75 เรยี นรู้ สื่อการเรยี นรู้ การประเมนิ ผลการเรยี นรู้ บง่ เซลลแ์ บบไมโอซสิ I และ telophase II ที่ 5 ว่า “ขณะที่มีการแบ่ง โซมมีการเข้าคู่กันและต่าง กที่เกิดขึ้นคนละเซลล์ ซ่ึง นได้กับยีนโดยมีการแยกตัว ลลส์ ืบพนั ธ์ุ” บไมโอซิสระยะ Telophase โครโมโซมมีการแยกตัวกนั นลักษณะอย่างไร (มกี ารแยก การยึดติดจบั คกู่ ันไปยังเซลล์ลกู )
จดุ ประสงค์การเรียนรู้ สาระการเรยี นรู้ กิจกรรมการเ ภาพ 15 การรวมกลุ่ม 1.4 การแยกกันของแอลล เกิดขึ้นในลักษณะใด อยา่ งอิสระตอ่ กนั และไป สบื พนั ธ์เุ ช่นกัน) จากนั้นครูสรุปเหตุการณ โครโมโซมที่เป็นคู่กันไปย เซลล์นั้น แต่ละคู่เกิดอย แยกตัวของแต่ละแอลลีลไ สรปุ เหตกุ ารณ์ทั้งหมดเชื่อม ในการถ่ายทอดลัก (Chromosome theory o วา่ “ยีนนา่ จะมตี ำแหน่งอย ข้นั ส่อื สาร (10 นาท)ี 1. ครูให้นักเรียนสรุปความร บันทึก ขั้นตอบแทนสงั คม 1. ครูมอบหมายให้นักเรียนท ความรู้ที่ได้เกี่ยวกับทฤษฎ ลักษณะทางพันธุกรรมเพ ใหก้ ับตนเอง
เรียนรู้ ส่อื การเรยี นรู้ 76 มของยนี ในเซลลส์ บื พันธ์ุ การประเมนิ ผลการเรยี นรู้ ลีลไปยังแต่ละเซลล์สืบพันธุ์ (แอลลีลแต่ละแอลลีลแยกกัน ปรวมกลมุ่ กนั อย่างอิสระในเซลล์ ณ์ที่ 6 ว่า “การแยกตัวของ ยังขั้วเซลล์ขณะที่มีการแบ่ง ย่างอิสระเช่นเดียวกับการ ไปยังเซลล์สืบพันธุ์” และครู มโยงไปยังทฤษฎีโครโมโซม ษณะทางพันธุกรรม of inheritance) ที่กล่าวไว้ ยูบ่ นโครโมโซม” รู้ที่ได้ทั้งหมดลงในสมุดจด ทำแผนผังกราฟิกสรุปองค์ ฎีโครโมโซมในการถ่ายทอด พื่อเป็นการทบทวนความรู้
โรงเรยี นสรร กลุม่ สาระการเรยี นรู้วิทย แผนการจดั การเรยี น ภาคการศึกษาปลาย ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 4/พ และ 4/1 สาระชวี วทิ ยา 2. เขา้ ใจการถ่ายทอดลกั ษณะทางพนั ธุกรรม การถา่ ยทอดยีนบนโคร ดเี อน็ เอ หลักฐานขอ้ มูล และแนวคิดเกย่ี วกับววิ ัฒนาการของสิง่ มชี วี ิต กำเนิดของสิง่ มีชวี ติ ความหลากหลายของสิง่ มชี วี ิต และอนกุ รมวิธาน ผลการเรียนรู้ ม.4/6 สบื ค้นข้อมลู อธบิ ายสมบัติ และหนา้ ท่ขี องสารพันธุกรรม โคร
77 รพยาวทิ ยา ยาศาสตร์และเทคโนโลยี นรู้ เรอื่ ง โครโมโซม รายวิชา ชีววิทยา2 ว30252 ผู้สอน นายเรวัตร อยู่เกิด รโมโซม สมบตั ิ และหนา้ ทีข่ องสารพันธุกรรม การเกิดมวิ เทชนั เทคโนโลยที าง ต ภาวะสมดุลของฮารด์ ี-ไวน์เบริ ์ก การเกดิ สปีชสี ใ์ หม่ ความหลากหลายทางชีวภาพ น รวมท้งั นำความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ รงสร้าง และองค์ประกอบทางเคมีของ DNA และสรปุ การจำลองDNA
จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ สาระการเรียนรู้ กจิ กรรม เ ม ื ่ อ จ บ ค า บ เ ร ี ย น ด้านความรู้ (K) ขัน้ ตงั้ คำถาม (5 นาที) นักเรยี นสามารถ รูปร่าง ลักษณะ และขนาดของ 1. ครูแสดงดินน้ำมันที่ปั้นเป็น 1. จำแนกรูปร่างของ โครโมโซมจะมคี วามแตกตา่ งกัน คำถามเพื่อกระตุ้นให้นักเร โครโมโซมประเภทต่าง ออกไปในสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิด โครโมโซมในส่งิ มชี ีวติ มีรูปร่าง ๆ ได้ (K) รปู ร่างของโครโมโซมแบง่ ได้ 4 ขน้ั แสวงหาความรู้ (30 นาท 2. บอกส่วนประกอบ แบบ โดยใช้ตำแหน ่งของ 1. ครูอธิบายวิธีการทำกิจก ของโครโมโซมได้ (K) centromere เป็นเกณฑ์ ได้แก่ ออกเป็น 4 ศูนย์การเรียนได 3. เปรียบเทียบรูปร่าง Metacentric, ส่วนประกอบของโครโมโซม ลกั ษณะ และขนาดของ Submetacentric, และจโี นมในสิง่ มชี วี ิต วธิ กี ารท โครโมโซมในสิ่งมีชีวิต Acrocentric และ Telocentric แลว้ แบ่งเป็นกลุ่มใหญ่ ประมาณ ได้ (K) องค์ประกอบของโครโมโซม คน จากนั้นให้นักเรียนแต่ละก 4. อธิบายความหมาย ประกอบไปดว้ ยสาย DNA ทพี่ ัน เรียน ให้เวลาศึกษาศนู ย์การเร ของจโี นมได้ (K) อ ย ู ่ ร อ บ โ ป ร ต ี น ฮ ิ ส โ ต น เช่นนไี้ ปเร่ือย ๆ จนแต่ละกลุม่ 5. บันทึกความรู้ลงใน (histone) และ โปร ตีน น อ น 2. ครูใหน้ กั เรยี นจบั คู่กนั แล้ว แบบบันทึกกิจกรรมได้ ฮ ิสโตน (non-histone) โ ดย กิจกรรม เมื่อเรียบร้อยแล้วจึง (P) จำนวนสารพันธุกรรมทั้งหมด ให้นกั เรยี นทราบไปแล้ว 6. ทำงานเป็นกลุ่มได้ ข อ ง โ ค ร โ ม โ ซ ม 1 ช ุ ด ข อ ง อย่างมีประสิทธิภาพ สิ่งมีชีวิตหนึ่ง ๆ เรียกว่า จีโนม ขนั้ สร้างความรู้ (15 นาท)ี (A) (Genome) 1. ครูและนกั เรียนร่วมกันอภปิ 7. มีวินัยในการรักษา ด้านทกั ษะ (P) เรยี น โดยใช้รูปภาพและส่อื Po เวลา (A) 1. ความสามารถในการสื่อสาร ดงั นี้ 8. มีความมุ่งมั่นในการ (การพูด การอ่าน การเขียน) ทำงาน (A)
78 มการเรยี นรู้ สือ่ การเรียนรู้ การประเมนิ ผลการเรียนรู้ 1. PowerPoint 1. นักเรียนจำแนกรูปร่าง นรูปโครโมโซม (สิ่งเร้า) แล้วใช้ 2. ชุดดินน้ำมันแสดง ของโครโมโซมประเภทตา่ ง รียนสงสัยว่า “นักเรียนคิดว่า รูปร่างลักษณะของ ๆ ได้ถูกต้อง (ประเมินจาก ลักษณะแบบอืน่ อีกหรอื ไม?่ ” โ คร โ มโ ซ มโ ดยใช้ ก า ร ต อ บ ค ำ ถ า ม ข อ ง ท)ี ต ำ แ ห น ่ ง ข อ ง นักเรียนในชั้นเรียน และ กรรมศูนย์การเรียน โดยจะแบ่ง centromere เ ป็ น แบบบันทกึ กิจกรรม) ด้แก่ ศูนย์รูปร่างของโครโมโซม, เกณฑ์ในการจำแนก 2. น ั ก เ ร ี ย น บ อ ก , จำนวนโครโมโซมในสิ่งมีชีวิต ประเภท ส่วนประกอบของ ทำกิจกรรมคอื ใหน้ ักเรียนจับคู่กัน 3. ชุดดินน้ำมันแสดง โ คร โ มโ ซ มไ ด้ถูก ต ้ อ ง าณ 4 กลุ่ม กลุ่มละประมาณ 8-9 ส่วนประกอบของ (ประเมินจากการตอบ กลุ่มไปประจำในแต่ละศูนย์การ โครโมโซม คำถามของนักเรียนในชั้น รียนประมาณละ 8-10 นาที ทำ 4. ใบความรู้เรื่อง เรียน และแบบบันทึก มวนครบทกุ ศนู ย์การเรยี น จำนวนโครโมโซมใน กจิ กรรม) วใหน้ กั เรียนออกมารับแบบบันทึก สงิ่ มชี วี ิต 3. นักเรียนจำแนกชนิด งดำเนนิ กิจกรรมตามที่ได้อธิบาย 5. ใบความรู้เรื่อง ของสิ่งมีชีวิตโดยใช้รูปร่าง จโี นมในส่งิ มชี วี ิต ลักษณะ และขนาดของ 6. แ บ บ บ ั น ทึ ก โครโมโซมได้ (ประเมินจาก กิจกรรมเรื่อง การตอบคำถามของ ปรายสรปุ ความรไู้ ปทีละศูนย์การ โครโมโซม นักเรียนในชั้นเรียน และ owerPoint ประกอบคำบรรยาย แบบบันทึกกจิ กรรม) 4. น ั ก เ ร ี ย น อ ธ ิ บ า ย ความหมายของจีโนมได้ ถูกต้อง (ประเมินจากการ
จดุ ประสงค์การเรียนรู้ สาระการเรียนรู้ กจิ กรรม 2. ความสามารถในการคดิ (คิด ภาพท่ี 1 ประเ วเิ คราะห์) 1.1โครโมโซมแบ่งออกได้เป 3. ค ว า ม ส า ม า ร ถ ใ น ก า ร ตำแหน่งของเซนโทรเมียร แกป้ ัญหา (-) เป็นโครโมโซมที่มีเซนโทร 4. ความสามารถในการ ใช้ ทำให้เห็นแขนของโครโม ทักษะชีวิต (การทำกิจกรรม แขนมคี วามยาวเท่ากันท้ัง โครโมโซมที่มีเซนโทรเ กลุ่ม) โครโมโซม ทำให้เห็นแขน 5. ความสามารถในการ ใช้ โดยแตล่ ะแขนมคี วามยาว เทคโนโลยี (-) Acrocentric เป็นโครโมโ คุณลักษณะอนั พึงประสงค์ (A) กึ่งกลางของโครโมโซม แ กิจกรรมในคาบเรียนนี้ส่งเสริม อย่างชัดเจน ทำให้เห็นแข ใหน้ กั เรียนมวี นิ ยั (รักษาเวลาใน โดยแขนข้างหนึ่งยาวมา การศึกษาค้นคว้า) และมีความ Telocentric เป็นโครโมโ มุ่งมั่นในการทำงาน ดา้ นปลายสุด ทำใหเ้ ห็นแข (กระตือรือร้นที่จะค้นคว้าหา ความรู้)
79 มการเรียนรู้ สื่อการเรยี นรู้ การประเมินผลการเรยี นรู้ เภทของโครโมโซม ตอบคำถามของนักเรียน ป็น 4 ประเภท จำแนกโดยใช้ ในชั้นเรียน และแบบ ร์เปน็ เกณฑ์ ได้แก่ Metacentric บนั ทกึ กิจกรรม) รเมียร์อยู่กึ่งกลางของโครโมโซม 5. นักเรียนบันทึกความรู้ มโซมจำนวน 2 แขน โดยแต่ละ จากการศึกษาบทความได้ สองข้าง, Submetacentric เปน็ ครบถ้วนสมบูรณ์ และ เมียร์ที่ไม่ได้อยู่กึ่งกลางของ นของโครโมโซมจำนวน 2 แขน ถูกต้อง (ประเมินจากแบบ วแตกตา่ งกันเพยี งเลก็ นอ้ ย, บนั ทึกกจิ กรรม) โซมที่มีเซนโทรเมียร์ที่ไม่ได้อยู่ 6. คะแนนความร่วมมือ แต่จะอยู่ชิดกับด้านใดด้านหนึ่ง ร่วมใจในการทำงานเป็น ขนของโครโมโซมจำนวน 2 แขน กลุ่มอยู่ในเกณฑ์ดีขึ้นไป าก ส่วนอีกข้างจะสั้นมาก และ (ประเมินจากเกณฑ์การให้ โซมที่มีเซนโทรเมียร์อยู่บริเวณ คะแนนในการทำงานกล่มุ ) ขนของโครโมโซมเพยี งแขนเดียว 7. นักเรียนมีวินัย ทำงาน เสร็จในเวลาที่กำหนดให้ได้ (ประเมินจากเกณฑ์การให้ คะแนนในการทำงานกลุม่ ) 8. นักเรียนมีความมุ่งมั่น ในการศึกษาหาความรู้จาก แหล่งข้อมูลที่ครูจัดไว้ให้ (ประเมินจากเกณฑ์การให้ คะแนนในการทำงานกลุ่ม)
จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ สาระการเรียนรู้ กิจกรรม ภาพที่ 2 องค 1.2ในยูคาริโอตโครโมโซมมีส โปรตนี ประมาณ 1 : 2 โ ประกอบด้วยโปรตีน hi ภายในโครโมโซมจะประก ที่พันตดิ รอบ histone โป กรดอะมิโนไลซีนและอ “นิวคลีโอโซม (nucleoso ยาวเกิดการบิดและขดก โครโมโซมทีเ่ หน็ ได้ชัดเจน
มการเรยี นรู้ 80 สื่อการเรยี นรู้ การประเมินผลการเรยี นรู้ ค์ประกอบของโครโมโซม สัดส่วนองค์ประกอบของ DNA : โดยโปรตีนที่อยภู่ ายในโครโมโซม istone และ non-histone โดย กอบด้วยสาย DNA ซึ่งมีประจุลบ ปรตีนทม่ี ปี ระจบุ วก ประกอบด้วย อาร์จีนีน เรียกโครงสร้างนี้ว่า ome)” โดยเมื่อนิวคลีโอโซมสาย กันแน่นขึ้น ก็จะเกิดเป็นแท่ง
จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ สาระการเรยี นรู้ กิจกรรม ภาพท่ี 3 จำน 1.3สิ่งมีชีวิตตา่ งชนิดกนั มักจ แต่ก็อาจมีจำนวนโครโม ลักษณะของโครโมโซมจะ โครโมโซมท่มี ีรูปร่างลักษณ ภาพท่ี 4 ตารางเปรีย
มการเรียนรู้ 81 สื่อการเรียนรู้ การประเมินผลการเรยี นรู้ นวนโครโมโซมในมนุษย์ จะมีจำนวนโครโมโซมแตกต่างกนั มโซมเท่ากันก็ได้ แต่เมื่อศึกษา ะพบว่า ส่งิ มชี ีวิตแต่ละชนิดก็จะมี ณะท่แี ตกต่างกนั ยบเทยี บขนาดของจีโนมและยีน
จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ สาระการเรียนรู้ กิจกรรม 1.4สารพันธุกรรมทั้งหมดขอ ชนิดหนึ่ง ๆ เรียกว่า จีโ พบว่าสิ่งมีชวี ิตแต่ละชนิด แตกต่างกัน แต่ไม่จำเป็น ใหญ่จะต้องมีจำนวนยีนเย ของยีนไม่ได้มีการแปรผ ยกตัวอย่างเช่น ในแมลง 137 ล้านคู่เบส มีจำนวน ในหนอนตวั กลมมีขนาดข คู่เบส แต่กลับมียีนมากก 19,000 ยนี เป็นต้น ขั้นส่ือสาร 1. ครูให้นักเรียนจับคู่กัน แล โครโมโซมที่ได้เรียนไป แล้วให ผลัดกันถามตอบกับครใู นคาบถ ขน้ั ตอบแทนสังคม 1. ใหน้ กั เรียนสรุปความรู้ที่ได้ รายงาน โดยให้มที ้งั ภาพประก
82 มการเรียนรู้ สอ่ื การเรยี นรู้ การประเมินผลการเรียนรู้ องโครโมโซม 1 ชุด ของสิ่งมีชีวิต โนม (Genome) จากการศึกษา ดมีขนาดของจโี นมและจำนวนยนี นว่าสิ่งมีชีวิตที่มีขนาดของจีโนม ยอะตามไปด้วย กล่าวคือจำนวน ผันตามขนาดของจีโนมนั่นเอง งหวี่มีขนาดของจีโนมประมาณ นยีนประมาณ 14,000 ยีน แต่ ของจโี นมประมาณเพยี ง 97 ล้าน กว่ายีนในหนู ซึ่งพบถึงประมาณ ละผลัดกันถามตอบเกี่ยวกับเรื่อง ห้มารายงานสิ่งที่คู่ของตนเองได้ ถดั ไป ลงในกระดาษ A4 หรือกระดาษ กอบคำบรรยายให้สวยงาม
โรงเรยี นสรร กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ิทย แผนการจดั การเรยี นรู้ เร่ือง องค์ป ภาคการศกึ ษาปลาย ช้ันมัธยมศกึ ษาปที ี่ 4/พ และ 4/1 สาระชีววิทยา 2. เขา้ ใจการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม การถ่ายทอดยีนบนโคร ดเี อ็นเอ หลกั ฐานขอ้ มลู และแนวคดิ เกย่ี วกบั วิวัฒนาการของสิง่ มีชีวิต กำเนดิ ของสิง่ มีชีวิต ความหลากหลายของสง่ิ มีชีวติ และอนุกรมวธิ าน ผลการเรยี นรู้ ม.4/6 สบื ค้นขอ้ มลู อธบิ ายสมบัติ และหนา้ ที่ของสารพันธกุ รรม โคร
83 รพยาวทิ ยา ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ประกอบและโครงสรา้ งของ DNA รายวิชา ชวี วทิ ยา2 ว30252 ผสู้ อน นายเรวัตร อยู่เกดิ รโมโซม สมบตั ิ และหนา้ ท่ีของสารพันธกุ รรม การเกิดมิวเทชัน เทคโนโลยที าง ต ภาวะสมดลุ ของฮารด์ ี-ไวน์เบิรก์ การเกดิ สปชี สี ์ใหม่ ความหลากหลายทางชวี ภาพ น รวมทง้ั นำความรู้ไปใช้ประโยชน์ รงสร้าง และองค์ประกอบทางเคมีของ DNA และสรปุ การจำลองDNA
จุดประสงค์การเรียนรู้ สาระการเรียนรู้ กจิ กรรมก เ ม ื ่ อ จ บ ค า บ เ ร ี ย น ดา้ นความรู้ (K) ขนั้ ต้งั คำถาม (5 นาที) นกั เรียนสามารถ DNA กรดนิวคลิกอิกท่เี ป็นพอ 1. ครูแสดงดินน้ำมันที่ปั้นแสด 1. บอกองค์ประกอบ ลิเมอร์สายยาว ประกอบไป เหน็ เป็นสายยาวของ DNA (สง่ิ เ ทางเคมีของ DNA ได้ ด้วยหน่วยย่อยที่เล็กที่สุดท่ี นักเรียนสงสัยว่า “นักเรียนค (K) เ ร ี ย ก ว ่ า น ิ ว ค ล ี โ อ ไ ท ด์ แตกต่างจากสารชนิดอื่นอย่าง 2. อธิบายการเชื่อม (nucleotide) ซึง่ นวิ คลีโอไทด์ ลกั ษณะทางพนั ธุกรรมจากสิ่งมชี ติดกันของนิวคลีโอไทด์ ประกอบขึ้นมาจากน้ำตาลดี ขั้นแสวงหาความรู้ (30 นาท)ี ในสายพอลีนิวคลีโอ ออกซีไรโบสที่มีหมู่ฟอสเฟต 1. ครูอธิบายขั้นตอนในการท ไทดไ์ ด้ (K) และไนโตรจีนัสเบส ซึ่งสาย แบ่งกลุ่ม กลุ่มละประมาณ 3- 3. อธิบายกฎของชาร์ DNA เป็นสายพอลีนิวคลีโอ กลุ่มศึกษาใบความรู้เรื่ององค์ป กาฟฟ์ได้ (K) ไทด์ที่เกิดจากการเช่ือมต่อกนั โครงสร้างของ DNA และตอบค 4. อธิบายโครงสร้าง ของนิวคลีโอไทด์แต่ละนิวคลี ภายในเวลา 30 นาที ของ DNA ที่เสนอโดย โอไทด์ด้วยพันธะฟอสโฟไดเอ 2. ครูให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม กล วัตสนั และครคิ ได้ (K) ส เ ต อ ร ์ (Phosphodiester ออกมารับแบบบันทึกกิจกรร 5. เขียนลำดับนิวคลีโอ bond) โ ด ย ส า ย DNA กจิ กรรมตามทไี่ ดอ้ ธิบายให้นกั เร ไทดข์ อง DNA ได้ (K) ประกอบด้วยสายพอลีนิวคลี ขน้ั สรา้ งความรู้ (15 นาที) 6. บันทึกความรู้ลงใน โอไทด์ 2 สายเรยี งสลบั ทิศกัน 1. ครแู ละนักเรียนรว่ มกันอภปิ ร แบบบันทึกกิจกรรมได้ และพันกันบิดเป็นเกลียวคู่ ตอนที่ 1 องคป์ ระกอบทางเคมขี (P) (double helix) เวยี นตามเข็ม 1) DNA ประกอบจากหน่วยย่ 7. ทำงานเป็นกลุ่มได้ นาฬิกา เบส A ของสายหนึ่ง องค์ประกอบอยา่ งไรบา้ ง (จ อย่างมีประสิทธิภาพ ตรงกับ T ของอีกสายหน่ึง (A) และเบส C ของสายหนึ่งตรง จากนิวคลีโอไทด์ โดยนิวคลโี อไท น้ำตาลเพนโทส (deoxyribo กับ G ของอีกสายหนึ่งเสมอ base) และหมฟู่ อสเฟต (Phosp
84 การเรยี นรู้ สอ่ื การเรียนรู้ การประเมนิ ผลการเรียนรู้ 1. PowerPoint 1. น ั ก เ ร ี ย น บ อ ก ดงส่วนประกอบของโครโมโซมท่ี 2. ชุดดินน้ำมันแสดง องค์ประกอบทางเคมีของ เรา้ ) แล้วใช้คำถามเพื่อกระตุ้นให้ ส่วนประกอบของ DNA ได้ถูกต้อง (ประเมิน คิดว่า DNA มีคุณสมบัติพิเศษ โครโมโซม จากการตอบคำถามของ งไรที่ทำให้มันสามารถถ่ายทอด 3. ใบความรู้เรื่อง นักเรียนในชั้นเรียน และ ชวี ิตตัวหนึง่ ไปยงั อีกตัวหน่ึงได?้ ” องค์ประกอบทางเคมี แบบบนั ทึกกิจกรรม) ข อ ง DNA แ ล ะ 2. นักเรียนอธิบายการ ทำกิจกรรมโดยจะให้นักเรียน โครงสรา้ งของ DNA สร้างพันธะฟอสโฟไดเอ -4 คน จากนั้นให้นักเรียนแต่ละ 5. แ บ บ บ ั น ทึ ก สเตอรใ์ นการเชอื่ มตอ่ นิ ประกอบทางเคมีของ DNA และ ก ิ จ ก ร ร ม เ ร ื ่ อ ง วคลีโอไทด์ได้ถูกต้อง คำถามลงในแบบบันทึกกิจกรรม องค์ประกอบทางเคมี (ประเมินจากการตอบ และโครงสร้างของ คำถามของนักเรียนในชั้น ลุ่มละ 3-4 คน แล้วให้นักเรียน DNA เรียน และแบบบันทึก ม เมื่อเรียบร้อยแล้วจึงดำเนิน กจิ กรรม) รียนทราบไปแล้ว 3. นักเรียนอธิบายกฎของ ชารก์ าฟฟ์ได้ (ประเมินจาก รายตอบคำถามในตอนที่ 1 ดังนี้ การตอบคำถามของ ของ DNA นักเรียนในชั้นเรียน และ อยใด? และหน่วยย่อยดังกล่าวมี แบบบันทึกกิจกรรม) จงวาดภาพประกอบ) (ประกอบขึ้น 4. น ั ก เ ร ี ย น อ ธ ิ บ า ย โครงสร้างของ DNA ท่ี ทด์มอี งคป์ ระกอบหลัก 3 อยา่ ง ได้แก่ ose) ไนโตรจีนัสเบส (nitrogenous เสนอโดยวัตสนั และคริคได้ phate group)) (ประเมินจากการตอบ
จุดประสงค์การเรยี นรู้ สาระการเรียนรู้ กิจกรรมก 8. มีวินัยในการรักษา เรียกว่าเป็นเบสคู่สมกัน เวลา (A) (complementary base 9. มีความมุ่งมั่นในการ pair) ย ึ ด ก ั น ด ้ ว ย พ ั น ธ ะ ทำงาน (A) ไฮโดรเจน ซึ่งเกลียวแต่ละ รอบหา่ งเทา่ ๆ กนั และมีคู่เบส จำนวนเท่ากนั ดา้ นทักษะ (P) ภาพท่ี 1 องคป์ ระกอ 1. ค ว า ม ส า ม า ร ถ ใ น ก า ร 2) ไนโตรจีนัสเบสแบ่งเปน็ ก่ปี ร สื่อสาร (การพดู การอา่ น การ เขียน) ในการจำแนก? (จงวาดภาพ 2. ความสามารถในการคิด เบสแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม โดยใ (การวเิ คราะห)์ เกณฑ์ในการแบ่ง ได้แก่ 1. ไ 3. ค ว า ม ส า ม า ร ถ ใ น ก า ร ประกอบด้วยเบสท่ีมีโครงสร้างเ (Adenine : A) และเบสกวานีน แกป้ ัญหา (-) เบสกลุ่มไพริมีดีน (Pyrimidine 4. ความสามารถในการใช้ เป็นวงเดี่ยว ๆ ได้แก่เบสไท ทักษะชีวิต (การทำกิจกรรม (Cytosine : C)) กลุม่ ) 5. ความสามารถในการใช้ เทคโนโลยี (การใช้แท็บเลต เพื่อสืบค้นข้อมูลและการคิด คำนวณ) คุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A)
85 การเรียนรู้ สือ่ การเรยี นรู้ การประเมนิ ผลการเรียนรู้ อบทางเคมขี องนิวคลโี อไทด์ คำถามของนักเรียนในช้ัน ระเภท อะไรบ้าง? ใช้เกณฑ์อะไร เรียน และแบบบันทึก พประกอบ) (ประเภทของไนโตรจีนัส กจิ กรรม) 5. นักเรียนเขียนลำดับนิ ใช้ลักษณะโครงสร้างของโมเลกุลเป็น วคลีโอไทด์ของ DNA ได้ ไนโตรจีนัสเบสกลุ่มพิวรีน (Purine) (ประเมินจากการตอบ เป็นวงติดกันสองวง ได้แกเ่ บสอะดีนีน น (Guanine : G) และ 2. ไนโตรจีนสั ค ำ ถ า ม ใ น แ บ บ บัน ทึก e) จะประกอบด้วยเบสที่มีโครงสร้าง กิจกรรมและโมเดล DNA ทมีน (Thymine : T) และไซโทซีน กระดาษ) 6. นักเรียนบันทึกความรู้ จากการศึกษาบทความได้ ครบถ้วนสมบูรณ์ และ ถูกต้อง (ประเมินจากแบบ บันทึกกิจกรรม) 7. คะแนนความร่วมมือ ร่วมใจในการทำงานเป็น กลุ่มอยู่ในเกณฑ์ดีขึ้นไป (ประเมินจากเกณฑ์การให้ คะแนนในการทำงานกลุ่ม) 8. นักเรียนมีวินัย ทำงาน เสรจ็ ในเวลาท่กี ำหนดให้ได้ (ประเมินจากเกณฑ์การให้ คะแนนในการทำงานกลมุ่ )
จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ สาระการเรยี นรู้ กิจกรรมก กิจกรรมในคาบเรยี นนี้สง่ เสริม ให้นักเรียนมีวินัย (รักษาเวลา ในการศึกษาค้นคว้า) และมี ความมุ่งมั่นในการทำงาน (กระตือรือร้นที่จะค้นคว้าหา ความรู้) ภาพที่ 2 โครงสรา้ งทา 3) หน่วยยอ่ ยในสายพอลีนวิ คล ใด? (พันธะฟอสโฟไดเอสเตอร์ ภาพท่ี 3 การเชื่อม 4) ปลายด้าน 5’ และปลาย ภาพประกอบ) (ปลายดา้ น 5 ตำแหน่งที่ 5 ส่วนปลายด้าน 3 ท่คี าร์บอนตำแหน่งที่ 3)
86 การเรยี นรู้ สอ่ื การเรยี นรู้ การประเมนิ ผลการเรยี นรู้ 9. นักเรียนมีความมุ่งมั่น ในการศกึ ษาหาความรู้จาก แหล่งข้อมูลที่ครูจัดไว้ให้ (ประเมินจากเกณฑก์ ารให้ คะแนนในการทำงานกลมุ่ ) างโมเลกลุ ของไนโตรจีนัสเบส ลีโอไทด์เชือ่ มติดกนั ด้วยพันธะ (phosphodiester bond)) มพันธะฟอสโฟไดเอสเตอร์ ยด้าน 3’ เป็นอย่างไร (จงวาด 5’ จะมหี มฟู่ อสเฟตทต่ี ิดอยู่ท่ีคาร์บอน 3’ จะมีหมู่ไฮดรอกซลิ (-OH) ที่ติดอยู่
จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ สาระการเรยี นรู้ กิจกรรมก ภาพท่ี 4 ปลา 5) จากการศึกษาปริมาณเบสท โมเลกลุ DNA ในสง่ิ มชี ีวิตชน ชนิด A : T และอัตราส่ว สิ่งมีชีวิตเหล่าน้ันมีค่าประม ชนิด A : T และอัตราส่วนระ เหล่านั้นมีคา่ ประมาณ 1) ภาพที่ 5 ตารางแสดงปร 6) จากผลการทดลองในตาราง สิ่งมีชีวิต นักเรียนคิดว่าเบส
การเรียนรู้ 87 สือ่ การเรยี นรู้ การประเมนิ ผลการเรยี นรู้ าย 5’ และปลาย 3’ ที่เป็นองค์ประกอบทางเคมีของ นิดต่าง ๆ อัตราส่วนระหว่างเบส นระหว่างเบสชนิด C : G ของ มาณเท่าใด? (อัตราส่วนระหว่างเบส ะหว่างเบสชนิด C : G ของสิ่งมีชีวิต ริมาณเบสใน DNA ของส่งิ มีชวี ติ งแสดงปริมาณเบสใน DNA ของ สชนิดใดที่น่าจะมีการจับคู่กันใน
จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ สาระการเรียนรู้ กิจกรรมก สาย DNA เพราะเหตุใด? ( น่าจะจับคูก่ บั G เนอื่ งจากมีปริม 2. เมื่อครูและนักเรียนอภิปราย ครใู ชส้ ่ือ PowerPoint นำสร ภาพท่ี 6 นิวค 2.1DNA เป็นพอลิเมอร์สา เล็กทส่ี ุดทเี่ รยี กวา่ “นิว ภาพท่ี 7 องคป์ ระกอ
88 การเรียนรู้ ส่อื การเรยี นรู้ การประเมินผลการเรียนรู้ (เบส A น่าจะจับคู่กับ T และเบส C มาณใน DNA ที่ใกล้เคยี งกันมาก) ยคำถามจากการทำกิจกรรมแล้ว รปุ ประเด็นตา่ ง ๆ อกี คร้ังดงั นี้ คลโี อไทด์ในสาย DNA ายยาว ประกอบด้วยหน่วยย่อยที่ วคลโี อไทด์ (nucleotide)” อบทางเคมีของนวิ คลีโอไทด์
จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ สาระการเรยี นรู้ กจิ กรรมก 2.2นิวคลีโอไทด์ประกอบ ได้แก่ น้ำตาลดีออกซีไ โตรจีนัสเบส (nitroge (phosphate group) ภาพท่ี 8 โครงสร้างทา 2.3ไนโตรจีนัสเบสออกเป็น ของโมเลกุล ได้แก่ ไนโ จะประกอบด้วยเบสที่ม ได้แก่เบสอะดีนีน (A (Guanine : G) ส่วนอีก กลุ่มไพริมีดีน (Pyrim โครงสร้างเป็นวงเดี่ยว T) และไซโทซีน (Cytos
89 การเรยี นรู้ สื่อการเรียนรู้ การประเมนิ ผลการเรยี นรู้ บขึ้นจากองค์ประกอบ 3 อย่าง ไรโบส (deoxyribose sugar) ไน enous base) และหมู่ฟอสเฟต างโมเลกุลของไนโตรจีนัสเบส น 2 กลุ่มตามลักษณะโครงสร้าง โตรจีนัสเบสกลุ่มพิวรีน (Purine) มีโครงสร้างเป็นวงติดกันสองวง Adenine : A) และเบสกวานีน กประเภทหนึ่งคือไนโตรจีนัสเบส midine) จะประกอบด้วยเบสที่มี ๆ ได้แก่เบสไทมีน (Thymine : sine : C)
จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ สาระการเรยี นรู้ กจิ กรรมก ภาพท่ี 9 การเช 2.4นิวคลีโอไทด์ในสาย D วคลีโอไทด์ โดยแต่ละ พันธะฟอสโฟไดเอสเ โดยนิวคลีโอไทด์ท่ีมาเช ให้เกิดพันธะฟอสโฟได โมเลกุล
การเรยี นรู้ 90 สอ่ื การเรยี นรู้ การประเมนิ ผลการเรยี นรู้ ช่อื มพันธะฟอสโฟไดเอสเตอร์ DNA เชื่อมต่อกันเป็นสายพอลีนิ ะนิวคลีโอไทด์จะเชื่อมกันด้วย ตอร์ (phosphodiester bond) ชื่อมต่อกัน 2 นิวคลีโอไทดจ์ ะทำ ดเอสเตอร์ 1 พันธะ และได้น้ำ 1
จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ สาระการเรยี นรู้ กจิ กรรมก ภาพที่ 10 ปล 2.5ในสาย DNA เมื่อมีการ ได้เป็นสายพอลีนิวคลีโ แล้วจะเกดิ ปลายอิสระส อยู่ที่คาร์บอนตำแหน่ง ปลาย 5’ (5 prime e (-OH) ติดอยู่ที่คาร์บอน ด้านน้ีวา่ ปลาย 3’ (3 p ภาพท่ี 11 ตารางแสดง
การเรียนรู้ 91 สื่อการเรียนรู้ การประเมินผลการเรยี นรู้ ลาย 5’ และปลาย 3’ รเชือ่ มต่อกันของนิวคลีโอไทด์จน โอไทด์สายยาว (หรือสาย DNA) สองด้าน ดา้ นที่มหี มู่ฟอสเฟตติด งที่ 5 เราจะเรียกปลายด้านนี้ว่า end) ส่วนด้านที่มีหมู่ไฮดรอกซิล นตำแหน่งที่ 3 เราจะเรียกปลาย prime end) งปรมิ าณเบสใน DNA ของสิง่ มชี ีวิต
จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ สาระการเรยี นรู้ กจิ กรรมก 2.6จากการศึกษาวิเคราะห ทางเคมีของโมเลกุล D นักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อ ว่าใน DNA ของสิ่งมีช ปริมาณของเบส A:T คา่ ประมาณ 1 ดังนั้นเบ T และเบส C จงึ นา่ จะม ซึ่งต่อมาเรียกเหตุกา (Chargaff’s rule)” 3. ครูและนักเรยี นร่วมกนั อภิปร ตอนที่ 2 โครงสรา้ งของ DNA 1) โครงสร้างของ DNA ที่เส Francis Crick กลา่ วไวว้ า่ อย (1. DNA ประกอบด้วย polyn และพันกันบิดเป็นเกลียวคู่ (d 2. เบส A ของสายหนึ่งตรงกับ สายหนึ่งตรงกับ G ของอีกสาย (complementary base pair เกลยี วแต่ละรอบหา่ งเท่า ๆ กนั แ
92 การเรยี นรู้ สอ่ื การเรยี นรู้ การประเมินผลการเรยี นรู้ ห์ปริมาณเบสที่เป็นองค์ประกอบ DNA ในสิ่งมีชีวิตชนิดต่าง ๆ โดย อว่า Erwin Chargaff ทำให้ทราบ ชีวิตทุกชนิด จะมีอัตราส่วนของ T และ C:G เท่า ๆ กัน โดยมี บส A จงึ นา่ จะมกี ารเข้าคู่กับเบส มีการเขา้ คู่กับเบส G ในสาย DNA ารณ์นี้ว่า “กฎของชาร์กาฟฟ์ รายตอบคำถามในตอนที่ 2 ดังน้ี สนอโดย James D. Watson & ยา่ งไรบ้าง (จงวาดภาพประกอบ) nucleotide สองสายเรียงสลับทิศกัน double helix) เวียนตามเข็มนาฬิกา, บ T ของอีกสายหนึ่ง และเบส C ของ ยหนึ่งเสมอ เรียกว่าเป็นเบสคู่สมกัน r) ยดึ กนั ดว้ ยพันธะไฮโครเจน และ 3. และมคี ู่เบสจำนวนเท่ากัน)
จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ สาระการเรยี นรู้ กิจกรรมก ภาพที่ 12 2) DNA 1 รอบเกลยี วมคี วามย ในรอบเกลยี วนน้ั มรี ะยะห่าง 1 รอบเกลยี วมคี วามยาว 34 อ ระยะหา่ งระหว่างคเู่ บส 3.4 องั 3) ถา้ สาย DNA ทม่ี ลี ำดับนิวค สาย DNA อกี สายหนึ่งทีม่ าเ อย่างไร? (3’ TAAGCAGAATC 4. เม่อื ครูและนักเรยี นอภปิ รา ครูใช้สื่อ PowerPoint นำส
การเรยี นรู้ 93 สอ่ื การเรียนรู้ การประเมนิ ผลการเรยี นรู้ 2 โครงสรา้ งของ DNA ยาวกอี่ งั สตรอม? และแต่ละคู่เบส งระหวา่ งคูเ่ บสกอี่ ังสตรอม? (DNA องั สตรอม แต่ละคเู่ บสในรอบเกลียวมี งสตรอม) ลโี อไทดเ์ ป็น 5’ ATTCGTCTTAGCCTA 3’ เข้าค่กู นั จะมลี ำดับนิวคลโี อไทด์ CGGAT 5’) ายคำถามจากการทำกจิ กรรมแล้ว สรุปประเดน็ ต่าง ๆ อกี ครงั้ ดงั นี้
จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ สาระการเรยี นรู้ กิจกรรมก ภาพที่ 13 โครงสร้าง X-r 4.1โครงสรา้ งของ DNA ได โดยนักวิทยาศาสตร์ส Wilkins & Rosalind ของ DNA ในหลอดแก จากการศึกษาในครั้ง ท่านทราบว่า DNA ม นิวคลีโอไทดม์ ากกวา่ 1 เกลยี วแตล่ ะรอบมรี ะย
การเรยี นรู้ 94 ส่อื การเรียนรู้ การประเมนิ ผลการเรยี นรู้ งของ DNA จากการศึกษาด้วยวธิ ี ray diffraction ดม้ ีการศึกษาอย่างจริงจงั ครั้งแรก สองท่านที่มีชื่อว่า Maurice H.F. Franklin โดยทำการศึกษาผลึก ก้วด้วยวิธี X-ray diffraction ซ่ึง งนี้ทำให้นักวิทยาศาสตร์ทั้งสอง มีโครงสร้างที่ประกอบด้วยพอลี 1 สาย มลี กั ษณะเปน็ เกลียว โดย ยะห่างเท่า ๆ กัน
จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ สาระการเรียนรู้ กิจกรรมก ภาพท่ี 14 โครงสร้างข 4.2James D. Watson นักวิทยาศาสตร์อีกส โครงสร้างของ DNA โ ของชาร์กาฟฟ์ที่กล่าว ชนดิ จะมอี ตั ราสว่ นขอ เท่า ๆ กัน โดยมีค่าปร การเข้าคู่กับเบส T แล เบส G ในสาย DNA โครงสร้างของ DNA H.F. Wilkins & Rosa ค้นพบวา่ สายพอลีนวิ ค พันธะไฮโดรเจนระหว เกิดระหวา่ งเบส A กับ เบส C กับ G จำนว
การเรียนรู้ 95 สอื่ การเรยี นรู้ การประเมนิ ผลการเรยี นรู้ ของ DNA ทเ่ี สนอโดยวตั สันและคริก n & Francis Crick เ ป็ น สองท่านที่สนใจศึกษาเกี่ยวกับ โดยทั้งสองท่านใช้ข้อมูลจากกฎ วว่า “ใน DNA ของสิ่งมีชีวิตทุก องปริมาณของเบส A:T และ C:G ระมาณ 1 ดงั นน้ั เบส A จงึ นา่ จะมี ละเบส C จึงน่าจะมีการเข้าคู่กับ A” และข้อมูลผลการศึก ษา ที่ได้ทำการศึกษาโดย Maurice alind Franklin ทำให้เขาทั้งสอง คลีโอไทดส์ องสายเช่ือมติดกนั ด้วย ว่างคู่เบส ซึ่งพันธะไฮโดรเจนจะ บ T จำนวน 2 พนั ธะ และระหวา่ ง วน 3 พันธะ ทั้งสองจึงเสนอ
จดุ ประสงค์การเรียนรู้ สาระการเรียนรู้ กจิ กรรมก โครงสร้างโมเลกุลขอ ดงั น้ี 1) DNA ประกอบด เรียงสลับทิศกัน (double helix) เ 2) เบส A ของสายห และเบส C ของสา เสมอ เรยี กวา่ เป็น base pair) ยึดกนั 3) เกลยี วแต่ละรอบห เท่ากนั
96 การเรียนรู้ สื่อการเรยี นรู้ การประเมนิ ผลการเรียนรู้ อง DNA ที่ได้รับรางวัลโนเบลล์ ้วย polynucleotide สองสาย นและพันกันบิดเป็นเกลียวคู่ เวียนตามเข็มนาฬกิ า หนึ่งตรงกับ T ของอีกสายหน่ึง ายหนงึ่ ตรงกับ G ของอกี สายหนึ่ง นเบสคู่สมกนั (complementary นดว้ ยพันธะไฮโครเจน ห่างเท่า ๆ กนั และมีคู่เบสจำนวน
จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ สาระการเรยี นรู้ กิจกรรมก ภาพที่ 15 โครงสรา้ งของ D มีการบดิ ครบ 1 รอบเกลยี ว 4.3แต่ละนวิ คลโี อไทดใ์ นโค อังสตรอม (oA) โดย อังสตรอม ในหนึ่งเกล โดยแต่ละคู่เบสจะม องั สตรอม 4.4DNA ประกอบดว้ ยนิว 4 ชนิด แต่โมเลกุลขอ หลายรูปแบบ ยกตัวอ โมเลกลุ เรียงกัน จะจดั แบบ (42 แบบ) ข้นั สอ่ื สาร 1. ครูให้นักเรียนจับคู่กัน โดยใ ประกอบด้วยนิวคลโี อไทดจ์ ำนวน จำนวนหนึ่งสาย แลว้ ใหเ้ พ่อื นอีก ของสาย DNA อีกสายหนึ่งที่จ ความเข้าใจเกี่ยวกับโครงสร้างข เบสค่สู ม ตามโครงสร้าง DNA ท ขนั้ ตอบแทนสังคม 1. ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มประด ความยาวประมาณ 20 คู่เบส โ
97 การเรียนรู้ สอ่ื การเรยี นรู้ การประเมนิ ผลการเรยี นรู้ DNA ที่แสดงให้เห็นความยาวของ DNA ท่ี ว และระยะหา่ งระหวา่ งคู่เบสในสาย DNA ครงสร้างเกลียวคู่มีระยะห่าง 20 เกลียวแต่ละรอบห่างกัน 34 ลียวจะประกอบด้วย 10 คู่เบส มีระยะห่างระหว่างคู่เบส 3.4 วคลีโอไทด์จำนวนมาก แม้ว่าจะมี อง DNA มีความแตกต่างกันได้ อย่างเช่น DNA มีนิวคลีโอไทด์ 2 ดเรยี งให้แตกต่างกันได้ท้ังสิ้น 16 ให้คนหนึ่งลองสร้างสาย DNA ที่ นประมาณ 10-15 นวิ คลีโอไทด์ กคนหนง่ึ บอกลำดับนิวคลีโอไทด์ ะมาเข้าคู่กัน เพื่อเป็นการสร้าง ของ DNA และการเข้าคู่กันของ ที่เสนอโดยวัตสนั และคริค ดิษฐ์โมเดล DNA กระดาษ ที่มี โดยให้นักเรียนกำหนดปลายด้าน
จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ สาระการเรยี นรู้ กิจกรรมก 5’ และปลายด้าน 3’ ของแต่ล ไทด์บนสาย DNA แต่ละสาย แล ประจำชนั้ เพอ่ื เป็นชอ่ งทางในกา
98 การเรียนรู้ สื่อการเรียนรู้ การประเมนิ ผลการเรยี นรู้ ละสาย และระบุลำดับนิวคลีโอ ลว้ นำผลงานไปตงั้ แสดงไว้ในห้อง ารทบทวนความรู้
โรงเรียนสรร กล่มุ สาระการเรยี นรู้วิทย แผนการจดั การเรียนรู้ เร ภาคการศึกษาปลาย ชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี 4/พ และ 4/1 สาระชีววทิ ยา 2. เขา้ ใจการถา่ ยทอดลักษณะทางพนั ธุกรรม การถ่ายทอดยีนบนโคร ดเี อน็ เอ หลกั ฐานขอ้ มูล และแนวคดิ เก่ียวกับวิวัฒนาการของส่งิ มีชีวิต กำเนิดของสง่ิ มชี ีวิต ความหลากหลายของสงิ่ มชี วี ติ และอนุกรมวิธาน ผลการเรียนรู้ ม.4/6 สืบคน้ ข้อมูล อธบิ ายสมบัติ และหน้าท่ีของสารพันธุกรรม โคร
99 รพยาวิทยา ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี รือ่ ง การสังเคราะห์ DNA รายวิชา ชีววทิ ยา2 ว30252 ผ้สู อน นายเรวตั ร อย่เู กิด รโมโซม สมบตั ิ และหน้าท่ขี องสารพนั ธุกรรม การเกิดมวิ เทชนั เทคโนโลยีทาง ต ภาวะสมดลุ ของฮาร์ดี-ไวนเ์ บิร์ก การเกิดสปชี ีสใ์ หม่ ความหลากหลายทางชวี ภาพ น รวมท้งั นำความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ รงสร้าง และองค์ประกอบทางเคมขี อง DNA และสรปุ การจำลองDNA
จดุ ประสงค์การเรียนรู้ สาระการเรียนรู้ กจิ กรรมก เ ม ื ่ อ จ บ ค า บ เ ร ี ย น ด้านความรู้ (K) ข้นั ตงั้ คำถาม (10 นาท)ี นักเรยี นสามารถ สารพันธุกรรมมีสมบัติในการ 1. ครูกล่าวทบทวนเก่ียวกับเรื่อ 1. บ อ ก ห น ้ า ท ี ่ของ เพิ่มจำนวนตัวเองได้ โดยมี สื่อ PowerPoint ประกอบ เอนไซมใ์ นกระบวนการ ลักษณะเหมือนเดิมเพื่อให้ สิ่งมีชีวิต นักเรียนทราบม สงั เคราะห์ DNA ได้ (K) สามารถถ่ายทอดลักษณะทาง หน่วยย่อยท่ีเลก็ ที่สุดที่เรียก 2. อธิบายขั้นตอนการ พันธุกรรมจากรุ่นพ่อแม่ไปยัง deoxyribose เป็นแกนขอ ไนโตรจีนัสเบสเกาะอยู่บน สงั เคราะห์ DNA ได้ (K) ร่นุ ลูกได้ เรยี งตวั กันของนิวคลโี อไทด 3. บันทึกความรู้ลงใน เ อ น ไ ซ ม ์ ท ี ่ ส ำ ค ั ญ ใ น แบบบันทึกกิจกรรมได้ กระบวนการสังเคราะห์ DNA (P) มที งั้ ส้ิน 7 ชนดิ ได้แก่ ในสายพอลีนิวคลีโอไทด์นี้เ ของลักษณะทางพันธุกรรม 4. ทำงานเป็นกลุ่มได้ 1. Helicase ทำหนา้ ทใ่ี นการ ในการควบคุมและถา่ ยทอด อย่างมีประสิทธิภาพ คลายเกลยี วของสาย DNA (A) และแยกสายพอลีนิวคลีโอ 5. มีวินัยในการรักษา เวลา (A) ไทด์ทั้งสองสายใน DNA 6. มีความมุ่งมั่นในการ ออกจากกัน ทำงาน (A) 2. Single-stranded 7. มีจิตสาธารณะใน binding protein ท ำ การแบ่งปันวัตถุหรือ หน้าที่ในการตรึงสายพอลี ภาพที่ 1 องค์ปร สิ่งของที่เป็นส่วนรวม นิวคลีโอไทด์ไม่ให้กลับไป (A) พันกันเป็นเกลียวใน ระหว่างท่ีกำลังสังเคราะห์ DNA
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416