90 บทท่ี 3 แบบจําลองทางคณติ ศาสตรของระบบ คณิตศาสตรว ิศวกรรมอิเล็กทรอนกิ ส v1 = - dvo RC dt ทําการหาปรพิ นั ธ t dvo 1 t dt dt = - RC v1 (t) dt 0 0 1 t Vo (t) = - RC v1(t ) dt 0 ดงั นนั้ เมอ่ื vc(t = 0) = vo(t = 0) = 0 ตัวอยางท่ี 3.24 จงหาอนุพนั ธข อง vo ถา vc (t = 0) = 0 vo ic iC vc v1u(t ) รปู ที่ 3.24 วงจรตวั อยางที่ 3.24 วธิ ีทาํ ข้นั ตอนท่ี 1 แทนออปแอมปด วยแบบจําลองวงจร ดงั นนั้ กระแสทีไ่ หลผานออปแอมป ขั้นตอนที่ 2 มคี า เปน ศนู ยทําใหก ระแสทไี่ หลผา นตัวตานทานคือ ic มีคา เปน ศนู ยด ว ย ขนั้ ตอนท่ี 3 มีการตอ สัญญาณเอาตพ ตุ ซึง่ เปน การปอ นกลับแบบลบยอนกลับมาท่ี ขัน้ ตอนท่ี 4 อินพุต จะไดการปอ นกลบั แบบลบ vn = vp = 0 จากกฎของโอหม Ric = vn– v0 = -v0 dvc d(v1 - vn ) dv1 กระแสของตัวเกบ็ ประจุ ic = C dt = C dt = C dt แทนคา ic ในสมการกฎของโอหม CRCddvdt1dvt1 = -v0 = -vRo จไุ รรัตนจ ินดา อรรคนติ ย
คณติ ศาสตรว ศิ วกรรมอเิ ล็กทรอนกิ ส บทท่ี 3 แบบจาํ ลองทางคณติ ศาสตรของระบบ 91 RC dv1 = -v0 dt = -RC = -RC dddvvt11 -v0 dt v0 (t) ตัวอยางท่ี 3.25 จากวงจรออปแอมปตอไปนีจ้ งเขียนสมการความสมั พันธ vA = - t vs (t ) dt vA 0 vS vo vo = 1-v0Avs-(vtB) + t vs (t) dt = vB 0 vB = -10vs (t) v0 (t) = 10 vs (t) + t vs (t) dt 0 รปู ท่ี 3.25 วงจรตวั อยางที่ 3.25 วิธที าํ ขน้ั ตอนท่ี 1 จากรูปดา นบนเปนวงจรที่มตี ัวเกบ็ ประจุ ซึง่ เปน วงจรแบบปรพิ นั ธ t ดังน้นั แรงดนั vA มีคา เปน vA = - vs (t) dt 0 C = 1/R R - vA vS + จไุ รรตั นจ นิ ดา อรรคนติ ย
92 บทท่ี 3 แบบจาํ ลองทางคณิตศาสตรของระบบ คณติ ศาสตรว ิศวกรรมอิเลก็ ทรอนกิ ส ขั้นตอนท่ี 2 จากรูปเปนวงจรแบบอนิ เวริ สตงิ แอมปลิไฟล คา แรงดนั เอาตพ ุต vB มคี าเปน vB = -10vs (t) R R- vB + ข้นั ตอนที่ 3 นาํ คาทงั้ 2 วงจร คอื วงจรปรพิ นั ธและวงจรอนิ เวอรติงแอมปลไิ ฟล มารวมกนั โดยใชว งจรอนิ เวอรสตงิ แอมปลิไฟลชุดที่ 2 คาแรงดัน vo มีสมการเปน vo = - vA - vB t vo = 10 vs (t) + 0 vs (t) dt vA = - t vs (t ) dt vA 0 vS vo vo = 1-v0Avs-(vtB) + t vs (t) dt = vB 0 vB = -10vs (t) ตอบ สมการของวงจร คอื vo = 10 vs (t) + t vs (t) dt 0 3.3 สรุป ในการเขียนแบบจําลองคณิตศาสตรสรางข้ึนเพื่อใชในการออกแบบและวิเคราะหการทํางาน ของระบบควบคุม และสังเกตพฤติกรรมทางพลวัตของระบบ ซึ่งสามารถใชสมการอนุพันธ ในการวิเคราะหการทํางานของระบบสวนประกอบสําคัญของระบบเชิงกล ประกอบดวย 3 สวน จไุ รรตั นจ ินดา อรรคนติ ย
คณติ ศาสตรว ศิ วกรรมอิเลก็ ทรอนกิ ส บทท่ี 3 แบบจําลองทางคณิตศาสตรของระบบ 93 คอื มวล สปริง และตัวหนวง โดยมวลจะทําหนาที่สะสมพลังงานจลน สวนสปริงจะเปนช้ินสวน ท่ีทําหนาที่สะสมพลังงานศักย และตัวหนวงจะทําหนาที่สรางแรงกระทําเพื่อตานการเคล่ือนท่ี สวนประกอบสาํ คญั ของระบบทางไฟฟา มี 3 สวน ไดแก ตวั ตานทาน ตัวเก็บประจุ และตัวเหนยี่ วนาํ ซึ่งตัวตานทานเปนอุปกรณท่ีใชในการตานทานการไหลของกระแสไฟฟา เพื่อทําใหกระแสและ แรงดันภายในวงจรไดขนาดตามท่ีตองการ ตัวเหนี่ยวนํา ประกอบดวยขดลวด พันรอบแกน คุณสมบัติของการเหนี่ยวนําไฟฟา ตัวเหนี่ยวนําชนิดตางๆ ตัวเหน่ียวนําจะมีคุณสมบัติ ในการเหน่ียวนําทางไฟฟาโดยเกิดขึ้นในรูปของสนามแมเหล็ก ภายในตัวเหน่ียวนําสวนตัวเก็บ ป ร ะ จุ เป น อุ ป ก ร ณ ที่ ใ ช ใ น ก าร เก็ บ ป ร ะ จุ แ ล ะ ส าม า รถ ค าย ป ร ะ จุ ใ น ก าร ส ร าง แ บ บ จํ าล อ ง ทางคณิตศาสตรข องระบบทางกลและระบบทางไฟฟา น้ันจาํ เปน ท่ีจะตองเขาใจพ้ืนฐานทางฟสิกส ของระบบทางกลและระบบทางไฟฟาจงึ จะสามารถสรางแบบจาํ ลองสมการไดอยา งถูกตอง จุไรรัตนจ นิ ดา อรรคนติ ย
94 บทที่ 3 แบบจําลองทางคณิตศาสตรของระบบ คณิตศาสตรว ิศวกรรมอเิ ลก็ ทรอนกิ ส แบบฝก หัดทายบทท่ี 3 1. จงอธบิ ายสวนประกอบของแบบจาํ ลองทางกลและแบบจาํ ลองทางไฟฟา 2. จงเขียนสมการความสัมพนั ธข องแรงดันไฟฟาของตัวเหน่ียวนาํ และตวั เก็บประจุ 3. จงเขียนสมการพลงั งานของสปริงและตวั หนว ง 4. จงเขยี นสมการเปรียบเทียบความสัมพันธข องกระแส และแรงดนั ไฟฟา ของตัวตานทาน ตวั เกบ็ ประจุและตัวเหนยี่ วนํา 5. จากวงจรวงจรอนกุ รม RLC ที่ไมม ีแหลง จายในรูปที่ 3.26 จงเขยี นสมการอนุพนั ธข องแรงดนั ใน วงจร vR vL vC รปู ที่ 3.26 วงจรอนกุ รม RL ตอบ d2vc + R dvc + vc = 0 dt 2 L dt LC 6. จากวงจรขนาน RLC ท่ีมีแหลงจายสัญญาณข้ันบันได ดังรูปท่ี 3.27 จงเขียนสมการอนุพันธของ กระแสทีไ่ หลในวงจร iR iL iC ISu (t) รูปที่ 3.27 วงจรขนาน RLC ทมี่ ีแหลงจายสญั ญาณขน้ั บันได ตอบ d2iL + 1 diL + iL = IS dt 2 RC dt LC LC จุไรรตั นจ นิ ดา อรรคนติ ย
คณิตศาสตรว ศิ วกรรมอิเล็กทรอนกิ ส บทที่ 3 แบบจําลองทางคณิตศาสตรของระบบ 95 7. จากรูปท่ี 3.28 รถยนตมวล m เคล่ือนที่ดวยความเร็วคงที่โดยระบบครุยสคอนโทรล โดย u เปน แรงท่ีเกดิ จากการเคล่ือนท่ีของลอ และความเรว็ ในการเคล่ือนที่ คือ v ซึ่งจะมีทศิ ทางตรงขาม กับการเคล่อื นท่ขี องรถยนต จงเขยี นสมการอนุพนั ธข องระบบ bv u va == xv = x รปู ท่ี 3.28 การเคล่ือนทข่ี องรถยนต (ท่มี า : http://ctms.engin.umich.edu/CTMS/index.php?example=CruiseControl§ion= SystemModeling#2) ตอบ mv + bv = u จุไรรตั นจ ินดา อรรคนติ ย
96 บทที่ 3 แบบจาํ ลองทางคณิตศาสตรของระบบ คณติ ศาสตรว ศิ วกรรมอเิ ลก็ ทรอนกิ ส เอกสารอา งอิง รชั ทนิ จนั ทรเ จรญิ , วรทิ ธิ์ อ้ึงอาภรณ. (2545) .ระบบควบคมุ เชิงเสน . สํานักพิมพ สง เสริม เทคโนโลยี (ไทย – ญีป่ ุน) Ismael Herrera and George Pinder. (2012). Mathematical modeling in science and engineering .Wiley. บทท่ี 1 แนะนาํ ระบบควบคมุ (Introduction to control systems). [ออนไลน] เขา ถึงไดจาก http//:www.fivedots.coe.psu.ac.th/Software.coe/240-209/vcrcontrol.pdf (วนั ทคี่ น ขอมูล 10 เมษายน 2556) บทที่ 3 แบบจําลองทางคณติ ศาสตร (Mathematical model). [ออนไลน] เขาถึงไดจาก http://cyberlab.lh1.ku.ac.th/elearn/faculty/aid/id76/chapter3.htm (วันท่ีคน ขอมลู 10 เมษายน 2556) Berlin Chen .Mathematical Modeling and Engineering Problem Solving. Department of Computer Science & Information Engineering.National Taiwan Normal University. [ออนไลน] เขา ถึงไดจ าก http://www. berlin.csie.ntnu.edu.tw/.../NM2012S- Lecture01-Modeling%...(วันทค่ี น ขอ มูล 10 เมษายน 2556) Chapter 3 Mathematical Modelin_R1 part1.docx.pdf. [ออนไลน] เขา ถึงไดจาก http://202.28.32.233/.../Chapter%203%20Mathematical%20Modelin_R1%20p (วนั ทค่ี น ขอ มลู 10 เมษายน 2556) Mihir Sen .Mathematical Analysis of Engineering Systems. Department of Aerospace and Mechanical Engineering University of Notre Dame 2008. [ออนไลน] เขา ถึงไดจ าก http://www3.nd.edu/~msen/Teaching/ EngAn/EngAnNotes.pdf (วนั ทคี่ น ขอ มลู 10 เมษายน 2556) จุไรรตั นจ นิ ดา อรรคนติ ย
บทที่ 4 สมการอนุพันธสามญั อันดับหนงึ่ ในบทนีจ้ ะเปนการศึกษาเกี่ยวกับสมการเชงิ อนพุ นั ธสามัญ (Ordinary differntial equation) และการประยุกตใชงานสมการโดยจะพจิ ารณาจากสมการที่งายทีส่ ดุ ไดแกส มการเชิงอนุพนั ธส ามัญ อันดับหน่ึงท้ังนี้เพ่ือนําไปเปนแนวทางพิจารณาถึงวิธีการแกสมการเชิงอนุพันธที่คอนขางยุงยาก ซง่ึ มคี วามสําคัญในทางปฏบิ ัติตอไป 4.1 บทนํา สมการเชิงอนุพันธเปนสมการที่ประกอบดัวยอนุพันธ (Derivative) ของฟงกชันตัวท่ีไมรูคา (Unknown function) ของ y(x) ซึ่งตองการที่จะกําหนดหรือหา y(x) น้ี สมการเชิงอนุพันธเกี่ยวของ กบั ทางวิศวกรรมละการประยุกตใชหลายอยาง เชน แบบจําลองเชิงคณิตศาสตรของปรากฏการณ ทางฟสิกสและระบบตางๆ สมการเชิงอนุพันธท่ีงายท่ีสุดสามารถหาคําตอบหรือหาผลเฉลยได โดยใชการหาอนุพนั ธเื บื้องตน ตัวอยางสมการเชงิ อนุพันธ ไดแก สมการอนุพันธสําหรับการหาระยะทางเชิงเสน x(t) ของมวล m ซึ่งเกิดจากการกระทําโดยแรง F(t) m d2x + kx = F (t ) (4.1) dt 2 รูปที่ 4.1 การเคลอ่ื นทใี่ นแนวตรงของรถไฟ (ที่มา : http://eduopp.wordpress.com/1dmotions/) จไุ รรัตนจ นิ ดา อรรคนติ ย
98 บทที่ 4 สมการอนพุ นั ธส ามญั อนั ดบั หนง่ึ คณิตศาสตรว ศิ วกรรมอิเล็กทรอนกิ ส สมการอนุพันธสําหรับหาคาของกระแส i(t) ในวงจร LC เมื่อ L คือคาความเหน่ียวนํา C คอื คา ความจุ และ E(t) คอื แหลง กําเนิดแรงดนั ไฟฟา L d2i + 1 i = dE (4.2) dt 2 C dt รปู ที่ 4.2 วงจรแบบอนกุ รมของตวั เกบ็ ประจุและตวั ตานทาน สมการเชงิ อนพุ ันธการเคลือ่ นท่ีในแนวดง่ิ ของจรวดของเลนซึ่งมมี วล (m) ท่ีประกอบดวยตวั ถัง และนํ้ ามัน เมื่อทําการปลอยจรวดของเลนข้ึนไปในอากาศโดยเริ่มตน ปลอยท่ีเวลา t0 โดยความสมั พนั ธข องการเผาพลาญนา้ํ มันเชอื้ เพลงิ ในเวลา t และมวลของจรวดเปน ไปตามสมการ ความสัมพันธ dm = - 1 t (4.3) dt 4 รูปที่ 4.3 การปลอ ยจรวดของเลนบังคับ จุไรรตั นจ นิ ดา อรรคนติ ย
คณติ ศาสตรว ศิ วกรรมอิเลก็ ทรอนกิ ส บทท่ี 4 สมการอนุพันธส ามัญอนั ดบั หนง่ึ 99 สมการอนุพนั ธของน้าํ หนักซ่ึงติดกบั สปรงิ ที่ขึ้นและลง เมือ่ S = ความยาวของสปริงท่ียืดออกมา ในเวลา t วนิ าที d2s + s = 0 (4.4) dt 2 รูปท่ี 4.4 การเคลอื่ นทขี่ องสปรงิ 4.2 สมการเชิงอนพุ ันธสามญั และอนั ดบั (Ordinary differential equations and order) นิยาม 4.1 สมการเชิงอนุพันธคือสมการท่ีประกอบดวยอนุพนั ธของตัวแปรท่ีเทียบกับ ตัวแปร อสิ ระ (ซึ่งอาจมีหลายตัวแปรก็ได) และตัวแปรทั้งสองแบบนี้ไดแก ตัวแปรตามและตัวแปรอิสระ ตวั อยา งของสมการเชิงอนพุ นั ธ เชน dy dx = x + 4 d2 y + 4 dy + 3 y = 0 dx dx 2 xy+ 2 y -5 = 0 y + 5( y)2 + y2 - cos x = 0 ( y)2 + ( y)2 + 2 y - x3 = 0 z z x - x x - z = 0 นิยาม 4.2 อันดับของสมการอนุพันธ คือ อันดับสูงสุดของอนุพันธท่ีปรากฏอยูในสมการน้ัน เชน 1. y-( y)2 = 4 xy เปนสมการเชิงอนพุ นั ธอนั ดับที่ 2 เพราะวาอนั ดับที่สูงสดุ ของอนุพนั ธค อื 2 จุไรรัตนจ นิ ดา อรรคนติ ย
100 บทท่ี 4 สมการอนพุ นั ธสามัญอนั ดับหนงึ่ คณติ ศาสตรว ศิ วกรรมอิเล็กทรอนกิ ส d3y 2 dy = 4xy3 d2y dx 3 dx dx 2 2. - เปนสมการเชิงอนุพันธอันดับท่ี 3 เพราะวาอันดับท่ีสูงสุด ของอนุพันธ คอื 3 นิยาม 4.3 สมการเชิงอนุพันธท่ีอยูในรูปเลขช้ีกําลังของอนุพันธอันดับตางๆ โดยจัดให มีเลขชี้กําลังเปนจํานวนเต็มบวกที่นอยที่สุด จะเรียกเลขชี้กําลังของอนุพันธอันดับที่สูงท่ีสุด ที่ปรากฏอยใู นสมการเชิงอนุพันธนัน้ วา ดกี รี (Degree) เชน dy 1. dx -3x2 y = 0 เปนสมการเชงิ อนพุ นั ธ อนั ดบั หน่ึง ดกี รหี นง่ึ 2. y2 - 2 y3 = 0 เปนสมการเชงิ อนุพนั ธอ ันดบั สอง ดีกรีสอง นิยาม 4.4 สมการเชิงอนุพันธ ซ่ึงประกอบดวยอนุพันธที่เทียบกับตัวแปรอิสระเพียงตัวเดียว มชี ือ่ วา สมการเชิงอนพุ นั ธส ามัญ (Ordinary differential equation) นิยาม 4.5 สมการเชิงอนุพันธ ซ่ึงประกอบดวยอนุพันธท่ีเทียบกับตัวแปรอิสระตั้งแตสองตัว ขึน้ ไป มีชือ่ วา สมการเชงิ อนพุ นั ธยอย (Partial differential equation) ซึง่ เปน สมการเชิงอนุพันธสามัญและอันดับ (Ordinary differential equations and order) คําวา สามัญ (Ordinary) ที่กําหนดขึ้นเพ่ือแสดงใหเห็นความแตกตางจากสมการเชิงอนุพันธยอย (Partial differential eaquation) ซ่ึงเกี่ยวของกับอนุพันธยอยของฟงกชันไมกําหนดคาของตัวแปร อิสระ (Independent variable) สองตัวหรือมากกวาสองขึ้นไป ดังตัวอยางเชน 2u + 2u = 0 x 2 y 2 เปนสมการเชิงอนุพันธยอยโดยที่ u เปนฟงกซันของตัวแปรอิสระสองตัวคือ x และ y ซ่ึงอาจ เขียนแทนไดดวย u = u(x ,y) ตวั อยางสมการเชงิ อนุพันธทส่ี าํ คญั คอื d2 y + dy - 2 xy = 0 เปนสมการเชิงอนุพนั ธสามัญ dx dx เปน สมการเชิงอนุพนั ธส ามญั 2 y3 -3y+ 4 y = 0 2u - 2u + 5xy -1 = 0 เปนสมการเชิงอนุพันธยอย x 2 y 2 สมการเชิงอนุพันธุมีอันดับ (Order) เปน n ถาอนุพันธที่ n ของตัวแปร y เทียบกับตัวแปร x เปน อนุพนั ธอันดับสูงสดุ ในสมการดังนั้นสมการเชิงอนุพันธอนั ดับทีห่ นึ่ง (First- order differential จไุ รรัตนจ นิ ดา อรรคนติ ย
คณิตศาสตรว ิศวกรรมอเิ ล็กทรอนกิ ส บทท่ี 4 สมการอนพุ ันธสามญั อันดับหน่ึง 101 equation) สามารถเขียนไดเปน yหรือ ddxy หรือ f (x) สวนสมการเชิงอนุพันธอันดับท่ีสอง d2y ซึง่ มี n = 2 สามารถเขียนไดเปน y หรือ dx 2 หรือ f (x) และสมการเชิงอนุพันธอนั ดับที่สาม ซ่ึงมี n = 3 สามารถเขยี นไดเปน y หรือ d3y หรือ f (x) dx3 4.3 ผลเฉลยของสมการเชิงอนุพนั ธ นิยาม 4.6 ฟงกช ันซึ่งไมอ ยูในรูปของอนุพันธของฟงกช ันและสอดคลองกบั สมการเชิงอนพุ ันธ วา ผลเฉลย โดยที่จะอยูในรูปของฟงกชันท่ีนิยามอยางชัดแจง (Explicicit function ) หรือฟงกชัน โดยปรยิ าย (Implicit function) ฟงกช นั ชัดแจง (Explicit function) คอื ฟง กชนั ทส่ี ามารถเขียนพจนของตวั แปรตามในพจนข อง ตัวแปรตนได ซงึ่ มรี ูปทั่วไป คอื y = f (x) เม่อื y เปน ฟงกช ันของ x เชน f (x) = 3x2 – 2x + 4 y = xx+-46 ฟงกชันโดยปริยาย (Implicit function) มีรูปท่ัวไป คือ f (x,y) = 0 ในบางฟงกชันไมสามารถ เขยี นพจนของตวั แปรตามในพจนของตัวแปรตนได หรอื เขียนไดห ลายกรณี เชน x2+y2 = 36 และ y เปนฟง กชนั ของ x ซึง่ สามารถเขยี น y ในพจนข อง x ไดเ ปน 2 คา คอื y = 36 - x2 หรือ y = - 36 - x2 เปน ตน การหาอนุพันธโดยปริยายน้ีทําไดโดยการหาอนุพันธทั้งสองขางของสมการท่ีกําหนด และ y หรือ ddyx เปนฟงกชันของ x ในการดําเนินการเชนนี้จะมีพจนของอนุพันธ y เทียบกับตัวแปร x (x) ลงใน อยูดวยแลว จัดรปู เพอ่ื หา ddxy ผลเฉลย (Solutions) ของสมการอาจหาจากการแทนที่ y = f สมการแลวทําใหสมการเปนจริงทุกคา ดังนั้น y = f (x) จึงเปนผลเฉลยของสมการชนิดผลเฉลย โดยชัดแจง ( Explicicit solutions) ตัวอยางที่ 4.1 จงแสดงวา y = -9x2 เปนผลเฉลยของสมการ ddxy = -18x วธิ ที าํ ขน้ั ตอนท่ี 1 โจทยก าํ หนด y = -9x2 ข้นั ตอนที่ 2 หาอนุพันธของฟงกช ัน จุไรรตั นจ ินดา อรรคนติ ย
102 บทที่ 4 สมการอนุพันธส ามัญอนั ดับหน่ึง คณติ ศาสตรว ิศวกรรมอิเล็กทรอนกิ ส dy = d(-d9xx2 ) dx dy dx = (-18x) ตอบ y = - 9x2 เปน ผลเฉลยของสมการ จากตัวอยางที่ 4.1 ได y = -9x2 เปนผลเฉลยของสมการ ddyx = (-18x) และยังได y = -9x2+ C เปนผลเฉลยของสมการอีกดวย โดยทุกผลเฉลยท่ีหาไดสามารถเขียนอยูในรูปแบบท่ีเหมือนกัน จงึ เรียกสมการ y = -9x2+ C เปน ผลเฉลยทั่วไป (General Solution) ของสมการ ตวั อยา งที่ 4.2 กําหนดให y = e7x จงแสดงวา y เปนผลเฉลยของสมการ dy +5y = 12e7 x dx วธิ ีทํา ข้ันตอนที่ 1 กําหนดให y = e7x ขนั้ ตอนที่ 2 หาอนพุ นั ธของ y จะได (dex7 x dy = d ) = 7e7 x dx ขั้นตอนที่ 3 หาคา 5y = 5 e7x แทนคา ddxy และ 5y ในสมการจะได ข้นั ตอนที่ 4 ddxy + 5y = 7e7x + 5e7x =12e7x ตอบ y = e7x เปน ผลเฉลยของสมการ ตัวอยางท่ี 4.2 มีผลเฉลยท่ัวไปคือ y = e7x + Ce-5x โดย C เปนคาคงตัวท่ีไมเจาะจง (Arbitrary constant) ตวั อยา งท่ี 4.3 กาํ หนดให y = 3e-4x – xe-4x จงแสดงวา y เปนผลเฉลยของสมการ d2 y + 8 ddyx + 16y = 0 dx 2 วธิ ที ํา ข้นั ตอนท่ี 1 กาํ หนดให y = 3e-4x - xe-4x ข้นั ตอนท่ี 2 หาอนุพันธอ ันดับหนงึ่ ของ y จะได ขนั้ ตอนที่ 3 dddxyy dx = ddx (3e-4x- xe-4x) = 12e-4x+ 4xe-4x หาอนุพันธอ ันดับสองของ y จะได dy dx = ddx (3e-4x- xe-4x) จไุ รรตั นจ นิ ดา อรรคนติ ย
คณติ ศาสตรว ศิ วกรรมอิเล็กทรอนกิ ส บทที่ 4 สมการอนุพนั ธส ามญั อนั ดบั หน่งึ 103 d2y = d (-12e-4x- 4xe-4x) dx 2 dx2 d2y dx 2 = 48e-4x- 16xe ข้นั ตอนท่ี 4 แทนคา dy และ d2y ในสมการ dx dx 2 d2 y + 8 ddyx + 16y = 0 จะได dx 2 (48e-4x- 16xe-4x) + 8(-12e-4x+ 4xe-4x)+16(3e-4x- xe-4x) = 0 48e-4x- 16xe-4x- 96e-4x + 32xe-4x +48e-4x - 16xe-4x = 0 96e-4x- 96e-4x+ 32xe-4x- 32xe-4x = 0 ตอบ แสดงวา y = 3e-4x – xe-4x เปนผลเฉลยของสมการ d2y +8 dy +16y = 0 dx 2 dx ผลเฉลยท่ัวไป คือ y = C1e-4x - C2e-4x โดย C1 และ C2 เปนคาคงตัวท่ีไมเจาะจง (Arbitrary constant) สํ า ห รั บ ส ม ก ารเชิงอนุ พั น ธ ส า มั ญอันดับที่หนึ่ง 2x + y3+ (3xy2 - e-2y) ddyx = 0 มีผลเฉลย ของสมการเปน x2 + xy3 + 12 e-2y = 0 ซึ่งอยูในรูปของฟงกชันโดยปริยาย F(x,y) = 0 จะเรียก ผลเฉลยชนิดน้ีวา ผลเฉลยโดยปริยาย (Implicit solution) ของสมการ หรอื เขียนอยูในรูปทวั่ ไป คือ F(x,y) = C สําหรบั สมการในตวั อยางที่ 4.2 และ 4.3 คาคงตัว C ,C1 และ C2 เปนคาคงตวั ทไ่ี มเ จาะจง จํานวนคาคงตัวท่ีไมเจาะจงที่ปรากฏในผลเฉลยทั่วไปจะมีจํานวนตรงกับตัวเลขที่ช้ีอันดับสูงสุด ของอนุพันธของสมการน้ัน ในตัวอยางท่ี 4.1 และ 4.2 จะมีคาคงตัวที่ไมเจาะจงอยู 1 คาและ ในตัวอยางท่ี 4.3 มอี ยู 2 คา สําหรับผลเฉลยของสมการเม่ือมีการกําหนดเงื่อนไขเริ่มตน (Initial conditions) หรือเง่ือนไข ขอบเขต (Boundary conditions) จะทําใหคาคงตัวท่ีไมเจาะจงมีคาแนนอนจึงทําใหผลเฉลยทั่วไป เปล่ยี นเปนผลเฉลยเฉพาะราย (Particular solutions) โดยจาํ นวนคา คงตัวยังไมเ ปล่ยี นแปลง สมการเชงิ อนุพนั ธแ ตล ะสมการไมจําเปนวาจะตองมีผลเฉลยเพยี งฟงกชนั เดียว การตรวจสอบ วาฟงกชันใดจะเปนผลเฉลยของสมการเชิงอนุพันธนั้นหรือไมก็สามารถตรวจสอบไดโดยการ แทนคาอนุพันธตางๆ ในสมการเชิงอนุพันธ ถาสมการนั้นเปนจริงก็แสดงวา ฟงกชันนั้น เปนผลเฉลยของสมการเชิงอนุพันธ นน้ั จไุ รรตั นจ นิ ดา อรรคนติ ย
104 บทที่ 4 สมการอนุพนั ธสามญั อันดบั หนงึ่ คณติ ศาสตรว ศิ วกรรมอเิ ล็กทรอนกิ ส ตวั อยา งท่ี 4.4 สมการเชิงอนพุ นั ธ dy - cos x = 0 จงหาผลเฉลยของสมการตอ ไปน้ี dx วธิ ีทาํ ขั้นตอนที่ 1 กาํ หนด y = sin x ข้ันตอนท่ี 2 หาอนพุ ันธของ y จะได ddddyxxy = d(sdinx x) = cos ในสมการ จะได x ขั้นตอนท่ี 3 แทนคา cos x - cos x = 0 เปนจริง dy ตอบ ดังน้นั y = sin x เปน ผลเฉลยของสมการ dx - cos x = 0 นอกจาก y = sin x เปนผลเฉลยของสมการ dy - cos x = 0 แลว y = sin x +2 และ y = sin x - 3 dx ddxy - cos x = 0 เชนกัน หรือ y = sin x + C เม่ือ C เปนคาคงท่ีใดๆ ซ่ึงก็เปนผลเฉลยของสมการ เรียกคําตอบของสมการซ่ึงมีคา เปน y = sin x + 2 วาเปนผลเฉลยเฉพาะซึ่งจะเปนคําตอบท่ีแนนอน และเรียก y = sin x + C วา ผลเฉลยทวั่ ไป ตวั อยา งท่ี 4.5 จงแสดงวา y = ex2 เปนผลเฉลยของสมการ dy - 2xy =0 dx วิธีทํา ข้ันตอนท่ี 1 กาํ หนด y = ex2 จะได ข้ันตอนที่ 2 หาอนพุ ันธข อง y จะได dy = d(dexx2 ) = 2x ex2 dx แทนคา ddyx และ y ในสมการจะได ข้ันตอนท่ี 3 ddxy - 2xy = 0 2xex2 -2xex2 = 0 ตอบ y = ex2 เปนผลเฉลยของสมการ ddxy - 2xy = 0 ตัวอยางที่ 4.6 กาํ หนด y = esin x จงแสดงวา y เปน ผลเฉลยเฉพาะรายของสมการ ddyx = y cos x เมือ่ ddyx = y cos x เม่ือ y(/2) = e วธิ ีทํา ข้นั ตอนที่ 1 กําหนดให y = esin x ขนั้ ตอนที่ 2 หาอนุพนั ธของ y จะได จุไรรตั นจ ินดา อรรคนติ ย
คณิตศาสตรว ิศวกรรมอเิ ล็กทรอนกิ ส บทท่ี 4 สมการอนุพันธส ามญั อนั ดับหน่งึ 105 ddxy = d(edsxin x ) ddxy = esin x(cos x) dy ข้ันตอนท่ี 3 แทนคา y และ dx ในสมการ จะได ddyx = y cos x esin x(cos x) = esin x(cos x) esin x(cos x) - esin x(cos x) = 0 ขัน้ ตอนท่ี 4 ดงั น้ัน y = esin x เปน ผลเฉลยของสมการ ข้นั ตอนท่ี 5 จากเงือ่ นไขเรมิ่ ตน y(/2) = e แทนคา y = esin x = esin( /2) = e ตอบ น่ันคอื y = esin x เปนผลเฉลยเฉพาะรายของสมการ 4.4 การแกส มการเชงิ อนพุ ันธอนั ดบั หนงึ่ การแกสมการเชิงอนุพันธเปนการหาฟงกชันซึ่งเมื่อนํามาแทนคาในสมการเชิงอนุพันธแลว ทําใหสมการดังกลาวนั้นเปนจริง สมการอันดับหนึ่งแบงเปนประเภทตางๆ โดยอาศัยรูปแบบ ของสมการแบงไดด ังน้ี คอื 1. สมการแบบแยกตัวแปรได (Separable equations) 2. สมการแบบเอกพันธ (Homogeneous equations) 3. สมการแมน ตรง (Exact equations) 4. สมการเชิงเสน (Linear equations) 4.4.1 สมการแบบแยกตัวแปรได (Separable equations) 4.4.1.1 รปู แบบสมการเชงิ อนุพันธแบบแยกตัวแปรได มีรูปแบบท่วั ไปดงั น้ี M ( x) + N ( y ). dy = 0 (4.5) dx พิจารณาสมการเชิงอนุพันธ M(x,y)dx + N(x,y)dy = 0 เปนสมการเชิงอนุพันธ แบบแยกตัวแปรไดก็ตอเมอ่ื สามารถจัดสมการใหอยูในรูป M(x)dx + N(y)dy = 0 โดยท่ี M(x) และ N(y) เปนฟงกชันของ x และ y ตามลาํ ดับ จากสมการเชิงอนุพันธแบบแยกตวั แปรได M(x)dx + N(y)dy = 0 จไุ รรตั นจ นิ ดา อรรคนติ ย
106 บทที่ 4 สมการอนพุ นั ธส ามัญอันดับหนง่ึ คณติ ศาสตรว ศิ วกรรมอิเลก็ ทรอนกิ ส จะได M (x ) + N ( y ). dy = 0 dx เม่อื y = y(x) เปน ผลเฉลยของสมการ จะได M (x) + N ( y(x)) y = 0 ทําการหาปริพนั ธเ ทยี บกบั ตัวแปร x ท้ังสองขาง จะได M (x)dx + N ( y(x))ydx = C เม่อื C เปน คาคงตัว เน่ืองจาก dy = y(x)dx จะได M(x)dx + N (y)dy = C ดงั น้นั ผลเฉลยทวั่ ไปของสมการที่ (4.5) คอื M(x)dx + N (y)dy = C ตวั อยางของสมการเชิงอนุพันธแบบแยกตวั แปรได เชน dy 1. 2 x +1 + ( y2 - 3) dx = 0 ซ่ึง M(x) = 2x + 1 และ N(y) = y2 - 3 2. 2 x 2+ ( y -1). ddyx =0 ซ่งึ M(x) = 2x2 และ N( y) = y -1 4.4.1.2 วิธกี ารแกส มการแบบแยกตวั แปรได ข้ันตอนท่ี 1 จดั สมการใหอ ยใู นรปู M(x)dx + N(y)dy = 0 ข้ันตอนท่ี 2 ทาํ การหาปรพิ นั ธข อง M(x) และ N(y) จะได M(x)dx + N(y)dy = 0 ขน้ั ตอนที่ 3 จดั สมการใหอ ยูใ นรปู ผลเฉลยท่ัวไป หรือผลเฉลยเฉพาะ 4.4.2 การหาคําตอบท่ัวไปของสมการแบบแยกตวั แปรมี 4 ชนดิ ดว ยกัน คือ 4.4.2.1 รปู ของสมการเปน ddxy = M (x) จดั สมการใหอ ยใู นรปู dy = M (x)dx ทําการหาปรพิ ันธท ัง้ สองขางของสมการจะได dy = M(x)dx ดังนัน้ ผลเฉลยท่ัวไป มคี า เปน y = M(x)+C จไุ รรัตนจ ินดา อรรคนติ ย
คณติ ศาสตรว ศิ วกรรมอเิ ลก็ ทรอนกิ ส บทที่ 4 สมการอนพุ ันธสามญั อันดบั หนึง่ 107 ตวั อยา งที่ 4.7 จงหาผลเฉลยทว่ั ไปของสมการตอ ไปน้ี dy = 4x + 3 dx วิธที าํ ขัน้ ตอนที่ 1 จดั สมการใหอ ยูในรปู dy = M (x)dx จะได dy = (4 x + 3)dx ขน้ั ตอนที่ 2 หาผลเฉลยโดยหาปริพันธข องสมการ dy = 4xdx + 3 dx y = 4 x22 = + 3x + C ตอบ ผลเฉลยทวั่ ไปของสมการ คอื y = 2x2 + 3x + C 4.4.2.2 รปู ของสมการเปน dy = MN ((yx)) dx จัดสมการใหอยูใ นรปู N(y)dy = M(x)dx ทําการหาปรพิ ันธทงั้ สองขา งของสมการจะได N(y)dy = M(x)dx ดังนน้ั ผลเฉลยท่ัวไป มคี า เปน N(y)= M(x)+C ตวั อยางที่ 4.8 จงหาผลเฉลยทวั่ ไปของสมการตอ ไปน้ี dy = 45x+y 3 dx วิธที าํ ขนั้ ตอนท่ี 1 จดั สมการใหอ ยูในรปู N(y)dy = M(x)dx (5y)dy = (4x+3)dx ขน้ั ตอนที่ 2 ทาํ การหาปริพันธท งั้ สองขา งของสมการจะได N(y)dy = M(x)dx (5y) dy = (4x + 3) dx 5y2 2 = 4 2x 2 + 3x + C y2 = 25 (2x2 + 3x + C ) y = 52 (2x2 + 3x +C) ตอบ ผลเฉลยท่ัวไปของสมการ คือ y = 52 (2x2 + 3x +C) จุไรรตั นจ นิ ดา อรรคนติ ย
108 บทท่ี 4 สมการอนพุ นั ธสามัญอนั ดับหนึ่ง คณติ ศาสตรว ิศวกรรมอิเล็กทรอนกิ ส 4.4.2.3 รูปของสมการเปน dy = ky dx จดั สมการใหอยใู นรปู dy = (ky)dx และนํา y ไปหารท้ังสองขา งของสมการจะได 1y dy = k dx ทาํ การหาปรพิ นั ธท ั้งสองขา งของสมการจะได 1y dy = k dx ln y = kx + C จดั สมการเพ่ือเขยี นผลเฉลยในรูปตวั แปร y eln y = e(kx+C) y = ekx .eC y = C.ekx ตวั อยา งท่ี 4.9 จงหาผลเฉลยท่ัวไปของสมการตอไปน้ี ddyx = 4 y วิธีทํา ข้ันตอนท่ี 1 จดั รูปสมการ dy = (ky)dx dy = (4 y)dx ข้นั ตอนที่ 2 นํา y ไปหารทั้งสองขา งของสมการจะได ขัน้ ตอนท่ี 3 1y dy - 4dx = 0 ทําการหาปรพิ ันธทง้ั สองขา งของสมการจะได 1y dy - 4 dx = 0 dx ln y - 4x = C ln y = 4x + C ขั้นตอนที่ 4 เขียนผลเฉลยของสมการในรปู ตวั แปร y ey = e4x+C y = e4x.eC = C.e4x ตอบ ผลเฉลยทัว่ ไปของสมการ คือ y = C.e4x จุไรรัตนจ นิ ดา อรรคนติ ย
คณิตศาสตรว ศิ วกรรมอิเล็กทรอนกิ ส บทที่ 4 สมการอนพุ นั ธส ามัญอนั ดบั หนงึ่ 109 4.4.2.4 รูปของสมการเปน dy = k(A- y) dx จัดสมการใหอ ยใู นรูป dy = k(A- y)dx นํา A- y ไปหารท้งั สองขางของสมการจะได A1-y dy = k dx ทาํ การหาปริพันธท ้งั สองขา งของสมการจะได A1-y dy = k dx -dA(A-y-y) = kx + C d(AA--yy) = -(kx + C) ln(A-y) = -(kx - C) eln(A-y) = e-(kx+C) A - y = e-kx.e-C A - y = Ce-kx y = A - Ce-kx ตัวอยางท่ี 4.10 จงหาผลเฉลยท่ัวไปของสมการตอ ไปน้ี ddyx = 5(3- y) วิธีทาํ ขน้ั ตอนท่ี 1 จัดสมการใหอยใู นรปู dy = k(A - y)dx dy = 5(3 - y) dx ขน้ั ตอนท่ี 2 นาํ (3- y) ไปหารทง้ั สองขา งของสมการจะได (31- y) dy = 5dx (31- y) dy - 5dx = 0 ขนั้ ตอนท่ี 3 หาผลเฉลยโดยทําการหาปรพิ นั ธจะได 31- y dy - 5 dx = 0 จาก d(3- y) = -dy จะได -d(3- y) = dy -d3(3--yy) dy -5x = 0 -d3(3--yy) dy = 5x -ln(3 - y) = 5x + C ln(3- y) = -(5x + C) จุไรรัตนจ นิ ดา อรรคนติ ย
110 บทที่ 4 สมการอนพุ ันธส ามญั อนั ดบั หนง่ึ คณติ ศาสตรว ิศวกรรมอิเล็กทรอนกิ ส eln(3-y) = e-(5x+C) eln(3-y) = e-5x. e-C 3 - y = e-5x. C ตอบ ผลเฉลยท่ัวไปของสมการ คือ y = 3 - e-5x. C ตัวอยางท่ี 4.11 จงหาผลเฉลยของสมการ ddxy = 2xy2 วิธีทาํ ข้นั ตอนท่ี 1 จัดสมการใหอ ยใู นรปู dy = (ky)dx 1 dy = 2xy2dx y2 ข้นั ตอนท่ี 2 คณู ท้งั 2 ขางของสมการ จะได 1 dy = 2x dx y2 1 -2x dx + y2 dy = 0 ขนั้ ตอนที่ 3 หาผลเฉลยโดยทําการหาปรพิ นั ธจะได 1 (-2x)dx + y2 dy = 0 -22x2 + -y1 = C (C เปน คา คงตวั ไมเจาะจง) ข้ันตอนท่ี 4 จัดสมการในรปู y = x เพื่อหาผลเฉลยจะได -x2 + -y1 = C -y1 = x2 + C 1 y = - x2+C ตอบ ผลเฉลยทว่ั ไปของสมการ คอื y = - 1 x2+C ตวั อยางท่ี 4.12 จงหาผลเฉลยท่ัวไปของสมการ (4xy)dx + (x2 + 1)dy = 0 วธิ ที ํา ขน้ั ตอนที่ 1 จัดรปู สมการแบบแยกตวั แปร ข้ันตอนท่ี 2 นํา (x2+1) มาลบท้ังสองขา งสมการ (4xy)dx = - (x2 + 1)dy 1 นํา - x 2 +1 มาคณู ทัง้ สองขางสมการ - 4x dx = 1y dy x 2 +1 จุไรรตั นจ นิ ดา อรรคนติ ย
คณิตศาสตรว ิศวกรรมอิเล็กทรอนกิ ส บทที่ 4 สมการอนุพนั ธส ามญั อันดับหนงึ่ 111 ขัน้ ตอนที่ 3 หาผลเฉลยโดยทาํ การหาปริพนั ธจะได 4 x 1y dy x2 +1 dx = ให u = x2 + 1 du = 2x dx จะได 2 u1 du = 1y dy -2 ln |u| + ln C = ln y - ln |u|2 + ln C = ln y C ln u2 = ln y y = C = C u2 (x2 +1) C ตอบ ผลเฉลยทั่วไปของสมการ คือ y = (x2 +1) ตวั อยา งท่ี 4.13 จงแกส มการตอ ไปนโี้ ดยใชก ารแยกตวั แปร tan dr + 2r dθ = 0 วิธที ํา ขน้ั ตอนที่ 1 จดั รปู สมการแบบแยกตวั แปร tan dr + 2r d = 0 tan dr = - 2r dθ 2-1r dr = tan1 θ dθ ข้ันตอนท่ี 2 ทาํ การหาปรพิ ันธท ้ัง 2 ขา งของสมการ - 21r dr = - tan1 θ dθ - 21r dr = cot θdθ - 12 ln |r| = ln |sinθ | + ln |C| r-12 = C sinθ 1 r = C sinθ 1 = r C sin θ 1 r = (C sin θ)2 ตอบ ผลเฉลยท่ัวไปของสมการ คือ r = 1 (C sin θ)2 จุไรรัตนจ ินดา อรรคนติ ย
112 บทท่ี 4 สมการอนพุ นั ธส ามญั อนั ดบั หนง่ึ คณติ ศาสตรว ศิ วกรรมอิเล็กทรอนกิ ส ตัวอยางที่ 4.14 จงหาผลเฉลยทว่ั ไปของสมการ dy = 2 xy dx วิธที ํา ข้ันตอนที่ 1 จดั สมการแบบแยกตัวแปร dy = 2 xy dx ขัน้ ตอนที่ 2 นําตัวแปร y มาหารทงั้ สองขางของสมการจะได 1y dy = 2 1x dx ขนั้ ตอนท่ี 3 ทาํ การหาปริพนั ธท ้ัง 2 ขา งสมการจะได 1y dy = 2 1x dx จะได ln y = 2 ln x + C ln y - 2 ln x = C ln y - ln x2 = C ln y =C y x2 x2 = eC y = x2eC ตอบ ผลเฉลยทัว่ ไปของสมการ คือ y = x2eC ตัวอยา งท่ี 4.15 จงแกส มการเชิงอนุพนั ธ y = 1+ y2 วธิ ที ํา ข้นั ตอนที่ 1 จากโจทยกาํ หนดให y = 1+ y2 เขยี นสมการใหมเ ปน ขัน้ ตอนท่ี 2 ddxy = 1+ y2 จัดรูปสมการใหอยใู นรูปแบบสมการแบบแยกตัวแปร dy = (1+y2)dx นาํ (1+ y2) มาหารทัง้ สองขา งของสมการจะได 1 (1+ y 2 ) dy = dx ข้นั ตอนท่ี 3 ทาํ การหาปริพันธท ง้ั สองขา งของสมการจะได 1 (1+ y 2 ) dy = 1 dx จากสตู รการหาปริพันธ 1 du = tan-1u + C u2 +1 จะได 1 dy = 1 dx (1+ y2 ) tan-1y = x + C จุไรรตั นจ นิ ดา อรรคนติ ย
คณติ ศาสตรว ศิ วกรรมอิเลก็ ทรอนกิ ส บทท่ี 4 สมการอนุพนั ธสามัญอนั ดับหนง่ึ 113 y = tan (x + C) ตอบ ผลเฉลยทัว่ ไปของสมการ คอื y = tan (x + C) ตวั อยางที่ 4.16 จงหาผลเฉลยของสมการ eyy= 3t -1 เม่ือ y(0) = 1 วธิ ีทํา ข้ันตอนที่ 1 โจทยก ําหนดให eyy= 3t -1 เขียนสมการเปน ข้นั ตอนท่ี 2 e y ddyt = 3t -1 จัดสมการแบบแยกตัวแปรจะได eydy = (3t -1)dt ขน้ั ตอนที่ 3 ทําการหาปริพนั ธท งั้ สองขางของสมการ ข้ันตอนท่ี 4 e ydy = (3t -1)dt e ydy = (3t)dt - 1dt e y = 32t2 -t + C หรือ y = ln( 32t2 -t +C ) เปน ผลเฉลยทวั่ ไปของสมการ แทนคา y(0) = 1 ในผลเฉลยทวั่ ไปจะได y(0) = ln( 3(02)2 - 0 + C) 1 = ln(0 - 0 + C ) 1 = ln(C ) จะได C = e แทนคา C ในผลเฉลยทวั่ ไปจะได y = ln( 32t2 -t + e) ตอบ ผลเฉลยเฉพาะของสมการเม่ือ y(0) = 1 คอื y = ln( 32t2 -t + e) ตวั อยา งที่ 4.17 จงหาผลเฉลยของสมการตอ ไปน้ี 7yy+2x = 0 วธิ ีทํา ขน้ั ตอนท่ี 1 โจทยก ําหนดให 7yy+2x = 0 เขียนสมการเปน ขั้นตอนท่ี 2 dy 7 y dx + 2x = 0 จัดสมการแบบแยกตัวแปร 7 y ddxy = - 2x 7ydy = -2xdx จไุ รรตั นจ ินดา อรรคนติ ย
114 บทที่ 4 สมการอนพุ นั ธส ามัญอันดับหน่ึง คณติ ศาสตรว ิศวกรรมอเิ ล็กทรอนกิ ส ขนั้ ตอนท่ี 3 ทําการหาปรพิ นั ธท ง้ั สองขา งของสมการ 7ydy = -2xdx 7 y22 = - 22x2 + C 2772 2 -x2 +C y 2 = x2 =C y + ตอบ ผลเฉลยทวั่ ไปของสมการ คอื 27 y2 + x2 = C ตวั อยา งท่ี 4.18 จงหาผลเฉลยของสมการตอไปน้ี (1 + x 2 ) dy = 2 x ( y -1) dx วิธีทาํ ข้ันตอนท่ี 1 จัดรูปสมการใหอยูในรูปแบบสมการแบบแยกตวั แปร (1+ x2 )dy = 2x( y -1)dx นาํ (1+x2) มาหารทง้ั สองขางของสมการ จะได 2x dy = (1+x2 ) ( y -1)dx นาํ (y-1) มาหารทง้ั สองขางของสมการ จะได yd-y1) ( = 2x ) dx (1+x2 ขนั้ ตอนที่ 3 ทาํ การหาปริพันธท งั้ สองขางของสมการ yyu111--11duddyy===lnu11u+2+dxxCu2=กdาํlxnหuน+ดใCห= uln=(yy จากสตู ร -1 และ du = dy จะได -1) +C 2x สาํ หรบั 1+x2 dx กําหนดให v = 1 + x2 และ dv = 2x dx 21x dv หรอื dx = 2x 2vx 21x 1+x2 dx = dv ดังน้ัน y1-1 dy = = 1+21vxx2dvd=x ln v +C = ln(1+ x2 ) +C ln(y-1) = ln(1+x2) + ln C ln(y-1) = ln((1+x2) .C) จากคณุ สมบตั ิของลอการิทึมจะได ( y -1) = (1+ x2 ).C จไุ รรตั นจ นิ ดา อรรคนติ ย
คณิตศาสตรว ศิ วกรรมอิเลก็ ทรอนกิ ส บทท่ี 4 สมการอนุพนั ธส ามัญอนั ดบั หน่ึง 115 y = (1+ x2 ).C +1 ตอบ ผลเฉลยท่ัวไปของสมการ คือ y = (1+ x2 ).C +1 4.5 สมการเชงิ อนุพันธสามญั อันดบั หนงึ่ กบั การประยกุ ตใ ชง านทางไฟฟา 4.5.1 สมการแบบแยกตวั แปร จะมคี า เปน ตวั แปร x และ ตัวแปร t คือเวลาโดยจะมสี มการเปน dx dt + ax = 0 (4.6) 4.5.2 วธิ กี ารแกส มการ ข้นั ตอนที่ 1 จัดสมการใหอยูในรปู แบบแยกตวั แปร ขน้ั ตอนที่ 2 dx dt = - ax 1x dx = - adt ทําการหาปริพนั ธเ พือ่ หาผลเฉลย 1x dx = - a dt ln x = - at + k ซ่ึง k = คา คงท่ี ขนั้ ตอนที่ 3 หาคา คงท่ี k เมือ่ เวลา t = 0 และ x (0+) จะได ln x (0+) = k ขนั้ ตอนที่ 4 แทนคา k = ln x (0+) ในสมการ ln x = - at + k ln x = - at + ln x (0+) ln x - ln x (0+) = -at ln x = -at x(0+ ) x x(0+ ) = e-at x = x (0+)e-at x = x (0+)e-at จไุ รรัตนจ ินดา อรรคนติ ย
116 บทที่ 4 สมการอนุพนั ธสามัญอันดับหนงึ่ คณติ ศาสตรว ิศวกรรมอิเล็กทรอนกิ ส 4.5.3 การสะสมพลงั งานของอุปกรณ ตารางที่ 4.1 การเกบ็ สะสมพลังงานของตัวอปุ กรณ ตวั แปร ตัวเหนี่ยวนาํ ตวั เกบ็ ประจุ สัญลักษณแ ละทศิ ทางการไหล แรงดัน v = L di v = C1 t i d + v(0) กระแส dt กาํ ลังไฟฟา L1 0 dv พลังงาน dt i = t vd + i(0) i = C สภาวะคงตวั 0 di dv dt dt P = Li P = Cv W = 1 Li 2 W = 1 Cv2 2 2 ลัดวงจร เปดวงจร กระแสคงท่ี แรงดันคงท่ี 4.5.4 การพิจารณาการทํางานของวงจรท่สี ภาวะเรมิ่ ตน 4.5.4.1 ถาวงจรประกอบดวยตัวตานทานและตัวเหน่ียวนําตออนุกรมกัน (RL Series Circuit) ตามรูปท่ี 4.5 t = 0+ รูปท่ี 4.5 วงจรตวั ตา นทานและตวั เหน่ียวนําตอ อนกุ รมที่สภาวะเรมิ่ ตน จากรูปท่ี 4.5 สัญลักษณ แทนสวิตชปด หมายความวา กอนหนาน้ีวงจร อยใู นสภาวะปดกอ นแลวจึงเปดออก ดังน้ันจะไดว งจรตามรปู ท่ี 4.6 จไุ รรัตนจ นิ ดา อรรคนติ ย
คณติ ศาสตรว ศิ วกรรมอเิ ลก็ ทรอนกิ ส บทท่ี 4 สมการอนุพันธส ามญั อนั ดบั หน่งึ 117 RR V LV i(0) L is short circuited รปู ท่ี 4.6 เมอ่ื สวติ ชป ด วงจร ท่เี วลา t < 0 เสมือนวาตัวเหนี่ยวนําลัดวงจรสามารถหาคากระแส iL ไดดังน้ี i (0-) = V (เมื่อ i (0-) คือ R คากระแสไฟฟาทส่ี ภาวะเริ่มตน (Initial condition) 4.5.4.2 ถาวงจรประกอบดวยตัวตานทานและตัวเหนีย่ วนําตอผสมกันลกั ษณะดงั รปู ที่ 4.7 R1 t = 0+ R2 รูปท่ี 4.7 วงจร RL ตออนกุ รมกับ R R1 R2 i(0- ) รูปที่ 4.8 วงจรทาํ งานทีส่ ภาวะเรม่ิ ตน พิจารณาท่ีสภาวะเริ่มตนน้ันตัวเหน่ียวนําจะเสมือนลัดวงจรดังน้ันไมมีกระแสไหลผาน ตัวตานทาน R2 ดังน้ันสามารถหาคากระแสที่สภาวะเรมิ่ ตนไดดังน้ี V i(0-) = R1 (4.7) จุไรรตั นจ นิ ดา อรรคนติ ย
118 บทท่ี 4 สมการอนพุ ันธส ามญั อนั ดบั หนง่ึ คณิตศาสตรว ิศวกรรมอิเล็กทรอนกิ ส 4.5.4.3 ถาวงจรประกอบดวยตัวตานทานและตัวเก็บประจุตออนุกรมกัน (RC Series Circuit) ดังรปู ที่ 4.9 t = 0+ vc รปู ท่ี 4.9 วงจรแบบอนกุ รม RC การพิจารณาการทํางานของตัวเก็บประจุใสภาวะเร่ิมตน ตัวเก็บประจุจะเสมือนวาเปด วงจรดังนน้ั แรงดันทตี่ กครอ มตวั เกบ็ ประจุ (vc) จะมคี า เทา กับแรงดันท่ีแหลงจา ยไฟ (V) vc vc รปู ท่ี 4.10 การทาํ งานของตวั เก็บประจใุ นสภาวะเรมิ่ ตน vc (0-) = V (4.8) 4.5.4.4 ถาวงจรประกอบดวยตวั ตา นทานและตวั เกบ็ ประจตุ อผสมกันดงั รปู ที่ 4.11 R1 t 0+ R2 รปู ท่ี 4.11 วงจร RC เม่อื ตอ ขนานกับ R จไุ รรัตนจ ินดา อรรคนติ ย
คณติ ศาสตรว ศิ วกรรมอเิ ลก็ ทรอนกิ ส บทที่ 4 สมการอนุพันธสามัญอันดบั หน่ึง 119 เม่ือพิจารณาที่สภาวะเร่ิมตนเม่ือสวิตชอยูท่ีตําแหนงท่ี 1 ตัวเก็บประจุจะทําหนาที่ในการ สะสมพลงั งานและเสมือนวาตัวเก็บประจุเปดวงจรอยู คาแรงดันของตัวเก็บประจุทสี่ ภาวะเร่ิมตน จะมีคา เทากับแรงดันที่แหลงจาย vc (0-) = V R1 vc (0- ) รูปที่ 4.12 ทสี่ ภาวะเรมิ่ ตน 4.5.4.5 การหาคาสภาวะเริม่ ตน ของวงจรทซี่ ับซอ นยงิ่ ขน้ึ R1 R3 t=0 V R2 R4 L L is short circuited รปู ท่ี 4.13 การพจิ ารณาสภาวะเร่มิ ตน ของวงจรท่ซี ับซอ น เมื่อพจิ ารณาที่สภาวะเร่มิ ตนตัวเหน่ยี วนําจะเสมอื นกบั ลดั วงจรดังน้ันจะไมม ีกระแสไหล ผา นตวั ตานทาน R2 และตัวตานทาน R4 จไุ รรัตนจ นิ ดา อรรคนติ ย
120 บทที่ 4 สมการอนพุ ันธสามัญอนั ดับหนึ่ง คณิตศาสตรว ศิ วกรรมอิเล็กทรอนกิ ส R1 R3 V1 R2 R4 i(0- ) รูปท่ี 4.14 ทสี่ ภาวะเร่ิมตน ของตัวเหนย่ี วนาํ จะลัดวงจร ดงั นั้นสามารถหาคาของกระแสท่ไี หลในวงจรทสี่ ภาวะเรม่ิ ตน ไดจากสมการ V i(0-) = R1 +1R3 (4.9) 4.5.4.6 พิจารณาวงจรการตอแบบผสมสาํ หรับตวั ตา นทาน ตัวเหนีย่ วนําและตัวเกบ็ ประจุ R1 1 2 t 0 R2 R3 รูปที่ 4.15 วงจรการตอแบบผสมของ RLC R1 vc VR2 R2 รูปท่ี 4.16 การทํางานที่สภาวะเริ่มตน จุไรรตั นจ นิ ดา อรรคนติ ย
คณิตศาสตรว ิศวกรรมอิเลก็ ทรอนกิ ส บทที่ 4 สมการอนุพันธส ามัญอนั ดับหน่ึง 121 ในสภาวะเร่ิมตนสวิตชอยูทีต่ ําแหนงที่ 1 สําหรับการทํางานท่ีสภาวะเร่ิมตนตัวเก็บประจุ จะเสมือนเปดวงจร และตัวเหนี่ยวนําจะเสมือนลัดวงจรตามรูปที่ 4.15 ดังน้ันแรงดัน VR2 เทากับ แรงดันที่ตกครอมตัวเก็บประจุ vc (0-) = VR2 (4.10) และจากกฎของการแบง แรงดนั สามารถหาคา แรงดนั ทตี่ กครอ ม VR2 ไดตามสมการ VR2 = R1 R V +2R2 (4.11) ตวั อยา งที่ 4.19 จงหาคาผลตอบสนองทางธรรมชาตขิ องกระแสเหน่ียวนํา iL ของวงจรในรูปที่ 4.17 R1 S1 vs = Vo iL รปู ที่ 4.17 วงจรการตอ ตวั ตานทานและตวั เหนีย่ วนํา วธิ ที าํ ขน้ั ตอนที่ 1 หาคาการทาํ งานทสี่ ภาวะเรมิ่ ตน ท่ีเวลา t = 0+จะไดวา สวติ ช S1 จะปด วงจร ดังน้ันคาตัวเหนี่ยวนําจะเสมือนกับลัดวงจร จึงไมมีกระแสไหลผาน ตวั ตา นทาน R R1 S1 vs = Vo iL (0+ ) ไมมกี ระแสไหลผาน R iL (0+) = VRo1 ลัดวงจร จไุ รรัตนจ ินดา อรรคนติ ย
122 บทที่ 4 สมการอนุพันธสามญั อนั ดบั หนึง่ คณิตศาสตรว ิศวกรรมอิเล็กทรอนกิ ส ขนั้ ตอนท่ี 2 ท่เี วลา t 0 สวติ ช S1 จะเปด ออกทําใหต ัวเหนยี่ วนาํ และตวั ตานทาน ตอ กันอยู ใชห ลกั การของลูปจะได VLLdd+itLV+R RiL = 0 = 0 vs = Vo iL ข้นั ตอนท่ี 3 dditL + RL iL = 0 ขน้ั ตอนท่ี 4 ไดสมการอนพุ ันธส ามัญอนั ดบั 1 คอื dditL + RL iL = 0 ข้นั ตอนที่ 5 ทาํ การแยกตวั แปร dditL = - RL iL dditL = - RL dt ทาํ การหาปรพิ ันธจ ะได diiLL = - RL dt ln iL = - RL t + K หาคาคงท่ี K เมือ่ เวลา t = 0 และ iL(0+) จะได ; คา K เปน คาคงท่ี (เนอื่ งจาก ใชส ัญลักษณ C แลว) iL(0+) = VRo1 แทนคา iL(0+) ln iL = - RL t + K ln iL(0+) = - RL (0) + K VRo1 ln = K จไุ รรตั นจ นิ ดา อรรคนติ ย
คณติ ศาสตรว ิศวกรรมอเิ ล็กทรอนกิ ส บทที่ 4 สมการอนุพนั ธส ามัญอันดบั หนงึ่ 123 ขัน้ ตอนที่ 6 แทนคา K = ln VRo1 จะได ln iL = - RL t + VRo1 ln iL – ln VRo1 = - RL t ln VRiLo1 = - RL t [คณุ สมบัติ ln xy = ln x - ln y] VRiLo1 = e- R t [คณุ สมบตั ิ ln e y = ax มีคา เปน y = eax] L iL = VRo1 e- R t L ตอบ ผลตอบสนองทางธรรมชาติของกระแสเหนีย่ วนาํ iL มคี าเปน iL = VRo1 e- R t L x = x(0+) e- at ตวั อยางที่ 4.20 จงหาผลตอบสนองทางธรรมชาติ (Natural response) สําหรับตัวเก็บประจุ vc ในรูปท่ี 4.18 R1 t0 vs = Vo vc รปู ที่ 4.18 วงจรตวั อยา งท่ี 4.16 จุไรรัตนจ ินดา อรรคนติ ย
124 บทที่ 4 สมการอนุพันธส ามัญอันดบั หนึง่ คณติ ศาสตรว ศิ วกรรมอเิ ล็กทรอนกิ ส วิธที ํา ขน้ั ตอนที่ 1 หาคาทสี่ ภาวะเร่ิมตน เมือ่ t = 0+ จะไดว งจรดงั รูป R1 a คา ตวั เก็บประจจุ ะเหมอื นกับเปด วงจร vs = Vo +-vc(0+) vc(0+) = Vo ขน้ั ตอนที่ 2 หาสมการท่เี วลา t 0 จะไดว งจรดังรปู จากกฎกระแสของเคอรชอฟท จะได vc iC + iR = 0 iC ซ่งึ iC = C ddvtc และ iR= vRc iR C ddvtc + vRc = 0 ขน้ั ตอนที่ 3 ddvtc + RvCc = 0 ไดส มการอนุพันธส ามญั อันดับหน่งึ คือ ขั้นตอนที่ 4 ddvtc + RvCc = 0 ddvtc = - RvCc v1c dvc = - R1C dt ทําการหาปรพิ นั ธ จะได 1 dvc = - R1C dt vc ln vc = - R1C t + K 1 vc = e- RC t+K ตอบ ผลตอบสนองทางธรรมชาตสิ าํ หรับตัวเก็บประจุ vc คอื e - 1 t +K RC จุไรรตั นจ นิ ดา อรรคนติ ย
คณิตศาสตรว ศิ วกรรมอเิ ล็กทรอนกิ ส บทท่ี 4 สมการอนุพันธสามญั อนั ดับหน่ึง 125 ตวั อยา งที่ 4.21 จงหาคา vCที่ t 0 vc 200 รูปที่ 4.19 วงจรตวั อยางที่ 4.17 วิธที าํ ขัน้ ตอนท่ี 1 พจิ ารณาคา t = 0- จะไดว า ตวั เกบ็ ประจุ C เสมอื นเปด วงจร vc(0-) = 5 V vc (0-) ขั้นตอนท่ี 2 เมอื่ t = 0+ ; สวิตชอ ยทู ีต่ าํ แหนง 2 iC vc iR ic + iR = 0 Cddtvc + iR =0 ddvtc + iCR =0 ซง่ึ iR = vRc จะได ddvtc + RvCc = 0 ใชวิธีการแยกตวั แปร จไุ รรตั นจ นิ ดา อรรคนติ ย
126 บทท่ี 4 สมการอนุพนั ธส ามญั อันดับหน่งึ คณติ ศาสตรว ศิ วกรรมอิเล็กทรอนกิ ส ขนั้ ตอนท่ี 3 ในกรณี ตวั แปร x คือ vc ตัวแปร y คือ t ddvtc = R-vCc 1 1 vc dvc = - RC dt ขน้ั ตอนที่ 4 ทําการหาปริพันธท งั้ สองขา ง โดย RC เปนคาคงท่ี 1 vc dvc = - 1 dt RC 1 ln vc = - RC t + K หมายเหตุ K = คา คงที่ (เนอ่ื งจากใชสัญลกั ษณ C แลว ) ขนั้ ตอนที่ 5 หาคา K โดยทราบ vc (0-) = 5 V แทนคา t = 0-ในสมการ ln vc = - 1 t + K จะได RC 1 ln vc(0-) = - RC (0) + K ln vc(0-) = K ข้นั ตอนท่ี 6 จะได K = ln vc(0-) จะได 1 RC ln vc = - t + ln vc (0- ) ln vc - ln vc(0-) = - 1 t = RC vc 1 ln vc (0- ) - RC t vc = e- R1C t vc (0-) vc = vc(0-) e-R1C t ตอบ คา vC ท่ีเวลา t > 0 มีคาเปน vc = vc(0-) e-R1Ct ตัวอยางท่ี 4.22 ถังผสมสารละลายเกลือมีขนาดความจุ 10 ลิตร มีเกลือในถัง 20 กิโลกรัม โดยมีมอเตอรทาํ หนาที่กวนสารละลายในถังใหเขากนั จนกระท่ังไมมีเม็ดเกลือเหลืออยู ซ่ึงปริมาตร ของน้ําบริสุทธ์ทิ ไ่ี หลเขามอี ตั ราการไหลเขา 3 ลติ ร/นาที และอัตราการไหลออกของสารละลายเกลอื 2 ลิตร/นาที จงหาปรมิ าณของเกลือทีเ่ หลืออยใู นถงั เม่ือเวลาผานไป 5 นาที จไุ รรัตนจ ินดา อรรคนติ ย
คณิตศาสตรว ิศวกรรมอิเลก็ ทรอนกิ ส บทที่ 4 สมการอนพุ ันธส ามญั อนั ดับหน่ึง 127 รปู ท่ี 4.20 การผสมการละลายในแทงค (ทมี่ า : http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/X3530954/X3530954.html ) วธิ ีทํา ขนั้ ตอนท่ี 1 เขยี นสมการอนุพนั ธอันดบั 1 โดยพจิ ารณาเง่ือนไขความสมั พันธ ของตัวแปรตางๆ ดังน้ี กาํ หนดให P(t) = ปรมิ าตรของสารละลายทีอ่ ยใู นถงั ท่เี วลา t วินาที V0 = ปริมาตรของสารละลายตงั้ ตน P = ปรมิ าณของเกลอื โดย V0 = 10 ลติ ร ปริมาตรของสารละลายทไ่ี หลเขา = อตั ราการไหลเขา เวลาอตั รา ไหลเขา 3 ลติ ร/นาที ปรมิ าตรของสารละลายทไี่ หลเขา = 3 ลิตร/นาที t = 3t ปรมิ าตรของสารละลายทไ่ี หลออก = อตั ราการไหลออก เวลาอัตรา ไหลออก 2 ลติ ร/นาที ปรมิ าตรของสารละลายทีไ่ หลออก = 2 ลิตร/นาที t = 2t ปริมาตรของสารละลายในถัง = ปรมิ าตรของสารละลายตงั้ ตน + ปริมาตรสารละลายที่ไหลเขา – ปรมิ าตรสารละลายทไ่ี หลออก ปริมาตรของสารละลายในถงั P(t) = 10 ลิตร + 3t -2t P(t) = 10 - t จไุ รรัตนจ นิ ดา อรรคนติ ย
128 บทที่ 4 สมการอนุพันธสามญั อันดับหน่ึง คณติ ศาสตรว ศิ วกรรมอิเล็กทรอนกิ ส ความเขมขน ของสารละลาย = นํา้ หนักของของแขง็ / ปรมิ าตรของ สารละลาย ความเขมขน ของสารละลาย = P/10 - t dP dt = อัตราการเปล่ียนแปลงของสารละลายในถงั ผสม - อตั ราการไหลออก ของสารละลาย dP P 2P dt = - 10 + t 2 = - 10 + t ข้ันตอนท่ี 2 ทําการแกสมการโดยใชว ธิ กี ารแกส มการแบบแยกตัวแปร 2P dP = - 10 + t dt 2P dP = - 10 + t dt 1 dP = - 2 t dt P 10 + ทําการหาปริพนั ธท ้ังสองขางสมการจะได P1dP 2 = - 10 + t dt ln P = -2 ln 10 + t +C ln P = ln 10 + t -2 +C โดยที่ C เปน คา คงท่ี ln P = ln C 10 + t -2 P = C 10 + t -2 แตเน่ืองจากสภาวะท่ีเปนลบหรือเวลานอยกวา 0 ไมสามารถหาคา ปรมิ าณของน้ําเกลือได ดงั นน้ั จงึ พิจารณาเฉพาะทเี่ วลามากกวาศูนยเ ทา น้ันจะได P = C 10 + t -2 P = C (10 + t)2 ดงั นั้นสมการท่ีเวลา t ใดๆ มีคาเปน P = C t)2 (10 + หาคาคงที่ C ที่สภาวะเร่มิ ตน t = 0 ภายในแทงคบรรจเุ กลือ 20 kg จะได ที่เวลา t = 0 ; P(0) = 20 แทนในสมการทีเ่ วลา t ใดๆ จะได P = C t)2 (10 + จุไรรัตนจ นิ ดา อรรคนติ ย
คณิตศาสตรว ศิ วกรรมอิเล็กทรอนกิ ส บทที่ 4 สมการอนุพนั ธสามัญอนั ดบั หนึ่ง 129 20 = C (10 + 0)2 20 = C 100 C = 2000 ขั้นตอนท่ี 3 คาํ นวณหาคา ปริมาณเกลอื ทเ่ี วลา t = 5 จะได 2000 P(5) = (10 + 5)2 = 2000 = 8.89 kg 152 ตอบ ปรมิ าณของเกลือในแทงคเมือ่ ผา นไป 5 นาที จะเหลืออยู 8.89 kg ตัวอยางที่ 4.23 ชางทําดาบนําแทงเหล็กเขาเตาเผาเพื่อใหความรอน จนกระทั่งเหล็กมีอุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียส จึงนําออกมาวางไวในหองท่ีมีอุณหภูมิคงที่ 0 องศาเซลเซียส เม่ือเวลาผานไป 10 นาที อุณหภูมิของแทงเหล็กลดลงมีคาเปน 50 องศาเซลเซียส จงหาสมการของอุณหภูมิของ แทง เหล็ก ณ เวลา t ใด ๆ และเวลานานเทาใดแทง เหลก็ จะมีอณุ หภมู ลิ งลงเปน 30 องศาเซลเซยี ส รปู ที่ 4.21 การใหความรอนกบั แทงเหล็ก (ทีม่ า : http://www.amphawaknife.com/?cid=753969) วธิ ีทาํ ขั้นตอนท่ี 1 เขยี นสมการความสัมพนั ธเชงิ อนพุ นั ธ กาํ หนดให T = อุณหภมู ขิ องแทงเหลก็ ณ เวลา t ใดๆ (C) Tm = อณุ หภมู ิหอ งซงึ่ มอี ณุ หภมู คิ งที่ 0C (C) dT dt = อตั ราการเยน็ ลงของแทง เหล็ก ณ เวลา t (C/t) t = เวลา (min) จุไรรัตนจ ินดา อรรคนติ ย
130 บทที่ 4 สมการอนุพันธส ามัญอันดบั หนง่ึ คณติ ศาสตรว ศิ วกรรมอิเลก็ ทรอนกิ ส จากสมการการเยน็ ตัวของวัตถเุ ปน ไปตามสมการความสมั พนั ธด ังน้ี dT dt +kT= kTm โจทยก ําหนดใหอุณหภูมิหองมีคา คงที่ 0C แทนคา Tm = 0 ในสมการได dT dt + kT = 0 ขนั้ ตอนท่ี 2 ทําการแกส มการแบบแยกตัวแปร ซงึ่ มตี วั แปร 2 ตัวแปร ไดแก ตวั แปร T ขัน้ ตอนท่ี 3 และ t dT dt + kT = 0 dT = -kT dt 1 T dT = -k dt ทาํ การหาปรพิ นั ธท งั้ สองขางของสมการจะได 1 T dT = -k dt ln T = -kt + C1 ln T = C1- kt T = eC1-kt T = eC1.e-kt ; (C1 = คาคงท)ี่ หาคา คงที่ C1 โดยพิจารณาท่ีสภาวะเร่ิมตน t = 0 วินาที T = 100C แทนคา ในสมการจะได 100 = eC1.e-k(0) = eC1 = C ผลเฉลยเฉพาะมคี าเปน T = 100.e-kt หาคาคงที่ k เม่ือเวลาผานไป 10 นาที (t = 10 ) อุณหภูมิลดลงเปน 50C (T = 50) แทนคาในสมการจะได 50 = 100.e-k(10) 50 100 = e-10k 0.5 = e-10k ln (0.5) = ln e-10k จุไรรตั นจ ินดา อรรคนติ ย
คณิตศาสตรว ิศวกรรมอเิ ลก็ ทรอนกิ ส บทที่ 4 สมการอนุพันธสามญั อันดบั หนึง่ 131 ln (0.5) = -10 k 1 k = 10 (ln 0.5) = 0.06931 ดังน้นั สมการอุณหภูมทิ เ่ี วลา t ใดๆ มีคา เปน T = 100 e-0.06931t ขน้ั ตอนที่ 4 ตองการหาคา เวลาทจี่ ะทําใหอ ุณหภูมลิ ดลง 30C แทนคาในสมการ T = 100 e-0.06931t 30 = 100 e-0.06931t 30 100 = e-0.06931t ln 30 = ln e-0.06931t 100 -1.2039 = -0.6931l t -1.2039 t = -0.0639 = 17.37 นาที ตอบ อุณหภูมขิ องเหลก็ ลดลง 30C ท่เี วลา 17.37 นาที ตวั อยางที่ 4.24 กลองส่ีเหล่ียมกลองหน่ึงถูกแรงกระทําใหเคลื่อนที่ในแนวราบดวยความเร็วตน 10 m/s และความเรง 4 m/s2 เมื่อ t = 0 วัตถุจะอยูหางจากจุดเริ่มตน 20 m จงหาความเร็วและ ตําแหนงของกลอ งสเี่ หล่ียมนเี้ มื่อเวลาใดๆ รูปท่ี 4.22 การเคล่ือนทใี่ นแนวราบ (ทม่ี า : http://2simquality.blogspot.com/) วิธที าํ ข้ันตอนท่ี 1 เขยี นสมการความสัมพันธ โดยจําลองการทํางานของระบบตามกฎการ เคลอ่ื นทข่ี องนิวตนั ปริมาณทเ่ี กี่ยวขอ ง ไดแก มวลของวัตถุ =m ความเร็วของวัตถุ = v แรงท่ีกระทาํ ตอวตั ถุ = F จุไรรตั นจ นิ ดา อรรคนติ ย
132 บทที่ 4 สมการอนพุ ันธส ามญั อนั ดบั หนึง่ คณิตศาสตรว ิศวกรรมอิเลก็ ทรอนกิ ส เมือ่ โมเมนตมั ของวัตถุ คอื มวลของวตั ถุ ความเรว็ ของวตั ถุ M=mv dM d(mv) dt dt อัตราการเปลีย่ นแปลงโมเมนตัม คอื = จากกฎการเคลื่อนท่ขี องนวิ ตัน d(mv) F dt d(mv) หรือ dt = kF ; เมื่อ k = คาคงที่ ในกรณเี ปน วตั ถุคงมวล คา k = 1 ดงั น้ันจะได d(mv) dt = F จากรปู ที่ 4.22 แรงท่ีกระทําภายนอก คือ F = ma แทนคาในสมการจะได dv m dt = ma dv = a dt โจทยก าํ หนดใหค วามเรงมคี าเปน 4 m/s2 แทนคา a = 4 m/s2 จะได dv dt = 4 ข้ันตอนที่ 2 แกสมการแบบแยกตวั แปรระหวา งตวั แปร v และ ตัวแปร t จะได ขนั้ ตอนท่ี 3 dv dt = 4 dv = 4 dt ทําการหาปริพันธท ้ังสองขา งของสมการ จะได dv 4dt v = 4t + C1 ; (C1 = คา คงท)ี่ หาคาคงที่ C1โดยพจิ ารณาท่สี ภาวะเรมิ่ ตน เม่อื t = 0 s ,v(0) = 10 m/s จะได v(0) = 4(0) + C1 = 10 C1 = 10 ดงั นน้ั สมการความเรว็ ทเี่ วลา t ใดๆ มีคาเปน v = 4t + 10 หาสมการความสมั พนั ธระหวา งระยะทางและความเร็ว จากความสัมพนั ธ dx dt = v แทนคา v จากสมการขางตน จะได จุไรรัตนจ ินดา อรรคนติ ย
คณิตศาสตรว ิศวกรรมอิเล็กทรอนกิ ส บทท่ี 4 สมการอนุพนั ธส ามัญอนั ดบั หน่ึง 133 dx = 4t + 10 dt ทําการแกสมการแบบแยกตวั แปรระหวางตวั แปร x และ ตวั แปร t จะได dx = 4t dt + 10 dt ทําการหาปริพันธท ้งั สองขา งของสมการจะได dx 4tdt 10dt t2 x = 4 2 + 10t = 2t2 + 10t +C2 ; (C2 = คา คงท่)ี เม่อื t = 0 s , x = 20 m แทนคา ในสมการหาคา C2 x = 2 t2+ 10t + C2 20 = 2(0)2+ 10(0) + C2 C2 = 20 ตอบ ตําแหนง ของวัตถุทเ่ี วลา t ใดๆ เปน x = 2t2 + 10t + 20 ตวั อยางท่ี 4.25 กอนหินมวล 0.5 kg ถูกโยนขึ้นไปในแนวด่ิงดวยความเร็วตน 10 m/s ซึ่งคา แรงโนมถวงมีคา g =9.8 m/s2 สมการการเคลื่อนทข่ี องกอ นหินและความเรว็ วัตถุนี้เม่ือเวลา t ใดๆ มีคา เปนอยางไร และวัตถจุ ะใชเ วลานานเวลาเทาใดถงึ จะถึงจดุ สูงสุด ในกรณไี มค ิดแรงตา นอากาศ รปู ที่ 4.23 การเคลื่อนทข่ี องกอ นหินในแนวดิง่ (ทมี่ า : https://krutussanee.wordpress.com) วธิ ีทาํ ขนั้ ตอนท่ี 1 สรา งสมการความสมั พนั ธจากกฎของนิวตนั จะไดว า แรงทีก่ ระทาํ ตอวตั ถุ จะมคี าเทากับแรงโนมถว งของโลกซ่ึงมีทิศทางตรงขามการเคล่ือนท่ขี อง วัตถุ โดยกอ นหนิ เคลื่อนที่ดวยความเรว็ ตน 10 m/s dvy m dt =F ซ่ึง F = -mg จุไรรัตนจ นิ ดา อรรคนติ ย
134 บทท่ี 4 สมการอนพุ ันธสามญั อันดบั หนึ่ง คณิตศาสตรว ศิ วกรรมอิเลก็ ทรอนกิ ส หรอื m dvy = -mg dt โจทยก ําหนดให m = 0.5 kg และ g = 9.8 m/s2 แทนคา ในสมการจะได dvy dt = - 9.8 ขัน้ ตอนท่ี 2 ทาํ การแกสมการโดยใชก ารแยกตวั แปร ซ่งึ มีตวั แปรทีเ่ กี่ยวขอ ง 2 ตัวแปร ไดแก ตัวแปร v และตวั แปร t จะได dvy dt = - 9.8 dvy = -9.81 dt ทาํ การหาปริพนั ธท ง้ั สองขา งของสมการ dvy -9.81dt vy = -9.81 dt + C1 ; (C1 = คา คงท)ี่ สมการความสมั พนั ธท่ีเวลา t ใดๆ มคี า เปน vy = -9.81 dt + C1 หาคา C1 โดยพิจารณาท่สี ภาวะเร่มิ ตนจะได t = 0 และ vy (0) = 10 m/s แทนคาในสมการจะได vy (0) = -9.81(0) + C1 10 = -9.81(0) + C1 C1 = 10 ดังน้ัน vy = -9.8t + 10 ซง่ึ ความสัมพันธระหวา งอัตราเรว็ และระยะทางมดี ังนี้ คอื dy dt = vy หาสมการความสมั พันธระหวางระยะทางและเวลาจะได dy dt = -9.8 t +10 ข้ันตอนท่ี 3 โจทยตองการหาคา เวลาที่จุดสูงสุด ซ่งึ ที่จดุ สูงสุดคา ความเร็วจะมีคาเปน ศูนย หรอื อัตราการเปลยี่ นแปลงระยะกระจดั เทา กับศูนย dy dt = 0 จะได 0 = - 9.8 t + 10 -10 = -9.8 t -10 t = 9.8 = 1.02 s ตอบ กอนหนิ เคลื่อนที่ถงึ จุดสงู สุดในเวลา 1.02 วินาที จไุ รรตั นจ นิ ดา อรรคนติ ย
คณติ ศาสตรว ิศวกรรมอิเลก็ ทรอนกิ ส บทท่ี 4 สมการอนพุ นั ธสามัญอนั ดบั หนึ่ง 135 ตัวอยา งที่ 4.26 นักโดดรมพรอมอุปกรณมีมวลรวม 120 kg กระโดดลงมาจากเฮลิคอปเตอรท่ีบิน ลอยนง่ิ ในทองฟา กอนรมกางออกแรงตานอากาศมคี า เปน 12 v หลงั จากกระโดด 6 s รม จึงกางออก ทาํ ใหแรงตานอากาศมคี าเปน 74 v2 จงหาความเร็วของนกั โดดรม กอนกางรมและหลังจากกางรม (ก) ออกจากเฮลคิ อปเตอร (ข) ดึงรม เพ่ือกางออก รปู ที่ 4.24 นกั กระโดดรมกระโดด (ทม่ี า : http://www.chatacheevit.com/i ) วิธีทํา ข้นั ตอนท่ี 1 ทาํ การเขยี นสมการความสมั พันธของแรงท่ีเกิดข้ึนในแนวดง่ิ เม่ือกระโดด ลงมาจากเฮลิคอปเตอร แรงท่ีกระทําตอนักกระโดดรมมี 2 แรง คือ แรง ดึงดดู โลก (w) และแรงตา นอากาศ (R) ซ่ึงมีทิศทางตรงขามกับแรงดงึ ดูด โลก R=21V R= 74V2 m = 120 kg w=mg (ข) t > 5 (ก) 0 < t < 5 รูปท่ี 4.25 แบบจาํ ลองการเคล่อื นท่ีตามกฎของนวิ ตนั ในแนวดง่ิ วิธีทํา พิจารณาตอนกระโดดออกจากเฮลคิ อปเตอร ขั้นตอนท่ี 1 เขยี นสมการความสมั พนั ธแ บบอนุพนั ธ เงือ่ นไขทีส่ ภาวะเรม่ิ ตน เมอ่ื t = 0 ,v (0) = 0 ขณะที่กระโดดออกจาก 1 เฮลคิ อปเตอร หาความเรว็ เรม่ิ ตน มแี รงตา นอากาศเปน 2 v จุไรรัตนจ ินดา อรรคนติ ย
136 บทที่ 4 สมการอนุพนั ธส ามญั อนั ดบั หนึ่ง คณิตศาสตรว ศิ วกรรมอเิ ล็กทรอนกิ ส จากรูปท่ี 4.25 แรงทกี่ ระทาํ ตอ นักกระโดดรม คอื แรงดึงดดู โลก (w) และ แรงตานอากาศ (R) จากกฎของนวิ ตันจะได F = ma จะได w+R = ma 1 dv 2 dt โดย w = mg และ R = - v (ทศิ ทางตรงขาม) และ a= mg + - 1 v = m dv 2 dt แทนคา m = 120 kg , g = 9.8 m/s2 ในสมการจะได 1 dv (120)(9.8) - 2 v = 120 dt 1176 - 1 v = 120 dv 2 dt จดั รปู สมการโดยทาํ การหารดว ย 120 ทั้งสองขางของสมการ จะได 1 dv 9.8 - 240 v = dt 9.8 - 1 v = dv 240 dt 2352 - v dv 240 = dt ขั้นตอนที่ 2 ทาํ การแกสมการแบบแยกตัวแปรซึ่งมีตัวแปรท่ีเกีย่ วขอ ง 2 ตัวแปร ไดแก v และ t จะได dv dt 2352 - v = 240 1 dt = 1 - v dv 240 2352 ทาํ การหาปรพิ นั ธท ั้งสองขางของสมการจะได 1 1 240 dt = 2352 - v d (2352 - v) 1 t = -ln 2352 - v + C1 240 1 ln 2352 - v = - 240 t + C1 2352 - v = e-2140t+C1 2352 - v = C1e-2140t จุไรรัตนจ ินดา อรรคนติ ย
คณติ ศาสตรว ศิ วกรรมอเิ ล็กทรอนกิ ส บทท่ี 4 สมการอนุพนั ธส ามญั อันดับหนงึ่ 137 ข้นั ตอนที่ 3 หาคา C1 ท่สี ภาวะเรมิ่ ตน t = 0 , v (0) = 0 แทนคา ในสมการจะได ขน้ั ตอนท่ี 4 2352 - 0 = C1e-2140(0) ขั้นตอนที่ 5 2352 = C1e(0) = C1 C1 = 2352 ดังนนั้ สมการความเรว็ กอนกางรมมคี าเปน 2352 - v = 2352 e-2140t v = 2352 - 2352 e-2140t = 2352(1- e-2140t ) ความเร็วที่ t = 5 วนิ าที จะได v = 2352(1- e-2140(5) ) = 49.52 m / s พิจารณาขณะที่รม กางออก เปน เวลาหลังจากเวลา 5 วนิ าทีเปน ตนไป เงือ่ นไขเร่มิ ตนทีเ่ วลา t = 0 , v0 = v(5) = 49.52 m/s หาสมการความสมั พนั ธแ บบอนพุ นั ธ โดยพิจารณาเงอ่ื นไขทเี่ กยี่ วขอ ง โดย แรงทก่ี ระทาํ ตอนกั กระโดดรมมี 2 แรง คอื แรงดงึ ดดู โลก (w) และ แรงตานอากาศ (R) จากกฎของนิวตนั จะได F = ma w + R = ma ซ่ึง w = mg 4 R = - 7 v2 Mg - 4 v2 = m dv 7 dt แทนคา m = 120 kg g =9.8 m/s2 4 dv (120)(9.8)- 7 v2 = 120 dt 1176- 4 v2 = 120 dv 7 dt ทาํ การแกสมการแบบแยกตัวแปรซึง่ มีตวั แปรท่เี กยี่ วของคอื ตวั แปร v และตวั แปร t จะได 8232 - 4v2 = 120 dv 7 dt จุไรรัตนจ นิ ดา อรรคนติ ย
138 บทท่ี 4 สมการอนุพนั ธสามัญอันดบั หน่ึง คณติ ศาสตรว ิศวกรรมอิเล็กทรอนกิ ส 8232 - 4 v2 = 840 dv dt 1 1 840 dt = 8232 - 4v2 dv 1 dt = 1 - v2 ) dv 840 4(2058 4 1 840 dt = (2058 - v2 ) dv 1 dt = 1 v2 ) dv 210 (2058 - ทําการหาปริพันธท ้ังสองขา งของสมการจะได 2110dt 1 = (2058 - v2 )dv 2110dt = - (v2 +12058)dv 2110dt 1 = - (v + 45.36)(v - 45.36)dv (v + 1 - 45.36)dv = - 2110dt 45.36)(v ( 90.73(v1- 1 2110dt 45.36) - 90.73(v + 45.36))dv = - ( (v - 1 - (v + 415.36) )dv = - 9201.703dt 45.36) ln v -45.36 -ln v + 45.36 = -0.43t + C2 ln v -45.36 = -0.43t + C2 v + 45.36 v - 45.36 v + 45.36 = e-0.43t+C2 v - 45.36 = C2 e- 0.43t v + 45.36 v - 45.36 = (v + 45.36) C2e- 0.43t v - 45.36 = v C2 e- 0.43t + 45.36 C2 e- 0.43t v - vCe- 0.43t = 45.36 + 45.36 C2e- 0.43t v(1- C2e- 0.43t ) = 45.36(1+ C2e- 0.43t ) v = 45.(316-(1C+2eC-02.e4-30t.)43t ) v = 45.(3e6-(0e.4-30t.4-3Ct +2 )C2 ) จไุ รรัตนจ นิ ดา อรรคนติ ย
คณิตศาสตรว ิศวกรรมอเิ ลก็ ทรอนกิ ส บทที่ 4 สมการอนพุ ันธส ามัญอันดบั หนงึ่ 139 สมการความเรว็ มคี าเปน v = 45.(3e6-(0e.4-30t.4-3Ct +2)C2) หาคา C2 ท่สี ภาวะเรม่ิ ตน เมอ่ื รม กางจะได t = 5 ,v(5) = 49.52 m/s (4(885...5(35e464-(0+-e.4C-C30(.2245)3))(-5C) +2 )C2) 49.52 = 49.52 = 45.36 (8.54 +- CC22)) 1.09 = (8.54 1.09(8.54 - C2) = 8.54 + C2 9.32 - 1.09C2 = 8.54 + C2 -1.09C2 - C2 = (-9.32 + 8.54) -2.09 C2 = - 0.78 C2 = 0.373 แทนคา C2 ในสมการ v = 45.(3e6-(0e.4-30t.4-3Ct +2 )C2 ) 45.36(e-0.43t + 0.373) v = (e-0.43t -0.373) ตอบ สมการของความเร็วทีเ่ วลา 0 < t < 5 กอ นรมกางมสี มการเปน v = 2352(1- e- 2140t ) สมการของความเร็วที่เวลา t > 5 หลงั รมกางมสี มการเปน v = 45.36(e-0.43t + 0.373) (e-0.43t -0.373) ตวั อยางท่ี 4.27 จากสมการสําหรบั กระแสของไดโอด จงคํานวณหาคา ความชันของความตานทาน สําหรบั เจอรม าเนยี มไดโอดทอี่ ุณหภูมิ 290 K เม่ือคากระแสไบแอสไปขางหนาเปน 10 A วธิ ีทาํ ข้ันตอนที่ 1 จากสมการกระแสของไดโอด ข้นั ตอนที่ 2 eV eV I = I0(e kT -1) I0e kT ทําการหาอนุพนั ธข องสมการเทยี บกับตวั แปร V จะได eV d(Id0VekT ) dI = dV จุไรรัตนจ ินดา อรรคนติ ย
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441