Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 57 Public Administration Kanyawan 2203101

57 Public Administration Kanyawan 2203101

Description: 57 Public Administration Kanyawan 2203101

Search

Read the Text Version

4. อานาจอธิปไตยตามนิตินัย (De Jure Sovereignty) ได้แก่อานาจอธิปไตยซึ่งรัฐบาลทช่ี อบด้วยกฎหมายเป็ นผู้ใช้ใน การปกครองประเทศ รัฐบาลทชี่ อบด้วยกฎหมายเป็ นผู้ใช้ใน การปกครองประเทศ รัฐบาลทช่ี อบด้วยกฎหมายได้แก่รัฐบาล ทจ่ี ดั ต้งั ขนึ้ มาตามกระบวนการทางการเมืองทถี่ ูกต้องตาม กฎหมาย เป็ นรัฐบาลทไ่ี ด้รับการแต่งต้งั จากสภา ซึ่งประชาชน เลอื กขนึ้ มา หมายความว่า เป็ นรัฐบาลทไี่ ด้รับการแต่งต้งั จาก ประชาชนส่ วนใหญ่ของประเทศ

5. อานาจอธิปไตยภายนอก (External Sovereignty) หมายถึง ความเป็ นเอกราชของรัฐในการทจ่ี ะดารงความ เป็ นอสิ รภาพ ปราศจากการแทรกแซงของรัฐอน่ื ท้งั กจิ การภายในประเทศและกจิ การระหว่างประเทศ ไม่ว่า จะเป็ นการทาสนธิสัญญาการประกาศยุตสิ งคราม เพราะว่าการกระทาดงั กล่าวเกยี่ วพนั กบั ประโยชน์ของ รัฐ

ประเทศทีใ่ ช้ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยมหี ลกั สาคญั คอื ประชาชนเป็ นผู้มอี านาจอธิปไตย หรือประชาชนเป็ น เจ้าของอานาจอธิปไตย ฉะน้ันประชาชนจงึ ทรงไว้ในการ แสดงออกซ่ึงการเป็ นเจ้าของอานาจอธิปไตย

 เป็ นวธิ ีการหนงึ่ ซึ่งให้ประชาชนมสี ิทธิได้ใช้อานาจอธิปไตยโดย ผ่านผู้แทน หมายถงึ วธิ ีการทเี่ ปิ ดโอกาสให้ประชาชนได้มีส่วน ในการเลอื กสรรและกาหนดตัวเจ้าหน้าทท่ี ่ีจะมาบริหารงานด้าน สาธารณะ การออกเสียงเลอื กต้งั นีม้ กั เป็ นการปกครองแบบ ประชาธิปไตย การเลอื กต้งั จะต้องจดั ให้มีขนึ้ ตามระยะเวลาอนั ควร ซ่ึงระยะเวลาดงั กล่าวจะกาหนดไว้ในรัฐธรรมนูญของแต่ละ ประเทศ อนึ่งหลกั สาคญั ของการเลอื กต้งั คอื ยุตธิ รรม เสมอภาค เปิ ดเผยและเสรี ซึ่งประเทศทีม่ ีการปกครองประชาธิปไตยต้อง ยดึ หลกั เกณฑ์โดยเคร่งครัด

 เป็ นวธิ ีการหน่ึงทเี่ ปิ ดโอกาสให้ประชาชนได้มสี ิทธิทจี่ ะ แสดงซึ่งเจตนารมณ์ของตน ซึ่งในปัจจุบัน รัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย (พ.ศ.2550)ได้กาหนดเร่ืองการ ออกเสียงประชามตไิ ว้ในมาตรา 214 อย่างไรกต็ ามการ ออกเสียงประชามตจิ ะใช้ได้ผลดเี ฉพาะแต่ประเทศท่ี ประชาชนมกี ารศึกษาดแี ละมคี วามสนใจทางการเมอื ง เพยี งพอ

 เพอื่ ให้ประชาชนมอี านาจในการริเร่ิมหรือเสนอแนะการร่าง กฎหมายต่อสภานิตบิ ัญญตั ิโดยตรง นับได้ว่าเป็ นพฒั นาการของ ระบอบประชาธิปไตยระดบั สุดยอดในทางปฏิบตั ิ (Ultra- democracy practice) ภายในขอบเขตของการปกครองระบอบ รัฐธรรมนูญและก้าวไปไกลกว่าออกเสียงประชามติ สาหรับ รัฐธรรมนูญไทย พ.ศ.2550 ได้กาหนดให้ผู้มสี ิทธิเลอื กต้งั ร่วมกนั เข้าช่ือเสนอกฎหมายได้แต่ต้องรวบรวมรายช่ือให้ครบ 25,000 คน โดยมีการกาหนดรายละเอยี ดไว้ในพระราชบัญญตั ิว่า ด้วยการเข้าช่ือเสนอกฎหมาย พ.ศ.2542

 วธิ ีการนีม้ ักใช้ในกรณที ม่ี ปี ัญหาสาคญั และรัฐบาลไม่อาจจะ ตัดสินใจหรือไม่กล้าที่จะตัดสินใจ เช่น การออกเสียงลงคะแนน ของชาวแอลจเี รียว่าจะแยกจากฝร่ังเศสหรือไม่ ซ่ึงผลทส่ี ุด ประชาชนส่วนใหญ่ลงคะแนนเสียงให้แยก ในสหรัฐอเมริกาได้ นาวธิ ีการนีม้ าใช้กบั การปกครองระดบั ท้องถน่ิ เหมือนกนั คอื ให้ ประชาชนตดั สินใจว่าจะ “รับ” (yes) หรือ “ไม่รับ” (no) แต่ วธิ ีการนเี้ หมาะสมทจี่ ะใช้ในเขตการปกครองขนาดเลก็ เช่น ใน ระดบั ท้องถน่ิ

 เป็ นวธิ ีการในระบอบการปกครองประชาธิปไตยโดยตรง ซ่ึง แสดงให้เห็นถึงอานาจอธิปไตยเป็ นของปวงชน โดยกาหนดให้ ข้าราชการตาแหน่งสูงๆ ต้องรับผดิ ชอบในงานของตนอย่าง เตม็ ที่ และประชาชนสามารถออกเสียงให้ออกจากตาแหน่ง โดย การทปี่ ระชาชนออกเสียงนี้ เรียกว่า Recall อย่างไรกต็ าม รัฐธรรมนูญไทย พ.ศ.2550 ได้กาหนดกระบวนการถอดถอนผู้ ดารงตาแหน่งไว้ ในมาตรา 303 โดยให้เป็ นอานาจของวฒุ สิ ภา

 เป็ นการแสดงออกในรูปทไ่ี ม่ใช่เป็ นการออกเสียง แต่เป็ นเพยี ง ความรู้สึกหรือปฏกิ ริ ิยาทแี่ สดงความพอใจหรือไม่พอใจของ ประชาชนทว่ั ไปต่อการกระทาบางอย่างของรัฐบาล ซ่ึงในการ ปกครองระบอบประชาธิปไตยน้ัน ส่ิงทสี่ าคญั กค็ อื รัฐบาลผู้ทา หน้าท่ใี นการบริหารประเทศจะต้องรับฟังความคดิ เห็นทวั่ ไป หรือมตมิ หาชนนี้ ถ้าประชาชนโดยทว่ั ไปไม่สนับสนุนการ ปฏิบัตงิ านของรัฐบาล รัฐบาลกต็ ้องเสี่ยงต่อการสูญเสียอานาจ มตมิ หาชนถอื เป็ นปัจจยั สาคญั ท่ที าให้มกี ารดาเนินการในแบบ ประชาธิปไตย เนื่องจากเป็ นการทปี่ ระชาชนมีโอกาสทจี่ ะ วพิ ากษ์วจิ ารณ์ตลอดจนสามารถควบคุมผู้ใช้อานาจทางการเมอื ง

สรุป อานาจอธิปไตยเป็ นอานาจสูงสุดในการปกครองรัฐรัฐมอี านาจบงั คบั ให้ ประชาชนภายในรัฐปฏบิ ัตติ ามกฎหมาย และดาเนินนโยบายต่างประเทศได้ อย่าอสิ ระ เนื่องจากอานาจอธิปไตยเป็ นอานาจสูงสุดในการปกครองรัฐ จึงไม่ มอี านาจสดในรัฐอยู่เหนืออานาจอธิปไตย ณอง โบแดง เป็ นนักรัฐศาสตร์ชาวฝร่ังเศสได้คดิ หลกั ปรัชญาเกย่ี วกบั อานาจอธิปไตยว่าอานาจอธิปไตยเป็ นของรัฐและต้องให้พระมหากษตั ริย์เป็ น ผู้ใช้ มองเตสกเิ ออร์ ซี่งเป็ นนักปรัชญาชาวฝร่ังเศสได้แบ่งการใช้อานาจ อธิปไตยเป็ น 3 ประเภท คอื อานาจนิติบญั ญตั มิ หี น้าทใ่ี นการตรากฎหมาย อานาจบริหารมหี น้าทใ่ี นการบริหารคอื รัฐบาล และอานาจตุลาการมีหน้าทใ่ี น การพจิ ารณาตัดสินคดคี วาม อานาจอธิปไตยมลี กั ษณะสาคญั คอื ความเดด็ ขาด เป็ นการทวั่ ไป ถาวร และแบ่งแยกไม่ได้



 จุมพล หนิมพานิช ได้ให้ความหมายของสถาบนั ทาง การเมอื งไว้ว่า สถาบนั ทางการเมอื งหมายถึง แบบแผนที่ รวบรวมสะสมพฤติกรรม หรือการกระทาทางการเมอื ง ซ่ึงแบบ แผนดงั กล่าวได้รับการสร้างขนึ้ มา เพอ่ื พยายามคงไว้ซึ่ง กจิ กรรมขององค์การทางการเมอื งในสังคม  เรืองวทิ ย์ เกษสุวรรณ ได้ให้ความหมายของสถาบนั ทาง การเมอื งไว้ว่า สถาบันทางการเมอื งเป็ นแกนของระบบการเมือง เพราะเป็ นแหล่งรับปัจจยั นาเข้า (Inputs) เอามาแปรเปลย่ี นเป็ น ผลผลติ (Outputs) ในทางด้านการเมอื ง

 Roy C. Macridis อ้างถึงในสุพจน์ บุญวเิ ศษ กล่าวว่า สถาบนั ทางการเมอื งคอื องค์การของชุมชนทางการเมอื งท่มี ี ลกั ษณะเป็ นทางการหรือไม่เป็ นทางการกไ็ ด้ โดยจะทาหน้าทใ่ี น การพจิ ารณาและตัดสินใจเกยี่ วกบั กจิ กรรมทางการเมอื ง ความหมายของสถาบันทางการเมืองทก่ี ล่าวมาอาจสรุปได้ว่า สถาบนั ทางการเมือง หมายถึง แบบแผนทีส่ ร้างขนึ้ เพอื่ ดารงไว้ซึ่ง พฤตกิ รรมทางการเมอื ง ซึ่งอาจเป็ นทางการหรือไม่เป็ นทางการกไ็ ด้ โดยจะทาหน้าทสี่ ร้างความเป็ นระเบยี บเรียบร้อยและรักษาความ สงบภายในสังคม ซ่ึงในบทนีจ้ ะกล่าวถงึ สถาบันทางการเมอื งทส่ี าคญั คอื สถาบนั กษัตริย์ รัฐธรรมนูญ สถาบนั ฝ่ ายนิตบิ ัญญตั ิ สถาบันฝ่ ายบริหาร และสถาบนั ฝ่ ายตุลาการ

กษัตริย์ ,รัฐธรรมนูญ สถาบันนิตบิ ญั ญตั ิ บริหาร และตุลาการ

1. พระมหากษตั ริย์เทวสิทธ์ิ (Diving Right Monarchy) 2. กษตั ริย์ในระบบศักดนิ า(Feudal Monarchy) 3. กษตั ริย์ในระบอบประชาธิปไตย(Constitutional Monarchy)

สถาบนั กษตั ริย์ของไทยอาจแบ่งออกได้เป็ น 3 ยคุ คอื 1 สถาบนั กษตั ริย์ในลกั ษณะพ่อขุน 2 สถาบนั กษตั ริย์ในลกั ษณะเทวราชา 3 สถาบันกษตั ริย์ในลกั ษณะประชาธิปไตย

 รัฐธรรมนูญ (Constitution) เป็ นกฎหมายสูงสุดของ รัฐและเป็ นกฎหมายมูลฐาน supreme law และ fundamental law ถอื ได้ว่าเป็ นกฎหมายแม่บทของ กฎหมายท้งั หลายในรัฐซึ่งกฎหมายท้งั หมดในรัฐ จาเป็ นต้องเป็ นไปตามแนวทางของกฎหมาย รัฐธรรมนูญ

 รัฐธรรมนูญหมายถงึ กฎหมายสูงสุดในการปกครอง ประเทศการใช้อานาจอธิปไตย รวมท้งั กาหนดสิทธิ เสรีภาพและหน้าทข่ี องประชาชนไว้ด้วย กฎหมายใด ขดั หรือแย้งกบั รัฐธรรมนูญ กฎหมายน้ันใช้บงั คบั ไม่ได้

 ลกั ษณะสาคญั ของรัฐธรรมนูญ 1 เป็ นกฎหมายแม่บทสูงสุดในการปกครองประเทศ 2. เป็ นกฎหมายแม่บททกี่ าหนดรูปแบบและโครงเป็ น 3. กฎหมายทใี่ ห้หลกั ประกนั และการให้การคุ้มครอง สิทธิและเสรีภาพข้นั พนื้ ฐานของประชาชนในรัฐ สร้างการปกครองของประเทศ

 ประเภทของรัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญแบ่งออกได้เป็ น 2 ประเภท 1 รัฐธรรมนูญลายลกั ษณ์อกั ษร (Writtern Constitution) 2 รัฐธรรมนูญจารีตประเพณ(ี Unueritten Constitntion)

รัฐธรรมนูญประเภทนีม้ ใี ช้ในสหรัฐอเมริกาเป็ นประเทศแรก เป็ นทนี่ ิยม แพร่หลายมากทสี่ ุดในบรรดาประเทศต่างๆ ทวั่ โลก ท้งั นีเ้ ป็ นผล เน่ืองมาจากความแน่ชัดในบทบัญญตั ิทเี่ ป็ นลายลกั ษณ์อกั ษรซ่ึงตรงกนั ข้ามกบั รัฐธรรมนูญจารีตประเพณที ไ่ี ม่มีความแน่ชัด เนือ้ หาสาคญั ของรัฐธรรมนูญลายลกั ษณ์อกั ษร 1. ข้อความเกยี่ วกบั อุดมการณ์ 2. โครงร่างของรัฐบาล 3. การแบ่งอานาจ 4. สิทธิส่วนบุคคล 5. การแก้ไขเปลย่ี นแปลง

 รัฐธรรมนูญประเภทนีส้ ามารถเรียกได้อีกอย่างหน่ึงว่า รัฐธรรมนูญท่ไี ม่เป็ นลายลักษณ์อักษร ตัวอย่างท่มี ักจะอ้างถงึ รัฐธรรมนูญจารีตประเพณี กค็ ือ รัฐธรรมนูญของอังกฤษ (สหราชอาณาจักร) ลักษณะสาคัญของรัฐธรรมนูญประเภทนี้ คอื ไม่มีการร่างขนึ้ อย่างเป็ นทางการ ข้อบังคบั หรือระเบยี บ ต่างๆ มิได้ปรากฏอยู่ในเอกสารฉบบั ใดฉบบั หน่ึง แต่ได้มีการ บนั ทกึ ไว้ ณ ท่ตี ่างๆ กัน รวมทงั้ ขนบธรรมเนียมประเพณีใน การปฏบิ ตั ติ ่างๆ ด้วย

เอกสารต่างๆสาคญั ท่จี ดั ว่าเป็ นรัฐธรรมนูญของอังกฤษ 1. แม็กนา คาร์ตา (Magna Carta) ซ่งึ ถอื เป็ นปฐมรัฐธรรมนูญของอังกฤษ เขียน เป็ นภาษาลาตนิ แปลว่า มหาเอกสาร หรือ กระดาษแผ่นใหญ่ 2. บทบัญญัตแิ ห่งสิทธิ (Bill of Rights) 3. พ.ร.บ. ปฏริ ูป (Reform Act) 4. พ.ร.บ. รัฐสภา (Parliament Act) รัฐธรรมนูญประเภทจารีตประเพณีนี้ การแก้ไข เปล่ียนแปลงโดยท่วั ไปมักจะง่ายกว่ารัฐธรรมนูญ ประเภทลายลักษณ์อกั ษร เพราะนิตบิ ญั ญัตสิ ามารถออก กฎหมายแก้ไขให้เหมาะสมตามกาลเวลาได้ โดยไม่ต้อง ผ่านการออกเสียงประชามติ ดงั เช่น รัฐธรรมนูญ ประเภทลายลักษณ์อกั ษรส่วนใหญ่กาหนดไว้

1. รัฐธรรมนูญท่ปี ระมุขแห่งรัฐประทานให้เอง 2. รัฐธรรมนูญท่บี ญั ญัตขิ นึ้ โดยความตกลงระหว่างประมุขแห่ง รัฐกับราษฎร 3. รัฐธรรมนูญท่บี ัญญัตขิ นึ้ โดยราษฎรตามวถิ ีทางประชาธิปไตย - โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ - โดยประชามตบิ ญั ญัตริ ัฐธรรมนูญ 4. รัฐธรรมนูญท่ปี ระเทศซ่งึ เคยเป็ นเมืองขนึ้ ได้รับจากประเทศผู้ เคยปกครองมาก่อน

1. การจัดระเบียบอานาจรัฐ 2. การกาหนดจุดมุ่งหมายหรือแนวทางการใช้อานาจ รัฐ

1. ต้องมขี ้อความท่ชี ัดเจนแน่นอน 2. ต้องมบี ทบญั ญัตคิ รบถ้วน 3. ต้องมีบทบญั ญัตเิ ก่ยี วกบั สิทธิและเสรีภาพของ ประชาชน 4. จะต้องสัน้ 5. จะต้องมบี ทบญั ญัตวิ ่าด้วยวธิ ีการแก้ไข ตัดตอน หรือ เพ่มิ เตมิ รัฐธรรมนูญท่ชี อบด้วยกฎหมาย

 ลักษณะสาคญั ของกฎหมายรัฐธรรมนูญ 1.รัฐธรรมนูญเป็ นกฎหมายทก่ี าหนดระบอบการปกครองและกติกาทางการเมอื ง ของรัฐ เป็ นระบอบประชาธิปไตย สังคมนิยม หรือคอมมิวนิสต์ 2.รัฐธรรมนูญเป็ นกฎหมายทก่ี าหนดให้องค์กรของรัฐเป็ นผู้ใช้อานาจ หลกั การแบ่งแยกอานาจเป็ น 3 ฝ่ าย คอื ฝ่ ายนิติบญั ญตั ิ ฝ่ ายบริหาร และ ฝ่ าย ตุลาการเพอ่ื ไม่ให้องค์กรใดองค์กรหน่ึงใช้อานาจตามอาเภอใจโดยปราศจาก ตรวจสอบและถ่วงดุลคานอานาจซ่ึงกนั และกนั 3. รัฐธรรมนูญเป็ นกฎหมายทก่ี าหนดหลกั เกณฑ์การเข้าสู่ตาแหน่ง การสิ้นสุด ตลอดจนความสัมพนั ธ์ของการใช้อานาจขององค์กรต่างๆ รัฐธรรมนูญเป็ นตวั กาหนดหลกั เกณฑ์ ข้นั ตอนการได้ตาแหน่ง การดารง ตาแหน่งต่างๆ ซ่ึงอาจได้มาโดยการเลอื กต้งั การแต่งต้งั หรือการสิ้นสุด ตาแหน่ง ต่างๆโดยการตาย ลาออก ต้องคาพพิ ากษาให้จาคุก หรือ การถูกถอด ถอน เป็ นต้น

4. รัฐธรรมนูญเป็ นกฎหมายสูงสุด ถือเป็ น “สถานะพเิ ศษ” ของ รัฐธรรมนูญ

4. รัฐธรรมนูญเป็ นกฎหมายสูงสุด ถือเป็ น “สถานะพเิ ศษ” ของ รัฐธรรมนูญ “รัฐธรรมนูญเป็ นกฎหมายสูงสุดของประเทศ บทบัญญตั ใิ ดของ กฎหมาย กฎ ข้อบงั คบั ขดั หรือแย้ง กบั รัฐธรรมนูญนี้ บทบัญญตั นิ ้ัน เป็ นอนั ใช้บงั คบั มไิ ด้” 5. รัฐธรรมนูญ พูดถึงเรื่องประเพณกี ารปกครองในระบอบ ประชาธิปไตยอนั มพี ระมหากษตั ริย์ทรงเป็ นประมุข 6. ความคุ้มครองพเิ ศษสาหรับกฎหมายรัฐธรรมนูญว่าด้วยเรื่องการ แก้ไขเพม่ิ เตมิ รัฐธรรมนูญ การแก้ไขมกี รอบในการแก้ไขตามทก่ี ฎหมาย รัฐธรรมนูญกาหนดซ่ึงทาได้ยากกว่าการแก้ไขกฎหมายธรรมดา

 คาปรารภ (ท่มี า/ความจาเป็ น/ จุดประสงค์/ประวตั )ิ  รูปของรัฐ (รัฐเด่ยี ว/รัฐรวม)  รูปการปกครอง  นโยบายแห่งรัฐ  ประมุขของรัฐ  สิทธิและเสรีภาพของประชาชน  หน้าท่ขี องประชาชน 180

 อานาจอธิปไตย (อานาจนิตบิ ัญญัติ บริหาร และ ตุลาการ)  การตรวจสอบการใช้อานาจรัฐ  การแก้ไขเพ่มิ เตมิ รัฐธรรมนูญ  บทเฉพาะกาล 181

 สถาบนั นิตบิ ญั ญตั มิ ีหน้าทห่ี ลกั ทสี่ าคญั คอื การออก กฎหมาย ส่วนหน้าทรี่ องได้แก่ หน้าทเี่ ป็ นตวั แทนของ ประชาชน ทาหน้าทคี่ ุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน อน่ึงสถาบันนิติบญั ญตั ใิ นระบบรัฐสภา (Parliamentary Government) ฝ่ ายนิตบิ ัญญตั ิหรือรัฐสภาทาหน้าท่ี ควบคุมการปฏบิ ตั หิ น้าทหี่ รือการบริหารของสถาบนั ฝ่ าย บริหารด้วย

1. ระบบสภาเดียว 2. ระบบสองสภา

เป็นระบบที่ได้รับควำมนยิ มน้อยกวำ่ ระบบ สองสภำ มกั ปรำกฏระบบในกำรปกครอง ท้องถ่ินมำกกวำ่ เชน่ ในกำรปกครองท้องถ่ิน ของไทย กำรปกครองระดบั แขวงของ สหรัฐอเมริกำ เป็นต้น ประเทศในยโุ รปที่ใช้สภำ เดยี วคือ นอร์เวย์ สวเี ดน เป็นต้น

1. ทำให้กำรดำเนินงำนเป็นไปอย่ำงรวดเร็ว 2. ไมส่ นิ ้ เปลอื งงบประมำณ 3. ไมม่ ีกำรขดั แย้งระหวำ่ งสองสภำเหมือนกบั ท่ีเกิดใน ประเทศท่ีมีสองสภำ 4. ทำให้เกิดควำมรับผดิ ชอบชดั เจนในกำรปฏิบตั ิหน้ำท่ีวำ่ อยทู่ ่ีสภำเพยี งแห่งเดียว 5. ผ้แู ทนสภำเดียวมีควำมภมู ิใจวำ่ ตนเองเป็นตวั แทนของ ประชำชนเพียงองค์กรเดียวเทำ่ นนั้

1. ระบบสภำเดียวอำจทำให้เกิดกำรปฏิบตั ิหน้ำที่ บกพร่อง ขำดควำมรอบคอบเพรำะไมม่ สี ภำทส่ี อง กลนั่ กรอง 2. ระบบสภำเดียวอำจนำไปสรู่ ะบบเผดจ็ กำรใน รัฐสภำ เพรำะไมม่ สี ภำที่สองเป็นดลุ ถ่วงอำนำจไว้

รูปแบบสภำคหู่ รือทวสิ ภำ หมำยถึง มี 2 สภำ มี สภำสงู upper house(วฒุ สิ ภำ) และ สภำลำ่ ง lower house (สภำผ้แู ทนรำษฎร) ซง่ึ ระบบนีเ้กิดขนึ ้ ครัง้ แรกในประเทศองั กฤษ และตอ่ มำ ก็ได้แพร่หลำยไปในทีต่ ำ่ งๆ

1. เป็ นกำรเปิ ดโอกำสให้มีตวั แทนจำกกลมุ่ อำชีพเข้ำไปมี เสยี งในสภำ 2. ทำให้มีสภำทท่ี ำหน้ำที่ถ่วงดลุ กำรทำงำนของรัฐสภำ 3. ควำมผดิ พลำดในกำรปฏบิ ตั งิ ำนน้อยลง ข้อเสียของระบบสองสภำ คือ 1. สนิ ้ เปลอื งงบประมำณในกำรจ่ำยกบั สมำชกิ 2. เกิดควำมขดั แย้งของสองสภำ 3. กำรปฏบิ ตั งิ ำนอำจเกิดควำมลำ่ ช้ำ

1. วฒุ สิ ภาทาหน้าทเี่ ป็ นสภาทาหน้าทเ่ี ป็ นสภาพเี่ ลยี้ งของ รัฐสภา 2. สภาผู้แทนราษฎรมอี านาจมากกว่าวุฒสิ ภา 3. รัฐสภามอี านาจในการตรวจสอบหาข้อเทจ็ จริงด้วย โดยการ แต่งต้งั คณะกรรมาธิการด้านต่างๆ เพอ่ื ทาการสืบสวน ข้อเทจ็ จริงเรื่องทร่ี ับผดิ ชอบ แล้วนาเสนอต่อสภาและคณะ รับมนตรีเพอ่ื เข้าสู่กระบวนการข้นั ต่อๆ ไป

 คณะรัฐมนตรีเป็ นผู้ร่างพระราชบญั ญัตเิ ป็ นส่วน ใหญ่  รัฐสภาสามารถร่างพระราชบัญญัตไิ ด้เช่นเดยี วกนั

วาระท่หี น่ึง อำ่ นชื่อพระรำชบญั ญตั ิให้สภำรับทรำบ วาระท่สี อง เปิดโอกำสให้มีกำรอภิปรำย แสดงควำมคดิ เหน็ ซงึ่ เป็นรำกฐำนของกำรพิจำรณำร่ำงพระรำชบญั ญตั ิ หำกผ่ำน วำระนีจ้ ะนำเข้ำสคู่ ณะกรรมำธิกำร เพ่ือแก้ไขข้อควำมตำ่ งๆ ให้ รัดกมุ โดยไม่สามารถเปล่ียนแปลงแก้ไขหลักการได้ ตอ่ จำกนนั้ คณะกรรมำธิกำรจะ รำยงำนสรู่ ัฐสภำซง่ึ ในขนั้ ตอนนี ้ สมำชิกสภำมสี ิทธิในกำรแก้ไขข้อควำมในร่ำงพระรำชบญั ญตั ิ อีกครัง้ หำกไมม่ ีกำรทกั ท้วงก็จะเข้ำสวู่ ำระที่สำม

วาระท่สี าม เปิดโอกำสให้มีกำรอภิปรำยในรัฐสภำ เช่นเดียวกนั แตไ่ ม่สำมำรถแก้ไขร่ำงฉบบั นนั้ หำกสภำลงมติ ผ่ำนร่ำงพระรำชบญั ญตั ิฉบบั นนั้ ก็จะนำเข้ำสกู่ ำรลงนำมโดย ประมขุ ของประเทศ วาระท่ี 1 อำ่ นชื่อพระรำชบญั ญตั ิ วาระท่ี 2 อภปิ รำย คณะกรรมาธิการ แก้ไขข้อความ วาระท่ี 3 ไม่ผ่าน กใ็ ห้ตกไป หรือ กลับสู่วงจรวาระท่ี 1ใหม่ ผ่ านร่ าง ลงนาม อภปิ รายแต่แก้ไขร่างไม่ได้

 วุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรมอี านาจเท่าเทยี มกนั เพราะได้รับการเลอื กต้งั มาจากประชาชนเหมอื นกนั  การดารงตาแหน่งของวุฒิสภา วุฒิสภาในสหรัฐอเมริกา มี 100 คนประกอบด้วยตัวแทนจากรัฐต่างๆ รัฐละ 2 คน โดยไม่คานึงถึงฐานะหรือจานวนประชากรในแต่ละรัฐ

1. ท้งั วฒุ ิสภาและสภาผู้แทนราษฎรมอี านาจในการออก กฎหมายและแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2. วุฒิสภามอี านาจในการให้การรับรองการแต่งต้งั ข้าราชการฝ่ ายบริหารของประธานาธิบดี 3. วฒุ ิสภาให้ความยนิ ยอมในการให้สัตยาบนั ในสนธิสัญญา ต่างๆ ของสหรัฐอเมริกาทท่ี ากบั ประเทศอนื่ ๆ 4. สภาผู้แทนราษฎร มอี านาจกล่าวโทษ (impeach) ข้าราชการฝ่ ายพลเรือนหรือตุลาการให้พ้นจากตาแหน่ง

1. ใช้คะแนน 2 ใน 3 ของสมาชิกสภาในการกล่าวโทษ ประธานาธิบดี 2. วฒุ สิ ภาเป็ นผู้สืบสวนข้อเทจ็ จริงหรือเป็ นลูกขนุ ใน การพจิ ารณาคดี การปลด (removal) ต้องใช้คะแนน 2 ใน 3 ของสมาชิกวุฒิสภา ในกรณขี อง ประธานาธิบดจี ะต้องให้ประธานศาลสูง (supreme court) เป็ นประธานของคณะลูกขนุ พจิ ารณา

ฝ่ ายบริหารมหี น้าที่บังคบั ใช้กฎหมายและรับผดิ ชอบ ในการปกครองทวั่ ไปท้งั หมด ซึ่งหมายถงึ เป็ นผู้ทที่ า หน้าทนี่ ากฎหมายไปใช้น้ันเอง ในระบบรัฐสภาและ ระบบประธานาธิบดี ฝ่ ายบริหารมีอานาจหน้าท่ี แตกต่างกนั

1. อานาจของประธานาธิบดไี ด้มกี าหนดไว้อย่างชัดเจนใน รัฐธรรมนูญว่า ฝ่ ายบริหารมอี านาจประการใดบ้างและ ฝ่ ายนิติบญั ญตั มิ อี านาจประการใดบ้าง

2. ในระบบรัฐสภา คณะรัฐมนตรีอยู่ในตาแหน่งตราบเท่าทยี่ งั ได้รับความไว้วางใจจากสภาล่าง หากฝ่ ายค้านในรัฐสภา สามารถลงมตไิ ม่ไว้วางใจในนโยบายหรือกฎหมายสาคญั ได้ เป็ นผลสาเร็จ(มีคะแนนเสียงมากกว่าฝ่ ายรัฐบาล) คณะรัฐมนตรีต้องลาออกหรือมฉิ ะน้ันนายกรัฐมนตรีต้อง แนะนาประมุขของรัฐให้ยบุ สภา เพอื่ ให้มกี ารเลอื กต้งั ใหม่ให้ ประชาชนเป็ นผู้ตดั สิน ส่วนประธานาธิบดจี ะอยู่ในตาแหน่งใน ระยะเวลาทแ่ี น่นอนตามทกี่ าหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ

3. คณะรัฐมนตรีในรูปแบบการปกครองของคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีเป็ นเพยี งบุคคลแรกในคณะผู้บริหารเท่าน้ัน (the first among equals) ฉะน้นั การบริหารงานของ คณะรัฐมนตรีจงึ มีลกั ษณะเป็ นการรับผดิ ชอบร่วมกนั (collective responsibility) ของคณะรัฐมนตรีท้งั คณะ แต่ ประธานาธิบดใี นรูปแบบการปกครองระบอบประธานาธิบดี ฝ่ ายบริหารทร่ี ับผดิ ชอบ ในการบริหารคอื ประธานาธิบดแี ต่ผู้ เดยี วอย่างแท้จริง

4. ในระบอบการปกครองแบบรัฐสภา ประมุขของรัฐจะ เป็ นแค่เพยี งแต่ประมุขและสัญลกั ษณ์ของรัฐเท่าน้ัน แต่ ไม่มอี านาจในการบริหาร เพราะอานาจดงั กล่าวอยู่ท่ี คณะรัฐมนตรี ส่วนประธานาธิบดใี นระบอบการ ปกครองแบบประธานาธิบดนี ้ัน ประธานาธิบดมี สี อง สถานภาพกล่าวคอื สถานภาพแรกเป็ นประมุขของรัฐ และสถานภาพท่สี องเป็ นหัวหน้าของฝ่ ายบริหารพร้อม ไปด้วย


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook