Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การประเมินหลักสูตรเพื่อการเรียนรู้และพัฒนา พิมพ์ครั้งที่ 4_1544650950

การประเมินหลักสูตรเพื่อการเรียนรู้และพัฒนา พิมพ์ครั้งที่ 4_1544650950

Published by ปาริชาติ ปิติพัฒน์, 2019-10-19 23:24:34

Description: การประเมินหลักสูตรเพื่อการเรียนรู้และพัฒนา พิมพ์ครั้งที่ 4_1544650950

Search

Read the Text Version

426 บทที่ 11 การเรียนรู้ผลการประเมินหลักสตู รท่ีนาไปสูก่ ารปรบั ปรุงและเปลย่ี นแปลง 11.3 การถอดบทเรียน การถอดบทเรียน (lesson learned) เป็นกระบวนการสร้างองค์ความรู้ ของผู้ปฏิบัติงานบนพ้ืนฐานข้อมูลเชิงประจักษ์ ประสบการณ์ตรง นาไปสู่การปรับปรุง และพัฒนางานให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากขึ้น คาว่า “บทเรียน” หมายถึง ความรทู้ ไี่ ดร้ บั จากการลงมอื ปฏบิ ัตงิ านจรงิ จนเกิดประสบการณส์ ว่ นบคุ คล การถอดบทเรียนมีกระบวนการสาคัญ 3 ขั้นตอน ดังน้ี 1. เลอื กประเด็นการถอดบทเรียน ซ่ึงเป็นประเด็นท่ีเก่ียวข้องกับการ ปฏบิ ัติงานที่กาลงั ดาเนนิ การอยู่หรือเสรจ็ สิน้ การดาเนินการแลว้ 2. แสวงหาข้อมูลเชิงประจักษ์ที่เกี่ยวข้องกับประเด็นการถอด บทเรียน โดยใช้วิธกี ารต่างๆ เช่น สุนทรยี สนทนา การทบทวนหลงั การปฏบิ ัติ เป็นต้น 3. วิเคราะห์ข้อมูลเชิงประจักษ์และสรุปบทเรียนหรือความรู้ ทน่ี าไปสู่การกาหนดข้อเสนอแนะหรือแนวทางการปรับปรุงและพัฒนางาน ซึ่งบทเรียน หรือความรู้ท่ีได้จากการถอดบทเรียน จะนาไปสู่การปรับปรุงและพัฒนางานให้มี ประสิทธิภาพและประสิทธิผลตลอดจนสอดคล้องกับบริบทและวฒั นธรรมองคก์ รต่อไป การถอดบทเรยี นมหี ลายวิธีการซึ่งแต่ละองค์กรสามารถนาไปประยุกต์ใช้ใน การถอดบทเรยี นได้อย่างหลากหลาย โดยท่ีวิธกี ารถอดบทเรียนที่นยิ มใช้มีดังตอ่ ไปน้ี การใช้สุนทรยี สนทนา (Dialogue) สุนทรียสนทนาเป็นการสนทนาที่นาไปสู่การเรียนรู้ใหม่ๆ การคิด วเิ คราะห์ถงึ สาเหตปุ ัจจัยตา่ งๆ ทสี่ ่งผลตอ่ ปรสิ ทิ ธภิ าพของการปฏิบัติงาน อีกท้ังยังทาให้ เกิดการเปลี่ยนแปลงจากภายใน (transformative learning) โดยการพูดคุย แลกเปล่ียนความรู้ ประสบการณ์ ความคิดของตนเองให้กับเพื่อนร่วมงานด้วยความ รบั ผดิ ชอบและซื่อสตั ย์ตอ่ สิ่งทไ่ี ดน้ ามาแลกเปล่ยี นกับเพอ่ื นรว่ มงาน

บทที่ 11 การเรยี นร้ผู ลการประเมนิ หลกั สตู รทน่ี าไปสู่การปรบั ปรุงและเปลย่ี นแปลง 427 สนุ ทรียสนทนาให้ความสาคัญอย่างยิ่งกับการพูดความจริง พูดตรง กับความคิดและความรู้สึกของตนเอง ซึ่งการพูดตรงกับข้อเท็จจริงรวมทั้งอารมณ์ ความรสู้ ึกจะทาให้กลุ่มเกิดการเรยี นรูไ้ ด้อย่างมปี ระสิทธิภาพ สาหรบั ผฟู้ ังจะตอ้ งใช้การฟังอย่างลกึ ซึ้ง (deep listening) หรือการ ฟังอย่างต้ังใจ ฟังให้ได้ยิน ฟังด้วยใจอย่างใคร่ครวญ โดยไม่ด่วนสวนกลับ ไม่ด่วนสรุป และห้อยแขวนการตัดสินใจ ช่วยทาใหไ้ ด้เรยี นรจู้ ากเพอ่ื นไดม้ ากขึ้น การใชส้ ุนทรยี สนทนามีหลักการโดยทว่ั ไปดงั น้ี 1. กาหนดประเดน็ การสนทนาโดยไม่ต้องกาหนดผลลัพธ์ของการ สนทนาไวล้ ่วงหนา้ และไมก่ าหนดเวลาการสนทนาอย่างเข้มงวด 2. สร้างบรรยากาศท่ีผ่อนคลาย เป็นกัลยาณมิตร มีความ ปลอดภัย ทกุ คนท่เี ข้าร่วมการสนทนามเี สรภี าพในการพูดหรือไม่พดู ก็ได้ 3. ซอื่ สัตย์ต่อความคิด ความรู้สึก และประสบการณ์ของตนเอง ในระหว่างการสนทนา หมายความว่าจะต้องพูดให้ตรงกับความคิด ความรู้สึก และประสบการณจ์ รงิ ของตนเอง 4. ใช้การรับฟังอย่างต้ังใจ ฟังด้วยใจท่ีไม่มีอคติ ฟังให้ได้ยิน เอาใจเขามาใสใ่ จเราและห้อยแขวนการตดั สินใจ 5. เคารพศักด์ิศรีความเป็นมนุษย์ของผู้ร่วมการสนทนาทุกคน อยา่ งเท่าเทียมกนั การทบทวนการปฏิบัติ (Action Review: AR) การทบทวนหลังการปฏิบัติเป็นการตรวจสอบประเด็นสาคัญต่างๆ ท่ีเก่ียวข้องกับการปฏิบัติงาน ท้ังก่อน ระหว่างและหลังการปฏิบัติ เพ่ือทาให้การ ปฏิบัตงิ านมีประสทิ ธภิ าพและประสิทธผิ ลมากข้ึน การทบทวนก่อนการปฏิบัติ (Before Action Review: BAR) ช่วยใหก้ ารปฏิบัติงานเป็นไปตามแผนท่ีกาหนดไว้ ปูองกันปัญหาท่ีอาจจะเกิดข้ึน อีกท้ัง ยงั ชว่ ยบรู ณาการงานตา่ งๆ ได้อกี ด้วย

428 บทที่ 11 การเรยี นรูผ้ ลการประเมินหลักสตู รทีน่ าไปส่กู ารปรบั ปรงุ และเปลี่ยนแปลง การทบทวนระหว่างการปฏิบัติ (During Action Review: DAR) ชว่ ยทาให้การปฏิบตั งิ านเป็นไปตามแผนและมีคณุ ภาพอย่างตอ่ เนื่อง การทบทวนหลังการปฏิบัติ (After Action Review: AAR) ช่วยทาให้ทราบระดบั ความสาเร็จของการปฏิบัติงาน รวมท้ังเหตุปัจจัยสนับสนุน ปัจจัย ที่เป็นขอ้ จากดั ตา่ งๆ 11.4 การสงั เคราะห์ความร้ทู ไ่ี ด้จากการถอดบทเรียน โดยปกติแล้วการถอดบทเรียนจะทาให้ได้ความรู้ที่เก่ียวข้องกับการ ปฏิบัติงาน มีลกั ษณะเป็นความรู้ท่ีเกิดจากประสบการณ์การปฏิบัติ อาจมีความกระจัด กระจาย ยังไม่เป็นระบบ ดังนั้นการจะใช้ความรู้จากการถอดบทเรียนจาเป็นต้อง ด า เ นิ น ก า ร สั ง เ ค ร า ะ ห์ แ ล ะ จั ด ร ะ บ บ ค ว า ม รู้ เ ห ล่ า นั้ น ใ ห้ มี ค ว า ม แ ข็ ง แ ก ร่ ง (strengthen) มากย่ิงขึ้น นอกจากนี้การสังเคราะห์ความรู้จากการถอดบทเรียน จนกระทั่ง ได้แก่นของความรู้ (concept) ทาให้สามารถนาไปประยุกต์ใช้พัฒนางาน ไดอ้ ยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ การสังเคราะห์ความรู้จากการถอดบทเรียน อาศัยกระบวนการสร้าง ข้อสรุปแบบอุปนัย (induction) เป็นสาคัญ โดยมีสารสนเทศจากการถอดบทเรียน ที่เป็นความรู้ต่างๆ อย่างเพียงพอ เช่น ปัจจัยที่ทาให้การทางานประสบความสาเร็จ แนวทางการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าในการปฏิบัติงาน วิธีการดารงรักษาคุณภาพของ การทางาน วิธีการประเมินผลการปฏิบัติงาน เป็นต้น ซึ่งการกาหนดประเด็นของการ สังเคราะห์ และการดาเนินการสังเคราะห์ความรู้นี้จะเป็นตัวชี้วัดว่าจะได้ความรู้ตามที่ ต้องการหรือไม่ ดังน้ันจึงเป็นส่ิงที่สาคัญมากท่ีสมาชิกทุกคนควรมีส่วนร่วมในการ ดาเนินการ

บทท่ี 11 การเรยี นรผู้ ลการประเมนิ หลกั สตู รท่ีนาไปส่กู ารปรบั ปรงุ และเปลยี่ นแปลง 429 ขั้นตอนการสังเคราะห์ความรู้จากการถอดบทเรยี น มดี งั ต่อไปนี้ 1. การรวบรวมความรยู้ อ่ ยต่างๆ จากการถอดบทเรียน 2. การกาหนดประเดน็ การสงั เคราะห์ความร้ยู อ่ ยต่างๆ 3. การจัดกลุ่มความรู้ยอ่ ยตา่ งๆ เป็นหมวดหม่ตู ามประเดน็ การสงั เคราะห์ 4. การสรา้ งข้อสรุปความรใู้ นแต่ละประเดน็ ของการสงั เคราะห์ 5. การเชื่อมโยงขอ้ สรปุ ความรตู้ า่ งๆ ในแต่ละประเด็นของการสงั เคราะห์ 6. การตรวจสอบความถกู ต้องของข้อสรปุ เพ่อื นาไปสกู่ ารปรับปรุงหลักสูตร ขอ้ สรปุ ความรู้ จากการถอดบทเรียน ข้อสรปุ ความรู้ ข้อสรุปความรู้ จากการถอดบทเรียน จากการถอดบทเรยี น 1 ความรู้ย่อย ความรู้ย่อย ความรู้ยอ่ ย ความรู้ยอ่ ย จากการ จากการ จากการ จากการ ถอดบทเรยี น 1 ถอดบทเรียน 2 ถอดบทเรยี น 3 ถอดบทเรยี น … ผลการประเมินหลกั สูตรประเด็นต่างๆ แผนภาพ 62 แนวคดิ การสังเคราะห์ความร้ทู ่ีได้จากการถอดบทเรียนผลการประเมนิ หลกั สตู ร

430 บทที่ 11 การเรยี นร้ผู ลการประเมินหลกั สตู รที่นาไปส่กู ารปรบั ปรุงและเปลยี่ นแปลง 11.5 การนาผลการประเมินหลักสูตรไปส่กู ารปรบั ปรุงและพัฒนา ภายหลังดาเนินการจัดทาข้อสรุปความรู้จากการถอดบทเรียนเก่ียวกับผล การประเมินหลักสูตรแล้ว ผู้ที่เก่ียวข้องทุกฝุาย เช่น ผู้บริหาร ผู้สอน ผู้ปกครอง ชุมชน และผู้เรียน ร่วมกันวางแผนและดาเนนิ การพัฒนาปรับปรงุ หรือเปลี่ยนแปลงหลักสูตร ในประเด็นต่างๆ ให้มีคุณภาพมากข้ึนซึ่งมีกระบวนการนาผลการประเมินไปสู่การ ปรบั ปรุงและพัฒนา ดังแผนภาพต่อไปน้ี รบั รูผ้ ลการประเมนิ ปรับปรุงและพัฒนา เรยี นรผู้ ลการประเมนิ เรียนรู้ผลการประเมนิ โดยการถอดบทเรียน ผลการประเมิน สังเคราะห์ผลการถอดบทเรียน แผนภาพ 63 กระบวนการนาผลการประเมนิ หลักสูตรไปสู่การปรบั ปรงุ และพัฒนา

บทท่ี 11 การเรยี นร้ผู ลการประเมนิ หลกั สตู รทีน่ าไปสกู่ ารปรบั ปรงุ และเปลีย่ นแปลง 431 ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับหลักสูตรและการเรียนรู้ผู้เขียนได้คัดเลือกในบาง ประเด็นท่ีสาคัญ โดยได้นาเสนอคาอธิบายเชิงคุณภาพซ่ึงสามารถใช้เป็นเป้าหมาย ของการปรับปรุงเปล่ยี นแปลงหลักสตู รให้มีคณุ ภาพมากข้ึนได้ ดงั ตารางต่อไปนี้ ตาราง 11 คาอธบิ ายเชงิ คุณภาพในประเด็นทเี่ กี่ยวขอ้ งกบั หลักสตู รและการเรียนรู้ ประเด็นทเ่ี กีย่ วข้องกับ คาอธิบายเชิงคุณภาพ หลักสตู รและการเรียนรู้ สาระสาคญั ของหลกั สตู ร ความมุ่งหมาย เน้ือหาสาระ การจัดการเรียนรู้ การวัด และ (curriculum substance) ประเมินผล - ความมุ่งหมายท่ีดี ควรมีความครอบคลุมคุณภาพของ ผเู้ รียนทงั้ ทางด้านการรู้คิด ทักษะ และคุณลักษณะที่สาคัญและ จาเปน็ สาหรบั การดารงชีวิตและการประกอบอาชพี ในอนาคต - สาระสาคญั ของหลักสูตรทดี่ ปี ระกอบดว้ ยความสอดคล้อง กันระหว่าง ความมุ่งหมาย เน้ือหาสาระ การจัดการเรียนรู้ การวัดและประเมินผล นอกจากน้ีเนื้อหาสาระควรมีความ ถูกต้อง เป็นระบบ ต่อเน่ือง เชื่อมโยง สอดคล้องกับระดับ ความสามารถของผู้เรียน ทันสมัย รองรับกับการเปล่ียนแปลง ท่ีจะเกดิ ขึน้ ในอนาคต - การจัดการเรียนรู้ท่ีมีประสิทธิภาพ ควรเป็นการจัดการ เรียนรู้ท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ ผู้เรียนได้รับการพัฒนาเต็มตาม ศักยภาพ ได้เรียนรู้ตามความสนใจและความถนัด โดยใช้ กระบวนการเรียนรู้ต่างๆอย่างหลากหลาย ใช้การถอดบทเรียน และแลกเปล่ยี นเรยี นรู้ - การวดั และประเมินผลที่ดี มุ่งเน้นการประเมินตามสภาพ จริง โดยให้ความสาคญั กบั การพัฒนาผู้เรียนอย่างต่อเนื่อง ท่ีใช้ผู้ ประเมินหลายฝุายใช้วิธีการประเมินหลายวิธี ประเมินหลาย ชว่ งเวลา และสะทอ้ นผลการประเมนิ สกู่ ารพัฒนาผเู้ รียน

432 บทที่ 11 การเรียนรผู้ ลการประเมินหลักสตู รทนี่ าไปสู่การปรบั ปรุงและเปลีย่ นแปลง ตาราง 11 คาอธิบายเชิงคุณภาพในประเด็นทีเ่ กยี่ วข้องกับหลกั สตู รและการเรียนรู้ (ตอ่ ) ประเด็นที่เกยี่ วขอ้ งกบั คาอธบิ ายเชงิ คุณภาพ หลกั สตู รและการเรยี นรู้ คมู่ อื การใชห้ ลกั สตู ร เอกสารต่างๆ ท่ีอธิบายแนวทางหรือวิธีการใช้หลักสูตรต่อ (curriculum guide) ผู้เก่ียวข้อง ได้แก่ ผบู้ ริหาร ผูส้ อน ผู้เรียน ผปู้ กครอง ชุมชน ให้มี ความรู้ความเขา้ ใจเกี่ยวกับหลักสตู รทีถ่ ูกต้องตรงกัน คู่มือการใช้ หลักสตู รควรมีลกั ษณะการเขียนนาเสนอสาระสาคัญต่างๆ อย่าง กระชับชัดเจน ใช้ภาษที่ง่ายต่อการทาความเข้าใจและสามารถ นาไปปฏบิ ตั ิได้จริง การเรยี นร้ทู ี่ผูเ้ รียนเปน็ สาคัญ กระบวนการจัดการเรียนรทู้ ต่ี อบสนองความต้องการ ความสนใจ (child – centered ความถนัด และความแตกต่างระหว่างบุคคลของผู้เรียน โดยใช้ learning) วิธีการท่ีหลากหลาย สอดคล้องกับวิถีชีวิตของผู้เรียน โดยการ ดาเนินการตามแนวทางต่อไปนี้ 1) สร้างโอกาส อานวยความ สะดวก การโค้ช และการจัดการ 2) เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วน ร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้กระบวนการเรียนรู้และการ แลกเปล่ียนเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง 3) จัดกระบวนการเรียนรู้ สอดคล้องกับความสนใจ ความถนัด และความต้องการของ ผเู้ รียน 4) จดั กระบวนการเรียนรู้ที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีการศึกษา ค้นคว้าความรู้ และลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง 5) ใช้วิธีการจัดการ เรียนรู้อย่างหลากหลาย เช่น การปฏิบัติจริง การเรียนรู้จากส่ือ การแลกเปล่ยี นเรียนรู้ 6) ใช้แหล่งการเรียนรู้ต่างๆ มาสนับสนุน กระบวนการเรียนรู้ 7) พัฒนาความรู้ กระบวนการคิด ทักษะ ปฏิบัติ และคุณลักษณะท่ีพึงประสงค์ควบคู่กัน 8) กระตุ้นให้ ผู้เรียนคิดวิเคราะห์และแก้ปัญหา 9) ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ลงมือ ปฏิบัติจริง 10) ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกัน และกัน 11) ส่งเสริมให้ผู้เรียนพัฒนาตนเองด้านต่างๆ อย่าง ต่อเนื่อง 12) ประเมินการเรียนรูต้ ามสภาพจรงิ

บทที่ 11 การเรยี นรผู้ ลการประเมนิ หลกั สตู รที่นาไปสกู่ ารปรับปรงุ และเปล่ยี นแปลง 433 ตาราง 11 คาอธบิ ายเชิงคณุ ภาพในประเดน็ ที่เกี่ยวข้องกบั หลกั สตู รและการเรียนรู้ (ต่อ) ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับ คาอธบิ ายเชงิ คณุ ภาพ หลกั สตู รและการเรียนรู้ การเรียนรโู้ ดยใชว้ จิ ัยเปน็ ฐาน การจัดการเรียนรู้โดยใช้ผลการวิจัยหรือกระบวนการวิจัย (research–based มาสนับสนุนกระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียน สามารถดาเนินการ learning) ได้ 4 ลักษณะ ได้แก่ 1) ผู้สอนนาผลการวิจัยมาออกแบบการ จัดการเรียนรู้ 2) ผู้สอนนาผลการวิจัยมาแลกเปล่ียนเรียนรู้กับ ผู้เรยี น 3) ผู้สอนบูรณาการกระบวนการวจิ ัยในการจัดการเรยี นรู้ และ 4) ผู้เรียนใช้กระบวนการวิจัยในการปฏิบัติกิจกรรมการ เรียนรู้ซึ่งผู้สอนควรมีบทบาทท่ีสาคัญ คือ 1) สร้างบรรยากาศ ของการแสวงหาความรรู้ ่วมกนั 2) สง่ เสรมิ ทกั ษะที่จาเป็นต่อการ วิจัย เช่น การสังเกต การจดบันทึก 3) ส่งเสริมสนับสนุนให้ ผู้เรียนได้ปฏิบัติกิจกรรมการเรียนรู้ ด้วยกระบวนการวิจัยอย่าง ต่อเน่ืองครบถ้วนทุกขั้นตอน 4) ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ทาการวิจัย ในสง่ิ ทผ่ี ้เู รียนสนใจ 5) วางแผนการเรียนรู้ที่เน้นการวิจัยร่วมกับ ผู้เรียน 6) จัดกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีส่งเสริมกระบวนการวิจัย ให้กับผู้เรียน 7) จัดทรัพยากรและแหล่งการเรียนรู้ที่สอดคล้อง กับการวิจัยของผู้เรียน 8) ส่งเสริมให้ผู้เรียนประเมินผลการ เรยี นรู้ของตนเองอยา่ งตอ่ เนอื่ ง

434 บทที่ 11 การเรียนรู้ผลการประเมินหลกั สตู รทีน่ าไปสู่การปรบั ปรงุ และเปล่ยี นแปลง ตาราง 11 คาอธิบายเชิงคณุ ภาพในประเดน็ ท่เี กย่ี วขอ้ งกับหลกั สตู รและการเรียนรู้ (ตอ่ ) ประเดน็ ที่เกี่ยวข้องกบั คาอธิบายเชงิ คุณภาพ หลักสตู รและการเรยี นรู้ การจดั กจิ กรรมและประสบการณ์การเรียนรู้ที่ให้ความสาคัญกับ การจัดการเรียนรู้ ความรู้สึกทางบวกทม่ี ีต่อการเรยี นรขู้ องผ้เู รยี น มแี นวทางต่อไปนี้ ท่เี สริมสร้าง 1) จัดประสบการณ์หรือกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีหลากหลายโดย แสดงถึงความเป็นมิตร ยิ้มแย้ม ให้กาลังใจ และให้คาแนะนา ความสขุ ในการเรียนรู้ เมื่อผู้เรียนต้องการความช่วยเหลือ 2) ช้ีแนะ กากับ ฝึกฝนและ อานวยความสะดวก ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ตามข้ันตอนเพ่ือการ บรรลุวัตถุประสงค์ 3) ให้ความสาคัญกับพฤติกรรมต่างๆ ท่ี ผู้เรียนแสดงออกถึงความไม่เข้าใจ ให้การเสริมแรง และให้ กาลังใจผู้เรียน 4) จัดสถานการณ์การเรียน บรรยากาศ ให้เอื้อ ต่ อ ก า ร เ รี ย น รู้ แ ล ะ แ บ บ ก า ร เ รี ย น รู้ ข อ ง ผู้ เ รี ย น ท่ี มี ค ว า ม หลากหลาย 5) ใชค้ าถามกระต้นุ ใหผ้ เู้ รยี นคดิ วเิ คราะห์ และเพิ่ม แรงบันดาลใจในการเรยี นรเู้ พอ่ื พัฒนาตนเองให้มีความสุขในการ เรียนรู้ 6) จดั การเรยี นรทู้ ี่มคี วามหลากหลาย สอดคล้องกับความ ต้องการและความสนใจของผู้เรียนและปรับกิจกรรมการเรียนรู้ ให้เหมาะกับระดับความสามารถของผู้เรียน 7) ประเมินผลการ เรียนรู้ด้วยวิธีการที่หลากหลาย ใช้ผู้ประเมินหลายฝุาย และ ประเมินหลายช่วงเวลา นาผลการประเมินมาปรับปรุงและ พัฒนาผู้เรยี น

บทท่ี 11 การเรยี นรู้ผลการประเมนิ หลักสตู รทีน่ าไปสู่การปรับปรงุ และเปลีย่ นแปลง 435 ตาราง 11 คาอธบิ ายเชงิ คุณภาพในประเด็นทเี่ ก่ียวขอ้ งกบั หลกั สตู รและการเรียนรู้ (ตอ่ ) ประเดน็ ท่ีเก่ยี วขอ้ งกับ คาอธบิ ายเชิงคุณภาพ หลกั สตู รและการเรียนรู้ การพฒั นาทักษะการรคู้ ดิ กระบวนการจัดกิจกรรมเพ่ือพัฒนากระบวนการเรียนรู้และการ (cognitive development) คิดของผู้เรียนโดยผู้เรียนเป็นผู้ลงมือปฏิบัติตามแนวทาง ดังต่อไปน้ี 1) การจัดการเรียนรู้ตอบสนองความต้องการและ ความสนใจและธรรมชาติของผู้เรียน 2) ใหผ้ ู้เรยี นมีประสบการณ์ การเรียนรู้ท่ีหลากหลาย เช่ือมโยงกับประสบการณ์เดิม สอดคล้องกับวิถีชีวิตของผู้เรียนที่สามารถนาไปใช้ประโยชน์ใน ชีวิตประจาวันอย่างมีความหมาย 3) เริ่มต้นการเรียนรู้จาก ภาพรวมไปสู่ส่วนย่อยโดยใช้กระบวนการคิดอย่างหลากหลาย เช่น การคิดวิเคราะห์ การคิดสังเคราะห์ การคิดแก้ปัญหาอย่าง สร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ การคิดสร้างสรรค์ 4) ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมรอบตัวตลอดจนการจัด บรรยากาศที่เอ้ือต่อการเรียนรู้ท้ังบรรยากาศทางกายภาพ บรรยากาศทางสังคม และบรรยากาศทางจิตวิทยา 5) ผู้เรียนมี เปูาหมายในการเรียนรู้และเรียนรู้บนพ้ืนฐานของความเข้าใ จ ตอบสนองความต้องการและความสนใจของผู้เรียน 6) ผู้เรียนได้ เรียนรู้จากสิ่งที่เป็นรูปธรรมไปสู่นามธรรม ผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วย กระบวนการสบื เสาะแสวงหาความรู้ การเรียนรดู้ ้วยตนเอง ไดล้ ง มือปฏิบัติจริงสอดคล้องกับพัฒนาการทางสติปัญญาของผู้เรียน และมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ นาไปสู่การสรุปอ้างอิงเป็นองค์ ความรู้ 7) ปรบั เปลี่ยนวธิ ีการจดั การเรียนรูใ้ หเ้ หมาะสมกับระดับ ศักยภาพของผู้เรียนแต่ละคนออกมาด้วยวิธีการท่ีหลากหลาย 8) ประเมินผลการเรียนรู้สอดคล้องกับจุดประสงค์ และนาผล การประเมินมาปรับปรงุ และพัฒนาผู้เรียนอยา่ งตอ่ เนือ่ ง

436 บทท่ี 11 การเรียนรูผ้ ลการประเมนิ หลักสตู รทน่ี าไปสู่การปรบั ปรงุ และเปลี่ยนแปลง ตาราง 11 คาอธิบายเชิงคุณภาพในประเดน็ ทีเ่ กย่ี วข้องกับหลกั สูตรและการเรียนรู้ (ต่อ) ประเดน็ ทเี่ กยี่ วขอ้ งกับ คาอธิบายเชงิ คุณภาพ หลักสตู รและการเรียนรู้ ทักษะการเรียนรดู้ ้วยตนเอง ความรู้ ความสามารถของผู้เรียนในการกาหนดเปูาหมายและ (self – learning skills) วิธีการแสวงหาความรู้ในเร่ืองใดเร่ืองหนึ่งอย่างเป็นระบบ เป็น ทักษะท่ีสาคัญในการดารงชีวิตและการประกอบอาชีพของ กระบวนการเรียนรู้ ผู้เรียน โดยผู้เรียนที่มีทักษะการเรียนรู้ด้วยตนเองควรมี (learning process) คุณลักษณะท่ีสาคัญ คือ 1) กาหนดเปูาหมายการเรียนรู้ได้ด้วย ตนเอง 2) กาหนดปัญหาหรือส่ิงท่ีต้องการทราบได้ด้วยตนเอง 3) กาหนดวิธีการศึกษาค้นคว้าเพื่อให้ได้คาตอบได้ด้วยตนเอง 4) ดาเนินการศึกษาค้นคว้าความรู้ได้ด้วยตนเอง 5) ประเมิน ความน่าเชื่อถือของความรู้ที่ศึกษา 6) ค้นคว้าโดยใช้วิธีการ ท่ีเหมาะสม 7) วิเคราะห์และสรุปคาตอบของส่ิงท่ีต้องการทราบ 8) แลกเปลี่ยนเรียนรู้ความรู้ของตนเองกับบุคคลอ่ืน 9) เคารพ ความแตกต่างทางความคิด10) ใช้หลักฐานข้อมูลประกอบการ ตัดสนิ ใจ 11) ค้นควา้ หาความรู้ทต่ี ้องการอยา่ งเป็นระบบ ลาดับขั้นตอนที่ผู้เรียนใช้ในการเรียนรู้ส่ิงต่างๆ อย่างเป็นระบบ กระบวนการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพคือ ผู้เรียนเป็นผู้ลงมือ ป ฏิ บั ติ กิจ กร ร ม ต่ า งๆ จ า กสิ่ งท่ี ง่ า ย ไ ป สู่ สิ่ ง ที่ซั บ ซ้ อ น (complexity) หรือจากสิ่งท่ีเป็นรูปธรรมไปสู่นามธรรม น อ ก จ า ก น้ี ก ร ะ บ ว น ก า ร เ รี ย น รู้ ที่ ดี ยั ง ค ว ร ใ ห้ ผู้ เ รี ย น ล ง มื อ ปฏิบัติการเรียนรู้ด้วยตนเอง มีการถอดบทเรียน และการ แลกเปล่ียนเรียนรู้ร่วมกัน กระบวนการเรียนรู้มีหลายประการ เช่น กระบวนการสร้างความรู้ความเข้าใจ กระบวนการสร้าง ความคิดรวบยอดกระบวนการคิดวิเคราะห์ กระบวนการ แกป้ ัญหา กระบวนการสร้างสรรค์ กระบวนการสร้างทักษะการ ปฏิบัติ กระบวนการสร้างค่านิยม กระบวนการสร้างเจตคติ เป็นต้น

บทท่ี 11 การเรียนรผู้ ลการประเมนิ หลกั สตู รทีน่ าไปสกู่ ารปรบั ปรุงและเปลยี่ นแปลง 437 ตาราง 11 คาอธิบายเชงิ คณุ ภาพในประเดน็ ที่เกย่ี วขอ้ งกับหลักสตู รและการเรยี นรู้ (ตอ่ ) ประเดน็ ทีเ่ กย่ี วขอ้ งกบั คาอธิบายเชงิ คุณภาพ หลกั สตู รและการเรยี นรู้ ประสบการณ์การเรียนรู้ กจิ กรรมท่ผี ู้เรียนมีปฏิสมั พันธก์ บั บคุ คลหรอื ส่ิงแวดล้อมทาให้เกดิ (learning experience) การเรยี นรู้ทั้งด้านการร้คู ดิ ทกั ษะ และเจตคติ ประสบการณ์การ เรียนรู้ท่ีดีควรมีลักษณะสอดคล้องกับจุดมุ่งหมายของหลักสูตร บรรยากาศการเรียนรู้ แ ล ะ ก า ร จั ด ก า ร เ รี ย น รู้ เ ห ม า ะ ส ม กั บ วุ ฒิ ภ า ว ะ แ ล ะ ร ะ ดั บ (learning atmosphere) ความสามารถของผเู้ รียน สามารถพัฒนาความรู้ ทักษะ และเจต คตขิ องผูเ้ รียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขยายโลกทัศน์ของผู้เรียน การสือ่ สารอย่างสรา้ งสรรค์ ใหส้ ามารถดารงชวี ิตและประกอบอาชีพอยา่ งมีคณุ ภาพ (creative สภาพแวดลอ้ มทางกายภาพ สังคม และจิตใจท่ีมีอิทธิพลต่อการ เรียนรู้ของผู้เรียน บรรยากาศการเรียนรู้ท่ีดีควรเป็นบรรยากาศ communication) ทเ่ี ออ้ื ตอ่ การเรยี นรู้ ผอ่ นคลาย ปราศจากความเครียดและความ วิตกกงั วล มคี วามปลอดภยั ทั้งทางร่างกายและจิตใจ มีความเท่า เทียมกันระหว่างผู้เรียนด้วยกันเองและระหว่างผู้เรียนกับผู้สอน สนุกสนาน ตื่นเต้น และท้าทายการเรียนรู้ การเอ้ือเฟื้อเผ่ือแผ่ ความเมตตากรณุ า และความรัก การส่ือสารระหว่างผู้สอนกับผู้เรียนที่ก่อให้เกิดนวัตกรรม สมั พันธภาพทดี่ ี ความรว่ มมือ แรงบันดาลใจ และความมุ่งมั่นใน การพัฒนา มีคุณลักษณะสาคัญ คือ 1) ให้ความเอาใจใส่ต่อ ผู้เรียน ให้ความสาคัญกับผู้เรียนในฐานะท่ีเป็นมนุษย์ มีเกียรติ และศักดิ์ศรีท่ีต้องให้ความเคารพ ให้ความสาคัญกับมิติทางด้าน จิตใจที่อ่อนโยนในฐานะที่ยังเป็นเด็ก 2) ใช้ภาษากายท่ีมี ประสิทธิภาพ ในการส่ือสารอารมณ์ ความรู้สึก ถึงความห่วงใย ความรักและความปรารถนาดีต่อผู้เรียน 3) ใช้ภาษาเชิงบวก หลีกเล่ียงคาตาหนิ ภาษาเชิงบวกเป็นภาษาที่มีพลัง สามารถ สร้างแรงบันดาลใจและความมุ่งมั่นให้ผู้เรียนเกิดความต้องการ พัฒนาตนเอง ความเช่อื ม่ัน ความภาคภูมใิ จ

438 บทท่ี 11 การเรยี นรู้ผลการประเมนิ หลักสตู รท่นี าไปสู่การปรบั ปรุงและเปล่ยี นแปลง ตาราง 11 คาอธบิ ายเชงิ คณุ ภาพในประเดน็ ทีเ่ ก่ียวขอ้ งกับหลกั สูตรและการเรยี นรู้ (ต่อ) ประเดน็ ท่ีเกย่ี วข้องกับ คาอธบิ ายเชิงคณุ ภาพ หลกั สตู รและการเรียนรู้ 4) การสือ่ สารในแนวราบ เป็นการสื่อสารด้วยภาษาทีม่ คี วามเท่า ส่ือการเรียนรู้ เทียมกันระหว่างผู้สอนและผู้เรียน ในลักษณะของสุนทรีย (learning materials) สนทนา และการฟงั อยา่ งลกึ ซ้งึ ไมด่ ว่ นตดั สนิ ตัวกลางที่ช่วยทาให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ แหล่งการเรยี นรู้ ถูกต้อง รวดเร็ว สื่อการเรียนรู้ที่ดีควรมีความสอดคล้องกับ (learning resources) สาระสาคัญของการจัดการเรียนรู้ ช่วยกระตุ้นการสร้างความรู้ ความเข้าใจ การคิด จินตนาการสร้างสรรค์ ทาให้ผู้เรียนสนใจ บริการสนับสนนุ การเรียนรู้ และติดตามบทเรียนอย่างต่อเน่ือง อีกทั้งเป็นส่วนช่วยในการ (learning support ข ย า ย ป ร ะ ส บ ก า ร ณ์ ก า ร เ รี ย น รู้ ข อ ง ผู้ เ รี ย น ไ ด้ ภ า ย ใ น เ ว ล า service) อนั รวดเร็วและเป็นรปู ธรรม แหล่งข้อมูลสารสนเทศ ความรู้ ที่มีอยู่รอบตัวผู้เรียนทั้งภายใน และภายนอกโรงเรียน แหล่งการเรียนรู้เป็นได้ท้ังสถานท่ีและ บุคคล แหล่งการเรียนรู้ท่ีดีควรตอบสนองความต้องการในการ เรียนรู้ ความสนใจ ของผูเ้ รียนได้โดยไมม่ ีข้อจากดั ดา้ นเวลาและ สถานท่ี ส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ นิสัยใฝุเรียนรู้และการ เรยี นร้ดู ว้ ยตนเองอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง การส่งเสรมิ สนับสนุน ให้คาแนะนา ให้ความช่วยเหลือ ให้ข้อมูล สารสนเทศ ให้บริการทรัพยากรต่างๆ ที่สถานศึกษาจัดให้กับ ผู้สอนและผู้เรียน เพ่ือสนับสนุนกระบวนการจัดการเรียนรู้ของ ผูส้ อน และการปฏิบัติกจิ กรรมการเรียนรู้ของผเู้ รียน เช่น การให้ คาปรึกษาทางดา้ นวชิ าการ การให้บริการสัญญาณ WiFi ภายใน โรงเรียน เป็นต้น บริการสนับสนุนการเรียนรู้ที่ดี ควรตอบสนอง ความต้องการในเชิงวชิ าการของทงั้ ผูส้ อนและผเู้ รียนไดด้ ี มีความ สะดวกรวดเร็ว กระบวนการขอรับและให้บริการมีความชัดเจน อกี ทง้ั บคุ ลากรผใู้ ห้บรกิ าร มีจติ บรกิ าร (service mind)

บทท่ี 11 การเรยี นรู้ผลการประเมนิ หลกั สตู รท่นี าไปสู่การปรบั ปรงุ และเปลี่ยนแปลง 439 ตาราง 11 คาอธิบายเชงิ คณุ ภาพในประเด็นทีเ่ กี่ยวขอ้ งกับหลกั สตู รและการเรียนรู้ (ต่อ) ประเดน็ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกับ คาอธบิ ายเชงิ คณุ ภาพ หลักสตู รและการเรยี นรู้ กิจกรรมพัฒนาผเู้ รยี น กิจกรรมที่สถานศึกษาจัดข้ึนเพ่ือตอบสนองความต้องการของ (learner development ผเู้ รียนทม่ี ีความแตกต่างกันในด้านอายุ เพศ ระดบั ความสามารถ ความต้องการ ความถนัด ความพร้อม และความสนใจ การจัด activity) กิจกรรมพัฒนาผู้เรียนท่ีมีประสิทธิภาพ ควรเปิดโอกาสให้ ผู้เรียนได้พัฒนาตนเองได้เต็มตามศักยภาพอย่างรอบด้าน รู้จัก การแนะแนวผเู้ รยี น และเห็นคุณค่าในตนเอง มีกระบวนการคิด ทักษะทางสังคม (learner guidance) ทักษะการใช้ชีวิต บูรณาการองค์ความรู้ต่างๆ เข้ากับวิถีชีวิต ผู้เรียนลงมอื ปฏิบัตกิ ิจกรรมดว้ ยตนเอง ภายใตก้ ารโคช้ ของผู้สอน การประเมนิ ผล กระบวนการให้คาแนะนา ช้ีแนวทาง และช่วยเหลือผู้เรียน ให้ (assessment / รจู้ กั และเขา้ ใจตนเอง สร้างเสริมให้ผู้เรียนมีแนวทางในการเรียน evaluation) การพัฒนาตนเอง การตัดสินใจ การแก้ปัญหา การวางแผน ศึกษาต่อ การประกอบอาชีพ ตลอดจนการปรับตัวให้เข้ากับ สิ่งแวดล้อม สามารถดารงชีวิตได้อย่างมีคุณภาพและมีความสุข การแนะแนวท่ีมีประสิทธิภาพ ควรมีความสอดคล้องกับความ ต้องการของผู้เรียนเป็นรายบุคคล เน้นกระบวนการคิดและการ ตัดสินใจดว้ ยตนเองของผู้เรยี น บนพื้นฐานข้อมูลสารสนเทศของ ผู้สอน ใช้วิธีการแนะแนวที่สอดคล้องกับธรรมชาติและความ แตกต่างระหวา่ งบคุ คลของผเู้ รียน ผ้สู อนทกุ คนปฏบิ ัตหิ น้าที่แนะ แนวผู้เรียนในประเด็นทั่วๆ ไป และมีระบบการส่งต่อผู้เรียนไป ยังผู้สอน ผ้เู ชย่ี วชาญด้านแนะแนวเพือ่ ให้ความชว่ ยเหลอื ผ้เู รยี น การรวบรวมข้อมูลหลักฐานเชิงประจักษ์ต่างๆ ที่สะท้อนถึง กระบวนการเรียนรู้ ความก้าวหน้าของการเรียนรู้ และผลการ เรยี นรู้ นาไปสกู่ ารตัดสินใจและลงสรุปเป็นสารสนเทศและนาไป พัฒนาผู้เรียนอย่างต่อเน่ืองโดยการใช้วิธีการอย่างหลากหลาย เชน่ การสงั เกต การตรวจสอบผลงาน การรายงานตนเอง

440 บทที่ 11 การเรยี นรู้ผลการประเมินหลักสตู รทน่ี าไปสู่การปรบั ปรงุ และเปลีย่ นแปลง ตาราง 11 คาอธบิ ายเชงิ คุณภาพในประเด็นทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั หลกั สูตรและการเรยี นรู้ (ต่อ) ประเด็นท่ีเกีย่ วข้องกบั คาอธิบายเชงิ คุณภาพ หลักสตู รและการเรียนรู้ ใช้ผู้ประเมินจากบุคคลหลายฝุาย เช่น ผู้สอน เพื่อน ผู้เรียน การประเมินตามสภาพจรงิ ผู้เก่ียวข้อง ดาเนินการประเมินผลก่อนการเรียนรู้ เพ่ือวินิจฉัย (authentic assessment) ความพร้อมในการเรียนรู้ของผู้เรียนด้วยวิธีการต่างๆ เช่น การ สอบถาม การใช้แบบทดสอบ ดาเนินการประเมนิ ผลระหว่างการ เรียนรู้ควบคู่กับการจัดการเรียนรู้ เช่น การตรวจสอบผลงาน การสังเกตพฤติกรรมผู้เรียน ดาเนินการประเมินผลหลังการ เรียนรู้ เช่น การทดสอบ การปฏิบัติงาน การทารายงานทาง วิชาการ ดาเนินการประเมินเพ่ือตรวจสอบกระบวนการเรียนรู้ ความก้าวหน้าในการเรียนรู้ และผลผลิตของการเรียนรู้ของ ผู้เรียนของผู้เรียน ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการกาหนดเกณฑ์การ ประเมินและมีการสะท้อนผลการประเมินสู่ผู้เรียนด้วยวิธีการ ต่างๆ เช่น การที่ผู้สอนนาผลการประเมินมาแจ้งในชั้นเรียน การมาปรับปรุงกิจกรรมการเรียนรู้ การประเมินการเรียนรู้ของผู้เรียนจากข้อมูลเชิงประจักษ์ เช่น พฤติกรรมผู้เรียนกระบวนการทางาน การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และผลงาน ในบริบทของการจัดการเรียนรู้ การประเมินตาม สภาพจริง มีหลักการสาคัญ ได้แก่ 1) ใช้ผู้ประเมินหลายฝุาย เชน่ ผู้สอนประเมินผู้เรยี น ผู้เรียนประเมินตนเอง เพื่อนประเมิน เพื่อน ผู้ปกครองประเมินผู้เรียน ชุมชนประเมินผู้เรียน เป็นต้น 2) ใช้วิธีการประเมินหลายวิธี เช่น การสังเกต การตรวจผลงาน การสอบถาม การให้ผู้เรียนรายงานตนเอง เป็นต้น 3) ประเมิน หลายช่วงเวลา ได้แก่ การประเมินก่อนเรียน การประเมิน ระหวา่ งเรียน การประเมนิ หลงั เรียน และการประเมินตดิ ตามผล และ 4) สะท้อนผลสู่การพัฒนาผู้เรียน โดยการให้ผลย้อนกลับ อยา่ งสร้างสรรค์

บทที่ 11 การเรยี นร้ผู ลการประเมนิ หลกั สตู รท่ีนาไปสู่การปรบั ปรงุ และเปลีย่ นแปลง 441 ตาราง 11 คาอธบิ ายเชงิ คณุ ภาพในประเดน็ ท่ีเก่ียวข้องกับหลักสูตรและการเรยี นรู้ (ตอ่ ) ประเดน็ ทีเ่ กีย่ วข้องกับ คาอธบิ ายเชิงคุณภาพ หลักสตู รและการเรยี นรู้ การประเมนิ ขณะเรยี นรู้ การรวบรวมหลักฐานข้อมูลเชิงประจักษ์เก่ียวกับการเรียนรู้ (assessment as learning) ของผ้เู รียนขณะเรียนรู้ เพ่ือช่วยให้ผู้เรียนตระหนักในการเรียนรู้ ของตน วางแผนการเรียนรู้ กากับการเรียนรู้ วินิจฉัย ประเมิน และปรับปรงุ การเรียนรู้ของตน การให้ผู้เรียนออกแบบแผนการ เรียนรู้ ฝึกให้ผู้เรียนคิดทบทวนเกี่ยวกับการเรียนรู้และกลยุทธ์ ในการเรียนรู้ จะชว่ ยใหผ้ ูเ้ รยี นพัฒนาการเรียนรู้ของตนเองอย่าง ต่อเน่ือง การประเมินลักษณะนี้ มีจุดเน้นคือการให้ผู้เรียนได้ใช้ การประเมินตนเองและการประเมินเพ่ือน เป็นกระบวนการ เรียนรู้ชนิดหนง่ึ การประเมินทีเ่ กดิ ขึ้นเป็นระยะๆ ในระหวา่ งการ ทากิจกรรมการเรียนรู้ ผู้เรียนจะได้ประเมินตนเองและแสวงหา แนวทางพัฒนาตนเองอย่างต่อเน่ือง อีกท้ังยังมีโอกาสการ ประเมินเพ่ือนร่วมชั้นเรียนและให้ข้อเสนอแนะเพ่ือพัฒนาการ เรียนรู้ สาหรับการประเมินตนเองโดยผู้เรียนนั้น ผู้เรียนควรต้ัง คาถามตรวจสอบการเรยี นร้ขู องตนเองดงั ต่อไปนี้ 1) จุดมุ่งหมาย ของการเรยี นรู้ของเราคอื อะไร 2) เราได้ความรูอ้ ะไรบา้ งจากการ เรียนรู้ในคร้ังนี้ 3) มีวิธีการเรียนรู้ในเร่ืองน้ีอย่างไร 4) มีความ เข้าใจสาระสาคญั ท่เี รียนนี้ว่าอย่างไร 5) มีเกณฑ์การประเมินผล การเรยี นรขู้ องเราอยา่ งไร และประสบความสาเรจ็ ตามเกณฑ์นั้น หรือไม่ 6) จะมีวิธีการยกระดับผลการเรียนรู้ของเราในการเรียน ครั้งต่อไปอย่างไร การประเมินเพ่อื เรียนรู้ การรวบรวมหลักฐานข้อมูลเชิงประจักษ์ต่างๆ ตามสภาพจริง (assessment for เกี่ยวกับการเรียนรู้ของผู้เรียน เพ่ือระบุและวินิจฉัยปัญหาการ learning) เรียนรู้ และให้ข้อติชม ท่ีมีคุณภาพ แก่ผู้เรียน เพ่ือปรับปรุงการ เรียนรู้ให้ดีข้ึน โดยใช้วิธีการประเมินที่หลากหลาย และเพื่อให้ เขา้ ใจการเรยี นรู้ของผเู้ รียนในแงม่ ุมตา่ งๆ อยา่ งรอบดา้ น อันจะ

442 บทที่ 11 การเรยี นร้ผู ลการประเมนิ หลกั สตู รทน่ี าไปสกู่ ารปรบั ปรงุ และเปลีย่ นแปลง ตาราง 11 คาอธิบายเชงิ คณุ ภาพในประเดน็ ที่เกีย่ วข้องกบั หลกั สูตรและการเรยี นรู้ (ต่อ) ประเดน็ ทเี่ กี่ยวข้องกบั คาอธิบายเชงิ คณุ ภาพ หลักสตู รและการเรียนรู้ นาไปสู่การปรับการเรียนและเปล่ียนการสอนให้มีประสิทธิภาพ ยิ่งขึ้น การประเมินเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ ผู้สอนและผู้เรียนใช้ ข้อมูลสารสนเทศทางการประเมินเป็นข้อมูลปูอนกลับ เพื่อการ วินิจฉัยปัญหาการเรียนรู้ของผู้เรียน การปรับปรุงวิธีการเรียนรู้ หรอื วธิ ีการทางานของผเู้ รยี น และพัฒนาผู้เรียนเป็นรายบุคคลท่ี ควบคุมกากับและปรับปรุงวิธีการเรียนรู้ วางแผนการเรียนใน ขั้นตอนต่อไปให้บรรลุผลสาเร็จ และค้นหาการปรับปรุง วิธีการ เรียนรู้เพ่ือไปสู่เปูาหมายการเรียนรู้ด้วยตนเอง ซ่ึงผู้สอนทา หน้าที่ให้ข้อมูลที่มีคุณค่าต่อการเรียนรู้แก่ผู้เรียน ประกอบด้วย การให้ข้อมูลกระตุ้นการเรียนรู้ (feed - up) การให้ข้อมูล ย้อนกลับ(feed back)และการให้ข้อมูลเพื่อการเรียนรู้ต่อยอด (feed - forward) การประเมินผลการเรยี นรู้ การรวบรวมหลักฐานข้อมูลเชิงประจักษ์ต่างๆ เม่ือสิ้นสุด (assessment of learning) กระบวนการเรียนรู้ เพื่อตัดสินคุณค่าในการบรรลุวัตถุประสงค์ หรอื ผลลัพธ์การเรยี นรู้ เป็นการประเมินผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน ซ่ึ ง แ ส ด ง ถึ ง ม า ต ร ฐ า น ท า ง วิ ช า ก า ร ใ น เ ชิ ง ส ม ร ร ถ น ะ แ ล ะ คุณลักษณะท่ีพึงประสงค์ สารสนเทศดังกล่าวนาไปใช้ในการ กาหนดระดับคะแนนให้ผู้เรียน รวมทั้งใช้ในการปรับปรุง หลักสูตรและการเรียนการสอน การประเมินผลการเรียนรู้ มี วัตถุประสงค์สาคัญเพื่อตัดสินผลการเรียนรู้ของผู้เรียน โดย ผูส้ อนเปน็ ผู้ทม่ี ีบทบาทหลักในการประเมิน โดยการประเมินจะมี ลักษณะเป็นการประเมินรวบยอดท่ีใช้วัตถุประสงค์หรือผลลัพธ์ การเรียนรู้เป็นมาตรฐานการประเมิน ตลอดจนใช้วิธีการและ เคร่ืองมือประเมินที่มีคุณภาพเชื่อถือได้ มีความเป็นทางการ มากกว่าการประเมินเพือ่ การเรียนรู้และการประเมินขณะเรียนรู้

บทที่ 11 การเรยี นรผู้ ลการประเมนิ หลกั สตู รท่ีนาไปสกู่ ารปรบั ปรงุ และเปลีย่ นแปลง 443 ตาราง 11 คาอธบิ ายเชงิ คณุ ภาพในประเดน็ ทีเ่ กยี่ วขอ้ งกับหลักสตู รและการเรยี นรู้ (ต่อ) ประเด็นทีเ่ ก่ยี วข้องกบั คาอธิบายเชิงคุณภาพ หลกั สตู รและการเรียนรู้ การวิจยั เพอื่ พฒั นาการเรียนรู้ การวิจัยท่ีดาเนินการควบคู่กับการจัดการเรียนรู้ เพ่ือพัฒนา (classroom research) คุณภาพของผู้เรียน มีการนาผลการวิจัยมาใช้ประโยชน์ในการ จัดการเรียนรู้อย่างต่อเน่ือง ดาเนินการวิจัยตามวงจรการวิจัย ตามลาดับ ได้แก่ 1) การวางแผน 2) การปฏิบัติ 3) การ ตรวจสอบผลการปฏิบตั ิ และ 4) การสะทอ้ นผลสู่การปรับปรุง การพฒั นาผ้สู อน การเสริมสร้างความรู้ ความสามารถ และเจตคติของผู้สอน (teacher development) เพ่ือให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพและ ประสิทธผิ ล การพัฒนาผ้สู อนท่มี ปี ระสิทธิภาพ มีแนวทางสาคัญ คือ 1) การสร้างความสัมพันธ์และความไว้วางใจ 2) การเสริม พลัง 3) การดาเนินการอย่างเป็นระบบ 4) การพัฒนาที่ต่อเน่ือง 5) การมีจุดเน้น6) การเช่ือมโยงกับการปฏิบัติงานจริง 7) การ สะท้อนผล นอกจากนี้การพัฒนาผู้สอนท่ีมีประสิทธิภาพมี ลักษณะสาคัญ คือ1) สอดคล้อง กับเนื้อสาระที่ผู้สอนจะต้อง ดาเนินการจัดการเรียนรู้ในโรงเรียน 2) มีช่วงระยะเวลาท่ี เหมาะสมและเพียงพอที่ผู้สอนจะนาความรู้ไปใช้ในโรงเรียน 3) ผู้สอนได้ใช้กระบวนการเรียนรู้ร่วมกันเป็นชุมชนแห่งการ เรียนรู้เชิงวิชาชีพ 4) กิจกรรมการพัฒนาผู้สอนมีความเชื่อมโยง กับการปฏิบัติงานในโรงเรียน 5) กิจกรรมการพัฒนามีความ ต่อเนื่อง และจัดลาดับการพัฒนาอย่างเป็นระบบ 6) บูรณาการ ความรู้ ทักษะและเจตคติไปในกิจกรรมการพัฒนาอย่าง เหมาะสม 7) ส่งเสริมให้ผู้สอนใช้กระบวนการแสวงหาความรู้ ด้วยตนเอง 8) กระตุ้นให้ผู้สอนสะท้อนคิดตนเอง (self - reflection) อย่างต่อเน่ือง 9) ให้ข้อมูลพัฒนาการของผู้เรียน ที่เกิดขึ้นจากการทางานของผู้สอน 10) เปิดโอกาสให้ผู้สอนได้ ประเมินตนเองท้งั ด้านความรู้ ทักษะ และเจตคติ

444 บทท่ี 11 การเรียนรผู้ ลการประเมินหลักสตู รทนี่ าไปสูก่ ารปรบั ปรุงและเปล่ยี นแปลง ตาราง 11 คาอธบิ ายเชิงคณุ ภาพในประเดน็ ท่ีเกีย่ วข้องกับหลกั สตู รและการเรยี นรู้ (ต่อ) ประเด็นท่เี กี่ยวขอ้ งกับ คาอธบิ ายเชงิ คุณภาพ หลกั สตู รและการเรยี นรู้ การเสรมิ พลงั ผู้สอน การเสริมสร้างและสนับสนุนให้บุคคลสามารถพัฒนาศักยภาพ (teacher empowerment) และขีดความสามารถของตนเองในการปฏิบัติงานได้อย่าง ต่อเนื่องโดยการมีเสรีภาพในการคิดการตัดสินใจ การลงมือ ปฏิบัติ มีองค์ประกอบที่สาคัญ 4 ประการ ได้แก่ 1) การเข้าถึง ข้อมูลข่าวสารและสารสนเทศ 2) ความสามารถหรือเสรีภาพใน การเลือก 3) การมสี ว่ นร่วมในการคิดและการตัดสินใจ 4) ความ รับผิดชอบต่อผลลัพธ์ร่วมกัน โดยการเสริมพลังผู้สอนมีแนว ปฏิบัติที่สาคญั คือ 1) เปิดโอกาสให้บุคลากรแสดงความสามารถ ในการปฏิบัติงานและความคิดเห็นตลอดจนการตัดสินใจและ การมีส่วนร่วมตา่ งๆ ในการดาเนินงานขององค์กร 2) เสริมสร้าง ให้เกดิ การแลกเปลย่ี นข้อมลู ขา่ วสารระหวา่ งบคุ ลากรด้วยกันเอง และระหว่างผู้บริหารกับบุคลากร 3) ให้ความรู้ ทักษะ ประสบการณ์ และทรัพยากรต่างๆ ที่มีความจาเป็นต่อการ ปฏิบัติงานของบุคลากรแต่ละคนอย่างเหมาะสม 4) เสริมสร้าง และสนับสนุนใหบ้ ุคลากรมที ักษะและกระบวนการในการทางาน เป็นกลุ่มที่สามารถควบคุมและตรวจสอบการทางานด้วยตนเอง อย่างมีประสิทธิภาพ 5) ใหบ้ ุคลากรสามารถเขา้ ถึงข้อมูลข่าวสาร และสารสนเทศที่จาเป็นต่อการพัฒนาการปฏิบัติงานได้อย่าง รวดเรว็ 6) ให้ขอ้ มลู ย้อนกลบั การปฏิบัตงิ านแก่บุคลากรเพ่ือเป็น ข้ อ มู ล ส า ห รั บ ก า ร ป รั บ ป รุ ง แ ล ะ พั ฒ น า ก า ร ท า ง า น ใ ห้ มี ประสิทธิภาพสงู ขึ้น 7) สร้างบรรยากาศความไว้วางใจซึ่งกันและ กัน 8) เปิดโอกาสให้บุคลากรมีโอกาสในการเลือกและกาหนด วธิ ีการปฏิบัติงานภายในขอบเขตความรบั ผิดชอบของตนเองโดย อิสระ 9) ให้ความช่วยเหลือและบรรเทาปัญหาท่ีเกิดข้ึนซึ่งเป็น อปุ สรรคตอ่ การปฏิบตั ิงานของบุคลากร 10) เสริมสรา้ งและ

บทท่ี 11 การเรียนรู้ผลการประเมนิ หลักสตู รทีน่ าไปส่กู ารปรับปรุงและเปลย่ี นแปลง 445 ตาราง 11 คาอธบิ ายเชิงคณุ ภาพในประเดน็ ท่ีเก่ยี วขอ้ งกับหลักสตู รและการเรียนรู้ (ตอ่ ) ประเด็นทีเ่ กีย่ วขอ้ งกับ คาอธบิ ายเชิงคณุ ภาพ หลกั สตู รและการเรยี นรู้ สนับสนุนบุคลากรให้มีความกล้าในการคิดและตัดสินใจอย่าง ชมุ ชนแหง่ การเรียนรู้ มี เ ห ตุ ผ ล แ ล ะ ก ล้ า เ ผ ชิ ญ ปั ญ ห า ท่ี ท้ า ท า ย ค ว า ม คิ ด แ ล ะ เชิงวิชาชีพ ความสามารถ การรวมกลุ่มกันของบุคคลผู้ประกอบวิชาชีพ โดยมีจุดมุ่งหมาย (Professional เพอื่ พัฒนาสมรรถนะเชิงวิชาชีพ และคุณภาพของผู้เรียนร่วมกัน Learning ผ่านกระบวนการเรียนรู้ร่วมมือร่วมใจ การเรียนรู้ประสบการณ์ การปฏิบัติงานในพื้นที่และการแลกเปลี่ยนเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง Community) ชุมชนแห่งการเรียนรู้เชิงวิชาชีพที่มีประสิทธิภาพ มีคุณลักษณะ ดังต่อไปน้ี 1) การแลกเปลี่ยนสิ่งท่ีมีคุณค่าและวิสัยทัศน์การ พัฒนาคุณภาพผู้เรียน ตลอดจนการมีพันธะสัญญาร่วมกัน ระหว่างผู้สอนและผู้บริหารในการยกระดับคุณภาพการจัด การศึกษา 2) การมีวัฒนธรรมความร่วมมือร่วมใจของผู้สอนทุก คน รวมท้ังผู้บริหาร สาหรับการดาเนินกิจกรรมต่างๆ ในชุมชน แห่งการเรียนรู้เชิงวิชาชีพโดยมีเปูาหมายเดียวกัน มีความ รับผิดชอบร่วมกันเกี่ยวกับการเรียนรู้ของผู้เรียน 3) การมุ่งเน้น การตรวจสอบและปรับปรุงผลการเรียนรขู้ องผู้เรยี น ประเมินผล การเรียนรู้และนาข้อมูลสารสนเทศจากการประเมินมาวางแผน และดาเนนิ การพัฒนาผเู้ รยี นอย่างตอ่ เน่ือง 4) การสนบั สนุนและ แลกเปล่ียนภาวะผู้นา การให้ผู้สอนทุกคน เป็นผู้นาในการ ตัดสินใจ บนพื้นฐานความเท่าเทียมกัน 5) การแลกเปล่ียน ประสบการณก์ ารปฏิบตั ิสว่ นบคุ คล นาความรู้และประสบการณ์ ที่ไดร้ ับจากการจดั การเรยี นการสอนในชนั้ เรยี น จากการประเมนิ ตนเอง การสังเกตการจัดการเรียนการสอนของเพ่ือน และผล การประเมนิ ต่างๆ เช่น ทกั ษะการเรยี นรู้ของผเู้ รยี น มา

446 บทท่ี 11 การเรียนร้ผู ลการประเมนิ หลักสตู รท่ีนาไปส่กู ารปรบั ปรงุ และเปลีย่ นแปลง ตาราง 11 คาอธิบายเชิงคุณภาพในประเด็นที่เกีย่ วขอ้ งกบั หลักสูตรและการเรียนรู้ (ตอ่ ) ประเดน็ ท่ีเกย่ี วขอ้ งกับ คาอธิบายเชงิ คุณภาพ หลักสตู รและการเรียนรู้ แลกเปล่ียนเรียนรู้กับเพื่อนในชุมชนแห่งการเรียนรู้เชิงวิชาชีพ ซง่ึ การแบง่ ปนั ประสบการณก์ ารปฏิบัติส่วนบุคคลน้ีจะช่วยทาให้ เกิดการปรับปรุงและพัฒนาความเป็นมืออาชีพ (professional) อยา่ งต่อเนอ่ื งและยงั่ ยืน สรุป จากที่ได้กล่าวมาในบทท่ี 11 เรื่อง การเรียนรู้ผลการประเมินหลักสูตร ท่ีนาไปสู่การปรับปรุงและเปล่ียนแปลง ได้กล่าวถึงสาระสาคัญ คือ การปรับเปลี่ยน ความคิดและมุมมองที่มีต่อหลักสูตรและการเรียนรู้ จากการที่มีกระบวนการทาง ความคิดแบบเดิมไปสู่แบบใหม่ท่ีดีกว่า ส่งผลทาให้การปรับปรุงและเปล่ียนแปลง หลักสูตรดาเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพประสบความสาเร็จตามเปูาหมายที่กาหนดไว้ และสอดคล้องกับผลการประเมินหลักสูตร กระบวนการทางความคิดแบบใหม่ มีลักษณะเป็นแบบเปิด มองไปข้างหน้า ไม่ยึดติดกับวิธีการเดิมๆ พร้อมท่ีจะ เปล่ียนแปลงไปสู่ส่ิงท่ีดีกว่า กระบวนการทางความคิดแบบใหม่ให้ความสาคัญกับ กระบวนการเรยี นรู้ ใชว้ ธิ กี ารโค้ช และการประเมินผลการเรียนรู้เพ่ือการพัฒนา วิธีการ ปรับเปลี่ยนกระบวนการทางความคิด หรือ mindset ของบุคลากรทาได้ตามข้ันตอน ดังน้ี 1) กระตุ้นความตระหนัก 2) ให้ข้อมูลคุณภาพการจัดการศึกษาของสถานศึกษา 3) ลงมอื ปฏิบตั ิรว่ มกนั 4) การชน่ื ชมความสาเรจ็ ของการเปล่ยี นแปลงร่วมกัน เครื่องมือสาหรับการเรียนรู้ผลการประเมินหลักสูตรมีหลายประการ คือ การถอดบทเรียนเปน็ กระบวนการสร้างองค์ความรู้ของผู้ปฏิบัติงานบนพ้ืนฐานข้อมูลเชิง ประจกั ษ์ ประสบการณ์ตรง นาไปสู่การปรบั ปรงุ และพฒั นา คาว่า “บทเรียน” หมายถึง

บทท่ี 11 การเรียนรูผ้ ลการประเมนิ หลกั สตู รทนี่ าไปสกู่ ารปรับปรุงและเปลี่ยนแปลง 447 ความรู้ที่ได้รับจากการลงมือปฏิบัติงานจริงจนเกิดประสบการณ์ส่วนบุคคล อีกทั้ง สุนทรียสนทนาที่เป็นการสนทนาที่นาไปสู่การเรียนรู้ใหม่ๆ การคิดวิเคราะห์ถึงสาเหตุ ปัจจัยต่างๆ ท่ีส่งผลต่อปริสิทธิภาพของการปฏิบัติงาน อีกท้ังยังทาให้เกิดการ เปล่ียนแปลงจากภายในโดยการพูดคุยแลกเปล่ียนความรู้ ประสบการณ์ ความคิดของ ตนเองให้กับเพ่ือนร่วมงานด้วยความรับผิดชอบและซื่อสัตย์ต่อสิ่งที่ได้นามาแลกเปล่ียน กับเพ่ือนร่วมงาน ตลอดจนการทบทวนหลงั การปฏบิ ตั ิเป็นการตรวจสอบประเด็นสาคัญ ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงาน ทั้งก่อน ระหว่างและหลังการปฏิบัติ เพื่อทาให้การ ปฏิบัตงิ านมปี ระสิทธิภาพและประสทิ ธผิ ลมากขึน้ การสังเคราะห์ความรจู้ ากการถอดบทเรียน อาศัยกระบวนการสร้างข้อสรุป แบบอุปนัยเป็นสาคัญ โดยมีสารสนเทศจากการถอดบทเรียนที่เป็นความรู้ต่างๆ อย่างเพียงพอ ภายหลังดาเนินการจัดทาข้อสรุปความรู้จากการถอดบทเรียนเกี่ยวกับ ผลการประเมินหลักสูตรแล้ว ผู้ท่ีเก่ียวข้องทุกฝุายจึงร่วมกันวางแผนและดาเนินการ พัฒนา ปรับปรุง หรือเปล่ียนแปลงหลักสูตรในประเด็นต่างๆ ให้มีคุณภาพมากข้ึน ส่วนคาอธิบายเชิงคุณภาพในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับหลักสูตรและการเรียนรู้ สามารถ นาไปใช้เป็นแนวทางในการกาหนดเปูาหมายความสาเร็จของการปรับปรุงและ เปล่ยี นแปลงหลักสูตรได้

448 บทท่ี 11 การเรียนรู้ผลการประเมินหลกั สตู รท่นี าไปสกู่ ารปรบั ปรงุ และเปล่ยี นแปลง คาอธบิ ายเชิงคุณภาพ ในประเดน็ ทีเ่ กยี่ วขอ้ งกบั หลกั สตู รและการเรยี นรู้ สามารถนาไปใชเ้ ปน็ แนวทาง ในการกาหนดเปา้ หมาย ความสาเรจ็ ของการปรบั ปรงุ และเปลย่ี นแปลงหลกั สูตรได้

บทท่ี 11 การเรยี นร้ผู ลการประเมนิ หลกั สตู รทนี่ าไปสกู่ ารปรบั ปรุงและเปลีย่ นแปลง 449 บรรณานุกรม ทิศนา แขมมณ.ี (2545). รปู แบบการเรียนการสอน: ทางเลือกที่หลากหลาย. กรุงเทพฯ: สานกั พิมพแ์ ห่งจุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . . (2551). ลลี าการเรยี นรู้ – ลีลาการสอน = Learning – Teaching Style. กรุงเทพฯ: สานักพิมพ์แหง่ จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย. . (2556). ศาสตรก์ ารสอน: องค์ความรูเ้ พื่อการจดั กระบวนการเรียนรู้ ทมี่ ปี ระสทิ ธภิ าพ. กรุงเทพฯ: สานกั พิมพ์แหง่ จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั . ราชบณั ฑติ ยสถาน. (2555). พจนานุกรมศัพท์ศึกษาศาสตร์ ฉบบั ราชบัณฑิตยสถาน. กรงุ เทพฯ: อรุณการพิมพ์. วิชยั วงษ์ใหญ.่ (2554). นวัตกรรมหลกั สูตรและการเรยี นรู้สคู่ วามเป็นพลเมือง. กรุงเทพฯ: อาร์ แอนด์ เอน็ ปรน้ิ . สภุ างค์ จนั ทวานชิ . (2553). วธิ ีการวจิ ยั เชิงคุณภาพ. (พมิ พค์ รั้งท่ี 18). กรุงเทพฯ: สานักพมิ พ์แหง่ จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั . สานักงานคณะกรรมการการศกึ ษาขน้ั พ้นื ฐาน กระทรวงศึกษาธิการ. (2551). หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พทุ ธศกั ราช 2551. กรงุ เทพฯ: โรงพิมพช์ มุ นุมสหกรณ์การเกษตรแหง่ ประเทศไทย. สานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา. (2552). กรอบมาตรฐานคุณวฒุ ิระดบั อุดมศึกษา แหง่ ชาติ พ.ศ. 2552. กรุงเทพฯ: สานกั งานคณะกรรมการการอดุ มศกึ ษา. สานักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา, สานักงานคณะกรรมการการศกึ ษาข้ันพนื้ ฐาน. (2555). การถอดบทเรยี นการจดั กจิ กรรมพัฒนาผ้เู รยี นตามหลักสูตร แกนกลางการศึกษาขนั้ พื้นฐาน พทุ ธศกั ราช 2551. กรุงเทพฯ: สานกั งาน คณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พื้นฐาน. Ambrose, Susan A. and other. (2010). How Learning Works : 7 Research – Based Principles for Smart Teaching. San Francisco: Jossey – Bass.

450 บทท่ี 11 การเรยี นรู้ผลการประเมนิ หลกั สตู รท่ีนาไปสู่การปรบั ปรงุ และเปลยี่ นแปลง Anderson, L. W, & Krathwohl, D. R. (eds.) (2001). A Taxonomy for Learning, Teaching, and Assessing: A Revision of Bloom's Taxonomy of Educational Objectives. New York: Longman. Anne, Jordan., Carlile, Orison., and Stack, Annetta. (2008). Approaches to Learning: A Guide for Teachers. Maidenhead: Open University Press. Ashcroft, Kate., and Lee, John. (2000). Improving Teaching and Learning in the Core Curriculum. New York: Falmer Press. Askew, Susan. (editor). (2000). Feedback for Learning. London; New York: Routledge/Falmer. Benson, David J. (2008). The Standards – Based Teaching / Learning Cycle. Colorado: The Colorado Department of Education. Bill, Boyle. (2014). Formative Assessment for Teaching & Learning. Los Angeles: Sage Publications. Blanchard, John. (2009). Teaching, Learning and Assessment. Maidenhead: Open University Press. Bredeson, Paul V. (2003). Designs for Learning: A New Architecture for Professional Development in Schools. Thousand Oaks, California: Corwin Press. Caine, Geofferey., and Caine, Renate N. (2010). Strengthening and Enriching Your Professional Learning Community: The Art of Learning Together. Alexandria: Association for Supervision and Curriculum Development. Cannon, Robert A., and Newble, David. (2000). A Handbook for Teachers in Universities and Colleges: A Guide to Improving Teaching Methods. London: Kogan Page.

บทท่ี 11 การเรยี นรผู้ ลการประเมนิ หลกั สตู รที่นาไปสกู่ ารปรบั ปรุงและเปล่ยี นแปลง 451 Costa, Arthur L. (2004). Assessment Strategies for Self – Directed Learning. Thousand Oaks, California: Corwin Press. D’Andrea, Vaneeta., and Gosling, David. (2005). Improving Teaching and Learning: A Whole Institution Approach. Maidenhead, England; New York: Society for Research into Higher Education & Open University Press. Grout, Harvey., and Long, Gareth. (2009). Improving Teaching and Learning in Physical Education. New York: McGraw Hill. Harlen, Wynne. (2007). Assessment of Learning. Los Angeles: Sage Publications. Ireson, Judith. (2008). Learners, Learning and Educational Activity. London: Routledge. James, Mary. (2006). Learning How to Learn: Tools for Schools. London: Routledge. James, Mary., and others. (2007). Improving Learning how to Learn: Classroom, Schools and Networks. New York: Routledge. Kember, David. (2000). Action Learning and Action Research: Improving the Quality of Teaching and Learning. London: Kogan Page. Levin, Barbara B. (2001). Energizing Teacher Education and Professional Development with Problem – Based Learning. Alexandria: Association for Supervision and Curriculum Development. Milton, Nick. (2010). The Lessons Learned Handbook: Practical Approaches to Learning from Experience. Oxford: Chandos Publishing. Payne, David Allen. (2003). Applied Educational Assessment. Belmont, California: Wadsworth / Thomson Learning.

452 บทที่ 11 การเรยี นร้ผู ลการประเมินหลักสตู รท่ีนาไปสูก่ ารปรบั ปรงุ และเปลีย่ นแปลง Richard, Riding. (2007). Cognitive Styles and Learning Strategies: Understanding Style Differences in Learning and Behavior. London: D. Fulton. Rose, David H., and Meyer, Anne. (2002). Teaching Every Student in the Digital Age: Universal Design for Learning. Alexandria: Association for Supervision and Curriculum Development. Saylor, J.G., Alexander, W.M., and Lewis, Arthur.J. (1981). Curriculum Planning for Better Teaching and Learning. New York: Holt, Rinehart and Winston. Scott, David. (editor). (2013). Theories of Learning Volume 1: Philosophical, Sociological and Psychological Theories of Learning. Los Angeles: Sage Publications. . (2013). Theories of Learning Volume 2: Models of Learning. Los Angeles: Sage Publications. . (2013). Theories of Learning Volume 3: Learning, Curriculum, Pedagogy and Assessment. Los Angeles: Sage Publications. . (2013). Theories of Learning Volume 4: Learning Dispositions, Life – Long Learning and Learning Environments. Los Angeles: Sage Publications. Splisbury, M.J., and others. (2007). Lessons Learned from Evaluation: A Platform for Sharing Knowledge. Nairobi; Kenya: United Nations Environment Programme. Stufflebeam, Daniel L. and Shinkfield, Anthony J. (2007). Evaluation Theory, Models, & Applications. San Francisco: Jossey – Bass. Sullivan, Paul. (2012). Qualitative Data Analysis Using a Dialogue Approach. London; Thousand Oaks, California: Sage Publications.

บทท่ี 11 การเรียนรผู้ ลการประเมนิ หลกั สตู รทน่ี าไปสกู่ ารปรบั ปรุงและเปลยี่ นแปลง 453 Taylor, Edward W., and Cranton, Patricia. (2012). The Handbook of Transformative Learning: Theory, Research, and Practice. San Francisco: Jossey-Bass. The University of Sydney. (2012). Learning Pyramid from http://sydney.edu. au/engineering/civil/current/undergraduate /learning.shtml . Retrieved February 24, 2012, Vickery, Anitra. (2014). Developing Active Learning in the Primary Classroom. Los Angeles: Sage Publications. Wragg, E.C. (2001). Assessment and Learning in the Secondary School. London; New York: Routledge.

454 บทท่ี 11 การเรยี นรู้ผลการประเมนิ หลักสตู รท่ีนาไปส่กู ารปรบั ปรุงและเปลี่ยนแปลง การเรยี นรู้ผลการประเมนิ หลกั สตู ร เปน็ ปจั จยั เบ้อื งตน้ ของ การปรับปรุงและเปล่ยี นแปลงหลกั สตู ร ไปสู่เป้าหมายทก่ี าหนดไว้ ซงึ่ เปน็ หน้าทขี่ องผเู้ กีย่ วขอ้ งกับหลักสูตรทกุ ฝ่าย

บทท่ี 12 การปรับปรุงและเปล่ียนแปลงหลกั สูตรภายหลงั การประเมนิ หลักสตู ร 455 บทท่ี 12 การปรับปรงุ และเปล่ยี นแปลงหลกั สตู ร ภายหลงั การประเมินหลักสตู ร

456 บทที่ 12 การปรับปรุงและเปลย่ี นแปลงหลกั สตู รภายหลงั การประเมินหลักสตู ร การปรับปรุงและเปลีย่ นแปลงหลักสตู ร อยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพจะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมอื่ มี กระบวนการทางความคิดแบบเปดิ พร้อมท่จี ะเปลยี่ นแปลงไปสู่สงิ่ ท่ีดกี วา่

บทที่ 12 การปรบั ปรุงและเปลย่ี นแปลงหลกั สตู รภายหลงั การประเมนิ หลกั สตู ร 457 12. การปรับปรุง 12.1 การปรบั ปรงุ และเปล่ียนแปลงหลกั สตู ร และเปลี่ยนแปลงหลักสูตร แบบครบวงจร ภายหลงั การประเมนิ หลักสตู ร 12.2 การปรบั ปรงุ และพฒั นาคณุ ภาพของหลักสูตร และการเรยี นรูอ้ ยา่ งยงั่ ยืน 12.3 ปจั จัยสนบั สนนุ การปรับปรุง และเปล่ยี นแปลงหลักสูตรอยา่ งต่อเนอ่ื ง 12.4 กระบวนการปรับปรงุ และเปลย่ี นแปลงหลักสูตร 12.5 การปรับปรุงมาตรฐานการเรียนรู้ ภายหลังการประเมินหลักสตู ร 12.6 ลกั ษณะการเรยี นรู้ทีพ่ ึงปรารถนา 12.7 การปรับปรงุ รายวชิ าหรือหนว่ ยการเรยี นรู้ โดยผ้สู อนภายหลงั การประเมินหลกั สตู ร 12.8 การพัฒนารายวชิ าหรือหนว่ ยการเรยี นรู้ใหม่ ภายหลงั การประเมนิ หลักสูตร 12.9 การพฒั นารายวชิ าเพม่ิ เตมิ ดา้ นอาชีพ ที่สอดคล้องกบั ท้องถิน่ 12.10 การดารงคณุ ภาพของหลกั สตู รระหว่างการใช้

458 บทที่ 12 การปรบั ปรุงและเปลยี่ นแปลงหลกั สูตรภายหลังการประเมนิ หลกั สตู ร การปรับปรงุ และเปลย่ี นแปลงหลักสตู ร ทีถ่ กู ตอ้ ง มีประโยชน์ และเชือ่ ถอื ได้ จาเปน็ ต้องมสี ารสนเทศ จากการประเมินมาสนับสนนุ

บทที่ 12 การปรบั ปรุงและเปลี่ยนแปลงหลกั สูตรภายหลงั การประเมนิ หลกั สตู ร 459 สาระสาคญั สาหรบั ในบทที่ 12 เรอื่ ง การปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงหลักสูตรภายหลัง การประเมนิ หลักสตู ร มสี าระสาคัญดงั ตอ่ ไปน้ี 1. เม่ือหลักสูตรมีการประเมินอย่างครบวงจรแล้วจะทาให้มีข้อมูล สารสนเทศที่ถูกต้องเชื่อถือได้สามารถนาไปปรับปรุงและเปล่ียนแปลงหลักสูตรอย่าง ครบวงจรเพื่อให้หลักสูตรมีคุณภาพมากขึ้น ทั้งด้านเอกสารหลักสูตร ด้านการนา หลกั สูตรไปปฏบิ ตั ิ และด้านการพฒั นาบุคลากรให้ใชห้ ลักสูตรไดอ้ ยา่ งมีประสิทธภิ าพ 2. การประเมินหลักสูตรเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาอย่าง ต่อเน่ือง เป็นการประเมินที่มุ่งแสวงหาจุดแข็งและจุดที่ต้องพัฒนาของหลักสูตรใดๆ ท่ีไมม่ ีจดุ มุ่งหมายในการเลิกใช้หลักสูตร เพ่ือนาสารสนเทศจากการประเมินมาปรับปรุง แ ล ะ พั ฒ น า ห ลั ก สู ต ร ใ ห้ มี คุ ณ ภ า พ แ ล ะ ย ก ร ะ ดั บ คุ ณ ภ า พ ก า ร ศึ ก ษ า ใ ห้ สู ง ขึ้ น ซึ่งสถานศกึ ษาสามารถดาเนินการได้ด้วยตนเอง 3. ภายหลังการประเมินหลักสูตรแล้วภารกิจลาดับถัดไปคือการ พิจารณาตัดสินใจเก่ียวกับหลักสูตรซึ่งการปรับปรุงและพัฒนาที่มีความย่ังยืนคือการ ปรับปรุงและพัฒนาบนฐานการวิจัยท่ีมีลักษณะเป็นการวิจัยที่เป็นวงจรของการพัฒนา ดงั เชน่ การวจิ ัยของพระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยู่หวั 4. การปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงหลักสูตรที่สืบเน่ืองมาจากการ ประเมินหลักสูตรมี 4 ขั้นตอน ได้แก่ 1) ข้ันการสร้างความตระหนัก 2) ข้ันการวาง แผนการเปล่ียนแปลง 3) ขั้นดาเนินการเปล่ียนแปลง 4) ขั้นตรวจสอบผลการ เปล่ียนแปลง

460 บทที่ 12 การปรบั ปรุงและเปลยี่ นแปลงหลกั สูตรภายหลงั การประเมนิ หลักสตู ร 5. การพัฒนาอย่างต่อเนื่องเป็นหลักการท่ีสาคัญท่ีสุดของการ พัฒนาคุณภาพการปฏิบัติงาน ตามวงจร PDCA ซ่ึงการปรับปรุงและเปล่ียนแปลง หลักสูตร เป็นงานท่ีสาคัญและไม่หยุดนิ่งจาเป็นต้องมีการพัฒนาอย่างต่อเน่ืองให้ สอดคล้องกบั บริบททางสงั คม และมีมาตรฐานตามท่ีกาหนด 6. ภายหลังการประเมินหลักสูตรแล้ว อาจมีสารสนเทศบาง ประการ ที่ทาให้จาเป็นต้องมีการทบทวนมาตรฐานการเรียนรู้ท่ีมีอยู่ให้มีความ เหมาะสมมากขึ้น เพื่อนาไปใช้เป็นข้อกาหนดเกี่ยวกับเป้าหมายและแนวทางการจัด การศกึ ษาทมี่ คี ุณภาพมากขนึ้ 7. ลักษณะของการเรียนรู้ที่พึงปรารถนา เป็นการเรียนรู้ยุคใหม่ที่ เปดิ โอกาสให้ผู้เรียนพัฒนาตนเองได้เต็มตามศักยภาพ เป็นการเรียนรู้แบบบูรณาการ ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ท้ังการกาหนดจุดประสงค์การเรียนรู้ การออกแบบ กิจกรรมการเรียนรู้ และการประเมินผลการเรียนรู้ ใช้แหล่งการเรียนรู้ท่ีหลากหลาย การประเมินทเ่ี สริมพลงั ตามสภาพจรงิ 8. การปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงหลักสูตรระหว่างการใช้หลักสูตร เป็นส่ิงท่ีสาคัญที่ทาให้การใช้หลักสูตรมีประสิทธิภาพอย่างต่อเน่ือง เช่น ใช้แนวคิด ของหลักสูตรแฝง (hidden curriculum) เพิ่มเติมเนื้อหาสาระท่ีกาลังเป็นประเด็น ความสนใจในแวดวงวิชาชพี ใหผ้ ้เู รยี นไดศ้ ึกษา

บทที่ 12 การปรบั ปรุงและเปลี่ยนแปลงหลกั สตู รภายหลังการประเมนิ หลกั สตู ร 461 12.1 การปรับปรุงและเปลย่ี นแปลงหลักสตู รอยา่ งครบวงจร เม่ือหลักสูตรมีการประเมินอย่างครบวงจรแล้วจะทาให้มีข้อมูลสารสนเทศ ที่ถูกต้องเช่ือถือได้สามารถนาไปปรับปรุงและเปล่ียนแปลงหลักสูตรอย่างครบวงจร เพอ่ื ให้หลกั สตู รมีคณุ ภาพมากขึน้ ในประเด็นตอ่ ไปน้ี 1. ดา้ นการปรบั ปรุงเอกสารหลกั สตู ร ได้แก่ - การปรับปรงุ มาตรฐานการเรียนร้ขู องหลกั สูตร - การปรับปรงุ วตั ถุประสงค์ของหลกั สตู ร - การปรับปรุงเนอื้ หาสาระของหลักสูตร - การปรับปรุงแนวการจัดการเรียนการสอนของหลกั สูตร - การปรับปรุงสื่อ วัสดุ อปุ กรณ์ และแหล่งการเรียนรู้ของหลักสตู ร - การปรับปรงุ แนวการวดั และประเมินผลของหลกั สูตร 2. ด้านการปรับปรงุ การนาหลกั สูตรไปปฏบิ ตั ิ ได้แก่ - การปรับปรงุ การวางแผนวิชาการ - การปรับปรุงการจดั การเรยี นการสอน - การปรบั ปรุงการใชส้ ่อื วสั ดุ อุปกรณ์ และแหล่งการเรยี นรู้ - การปรบั ปรุงการวัดและประเมนิ ผล - การปรบั ปรุงบรรยากาศการเรียนรู้ - การปรบั ปรุงแผนการใช้งบประมาณ 3. ด้านการพฒั นาบคุ ลากรให้ใชห้ ลกั สตู รได้อย่างมีประสทิ ธิภาพ ได้แก่ - การพฒั นาศกั ยภาพผสู้ อน - การพัฒนาระบบการโคช้ และพเี่ ลย้ี ง - การพฒั นาชุมชนแห่งการเรยี นรเู้ ชงิ วิชาชพี

462 บทท่ี 12 การปรับปรุงและเปลยี่ นแปลงหลกั สูตรภายหลังการประเมินหลกั สตู ร การปรบั ปรุง เอกสารหลกั สตู ร การปรบั ปรงุ และเปลีย่ นแปลง หลักสตู รอยา่ งครบวงจร การพัฒนาบุคลากร การปรบั ปรงุ ให้ใชห้ ลักสตู ร การนาหลกั สตู ร ได้อยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ ไปปฏบิ ตั ิ แผนภาพ 64 การปรบั ปรงุ และเปล่ียนแปลงหลกั สูตรอย่างครบวงจร ในการดาเนินการปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงหลักสูตรอย่างครบวงจรน้ัน จาเป็นต้องมีแผนการดาเนินการอย่างเป็นระบบ ถูกต้องตามกฎเกณฑ์ของหน่วยงาน หรือองค์กร ตลอดจนกฎหมาย ท่ีเกี่ยวข้อง เช่น จากประสบการณ์ของผู้เขียนท่ีดูแล รับผิดชอบการปรับปรุงและเปล่ียนแปลงหลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาการวิจัย และพัฒนาหลักสูตร ผู้เขียนจะต้องทาแผนการดาเนินการปรับปรุงหลักสูตรและการ คานวณต้นทุนของหลักสูตรเสนอต่อหน่วยงานต้นสังกัด คือ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวทิ ยาลัยศรนี ครินทรวโิ รฒ ดังนี้

บทท่ี 12 การปรับปรงุ และเปลี่ยนแปลงหลักสตู รภายหลังการประเมนิ หลักสตู ร 463 แผนการดาเนนิ การปรับปรุงหลกั สูตร กาหนดการดาเนินการปรบั ปรงุ หลักสูตร ชื่อหลกั สตู ร วนั ทีอ่ นมุ ตั ิ 1. กาหนด 2. กาหนด 3. กาหนด 4. กาหนด หลักสตู ร การประชมุ การประชุม การประชุม การเสนอ คร้งั สดุ ท้าย คณะกรรมการ และส่งหลักสตู ร คณะกรรมการ ท่ปี ระชุม บรหิ ารหลกั สตู ร เพื่อการวิพากษ์ บริหารหลกั สตู ร คณะกรรม เพอ่ื กาหนดแนว หลกั สตู ร เพ่อื สรุปและ การประจา หลักสตู รเดิม พ.ศ.2530 ทางการปรบั ปรงุ โดยผทู้ รงคุณวฒุ ิ เห็นชอบการ บัณฑิต หลกั สตู ร หลักสตู ร ภายนอก ปรับปรุงหลกั สูตร วิทยาลัย ปรญิ ญา การศึกษา ดาเนินการแลว้ ดาเนินการแล้ว ตุลาคม พฤศจิกายน ดษุ ฎีบณั ฑติ 2552 2552 (สาขาการวิจยั 5. กาหนด 6. กาหนด 7. เสนอสานักงาน และพฒั นา การเสนอ การเสนอ คณะกรรมการ หลกั สตู ร) ที่ประชุม ที่ประชุม การอุดมศึกษา สภาวิชาการ สภามหาวิทยาลยั เพ่อื รับทราบ หลักสตู ร ทีเ่ สนอปรบั ปรุง ธนั วาคม มกราคม กุมภาพนั ธ์ หลักสตู ร 2552 2553 2553 ปรญิ ญา ปรชั ญา ดุษฎบี ณั ฑติ (สาขาการวจิ ยั และพัฒนา หลกั สตู ร)

464 บทท่ี 12 การปรับปรุงและเปลยี่ นแปลงหลกั สตู รภายหลังการประเมินหลกั สตู ร ต้นทุนหลกั สูตรปรชั ญาดุษฎบี ัณฑติ (ปร.ด.) สาขาวิชาการวิจัยและพฒั นาหลกั สตู ร หมวดค่าใชจ้ ่าย ค่าใชจ้ า่ ย ยอดสะสม (บาท) (บาท ต่อหวั ) หมวดคา่ การจดั การเรยี นการสอน คา่ ตอบแทนผสู้ อนภายนอก 259,200 (12 หน่วยกิต x 1,200 บาทต่อช่วั โมง x 216 ช่ัวโมง) คา่ วัสดปุ ระกอบการเรยี นการสอน 150,000 ค่าครภุ ณั ฑท์ ี่ตอ้ งใช้สาหรับนสิ ติ หนึ่งกล่มุ ตลอดหลักสูตร 70,000 ค่าใช้จา่ ยการเรียนรู้ ณ แหลง่ การเรยี นรภู้ ายนอกมหาวิทยาลัย 500,000 กจิ กรรมตามทร่ี ะบใุ นโครงสรา้ งหลกั สตู ร 1,500,000 อืน่ ๆ (สาธารณูปโภค) 300,000 → ค่าใช้จ่ายหมวดคา่ การจดั การเรียนการสอนรวม 2,779,200 → ค่าใช้จา่ ยต่อหวั (คา่ ใช้จ่ายรวม/จานวนนสิ ติ 15 คนต่อรุ่น คดิ จาก 2779200  15) 185,280 หมวดค่าใชจ้ า่ ยสว่ นกลางระดับคณะ/สถาบนั /สานกั งบพฒั นาหน่วยงาน (ขนั้ ต่า 5%) 10,293 งบวิจัยของหนว่ ยงาน (ข้ันตา่ 5%) 10,293 205,866 หมวดคา่ ปริญญานพิ นธ/์ สารนิพนธ์ คา่ ตอบแทนกรรมการควบคมุ ปรญิ ญานพิ นธ์ (อตั ราต่อหัว) 20,000 225,866 หมวดกองทุนพฒั นามหาวิทยาลัย (15%) 39,859 265,725 หมวดค่าใชจ้ ่ายส่วนกลาง ค่าสว่ นกลางมหาวิทยาลยั (5,450 บาท x 2 ภาคการศกึ ษา) 10,900 ค่าธรรมเนยี มหอสมดุ กลาง (3,000 บาท x 2 ภาคการศึกษา) 6,000 ค่าธรรมเนยี มสานกั คอมพิวเตอร์ (1,300 บาท x 2 ภาคการศกึ ษา) 2,600 คา่ ธรรมเนียมบณั ฑติ วิทยาลยั (7,380 บาท x 2 ภาคการศกึ ษา) 14,760 299,985 คา่ ธรรมเนยี มเหมาจา่ ยตลอดหลกั สูตรโดยประมาณ 299,985 คา่ ธรรมเนียมทเี่ รยี กเกบ็ ตลอดหลักสูตร 300,000 * ใช้สูตรและวธิ กี ารคานวณของมหาวทิ ยาลยั ศรนี ครินทรวิโรฒ พ.ศ. 2552

บทท่ี 12 การปรับปรงุ และเปลีย่ นแปลงหลกั สตู รภายหลังการประเมนิ หลักสตู ร 465 12.2 การปรบั ปรุงและพัฒนาคณุ ภาพของหลักสูตรและการเรียนรู้ อยา่ งย่ังยืน แนวคิดการประเมินหลักสูตรเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา อยา่ งต่อเนอื่ ง การประเมินหลักสูตรเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาอย่างต่อเน่ือง เป็น การประเมินที่มุ่งแสวงหาจุดแข็งและจุดท่ีต้องพัฒนาของหลักสูตรใดๆ ที่ไม่มี จุดมุ่งหมายในการเลิกใช้หลักสูตร เพ่ือนาสารสนเทศจากการประเมินมาปรับปรุงและ พัฒนาหลักสูตรให้มีคุณภาพและยกระดับคุณภาพการศึกษาให้สูงขึ้น ซึ่งสถานศึกษา สามารถดาเนินการไดด้ ว้ ยตนเอง แนวคิดของการประเมินหลักสูตรเพื่อการยกระดับคุณภาพการศึกษานี้ได้ ผสมผสานแนวคิด 3 ประการเข้าด้วยกัน คือ 1) การประเมินหลักสูตร 2) การถอด บทเรียน และ 3) วงจรการพัฒนา แนวคิดการประเมนิ หลักสตู ร ใหค้ วามสาคญั กับการประเมินแบบเป็น ทางการที่มีความเป็นระบบ ได้แก่ 1) การกาหนดวัตถุประสงค์ของการประเมิน 2) การ ออกแบบการประเมิน 3) การเก็บรวบรวมข้อมูลสาหรับการประเมิน 4) การวิเคราะห์ ข้อมูลสาหรับการประเมนิ และ 5) การสรปุ ผลการประเมนิ แนวคดิ การถอดบทเรยี น ใหค้ วามสาคัญกับการเรียนรู้ผลการประเมิน ในประเดน็ ต่างๆ ดว้ ยใจเป็นกลาง วิเคราะห์ถึงเหตุปัจจัยที่ทาให้การใช้หลักสูตรประสบ ความสาเร็จหรอื ลม้ เหลวและถอดบทเรยี นออกมาเป็นองค์ความรู้ นาไปสู่การพัฒนา แนวคิดวงจรการพฒั นา เปน็ การนาผลการประเมินและสิ่งท่ีได้เรียนรู้ จากการถอดบทเรียนมาวางแผนการพัฒนา ดาเนินการพัฒนา ตรวจสอบผลการพัฒนา และสะท้อนผลการพัฒนา ตามวงจร Plan Do Check Reflection ทาให้เกิดการ พฒั นาหลกั สูตรตามจุดเนน้ ทีม่ าจากผลการประเมนิ สง่ ผลทาใหเ้ กดิ การยกระดับคุณภาพ การศกึ ษาอย่างตอ่ เนอื่ ง

466 บทท่ี 12 การปรบั ปรงุ และเปลยี่ นแปลงหลกั สตู รภายหลงั การประเมินหลกั สตู ร จากท่ีได้กล่าวถึงการประเมินประเมินหลักสูตรเพื่อยกระดับคุณภาพ การศกึ ษาอย่างต่อเนอ่ื ง สามารถแสดงแผนภาพชว่ ยการทาความเขา้ ใจไดด้ ังน้ี กาหนดวัตถปุ ระสงคข์ องการประเมิน ออกแบบการประเมนิ เกบ็ ข้อมูลสาหรบั การประเมนิ วเิ คราะห์ข้อมลู สาหรบั การประเมนิ ดาเนินการพฒั นา สรปุ ผลการประเมนิ ถอดบทเรียนผลการประเมิน วางแผนการพัฒนา ตรวจสอบผลการพฒั นา สะท้อนผลการพัฒนา แผนภาพ 65 การประเมินประเมินหลกั สตู รเพือ่ ยกระดับคุณภาพการศึกษา อยา่ งต่อเนอื่ ง

บทท่ี 12 การปรบั ปรุงและเปลย่ี นแปลงหลักสตู รภายหลังการประเมนิ หลกั สตู ร 467 การทรงงานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับการพัฒนา อย่างยั่งยนื ภายหลังการประเมินหลักสูตรแล้ว ภารกิจลาดับถัดไป คือ การพิจารณา ตัดสินใจเกี่ยวกับหลักสูตร เช่น ปรับปรุงวัตถุประสงค์ของหลักสูตร ปรับปรุงรายวิชา ปรับปรุงการจัดการเรียนการสอน ปรับปรุงการประเมินผล หรือปรับปรุงการวางแผน วิชาการและการบริหารจัดการหลักสูตร ตลอดจนพัฒนาคุณภาพของหลักสูตร ในประเด็นต่างๆ เป็นต้น ซ่ึงการปรับปรุงและพัฒนาที่มีความยั่งยืนคือการปรับปรุง และพัฒนาโดยใช้การวิจัยเป็นฐาน (research–based improvement and development) ท่ีมีลักษณะเป็นการวิจัยท่ีเป็นวงจรของการพัฒนา ดังการวิจัยของ พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยูห่ ัว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงใช้การวิจัยเป็นกระบวนการหลักในการ ทรงงานแก้ไขปญั หาและพฒั นาคุณภาพชีวิตของประชาชน พระองค์ทรงนาหลักอริยสัจ สีม่ าประยุกตใ์ ช้ในการทรงงานดังนี้ 1) ทกุ ข์ (ปญั หาของประชาชนคอื อะไรจะมแี นวทางการแกไ้ ขอยา่ งไร) 2) สมทุ ัย (เหตุปัจจัยของปัญหาคืออะไร เหตปุ ัจจยั ของความสาเร็จคืออะไร) 3) นโิ รธ (ตัง้ เปา้ ประสงค์) 4) มรรค (วิเคราะห์ทางเลอื ก และดาเนินการด้วยกระบวนการ Plan Do Check Evaluation Reflection) โครงการพระราชดาริต่างๆ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประสบ ความสาเร็จเป็นอยา่ งดีเพราะแต่ละโครงการมคี วามสอดคล้องกับสภาพทางภูมิศาสตร์ เช่น ดิน น้า ป่า เป็นต้น และสภาพทางสังคมศาสตร์ เช่น คน ครอบครัว ชุมชน ขนบธรรมเนียม ประเพณี ภาษา วัฒนธรรม ความเช่ือ ค่านิยม และการทรงงานของ พระองค์ทรงใช้กระบวนการวิจัยเป็นวงจรการพัฒนา ทาให้การพัฒนาต่างๆ ดาเนินการไปบนพื้นฐานขององค์ความรู้ท่ีได้จากการวิจัย ซ่ึงวงจรการวิจัยในการทรง งานของพระองค์แสดงไดด้ งั แผนภาพตอ่ ไปน้ี

468 บทที่ 12 การปรบั ปรุงและเปลย่ี นแปลงหลักสูตรภายหลังการประเมนิ หลักสตู ร วางแผน ปฏบิ ตั ิ ประเมินผล สะท้อนผล ตรวจสอบ ปรบั ปรุงแผน ปฏบิ ัติ ประเมนิ ผ สะท้อนผล ตรวจสอบ ล แผนภาพ 66 วงจรการวจิ ัยในการทรงงานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยหู่ วั

บทที่ 12 การปรบั ปรงุ และเปลย่ี นแปลงหลักสูตรภายหลงั การประเมนิ หลักสตู ร 469 การประยุกต์ใช้วงจรการวิจัยในการทรงงานของพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หวั เพอื่ ปรับปรุงและพฒั นาหลักสตู รโดยดาเนนิ การตามขัน้ ตอนดงั ตอ่ ไปน้ี ขั้นตอนที่ 1 กาหนดประเด็นที่ต้องการปรับปรุงและพัฒนา หลักสูตร แล้ววิเคราะห์ผลลัพธ์ท่ีต้องการให้เกิดข้ึน ซ่ึงอาจศึกษาได้จากคาอธิบาย เชิงคณุ ภาพในประเดน็ ท่เี ก่ียวข้องกบั หลักสตู รและการเรียนรตู้ ามท่ีได้กล่าวมาแล้ว ขั้นตอนที่ 2 วางแผนการปรับปรุงและพัฒนาหลักสูตรให้ สอดคล้องกับสภาพภูมิศาสตร์และสังคมศาสตร์ (ภูมิสังคม) ของสถานศึกษา ตลอดจน ข้อเท็จจริงจากผลการประเมินหลักสูตร โดยใช้กระบวนการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วน เกีย่ วขอ้ งทกุ ฝา่ ย ขัน้ ตอนท่ี 3 ลงมือปฏิบัติการตามแผนอย่างเป็นระบบข้ันตอน บนพืน้ ฐานของหลักวิชาการ องค์ความรู้ ทฤษฎี ผลการวจิ ัย และภูมปิ ญั ญา ข้ันตอนที่ 4 ตรวจสอบผลการปรับปรุงและพัฒนาหลักสูตร ด้วยวิธีการตา่ งๆ อย่างหลากหลายและมปี ระสทิ ธภิ าพ ใช้ข้อมูลเชงิ ประจกั ษ์ และใช้ผู้ให้ ข้อมูลหลายฝา่ ย ขั้นตอนที่ 5 ประเมินผลการดาเนินการปรับปรุงและพัฒนา หลักสูตร โดยพิจารณาจากผลการตรวจสอบอย่างมีเหตุผล มีมาตรฐานหรือเกณฑ์ การประเมินที่ชดั เจน ขัน้ ตอนที่ 6 สะท้อนผลเพ่ือทาความเข้าใจถึงการเหตุปัจจัย สนับสนุน ปัญหาและอุปสรรคท่ีมีต่อผลการดาเนินการซึ่งจะนาไปสู่การปรับปรุงแผน ในการปรับปรงุ และพฒั นาหลักสูตรในรอบตอ่ ไป

470 บทท่ี 12 การปรับปรุงและเปลย่ี นแปลงหลกั สูตรภายหลังการประเมินหลักสตู ร 12.3 ปัจจยั สนบั สนุนการปรบั ปรุงและเปลย่ี นแปลงหลกั สูตร อย่างต่อเน่อื ง การพัฒนาอย่างต่อเนื่องเป็นหลักการที่สาคัญที่สุดของการพัฒนาคุณภาพ การปฏิบัติงาน Deming ได้นาเสนอวงจรคุณภาพที่เป็นที่รู้จักกันโดยท่ัวไป คือ วงจร PDCA (Plan Do Check Action) ท่ีนาไปใช้กันอย่างแพร่หลายในสาขาวิชาชีพต่างๆ ทาให้การปฏิบัติงานมีคุณภาพข้ึนอย่างต่อเนื่องตามมาตรฐานที่กาหนดไว้ การปรับปรุง และเปลี่ยนแปลงหลักสูตรเป็นงานท่ีสาคัญและไม่หยุดน่ิงจาเป็นต้องมีการพัฒนาอย่าง ต่อเนื่องให้สอดคล้องกับบริบททางสังคม และมีมาตรฐานตามที่กาหนด ซ่ึงมาตรฐาน ต่างๆ จะมีการยกระดับมาตรฐานคุณภาพมากข้ึน แนวคิดของการพัฒนาอย่างต่อเน่ือง ดังกลา่ ว แสดงไดด้ ังแผนภาพต่อไปน้ี Check Do Action Check Plan Do Action Check Plan Do Action Plan แผนภาพ 67 แนวคดิ ของการพฒั นาอยา่ งต่อเนอื่ ง

บทที่ 12 การปรับปรงุ และเปลยี่ นแปลงหลักสตู รภายหลังการประเมนิ หลกั สตู ร 471 ก า ร ป รั บ ป รุ ง แ ล ะ เ ป ลี่ ย น แ ป ล ง ห ลั ก สู ต ร อ ย่ า ง ต่ อ เ นื่ อ ง (continuously curriculum improvement and change) เป็นหัวใจของการ พัฒนาคุณภาพการศึกษาให้มีคุณภาพอยู่ตลอดเวลา ท่ามกลางการเปล่ียนแปลงของ สงั คมและวฒั นธรรม ปจั จัยท่ีทาให้การปรับปรุงและเปล่ียนแปลงหลักสูตรและการจัดการเรียนรู้ ประสบความสาเร็จ คือ กระบวนการทางความคิด (mindset) ของบุคลากรการ เรียนรู้ร่วมกัน และความร่วมมือร่วมใจ ของบุคลากรและผู้เก่ียวข้อง ภายใต้ กระบวนการ Plan Do Check Action ความประสบผลสาเร็จของการปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงหลักสูตรอย่าง ต่อเน่ืองมีปัจจัยสนับสนุนท่ีสาคัญคือ 1) กระบวนการทางความคิด 2) การเรียนรู้ ร่วมกนั 3) ความรว่ มมอื ร่วมใจ 4) กระบวนการ PDCA 1) กระบวนการทางความคดิ ตามที่ได้กล่าวมาแล้วว่า กระบวนการทางความคิด เป็นความคิด ความเชื่อ ท่ีมีผลต่อมุมมองและพฤติกรรมของบุคคล กระบวนการทางความคิดของ ผู้บริหารและผู้สอนมีอิทธิพลและส่งผลต่อการเปล่ียนแปลงและปรับปรุงหลักสูตรเป็น อย่างมาก กระบวนการทางความคิดของคนเราโดยทั่วไปมีอยู่ 2 ประเภท คือ กระบวนการทางความคดิ แบบปิด (fixed mindset) และกระบวนการทางความคิด แบบเปดิ (growth mindset) ผู้ทีม่ กี ระบวนการทางความคิดแบบปิด หรือบางคร้ังเรียกว่าแบบ ตายตัวจะไม่ชอบการเรียนรู้ส่ิงใหม่ ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง หลีกเลี่ยงปัญหาที่ท้าทาย ความสามารถ ส่วนผู้ท่ีมีกระบวนการทางความคิดแบบเปิดจะชอบเรียนรู้ส่ิงใหม่ๆ ชอบการเปล่ียนแปลงท่ีดีขึ้น ชอบทางานท่ีท้าทายความสามารถพร้อมเผชิญปัญหา และอปุ สรรค

472 บทท่ี 12 การปรับปรุงและเปลย่ี นแปลงหลกั สตู รภายหลังการประเมนิ หลักสตู ร จากประสบการณ์การพัฒนาผู้สอนในระดับการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน ของผ้เู ขยี น พบวา่ โรงเรียนท่ีผบู้ ริหารและผู้สอนมีกระบวนการทางความคิดแบบเปิด จะสามารถพัฒนาคุณภาพทางด้านวิชาการได้ง่ายและเร็วกว่าโรงเรียนที่ผู้บริหาร และผู้สอนมีกระบวนการทางความคิดแบบปิดเพราะชอบท่ีจะเรียนรู้ส่ิงใหม่ ไม่กลัว งานยาก กล้าเปลี่ยนแปลง มีความคิดสร้างสรรค์ ชอบพัฒนาตนเอง มองประโยชน์ท่ีจะ เกิดกบั ผู้เรยี น ด้วยเหตุน้ีกระบวนการทางความคิดแบบเปิด จึงเป็นปัจจัย สนับสนุนให้การปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงหลักสูตรดาเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ และประสบความสาเร็จ นั่นคอื กระบวนการปรบั ปรงุ และเปลย่ี นแปลงหลักสูตร จาเป็น อย่างยิ่งที่จะต้องปรับกระบวนการทางความคิดของบุคลากรจากแบบปิดให้เป็นแบบ เปิดให้ได้ ซ่ึงจะทาให้การปรับปรุงและเปล่ียนแปลงหลักสูตรประสบความสาเร็จอย่าง ย่งั ยนื 2) การเรียนรู้รว่ มกัน การเรียนรู้ร่วมกัน เป็นกระบวนการสืบเสาะแสวงหาความรู้ วิเคราะห์ สังเคราะห์ วางแผน สร้างสรรค์นวัตกรรม ตัดสินใจ ปฏิบัติงาน ให้ความ เคารพ ให้เกียรติ ใหค้ วามช่วยเหลือ ให้การสนับสนุนและแลกเปล่ียนเรียนรู้ร่วมกันของ บุคลากรทั้งผู้บริหาร ผู้สอน และผู้เกี่ยวข้อง การเรียนรู้ร่วมกันระหว่างบุคลากรและ ผู้เก่ียวข้อง ช่วยทาให้การปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงหลักสูตรดาเนินไปอย่างมี ประสิทธิภาพ โดย Peter Sange ได้นาเสนอไว้ในหนังสือ The Fifth Discipline: The art and practice of the learning organization ของเขาว่าการเรียนรู้ร่วมกันเป็น ทีม (team learning) นั้นจะทาให้องค์กรมีการเรียนรู้และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง สถานศึกษาที่บุคลากรมีการเรียนรู้ร่วมกันจะสามารถปรับปรุงและเปลี่ยนแปลง หลักสูตรและการจัดการเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากการได้ระดมพลังความรู้ ความคิด และประสบการณ์ที่ตนเองมีอยู่มาแลกเปล่ียนเรียนรู้กับบุคคลอ่ืนจนทาให้

บทที่ 12 การปรบั ปรงุ และเปลีย่ นแปลงหลักสูตรภายหลังการประเมนิ หลกั สตู ร 473 บุคลากรทุกคนมีความรู้ความเข้าใจมากขึ้น ได้เรียนรู้มากขึ้นทั้งสิ่งท่ีผิดพลาดและสิ่งที่ ประสบความสาเร็จ อีกท้ังยังเป็นปัจจัยที่ทาให้เกิดนวัตกรรมการปรับปรุงและ เปลย่ี นแปลงหลกั สูตร สาหรับรูปแ บบการเรียนรู้ร่วมกันของสถานศึกษา น้ัน จากประสบการณ์ของผู้เขียนที่ได้ทาวิจัยเกี่ยวกับการพัฒนาผู้สอน พบว่า มีหลาย เทคนิควิธีการ เช่น 1) การสัมมนาบุคลากรโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน 2) การใช้สุนทรีย สนทนา 3) การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างรับประทานอาหารกลางวันร่วมกันของ บุคลากรทุกคนในสถานศึกษา 4) การประชุมสั้นๆ ร่วมกันหลังเสร็จสิ้นการทากิจกรรม หน้าเสาธงก่อนเร่ิมการจัดการเรียนรู้ในแต่ละวัน 5) การทบทวนหลังการปฏิบัติ (After Action Review) 6) การใช้ระบบการโคช้ (coaching) และพเ่ี ลย้ี ง (mentoring) การเรียนรู้ร่วมกันจะประสบความสาเร็จได้จาเป็นต้องอาศัย ปัจจัยสนับสนุนหลายประการ ได้แก่ 1) ภาวะผู้นาทางวิชาการ (academic leadership) ของผู้บริหาร 2) ความสนใจในงานวิชาการของผู้สอน 3) การได้รับการ สนับสนุนจากนักวิชาการ และ 4) การได้รับการสนับสนุนจากผู้ปกครอง และชุมชน อย่างไรก็ตามปัจจัยสนับสนุนที่สาคัญมากท่ีสุด คือภาวะผู้นาทางวิชาการของผู้บริหาร ที่สามารถนาผู้สอน ผู้ปกครอง และชุมชน มาร่วมเรียนรู้เพื่อการปรับปรุงและ เปล่ียนแปลงหลกั สตู รไดอ้ ย่างมปี ระสทิ ธิภาพ 3) ความรว่ มมอื ร่วมใจ ความร่วมมือร่วมใจ เป็นปัจจัยสาคัญของความสาเร็จในการ ปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงหลักสูตร เนื่องจากการปรับปรุงและเปล่ียนแปลงหลักสูตร ที่แท้จริงน้ันไม่สามารถจะทาให้สาเร็จได้ด้วยบุคคลใดบุคคลหน่ึง แต่จะต้องอาศัยความ ร่วมมือร่วมใจของบุคลากรทุกฝ่าย ท้ังฝ่ายบริหารและฝ่ายปฏิบัติ ความร่วมมือร่วมใจ เป็นการดาเนินการงานทางหลักสูตรและการเรียนรู้ร่วมกันโดยมีจิตใจเป็นน้าหน่ึงใจ เดียวกนั เร่ิมต้นจากใจท่ีตอ้ งการพฒั นาคุณภาพ ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ส่งเสริม สนับสนุน

474 บทท่ี 12 การปรับปรงุ และเปลย่ี นแปลงหลกั สตู รภายหลังการประเมนิ หลกั สตู ร วางแผน แก้ไขปัญหา และใหก้ าลังใจซ่ึงกันและกัน ทาให้การปรับปรุงและเปล่ียนแปลง หลักสตู รมีพลงั ขบั เคลื่อนจนประสบความสาเรจ็ ความร่วมมือร่วมใจในองค์กรจะเกิดข้ึนได้น้ันจาเป็นต้องมีปัจจัย สนับสนุน ดังน้ี 1. มีความยุติธรรมภายในองค์กร เนื่องจากความยุติธรรมเป็น พื้นฐานของคุณธรรมท้ังหลายและจากประสบการณ์เข้าพ้ืนท่ีวิจัยในโรงเรียนท่ีผ่านมา ของผู้เขียนทาให้เห็นว่า หากผู้บริหารสถานศึกษาให้ความยุติธรรมแก่บุคลากรอย่าง เท่าเทยี มกนั แลว้ มกั จะได้รับความร่วมมอื ร่วมใจในการทางานจากบุคลากรอยู่เสมอ บุคลากรท่ีเป็นคนรุ่นใหม่ในปัจจุบัน มักเปล่ียนงานหรือเปลี่ยน องค์กรบ่อยๆ มีสาเหตุประการหนึ่งมาจากการไม่ได้รับความยุติธรรมจากหัวหน้างาน ทาให้องค์กรประสบปัญหาการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรให้มีความรู้ความเช่ียวชาญ อย่างตอ่ เนอ่ื ง จนบางครั้งบางองค์กรต้องเสียงบประมาณจานวนมากในการรับบุคลากร ใหม่ การฝึกบุคลากรใหม่ อยู่เป็นประจา แทนที่จะนาทรัพยากรขององค์กรไปใช้ในการ พัฒนาความเช่ยี วชาญของบคุ ลากร 2. สัมพันธภาพที่ดีของบุคลากร เนื่องจากการมีสัมพันธภาพที่ดีทา ใหม้ ีการฟงั กัน การโอนออ่ นผอ่ นปรน ประนปี ระนอม เหน็ อกเหน็ ใจ แลกเปล่ียนเรียนรู้ ในการทางานอย่างต่อเนื่อง และทุ่มเททางานร่วมกันด้วยความเสียสละและเต็มใจ ซ่ึงในบริบทของสังคมไทยเป็นสังคมเครือญาติ การมีสัมพันธภาพท่ีดีสามารถเป็นปัจจัย พัฒนางานได้อย่างดี มีความคล่องตวั รวดเรว็ และเรียบงา่ ย 3. ภาวะผู้นาของผู้บริหาร คือความสามารถนาบุคลากรให้มีแรง บันดาลใจในการทางานร่วมกันจนประสบความสาเร็จ เป็นปัจจัยสาคัญท่ีสุดของ ผู้บริหารทุกคนจาเป็นต้องมี และนามาใช้สร้างความร่วมมือร่วมใจให้เกิดขึ้นในองค์กร หากองค์กรใดท่ีผู้บริหารมีภาวะผู้นาทางวิชาการแล้ว องค์กรนั้นจะสามารถพัฒนา คณุ ภาพหลักสูตรและการเรียนการสอนได้อยา่ งต่อเนื่อง และทันสมัย

บทท่ี 12 การปรับปรุงและเปลยี่ นแปลงหลักสูตรภายหลังการประเมนิ หลกั สตู ร 475 จากท่ีไดก้ ล่าวถึงการปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงหลักสูตรอย่างต่อเนื่องท่ีมี กระบวนการ ทางความคิดของบุคลากร การเรียนรู้ร่วมกัน และความร่วมมือร่วมใจ ของบุคลากรและผู้เกี่ยวข้อง ภายใต้กระบวนการ Plan Do Check Action นั้น สามารถสังเคราะห์ได้เป็นรูปแบบการปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงหลักสูตรอย่างต่อเนื่อง ได้ดงั แผนภาพต่อไปน้ี Plan Do Action Check กระบวนทางความคิดแบบเปิด แผนภาพ 68 รปู แบบการปรับปรุงและเปลย่ี นแปลงหลักสูตรอย่างต่อเนื่อง ท่ีมา: การถอดบทเรียนจากประสบการณ์พฒั นาผู้สอนทางดา้ นหลักสูตร และการจัดการเรียนรู้ ระหวา่ งปี พ.ศ. 2550 – 2558 โดยมารุต พัฒผล