Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การประเมินหลักสูตรเพื่อการเรียนรู้และพัฒนา พิมพ์ครั้งที่ 4_1544650950

การประเมินหลักสูตรเพื่อการเรียนรู้และพัฒนา พิมพ์ครั้งที่ 4_1544650950

Published by ปาริชาติ ปิติพัฒน์, 2019-10-19 23:24:34

Description: การประเมินหลักสูตรเพื่อการเรียนรู้และพัฒนา พิมพ์ครั้งที่ 4_1544650950

Search

Read the Text Version

326 บทท่ี 8 การประเมนิ หลกั สตู รท้ังระบบ ขนั้ ตอนท่ี 6 การวิเคราะห์ข้อมูล เป็นการนาขอ้ มูลที่เก็บรวบรวมมาดาเนินการวิเคราะห์ทางสถิติ เช่น ค่าเฉลี่ย ความถ่ี ร้อยละ เป็นต้น รวมทั้งการวิเคราะห์เน้ือหา ในกรณีท่ีเป็นข้อมูล เชิงคุณภาพ โดยมีการตรวจสอบความถูกตอ้ งของขอ้ มลู ดบิ ก่อนดาเนนิ การวิเคราะห์ โดยท่ีการวิเคราะห์ข้อมูลในขั้นตอนนี้มุ่งหาข้อสรุปของข้อมูลที่เก็บ รวบรวมมาได้จานวนมาก โดยยังไม่มีการลงสรุปผลการประเมินหลักสูตร เช่น ผลการ วิเคราะห์ค่าเฉล่ียคุณภาพการจัดการเรียนการสอน ได้เท่ากับ 3.56 จากคะแนนเต็ม 5.00 ก็จะยังไม่สามารถสรุปว่าการจัดการเรียนการสอน มีคุณภาพผ่านเกณฑ์การ ประเมินหรือไม่ เพราะจะต้องนาผลการวัดไปเปรียบเทียบกับเกณฑ์การประเมิน เสยี ก่อนจงึ จะสรุปผลการประเมนิ ได้ อย่าไรก็ตามเราสามารถแปลผลได้ว่า การจัดการ เรียนการสอนมีคณุ ภาพอยู่ในระดับใด เปน็ ต้น นอกจากน้ีการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ สามารถทาได้หลาย วิธีการ เช่น การวิเคราะห์เนื้อหาของประเด็นท่ีต้องการประเมิน ดังตัวอย่างผลการ วิเคราะห์ข้อมูลท่ีเก็บรวบรวมมาจากมหาบัณฑิตทั้งที่เป็นพระสงฆ์และฆราวาส จากการประเมินหลักสูตรพุทธศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิปัสสนาภาวนา มหาวิทยาลัย มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย ดงั นี้ (มารตุ พัฒผล. 2554ก) - ควรเพ่มิ เตมิ หลกั การฝึกปฏิบัติสมถกรรมฐานอย่างใดอย่างหนึ่ง ตามจรติ ของนสิ ิตและใหบ้ นั ทึกสภาวธรรมท่ีเกดิ ขนึ้ - การปฏบิ ตั ิวิปสั สนาภาวนาควรจดั ให้ตอ่ เนอื่ ง 7 เดอื น ดอี ยู่แล้ว เพราะจะทาให้สภาวธรรมเกดิ ข้ึนอย่างตอ่ เนอ่ื งติดต่อกนั เมอ่ื ข้ึนเดอื นท่ี 4 สภาวะกาลงั เข้าทเี่ ข้าทาง ผู้ปฏบิ ตั จิ ะนงิ่ มากขึ้น สภาวธรรมสงู ขึน้ ด้วย หากเลิกล้มการปฏิบตั ไิ ป กจ็ ะเป็นสงิ่ ท่ี น่าเสียดายมาก ทาให้เสยี เวลาและงบประมาณดว้ ย หากกลบั มาเรียนแล้วไปปฏิบัตใิ หมก่ เ็ ทา่ กับเร่มิ ต้นใหม่

บทท่ี 8 การประเมนิ หลกั สตู รท้งั ระบบ 327 - ควรปรับหลักสตู รให้เน้นที่กระบวนการและวธิ กี ารเผยแผ่ วิปัสสนาใหไ้ ดผ้ ล มีพระนิสติ ผ้ปู ฏิบัตดิ ีปฏบิ ตั ชิ อบเป็นจานวนมาก ท่ีแสดงธรรมแกผ่ ปู้ ฏิบัติได้อยา่ งชัดเจน - ในการเรยี นผู้ฝกึ ไม่ได้มีข้อกาหนดชัดเจนในการทา หัวข้อวทิ ยานิพนธ์ เพราะการกาหนดหวั ข้อน้ันก็เปน็ หลักสาคัญ ท่ีจะทาใหผ้ ้เู รียนพร้อมในการกาหนดทิศทางในการหาข้อมลู และเก็บขอ้ มลู อาจจะไมเ่ พียงพอในการเรยี นกอ่ นออกปฏบิ ัติ เพราะจะได้ไม่ต้องกังวล \\ กรณีศึกษา ตวั อยา่ งผลการวิเคราะห์ข้อมลู ผู้ใช้พระธรรมทตู สายตา่ งประเทศ ก) ผลการวิเคราะหข์ อ้ มูลจากแบบสอบถามพระผใู้ ช้พระธรรมทตู สายต่างประเทศ 1. คณุ ลักษณะที่เอือ้ ต่อการปฏิบตั ิหน้าทพ่ี ระธรรมทูตสายต่างประเทศ - มภี มู ิธรรม มภี ูมิความรู้ ทง้ั ภาษาธรรมภาคภาษาอังกฤษ – ภาษาไทย - ต้ังอยู่ในสลี าจารวัตรงดงาม - ยดึ ในอดุ มการณข์ องพระพทุ ธองค์เกี่ยวกับการเผยแผ่พระพุทธศาสนา - มีความเปน็ มิตรไมตรี - มคี วามรู้ ความสามารถ ในการปฏิบัติพระศาสนาและการสอนกมั มัฏฐาน - มีสปั ปรุ สิ ธรรม 7 ประการ - เหน็ แก่ประโยชนส์ ว่ นรวมมากกวา่ ประโยชนส์ ว่ นตน - มีความอดทน รจู้ กั กาลเทศะ ยดึ ม่นั ในจารตี ประเพณี - มีระเบียบวินัย อดทน ขยนั มุ่งมนั่ พยายาม ประนปี ระนอม - มีความศรทั ธาต่องานพระธรรมทูต

328 บทท่ี 8 การประเมินหลักสตู รทง้ั ระบบ 2. ความสามารถหลกั ๆ ของพระธรรมทูตสายตา่ งประเทศ - มที กั ษะภาษาองั กฤษและภาษาท้องถ่ิน ณ ประเทศที่ตนไปปฏบิ ัตศิ าสนกิจ - สามารถอธบิ ายหลกั คาสอนของพระพทุ ธศาสนาทงั้ ภาษาไทย และภาษาองั กฤษได้อย่างชัดเจนเข้าใจง่าย - เขา้ ใจในการปฏบิ ตั ิกัมมัฏฐาน และแนะนาการสอนปฏบิ ตั ิ - แสดงธรรม – ปาฐกถาธรรม และเขียนบทความต่างๆ ได้ - มที ักษะในการทางานสารบรรณ - การแกป้ ญั หา การปรับประยุกต์ และการปรบั ตัว - มมี นุษยสัมพนั ธ์ที่ดกี ับบุคคลอน่ื ท้ังคนไทยและคนต่างชาติ - มีความรู้ในพระธรรมวินยั ท่ีถูกต้อง - มีทักษะการใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศและการส่ือสาร 3. ความสามารถในการใช้ภาษาองั กฤษเพอ่ื การสื่อสารของพระธรรมทูต สายต่างประเทศที่ควรส่งเสรมิ ใหม้ คี วามเข้มแขง็ - สามารถแสดงธรรมเป็นภาษาอังกฤษได้ - สามารถออกหนงั สือแจ้งข่าวทั้งภาษาไทยและภาษาองั กฤษ 4. ความสามารถในด้านการสอนกัมมฏั ฐานของพระธรรมทูตสายตา่ งประเทศ - การแนะนาให้รู้ความหมายของคาว่า “กัมมฏั ฐาน” ทัง้ สมถะ และ วปิ ัสสนากมั มัฏฐาน - การอธิบายเหตุผลและความจาเป็นท่ีบคุ คลควรเรียนกัมมัฏฐาน - การอธิบายเหตผุ ลของประโยชน์ของการเรยี นกมั มฏั ฐาน - การอธบิ ายข้นั ตอนการเรยี นกมั มฏั ฐานควรเป็นอย่างไร (จากง่าย ไปยาก) - การอธบิ ายอริ ิยาบถตา่ งๆ ที่นามาเป็นหลกั (อิริยาบถ 4 ประการ)

บทท่ี 8 การประเมนิ หลักสูตรท้ังระบบ 329 5. ส่งิ ท่จี าเป็นต้องมงุ่ เน้นพัฒนาพระธรรมทูตสายต่างประเทศ - ความเขา้ ใจและตคี วามธรรมใหเ้ ปน็ ทีเ่ ข้าใจและสามารถปรับใช้ ให้ถกู กับบุคคล สถานท่ีและสิง่ แวดลอ้ ม - ความรู้ความสามารถในการใชภ้ าษาอังกฤษภาคธรรม เชน่ อริยสจั จ์ 4 ปฏจิ สมปุ บาท สามญั ญลกั ษณะ อิทธบิ าท 4 ฯลฯ - ความรเู้ กย่ี วกบั การสอนกัมมฏั ฐาน เทคนคิ การสอน - ความเป็นผมู้ ศี ีลาจารวตั รงดงาม เครง่ ครัด ในระเบียบวินัย - เปน็ ผูม้ คี วามเสยี สละ สร้างเสรมิ สามคั คแี ก่หมู่คณะ และมีขันตธิ รรม - ความเปน็ ผมู้ ีมนษุ ยสมั พนั ธ์ตอ่ ชมุ ชนทีต่ นไปปฏบิ ัตศิ าสนกิจ มีความรคู้ ู่คุณธรรม (วิชฺชาจารณสมปนโฺ น) 6. จดุ แข็งของพระธรรมทตู สายต่างประเทศ - ชว่ ยเหลืองานทว่ั ไปได้ดี แบ่งเบาภาระหน้าที่ได้พอสมควร - มีความเขม้ แข็งอดทน เสยี สละ ให้ความรว่ มมือ - มคี วามสามารถด้านสาธารณปู การ - มมี นุษยสัมพันธ์กับบคุ คลทว่ั ไปได้ดี - ตง้ั มั่นอยู่ในระเบียบวนิ ยั - มคี วามสามารถในการทางานเป็นทีม - เขา้ ใจพ้นื ฐานของงานพระธรรมทูต - สามารถร่วมงานกันไดเ้ ป็นอยา่ งดี - มีคารวะธรรม มีทิฐิสามญั ญตา สีลสามัญญตา 7. ทักษะการสรา้ งมนษุ ยสมั พนั ธใ์ นการสร้างสัมพันธภาพกับบคุ คลอืน่ - ภาษาอังกฤษ ภาษาทอ้ งถน่ิ ควรศึกษาใหไ้ ด้ - ปรบั ตวั เองให้เข้ากบั สภาพแวดลอ้ ม รู้เขา รเู้ รา - เสยี สละแบ่งปันกันให้พอสมควร (ทท มติ ฺตาน คนฺถต)ิ

330 บทที่ 8 การประเมินหลกั สตู รทง้ั ระบบ - ควรฝึกใหม้ มี นษุ ยสมั พนั ธท์ ี่ดี - เมื่อจะอยูท่ ใี่ ดควรเขา้ หาเพ่ือนบ้าน หรือผูน้ าท้องถ่ิน และนาใหเ้ ขารวู้ า่ เราคอื ใคร มาทาอะไร ขอความรว่ มมอื กับเพ่ือนบา้ นในเร่ืองใด - ควรสรา้ งสัมพันธภาพท่ีดกี ับ ฯพณฯ ท่านเอกอัครราชทตู ไทย หรอื กงสุลไทย ในฐานะเปน็ ผู้แทนในหลวงมาดแู ลคนไทยในต่างประเทศ 8. ความสามารถในการปรบั ตวั เขา้ กบั วัฒนธรรมในพืน้ ที่ - ควรเรยี นภาษาท้องถิน่ หรอื ภาษาสากล - มีหนา้ ตาแชม่ ชื่นเบกิ บาน ทักทายปราศรัย เมอ่ื แขกมาเยือน - ควรเขา้ หาเจา้ ของถิ่น หรอื เพอ่ื นบ้าน เพือ่ ผูกมติ รไมตรี - ควรเชญิ ใหเ้ ขามาเรยี นรูว้ ฒั นธรรมของเราในเทศกาล หรือวนั สาคัญ ทางศาสนาของเรา - การยอมรับความแตกตา่ งระหว่างพน้ื ฐานทางวฒั นธรรมทาให้สามารถ ปรับตัวเข้ากับพน้ื ท่ีได้ 9. จิตอาสาของพระธรรมทูตสายต่างประเทศทต่ี ้องมงุ่ เนน้ เป็นพิเศษ - ยดึ อุดมการณใ์ นการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ตามรอยเบื้องพระยุคลบาท - ยดึ ม่นั ในอุดมการณ์ของตนทจ่ี ะเป็นพระธรรมทูตท่ีดี เข้มแขง็ อดทน เสยี สละ เอาใจใสห่ นา้ ท่ที ี่ไดร้ บั มอบหมายจากเจา้ อาวาส - การทางานเพ่ือประโยชน์ส่วนรวม คือ พระพุทธศาสนา - ทาตนใหเ้ ป็นผทู้ ่ีเขาเล้ียงดูไดง้ ่าย ไม่ฟุมเฟอื ย เห่อเหิม - มคี วามกระตือรือรน้ ในการปฏบิ ตั ิงานเพื่อสว่ นรวม

บทท่ี 8 การประเมนิ หลกั สูตรทงั้ ระบบ 331 10. ความรแู้ ละประสบการณ์จากหลกั สูตรฝึกอบรมพระธรรมทูตที่นามาใช้ประโยชน์ - การอบรมภาควชิ าการมีประโยชนน์ ามาใช้ได้มาก - การอบรมภาคสาธารณปู การนามาใชป้ ระโยชน์ได้ไม่มาก - การอบรมภาคปฏบิ ัติกรรมฐานควรเพิม่ เนื้อหาวชิ าการเก่ยี วกบั การปฏิบัติ ทถ่ี ูกต้อง 11. ขอ้ เสนอแนะอนื่ ๆ - ควรใหท้ างมหาวทิ ยาลยั หรือสมัชชาสงฆ์ไทย ออกใบอนุญาต หรือใบรับรอง ใหพ้ ระธรรมทูตนาไปเป็นหลกั ฐานตอ่ เจา้ อาวาสวัดทีต่ นเองจะไปเผยแผ่ เพือ่ ให้เจา้ อาวาสเกดิ การยอมรับ - ควรให้ทางมหาวิทยาลยั หรือสมชั ชาสงฆ์ มกี ารประเมินผลการปฏบิ ัตงิ าน พระธรรมทตู เปน็ ระยะๆ เพ่ือใหเ้ กิดการพฒั นาอยา่ งต่อเน่ือง - ควรมีการเปดิ โอกาสใหพ้ ระธรรมทตู ทอ่ี ยูต่ ่างประเทศมีสว่ นรว่ มในการ ประเมนิ ผลการฝึกอบรมพระธรรมทตู ที่มหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราช- วทิ ยาลยั ดาเนนิ การ - กิจกรรมการฝึกอบรมพระธรรมทูตควรมีปฏิสัมพันธ์กบั วดั ในตา่ งประเทศ เพิ่มมากข้ึน - การอบรมภาคปฏิบัติกัมมฏั ฐาน ควรนมิ นตพ์ ระวปิ สั สนาจารย์ท่เี ช่ียวชาญ มาเปน็ ผูส้ อนการให้คาแนะนาในการปฏิบัติ - การอบรมภาควิชาการควรจดั ตารางให้เหมาะสม ไม่แนน่ เกินไป - หลักสตู รควรให้ความสาคัญกับการเรยี นร้แู ละเข้าใจวฒั นธรรมของประเทศ ทไ่ี ปปฏิบัติหนา้ ที่ - ควรมีองค์กรรวมทที่ าหนา้ ที่สนับสนนุ การทางานของพระธรรมทูต สายตา่ งประเทศ

332 บทที่ 8 การประเมนิ หลกั สตู รท้งั ระบบ ข) ผลการวิเคราะห์ข้อมลู จากการสนทนากลมุ่ อุบาสกและอบุ าสกิ าท่เี ขา้ รบั การสอน จากพระธรรมทูตสายต่างประเทศ - แนวทางการสอนกัมมฏั ฐานท่พี ระธรรมทูตใช้ คือ การให้ฝึกปฏบิ ัติ ตามแนวสตปิ ัฏฐาน 4 โดยการเร่ิมจากขน้ั ทง่ี ่ายไปส่ขู ั้นที่ยาก เชน่ เรม่ิ จากการร้อู าการเคลอ่ื นไหวของรา่ งกาย นอกจากนี้ยงั มีการประยุกต์ วธิ กี ารและเทคนคิ การสอนให้ง่ายต่อความเขา้ ใจของผปู้ ฏิบัติ - ผปู้ ฏบิ ตั ิมคี วามไมช่ ดั เจนในวิธีการสอนของพระวิปสั สนาจารย์ ทม่ี ีวธิ ีการ และเทคนิคท่แี ตกตา่ งกันแล้วไมก่ ล้าถามพระวปิ ัสสนาจารย์ จงึ ไปถาม เพื่อนรว่ มปฏิบัติ - ผปู้ ฏิบัตมิ ีความไม่เข้าใจภาษาท่ีพระวิปัสสนาจารย์ใช้ในการสอน และการอธบิ าย ซ่ึงเป็นภาษาธรรมะ อยากใหแ้ ปลงเปน็ ภาษาทง่ี ่ายขน้ึ เพื่อใหง้ า่ ยตอ่ การนาไปปฏบิ ัติ ขั้นตอนท่ี 7 การลงสรุปผลการประเมนิ และใหข้ อ้ เสนอแนะ เป็นการนาข้อสรุปของการวิเคราะห์ข้อมูลไปเปรียบเทียบกับเกณฑ์ การประเมินหลักสูตรที่กาหนดไว้ ถ้าผลการเปรียบเทียบปรากฏว่าเป็นไปตามเกณฑ์ น่นั หมายความว่าผ่านเกณฑ์การประเมนิ แต่ถา้ ผลการเปรยี บเทยี บไม่เป็นไปตามเกณฑ์ มาตรฐานที่กาหนด แสดงว่าไม่ผ่านเกณฑ์การประเมินจะต้องมีการปรับปรุงให้มี คุณภาพมากขึ้น ส่วนข้อมูลเชิงคุณภาพสามารถนามาใช้เป็นสารสนเทศประกอบการ ตัดสินใจปรับปรุงและเปล่ียนแปลงหลักสูตรได้เช่นเดียวกัน ซึ่งหน้าท่ีสาคัญของ คณะกรรมการประเมินหลักสูตร คือ การลงสรุปผลการประเมินที่ถูกต้อง และให้ ข้อเสนอแนะที่เปน็ ประโยชนต์ อ่ คณะกรรมการบริหารหลักสูตรในการปรับปรุงหลักสูตร ให้มีคุณภาพ

บทท่ี 8 การประเมนิ หลกั สูตรทงั้ ระบบ 333 ขนั้ ตอนที่ 8 การรายงานผลการประเมนิ หลักสตู ร เป็นการส่ือสารผลการประเมินหลักสูตรไปยังผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ทกุ ฝาุ ย เชน่ ผบู้ รหิ าร ผสู้ อน ชุมชน ผู้ปกครอง ผู้เรียน เป็นต้น เพื่อให้เกิดความรู้ความ เข้าใจเก่ียวกับคุณภาพของหลักสูตรในประเด็นต่างๆ ตรงกัน การรายงานผลการ ประเมนิ หลักสูตรต่อผูบ้ ริหาร หรอื คณะกรรมการบริหารหลักสตู รมุ่งเน้นการนาเสนอผล การประเมนิ ในภาพรวม มากกวา่ การนาเสนอรายละเอยี ดปลกี ย่อยบางคร้ังอาจนาเสนอ ในลักษณะบทสรุปของผู้บริหาร การรายงานผลการประเมินหลักสูตรต่อบุคลากร ฝุายวิชาการ มุ่งเน้นการนาเสนอรายละเอียดผลการประเมิน จุดแข็ง จุดท่ีควรปรับปรุง และขอ้ เสนอแนะ เพ่อื ให้เห็นข้อมลู สารสนเทศทั้งหมดจากการประเมินหลักสูตร นาไปสู่ การกาหนดแผนพัฒนาคุณภาพหลักสูตรต่อไป การรายงานผลการประเมินหลักสูตร ต่อผู้เรียน ผู้ปกครอง ชุมชน มุ่งเน้นการนาเสนอเฉพาะประเด็นผลการประเมิน ทเี่ กยี่ วขอ้ ง กรณีศึกษาการรายงานสรุปผลการประเมินหลักสูตรพุทธศาสตร มหาบัณฑิต สาขาวิชาวิปัสสนาภาวนา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตบาฬีศึกษาพุทธโฆส นครปฐม ในโครงการวิจัยประเมินหลักสูตรฯ ของผู้เขียน เมื่อ พ.ศ. 2553 ปัจจุบันหลักสูตรน้ี ได้มีการปรับปรุงและพัฒนา และมี ความก้าวหนา้ เปน็ อยา่ งมาก ผลการประเมินหลักสูตรพุทธศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาวิปัสสนาภาวนา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตบาฬีศึกษาพุทธโฆส นครปฐม สรปุ ไดด้ งั น้ี 1. ผลการประเมินปจั จัยกาหนด (เอกสารหลักสูตร) 1.1 ผลการประเมินลักษณะของหลักสูตร พบว่า หลักสูตรพุทธ ศาสตรมหาบณั ฑิต สาขาวิชาวิปสั สนา มีลกั ษณะสอดคล้องกบั ลกั ษณะของหลักสูตร

334 บทท่ี 8 การประเมนิ หลักสูตรท้ังระบบ ระดับปรญิ ญาโทท่กี าหนดไวใ้ นกรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษา พุทธศักราช 2552 1.2 ผลการประเมินปรัชญาของหลักสูตร พบว่า ผลการศึกษา เอกสารหลกั สตู รไม่ปรากฏว่าในเอกสารหลกั สตู รไดม้ กี ารระบุปรชั ญาของหลกั สตู รไว้ ดังน้ันจึงไม่สามารถวิเคราะห์ได้ว่าปรัชญาของหลักสูตรพุทธศาสตรมหาบัณฑิต ส า ข า วิ ช า วิ ปั ส ส น า ภ า ว น า มี ค ว า ม ส อ ด ค ล้ อ ง กั บ ก ร อ บ ที่ ใ ช้ ใ น ก า ร วิ เ ค ร า ะ ห์ ทั้ง 5 ประการหรอื ไม่ 1.3 ผลการประเมินวตั ถปุ ระสงคข์ องหลักสตู ร มีขอ้ คน้ พบดังน้ี 1.3.1 วัตถุประสงค์ของหลักสูตรมีความสอดคล้องกับ คุณลักษณะบัณฑิตที่พึงประสงค์ท้ัง 3 ด้าน ได้แก่ ด้านการรู้คิด ด้านคุณธรรม จริยธรรม ดา้ นทักษะทางสังคมและจติ อาสา 1.3.2 วัตถุประสงค์ของหลักสูตรมีความสอดคล้องกับ มาตรฐานผลการเรียนรู้ตามกรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาครบทั้ง 5 ด้าน ได้แก่ ด้านความรู้ ด้านคุณธรรมจริยธรรม ด้านทักษะทางปัญญา ด้านทักษะ ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและความรับผิดชอบและด้านทักษะการวิเคราะห์ เชงิ ตัวเลข การสอื่ สาร และการใชเ้ ทคโนโลยี 1.3.3 ผลการประเมินโครงสร้างของหลักสูตร พบว่า โครงสร้างของหลักสูตรพุทธศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาวิปัสสนาภาวนา มีความ สอดคล้องกับกับโครงสร้างของหลักสูตรตามเกณฑ์มาตรฐานหลักสูตรระดับ บัณฑติ ศกึ ษา พทุ ธศกั ราช 2548 ของสานักงานคณะกรรมการการอดุ มศกึ ษา 1.4 ผลการประเมินรายวิชาของหลกั สูตร มขี อ้ ค้นพบดงั น้ี 1.4.1 รายวชิ าในหลักสูตรพุทธศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชา วิปสั สนาภาวนาโดยภาพรวมมคี วามสอดคล้องกบั วตั ถปุ ระสงคข์ องหลกั สตู รทกุ ข้อ 1.4.2 รายวชิ าในหลกั สูตรพุทธศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชา วิปัสสนาภาวนาโดยภาพรวมมีความสอดคล้องกับคุณลักษณะบัณฑิตที่พึงประสงค์ ท้ัง 3 ดา้ น 1.4.3 รายวชิ าในหลกั สตู รพุทธศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชา วิปัสสนาภาวนา โดยภาพรวมมีความสอดคล้องกับมาตรฐานผลการเรียนรู้ระดับ คุณวุฒิปริญญาโท ในกรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2552 ทงั้ 5 ด้าน

บทท่ี 8 การประเมินหลกั สูตรท้ังระบบ 335 1.4.4 รายวิชาในหลกั สูตรพุทธศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชา วิปสั สนาภาวนา โดยภาพรวม มีจดุ เน้นของสาระสาคญั มีความสมเหตุสมผล มีความ สอดคล้องกลมกลืน มีความร่วมสมัยและสะท้อนการใช้คัมภีร์พระพุทธศาสนาหรือ การวิจยั เป็นฐาน 1.4.5 ผลการประเมินแนวทางการจัดการเรียนการสอนและ ประเมินผล พบวา่ แนวทางการจดั การเรียนการสอน และการวดั และประเมินผลของ หลกั สูตรพุทธศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิปัสสนาภาวนา มีความสอดคล้องกับกรอบ ทใี่ ช้ในการวิเคราะห์ทุกรายการ 2. ผลการประเมนิ ปัจจัยนาเข้า 2.1 ผลการประเมนิ จานวนและคุณวุฒิของอาจารย์ พบว่า จานวน และคุณวุฒิของอาจารย์ในหลักสูตรพุทธศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิปัสสนาภาวนา ประกอบดว้ ย อาจารย์ประจาหลักสูตร อาจารยผ์ ้รู บั ผดิ ชอบหลกั สตู ร อาจารยผ์ ู้สอน และอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานหลักสูตรระดับ บณั ฑติ ศกึ ษา พ.ศ.2548 ของสานักงานคณะกรรมการการอดุ มศึกษา 2.2 ผลการประเมินคณุ ลกั ษณะของผู้เรียน พบวา่ คุณลกั ษณะของ ผเู้ รียนโดยภาพรวมเออื้ ต่อการเรยี นรู้ในหลกั สูตรอยู่ในระดับมาก 2.3 ผลการประเมินทรัพยากรและแหล่งการเรียนรู้ พบว่า ทรัพยากรและแหล่งการเรียนรู้ท่ีเอื้อต่อการจัดการเรียนการสอนมีจานวนเอกสาร หนังสือ ตารา งานวิจัยเก่ียวกับสาขาวิชา คอมพิวเตอร์สาหรับการใช้งานท่ัวไป คอมพิวเตอร์ท่ีเช่ือมต่อระบบอินเตอร์เน็ต สื่อทัศนูปกรณ์ ห้องเรียน ห้องสานักงาน ห้องสมุด ห้องสืบค้นเอกสารพระคัมภีร์ และแหล่งเรียนรู้ภายนอก สอดคล้องกับ กรอบการประเมินทีก่ าหนดไว้ 3. ผลการประเมนิ กระบวนการ 3.1 ผลการประเมนิ การจดั การเรยี นการสอน พบว่า ผูเ้ รียนมีความ คดิ เหน็ ต่อการจัดการเรยี นการสอนโดยภาพรวมอย่ใู นระดับมาก 3.2 ผลการประเมินการวัดและประเมินผล พบว่า ผู้เรียนมีความ คดิ เหน็ ตอ่ การวัด และประเมนิ ผลการเรียนรู้โดยภาพรวมอย่ใู นระดบั ปานกลาง 3.3 ผลการประเมินการจัดกิจกรรมการฝึกปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา 7 เดอื น พบว่าการจัดกจิ กรรมฝึกปฏบิ ตั ิวปิ ัสสนาภาวนา 7 เดือน ของหลักสูตรพุทธ

336 บทท่ี 8 การประเมินหลกั สตู รทงั้ ระบบ ศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาวิปัสสนาภาวนา มีการปฏิบัติกิจกรรมตามรายการ ที่สารวจครบทุกรายการ ได้แก่ 1) จัดทาโครงการรองรับกิจกรรมการฝึกปฏิบัติ วิปัสสนาภาวนา 2) วางแผนการดาเนินโครงการอย่างเป็นระบบชัดเจนโดยความ รว่ มมอื กันระหวา่ งอาจารย์ พระวปิ ัสสนาจารย์และนสิ ิต 3) เตรยี มความพรอ้ มให้กับ นิสิตก่อนเข้าร่วมการฝึกปฏิบัติ 4) จัดสถานท่ีฝึกปฏิบัติอย่างเหมาะสม 5) จัด กิจกรรมการฝกึ ปฏบิ ัติสอดคล้องหลักการที่ปรากฏในพระคัมภีร์ 6) จัดให้มีการถาม ตอบสอบอารมณ์อย่างเป็นระบบ 7) มีการดูแลช่วยเหลือนิสิตในระหว่างการฝึก ปฏิบัติ 8) มีการประเมินผลกิจกรรมการฝึกในประเด็นต่างๆ และ 9) มีการจัด สมั มนาแลกเปลีย่ นเรียนรู้ภายหลังการปฏิบัติ 3.4 ผลการประเมินระบบการทาวิทยานิพนธ์ พบว่า ระบบการทา วิทยานิพนธ์ของหลักสูตรพุทธศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาวิปัสสนาภาวนามีการ ปฏบิ ัติกจิ กรรมทีอ่ ย่ภู ายในระบบจานวน 7 กิจกรรม ได้แก่ 1) มีการกาหนดแผนการ ทาวิทยานิพนธ์สาหรับนิสิตแต่ละรุ่น 2) มีการเตรียมความพร้อมในการทา วิทยานิพนธ์สาหรับนิสิต 3) มีการวิเคราะห์ความสามารถของผู้เรียนในการทา วิทยานิพนธ์ให้เหมาะสมกับศักยภาพของแต่ละบุคคล 4) มีการเสนอโครงร่าง วิทยานิพนธ์โดยผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการ 5) มีการใช้ระบบควบคุม คุณภาพการทาวิทยานพิ นธ์ 6) มกี ารเชิญผู้ทรงคุณวุฒภิ ายนอกมารว่ มสอบปากเปลา่ วิทยานิพนธ์ และ 7) มีการตรวจสอบคุณภาพของวิทยานิพนธ์ โดยมีกิจกรรมท่ียัง ไม่ไดป้ ฏิบตั อิ ยา่ งชัดเจน จานวน 3 กิจกรรม ได้แก่ 1) มีการจัดทาระบบสารสนเทศ วิทยานิพนธ์ของสาขาวิชา 2) มีการคัดเลือกคณะกรรมการควบคุมการทา วิทยานิพนธ์โดยยึดหลักคุณภาพทางวิชาการเป็นสาคัญ และ 3) มีการเผยแพร่ ผลงานวิทยานิพนธ์สูช่ มุ ชนและสงั คม 3.5 ผลการประเมนิ การบรหิ ารจดั การหลักสตู ร พบว่า การบรหิ าร จัดการหลักสูตรพุทธศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาวิปัสสนาภาวนา มีการปฏิบัติ กิจกรรมท่ีสารวจ จานวน 6 กจิ กรรมได้แก่ 1) กาหนดระบบบริหารจัดการหลักสูตร ที่ชัดเจน 2) ดาเนินการบรหิ ารจัดการหลักสตู รโดยคณะกรรมการ 3) ใชก้ ระบวนการ ส่งเสริมสนับสนุนการเรียนรู้ของผู้เรียน 4) กากับติดตามและประเมินผลเพื่อการ พัฒนาคุณภาพของหลักสูตร 5) วางแผนงานวิชาการของสาขาวิชา 6) ดาเนินการ วิจัยเพือ่ พฒั นาหลักสูตรและการเรียนการสอน โดยมีกิจกรรมท่ียังไม่ได้ปฏิบัติอย่าง ชดั เจน จานวน 5 กจิ กรรม ไดแ้ ก่ 1) ควบคมุ คุณภาพการจัดการเรียนการสอนในรูป

บทท่ี 8 การประเมนิ หลกั สตู รทัง้ ระบบ 337 ของคณะกรรมการ 2) ใช้กระบวนการเพ่ิมพลังอานาจในการบริหารหลักสูตร 3) ใช้ กระบวนการวิจัยเป็นเคร่ืองมือการบริหารจัดการหลักสูตร 4) จัดทาแนวปฏิบัติ ระเบียบ เพ่ือสร้างความเข้าใจให้กับผู้สอนและผู้เรียน และ 5) การวิจัยเพื่อการ ประชาสัมพันธ์หลักสตู รสกู่ ลุ่มเปาู หมาย 3.6 ผลการประเมินการวิจัยหลักสูตรและการเรียนการสอน พบว่า การวจิ ยั หลักสตู รและการเรียนการสอนของหลักสูตรพุทธศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาวิปัสสนาภาวนามีการปฏิบัติกิจกรรมที่สารวจ จานวน 4 กิจกรรม ได้แก่ 1) การวจิ ัยเกีย่ วกับการปฏบิ ัตวิ ิปสั สนา 7 เดอื น 2) การวิจัยเกี่ยวกับกระบวนการใช้ หลักสูตร 3) การวิจัยและพัฒนาเอกสาร ตารา และ 4) การวิจัยเก่ียวกับการทา วิทยานิพนธ์ของผู้เรียน โดยมีกิจกรรมท่ียังไม่ได้ปฏิบัติอย่างชัดเจน จานวน 6 กิจกรรม ได้แก่ 1) การวิจัยปฏิบัติการเพ่ือพัฒนาการเรียนรู้ 2) การวิจัยเก่ียวกับ คณุ ภาพของผูเ้ รียน 3) การวจิ ยั เกย่ี วกบั การบริหารจัดการหลักสูตร 4) การวิจัยและ พัฒนานวัตกรรมองค์ความรู้ใหม่ 5) การวิจัยเกี่ยวกับการพัฒนาบุคลากรสาย วิชาการ และ 6) การวิจัยเก่ียวกบั การพฒั นาบคุ ลากรสายสนบั สนนุ 4. ผลการประเมินผลผลิต ผลการประเมินคุณภาพของผู้สาเร็จการศึกษาตามวัตถุประสงค์ของ หลักสูตร พบว่า บัณฑิตท่ีสาเร็จการศึกษาหลักสูตรพุทธศาสตรมหาบัณฑิต สาขา วิปัสสนาภาวนาท่เี ป็นกลุ่มตวั อย่างไดป้ ฏบิ ัตกิ ิจกรรมตา่ งๆ ภายหลงั สาเร็จการศึกษา สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของหลักสูตรทุกข้อ ได้แก่ การสร้างผลงานทางวิชาการ การเข้าปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา การเป็นพระวิปัสสนาจารย์หรือกิจกรรมที่เก่ียวข้อง และด้านการเผยแผค่ วามรูท้ างวิปสั สนาภาวนาหรอื ความรทู้ างพระพทุ ธศาสนา ขอ้ เสนอแนะ 1. ข้อเสนอแนะสาหรับการปรับปรงุ หลกั สตู ร 1.1 ข้อเสนอแนะที่ควรดาเนนิ การทนั ที 1.1.1 ดา้ นกระบวนการจดั การเรียนการสอนควรดาเนินการ ดงั ตอ่ ไปนี้ 1) ใช้วิธีการจัดการเรียนการสอนอย่างหลากหลาย เช่น การอภิปราย การสัมมนา การใช้วิจัยเป็นฐาน (research – based learning) เป็นต้น โดยเฉพาะการจัดการเรียนการสอนท่ีใช้วิจัยเป็นฐานท่ีควรนามาใช้อย่าง

338 บทท่ี 8 การประเมินหลกั สตู รทั้งระบบ ต่อเน่ืองเพราะจะส่งผลทาให้ผู้เรียนมีศักยภาพในทาวิทยานิพนธ์ โดยสามารถ นามาใช้ได้ในทุกรายวิชาในลักษณะต่างๆ เช่น 1) ผู้สอนนาผลการวิจัยมาใช้ ประกอบการสอน 2) ผู้เรียนปฏิบัติกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการวิจัย 3) ผู้สอนและผูเ้ รียนเปน็ ห้นุ สว่ นร่วมกนั ทาวจิ ยั ในกระบวนการเรียนรู้ เป็นต้น 2) ใช้แหล่งการเรยี นร้ตู า่ งๆ มาสนบั สนุนกระบวนการ เรยี นรขู้ องผู้เรยี น เปิดโอกาสให้ผเู้ รยี นไดศ้ กึ ษาค้นคว้าและเรยี นรดู้ ว้ ยตนเอง (self – directed learning) จากแหล่งเรียนรู้ต่างๆ เช่น เอกสารตารา อินเตอร์เน็ต บุคคล เป็นต้น ผ่านกระบวนการคิด การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ข้อมูลต่างๆ เป็นองค์ ความรขู้ องตนเอง ซงึ่ เป็นกระบวนการเรียนรู้ทส่ี าคัญในยคุ แหง่ ขอ้ มูลและสารสนเทศ ในปัจจบุ ัน 3) ส่งเสริมและกระตุ้นให้มีการแลกเปล่ียนเรียนรู้ ทัง้ ระหวา่ งผู้สอนกบั ผ้เู รียนและระหวา่ งผู้เรียนกับผูเ้ รียน และการแลกเปลี่ยนเรยี นรู้ 1.1.2 ด้านการวัดและประเมินผล ควรดาเนินการวัด และประเมินผลตามสภาพจริงระหว่างการจัดการเรียนการสอน โดยใช้ผู้ประเมิน หลายฝุาย ใช้วิธีการประเมินหลายวิธี เช่น การสังเกตพฤติกรรม การตรวจผลงาน การรายงานตนเอง เป็นต้น และประเมินหลายช่วงเวลาของการเรียนรู้ ได้แก่ การประเมินก่อนเรียน ระหว่างเรียน (สาคัญมากท่ีสุด) และหลังเรียน ตลอดจน การเปดิ โอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการประเมิน การสะท้อนผลการประเมินให้กับ ผู้เรียน มุ่งการประเมินเพื่อปรับปรุงและพัฒนา (improve and development) และนาผลการประเมนิ มาพัฒนาผเู้ รยี นเปน็ รายบคุ คล (individual development) การสะท้อนผลการประเมินท่ีชัดเจนจะส่งผลให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างมี ประสิทธิภาพเป็นอย่างมาก ผู้เรียนจะทราบว่าจะต้องพัฒนาตนเองในด้านใดบ้าง ซึง่ อาจเปน็ ดา้ นความรู้ ทักษะการปฏิบตั ิ หรอื ดา้ นคุณลกั ษณะ 1.1.3 ด้านการวิจัยหลักสูตรและการเรียนการสอน อาจารยผ์ ้สู อนควรดาเนินการวิจัยเพ่ือพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนซ่ึงจะนาไปสู่การ พัฒนาคุณภาพอย่างต่อเนื่องในลักษณะการวิจัยในการปฏิบัติงาน (Routine to Research) เพ่ือนาผลการวิจัยมาใช้เป็นประโยชน์สาหรับการจัดการศึกษาของ หลักสตู รให้มคี ุณภาพสงู สุด

บทท่ี 8 การประเมนิ หลักสูตรทั้งระบบ 339 1.2 ขอ้ เสนอแนะที่ควรเร่งวางแผนและดาเนินการ 1.2.1 ควรดาเนินการปรับปรุงหลักสูตรให้สอดคล้องกับ กรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2552 ที่กาหนดให้ทุก หลักสูตรต้องดาเนินการภายในปี พ.ศ. 2555เพื่อให้สามารถเทียบเคียงมาตรฐาน ของหลักสตู รนก้ี บั หลกั สูตรอน่ื ๆ ที่เกีย่ วขอ้ งได้ในระดับสากล 1.2.2 ควรดาเนนิ การจดั ทาระบบสารสนเทศวทิ ยานิพนธ์ของ สาขาวิชา เชน่ การจดั ทาฐานขอ้ มลู online เพ่ือให้อาจารย์และนิสิตสามารถสืบค้น เพื่อการเรียนรู้ได้อย่างสะดวก รวดเร็ว นอกจากนี้ยังเป็นการเผยแพร่ผลงาน วิทยานิพนธส์ ูช่ มุ ชนและสังคมและประชาสมั พนั ธ์หลกั สตู รไปพรอ้ มกนั ด้วย 1.2.3 ควรดาเนินการจัดทาระบบบริหารจัดการด้านการทา วิทยานิพนธข์ องผู้เรียน ทั้งน้ีเพ่ืออาจารย์สามารถควบคุมดูแลการทาวิทยานิพนธ์ได้ อย่างใกลช้ ดิ และท่วั ถึงมากยิ่งข้ึน ท้ังนี้เพราะการควบคุมดูแลการทาวิทยานิพนธ์ที่มี ประสิทธิภาพจะส่งผลต่อคุณภาพของวิทยานิพนธ์ ซ่ึงการทาวิทยานิพนธ์จะเป็น เครื่องมือพัฒนาคุณภาพของผู้เรียนได้เป็นอย่างดี ทาให้รู้จักการวางแผน และคิด อย่างเป็นระบบ ทางานอย่างเป็นขั้นตอน นอกจากนี้ยังเป็นการขยายองค์ความรู้ ทางด้านวิปัสสนาภาวนาให้มีความชัดเจนและสอดคล้องกับสภาพบริบทของสังคม ปัจจบุ นั ได้เป็นอยา่ งดี 1.2.4 สาหรบั การปฏบิ ัตวิ ิปสั สนาภาวนา 7 เดือน จากการให้ ขอ้ มลู ของบณั ฑติ ท่ีสาเร็จการศึกษาแล้ว มีความเห็นสอดคล้องกันว่าควรดาเนินการ ฝึกปฏิบตั ิอยา่ งตอ่ เนอ่ื งตลอด 7 เดอื น และควรให้มีการปฏิบัติเป็นกิจวัตรประจาวัน ในช่วงเวลาที่มาเรียนรายวิชาทว่ี ิทยาเขตด้วย 1.2.5 ควรจัดระบบการบริหารจัดการห ลักสูตรโดย คณะกรรมการอย่างชัดเจนโดยเฉพาะหน้าที่รับผิดชอบของบุคลากรเพื่อให้การ ดาเนินกิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมดูแลคุณภาพการจัดการศึกษา ไดอ้ ย่างเต็มประสทิ ธภิ าพ 1.2.6 ควรส่งเสริมและสนับสนุนบุคลากรให้มีการทาวิจัย ในลักษณะควบคู่ไปกับการทางาน (Routine to Research) เพื่อให้เกิดองค์ความรู้ ในการปฏบิ ัตงิ านและจะเป็นการพฒั นาคณุ ภาพของหลกั สูตรไปพรอ้ มกนั

340 บทท่ี 8 การประเมนิ หลกั สูตรทัง้ ระบบ 2. ขอ้ เสนอแนะสาหรับการดาเนินการต่อไป 2.1 ควรสรุปประเด็นการประเมิน แล้วเสนอขอรับการส่งเสริม และสนับสนุนการจัดการเรียนการสอนของหลักสูตรสาขาวิชาวิปัสสนาภาวนา จากบณั ฑิตวทิ ยาลยั มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั 2.2 ควรเผยแพร่ผลการวิจัยไปยังมหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณ- ราชวิทยาลัย เพ่ือใช้เป็นแนวทางในการประเมินหลักสูตรอื่นๆ ท้ังส่วนกลาง และ ส่วนภมู ิภาคต่อไป 3. ขอ้ เสนอแนะสาหรับการวิจัยคร้งั ต่อไป 3.1 ควรนาผลการประเมนิ ในประเดน็ ทสี่ าคญั มาศึกษาวจิ ยั ซ้าแบบ เจาะลึก เพ่ือให้ได้องค์ความรู้ที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น เช่น ประเด็นเก่ียวกับการทา วิทยานพิ นธ์ การปฏิบัตวิ ปิ สั สนาภาวนา 7 เดอื น 3.2 ควรดาเนินการวิจัยย้อนรอยเพื่อค้นหาตัวแปรท่ีส่งผลต่อ คุณภาพของบัณฑิตท่ีสาเร็จการศึกษาจากหลักสูตรน้ี เพื่อนามาใช้เป็นข้อมูล ประกอบการตัดสินใจเก่ียวกับการจัดการศึกษาของหลักสูตรที่ส่งเสริมให้ผู้เรียน ในปัจจุบนั สาเรจ็ การศกึ ษาออกไปอยา่ งมคี ณุ ภาพมากยง่ิ ข้นึ จากกรณีตัวอย่างดังกล่าวมา จะเห็นว่าการนาเสนอผลการประเมิน หลักสูตรนั้นควรนาเสนอให้อยู่บนพ้นื ฐานของข้อมูลสารสนเทศ ตามประเด็นของการ ประเมินอย่างเป็นระบบ และมีการให้ข้อเสนอแนะในการปรับปรุงและเปลี่ยนแปลง หลกั สูตร ท่ีมคี วามเปน็ รปู ธรรม สามารถนาไปปฏบิ ตั ไิ ดจ้ ริง ซง่ึ การให้ข้อเสนอแนะที่มี คุณภาพจะช่วยทาใหส้ ามารถปรบั ปรุงและเปลีย่ นแปลงหลกั สตู รไดอ้ ย่างมีเปูาหมาย ดังน้ันจึงถือเป็นหัวใจสาคัญของการประเมินหลักสูตรใดๆ ว่าผู้ประเมิน จะต้องมกี ารใหข้ อ้ เสนอแนะในการปรบั ปรงุ หลักสูตรที่มีคุณภาพ ซึ่งจะเป็นสิ่งสะท้อน วา่ ผู้ประเมนิ หลักสูตรมคี วามร้คู วามเขา้ ใจในหลักสูตรที่ประเมินอย่างแท้จริง ท่ีนอกจาก จะสามารถตัดสินคุณภาพของหลักสูตรในแต่ละประเด็นได้แล้ว ยังสามารถให้ ข้อเสนอแนะแนวทางการปรับปรุงหลักสูตรให้ดียิ่งข้ึนได้ด้วยซึ่งเป็นส่ิงท่ีผู้รับการ ประเมนิ หลักสูตรต้องการ

บทที่ 8 การประเมินหลักสตู รท้งั ระบบ 341 สรุปกระบวนการประเมนิ หลักสตู รทั้ง 8 ข้นั ตอน แสดงเปน็ แผนภาพได้ดังนี้ 1. การกาหนดวตั ถปุ ระสงค์ของการประเมินหลักสตู ร 2. การกาหนดรปู แบบการประเมนิ หลักสูตร (สอดคล้องกับวตั ถปุ ระสงค์) 3. การวางแผนการประเมินหลักสตู ร (ทาพมิ พ์เขียวการประเมนิ ที่เป็นระบบ) 4. การสร้างเครือ่ งมอื เกบ็ รวบรวมข้อมูลสาหรบั การประเมินหลักสตู ร 5. การเก็บรวบรวมขอ้ มูล (เชิงประจกั ษ์ทัง้ ข้อมลู เชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ) 6. การวิเคราะหข์ ้อมูล (ตอบคาถามการประเมินครบถว้ น) 7. การลงสรุปผลการประเมิน (สรปุ บนพ้ืนฐานผลการวเิ คราะหข์ ้อมลู และเกณฑ์) 8. การรายงานผลการประเมินหลกั สตู ร (ใชร้ ปู แบบที่เหมาะสมกับกล่มุ เปา้ หมาย) แผนภาพ 35 กระบวนการประเมินหลักสตู รท้งั ระบบ

342 บทที่ 8 การประเมนิ หลกั สูตรทั้งระบบ สรุป จากท่ไี ดก้ ล่าวมาในบทท่ี 8 เรือ่ งการประเมินหลักสูตรท้ังระบบ ได้กล่าวถึง สาระสาคัญ คอื การประเมินหลักสตู รทั้งระบบ มีจดุ มงุ่ หมายเพอ่ื ตรวจสอบคุณภาพของ หลักสูตรในทุกมิติและตัดสินใจปรับปรุงเปล่ียนแปลงหรือยกเลิกหลักสูตร โดยใช้ข้อมูล สารสนเทศที่เก่ียวข้องอย่างหลากหลาย ถูกต้อง เชื่อถือได้ โดยที่การประเมินหลักสูตร ทง้ั ระบบให้ความสาคัญกับข้อมูลสารสนเทศท่ีมีคุณภาพสาหรับนามาใช้ในการตัดสินใจ ปรบั ปรงุ และเปล่ียนแปลงหลกั สูตร อนง่ึ การประเมนิ หลักสูตรท้ังระบบท่ีมีประสิทธิภาพ ควรดาเนินการโดยคณะกรรมการประเมินหลักสูตรท่ีประกอบด้วยบุคลากรทุกฝุาย ที่เกย่ี วขอ้ งกบั การใชห้ ลกั สูตร สว่ นการนาเสนอผลการประเมนิ หลกั สูตรนั้นควรนาเสนอ ให้อยู่บนพื้นฐานของข้อมูลสารสนเทศ ตามประเด็นของการประเมินอย่างเป็นระบบ และมีการให้ข้อเสนอแนะในการปรับปรุงและเปล่ียนแปลงหลักสูตรท่ีมีความเป็น รูปธรรม สามารถนาไปปฏิบัติได้จริง และการให้ข้อเสนอแนะในการปรับปรุงหลักสูตร ที่มีคุณภาพ ซ่ึงจะเป็นสิ่งสะท้อนว่าผู้ประเมินหลักสูตรมีความรู้ความเข้าใจในหลักสูตร ที่ประเมินอย่างแท้จริง ท่ีนอกจากจะสามารถตัดสินคุณภาพของหลักสูตรในแต่ละ ประเด็นได้แล้ว ยังสามารถให้ข้อเสนอแนะแนวทางการปรับปรุงหลักสูตรให้ดีย่ิงข้ึน ไดด้ ว้ ย

บทท่ี 8 การประเมินหลกั สูตรทัง้ ระบบ 343 บรรณานุกรม บณั ฑิตศึกษา มหาวิทยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธิราช. (2555). การประเมนิ หลักสตู รและการ เรยี นการสอน: ประมวลชดุ วิชา = Evaluation of Curriculum and Instruction. นนทบรุ ี: สานกั พมิ พม์ หาวทิ ยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธิราช. พชิ ติ ฤทธิจ์ รญู . (2551). หลักการวดั และประเมินผลการศกึ ษา. พมิ พ์คร้ังท่ี 4. กรงุ เทพฯ: เฮา้ ส์ ออฟ เคอร์มีสท์. มารุต พัฒผล. (2554). รายงานการวิจยั ฉบับสมบูรณ์ เรื่อง ผลการใชท้ ฤษฎียู (Theory - U) ในการประเมินหลกั สตู รระดับบณั ฑิตศกึ ษา. กรุงเทพฯ: บัณฑติ วิทยาลยั มหาวิทยาลยั ศรีนครินทรวิโรฒ. รตั นะ บัวสนธ์. (2556). “รปู แบบการประเมนิ CIPP และ CIPPIEST มโนทศั น์ ที่คลาดเคลื่อนและถกู ต้องในการใช้ CIPP และ CIPPIEST Evaluation Models: Mistaken and Precise Concepts of Applications”. วารสารศิลปากรศึกษาศาสตรว์ ิจยั . ปที ่ี 5 ฉบบั ที่ 2 (กรกฎาคม – ธนั วาคม) หน้า 7 – 24. ศิริชยั กาญจนวาส.ี (2558). การประเมนิ หลกั สูตร: หลักการและแนวปฏบิ ัติ. สืบคน้ จาก http://www.edu.tsu.ac.th/major/old_eva/ journal/scan1.pdf เมือ่ วนั ที่ 10 กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 2558. สมคดิ พรหมจยุ้ . (2552). เทคนคิ การประเมินโครงการ. กรงุ เทพฯ: ศูนยห์ นังสือ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั . (จดั จาหน่าย). สานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา. (2552). กรอบมาตรฐานคุณวฒุ ิระดบั อดุ มศกึ ษา แหง่ ชาติ พ.ศ. 2552. กรุงเทพฯ: สานักงานคณะกรรมการการอดุ มศกึ ษา. Armstrong. David G. (1989). Developing and Documenting the Curriculum. Boston: Allyn and Bacon. . (2003). Curriculum Today. New Jersey: Merrill Prentice Hall.

344 บทท่ี 8 การประเมินหลกั สตู รท้งั ระบบ Beane, James A. and others. (1986). Curriculum Planning and Development. Boston: Allyn and Bacon. Bobbit, Franklin. (1918). The Curriculum. Boston: Houghton Mifflin. . (1924). How to Make a Curriculum. Boston: Houghton Mifflin. Brady, Laurie. (1992). Curriculum Development. 4thed. Sydney: Prentice Hall. Eisner, Elliot W. (1994). The Educational Imagination: on the Design and Evaluation of School Programs. New York: Macmillan. Fink, Arlene. (2015). Evaluation Fundamentals: Insight into Program Effectiveness, Quality, and Value. Los Angeles: Sage Publications. Hammond, R.L. (1973). “Evaluation at the Local Level” In worthen and Sanders, Educational Evaluation: Theory and Practice. California: Wadsworth Published. Henson, Kenneth T. (2001). Curriculum Planning: Integrating Multiculturalism, Constructivism, and Education Reform. 2nded. New York: McGraw - Hill. Jacobs, Heidi Hayes. (2010). Curriculum 21: Essential education for a Changing World. Alexandria: Association for Supervision and Curriculum Development. Kelly, A. V. (1999). The Curriculum. 4thed. London: Paul Chapman Publishing Ltd. Kirkpatrick, Donald L. (1998). Evaluating Training Programs: the Four Levels. 2nded. San Francisco: Berrett – Koehler Publishers. . (2005). Transferring Learning to Behavior. San Francisco: Berrett- Koehler Publishers.

บทท่ี 8 การประเมนิ หลักสตู รทง้ั ระบบ 345 . (2007). Implementing the Four Levels. San Francisco: Berrett- Koehler Publishers. McDavid, James., Huse, Irene., and Hawthorn, Laura R.L. (2013). Program Evaluation and Performance Measurement: An Introduction to Practice. Thousand Oaks: Sage Publications.. Mertens, Donna M., and Wilson Amy T. (2012). Program Evaluation Theory and Practice: A Comprehensive Guide. New York: The Guilford Press. Oliva, Peter F. (2009). Developing the Curriculum. 7thed. Boston: Allyn and Bacon. Oliva, Peter F., and Gordon, II, William, R. (2013). Developing the Curriculum. 8thed. Boston: Pearson. Ornstein, Allan C. (2013). Curriculum: Foundations, Principles, and Issues. Boston: Pearson. Ornstein, Allan C., and Hunkins, Francis P. (2004). Curriculum: Foundations, Principles, and Issues. Boston: Allyn and Bacon. Pearsons, Beverly A. (2002). Evaluating Inquiry: Using Evaluation to Promote Student Success. Thousand Oaks; California: Corwin Press. Posner, George J. (2004). Analyzing the Curriculum. New York: McGraw Hill. Print, Murray. (1993). Curriculum Development and Design. 2nd ed. Sydney: Allen & Unwin. Provus, M.M. (1971). Discrepancy Evaluation. California: McCutchan. Rea-Dickins, Pauline., and Germaine, Kevin. (2011). Evaluation. Oxford: Oxford University Press.

346 บทที่ 8 การประเมินหลกั สูตรทัง้ ระบบ Saylor, J.G., Alexander, W.M., and Lewis, Arthur.J. (1981). Curriculum Planning for Better Teaching and Learning. New York: Holt, Rinehart and Winston. Stake, R.E. (1969). “Language, Rationality and Assessment” in Walcott H. Beatty (ed.), Improving Educational Assessment and An Inventory of Measures of Affective Behavior. Washington, D.C.: Association for Supervision and Curriculum Development. Stufflebeam, Daniel L. and Shinkfield, Anthony J. (2007). Evaluation Theory, Models, & Applications. San Francisco: Jossey – Bass. Taba, Hilda. (1962). Curriculum Development : Theory and Practice. New York: Harcourt Brace Jovanovich. Tanner, Daniel and Tanner, Laurel. (1975). Curriculum Development: Theory into Practice. New York: Macmillan Publishing. Tanner, Daniel and Tanner, Laurel. (1980). Curriculum Development: Theory into Practice. 2nded. New York: Macmillan Publishing. Tyler, Ralph W. (1949). Basic Principles of Curriculum and Instruction. Chicago: The university of Chicago Press. Udelhofen, Susan. (2005). Keys to Curriculum Mapping: Strategies and Tools to Make it Work. Thousand Oaks, California: Corwin Press. Walker, Decker F. and Soltis, Jonas F. (2009). Curriculum and Aims. New York: Teachers College Columbia University. Wiles, Jon W., and Bondi, C. Joseph. (2011). Curriculum Development a Guide to Practice. 8thed. Boston: Pearson. William, Pinar. (2012). What is Curriculum Theory. New York: Routledge.

บทที่ 9 การประเมนิ หลักสตู รแบบผสานวธิ ี 347 บทท่ี 9 การประเมนิ หลักสตู รแบบผสานวธิ ี

348 บทที่ 9 การประเมนิ หลักสตู รแบบผสานวธิ ี การประเมนิ หลักสตู ร เป็นกิจกรรมทม่ี ีความซับซอ้ น ซ่ึงเกยี่ วขอ้ งกับการรวบรวมข้อมลู ตา่ งๆ ทง้ั ข้อมลู เชงิ ปริมาณ (quantitative data) และข้อมลู เชิงคณุ ภาพ (qualitative data

บทท่ี 9 การประเมินหลกั สตู รแบบผสานวิธี 349 9.1 แนวความคดิ ของการประเมนิ หลกั สตู รแบบผสานวิธี 9.2 ขอ้ ดขี องการประเมนิ หลักสูตรแบบผสานวิธี 9. การประเมนิ หลักสูตร 9.3 กรอบความคดิ ของการออกแบบการประเมนิ หลักสตู ร แบบผสานวิธี แบบผสานวธิ ี 9.4 กลยทุ ธก์ ารประเมนิ หลักสูตรแบบผสานวิธี 9.5 วธิ ีการและเคร่ืองมือเกบ็ รวบรวมข้อมลู สาหรับการประเมินหลักสูตรแบบผสานวธิ ี 9.6 การจดั กระทาข้อมูล การวิเคราะหข์ ้อมลู และสรุปผล

350 บทท่ี 9 การประเมินหลักสตู รแบบผสานวิธี การประเมินหลักสูตรแบบผสานวิธี เปน็ แนวทาง (approach) การประเมินหลักสูตร แบบผสานวธิ กี ารเชิงปริมาณ (quantitative method) และวิธกี ารเชิงคุณภาพ (qualitative method)

บทที่ 9 การประเมนิ หลกั สตู รแบบผสานวิธี 351 สาระสาคญั สาหรับในบทท่ี 9 เรื่อง การประเมินหลักสูตรแบบผสานวิธี มีสาระสาคัญ ดงั ต่อไปนี้ 1. การประเมินหลักสูตรเป็นกิจกรรมที่มีความซับซ้อนซ่ึงเกี่ยวข้อง กับการรวบรวมข้อมูลต่างๆ ท้ังข้อมูลเชิงปริมาณและข้อมูลเชิงคุณภาพเพ่ือให้สามารถ ตอบคาถามการประเมนิ ต่างๆ ไดอ้ ย่างถูกตอ้ ง 2. การประเมินหลกั สตู รแบบผสานวิธี มีข้อดีหลายประการที่ช่วยทา ให้ผลการประเมินมีความถกู ต้องและเชื่อถือได้ สามารถนาไปปรับปรุงและเปล่ียนแปลง หลักสูตรได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีข้อมูลทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพที่ใช้เป็น ประโยชน์ในการลงสรุปผลการประเมิน มีความลึกซึ้งมากกว่าการใช้วิธีการเชิงปริมาณ หรือวิธีการเชิงคุณภาพเพียงอย่างเดียวสอดคล้องกับหลักการมีส่วนร่วมในการประเมิน ประหยัดทรพั ยากรที่ใชใ้ นการประเมินหลกั สตู ร 3. กรอบความคิดของการประเมินหลักสูตรแบบผสานวิธี น้ี ได้วิเคราะห์และประยุกต์มาจากวิธีการออกแบบการวิจัยแบบผสานวิธี (mixed - method research) สามารถนามาปรับใช้กับการประเมินหลักสูตรได้ท้ังการประเมิน กอ่ นการใช้หลกั สูตร ระหว่างการใชห้ ลกั สูตร และหลงั การใชห้ ลักสตู ร 4. การประเมนิ หลักสตู รแบบผสานวธิ มี ีกลยุทธ์การประเมินเก่ียวกับ การออกแบบการประเมิน และการวิเคราะห์ข้อมูล คือ 1) เลือกวิธีการประเมินท้ังเชิง ปริมาณและเชิงคุณภาพ 2) เลือกเทคนิควิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลในการประเมิน หลักสูตร 3) ตรวจสอบวัตถุประสงค์ของการประเมินหลักสูตรและวิธีการประเมิน

352 บทท่ี 9 การประเมนิ หลกั สูตรแบบผสานวธิ ี 4) ออกแบบการวิเคราะห์ข้อมูลให้มีความสอดคล้องกับวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล 5) ตรวจสอบความถกู ต้องของขอ้ มูล 6) คัดเลือกคณะกรรมการการประเมินหลักสตู ร 5. วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลสาหรับการประเมินหลักสูตรมีหลาย วิธีการซ่ึงคณะกรรมการประเมินหลักสูตรควรเลือกใช้วิธีการที่เหมาะสมในการเก็บ รวบรวมข้อมูล เพื่อให้ได้ข้อมูลสารสนเทศที่ครอบคลุมประเด็นและคาถามการประเมิน โดยมีการจัดกระทาข้อมูล การวิเคราะห์มูล และสรุปผลการประเมินอย่างถูกต้อง บนพ้ืนฐานของข้อมูลเชิงประจกั ษ์

บทที่ 9 การประเมินหลกั สตู รแบบผสานวิธี 353 9.1 แนวความคิดการประเมนิ หลักสูตรแบบผสานวิธี การประเมินหลักสูตรเป็นกิจกรรมท่ีมีความซับซ้อนซึ่งเก่ียวข้องกับการ รวบรวมข้อมูลต่างๆ ท้ังข้อมูลเชิงปริมาณ (quantitative data) และข้อมูลเชิง คุณภาพ (qualitative data) เพื่อให้สามารถตอบคาถามการประเมินต่างๆ ได้อย่าง ถูกต้อง ซ่ึงการท่ีจะตอบคาถามการประเมินได้อย่างถูกต้องนั้น จาเป็นที่จะต้องเก็บ ข้อมูลจากบุคคลท่ีเชื่อถือได้โดยใช้วิธีการท่ีเหมาะสม จึงจะทาให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้อง มาสรุปผลการประเมินตลอดจนให้ข้อเสนอแนะเพื่อการปรับปรุงหลักสูตรให้มีคุณภาพ มากยิ่งข้ึน การประเมินหลักสูตรแบบผสานวิธี เป็นแนวทาง (approach) การประเมิน หลักสูตรแบบผสานวิธีการเชิงปริมาณ (quantitative method) และวิธีการเชิง คุณภาพ (qualitative method) เข้าด้วยกัน เพื่อทาให้การประเมินหลักสูตร มีประสิทธิภาพ ได้ข้อมูลสารสนเทศที่มีความถูกต้อง เชื่อถือได้ นาไปสู่การปรับปรุง หลักสตู รให้มคี ุณภาพมากขน้ึ 9.2 ขอ้ ดขี องการประเมนิ หลกั สตู รแบบผสานวิธี การประเมินหลักสูตรแบบผสานวิธี มีข้อดีหลายประการที่ช่วยทาให้ผลการ ประเมินมีความถูกต้องและเช่ือถือได้ สามารถนาไปปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงหลักสูตร ได้อยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ ดงั น้ี 1. ทาใหค้ ณะกรรมการประเมินหลักสูตรมีข้อมูลท้ังเชิงปริมาณและ เชิงคณุ ภาพที่ใช้เป็นประโยชนใ์ นการลงสรปุ ผลการประเมนิ 2. ผลการประเมินมีความลึกซึ้งมากกว่าการใช้วิธีการเชิงปริมาณ หรือวิธีการเชิงคุณภาพเพียงอย่างเดียว ซ่ึงการใช้วิธีการเชิงปริมาณอาจไม่เหมาะสม กับการเก็บข้อมูลเชิงลกึ แตก่ ารใช้วิธีการเชิงคุณภาพจะทาให้ไดข้ ้อมูลทด่ี ีกว่า

354 บทที่ 9 การประเมินหลักสูตรแบบผสานวิธี 3. สอดคล้องกับหลักการมีส่วนร่วมในการประเมินของผู้ท่ี เก่ยี วขอ้ งกบั หลกั สูตรทัง้ ผบู้ ริหาร ผสู้ อน ผู้เรียน และชมุ ชน ในการให้ข้อมูลเก่ียวกับการ ใชห้ ลกั สูตร ทง้ั ท่ีเป็นจดุ แขง็ และจุดออ่ นทต่ี อ้ งปรับปรงุ ตลอดจนความคดิ เห็นต่างๆ 4. ช่วยทาให้เกิดความประหยัดทรัพยากรที่ใช้ในการประเมิน หลักสูตร ได้แก่ บุคลากร วัสดุอุปกรณ์ เวลา และงบประมาณ เมื่อใช้วิธีการเก็บ รวบรวมข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูล ท้ังเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพท่ีเหมาะสมกับ คาถามการประเมนิ 9.3 กรอบความคดิ ของการออกแบบการประเมนิ หลกั สตู ร แบบผสานวธิ ี กรอบความคิดของการประเมินหลักสูตรแบบผสานวิธีนี้ ได้วิเคราะห์และ ประยุกต์มาจากวิธีการออกแบบการวิจัยแบบผสานวิธี (mixed - method research) ซ่ึง Creswell and Clark. (2011) ได้นาเสนอไว้ 6 แบบ ซ่ึงผู้เขียนได้ วิเคราะห์แล้วว่าสามารถนามาปรับใช้กับการประเมินหลักสูตรได้ทั้งการประเมินก่อน การใช้หลักสูตร ระหว่างการใช้หลักสูตร และหลงั การใช้หลกั สตู ร เพื่อให้การดาเนินการ ประเมินหลักสตู รมีมปี ระสทิ ธภิ าพ มคี วามถกู ตอ้ งมากยง่ิ ขน้ึ ดังนี้ แบบท่ี 1 ใช้วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลท้ังเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ พรอ้ มๆ กนั แบบที่ 2 ใช้วิธีการเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณก่อน แล้วเมื่อได้ข้อสรุป เชิงปริมาณเป็นอย่างไร จึงดาเนินการเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ ขอ้ มูลเชงิ คุณภาพภายหลงั แบบท่ี 3 ใช้วิธีการเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพก่อน แล้วเม่ือได้ข้อสรุปเชิงคุณภาพเป็นอย่างไร จึงเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเชิง ปริมาณภายหลัง

บทที่ 9 การประเมินหลักสตู รแบบผสานวิธี 355 แบบที่ 4 ใช้วิธีการเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณเป็นหลัก และใช้วิธีการเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพเป็นวิธีการเสริม เป็นแบบท่ี 4.1 หรือใช้วิธีการเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพเป็นหลัก และใช้วิธีการ เก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณเป็นวิธีการเสริมในช่วงก่อน ระหว่าง หรือ หลงั การเก็บรวบรวมและวิเคราะหข์ อ้ มลู เชิงปริมาณ เป็นแบบท่ี 4.2 แบบที่ 5 เป็นแบบการประเมินหลักสูตรท่ีมีกรอบแนวคิดเชิงทฤษฎีท่ีใช้ สาหรับการประเมิน สอดคล้องกับการประเมินท่ีเน้นทฤษฎี (Theory – based evaluation) แบบท่ี 6 ใช้วิธีการเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณและ คณุ ภาพเป็นช่วงระยะเวลา ซง่ึ ในแตล่ ะชว่ งเวลาสามารถใช้วิธีการแบบที่ 1 – 5 ได้อย่าง หลากหลาย ผลการประเมนิ จะถูกนาไปใช้ในการพัฒนา (develop) และ/หรือปรับปรุง (improve) หลักสูตรในแต่ละระยะต่อเน่ืองกันไป เพื่อการบรรลุวัตถุประสงค์ของ หลกั สูตร กรอบแนวคดิ ของการประเมินหลกั สูตรแบบผสานวิธที ง้ั 6 แบบมดี ังตอ่ ไปนี้

356 บทท่ี 9 การประเมนิ หลกั สตู รแบบผสานวธิ ี แบบที่ 1 ใช้วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลท้ังเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ พร้อมกันแล้วนามาวิเคราะห์เปรียบเทียบกันหรือหาความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกัน เพื่อตอบคาถามการประเมิน แสดงไดด้ ังแผนภาพต่อไปนี้ ประเด็น คาถามการประเมิน การประเมนิ การเกบ็ รวบรวม การเก็บรวบรวม และวเิ คราะห์ข้อมลู เชิงปรมิ าณ และวิเคราะห์ขอ้ มูลเชงิ คณุ ภาพ การเปรียบเทยี บหรือความสัมพันธ์ ระหว่างข้อมูลเชิงปรมิ าณและเชิงคณุ ภาพ การแปลความหมาย และลงสรปุ ผลเพ่อื ตอบคาถามการประเมนิ แผนภาพ 36 กรอบความคิดของการประเมนิ หลักสูตรแบบผสานวิธี แบบท่ี 1

บทที่ 9 การประเมนิ หลักสตู รแบบผสานวธิ ี 357 ตัวอย่าง การประเมินตามกรอบความคิดการประเมินหลักสูตร แบบผสานวิธี แบบที่ 1 การประเมนิ ระบบอินเทอรเ์ นต็ ไร้สายในโรงเรียน ทรพั ยากร มปี ระสิทธิภาพหรือไม่ สนบั สนนุ การเรียนรู้ สอบถามนักเรียนเกี่ยวกับการใชร้ ะบบ สัมภาษณน์ ักเรียนท่ีใชร้ ะบบ อนิ เทอรเ์ น็ตไร้สายภายในโรงเรียน อินเทอร์เนต็ ไร้สายบรเิ วณจุดกระจาย สญั ญาณต่างๆ โดยใช้แบบสัมภาษณ์ โดยใชแ้ บบสอบถาม ชนิดมาตราสว่ นประมาณค่า ชนดิ มโี ครงสรา้ ง ตรวจสอบความสอดคล้องกันระหว่าง ผลจากการสอบถามและผลการสัมภาษณ์ ลงสรุปผลการประเมนิ ระบบอินเทอรเ์ นต็ ไรส้ าย ในโรงเรียนและข้อเสนอแนะ แผนภาพ 37 ตวั อยา่ งกรอบความคดิ ของการประเมินหลกั สตู รแบบผสานวิธี แบบที่ 1

358 บทท่ี 9 การประเมินหลกั สตู รแบบผสานวธิ ี แบบที่ 2 ใช้วิธีการเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณก่อน แลว้ เมือ่ ได้ข้อสรุป เชงิ ปรมิ าณเปน็ อย่างไร จึงดาเนินการเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ ข้อมลู เชงิ คุณภาพภายหลงั เพื่อตอบคาถามการประเมนิ แสดงไดด้ งั แผนภาพต่อไปน้ี ประเด็นการประเมิน คาถามการประเมิน การเก็บรวบรวม และวิเคราะห์ข้อมลู เชิงปริมาณ การสรปุ ผลการวิเคราะห์ขอ้ มูลเชงิ ปรมิ าณ การเกบ็ รวบรวมและวเิ คราะห์ข้อมูลเชงิ คุณภาพ ท่สี บื เนื่องมาจากผลการวเิ คราะหข์ ้อมลู เชงิ ปรมิ าณ การแปลความหมาย และสรุปผลเพื่อตอบคาถามการประเมิน แผนภาพ 38 กรอบความคดิ ของการประเมินหลักสูตรแบบผสานวธิ ี แบบท่ี 2

บทท่ี 9 การประเมนิ หลกั สตู รแบบผสานวิธี 359 ตั ว อ ย่ า ง ก า ร ป ร ะ เ มิ น ต า ม ก ร อ บ ค ว า ม คิ ด ก า ร ป ร ะ เ มิ น ห ลั ก สู ต ร แบบผสานวธิ ี แบบที่ 2 การประเมิน การจดั การเรียนรู้แตล่ ะรายวิชา การจดั การเรียนรู้ มปี ระสิทธิภาพหรือไม่ สอบถามผูส้ อนและผเู้ รยี นเกี่ยวกบั ประสิทธภิ าพของการจดั การเรยี นรู้ แต่ละรายวชิ า โดยใช้แบบสอบถามชนดิ มาตราส่วนประมาณค่า วิเคราะห์และสรุปผลประสิทธิภาพการจัดการเรยี นรแู้ ตล่ ะรายวชิ า จาแนกตามกลมุ่ ผู้สอนและผเู้ รียน สัมภาษณผ์ สู้ อนและผเู้ รียนเกี่ยวกบั กระบวนการจัดการเรียนรู้ ในประเดน็ ทีน่ ่าสนใจสบื เนือ่ งจากการวิเคราะหข์ ้อมลู แบบสอบถาม โดยใชแ้ บบสมั ภาษณช์ นดิ มีโครงสร้าง การสรุปผลการประเมินประสิทธิภาพการจดั การเรยี นรู้ แผนภาพ 39 ตวั อย่างกรอบความคิดของการประเมนิ หลกั สูตรแบบผสานวธิ ี แบบที่ 2

360 บทท่ี 9 การประเมินหลกั สูตรแบบผสานวิธี แบบที่ 3 ใช้วิธีการเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพก่อน แล้วเม่ือได้ข้อสรุปเชิงคุณภาพเป็นอย่างไร จึงเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล เชงิ ปรมิ าณภายหลังเพื่อตอบคาถามการประเมนิ แสดงไดด้ งั แผนภาพตอ่ ไปน้ี ประเด็น คาถามการประเมิน การประเมนิ การเกบ็ รวบรวม และวเิ คราะห์ข้อมูลเชิงคณุ ภาพ การสรุปผลการวเิ คราะห์ข้อมูลเชงิ คณุ ภาพ การเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ขอ้ มลู เชิงปริมาณ ที่สืบเน่อื งมาจากผลการวิเคราะหข์ ้อมลู เชิงคุณภาพ การแปลความหมาย และลงสรุปผลเพ่อื ตอบคาถามการประเมิน แผนภาพ 40 กรอบความคิดของการประเมินหลกั สตู รแบบผสานวธิ ี แบบที่ 3

บทที่ 9 การประเมนิ หลักสตู รแบบผสานวธิ ี 361 ตั ว อ ย่ า ง ก า ร ป ร ะ เ มิ น ต า ม ก ร อ บ ค ว า ม คิ ด ก า ร ป ร ะ เ มิ น ห ลั ก สู ต ร แบบผสานวธิ ี แบบที่ 3 การประเมิน ผูเ้ รียนมีคณุ ลกั ษณะท่ีพึงประสงค์ คณุ ลักษณะ แต่ละดา้ นเป็นไปตามทก่ี าหนดในหลกั สตู รหรือไม่ ทีพ่ ึงประสงค์ของ การสมั ภาษณผ์ บู้ รหิ าร ผสู้ อน ผู้ปกครอง และชุมชน เกย่ี วกับคุณลักษณะท่ีพงึ ประสงค์ของผเู้ รียน โดยใชแ้ บบสมั ภาษณ์ชนิดมีโครงสรา้ ง วเิ คราะห์ สรุปผลการสมั ภาษณ์ และนาไปใชใ้ นการพฒั นาแบบประเมนิ คณุ ลักษณะทพี่ ึงประสงค์ของผ้เู รยี น ในเชงิ ปริมาณ ประเมินคุณลักษณะทพ่ี ึงประสงค์ของผเู้ รียน โดยผสู้ อน ผปู้ กครอง ชมุ ชน และผ้เู รียนประเมินตนเองในเชิงปริมาณ เช่น ใช้เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน (scoring rubrics) เปน็ ตน้ การสรปุ ผลการประเมนิ ประสิทธิภาพการจัดการเรยี นรู้ แผนภาพ 41 ตวั อย่างกรอบความคดิ ของการประเมินหลกั สตู รแบบผสานวิธี แบบที่ 3

362 บทที่ 9 การประเมนิ หลกั สตู รแบบผสานวธิ ี แบบที่ 4 ใช้วิธีการเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณเป็น หลักและใช้วิธีการเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพเป็นวิธีการเสริม ในช่วง ก่อน ระหว่าง หรอื หลังการเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ เป็น แบบที่ 4.1 หรอื ใชว้ ิธกี ารเกบ็ รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพเป็นหลัก และ ใช้วิธีการเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ เป็นวิธีการเสริมในช่วงก่อน ระหว่าง หรือหลัง การเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ เป็นแบบที่ 4.2 เพ่ือตอบคาถามการประเมิน โดยท่ีการเก็บรวบรวมข้อมูลในแบบที่ 4 น้ีจะ ดาเนินการพรอ้ มกนั หรือสลับกนั กไ็ ด้ แสดงได้ดงั แผนภาพตอ่ ไปน้ี ประเดน็ คาถามการประเมิน การประเมนิ แบบที่ 4.1 แบบที่ 4.2 การเก็บรวบรวม การเก็บรวบรวม และวิเคราะห์ขอ้ มูลเชงิ ปรมิ าณ และวเิ คราะห์ขอ้ มลู เชิงคณุ ภาพ การเก็บรวบรวม การเก็บรวบรวม และวิเคราะห์ขอ้ มลู เชิงคุณภาพ และวิเคราะหข์ อ้ มลู เชิงปรมิ าณ มาเสรมิ ขอ้ มลู เชงิ ปริมาณ มาเสรมิ ข้อมลู เชิงคณุ ภาพ การแปลความหมายและลงสรุปผล การแปลความหมายและลงสรุปผล เพื่อตอบคาถามการประเมิน เพือ่ ตอบคาถามการประเมนิ แผนภาพ 42 กรอบความคดิ ของการประเมินหลกั สูตรแบบผสานวธิ ี แบบที่ 4

บทที่ 9 การประเมินหลักสตู รแบบผสานวธิ ี 363 ตั ว อ ย่ า ง ก า ร ป ร ะ เ มิ น ต า ม ก ร อ บ ค ว า ม คิ ด ก า ร ป ร ะ เ มิ น ห ลั ก สู ต ร แบบผสานวิธี แบบที่ 4.1 การประเมิน ผู้เรยี นมผี ลสัมฤทธ์ิทางการเรียนตามสาระ ผลสมั ฤทธิ์ และมาตรฐานการเรียนร้หู รือไม่ ทางการเรียน ทดสอบความรู้ของผู้เรียนตามสาระและมาตรฐาน การเรยี นรู้โดยใชแ้ บบทดสอบมาตรฐาน สงั เกตพฤตกิ รรมการจดั การเรียนรู้ ของผู้สอนสงั เกตพฤติกรรมการเรียนรู้ ของผเู้ รยี น แปลความหมายและลงสรปุ ผลการประเมนิ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในเชงิ ปริมาณ และใชผ้ ลการสงั เกตพฤตกิ รรมการจดั การเรยี นรู้ของผู้สอน และพฤติกรรมการเรยี นรขู้ องผู้เรยี นมาสนบั สนุน แผนภาพ 43 ตวั อยา่ งกรอบความคดิ ของการประเมินหลักสตู รแบบผสานวธิ ี แบบที่ 4.1

364 บทที่ 9 การประเมินหลกั สตู รแบบผสานวิธี ตั ว อ ย่ า ง ก า ร ป ร ะ เ มิ น ต า ม ก ร อ บ ค ว า ม คิ ด ก า ร ป ร ะ เ มิ น ห ลั ก สู ต ร แบบผสานวิธี แบบที่ 4.2 การประเมนิ การจดั กจิ กรรมพัฒนาผเู้ รยี นมีคุณภาพหรอื ไม่ การจดั กิจกรรม พัฒนาผู้เรยี น 1. ตรวจเอกสารแผนการจดั กิจกรรมพฒั นาผเู้ รยี น ได้แก่ กิจกรรมแนะแนว กจิ กรรมนักเรยี น กจิ กรรมลูกเสือ/ เนตรนารี โดยใช้แบบบันทึกคุณภาพแผนการจดั การเรียนรู้ 2. สงั เกตการจดั กจิ กรรมพฒั นาผู้เรียน สอบถามความคิดเหน็ ของนักเรยี นที่มีต่อ การจดั กจิ กรรมพฒั นาผู้เรียนโดยใชแ้ บบสอบถาม ชนิดมาตราส่วนประมาณคา่ แปลความหมายและลงสรปุ ผลการประเมิน ผลสัมฤทธทิ์ างการเรียนในเชงิ ปริมาณ และใชผ้ ลการสังเกตพฤตกิ รรมการจัดการเรยี นร้ขู องผ้สู อน และพฤตกิ รรมการเรยี นรู้ของผู้เรียนมาสนับสนนุ แผนภาพ 44 ตัวอย่างกรอบความคิดของการประเมนิ หลักสตู รแบบผสานวิธี แบบท่ี 4.2

บทที่ 9 การประเมนิ หลกั สตู รแบบผสานวิธี 365 แบบท่ี 5 เป็นแบบการประเมินหลักสูตรท่ีมีความซับซ้อนมากกว่า แบบท่ี 1 – 4 กล่าวคือ มีกรอบแนวคิดเชิงทฤษฎีท่ีใช้สาหรับการประเมิน สอดคล้อง กับการประเมินท่ีเน้นทฤษฎี (Theory–based evaluation) คือการดาเนินกิจกรรม การประเมินท่ีนาทฤษฎีตา่ งๆ ทีเ่ ก่ยี วข้องมาใชใ้ นการประเมนิ ในการติดตามลาดับความ เชอื่ มโยงจากปจั จัยนาเข้าและกจิ กรรมตา่ งๆ สู่ผลลัพธ์ของโปรแกรมหรือโครงการ โดยมี รากฐานทางทฤษฎีท่ีเกี่ยวข้องมาระบุองค์ประกอบและความสัมพันธ์ขององค์ประกอบ ต่างๆ เหล่านั้น (identify the program elements and their coherence) เพื่อ ให้ผลการประเมินมีความถูกต้อง และเป็นท่ียอมรับและนาไปสู่การปรับปรุงและพัฒนา หลักสูตรให้มีคุณภาพมากขึ้น รวมทั้งยังช่วยขยายองค์ความรู้ให้มีความทันสมัยและ สอดคล้องกับองค์ความรู้ในสาขาวิชาอื่นๆ (ราชบัณฑิตยสถาน. 2555, Cojocaru. 2009: online) แบบการประเมินแบบท่ี 5 แบ่งเป็น 2 แบบย่อย คือ แบบ 5.1 ใช้วิธีการ เก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณก่อน ได้ข้อสรุปเชิงปริมาณเป็นอย่างไร จึงดาเนินการเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพที่สอดค ล้องกับข้อสรุป เชิงปรมิ าณภายหลังเพื่อตอบคาถามการประเมิน แบบ 5.2 ใช้วิธีการเก็บรวบรวมและ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพก่อน ได้ข้อสรุปเชิงปริมาณเป็นอย่างไร แล้วจึงดาเนินการ เก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณท่ีสอดคล้องกับข้อสรุปเชิงคุณภาพภายหลัง เพ่ือตอบคาถามการประเมิน โดยที่การเก็บรวบรวมข้อมูลในแบบที่ 5 จะดาเนินการ พร้อมกันหรอื สลบั กนั ก็ได้ แสดงได้ดงั แผนภาพต่อไปน้ี

366 บทท่ี 9 การประเมินหลักสูตรแบบผสานวธิ ี กรอบแนวคิดเชิงทฤษฎีทีใ่ ช้สาหรบั การประเมนิ (Theoretical – based conceptual framework) แบบท่ี 5.1 แบบที่ 5.2 คาถามการประเมนิ คาถามการประเมิน การเกบ็ รวบรวม การเกบ็ รวบรวม และวเิ คราะห์ข้อมลู เชิงปริมาณ และวเิ คราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ การสรปุ ผลการวิเคราะห์ข้อมูล การสรปุ ผลการวเิ คราะห์ข้อมูล เชิงปรมิ าณ เชงิ คุณภาพ การเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล การเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล เชงิ คุณภาพทส่ี ืบเนื่องมาจาก เชิงปรมิ าณท่ีสบื เน่ืองมาจาก ผลการวเิ คราะหข์ ้อมูลเชงิ ปริมาณ ผลการวิเคราะห์ข้อมูลเชงิ คุณภาพ การแปลความหมายและลงสรุปผล การแปลความหมายและลงสรุปผล เพือ่ ตอบคาถามการประเมนิ เพอ่ื ตอบคาถามการประเมนิ แผนภาพ 45 กรอบความคดิ ของการประเมินหลกั สูตรแบบผสานวิธี แบบที่ 5

บทท่ี 9 การประเมนิ หลกั สตู รแบบผสานวิธี 367 ตั ว อ ย่ า ง ก า ร ป ร ะ เ มิ น ต า ม ก ร อ บ ค ว า ม คิ ด ก า ร ป ร ะ เ มิ น ห ลั ก สู ต ร แบบผสานวธิ ี แบบท่ี 5 สมมติสถานการณ์การประเมินคุณภาพของผู้เรียนตามอัตลักษณ์และ เอกลักษณ์ของสถานศึกษาซึ่งมีกรอบแนวคิดเชิงทฤษฎีท่ีสังเคราะห์จากผลการวิจัย ต่างๆ ดงั แผนภาพต่อไปน้ี (วชิ ัย วงษ์ใหญ่ และมารุต พัฒผล. 2555) แผนภาพ 46 กรอบความคิดของปจั จัยท่สี ง่ ผลต่อคุณภาพของผ้เู รียน จากแผนภาพสะท้อนให้เห็นชัดเจนว่าภาวะผู้นาทางวิชาการของผู้บริหาร ส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพผู้เรียน และส่งผลทางอ้อมผ่านครู ในขณะที่คุณภาพของครู ได้แก่ ความรักในการสอน รักผู้เรียน มีความรู้ มีวิธีการสอน มีการประเมินผลที่เสริม พลังตามสภาพจรงิ การดแู ลชว่ ยเหลือผเู้ รียน และการมีความยุติธรรม ส่งผลทางตรงต่อ คุณภาพผู้เรียน จากกรอบแนวคิดเชิงทฤษฎีข้างต้น สามารถนามาใช้เป็นกรอบแนวคิด เชงิ ทฤษฎสี าหรับการประเมินแบบผสานวิธี ดังตัวอยา่ งต่อไปน้ี

368 บทที่ 9 การประเมนิ หลกั สตู รแบบผสานวธิ ี กรอบแนวคดิ เชงิ ทฤษฎกี ารพัฒนาคณุ ภาพผ้เู รียนตามอตั ลกั ษณแ์ ละเอกลกั ษณข์ องสถานศกึ ษา แบบท่ี 5.1 แบบที่ 5.2 - ผูบ้ รหิ ารและผู้สอนมคี ุณลกั ษณะตามกรอบ - ผบู้ ริหารและผ้สู อนมคี ุณลกั ษณะตามกรอบ แนวคดิ เชงิ ทฤษฎกี ารพัฒนาคณุ ภาพผ้เู รยี น แนวคดิ เชิงทฤษฎีการพฒั นาคณุ ภาพผเู้ รยี น หรือไม่ หรือไม่ - ผู้เรียนมีคณุ ภาพตามอตั ลักษณแ์ ละเอกลักษณ์ - ผู้เรียนมีคณุ ภาพตามอตั ลกั ษณแ์ ละเอกลักษณ์ หรอื ไม่ หรือไม่ ประเมนิ คณุ ลกั ษณะของผูบ้ รหิ ารและผสู้ อน สัมภาษณผ์ ้เู รยี นเก่ียวกบั คณุ ลกั ษณะ และคณุ ภาพผเู้ รยี นดา้ นอัตลักษณ์ ของผู้บรหิ าร ผสู้ อน และสงั เกตพฤติกรรม ท่ีสะทอ้ นอัตลักษณ์และเอกลักษณ์ และเอกลักษณต์ ามกรอบแนวคดิ เชงิ ทฤษฎี ของผเู้ รียน ตามกรอบแนวคิดเชงิ ทฤษฎี โดยใชเ้ กณฑก์ ารให้คะแนน จากการประเมนิ ตนเองและเพอ่ื นประเมิน การสรปุ ผลการวิเคราะหข์ อ้ มูลเชิงปรมิ าณ การสรปุ ผลการวิเคราะห์ขอ้ มูลเชงิ คุณภาพ สัมภาษณผ์ ู้เรยี นเกยี่ วกับคณุ ลักษณะ ประเมินคุณลักษณะของผู้บริหาร ผ้สู อน และ ของผบู้ รหิ ารและผสู้ อน ตามกรอบแนวคดิ คุณภาพผู้เรยี นด้านอตั ลักษณ์และเอกลักษณ์ เชงิ ทฤษฎี และสังเกตพฤติกรรมที่สะท้อน ตามกรอบแนวคดิ เชงิ ทฤษฎี โดยนาข้อสรปุ อตั ลักษณแ์ ละเอกลกั ษณ์ของผเู้ รยี น เชงิ คณุ ภาพมาเป็นฐานของการประเมนิ ในประเด็นท่ีน่าสนใจจากขอ้ สรปุ เชิงปรมิ าณ เชงิ ปริมาณ โดยใช้เกณฑ์การให้คะแนน จากการประเมินตนเองและเพือ่ นประเมิน แปลความหมายและลงสรุป แปลความหมายและลงสรุป ผลการประเมินทัง้ เชิงปรมิ าณและเชงิ คุณภาพ ผลการประเมนิ ทง้ั เชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ตามเกณฑ์ทีก่ าหนด ตามเกณฑท์ ก่ี าหนด แผนภาพ 47 ตวั อย่างกรอบความคิดของการประเมินหลักสูตรแบบผสานวิธี แบบที่ 5

บทที่ 9 การประเมินหลกั สตู รแบบผสานวิธี 369 แบบท่ี 6 ใช้วิธีการเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณและ คุณภาพเป็นช่วงระยะเวลา (phase) ซ่ึงในแต่ละช่วงเวลาสามารถใช้วิธีการแบบที่ 1 – 5 ได้อย่างหลากหลายโดยที่ผลการประเมินจะถูกนาไปใช้ในการพัฒนา (develop) และ/หรือ ปรับปรุง (improve) หลักสูตรในแต่ละระยะต่อเน่ืองกันไป เพ่ือการบรรลวุ ัตถปุ ระสงค์ของหลกั สูตร การประเมิน คาถามการประเมิน การเก็บรวบรวมและวเิ คราะห์ขอ้ มูล ระยะท่ี 1 เชิงปริมาณ และ / หรอื ขอ้ มูลเชงิ คุณภาพ การสรปุ ผลและนาไปใช้ ในการพฒั นา / ปรับปรงุ หลักสตู ร การประเมนิ คาถามการประเมิน การเก็บรวบรวมและวเิ คราะห์ขอ้ มลู ระยะท่ี 2 เชงิ ปริมาณ และ / หรือ ขอ้ มลู เชิงคุณภาพ การสรุปผลและนาไปใช้ ในการพฒั นา / ปรับปรุงหลกั สตู ร การประเมนิ คาถามการประเมิน การเกบ็ รวบรวมและวิเคราะหข์ ้อมลู ระยะท่ี ... เชิงปริมาณ และ / หรือ ขอ้ มลู เชงิ คณุ ภาพ การสรปุ ผลและนาไปใช้ ในการพัฒนา / ปรับปรงุ หลกั สตู ร แผนภาพ 48 กรอบความคดิ ของการประเมนิ หลกั สตู รแบบผสานวิธี แบบที่ 6

370 บทที่ 9 การประเมนิ หลักสูตรแบบผสานวิธี ตั ว อ ย่ า ง ก า ร ป ร ะ เ มิ น ต า ม ก ร อ บ ค ว า ม คิ ด ก า ร ป ร ะ เ มิ น ห ลั ก สู ต ร แบบผสานวธิ ี แบบที่ 6 การประเมิน ผ้เู รยี นต้องมี สังเคราะหเ์ อกสารงานวิจัยต่างๆ ระยะที่ 1 สมรรถนะการคิด สมั ภาษณ์ผเู้ ชีย่ วชาญ ที่สาคัญจาเป็น สารวจความคิดเห็นของผูป้ ระกอบการภาคธรุ กจิ ดา้ นใดบา้ ง เพอื่ ดารงชีวติ สรุปผลและนามาพฒั นาหลกั สตู รฝึกอบรมผสู้ อน และการทางาน เพ่อื ใหม้ ีความรคู้ วามสามารถในการจัดการเรยี นรู้ ท่เี สรมิ สรา้ งสมรรถนะดา้ นการคิดของผเู้ รียน การประเมิน หลักสูตร สอบถามและสัมภาษณ์ผู้สอนที่เข้ารับการฝกึ อบรม ระยะท่ี 2 ท่ีดาเนินการใช้ มปี ระสทิ ธภิ าพ สงั เกตกระบวนการและกจิ กรรมการฝกึ อบรม หรือไม่ การประเมิน หลักสตู ร ทดสอบความรู้ และประเมินความสามารถ ระยะท่ี 3 ที่ดาเนินการใช้ มีประสทิ ธิผล ของผู้สอนในการจัดการเรียนรู้ท่ีเสรมิ สรา้ ง หรอื ไม่ สมรรถนะด้านการคิดของผ้เู รยี น ประเมินสมรรถนะด้านการคดิ ของผู้เรยี น แผนภาพ 49 ตวั อย่างกรอบความคิดของการประเมินหลักสตู รแบบผสานวิธี แบบที่ 6

บทท่ี 9 การประเมินหลกั สตู รแบบผสานวธิ ี 371 9.4 กลยทุ ธก์ ารประเมินหลักสตู รแบบผสานวธิ ี ก า ร ป ร ะ เ มิ น ห ลั ก สู ต ร แ บ บ ผ ส า น วิ ธี มี ก ล ยุ ท ธ์ ก า ร ป ร ะ เ มิ น เ ก่ี ย ว กั บ การออกแบบการประเมิน และการวเิ คราะห์ข้อมลู ตามลาดบั มสี าระสาคัญดงั ตอ่ ไปนี้ 1. เลอื กวธิ ีการประเมินท้งั เชงิ ปริมาณและเชิงคุณภาพที่ตอบสนอง วัตถุประสงค์ของการประเมินหลักสูตร และเป็นวิธีการท่ีมีประสิทธิภาพ ก่อให้เกิด ประโยชน์ต่อการประเมินสูงสุด โดยใช้ทรัพยากรไม่ว่าจะเป็นบุคลากร เวลา งบประมาณ อย่างคุ้มค่า ส่งผลทาให้สามารถตอบคาถามของการประเมินหลักสูตร ไดอ้ ย่างครบถ้วนและถกู ตอ้ ง 2. เลือกเทคนิควิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลในการประเมินหลักสูตร ที่สามารถตอบคาถามการประเมินหลักสูตรได้อย่างลึกซึ้งมากย่ิงขึ้น เช่น การใช้การ สัมภาษณ์เชิงลึกถึงปรากฏการณ์ท่ีน่าสนใจว่าเกิดข้ึนอย่างไร เพราะเหตุใดจึงเกิด ปรากฏการณ์นนั้ เป็นตน้ 3. ตรวจสอบวัตถุประสงค์ของการประเมินหลักสูตรและวิธีการ ประเมิน เพ่ือให้มั่นใจว่าสามารถตอบคาถามการประเมินได้อย่างครอบคลุม ซ่ึงถือว่า เป็นพนื้ ฐานการออกแบบการประเมินหลักสูตร จากนั้นจึงดาเนินการสร้างเคร่ืองมือที่ใช้ ในการเกบ็ รวบรวมข้อมลู ต่อไป 4. ออกแบบการวิเคราะห์ข้อมูลให้มีความสอดคล้องกับวิธีการ เก็บรวบรวมข้อมลู 5. ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลด้วยวิธีการตรวจสอบสามเส้า (triangulation) เพ่ือให้ม่ันใจว่าข้อมูลเชิงคุณภาพที่นามาใช้ในการวิเคราะห์เพ่ือ ประเมินหลักสูตรมคี วามถูกตอ้ ง

372 บทที่ 9 การประเมินหลักสตู รแบบผสานวธิ ี 6. คัดเลือกคณะกรรมการการประเมินหลักสูตรท่ีมีความรู้ ความสามารถและมีประสบการณ์ท่ีเกี่ยวข้องกับหลักสูตรที่ประเมิน ซึ่งทาให้มองภาพ ของหลักสูตรได้ชัดเจนและสามารถให้ขอ้ เสนอแนะในการปรับปรุงหลักสูตรได้อย่างเป็น รูปธรรม ในเร่ืองของการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลนั้น ศาสตราจารย์ ดร.สุภางค์ จนั ทวานชิ ไดร้ ะบุวิธีการตรวจสอบสามเสา้ ในการวิจัยเชิงคุณภาพไว้ 4 วิธี ซ่ึงสามารถนามาปรับใช้กับการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลในการประเมิน หลกั สตู ร ดังนี้ (สภุ างค์ จนั ทวานิช. 2553: 128 – 130) 1) การตรวจสอบสามเส้าด้านข้อมูล (data triangulation) เป็น การตรวจสอบว่าข้อมูลท่ีได้มานั้นถูกต้องหรือไม่ วิธีการตรวจสอบ ทาได้โดยการ ตรวจสอบแหล่งของข้อมูล โดยแหล่งที่จะพิจารณาในการตรวจสอบ ได้แก่ ก) แหล่ง เวลา หมายถึง ถ้าข้อมูลต่างเวลากันจะเหมือนกันหรือไม่ ข) แหล่งสถานที่ หมายถึง โดยถ้าข้อมูลตา่ งสถานที่กนั จะเหมอื นกนั หรือไม่ ค) แหล่งบคุ คล หมายถึง ถ้าบุคคลผู้ให้ ขอ้ มูลเปลยี่ นไปแลว้ ข้อมลู จะเหมือนเดมิ หรือไม่ 2) การตรวจสอบสามเส้าด้านผู้เก็บรวบรวมข้อมูล (investigator triangulation) เปน็ การตรวจสอบวา่ ผเู้ ก็บรวบรวมขอ้ มูลแต่ละคนได้ข้อมูลในประเด็น เดยี วกนั อย่างสอดคลอ้ งกันหรอื ไม่ 3) การตรวจสอบสามเส้าด้านทฤษฎี (theory triangulation) เป็นการตรวจสอบวา่ ถา้ ใช้แนวคิดทฤษฎที ต่ี า่ งไปจากเดมิ แลว้ จะทาให้การตีความข้อมูล แตกตา่ งกันหรือไม่ อยา่ งไร 4) การตรวจสอบสามเส้าด้านวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล (methodological triangulation) เป็นการใช้วิธีเก็บรวบรวมข้อมูลต่างๆ กันเพ่ือ รวบรวมขอ้ มูลเรอ่ื งเดยี วกัน

บทท่ี 9 การประเมนิ หลกั สตู รแบบผสานวธิ ี 373 9.5 วธิ กี ารและเครอ่ื งมือเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลสาหรับการประเมนิ หลกั สตู รแบบผสานวธิ ี วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลสาหรับการประเมินหลักสูตรมีหลายวิธีการ คณะกรรมการประเมินหลักสูตรควรเลือกใช้วธิ ีการท่ีเหมาะสมในการเก็บรวบรวมข้อมูล ซ่ึงโดยทั่วไปจะใชว้ ิธีการหลายๆ วธิ ี เพือ่ ใหไ้ ด้ข้อมูลสารสนเทศทีค่ รอบคลุมประเด็นและ คาถามการประเมนิ โดยท่วี ิธกี ารเก็บรวบรวมขอ้ มลู สาหรับการประเมินหลักสูตรที่ใช้กัน โดยทัว่ ไป คือ การสอบถาม การสัมภาษณ์ การสังเกต มีสาระสาคัญโดยสรุปดงั นี้ การสอบถาม เป็นวิธีการท่ีใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลในการประเมินหลักสูตร ที่ใช้ได้ง่ายและรวดเร็ว ประเด็นการสอบถามน้ันสามารถถามได้ทั้งสิ่งท่ีเป็นข้อเท็จจริง และความคิดเห็นด้านต่างๆ เครื่องมือที่ใช้ในการสอบถามข้อมูล คือ แบบสอบถาม ประกอบดว้ ยขอ้ คาถามและส่วนทีเ่ ปน็ คาตอบ ชนดิ ของแบบสอบถาม 1. แบบสอบถามปลายปิด เป็นแบบสอบถามที่กาหนดคาตอบ ใหผ้ ู้ตอบเลือกตอบคาถามตามขอบเขตทก่ี าหนดให้ 2. แบบสอบถามปลายเปิด เป็นแบบสอบถามท่ีให้ผู้ตอบสามารถ ตอบคาถามได้โดยอิสระ 3. แบบสอบถามแบบผสมผสาน เป็นแบบสอบถามท่ีผสมผสานกัน ระหว่างแบบสอบถามปลายเปดิ และแบบสอบถามปลายปดิ ข้อดีของแบบสอบถาม 1. สรา้ งได้งา่ ย สะดวก รวดเร็ว 2. วเิ คราะห์คาตอบไดง้ า่ ย 3. เกบ็ ขอ้ มลู ได้จานวนมากในเวลาอนั รวดเร็ว

374 บทท่ี 9 การประเมินหลักสูตรแบบผสานวธิ ี ขอ้ จากดั ของแบบสอบถาม 1. ใช้ไดก้ บั ผูท้ ่ีสามารถอ่านออกเขียนได้ 2. ไม่สามารถถามประเด็นอ่นื ที่นอกเหนือจากข้อคาถามที่กาหนด การสัมภาษณ์ เป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลท่ีผู้สัมภาษณ์ถามข้อมูลท่ีต้องการกับผู้ให้ สัมภาษณ์ การสัมภาษณ์ แบ่งเป็น 3 ประเภท ได้แก่ การสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง การสัมภาษณ์แบบไมม่ โี ครงสรา้ ง และการสัมภาษณแ์ บบก่งึ โครงสร้าง สว่ นประกอบของแบบสมั ภาษณ์ 1. สว่ นแรกเปน็ สว่ นบนั ทกึ ขอ้ มูลเกย่ี วกบั การสมั ภาษณ์ 2. ส่วนทีส่ อง เปน็ ส่วนบนั ทกึ ข้อมลู ส่วนบคุ คลของผใู้ ห้สัมภาษณ์ 3. ส่วนทีส่ าม เป็นสว่ นขอ้ คาถามและคาตอบของการสัมภาษณ์ หลกั การสมั ภาษณ์ 1. การเตรียมตัวสัมภาษณ์ 2. ทาความเข้าใจวัตถุประสงค์ของการสมั ภาษณ์ให้ชดั เจน 3. นดั หมายวนั เวลา สถานทส่ี มั ภาษณล์ ่วงหน้า 4. เตรียมแบบสมั ภาษณ์ไวล้ ว่ งหน้าใหเ้ รยี บร้อย 5. ซกั ซอ้ มการต้ังคาถามรวมทั้งการจดบนั ทึกข้อมูลลว่ งหนา้ ขอ้ ดีของการสัมภาษณ์ 1. ใช้เกบ็ รวบรวมขอ้ มลู จากกลุ่มตวั อย่างทกุ วยั ทีส่ ามารถสอ่ื สารได้ 2. สามารถปรับคาถามให้เขา้ ใจได้ง่ายข้นึ ได้ทันทีที่เกบ็ ข้อมลู 3. ผใู้ ห้สมั ภาษณจ์ ะให้ความรว่ มมือมากกว่าวธิ กี ารส่งแบบสอบถาม ขอ้ จากัดของการสมั ภาษณ์ 1. ต้องใช้เวลาในการเก็บรวบรวมขอ้ มลู มาก 2. การสมั ภาษณ์ตอ้ งใช้คา่ ใชจ้ ่ายมากเกย่ี วกับการเดินทาง

บทท่ี 9 การประเมินหลกั สตู รแบบผสานวธิ ี 375 การสังเกต การสังเกตเป็นวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลที่ผู้สังเกตการณ์ใช้ประสาท สมั ผัสทงั้ 5 เก็บรวบรวมข้อมูล เกีย่ วกบั เหตกุ ารณ์ ปรากฏการณ์ต่างๆ ประเภทของการสังเกต 1. การสงั เกตทางตรง เป็นการสงั เกตที่ผู้สงั เกตอยใู่ นเหตุการณ์ 2. การสังเกตทางอ้อม เป็นการสังเกตท่ีผู้สังเกต ไม่ได้อยู่ใน เหตุการณ์โดยตรง แตจ่ ะสงั เกตจากสิง่ ทถี่ ูกบนั ทึกมา เช่น ภาพถ่าย เทปบนั ทึกภาพ วธิ กี ารสงั เกต 1. การสังเกตแบบมีส่วนร่วม เป็นการสังเกตท่ีผู้สังเกตมีสถานภาพ หรือบทบาทเปน็ สมาชกิ คนหนึ่งของกลุ่มบุคคลท่ีกาลังสงั เกต 2. การสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วมเป็นการสังเกตท่ีผู้สังเกตไม่ได้มี สถานภาพเป็นสมาชกิ ของกลุม่ บคุ คลท่ีกาลงั สงั เกต หลักการสงั เกต 1. มีเปา้ หมายและระบุพฤติกรรมท่ีจะสงั เกตให้ชัดเจน 2. ดาเนินการสงั เกตดว้ ยความละเอียดถ่ีถว้ น 3. บนั ทึกผลการสงั เกตภายหลงั การสงั เกตโดยไม่เวน้ ช่วงระยะเวลา ไวน้ านเนือ่ งจากอาจลืม รายละเอยี ดทส่ี าคญั 4. พยายามสงั เกตให้ได้ข้อมลู จานวนมาก 5. บางประเดน็ อาจจะต้องสงั เกตหลายครัง้ จงึ ได้ข้อมูลจรงิ 6. กาหนดระยะเวลาในการสังเกตใหแ้ นน่ อน 7. วางตัวเปน็ กลางไมล่ าเอียงในการสังเกต คณุ สมบตั ขิ องผ้สู ังเกตท่ีดี 1. มคี วามไวตอ่ การรบั รแู้ ละสื่อความหมาย 2. มีความรใู้ นเรอื่ งท่ีสงั เกตเป็นอยา่ งดี 3. แปลความหมายของสิ่งทีส่ งั เกตได้อยา่ งถูกตอ้ ง