๔๓ - ๖) การเผยแพร่ผลการกระทาของผู้กระทาผิดคดีทางเพศ ควรมีหน่วยงาน เผยแพร่ว่าผู้กระทาผิดจะได้รับการลงโทษในเร่ืองใดบ้าง เพื่อป้องกันพฤติกรรมการลอกเลียนแบบและการเกรงกลัว ที่จะกระทาความผิด ดังน้ัน ควรมีการจัดทาคู่มือมาตรฐานและแนวทางการนาเสนอข่าวเกี่ยวกับคดี ข่มขืน กระทาชาเรา และการล่วงละเมิดทางเพศของส่ือมวลชน โดยพิจารณานากฎหมายและมาตรการอ่ืน ท่ีเกี่ยวข้องกับการนาเสนอข่าวของส่ือมวลชนที่เป็นการละเมิดสิทธิผู้เสียหายจากการกระทาความผิดเก่ียวกับเพศ มาเป็นแนวทางในการจัดทาเน้ือหาภายในคู่มือมาตรฐานและแนวทางการนาเสนอข่าวเก่ียวกับการข่มขืน กระทาชาเรา และการล่วงละเมดิ ทางเพศของสื่อมวลชน ดงั นี้ ๑) พระราชบญั ญตั คิ ุม้ ครองเดก็ พ.ศ. ๒๕๔๖ มาตรา ๒๗ “ห้ำมมิให้ผู้ใดโฆษณำหรือเผยแพร่ทำงสื่อมวลชนหรือสื่อสำรสนเทศ ประเภทใด ซึ่งข้อมูลเกี่ยวกับตัวเด็กหรือผู้ปกครอง โดยเจตนำท่ีจะทำให้เกิดควำมเสียหำยแก่จิตใจ ช่ือเสียง เกยี รตคิ ุณ หรือสิทธิประโยชนอ์ ื่นใดของเดก็ หรือเพ่อื แสวงหำประโยชน์สำหรบั ตนเองหรอื ผู้อน่ื โดยมิชอบ” มาตรา ๕๐ “ห้ำมมใิ ห้ผูป้ กครองสวสั ดิภำพหรอื ผ้คู มุ้ ครองสวัสดิภำพเดก็ เปดิ เผย ช่อื ตัว ชื่อสกุล ภำพหรือข้อมูลใด ๆ เก่ยี วกับตัวเด็ก ผู้ปกครอง ในลักษณะที่น่ำจะเกิดควำมเสียหำยแก่ช่อื เสียง เกยี รตคิ ณุ หรือสทิ ธิประโยชน์อย่ำงใดอยำ่ งหนง่ึ ของเด็กหรือผ้ปู กครอง บทบัญญัติในวรรคหน่ึงให้ใช้บังคับแก่พนักงำนเจ้ำหน้ำท่ี นักสังคมสงเครำะห์ นกั จติ วิทยำ และผู้มีหน้ำที่คุม้ ครองสวสั ดิภำพเด็กตำมมำตรำ ๒๔ ซง่ึ ได้ล่วงรู้ข้อมูลดังกลำ่ วเนื่องในกำรปฏบิ ัติหน้ำท่ี ของตนดว้ ย โดยอนุโลม ห้ำมมิให้ผู้ใดโฆษณำหรือเผยแพร่ทำงสื่อมวลชนหรือส่ือสำรสนเทศประเภทใด ซ่งึ ข้อมลู ท่เี ปิดเผยโดยฝ่ำฝนื บทบญั ญตั ใิ นวรรคหนง่ึ หรือวรรคสอง” มาตรา ๗๙ “ผู้ใดฝ่ำฝืนมำตรำ ๒๗ มำตรำ ๕๐ หรือมำตรำ ๖๑ ต้องระวำงโทษ จำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหกหม่ืนบำท หรอื ทังจำทงั ปรับ” ๒) พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทาด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๙ “เมื่อมีกำรแจ้งตำมมำตรำ ๕ หรือมีกำรร้องทุกข์ตำมมำตรำ ๖ แล้ว ห้ำมมิให้ผู้ใดลงพิมพ์โฆษณำ หรือเผยแพร่ต่อสำธำรณชนด้วยวิธีใด ๆ ซึ่งภำพ เร่ืองรำว หรือข้อมูลใด ๆ อันน่ำจะทำให้เกิดควำมเสียหำยแก่ผู้กระทำควำมรุนแรงในครอบครัวหรือผู้ถูกกระทำด้ วยควำมรุนแรง ในครอบครวั ในคดีตำมพระรำชบญั ญตั นิ ี ผู้ใดฝ่ำฝืนบทบัญญัติในวรรคหนึ่ง ต้องระวำงโทษจำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับ ไม่เกนิ หกหม่นื บำท หรือทงั จำทงั ปรับ” ๓) พระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชน และครอบครวั พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๗๖ “เพ่ือเป็นกำรคุ้มครองสิทธิเด็กหรือเยำวชนซึ่งต้องหำว่ำกระทำ ควำมผิด ห้ำมมิให้เจ้ำพนักงำนผู้จับกุมเด็กหรือเยำวชน หรือพนักงำนสอบสวนจัดให้มีหรืออนุญำตให้มี หรือยินยอมให้มีกำรถ่ำยภำพหรือบันทึกภำพเด็กหรือเยำวชนซึ่งต้องหำว่ำกระทำควำมผิด เว้นแต่เพ่ือประโยชน์ ในกำรสอบสวน”

- ๔๔ - มาตรา ๘๔ “เพือ่ เปน็ กำรคุ้มครองสิทธเิ ด็กหรือเยำวชน ห้ำมมใิ ห้เปิดเผยหรือนำ ประวัติกำรกระทำควำมผิดอำญำของเด็กหรือเยำวชนไปพิจำรณำให้เป็นผลร้ำยหรือเป็นกำรเลือกปฏิบัติ อนั ไม่เป็นธรรมแก่เด็กหรือเยำวชนนันไม่ว่ำในทำงใด ๆ เว้นแต่เป็นกำรใช้ประกอบดุลพนิ ิจของศำลเพอื่ กำหนด วิธีกำรสำหรับเด็กและเยำวชน หำกมีกำรฝ่ำฝืนให้ศำลส่ังระงับกำรกระทำท่ีฝ่ำฝืนหรือเพิกถอนกำรกระทำนัน และอำจกำหนดค่ำเสียหำยหรือบรรเทำผลร้ำยหรือมีคำสั่งให้จัดกำรแก้ไขเพ่ือเยียวยำควำมเสียหำยท่ีเกิดขึน ตำมท่เี ห็นสมควร เด็กหรือเยำวชนซ่ึงต้องหำว่ำกระทำควำมผิดหรือเป็นจำเลยที่อยู่ในระหว่ำง กำรควบคมุ ดูแลของบคุ คลหรือองค์กำรใด ๆ จะต้องได้รับกำรฟื้นฟูทังรำ่ งกำยและจติ ใจ และส่งเสรมิ ใหม้ โี อกำส กลับคืนสู่สังคม รวมทังได้รับกำรปฏิบัติด้วยมนุษยธรรมและเคำรพในศักดิ์ศรีควำมเป็นมนุษย์ หำกมีกำรแสวงหำ ประโยชน์ กำรกระทำอันมิชอบ กำรทรมำน กำรลงโทษ กำรปฏิบัติที่โหดร้ำยไร้มนุษยธรรมหรือต่ำช้ำรูปแบบอ่ืน หรือกระทำกำรใด ๆ ท่ีมิได้เป็นไปเพื่อฟ้ืนฟูร่ำงกำยหรือจิตใจหรือเพื่อกำรกลับคืนสู่สังคม และมีลักษณะที่ขัดต่อ ประโยชน์สูงสุดของเด็กหรือเยำวชน ให้ศำลส่ังระงับหรือเพิกถอนกำรกระทำท่ีฝ่ำฝืน และกำหนดค่ำเสียหำย หรือบรรเทำผลร้ำยหรอื มีคำส่ังใหจ้ ัดกำรแก้ไขเพื่อเยยี วยำควำมเสยี หำยท่เี กดิ ขนึ ตำมทีเ่ ห็นสมควร” มาตรา ๑๓๐ “ห้ำมมิให้ผู้ใดบันทึกภำพ แพร่ภำพ พิมพ์รูป หรือบันทึกเสียง แพร่เสียงของเด็กหรือเยำวชนซ่ึงต้องหำว่ำกระทำควำมผิดหรือบุคคลที่เกี่ยวข้อง หรือโฆษณำข้อควำมซึ่งปรำกฏ ในทำงสอบสวนของพนักงำนสอบสวน พนักงำนอัยกำร หรือในทำงพิจำรณำคดีของศำลที่อำจทำให้บุคคลอื่น รู้จักตัว ชื่อตัว หรือชื่อสกุล ของเด็กหรือเยำวชนนัน หรือโฆษณำข้อควำมเปิดเผยประวัติกำรกระทำควำมผิด หรอื สถำนท่ีอยู่ สถำนที่ทำงำน หรอื สถำนศึกษำของเด็กหรอื เยำวชนนนั ควำมในวรรคหน่ึงมิให้ใช้บังคับแก่กำรกระทำเพื่อประโยชน์ทำงกำรศึกษำ โดยไดร้ บั อนุญำตจำกศำลหรอื กำรกระทำท่ีจำเป็นเพื่อประโยชนข์ องทำงรำชกำร” มาตรา ๑๓๖ “ในกำรโฆษณำไม่ว่ำด้วยวำจำหรือเป็นหนังสือซึ่งคำพิพำกษำหรือ คำสั่งของศำลท่ีมีอำนำจพิจำรณำคดีเยำวชนและครอบครัว ห้ำมมิให้ระบุช่ือ หรือแสดงข้อควำม หรือกระทำกำร ด้วยประกำรใด ๆ อนั จะทำให้รูจ้ กั ตัวเด็กหรือเยำวชนซ่งึ เป็นจำเลย เวน้ แตไ่ ด้รบั อนญุ ำตจำกศำล” มาตรา ๑๕๓ “เพื่อประโยชน์ในกำรไกล่เกลี่ยคดีครอบครัว เม่ือศำลเห็นสมควร หรือเมอ่ื คู่ควำมฝ่ำยใดฝ่ำยหนงึ่ ร้องขอ ศำลจะสั่งให้ดำเนินกำรเป็นกำรลับเฉพำะต่อหน้ำตัวควำมทุกฝ่ำยหรอื ฝ่ำยใด ฝ่ำยหน่ึง โดยจะให้มที นำยควำมอยดู่ ้วยหรอื ไมก่ ไ็ ด้ ในกำรโฆษณำ ไม่ว่ำด้วยวำจำ เป็นหนังสือ เผยแพร่ทำงสื่อมวลชน สื่อสำรสนเทศ หรอื โดยวิธีกำรอื่นใดซึ่งคำคู่ควำม ข้อเทจ็ จริงหรอื พฤติกำรณ์ใด ๆ ในคดี หรอื คำพิพำกษำหรือคำส่ังของศำลท่มี ีอำนำจ พิจำรณำคดีครอบครัวหรือกำรไกล่เกลี่ยคดีครอบครัว ห้ำมมิให้แพร่ภำพ แพร่เสียง ระบุช่ือหรือแสดงข้อควำม หรอื กระทำกำรดว้ ยประกำรใด ๆ อันอำจทำใหร้ ้จู ักตัวคู่ควำมหรือทำให้เกดิ ควำมเสยี หำยแกช่ ่ือเสยี ง เกยี รตคิ ุณ ของบุคคลทีเ่ กย่ี วขอ้ ง หรอื ถกู กล่ำวถึงในคดี เวน้ แตจ่ ะได้รับอนุญำตจำกศำล” ๔) พระราชบัญญัติการประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ. ๒๕๕๑ มาตรา ๓๗ “ห้ำมมิให้ออกอำกำศรำยกำรที่มีเนือหำสำระท่ีก่อให้เกิดกำร ล้มล้ำงกำรปกครองในระบอบประชำธิปไตยอันมีพระมหำกษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือที่มีผลกระทบต่อควำมม่ันคง ของรัฐ ควำมสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชำชน หรือมีกำรกระทำซึ่งเข้ำลักษณะลำมกอนำจำร หรือมผี ลกระทบต่อกำรใหเ้ กดิ ควำมเสอื่ มทรำมทำงจติ ใจหรือสุขภำพของประชำชนอยำ่ งรำ้ ยแรง

- ๔๕ - ผู้รับใบอนุญำตมีหน้ำท่ีตรวจสอบและให้ระงับกำรออกอำกำศรำยกำรท่ีมี ลักษณะตำมวรรคหน่ึง หำกผู้รับใบอนุญำตไม่ดำเนินกำร ให้กรรมกำรซ่ึงคณะกรรมกำรมอบหมำยมีอำนำจสั่ง ด้วยวำจำหรอื เปน็ หนังสอื ให้ระงับกำรออกอำกำศรำยกำรนนั ได้ทนั ที และใหค้ ณะกรรมกำรสอบสวนขอ้ เท็จจริง กรณดี ังกลำ่ วโดยพลนั ในกรณีท่ีคณะกรรมกำรสอบสวนแล้วเห็นว่ำกำรกระทำดังกล่ำวเกิดจำกกำร ละเลยของผู้รับใบอนุญำตจริง ให้คณะกรรมกำรมีอำนำจส่ังให้ผู้รับใบอนุญำตดำเนินกำรแก้ไขตำมท่ีสมควร หรอื อำจพักใชห้ รือเพิกถอนใบอนญุ ำตก็ได้” ๕) ข้อบังคับว่าด้วยจริยธรรมวิชาชีพหนังสือพิมพ์ สภาการหนังสือพิมพ์ แห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๑ ข้อ ๑๓ “หนังสือพิมพ์ต้องเสนอข่ำวโดยคำนึงถึงศักดิ์ศรีควำมเป็นมนุษย์ของบุคคล ท่ีตกเป็นข่ำว โดยเฉพำะอย่ำงยิ่ง ต้องให้ควำมคุ้มครองอย่ำงเคร่งครัดต่อสิทธิมนุษยชนของเด็ก สตรี ผู้ด้อยโอกำส รวมทังต้องไม่เป็นกำรซำเติมควำมทุกข์หรือโศกนำฏกรรมอันเกิดแก่เด็ก สตรี ผู้ด้อยโอกำส และผู้มีอัตลักษณ์ แตกต่ำงในสงั คม” ๖) แนวปฏิบัติสภาการหนังสือพิมพ์ เรื่อง การเสนอข่าว ความคิดเห็น และภาพ เกีย่ วกบั เด็กและเยาวชน พ.ศ. ๒๕๖๑ ได้กาหนดแนวทางในการเสนอข่าว การแสดงความคิดเห็น และการเสนอภาพ เกี่ยวกับเด็กและเยาวชน เพื่อให้เป็นไปตามข้อบังคับว่าด้วยจริยธรรมแห่งวิชาชีพหนังสอื พิมพ์ สภาการหนังสือพิมพ์ แห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๙ อนุสญั ญาวา่ ด้วยสิทธิเด็ก พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. ๒๕๔๖ และกฎหมายอนื่ ๆ ท่เี กีย่ วข้องกบั เด็กและเยาวชน ไวด้ งั น้ี ขอ้ ๑ “กำรเสนอข่ำว ควำมคิดเห็น และภำพเกี่ยวกับเด็กและเยำวชนต้องตังอยู่ บนพืนฐำนของกำรเคำรพศักดิ์ศรีควำมเป็นมนุษย์ สิทธิมนุษยชนของเด็กและเยำวชน โดยคำนึงถึงประโยชน์ สูงสุดของเด็กและเยำวชนเปน็ สำคัญ” ขอ้ ๒ “กำรเสนอขำ่ ว ควำมคดิ เห็น และภำพเกีย่ วกับเด็กและเยำวชน ๒.๑ ต้องไม่เปิดเผยช่ือ ช่ือสกุล ภูมิลำเนำที่อยู่ของเด็กและเยำวชน รวมทังชื่อ ชอื่ สกลุ และภูมลิ ำเนำท่ีอยู่ของบดิ ำ มำรดำ หรือผู้ทีเ่ กย่ี วข้องกบั เด็กและเยำวชน รวมทังสงิ่ ที่ทำให้รหู้ รือสำมำรถรถู้ ึง ตัวเด็กและเยำวชนได้ เช่น ข้อมูลสถำนศึกษำหรือท่ีทำงำน โดยเจตนำท่ีจะทำให้เกิดควำมเสียหำยแก่จิตใจ ช่ือเสียงเกียรติคุณ หรือสิทธิประโยชน์อื่นใดของเด็กและเยำวชน หรือเพ่ือแสวงหำประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อ่ืน โดยมิชอบ เว้นแต่กำรเผยแพร่ข้อมูลนันเพ่ือเป็นประโยชน์ต่อสำธำรณะ หรือเพื่อประโยชน์ต่อกำรติดตำมตัวเด็ก และเยำวชน ในกรณที ่ีเด็กและเยำวชนนันสญู หำยไป และไมส่ ง่ ผลกระทบในทำงลบแก่เด็กและเยำวชน ๒.๒ ต้องไม่ล่วงละเมิดควำมเป็นส่วนตัว หรือชีวิตครอบครัวของเด็กและเยำวชน แม้ว่ำจะได้รับควำมยินยอมจำกเดก็ เยำวชน หรอื ผ้ปู กครองก็ตำม ๒.๓ ต้องไมน่ ำเสนอภำพลำมก อนำจำร โปเ๊ ปลอื ย อจุ ำด ของเดก็ และเยำวชน ๒.๔ พึงระวงั กำรนำเสนอข่ำวทอ่ี ำจสง่ ผลกระทบทำงลบตอ่ ชีวิตของเดก็ และเยำวชน ไมว่ ำ่ เนือข่ำวนนั จะมีเจตนำดตี ่อเดก็ และเยำวชน หรือไม่กต็ ำม ๒.๕ พึงระวังกำรถ่ำยภำพ และนำเสนอภำพเด็กและเยำวชน ในพืนที่สำธำรณะ ควรขออนุญำตผ้ทู ี่อยู่ในภำพหรือผปู้ กครองทุกครัง รวมทังระวังกำรนำเสนอภำพประกอบขำ่ ว เนอื หำ บทควำม ที่เป็นเชิงลบ โดยท่ีผู้ปรำกฏในภำพนันไม่มีส่วนเก่ียวข้อง หรือหำกต้องนำเสนอภำพควรใส่ข้อควำมว่ำ “เปน็ ภำพประกอบท่ีบคุ คลในภำพไมเ่ กย่ี วข้องกบั เนือหำ”

- ๔๖ - ๒.๖ พึงระวังกำรนำเสนอ ผลิต หรือเผยแพร่ซำ ซึ่งภำพ หรือคลิปภำพเด็ก และเยำวชนในลักษณะขบขนั ทำใหเ้ ป็นตวั ตลก น่ำสงสำร สมเพศ ทมี่ ีกำรสง่ ต่อกนั ทำงสือ่ สังคมออนไลน์ ๒.๗ พึงระวังกำรเสนอข่ำว และภำพข่ำวกิจกรรมกำรกุศล หรือสำธำรณประโยชน์ ท่ีเป็นกำรเปดิ เผยอัตลกั ษณ์ของเดก็ และเยำวชนในสถำนพนิ ิจ หรือสถำนสงเครำะห์ ๒.๘ พึงระวังกำรเสนอข่ำว และภำพข่ำวเด็กและเยำวชน ท่ีอยู่ในภำวะยำกลำบำก ภัยพิบัติ วินำศกรรม ควำมรุนแรง ภัยสงครำม ก่อกำรร้ำย หรือพืนท่ีค่ำยอพยพลีภัย ท่ีบ่งบอกถึงอัตลักษณ์ ของเดก็ และเยำวชนคนใดคนหนึง่ อยำ่ งชัดเจน” ๗) แนวปฏิบัติสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ สภาวิชาชีพข่าววิทยุ และโทรทัศน์ไทย เร่ือง การใชส้ ่ือสังคมออนไลน์ของสอื่ มวลชน พ.ศ. ๒๕๕๓ ข้อ ๑๐ “ในกำรรวบรวมข้อมูลข่ำวสำร กำรนำเสนอ และกำรแสดงควำมคิดเห็น ผู้ประกอบวิชำชีพส่ือมวลชนพึงระวังกำรละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ศักดิ์ศรีควำมเป็นมนุษย์ สิทธิเด็กและสตรี ภำพอุจำด ลำมก อนำจำร หวำดเสียว และรนุ แรง” ๘) แนวปฏิบัติสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ เรื่อง การเสนอข่าว เนื้อหาข่าว การแสดงความคดิ เห็น และภาพขา่ วผู้หญงิ และเดก็ ถกู ลว่ งละเมิดทางเพศ พ.ศ. ๒๕๖๐ ข้อ ๑ “กำรเสนอข่ำว เนือหำข่ำว และกำรแสดงควำมคิดเห็น เกี่ยวกับผู้หญิง และเด็กถูกล่วงละเมดิ ทำงเพศ ๑.๑ หนังสอื พิมพต์ ้องไม่ตีพิมพ์ชื่อ ช่ือสกุล หรือตำบลที่อยขู่ องผู้หญิงและเด็กท่ีถูก ล่วงละเมิดทำงเพศ รวมทังช่ือ ชื่อสกุล และตำบลที่อยู่ของผู้ที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่ำกรณีใด ๆ หรือส่ิงท่ีทำให้รู้ หรือสำมำรถรู้ได้ เช่น ข้อมูล สถำนศกึ ษำ หรือทีท่ ำงำนของผู้เสยี หำย ๑.๒ ในกรณีผู้หญิงและเด็กท่ีถูกล่วงละเมิดทำงเพศได้รับอันตรำยถึงแก่ชีวิต ใหถ้ ือปฏบิ ตั เิ ช่นเดียวกับข้อ ๑.๑ เว้นแตก่ ำรเผยแพรข่ ้อมูลนัน เป็นประโยชน์ต่อสำธำรณะ ๑.๓ กำรพำดหวั ข่ำว โปรยขำ่ ว ตลอดจนเนอื หำขำ่ ว และกำรแสดงควำมคิดเห็น เกี่ยวกับผู้หญิงและเด็กถูกล่วงละเมิดทำงเพศ จะต้องกระทำด้วยควำมระมัดระวัง ทังในเร่ืองกำรใช้ภำษำ กำรให้รำยละเอียดเกี่ยวกับสภำพแวดล้อมในที่เกิดเหตุ ชื่อเสียงเกียรติคุณผู้เสียหำย และไม่ตอกยำให้เกิด ควำมเข้ำใจผิดเกยี่ วกบั ทศั นคติเรื่องเพศอันเนื่องมำจำกกำรล่วงละเมิดทำงเพศนัน” ขอ้ ๒ “กำรเสนอภำพข่ำวผ้หู ญิงและเด็กถูกล่วงละเมิดทำงเพศ ๒.๑ หนังสือพิมพ์ต้องไม่ตีพิมพ์ภำพข่ำวของผู้หญิงและเด็กทถ่ี ูกล่วงละเมดิ ทำงเพศ รวมถึงภำพข่ำวใด ๆ ที่จะทำให้รู้ได้ เช่น ภำพผู้เกี่ยวข้อง ภำพที่เกิดเหตุ สถำนศึกษำ สถำนทท่ี ำงำน ไม่ว่ำกรณี ใด ๆ และไม่วำ่ ผทู้ ีถ่ ูกลว่ งละเมดิ ทำงเพศนัน จะเสยี ชีวติ หรือไม่กต็ ำม ๒.๒ ในกรณีผู้หญิงและเด็กท่ีถูกล่วงละเมิดทำงเพศได้รับอันตรำยถึงแก่ชีวิต ให้ถือปฏิบัติเช่นเดียวกับข้อ ๒.๑ เว้นแต่กำรเผยแพร่ข้อมูลนัน เป็นประโยชน์ต่อสำธำรณะ โดยสำมำรถนำเสนอได้ เฉพำะภำพหน้ำตรงของผเู้ สียชวี ิตขณะมีชีวิตอยเู่ ทำ่ นัน” ๙) แนวปฏิบัติการได้มาและการนาเสนอข่าวและภาพข่าวของส่ือมวลชน โดยไม่ละเมดิ สิทธิส่วนบคุ คลและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้ตกเปน็ ข่าว หมวด ๑ ผู้ปฏบิ ตั งิ านขา่ ว ข้อ ๑ “ในกำรทำขำ่ วบุคคลทเี่ กีย่ วขอ้ งกบั คดีอำญำ (๑) ผปู้ ฏบิ ัตงิ ำนข่ำวพงึ เคำรพสิทธขิ ันพนื ฐำนของผู้ตอ้ งสงสัย ผูต้ ้องหำ และจำเลย (๒) ผปู้ ฏบิ ัติงำนข่ำวพึงระมดั ระวังกำรตังคำถำมและกระทำกำรใด ๆ ในลกั ษณะชีนำ กดดนั ซำเติม หรอื เปน็ กำรดูถูกเหยยี ดหยำมผตู้ อ้ งสงสยั ผูต้ ้องหำ และจำเลย”

- ๔๗ - ข้อ ๒ “กำรทำข่ำวอุบัติเหตุหรือเหตุกำรณ์ท่ีเกี่ยวข้องกับฆำตกรรม ภัยพิบัติ วนิ ำศกรรม กำรก่อกำรร้ำย หรือเหตรุ นุ แรง (๑) ผู้ปฏิบัติงำนข่ำวพึงหลีกเล่ียงกำรถ่ำยภำพผู้บำดเจ็บท่ีมีลักษณะอุจำด และสร้ำงควำมรสู้ กึ สยดสยอง (๒) ผู้ปฏิบัติงำนข่ำวพึงงดเว้นกำรถ่ำยภำพผู้เสียชีวิต หำกมีควำมจำเป็น เพื่อประโยชน์สำธำรณะพึงระมัดระวังภำพผู้เสียชีวิตท่ีมีลักษณะอุจำด สยดสยอง หรือซำเติมควำมทุกข์โศก ของญำติผูเ้ สยี ชวี ติ ” ขอ้ ๓ “เมือ่ มีควำมจำเปน็ ตอ้ งเข้ำไปปฏบิ ัติหนำ้ ทใี่ นสถำนพยำบำล (๑) ผู้ปฏิบัติงำนข่ำวพึงหลีกเล่ียงกำรถ่ำยภำพผู้ป่วย เว้นแต่ได้รับอนุญำต จำกผ้ปู ว่ ยโดยชัดแจ้ง (๒) ผู้ปฏิบัติงำนข่ำวพึงเคำรพสิทธิผู้ป่วย โดยเฉพำะข้อมูลและควำมเป็นอยู่ ของผู้ป่วย เว้นแต่ได้รับกำรยินยอมจำกผ้ปู ่วย (๓) ผู้ปฏิบตั ิงำนข่ำวพึงระมดั ระวังกำรกระทำใด ๆ อนั อำจเปน็ อุปสรรคต่อกำรทำงำน ของบุคลำกรทำงกำรแพทย์ และอำจเป็นกำรรบกวนผู้มำใช้บริกำรหรือญำติของผู้มำใช้บริกำร และพึงปฏิบัติ ตำมประกำศของสถำนพยำบำลอย่ำงเครง่ ครดั ” ข้อ ๔ “ผู้ปฏิบัติงำนข่ำวพึงระมัดระวังกำรทำข่ำวอุบัติเหตุหรือเหตุกำรณ์ ท่ีเกี่ยวข้องกับฆำตกรรม ภัยพิบัติ วินำศกรรม กำรก่อกำรร้ำย เหตุรุนแรง หรือกำรกระทำใด ๆ อันอำจขัดขวำง หรือเป็นอุปสรรคต่อกำรทำงำนของเจ้ำหน้ำที่ที่เกยี่ วขอ้ ง” ข้อ ๕ “ผู้ปฏิบัติงำนข่ำวพึงเคำรพสิทธิส่วนบุคคลในกำรได้มำซึ่งข้อมูล ของผตู้ กเป็นขำ่ ว” ข้อ ๖ “ผู้ปฏิบัติงำนข่ำวต้องไม่ใช้ข้อมูลส่วนบุคคลหรือภำพ หรือข้อมูลอื่นใด ของเหย่ือ หรอื พยำน หรอื ผรู้ เู้ หน็ เหตกุ ำรณใ์ นกำรทำขำ่ ว อนั อำจนำมำซึง่ ภยนั ตรำยตอ่ บุคคลเหล่ำนี” หมวด ๒ องคก์ รส่อื มวลชน ข้อ ๗ “กำรเสนอข่ำวหรือภำพข่ำวผู้ต้องสงสัย ผู้ต้องหำ จำเลย และผู้เสียหำย ในคดอี ำญำ (๑) สื่อมวลชนพึงงดเว้นกำรนำเสนอข้อมูลส่วนบุคคลและภำพข่ำวท่ีแสดง อตั ลักษณ์ของบุคคลทีเ่ ปน็ เพยี งผ้ตู ้องสงสยั (๒) ส่ือมวลชนพึงหลีกเล่ียงกำรนำเสนอภำพข่ำวเคร่ืองพันธนำกำรใด ๆ ของผตู้ ้องหำและจำเลย (๓) ส่ือมวลชนพึงหลีกเลี่ยงกำรใช้ถ้อยคำในกำรนำเสนอข่ำวเชิงตัดสิน หรือเกนิ ข้อเท็จจริงทแ่ี สดงวำ่ ผูต้ ้องหำกระทำผดิ ไปแล้ว หรือเชิงประณำมทเ่ี ปน็ กำรชีนำให้เกดิ กำรดูหมิ่นเกลียดชงั (๔) ส่ือมวลชนพึงระมัดระวังกำรนำเสนอข่ำวจำกสำนวนคดี อันอำจเป็นกำรซำเติม ควำมทกุ ข์โศกที่ผูเ้ สียหำยได้รับ” ข้อ ๘ “สื่อมวลชนพึงหลีกเลี่ยงกำรเสนอภำพข่ำวผู้บำดเจ็บจำกอุบัติเหตุ ภัยพิบัติ วนิ ำศกรรม และสถำนกำรณร์ นุ แรงอ่ืน ๆ ที่มีลกั ษณะอุจำด สยดสยอง หรือน่ำเวทนำ” ขอ้ ๙ “สื่อมวลชนต้องไม่นำเสนอภำพข่ำวศพของผู้เสียชีวิต ในกรณีท่ีจำเป็น ต้องให้ควำมร่วมมือแก่ทำงรำชกำรเพ่ือประโยชน์สำธำรณะ สำมำรถนำเสนอได้โดยต้องหลีกเลี่ยงภำพในลักษณะ ทีเ่ ปน็ กำรซำเตมิ ควำมทุกขโ์ ศกต่อญำติของผู้เสยี ชวี ติ ”

- ๔๘ - ขอ้ ๑๐ “ส่ือมวลชนต้องไม่นำเสนอภำพผู้ป่วยในสถำนพยำบำลที่ตกเป็นข่ำว เว้นแต่ไดร้ บั อนญุ ำตจำกผ้ปู ว่ ย” ข้อ ๑๑ “ส่ือมวลชนพึงหลีกเลี่ยงกำรนำเสนอภำพข่ำวของผู้เครำะห์ร้ำย หรอื ญำตซิ ำ ๆ ท่ีเป็นกำรตอกยำควำมรนุ แรง และควำมทุกข์โศกของผู้เครำะห์ร้ำยและญำติ” ข้อ ๑๒ “ส่ือมวลชนต้องไม่นำเสนอข้อมูลส่วนบุคคลหรือข้อมูลอ่ืนใดอันอำจเป็น กำรละเมดิ สิทธิส่วนบคุ คลของผู้ตกเป็นข่ำวและผทู้ ีเ่ ก่ียวขอ้ งกบั ข่ำวนนั ” ข้อ ๑๓ “ส่ือมวลชนพึงหลีกเลี่ยงกำรใช้ถ้อยคำและสรรพนำมเชิงเหยียดหยำม หรอื ไม่เหมำะสมกับเพศ วัย สถำนภำพ และชำติพันธ์ุของเหย่ือ ผ้เู ครำะหร์ ำ้ ย หรือบุคคลทัว่ ไปทตี่ กเป็นข่ำว” ขอ้ ๑๔ “ส่ือมวลชนพึงระมัดระวังกำรนำเสนอข้อมูลส่วนบุคคลหรือภำพข่ำว หรือข้อมูลอ่ืนใดของพยำน ผู้รู้เห็นเหตุกำรณ์ หรือเจ้ำหน้ำท่ีผู้ปฏิบัติงำนในสถำนกำรณ์ที่มีควำมขัดแย้ง หรือรุนแรง ทังนี เพอ่ื เปน็ กำรป้องกันภยันตรำยทอ่ี ำจเกิดขึนแกพ่ ยำน ผรู้ ้เู ห็นเหตุกำรณ์ หรือเจ้ำหนำ้ ทผ่ี ู้นนั ” ๑๐) คาส่ังสานักงานตารวจแห่งชาติ ที่ ๘๕๕/๒๕๔๘ เรื่อง การปฏิบัติ เกี่ยวกับการให้ข่าว การแถลงข่าว การให้สัมภาษณ์ การเผยแพร่ภาพต่อส่ือมวลชน และการจัดทาส่ือ ประชาสัมพันธ์ “ไม่ว่ำกรณีใด ๆ ก็ตำม ห้ำมเจ้ำพนักงำนนำผู้ตอ้ งหำทเี่ ปน็ เด็กอำยไุ มเ่ กิน ๑๘ ปี บริบูรณ์ ไปชีท่ีเกิดเหตุประกอบคำรับสำรภำพ เพรำะจะเป็นกำรประจำนเด็ก และอำจเป็นกำรกระทำผิด กฎหมำยเกี่ยวกับเด็ก นอกจำกนี ห้ำมนำผู้เสียหำย พยำน เขำ้ ร่วมในกำรนำชีที่เกิดเหตุประกอบคำรับสำรภำพ ของผ้ตู อ้ งหำเปน็ อันขำด โดยเฉพำะผูเ้ สียหำยทเ่ี ป็นเด็กสตรี” ๑๑) คาแนะนาของประธานศาลฎีกาว่าด้วยแนวทางการปฏิบัติต่อพยาน ท่ีเป็นเด็กในคดอี าญา พ.ศ. ๒๕๕๙ ข้อ ๑๒ “ศำลพึงมีมำตรกำรป้องกันไม่ให้มีกำรบันทึกภำพ แพร่ภำพ พิมพ์รูป บันทึกเสียง หรือแพร่เสียงของพยำนหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องกับพยำนท่ีอำจทำให้บุคคลอื่นรู้จักตัว ชื่อตัว หรือช่ือสกุล หรอื โฆษณำข้อควำมทเี่ ปดิ เผยสถำนท่อี ยู่ สถำนท่ที ำงำน หรอื สถำนศึกษำของพยำนนัน” ๑๒) แนวทางการรายงานข่าวเกี่ยวกับเด็กและเยาวชน ขององค์การทุนเพื่อเด็ก แห่งสหประชาชาติ (United Nations Children’s Fund : UNICEF) หรือองคก์ ารยูนิเซฟ Guidelines for journalists reporting on children UNICEF has developed principles and guidelines to help journalists report on children’s issues in a way that enables them to serve the public interest without compromising the rights of children. Principles and guidelines for media reporting on children Media reporting on children and young people should never put them at risk. UNICEF has developed principles and guidelines to help journalists report on children’s issues in a way that enables them to serve the public interest without compromising the rights of children. There are six over-arching principles; six guidelines for interviewing children; and seven principles for reporting on children’s issues.

- ๔๙ - Six principles 1. Respect the dignity and rights of every child in every circumstance. 2. In interviewing (and reporting on) children, pay special attention to each child’s right to privacy and confidentiality, to have their opinions heard, to participate in decisions affection them and to be protected from harm and retribution. 3. Protect the best interests of each child over and other consideration, including advocacy for children’s issues and the promotion of child rights. 4. When trying to determine the best interests of a child, give due weight to the child’s right to have their views taken into account in accordance with their age and maturity. 5. Consult those closest to the child’s situation and best able to assess it about the political, social and cultural ramifications of any reportage. 6. Do not publish a story or and image that might put the child, their siblings or peers at risk, ever when their identities are changed, obscured or not used. Six guidelines for interviewing children 1. Do no harm to any child; avoid questions, attitudes or comments that are judge mental, insensitive to cultural values, that place a child in danger or expose a child to humiliation, or that reactivate the pain of traumatic events. 2. Do not discriminate in choosing children to interview because of their sex, race, age, religion, status, educational background or physical abilities. 3. No staging: do not ask children to tell a story or take an action that is not part of their own history. 4. Ensure that the child or guardian knows they are talking to a reporter. Explain the purpose of the interview and its intended use. 5. Obtain permission from the child and his or her guardian for all interviews, videotaping and, when possible, for documentary photographs. When possible and appropriate, this permission should be in writing. Permission must be obtained in circumstances that ensure that the child and guardian are not coerced in any way and that they understand that they are part of a story that might be disseminated locally and globally. This is usually only ensured if the permission is obtained in the child’s language and if the decision is made in consultation with and adult the child trusts. 6. Pay attention to where and how the child is interviewed. Limit the number of interviewers and photographers. Try to make certain that children are comfortable and able to tell their story without outside pressure, including from the interviewer. In film, video and radio interviews, consider what the choice of visual or audio background might imply about the child and her or his life and story. Ensure that the child would not be endangered or adversely affected by showing their home, community or general whereabouts.

- ๕๐ - Seven guidelines for reporting on children 1. Do not further stigmatize any child; avoid categorizations or descriptions that expose a child to negative reprisals – including additional physical or psychological harm, or to lifelong abuse, discrimination or rejection by their local communities. 2. Always provide an accurate context for the child’s story or image. 3. Always change the name and obscure the visual identity of any child who is identified as: - a victim of sexual abuse or exploitation - a perpetrator of physical or sexual abuse - HIV positive, or living with AIDS, unless the child, a parent or a guardian gives fully informed consent - charged or convicted of a crime. 4. In certain circumstances of risk of potential risk of harm or retribution, change the name and obscure the visual identity of any child who is identified as: - a current or former child combatant - an asylum seeker, a refugee or an internally displaced person. 5. In certain cases, using a child’s identity (their name and/or recognizable image) is in the child’s best interests. However, when the child’s identity is used, they must still be protected against harm and supported in the event of any stigmatization of reprisals. For example: - when a child initiates contact with a reporter, wanting to exercise their right to freedom of expressing and their right to have their opinion heard - when a child is part of a sustained programme of activism or social mobilization and wants to be identified as such - when a child is engaged in a psychosocial programme and claiming their name and identity is part of their healthy development. 6. Confirm the accuracy of what the child has to say, either with other children or an adult, preferably with both. 7. When in doubt about whether a child is at risk, report on the general situation for children rather than on an individual child, no matter how newsworthy the story. ๒. ประเด็นการพิจารณา การนาเสนอข่าวเกย่ี วกบั การขม่ ขืน กระทาชาเรา หรอื การลว่ งละเมิดทางเพศ ๓. สรปุ ผลการศกึ ษาวิเคราะห์ ควรมีการจัดทาคู่มือมาตรฐานและแนวทางการนาเสนอข่าวเกี่ยวกับการข่มขืน กระทาชาเรา และการลว่ งละเมิดทางเพศของส่ือมวลชน โดยมีข้อเสนอ ดงั น้ี ๑) การนาเสนอข่าวเก่ียวกับการข่มขืนกระทาชาเรา หรือการล่วงละเมิดทางเพศ ไมค่ วรใชค้ าวา่ “เหยื่อ” แทนตัวผู้เสยี หาย ๒) ควรมีการคุ้มครองผู้เสียหายและญาติผู้เสยี หายในการนาเสนอข่าวโดยไม่เปิดเผย ใบหนา้ และรายละเอยี ดข้อมลู ส่วนตวั เช่น ชื่อและทีอ่ ยู่ เปน็ ตน้

- ๕๑ - ๓) ควรมีมาตรการหรือขอ้ กฎหมายที่จะดาเนนิ คดีกบั บคุ คลที่เกี่ยวข้องทีน่ าเสนอขา่ ว เพ่ือคุ้มครองสิทธิของผู้เสียหาย โดยเฉพาะการนาเสนอข่าวเก่ียวกับเด็ก หรือผู้ถูกกระทาด้วยความรุนแรง ในครอบครัว ท่ีอยู่ในการคุ้มครองดูแลของพนักงานเจ้าหน้าท่ีตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. ๒๕๔๖ หรือพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทาด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๐ หรือตามกฎหมายอื่น ที่เก่ียวข้อง พนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายดังกล่าวควรเข้าไปยุติการนาเสนอข่าวหรือดาเนินการอ่ืนใดเพ่ือเป็น การปกป้องคุ้มครองสิทธิและป้องกันไม่ให้เกิดการละเมิดแก่เด็กหรือผู้ถูกกระทาด้วยความรุนแรงในครอบครัว ทีอ่ ย่ใู นความดูแลโดยทนั ที ๔) การนาเสนอขา่ วเก่ยี วกับเพศไม่ควรลงรายละเอยี ดมากเกนิ ไป ๕) การนาเสนอข่าวเกี่ยวกับการข่มขืน กระทาชาเรา หรือการล่วงละเมิดทางเพศ โดยไม่ได้กล่นั กรอง ควรมมี าตรการในการควบคุมส่ือออนไลน์ทีจ่ ัดต้ังเพจขา่ วเอง หรอื สื่อท้องถนิ่ ๖) การเผยแพรผ่ ลการกระทาของผู้กระทาผดิ คดที างเพศ ควรมีหนว่ ยงานเผยแพร่ว่า ผ้กู ระทาผิดจะได้รบั การลงโทษในเร่ืองใดบ้าง เพื่อป้องกันพฤติกรรมการลอกเลยี นแบบและการเกรงกลัวที่จะกระทา ความผิด ส่วนท่ี ๒ ข้อกฎหมายเกี่ยวกับการจัดเก็บตัวอย่างสารพันธุกรรม (DNA) และการลงทะเบียนของผ้ตู อ้ งขงั คดีความผดิ เก่ียวกับเพศ ๑. หลกั การและเหตผุ ล การเก็บตัวอย่างสารพันธุกรรม หรือ DNA ของผู้ต้องขังในคดีความผิดเก่ียวกับเพศ เพ่ือการจัดทา Watch List ต้องเป็นกรณีท่ีผู้ต้องขังให้ความยินยอมจึงจะสามารถเก็บตัวอย่างดังกล่าวได้ จงึ ได้มีข้อเสนอให้มีการจัดเกบ็ ตัวอย่าง DNA ของผ้ตู ้องขังในคดีความผิดเก่ียวกับเพศทุกคน เพื่อเป็นฐานข้อมูล ในการติดตามและเฝ้าระวังไม่ให้เกิดการกระทาความผิดซ้าหลังจากทไี่ ด้รับการปลอ่ ยตัวเมื่อพ้นโทษ นอกจากน้ี การเก็บดเี อ็นเอของผู้ต้องขังคดีความผิดเก่ยี วกับเพศ เป็นกรณีต้องได้รับความยินยอมจากผู้ต้องขังก่อนเก็บดีเอ็นเอ โดยไม่มีกฎหมายรองรับ ดังนั้น ควรผลักดันให้มีการพิจารณาออกกฎหมายรับรองการจัดเก็บ DNA ของผู้ต้องขัง เพ่ือใหม้ ผี ลบังคับใช้ในทางปฏบิ ตั ิอย่างจรงิ จัง ส่วนกรณีการลงทะเบียนผู้ต้องโทษคดีเก่ียวกับเพศ ในกรณีสหรัฐอเมริกาจะมี การรายงานตวั ของผู้ถูกดาเนินคดี อาจต้องศึกษาเปน็ กรณีตัวอย่างว่า สหรัฐอเมริกามีหน่วยงานการดาเนินการ เกยี่ วกับการรายงานตวั และเยยี วยาผ้เู สียหายและผกู้ ระทาความผิด กรณี Sex Offender เมอ่ื ผตู้ อ้ งโทษพน้ โทษ แล้วตอ้ งมารายงานตวั ซง่ึ ต้องลงทะเบียนโดยเก็บข้อมลู สว่ นตัวเพอื่ ไปเก็บในฐานขอ้ มูลกลาง โดยข้อมลู ดงั กล่าว จะต้องได้รับการยินยอมจากบุคคลนั้นในการเปิดเผย และประชาชนสามารถเช็คได้ว่าบริเวณไหนมี Sex Offender หรอื ไม่ ซงึ่ ในประเด็นดงั กล่าวยงั มีการถกเถยี งในสหรฐั อเมริกา เพราะเป็นการละเมดิ สิทธสิ ว่ นบคุ คล ๒. ประเด็นการพิจารณา ขอ้ กฎหมายเกี่ยวกับการจัดเก็บดีเอน็ เอ (DNA) และการลงทะเบียนของผู้ต้องขัง คดีความผิดเก่ยี วกับเพศ ๓. สรุปผลการศึกษาวิเคราะห์ การจัดเก็บตัวอย่างสารพันธุกรรม หรือ DNA ของผู้ต้องขังคดีความผิดเกี่ยวกับเพศ ได้เสนอให้มีการจัดเก็บตัวอย่าง DNA ของผู้ต้องขังในคดีความผิดเก่ียวกับเพศทกุ คน เพื่อเป็นฐานข้อมูลในการ ติดตามและเฝ้าระวังไม่ให้เกิดการกระทาความผิดซ้าหลังจากที่ได้รับการปล่อยตัวเม่ือพ้นโทษ รวมถึงควรผลักดัน ให้มีการพิจารณาออกกฎหมายรับรองการจัดเก็บ DNA ของผู้ต้องขังเพ่ือให้มีผลบังคับใช้ในทางปฏิบัติอย่างจริงจัง และเพ่ือเป็นการปอ้ งกนั การกระทาความผิดซา้

- ๕๒ - ส่วนการลงทะเบียนของผู้ต้องขังคดีความผิดเกี่ยวกับเพศท่ีได้รับการปล่อยตัว หลังจากการพ้นโทษนั้น เห็นว่า ยังมีข้อที่ควรพิจารณาศึกษาถึงข้อดีและข้อเสียในทางปฏิบัติอย่างละเอียด รอบคอบ โดยเฉพาะประเด็นที่เกี่ยวกับการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล การโยกย้ายถ่ินที่อยู่ของอดีตผู้ต้องขัง ที่คาดหมายไดว้ ่าจะเกดิ ข้ึนในอนาคต และความพร้อมของหน่วยงานทเ่ี ป็นผูป้ ฏิบตั ิ สว่ นท่ี ๓ มาตรการเกย่ี วกับการดาเนินการทางวนิ ัยแก่ข้าราชการครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา กรณีการล่วงละเมิดทางเพศต่อนักเรยี น ๑. หลกั การและเหตุผล องค์ประกอบของคณะกรรมการสอบสวน กรณีท่ีมีข้อกล่าวหาว่าครูกระทา ความผิด ผู้บังคับบัญชาต้องดาเนินการสืบสวนข้อเท็จจริงก่อนตั้งคณะกรรมการสอบสวน เว้นแต่ในกรณี ที่ปรากฏข้อเท็จจริงอย่างชัดแจ้งว่ากระทาผิดกรณีล่วงละเมิดทางเพศนักเรียน ซ่ึงถือเป็นการกระทาผิดวินัย อย่างร้ายแรง ผู้มีอานาจสั่งบรรจุและแต่งตั้งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาตามมาตรา ๕๓ แห่ง พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗ เป็นผู้แต่งตั้งคณะกรรมการ สอบสวนได้ทันที ท้ังนี้ ผู้มีอานาจสั่งบรรจุและแต่งตั้งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาในจังหวัด คาส่ัง หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๑๙/๒๕๖๐ เร่ือง การปฏิรูปการศึกษาในภูมิภาคของกระทรวงศึกษาธิการ ลงวันที่ ๓ เมษายน ๒๕๖๐ กาหนดให้เป็นอานาจของศึกษาธิการจังหวัด ดังน้ัน หากกรณีท่ีเกิดเรื่องข้ึนในเขต พ้ืนท่ีการศึกษา ผู้มีอานาจในการแต่งต้ังคณะกรรมการสอบสวนกรณีดังกล่าวคือ ศึกษาธิการจังหวัด โดยองค์ประกอบของคณะกรรมการสอบสวน ประกอบด้วย ข้าราชการครู และบุคลากรทางการศึกษาหรือข้าราชการ ฝ่ายพลเรือน จานวนอย่างน้อย ๓ คน ซึ่งเฉพาะประธานกรรมการต้องดารงตาแหน่งไม่ต่ากว่าหรือเทียบได้ ไม่ตา่ กว่าผู้ถูกกลา่ วหา และกรรมการสอบสวนอย่างนอ้ ย ๑ คน จะต้องเปน็ ผดู้ ารงตาแหนง่ นติ กิ ร กาหนดระยะเวลาสอบสวนการกระทาผิดวินัยอย่างร้ายแรง กฎ ก.ค.ศ. ว่าด้วย การสอบสวนพิจารณา พ.ศ. ๒๕๕๐ กาหนดให้ดาเนินการพิจารณาสอบสวนได้ไม่เกิน ๑๘๐ วัน ซึ่งสามารถ ขอขยายได้อีก ๖๐ วัน รวมระยะเวลาท้ังหมดที่สามารถดาเนินการได้ไม่เกิน ๒๔๐ วัน อย่างไรก็ตาม การสอบสวน เรื่องใดที่คณะกรรมการไม่สามารถดาเนินการให้แล้วเสร็จตามกาหนดระยะเวลาดังกล่าวได้ จะต้องรายงานให้ คณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาทราบ เพื่อขอมติเห็นชอบในการขยายระยะเวลา สอบสวนเท่าท่ีจาเป็น จากน้ันเม่ือการสอบสวนเสร็จส้ินลงแล้ว ต้องนาผลรายงานต่อศึกษาธิการจังหวัด เพื่อพิจารณาสั่งลงโทษ นอกจากนี้ กรณีการเพิกถอนหรือสั่งพักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ จะเป็นหน้าท่ี ของต้นสังกัดท่ีจะต้องส่งเรื่องไปที่คุรุสภาเพื่อดาเนินการเพิกถอนหรือสั่งพักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ ของผกู้ ระทาผดิ ตอ่ ไป ข้ันตอนการดาเนินการทางวินัยข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา เร่ิมขึ้นเม่ือมีผู้กล่าวหาว่าข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษากระทาผิดวินัย ก็จะมีการส่งเรื่องให้ ผบู้ ังคบั บญั ชาดาเนินการสบื สวนขอ้ เท็จจรงิ แล้วรายงานไปยงั ผมู้ ีอานาจบรรจุและสง่ั แตง่ ตงั้ ไดแ้ ก่ ศึกษาธิการจงั หวัด เพือ่ มีคาสง่ั แตง่ ต้งั คณะกรรมการสอบสวน เมอ่ื การสอบสวนแล้วเสรจ็ คณะกรรมการจะรายงานผลการสอบสวน ตอ่ ศกึ ษาธกิ ารจังหวัดอีกครง้ั เพ่อื พจิ ารณาผลการดาเนินการสอบสวน แล้วรายงานต่อคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด เพ่ือพจิ ารณาสั่งลงโทษ จากนั้นก็ส่งรายงานต่อคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาเพ่ือตรวจสอบ ดลุ พนิ ิจและกระบวนการวา่ ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ มาตรฐานการลงโทษ การดาเนินการทางวินัยกับคดีอาญานั้นขาดจากกัน ซ่งึ คณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาได้ต้ังมาตรฐานโทษไว้ในกรณีกระทาการอันได้ชื่อว่า เป็นการประพฤติชั่ว ผู้กระทาผิดจะถูกตัดสินลงโทษลดขั้นเงินเดือน ตัดเงินเดือน หรือภาคทัณฑ์ และหากเป็น กรณีที่กระทาการอันได้ช่ือว่าเป็นผู้ประพฤติช่ัวอย่างร้ายแรง หรือกรณีล่วงละเมิดทางเพศ ผู้กระทาผิดจะถูก ตัดสินลงโทษปลดออก หรอื ไล่ออกจากราชการ

- ๕๓ - กฎ ก.ค.ศ. ว่าด้วยการสอบสวนพิจารณา พ.ศ. ๒๕๕๐ ข้อ ๒๘ กาหนดให้ การสอบปากคาผู้เสียหายหรือพยานซ่ึงเป็นเด็ก ให้สอบสวนในสถานที่ที่เหมาะสมสาหรับเด็ก และให้มี ข้าราชการครูท่ีเป็นกลางและเช่ือถือได้ และบุคคลที่เด็กร้องขอหรือไว้วางใจเข้าร่วมในการสอบปากคาน้ันด้วย หากผู้เสียหายหรือพยานซ่ึงเป็นเด็กต้ังแง่รังเกียจข้าราชการครูดังกล่าวข้างต้นให้เปล่ียนตัวบุคคลนั้น ฉะน้ัน ในขั้นตอนการตรวจสอบการดาเนินการสอบสวนพิจารณา หากคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากร ทางการศึกษาตรวจสอบสานวนแล้วพบว่า ในการดาเนินการสอบสวนไม่มีข้าราชการครูท่ีเป็นกลางและเช่ือถือได้ และบุคคลท่ีเดก็ ร้องขอหรอื ไวว้ างใจเขา้ ร่วมในการสอบปากคา ทเ่ี ป็นสาระสาคญั ในการสอบสวนคณะกรรมการ ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาจะถือว่าเป็นกระบวนการสอบสวนโดยไม่ชอบ ทาให้สานวนท่ีได้จาก การสอบปากคาในคร้ังนั้นเสียไป และจะต้องดาเนินการสอบปากคาใหม่ตั้งแต่ต้น ประกอบกับได้มีข้อกฎหมาย กาหนดคุณสมบัติของผู้ท่ีจะเข้าร่วมเป็นกรรมการสอบสวนไว้ในพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการ ทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ และ กฎ ก.ค.ศ. วา่ ดว้ ยการสอบสวนพจิ ารณา พ.ศ. ๒๕๕๐ ที่ห้ามไม่ให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสยี เขา้ ร่วม เป็นกรรมการสอบสวน อีกทั้งในกรณีที่ผู้ถูกกระทาเห็นว่ากรรมการไม่เป็นกลางก็สามารถใช้สิทธิคัดค้าน กรรมการคนดังกล่าวเพ่ือตั้งคนใหม่เข้ามาแทนได้ ท้ังนี้ หากปรากฏพฤติการณ์ที่ไม่น่าไว้วางใจก็สามารถสั่งพัก ราชการหรอื สัง่ ให้ออกจากราชการไวก้ ่อนจนกว่าจะดาเนินการสอบสวนแล้วเสร็จ โดยมีขอ้ เสนอแนะ ดังน้ี ๑) การดาเนินการทางวินัยขาดออกจากการดาเนินคดีทางอาญา การพิจารณา ดาเนินการทางวินัยนั้นดูที่พฤติการณ์ของผู้กระทา แม้ในทางคดีอาญาศาลจะยกฟ้องเนื่องจากพยานหลักฐาน ไม่ปรากฏอย่างชัดแจ้งว่ามีการกระทาความผิด แต่ถ้าในการสอบสวนทางวินยั สามารถฟงั ความได้ว่ามีการล่วงละเมิด ทางเพศเด็กนกั เรียน กส็ ามารถสง่ั ลงโทษทางวนิ ัยไดท้ ันที ๒) เหตุล่วงละเมดิ ทางเพศในพ้ืนท่ีหา่ งไกล และคดไี มป่ รากฏต่อสื่อ จะมีอปุ สรรค จากการท่ีผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ใช้อานาจหน้าที่เข้าแทรกแซงกระบวนการพิจารณาดาเนินการทางวินัย รวมถึง การแต่งต้ังคณะกรรมการควรมีการคานึงถึงความเป็นกลาง และสัดส่วนหญิงชายในคณะกรรมการ นอกจากน้ี ควรเพิ่มชอ่ งทางพิเศษการดาเนนิ การสาหรับเด็กนักเรยี นท่ีถูกล่วงละเมิดทางเพศ เพ่ือให้สามารถเข้าดาเนินการ ช่วยเหลือและดาเนินการสอบสวนท้ังทางคดีและทางวินัยแก่ผู้กระทาได้อย่างทันท่วงที รวมถึงจัดมาตรการ เยียวยาเด็กผู้ถูกกระทาในระหว่างการดาเนินการทางคดีหรือทางวินัยยังไม่แล้วเสร็จ เช่น การเยียวยาจิตใจ การคุ้มครองพยาน การใหเ้ ดก็ หยดุ เรยี นและจัดสอนเสริม เปน็ ต้น ๓) กรณีที่เด็กนักเรียนถูกล่วงละเมิดทางเพศจนเกิดปัญหาการต้ังครรภ์ กฎกระทรวงกาหนดประเภทของสถานศกึ ษาและการดาเนนิ การของสถานศึกษาในการปอ้ งกนั และแก้ไขปัญหา ตั้งครรภ์ในวัยรุ่น พ.ศ. ๒๕๖๑ กาหนดไว้ว่า ต้องไม่ให้นักเรียนหรือนักศึกษานั้นออกจากสถานศึกษาดังกล่าว และสถานศึกษาต้องจัดให้มีระบบการดูแล ช่วยเหลือ และคุ้มครองนักเรียนหรือนักศึกษาซึ่งต้ังครรภ์ให้ได้รับ การศึกษาด้วยรปู แบบท่เี หมาะสมและตอ่ เนื่อง ๔) กฎ ก.ค.ศ. ได้ระบุให้มีนักจิตวิทยา นักสังคมสงเคราะห์ และครูแนะแนว อยู่ในสัดส่วนของคณะกรรมการสอบสวน ซ่ึงข้าราชการครูท่ีเป็นกลางและเช่ือถือได้ และบุคคลที่เด็กร้องขอ หรือไว้วางใจเขา้ ร่วมในการสอบปากคา แตใ่ นความเป็นจริงแลว้ เปน็ ไปได้ยากที่จะหานกั จิตวิทยา หรือนักสังคม สงเคราะห์ จึงควรเพ่ิมกรรมการผู้แทนในสัดส่วนองค์กรภาคเอกชนท่ีมีการดาเนินงานและมีความเชี่ยวชาญ เกี่ยวกับการคุ้มครองสิทธิเด็ก เข้าร่วมเป็นกรรมการสอบสวน นอกจากน้ี สัดส่วนกรรมการคนนอกท่ีเป็นผู้เชี่ยวชาญ เด็กผู้ถูกกระทาเป็นเด็กที่มีพัฒนาการล่าช้า หรือมีภาวะออทิสติก ที่มีความจาเป็นต้องใช้นักวิชาชีพ เช่น นักจิตวิทยา นักสังคมสงเคราะห์ หรือครูแนะแนว เข้าร่วมเป็นกรรมการสอบสวนในคณะกรรมการสอบสวน ระดับจังหวดั เพ่อื สรา้ งความเชอ่ื มนั่ ให้แกผ่ ถู้ ูกกระทาว่ากระบวนการดังกล่าวจะดาเนนิ ไปดว้ ยความเป็นกลาง

- ๕๔ - ๕) การดาเนินการทางวินัย ในกรณีของครูชายโสดที่มีพฤติการณ์ร่วมประเวณี กับสตรีโสด ท่ีเป็นการข่มขืน แต่เม่ือมีการแสดงความรับผิดชอบโดยการจดทะเบียนสมรส ซึ่งเป็นกรณีคู่กรณี ตกลงยินยอมจดทะเบียนสมรสด้วย ผลการตัดสินโทษทางวินัยอยู่ในกรณีความผิดไม่ร้ายแรง แต่กรณีดังกล่าว ไม่ถือเป็นบรรทัดฐานในการพิจารณา เพราะคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา จะพิจารณา ถึงข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ความร้ายแรงเป็นกรณีไป จากกรณีดังกล่าวควรพิจารณาเจตนาแห่งการกระทา ซ่ึงเป็นการกระทาความผิดข่มขืนตามประมวลกฎหมายอาญาซึ่งถือเป็นความผิดอาญาแผ่นดินที่ไม่สามารถ ยอมความได้ ดังน้ัน ในการพิจารณาดาเนินการทางวินัยจึงควรถือว่า พฤติการณ์ดังกล่าวเป็นกรณีกระทาการ อันได้ชื่อว่าเปน็ ผปู้ ระพฤติชวั่ อยา่ งร้ายแรง และควรมีมาตรฐานการลงโทษในบทหนกั ทสี่ ดุ ๒. ประเด็นการพิจารณา มาตรการเกี่ยวกับการดาเนินการทางวินัยแก่ข้าราชการครู คณาจารย์ และบุคลากร ทางการศกึ ษา กรณีการล่วงละเมดิ ทางเพศต่อนักเรียน ๓. สรปุ ผลการศึกษาวเิ คราะห์ ๑) แนวทางการพิจารณาโทษข้าราชการครูกระทาผิดวินัย กรณีประพฤติชั่ว ทางเพศ ซ่ึงคู่กรณีเป็นครูชายโสดกบั สตรีโสด โดยมีพฤติการณ์คือ รว่ มประเวณีโดยขม่ ขืนแลว้ จดทะเบียนสมรส แนวทางพิจารณาโทษข้าราชการครูกระทาผิดวินัยโดยกาหนดระดับความผิดไว้ว่าไม่ร้ายแรง ซ่ึงการพิจารณา ปรับความผิดในพฤติการณ์ดังกล่าว ควรปรับระดับความผิดเป็นร้ายแรง ตามประมวลกฎหมายอาญาท่ีถือเป็น ความผดิ อาญาแผน่ ดนิ ทีไ่ มส่ ามารถยอมความได้ ดงั นัน้ กระทรวงศกึ ษาธิการควรปรบั ปรุงแนวทางการพจิ ารณา โทษข้าราชการครูกระทาผิดวินัยในพฤติการณ์ดังกล่าวให้ถือว่ามีระดับความผิดร้ายแรงและระดับโทษเป็น ปลดออกหรือไล่ออก โดยให้นาแนวทางพิจารณาดังกล่าวไปใช้กับหน่วยงานราชการทุกหน่วยงาน โดยปรับ บทความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ๒) กระบวนการดาเนินการทางวินัยแก่ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ในสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษา ซ่ึงจะมีการสืบสวนหรือพิจารณาเบ้ืองต้น หากกรณีมีมูลที่ควรกล่าวหาว่า กระทาความผิด โดยจะมีการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวนิ ัยในกรณกี ระทาผดิ วินัยไมร่ ้ายแรงตามพระราชบญั ญัติ ระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗ มาตรา ๒๔ และมาตรา ๙๘ วรรคหนึ่ง และกรณี กระทาผิดวินัยอย่างร้ายแรงตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗ มาตรา ๕๓ ดังน้ัน การพิจารณาแต่งตั้งบุคคลเพื่อเป็นคณะกรรมการสอบสวน ควรมีการออกระเบียบหรือกฎ เพ่ือเป็นหลักเกณฑ์การแต่งต้ังบุคคลเป็นคณะกรรมการโดยคานึงถึงสัดส่วน กรรมการสอบสวนวินัยให้มี นกั จิตวิทยา นกั สงั คมสงเคราะห์ หรอื ครูแนะแนว เข้าร่วมเปน็ กรรมการในการพิจารณาสอบสวนดว้ ย ๓) ควรมีการเผยแพร่บทสรุปของผลการดาเนินการทางวินัยในการกระทาความผิด เก่ียวกับเพศของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาให้ประชาชนได้รับทราบ เพ่ือเป็นกรณีตัวอย่างให้สังคม ได้รับทราบและตระหนักถึงผลกระทบทจ่ี ะเกดิ ขน้ึ สว่ นที่ ๔ การให้ความช่วยเหลือและเยยี วยาแก่ผ้เู สยี หายจากการกระทาความผิด เก่ียวกับเพศ ๑. หลกั การและเหตผุ ล การเยียวยาผู้เสียหายและจาเลยในคดีอาญา กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ เป็นผดู้ แู ลเกี่ยวกับเงินเยียวยาตามพระราชบัญญัตคิ ่าตอบแทนผู้เสียหาย และคา่ ทดแทนและคา่ ใช้จา่ ยแก่จาเลย ในคดีอาญา พ.ศ. ๒๕๔๔ ซึ่งเป็นเงินงบประมาณจากรัฐที่ได้รับการจัดสรร เพื่อใช้ในการเยียวยาบุคคล ๒ ประเภท ได้แก่

- ๕๕ - ๑) ผู้เสียหาย หมายถึง บุคคลท่ีได้รับความเสียหายถึงแก่ชีวิตหรือร่างกาย หรอื จติ ใจเนอ่ื งจากการกระทาความผิดอาญาของผอู้ ่ืน โดยตนมิได้มสี ว่ นเกีย่ วขอ้ งกบั การกระทาความผดิ น้ัน ๒) จาเลย หมายถึง บคุ คลซ่ึงถูกฟ้องต่อศาลวา่ ได้กระทาความผิดอาญา และศาล ได้มคี าพพิ ากษายกฟ้องว่าไม่ไดเ้ ปน็ ผกู้ ระทาความผิด การดาเนินการตามพระราชบัญญัติดังกล่าวน้ีแตกต่างจากกองทุนยุติธรรม ที่ดาเนินการในลักษณะของกองทุน โดยมีบทบาทหน้าท่ีตามพระราชบัญญัติกองทุนยุติธรรม พ.ศ. ๒๕๕๘ ในการช่วยเหลือประชาชนในการดาเนินคดี การปล่อยช่ัวคราวผู้ต้องหาหรือจาเลย การช่วยเหลือผู้ถูกละเมิด สทิ ธมิ นุษยชนหรอื ผไู้ ดร้ ับผลกระทบจากการถูกละเมิดสิทธมิ นุษยชน และการให้ความรู้ทางกฎหมายแก่ประชาชน ส่วนข้อกาหนดระยะเวลาในการพิจารณาให้ความช่วยเหลือและการจ่ายเงิน เยียวยาให้กับผู้เสียหาย ปลัดกระทรวงยุติธรรมได้มอบนโยบายในการดาเนินการพิจารณาให้ความช่วยเหลือ ไม่เกิน ๒๑ วัน นับแต่เอกสารครบถ้วน และกาหนดระยะเวลาในการจ่ายเงินเยียวยาไว้ไม่เกิน ๗ - ๑๒ วัน ในการโอนเงินเขา้ บัญชี ทั้งน้ี ปรากฏข้อมูลรายงานผลการช่วยเหลือเยียวยาผู้เสียหายคดีเพศ ซ่ึงจะ ครอบคลุมทั้งกรณีถูกข่มขืน อนาจาร ค้ามนุษย์ และคดีเพศอื่น ๆ ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๘ - ๒๕๖๓ มีผู้ย่ืนคาขอ ท้งั สิ้น ๑๒,๖๓๓ ราย ซ่ึงพิจารณาให้ความช่วยเหลอื ไปแล้ว จานวน ๑๒,๒๖๖ ราย รวมท่ีจ่ายเงินไปแล้วท้ังสิ้น ๒๖๓,๑๖๐,๒๗๕.๓๐ บาท นอกจากนี้ ได้มีการประสานไปยังกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เพือ่ ใหค้ วามช่วยเหลอื เร่ืองอน่ื แก่ผู้เสียหายอกี ดว้ ย โดยพิจารณาประเดน็ ดงั น้ี ๑) มาตรการแก้ไขงบประมาณการจ่ายเงินเยยี วยาแก่ผู้เสียหายไม่เพียงพอ ซ่ึงแต่ละปี จะมีการของบประมาณไปปีละประมาณ ๕๐๐ – ๖๐๐ ล้านบาท แต่บางปีได้รับการจัดสรรงบประมาณจริงเพียง ๓๐๐ ล้านบาท จงึ ทาให้ประสบปัญหางบประมาณไม่เพียงพอต่อการใช้จ่ายในภารกิจ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ จึงต้องแก้ไขปัญหาด้วยการขออนุมัติใช้งบกลางจากรฐั บาลมาสนับสนนุ การดาเนนิ งานเพิ่มเตมิ ซ่ึงการพิจารณา จัดสรรงบกลางจะใช้เวลาดาเนนิ การประมาณ ๕ เดือน อกี ท้งั งบกลางเปน็ งบประมาณในส่วนท่ีไมส่ ามารถขอล่วงหนา้ ได้ เนื่องจากจะต้องรอให้งบประมาณรายจ่ายที่ได้รับการจัดสรรไว้แล้วหมดเสียก่อน จึงจะดาเนินการขออนุมัติ ใช้งบกลางได้ อย่างไรก็ตาม ในปี พ.ศ. ๒๕๖๓ ได้รับจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมจากเดิม ๓๐๐ ล้านบาท เป็น ๔๕๐ ลา้ นบาท แลว้ ๒) พระราชบัญญตั คิ า่ ตอบแทนผูเ้ สยี หาย และคา่ ทดแทนและคา่ ใชจ้ ่ายแกจ่ าเลย ในคดีอาญา พ.ศ. ๒๕๔๔ ได้กาหนดเก่ียวกับการจ่ายค่าตอบแทนผู้เสียหายในคดีอาญาไว้ในกรณีที่ผู้เสียหาย ไม่ถึงแก่ชีวติ ได้แก่ (๑) คา่ ใชจ้ า่ ยทจ่ี าเปน็ ในการรกั ษาพยาบาล ไม่เกนิ ๔๐,๐๐๐ บาท (๒) คา่ ฟ้ืนฟูสมรรถภาพทางรา่ งกายและจติ ใจ ไม่เกิน ๒๐,๐๐๐ บาท (๓) ค่าขาดประโยชน์ทามาหาได้ในระหว่างที่ไม่สามารถประกอบการงาน ได้ตามปกติ ไมเ่ กินอตั ราคา่ จ้างข้นั ตา่ ของแตล่ ะจงั หวัด แตจ่ า่ ยใหไ้ มเ่ กิน ๑ ปี (๔) คา่ ตอบแทนความเสยี หายอ่ืน ไม่เกนิ ๕๐,๐๐๐ บาท ส่วนค่าใชจ้ ่ายในการเดินทางน้ัน พระราชบญั ญัตไิ ม่ได้มีกาหนดค่าใช้จา่ ยในกรณี ดังกล่าวเอาไว้ ซึ่งจะต้องพิจารณาข้อเท็จจริงเป็นรายกรณี ปัจจุบันยังไม่มีผู้เสียหายท่ีย่ืนคาขอในส่วนของ ค่าใช้จ่ายในการเดินทางเข้ามาโดยตรง เพราะกฎหมายมุ่งเน้นบรรเทาความเดือดร้อนท่ีเกิดขึ้นจากความเสียหาย โดยพิจารณาจากพฤติการณ์ ความร้ายแรงของการกระทาความผิด และสภาพความเสียหายที่ผู้เสียหายได้รับ เป็นสว่ นสาคญั

- ๕๖ - ๓) หลกั เกณฑ์การพจิ ารณาจ่ายค่าขาดประโยชนท์ ามาหาได้แก่ผูเ้ สยี หายในคดีอาญา ซึ่งการพิจารณาจ่ายค่าขาดประโยชน์ทามาหาได้ในระหว่างท่ีไม่สามารถประกอบการงานได้ตามปกติให้กับ ผู้เสียหายในคดีอาญาได้น้ัน จะต้องมีใบรับรองแพทย์ที่ใช้เป็นหลักฐานประกอบการพิจารณาโดยแพทย์จะเป็น ผู้ระบุว่าผู้เสียหายต้องใช้เวลาในการรักษาตัวเป็นจานวนก่ีวัน ซ่ึงจะทาให้สามารถคานวณวันที่ขาดประโยชน์ ทามาหาได้ตามจริง สว่ นกรณีการขาดประโยชนท์ ามาหาได้ของครอบครวั ผู้เสียหายท่ีเปน็ ผูเ้ ยาว์นน้ั จากการพิจารณา ในเบ้อื งต้น พบว่า การขาดประโยชน์ทามาหาได้ ตอ้ งเป็นกรณีทเ่ี กดิ ขึ้นกับตัวผู้เสียหาย ซึ่งมกี ารประกอบอาชีพ แลว้ ต้องเสยี ประโยชน์จากการขาดรายไดอ้ นั เนอ่ื งมาจากการบาดเจบ็ ท่เี กดิ จากการเป็นผเู้ สียหายในคดีอาญา ดังน้ัน ประเด็นค่าขาดประโยชน์ของครอบครัวที่ผู้เสียหายเป็นเด็กและเยาวชน ที่ผู้ปกครองต้องขาดประโยชน์ทามาหาได้เพราะต้องหยุดงานมาดูแลบุตร ผู้เยาว์ที่อยู่ภายใต้การดูแล ของผู้ปกครองส่วนใหญ่จะไม่มีอาชีพหรือรายได้ เป็นกรณีที่สามารถนาข้อกฎหมายเรื่องละเมิดตามประมวล กฎหมายแพ่งและพาณิชยม์ าปรับใช้ในการพิจารณาได้ โดยในประเด็นค่าใช้จ่ายในการเดินทาง และคา่ ขาดประโยชน์ ทามาหาได้ของครอบครัวผู้เสียหายท่ีเป็นผู้เยาว์ จะเสนอต่อคณะกรรมการพิจารณาค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและคา่ ใชจ้ า่ ยแกจ่ าเลยในคดีอาญา เพอื่ ให้มีการพิจารณาทบทวนในเรือ่ งดงั กล่าว ๔) การติดตามผลการดาเนนิ งานตามบันทึกความร่วมมือวา่ ด้วยการให้ความช่วยเหลือ แก่ประชาชน ตามพระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จาเลยในคดีอาญา พ.ศ. ๒๕๔๔ ระหว่างกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กับสานักงานตารวจแห่งชาติ โดยให้พนักงานสอบสวน ปฏิบัติหน้าที่ในการแจ้งสิทธิตามพระราชบัญญัติดังกล่าว และรับคาขอค่าตอบแทนผู้เสียหายในคดีอาญา ซ่ึงกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพได้มีการติดตามผลการดาเนินงานอย่างต่อเน่ืองเพ่ือเร่งรัดการปฏิบัติงาน ขณะน้ีไดม้ ีหนังสอื ถึงผู้บัญชาการตารวจแห่งชาติเพื่อกาชับให้พนักงานสอบสวนท่ัวประเทศดาเนินการแจ้งสิทธิ การได้รับค่าตอบแทนผู้เสียหายตามพระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่าย แก่จาเลยในคดีอาญา พ.ศ. ๒๕๔๔ และรับคาขอค่าตอบแทนผู้เสียหายในคดีอาญา ดังน้ัน หากปรากฏ ข้อเท็จจริงว่าพนักงานสอบสวนคนใดไม่ดาเนินการแจ้งสิทธิดังกล่าวให้ผู้เสียหายทราบ สานักงานตารวจแห่งชาติ สามารถใช้เป็นเหตุในการแต่งต้ังคณะกรรมการสอบสวนและสง่ั ลงโทษพนกั งานสอบสวนรายดงั กลา่ วไดอ้ ีกด้วย แนวทางการเรียกร้องค่าเสียหายของแรงงานต่างด้าวที่ตกเป็นผู้เสียหาย ในคดอี าญา ประเดน็ ปญั หา ๑) กรณีการเรียกร้องค่าเสียหายของแรงงานต่างด้าวที่เข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย และต้องตกเป็นผู้เสียหายในคดีอาญา ท่ีมีการย่ืนคาร้องขอรับเงนิ เยียวยาแล้วแต่ไม่สามารถเปิดบัญชีเพ่ือรับเงิน เยยี วยา ๒) กรณีแรงงานต่างด้าวที่เข้าเมืองโดยผิดกฎหมายที่ตกเป็นผู้เสียหาย ในคดีอาญา ไม่สามารถใชส้ ิทธิเรียกร้องขอรับเงินเยยี วยา ๓) กรณีกระบวนการพิจารณาคาร้องขอรับเงินเยียวยาของคณะกรรมการ พิจารณาค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จาเลยในคดีอาญา ที่ใช้ระยะเวลาในการ พิจารณาอนุมัติค่อนข้างนาน ประกอบกับปัญหาด้านงบประมาณท่ีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพได้รับการ จัดสรรท่ีไม่เพียงพอต่อการจ่ายเงินเยียวยาให้แก่ผู้เสียหายในแต่ละปี จึงทาให้ผู้เสียหายไม่ได้รับการเยียวยา ในระยะเวลาทเี่ หมาะสม

- ๕๗ - ประเดน็ การพจิ ารณา ๑) การเรียกร้องค่าเสียหายของแรงงานต่างด้าวที่เข้าเมืองตกเป็นผู้เสียหาย ในคดีอาญา เมื่อมีการยื่นคาร้องขอรับเงินเยียวยาแล้วไม่สามารถเปิดบัญชีเพื่อรับเงินเยียวยา คณะกรรมการ พิจารณาค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จาเลยในคดีอาญา ได้กาหนดแนวทาง การจา่ ยเงนิ ให้แก่ผู้เสยี หายโดยให้จ่ายเงินเข้าบัญชีเงินฝากของผู้เสียหาย ซึ่งกรณีท่ีไม่สามารถเปิดบญั ชีเงนิ ฝาก ไดก้ าหนดให้จ่ายเงนิ เป็นเช็คให้แกผ่ ูเ้ สียหายไดอ้ ีกทางหนึ่ง ๒) แรงงานต่างด้าวท่ีตกเป็นผู้เสียหายในคดีอาญาซึ่งเป็นผู้ที่เข้าเมืองมาโดยผิด กฎหมายด้วยความสมัครใจ คณะกรรมการพิจารณาค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จาเลย ในคดีอาญา กาหนดให้งดจ่ายเงิน ท้ังนี้ ให้พิจารณาพฤติการณ์เป็นรายกรณีไป ซึ่งได้มีการตั้งข้อสังเกตว่า ปัญหาและอุปสรรคท่ีสาคัญ คือ เม่ือผู้เสียหายดังกล่าวเข้าแจ้งความร้องทุกข์แล้วและมีพฤติการณ์ปรากฏต่อ พนักงานเจ้าหน้าท่ีว่าเป็นบุคคลท่ีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายถือเป็นกรณีความผิดที่ปรากฏชัดแจ้ง และไม่เข้า ข้อยกเว้นที่ไม่ต้องถูกดาเนินคดีตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง ซ่ึงผู้เสียหายดังกล่าวจะต้องถูกดาเนินคดีฐาน เข้าเมืองโดยผิดกฎหมายและต้องถูกส่งตัวกลับประเทศต้นทางตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒ จึงทาให้ผู้เสียหายไม่กล้าที่จะไปแจ้งความเน่ืองจากกลัวว่าตัวเองจะต้องถูกดาเนินคดี ส่งผลให้ไม่ได้รับ การเยียวยาตามสทิ ธิของผู้เสียหาย อย่างไรก็ตาม กระบวนการเรียกร้องเงินเยียวยาตามสิทธิของผู้เสียหาย ในคดีอาญากับการดาเนินคดีต่อผู้เสียหายท่ีเป็นผู้กระทาความผิดฐานเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายเป็นการ ดาเนินการคนละส่วนกัน ซึ่งผู้เสียหายทุกคนควรได้รับความคุ้มครองทางกฎหมายและต้องได้รับการช่วยเหลือ ทางการเงินเพ่ือเป็นการช่วยเหลือเยียวยาตามสิทธิของผู้เสียหาย การที่ระเบียบคณะกรรมการพิจารณา คา่ ตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จาเลยในคดีอาญา กาหนดให้งดจ่ายเงินให้แก่ผู้เสียหาย ทเ่ี ข้าเมอื งโดยผดิ กฎหมายจงึ เป็นการขัดกบั หลักการของสทิ ธิมนษุ ยชน เพราะไม่ว่าผู้เสียหายจะอยู่ในสถานะใด ควรไดร้ ับความคุ้มครองทัง้ ทางสังคม ทางการเงนิ และทางกฎหมายตามสทิ ธิของผู้เสยี หาย ท้ังน้ี หากเป็นกรณี ที่เป็นผู้เสียหายจากการกระทาความผิดเกี่ยวกับเพศ ก็อาจจะทาให้ระเบียบดังกล่าวขัดกับพระราชบัญญัติ ความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. ๒๕๕๘ อีกด้วย ฉะนัน้ คณะกรรมการจึงควรจะพิจารณาทบทวนระเบียบที่เก่ียวกับ การกาหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการจ่ายเงินเยียวยาให้แก่ผู้เสียหายเพื่อแก้ไขปัญหาและอุปสรรคดังกล่าว ใหห้ มดไป นอกจากน้ี ควรมีการศึกษาหาแนวทางผ่อนผันการดาเนินคดีแก่ผู้เสียหาย ตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง เพื่อให้ผู้เสียหายสามารถจัดการให้สถานะความเป็นผู้เสียหายนั้นส้ินสุดลง ก่อนท่ีจะถูกดาเนนิ คดที างกฎหมายในสถานะของผูก้ ระทาความผิดฐานเข้าเมืองโดยผดิ กฎหมายต่อไป โดยได้มี การตั้งข้อสังเกตว่า ผู้เสียหายท่ีเข้าเมืองมาโดยผิดกฎหมาย หากมีพฤติการณ์ที่มีบุคคลอื่นเป็นธุระจัดหา หรือการนาพาผู้เสียหายเข้าเมืองมาเพื่อการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบแล้ว ย่อมเข้าข่ายความผิดฐานค้ามนุษย์ ซ่งึ จะทาให้ผู้เสียหายเข้าขอ้ ยกเว้นตามพระราชบัญญัตปิ ้องกนั และปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. ๒๕๕๑ ท่ีไม่ต้อง ถูกดาเนินคดีตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง จึงต้องมีการพิจารณาถึงพฤติการณ์ข้อเท็จจริงและกฎหมายท่ีเก่ียวข้อง ในการบงั คับใช้เปน็ รายกรณีไป ๓) ระยะเวลาในการพิจารณาอนุมัติเงินเยียวยาของคณะกรรมการพิจารณา ค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จาเลยในคดีอาญา ท่ีใช้ระยะเวลาพิจารณาที่ค่อนข้างนาน พระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จาเลยในคดีอาญา พ.ศ. ๒๕๔๔ กาหนด ระยะเวลาในการพิจารณาให้ความช่วยเหลือและการจ่ายเงินเยียวยาใหก้ ับผู้เสียหายไม่เกิน ๒๑ วัน นับแต่ผู้เสียหาย ย่ืนคาร้องพร้อมเอกสารประกอบคาร้องอย่างครบถ้วน และกาหนดระยะเวลาในการจ่ายเงินเยียวยาไว้ไม่เกิน ๗ - ๑๒ วนั ในการโอนเงินเขา้ บัญชี

- ๕๘ - ส่วนกรณีปัญหาด้านงบประมาณท่ีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพได้รับการจัดสรร ไม่เพียงพอท่ีจะจ่ายให้แก่ผู้เสียหายได้ครบทุกรายที่มีการยื่นคาร้องขอ จึงทาให้มีบัญชีค้างจ่ายเงินเยียวยา แก่ผู้เสียหายในแต่ละปีเป็นจานวนมาก มีความเห็นว่า กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพสามารถช้ีแจงถึงเหตุผล และความจาเป็นเพื่อขอให้สานักงบประมาณจัดสรรงบให้ครอบคลุมจานวนเงินเยียวยาท่ีค้างจ่ายท้ังหมด อีกท้ังควรขอเงินสารองเผื่อเหลือเผื่อขาดไว้เพ่ือท่ีจะได้ไม่กระทบต่อวงเงินงบประมาณในการบริหารจัดการ ในแตล่ ะปี และเพื่อใหผ้ เู้ สยี หายได้รบั การคุ้มครองเยยี วยาอย่างทันทว่ งที ๒. ประเดน็ การพิจารณา การให้ความช่วยเหลือและเยียวยาแก่ผู้เสียหายจากการกระทาความผิดเก่ียวกับเพศ และแนวทางการเรียกรอ้ งค่าเสยี หายของแรงงานต่างดา้ วทต่ี กเปน็ ผเู้ สยี หายในคดีอาญา ๓. สรปุ ผลการศึกษาวิเคราะห์ ขอ้ เสนอเก่ียวกับการให้ความช่วยเหลือและเยียวยาแก่ผู้เสียหายจากการกระทา ความผิดเก่ยี วกับเพศ ดงั น้ี ๑) ควรพิจารณากาหนดเพิ่มเติมประเภทค่าตอบแทนของผู้เสียหายในคดีอาญา อีก ๒ ประเภท ได้แก่ ค่าใช้จ่ายในการดาเนินการของผู้ปกครองกรณีท่ีผู้เสียหายเป็นผู้เยาว์ โดยให้นาข้อกฎหมาย เร่ืองค่าสินไหมทดแทนกรณีละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาปรับใช้ในการพิจารณา ได้แก่ ค่าเสียหายอันจะพึงบังคับให้ใช้เพ่ือความเสียหายอยา่ งใด ๆ อันได้ก่อขน้ึ น้ันด้วย และค่าใช้จ่ายท่ีเกินจากข้ันต่า ของค่าใชจ้ ่ายทก่ี ฎหมายกาหนดไว้ ๒) ข้อเสนอต่อกรมคมุ้ ครองสทิ ธิและเสรีภาพ กระทรวงยุตธิ รรม พจิ ารณาหลกั เกณฑ์ ในการย่ืนคารอ้ งโดยอานวยความสะดวกในกรณที ่ีเป็นเอกสารที่ตอ้ งออกจากหนว่ ยงานของรัฐ และกรณีที่ผู้ร้อง ไม่สามารถย่ืนเอกสารได้เนอื่ งจากมีหลายข้นั ตอน ดังน้ัน ควรพิจารณาทบทวนการออกระเบยี บของกรมคุ้มครองสิทธิ และเสรีภาพ เพอ่ื อานวยความสะดวกแกผ่ ู้ย่ืนคาร้องในคดีอาญา กรณีวิธีการย่ืนคาร้องรับค่าตอบแทน โดยเพม่ิ ชอ่ งทาง ในการย่ืนคาร้อง เช่น การส่งเอกสารทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ เปน็ ต้น ข้อเสนอแนะเก่ียวกับแนวทางการเรียกร้องค่าเสียหายของแรงงานต่างด้าว ทตี่ กเปน็ ผูเ้ สยี หายในคดีอาญา ดังน้ี ๑) คณะกรรมการพิจารณาค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่าย แก่จาเลยในคดีอาญา ควรมีการพิจารณาทบทวนแก้ไขระเบียบเกี่ยวกับหลักเกณฑ์และวิธีการจ่ายเงินให้แก่ ผู้เข้าเมืองโดยผิดกฎหมายท่ีต้องตกเป็นผู้เสียหายในคดีอาญา ท่ีผู้เสียหายดังกล่าวพึงได้รับการคุ้มครองและเยียวยา ตามสิทธิของผู้เสียหาย ไม่ว่าขณะน้ันผู้เสียหายจะอยู่ในสถานะใด จะมีการเข้าเมืองท่ีถูกกฎหมายหรือไม่ เนื่องจากกระบวนการเรียกร้องเงินเยียวยาตามสิทธิของผู้เสียหายในคดีอาญากับการดาเนินคดีต่อผู้เสียหาย ท่ีเป็นผูก้ ระทาความผดิ ฐานเข้าเมืองโดยผดิ กฎหมายเป็นการดาเนินการคนละส่วนกนั ๒) กรมคุ้มครองสทิ ธแิ ละเสรีภาพ ควรช้ีแจงถงึ เหตผุ ลและความจาเป็นเพ่อื ขอให้ สานักงบประมาณจัดสรรงบให้ครอบคลุมจานวนเงินเยียวยาที่ค้างจ่ายให้แก่ผู้เสียหายทั้งหมด รวมถึงขอเงินสารอง เผ่อื เหลือเผอ่ื ขาดไวใ้ ช้ในการสนบั สนุนการดาเนินงาน เพ่อื ทีจ่ ะได้ไม่กระทบต่อวงเงนิ งบประมาณในการบรหิ ารจัดการ ในแตล่ ะปี และเพอื่ ใหก้ ารบรรเทาความเดือดร้อนให้แกผ่ เู้ สียหายเป็นไปอย่างมีประสทิ ธิภาพ ๓) ควรมีการศึกษาหาแนวทางผ่อนผันการดาเนินคดีแก่ผู้เสียหายตามกฎหมาย ว่าด้วยคนเข้าเมือง เพื่อให้ผู้เสียหายสามารถจัดการให้สถานะความเป็นผู้เสียหายน้ันส้ินสุดลงก่อนท่ีจะถูก ดาเนนิ คดีทางกฎหมายในสถานะของผู้กระทาความผิดฐานเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายต่อไป

- ๕๙ - ส่วนท่ี ๕ ขอบเขตของกฎหมายเก่ียวกับอุปกรณ์เซ็กส์ทอย (Sex Toy) และสื่อลามกอนาจาร ๑. หลักการและเหตผุ ล ประเด็นเกี่ยวกับอุปกรณ์เซ็กส์ทอย (Sex Toy) และส่ือลามกอนาจาร ที่ปัจจุบัน มีการซื้อขายกันอย่างเสรีผ่านช่องทางออนไลน์ ไม่มีการควบคุมโดยรัฐ อย่างไรก็ตาม บุคคลท่ีซื้อขายอุปกรณ์ เซ็กส์ทอย (Sex Toy) หรือมีส่ือลามกอนาจารไว้ในครอบครอง ไม่สามารถสรุปได้ว่าเป็นบุคคลที่เสี่ยงต่อการ กระทาความผิดเก่ียวกับเพศ ซึ่งต้องแยกประเด็นการพิจารณาว่า หากมีการอนุญาตให้มีการซ้ือขายหรือผลิต อุปกรณ์เซ็กส์ทอย (Sex Toy) และส่ือลามกอนาจารได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายแล้ว จะสามารถแก้ทัศนคติ ของคนไทยเก่ียวกับเพศได้หรือไม่ หรือเป็นเพียงประเด็นของการส่งเสริมเศรษฐกิจและเกษตรกรผู้ปลูก ยางพารา หรอื สามารถแกไ้ ขและป้องกนั ปัญหาการข่มขืนกระทาชาเราและการล่วงละเมดิ ทางเพศได้ ขอ้ พิจารณา ๑) อุปกรณ์เซ็กส์ทอย (Sex Toy) และสื่อลามกอนาจาร หากทาให้เรื่องดังกล่าว เป็นส่งิ ท่ีถกู กฎหมายอาจเป็นการแก้ไขและป้องกันปญั หาการขม่ ขืนกระทาชาเราและการล่วงละเมดิ ทางเพศได้ เนื่องจากเม่ือมีการกระทาความผิดเกี่ยวกับเพศ ผู้เสียหายมักไม่กล้าแจ้งความเพราะทัศนคติของคนไทยเกี่ยวกับเพศ ไม่เป็นไปตามธรรมชาติ ผู้ถูกกระทาต้องสู้กับสังคมได้โดยผู้กระทาต้องเป็นผู้ผิดไม่ใช่ผู้ถูกกระทา หากเสนอ เรือ่ งดังกลา่ วอาจปรับทัศนคติเกี่ยวกบั เพศและลดการข่มขืนกระทาชาเราและการล่วงละเมิดทางเพศได้ ๒) การพิจารณาแก้ไขและป้องกันปัญหาการข่มขืนกระทาชาเราและการล่วงละเมิด ทางเพศ ซ่ึงต้องหาเหตุผลมาสนับสนุนให้ได้ว่าการมีอุปกรณ์เซ็กส์ทอย (Sex Toy) และสื่อลามกอนาจารที่ถูก กฎหมายจะทาให้คดีข่มขืนกระทาชาเราลดลงได้จริงหรือไม่ โดยประเทศไทยไม่มีงานวิจัยในเรื่องดังกล่าว แต่ในต่างประเทศโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาการใช้อุปกรณ์เซก็ ส์ทอย (Sex Toy) จะเปน็ เรื่องของการบาบัดส่วนบุคคล ท่มี ีความผดิ ปกติทางเพศหรือผู้ท่ีรกั ร่วมเพศหรอื ความสัมพันธ์อนื่ ใด แต่ยังไม่มีผลงานวิจัยใดที่ระบุว่าการมีอุปกรณ์ เซ็กส์ทอย (Sex Toy) ลดคดีขม่ ขืนกระทาชาเราหรือการลว่ งละเมิดทางเพศไดโ้ ดยตรง ๓) ในการผลักดันเกี่ยวกับอุปกรณ์เซ็กส์ทอย (Sex Toy) และส่ือลามกอนาจาร ให้เป็นเร่ืองถูกกฎหมาย ควรศึกษารายละเอียดในแง่ทัศนคติของสังคมไทยเพื่อนาไปสู่แนวทางปฏิบัติ และศึกษาเพ่ิมเติมในการเสนอให้มีการซ้ือขายอุปกรณ์เซ็กส์ทอย (Sex Toy) ได้อย่างเสรีภายใต้ความควบคุม เร่ืองของอายุในการครอบครองหรือซื้อขายอุปกรณ์เซ็กส์ทอย (Sex Toy) โดยหน่วยงานภาครัฐต้องบูรณาการ การดาเนินงานในเร่ืองดังกล่าว กล่าวคือ กระทรวงวัฒนธรรมมีหน้าท่ีปรับทัศนคติเพ่ือให้บุคคลทั่วไปยอมรับ เกี่ยวกับอุปกรณ์เซ็กส์ทอย (Sex Toy) และส่ือลามกอนาจารท่ีถูกกฎหมาย กระทรวงศึกษาธิการต้องปรับ หลักสูตรเก่ียวกับเพศศึกษาท่ียังมีทัศนคติที่ผิด ซ่ึงในต่างประเทศได้มีการสอนเพศศึกษาตั้งแต่อายุ ๗ – ๑๘ ปี ซึ่งเด็กและเยาวชนจะได้เรียนรู้และเข้าใจเรื่องเพศศึกษาเร็วขึ้น ส่วนเรื่องการบาบัดอาการผิดปกติทางเพศจะ เป็นหน้าท่ีของกระทรวงสาธารณสุข รวมถึงการกาหนดอายุของบุคคลในการซ้ือขายหรือกรณีของมาตรฐาน อตุ สาหกรรมเพราะเป็นการใชก้ บั เนอื้ ตัวร่างกายเปน็ หน้าทขี่ องกระทรวงอุตสาหกรรม อย่างไรก็ตาม ประเด็นการผลักดันให้อุปกรณ์เซ็กส์ทอย (Sex Toy) และส่ือลามก อนาจาร เป็นส่ิงท่ีถูกกฎหมายคงต้องมีการศึกษารายละเอียดมากกว่านี้ ในการพิจารณาคงต้องแยกประเด็น การแก้ไขปัญหาการข่มขืนกระทาชาเราซ่ึงเป็นเรื่องของการกระทาและเจตนาของการข่มขืนกระทาชาเรา ออกจากประเด็นของขอบเขตกฎหมายในการซื้อขายอุปกรณ์เซ็กส์ทอย (Sex Toy) และสื่อลามกอนาจาร ทไ่ี ม่มีงานวิจัยสนับสนุนว่าการซื้อขายอุปกรณ์เซ็กส์ทอย (Sex Toy) และสื่อลามกอนาจาร ที่ถกู กฎหมายจะสามารถ แก้ไขปัญหาการขม่ ขนื แตเ่ ปน็ เร่ืองของการบาบดั ความต้องการทางเพศมากกวา่

- ๖๐ - ๒. ประเด็นการพิจารณา ขอบเขตของกฎหมายเก่ยี วกับอุปกรณเ์ ซ็กส์ทอย (Sex Toy) และสือ่ ลามกอนาจาร ๓. สรปุ ผลการศึกษาวิเคราะห์ ประเด็นขอบเขตของกฎหมายเก่ียวกับการซ้ือขายอุปกรณ์เซ็กส์ทอย (Sex Toy) และส่ือลามกอนาจาร คณะกรรมาธิการวิสามัญมีความเห็นว่า ยังไม่มีงานวิจัยใดที่สนับสนุนผลอย่างเป็นทางการว่า การใช้อุปกรณ์เซ็กส์ทอย (Sex Toy) และส่ือลามกอนาจาร จะช่วยป้องกันหรือแก้ไขปัญหาการข่มขืนกระทาชาเรา หรือการล่วงละเมิดทางเพศได้โดยตรง ประกอบกับข้อเท็จจริงที่เกิดข้ึนในคดีความผิดเกี่ยวกับเพศที่ผู้กระทา ความผิดมักจะลงมือกระทาผิดด้วยตนเองโดยไม่มีการใช้อุปกรณ์ดังกล่าว ดังน้ัน จึงเห็นว่าการพิจารณาให้มีการ ซ้ือขายอุปกรณ์เซ็กส์ทอย (Sex Toy) และส่ือลามกอนาจารได้โดยถูกกฎหมาย ควรพิจารณาในแง่ของสิทธิ และรสนิยมส่วนบุคคล การบาบัดทางการแพทย์ การให้ความรู้เก่ียวกับเพศศึกษาต่อเด็กและเยาวชน การส่งเสริม เศรษฐกิจของการซื้อขายอุปกรณ์ดังกล่าว หรือการส่งเสริมเกษตรกรเก่ียวกับยางพารา ประกอบกับต้องมีการศึกษา รายละเอียดในแงท่ ัศนคตขิ องสงั คมไทยเพอ่ื นาไปสแู่ นวทางปฏบิ ัติท่เี หมาะสมต่อไป ส่วนท่ี ๖ แนวทางช่วยเหลือของทนายความอาสาต่อผู้เสียหายจากความผิด เก่ียวกับเพศ รวมถึงมาตรการดาเนินการกับทนายความอาสาในกรณีไม่ให้ความช่วยเหลือหรือทอดท้ิง ผ้เู สียหายในระหว่างการดาเนนิ คดี ๑. หลกั การและเหตผุ ล ๑) สภาทนายความมีสานักงานช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมายในการให้ความ ช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมาย ตามวัตถุประสงค์ของพระราชบัญญัติทนายความ พ.ศ. ๒๕๒๘ ในการ ช่วยเหลือทางกฎหมาย จะมีการให้คาปรึกษา การร่างนิติกรรมสัญญา และการว่าต่างแก้ต่างในคดีกรณีต้องใช้ สทิ ธิทางศาล การให้คาปรึกษาเป็นการให้คาปรกึ ษาโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ส่วนการจัดหาทนายว่าต่างแก้ต่างให้กับ ประชาชนผู้ท่ีต้องใช้สิทธิทางศาล จะมีหลักเกณฑ์ในการพิจารณาให้ความช่วยเหลือและต้องเข้าหลักเกณฑ์ ยากไร้ และไมไ่ ดร้ ับความเป็นธรรม หลักเกณฑ์ดังกล่าวใช้ในการพิจารณาให้ความช่วยเหลือในทุกคดี เว้นแต่คดี ที่มีผลกระทบและเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะจะได้รับการพิจารณาเป็นคดีช่วยเหลือได้อีกทางหน่ึง ตามพระราชบัญญัติทนายความ พ.ศ. ๒๕๒๘ มาตรา ๗๙ และตามข้อบังคับสภาทนายความ ว่าด้วยการช่วยเหลือ ประชาชนทางกฎหมาย พ.ศ. ๒๕๒๙ โดยประชาชนไม่ต้องเสียค่าทนายความหรือค่าใช้จ่ายใด ๆ ให้แก่ ทนายความผ้ดู าเนนิ การทง้ั สิ้น ๒) กรณีทนายความอาสาไม่ให้ความช่วยเหลือหรือทิ้งผู้เสียหาย ในระหว่าง การดาเนินคดีอาจจะมีความผิดตามข้อบังคับสภาทนายความว่าด้วยมรรยาททนายความ พ.ศ. ๒๕๒๙ และอาจต้องรับโทษกรณีผิดมรรยาททนายความตามพระราชบัญญัติทนายความ พ.ศ. ๒๕๒๘ โดยมี รายละเอียด ดังน้ี (๑) ข้อบังคับสภาทนายความว่าด้วยมรรยาททนายความ พ.ศ. ๒๕๒๙ ข้อที่ ๑๒ การกระทาอย่างใดอย่างหน่งึ ดังตอ่ ไปน้ี อนั อาจทาใหเ้ สอ่ื มเสยี ประโยชน์ของลกู ความ ๑) จงใจขาดนัด หรือทอดทง้ิ คดี ๒) จงใจละเว้นหน้าท่ีท่ีควรกระทาอันเก่ียวแก่การดาเนินคดีแห่งลูกความของ ตน หรือปิดบงั ขอ้ ความทีค่ วรแจ้งให้ลูกความทราบ

- ๖๑ - (๒) พระราชบัญญัติทนายความ พ.ศ. ๒๕๒๘ หมวด ๖ มรรยาททนายความ มาตรา ๕๒ ไดก้ าหนดโทษกรณผี ิดมรรยาททนายความมี ๓ สถาน คอื ๑) ภาคทณั ฑ์ ๒) ห้ามทาการเป็นทนายความท่ีกาหนดไมเ่ กินสามปี หรือ ๓) ลบชือ่ ออกจากทะเบียนทนายความ ในกรณีประพฤติผิดมรรยาททนายความเล็กน้อยและเป็นความผิดคร้ังแรก ถ้าผู้มีอานาจส่ังลงโทษแล้วแต่กรณี เห็นควรมีเหตุอันควรงดโทษ จะงดโทษให้โดยว่ากล่าวตักเตือน หรือให้ทา ทณั ฑ์บนเปน็ หนังสอื ไว้กอ่ นกไ็ ด้ ๒. ประเดน็ การพจิ ารณา แนวทางช่วยเหลือของทนายความอาสาต่อผู้เสียหายจากความผิดเกี่ยวกับเพศ รวมถึงมาตรการดาเนินการกับทนายความอาสาในกรณีไม่ให้ความช่วยเหลือหรือทอดท้ิงผู้เสียหายในระหว่าง การดาเนินคดี ๓. สรปุ ผลการศึกษาวิเคราะห์ หน่วยงานที่เก่ียวข้องควรมีการเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ให้ผู้เสียหาย และประชาชนทั่วไปทราบถึงหน่วยงานที่ให้ความช่วยเหลือประชาชนในทางกฎหมาย ช่องทางในการติดต่อ ขอรบั ความชว่ ยเหลือ และการร้องเรยี นเอาผดิ กรณีท่ที นายความปฏิเสธไมใ่ ห้ความช่วยเหลอื หรอื ทิง้ คดี ส่วนที่ ๗ สภาพปัญหาและอุปสรรคของผู้เสียหายในคดีความผิดเกี่ยวกับเพศ ในชัน้ พนกั งานสอบสวน ๑. หลักการและเหตผุ ล พิจารณาสภาพปัญหาและอุปสรรคของผู้เสียหายในคดีความผิดเก่ียวกับเพศ ในช้นั พนักงานสอบสวนเกี่ยวกับการแจง้ ความร้องทุกข์ โดยยกตัวอย่างกรณที ่ีผู้เสียหายท่ีเป็นเด็กถูกล่วงละเมิด ทางเพศในพ้ืนที่จังหวัดหน่ึง ต่อมาญาติได้พาหลบหนีไปพานักในอีกจังหวัดหน่ึง แต่การแจ้งความร้องทุกข์ เพ่ือดาเนินคดีต่อผู้กระทาความผิด ผู้เสียหายจะต้องเดินทางกลับไปแจ้งความที่สถานีตารวจในท้องที่เกิดเหตุ ทาให้ผู้เสียหายเกิดความหวาดกลัวไม่กล้าที่จะเดินทางกลับไปยังพ้ืนท่ีดังกล่าว อันเนื่องมาจากการถูกข่มขู่ จะทาร้ายจากผู้กระทาความผิด ซึ่งกระบวนการดังกล่าวทาให้เกิดภาระค่าใช้จ่ายจากการเดินทาง และทาให้ คนในครอบครัวขาดรายได้จากการประกอบอาชีพเนื่องจากต้องลางานเพื่อพาผู้เสียหายเดินทางไปแจ้งความ ร้องทุกข์ มีประเด็นทคี่ วรพจิ ารณาหลายประการ ดังน้ี ๑) ประเด็นเร่ืองการแจ้งความร้องทุกข์เพ่ือดาเนินคดีกับผู้ต้องหา ผู้เสียหาย สามารถแจ้งความได้ทุกท้องท่ี แต่อานาจการสอบสวนจะเป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๒๐ ท่ีกาหนดหา้ มไม่ให้พนกั งานอัยการย่นื ฟ้องคดีตอ่ ศาล หากยังไม่มีการสอบสวนในความผิดนัน้ ก่อน ซึ่งพนกั งานสอบสวนทจ่ี ะมีอานาจสอบสวนความผิดอาญาได้ก็ตอ่ เม่อื ความผดิ นัน้ เกดิ ในทอ้ งที่ทีต่ นมีเขตอานาจ เพราะฉะน้ัน หากผเู้ สียหายแจง้ ความต่อสถานีตารวจในท้องทีอ่ ื่นแลว้ มีการส่งตอ่ สานวนกลับไปยงั สถานีตารวจ ในท้องท่ีเกิดเหตุ พนักงานสอบสวนในท้องที่เกิดเหตุก็ต้องสอบปากคาผู้เสียหายอีกครั้งเพื่อเป็นการยืนยัน ข้อเท็จจริงกอ่ นทจ่ี ะมีการสรปุ สานวนส่งตอ่ ไปให้พนักงานอัยการดาเนินการตอ่ ไป ๒) ประเด็นการอานวยความสะดวกในการสอบปากคานอกสถานที่ให้แก่ ผู้เสียหายที่เป็นผู้มีความอ่อนไหวหรือเปราะบางเป็นพิเศษ หรือมีเหตุจาเป็นที่ทาให้ไม่สามารถเดินทางไปให้ ปากคาต่อพนักงานสอบสวนท่ีสถานีตารวจในท้องท่ีเกิดเหตุได้ จะมีการประสานขอความร่วมมือให้พนักงาน สอบสวนอานวยความสะดวกในการสอบปากคานอกสถานท่ีให้แก่ผู้เสียหาย เช่น โรงพยาบาล หรือมูลนิธิ ท่ีรับดูแลเด็กอยู่ในขณะนั้น เป็นต้น รวมถึงกรณีขอความร่วมมือให้พนักงานสอบสวนนารูปผู้ต้องสงสัยมาให้ ผู้เสียหายช้ตี วั โดยไมต่ ้องเดนิ ทางไปช้ตี ัวท่ีสถานีตารวจก็สามารถทาได้ ซ่ึงเปน็ เรื่องท่ีต้องพิจารณาเป็นรายกรณีไป

- ๖๒ - ๓) ประเด็นการให้ความช่วยเหลือดูแลจากหน่วยงานของรัฐ กรณีที่ผู้เสียหาย เป็นเด็ก พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. ๒๕๔๖ กาหนดให้พนักงานเจ้าหน้าที่หรือผู้มีหน้าท่ีคุ้มครอง สวัสดิภาพเด็กดาเนินการให้ความช่วยเหลือดูแลและคุ้มครองเด็กในการพาไปสอบปากคาหรือตรวจร่างกาย จึงทาให้เด็กไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในส่วนนี้เอง แต่ในกรณีท่ีผู้เสียหายเป็นบุคคลท่ัวไปยังไม่มีหน่วยงานของรัฐ หรือกฎหมายฉบบั ใดกาหนดหนา้ ที่ในการเข้าใหค้ วามช่วยเหลือดูแลเปน็ การเฉพาะ ๔) ประเด็นการดาเนินงานและบทบาทหน้าท่ีของรัฐ ได้มีการสะท้อนมุมมองว่า หนว่ ยงานของรัฐควรเป็นหน่วยงานหลกั ท่ีจะเข้าไปใหค้ วามช่วยเหลอื แก่ผู้เสียหาย โดยยกตัวอย่าง “ศูนยพ์ งึ่ ได้” (One Stop Crisis Center : OSCC) ในโรงพยาบาล ที่มีทีมสหวิชาชีพบูรณาการการทางานร่วมกันระหว่าง แพทย์ พนักงานสอบสวน พนักงานอัยการ นักสังคมสงเคราะห์ และนักจิตวิทยา เพื่อให้ความช่วยเหลือดูแล ผเู้ สยี หายในกระบวนการต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม ปัญหาและอุปสรรคสาคัญท่ีทาให้หน่วยงานของรัฐไม่สามารถ เข้าไปช่วยเหลือดูแลผู้เสียหายได้ทุกกรณี ก็เน่ืองมาจากมีอัตรากาลังคนท่ีไม่เพียงพอ ไม่ว่าจะเป็นตาแหน่ง ของนักสังคมสงเคราะห์ นักจิตวิทยา หรือพนักงานสอบสวนหญิง ประกอบกับในการจัดการดูแลผู้เสียหายคดี ความผิดเกี่ยวกับเพศจาเป็นต้องอาศัยผทู้ ี่มีความชานาญจากหลากหลายอาชพี จงึ เห็นว่าเปน็ เร่ืองท่ีภาครัฐและ ภาคเอกชนจะต้องประสานความร่วมมือกัน เพ่ือเป็นการเติมเต็มทรัพยากรที่ขาดแคลนซ่ึงกันและกัน ส่งผลให้ การดาเนินงานมปี ระสิทธภิ าพมากยง่ิ ข้ึน ๕) ประเด็นการจัดสถานที่ในการสอบปากคาผู้เสียหายในคดีความผิดเกี่ยวกับเพศ ได้มกี ารตั้งข้อสังเกตว่า กฎหมายไม่ไดก้ าหนดใหพ้ นักงานสอบสวนแยกกระทาเป็นสัดส่วนในสถานท่ีท่ีเหมาะสม ทาให้ผูเ้ สยี หายบางรายเกิดความรสู้ ึกอับอายและไม่ปลอดภัยทจ่ี ะใหป้ ากคา นอกจากน้ี ผู้เสยี หายในคดีความผิด เก่ียวกับเพศส่วนใหญ่รู้สึกไม่สะดวกใจท่ีจะให้ปากคากับพนักงานสอบสวนท่ีเป็นผู้ชาย แต่ในขณะเดียวกัน ก็ไม่สามารถเลือกท่ีจะให้การต่อพนักงานสอบสวนหญิงได้ เน่ืองจากมีพนักงานสอบสวนหญิงไม่เพียงพอ ทจี่ ะปฏบิ ัติงานได้ในทุกพื้นท่ี ๖) ประเด็นการจัดตั้งหน่วยงานท่ีรับผิดชอบคดีความผิดเกี่ยวกับเพศเป็นการเฉพาะ เน่ืองจากคดีความผิดเกี่ยวกับเพศเป็นคดีที่มีความละเอยี ดอ่อน จาเป็นท่ีจะตอ้ งใช้พนักงานสอบสวนที่มีความรู้ ความเข้าใจเก่ียวกับความละเอียดอ่อนเรื่องเพศภาวะ และมีจิตวิทยาการสอบสวน รวมถึงความสามารถท่ีจะ บริหารจัดการคดีความผิดเก่ียวกับเพศได้อย่างเป็นระบบและเบ็ดเสร็จได้ด้วยตัวเอง (One Stop Service) และสามารถท่ีจะประสานการส่งต่อไปยงั หน่วยงานทเี่ กี่ยวข้องได้โดยทันที โดยยกตัวอย่างศูนย์พิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัว และปอ้ งกันปราบปรามการค้ามนษุ ย์ สานกั งานตารวจแห่งชาติ (ศพดส.ตร.) ทม่ี ีอานาจหน้าท่ใี นการ ดาเนินงานพิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัว และปอ้ งกันปราบปรามการค้ามนุษย์ในพ้ืนท่ีท่อี ยู่ในเขตอานาจเป็นการเฉพาะ ซึ่งการจัดตั้งหน่วยงานเฉพาะขึ้นจะทาให้เจ้าหน้าท่ีภายในหน่วยงานน้ันมีความชานาญเฉพาะด้าน มีความเป็น มอื อาชีพ และยงั มเี สน้ ทางความกา้ วหน้าในสายอาชพี ท่ีชดั เจน ๒. ประเด็นการพิจารณา สภาพปัญหาและอุปสรรคของผู้เสียหายในคดีความผิดเก่ียวกับเพศในช้ัน พนกั งานสอบสวน ๓. สรุปผลการศกึ ษาวเิ คราะห์ ข้อเสนอแนะเพ่ือแก้ไขปัญหาเก่ียวกับการสอบสวนคดีความผิดเกี่ยวกับเพศ ในชัน้ พนกั งานสอบสวน ดังน้ี

- ๖๓ - ๑) เสนอให้มีการจัดหรือปรับห้องสอบสวนผู้เสียหายในคดีความผิดเกี่ยวกับเพศ ใหม้ ีความเปน็ ส่วนตัว ๒) เสนอให้มีการปรับปรุงระบบการสอบสวน โดยให้พนักงานสอบสวนคานึงถึง ความละเอยี ดอ่อนของคดคี วามผิดเกี่ยวกับเพศ และมนี ักจติ วิทยาในการสอบสวนและการดาเนินคดี ๓) เสนอให้มีการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการหรือหน่วยงานที่รับผิดชอบคดีความผิด เกี่ยวกับเพศเปน็ การเฉพาะ โดยอาจจะเริม่ นารอ่ งในจังหวดั ทม่ี ีสถิตกิ ารเกดิ คดคี วามผดิ เก่ียวกับเพศจานวนมาก หรืออย่างนอ้ ยควรจดั ตัง้ จังหวัดละ ๑ แหง่ ๖. ข้อสงั เกตของคณะกรรมาธกิ ารวสิ ามัญ การดาเนินการของรัฐบาลควรต้องกาหนดให้เป็นวาระแห่งชาติ ในเร่ืองแนวทางป้องกัน และแก้ไขปัญหาการข่มขืนกระทาชาเราและการล่วงละเมิดทางเพศ โดยให้รัฐบาลจัดตั้งคณะกรรมการป้องกัน และแก้ไขปัญหาการข่มขืนกระทาชาเราและการล่วงละเมิดทางเพศระดับชาติ ซ่ึงมีกระทรวงและหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นกรรมการ และให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความม่ันคงของมนุษย์เป็นเลขานุการ ดาเนินการจัดทาแผนการบูรณาการ การวางโครงสร้าง กาหนดความรับผิดชอบของหน่วยงานในภาคปฏิบัติ จัดทาระบบการประเมินผลการดาเนินงาน เพื่อให้หน่วยงานทุกแห่งสามารถนายุทธศาสตร์ไปใช้ในการขับเคล่ือน การดาเนินงานได้อย่างจริงจัง และจัดทาข้อเสนอเชิงนโยบายและรูปแบบการบริหาร เพ่ือให้เกิดหน่วยงานหลัก ท่ีมีหน้าที่รับผิดชอบเก่ียวกับการป้องกันและแก้ไขปัญหาการข่มขืนกระทาชาเราและการล่วงละเมิดทางเพศ และการประสานงานของหน่วยงานท่ีเกี่ยวข้องให้เกิดการบูรณาการในการปฏิบัติงานท่ีเป็นรูปธรรมชั ดเจน อยา่ งแทจ้ รงิ ๖.๑ แนวทางการปอ้ งกันกอ่ นการเกิดเหตุ ๑. ควรต้องให้ความรู้ความเข้าใจกับสังคม โดยสร้างกลไกการเฝ้าระวังร่วมกับเครือข่าย ในระดับชุมชน และหนว่ ยงานภาครัฐ ได้แก่ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมน่ั คงของมนษุ ย์ กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงมหาดไทย ในเรื่องที่เก่ียวข้องกับการข่มขืนกระทาชาเราและการล่วงละเมิดทางเพศ การรณรงค์ สร้างความเข้าใจเกี่ยวกบั กฎหมายใหม่ที่ออกมาบังคับใช้ กฎหมายทม่ี ีการแก้ไข และสิทธิต่าง ๆ ให้เกิดความเข้าใจ ท่ีแท้จริง รวมถึงการสร้างเจตคติและการระมัดระวังตนเองเพ่ือป้องกันการเกิดการกระทาความผิด โดยควรจัดทา โปสเตอร์ (Poster) การให้ขอ้ มลู ดว้ ยภาพ (Infographic) ในการให้ความรู้ความเขา้ ใจท่ถี ูกต้องเก่ยี วกับแนวทาง การป้องกันและแก้ไขปัญหาก่อนเกิดเหตุ ขณะเกิดเหตุ และหลังเกิดเหตุการข่มขืนกระทาชาเราและการล่วงละเมิด ทางเพศ และให้มีสายด่วน (Hotline) หรือเบอร์กลาง สาหรับการช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากการข่มขืนกระทา ชาเราและการล่วงละเมิดทางเพศ และในการรับแจ้งเหตุท่ีทันท่วงทีกรณีท่ีพบเห็นว่าอาจเกิดเหตุการณ์ข่มขืน โดย ทาการเผยแพร่ในหน่วยงานระดับท้องถิ่น เพ่ือให้เข้าถึงและเกิดความชัดเจนต่อประชาชนในระดับชุมชน ต่างจังหวัด พรอ้ มทงั้ สรา้ งกลไกการเยี่ยมเยียนครอบครวั ทีอ่ ยู่ในภาวะเสยี่ งดว้ ย ๒. ควรต้องสร้างมาตรการเพื่อปลูกฝังการเคารพสิทธิตนเองและผู้อื่นในทุกช่วงวัย โดยกระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงมหาดไทย ต้องวางแนวทางรากฐานในเร่ืองการเคารพสิทธิของตนเอง และผู้อ่ืนอย่างเสมอภาคกันซ่ึงเป็นเรื่องที่จาเป็นอย่างมาก โดยต้องเริ่มตั้งแต่ช่วงอายุ ๐ – ๘ ปี ซึ่งเป็นช่วงท่ีสาคัญ ในการวางรากฐานทแ่ี ข็งแรง และเป็นชว่ งอายุที่อยู่ในสถานศึกษา หากมมี าตรการให้สถานศึกษาเน้นการปลกู ฝัง ในเรอ่ื งการเคารพสิทธขิ องตนเองและผ้อู ่ืนอย่างเสมอภาคกันกจ็ ะสามารถแก้ไขปญั หาท่ีเกิดข้ึนได้ในระดบั หนึ่ง

- ๖๔ - ๓. ควรต้องมีการปรับหลักสูตรการสอนเพศวิถีศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการให้มี ความชัดเจนและเข้าใจง่าย เพ่ิมตัวอย่างรูปแบบการให้ความรู้เร่ืองเพศวิถี เพื่อเป็นแนวทางให้ผู้กาหนดนโยบาย สามารถพิจารณาได้อย่างเห็นภาพและนาไปเป็นแนวทางในการจัดทาหลักสูตรได้อย่างชัดเจน และควรต้องมี การบูรณาการหลักสตู รการสอนเพศวิถีศึกษากับหมวดวชิ าอ่ืน ๆ นอกจากนี้ กระทรวงศึกษาธกิ าร และกระทรวง สาธารณสุขควรต้องมีการจัดทาส่ือการสอนเรื่องเพศวิถีศึกษา เพื่อให้เด็กสามารถเรียนรู้ได้นอกห้องเรียน และเข้าถึงได้ง่าย ซ่ึงปัจจุบันมีรูปแบบการนาเสนอองค์ความรู้เก่ียวกับเพศวิถีหลากหลายรูปแบบ เช่น การ์ดเกม สาหรับเด็ก เพ่ือให้เด็กเรียนรู้จากการ์ดเกมว่าพื้นท่ีส่วนตัวของตัวเองส่วนไหนบ้างท่ีห้ามคนอื่นสัมผัส หรอื หากเกิดเหตุไม่พงึ ประสงคค์ วรแจง้ ใคร เปน็ ต้น ๖.๒ แนวทางการดาเนนิ การของภาครัฐเมอ่ื เกดิ เหตุ ๑. สานักงานตารวจแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข (แพทย์ นักจิตวิทยา และนักสังคม สงเคราะห์) และกระทรวงยุติธรรม (กรมราชทัณฑ์ กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน และกรมคุ้มครอง สิทธิและเสรีภาพ) ควรต้องพัฒนาแนวทางปฏิบัติในเร่ืองการสอบถามข้อเท็จจริงต่อผู้เสียหาย เพื่อให้เป็นแนวทาง การปฏิบัติเดียวกันทั่วประเทศ ท้ังองค์ความรู้ กระบวนการ และทักษะ โดยเฉพาะการตั้งคาถามที่เหมาะสม เพื่อไมใ่ หเ้ กิดการละเมิดซา้ ๒. กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และกระทรวงดิจิทัลเพ่ือเศรษฐกิจ และสังคม ควรต้องจัดให้มีช่องทางการแจ้งเหตุในรูปแบบอื่น เช่น แอปพลิเคชัน (Application) หรือ เว็บไซต์ (Website) ซ่ึงจะทาให้เกิดการเข้าถึงเพ่ิมมากข้ึน การมีสายด่วน (Hotline) หรือเบอร์กลาง ในการช่วยเหลือ ผู้ถูกกระทาชาเราและการล่วงละเมิดทางเพศ ซ่ึงจะต้องดาเนินการควบคู่ไปกับการพัฒนาผู้ให้คาปรึกษาให้มีทักษะ ความรใู้ นดา้ นน้ีดว้ ย ๓. กระทรวงศกึ ษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงการพัฒนาสงั คมและความมัน่ คง ของมนุษย์ ควรตอ้ งจัดให้มีนักจิตวทิ ยาหรือนักสังคมสงเคราะห์อย่างเพยี งพอ เพ่ือเข้าร่วมสอบข้อเท็จจริงในทุกกรณี ทผ่ี ู้เสียหายเป็นเดก็ นักเรยี น กระทรวงศึกษาธิการมนี ักจิตวทิ ยาของกระทรวงซึง่ อยู่ในเขตพื้นท่ีการศกึ ษา ควรนา ข้อมูลดังกล่าวมาเช่ือมโยงกับข้อมูลของนักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์ เพื่อหาแนวทางให้เกิดการกระจายตัว ของนักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์ในระดับที่เพียงพอในการเข้าร่วมสอบข้อเท็จจริงต่าง ๆ ของผู้เสียหาย ที่เป็นเด็กในทุกกรณที ่ีเกี่ยวข้องกับการข่มขืนกระทาชาเราหรือการล่วงละเมิดทางเพศ และจะนาไปสู่การสร้าง ศกั ยภาพของครแู นะแนว ๔. สานักงานตารวจแห่งชาติ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงยุติธรรม และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความม่ันคงของมนุษย์ ควรต้องให้มีการบูรณาการการทางานในรูปแบบทีม สหวิชาชีพ (Multidisciplinary Team) เพ่ือให้ความช่วยเหลือผู้เสียหายจากการกระทาความผิดเกี่ยวกับเพศ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นไปตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. ๒๕๔๖ พระราชบัญญัติคุ้มครอง ผู้ถูกกระทาด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๐ พระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณา คดเี ยาวชนและครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ ประมวลกฎหมายวิธพี ิจารณาความอาญา และกฎหมายอ่ืนท่ีเก่ียวขอ้ งกับ การคุ้มครองสทิ ธิและให้ความช่วยเหลือผู้เสยี หายจากการกระทาความผิดเกย่ี วกับเพศ ๕. สานักงานตารวจแห่งชาติควรต้องมีการจัดเก็บข้อมูลคดีแบบจาแนกเพศตั้งแต่ กระบวนการรับแจ้งความร้องทุกข์ และการประสานงานส่งต่อเรื่องของสานักงานตารวจแห่งชาติเพ่ิมเติม จากเดิมทมี่ กี ารจดั เกบ็ ข้อมลู แบบจาแนกประเภทคดี

- ๖๕ - ๖.๓ แนวทางการแก้ไข ฟน้ื ฟู และเยียวยาหลังการเกิดเหตุ ๑. กรมราชทัณฑ์ กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน และกรมคุมประพฤติ ต้องจัดทา โปรแกรมท่ีใช้ในการบาบัดฟ้ืนฟูผู้กระทาผิดคดีทางเพศเป็นการเฉพาะ ซึ่งควรต้องมีการศึกษาวิจัยเพิ่มเติม โดยละเอียดอย่างเร่งด่วน ในข้ันตอนการบาบัดฟ้ืนฟู และการประเมินผลความสาเร็จในการปรับพฤติกรรม ผูก้ ระทาผดิ ทางเพศท้ังผูใ้ หญ่ เด็กและเยาวชน ๒. กรมราชทัณฑ์ กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน และกรมคุมประพฤติ ต้องจัดทา แบบประเมินความเสี่ยงในการกระทาผิดซ้าของผู้กระทาผิดคดีทางเพศ (Risk Assessment Tool) เพื่อลดความเส่ียง ในการกระทาผิดซ้าของผู้กระทาผิดคดีทางเพศ ซึ่งควรต้องมีการศึกษาวิจัยเพ่ิมเติมโดยละเอียดอย่างเร่งด่วน เพื่อนาแบบประเมินมาใช้ในการประเมินความเส่ียงของผู้กระทาผิดคดีทางเพศว่ามีความเส่ียงในการกระทาผิดซ้า มากหรือน้อยเพียงใด รวมท้ังหาวิธีการดาเนินการเพื่อปรับทัศนคติและพฤติกรรมของผู้กระทาผิดคดีทางเพศ และเพ่อื วางแผนการคุมประพฤติแก่ผู้ที่มีความเสี่ยงต่า ๓. กระทรวงยุติธรรม และสานักงานตารวจแห่งชาติ ต้องจัดทาระบบลงทะเบียน ผู้กระทาผิดคดีทางเพศ เพ่ือเป็นฐานข้อมูลบันทึกประวัติและข้อมูลอาชญากรรมของผู้กระทาผิดคดีทางเพศ ป้องกันการกระทาผิดทางเพศซ้า และเป็นเคร่ืองมือในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเพศให้กับ เจ้าหน้าท่ีในการติดตามความเคลื่อนไหวของผู้กระทาผิดโดยมีกฎหมายรับรองการ ปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ และการเข้าถึงข้อมูลของผู้กระทาผิดคดีทางเพศอย่างเป็นรูปธรรม ซ่ึงควรต้องมีการศึกษาวิจัยเพ่ิมเติม โดยละเอียดอย่างเร่งดว่ น ๔. กระทรวงยุติธรรม และสานักงานตารวจแห่งชาติ ควรผลักดันให้มีการออกกฎหมาย รองรับการจัดเก็บข้อมูลตัวอย่างสารพันธุกรรม (DNA) เพ่ือใช้เป็นพยานหลักฐานในคดี และติดตามการกระทา ความผดิ ซา้ ซง่ึ ควรตอ้ งมกี ารศกึ ษาวิจยั เพิม่ เตมิ โดยละเอยี ดอยา่ งเรง่ ด่วน ๕. กระทรวงยุติธรรม และกระทรวงสาธารณสุข ควรต้องมีการศึกษาวิจัยเพ่ิมเติม โดยละเอียดอย่างเร่งด่วน เรื่อง มาตรการลงโทษคดีเก่ียวกับเพศ กรณีการใช้ยาเพื่อปรับฮอร์โมนของผู้กระทาผิด (Chemical Castration) โดยเฉพาะลักษณะคดีท่ีผู้กระทาความผิดเกี่ยวกับเพศมีพฤติการณ์กระทาผิดซ้า หรือมีลักษณะการกระทาท่ีเป็นภัยต่อสังคม หรือเป็นคดีท่ีกระทาต่อเด็ก รวมถึงควรมีกระบวนการประเมิน สภาพรา่ งกายและจติ ใจทางการแพทย์ของผู้ต้องขงั ทงั้ กอ่ นและหลงั การใชม้ าตรการดังกลา่ ว ๖. กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวั ตกรรม และหน่วยงานรัฐอ่ืน ๆ ที่เก่ียวข้องกับการจัดการศึกษา ควรต้องมีการกาหนดมาตรการในการดาเนินการทางวินัย แก่ครูและบุคลากรทางการศึกษาที่ล่วงละเมิดทางเพศเด็กนักเรียน กล่าวคือ (๑) กรณีผู้กระทาความผิดเป็นครู บุคลากรทางการศึกษา หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ควรได้รับการระวางโทษวินัยร้ายแรง และ (๒) ในการสอบสวน กาหนดใหม้ ีคณะกรรมการสอบสวนวินัยขา้ ราชการครู บคุ ลากรทางการศกึ ษา หรือเจ้าหน้าท่ีของรฐั โดยกาหนด สัดส่วนของกรรมการที่เป็นสตรีไมน่ อ้ ยกวา่ หนง่ึ ในสาม ๗. กระทรวงยุติธรรม ควรเพิ่มการประชาสัมพันธ์ภารกิจของสานักงานกองทุนยุติธรรม และสานักงานชว่ ยเหลือทางการเงนิ แก่ผเู้ สียหายและจาเลยในคดีอาญา ในการอานวยความยุตธิ รรมให้กบั ประชาชน ทไี่ ด้รับความเดอื ดรอ้ นและไม่ได้รบั ความเปน็ ธรรมเม่ือต้องเขา้ สู่กระบวนการยตุ ธิ รรม โดยการสนบั สนุนเงนิ ช่วยเหลือ เพอื่ เปน็ ค่าใชจ้ ่ายต่าง ๆ เช่น ค่าใช้จ่ายในการวางเงนิ ประกนั การปลอ่ ยช่ัวคราว ค่าใช้จ่ายในการจ้างทนายความ ค่าธรรมเนียมศาล ค่าใช้จ่ายในการดาเนินคดี ค่าใช้จ่ายในการพิสูจน์และการแสวงหาข้อเท็จจริง ตลอดจน ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เก่ียวข้องกับการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน นอกจากนั้น สานักงานตารวจแห่งชาติ ควรตอ้ งดาเนินการในเรื่องน้ีเชน่ เดยี วกนั

- ๖๖ - ๘. กระทรวงยุติธรรม และสานักงานตารวจแห่งชาติ ควรต้องจัดทาระบบการเช่ือมโยง ข้อมูลกับหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม เพ่ือแลกเปลี่ยนข้อมูลกระบวนการยุติธรรม DXC (Data Exchange Center) เพื่อใช้ในการตรวจสอบประวัติผู้เก่ียวข้องหรือหลักฐานคดี รวมท้ังติดตามสถานะของคดีได้อย่าง รวดเร็ว ๖.๔ กฎหมายท่ีเกี่ยวข้องกับการป้องกันและแก้ไขปัญหาการข่มขืนกระทาชาเรา และการล่วงละเมดิ ทางเพศ ส่วนที่ ๑ การแก้ไขเพิ่มเติมบทนิยาม มาตรา ๑ (๑๘) “กระทาชาเรา” แห่งประมวล กฎหมายอาญา การแก้ไขเพิ่มเติมบทนิยามควรมีการพิจารณาศึกษาเพ่ือเปรียบเทียบข้อดี ข้อเสีย และผลกระทบจากการนาตัวบทกฎหมายไปปรับใช้ ทั้งในส่วนท่ีเป็นบทนิยามตามกฎหมายเดิมและที่ใช้อยู่ ในปัจจุบัน รวมถึงศึกษาเปรียบเทียบกับกฎหมายของต่างประเทศ เพ่อื ให้การปรับปรุงแก้ไขกฎหมายเป็นไปได้ อย่างเป็นระบบ หลังจากท่ีมีการแก้ไขเพิ่มเติมบทนิยามกระทาชาเรา ควรมีการจัดทาองค์ความรู้เกี่ยวกับ ความผิดเก่ียวกับเพศตามประมวลกฎหมายอาญา เพื่อเผยแพร่ให้ผู้ปฏิบัติงานหรือประชาชนมีความรู้ความเข้าใจ ไปในทิศทางเดียวกันว่าพฤตกิ ารณใ์ ดที่เข้าข่ายเปน็ ความผิดฐานขม่ ขืนกระทาชาเรา และพฤติการณ์ใดทเ่ี ขา้ ข่าย เป็นความผิดฐานกระทาอนาจาร การพิจารณาบทนิยาม ตามมาตรา ๑ (๑๘) แห่งประมวลกฎหมายอาญา “กระทาชาเรา หมายความว่า กระทาเพื่อสนองความใครข่ องผู้กระทา โดยการใช้อวยั วะเพศของผู้กระทาล่วงล้าอวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือชอ่ งปากของผอู้ น่ื ” เพ่ือให้สอดคลอ้ งกับเหตุการณป์ จั จุบนั ในพฤติการณ์ ดังนี้ ๑) กรณีผู้กระทาบังคับให้ผู้เสียหายซึ่งเป็นเด็กผู้ชายสอดใส่อวัยวะเพศของผู้เสียหาย เขา้ ไปในทวารหนักของผู้กระทา ๒) การกระทาโดยการบังคับให้ผู้อื่นล่วงล้าตนเอง กรณีครูผู้หญิงบังคับให้เด็กนักเรียนชาย กระทาสอดใสอ่ วัยวะเพศของผเู้ สียหายกับครูผหู้ ญิง ๓) กรณีบคุ คลที่เป็นเพศเดยี วกนั กระทาการขม่ ขืนกระทาชาเรา หรือกรณคี รฝู ึกสอนผู้หญิง ใชน้ ้วิ สอดใส่ในอวัยวะเพศนกั เรยี นหญงิ ๔) กรณีที่ผู้หญิงถูกกระทาด้วยส่ิงอ่ืนใดหรือเด็กผู้ชายถูกกระทาด้วยส่ิงอ่ืนใด หรือถูกกอดจูบ ในขณะอาบน้า หรือบังคบั ใหก้ ระทาเพอ่ื สนองความใคร่ คณะกรรมาธิการวิสามัญจึงได้พิจารณาแนวทางแก้ไขบทนิยามของคาว่า กระทาชาเรา และมีความเห็นในการแก้ไขเพ่ิมเติมบทนิยามในมาตรา ๑ (๑๘) แห่งประมวลกฎหมายอาญา โดยให้ใช้ความ ตอ่ ไปน้แี ทน “มาตรา ๑ (๑๘) “กระทาชาเรา” หมายความว่า กระทาเพ่ือสนองความใคร่ของผู้กระทา โดยการใช้อวัยวะเพศหรือสิ่งอื่นใดของผู้กระทาหรือของผู้อื่นล่วงล้าอวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือช่องปากของผู้อ่ืน หรอื ของผูก้ ระทา” “มาตรา ๒๗๖ ผู้ใดข่มขืนกระทาชาเราผู้อ่ืนหรือผู้ใดข่มขืนกระทาชาเราด้วยวิธีการอื่นใด เพื่อสนองความใคร่ของผู้กระทาโดยขู่เข็ญด้วยประการใด ๆ โดยใช้กาลังประทุษร้าย โดยผู้อื่นน้ันปฏิเสธด้วยวาจา หรอื ท่าทางอยา่ งชัดแจ้ง หรืออยู่ในภาวะทไ่ี มส่ ามารถขดั ขืนได้ หรือโดยทาให้ผู้อืน่ น้ันเข้าใจผิดว่าตนเป็นบุคคลอ่ืน ต้องระวางโทษจาคุกต้งั แต่สป่ี ถี งึ ยี่สิบปี และปรบั ตง้ั แตแ่ ปดหมน่ื บาทถงึ สีแ่ สนบาท...”


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook