Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore รวมPowerPoint

รวมPowerPoint

Published by Jar Wanicha, 2021-10-17 15:24:53

Description: รวมPowerPoint

Search

Read the Text Version

แนวการจดั กจิ กรรมศิ ลปะสร้างสรรค์ เบญจา แสงมะลิ (2545 : 63 – 67 ) กล่าวในทํานองเดยี วกนั วา่ การจดั กิจกรรมศิลปะ สรา้ งสรรค์ มขี อ้ ควรคาํ นึงถึงข้อเสนอแนะ ดงั น้ี 1. ความสนใจของแต่ละบคุ คล ครูควรชว่ ยเหลือให้เด็กไดป้ ระสบการณ์ท่ี เป็นผลสําเรจ็ ตามความต้องการของเดก็ 2. การจัดสถานท่ี เวลา และวัสดุให้เพียงพอเหมาะสม 3. การแสดงออกเชงิ สรา้ งสรรค์ 4. เจตคติของผู้ปกครองท่ีมีต่อการแสดงออกสรา้ งสรรคข์ องเด็ก 5. ครูใชว้ ิธกี ารสรา้ งสรรค์สนั บสนนุ เดก็ ให้เลือกกิจกรรมศิลปะ 6. ครูวางแผนจัดเตรยี มกิจกรรมต่างๆเป็นอยา่ งดี 7. ครูต้องรวบรวมหลักฐานเพ่ือจุดมุ่งหมายในการวัดผล อ้างองิ :ป่ ินทอง นั นทะลาด. (2560). เอกสารสําหรบั การสอน รายวชิ าศิลปะสําหรบั เด็กปฐมวยั .

สรุป กจิ กรรมศิลปะมคี ่าตอ่ การพัฒนาเดก็ ทําให้เดก็ มคี วามสุข จติ ใจรา่ เรงิ รูส้ ึกว่าตนมี คา่ มีความหมายเปน็ ตัวกระตนุ้ ให้เดก็ รูจ้ ักชว่ ยเหลือตนเอง กล้าพูดกล้าแสดงออกฝกึ การ สังเกต สํารวจส่ิงต่างๆ รอบตัว และยังรูจ้ กั ผอ่ นคลายระบายความรูส้ ึกนึกคิดหรอื ความคับขอ้ ง ใจของตนโดยผ่านส่ือทางศิลปะออกมา ท้ังยังเปน็ เครอ่ื งมือในการสื่อความเขา้ ใจของเดก็ รวมทงั้ ส่งเสรมิ กระบวนการกลมุ่ และพฒั นาความคิดสรา้ งสรรคโ์ ดยเฉพาะกจิ กรรมศิลปะที่ ผู้เรยี นไดม้ ีโอกาสสัมผสั กับวัสดุอุปกรณ์ทหี่ ลากหลายเด็กไดน้ ั บจํานวน ได้รูค้ ่าจํานวนของสื่อ วสั ดุอุปกรณ์ ผลงาน จํานวนสีท่ใี ชท้ ํากจิ กรรมเปน็ ตัวกระต้นุ ให้เดก็ เกิดความสนกุ สนาน มี ความกระตอื รอื รน้ ในการทาํ กิจกรรมอกี ดว้ ย การพัฒนากล้ามเนื้ อของเดก็ ดว้ ยงานศิลปะเปน็ เรอ่ื งทส่ี ามารถทาํ ได้เองท่บี ้าน ระหวา่ งพ่อแมก่ บั เด็ก ซ่งึ งานศิลปะทวี่ า่ น้ี ไมจ่ าํ เป็นจะตอ้ งเปน็ งานชน้ิ ใหญ่ท่ีต้องมคี วามอลงั การ แต่แคผ่ ลงานชน้ิ เลก็ ๆ หรอื การเล่นสี เล่นดนิ สีเพื่อขดี เขียน ล้วนสามารถชว่ ยในการพัฒนากลา้ มเน้ือของเด็กให้แขง็ แรงข้นึ ไดแ้ ลว้

5 ศิ ลปะกบั สมอง

ทฤษฎีทเ่ี กี่ยวข้องกับศิ ลปะของเดก็ ปฐมวัย ทฤษฎีเสมอื นจรงิ (Naive Realism) คณะกรรมการกลุ่มผลติ ชุดวิชา สาขาศึ กษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั สุโขทยั ธรรมมาธริ าช,2545:266-280) ความเปล่ยี นแปลงกา้ วหน้าของศิลปะในสังคมศิลปินเป็นผูส้ รา้ งสรรคใ์ ห้ เปล่ยี นแปลงไปอยา่ งกวา้ งไกลและตลอดเวลาศิลปะเหลา่ นั้นมกั จะมชี อ่ งวา่ งกับ ประชาชนเสมอศิลปินมงุ่ พฒั นาคุณภาพของศิลปะโดยยดึ ถือการสรา้ งสรรค์ทีแ่ ปลก ใหม่เฉพาะตัวเป็นหลักทําใหศ้ ิลปะถูกเปล่ียนรูปแบบและเน้ือหาไปเรอ่ื ย ๆ ศิ ลปะเด็กแบบเสมอื นจรงิ คณะกรรมการกล่มุ ผลติ ชุดวิชา สาขาศึ กษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั สุโขทัยธรรมมาธิราช,2545:266-280) เมอ่ื เรารบั ศิลปะแบบเสมือนจรงิ เข้ามาสอน ในโรงเรยี นโดยเน้นการฝึกฝนทางดา้ นฝีมือให้สามารถแสดงออกทางศิลปะได้ ผลงานทเี่ ลียนแบบวตั ถสุ ่ิงแวดล้อม อา้ งองิ :ป่ นิ ทอง นั นทะลาด. (2560). เอกสารสําหรบั การสอน รายวิชาศิลปะสําหรบั เด็กปฐมวยั .

ทฤษฎปี ัญญา (Intellectualist Theory) ศิ ลปะทเ่ี ร่ิมผสานความรูค้ วามคิด คณะกรรมการกล่มุ ผลติ ชุดวชิ า สาขาศึ กษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทยั ธรรม มาธิราช,2545:266-280).หลังจากทน่ี ิวตนั (Sir Isaac Newton) เสนอการทดลองแยกสีจาก แสงดว้ ยปรซิ มึ ไดแ้ สง 7 สี ในชว่ งปลายครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 17 แลว้ ขอ้ พิสจู น์นั้นตอ่ มาไดส้ ่งผล กระทบมาส่กู ารสรา้ งสรรค์จิตรกรรมดว้ ยแม้จะล่าชา้ ถงึ ครง่ึ หลงั ครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 19 ก็ตาม ครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 19 ศิลปินยโุ รปหลายคนเรมิ่ พฒั นาการใชส้ ีให้หลากหลายข้นึ และทปี่ รากฏเดน่ ชดั คอื จติ รกรรมของลทั ธอิ ิมเพรสชน่ั นิสม์ (Impressionism) ในปี ค.ศ. 1874 ก็อาจจะนับเป็นจดุ เรม่ิ ตน้ ของการเสนอความคิดใหมข่ องมนษุ ยใ์ นการสรา้ งสรรค์ รูปแบบทางศิลปะตอ่ จากน้ันกิจกรรมทางศิลปะไดม้ ีสภาพเป็นกิจกรรมลกั ษณะใหม่ท่ีศิลปิน สามารถจะใชส้ ตปิ ัญญาสรา้ งสรรค์ไดอ้ ยา่ งกวา้ งขวางภายใต้เป้าหมายความคิดคํานึงและการ แสดงออกที่มเี หตุผลของตน อ้างองิ :ป่ ินทอง นั นทะลาด. (2560). เอกสารสําหรบั การสอน รายวิชาศิลปะสําหรบั เด็กปฐมวยั .

ศิ ลปะเด็กกับทฤษฎีปัญญา คณะกรรมการกล่มุ ผลติ ชุดวิชา สาขาศึ กษาศาสตร์ มหาวิทยาลัย สุโขทยั ธรรมมาธิราช,2545:266-280). การประยกุ ต์ทฤษฎีปัญญามาใชส้ ําหรบั เกย่ี วกบั เดก็ สามารถนามาใชไ้ ดอ้ ยา่ งดี เพราะเป็นการเปิดโอกาสใหเ้ ดก็ เสนอ ความคดิ ของเดก็ แต่ละคนทีไ่ ดส้ ะสมประสบการณ์และการรบั รูจ้ นเกดิ เป็นความคิด รวบยอด ทฤษฎกี ารรบั รู้ (Perceptual Theory) คณะกรรมการกล่มุ ผลติ ชุดวิชา สาขาศึ กษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยสุโขทัย ธรรมมาธิราช,2545:266-280). หลงั จากศิลปะลทั ธอิ ิมเพรสชน่ั นิสมก์ ลมุ่ ศิลปะท่มี ี ชอ่ื เสียงในยโุ รปอีกหลายกลมุ่ เชน่ ซานน์ (Paul Cezanne) ศิลปินชาวฝรงั่ เศสไดม้ ี บทบาทเดน่ ขน้ึ ในฐานะผทู้ ส่ี รา้ งสรรคจ์ ติ รกรรมโดยแสดงภาพการรบั รูต้ ่อวตั ถุ ส่ิงแวดลอ้ มโดยตรง ความสําคัญของการมองเห็นหรอื การรบั รูว้ ตั ถุโดยตรง อา้ งอิง :ป่ นิ ทอง นั นทะลาด. (2560). เอกสารสําหรบั การสอน รายวชิ าศิลปะสําหรบั เด็กปฐมวยั .

การรบั รูใ้ นลกั ษณะของควิ บสิ ม์เป็นการรบั รูโ้ ครงสรา้ งของวตั ถใุ นลักษณะ งา่ ย ๆ ลักษณะการรบั รูแ้ ละการแสดงออกทเี่ ดน่ มากอกี ลกั ษณะหน่ึงก็คอื การ รบั รูว้ ตั ถุหลายดา้ นหลายมุมเพราะจรงิ ๆ แล้ววตั ถุใดวตั ถหุ น่ึงมไิ ดม้ เี พียงดา้ น เดยี วหรอื มือเดยี วเท่าน้ันรูปแบบจติ รกรรมท่ีปรากฏจงึ อาจจะรวมดา้ นตา่ ง ๆ ไวด้ ว้ ยกนั บนพน้ื ภาพ ศิ ลปะเดก็ กบั ทฤษฎกี ารรบั รู้ คณะกรรมการกล่มุ ผลิตชุดวชิ า สาขาศึ กษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมมาธิราช,2545:266-280). ตามแนวคดิ ของทฤษฎี การรบั รูไ้ ดส้ ่งผลมาถึงการเรยี นการสอนเป็นอยา่ งมากชว่ งเวลาหนึ่งโดยท่ีครู จะพยายามชแ้ี นะใหเ้ ดก็ มองไปยงั วตั ถุสิ่งแวดลอ้ มรอบตวั มองใหเ้ ห็นเป็น รูปทรงหรอื เค้าโครงงา่ ยๆกอ่ นแล้วจงึ มองละเอยี ดตามมา อา้ งองิ :ป่ ินทอง นั นทะลาด. (2560). เอกสารสําหรบั การสอน รายวิชาศิลปะสําหรบั เดก็ ปฐมวยั .

ทฤษฎีความรู้สึกและการเห็น (Haptic and Visual Theory) ศิ ลปะที่แสดงอารมณ์ คณะกรรมการกล่มุ ผลิตชุดวชิ า สาขาศึ กษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรม มาธิราช,2545:266-280). การแสดงทางดา้ นศิลปกรรมขึน้ โดยเน้นทางเรอ่ื งราวและ รูปแบบทเ่ี ราอารมณ์ผู้ดู ศิ ลปะเด็กกบั ทฤษฎคี วามรูส้ ึกและการเห็น คณะกรรมการกล่มุ ผลติ ชุดวิชา สาขาศึ กษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสโุ ขทยั ธรรม มาธิราช,2545:266-280). ในขณะท่ีศิลปะในสังคมเน้นการแสดงออกทางดา้ นอารมณ์ ความรูส้ ึกศิลปะเดก็ กห็ ันมาเน้นการแสดงออกจากอารมณ์ความรูส้ ึกของเดก็ ตามทฤษฎี ความรูส้ ึกและการเหน็ ดว้ ยเชน่ กนั เพราะ เชอื่ ม่ันวา่ ความรูส้ ึกสัมผัสทีเ่ ดก็ มตี อ่ สภาพแวดลอ้ มน้ันเป็นความรูส้ ึกทบ่ี รสิ ทุ ธใิ์ จเป็นความรูส้ ึกที่เราควรจะยอมรบั และยอม ให้เดก็ เปิดเผย อา้ งอิง:ป่ นิ ทอง นั นทะลาด. (2560). เอกสารสําหรบั การสอน รายวิชาศิลปะสําหรบั เด็กปฐมวยั .

หน้าท่สี มองซกี ซา้ ย และ ซีกขวา ความแตกตา่ งของสมองซกี ซา้ ยและสมองซกี ขวา อา้ งอิง: ปัญจนาฏ วรวัฒนชยั (2559).กลไกสมองสองซกี กบั ความคดิ สรา้ งสรรคข์ องมนษุ ย.์ สืบค้นเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2564. จาก : file:///C:/Users/HP/Downloads/

การเช่ือมโยงการทางานของสมองสองซีก (เกรียงศั กด์ิ เจริญวงศ์ ศั กด์ิ, 2545: 12 อ้างองิ จาก Hellige,1990 : 41) ในการ พฒั นาความคิดสรา้ งสรรคจ์ ึงจํา เป็นตอ้ งพัฒนาท้งั ในดา้ นของการใชเ้ หตผุ ล และ การสรา้ งสรรค์ไปพรอ้ ม ๆ กนั ไมส่ ามารถแยกพัฒนาทักษะแต่ละดา้ นได้ อา้ งอิง: ปัญจนาฏ วรวฒั นชยั (2559).กลไกสมองสองซกี กบั ความคดิ สรา้ งสรรคข์ องมนษุ ย.์ สืบคน้ เม่อื วนั ท่ี 9 กรกฎาคม 2564. จาก : file:///C:/Users/HP/Downloads/

สมองสองซีกกบั ความคิดสร้างสรรค์ การเกดิ ความคิด สรา้ งสรรค์จงึ เกิดจากการทํางานของสมองซกี ซา้ ยและซกี ขวาดงั น้ี (เสาวนี ย์ พิสิ ฐานุสรณ์, 2553 : ออนไลน์ ) 1. การคดิ แก้ปัญหาจะเรม่ิ จากการใส่ใจในข้อมูลเดมิ ที่มีอยแู่ ละวธิ แี กป้ ัญหาท่ีเคย ใชม้ ากอ่ นซง่ึ เป็นการทาํ งานของสมองซกี ซา้ ย 2. เมือ่ ใชว้ ธิ ตี ามขอ้ 1 แล้ว ยงั ไมพ่ บคําตอบทต่ี อ้ งการสมองซกี ซา้ ยและสมองซกี ขวาจะเรมิ่ ทํางาน รว่ มกนั คือ 2.1 สมองซกี ขวาจะใชเ้ ครอื ข่ายระบบประสาทในสมองซกี นี้พยายาม คิดหาความคิดเก่า ๆ 2.2 สมองซกี ซา้ ยเมอื่ พบความเชอื่ มโยงของขอ้ มูลเกา่ ๆ กบั วธิ คี ดิ ใหม่ ๆ ก็จะรบี ควา้ จับความคดิ ที่เพิง่ ผุดขนึ้ มาน้ันไวม้ น่ั ก่อนที่จะลืมไปอกี 2.3 ในทันทนี ้ันเองสมองจะเปลีย่ นจากการไมส่ นใจมาเป็นการจด จ่อสนใจในข้อมลู นั้นอยา่ งรวดเรว็ และในเวลาเพียงชว่ั แวบสมองจะรวมความคดิ เล็ก ๆ อา้ งอิง: ปญั จนาฏ วรวฒั นชยั (2559).กลไกสมองสองซกี กบั ความคดิ สรา้ งสรรคข์ องมนษุ ย.์ สืบคน้ เมื่อวันท่ี 9 กรกฎาคม 2564. จาก : file:///C:/Users/HP/Downloads/

กิจกรรมศิ ลปะก่อให้เกิดอะไรข้ึนในสมอง มนษุ ย์ กจิ กรรมศิลปะทาํ ให้เกดิ การพฒั นาจนิ ตนาการของมนษุ ย์ กอ่ ให้เกิดความอ่อนโยนทาง อารมณ์ เกิดสนุ ทรยี ภาพและความประทับใจ นอกจากนี้ ยงั ทาํ ให้อวยั วะส่วนตา่ งๆ ท่ี เกย่ี วขอ้ งกบั การทํากจิ กรรมเกิดการเคล่อื นไหว ซงึ่ โดยสรุปแล้วเราก็ยงั มองเหน็ ไม่ชดั เจนวา่ เกดิ อะไรข้นึ ในสมองมนษุ ย์ ตอบใหม่คราวนี้เราจะตอบโดยภาษาของนักวทิ ยาศาสตรด์ า้ น สมองก็ต้องบอกวา่ กจิ กรรมศิลปะกอ่ ใหเ้ กดิ การเชอ่ื มตอ่ กันของเซลลส์ มองในส่วนที่ รบั ผดิ ชอบเกยี่ วกบั จินตนาการ ความซาบซง้ึ ประทับใจ การเคล่อื นไหวประสานกนั ของมือไม้ แขนขาทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั กจิ กรรมศิลปะ ไมว่ า่ จะเป็นสมองส่วนหน้า (cerebral cortex) สมอง ส่วนกลาง (parietal lobe) สมองน้อย (cerebellum) หรอื สมองส่วนทีร่ บั ผดิ ชอบเก่ียวกับ อารมณ์ (amygdala) นี่คือความชดั เจนของกิจกรรมศิลปะทีม่ ีตอ่ สมองมนษุ ยท์ ี่ นักวทิ ยาศาสตรด์ า้ นสมองไดน้ ํามาให้เรารบั รู้ อา้ งอิง: ปัญจนาฏ วรวัฒนชยั (2559).กลไกสมองสองซกี กบั ความคดิ สรา้ งสรรคข์ องมนษุ ย.์ สืบค้นเมอ่ื วนั ที่ 9 กรกฎาคม 2564. จาก : file:///C:/Users/HP/Downloads/

เสนอ รองศาสตราจารยด์ ร.ฐติ ิพร พิชญกุล สมาชิก นางสาวอญั ชลีพร วงสาโท รหัสนักศึกษา 63121860006 นางสาวสศุ ิรา ใจสมบุญ รหสั นักศึกษา 63121860011 นางสาวลลิตภทั ร วงษ์พันธ์ รหสั นักศึกษา 63121860012 นางสาวอลษิ า สายกระสนุ รหัสนักศึกษา 63121860022 นางสาวศิรวิ มิ ล อุดมทรพั ย์ รหัสนักศึกษา 63121860025 นางสาวปวนั รตั น์ บุญเรอื ง รหัสนักศึกษา 63121860040 นางสาวปัณฑติ า แสงแกว้ รหสั นักศึกษา 63121860043 นายธนธรณ์ โตสงค์ รหสั นักศึกษา 63121860051 คณะครุศาสตร์ สาขาวชิ าการศึกษาปฐมวยั EEC221 การจดั กจิ กรรมทางศิลปะระดบั การศึกษาปฐมวยั

ทฤษฎแี ละแนวคดิ ในการพฒั นาศิลปะเพ่ือส่งเสริม ความคดิ สร้างสรรค์ ในประเทศและต่างประเทศการประเมนิ ความคดิ สร้างสรรค์ การออกแบบกจิ กรรมศิลปะสาหรับเดก็ ปฐมวยั เพ่ือ พฒั นาความคดิ สร้างสรรค์ ในอดตี และปัจจุบนั มลี กั ษณะกจิ กรรมท่ี น่าสนใจ ทนั สมยั ทนั ต่อการเปลยี่ นแปลง

Table Of Contents 01 ทฤษฎแี ละแนวคดิ ของ 03 หลกั การจดั ประสบการณ์ ความคดิ สร้างสรรค์ สาหรับเดก็ ปฐมวยั 02 การส่งเสริมศิลปะเพื่อพฒั นา 04 การประเมนิ ศิลปะด้านความคดิ ความคดิ สร้างสรรค์ สร้างสรรค์ 05 กจิ กรรมศิลปะท่นี ่าสนใจ ทันสมยั ทันต่อการ เปลย่ี นแปลง

01 ทฤษฎแี ละแนวคดิ ของ ความคดิ สร้างสรรค์

กลิ ฟอร์ด (Guilford. 1996) นกั ทฤษฎีกิลฟอร์ด(Guilford) เป็นนกั จติ วทิ ยาชาวอเมรกิ นั เกดิ :7 มนี าคม พ.ศ. 2440 สหรฐั อเมรกิ า เสยี ชวี ติ :26 พฤศจกิ ายน 2530 (อายุ 90 ปี) ลอสแองเจลสิ แคลฟิ อรเ์ นยี สหรฐั อเมรกิ า โรงเรยี นเกา่ :มหาวทิ ยาลยั เนแบรสกา อาชพี :นกั จติ วทิ ยา

กลิ ฟอรด์ (Guilford.) ไดศ้ กึ ษาโครงสรา้ งสมรรถภาพทางสมองโดยเน้นเร่อื ง ความคดิ สรา้ งสรรค์ ความมเี หตุผลและการแกป้ ัญหา จนไดแ้ บบจาลอง โครงสรา้ งสมรรถภาพทางสมองดงั ภาพ ภาพรปู แบบโครงสรา้ งสมรรถภาพทางสมองของกลิ ฟอรด์ ภาพจาก http://www.bsru.ac.th/study/decision/ex1/a1.htm คณติ ศาสตร์ จนิ ตนาการ และความรhู้ ttp://www.ds.ru.ac.th/math/braind%20new_page_1.htm

รปู แบบโครงสรา้ งสมรรถภาพทางสมองของกิลฟอรด์ เป็นระบบสามมิติประกอบด้วย 1. มติ ทิ างดา้ นเน้ือหาการคดิ (contents) หมายถงึ วตั ถุหรอื ขอ้ มลู ต่างๆ ทร่ี บั รู้ ใชเ้ ป็นสอ่ื ก่อใหเ้ กดิ การคดิ เน้ือหา แบ่งเป็น 5 ชนดิ คอื - เน้ือหาทเ่ี ป็นภาพ - เน้อื หาทเ่ี ป็นเสยี ง - เน้ือหาทเ่ี ป็นสญั ลกั ษณ์ - เน้อื หาทเ่ี ป็นภาษา - เน้ือหาทเ่ี ป็นพฤตกิ รรม 2. มติ ดิ า้ นวธิ กี ารคดิ (operations) หมายถงึ กระบวนการคดิ ต่างๆ ทส่ี รา้ งขน้ึ ประกอบดว้ ยความสามารถ 5 ชนดิ - การรแู้ ละการเขา้ ใจ - การจา - การคดิ แบบอเนกนยั - การคดิ แบบเอกนยั - การประเมนิ คา่ 3. มติ ดิ า้ นผลของการคดิ (products) หมายถงึ ความสามารถทเ่ี กดิ จากการผสมผสานมติ ดิ า้ นเน้อื หาและดา้ น ปฏบิ ตั กิ ารเขา้ ดว้ ยกนั เป็นผลผลติ เมอ่ื สมองรบั รจู้ ากสงิ่ เรา้ ทาใหเ้ กดิ การคดิ ในรปู แบบต่างๆ กนั ซง่ึ ผลทไ่ี ด้ คณติ ศาสตร์ จนิ ตนาการ และความรhู้ ttp://www.ds.ru.ac.th/math/braind%20new_page_1.htm

นอกจากนีก้ ิลฟอรด์ ไดอ้ ธิบายเก่ียวกบั ความคิดสรา้ งสรรค์ โดยเทียบกบั โครงสรา้ งทางสติปัญญาและนามา ศึกษาเฉพาะสว่ นที่เป็นกระบวนการคดิ ดา้ นการคดิ แบบอเนกนยั โดยใชม้ ิติดา้ นเนือ้ หา และผลผลติ ทาใหไ้ ดห้ น่วยจลุ ภาคที่ แทนความสามารถดา้ นความคดิ สรา้ งสรรคอ์ ย่ทู ี่ 1 x 5 x 6 ภาพแสดงสมรรถภาพดา้ นความคดิ สรา้ งสรรคข์ องกลิ ฟอรด์ ภาพจาก http://www.bsru.ac.th/study/decision/ex1/a1.htm https://www.gotoknow.org/posts/231076 คณิตศาสตร์ จนิ ตนาการ และความรhู้ ttp://www.ds.ru.ac.th/math/braind%20new_page_1.htm

Guilford ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกบั องคป์ ระกอบของความคิดสร้างสรรค์ 1.ความคดิ รเิ รมิ่ (Originality) หมายถงึ ความคดิ แปลกใหมไ่ มซ่ ้ากนั กบั ความคดิ ของคนอ่นื และแตกต่างจาก ความคดิ ธรรมดา 2.ความคดิ คลอ่ งแคลว่ (Fluency) หมายถงึ ปรมิ าณความคดิ ทไ่ี มซ่ ้ากนั ในเรอ่ื งเดยี วกนั คอื 2.1 ความคลอ่ งแคลว่ ทางดา้ นถอ้ ยคา (Word Fluency) เป็นความสามารถในการใชถ้ อ้ ยคาอยา่ ง คลอ่ งแคลว่ 2.2 ความคดิ คลอ่ งแคลว่ ทางดา้ นการโยงสมั พนั ธ์ (Associational Fluency) เป็น ความสามารถท่ี จะคดิ หาถอ้ ยคาทเ่ี หมอื นกนั ไดม้ ากทส่ี ดุ เท่าทจ่ี ะมากไดภ้ ายในเวลาทก่ี าหนด 2.3 ความคลอ่ งแคลว่ ทางดา้ นการแสดงออก (Expression Fluency) เป็นความสามารถใน การใชว้ ลหี รอื ประโยค กลา่ วคอื สามารถทจ่ี ะนาคามาเรยี งกนั อย่างรวดเรว็ เพอ่ื ใหไ้ ดป้ ระโยคท่ตี อ้ งการ 2.4 ความคลอ่ งแคลว่ ในการคดิ (Ideational Fluency) เป็นความสามารถทจ่ี ะคดิ คน้ สง่ิ ทต่ี อ้ งการ ภายในเวลาทก่ี าหนด วลิ นิ ดา พงศธ์ ราธกิ . (2560). เอกสารประกอบการสอน รายวชิ าการจดั การศกึ ษาแบบเรยี นรวมสาหรบั เดก็ ปฐมวยั . ม.ป.ท. : มหาลยั ราชภฏั วไลยอลงกร

3. ความคดิ ยดื หยุ่น (Flexibility) หมายถงึ ประเภทหรอื แบบของการคดิ แบง่ ออกเป็น 3.1 ความคดิ ยดื หย่นุ ทเ่ี กดิ ขน้ึ ทนั ที (Spontaneous Flexibility) เป็นความสามารถทจ่ี ะ พยายามคดิ ไดห้ ลายทางอย่างอสิ ระ 3.2 ความคดิ ยดื หยุ่นทางดา้ นการดดั แปลง (Adaptive Flexibility) หมายถงึ ความสามารถ ในการดดั แปลงความรหู้ รอื ประสบการณใหเ้ กดิ ประโยชน์หลายๆ ดา้ น 4. ความคดิ ละเอยี ดลออ (Elaboration) หมายถงึ ความคดิ ในรายละเอยี ดเป็นขนั้ ตอน สามารถ อธบิ ายใหเ้ หน็ ภาพชดั เจนหรอื เป็นแผนงานทส่ี มบรู ณ์ขน้ึ วลิ นิ ดา พงศธ์ ราธกิ . (2560). เอกสารประกอบการสอน รายวชิ าการจดั การศกึ ษาแบบเรยี นรวมสาหรบั เดก็ ปฐมวยั . ม.ป.ท. : มหาลยั ราชภฏั วไลยอลงกร

ทฤษฎขี องทอร์แรนซ์ (Torrance) ควำมหมำยของควำมคดิ สร้ำงสรรค์ ทอร์แรนซ์ (Torrance, 1965, p.211) กลา่ ววา่ ความคดิ สรา้ งสรรค์ คือ ปรากฎการณท์ ่ีเกิดข้ึนไดโ้ ดยไม่มีขอบเขตจาํ กดั บุคคลสามารถมีความคิดสร้างสรรคใ์ นหลาย แบบ และผลของความคิดสร้างสรรคท์ ี่เกิดข้ึนน้นั มีมากมายไม่มีขอ้ จาํ กดั เช่นกนั นกั ทฤษฎีทอร์แรนซ์ (Torrance) นกั จติ วทิ ยาชาวอเมรกิ นั สานกั งาน ก.พ.2558.https://www.ocsc.go.th/sites/default/files/document/ocsc-2017-eb13.pdf

หลกั กำรและควำมสำคญั ของควำมคดิ สร้ำงสรรค์ทำงวทิ ยำศำสตร์ ทอแรนซ์ (Torrance, 1965, pp.121 -124) ไดอ้ ธิบายวา่ ความคิดสรา้ งสรรคเ์ ป็นกระบวนการของ ความรูส้ กึ หรอื สิ่งทบี่ กพรอ่ งขาดหายไปแลว้ จงึ รวบรวมความคิดตงั้ เป็นสมมตฐิ านขนึ้ จากนนั้ ก็ทาการรวบรวมขอ้ มลู ตา่ งๆ เพอ่ื ทดสอบสมมติฐานท่ตี งั้ ขนึ้ ตอ่ จากนนั้ จงึ เป็นการรายงานผลทไ่ี ดร้ บั จากการทดสอบสมมติฐานเพื่อเป็นแนวคดิ และ แนวทางใหมต่ อ่ ไปความคดิ สรา้ งคดิ สรา้ งสรรคจ์ งึ เป็นกระบวนการแกป้ ัญหาทางวทิ ยาศาสตรน์ ่นั เอง สานกั งาน ก.พ.2558.https://www.ocsc.go.th/sites/default/files/document/ocsc-2017-eb13.pdf

องค์ประกอบของควำมคดิ สร้ำงสรรค์ ทอแรนซ(์ Torrance, 1965, p.81) ไดศ้ กึ ษาคน้ ควา้ เพม่ิ เตมิ จากแนวคิดของกิลฟอรด์ ท่ี เก่ียวขอ้ งกบั กระบวนการทางสมองโดยศกึ ษาเกี่ยวกบองคป์ ระกอบความคดิ คลอ่ งแคลว่ ความคดิ ยดื หยุน ความคดิ รเิ รม่ิ และความคิดละเอยี ดลออ ซงึ่ สรุปไดว้ า่ ความคดิ สรา้ งสรรคท์ างวิทยาศาสตรม์ ลี กั ษณะเป็นลาดบั ขนั้ ของการ คดิ คลา้ ยกบั ความคดิ สรา้ งสรรคท์ ่วั ไป แตม่ ีลกั ษณะเฉพาะมากกวา่ โดยแบง่ เป็น 5 ขนั้ 1. การคน้ พบความจริง(fact -finding)ในข้นั น้ีเริ่มต้งั แต่เกิดความรู้สึกกงั วลใจมีความสบั สน วนุ่ วายเกิดข้ึนในจิตใจแตไ่ มส่ ามารถบอกไดว้ า่ เป็นอะไรจากจุดน้ีกพ็ ยายามต้งั สติและพิจารณาดูวา่ ความยงุ่ ยาก วนุ่ วายสบั สนหรือส่ิงที่ทาํ ใหก้ งั วลใจน้นั คืออะไร 2. การคน้ พบปัญหา(problem-finding)ข้นั น้ีเกิดต่อจากข้นั ที่ 1 เมื่อไดพ้ จิ ารณาโดยรอบคอบ แลว้ จึงสรุปวา่ ความกงั วลใจความสบั สนวนุ่ วายในใจน้นั กค็ ือการมีปัญหาเกิดข้ึนนน่ั เอง สานกั งาน ก.พ.2558.https://www.ocsc.go.th/sites/default/files/document/ocsc-2017-eb13.pdf

3. การต้งั สมมติฐาน(idea-finding)คนั น้ีกต็ ่อจากข้นั ที่ 2 เม่ือรู้วา่ มีปัญหาเกิดข้ึนก็พยายามคิดหา คาํ ตอบหรือต้งั สมมติฐานข้ึนและรวบรวมขอ้ มลู ตา่ งๆเพ่อื นาํ ไปใชใ้ นการทดสอบสมมติฐานในข้นั ตอ่ ไป 4. การคน้ พบคาํ ตอบ(solution-finding)ในข้นั น้ีกจ็ ะพบคาํ ตอบจากการทดสอบสมมติฐานใน ข้นั ที่ 3 5.ถา้ การยอมรับผลการคน้ พบ(acceptance-finding)ข้นั น้ีจะเป็นการยอมรับคาํ ตอบท่ีได้ จากการพิสูจนแ์ ลว้ วา่ จะแกป้ ัญหาใหส้ าํ เร็จไดอ้ ยา่ งไรสิ่งท่ีไดจ้ ากการคน้ พบจะนาํ ไปสู่แนวทางหรือแนวคิดใหม่ เรียกวา่ new college สานกั งาน ก.พ.2558.https://www.ocsc.go.th/sites/default/files/document/ocsc-2017-eb13.pdf

เจอรเ์ ลน เออรบ์ นั เจลเลน และเออรบ์ าน (Jellen and Urban. 1989: 78-86) ไดส้ รา้ งแบบทดสอบวดั ความคดิ สรา้ งสรรคท์ ช่ี อ่ื วา่ TCT-DP (The Test for Creative Thinking Drawing Production) ซง่ึ สรา้ งขน้ึ ตามนยิ ามวา่ ความคดิ สรา้ งสรรคห์ มายถงึ การคดิ อย่างมสี าระเชงิ นวตั กรรม มจี นิ ตนาการ และเป็น ความคดิ อเนกนยั ซง่ึ รวมถงึ ความคดิ คลอ่ งแคลว่ (fluency) ความคดิ ยดื หยนุ่ (flexibility) ความคดิ รเิ รม่ิ (originality) ความคดิ ละเอยี ดลออ (elaboration) ความกลา้ เสย่ี ง (risk-taking) และอารมณ์ขนั (humor) โดยลกั ษณะของแบบทดสอบวดั ความคดิ สรา้ งสรรคน์ ้จี ะใหผ้ เู้ ขา้ รบั การทดสอบแสดง ความสามารถทางการคดิ อยา่ งมสี าระดว้ ยการต่อเตมิ ภาพทก่ี าหนดให้ ซง่ึ เป็นกรอบสเ่ี หลย่ี มจตั ุรสั ขนาด ประมาณ 5 x 5 ตารางน้วิ ภายในกรอบสเ่ี หลย่ี มน้ี จะมภี าพเสน้ และจุดอยู่ 5 แหง่ และอย่นู อกกรอบอกี 1 แหง่ รวมเป็น 6 แหง่ แบบทดสอบ TCT-DP น้ไี ดร้ บั การยอมรบั ว่าเป็นแบบทดสอบทส่ี ามารถนามา ใชว้ ดั ไดก้ บั กลมุ่ เป้าหมายไดท้ ุกวยั วณี า ประชากลู วารสารวชิ าการปี ท่ี 9 ฉบบั ท่ี 3 กรกฎาคม – กนั ยายน 2549

สรุปได้ว่า ความคิดสร้างสรรคเ์ ป็นความสามารถที่ อยใู่ นตวั บุคคลแตล่ ะคนในระดบั ที่แตกต่างกนั ท้งั การ คิดและการกระทาโดยการคิดและการกระทาท่ี เกิดข้ึนจะไมเ่ ป็นการลอกเลียนแบบผอู้ ่ืน แต่จะเป็นการ ผสมผสานความรู้เดิมและประสบการณ์ที่ ไดร้ ับเขา้ ดว้ ยกนั ความคิดสร้างสรรคส์ ามารถพฒั นาใหส้ ูงข้ึนได้ โดยการจดั ประสบการณ์ที่เหมะสม กระตนุ้ ใหเ้ ดก็ ไดแ้ สดงออกอยา่ งอิสระไดส้ งั เกตส่ิงท่ีสนใจ ไดส้ มั ผสั กบั สิ่งที่แปลก ๆ ใหม่ ๆ เพ่ือแสดง ผลงานท่ีแปลกใหม่ไม่ซ้าแบบใคร อาจอยใู่ นรูปของกระบวนการคิด พฤติกรรมที่แสดงออก หรือรูปแบบ ของผลผลิตท่ีเป็นประโยชน์ต่อตนเองและตอ่ สงั คม

02 การส่ งเสริมศิลปะเพื่อพัฒนา ความคดิ สร้างสรรค์

ความหมายและความสาคัญ ความหมายของศิลปะ ศิลปะ เป็นการแสดงออกทางอารมณ์ ใหอ้ อกมาเป็นผลงาน โดยการ ประยกุ ตใ์ ชศ้ ิลปะเพื่อประโยชน์ ในการพฒั นาเดก็ ท้งั ดา้ นร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สงั คม และสติปัญญา เป็นเคร่ืองมือในการพฒั นากระบวนการคิดริเร่ิมสร้างสรรค์ ท่ี กระตนุ้ ใหเ้ ดก็ ไดแ้ สดงออกอยา่ งอิสระตามความรู้สึกและความสามารถ ผา่ น งานศิลปะ จนทาใหเ้ กิด การเรียนรู้ความงามทางดา้ นศิลปะ จนสามารถ สร้างสรรคง์ านงานไดอ้ ยา่ งมีคุณค่า

ความสาคัญของศิลปะต่อเด็กปฐมวยั ศิลปะ ช่วยพฒั นาเดก็ ได้ โดยองคร์ วมไปพร้อม ๆ กนั ไดใ้ น ทุกดา้ น และเป็น เคร่ืองมือสาคญั ในการดารงชีวิตของมนุษย์ ท้งั ช่วยในการผอ่ นคลาย ระบายอารมณ์ ความ อดั อ้นั ตนั ใจ ทาใหร้ ู้สึกผอ่ นคลาย และเป็นสุข เป็นเครื่องมือในการช่วยพฒั นาจิตใจของ มนุษยใ์ ห้ สูงข้ึน รู้จกั การช่ืนชมยนิ ดีกบั ความสาเร็จของผอู้ ่ืน ส่งผลต่อการพฒั นาสงั คมท่ี มีความสุข ในการ เสริมสร้างความสมั พนั ธ์อนั ดีระหวา่ งคนตา่ งเช้ือชาติ ต่างศาสนา

ศิลปะกับการคิดสร้างสรรค์ในวยั เดก็ การเรียนรู้ศิลปะกบั การพฒั นาความคิดสร้างสรรคเ์ ป็นส่ิงท่ีมกั จะมาควบคูก่ นั และสามารถเชื่อมโยงไดง้ ่ายเม่ือเดก็ ไดท้ างานศิลปะ

พฒั นาการทางศิลปะของเด็กปฐมวัย เคลลอ็ ก (kellogg 1967, อา้ งถึงใน olive r. francks. 1979: 15) ไดใ้ ห้ ความคิดเห็นวา่ เดก็ ทว่ั โลกมีระบบของกระบวนการในดา้ นการพฒั นางาน ศิลปะ เป็นข้นั เป็นตอนท่ีมีความเหมือนกนั โดยมีวงจรของการพฒั นาจะเริ่มตน้ จากอายุ 3 ขวบหรือ อายกุ ่อน 2 ขวบเลก็ นอ้ ยจนไปถึงอายุ 4-5 ขวบและไดจ้ าแนก ออกเป็น 4 ข้นั ตอน ทาใหเ้ ขา้ ใจถึง ความสาคญั ของผลงานการขีด การเขียน ทางดา้ นศิลปะที่มีตอ่ เติมการพฒั นาการในการใชช้ ีวติ ของ เดก็ ไวด้ งั น้ี

ข้นั ท่ี 1 ข้นั การขีดเขี่ย ข้นั ที่ 2 ข้นั เขียนเป็นรูปร่างตา่ งๆ

ข้นั ที่ 3 ข้นั รู้จกั การออกแบบ ข้นั ที่ 4 ข้นั ของการวาดแสดงออกมาเป็นภาพ

การส่งเสริมจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ของเดก็ ปฐมวัย การส่งเสริมจินตนาการและความคิดสร้างสรรคข์ องเดก็ ปฐมวยั โดยผสู้ อน บลอนด์ และคลอสไมเออร์ (Blaunt and Klausmier, 1965) ไดใ้ ห้ ขอ้ เสนอแนวทางการ เสริมสร้างความคิดสร้างสรรคผ์ า่ นผสู้ อน ดงั น้ี 1. สนบั สนุนและกระตนุ้ ความคิด 2. ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ 3. ไมป่ ิ ดก้นั การแสดงออก 4. ยอมรับผลงาน 5. ไม่สนบั สนุนการใหร้ างวลั

การส่งเสริมจินตนาการและความคิดสร้างสรรคข์ องเดก็ ปฐมวยั โดยผปู้ กครอง โรเบิร์ต (Robert, 2000: 11) ไดเ้ สนอแนวปฏิบตั ิสาหรับผปู้ กครองในการจดั กิจกรรมเพื่อ สนบั สนุน ใหเ้ ดก็ ไดร้ ับการสร้างเสริมจินตนาการและความคิดสร้างสรรคไ์ วด้ งั น้ี 1. เปิ ดโอกาสใหเ้ ดก็ ไดร้ ับกบั ประสบการณ์ที่มีความหลากหลาย 2. การเล่นของเลน่ เป็นส่ิงท่ีสาคญั จะช่วยกระตนุ้ การเรียนรู้ 3. ควรมีการตอบคาถามของเดก็ ดว้ ยความเตม็ ใจตลอดเวลา 4. เดก็ มีการเรียนรู้โดยผา่ นการเล่น 5. ควรมีการส่งเสริมใหค้ วามสาคญั ต่อการมีจินตนาการและการมีความใฝ่ ฝันของเดก็ 6. การใชค้ าถามท่ีออกในเชิงสร้างสรรค์ 7. ใหค้ วามสนใจตอ่ ส่ิงท่ีเดก็ เกิดการสนใจและอยากรู้อยากเห็น 8. เปิ ดโอกาสใหเ้ ดก็ ไดม้ ีโอกาสในการเลือกและตดั สินใจในหลายๆ ดา้ น

03 หลกั การจดั ประสบการณ์ สาหรับเดก็ ปฐมวยั

แนวทางในการจัดกจิ กรรมศิลปะสร้างสรรค์สาหรับเดก็ ปฐมวยั เพอ่ื ให้การจดั กิจกรรมศิลปะสาหรับเด็กปฐมวยั เป็นอยา่ งเหมาะสมควรคานึงถึงแนวทางใน การจดั กิจกรรม ดงั น้ี (สรวงพร กศุ ลส่ง, 2553: 126-127) 1. ควรคานึงถึงกระบวนการมากกวา่ ความสาเร็จของผลงาน 2. หลีกเล่ียงการให้เด็กวาดภาพระบายสี และการวาดภาพตามแบบ 3. ครูควรหาขอ้ ชื่นชมในความกา้ วหนา้ ในผลงานของเด็ก 4. วางแผนและจดั เตรียมวสั ดุอปุ กรณ์ให้เพียงพอกบั เด็กทกุ คนในการทากิจกรรมแต่ละคร้ัง 5. เตรียมวสั ดุอุปกรณ์ใหเ้ ป็นหมวดหมู่ 6. อยา่ ใชค้ าถามวา่ “กาลงั ทาอะไรอย”ู่ หรือเดาถึงส่ิงท่ีเดก็ ทา 7. ส่งเสริมให้เดก็ สร้างผลงานให้สาเร็จไดด้ ว้ ยตนเอง 8. ให้ความสาคญั ตอ่ กิจกรรมศิลปะ เปรียบเสมือนกบั การสอนเขียนอ่าน 9. การสอนศิลปะเดก็ ควรสอนใหเ้ ด็กรู้องคป์ ระกอบศิลป์ ดว้ ย 10. สร้างความเขา้ ใจกบั ผปู้ กครองถึงแนวทางและจุดมุ่งหมายในการส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์

การจัดกิจกรรมสร้างสรรค์ทางศิลปะให้กบั เดก็ ปฐมวยั การเตรียมห้องเรียนศิลปะ หอ้ งเรียนดา้ น งานศิลปะที่ดีควรมีโตะ๊ เกา้ อ้ี ท่ีไดส้ ัดส่วนมีความเหมาะสม กบั ขนาดของเดก็ ท่ีสามารถเคลื่อนยา้ ยไดง้ ่ายตลอดการใชใ้ นการจดั กิจกรรมดา้ นศิลปะ จานวนของโตะ๊ เกา้ อ้ี ควรเพียงพอกบั จานวนเดก็ โตะ๊ ท่ีใชค้ วรลบมุมใหเ้ รียบร้อยมี ความปลอดภยั ตอ่ การใชง้ าน ในหอ้ งเรียนควรมีช้นั วางและ ตูเ้ กบ็ อุปกรณ์ และควรมีที่ ติดต้งั แสดงผลงานท่ีควรไดร้ ับการชื่นชม ควรมีอ่างลา้ งมือสาหรับทาความสะอาด อปุ กรณ์ สิ่งสุดทา้ ยที่ ขาดไม่ไดค้ ือผา้ กนั เป้ื อน เพื่อป้องกนั การทากิจกรรมตา่ ง ๆ ไม่ใหเ้ ดก็ ๆ เกิดความพะวงกบั การทา กิจกรรม ไม่ตอ้ งกลวั เป้ื อน จนขาดสมาธิในการ ทางานศิลปะ

การจดั กจิ กรรมสร้างสรรค์ทางศิลปะให้กบั เดก็ ปฐมวยั กิจกรรมศิลปะที่มีความเหมาะสมสาหรับเด็กปฐมวยั ตวั อยา่ งเน้ือหากิจกรรมศิลปะท่ีมีความเหมาะสมสาหรับเดก็ ปฐมวยั ไดแ้ ก่ (วริ ุณ ต้งั เจริญ, 2539: 36 - 42) 1. กิจกรรมสาหรับการปูพ้นื ฐาน 2. การวาดภาพระบายสี 3. การทดลองเก่ียวกบั สี 4. การทาภาพพมิ พ์ 5. การป้ัน 6. การพบั ฉีก ปะ 7. การประดิษฐ์

การเตรียมกิจกรรมศิลปะสาหรับเดก็ ปฐมวยั การจดั กิจกรรมศิลปะสร้างสรรคเ์ ป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมใหเ้ ดก็ ไดม้ ีโอกาส สารวจ คน้ หาและ ทดลอง มีการสร้างผลงานอยา่ งอิสระซ่ึงสามารถพฒั นาเดก็ ไดท้ ้งั 4 ดา้ น ท้งั ทางดา้ นร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สงั คมและสติปัญญาไปพร้อม ๆ กนั การจดั กิจกรรมศิลปะสร้างสรรคใ์ นทางปฏิบตั ิสาหรับดา้ นการศึกษาปฐมวยั สามารถจาแนก ศิลปะสร้างสรรคเ์ ป็น 5 ประเภท ดงั น้ี 1. การวาดและการใชส้ ี 2. การพิมพ์ 3. การประดิษฐ์ 4. การประดบั ตกแต่ง 5. การป้ัน

04 การประเมนิ ศิลปะด้าน ความคดิ สร้างสรรค์

การประเมนิ ศิลปะด้านความคดิ สร้างสรรค์ การประเมนิ ผลงานศิลปะของเดก็ ปฐมวยั - การประเมินผลดา้ นผลงาน สงั เกตจากความสาเร็จ สงั เกตพฒั นาการและความกา้ วหนา้ สงั เกตความคิดริเร่ิมสร้างสรรคเ์ พียงใด - การประเมินผลดา้ นพฤติกรรม เป็นการประเมินผลพฤติกรรมของเดก็ โดยสามารถ ประเมินไดจ้ ากการสงั เกตจากพฤติกรรมดา้ นต่าง ๆ อยา่ งละเอียดและสม่าเสมอ ดงั น้ี พฒั นาการทางดา้ นร่างกาย พฒั นาการทางดา้ นดา้ นอารมณ์ พฒั นาการทางดา้ นทางสงั คม พฒั นาการทางดา้ นสติปัญญา

หลกั การประเมนิ ผลงานศิลปะของเดก็ ปฐมวยั ในการท่ีจะทาการประเมินผลงานศิลปะเด็กควรมีการกาหนดจุดม่งุ หมายท่ีชดั เจน เลือก รูปแบบการ ประเมินที่เหมาะสมกบั วยั ของเดก็ มีการวางแผนประกอบกิจกรรมที่ใชใ้ นการประเมิน โดย จดั ทาอยา่ งต่อเนื่องเป็น กระบวนการ นบั เป็นส่วนหน่ึงในการพฒั นากิจกรรมการเรียนการสอนดว้ ย โดยมีหลกั การในการประเมินดงั น้ี (สรวง พร กศุ ลส่ง, 2553: 111) -ทางการรับรู้และความเขา้ ใจ -การคิดสร้างสรรคแ์ ละจินตนาการ -กาหนดแบบแผนในการประเมิน -ยดึ หลกั องคป์ ระกอบศิลป์ -ประเมินพฤติกรรมจากการมีส่วนร่วม -วางแผนการประเมินเดก็ ใหค้ รบท้งั 4 ดา้ น -แสดงหลกั ฐานการประเมินที่เป็นรูปธรรม -ในการจดั กิจกรรม 1 คร้ัง สามารถประเมินไดห้ ลายวิธี -ควรเก็บรวบรวมขอ้ มลู จากหลาย ๆ ดา้ น

เคร่ืองมือในการประเมนิ ผลงานเดก็ ปฐมวยั การประเมินผลงานเด็กปฐมวยั สามารถใชเ้ คร่ืองมือในการประเมินผลงานจากการทา กิจกรรมสร้างสรรค์ ไดด้ งั น้ี (สรวงพร กุศลส่ง, 2553: 111-115) 1.การสังเกตและการบนั ทกึ เป็นวธิ ีการในการการประเมินผลงานเด็กเมื่อครูมีการจดั กิจกรรมสร้างสรรค์ โดยมากครูปฐมวยั มกั ใชว้ ิธีการสงั เกตและบนั ทึกพฒั นาการดา้ นร่างกายเพ่อื ใชใ้ น การประเมินกลา้ มเน้ือมดั เลก็ และการ ประสานสมั พนั ธ์ระหวา่ งมือกบั ตา 1.1 กิจกรรมการวาดภาพระบายสี ตามหลกั เกณฑข์ องสานกั งาน คณะกรรมการ ประถมศึกษาแห่งชาติ (2542: 20) เด็กอายุ 3-5 ปี มีพฒั นาการดงั น้ี อายุ 3 ปี สามารถ วาดภาพท่ีมี ลกั ษณะเป็นวงกลมได้ อายุ 4 ปี สามารถวาดภาพท่ีมีลกั ษณะส่ีเหล่ียมไดช้ ดั เจน อายุ 5 ปี สามารถ วาดภาพที่มีลกั ษณะมุมสามเหล่ียมชดั เจน ซ่ึงครูสามารถสงั เกตพฤติกรรมและ พฒั นาการของเดก็ แต่ ละวยั ไดด้ งั น้ี

เครื่องมือในการประเมนิ ผลงานเดก็ ปฐมวยั 1.1.1 สงั เกตการวาดภาพบนวสั ดุดว้ ยสีเทียนและสีน้าได้ 1.1.2 มีการจดั แสดงผลงานเด็กทุกคนและสงั เกตความกา้ วหนา้ พร้อมกบั บนั ทึก รายละเอียดไวเ้ ป็ นระยะ 1.1.3 ควรมีการจดั สภาพแวดลอ้ มท่ีส่งเสริมบรรยากาศในการทางานอยา่ งมีความสุข 1.1.4 ครูอาจประเมินดว้ ยการวดั การแสดงความภาคภูมิใจในผลงานของตนเองของ เดก็ แตล่ ะคน 1.1.5 สงั เกตจากการถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดออกมาเป็นผลงานดว้ ยตนเองของเด็ก 1.1.6 อาจมีการจดั ใหเ้ ดก็ วาดภาพตามแบบ เพอ่ื สงั เกตพฒั นาการในปัจจุบนั ของเด็ก 1.2 กิจกรรมการป้ัน การจดั กิจกรรมการป้ันแบบท่ีใชอ้ ปุ กรณ์และไมใ่ ชอ้ ปุ กรณ์ ประกอบการป้ัน ตามเกณฑก์ าร ประเมินเดก็ อายุ 3-5 ปี ของสานกั บริหารงานคณะกรรมการส่งเสริม การศึกษาเอกชน (2548: 21) คือ เด็กอายุ 3 ปี สามารถป้ันและคลึงเป็นเสน้ ยาว ป้ันเป็นกอ้ นกลม หรือแบนได้ เดก็ อายุ 4 ปี สามารถป้ันและคลึงเป็นรูปร่างอยา่ งหยาบ ๆ ไดซ้ ่ึงผอู้ ่ืนอาจไม่เขา้ ใจ ความหมาย เด็กอายุ 5 ปี สามารถป้ันและคลึงเป็นรูปร่างท่ีมีรายละเอียดสื่อความหมายให้ผอู้ ื่น เขา้ ใจ ได้ ซ่ึงครูสามารถสงั เกตพฤติกรรมเพ่ือใชเ้ ป็นแนวทางในการประเมินดงั น้ี

เคร่ืองมือในการประเมนิ ผลงานเดก็ ปฐมวยั กิจกรรม 1.2.1 เดก็ สามารถทากิจกรรมไดอ้ ยา่ งคล่องแคล่วแสดงถึงความถนดั ในการใชม้ ือใน การปฏิบตั ิ 1.2.2 สงั เกตการเลือกลงมือป้ันตามจินตนาการ และตามความสนใจของเด็กเอง 1.2.3 สงั เกตพฤติกรรม และผลงานจากการประสานสมั พนั ธก์ นั ระหวา่ งมือและตา 1.2.4 ถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดออกมาเป็นผลงานและสามารถบอกเล่าเร่ืองราวให้ผอู้ ่ืนฟังได้ 1.2.5 สงั เกตการใชม้ ือในการป้ัน คลึง ขยา นวดเป็นรูปร่างต่าง ๆ อยา่ งคล่องแคล่ว 1.2.6 สงั เกตการเลือกใชว้ สั ดุประกอบการป้ัน ตดั พิมพ์ ขดเป็นรูปร่าง 1.3 กิจกรรมการตดั กระดาษ ตามเกณฑก์ ารประเมินเดก็ ปฐมวยั อายุ 3-5 ปี ของ สานกั งานคณะกรรมการ ประถมศึกษาแห่งชาติ (2542: 59) คือ เด็กปฐมวยั อายุ 3 ปี สามารถตดั กระดาษขาดออกจากกนั ได้ เดก็ ปฐมวยั อายุ 4 ปี สามารถตดั กระดาษตามแนวเสน้ ได้ ซ่ึงอาจมีรอยหยกั เดก็ ปฐมวยั อายุ 5 ปี สามารถตดั กระดาษตามแนวเส้น โดยไมม่ ีรอยหยกั ได้

2. การสนทนา การสนทนา เป็นการวธิ ีการทาใหท้ ราบขอ้ มูลเชิงลึกในเรื่องของ ความรู้สึกนึกคิดของเด็กที่มีต่อผลงาน ของตนเอง และยงั ทาให้เด็กเกิดความไวว้ างใจแก่ครูในขณะทากิจกรรม เป็นการสร้างความสนิทสนมคุน้ เคยระหวา่ ง ครูกบั เดก็ อนั จะทาให้เกิดความสมั พนั ธ์อนั ดี ส่งผลต่อบรรยากาศท่ีดีในการทางานศิลปะดว้ ย

3. การรวบรวมผลงาน เป็นวิธีการรวบรวมขอ้ มูลดา้ นต่าง ๆ ของเด็ก สามารถแสดงถึงการเปล่ียนแปลงพฒั นาการ ในทุกดา้ น เอาไว้ ซ่ึงถือเป็นแหล่งรวบรวมเคร่ืองมือชนิดตา่ ง ๆ ที่ครูใชแ้ ละไดจ้ ดั ทาเอาไว้ เช่น แบบ สงั เกตพฤติกรรมเดก็ แบบสอบถามผปู้ กครอง แบบบนั ทึกสุขภาพอนามยั แบบประเมินผลงานชนิด ตา่ ง ๆ การเก็บรวบรวมผลงาน และการประเมินอยา่ งต่อเน่ือง ทาให้ สามารถเปรียบเทียบความกา้ วหนา้ ของ เดก็ ได้ อนั เป็นการสร้างความเขา้ ใจใหก้ บั ผปู้ กครอง โดยการ สงั เกตต้งั แต่ชิ้นแรกจนถึงชิ้นปัจจุบนั จะเห็นถึง พฒั นาการและความแตกต่างอยา่ งชดั เจน


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook