คณิตศาสตรว ิศวกรรมอเิ ลก็ ทรอนกิ ส บทท่ี 2 การหาปรพิ ันธ 39 ขน้ั ตอนท่ี 3 du = 3dx ดงั นัน้ จะได 13 du = dx ตอบ แทนคาลงในสมการจะได e3xdx = eu (13 du) e3xdx = 13 eu (du) = 13 eu แทนคา u = 3x จะได e3xdx = 13 e3x ตัวอยางท่ี 2.7 จงหาคา e5x+3dx วธิ ที ํา ขัน้ ตอนที่ 1 จากสตู ร exdx = ex + c ขนั้ ตอนท่ี 2 โจทยต องการหาคา e5 x+3dx กําหนดให u = 5x+3 du = 5dx ดังนั้นจะได 15 du = dx ขนั้ ตอนท่ี 3 แทนคา ลงในสมการจะได e5x+3dx = eu 15 du e5x+3dx = 15 eu (du) = 15 eu แทนคา u =5x+3 จะได ตอบ e5x+3dx = 15 e5x+3 ตัวอยางที่ 2.8 จงหาคา (ex -1)2dx วธิ ีทาํ ขัน้ ตอนที่ 1 จากสูตร exdx = ex + C ขัน้ ตอนที่ 2 โจทยต องการหาคา (ex -1)2dx ใชส ูตรสมการกาํ ลังสอง จะได(a - b)2 = a2 - 2ab + b2 ดงั นน้ั (ex -1)2dx = (e2x - 2ex (1) + (-1)2 )dx = e2xdx - 2exdx + 1dx = 12 e2x - 2ex + x + C ตอบ (ex -1)2dx = 12 e2x - 2ex + x + C จุไรรตั นจ นิ ดา อรรคนติ ย
40 บทท่ี 2 การหาปรพิ นั ธ คณิตศาสตรว ศิ วกรรมอิเล็กทรอนกิ ส ตวั อยา งท่ี 2.9 จงหาคา ( x x 4 ) dx วิธที าํ ขน้ั ตอนท่ี 1 2- 1u du จากสูตร = ln u + C ขนั้ ตอนที่ 2 โจทยตองการหาคา ( x x 4 ) dx 2- กําหนดให u = x2 - 4 จะได du = 2xdx และ 21x du = dx ข้นั ตอนที่ 3 แทนคาในสมการ x ux 21x x2- 4 dx = du 1u 12 du = 12 1u du = 12 ln(u) +C ข้ันตอนท่ี 4 แทนคา u = x2 - 4 จะได x 21 ตอบ x2- 4 dx = ln ( x 2 - 4) + C ตวั อยางที่ 2.10 จงหา ( x2 ex -4 x )dx วธิ ที ํา ขน้ั ตอนท่ี 1 x2 1u จากสตู ร du = ln u + C ขน้ั ตอนท่ี 2 โจทยตองการหาคา ( x2ex -4 x )dx x2 ทําการแยกตวั หารออก 2 พจน จะได ( x2ex -4 x )dx = x2e x dx - -4 x dx x2 x2 x2 x 2ex -4 x = exdx - -x4 dx x2 ตอบ ( )dx = ex + 4 ln(x) + C 2.5.2.2 ปรพิ นั ธของฟง กช นั ตรีโกณมิติ (Integrals of trigonometric functions) ฟ งก ชั น ต รี โ ก ณ มิ ติ เป น ฟ งก ชั น อ ดิ ศั ย อี ก ป ระ เภ ท ห นึ่ ง ที่ มี ใ ช งาน ใ น ท า ง วทิ ยาศาสตรและวิศวกรรมศาสตรม ากมาย เชน ฟงกชันไซน ซึ่งเปนลักษณะของแหลง จายไฟฟา กระแสสลับท่ีกําเนดิ จากเคร่ืองกาํ เนิดไฟฟา จุไรรัตนจ ินดา อรรคนติ ย
คณติ ศาสตรว ิศวกรรมอเิ ลก็ ทรอนกิ ส บทที่ 2 การหาปริพันธ 41 รูปที่ 2.4 กราฟฟงกช นั ไซนและโคไซน (ท่ีมา : http://th.wikipedia.org/wiki) 1. เมือ่ F(x) = cos x + C เมื่อหาอนุพันธไ ด F(x) = ddx (cos x +C ) = -sin x จากสมการ F(x)dx = (-sin x)dx จากสมบัตปิ ริพนั ธ (-sin x)dx = cos x + C หรือ (sin x)dx = -cos x + C กรณที ี่ u(x) เปน ฟงกชนั ของ x ทห่ี าอนุพนั ธไดที่ x จะไดสูตรพ้นื ฐานดังนี้ (sin u)du = -cos u + C 2. เม่ือ F(x) = sin x + C เมือ่ หาอนพุ ันธไ ด F(x) = ddx (sin x + C ) = cos x จากสมการ F(x)dx = (cos x)dx จากสมบัตปิ รพิ ันธ (cos x)dx = sin x + C กรณีท่ี u(x) เปนฟงกชันของ x ทีห่ าอนุพนั ธไดท่ี x จะไดสตู รพืน้ ฐานดงั น้ี (cos u)du = sin u + C และในกรณอี ื่นๆ สามารถหาสมการไดจ าก 3. tan udu = ln | sec u | + C 4. cot udu = ln | sin u | + C 5. sec udu = ln| sec u + tan u | + C จุไรรัตนจ ินดา อรรคนติ ย
42 บทท่ี 2 การหาปรพิ ันธ คณิตศาสตรว ศิ วกรรมอเิ ลก็ ทรอนกิ ส 6. csc udu = ln| csc u + cot u | + C 7. sec2udu = tan u + C 8. csc2udu = -cot u + C 9. sec u tan udu = sec u + C 10. csc u cot udu = -csc u + C ตวั อยา งท่ี 2.11 จงหาปริพันธ sin θ3 d วธิ ที าํ ขน้ั ตอนท่ี 1 ให u = θ3 = du = d θ3 = 13 d จะได d = 3du sin θ3 d = 3sin udu = -3 cos u + C ข้นั ตอนท่ี 2 แทนคา u = θ3 จะได ตอบ sin θ3 d = -3 cos θ3 + C ตัวอยางท่ี 2.12 จงหาปริพันธ sin5cos d วธิ ที ํา ข้ันตอนที่ 1 ให u = sin = du = cosd ข้ันตอนที่ 2 sin5cos d = u5du u5du = u55++11 + C = u66 + C ข้ันตอนท่ี 3 แทนคา u = sin จะได ตอบ sin5cos d = sin66 + C ตวั อยางท่ี 2.13 จงหาปริพนั ธข องฟง กช นั cos 4xdx วิธที าํ ขน้ั ตอนที่ 1 ให u = 4x จะได du = 4 dx dx = 14 du ข้ันตอนที่ 2 แทนคา ในสมการจะได 14cocsousu14du=du14 cos 4xdx = = sin u + C ข้ันตอนที่ 3 แทนคา u = 4x จะได ตอบ cos 4xdx = 41 sin 4x + C จไุ รรัตนจ ินดา อรรคนติ ย
คณิตศาสตรว ิศวกรรมอเิ ลก็ ทรอนกิ ส บทท่ี 2 การหาปรพิ นั ธ 43 วติธวั ทีอยําางทข่ีั้น2.ต1อ4นทจี่ง1หาปรพิใหัน ธuข อ=งฟ3xงกจช ะนั ไดsedcu3x=d13xdx ข้นั ตอนที่ 2 dx = 3du แทนคาในสมการจะได sec 3x dx = sec u(3du) = 3sec udu จากสตู ร (sec u)du = ln sec u + tan u + C จะได u3=sec3xuduจะ=ไ3ดln sec u + tan u +C แทนคา ข้นั ตอนที่ 3 ตอบ sec 3x dx = 3ln sec 3x + tan 3x + C 2.5.2.3 ปริพัน ธของฟ งกชัน ตรีโกณ มิติผกผัน (Integrals of inverse trigonometric functions) ฟงกชันตรีโกณมิติผกผันที่สามารถหาอนุพันธไดก็สามารถหาปริพันธได ฟงกชัน ตรีโกณมติ ผิ กผนั ท่หี าอนพุ ันธไ ดม ีดงั น้ีเม่อื 1. F(x) =sin-1x ทําการหาอนุพนั ธจ ะได F(x) = ddx (sin-1x) = 1 จากสมการ F(x)dx = 1(-x211-x 2 ) dx ( 1 2 ) dx = sin-1x + C 1-x กรณที ี่ u(x) เปนฟงกชนั ของ x ที่หาอนุพนั ธไดท ่ี x จะไดส ตู รพนื้ ฐานดงั นี้ 1 ( 1-u2 ) du = sin-1u + C 2. เมอ่ื F(x) = cos-1x = ddx (cos-1x) ทําการหาอนพุ นั ธจะได F(x) จากสมการ F(x)dx = - 1 ) dx = (1--x121-x2 (- 1 2 ) dx = cos-1x + C 1-x จไุ รรัตนจ ินดา อรรคนติ ย
44 บทที่ 2 การหาปริพนั ธ คณิตศาสตรว ศิ วกรรมอิเลก็ ทรอนกิ ส กรณที ่ี u(x) เปน ฟง กชนั ของ x ทห่ี าอนุพันธไดท่ี x จะไดส ตู รพืน้ ฐานดังน้ี 1 (- 1-u2 ) du = cos-1u + C กรณี F(x) เปน ฟง กช ันผกผันของฟงกช นั ตรโี กณมิตอิ ืน่ ๆ สามารถหาสูตรพน้ื ฐานสําหรับ หาปริพนั ธไ ดด ังน้ี 1. ad2u-u2 = sin-1 ua + c , a > 0 du = 1a tan-1 ua + c , a > 0 2. a2 +u2 3. u ud2u-a2 = a1 sec-1 ua + c , |u| > a > 0 4. ad2+uu2 = sin h-1 ua + c , a > 0 5. ud2u-a2 = cos h-1 ua + c , |u| > a a1 tan h-1 au + c ; |u| < a 6. a2d-uu2 = 1a cot h-1 au + c ; |u| > a ตัวอยางที่ 2.15 จงหาปริพนั ธข อง dx 28-12x-x2 วิธีทํา ข้นั ตอนท่ี 1 จากสมการจะอยูในรูปของ du = sin-1 ua + c , a > 0 a2-u2 dx = dx 28-12x-x2 28-( x 2 +12 x +36)+36 dx = 64-(x+6)2 ข้ันตอนท่ี 2 กําหนด u = x + 6 du = dx แทนคา dx du = sin-1 ua + c 64-(x+6)2 = 64-u2 ขัน้ ตอนที่ 3 แทนคา u = x + 6 จะได ตอบ (x8+6) + C dx = sin-1 64-(x+6)2 จไุ รรตั นจ นิ ดา อรรคนติ ย
คณติ ศาสตรว ิศวกรรมอเิ ล็กทรอนกิ ส บทท่ี 2 การหาปริพนั ธ 45 ตวั อยา งที่ 2.16 จงหาปริพนั ธของ x 2 -1 dx +4 x +8 วธิ ีทาํ ขน้ั ตอนที่ 1 จากสมการจะอยใู นรปู ของ -1 1 du = cot-1u + C u2+ จากโจทยกําหนด -1 -1 x2 +4 x +8 dx = ( x2 +4 x+4)+4 dx = ( -1 + 4 dx x+2)2 ขัน้ ตอนท่ี 2 กาํ หนด u = x + 2 du = dx แทนคา -1 -1 x2 +4 x +8 dx = u2+4 du = cot-1u + C ขน้ั ตอนท่ี 3 แทนคา u = x + 2 จะได -1 ตอบ x2 +4 x +8 dx = cot-1(x + 2) + C ตวั อยางที่ 2.17 จงหาปรพิ นั ธของ 1 dx 9 - 4x2 1 sin-1u + วิธที ํา ข้ันตอนที่ 1 จากสมการจะอยูในรูปของ 1- u2 du = C จากโจทยกําหนด 1 dx จัดรปู สมการใหอ ยูในรูปสตู รการ 9 - 4x2 อินทเิ กรต โดยนํา 9 หารท้ังเศษสว นจะได 1 1 9 - 4x2 dx = 99 - 49x2 dx 3 13 = 1 dx = 3 1 dx 1- 49x2 1- (23x)2 3 ขั้นตอนท่ี 2 กําหนด u = 23 x du = 23 dx ดังนั้น dx = 23 du 1 dx = 13 1 23 ข้ันตอนที่ 3 9 - 4x2 1- u2 ( du) ตอบ = 12 1 du = 12 sin -1u + C จะได 1-u2 )+ C แทนคา u = 32 x 12 sin-1 ( 23 x 1 x2 dx = 9-4 จุไรรตั นจ นิ ดา อรรคนติ ย
46 บทที่ 2 การหาปริพันธ คณิตศาสตรว ิศวกรรมอเิ ล็กทรอนกิ ส 2.6 การหาปริพนั ธก รณีทีไ่ มสามารถหาปริพนั ธโดยตรงไดใ หใ ชส ตู ร (2.4) f (g(x))g'(x)dx = f (u)du เมอ่ื u = g(x) = F(u) + C ขน้ั ตอนการแกสมการ ขั้นตอนที่ 1 กาํ หนด u = g(x) ขน้ั ตอนที่ 2 หาอนพุ ันธของ u จะได du = g(x)dx ขั้นตอนท่ี 3 หาปรพิ ันธ f (g(x))g'(x)dx = f (u)du ตวั อยา งที่ 2.18 จงหาปรพิ นั ธข อง (x3 + 2)2(3x2)dx วธิ ที ํา ขนั้ ตอนท่ี 1 กําหนด u = g(x) = x2+2 ข้ันตอนท่ี 2 หาอนพุ นั ธ du = g(x)dx du = d(x3+2) = 3x2dx ข้นั ตอนท่ี 3 หาปรพิ ันธ f (g(x))g'(x)dx = f (u)du จาก ขัน้ ตอนท่ี 4 (x3 + 2)2(3x2)dx = u2du = u22++11 + C = u33 + C แทนคา u ในรปู ของ x ตอบ (x3 + 2)2(3x2)dx = u33 + C = (x3+32)3 + C ตวั อยางที่ 2.19 จงหาปรพิ ันธข อง x1+5 dx วธิ ีทํา ข้ันตอนที่ 1 กําหนด u = x+5 ข้นั ตอนที่ 2 หาอนุพนั ธ du = dx ข้ันตอนที่ 3 จาก x1+5 dx = 1u du = ln |u| + C ขน้ั ตอนที่ 4 แทนคา u = x + 5 จะได ตอบ x1+5 dx = ln |x + 5 | + C จไุ รรตั นจ นิ ดา อรรคนติ ย
คณิตศาสตรว ิศวกรรมอิเล็กทรอนกิ ส บทที่ 2 การหาปรพิ นั ธ 47 ตวั อยา งที่ 2.20 จงหาปริพันธข อง xx++12 dx วิธีทาํ ขั้นตอนท่ี 1 ทาํ เปนเศษสวนคละโดยใชก ารต้ังหารจะได x+1 x+2 1 x +1 1 เศษ ขน้ั ตอนท่ี 2 จะได xx++12 = 1+ x1+1 ตอบ xx++12 dx = (1+ x1+1)dx xx++12 dx = dx + x1+1 dx = x + ln (x + 1) + C ตวั อยา งที่ 2.21 จงหาปรพิ ันธข อง 1+1ey dy วธิ ีทํา ขนั้ ตอนที่ 1 นาํ e-y คูณทั้งตวั เศษและตวั สวน dy ) e-y = (1 e-y y ) dy (1+ey e-y + e- ขนั้ ตอนท่ี 2 กําหนด u = 1 + e-y du = e-y dy (1+e-ey-y )dy ข้ันตอนที่ 3 = - duu = - ln u + C ขั้นตอนท่ี 4 แทนคา u = 1 + e-y จะได = - ln (1 + e-y ) + C ตอบ (1+ee-y-y )dy = - ln (1 + e-y ) + C 2.7 การหาปริพันธโดยวธิ กี ารแทนคาหรอื เปลี่ยนตัวแปร (ใชส ตู รมาตรฐาน) ข้นั ตอนท่ี 1 พจิ ารณาความสมั พันธข องฟงกช ันในตวั ถูกอนิ ทเิ กรต เพ่ือแยก กาํ หนดให g (x) = u ซึง่ มี g(x) dx = du ข้ันตอนท่ี 2 แลวเปลยี่ น f (g(x))g'(x)dx = f (u)du ข้นั ตอนท่ี 3 หาคา f (u)du ซ่ึงอยูในรปู แบบมาตรฐาน ทม่ี ีสูตรของการอินทเิ กรตแลว ขั้นตอนท่ี 4 แทนคาผลลพั ธก ลับในรปู ตวั แปร x โดยแทน u ดว ย g(x) จไุ รรตั นจ ินดา อรรคนติ ย
48 บทท่ี 2 การหาปริพนั ธ คณติ ศาสตรว ศิ วกรรมอเิ ลก็ ทรอนกิ ส ตวั อยางที่ 2.22 จงหาปรพิ ันธข อง I = x x - 5 dx จงหาคา I วิธที าํ ข้ันตอนท่ี 1 กําหนดให g (x) = u(x) = x - 5 u2 = x – 5 ดงั นัน้ x = u2 + 5 g(x) = dx = 2udu ขนั้ ตอนที่ 2 แทนคา x ในรปู ของ u ใน I จาก I = x x - 5 dx = (u2 + 5) u 2udu = (u2 + 5) 2u2du I = (2u4 +10u2) du f(u)du ขั้นตอนท่ี 3 จาก f (u)du +=103u3(2+u4C+(ค10าคu2งท) d่ี)u อยใู นรปู แบบมาตรฐาน ขน้ั ตอนที่ 4 I = 25u5 แทนคา กลับในรปู ตวั แปร x u = x - 5 = (x – 5)1/2 จะได I = 2(x-55)5/2 + 10(x-35)3/2 + C ตัวอยางที่ 2.23 จงหาปริพนั ธข อง I = sin 2x dx 1+sin 2x วิธที าํ ขนั้ ตอนที่ 1 กาํ หนดให g (x) = u = 1+ sin2x g(x) = du = 2 sin x cos xdx = sin 2xdx ขัน้ ตอนท่ี 2 เปลย่ี น f (g(x))g'(x)dx = f (u)du sin 2x dx = sinu2x dx และ du = sin 2xdx ขนั้ ตอนที่ 3 I = 1+sin 2 x ขนั้ ตอนที่ 4 I = 1u du I = u1 du = ln u + C (แบบมาตรฐาน) แทนคา กลับในรูปตวั แปร x โดย u = 1 + sin2 x I = ln (1 + sin2 x) + C ตอบ I = ln (1 + sin2 x) + C จุไรรตั นจ ินดา อรรคนติ ย
คณติ ศาสตรว ศิ วกรรมอเิ ล็กทรอนกิ ส บทท่ี 2 การหาปริพนั ธ 49 2.8 การหาปรพิ ันธฟงกช ันตรรกยะ 2.8.1 กรณตี วั ประกอบของ Q(x) เปนตัวประกอบเชงิ เสน ท่ไี มซ้ํากัน ถา Q(x) = (x - a1) (x - a2) …..(x - an) จะแยกสมการเปน P( x) = (x A1 ) + ( x A2 ) ++ (x An ) Q( x) - a1 - a2 -a n ตวั อยางท่ี 2.24 I= x 2 +2x+3 dx จงหาคา I x3 - x 2 วิธีทาํ ข้ันตอนท่ี 1 จาก x +2x + 3 dx อยใู นรปู P(x) dx x 3-x Q(x) P(x) = x2 + 2x + 3 Q(x) = x3 – x Q(x) = x (x2 - 1) ใชก ารดึงตวั ประกอบรวม จาก Q(x) = x (x2 - 1) = x (x - 1) (x + 1) มี 3 พจน ข้นั ตอนท่ี 2 เราสามารถแยกสมการเปน P(x) = ( x A1 ) + (x A2 ) ++ (x An ) Q(x) - a1 - a2 - an P(x) = A1 + A2 + A3 Q(x) x x -1 x +1 ขั้นตอนที่ 3 หาคา A1 , A2 และ A3 ทาํ ได 2 วธิ ี คือ 3.1 โดยการเทยี บสัมประสทิ ธ์ิ x2 +2x+3 = x2 +2x+3 = A1 + A2 + A3 x3-x x( x -1)( x +1) x x -1 x +1 x2 +2x+3 = A1 (x-1)(x+1)+ A2 (x)(x+1)+ A3 x(x-1) x( x -1)( x +1) x ( x -1)( x +1) x2 +2x +3 = A1(x -1)(x +1) + A2x(x +1) + A3x(x -1) = A1(x2 + x - x -1) + A2 (x2 + x) + A3(x2 - x) = A1(x2 -1) + A2 (x2 + x) + A3 (x2 - x) = A1x2 - A1 + A2x2 + A2x + A3x2 - A3x จไุ รรตั นจ นิ ดา อรรคนติ ย
50 บทท่ี 2 การหาปรพิ นั ธ คณิตศาสตรว ิศวกรรมอิเล็กทรอนกิ ส x2 + 2x + 3 = (A1 + A2 + A3 )x2 +(A2 - A3 )x - A1 ใชการเทยี บสัมประสิทธจิ์ ะได A1 + A2 + A3 = 1 (2.4) A2 - A3 = 2 (2.5) -A1 = 3 (2.6) จากสมการท่ี (2.6) จะได A1 = -3 แทนคาในสมการที่ (2.4) จะได -3 + A2 + A3 = 1 A2 + A3 =4 (2.7) จากสมการท่ี (2.5) จะได A2 + A3 = 2 นําสมการท่ี (2.7) + สมการที่ (2.5) จะได A2 + A3 + A2 - A3 = 4 + 2 2A2 = 6 A2 = 3 A3 = 1 และ A1 = -3 ขั้นตอนที่ 4 3.2 โดยวิธีแทนคา x ท่เี หมาะสม จากสมการ x2 + 2x + 3 = A1(x -1)(x +1) + A2x(x +1) + A3x(x -1) (2.8) ใหเลอื กคา x ทท่ี ําใหห าคา A1, A2 , A3งายและสะดวก คอื x = 0 , 1 และ -1 จากสมการท่ี (2.8) ถา x = 0 จะได 3 = A1(0 -1)(0 +1) + A2 (0)(0 +1) + A3 (0)(0 -1) A1 = -3 จากสมการที่ (2.8) ถา x = 1 จะได 12 + 2(1) + 3 = A1(1-1)(1+1) + A2 (1)(1+1) + A3 (1)(1-1) 6 = 2 A2 A2 = 3 จากสมการที่ (2.8) ถา x = -1 จะได (-1)2 + 2(-1) + 3 = A1(-1-1)(-1+1) + A2 (-1)(-1+1) + A3 (-1)(-1-1) 4 = 2 A3 A3 = 2 แทนคา A1, A2 , A3 จะได จไุ รรตั นจ ินดา อรรคนติ ย
คณติ ศาสตรว ิศวกรรมอเิ ลก็ ทรอนกิ ส บทที่ 2 การหาปรพิ ันธ 51 x2 +2x+3 dx = - 3 dx + 3 dx + 1 dx x3-x x x-1 x +1 = -3 ln |x| + 3 ln |x - 1| + ln |x + 1| + C = - ln |x|3 + ln |x - 1|3 + ln |x + 1| + C = - ln (x +1)(x -1)3 +C x3 ตอบ x 2 +2x +3 dx = - ln (x +1)(x -1)3 +C 3-x x3 x 2.8.2 กรณตี วั ประกอบบางตัวของ Q(x) เปนตัวประกอบเชงิ เสนทซี่ าํ้ กนั Q(x) = (x - a1) (x - a2) (x - an)m จะแยก P(x) = A1 ) + A2 ) + (x B1 ) + (x B2 + Bm )m Q(x) (x - a1 (x -a2 - a3 - a3 )2 (x -a3 ตวั อยา งท่ี 2.25 จงหาปริพนั ธข อง I= (x 3 x +5 2) dx - 3x+ วธิ ที ํา ข้ันตอนท่ี 1 จาก (x 3 x+5 2) dx อยูในรูป P(x) dx จะได - 3x + Q(x) P(x) = x + 5 Q(x) = x3 - 3x + 2 วิธีการแยกตวั ประกอบ Q(x) = x3 - 3x + 2 = (x - 1) (x2 + x - 2) = (x - 1) (x - 1) (x + 2) Q(x) = (x - 1)2 (x + 2) จไุ รรัตนจ นิ ดา อรรคนติ ย
52 บทท่ี 2 การหาปริพันธ คณติ ศาสตรว ิศวกรรมอิเล็กทรอนกิ ส ขน้ั ตอนที่ 2 จาก Q(x) = (x + 2) (x - 1)2 เราสามารถแยก P(x) = (x A1 + B1 + ( B2 2 Q(x) +2) (x -1) x -1) ขน้ั ตอนที่ 3 หาคา A1 , B1 , B2 x+5 = A1 + B1 + ( B2 2 (x3 - 3x+2) ( x + 2) (x -1) x -1) x + 5 = A1(x -1)2 + B1(x + 2)(x -1) + B2 (x + 2) หาคา A1 , B1 , B2 โดยแทนคา x ทีเ่ หมาะสม เมอื่ x = -2 ; - 2 + 5 = A1(- 3)2 + B1(-2 + 2)(-2 -1) + B2 (-2 + 2) A1 = 1 3 เมื่อ x = 1 ; 1 + 5 = A1(1-1)2 + B1(1+ 2)(1-1) + B2 (1+ 2) B2 = 2 เม่อื x = 0 ; 0 + 5 = A1(0-1)2 + B1(0 + 2)(0 -1) + B2 (0 + 2) 5 = A1 + (-B1 ) + 2B2 5 = 1 + - B1 + 2(2) 3 B1 = - 1 3 ขน้ั ตอนที่ 4 แทนคา A1 , B1 , B2 จะได 13 (x 3 x +5 dx = (x + 2) dx - (x 1 dx 2 2 dx - 3x + 2) -2) (x-1) = 13 ln |x + 2| - 13 ln |x - 1| - x2-1 + C ตอบ (x 3 x+5 dx = 13 ln |x + 2| - 13 ln |x - 1| - x2-1 + C - 3x+2) จุไรรัตนจ นิ ดา อรรคนติ ย
คณติ ศาสตรว ศิ วกรรมอเิ ล็กทรอนกิ ส บทท่ี 2 การหาปริพันธ 53 2.8.3 กรณีตวั ประกอบของ Q(x) เปน ตัวประกอบกาํ ลังสองท่ีไมซ ้ํากัน เมอื่ Q(x) = (x - a1) (x - a2) (ax2 + bx + C) สามารถแยกสมการไดเ ปน P(x) = (x A1 ) + ( x A2 ) + (ax Bx+ D c) Q(x) - a1 - a2 2 +bx + ตวั อยางที่ 2.26 จงหาคาปริพันธข อง I = dx x5-x2 วิธที าํ ขน้ั ตอนที่ 1 แยกตัวประกอบ P( x ) = 1 Q( x ) x5 -x2 จะได Q(x) = x5 - x2 = x2 (x3 - 1) (x - 1) x3 +0x2 +0x-1 (x2 + x +1) Q(x) = x5 - x2 = x2 (x3- 1) = x2(x - 1) (x2 + x + 1) ขนั้ ตอนที่ 2 จาก x2 (x - 1) (x2+ x + 1) สามารถแยกสมการไดเ ปน P(x) = A + B + x C + Dx + E (2.9) Q(x) x2 x -1 x2 + x+1 คณู x2 (x - 1) (x2+ x + 1) ท้ัง 2 ขาง ของสมการจะได 1 = A(x - 1)(x2 + x + 1) + Bx (x - 1)(x2 + x + 1) + Cx2(x2 + x + 1) + (Dx + E) x2(x - 1) (2.10) ขั้นตอนที่ 3 หาคา A , B , C , D และ E โดย สมมติหาคา x ท่เี หมาะสม จะได 3.1 x = 0 แทนคา ในสมการ (2.10) จะได 1 = A(0 - 1) (02 + 0 + 1) + B(0) (0 - 1) (02 + 0 + 1) + C(02) (02 + 0 + 1) + (D(0) + E) (02)(0 - 1) 1 = -A A = -1 จุไรรัตนจ นิ ดา อรรคนติ ย
54 บทที่ 2 การหาปรพิ นั ธ คณติ ศาสตรว ศิ วกรรมอเิ ล็กทรอนกิ ส 3.2 เมือ่ x = 1 แทนคาในสมการ (2.10) จะได 1 = A (1 - 1) (12 + 1 + 1) + B(1) (1 - 1) (12 + 1 + 1) + C(12) (12 + 1 + 1) + (D(1) + E) (12)(1 - 1) 1 = 3C 1 C = 3 3.3 จัดสมการ (2.10) ใหมจ ะได 1 = A (x3 -1) + B(x4 - x) + C(x4 + x3 + x2) + Dx4 + Ex3- Dx3- Ex2 1 = (B +C + D)x4 (A + C + E - D)x3 + (C - E)x2 - Bx - A (2.11) 3.4 จากสมการ (2.11) ใชวธิ เี ทยี บสมั ประสทิ ธ์ิ จะได 1 1 3 B= C-E =0 จาก C = 3 E = A+C+E-D = 0 จะได A = -1 ,C= 1 , E = 1 3 3 1 1 1 D= A + C + E = - 1 + 3 + 3 = - 3 ขัน้ ตอนที่ 4 จาก A = - 1 , B = 0 , C = 1 , D = - 1 , E = 1 แทนคาใน (2.9) จะได 3 3 3 ขัน้ ตอนที่ 5 ตอบ 1 = -1 +0 +1 + -1 x + 1 x5 -x2 x2 x 3(x-1) 3 + 3 x2 x +1 = -1 + 1 - 3(x x -1 +1) x2 3( x -1) 2+x 1 = - 1 dx + 1 dx - 1 (x 2 x-1 dx x2 3(x-1) 3 + x+1) x5-x2 ให f1 = - 1 dx = 1 x2 x f2 = 1 1 dx = 1 ln |x - 1| x-1 3 3 f3 = 1 x 2 x -1 dx = 1 2 x +1-3 dx + x +1 32 x2 +x+1 3 = 1 x 2 x +1 dx - x 2 3 +1 dx 6 2 +x+1 +x จไุ รรตั นจ นิ ดา อรรคนติ ย
คณิตศาสตรว ศิ วกรรมอิเลก็ ทรอนกิ ส บทที่ 2 การหาปรพิ นั ธ 55 2.9 การประยกุ ตป รพิ นั ธ 2.9.1 คาเฉล่ียของฟง กชนั (Average function value) สาํ หรบั ฟง กชนั f (x) บนชวงปด [a , b] สามารถหาความสมั พนั ธไดจาก b favg = 1 f ( x)dx (2.12) b-a a ตัวอยางที่ 2.27 จงหาคา เฉล่ยี ของฟงกชนั ตอไปนี้ f (t) = 2t2-3t+3cos (t) บนชวง [-1 , 5 ] 2 วธิ ที าํ ขัน้ ตอนท่ี 1 จากสมการที่ (2.12) b favg = 1 f ( x )dx favg โจทยกาํ หนด a = -1 และ b = 5 b-a a 2 5 ข้นั ตอนท่ี 2 แทนคา f (x) และ a = -1 และ b = 2 ในสมการจะได favg = 25 1 -521(2t 2 - 3t + 3cos (t )) dt -(-1) favg = 251+1 2t2 - 3t + 3 sin (t) 25 3 2 -1 favg = 127 2t2 - 3t + 3 sin (t ) 52 3 2 -1 favg 2 5 2 3 5 2 2 = 2 3 - 2 + 3 sin ( 5 ) 7 2 - 2 2(-1)3 - 3(-1) + 3 sin (-) 7 3 2 favg = 7.555 ตอบ คา เฉล่ียของฟงกชนั f (t) = 7.555 2.9.2 คาเฉล่ียสําหรับปริพันธ ถา f (x) เปนฟงกชันที่ตอเนื่องบนชวงปด [ a ,b] แลวมี C เปน จํานวนจรงิ ซึง่ C [ a , b] แลว คา เฉล่ียสาํ หรับปริพันธม ีสมการเปน b f (x)dx = f ( c)(b - a) (2.13) a จไุ รรตั นจ นิ ดา อรรคนติ ย
56 บทที่ 2 การหาปริพันธ คณิตศาสตรว ศิ วกรรมอิเล็กทรอนกิ ส ตัวอยา งท่ี 2.28 จงหาคา C ซ่งึ อยใู นชว งของ [1, 4] โดยใชค า เฉล่ยี ปริพนั ธข องฟงกช นั f (x) = x2+3x+2 วิธที ํา ข้นั ตอนที่ 1 โจทยก ําหนด f (x) = x2+3x+2 เปนฟงกชนั พหนุ ามท่ีความตอ เนอ่ื งในชวง [1, 4] ขน้ั ตอนท่ี 2 หาคา เฉล่ียสาํ หรบั ปริพันธ มคี า คงท่ี C อยูในชวงปด [1, 4] โดยใช ขนั้ ตอนท่ี 3 b สมการคาเฉลย่ี สําหรับปรพิ นั ธ f ( x)dx = f (c)(b - a) a 4 f ( x)dx = f (c)(4 -1) 1 41(x2 +3x+2)dx = f (C)(4-1) 4 x3 3x2 3 + 2 + 2 x = 3(C2+3C+2) 1 43 + 3 42 + 2(4) - 13 + 3 12 + 2(1) = 3(C2+3C+2) 993 = 2 3 2 323 = 2 3(C2+3C+2) (C2+3C+2) จดั สมการในรูปกาํ ลงั สองจะได 29 C2+3C- 2 = 0 หาคา C จาก C= -3± 32 - 4(1)(- 29 ) 2 2(1) -3± 67 C = 2 C = -3- 2 67 = -5.59 ไมอยใู นชว ง [1, 4] -3+ 67 C= 2 = 2.593 [1, 4] ดงั นัน้ 2.593 เปนจาํ นวนสอดคลองกบั คา เฉลย่ี ปริพนั ธ ตอบ คา C ท่สี อดคลอ งกับคา เฉล่ียปรพิ นั ธ คือ C = 2.593 จุไรรตั นจ ินดา อรรคนติ ย
คณติ ศาสตรว ศิ วกรรมอเิ ลก็ ทรอนกิ ส บทที่ 2 การหาปรพิ ันธ 57 2.9.3 พน้ื ท่รี ะหวางโคง (Area between curves) สามารถพิจารณาไดเ ปน 2 กรณีตอไปนี้ กรณีที่ 1 กําหนดให y = f (x) และ y = g(x) เปนฟงกช ันท่ีมคี วามตอเนอื่ งบนชว งปด [ a ,b] และ f (x) g(x) สําหรับทกุ x [ a , b] ดังรูปท่ี 2.5 Y Y Y y = f (x) f ( X * ) f ( X * ) - g ( X * ) i i i 0a b X 0 a -g ( X * ) b X0a bX y = g(x) i X * X i รปู ที่ 2.5 พน้ื ทีร่ ะหวา งโคง (ทมี่ า : http://tutorial.math.lamar.edu/Classes/CalcI/AreabetweenCurves.aspx) จากรูปท่ี 2.5 บรเิ วณพื้นท่ี A คือ จะเปน ผลบวกของพน้ื ท่รี ปู สีเ่ หลี่ยมมมุ ฉากเล็กๆ หลายรูป โดย n [ A = 0 lim i=1 f ( X * )- g ( X * )]X i i ซ่ึงบริเวณพ้ืนที่ A คือพื้นท่ีที่ปดลอมดวยเสนโคง y = f (x) และ y = g(x) และเสนตรง x = a และ x = b เม่ือ f และ g เปนฟงกชันตอเน่ืองบนชวงปด [a , b ] และ f (x) g(x) สําหรับ ทุก x ท่ีเปนสมาชิกในชว งปด [a , b ] มสี มการเปน (2.14) A= ba[ f (x)-g(x)]dx เม่ือ a x b กรณีท่ี 2 กําหนดให x = f (y) และ x = g(y) เปนฟงกชันท่ีมีความตอเน่ืองบนชวงปด [ c , d] และ f (y) g(y) สําหรับทุก y [ c , d ] ซึ่งบริเวณพื้นท่ี A คือพ้ืนที่ท่ีปดลอมดวยเสนโคง x = f (y) และ x = g(y) และเสนตรง y = c และ y = d เมื่อ f และ g เปนฟงกชันตอเนื่องบนชวงปด [c , d ] และ f (y) g(y) สําหรับ ทุก x ทเ่ี ปน สมาชิกในชวงปด [c , d ] มสี มการเปน (2.16) A= dc[ f (y)-g(y)]dy เมื่อ c x d จุไรรตั นจ ินดา อรรคนติ ย
58 บทท่ี 2 การหาปรพิ นั ธ คณติ ศาสตรว ิศวกรรมอิเลก็ ทรอนกิ ส ตวั อยา งที่ 2.29 จากสมการ y = x2 และ y = x จงหาพื้นที่ในบริเวณท่ีปด ลอม (2.16) วธิ ที ํา ข้ันตอนท่ี 1 จากสมการ y = x2 (2.17) และสมการ y = x หาจดุ ตัดจากสมการที่ (2.16) และ (2.17) จะไดวา ให x = 0 แทนคา ในสมการ (2.16) จะได y = 0 จดุ ตดั คือ (0 ,0) ให x = 1 แทนคาในสมการ (2.16) จะได y = 1 จดุ ตัด คอื (1 ,1) ขัน้ ตอนที่ 2 เขยี นกราฟความสัมพันธ รูปที่ 2.6 วงจรตวั อยางที่ 2.29 (ท่ีมา : http://tutorial.math.lamar.edu/Classes/CalcI/AreaBetweenCurves.aspx) ขน้ั ตอนท่ี 3 หาปริพนั ธข องพ้นื ทป่ี ด ลอม A= ba[ f (x)-g(x)]dx A= 01[ x-x2 ]dx 1 32 3 13 A = x 2 - x 3 0 A = 23 (1) 3 - 13 (1)3 - 23 (0) 3 - 13 (0)3 2 2 A= 23 -13 = 13 ตอบ A = 13 ตารางหนว ย จุไรรตั นจ ินดา อรรคนติ ย
คณิตศาสตรว ศิ วกรรมอิเล็กทรอนกิ ส บทที่ 2 การหาปริพนั ธ 59 ตัวอยา งท่ี 2.30 จงหาพ้นื ที่ของบริเวณทป่ี ดลอมดวย y = xe-x2 , y = 2x +1 และ x = 2 และแกน x วิธีทํา ขนั้ ตอนที่ 1 วาดกราฟของสมการ y = xe-x2 , y = 2x +1 และ x = 2 และแกน x จะได รปู ท่ี 2.7 วงจรตวั อยา งท่ี 2.30 (ที่มา : http://tutorial.math.lamar.edu/classes/calci/areabetweencurves.aspx) ขั้นตอนที่ 2 หาปริพนั ธของพืน้ ที่ปดลอมจากสมการ ขน้ั ตอนท่ี 3 แทนคา f A= ab[ f ( x)- g(x)]dx x ) = xe- x2 และชวงปด [0 , 2] (x) = 2x +1 และ g( A= 02[(2x +1)-(xe-x2 )]dx 12 2 A = ( x2 + x + e- x2 ) 0 A= (22 +2+ 12 e-22 )-(02 +0+ 21 e-02 ) A = (1261++1212ee--44)- ( 12 ) A = ตารางหนวย ตอบ พืน้ ที่ A= 121 + 1 e-4 ตารางหนว ย 2 ตัวอยา งที่ 2.31 จงหาพนื้ ท่ขี องบรเิ วณท่ีปด ลอ มดว ย x = -y2+10 และ x = (y-2)2 วิธที ํา ขั้นตอนที่ 1 หาจดุ ตัดของสมการจาก -y2 + 10 = (y - 2)2 -y2 + 10 = y2- 4y + 4 จไุ รรัตนจ นิ ดา อรรคนติ ย
60 บทที่ 2 การหาปรพิ นั ธ คณิตศาสตรว ศิ วกรรมอิเลก็ ทรอนกิ ส ขัน้ ตอนที่ 2 0 = 2 y2- 4y - 6 0 = 2(y + 1)(y - 3) y = -1 และ y = 3 วาดกราฟความสัมพนั ธของ x = -y2+10 และ x = (y-2)2 รูปที่ 2.8 วงจรตวั อยางท่ี 2.31 (ท่ีมา : http://tutorial.math.lamar.edu/classes/calci/areabetweencurves.aspx) ขน้ั ตอนท่ี 3 หาปริพันธของพน้ื ท่ปี ด ลอ มจากสมการ A= dc[ f (y)-g(y)]dy ขั้นตอนที่ 3 แทนคา และชว งปด f (y) = -y2+10 และ g(y) = (y-2)2 บนชวง [-1 , 3] A= -31[-y2 +10-( y-2)2]dy A= -31[-2y2 +4 y +6]dy 23 y3 +2y2 +6y 3 A = - 23 -1 - 23 (-1)3 + 2(-1)2 + 6(-1) A = - 33 +2(3)2 +6(3)- A= 634 ตอบ พน้ื ที่ A= 634 ตารางหนว ย จไุ รรตั นจ ินดา อรรคนติ ย
คณิตศาสตรว ิศวกรรมอเิ ลก็ ทรอนกิ ส บทท่ี 2 การหาปริพนั ธ 61 2.10 สรปุ การหาปริพันธเปนการทํายอนกลับของการหาอนุพันธ ซึ่งมี 2 แบบ คือ การหาปริพันธ แบบจํากัดเขต และการหาปริพันธแบบไมจํากัดเขต โดยการหาปริพันธสามารถหาไดหลายวิธี เชน การหาคาปรพิ ันธโดยใชสูตรโดยตรง ไดแ กปริพนั ธข องฟงกชนั พีชคณิต ปรพิ ันธของฟง กชัน ตรีโกณมิติ ปริพันธของฟงกชันเอ็กซโพเนนเชียล ปริพันธของฟงกชันลอการิทึม นอกจากน้ี หากไมสามารถหาปริพนั ธโดยตรงได ยังสามารถหาปรพิ ันธโดยใชการแทนคา และปรพิ นั ธโดยวิธี แยกเศษสวนยอ ย สําหรับการประยุกตปริพนั ธสามารถนําไปใชในการหาคาเฉล่ียสําหรับปริพันธ และพนื้ ทร่ี ะหวางโคง จไุ รรตั นจ นิ ดา อรรคนติ ย
62 บทที่ 2 การหาปรพิ ันธ คณติ ศาสตรว ิศวกรรมอเิ ลก็ ทรอนกิ ส แบบฝกหดั ทายบทท่ี 2 จงหาปรพิ นั ธของ 2 9 1. (x3 + 2)1/2 x2dx ตอบ (x 3 + 2)3/ 2 + ln แนะนําให u = x3+2 แนะนาํ ให u = x3+2 2. 8 x2 dx ตอบ - 4 2)2 + C ( x3 +2)3 3(x3 + แนะนําให u = x3+2 3. x2 dx ตอบ 4 (x3 + 2)3/ 4 + C x3 +2 9 4 4. 3x 1-2x2 dx ตอบ - 1 (1 - 2 x2 )3/ 2 + C แนะนําให u = 1-2x2 2 dx 1 1 5. x 2 -4 ตอบ 4 ln |x - 2| - 4 ln |x + 2| + C 6. ( x+1) dx ตอบ 1 ln |x| + 3 ln |x - 2| - 2 ln |x + 3| + C x 3 + x 2 -6 x 6 10 15 -4 1 x +1 7. 3x+5 dx ตอบ x -1 + 21 ln | x -1 | + C x 3 - x 2 - x +1 8. x ( x +1) 2 dx ตอบ 1 ln x2 2x2 C แนะนาํ ให u = x2+2x+ 2 +2x+ 2 2 9. x2+x+31x-2 dx ตอบ x2 - 2 x + C 2 10. sin1 x dx ตอบ tan x - sec x + C 11. tan x dx ตอบ 1 cos4 x + C sec4 x 4 12. -21ex (1- e-x )dx ตอบ e2-e-1-3 13. 1-2(2x2 +1)dx ตอบ 7 2 3 จไุ รรตั นจ ินดา อรรคนติ ย
คณิตศาสตรว ิศวกรรมอิเล็กทรอนกิ ส บทท่ี 2 การหาปรพิ ันธ 63 เอกสารอา งอิง จนั ทนีย กาญจนะโรจน และ ชลุ ี โชติกประคลั ภ. (2550). แคลคลลู สั 1. พิมพค ร้ังท่ี 5. มหาวทิ ยาลัยกรุงเทพฯ. ดาํ รงค ทิพยโ ยธา และคณะ. (2558). แคลคลู สั 2. สาํ นกั พมิ พแ หง จุฬาลงกรณม หาวิทยาลัย. แนง นอย ทรงกําพล .เอกสารประกอบการสอนวชิ าแคลคลู สั 1.มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล. [ออนไลน] เขาถงึ ไดจ าก http://www.electron.rmutphysics.com/news/index.php?option=com_ content&task=view&id=521. (วนั ท่คี น ขอมลู 10 เมษายน 2556) ปราโมทย เดชะอาํ ไพ. (2555). แคลคลู ัสและสมการเชงิ อนพุ นั ธด ว ยแมทแลบ: สํานกั พิมพแ หง จุฬาลงกรณ มหาวทิ ยาลยั ธีระศักดิ์ อุรัจนานนท. (2550). แคลคูลัส1 สาํ หรับวิศวกร: สาํ นกั พมิ พ สกายบุค ส. พูลสขุ ธนั วารชร , สมใจ อรุณศรโี สภณ, ประวัติ พัฒนิบูลย, สมุ า บรรณวนชิ กลุ , สภุ าณี เพง็ เลีย. (2550). แคลคูลสั 1. ภาควชิ าคณิตศาสตร คณะวทิ ยาศาสตร มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร วริ ัตน สวุ รรณาภิชาต.ิ (2551). แคลคูลัส 1. สายวิชาคณิตศาสตร สถิติ และคอมพิวเตอร คณะศลิ ปศาสตรแ ละวิทยาศาสตร มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร วิทยาเขตกําแพงแสน สาํ นกั พมิ พ มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร. สกุ ัญญา สนิทวงศ ณ อยุธยา และอนญั ญา อภชิ าตบุตร. (2549). แคลคลู ัส 1 ฉบบั เสริมประสบการณ: บริษัทวทิ ยพฒั น จํากดั . จไุ รรตั นจ ินดา อรรคนติ ย
บทที่ 3 แบบจาํ ลองสมการทางคณติ ศาสตร แบบจําลองคณติ ศาสตรส รางขึน้ เพือ่ ใชใ นการออกแบบและวิเคราะหก ารทํางานของระบบ ควบคุม พฤติกรรมทางพลวัตของระบบ (Dynamic System) ซ่ึงสามารถสรางข้ึนโดยใชสมการ อนุพนั ธใ นการวเิ คราะหการทํางาน การสรางแบบจาํ ลองของระบบมหี ลายระบบ เชน ระบบทางกล ระบบไฮดรอลกิ ซ ระบบไฟฟา และอนื่ ๆ เน่อื งจากระบบโดยทว่ั ไปเปนระบบไมเ ปนเชิงเสน 3.1 แบบจาํ ลองทางคณติ ศาสตรข องระบบเชิงกล สว นประกอบของระบบเชิงกล (Elements of mechanical system ) ระบบเชงิ กลจะประกอบดว ย สวนประกอบท่ีสําคัญ 3 สวน คือ มวล (Mass) สปริง (Spring) และตัวหนวง (Damper) โดยมวล จะทําหนาท่สี ะสมพลงั งานจลน หรือสะสมแรงเฉื่อย ซ่ึงทนทานตอการเคล่ือนที่ สว นสปริงจะเปน ชิ้นสวนท่ีทําหนาท่ีสะสมพลังงานศักย และตัวหนวงจะทําหนาท่ีสรางแรงกระทําเพ่ือตาน การเคลื่อนที่ หรือทําใหพ ลงั งานการเคลือ่ นทีข่ องระบบลดลง สําหรับการพจิ ารณาระบบเชิงกลน้ัน อินพุตของระบบมักจะเปนแรง (Force) ที่กระทํากับระบบในขณะท่ีเอาตพุตของระบบจะเปน การขจัด (Displacement) ของระบบ 3.1.1 มวล (Mass) สําหรับมวลนั้นจะหาความสัมพันธระหวางการขจัดและแรงกระทําไดโดยอาศัย กฎขอ ทสี่ องของนิวตัน น่นั คือ แรงกระทาํ จะเทา กับการเปลี่ยนแปลงโมเมนตของระบบ รปู ท่ี 3.1 แรงท่กี ระทาํ ตอวตั ถุมวล M แตเนื่องจาก F = m dV (3.1) dt
66 บทที่ 3 แบบจาํ ลองทางคณติ ศาสตรของระบบ คณิตศาสตรว ิศวกรรมอิเลก็ ทรอนกิ ส และสมมตุ ิวามวลของระบบคงที่ V = dx (3.2) dt (3.3) d2x F = m dt 2 = mx เมอ่ื x = dx dt 3.1.2 สปรงิ (Spring) การสรา งแบบจําลองทางกลสําหรบั สปริง รูปท่ี 3.2 แรงภายนอกท่ีกระทาํ ตอสปรงิ สาํ หรับสปริงจะมีความสมั พนั ธระหวางแรงและการขจัดหรอื ระยะยดื ของสปรงิ เปน F = kx(t) (3.4) โดยในที่นี้สมมุติวาสปริงน้ีเปนสปริงเชิงเสนคือแรงและการขจัดมีอัตราสวนที่คงที่ โดยคาอัตราสวน k น้ีเรียกคาคงท่ีสปริง (Spring constant) หรือคาความแข็งแรงของสปริง (Stiffness) โดยทค่ี า k นี้มีคา มากกต็ องออกแรงมากในการทจ่ี ะยืดหรือกดสปริง รปู ท่ี 3.3 สปริงและแผนภาพบล็อกสปริง จไุ รรัตนจ นิ ดา อรรคนติ ย
คณิตศาสตรว ิศวกรรมอเิ ล็กทรอนกิ ส บทที่ 3 แบบจาํ ลองทางคณิตศาสตรข องระบบ 67 3.1.3 ตวั หนวง (Damper) ตัวหนวงนี้ทําหนาท่ีเปนแรงตานการเคลื่อนท่ีโดยสวนมากในทางเชิงกลจะพิจารณา ตัวหนวงแบบหนืด (Viscous damper) โดยความหนืดของของไหลจะทําหนาท่ีเปนสวนที่สราง แรงตานการเคลื่อนท่ีของวัตถุ เนื่องจากแรงท่ีเกิดข้ึนโดยการกระทําของของไหล จะเปนสัดสวน กับแรงเฉือนท่ีเกิดข้ึนในของไหล และแรงเฉือนที่เกิดข้ึนในของไหลจะเปนสัดสวนกับความเร็ว ในการเคลือ่ นทขี่ องของไหล ดังนน้ั จะไดวา kd รปู ท่ี 3.4 แบบจําลองทางกลของตัวหนว ง (3.5) F(t) V(t) (3.6) F (t ) = kdV = kd ddxt โดย kd คือคาตัวประกอบความหนวง (Damping factor) ของตัวหนวงน้ัน ซึ่งถือวา เปนคาคงที่ และเคร่ืองหมายลบในสมการแสดงใหเห็นวาทิศทางของแรงจะตองตรงขาม กับการเคลอื่ นที่ รูปที่ 3.5 แรงหนว งของสปริง จไุ รรตั นจ ินดา อรรคนติ ย
68 บทท่ี 3 แบบจาํ ลองทางคณิตศาสตรข องระบบ คณิตศาสตรว ิศวกรรมอเิ ลก็ ทรอนกิ ส 3.1.4 พลงั งาน (Energy) เน่ื อ ง จ า ก ก า ร เค ลื่ อ น ที่ ข อ ง ร ะ บ บ เชิ ง ก ล จ ะ เกิ ด ข้ึ น จ า ก ก า ร เป ล่ี ย น แ ป ล ง พ ลั ง ง า น ไมวาจะเปนพลังงานจลนหรือพลังงานศักยก็ตาม สําหรับมวลน้ันจะเปนสวนท่ีมีหนาที่สะสม พลังงานจลน ซงึ่ จะไดว า KE = 21 mV 2 (3.7) สวนการยดื หรอื หดตัวของสปรงิ จะทาํ ใหเกิดการสะสมพลงั งานศักยโ ดย PE = 21 kx2 (3.8) ในขณะที่การเคลื่อนท่ีของตัวหนวงไมไดทําใหเกิดการสะสมพลังงาน แตจะทําให พลงั งานของระบบลดลงโดยอัตราการลดลงของพลังงาน หรอื การสญู เสียกําลังงาน (P) จะมีคาเปน P = cV 2 (3.9) สาํ หรับระบบที่กลาวมาน้ี เปนระบบเชิงกลท่เี คลื่อนท่ีเปนเชิงเสน น่ันคือการเคล่ือนที่น้ัน จะทําใหเกิดการขจัดเปนเชิงเสนเทานั้น ไมมีการหมุนหรือการเคล่ือนท่ีเชิงมุมเกิดข้ึนในระบบ ถาหากวามีการเคลื่อนท่ีเชิงมุมเกิดขึ้น สปริงก็จะเปนสปริงเชิงมุม (Torsion spring) และตําแหนง ก็จะเปนตัวหนว งเชิงมุม (Rotary damper) โดยสาํ หรับสปริงเชิงมุมและมคี วามสมั พันธข องแรงบิด (Torque, T) และการขจัดเชงิ มมุ เปน T = k (t) (3.10) แบบจําลองการมุมของมวล รปู ท่ี 3.6 การหมุนเชิงมุม จุไรรัตนจ นิ ดา อรรคนติ ย
คณติ ศาสตรว ศิ วกรรมอิเลก็ ทรอนกิ ส บทที่ 3 แบบจําลองทางคณติ ศาสตรของระบบ 69 โดยในที่นี้ k จะเปนคาคงที่สปรงิ เชิงมุมมมี ิติเปนแรงบิดตอดวยการขจัดเชิงบิด สวนตัวหนวง เชิงมุม จะมีความสัมพนั ธของแรงบดิ และความเรว็ เชิงมุม () เปน T = c = c ddt (3.11) โดยในกรณีนี้ c จะมมี ิตเิ ปนแรงบดิ ตอ ดวยความเรว็ เชิงมมุ สว นการเคลอื่ นท่ีของมวลก็จะมีความสมั พันธระหวางแรงบดิ และความเรงเชิงมมุ เปน T = I (3.12) โดย คอื ความเรง เชงิ มมุ และ I คือ โมเมนตค วามเฉ่อื ยของมวลนั้น ซ่งึ จะได (3.13) T = I ddt = I dd2t2 (3.14) (3.15) สาํ หรบั พลงั งานจลนใ นการเคล่ือนทีข่ องมวลจะเปน KE = 12 I2 และพลังงานศกั ยท่สี ะสมในสปริงเชิงมุมจะเปน PE = 12 k 2 = 12 k Th 2 = 12 Tk2 และกาํ ลังทีส่ ญู เสยี ไปในการเคลอ่ื นทเี่ มือ่ มตี วั หนว งเชิงมมุ จะเปน P = c 2 (3.16) ตารางท่ี 3.1 คุณสมบัตขิ องสว นประกอบเชิงกล สว นประกอบ สมการของแรง สมการของพลังงาน/กําลังงาน มวล F = m d2x KE = 21 mv2 โมเมนตความเฉ่ือย dt2 สปรงิ เชิงเสน T = I dd2t2 KE = 12 I2 F = kx PE = 12 kx2 PE = 12 k 2 สปรงิ เชงิ มุม F = k P = cV 2 ตัวหนวงเชิงเสน F = c ddxt P = c 2 ตวั หนว งเชงิ มมุ T = c ddt จุไรรตั นจ นิ ดา อรรคนติ ย
70 บทท่ี 3 แบบจาํ ลองทางคณิตศาสตรข องระบบ คณิตศาสตรว ิศวกรรมอิเลก็ ทรอนกิ ส 3.1.5 ระบบเชงิ กล (Mechanical system) ระบบเชิงกลตางๆ น้ันสามารถสรางข้ึนดวย มวล - สปริง- ตัวหนวง รวมข้ึนมาเปน แบบจําลองของระบบน้ัน โดยวิธีการสรางแบบจําลองเชิงกลนั้น จะพิจารณาสวนตางๆ ในระบบ แลววิเคราะหวาสวนใดในระบบทําหนาท่ีใด สวนท่ีทําหนาที่สะสมพลังงานจลน หรือเปนสวน ท่สี รางความเฉ่ือยใหกับระบบ ก็มักจะแทนดวยมวล สวนที่ทาํ หนาท่ีสะสมพลังงานศักย หรือสวน ทมี่ ีการยดื หยุนในระหวา งทีร่ ะบบเคลอ่ื นตวั กจ็ ะแทนดวยสปริงเปนตน 3.1.5.1 แบบจาํ ลองระบบสปริงและมวล M d 2x(t ) dt 2 รปู ที่ 3.7 แบบจําลองระบบสปริงและมวล F ( t ) = kx (t ) + M d 2x(t ) dt 2 3.1.5.2 แบบจําลอง มวล - สปริง - ตวั หนว ง M kd แรงซึง่ กระทํากบั สปรงิ มวล และตวั หนวง = อินพุต k F(t) x(t) ระยะกระจดั ซ่ึงเกดิ จากแรงภายนอก = เอาตพ ุต รูปที่ 3.8 การจาํ ลองระบบเชงิ กล มวล - สปรงิ - ตัวหนว ง จุไรรัตนจ ินดา อรรคนติ ย
คณติ ศาสตรว ศิ วกรรมอิเลก็ ทรอนกิ ส บทท่ี 3 แบบจําลองทางคณติ ศาสตรของระบบ 71 F (t ) = kx(t ) + M d 2x(t ) + k d dx (t ) dt 2 dt 2 หากพิจารณาวามีแรง F กระทําทําใหมวล m เกิดการเคล่ือนที่ไปดวยการขจัด x , ความเร็ว และความเรง จะไดวาแรงท่ีกระทํากับมวลจะมี 3 แรงหรือแรงกระทําภายนอก F มีทิศทางไป ในทิศของการเคล่ือนที่ x สวนแรงที่เกิดข้ึนจากสปริง Fs และแรงที่เกิดขึ้นกับตัวหนวง Fd มีทิศทางตรงกันขามกับทิศของ x การเคลื่อนที่ ดังที่แสดงตามรูปท่ี 3.8 ซ่ึงจากกฎขอท่ีสองของ นวิ ตัน 3.2 แบบจําลองทางคณิตศาสตรข องระบบทางไฟฟา สว นประกอบของระบบทางไฟฟาทส่ี ําคัญไดแก ตวั ตานทาน ตวั เก็บประจุ และตวั เหน่ยี วนาํ 3.2.1 ตัวตานทาน (Resistor) เปนอุปกรณที่ใชในการตานทานการไหลของกระแสไฟฟา เพ่ือ ทําใหกระแสและแรงดันภายในวงจร ไดขนาดตามที่ตองการ เนื่องจากอุปกรณทางดาน อิเลก็ ทรอนิกสแตละตัวถกู ออกแบบใหใ ชแรงดันและกระแสท่ีแตกตา งกนั ดงั น้นั ตวั ตานทานจึงเปน อุปกรณท มี่ ีบทบาทและใชกันมากในงานดา นไฟฟาอเิ ลก็ ทรอนกิ ส เชน วทิ ยุ โทรทัศน คอมพวิ เตอร เคร่ืองขยายเสียง ตลอดจนเคร่ืองมือเครือ่ งใชท างดานไฟฟา อิเลก็ ทรอนิกส ฯลฯ เปนตน สัญลักษณ ของตัวตา นทานทใ่ี ชใ นการเขียนวงจรมอี ยหู ลายแบบดงั แสดงในรปู ท่ี 3.9 รูปท่ี 3.9 สญั ลักษณข องตัวตา นทาน รปู ท่ี 3.10 แบบจําลองของตวั ตานทาน จไุ รรัตนจ นิ ดา อรรคนติ ย
72 บทท่ี 3 แบบจาํ ลองทางคณิตศาสตรข องระบบ คณติ ศาสตรว ิศวกรรมอเิ ล็กทรอนกิ ส จากรูปท่ี 3.10 สามารถเขยี นสมการตามกฎของโอหม ไดด ังนี้ V(t) = i(t)R (3.17) หนวยของความตานทานวัดเปนหนวย “โอหม” เขียนแทนดวยอักษรกรีกคือตัว “โอเมกา” คาความตานทาน 1 โอหม หมายถึงการปอนแรงดันไฟฟาขนาด 1 โวลต ไหลผานตัวตานทาน แลวมกี ระแสไฟฟา ไหลผา น 1 แอมแปร 3.2.1.1 สภาพนาํ ไฟฟา เม่ือตอแบตเตอร่ีกับลวดโลหะ แลววัดความตางศักย V ระหวางปลายลวด และ กระแสไฟฟา I ท่ีผา นลวดนน้ั โดยใชลวดท่ีทําจากโลหะชนิดเดียวกนั มีความยาว l ตางกัน และ มีพนื้ ท่หี นาตัดเทา กัน พบวา อตั ราสว นระหวา ง V และ I แปรผนั ตรงกบั ความยาว l ของลวดนนั้ หรือ VI l (3.18) ถาใชลวดท่ีมีความยาวเทากัน แตมีพื้นท่ีหนาตัด A ตางๆ กัน พบวาอัตราสวน ระหวาง V และ I แปรผกผนั กบั A หรือ VI Al (3.19) โดยอาศัยกฎของโอหมในสมการ สามารถสรุปความสัมพันธระหวางความ ตานทาน R ความยาว l และพ้ืนท่หี นาตดั A ของลวดโลหะไดดงั น้ี == AAllAl ดังนั้น R เม่อื เปน คา คงตัว (3.20) R (3.21) R ถาทดลองโดยใชลวดท่ีทําดวยโลหะตางชนิดกัน พบวาคาคงตัวในสมการ จะไมเทากัน ข้ึนกับชนิดของสาร คาคงตัว น้ีเรียกวา สภาพตานทานไฟฟา (Electrical resistivity) ซ่ึงมีหนวยโอหม เมตร ตาราง แสดงสภาพตานทานไฟฟาของสารตางๆ ที่อุณหภูมิ 20 องศาเซลเซยี ส 3.2.1.2 ความนาํ ไฟฟา สภาพตานทานไฟฟาของสารชนิดเดียวกันมีคาเทากัน สวนความตานทาน ของสารชนิดเดียวกนั อาจตางกัน เพราะขึน้ กบั ความยาวและพืน้ ท่หี นา ตัดของสารนัน้ จึงกลาวไดว า สภาพตานทานไฟฟาเปนสมบัติเฉพาะของสารชนิดหนึ่งๆ สวนความตานทานขึ้นกับขนาด สารแตละชิ้น สารท่ีมีความตานทานมากจะยอมใหกระแสไฟฟาผานนอย จึงกลาววาสารนั้น จุไรรัตนจ นิ ดา อรรคนติ ย
คณิตศาสตรว ศิ วกรรมอเิ ล็กทรอนกิ ส บทท่ี 3 แบบจาํ ลองทางคณิตศาสตรข องระบบ 73 มีความนําไฟฟา (electrical conductance) นอย ดังน้ันความนําไฟฟาจึงเปนสวนกลับของความ ตานทานไฟฟา และมีหนวย (โอหม)-1 หรือซีเมนส (Siemens) แทนดวยสัญลักษณ S สําหรับสาร ท่ีมีสภาพตานทานไฟฟามากจะมี สภาพนําไฟฟา (Electrical conductivity) นอย สภาพนําไฟฟา เปนสวนกลับของสภาพตานทานไฟฟา มีหนวย (โอหม)-1 หรือ ซีเมนสตอเมตรความนําไฟฟา เปนสว นกลบั ของความตานทาน สญั ลักษณ ความนาํ ไฟฟา แทนดวย “G” G = R1 (3.22) สําหรับสารที่มีสภาพตานทานมากจะมีสภาพนําไฟฟา (Electrical conductivity) นอย สภาพนําไฟฟาจงึ เปนสว นกลบั ของสภาพตา นทาน สัญลกั ษณสภาพนาํ ไฟฟา แทนดว ย “s” = 1 (3.23) 3.2.1.3 กฎของโอหมและความตา นทานไฟฟา รปู ท่ี 3.11 วงจรไฟฟาท่ีเชื่อมตอ กับตัวตา นทาน การทดลองของโอหม เม่อื ตอปลายของลวดนิโครม ซงึ่ เปนลวดโลหะผสมระหวา ง นิกเกิลและโครเมียมกับแหลงกําเนิดไฟฟาจะมีกระแสไฟฟาผานลวดนิโครม ถาความตางศักย ของแหลงกําเนิดไฟฟาเปลี่ยน กระแสไฟฟาทีเ่ กิดขึ้นจะเปล่ียนแปลงตาม โดยกระแสไฟฟาที่ผาน ลวดนิโครมแปรผันตรงกับความตางศกั ยระหวางปลายของลวดนิโครม จึงเขียนเปนความสัมพันธ ไดด ังนี้ I V ดงั นั้น I = kV (3.24) เมอ่ื k เปน คา คงตัวของการแปรผัน 1k = R VVII = k หรอื VI k1 =R = ถา ให จะได V = IR (3.25) จไุ รรัตนจ ินดา อรรคนติ ย
74 บทที่ 3 แบบจาํ ลองทางคณติ ศาสตรข องระบบ คณติ ศาสตรว ิศวกรรมอเิ ลก็ ทรอนกิ ส คาค งตัว R น้ี เรียกวา ความตาน ท าน (resistance) ของลวดนิ โครมท่ี ใช ในการทดลองความตานทานมีหนวยโวลตตอ แอมแปร (V/A) หรือเรียกวา โอหม (ohm) แทนดวย สัญลักษณ โอหมไดคนพบความสัมพันธตามสมการ เม่ือ พ.ศ.2369 ความสัมพันธน้ีเรียกวา กฎของโอหม (ohm’s Law) มีใจความวา ถาอุณหภูมคิ งตัว กระแสไฟฟาทีผ่ า นตวั นาํ จะแปรผนั ตรง กับความตา งศักยร ะหวางปลายของตวั นํานน้ั 3.2.2 ตัวเหน่ียวนํา (Inductor) เปนอุปกรณท่ีนิยมใชในการปรับความถี่ของเคร่ืองรับวิทยุและ โทรทัศนโดยอาศัยหลักการของลวดทองแดง นํามาขดหลายๆ รอบ ท่ีเรียกวาคอย (Coil) แลวจาย กระแสไฟฟา เขาไป เพอื่ ใหแ สดงคณุ สมบตั ขิ องตวั เหน่ยี วนํา โครงสรางประกอบดว ยขดลวด (Coil) พันรอบแกน (Core) ซ่ึงแกนนี้อาจจะเปนแกนอากาศ, แกนเหล็ก, หรือแกนเฟอรไรทข้ึนอยูกับ คุณสมบัติของการเหนี่ยวนําไฟฟา ตัวเหนี่ยวนําชนิดตางๆ ตัวเหนี่ยวนําจะมีคุณสมบัติ ในการเหน่ียวนําทางไฟฟาโดยเกิดข้นึ ในรูปของสนามแมเหล็ก ภายในตัวเหน่ียวนํามีคาที่เรียกวา คาความเหนีย่ วนาํ (Inductance) มหี นว ยเปน เฮนร่ี (Henry) รปู ท่ี 3.12 แบบจําลองทางไฟฟา ของตัวเหน่ียวนาํ ไมเคิลฟาราเดยไดทําการทดลองศึกษาแรงเคล่ือนไฟฟาท่ีเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของ สนามแมเหล็ก พบวาการเปล่ียนแปลงสนามแมเหล็กท่ีผานพื้นที่หนาตัดของขดลวดจะเหนี่ยวนํา ใหเกิดแรงเคล่ือนไฟฟาทําใหมีกระแสไฟฟาในขดลวด โดยแรงเคลื่อนไฟฟาที่เกิดข้ึนนี้เกิดจาก การเปลี่ยนแปลงของฟลกั ซแมเหลก็ B ทผ่ี านหนาตัด A ของลวดตวั นําวงปด ซ่งึ มสี มการดังนี้ Vemf = dB (3.26) dt โดยที่ฟลักซแ มเ หลBก็ =หาไBด.dจ Aาก (3.27) จไุ รรัตนจ นิ ดา อรรคนติ ย
คณติ ศาสตรว ิศวกรรมอิเลก็ ทรอนกิ ส บทท่ี 3 แบบจําลองทางคณติ ศาสตรของระบบ 75 ถาพันขดลวดจํานวน N รอบ แรงเคลอื่ นไฟฟา ทเ่ี กดิ ขึ้นหาไดจ าก Vemf =N dB (3.28) dt ตอ มาไฮนรชิ เลนซ ไดอธบิ ายทิศทางและการเกิดกระแสไฟฟาเนื่องจากแรงเคลื่อนไฟฟา เหนี่ยวนาํ ท่ีไดจากกฎฟาราเดยโดยกระแสไฟฟา เหน่ียวนาํ จะเกิดขึน้ เพื่อรักษาฟลักซแมเ หลก็ ทผ่ี าน วงจรใหคงตัว ดงั น้ันกระแสไฟฟา เหนี่ยวนําที่เกิดข้ึนในวงจรจะสรางสนามแมเหล็กท่ีมีทิศตอตา น การเปล่ยี นแปลงฟลกั ซแ มเ หล็กซง่ึ สามารถเขยี นสมการไดเ ปน dB Vemf = N dt (3.29) 3.2.2.1 สภาพเหนยี่ วนําตัวเอง วงจรไฟฟาใดๆ จะมีลักษณะเปนวงปดเสมอ เร่ิมตนไมมีกระแสไฟฟาในวงจร แตเม่ือตอสวิตชใหมีกระแสไฟฟา กระแสไฟฟาจะทําใหเกิดสนามแมเหล็กมีทิศทะลุผานวงปด ทํ า ใ ห ฟ ลั ก ซ แ ม เห ล็ ก ท่ี ผ า น ว ง ป ด มี ก า ร เป ลี่ ย น แ ป ล ง โ ด ย เพิ่ ม ขึ้ น จ า ก ศู น ย ใ น ต อ น แ ร ก การเปลี่ยนแปลงนที้ าํ ใหเกิดแรงเคลื่อนไฟฟา และกระแสไฟฟาเหน่ยี วนําตอ ตานการเพ่มิ ของฟลกั ซ แมเหล็ก ดังน้ันกระแสไฟฟาสุทธิในวงจรจะคอยๆ เพิ่มข้ึนจนมีคาตามที่ควรจะเปนเมื่อฟลักซ แมเหล็กคงตัว กระแสไฟฟา ไมไดเพิ่มอยา งทนั ทที ันใด ท้งั นป้ี ริมาณของแรงเคลอ่ื นไฟฟา ที่ตอ ตานการไหลของกระแสไฟฟาในวงจร VL ขึ้นกับการเปล่ียนแปลงของฟลักซแมเหล็ก ddtB ท่ีเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของกระแสไฟฟา ddIt ในวงจร VL = -N ddtB (3.30) โ ด ย แ ร ง เค ล่ื อ น ไ ฟ ฟ า ที่ ต อ ต า น ก า ร ไ ห ล ข อ ง ก ร ะ แ ส ไ ฟ ฟ า ใ น ว ง จ ร ข้ึ น กั บ การเปล่ยี นแปลงของกระแสไฟฟา ในวงจร ddddttBB N ddIt (3.31) N = L ddIt จไุ รรัตนจ ินดา อรรคนติ ย
76 บทที่ 3 แบบจําลองทางคณติ ศาสตรข องระบบ คณติ ศาสตรว ศิ วกรรมอิเลก็ ทรอนกิ ส เม่ือ L เปนคุณสมบัติท่ีขึ้นกับระบบ เรียกวา สภาพเหน่ียวนํา มีหนวยเปนเฮนรี (Henry,H) B = LI (3.32) = N NI B (3.33) L อาจเขียนใหอยใู นรปู ของแรงเคลือ่ นไฟฟา ไดเ ปน VL =-NL ddIt 3.2.3 ตัวเก็บประจุ (Capacitor) เปนอุปกรณท่ีใชในการเก็บประจุ (Charge) และสามารถ คายประจุ (Discharge)ไดโดยนําสารตัวนํา 2 ช้ิน มาวางในลักษณะขนานใกลๆ กัน แตไมได ตอ ถึงกัน ระหวางตัวนําทั้งสองจะถูกกั้นดวยฉนวนท่ีเรียกวาไดอิเล็กตรกิ (Dielectric) ซึ่งไดอิเล็ก ตริกน้ีอาจจะเปนอากาศ, ไมกา, พลาสติก, เซรามิคหรือสารที่มีสภาพคลายฉนวนอ่ืนๆ เปนตน ตัวเก็บประจุเมื่อตอกับแหลงจายไฟตรงหรือแบตเตอรี่ ประจุจะสะสมบนแผนประจุและ ความตางศักยระหวา งแผนของตัวเกบ็ ประจุจะเพ่ิมขึ้นจนกระทั่งมีคา เทา กับแหลงจายไฟขณะเวลา ใดๆ ประจุ Q ของตวั เก็บประจจุ ะมคี า Q = CV โดยที่ C คอื ความจุ (Capacitance) ของตวั เกบ็ ประจุ หนวย farads (F) รูปท่ี 3.13 แบบจาํ ลองทางไฟฟาของตวั เกบ็ ประจุ (ทีม่ า : http://www.sharetechnote.com/html/EngMath_DifferentialEquation.html) ความสัมพันธของกระแสที่ผานตัวเก็บประจุ ic และแรงดันที่ตกครอมตัวเก็บประจุ vc เปน ไปดังสมการ จไุ รรตั นจ นิ ดา อรรคนติ ย
คณิตศาสตรว ิศวกรรมอเิ ล็กทรอนกิ ส บทที่ 3 แบบจาํ ลองทางคณติ ศาสตรข องระบบ 77 ic = C ddvtc (3.34) ครอจมาตกัวสเกมบ็กปารรจะะจเุหด็นังนวา้นั สหว านกขจอา ยงไสฟมตกรางรใหddvกtcบั ตเปัวนเกส็บว ปนรขะอจงจุ อะตัทราํ าใกหาส รวเปนลขีย่ อนงแปddvลtcงข=อ0งแเนรงอื่ ดงันจาทก่ีตvกc เปนไฟตรงซึ่งเปนคาคงที่อนุพันธของคาคงที่จะมีคาเปนศูนย ทําใหไมมีกระแสไหลผาน ตัวเก็บประจุ จึงทําใหคุณสมบัติทางไฟตรงของตัวเก็บประจุเสมือนเปดวงจรสวนสมการ ของแรงดนั ของตัวเก็บประจเุ ปน ไปตามสมการที่ (3.35) vc(t) = 1c i(t)dt (3.35) ตารางท่ี 3.2 คณุ สมบตั ิของสว นประกอบทางไฟฟา สวนประกอบ แรงดนั -กระแส กระแส-แรงดนั แรงดัน-ประจุ อมิ พีแดนซ แอดมิแตนซ ตัวเก็บประจุ v(t ) = C1 t i( )d i(t) = C dvd(tt) v(t) = C1 q(t) Z (s) = VI((ss)) Y (s) = VI((ss)) C1s Cs 0 ตัวตา นทาน v(t) = Ri(t) i(t) = R1 v(t) v(t) = R dq(t ) R R1 = G dt v(t) = L did(tt) i (t ) = L1 t v( )d v(t ) = L d 2q(t ) Ls L1s dt 2 ตวั เหน่ยี วนาํ 0 จไุ รรตั นจ นิ ดา อรรคนติ ย
78 บทท่ี 3 แบบจาํ ลองทางคณติ ศาสตรของระบบ คณิตศาสตรว ิศวกรรมอิเล็กทรอนกิ ส ตารางที่ 3.3 การสะสมพลังงานของอปุ กรณ สมการความสมั พนั ธ สมการพลังงาน ตัวแปรทางฟส กิ ส V21 = L ddti E = 21 Li2 E = 21 Fk2 v2 v1 V21 = k1 ddFt E = 21 Tk2 E = 12 IQ2 ตัวเหนี่ยวนาํ 21 = k1 ddTt E = 12 MV221 v2 v1 P21 = I ddQt E = 12 MV22 E = 12 J22 Translation Spring i = c dVdt21 E = 12 Cf P221 E = CfT2 2 1 F = M ddVt2 P = 1R .V21 P = b.V221 Rotational Spring T = J ddt2 P2 P1 Q = Cf dP21 dt Fluid inertial q = Ct ddTt2 v2 v1 i = R1 .V21 Electrical Capacitance F = b.V21 v2 v1 Translation Mass 2 1 Rotational Mass FluidPC1 apacitanceP2 T2 T1 Thermal Capacitance v2 v1 Electrical Resistance v2 v1 Translational Damper จไุ รรตั นจ นิ ดา อรรคนติ ย
คณิตศาสตรว ิศวกรรมอิเลก็ ทรอนกิ ส บทท่ี 3 แบบจาํ ลองทางคณติ ศาสตรข องระบบ 79 ตารางที่ 3.3 การสะสมพลังงานของอปุ กรณ (ตอ ) ตวั แปรทางฟสกิ ส สมการความสมั พนั ธ สมการพลงั งาน 2 1 T = b.21 P = b.221 Rotational Damper P2 Rf P1 Q = R1f .P21 P = R1f .P221 Fluid Resistance T2 Rt T1 q = R1t .T21 P = R1t .T21 Thermal Resistance *หมายเหตุ V21 คอื ความแตกตา งของแรงดนั ไฟฟาระหวา งจดุ ที่ 2 เทียบกบั จุดท่ี 1 P21 คอื ความแตกตา งของกําลงั ไฟฟา ระหวางจุดที่ 2 เทียบกบั จดุ ที่ 1 21 คือ ความแตกตางของความเรว็ เชิงมุมระหวางจดุ ที่ 2 เทยี บกบั จดุ ที่ 1 T21 คือ ความแตกตางของอณุ หภมู ิระหวา งจดุ ท่ี 2 เทียบกบั จุดที่ 1 ตวั อยา งที่ 3.1 ระบบทางกลอยางงา ยตามรปู มีแรงกระทํา 3 แรง ที่ทําใหวัตถุ มวล (M) เคลอ่ื นท่ี ไดแ ก แรงดงึ แรงเสยี ดทาน และแรงดึงของสปรงิ จงเขยี นสมการคณิตศาสตรเพอ่ื อธบิ ายการทาํ งาน ของระบบทางกลดังกลาว รปู ท่ี 3.14 ระบบทางกลอยางงา ย จไุ รรัตนจ นิ ดา อรรคนติ ย
80 บทท่ี 3 แบบจําลองทางคณิตศาสตรของระบบ คณิตศาสตรว ศิ วกรรมอิเลก็ ทรอนกิ ส วิธที ํา ขน้ั ตอนท่ี 1 กาํ หนดให ระยะการดงึ = x (t) มวลของวัตถุ =M สมั ประสิทธิ์แรงเสียดทาน = B คาคงท่ขี องสปริง =K ข้นั ตอนท่ี 2 ใชก ฎของการเคลอ่ื นทีข่ องนวิ ตนั เม่ือมีแรงกระทาํ ตอวัตถุ ในแนวดิ่งจะมีสมการเปน M d2x + B ddxt + Kx = f (t) dt2 ตอบ จะไดส มกาใรddหddคxxtt12ณx=1ต=ิ ศ=xM1า2xส[ตแfรล(ทะt)า-งxBก2 xล=2เปd-dนxKt x1d]dxt2 = M1 [ f (t)- Bx2 - Kx1] ตวั อยางที่ 3.2 จงเขียนสมการอนุพันธความเร็วของวัตถุเม่ือตกจากทองฟาที่เวลาใดๆ และ มีแรงตา นอากาศกระทาํ กับวัตถุ รปู ท่ี 3.15 การสรางรม ชชู ีพสาํ หรบั ไข (ทม่ี า : https://devilteacher.wordpress.com/2012/06/27/angry-bird/) วิธที าํ ขั้นตอนที่ 1 พจิ ารณาเงอ่ื นไขสมการทเ่ี กย่ี วของจากกฎของนวิ ตัน จะไดผ ลลัพธ ของแรงทงั้ หมดท่กี ระทาํ ตอ วัตถุ = การเคลื่อนท่ขี องวัตถุ จุไรรัตนจ ินดา อรรคนติ ย
คณติ ศาสตรว ศิ วกรรมอเิ ล็กทรอนกิ ส บทที่ 3 แบบจําลองทางคณิตศาสตรข องระบบ 81 F = ma (3.36) ข้นั ตอนท่ี 2 พิจารณาแรงทกี่ ระทําตอวัตถทุ ้ังหมด ไดแก แรงดึงดดู ของโลก และแรง ตานอากาศ แรงดึงดดู ของโลก = mg แรงตานอากาศ = -kv (เคร่อื งหมาย - แสดงวามที ิศทางตรงขา มกบั แรงดึงดดู ของโลก) เม่ือ m = มวลของวัตถุ (kg) g = แรงโนมถวงของโลก a = ความเรง (m/s2) v = ความเร็ว (m/s) k = คาสมั ประสทิ ธิแรงตา นอากาศ F = ma ความสมั พนั ธระหวา งความเรง และความเร็วคอื 1. แรงท่ชี ว ยในการเคลอ่ื นท่ี = แรงโนม ถว งโลก = mg a = ddvt 2.แรงตานการเคล่ือนที่ = ma = m ddvt แรงตา นอากาศ= -kv รูปที่ 3.16 แบบจาํ ลองการเคลือ่ นทข่ี องวตั ถใุ นแนวด่งิ (ท่มี า : http://www.sharetechnote.com/html/EngMath_DifferentialEquation.html) ข้ันตอนท่ี 3 แทนคาในสมการท่ี (3.36) F = ma mg - kv = ma mg - kv = m ddvt จุไรรตั นจ นิ ดา อรรคนติ ย
82 บทท่ี 3 แบบจาํ ลองทางคณติ ศาสตรของระบบ คณติ ศาสตรว ศิ วกรรมอิเล็กทรอนกิ ส mddvtdd=vt = mg - kv ddvt mk g - mk v ตอบ สมการในการเคลือ่ นทีข่ องวตั ถใุ นแนวดิ่ง คือ = g - v ตวั อยา งที่ 3.3 จงหาสมการอนพุ ันธข องสปรงิ ทีเ่ คลอื่ นทีต่ ดิ กับวัตถุตามรปู ABC P4 s แรงดงึ ของสปรงิ = -ks -x P1 x=0 P2 P3 จุดสมดุล +x จุดอางอิง แรงดึงของแรงโนมถว งโลก = mg รปู ท่ี 3.17 การเคลื่อนทข่ี องวตั ถุท่ีตดิ กับสปริง (ท่ีมา : http://www.sharetechnote.com/html/EngMath_DifferentialEquation.html) วธิ ีทาํ ข้นั ตอนท่ี 1 จากกฎการเคลื่อนขอที่ 2 ของนิวตัน F = ma ข้นั ตอนท่ี 2 แรงท่ีชวยในการเคล่อื นที่ = แรงหดของสปริงซึ่งมีทิศทางสวน ทางกบั จุดสมดลุ = -kx แรงโนมถว งของโลก = แรงดงึ ของวัตถไุ ปยงั พ้ืนโลก = mg แรงดึงของสปรงิ ถกู กระทาํ โดยแรงโนมถวงโลก = -ks แรงที่ปกปองการเคล่อื นท่ี = แรงหนวง - ddxt จะไดแ รงทกี่ ระทําทั้งหมดไดแก -kx + mg - ks - ddxt = ma ถา กาํ หนดใหจ ุดสมดุลและจุดอา งอิงเปน ตาํ แหนง เดียวกนั จะทาํ ให mg - ks = 0 -kx - ddxt = ma จไุ รรตั นจ นิ ดา อรรคนติ ย
คณติ ศาสตรว ิศวกรรมอิเลก็ ทรอนกิ ส บทท่ี 3 แบบจาํ ลองทางคณิตศาสตรของระบบ 83 ขน้ั ตอนท่ี 3 เม่ือ a = ddvt dx2 a = d2t -kx - ddxt = m dx2 d 2t dx2 ddxt m d2t + kx + = 0 ตอบ สมการในการเคลื่อนท่ที างกล คือ m dx2 + kx + ddxt =0 d2t ตัวอยา งท่ี 3.4 จากวงจรไฟฟาที่มีการตออนุกรมของตัวตานทานและตัวเหน่ียวนําเขากับ แหลง จา ยไฟตรงดงั รปู ที่ 3.18 จงหาสมการอนพุ ันธข องแรงดนั ไฟฟา วิธที าํ แรงดันRตiกครอ ม EMFS: E + R L L ddti แรงดนั ตกครอม E C แหลง จายไฟตรง - C1 q แรงดันตกครอ ม รูปที่ 3.18 แบบจําลองการตอวงจรไฟฟาแบบอนกุ รม ขัน้ ตอนที่ 1 จากกฎแรงดนั ไฟฟา ของเคอรชอฟท กลา ววา 1. ผลรวมของแรงดันไฟฟา ทง้ั หมดภายในวงจรจะมคี า เปนศูนย 2. ผลรวมของคา emf ภายในลูปปด จะเทา กบั ผลรวมของแรงดันท่ี ตกครอมในลปู นน้ั จไุ รรตั นจ นิ ดา อรรคนติ ย
84 บทที่ 3 แบบจาํ ลองทางคณิตศาสตรของระบบ คณติ ศาสตรว ิศวกรรมอิเลก็ ทรอนกิ ส ข้นั ตอนท่ี 2 ทาํ การเขยี นสมการตามกฎแรงดนั ของเคอรชอฟท (+E)+(-Ri) +-L ddti +- 1c q = 0 แหลง จา ยไฟ (มีเคร่ืองEห-มRายiเ-ปLนบddtiวก- )1c q แ=ร0งดันตกครอม (มเี คร่อื งหมายเปน ลบ) ยายขางสมการจะได E = Ri + L ddti + 1c q ขัน้ ตอนท่ี 3 ทําการหาอนุพนั ธท้งั สองขา งของสมการเทียบกบั ตวั แปร t จะได ddEt = R ddit + L ddt ddit + 1c ddqt ddEt dd=qtRแddทitน+คLาใddนt22สi ม+ก1cารddจqtะได จะได i= เมื่อ ddEt = R ddti + L ddt22i + 1c i แบบจําลองสมการอนพุ ันธของวงจรไดแ ก ตอบ ddEt = R ddti + L ddt22i + 1c i ตวั อยางท่ี 3.5 จงเขยี นสมการอนุพันธของมอเตอรก ระแสตรง ในรูปท่ี 3.19 สวนประกอบทางกล เอาตพตุ ของแรงทท่ี ําใหห มุน มมุ สมั ประสทิ ธ์กิ ารหนวง รปู ท่ี 3.19 แบบจําลองของมอเตอรไ ฟฟา กระแสตรง (ทมี่ า : http://www.sharetechnote.com/html/EngMath_DifferentialEquation.html) จไุ รรัตนจ นิ ดา อรรคนติ ย
คณิตศาสตรว ศิ วกรรมอเิ ล็กทรอนกิ ส บทท่ี 3 แบบจําลองทางคณติ ศาสตรของระบบ 85 วธิ ีทํา ขั้นตอนที่ 1 พิจารณาแรงทางกลโดยใชก ฎความสัมพันธใ นการหมนุ เชงิ มุมจะได แรงทเี่ กดิ ขนึ้ ในขณะทีโ่ หลดมกี ารหมนุ = มมุ ที่ใชในการเคล่อื นทข่ี อง โหลด T (Output torque) + Damping = มุมท่ีใชในการเคลื่อนที่ของโหลด kti + - kd ddt J dd2t2 kt .i - kd ddt = J dd2t2 พิจารณาวงจรทางไฟฟา เนอื่ งจากมอเตอรไ ฟฟากระแสตรงเปรียบเสมอื น ขัน้ ตอนที่ 2 กับเปน ตวั เหนยี่ วนําดงั น้ันจงึ แทนมอเตอรด ว ยตวั เหน่ยี วนาํ แรงดนั ทางดานอนิ พตุ = ผลรวมของแรงดันทตี่ กครอ มอุปกรณแ ตล ะตัว ในวงจร L ddti Vemf = ke ddt รปู ที่ 3.20 แบบจาํ ลองทางไฟฟา ของมอเตอรไฟฟากระแสตรง ขั้นตอนที่ 3 ใชกฎของแรงดันเคอรช อฟทจ ะได V = iR + L ddti +Vemf แทนคา Vemf ตามสมการVemf = ke ddt จะได V = iR + L ddit + ke ddt ตอบ สมการทางไฟฟาของมอเตอรม คี าเปน V = iR + L ddti + ke ddt สมการทางกลของมอเตอรม ีคา เปน kt .i - kd ddt = J dd2t2 จุไรรตั นจ ินดา อรรคนติ ย
86 บทที่ 3 แบบจาํ ลองทางคณิตศาสตรข องระบบ คณติ ศาสตรว ิศวกรรมอิเลก็ ทรอนกิ ส 3.2.4 ไดโอด (Diode) เปนอุปกรณท่ีทําจากสารกึ่งตัวนําชนิดพี และสารก่ึงตัวนําชนิดเอ็นมา เชือ่ มตอกัน โดยสามารถควบคุมใหก ระแสไฟฟา จากภายนอกไหลผานไดเ พยี งทิศทางเดยี ว ไดโอด ประกอบดวยขั้ว 2 ข้ัว คือข้ัว แอโนด (Anode : A) ซึ่งตออยูกับสารกึ่งตัวนําชนิดพีและขั้วแคโทด (Cathode : K) ซึ่งตออยูกับสารก่ึงตัวนําชนิดเอ็น อุปกรณไดโอดในทางปฏิบัติน้ันจะเปนอุปกรณ ทางอเิ ล็กทรอนิกสท ่ีจะมีคณุ สมบัตคิ วามสัมพันธระหวางคาแรงดนั และคาของกระแส ท่ไี มเ ปน เชิง เสน (Nonlinear) ซง่ึ สามารถเขียนสมการแสดงความสัมพนั ธน้ีได ตามสมการท่ี (3.37) และสมการ ท่ี (3.38) iD = I s ( e VVTD - 1 ) (3.37) iIDs (3.38) vD = nVT ln + 1 เมอื่ กาํ หนดให iD = กระแสไหลผา นไดโอด VD = แรงดนั ตกครอมไดโอดในทิศทางไบแอสไปหนา IS = กระแสอ่มิ ตวั ยอนกลบั (Reverse Saturation Current) k = Boltzmann’s Constant มคี า เทา กบั 1.38 10-23 Joules/Kelvin-1 e = คาของประจไุ ฟฟาของอเิ ลก็ ตรอน มคี าเทา กับ 1.6 10-19 Coulomb n = ideality factor ในทางทฤษฎี n = 1 ในทางปฏิบตั ิ n = 1 สําหรบั ซิลคิ อนไดโอดที่มีกระแสสูงและเจอรม าเนยี ม n = 2 สําหรับซิลคิ อนไดโอดทมี่ ีกระแสตาํ่ VT = แรงดนั ไฟฟา เสมือนของอุณหภมู ิ VT = KT = 25.852 mV 300K 0.026 V (3.39) q จุไรรตั นจ นิ ดา อรรคนติ ย
คณติ ศาสตรว ศิ วกรรมอเิ ล็กทรอนกิ ส บทท่ี 3 แบบจาํ ลองทางคณิตศาสตรของระบบ 87 iD ไบแอสไปหนา Ge ≥ 0.3V Si ≥ 0.7V Si : Silicon -Vrb(Si) -Vrb(Ge) Ge: Germanium vD 0.3V 0.7V ไบแอสยอนกลับ รปู ที่ 3.21 กราฟคุณสมบัตขิ องไดโอดในทางปฏบิ ัติ (ท่ีมา : http://wara.com/article-778.html) จากรูปที่ 3.21 เปนกราฟท่ีแสดงคุณสมบัติของไดโอดในทางปฏิบัติ โดยแบงออกเปน 2 ชนดิ คอื ไดโอดชนดิ ซิลคิ อน และไดโอดชนดิ เจอรม าเนยี ม ซง่ึ แบงยานการทาํ งานออกเปน 2 ยาน คือยา นการทํางานแบบไบแอสไปหนา และยา นการทํางานแบบไบแอสยอ นกลับ ไดโอดพารามเิ ตอร 1. คาความตานทานบัค (Bulk resistance (rB)) เปนผลรวมของคาความตานทานของ สารกงึ่ ตวั นําชนิดพีและสารก่ึงตวั นาํ ชนดิ เอ็นของไดโอด (It) rB = rP + rN (3.40) ซ่ึงมีคา นอ ยมาก ตามสมการ rB = VFI-FVB เม่ือ VB คือ ศักยไฟฟา ทรี่ อยตอ (3.41) 2. ความตานทานของรอยตอ (Junction resistance : rj or rd) คาความตานทานไดนามิค เปนพารามิเตอรที่สําคัญโดยเฉพาะเมื่อทํางานในขณะท่ีมีไดโอดไดรับสัญญาณขนาดเล็ก คาของ การไบแอสตรงขึ้นอยูกับขนาดของกระแสไฟตรง dV dI ri = dI gi = dV (3.42) จไุ รรัตนจ ินดา อรรคนติ ย
88 บทที่ 3 แบบจําลองทางคณติ ศาสตรของระบบ คณิตศาสตรว ศิ วกรรมอิเลก็ ทรอนกิ ส จาก I = Io e V -1 ηVT V I = Io eηVT - Io dI ดังน้ันหาอนุพันธจ าก gi = dV จะได VV d(IoeηVT - Io ) d(IoeηVT )-d(Io ) gi = dI = dV = dV dV V I o e ηVT = ηVT VV จากสมการ I = Io eηVT - Io จะได I + Io = IoeηVT แทนคาในสมการจะได gi = I + Io ηVT (3.43) (3.44) ดงั น้นั จะได ηVT I + Io ri = ตัวอยางที่ 3.6 จากวงจรเรียงกระแสแบบคร่งึ คลื่นของไดโอด จงหาคาแรงดันเฉล่ียของรูปคลื่น เอาตพุต รูปท่ี 3.22 วงจรเรยี งกระแสแบบครึ่งคล่ืน (ที่มา : https://www.electronics-tutorials.ws/diode/diode_5.html) จไุ รรัตนจ นิ ดา อรรคนติ ย
คณติ ศาสตรว ศิ วกรรมอเิ ลก็ ทรอนกิ ส บทที่ 3 แบบจาํ ลองทางคณติ ศาสตรของระบบ 89 วิธีทาํ ขน้ั ตอนที่ 1 คาเฉล่ยี แรงดนั ของรปู คลื่นวงจรเรยี งกระแสแบบครึ่งคลื่น มสี มการเปน VAVE = 1 π0 Vp sin θ dθ π ขน้ั ตอนที่ 2 ทําการหาปรพิ ันธข องสมการ = Vp (1-cos ) VAVE π2Vp π 0 π = = 0.637 Vp ตอบ VAVE = 0.637 Vp ตวั อยา งที่ 3.23 จงหาปรพิ ันธของ vo ถา vc(t) = 0 เมือ่ t = 0 ic vc iC v1u(t) vo รปู ที่ 3.23 วงจรตวั อยางที่ 3.23 วธิ ที ํา ขัน้ ตอนท่ี 1 โดยใชแบบจาํ ลองวงจรออปแอมป เมอ่ื กระแสไหลมีคาเปนศูนย กระแส ข้ันตอนท่ี 2 ในตัวตานทานมีคาเปน ic ข้นั ตอนที่ 3 มีการตอสญั ญาณเอาตพตุ ซงึ่ เปนการปอนกลับแบบลบยอนกลับมาท่ี อนิ พุต จะได การปอ นกลับแบบลบ vn = vp = 0 จากกฎของโอหม Ric = v1 – vn = v1 dvc d(vndt-vo ) dvo กระแสของตวั เกบ็ ประจุ ic = C dt = C = -C dt แทนคา ic ในสมการกฎของโอหม v1 dvo R = -C dt จุไรรตั นจ นิ ดา อรรคนติ ย
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441