Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore รวมPowerPoint

รวมPowerPoint

Published by Jar Wanicha, 2021-10-17 15:24:53

Description: รวมPowerPoint

Search

Read the Text Version

ความหมายของการเขียน จอหน์ และแมรี่ (John; & Mary. 20: 232) ไดใ้ หค้ วามหมายการเขียนในเด็ก ปฐมวัยว่า หมายถึง รอยขดี ๆ เขียน ๆ ซึง่ มคี วามหมายอาจจะเขียนเหมอื นตัวอักษร จรงิ หรอื ไม่ก็ได้ การเขียนจะมีความกา้ วหนา้ เปน็ ขน้ั ๆ กระบวนการที่ใชใ้ นการเขยี นมี ความหมาย ผเู้ ขียนใชใ้ นการเขียนเป็นส่ือในการเสนอความคิด ที่มา : ประนดั ดา รตั นไตรมาส. (2557). ผลของการจดั กิจกรรมศลิ ปะสรา้ งสรรคแ์ บบ ตอ่ เติมที่มีตอ่ พฒั นาการดา้ นการเขียนของเดก็ ปฐมวยั . , มหาวิทยาลยั ศรนี ครนิ ทรวิโรฒ.

ข้นั ตอนพฒั นาการทางภาษาของเดก็ โลแกน; และโลแกน (Logan; & Logan) ไดแ้ บ่งพฒั นาการทางภาษาออกเปน็ 7 ขั้น ดงั นี้ 1. ระยะเปะปะ (Random Stage หรือ Paralinguistic Stage) อายุแรกเกดิ ถงึ 6 เดือน ในระยะน้เี ปน็ ระยะทเี่ ดก็ จะเปลง่ เสยี งตา่ ง ๆ ทยี่ ังไมม่ คี วามหมาย การเปลง่ เสยี ง ของเด็กเพอ่ื บอกความตอ้ งการของเขา และเม่ือไดร้ บั การตอบสนองเขาจะรสู ึกพอใจ ตัวอย่าง เช่น เดก็ จะรอ้ งเม่อื ถูกปลอ่ ยใหอ้ ยูค่ นเดียว เมื่อรสู้ กึ หิว ฉฯ่ี ลฯ หรอื รูสกึ เปน็ สุขทีไ่ ด้ส่งเสยี งออกมา ในช่วงนจ้ี ะเปน็ ช่วงทด่ี ีของการสนบั สนนุ ใหเ้ ด็กพฒั นาการ ทางการพดู และเด็กท่ีมสี ขุ ภาพดที ้ังกายและใจ จะมโี อกาสพัฒนาการทางภาษาได้ดกี วา เด็กทไี่ มส่ บาย เจบ็ ปว่ ย ทม่ี า : ปัทมา คณุ เวทยว์ ิรยิ ะ. (ม.ป.ป.). ความสามารถทางภาษาของเดกปฐมวยั ทดี่ ร้ บั กิจกรรมการเรยี นรู้ แบบจิตปัญญาโดยใชส้ ื่อไมม่ โี ครงสรา้ ง. , มหาวิทยาลียศรนี ครนิ ทรวิโรฒ.

โลแกน; และโลแกน (Logan; & Logan) ได้แบง่ พัฒนาการทางภาษาออกเป็น 7 ข้ัน ดังน้ี 2. ระยะแยกแยะ (Jargon Stage) อายุ 6 เดอื นถึง 1 ปี เดก็ จะรสู้ ึกพอใจทีจ่ ะได้สง่ เสียงและถ้าเสยี งใดท่เี ขาเปลง่ ออกมา ได้รับการตอบสนองในทางบวก เขากจ็ ะเปล่งเสยี งนั้น ซา้ อกี ในบางคร้งั เดก็ จะเลียนเสียงต่าง ๆ ทมี่ คี นพดู คุยกบั เขา 3. ระยะเลียนแบบ (Limitation Stage) อายุ 1-2 ขวบ เด็กจะเริ่มเลียนเสียงตา่ งๆ ที่ เขาไดย้ ิน เช่น เสียงของพอ่ แม่ ผใู้ หญท่ ใ่ี กล้ชิด เสียงทีเ่ ปลง่ ออกมาอย่างไมม่ ีความหมายจะ คอ่ ย ๆ หายไปและเด็กจะเร่ิมรับฟังเสยี งท่ไี ด้รับการตอบสนอง ซึง่ นับวา่ พัฒนาการทาง ภาษาจะเรม่ิ อย่างแทจ้ ริงที่ระยะนี้ ทมี่ า : ปัทมา คณุ เวทยว์ ิรยิ ะ. (ม.ป.ป.). ความสามารถทางภาษาของเดกปฐมวยั ทด่ี ร้ บั กิจกรรมการเรยี นรู้ แบบจิตปัญญาโดยใชส้ ื่อไมม่ ีโครงสรา้ ง. , มหาวิทยาลียศรนี ครนิ ทรวิโรฒ.

โลแกน; และโลแกน (Logan; & Logan) ได้แบง่ พฒั นาการทางภาษาออกเปน็ 7 ขั้น ดงั นี้ 4. ระยะขยาย (The Stage of Expansion) อายุ 2-4 ขวบ เดก็ จะหัดพดู โดยจะ เร่ิมจากการหัดเรยี กชอื่ คน สตั ว์และสิง่ ของทอี่ ยู่ใกลต้ วั เขาจะเร่ิมเข้าใจถึงการใช้ สัญลักษณ์ ในการสือ่ ความหมาย ซ่งึ ในวยั ต่าง ๆ เขาจะสามารถพดู ได้ ดงั น้อี ายุ 2 ขวบ เด็กจะเร่ิมพดู เปน็ คาโดยจะสามารถใชค้ านามได้ 20 % อายุ 3 ขวบ เดก็ จะเริ่มพดู เปน็ ประโยคได้ อายุ 4 ขวบ เด็ก จะเร่ิมใชค้ าศัพทต์ า่ งๆ และรู้จักการใชค้ าเตมิ หน้าและลง ทา้ ยอยา่ งผู้ใหญใ่ ช้ ทีม่ า : ปัทมา คณุ เวทยว์ ิรยิ ะ. (ม.ป.ป.). ความสามารถทางภาษาของเดกปฐมวยั ทดี่ ร้ บั กิจกรรมการเรยี นรู้ แบบจิตปัญญาโดยใชส้ ื่อไมม่ โี ครงสรา้ ง. , มหาวิทยาลยี ศรนี ครนิ ทรวิโรฒ.

โลแกน; และโลแกน (Logan; & Logan) ได้แบง่ พฒั นาการทางภาษาออกเปน็ 7 ข้นั ดังน้ี 5. ระยะโครงสร้าง (Structure Stage) อายุ 4-5 ขวบเด็กจะเริม่ พฒั นา ความสามารถในการรบั รแู้ ละการสงั เกต เด็กจะเรม่ิ เล่นสนุกกบั คา และรู้จกั คิดคาและ ประโยคของตนเอง โดยอาศัยคาวลแี ละประโยคทเ่ี ขาได้ยินจากคนอื่น ๆ พูด เด็กจะเร่ิม คิดกฎเกณฑในการประสมคาและหาความหมายของคาและวลี โดยเด็กจะเรมิ่ รสู้ กึ สนุก กบั การเปลง่ เสียง ท่มี า : ปัทมา คณุ เวทยว์ ิรยิ ะ. (ม.ป.ป.). ความสามารถทางภาษาของเดกปฐมวยั ทดี่ ร้ บั กิจกรรมการเรยี นรู้ แบบจิตปัญญาโดยใชส้ ื่อไมม่ โี ครงสรา้ ง. , มหาวิทยาลยี ศรนี ครนิ ทรวิโรฒ.

โลแกน; และโลแกน (Logan; & Logan) ไดแ้ บง่ พัฒนาการทางภาษาออกเปน็ 7 ข้ัน ดังนี้ 6. ระยะตอบสนอง (Responding Stage) อายุ 5-6 ขวบ ในระยะนี้ความสามารถ ในการคิดและพัฒนาการทางภาษาของเด็กจะสูงขึ้น เขาจะเริม่ พัฒนาภาษาไปสภู่ าษาที่ เปน็ แบบแผนมากขึน้ และใช้ภาษาเหล่านัน้ กับส่งิ ต่าง ๆ รอบตวั การพฒั นาทางภาษาของ เดก็ ในวยั นี้จะเริม่ ตน้ เมอ่ื เขาเข้าเรียนในช้ันอนุบาลโดยเดก็ จะเร่ิมใชไ้ วยากรณอ์ ย่างงา่ ย ๆ ไดร้ ู้จกั ใช้คาทเี่ กีย่ วของกบั บา้ นและโรงเรียน ภาษาที่เดก็ ใช้ในการสือ่ ความหมายในระยะนี้ จะเกดิ จากส่ิงทีเ่ ขามองเห็นและรับรู้ ท่มี า : ปัทมา คณุ เวทยว์ ิรยิ ะ. (ม.ป.ป.). ความสามารถทางภาษาของเดกปฐมวยั ทดี่ ร้ บั กิจกรรมการเรยี นรู้ แบบจิตปัญญาโดยใชส้ ื่อไมม่ ีโครงสรา้ ง. , มหาวิทยาลียศรนี ครนิ ทรวิโรฒ.

โลแกน; และโลแกน (Logan; & Logan) ได้แบ่งพฒั นาการทางภาษาออกเป็น 7 ขน้ั ดงั นี้ 7. ระยะสรา้ งสรรค์ (Cresative Stage) อายุ 6 ปขี น้ึ ไป เปน็ ระยะท่เี ดก็ จะเริม่ เข้า โรงเรียน เดก็ จะเล่นสนุกกบั คา และหาวิธสี ่อื ความหมายดว้ ยตวั เลข เด็กในระยะนจ้ี ะ พัฒนาวเิ คราะห์ และสร้างสรรค์ ทกั ษะในการสื่อความหมาย โดยใชถ้ ้อยคาสานวน การ เปรียบเทยี บและภาษาพดู ท่ีเป็นนามธรรมมากข้นึ และเขาจะรูส้ กึ สนกุ กบั การแสดงความ คิดเหน็ โดยการพูดและการเขียน ท่มี า : ปัทมา คณุ เวทยว์ ิรยิ ะ. (ม.ป.ป.). ความสามารถทางภาษาของเดกปฐมวยั ทดี่ ร้ บั กิจกรรมการเรยี นรู้ แบบจิตปัญญาโดยใชส้ ่ือไมม่ โี ครงสรา้ ง. , มหาวิทยาลียศรนี ครนิ ทรวิโรฒ.

ทฤษฎที ี่เกยี่ วขอ้ งกบั พัฒนาการทางภาษา สาหรับเนสเซล ( Necssel. 2015) ได้อา้ ง ถงึ ผลงานวจิ ยั ที่เก่ยี วกบั พัฒนาการทางภาษา ของเด็กวา่ ประกอบดว้ ยข้ันตอนดงั ตอ่ ไปนี้ ขั้นท่ี 1 เด็กอายุ 10 เดอื นถงึ 1 ป6ี เดือนจะออกเสียงคาทีจ่ าได้ คาศัพทใ์ นการสอ่ื สารถึง 50 คา คาเหลา่ นจี้ ะเกี่ยวขอ้ งกับส่ิงของ สตั ว์ คน หรอื เรอ่ื งราวใน สง่ิ แวดลอ้ ม การที่เดก็ ออก เสียงคาหนง่ึ หรอื สองคาอาจมีความหมายรวมถึงประโยคหรอื วลที ้งั หมด ขั้นท่ี 2 เดก็ อายุ1 ป6ี เดือนถึง 2 ปี การพูดจะเปน็ การออกเสยี งคา สองคาและวลีสั้นๆ และมเี ฉพาะคาสาคัญสาหรบั สื่อความหมาย เด็กเรียนร้คู าศพั ทม์ ากขน้ึ ถงึ 300 คา รวมทั้งคา กิริยา และคาปฏิเสธ เดก็ จะสนกุ สนานกบั การพูดคนเดียว ท่ีมา : ภคั นนั ท์ ยอดสิงห.์ (2560). การออกแบบส่ือการเรยี นรูเ้ พ่อื สง่ เสริมทกั ษะดา้ น ความสามารถ ทางภาษาองั กฤษของเดก็ อาย3ุ -6 ปี. , มหาวิทยาลยั อบุ ลราชธานี.

สาหรับเนสเซล ( Necssel. 2015) ได้อา้ ง ถงึ ผลงานวจิ ัยทเ่ี กี่ยวกบั พัฒนาการทางภาษา ของเดก็ วา่ ประกอบดว้ ยขั้นตอนดังตอ่ ไปน้ี ขน้ั ท่ี 3 เด็กอายุ 2 ปีถงึ 2 ปี6 เดอื น จะเรียนรู้คาศพั ท์เพม่ิ ขึ้นถงึ 450 คา วลีจะยาวขน้ึ พดู ประโยคความเดยี วส้นั ๆ มีคาคณุ ศัพท์รวมในประโยค ขน้ั ที่ 4 เดก็ อายุ 2 ป6ี เดือน ถงึ 3 ปี คาศพั ท์จะเพ่มิ มากข้ึนถึง 1,000 คา ประโยคเร่มิ ซบั ซ้อนขึน้ เด็กทีอ่ ยู่ในสง่ิ แวดลอ้ มท่ีส่งเสรมิ พฒั นาการทางภาษาจะแสดงใหเ้ ห็นถึงความเจรญิ งอกงามทางด้านจานวนคาศัพทแ์ ละรปู แบบของประโยคอยา่ งชดั เจน ที่มา : ภคั นนั ท์ ยอดสิงห.์ (2560). การออกแบบสื่อการเรยี นรูเ้ พือ่ ส่งเสรมิ ทกั ษะดา้ น ความสามารถ ทางภาษาองั กฤษของเดก็ อาย3ุ -6 ปี. , มหาวิทยาลยั อบุ ลราชธานี.

สาหรับเนสเซล ( Necssel. 2015) ไดอ้ า้ ง ถึงผลงานวิจยั ท่เี กยี่ วกับพฒั นาการทางภาษา ของเด็กว่าประกอบดว้ ยขน้ั ตอนดงั ต่อไปน้ี ขั้นที่ 5 เด็กอายุ 3 ปี ถงึ 4 ป6ี เดือนสามารถสอื่ สารอย่างมปี ระสทิ ธภิ าพกบั ครอบครวั และผู้คนรอบข้าง จานวนคาศัพท์ทเี่ ด็กรู้ประมาณ 2,000 คา เด็กใช้โครงสรา้ งของ ประโยคหลายรูปแบบ เดก็ จะพฒั นาพืน้ ฐานการสื่อสารด้วยวาจาอยา่ งม่ันคงและเร่ิมต้นเรยี นรู้ ภาษาเขยี น ท่ีมา : ภคั นนั ท์ ยอดสิงห.์ (2560). การออกแบบส่ือการเรยี นรูเ้ พือ่ สง่ เสรมิ ทกั ษะดา้ น ความสามารถ ทางภาษาองั กฤษของเดก็ อาย3ุ -6 ปี. , มหาวิทยาลยั อบุ ลราชธานี.

ทฤษฎีท่ีเกี่ยวข้องกบั พัฒนาการทางภาษา นติ ยา ประพฤตกิ จิ (2539 : 178 - 179) ได้กล่าวถึงความสามารถทางภาษาด้าน การฟังของเด็กในแตล่ ะช่วงอายุไวด้ ังน้ี 1. อายุ 0 - 2 ปี พยายามเลยี นเสียงของเสยี งท่ไี ดย้ ิน เขา้ ใจคาและประโยคงา่ ย ๆ ชอบฟงั โฆษณาทางโทรทศั น์ ชอบฟังเรื่องสนั้ ๆ และเพลงกล่อมเด็ก 2. อายุ 3 ปี ชอบฟังเสยี งตา่ ง ๆ ท่ีไดย้ ินคุน้ หู เชน่ เสยี งสัตว์ ยานพาหนะ เครือ่ งใช้ ในครวั ชอบฟังนิทานท่ผี ใู้ หญอ่ ่านให้ฟงั แบบสองต่อสอง ฟงั ไม่ไดน้ านและฟังอย่างตงั้ ใจ สามารถเข้าใจภาษาพูดง่าย ๆ ของผู้ใหญ่ เชน่ อย่า ไม่ การปฏิบัติตามคาสง่ั ของผ้ใู หญ่ ยงั ไม่สม่าเสมอสามารถเช่ือมโยงเสยี งกบั วัตถทุ ใ่ี ช้ทาเสยี งได้ ท่ีมา : รสสคุ นธ์ แนวบตุ ร. (7). การพฒั นาทกั ษะการฟังและการพดู ของเดก็ ปฐมวยั โดยใช้ กิจกรรมการเลา่ นิทานพนื้ บา้ น. สานกั วิชาสงั คมศาสตร,์ 2557(2), .

นิตยา ประพฤติกิจ (2539 : 178 - 179) ไดก้ ล่าวถึงความสามารถทางภาษาดา้ น การฟังของเด็กในแตล่ ะช่วงอายไุ ว้ดังนี้ 3. อายุ 4 ปี ฟังเรอ่ื งได้นานข้นึ อาจเลอื กหนังสอื ให้ผ้ใู หญอ่ า่ นใหฟ้ งั สามารถปฏิบัติ ตามคาสงั่ งา่ ย ๆ ได้ บางครง้ั จะแกลง้ ทาเปน็ ไมไ่ ดย้ นิ หรอื ไมส่ นใจคาสง่ั หรอื เสยี งเรียก ชอบฟังเรือ่ งซ้า ๆ และสามารถจาแนกความแตกต่างของเสยี งได้ 4. อายุ 5 ปี ตง้ั ใจฟังนานข้นึ ชอบฟังนิทาน เพลง คาคล้องจอง สามารถปฏิบัติตาม คาสัง่ ได้มากขึน้ เข้าใจคาพดู ข้อความยาว ๆ ของผใู้ หญ่ 5. อายุ 6 ปี ชอบฟงั เรือ่ งราวตา่ ง ๆ โดยเฉพาะเกย่ี วกับธรรมชาติและปรากฏการณ์ ต่าง ๆ ทีม่ า : รสสคุ นธ์ แนวบตุ ร. (7). การพฒั นาทกั ษะการฟังและการพดู ของเดก็ ปฐมวยั โดยใช้ กิจกรรมการเลา่ นิทานพนื้ บา้ น. สานกั วิชาสงั คมศาสตร,์ 2557(2), .

ทฤษฎีที่เก่ยี วข้องกบั พัฒนาการทางภาษา โลเวนเฟรต (สภุ าพ กติ ติสาร. 2552 : 26; อา้ งอิงจาก Lovenfred. n.d.) ไดก้ ล่าวถึง พฒั นาการในการเขียนของเดก็ ดังนี้ 1. เดก็ ในช่วง 2–4 ปี จะมีพัฒนาการในการเขียนโดย หยิบจับ ขดี เขยี นอย่าง สะเปะสะปะ เพราะยงั ไมส่ ามารถบังคบั มือได้ จนกระทัง้ ประสาทมือเรมิ่ สมั พันธก์ ับการ ควบคมุ สายตา ในงานทที่ าได้ จะเรม่ิ เขียนลากเส้นทส่ี ะเปะสะปะไปส่เู ส้นโคง มกี ารวนซา้ เสน้ เดิม มีท้ังเส้นในแนวดงิ่ และเสน้ แนวนอน และจะลากเป็นวงกลม จากน้ันเร่มิ เปน็ การขีด เขียน เร่ิมสนใจและสารวจสงิ่ ต่างๆ รอบตัว สามารถแสดงออกมาในเส้นที่ตนขดี เขียน ทม่ี า : ปัทมา คณุ เวทยว์ ิรยิ ะ. (ม.ป.ป.). ความสามารถทางภาษาของเดกปฐมวยั ทดี่ ร้ บั กิจกรรมการเรยี นรู้ แบบจิตปัญญาโดยใชส้ ่ือไมม่ ีโครงสรา้ ง. , มหาวิทยาลยี ศรนี ครนิ ทรวิโรฒ.

โลเวนเฟรต (สภุ าพ กิตตสิ าร. 2552 : 26; อ้างองิ จาก Lovenfred. n.d.) ได้กลา่ วถงึ พฒั นาการในการเขยี นของเดก็ ดงั นี้ 2. เด็กวยั 4-7 ปี จะมพี ัฒนาการในการเขียนโดยการขีดเขียนนน้ั เรมิ่ มี ความหมาย ชดั เจนยิ่งข้ึนเป็นการเริ่มต้นส่อื สารด้วยภาพ เดก็ เริ่มสร้างแบบในการวาดของ ตน แบบแผนหรอื สัญลักษณแ์ รกท่เี ดก็ ทาขนึ้ ได้แก่ คน เพราะเป็นสิ่งที่ใกล้ตัวเด็กมากทีส่ ุด ท่ีมา : ปัทมา คณุ เวทยว์ ิรยิ ะ. (ม.ป.ป.). ความสามารถทางภาษาของเดกปฐมวยั ทดี่ ร้ บั กิจกรรมการเรยี นรู้ แบบจิตปัญญาโดยใชส้ ่ือไมม่ โี ครงสรา้ ง. , มหาวิทยาลียศรนี ครนิ ทรวิโรฒ.

ทฤษฎีทเี่ ก่ยี วขอ้ งกับพฒั นาการทางภาษา ทฤษฎพี ัฒนาการการอ่านของโคเครน (Cochrane’s Reading Theory) สามารถแยกย่อย ออกได้เป็น 3 ระยะคอื 1.ระยะการเริ่มเรยี นรูเ้ ป็นขั้นเร่ิมตง้ั แตเ่ กิด ซ่งึ เด็กยังไม่รู้จกั หนังสอื หรอื สง่ิ พมิ พต์ า่ งๆ ว่า คืออะไร แตจ่ ะเรียนร้ทู ีละน้อยจากประสบการณจ์ ากสภาพส่งิ แวดลอ้ ม จะคน้ หาวา่ ถอื หนงั สอื อย่างไร แมจ้ ะเรม่ิ จากการถอื กลบั หัว ทา้ ยบ้างกต็ าม 2.ระยะท่ีเด็กเรมิ่ มีความร้สู กึ เหมอื นตนเองเป็นผู้อา่ น ในขั้นนีเ้ ด็กโดยทัว่ ไป อายุประมาณ 2 ขวบ จะสามารถถอื หนงั สือได้ถกู ทศิ ทาง ทราบว่าควรอา่ นจากซ้ายไปขวา จากบนลงล่าง เปดิ หนังสือจากหนา้ แรกไปหนา้ สุดทา้ ย เด็กเร่ิมใหค้ วามสนใจรปู ภาพและเกิดความสนใจ ความหมายของภาพต่างๆ ทม่ี า : จารุทศั น์ วงศข์ า้ หลวง. (2557). การพฒั นารูปแบบ READ เพ่ือสง่ เสรมิ ทกั ษะการ อ่าน เรม่ิ แรกของเดก็ วยั เตาะแตะ. สมาคมนกั วิจยั , 19(2), 126.

ทฤษฎีพัฒนาการการอ่านของโคเครน (Cochrane’s Reading Theory) สามารถแยกย่อย ออกไดเ้ ป็น 3 ระยะคอื 3.ระยะทส่ี ามจะเป็นชว่ งทีเ่ ด็กเร่ิมเรียนรู้เกี่ยวกับตัวอักษร เดก็ จะเร่มิ มี ความสามารถในการทาความเขา้ ใจตวั อักษรและเสยี งตา่ งๆ ตลอดจนการนาไปใชใ้ นการอา่ น เร่ิมร้จู ักคาและนาไปใช้ได้ จาคาบางคาเป็นพิเศษ เช่น ช่อื ตวั เอง และคาท่พี บบอ่ ยๆ เด็กจะ เรียนร้แู ละทราบ ความหมาย ตลอดจนสามารถนาไปใชไ้ ด้ถูกตอ้ งก่อนคา อ่นื ๆ ท่มี า : จารุทศั น์ วงศข์ า้ หลวง. (2557). การพฒั นารูปแบบ READ เพื่อส่งเสรมิ ทกั ษะการ อา่ น เรม่ิ แรกของเดก็ วยั เตาะแตะ. สมาคมนกั วจิ ยั , 19(2), 126.

ทฤษฎีท่เี ก่ียวกบั พฒั นาการทางภาษา 1.ทฤษฎีความพึงพอใจแหง่ ตน (The Autism Theory หรอื Autistic Theory) ผูค้ ดิ ตั้ง ทฤษฎีนคี้ ือ โอ โฮบาร์ท โมว์เรอร์ (O.Hobart Mowrer ) ทฤษฎนี จี้ ึงถือวา่ การเรียนรกู้ าร พูดของเด็ก เกิดจากการเลียนเสยี งอนั เนอื่ งมาจากความพงึ พอใจท่ีจะได้ทาเช่นน้ัน โมว์ เรอร์ (Mowrer) เชอ่ื ว่าความสามารถในการฟัง และความเพลดิ เพลินจากการได้ยินเสียง ผ้อู นื่ และเสียงตวั เอง เป็นสิ่งสาคญั ยงิ่ ตอ่ พัฒนาการทางภาษา ทมี่ า : อารยี ์ คาสงั ฆะ. (2554). การสง่ เสรมิ ความเขา้ ใจภาษาของเดก็ ปฐมวยั โดยผูป้ กครอง ใชช้ ดุ กิจกรรมเล่นกบั ลกู ปลกู ภาษา. , มหาวิทยาลยั ศรนี ครนิ ทรวิโรฒ.

ทฤษฎีท่เี กีย่ วกับพฒั นาการทางภาษา 2.ทฤษฎกี ารเลียนแบบ (The Imitation Theory) เลวิส (Lewis) ได้ศึกษาเกีย่ วกับการ เลยี นแบบในการพัฒนาทางภาษาอย่างละเอียด ทฤษฎนี เ้ี ช่อื วา่ พฒั นาการทางการพูดนั้น เกิดขน้ึ หลายทาง โดยอาศัยการเลียนแบบ ซ่งึ อาจเกดิ ไดจ้ ากการมองเหน็ หรือการไดย้ ิน เสยี ง ที่มา : อารยี ์ คาสงั ฆะ. (2554). การสง่ เสรมิ ความเขา้ ใจภาษาของเดก็ ปฐมวยั โดยผูป้ กครอง ใชช้ ดุ กิจกรรมเลน่ กบั ลกู ปลกู ภาษา. , มหาวิทยาลยั ศรนี ครนิ ทรวิโรฒ.

ทฤษฎีท่เี กย่ี วกบั พฒั นาการทางภาษา 3.ทฤษฎเี สริมแรง (Reinforcement Theory) ทฤษฎีนอ้ี าศยั จากหลักทฤษฎขี องการเรยี นรู้ ซ่งึ ถือว่าพฤตกิ รรมทั้งหลายถกู สรา้ งขึน้ โดยอาศยั การวางเงอื่ นไข ไรนโ์ กลด์ (Rheingold) และคนอน่ื ๆ ศกึ ษาพบว่า เดก็ จะพูดมากข้นึ เมอ่ื ไดร้ บั รางวลั หรอื ได้รบั การเสริมแรง ท่ีมา : อารยี ์ คาสงั ฆะ. (2554). การส่งเสรมิ ความเขา้ ใจภาษาของเดก็ ปฐมวยั โดยผูป้ กครอง ใชช้ ดุ กิจกรรมเลน่ กบั ลกู ปลกู ภาษา. , มหาวิทยาลยั ศรนี ครนิ ทรวิโรฒ.

ทฤษฎีท่เี ก่ียวกับพฒั นาการทางภาษา 4.ทฤษฎีการรับรู้ (Motor Theory of Perception) ลิเบอร์แมน (Liberman) ตงั้ สมมตุ ิฐาน ไวว้ ่า การรับรู้ทางการฟังข้นึ อยูก่ ับการเปล่งเสยี ง จงึ เห็นได้วา่ เดก็ มกั จ้องหน้าเวลาเราพูด ด้วยการทาเชน่ น้ี อาจเปน็ เพราะเด็กฟงั พูดซา้ ดว้ ยตนเองหรือหัดเปลง่ เสียงโดยอาศยั การ อา่ นริมฝปี าก แลว้ จงึ เรียนรู้คา ทมี่ า : อารยี ์ คาสงั ฆะ. (2554). การส่งเสรมิ ความเขา้ ใจภาษาของเดก็ ปฐมวยั โดยผูป้ กครอง ใชช้ ดุ กิจกรรมเลน่ กบั ลกู ปลกู ภาษา. , มหาวิทยาลยั ศรนี ครนิ ทรวิโรฒ.

ทฤษฎีท่เี กยี่ วกบั พฒั นาการทางภาษา 5.ทฤษฎคี วามบังเอิญจากการเล่นเสียง (Babble Buck) ซึง่ ธอร์นไดค์ (Thomdike) เป็นผู้ คิดโดยอธบิ ายเมอื่ เดก็ กาลังเล่นเสียงอยู่นน้ั เผอิญมีบางเสยี งไปทาให้เด็กพฒั นาภาษา ท่มี า : อารยี ์ คาสงั ฆะ. (2554). การสง่ เสรมิ ความเขา้ ใจภาษาของเดก็ ปฐมวยั โดยผูป้ กครอง ใชช้ ดุ กิจกรรมเล่นกบั ลกู ปลกู ภาษา. , มหาวิทยาลยั ศรนี ครนิ ทรวิโรฒ.

ทฤษฎีท่เี กย่ี วกบั พฒั นาการทางภาษา 6.ทฤษฎชี วี วทิ ยา (Biological Theory) เลนเนเบอรก์ (Lenneberg) เชื่อว่าพัฒนาการทาง ภาษาน้นั มพี นื้ ฐานชวี วทิ ยาเปน็ สาคัญ กระบวนการทีค่ นพดู ไดข้ ึน้ อยกู่ ับการเปล่งเสียง เด็ก จะเร่ิมส่งเสยี งอ้อแอ้และพดู ได้ตามลาดับ ที่มา : อารยี ์ คาสงั ฆะ. (2554). การส่งเสรมิ ความเขา้ ใจภาษาของเดก็ ปฐมวยั โดยผูป้ กครอง ใชช้ ดุ กิจกรรมเลน่ กบั ลกู ปลกู ภาษา. , มหาวิทยาลยั ศรนี ครนิ ทรวิโรฒ.

ทฤษฎที ่เี กี่ยวกับพฒั นาการทางภาษา 7.ทฤษฎกี ารให้รางวลั ของแม่ (Mother Reward Theory) ดอลลารด์ (Dollard) และมิลเลอร์ (Miller) เป็นผู้คิดทฤษฎีนี้ โดยย้าเกีย่ วกบั บทบาทของแมใ่ นการพัฒนาภาษาของเดก็ วา่ ภาษา ที่แมใ่ ช้เปน็ การเล้ียงดูเพื่อสนองความต้องการของลูกน้ันเป็นอทิ ธพิ ลทที่ าให้เกดิ ภาษาพูดแก่ลกู ท่ีมา : อารยี ์ คาสงั ฆะ. (2554). การสง่ เสรมิ ความเขา้ ใจภาษาของเดก็ ปฐมวยั โดยผูป้ กครอง ใชช้ ดุ กิจกรรมเล่นกบั ลกู ปลกู ภาษา. , มหาวิทยาลยั ศรนี ครนิ ทรวิโรฒ.

ทฤษฎที ี่เก่ียวกบั การเรียนร้ภู าษาของเดก็ ปฐมวยั นักพฤตกิ รรมศาสตร์ (The Behaviorist View ) มีทัศนะในเร่ืองการเรียนรู้ของเด็กว่าการเรียนรู้ภาษาของเด็ก เกิดจากผลการปรับส่ิงแวดล้อมของแต่ละบุคคลท่ีมีอยู่ในตนเอง ในขณะที่เด็กเจริญเติบโตข้ึนเร่ือยๆ แรงเสริมใน ทางบวกจะถูกนามาใชเ้ ม่ือภาษาของเด็กใกลเ้ คียงตามภาษาของผู้ใหญ่ มคี วามเชือ่ เก่ยี วกบั การเรียนภาษาของเด็กคอื 1.เด็กเกิดมาโดยมีศักยภาพในการเรียนรู้ ซึ่งเป็นส่วนหน่ึงของการ ถ่ายทอดทางพันธุกรรมโดยปราศจาก ความสามารถพิเศษด้านการเรียนดา้ นใดดา้ นหนึง่ 2.การเรยี นรู้ ซง่ึ รวมท้ังการเรยี นทางภาษาเกิดข้ึนโดยสง่ิ แวดลอ้ มเปน็ ผปู้ รบั พฤติกรรมของผูเ้ รียน 3.พฤติกรรมท่วั ไปรวมทงั้ ภาษา ถูกปรับโดยแรงเสริมจากการตอบสนองทีเ่ กดิ จากสิ่งเร้า 4.ในการปรับพฤติกรรมที่ซับซ้อนอย่างเช่นภาษา จะมีกระบวนการเลือก หรือทาให้ตอบสนองเฉพาะเจาะจงข้ึน โดยผ่านการให้เสริมแรงทางบวก การเสริมแรงในระยะหลังๆ จะถูกนามาใช้กับการตอบสนองท่ีซับซ้อนและใกล้เคียง กบั เปา้ หมายทางพฤตกิ รรมสูงสุด ท่ีมา : อารยี ์ คาสงั ฆะ. (2554). การสง่ เสรมิ ความเขา้ ใจภาษาของเดก็ ปฐมวยั โดยผูป้ กครอง ใชช้ ดุ กิจกรรมเลน่ กบั ลกู ปลกู ภาษา. , มหาวิทยาลยั ศรนี ครนิ ทรวิโรฒ.

ทฤษฎที ีเ่ กย่ี วกับการเรยี นรู้ภาษาของเด็ก ปฐมวยั นักทฤษฎสี ภาวะติดตัวโดยกาเนดิ ( The nativist View) ซึ่งเป็นกลุ่มของนักทฤษฎีท่ีเช่ือเก่ียวกับ กฎธรรมชาติหรือกฎเก่ียวกับสิ่งที่มีมาแต่กาเนิดว่า เด็กเกิดมาด้วยความสามารถทางภาษา โดยมี โครงสรา้ งทางภาษาศาสตรอ์ ยู่ในตัว ซึ่งได้แก่ โครงสร้างทางการเรียนรู้ด้านความหมายประโยคและ ระบบเสยี ง เด็กจะมขี นั้ ของการพฒั นาทางด้านรา่ งกายและขน้ั ตอนทางภาษาเก่ียวโยงและสัมพันธ์กัน อย่างใกล้ชิด โดยท่ีความสามารถทางการเรียนภาษาของเด็กจะถูกวางโปรแกรมไว้ในตัวและมีความ เก่ียวข้องสัมพนั ธ์กับสง่ิ แวดลอ้ มทเี่ ด็กไดร้ ับ ท่ีมา : อารยี ์ คาสงั ฆะ. (2554). การส่งเสรมิ ความเขา้ ใจภาษาของเดก็ ปฐมวยั โดยผูป้ กครอง ใชช้ ดุ กิจกรรมเลน่ กบั ลกู ปลกู ภาษา. , มหาวิทยาลยั ศรนี ครนิ ทรวิโรฒ.

ทฤษฎที ี่เก่ยี วกบั การเรียนรภู้ าษาของเด็ก ปฐมวัย นักสังคมศาสตร์ (The Socialist View) หรือนักทฤษฎีวัฒนธรรมให้ความสนใจเกี่ยวกับ ผลกระทบของสิ่งแวดล้อมทางภาษาของผู้ใหญ่ที่มีต่อพัฒนาการทางภาษาของเด็ก พบว่ามีผลต่อ พฒั นาการทางภาษาและพัฒนาการทางสติปัญญาของเดก็ ลักษณะของส่ิงแวดล้อมท่ีดีที่สุดสาหรับการเรียนภาษาเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ภาษาของเด็ก ได้แก่ 1.สิ่งแวดล้อมที่สอดคล้องกับวิธีการเรียนรู้ของเด็ก การส่งเสริมให้เด็กได้สารวจปฏิบัติจริง กระทาดว้ ยตนเอง อยูใ่ นสิ่งแวดลอ้ มท่เี ป็นอสิ ระ ร้จู กั สงั เกต ตั้งสมมตฐิ าน 2.สิ่งแวดล้อมท่ีส่งเสริมปฏิสัมพันธ์ระหว่างเด็กแทม่ีลาะ: อบารุคยี ์คคาลสงัรฆอะ. บ(2ข55้า4ง). กเาดรส็กง่ เคสรวมิ ครวาไมดเข้สา้ ใ่ือจภสาษาารขอแงเบดก็ บปฐสมวอยั โงดยผูป้ กครอง ทางซึ่งเป็นหัวใจสาคญั ของการส่อื สาร ใชช้ ดุ กิจกรรมเลน่ กบั ลกู ปลกู ภาษา. , มหาวิทยาลยั ศรนี ครนิ ทรวิโรฒ.

ทฤษฎที ่เี กี่ยวกบั การเรียนรูภ้ าษาของเดก็ ปฐมวยั ลักษณะของส่ิงแวดล้อมท่ีดีท่ีสุดสาหรับการเรียนภาษาเพ่ือส่งเสริมการเรียนรู้ภาษาของเด็ก ได้แก่ 3.ส่ิงแวดล้อมท่ีเน้นความหมายมากกว่าด้านรูปแบบ พ่อแม่หรือผู้ใหญ่ควรยอมรับการ ส่ือสารของเดก็ ในรูปแบบต่างๆ โดยคานงึ ถงึ ความหมายที่เด็กต้องการจะสื่อออกมาเป็นสิ่งสาคัญกว่า การพดู ดว้ ยรูปแบบไวยากรณ์ท่ีถูกต้องเรียงภาษาจากง่ายไปส่ทู ซ่ี ับซ้อน 4.ส่ิงแวดลอ้ มทปี่ ระกอบดว้ ยความหลากหลายทางดา้ นวาจาและไม่ใชว่ าจา เดก็ ควรได้รบั ประสบการณ์และการมีปฏิสัมพนั ธ์ในหลายๆ รูปแบบเพราะประสบการณ์จะมสี ่วนช่วยด้านการ แสดงออกทางภาษา ท่ีมา : อารยี ์ คาสงั ฆะ. (2554). การสง่ เสรมิ ความเขา้ ใจภาษาของเดก็ ปฐมวยั โดยผูป้ กครอง ใชช้ ดุ กิจกรรมเล่นกบั ลกู ปลกู ภาษา. , มหาวิทยาลยั ศรนี ครนิ ทรวิโรฒ.

ทฤษฎที เ่ี กีย่ วกับการเรยี นรู้ภาษาของเดก็ ปฐมวยั ทฤษฎีของสกินเนอร์ Skinner (1950 ; อ้างถึงใน ปรียาพร วงศ์อนตุ รโรจน.์ 2540 : 52) ไดอ้ ธบิ าย กระบวนการ เรียนรภู้ าษาว่า เกดิ จากการเปล่งเสยี งโดยเร่มิ ตัง้ แต่วัยทารกและผเู้ ล้ียงใหก้ ารเสริมแรง เดก็ ทารก จงึ เรยี นรภู้ าษาของตนได้ดที ส่ี ุดดว้ ยการเลียนแบบพี่เลีย้ งหรอื ผูเ้ ลีย้ งดู เม่อื เด็กเลียนเสยี งผู้ใหญ่ อยา่ งถกู ต้องก็จะไดร้ ับการเสรมิ แรง ซงึ่ ช่วยใหเ้ ด็กเลยี นเสยี งบอ่ ยขึ้นจนตดิ เปน็ นิสยั ทีจ่ ะออกเสียง นั้นได้ ส่วนเสียงทีไ่ ม่ใดใ้ ช้ไมถ่ ูกเสริมแรงก็จะถูกละท้ิงไปในท่สี ดุ ด้วยเหตนุ ้ี สกินเนอร์ จึงเชอ่ื ในเรื่อง การเลอื กเสรมิ แรง โดยใหร้ างวัลการเปล่งเสียงของเด็กวา่ เป็นสาเหตขุ องการปลูกผงั ความสามารถทางภาษาให้แกเ่ ดก็ และการเลียนเสยี งผ้ใู หญก่ ็สามารถทาให้เด็กพดู ได้ ซงึ่ เป็น กระบวนการทีเ่ กิดข้นึ ในชีวติ ประจาวันของเด็กได้ จนบุคคลนั้นมีความสามารถทางภาษา ท่ีมา : รสสคุ นธ์ แนวบตุ ร. (7). การพฒั นาทกั ษะการฟังและการพดู ของเดก็ ปฐมวยั โดยใช้ กิจกรรมการเลา่ นิทานพนื้ บา้ น. สานกั วิชาสงั คมศาสตร,์ 2557(2), .

แนวคิดในการพัฒนาศิลปะเพื่อส่งเสริมภาษาและการสอ่ื สาร พรพไิ ล เลศิ วิชา (2557) กลา่ วว่า การป้นั นอกจากจะชว่ ยพฒั นาทกั ษะการใชท้ กั ษะกล้ามเน้ือ มดั เลก็ แล้วยังพัฒนาทักษะทางดา้ นภาษาโดยเด็กจะอธิบายผลงานของตนเองถึงจดุ ประสงค์ ของการปัน้ ว่าตนเองต้องการปัน้ อะไรให้เพื่อนในช้นั เรยี น และยังนามาเล่นบทบาทสมมติ แสดงผลงานของตนเอง จึงเป็นการส่งเสริมพัฒนาการทางภาษาและการแสดงออกไดเ้ ป็น อยา่ งดี สอดคล้องกบั จีรวรรณ นนทะชัย(2555) ได้ศกึ ษาพบวา่ การจดั ประสบการณเ์ ล่า นทิ านประกอบกิจกรรมศลิ ปะสร้างสรรคส์ ามารถพฒั นาการพูดของเด็กปฐมวยั ได้ ทมี่ า : ประภาศิริ สิงห์ครุ. (2563). ผลการจดั กิจกรรมศลิ ปะสร้างสรรคท์ มี่ ตี ่อความสามารถ การใชท้ กั ษะกลา้ มเน้ือมดั เลก็ และภาษา ของเดก็ วยั อนุบาล. [รูปแบบอเิ ลก็ ทรอนิกส์]. วารสารบณั ฑติ วจิ ยั JOURNAL OF GRADUATE RESEARCH, 11(2), .

แนวคิดในการพฒั นาศิลปะเพือ่ ส่งเสรมิ ภาษาและการสอ่ื สาร สริ มิ า ภิญโญอนนั ตพงษ์ (2556) ได้กลา่ วไว้ว่ากิจกรรมศลิ ปะสร้างสรรคจ์ ะทาให้เดก็ เกดิ ทักษะ การฟัง การมอง การสังเกต การเลยี นแบบ เด็กจะเรียนรูภ้ าษา จากการฟงั สิง่ ที่ผสู้ อนอธบิ าย และสาธิตแลว้ ปฏบิ ตั ติ ามขั้นตอน สอดคล้องกบั พิชญาดา ธาตุอินจันทร์ (2553) ท่ีศกึ ษาการใช้ นิทานภาพประกอบการปน้ั พบว่าหลังการจดั กจิ กรรมผู้เรียนมีพัฒนาการทักษะการฟงั และ การพดู อย่ใู นระดบั ดีมาก คล้ายกบั วิจติ ราวิ เศษสมบตั ิ (2555) ทศ่ี ึกษาพบวา่ การจดั ประสบการณค์ วามคดิ รวบยอดประกอบการสนทนาในกจิ กรรมการปน้ั สามารถพัฒนาทักษะ ภาษาดา้ นการฟังและการพดู สูงของเดก็ ปฐมวยั ได้ ทีม่ า : ประภาศิริ สิงห์ครุ. (2563). ผลการจดั กิจกรรมศลิ ปะสร้างสรรคท์ ม่ี ตี ่อความสามารถ การใชท้ กั ษะกลา้ มเน้ือมดั เลก็ และภาษา ของเดก็ วยั อนุบาล. [รูปแบบอเิ ลก็ ทรอนิกส์]. วารสารบณั ฑติ วจิ ยั JOURNAL OF GRADUATE RESEARCH, 11(2), .

แนวคดิ ในการพัฒนาศลิ ปะเพือ่ ส่งเสรมิ ภาษาและการส่ือสาร สริ ิพรรณ ตันตริ ัตน์ไพศาล (2545: 99) กลา่ ววา่ การใชค้ าศพั ท์ตา่ ง ๆ ในการจดั กิจกรรมทางด้านศลิ ปะ สามารถนามาเชื่องโยงใหเ้ ด็กเกดิ การเรียนรู้เก่ียวกบั คาทจี่ ะใช้เรยี กวัสดุ อปุ กรณ์ที่ใช้ เช่น พู่กัน สี ดินน้ามัน กระดาษ ฯลฯ คาทีใ่ ชใ้ นการทากิจกรรม เชน่ ตัด ปะ ฉีก พับ ปัน้ ฯลฯ คาเกี่ยวกบั คณุ สมบัติและคณุ ลกั ษณะ ของวัสดอุ ุปกรณ์นน้ั ๆ เชน่ สีออ่ น สีเข้ม มืด เรียบ เหนยี ว แข็ง บาง การเปรยี บเทียบกับขนาด น้าหนกั สี รปู ทรง พน้ื ผิว และการเลา่ เรอ่ื งราวจาก ภาพวาด ถ้อยคาท่เี หมาะสมกบั เดก็ ในการเลา่ หรือสนทนาพดู คุย ขณะในการทากจิ กรรมจะช่วยให้เกดิ ความคนุ้ เคยและเข้าใจ เปน็ การฝกึ การเรยี นรู้คาพดู ใหมๆ่ ร้จู กั พูด ประโยค และฝกึ การฟงั ไปดว้ ย สาหรับด้านการเขยี นนัน้ ศิลปะมกั จะเปน็ พนื้ ฐานทส่ี าคัญอยา่ งย่ิง เพราะเส้น พนื้ ฐานทกุ เส้นในการเขยี นตวั อกั ษรอยู่ในการวาดภาพของเด็กทั้งหมดนน้ั ไม่จาเปน็ ต้องมาฝึกการลากเสน้ ลีลา มอื เลย ขอเพียงแตใ่ ห้เดก็ ได้วาดรูปมาก ๆ เขากจ็ ะสามารถนาเอาเสน้ มาร่วมประกอบเป็นตัวหนงั สอื ได้ ท่ีมา : ประภาศิริ สิงห์ครุ. (2563). ผลการจดั กิจกรรมศลิ ปะสร้างสรรคท์ ่มี ตี อ่ ความสามารถ การใชท้ กั ษะกลา้ มเน้ือมดั เลก็ และภาษา ของเดก็ วยั อนุบาล. [รูปแบบอิเลก็ ทรอนิกส์]. วารสารบณั ฑติ วจิ ยั JOURNAL OF GRADUATE RESEARCH, 11(2), .

แนวคดิ ในการพัฒนาศลิ ปะเพ่ือสง่ เสรมิ ภาษาและการสอื่ สาร วัฒนา ปญุ ญฤทธ์ิ และคณะ (2553: 5) กล่าวไวว้ ่า ศลิ ปะชว่ ยใหค้ นเราพฒั นา ภาษา เมื่อมโี อกาสได้ถา่ ยทอด ส่อื สาร อธิบบายเกยี่ วกับผลงานแกผ่ อู้ ่ืน ที่มา : ประนดั ดา รตั นไตรมาส. (2557). ผลของการจดั กิจกรรมศิลปะสรา้ งสรรคแ์ บบตอ่ เตมิ ท่ี มีตอ่ พฒั นาการดา้ นการเขียนของเดก็ ปฐมวยั . , มหาวิทยาลยั ศรนี ครนิ ทรวิโรฒ.

2 การจดั ประสบการณ์เพอื่ พฒั นาภาษา และการสอื่ สารสาหรบั เดก็ ปฐมวัย

การจัดกจิ กรรมศลิ ปะเพือ่ พฒั นาภาษาและการส่ือสาร การจัดกิจกรรมศิลปะเพ่ือพัฒนาภาษาและการสื่อสาร หลักสาคัญ คือ กิจกรรมต้อง สอดคล้องกับการพัฒนาภาษาของเด็กปฐมวัย กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์เป็นกิจกรรมที่ ส่งเสริม ให้เด็กลงมือปฏิบัติกิจกรรมด้วยตนเองเพื่อให้เกิดการเรียนรู้และการใช้ภาษาของ เด็กได้เป็นอย่างดี ยังสามารถส่งเสริมทักษะการใช้ภาษา ด้านการอ่าน การเขียน การพูด และการฟังของเด็กจาก การส่ือสารหรือแสดงความรู้สึกเก่ียวกับการทากิจกรรม และ นาเสนอผลงานทางศลิ ปะของตนเอง ทมี่ า : ป่ินทอง นนั ทะลาด. (2560). เอกสารประกอบการสอนศิลปะสาหรบั เดก็ ปฐมวัย. , มหาวิทยาลยั ราชภฏั อดุ รธานี.

บทบาทของครูในการสง่ เสรมิ ภาษา Hildbrand(1997)ได้เสนอถงึ บทบาทครใู นการส่งเสริมภาษาคอื 1.ครคู วรสร้างบรรยากาศให้เด็กรสู้ ึกผ่อนคลาย 2.ครคู วรเห็นคุณค่าของเดก็ แต่ละคนและให้เวลาในการพูดของเดก็ แต่ละคน 3.ครูควรให้การยอมรบั เดก็ ทุกคนอยา่ งเทา่ เทยี มกนั 4.ครูควรเตรียมการวางแผนในการพัฒนาภาษาของเดก็ 5.ครคู วรใช้คาถามปลายเปดิ ในถามเดก็ ทมี่ า : นติ ยา ทองมนต์. (ม.ป.ป.). การจดั ประสบการณท์ างภาษาสาหรบั เด็กปฐมวยั .

บทบาทของผปู้ กครองท่จี ะชว่ ยพัฒนาภาษา ราศี ทองสวัสด(ิ 2544) กลา่ วถงึ บทบาทของผ้ปู กครองทีจ่ ะช่วยพัฒนาภาษา มี ดงั นี้ 1.ให้ความเอาใจใส่ตอ่ เด็ก จนเด็กเกิดความสนทิ สนมท่จี ะพดู คุยด้วยได้ 2.มเี วลาใหก้ ับบุตรหลาน 3.เป็นแบบอยา่ งในการใชภ้ าษาทด่ี แี กเ่ ด็ก 4.แนะนาส่งิ ทส่ี มควรให้เด็กได้เรยี นรู้ 5.ไม่เบอื่ ท่จี ะตอบคาถามเดก็ ที่มา : นิตยา ทองมนต์. (ม.ป.ป.). การจดั ประสบการณ์ ทางภาษาสาหรับเดก็ ปฐมวยั .

แนวทางในการจัดกิจกรรมศลิ ปะสรา้ งสรรค์เพอื่ สง่ เสรมิ ภาษาสาหรบั เด็กปฐมวยั แนวทางการสอนศิลปะสาหรบั เดก็ ไดแ้ ก่ (Isbell & Raines, 2007) 1.จดั สื่อที่หลากหลายเพ่อื ใหเ้ ด็กได้มีโอกาสในการสารวจและเรียนรู้เกี่ยวกับคุณสมบัติ ของสอ่ื แต่ละชนิด 2.เปดิ โอกาสให้เด็กไดเ้ ลือกใชส้ ือ่ ท่หี ลากหลายและเรยี นรู้วธิ ีการใช้งานอยา่ งเหมาะสม 3.เปิดโอกาสให้เด็กได้แสดงความช่ืนชมผลงานของตนเองและพูดคุยเก่ียวกับผลงาน ของผอู้ น่ื 4.พูดคุยเกี่ยวกบั ลกั ษณะของผลงานดว้ ยศัพท์ทางศิลปะ เช่น รปู ร่าง สี เป็นตน้ ทีม่ า : องั คณา ธญั ญวรการ. (2015). ผลการจดั กิจกรรมสร้างสรรคโ์ ดยใชเ้ ทคนิคมนั ดาลาทมี่ ีตอ่ ความสามารถในการเลา่ เรื่องของเดก็ อนุบาล. [รูปแบบอเิ ลก็ ทรอนิกส์]. วารสารอิเลก็ ทรอนิกส์ ทางการศึกษา, 10(2), .

กระบวนการจัดประสบการณบ์ ูรณาการทางภาษาโดยใชศ้ ลิ ปะแบบบรู ณาการ ขัน้ ที่ 1 การเชอ่ื มโยงประสบการณ์ เป็นการดงึ ความรู้และประสบการณเ์ ดิมของเด็ก เพื่อเชื่อมโยงกับ ประสบการณใ์ หม่ทีเ่ ด็กจะไดร้ บั ในขั้นการเชอื่ มโยงประสบการณน์ ้ีเด็กจะได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้โดย การตั้ง คาถาม สนทนา และรับฟังความคิดเห็นและประสบการณ์ของผู้อ่ืน และได้รับประสบการณ์ทางศิลปะที่ หลากหลาย มีความสอดคลอ้ งกับสาระทางภาษา สอดคล้องกับ Mcdonald and Fifher (2006) ที่กล่าว ว่า ครูผู้สอนสามารถพัฒนาความสามารถทางภาษาของเด็กได้จากกิจกรรมศิลปะ ดังนี้ กิจกรรมดนตรี ช่วยให้เด็ก สามารถเรียนรู้และปฏิบัติได้ สามารถร้องเพลง เล่นเครื่องดนตรีชนิดต่างๆ หรือการอ่านตัว โนต้ เดก็ ฟงั เพลงอยา่ งเขา้ ใจ ส่งผลใหส้ ามารถอธิบายเนื้อหาของเพลงได้ เขา้ ใจเนอ้ื หาของเพลงและบริบท ทางสงั คมและวฒั นธรรมได้ มคี วามเข้าใจในเนื้อหา และภาษาพูด ทีม่ า : ดวงพร สัตนนั ท.์ (2015). ผลของการจดั ประสบการณ์ทางภาษาโดยใชศ้ ิลปะแบบบรู ณาการทีม่ ีต่อความสามารถ ในการพดู เลา่ เรื่องของ เดก็ อนุบาล. [รูปแบบอเิ ลก็ ทรอนิกส์]. วารสารอเิ ลก็ ทรอนิกส์ ทางการศกึ ษา, 10(1), .

กระบวนการจัดประสบการณ์บูรณาการทางภาษาโดยใช้ศิลปะแบบบูรณาการ ข้นั ท่ี 2 การนาเสนอความรู้ เป็นการถ่ายความความรู้ผา่ นนิทานโดยครเู ป็นผเู้ ล่านทิ าน ประกอบสอ่ื ใหเ้ ด็กฟงั สอดคล้องกับ Mcdonald and Fifher (2006) ท่ีกลา่ วว่า ครอู าจสอนโดยใช้ ประสบการณ์หรอื ตวั อยา่ งที่เคยรู้มา เช่น เพลง หนงั สือ ตาราเรียน นิทาน และบทกลอน นามาใช้ เพ่ือท่ี ครูและเดก็ สามารถแบง่ ปนั และรว่ มกนั สร้างบทเรยี นไปพรอ้ มกัน และสานกั งานคณะกรรมการการศึกษา ขน้ั พน้ื ฐาน กระทรวงศึกษาธกิ าร (2551) ท่ีกล่าวถงึ บทบาทของครูในการจัดประสบการณท์ างภาษาแบบ ต้องจดั ให้เด็กมโี อกาสอา่ นและเขียน ครูเปน็ แบบอยา่ งของการเรียนรใู้ นการใชภ้ าษาในลักษณะตา่ งๆ ท้งั ใน ลักษณะของการสาธติ กิจกรรมที่เกยี่ วกับการรหู้ นังสอื เช่นการ อ่านหนงั สอื ให้เด็กฟงั ทกุ วัน ครูเป็น ผ้จู ัดการและช่วยเหลือให้เดก็ เกิดการเรยี นรู้ และครูเป็นผู้ประเมนิ พัฒนาการ ทมี่ า : ดวงพร สตั นนั ท.์ (2015). ผลของการจดั ประสบการณ์ทางภาษาโดยใชศ้ ลิ ปะแบบบรู ณาการทมี่ ีต่อความสามารถ ในการพดู เลา่ เร่ืองของ เดก็ อนุบาล. [รูปแบบอิเลก็ ทรอนิกส์]. วารสารอเิ ลก็ ทรอนิกส์ ทางการศกึ ษา, 10(1), .

กระบวนการจัดประสบการณบ์ รู ณาการทางภาษาโดยใชศ้ ลิ ปะแบบบูรณาการ ขัน้ ที่ 3 การสรปุ เปน็ การให้เด็กทางานศิลปะสะท้อนในรปู แบบการฟัง การพดู การอา่ น และการเขยี น เปน็ การให้เด็กลงมือปฏบิ ตั ิและสรา้ งองคค์ วามรู้ดว้ ยตนเอง สอดคลอ้ งกับ กุลยา ตนั ติ ผลาชีวะ (2551) กล่าวไวว้ า่ การสรา้ งความรโู้ ดยการค้นพบดว้ ยตนเองน้ันเปน็ การค้นพบท่ีนามาสู่ ความเขา้ ใจ ซ่งึ จะชว่ ยส่งเสริมใหผ้ ู้เรียนมีความสามารถในการสรา้ งสรรคเ์ นอื่ งจากศลิ ปะนัน้ เปน็ กิจกรรมทเ่ี ปิดโอกาสใหเ้ ดก็ ได้ สารวจ ค้นพบ และไดท้ ดลองกับสื่ออปุ กรณท์ างศลิ ปะ ทีม่ า : ดวงพร สัตนนั ท.์ (2015). ผลของการจดั ประสบการณ์ทางภาษาโดยใชศ้ ลิ ปะแบบบูรณาการทม่ี ตี อ่ ความสามารถ ในการพูดเลา่ เรื่องของ เดก็ อนุบาล. [รูปแบบอเิ ลก็ ทรอนิกส์]. วารสารอิเลก็ ทรอนิกส์ ทางการศึกษา, 10(1), .

กระบวนการจดั ประสบการณบ์ ูรณาการทางภาษาโดยใช้ศิลปะแบบบรู ณาการ ขัน้ ท่ี 4 ประเมนิ ผล เปน็ การประเมินผลโดยครูผสู้ อนรว่ มกบั ผู้ชานาญทางศิลปะโดย ประเมนิ ตามสภาพจริง สอดคลอ้ งกับ Mcdonald and Fifher (2006) ที่กล่าวถึงบทบาทของครู ศิลปะในการสอนภาษาว่า ครผู สู้ อนควรขอความชว่ ยเหลือจากผูเ้ ช่ียวชาญด้านศลิ ปะหรอื แลกเปลยี่ น แหลง่ ข้อมูลใหมก่ ับเพื่อนครู ในด้านข้อมลู ที่เก่ียวข้องระหวา่ งความรศู้ ิลปะกบั ความสามารถด้านภาษา เพ่ือใหก้ ารสอนมปี ระสทิ ธภิ าพมากขน้ึ ที่มา : ดวงพร สตั นนั ท.์ (2015). ผลของการจดั ประสบการณ์ทางภาษาโดยใชศ้ ิลปะแบบบูรณาการที่มีตอ่ ความสามารถ ในการพูดเลา่ เรื่องของ เดก็ อนุบาล. [รูปแบบอเิ ลก็ ทรอนิกส์]. วารสารอิเลก็ ทรอนิกส์ ทางการศกึ ษา, 10(1), .

บทบาทครูในการจดั ประสบการณ์ทางภาษาโดยใช้ศลิ ปะแบบบรู ณาการ ครูเป็นผู้มีบทบาทสาคัญในการเรียนรู้ ส่งผลให้การจัดประสบการณ์โดยใช้ศิลปะแบบบูรณา การมปี ระสิทธิภาพยิ่งขนึ้ สอดคลอ้ งกับ Cornett (2003) ดังน้ี 1.การสอนด้วยศิลปะจากคาถามปลายเปิด เพ่ือส่งเสริมการสนทนาของเด็ก และนาศิลปะใน ชีวิตประจาวันมาอภปิ ราย เช่น การอภิปรายภาพพมิ พ์ศิลปะ 2.การสอนเกย่ี วกับศลิ ปะ เกิดขึน้ เมอื่ ครูมีโอกาสเข้าร่วมวางแผนงานกับผู้เช่ียวชาญด้านศิลปะ ได้แก่ การวางแผนเนอ้ื หาหน่วยการเรียน การสอนเนอื้ หาศลิ ปะ 3.การสอนผ่านศิลปะ เป็นศิลปะแบบบูรณาการที่สมบูรณ์ ส่ิงนี้เก่ียวข้องกับสภาพแวดล้อม ภายในห้องเรยี นทเี่ ก่ียวข้องกับเน้ือหาที่สอน โดยครใู ชศ้ ลิ ปะเป็นเคร่ืองมอื ในการเรียนรู้ รวมถึงการ ประเมนิ ผล ทมี่ า : ดวงพร สัตนนั ท.์ (2015). ผลของการจดั ประสบการณ์ทางภาษาโดยใชศ้ ิลปะแบบบรู ณาการที่มตี อ่ ความสามารถ ในการพูดเล่าเร่ืองของ เดก็ อนุบาล. [รูปแบบอเิ ลก็ ทรอนิกส์]. วารสารอเิ ลก็ ทรอนิกส์ ทางการศกึ ษา, 10(1), .

หรรษา นลิ วิเชียร (2535: 233 - 234) เสนอแนวทางประกอบการสอนภาษาศิลป์ ในช้ันเรียน เด็กปฐมวัย ดังนี้ 1. การใช้มือและนวิ้ ประกอบการท่องบทร้อยกรอง ประกอบการร้องเพลง และประกอบการเล่านิทาน เช่น เพลงแมงมุมลาย เป็ ดน้อยห้าตัว เป็ นต้น CONTENT 2. ละครสมมุติ เดก็ แสดงท่าทางและบทบาทตามเร่ืองราวที่ได้ฟังจากการเล่า หรือการอ่านของครู 3. การใช้หุ่น หุ่นทีท่ าขึน้ จากวัสดุหลากหลายชนดิ เช่น หุ่นนิว้ มือ หุ่นถุงกระบอกหุ่นถุงมือ สามารถ นามาประกอบการเล่าเรื่อง เดก็ จะได้มีโอกาสพฒั นาทักษะการฟัง ตลอดจนได้พฒั นาการใช้ภาษา อย่างถูกต้องด้วย ทม่ี า:https://www.gotoknow.org/posts/466800?

หรรษา นิลวเิ ชียร (2535: 233 - 234) เสนอแนวทางประกอบการสอนภาษาศลิ ปใ์ นชัน้ เรยี น เดก็ ปฐมวัย ดังนี้ 4. แผน่ ป้ายสาลี การเลา่ นทิ านโดยการใช้แผน่ ป้ายสาลี จะช่วยฝกึ ทักษะการฟงั ตลอดท้ังการชว่ ยใหเ้ ด็ก แตง่ นิทานขึ้นมาเอง และการใช้ตัวละครทีเ่ ป็นรูปธรรมประกอบ 5. การฟงั เทปนทิ าน เทปเหลา่ นน้ั อาจซอื้ มาจากร้านค้า หรืออดั เองโดยคCรOูหNรTอื EบNคุ Tคลอ่นื เปน็ ผู้เลา่ 6. การแตง่ เร่อื งจากภาพ เดก็ ๆ จะได้พฒั นาการใชภ้ าษาและการเรยี นรูค้ าศัพท์ทเี่ พิ่มขึน้ 7. การทาบตั รในโอกาสตา่ งๆ เช่น บตั รอวยพรปีใหม่ วนั เกิด วนั แม่ บัตรเชญิ บตั รแสดงความยินดี ฯลฯ โดยท่เี ด็กเปน็ ผู้เขยี นเอง ทม่ี า:https://www.gotoknow.org/posts/466800?

การจัตการศกึ ษาปฐมวยั ตามแนวคดิ เรกจิโอ เอมเิ ลยี (Reggio Emilia) ในปจั จบุ นั มีการจดั การศกึ ษาปฐมวยั ตามแนวคิดเรกจโิ อ เอมเิ ลีย (Reggio Emilia) เปน็ รูปแบบการจัดการเรียนรู้ ทีไ่ มใ่ ชก่ ารถา่ ยโอนขอ้ มูลความร้จู ากผูส้ อนไปสูผ่ เู้ รยี น การเรียนรู้อย่างมีประสิทธภิ าพจะเกิดขน้ึ เมอ่ื เดก็ ได้เรยี นรู้สง่ิ ท่ีตน สนใจ และครูจะต้องสง่ เสรมิ ใหเ้ ดก็ ได้เรียนรูอ้ ยา่ งเต็มตามศักยภาพ จดั ประสบการณ์การเรียนร้ทู ี่ยึดเด็กเป็นศูนยก์ ลาง เพอื่ สง่ เสริมพฒั นาการทางภาษา กล้ามเน้ือ ความคิดสรา้ งสรรค์ ระบบประสาทสมั ผสั อารมณ์ สงั คม การเลน่ ละคร ดนตรีและการเคล่ือนไหว รวมไปถึง คณติ ศาสตร์และวทิ ยาศาสตร์ ซง่ึ หัวใจสาคญั อยทู่ ศี่ ลิ ปะเป็นหนทางสาคัญทีเ่ ด็ก สามารถสือ่ ความหมายใหก้ ับผู้อ่ืนใหเ้ ข้าใจถึงกระบวนการคิด รวมถึงจินตนาการที่ไดร้ ับรู้มา ครศู ิลปะจะจัดเตรยี มสื่อ วสั ดอุ ปุ กรณ์ทางศิลปะ ทากจิ กรรมท่สี ร้างทักษะ การสรา้ งงานศิลปะ อยา่ งการลากเสน้ การระบายสี การปั่น การ ประดษิ ฐ์ ฯลฯ เพื่อใหเ้ ดก็ นาทักษะเหล่านส้ี ่ือออกมาถงึ การเรียนรู้ อยา่ งไรก็ตามการแสดงออกทางศลิ ปะของเด็กผา่ น สอ่ื กลางที่หลากหลายเปน็ ความสามารถในการสอ่ื สาร ซงึ่ เปน็ องค์ประกอบท่สี ะทอ้ นกระบวนการตดิ การแกป้ ญั หา ความเขา้ ใจตลอดจนการตีความของสง่ิ ท่ีเดีกรับรู้และเรยี นรู้ ที่มา : จารุทศั น์ วงศข์ า้ หลวง. (2551). การศกึ ษาผลงานศิลปะของเดก็ อายุ 5-6 ปีท่ไี ดร้ บั การจดั ประสบการณ์ ตามแนวการศกึ ษาวอลดอรฟ์ และเรกจิโอเอมิเลีย. , มหาวิทยาลยั ศรนี ครนิ ทรวิโรฒ.

การจตั การศึกษาปฐมวยั ตามแนวคดิ เรกจโิ อ เอมเิ ลีย (Reggio Emilia) สบุ รร บญุ พันธ์ (2551 : สัมภาษณ)์ มที ศั นะเก่ยี วกับกิจกรรมศลิ ปะตามแนวการศึกษาเรกจิโอ เอมเิ ลยี วา่ งานศลิ ปะทุกชน้ิ เชอื่ มโยงมาจากการเรยี นเรื่องตา่ งๆ การทเ่ี ด็กถ่ายทอดออกมา เป็นผลงานศลิ ปะ ถือว่าศลิ ปะเปน็ สอ่ื ภาษาทีเ่ หมาะกบั เด็กที่สุด ในขณะทากิจกรรมครูมีสว่ นร่วมในการทางานของเดก็ โดยเปน็ ผู้สรา้ งคาถามเพ่อื ใหเ้ ดก็ ตอบ แล้วสร้างผลงานออกมาเพ่ือสื่อความหมายตามทเี่ ดก็ ตอบ ที่มา : จารุทศั น์ วงศข์ า้ หลวง. (2551). การศกึ ษาผลงานศิลปะของเดก็ อายุ 5-6 ปีท่ีไดร้ บั การจดั ประสบการณ์ ตามแนวการศกึ ษาวอลดอรฟ์ และเรกจิโอเอมิเลีย. , มหาวิทยาลยั ศรนี ครนิ ทรวิโรฒ.

3 สมรรถนะดา้ นภาษาและการสื่อสาร

ความหมายของสมรรถนะ สมรรถนะเป็ นตัวบ่งชี้พฤติกรรมของเด็กแต่ละวัย (ช่วงอำยุ) ว่ำสำมำรถทำอะไรได้บ้ำง (Can do)เป็ นคู่มือช่วยชี้แนะ ครู ผู้ปกครอง ว่ำเด็กมีสมรรถนะแสดงพฤติกรรมต่ำง ๆ ได้เม่ืออำยุ ประมำณเท่ำใด จุดประสงค์หลกั ๆ ของกำรใช้สมรรถนะ คือ กำรนำข้อมูลไปใช้ในกำรสร้ำงและเสริม พฒั นำกำรเดก็ ซ่ึงครูไม่ควรนำไปใช้เพอ่ื กำรตัดสินว่ำทำได้หรือไม่ได้ ฉะน้นั คุณครูอำจนำสมรรถนะ มำประยกุ ต์ใช้และจดั กจิ กรรมเสริมกำรคดิ ในชีวติ ประจำวนั ให้กบั เดก็ เพื่อคุณภำพของเดก็ ปฐมวยั ที่ ประเทศไทยต้องกำร (ทม่ี ำ : สำนักงำนเลขำธกิ ำรสภำกำรศึกษำ กระทรวงศึกษำธกิ ำร) ที่มา : อดุ ม เพชรสงั หาร (2561). แนวแนะวิธีการเล้ียงดู ดูแล และพฒั นาเดก็ ปฐมวยั ตามสมรรถนะเพื่อเพิ่มคณุ ภาพเดก็ ตามวยั 0-5 ปี . ,สาํ นกั งานเลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ https://www.unicef.org

พฒั นาการด้านภาษา (Language Development) การเขา้ ใจและการใช้ ภาษา การสอ่ื ความหมาย การอา่ นและการเขยี น Classic Fruit Coffee Others ท่ีมา : อุดม เพชรสงั หาร (2561). แนวแนะวธิ ีการเล้ียงดู ดูแล และพฒั นาเด็กปฐมวยั ตามสมรรถนะเพื่อเพิ่มคุณภาพเด็กตามวยั 0-5 ปี . ,สาํ นกั งาน เลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ https://www.unicef.org

1. การเข้าใจและการใช้ภาษา สมรรถนะในกำรพฒั นำตำมวยั ของเดก็ อำยุ3-6 ปี และแนวแนะสำหรับ ผ้เู กย่ี วข้อง ในด้ำนกำรเข้ำใจและกำรใช้ภำษำจะกล่ำวถึงคำศัพท์ กำรเรียงค่ำให้เป็ นประโยค และควำมเข้ำใจภำษำดังนี้ 1.1 คาศพั ท์ (Vocabulary) เดก็ สามารถรบั รู้ เขา้ ใจ และใชค้ าศพั ทไ์ ดต้ ามลาดบั อายุซง่ึ ในแตล่ ะระดบั อายจุ ะขอกลา่ วถงึ สมรรถนะในการพฒั นาตามวยั และแนวแนะสาหรบั ผเู้ กยี่ วขอ้ ง ดงั ตอ่ ไปน้ี CONTENT 1.1.1 สมรรถนะในการพฒั นาตามวยั อายุ 3 ปี เดก็ สามารถเลอื กใชค้ าศพั ทต์ ่าง ๆ ไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ งตามความหมายทต่ี อ้ งการ โดยเฉพาะ คาทใ่ี ชใ้ นกจิ วตั ร (เชน่ แปรงฟัน อาบน้า สระผม กนิ ขา้ ว) อายุ 4 ปี เดก็ สามารถบอกคาทม่ี คี วามหมายเหมอื นกนั เชน่ หมา กบั สนุ ขั สามารถบอกคาทม่ี ี ความหมายตรงกนั ขา้ ม เชน่ มดื กบั สว่าง และสามารถใชค้ าทแ่ี สดงตาแหน่งแหล่งท่ี เช่น ขา้ งหน้า หลงั อายุ 5 ปี เดก็ สามารถถามความหมายของคาทต่ี นไมร่ หู้ รอื ไมแ่ น่ใจ และสามารถอธบิ าย คางา่ ย ๆ ได้ (เชน่ แมวเป็น...) ท่ีมา : อดุ ม เพชรสงั หาร (2561). แนวแนะวธิ ีการเล้ียงดู ดูแล และพฒั นาเด็กปฐมวยั ตามสมรรถนะเพ่ือเพิ่มคณุ ภาพเดก็ ตามวยั 0-5 ปี . ,สาํ นกั งาน เลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ https://www.unicef.org


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook