1. การเข้าใจและการใช้ภาษา สมรรถนะในกำรพฒั นำตำมวัยของเดก็ อำยุ3-6 ปี และแนวแนะสำหรับ ผู้เกย่ี วข้อง ในด้ำนกำรเข้ำใจและกำรใช้ภำษำจะกล่ำวถงึ คำศัพท์ กำรเรียงค่ำให้เป็ นประโยค และควำมเข้ำใจภำษำดังนี้ 1.1 คาศพั ท์ (Vocabulary) เดก็ สามารถรบั รู้ เขา้ ใจ และใชค้ าศพั ทไ์ ดต้ ามลาดบั อายซุ ง่ึ ในแตล่ ะระดบั อายจุ ะขอกล่าวถงึ สมรรถนะในการพฒั นาตามวยั และแนวแนะสาหรบั ผเู้ กย่ี วขอ้ ง ดงั ตอ่ ไปน้ี CONTENT 1.1.2 แนวแนะสาหรบั ผเู้ กย่ี วขอ้ ง ชวนเดก็ คุยดว้ ยการออกเสยี งทม่ี อี กั ขระชดั เจน โดยใชค้ าต่าง ๆ ทถ่ี กู ตอ้ งและเหมาะสม ในโอกาส ทท่ี ากจิ วตั รหรอื ทากจิ กรรมรว่ มกนั เช่น ขณะรบั ประทานอาหาร ชวนเดก็ คุยว่าเรากาลงั รบั ประทาน ก๋วยเตยี๋ วเสน้ ใหญ่ ใสล่ กู ชน้ิ หมลู ูกกลม ๆ ฯลฯ ชวนเดก็ คยุ และใชค้ าทแ่ี สดงตาแหน่งแหล่งท่ี เชน่ กระดาษอยบู่ น โต๊ะ รองเทา้ อยใู่ ตเ้ กา้ อ้ี หมาอยใู่ นกรงแมวอยใู่ นบา้ นและเปิดโอกาสใหเ้ ดก็ ถามคาทไ่ี มร่ จู้ กั สง่ เสรมิ ใหเ้ ดก็ กลา้ ถาม และตอบเดก็ ใหม้ ากทส่ี ดุ ท่ีมา : อดุ ม เพชรสงั หาร (2561). แนวแนะวิธีการเล้ียงดู ดูแล และพฒั นาเดก็ ปฐมวยั ตามสมรรถนะเพ่ือเพ่ิมคุณภาพเดก็ ตามวยั 0-5 ปี . ,สาํ นกั งาน เลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ https://www.unicef.org
1.2 การเรียงคาให้เป็นประโยค (Syntax and grammar) เดก็ แสดงพฒั นาการการใชไ้ วยากรณ์ และการเรยี งคาใหเ้ ป็นประโยค ไดต้ ามลาดบั อายซุ ง่ึ ในแต่ละระดบั อายจุ ะขอกล่าวถงึ สมรรถนะในการพฒั นาตามวยั และแนวแนะสาหรบั ผเู้ กย่ี วขอ้ ง ดงั ต่อไปน้ี 1.2.1 สมรรถนะในการพฒั นาตามวยั อายุ 3 ปี เดก็ สามารถพดู เป็นประโยคทมี่ ี 3-4 คา โดยมคี านามและกริ ยิ า (เช่น หนูจะหาแม่ จะกนิ ขา้ ว หนูอม่ิ แลว้ จะไปไหน อายุ 4 ปี เดก็ สามารถพดู เป็นประโยคทมี่ ี 5-6 ค่า ขน้ึ ไป อยา่ งถกู ตอ้ ง เช่น แมไ่ ปซ้อื ของ ทตี่ ลาดนัด) และสามารถอธบิ าย เลา่ เรอ่ื ง โดยใชอ้ ยา่ งน้อย 4 ประโยคตอ่ กนั ตามลาดบั เหตกุ ารณ์ ท่ีมา : อดุ ม เพชรสงั หาร (2561). แนวแนะวธิ ีการเล้ียงดู ดแู ล และพฒั นาเด็กปฐมวยั ตามสมรรถนะเพ่ือเพิ่มคุณภาพเดก็ ตามวยั 0-5 ปี . , สาํ นกั งานเลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ https://www.unicef.org
1.2 การเรยี งคาให้เป็นประโยค (Syntax and grammar) เดก็ แสดงพฒั นาการการใชไ้ วยากรณ์ และการเรยี งคาใหเ้ ป็นประโยค ไดต้ ามลาดบั อายซุ ง่ึ ในแต่ละระดบั อายจุ ะขอกล่าวถงึ สมรรถนะในการพฒั นาตามวยั และแนวแนะสาหรบั ผเู้ กย่ี วขอ้ ง ดงั ต่อไปน้ี 1.2.2 แนวแนะสาหรบั ผเู้ กยี่ วขอ้ ง ชวนเดก็ พูดคุยใหม้ าก เปิดโอกาสใหเ้ ดก็ คุยใหม้ ากท่สี ุด พดู คุยขณะรบั ประทานอาหาร ขณะเล่น หรอื ทา กจิ กรรมกบั เด็ก ฟังเดก็ พูดใหจ้ บ สนบั สนุนใหเ้ ดก็ ไดอ้ ธบิ าย ถามคาถามเดก็ อยา่ งต่อเน่ืองด้วยความสนใจ อยา่ ขดั จงั หวะขณะเดก็ กาลงั เล่า เวลาเดก็ พดู อะไรทเ่ี ป็นเชงิ ปฏเิ สธ เช่น ไม่อยากรบั ประทาน ไมอ่ าบน้า ฯลฯ กอ็ ยา่ ด่วน ตาหนเิ ดก็ ใหโ้ อกาสเดก็ ไดพ้ ดู อธบิ ายถงึ ความตอ้ งการ ความรสู้ กึ และเหตุผลของเดก็ เอง และพดู หวา่ นลอ้ มโดยไม่ หลอกเดก็ และไมต่ ดิ สนิ บน และเมอ่ื เดก็ พูดเรยี งลาดบั คาในประโยคไม่ถูกตอ้ ง ไมต่ อ้ งเน้น หรอื ตาหนิว่าเดก็ พดู ผดิ ใหผ้ ใู้ หญ่พดู ทวนสง่ิ ท่เี ดก็ พดู ดว้ ยประโยคท่ถี ูกตอ้ ง โดยใชน้ ้าเสยี งธรรมดาทไ่ี ม่เน้น ตรงทเ่ี ดก็ พดู ผดิ ท่ีมา : อดุ ม เพชรสงั หาร (2561). แนวแนะวิธีการเล้ียงดู ดแู ล และพฒั นาเดก็ ปฐมวยั ตามสมรรถนะเพ่ือเพิ่มคุณภาพเด็กตามวยั 0-5 ปี . ,สาํ นกั งาน เลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ https://www.unicef.org
1.3 ความเข้าใจภาษา (Comprehension) เด็กสามารถแสดงพฤติกรรม เขา้ ใจความหมายและจบั ใจความได้จากการฟงั ภาษาพูดได้ ตามลาดับอายุซงึ่ ในแต่ละระดับอายุจะขอกล่าวถงึ สมรรถนะในการพัฒนาตามวยั และ แนวแนะสาหรบั ผเู้ ก่ียวขอ้ ง ดังต่อไปน้ี 1.3.1 สมรรถนะในการพฒั นาตามวยั อายุ 3 ปี เด็กสามารถทาตามคาส่งั หรือคาบอกทม่ี ลี ักษณะ 2 ข้ันตอนตอ่ เนือ่ งกนั ได้ (เช่น เอา ถ้วยไปไว้ในอา่ ง และหยิบเส้อื มาใหแ้ ม่) และเมื่อมผี พู้ ดู ดว้ ย เดก็ ตอบสนองด้วยคาพดู หรอื พฤตกิ รรมท่ตี รงเร่ือง เช่น ใคร อยากดื่มนยกมอื ขน้ึ อายุ 4 ปี เดก็ สามารถทาตามคาส่งั หรอื คาบอกที่มีลักษณะ 3 ขั้นตอนต่อเนื่องกนั ได้ (เช่น เอา ถ้วยทอ่ี ยูบ่ นชน้ั ไปไวใ้ นอา่ งแล้วกลับมานงั่ ท่ี) สามารถจับใจความไดถ้ ูกตอ้ ง ในเรอื่ งทฟี่ งั อายุ 5 ปี เด็กสามารถจับใจความเลา่ ตอ่ ได้ เมอ่ื ไดฟ้ ังนทิ านหรอื เร่อื งเลา่ ดว้ ยคาพดู ของตนเอง 1.3.2 แนวแนะสาหรับผ้เู กยี่ วขอ้ ง ใหเ้ ด็กไดม้ สี ่วนรว่ มในวงสนทนา ซ่ึงได้ฟังผอู้ ่นื และรว่ มเสนอความคิดเห็น ผใู้ หญต่ ้องรับฟังด้วยความสนใจ และรว่ มสนทนา หัด ผลัดกนั พดู ไปด้วย และการพูดคุยกนั ดว้ ยภาษาทสี่ ุภาพ เล่านทิ าน อ่านหนงั สอื และเล่าเรื่องใหเ้ ด็กฟงั ชวนเดก็ พูดคุย แล้วตงั้ คาถาม เกี่ยวกบั เร่ืองทีเ่ ลา่ ได้เลา่ เรอื่ งหรือนิทาน ใหโ้ อกาสเด็กแสดงความเขา้ ใจในเรือ่ งท่ไี ดฟ้ ัง และแสดงความคิดเหน็ พรอ้ มเปดิ โอกาสให้เด็กได้เล่าเร่อื ง โดยใช้คาพูดของเด็กเอง ท่ีมา : อดุ ม เพชรสงั หาร (2561). แนวแนะวิธีการเล้ียงดู ดแู ล และพฒั นาเดก็ ปฐมวยั ตามสมรรถนะเพ่ือเพิ่มคุณภาพเดก็ ตามวยั 0-5 ปี . ,สาํ นกั งาน เลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ https://www.unicef.org
2. การส่ือความหมาย ในส่วนของกำรสื่อควำมหมำยจะกล่ำวถึงกำรส่ือควำมหมำยด้วยภำษำพดู กบั กำรส่ือควำมหมำยด้วยท่ำทำง และสัญลกั ษณ์ ดังต่อไปนี้ 2.1 การสอ่ื ความหมายดว้ ยภาษาพดู (Verbal communication) เดก็ สามารถรบั รแู้ ละใชภ้ าษา พดู สอ่ื ความหมายไดต้ รงตามความตอ้ งการของตน สมรรถนะในการ พฒั นาตามวยั และแนวแนะสาหรบั ผเู้ กย่ี วขอ้ ง CONTENT ดงั ต่อไปน้ี 2.1.1 สมรรถนะในการพฒั นาตามวยั อายุ 3 ปี เดก็ ชอบฟังนทิ านและพดู ถงึ บางตอนทชี่ อบเป็นพเิ ศษบอ่ ย ๆ สามารถฟังนทิ าน หรอื ฟัง คนอา่ นหนังสอื ไดน้ าน 5 นาที และสามารถบอกความตอ้ งการ ความรสู้ กึ ความคดิ เหน็ ของตนเองได้ อายุ 4 ปี เดก็ สามารถฟังเสยี งพดู (น้าเสยี ง) และบอกความแตกตา่ งของน้าเสยี งวา่ ผพู้ ดู มี ความรสู้ กึ หรอื มคี วามตอ้ งการอยา่ งไร เชน่ พดู เสยี งดงั เสยี งชน่ื ชม น้าเสยี งออ่ นโยน) และสามารถเลา่ เรอ่ื ง เหตกุ ารณ์ทต่ี นมปี ระสบการณ์ ใหผ้ อู้ น่ื ฟังเขา้ ใจได้ อายุ 5 ปี เดก็ สามารถเรมิ่ การสนทนาทต่ี อ่ เน่อื งดว้ ยคาถามหรอื คาบอกเล่า พดู ชดั ถอ้ ยชดั คา และ อาจออกเสยี งไมช่ ดั ใน เสยี ง “ส” “ร” และรจู้ กั ปรบั วธิ กี ารสอ่ื ความหมายดว้ ยภาษาพดู ใหเ้ หมาะสมกบั ผฟู้ ัง (เชน่ พดู กบั น้อง พดู กบั ครู พดู กบั เพอ่ื น) ที่มา : อดุ ม เพชรสงั หาร (2561). แนวแนะวิธีการเล้ียงดู ดแู ล และพฒั นาเดก็ ปฐมวยั ตามสมรรถนะเพ่ือเพิ่มคุณภาพเดก็ ตามวยั 0-5 ปี . ,สาํ นกั งาน เลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ https://www.unicef.org
2. การส่ือความหมาย ในส่วนของกำรส่ือควำมหมำยจะกล่ำวถงึ กำรสื่อควำมหมำยด้วยภำษำพดู กบั กำรส่ือควำมหมำยด้วยท่ำทำง และสัญลกั ษณ์ ดงั ต่อไปนี้ 2.1 การสอ่ื ความหมายดว้ ยภาษาพดู (Verbal communication) เดก็ สามารถรบั รแู้ ละใชภ้ าษา พดู สอ่ื ความหมายไดต้ รงตามความตอ้ งการของตน สมรรถนะในการ พฒั นาตามวยั และแนวแนะสาหรบั ผเู้ กย่ี วขอ้ ง CONTENT ดงั ต่อไปน้2ี .1.2 แนวแนะสาหรบั ผเู้ กยี่ วขอ้ ง เลา่ นิทานและอา่ นหนังสอื ใหเ้ ดก็ ฟังดว้ ยน้าเสยี งแสดงความรสู้ กึ ตามเรอ่ื ง ชวนเดก็ พดู ทาเสยี ง เลยี นแบบเพอ่ื แสดงอารมณ์ ความรสู้ กึ ของตวั ละคร หรอื ขณะดกู ารต์ นู กบั เดก็ ชวนเดก็ พดู คยุ ถงึ การใชน้ ้าเสยี งเวลา พดู ของตวั ละคร แลว้ ถามเดก็ เช่น เดก็ ชอบตอนไหน ของเรอ่ื ง ชอบตวั ละครตวั ใด เพราะอะไร หรอื ถามวา่ มคี าอะไร ทเ่ี ดก็ ไมเ่ ขา้ ใจไหม ตอนไหนตน่ื เตน้ ทสี่ ดุ ฯลฯ ใหเ้ ดก็ เล่าเรอ่ื งหรอื เหตกุ ารณ์ตา่ ง ๆ ทปี่ ระสบมาใหฟ้ ัง เชน่ วนั น้ไี ปบา้ นคณุ ยายไปทา อะไรมา บา้ ง ไปเจอใครมาบา้ ง เดก็ รสู้ กึ อยา่ งไร ทโ่ี รงเรยี นทาอะไรทชี่ อบบา้ งวนั น้ี เดนิ จากบา้ นไปโรงเรยี นเหน็ อะไรบา้ ง ฯลฯ พรอ้ มคอย สงั เกตถา้ เดก็ ดเู สมอื นวา่ ไมเ่ ขา้ ใจคาหนงึ่ คาใด หรอื ประโยคหนึง่ ประโยคใด โดยลองถามเดก็ ดไู ด้ แตอ่ ยา่ ทาเสยี งเป็นเชงิ ตรวจสอบเดก็ เป็นแบบอยา่ งในการใชค้ าพดู ทถ่ี กู ตอ้ ง เช่น พดู สภุ าพ พดู เหมาะกบั โอกาส พดู ออกเสยี ง ชดั เจน เช่น ร ล ควบกล้า เมอ่ื เดก็ พดู ยงั ไมช่ ดั ไมต่ อ้ งตาหนทิ นั ที แตผ่ ใู้ หญ่อาจพดู ทวนใหถ้ กู ตอ้ งโดยใหเ้ ดก็ ไดย้ นิ พรอ้ ม เปิดโอกาสใหเ้ ดก็ พดู แสดงความตอ้ งการของตนเองได้ เชน่ อยากเล่นเกมนนั้ เกมน้ี อยากตอ่ ของเล่น หวิ น้า อยาก ไปหอ้ งน้า ฯลฯ ท่ีมา : อุดม เพชรสงั หาร (2561). แนวแนะวธิ ีการเล้ียงดู ดแู ล และพฒั นาเดก็ ปฐมวยั ตามสมรรถนะเพ่ือเพิ่มคณุ ภาพเดก็ ตามวยั 0-5 ปี . ,สาํ นกั งาน เลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ https://www.unicef.org
2.2 การสื่อความหมายด้วยด้วย ท่าทาง และสญั ลกั ษณ์ เดก็ สามารถสอ่ื ความหมายอยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพดว้ ยสหี น้า ทา่ ทางและสญั ลกั ษณ์ ไดต้ ามลาดบั อายซุ ง่ึ ในแต่ละระดบั อายจุ ะขอ กล่าวถงึ สมรรถนะในการพฒั นาตามวยั และแนวแนะสาหรบั ผเู้ กย่ี วขอ้ ง ดงั ต่อไปน้ี 2.2.1 สมรรถนะในการพฒั นาตามวยั อายุ 3 ปี เดก็ สามารถบอกความรสู้ กึ ของผอู้ น่ื เมอ่ื เหน็ สหี นา้ ทา่ ทาง (เช่น โกรธ กลวั ตกใจ เสยี ใจ ดใี จ) สามารถทาตามคาสงั่ ท่ี เป็นทา่ ทางของผใู้ หญ่ได้ (เช่น เดนิ ไปหาเมอ่ื ผใู้ หญ่กวกั มอื ) และสามารถทาท่าทางต่าง ๆ เพอ่ื สอ่ื ความหมาย (เชน่ ยม้ิ ทกั ทาย สา่ ยหน้าเพ่อื ปฏเิ สธ ยกมอื เพ่อื ขออนุญาต) อายุ 4 ปี เดก็ สามารถบอกความหมายหรอื สงิ่ ทค่ี วรทาเมอ่ื เหน็ สญั ญาณ หรอื สญั ลกั ษณ์ต่าง ๆ ท่ี ใชใ้ นชวี ติ ประจาวนั เช่น สญั ญาณจราจร ไฟเขยี ว ไฟแดง ทางมา้ ลาย ป้ายบอกหอ้ งน้าหญงิ /ชาย) ใหเ้ ดก็ วาดรปู หรอื เลอื กรปู เพอ่ื สอ่ื ความหมายโดยใช้ สญั ลกั ษณ์ เช่น วาดรปู สญั ลกั ษณ์แสดงอารมณ์ต่าง ๆ เช่น ความรกั ) ที่มา : อดุ ม เพชรสงั หาร (2561). แนวแนะวธิ ีการเล้ียงดู ดูแล และพฒั นาเด็กปฐมวยั ตามสมรรถนะเพื่อเพิ่มคณุ ภาพเด็กตามวยั 0-5 ปี . ,สาํ นกั งาน เลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ https://www.unicef.org
2. การส่ือความหมายด้วยด้วยท่าทาง และสญั ลกั ษณ์ เดก็ สามารถสอ่ื ความหมายอยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพดว้ ยสหี นา้ ท่าทางและสญั ลกั ษณ์ ไดต้ ามลาดบั อายซุ ง่ึ ในแต่ละระดบั อายจุ ะ ขอ กล่าวถงึ สมรรถนะในการพฒั นาตามวยั และแนวแนะสาหรบั ผเู้ กย่ี วขอ้ ง ดงั ต่อไปน้ี 2.2.2 แนวแนะสาหรบั ผเู้ กย่ี วขอ้ ง ชวนเดก็ สงั เกตสหี น้า ท่าทาง ของผคู้ น ทแ่ี สดงความรสู้ กึ ทต่ี ่างกนั เช่น ชวนเดก็ สงั เกตสี หน้าเวลาคณุ ตาอารมณ์ดี หรอื เวลาคุณยาย หรอื โกรธ จะแสดงออกอยา่ งไร หรอื การแสดงอารมณ์ต่าง ๆ ของเพ่อื น หรอื ผทู้ อ่ี ยใู่ กล้ ๆ ฯลฯ ผใู้ หญ่ตอ้ งเป็นแบบอยา่ งทด่ี ใี นการแสดงความเคารพ อธบิ ายและชช้ี วนใหส้ งั เกตสญั ญาณ สญั ลกั ษณ์ต่าง ๆ ทใ่ี ชใ้ นชวี ติ ประจาวนั เช่น สญั ญาณไฟ จราจร ทางมา้ ลาย ป้าย หอ้ งน้าชาย-หญงิ ป้ายหา้ มเขา้ ป้ายพน้ื ล่นื เล่นเกมทายคาจากทา่ ทาง เช่น บา๊ ยบาย กวกั มอื ทาท่าทางโกรธ หรอื เล่นเกมกบั สตก๊ิ เกอรแ์ สดง อารมณ์ต่าง ๆ ดภู าพ คนทแ่ี สดงทา่ ทางหรอื สหี น้าในหนงั สอื หรอื สอ่ื ต่าง ๆ ใหเ้ ดก็ หดั ใชส้ ญั ลกั ษณ์ต่าง ๆ ประกอบการวาดรปู เชน่ หน้ายม้ิ หวั ใจ ฯลฯ หรอื อ่นื ๆ ทเ่ี ดก็ คดิ ไดเ้ อง พรอ้ มเปิดโอกาสใหเ้ ล่นเกมรว่ มกบั เดก็ ๆ ดว้ ยกนั ท่ีมา : อดุ ม เพชรสงั หาร (2561). แนวแนะวธิ ีการเล้ียงดู ดแู ล และพฒั นาเดก็ ปฐมวยั ตามสมรรถนะเพื่อเพ่ิมคณุ ภาพเด็กตามวยั 0-5 ปี . , สาํ นกั งานเลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ https://www.unicef.org
3. การอ่านและการเขียน 3.1 กำรอ่ำน (Reading) เด็กสำมำรถออกเสียงตัวพยญั ชนะ สระ และคำง่ำย ๆ ได้ตำมลำดบั อำยุ ซ่ึงใน แต่ละระดบั อำยุจะขอกล่ำวถึง สมรรถนะในกำรพัฒนำตำมวัย และแนวแนะสำหรับผ้เู กย่ี วข้อง ดังต่อไปนี้ 3.1.1 สมรรถนะในการพฒั นาตามวยั อายุ 3 ปี เดก็ สามารถหยบิ หนงั สอื มาพลกิ ดู และทาท่าอ่านหนงั สอื และเปิดหนงั สอื ทม่ี ี CONTENT ภาพประกอบโดยไมก่ ลบั หวั อายุ 4 ปี เดก็ สามารถชต้ี วั พยญั ชนะได้ 5 ตวั เมอ่ื ถาม (เชน่ ก ไก่ อยทู่ ไ่ี หน ตวั ช ชา้ ง) สามารถอ่านออกเสยี งพยญั ชนะได้ 5 ตวั (เชน่ เมอ่ื ตวั ๆ กอ็ า่ นไดว้ ่า กอ หรอื กอ ไก)่ ชบ้ี อกพยญั ชนะทจ่ี าไดใ้ น คา ต่าง ๆ อยา่ งนอ้ ย 10 ตวั อายุ 5 ปี เดก็ สามารถอา่ นออกเสยี งพยญั ชนะไดถ้ ูกตอ้ งเป็นสว่ นใหญ่ เปิดหนงั สอื ทม่ี ี ภาพจาก หนา้ แรกเรยี งลาดบั ไปยงั หนา้ สดุ ทา้ ย อา่ นคางา่ ย ๆ หรอื ชอ่ื ตนเองได้ เชน่ ช่อื เล่นหรอื ช่อื จรงิ ของตนเอง ท่ีมา : อุดม เพชรสงั หาร (2561). แนวแนะวธิ ีการเล้ียงดู ดูแล และพฒั นาเด็กปฐมวยั ตามสมรรถนะเพื่อเพิ่มคุณภาพเดก็ ตามวยั 0-5 ปี . ,สาํ นกั งาน เลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ https://www.unicef.org
3. การอ่านและการเขียน 3.1 กำรอ่ำน (Reading) เดก็ สำมำรถออกเสียงตัวพยญั ชนะ สระ และคำง่ำย ๆ ได้ตำมลำดับอำยุ ซ่ึงใน แต่ละระดับอำยจุ ะขอกล่ำวถงึ สมรรถนะในกำรพฒั นำตำมวยั และแนวแนะสำหรับผ้เู ก่ยี วข้อง ดังต่อไปนี้ 3.1.2 แนวแนะสาหรบั ผเู้ กย่ี วขอ้ ง จดั ทใี่ นมมุ หนึง่ มมุ ใดของบา้ นใหเ้ หมาะกบั การอา่ นหนงั สอื แบง่ สว่ นสาหรบั วางหนงั สอื ของเดก็ และจดั ใหม้ หี นังสอื CONTENTสาหรบั เดก็ ไดอ้ า่ นเลน่ ใหห้ ลากหลาย โดยใหเ้ ดก็ หยบิ เองและวางคนื ไดง้ า่ ย จดั ใหม้ ชี ว่ งเวลาให้ อา่ นหนังสอื ดว้ ยตวั เองหรอื อา่ นกบั ผใู้ หญ่ เชน่ ก่อนนอน หลงั อาบน้า เวลาวา่ ง วนั หยดุ สดุ สปั ดาห์ ฯลฯ พรอ้ มแนะนา เดก็ ในการหยบิ การใชแ้ ละเกบ็ หนงั สอื อยา่ งทะนุ ถนอม และใหร้ จู้ กั วธิ จี บั หนงั สอื เปิดหนงั สอื และชวนเดก็ อา่ นคา ทเี่ หน็ ตามทต่ี า่ ง ๆ ในชวี ติ ประจาวนั เช่น อา่ นป้ายโฆษณา ป้าย ประกาศ ชอ่ื รา้ น หรอื ป้ายทางดว่ นทผี่ ่านเป็นประจา ป้ายถนน ป้ายซอย ฯลฯ สรา้ งบรรยากาศใหร้ จู้ กั รกั และสนใจการอา่ น ใหเ้ ดก็ สงั เกตวา่ ขณะผใู้ หญอ่ า่ นนทิ านใหฟ้ ัง จะอา่ นจากซา้ ยไปขวา บนลงล่าง ดว้ ยการ ลากน้วิ ไปตามตวั หนังสอื ขณะอา่ น และชวนใหเ้ ดก็ เอาน้วิ ตวั หนังสอื ไปดว้ ยขณะทเ่ี ดก็ อา่ นหนงั สอื ช้ชี วนเดก็ ใหร้ จู้ กั ตวั พยญั ชนะ แลว้ เล่นเกมหาตวั พยญั ชนะตามคาสงั่ ผลดั กนั เป็นคนออกคาสงั่ และเป็นคนหาตวั พยญั ชนะ ทงั้ จากบตั รตวั พยญั ชนะ หรอื พยญั ชนะท่ี ปรากฏในทตี่ า่ ง ๆ เชน่ บนหอ่ ขนม บนกลอ่ งของเล่น โยงใยใหเ้ ขา้ ใจความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งตวั อกั ษร ตา่ ง ๆ กบั ภาษาพดู ฯลฯ ท่ีมา : อุดม เพชรสงั หาร (2561). แนวแนะวิธีการเล้ียงดู ดูแล และพฒั นาเด็กปฐมวยั ตามสมรรถนะเพื่อเพิ่มคุณภาพเด็กตามวยั 0-5 ปี . ,สาํ นกั งาน เลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ https://www.unicef.org
3.2 การเขียน (Writing) 3.2 การเขยี น (Writing) เดก็ สามารถเขยี นตวั อกั ษร ตวั เลข และคางา่ ย ๆ ไดต้ ามลาดบั อายซุ ง่ึ ในแต่ละ ระดบั อายจุ ะขอกล่าวถงึ สมรรถนะในการพฒั นาตามวยั และแนวแนะสาหรบั ผเู้ กย่ี วขอ้ ง ดงั ต่อไปน้ี 3.2.1 สมรรถนะในการพฒั นาตามวยั อายุ 3 ปี เดก็ สามารถขอใหผ้ ใู้ หญ่เขยี นคาทต่ี อ้ งการใหด้ ู และสามารถขดี เขยี นเสน้ ลกั ษณะ ต่าง ๆ ตามตน้ แบบ ทเ่ี หน็ โดยมผี ใู้ หญ่ช่วยแนะ (เช่น เสน้ ตรง เสน้ เฉยี ง เสน้ โคง้ ) อายุ 4 ปี เดก็ สามารถขดี เขยี นเสน้ ลกั ษณะต่าง ๆ ตามตน้ แบบ ทเ่ี หน็ ดว้ ยตนเอง เช่น เสน้ ตรง เสน้ เฉยี ง) สามารถบอกความแตกต่างของชดุ พยญั ชนะทค่ี ลา้ ยกนั (เชน่ ก ก ก ข ซ. บ ป น พ ฟ ฟ) เขยี นตวั อกั ษร งา่ ย ๆ บางตวั ได้ ตาม คาบอก อยา่ งน้อย 5 ตวั รว่ มเล่นเกมการเขยี นตวั อกั ษรดว้ ยน้วิ ในอากาศ และสามารถเขยี น อธบิ ายสงิ่ ทต่ี นวาดหรอื เขยี นให้ ผอู้ น่ื เขา้ ใจได้ อายุ 5 ปี เดก็ สามารถเขยี นคางา่ ย ๆ ตามตน้ แบบ (เชน่ แม่ กาง) สามารถเขยี นช่อื ตนเองหรอื ช่อื เล่น (ผดิ ได้ บา้ ง) เขยี นช่อื ผใู้ หญ่ หรอื ช่อื เพ่อื น (ผดิ ไดบ้ า้ ง) เขยี นประโยคงา่ ย ๆ ทม่ี คี ่าประธาน กริ ยิ า เป็นอยา่ ง น้อย เช่น นกบนิ พอกนิ ขา้ ว) และสามารถวาดรปู และเขยี นคาทเ่ี หมาะสม เชน่ ในบตั รอวยพรต่าง ๆ เชน่ วนั พอ่ วนั แม่ วนั ปีใหม)่ ที่มา : อุดม เพชรสงั หาร (2561). แนวแนะวธิ ีการเล้ียงดู ดูแล และพฒั นาเด็กปฐมวยั ตามสมรรถนะเพื่อเพิ่มคณุ ภาพเด็กตามวยั 0-5 ปี . , สาํ นกั งานเลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ https://www.unicef.org
3.2 การเขียน (Writing) 3.2 การเขยี น (Writing) เดก็ สามารถเขยี นตวั อกั ษร ตวั เลข และคางา่ ย ๆ ไดต้ ามลาดบั อายซุ ง่ึ ในแต่ละ ระดบั อายจุ ะขอกล่าวถงึ สมรรถนะในการพฒั นาตามวยั และแนวแนะสาหรบั ผเู้ กย่ี วขอ้ ง ดงั ต่อไปน้ี 3.2.2 แนวแนะสาหรบั ผเู้ กย่ี วขอ้ ง จดั โต๊ะขนาดทเ่ี หมาะกบั เดก็ สาหรบั นงั่ ขดี เขยี นเล่น มกี ระดาษ ดนิ สอ ทห่ี ยบิ ใชไ้ ด้ สะดวก และ ใหโ้ อกาสเดก็ ใชโ้ ต๊ะและอุปกรณ์การเขยี นจนเกดิ ความเคยชนิ และใหค้ วามสนใจกบั สง่ิ ทเ่ี ดก็ เขยี น ใหเ้ ดก็ รสู้ กึ รกั และ สนุกกบั การเขยี น เขยี นคาทเ่ี ดก็ ตอ้ งการใหเ้ ขยี น เชน่ ช่อื ของเดก็ หรอื เขยี นคาตามทเ่ี ดก็ บอก ผใู้ หญ่ควรจบั ดนิ สอ ใหถ้ กู ตอ้ งและ เขยี นใหช้ ดั เจน ตวั โต เพอ่ื เดก็ จะไดส้ งั เกตวธิ กี ารจบั ดนิ สอ และการลากเสน้ แลว้ ชวนใหเ้ ดก็ ทดลองเขยี น ตามแบบทเ่ี ขยี นใหด้ ู ใหเ้ ดก็ รว่ มกนั ทาบตั รอวยพรเน่อื งในโอกาสต่าง ๆ คดิ คา เขยี นคาดว้ ยกนั เขยี นบนั ทกึ ชว่ ยจา เชน่ อยา่ ลมื คนื ดนิ สอเพ่อื น แลว้ วาดรปู ดนิ สอไว้ ฯลฯ และมสี มดุ บนั ทกึ สว่ นตวั เพอ่ื เขยี นหรอื วาดรปู เพ่อื บนั ทกึ เหตุการณ์ทเ่ี กดิ ขน้ึ ในแต่ละวนั ท่ีมา : อดุ ม เพชรสงั หาร (2561). แนวแนะวธิ ีการเล้ียงดู ดแู ล และพฒั นาเดก็ ปฐมวยั ตามสมรรถนะเพื่อเพิ่มคุณภาพเด็กตามวยั 0-5 ปี . , สาํ นกั งานเลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ https://www.unicef.org
4 การออกแบบกิ จกรรมศิ ลปะ เ พื่ อ พ ัฒ น า ภ า ษ า
การออกแบบกจิ กรรมศิลปะเพอื่ พฒั นาภาษาในอดีต 3 12 ก ำ ร ป้ั น ดิน เ ห นี ย ว ก ำ ร ล ะ เ ล่ น งู กิน ห ำ ง ห ม้ อ ข้ ำ ว ห ม้ อ แ ก ง
กิจกรรมการป้ั นดินเหนี ยว กจิ กรรมการป้ันดนิ เหนยี วเปน็ กจิ กรรมการนาดินเหนียวนามาทาเปน็ รูปทรงต่างๆ ท่เี ด็กสนใจนามาปนั้ ตามจินตนาการ โดยการ ขยา บบี นวด และปัน้ และ สามารถส่ือความหมายของรปู ที่เดก็ ป้นั ได้ ดว้ ยคาพดู หรือคาบรรยายด้วยการให้ เดก็ นาเสนอผลงานของตนเองนั้นเป็นการส่งเสรมิ และพัฒนาทักษะด้านภาษา ความกล้าแสดงออก และความภาคภูมใิ จในตนเองในการสร้างสรรค์ผลงาน (ท่ีมา : YOUNGCIETY, 2562)
“วรรณวฒั ก์ ปวัตตานนท์ (2556: ออนไลน์) กลา่ วว่า การปั้นหมายถงึ การ นาเอาวัสดุออ่ นทีส่ ามารถรวมกนั ได้หรอื แบง่ แยกออกจากกันได้เช่น ดนิ เหนียว ดินน้ามนั ขี้ผึ้ง มตกแตง่ ทาเปน็ รปู ทรงตา่ งๆ ตามต้องการ โดยวิธีขยา บีบ นวด ตัด ขัด ขูด ปะ เป็นต้น จากท่กี ล่าวมาสรปุ ได้ว่าการปน้ั หมายถงึ การนาเอาวสั ดุ เน้อื ออ่ นทไี่ ดจ้ าก วัสดุธรรมชาติ หรอื วัสดสุ งั เคราะหท์ ่ีสามารถแยกหรอื เปลย่ี นรูปไดม้ าผา่ นกระบวนการใน การเพ่ิม- ลดวัสดุหรอื ตกแตง่ ให้เกิดเปน็ รปู ทรงตา่ งๆ ตามตอ้ งการ โดยการบบี ขยาขดั ปะขูด และนวด ทีม่ า : วรรณวัฒน์ ปวุตตานนท์. (2556) ศิลปะงานป้นั จาก www.vattaka.com/elearning/...lesson.htm.
“ศิลปะการปั้น” เป็นการส่งเสรมิ พฒั นาการในดา้ น “มิติสัมพันธ์” และกล้ามเนอื้ มือให้กับเด็ก เปน็ อยา่ งดี เช่น มกี ารหยบิ จบั ได้คลอ่ ง เขยี นหนังสือได้ดขี ้ึน ความแข็งแรงของกลา้ มเนอ้ื มือ นัน้ มคี วามสาคญั กับเดก็ มาก เหน็ ได้จากผลการศึกษาของ “เพียเจท์” นักจิตวิทยาชาว สวิสเซอร์แลนด์ เกย่ี วกับการพฒั นาการเดก็ พบวา่ ความสามารถในการคดิ และทกั ษะทาง ภาษาของเดก็ เกยี่ วโยงกับพนื้ ฐานและประสบการณด์ า้ นกลา้ มเนื้อ เด็กจะไมส่ ามารถพฒั นา ทางภาษาได้ ถา้ ปราศจากพืน้ ฐานทม่ี นั่ คงทางดา้ นประสบการณอ์ อกกาลงั กายและการหยบิ จับส่ิงของรอบ ๆ ตัว เพราะเดก็ ปฐมวัยจะเรยี นรจู้ ากการท่ไี ดส้ มั ผัสกับส่อื วัสดตุ า่ ง ๆ ผ่าน ประสาทสมั ผัสทง้ั ห้า มูลนิธิชว่ ยคนตาบอดแหง่ ประเทศไทย, 2561, กิจกรรมการป้ัน เสริมสรา้ งจนิ ตนาการ จาก www.blind.or.th
การละเล่นงูกินหาง งูกินหาง เปน็ การละเล่นพ้ืนเมอื งเกา่ เลน่ กันทุกภาคของประเทศ ทง้ั ภาคเหนอื ภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื และภาคใต้ พบว่ามีกาCรลOะNเTลEน่ NงTกู ินหางกนั แล้วในงาน ตรุษสงกรานต์ ณ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อ พ.ศ. 2475 การเล่นงูกินหางเป็นการ เล่นเลยี นแบบชวี ิตสตั ว์ คือ เลยี นแบบลกั ษณะท่าทางของงทู ม่ี ีลาตวั ยาวเลื้อยคดไปคดมา นิยมเล่นในงานเทศกาล งานประจาปี และงานรนื่ เริงตา่ งๆ ในสมยั ก่อน งกู นิ หางสว่ นมาก สาวมอญไมค่ อ่ ยได้เลน่ เท่าไร เพราะไมค่ อ่ ยสภุ าพ คอื ฝ่ายผู้ชายกบั ฝา่ ยผ้หู ญงิ ตอ้ งมาจับ มือถือแขนกัน ผูใ้ หญ่ไมน่ ิยมท่ีจะมาเลน่ สนทิ สนมกัน สว่ นมากจะเปน็ คนไทยเล่นกนั (สารานกุ รมเสรี, 2561, งูกินหาง, จาก https//th.wikipedia.org)
วิธีการเล่น 1. ผเู้ ลน่ มจี ำนวน 8-10 คน แบง่ ผเู้ ล่นเป็น 2 ฝ่ำย 2. ฝ่ำยท่ี 1 จะตอ้ งเป็น “พอ่ ง”ู 1 คน ฝ่ำยท่ี 2 มี “แมง่ ”ู 1 คน ทเ่ี หลอื เป็น “ลูกง”ู ซง่ึ ผเู้ ลน่ เป็นลกู งจู ะตอ้ งเกำะเอวผเู้ ล่นเป็นแมง่ ู 3. จำกนนั้ พอ่ งเู รม่ิ ถำมวำ่ “แมง่ เู อย” แมง่ แู ละลูกงกู ร็ อ้ งตอบวำ่ “เอ๋ย” พอช่วงทำ้ ยพอ่ งู ถำมวำ่ “กนิ หวั กนิ หำง” แมง่ ตู อบวำ่ “กนิ กลำงตลอดตวั ” 4. พอ่ งกู จ็ ะไล่จบั ลูกงจู ำกปลำยแถว ฝ่ำยแมง่ จู ะตอ้ งกำงมอื เพ่อื ป้องกนั ลูก หำกลูกงตู วั ใด ถูกพอ่ งดู งึ จนหลุดออกจำกแถวไป กจ็ ะตอ้ งออกจำกกำรเลน่ 5. ผเู้ ลน่ ทเ่ี หลอื กเ็ รมิ่ เล่นกนั อกี จนกวำ่ ลกู งจู ะถกู จบั จนหมด (วฒั นธรรมพน้ื บำ้ น, 2561, เมอื งโบรำณฉบบั พเิ ศษ )
ประโยชน์ของกำรเล่นงกู นิ หำง กค็ อื ทำใหผ้ เู้ ล่นเกดิ ควำมสำมคั คี ทำงำนเป็นกลุ่ม รจู้ กั ชว่ ยเหลอื กนั และรจู้ กั กำรต่อสเู้ พอ่ื เอำตวั รอด เมอ่ื ภยั มำถงึ ตวั นอกจำกน้ียงั ฝึกรำ่ งกำยใหแ้ ขง็ แรง และจติ ใจเบกิ บำนสนุกสนำนไปดว้ ย เป็นทน่ี ่ำสงั เกตวำ่ บทรอ้ งและบทเจรจำโตต้ อบนนั้ มคี ณุ คำ่ ในกำรส่อื สำรอยมู่ ำก กลำ่ วคอื ทำใหเ้ ดก็ ๆ ไดค้ นุ้ เคยกบั คำทใ่ี ชเ้ รยี กช่อื หรอื ใชบ้ อกกรยิ ำอำกำรตำ่ ง ๆ ชว่ ยใหเ้ ดก็ ไดม้ พี ฒั นำกำรทำงภำษำโดยไมร่ ตู้ วั ในบทเจรจำโตต้ อบกเ็ ป็นคำถำม คำตอบสนั้ ๆ มเี น้ือควำมเป็นเร่อื งเป็นรำวเป็นคำพดู ในชวี ติ ประจำวนั บำ้ ง (วฒั นธรรมพน้ื บำ้ น, 2561, เมอื งโบรำณฉบบั พเิ ศษ )
หม้อข้าวหม้อแกง การเลน่ หม้อข้าวหมอ้ แกง มีมาตงั้ แตส่ มยั กรงุ รตั นโกสินทรต์ อนตน้ เป็นการเล่นเบด็ เตลด็ เลียนแบบการดาเนนิ ชีวติ ของผู้ใหญ่ โดยการละเล่นจะเน้นความสนกุ สนานของการเลน่ สมมติบทบาท โดยจะให้กะลามะพร้าว แทนจานขา้ ว ฝนุ่ หรือกอ้ น หินเล็กๆ เป็นขา้ ว ส่วนวัตถุดบิ ทากับขา้ วก็อาจจะเปน็ หญ้าเด็ดใบมา เป็นฝอยๆ เล็ก และพชื ผักต่างๆ ตามทจี่ ะหาได้ในท้องถน่ิ (หมอ้ ข้าวหมอ้ แกง, 2564, www.smartbomcrafts.biz)
สมมติบทบาทกันโดยใหเ้ ดก็ ๆ เปน็ พอ่ ครวั แม่ครวั ทาอาหารการกนิ แบบช่วยกัน จะทาใหเ้ กิดความสนุกสนานโดยกนั แบง่ บทบาท และงานกัน เช่น จะมีฝา่ ย จดั หาวัตถดุ บิ ฝ่ายทาครวั ฝา่ ยปรุงหรือชมิ อาหาร และเพอ่ื ความสมบูรณแ์ บบก็ จะตอ้ งมลี ูกคา้ หรอื คนสง่ั อาหาร ซ่ึงอาจเปน็ เจ้าขุนมูลนาย หรอื พอ่ แมก่ ไ็ ด้ โดยอปุ กรณ์ตา่ งๆ สาหรบั ทาอาหารส่วนใหญจ่ ะเปน็ เครอ่ื งดนิ เผาไม่วา่ จะเป็น หมอ้ สาหรบั ตม้ เตาสาหรบี หุง หรืออ่นุ อาหาร ครกสาหรับโขลก หมอ้ เลก็ ๆ สาหรบั เตรียมสารบั แกงไปเสร์ฟิ เป็นตน้ (หม้อข้าวหม้อแกง, 2564, www.smartbomcrafts.biz)
กิจกรรมการเลา่ นิทาน ก า ร อ อ ก แ บ บ กิ จ ก ร ร ม ศิ ล ป ะ เ พื่ อ พั ฒ น า ภ า ษ า ใ น ปั จ จุ บั น กจิ กรรมการเล่น บทบาทสมมติ ดนตรีและกิจกรรมเคลื่อนไหว สาหรับเด็กปฐมวัย กิจกรรมศิลปะการวาดภาพ ตอ่ เติมจากภาพพิมพ์ เพือ่ พัฒนาการเขียน
ดนตรีและกจิ กรรมเคล่อื นไหว สาหรับเดก็ ปฐมวัย ดนตรีมีประโยชนม์ ากกว่าทเ่ี ราคดิ ดนตรนี อกจากใหค้ วามสนกุ สนานแลว้ ยงั ช่วยกระตุ้นการ ทางานของสมองทกุ สว่ น เพิม่ ทกั ษะการเรียนรู้และการส่อื สารให้ดีขน้ึ ด้วย การใหเ้ ด็กได้ฟังเพลงตงั้ แต่ ยงั เล็ก จะช่วยใหเ้ ดก็ มพี ฒั นาการด้านภาษา การสื่อสาร และความจาท่ีดีขนึ้ เมื่อเดก็ ฟงั เพลงซ้าไปซา้ มา บอ่ ยๆ เด็กจะซมึ ซับเน้ือเพลงและสามารถร้องตามเพลงไดใ้ นทส่ี ดุ เพลงชว่ ยให้เด็กมีสมาธิดีและเพ่มิ ทักษะทางกายภาพ เดก็ จะอารมณ์ดมี ีความสขุ เม่ือไดฟ้ ังเพลง และอาจขยับตัวตามเสยี งเพลงได้ คน สว่ นใหญจ่ าเพลงสมยั เด็กไดห้ ลายเพลง ถึงแมจ้ ะจาเน้อื ร้องได้ไมห่ มดแตก่ ็จาทานองเพลงได้ นคี่ ือ ความสามารถของเสียงดนตรี ทีม่ า : (shorturl.asia/AgpwE)
เดก็ ปฐมวัยเปน็ วัยท่ไี มอ่ ยนู่ งิ่ มักจะมกี ารเคลอ่ื นไหว ทางรา่ งกายอยู่เสมอ อันเป็น ธรรมชาติตามวัยของเด็กปฐมวยั กเ็ พอื่ ใชพ้ ลงั งานทางกายทม่ี ีอยอู่ ยา่ งมากมายเป็นธรรมชาติ ตาม ชว่ งวยั และเป็นการสะท้อนความสมบรู ณท์ งั้ ทางร่างกาย และจติ ใจตามวัยของเดก็ ออกมาดว้ ย เช่นกัน การจดั กจิ กรรมส่งเสริมทกั ษะทางการเคล่ือนไหว ในเชิงปฏิบตั ิการท่ีเหมาะสมตอ่ การ พฒั นาของเด็กปฐมวยั ครูจะไมส่ อนทกั ษะเชงิ วิชาการ จะไม่เปน็ รปู แบบและกฎเกณฑ์ แต่เปน็ กิจกรรมการเรยี นร้ทู มี่ ีความทา้ ทายให้เด็กฟังเสียงตา่ งๆ และให้เกิดทกั ษะการฟัง จาแนกเสียง ตา่ งๆ เสยี งชา้ เร็ว ตามจังหวะ ดนตรี และกิจกรรมรว่ มกบั ผอู้ ่นื โดยใหเ้ ด็กๆ ได้เรียนร้อู ยา่ ง เหมาะสมกับระดับพัฒนาการของเด็กดว้ ย ในการเลน่ เกม ประกอบเพลง ดนตรี การเคลอ่ื นไหว ตามจังหวะ ช้า-เรว็ การให้เดก็ คิดทา่ ทางดว้ ยตนเอง (วารณุ ี สกลุ ภารกั ษ์ และ อาภา หฤทยั งาม, 2562, ดนตรีและกิจกรรมเคลอ่ื นไหวสาหรบั เด็กปฐมวัย, วชริ เวชสารและวารสารเวชศาสตรเ์ ขตเมือง)
การจดั กจิ กรรมเคล่ือนไหว นอกจากจะใช้เครอื่ งประกอบจังหวะแลว้ อาจใช้เพลงร้อง เด็กได้เรียนรู้ภาษา เข้าใจความหมายจากเนื้อเพลง หรอื เพลง บรรเลงโดยเครอ่ื งดนตรลี ว้ นๆ และเนน้ ทจ่ี ังหวะ มาประกอบการเคลื่อนไหวก็ได้ เชน่ เพลงเก่ยี วกบั สัตว์ เพลงยอดนิยมท่วั ไป แต่ควรจะเลอื กเพลงที่มจี ังหวะ ชดั เจน ซง่ึ จะ ทาให้เด็กไดแ้ สดงออกดว้ ยการเคลอ่ื นไหวดว้ ยท่าทาง ทเี่ กดิ จาก ความคดิ สรา้ งสรรค์ของเด็กเอง หรือช่วยกนั คดิ ระหวา่ ง เด็กกบั เด็ก หรือเดก็ กบั ครผู ู้สอน (วารุณี สกุลภารกั ษ์ และ อาภา หฤทยั งาม, 2562, ดนตรแี ละกจิ กรรมเคลื่อนไหวสาหรับเดก็ ปฐมวัย, วชิรเวชสารและวารสารเวชศาสตรเ์ ขตเมอื ง)
ครูฝกึ ใหเ้ ด็กหดั ฟังและเลียนแบบ เสยี งรอ้ งของสัตว์แตล่ ะชนดิ ในสงิ่ แวดล้อมใกล้ ตัว ซ่ึงสตั ว์ แต่ละชนิดจะส่งเสียงร้องแตกตา่ งกัน เพ่ือเปน็ การทบทวนความรู้ สิง่ ที่เรียนและไดเ้ รยี นไปแลว้ เป็นการทบทวนความจาใหแ้ ม่นยา ยิง่ ขึน้ ว่าสตั ว์แตล่ ะ ชนดิ มีเสยี งร้องอยา่ งไร สามารถากิจกรรม ทางดนตรมี าใหเ้ ดก็ รอ้ งหรอื เล่น เปน็ การสรปุ บทเรยี นได้อกี ทางหน่งึ พรอ้ มท้งั ทาลีลาท่าทางเลียนแบบท่าทาง สัตวเ์ หล่าน้นั ดว้ ย เด็กจะชอบเล่นกับคาพูดทีเ่ ป็นบทคาคล้องจอง สัมผสั คา ปรากฏในเพลงนั้น เน่อื งจากเพลงทุกเพลง จะต้องมีเนอ้ื ร้อง ทส่ี มั ผัสกันตามลักษณะของบทประพนั ธ์ เช่น นกเอยนกนอ้ ย น้อยเจ้าค่อยคอ่ ยเคล่ือน คลอ้ ยมา คาวา่ น้อยสมั ผัสกบั คอ่ ย ลกั ษณะของคาทคี่ ล้องจองกนั เช่นน้ี ทาใหเ้ ด็กสามารถ จาเพลงได้ ง่ายข้นึ และเรียนรู้ภาษาไดเ้ ร็วขน้ึ (วารุณี สกลุ ภารักษ์ และ อาภา หฤทัยงาม, 2562, ดนตรีและกิจกรรมเคลือ่ นไหวสาหรบั เด็กปฐมวยั , วชิรเวชสารและวารสารเวชศาสตร์เขตเมอื ง)
การเล่านิ ทาน วาโร เพ็งสวัสดิ์ (2542, หนา้ 138) ได้กลา่ ววา่ นิทานและการเล่าเรอื่ ง หมายถึง เร่อื งราวท่ีเลา่ ต่อ ๆ กนั มาเปน็ เวลานาน เพอื่ ความสนุกสนานเพลดิ เพลนิ และใหค้ วามรู้ เพอ่ื ให้ เปน็ คนทอี่ ยูใ่ นสงั คมไดอ้ ย่างมีความสขุ และบางคร้ังก็สอดแทรกคติหรอื คุณธรรม เพ่ือสอนใจ ลงไปด้วยในระหวา่ งการเลา่ เรอื่ งให้เด็กฟัง อาจมีการสนทนาโตต้ อบ อภิปราย ซกั ถาม แสดง ขอ้ คดิ เห็นและแสดงทา่ ทางประกอบเร่อื งราวได้ ข้นึ อยูก่ บั จุดมงุ่ หมายของการเลา่ นทิ าน สมศกั ดิ์ ปรปิ รุ ณะ (2542, หนา้ 47-64) ได้สรปุ ความหมายของนิทานไว้ ดงั น้ี 1. เป็นเรื่องทผี่ กู ขึ้น 2. เป็นเรือ่ งทีเ่ ล่าใช้วาจาเป็นสือ่ ถ่ายทอดหรอื เขียนทานองการเลา่ ด้วยปากเปลา่ 3. เป็นบทประพันธท์ ่ีมีลีลาการเล่าแบบเป็นกนั เองทานองการเลา่ ด้วยวาจา 4. เป็นเร่อื งเล่าทม่ี จี ดุ ประสงค์หลัก เพ่อื ความบันเทิงใจ สง่ิ สอนใจเปน็ จดุ ประสงค์รอง ทม่ี า : (http://www.edu.nu.ac.th/)
เกริก ยันพันธ์ (2539, หนา้ 8) ไดใ้ หค้ วามหมายของนทิ านวา่ หมายถึง เรอื่ งราวทเ่ี ล่าสืบต่อกันมา ตง้ั แต่สมัยโบราณเปน็ การผกู เรื่องข้นึ เพือ่ ให้ผูฟ้ งั เกดิ ความ สนกุ สนาน แฝง คาสอน จรรยาในการใช้ชีวิต เป็นการถา่ ยทอดวฒั นธรรมใหต้ ่อเนื่องของ ผเู้ ล่าใหค้ นรุน่ ใหมฟ่ งั ทัศนยี ์ อินทรบ์ ารงุ (2539, หน้า 14) กลา่ ววา่ นิทาน หมายถงึ เร่ืองราวที่ เล่าตอ่ ๆ กนั มา หรอื แตง่ ขน้ึ ใหม่ โดยมจี ดุ ประสงค์เพ่อื อบรมสัง่ สอนและ เพอื่ ความ สนกุ สนานเพลดิ เพลนิ ราชบณั ฑิตยสถาน (2538 หน้า 448) ใหค้ วามหมายวา่ นทิ าน คือ เรอื่ ง ท่เี ล่ากนั มา เชน่ นิทานชาดก นทิ านอีสป จากความหมายของนิทานที่กล่าวมาขา้ งตน้ สรุปได้วา่ นทิ าน หมายถึง เรื่องราว ท่ี เลา่ สืบตอ่ กนั มา หรอื เป็นเรือ่ งทผ่ี ้เู ล่าผกู ขึน้ โดยมวี ัตถปุ ระสงคเ์ พ่อื สืบทอดประสบการณ์ ความรู้ ความคดิ หรือค่านิยมบางอยา่ งให้ผฟู้ ัง พรอ้ มสอดแทรกคตธิ รรม แนวทางปฏบิ ตั ิตนที่ดีงาม และ ความสนุกสนานเพลดิ เพลินไปพรอ้ ม ๆ กนั ทม่ี า : (http://www.edu.nu.ac.th/)
ประเภทของนทิ าน 1. นิทานประเภทตานาน อาจอิงเหตกุ ารณ์จริงอยู่บ้างกไ็ ด้ 2. นิทานสภุ าษติ เปน็ นิทานที่มผี ูแ้ ตง่ ข้นึ เพอ่ื เปน็ บทสอนใจผูอ้ า่ นและ 3. นิทานพื้นบ้าน หรือ นิทานประจาทอ้ งถ่นิ 4. นิทานชาดก 5. นทิ านเก่ียวกับเทพเจา้ หรอื นทิ านเทพปกรณมั 6. นิทานเก่ยี วกับพืชสตั วแ์ ละเรือ่ งส่งิ ของตา่ งๆ 7. นทิ านสะทอ้ นสังคม 8. นิทานอธิบายเหตุ 9. นิทานตลกขบขัน 10. นทิ านวรี บุรษุ ทีม่ า : (http://mungsungnoen.blogspot.com/2013/01/normal-0-false-false-false-en-us-x-none.html)
รปู แบบการเล่านิทาน 1. นิทานทเี่ ลา่ โดยใชส้ ือ่ อปุ กรณใ์ นขณะท่ีเลา่ เปน็ นทิ านที่ผเู้ ลา่ จะต้องใชส้ ่อื ทเี่ ตรยี ม หรอื หามาเพือ่ ใชป้ ระกอบการเล่า เช่น เล่าโดยใช้หนังสอื นทิ านห่นุ น้วิ มือ นทิ านเชดิ นิทานเชือก เป็นต้น หรือขณะเลา่ อาจมีดนตรปี ระกอบจังหวะเพอ่ื ทาให้การเลา่ สนุกสนานยงิ่ ขน้ึ 2. การเล่านิทานประกอบท่าทาง การเลา่ นิทานแบบนเี้ ป็นการเล่านทิ านทมี่ ีชีวติ ชวี า มากกว่าการเล่านิทานปากเปล่า เพราะเดก็ สามารถตดิ ตามเร่อื งทเ่ี ลา่ ได้ และ จินตนาการเป็นรปู ธรรมมากขนึ้ ตามท่าทางของผู้เล่า สนุกสนานมากขึน้ เพราะเหน็ ภาพพจนข์ องเรอ่ื งท่เี ลา่ ท่าทางแสดงร่วมของเดก็ ได้แก่ การทาหน้าตา การแสดง ท่าทางกาย หรอื การเล่นน้ิวมือประกอบการเลา่ ที่มา : (http://mungsungnoen.blogspot.com/2013/01/blog-post28.html)
3. การเลา่ นิทานประกอบภาพ ภาพทใี่ ช้ในการเลา่ มีหลายชนิด มีท้งั ภาพถ่าย ภาพโปสเตอร์ ภาพจากหนังสอื ภาพวาด ภาพสไลด์ ภาพเคลือ่ นไหว หรอื ภาพฉาย การทีม่ ีภาพสวยๆ มา ประกอบการเลา่ เปน็ การจูงใจใหเ้ ด็กติดตามเร่ืองราวด้วยความอยากรู้ เด็กจะสนกุ สนานมากขน้ึ ถา้ ในขณะฟังเรือ่ งและดูภาพ ผูเ้ ล่าจะต้องกระตุ้นใหเ้ ดก็ แสดงความคิดเหน็ และร่วมสร้าง จินตนาการใหก้ ับนิทานที่เล่า 4. นิทานพบั กระดาษและฉีกกระดาษ เป็นนทิ านที่ผู้เลา่ จะตอ้ งเลา่ นิทานพร้อมๆกับการพับ กระดาษและฉีกกระดาษ จะตอ้ งพอดี กับเหตกุ ารณๆ์ หรอื สมั พันธ์กันอยา่ งพอดพี อเหมาะตลอด เรอ่ื งการเล่านทิ านทง้ั หมดนัน้ จะนา่ สนใจหรอื ไม่ อยู่ท่วี ธิ กี ารเล่า นา้ เสียง การเวน้ จังหวะและ ระยะเวลาในการนาเสนอนทิ าน 5. การเล่านิทานประกอบเส้นเชือก เปน็ นิทานทีผ่ ู้เลา่ จะเล่าแบบปากเปลา่ ประกอบกบั การ สร้างสรรค์เชอื กให้มคี วามสัมพนั ธ์กับการเลา่ อยา่ งตอ่ เนอ่ื ง ผดู้ ูหรอื ผู้ฟังจะต่นื เตน้ กบั การ สร้างสรรคเ์ ชือกจากผูเ้ ลา่ เป็นรูปร่างตา่ งๆ ประกอบกบั การเลา่ เรื่อง ท่มี า : (http://mungsungnoen.blogspot.com/2013/01/blog-post28.html)
ประโยชน์ของนิทาน การเล่านทิ านเป็นกจิ กรรมทค่ี รอู นบุ าลใชม้ ากเปน็ ประจาสม่าเสมอในการถา่ ยทอด ความรู้ ทัศนคติ และแนวคิดไปสเู่ ด็กปฐมวยั โดยทไ่ี ม่เปน็ การขดั กับความตอ้ งการของเดก็ เพราะเปน็ กจิ กรรมท่ีผู้ฟงั ได้รบั ความ สนกุ สนานเพลดิ เพลินในแงข่ องการส่งเสริมพฒั นาการของเด็ก นิทานยงั เปน็ การสรา้ งเสริมพฒั นาการทางภาษา เพราะชว่ ยใหเ้ ดก็ ได้มโี อกาสฝกึ ทักษะการฟัง นทิ านช่วยใหเ้ ด็กไดแ้ สดงออกสรา้ งความสมั พนั ธ์ อนั ดีระหว่างเด็ก ด้วยกนั และระหว่างครกู ับเดก็ กล้าซักถาม และแสดงความคดิ เห็นอยา่ งอิสระ ปลกู ฝงั นิสัยรักการอา่ น เนอ่ื งจาก ธรรมชาติของคนอยา่ งหนงึ่ คือ ความอยากรู้ อยากเห็น การฟังนทิ านเปน็ การเรียนรู้ประสบการณต์ ่าง ๆ วธิ ีหนึ่งที่ ไม่มีแบบแผนเปน็ การเรียนรู้ ท่ีได้ผลเร็วมากกวา่ การเรยี นรอู้ ยา่ งมรี ะบบแบบแผน เดก็ ๆ พอใจทจ่ี ะเรียนรู้ ประสบการณ์จากการฟงั นทิ าน แต่เมื่อสามารถอา่ นหนงั สือเองไดจ้ งึ แสวงหาประสบการณจ์ ากการอา่ นโดยไม่ตอ้ ง รอ หรอื ขอร้องให้คนอนื่ เล่าให้ฟงั อกี ต่อไป เดก็ จงึ มโี อกาสได้พบไดเ้ ลือกสิ่งที่ต้องการอา่ นดว้ ยตนเอง ในท่ีสดุ จะมี นสิ ัยรักการอ่านเพราะความอยากรอู้ ยากเหน็ และการอ่านสามารถสนองความตอ้ งการ บางอยา่ งได้ จึงทาใหเ้ ดก็ ๆ พอใจกบั การอ่านอยา่ งไม่มที ีส่ นิ้ สุด ทีม่ า : (http://mungsungnoen.blogspot.com/2013/01/blog-post28.html)
กจิ กรรมศิลปะการวาดภาพตอ่ เตมิ จากภาพ พิมพ์ เพื่อพัฒนาการเขยี น เพม่ิ ศรี ชูวเิ ชยี ร, 2549 ได้ศกึ ษาพัฒนาการเขียนของเด็กปฐมวัย ทีไ่ ดร้ ับการจัดกจิ กรรมศิลปะการวาดภาพตอ่ เติมจากภาพพิมพ์ ซ่งึ กิจกรรม การวาดภาพมี 3 กจิ กรรมคือการวาดภาพโดยสีเทียน หรอื สไี ม้ การวาดภาพ โดยสีนา้ เช่น พู่กนั ฟองน้า การละแลงสีด้วยมือ ซ่ึงการจัดกิจกรรมศลิ ปะ การวาดภาพน้ีจะช่วยการพฒั นาการเขียนของเดก็ ให้เกดิ การพฒั นาจนกระทง่ั สามารถเขียนเป็นตัวอกั ษร ดงั นน้ั กิจกรรมการวาดภาพจะกระตนุ้ ให้เด็กมี ความรอู้ ยากคิด จนิ ตนาการซงึ่ เปน็ การตอบสนองตามวัยได้เปน็ อยา่ งดี http://thesis.swu.ac.th/swuthesis/Ear_Chi_Ed/Per msri_C.pdf
(ปยิ ชาติ แสงอรณุ , 2526 : 49 - 52) จากการวาดภาพระบายสี นน้ั ไมไ่ ด้ เปน็ เพียงสอื่ ความคดิ ของเด็ก แต่ยังแสดงถึงความพยายามในการ สร้างสญั ลักษณซ์ ่ึงสญั ลักษณ์บางอย่าง เด็กๆ มักจะพดู ถึงงานและการสรา้ ง เร่อื งพรอ้ มๆ กบั รปู ภาพ เด็กสามารถทีจ่ ะแกไ้ ขงานเขยี นของตนเองได้ สามารถ ปรึกษาเพอ่ื นและครไู ด้ เมื่อเด็กเขียนงานเสร็จแลว้ จะเปิดโอกาสให้เด็กออกมา เล่าเรื่องที่วาดและเขียนให้เพอื่ นซกั ถามขอ้ สงสยั เพอื่ พฒั นาทักษะการพูดและ ฟัง ความสาคญั ของการจดั กิจกรรมศลิ ปะการวาดภาพต่อเตมิ จาก ภาพพิมพ์เป็นการจัดกิจกรรม ท่ีเปดิ โอกาสใหเ้ ด็กเปน็ ผ้สู รา้ งความคิดได้ใช้ ประสบการณ์เดมิ ของตนเช่ือมโยงกับจินตนาการที่ เกิดขึ้นจากการพมิ พภ์ าพที่ เปน็ สว่ นประกอบขาดหายไปแล้ววาดตอ่ เติมให้สมบรู ณ์ จากการวาดภาพและ พัฒนาไปส่กู ารเขียนชอื่ ภาพ จนในท่สี ุดเดก็ สามารถขดี เขียนและสะกดไดด้ ้วย ตนเอง ถือวา่ เป็นการจัดกิจกรรมทยี่ ดึ เดก็ เปน็ สาคัญ http://thesis.swu.ac.th/swuthesis/Ear_Chi_Ed/P
กจิ กรรมการเลน่ บทบาทสมมติ ทิศนา แขมมณี (2550 : 358) กล่าวถึงวธิ สี อนโดยใชก้ ารแสดงบทบาทสมมติ คอื กระบวนการที่ผ้สู อนใช้ในการชว่ ยให้ผู้เรยี นเกิดการเรยี นรู้ตาม วตั ถปุ ระสงคท์ กี่ าหนด โดยการให้ผเู้ รยี นสวมบทบาทในสถานการณซ์ ่งึ มีความ ใกลเ้ คียงกับความเป็นจริง และแสดงออกมาตามความรสู้ ึกนึกคิดของตน และ นาเอาการแสดงออกของผ้แู สดง ท้งั ทางดา้ นความรู้ ความคดิ ความรสู้ ึก และพฤตกิ รรมท่ีสงั เกตพบว่าเป็นข้อมลู ใน การอภิปราย เพ่อื ใหผ้ เู้ รยี นเกดิ การ เรียนรู้ตามวตั ถปุ ระสงค์ บญุ ชม ศรสี ะอาด (2541 : 161) กล่าวถงึ การสอนโดยการแสดงบทบาทสมมติ (Role Playing) คือ เทคนิคการสอนทใ่ี หผ้ ูเ้ รียนแสดงบทบาทในสถานการณท์ ่ี สมมติข้ึน น่ันคอื แสดงบทบาททกี่ าหนดให้ (ที่มา : ขนิษฐา บนุ นาค, 2561, การเล่นบทบาทสมมติ (Role Playing) กจิ กรรมสรา้ งสรรคส์ าหรบั เด็กปฐมวยั , www.youngciety.com)
องค์ประกอบในการจดั กจิ กรรมบทบาท สมมติ 1. ผสู้ อนและตวั เด็ก 2. เนอ้ื เร่ือง ควรเปน็ เน้ือเรอื่ งอยา่ งงา่ ยและเป็นสถานการณใ์ นชีวิตประจาวนั ท่เี ด็ก พบเหน็ หรือเน้ือเรื่องจากหนงั สอื นิทานทีอ่ า่ น 3. การแสดงบทบาทสมมติ เช่น ตัวละครในเร่ืองมีลักษณะหรอื บคุ ลกิ เลียนแบบ ของจริง เชน่ บุคคลในอาชพี ตา่ ง ๆ การจนิ ตนาการเปน็ ตัวละครตวั ต่าง ๆ เชน่ สตั ว์ ในนทิ าน เปน็ ตน้ 4. ฉาก เพอ่ื ให้สมจริงและเพิม่ ความสนกุ ให้กับเดก็ มากขน้ึ ควรจัดเตรยี มวัสดุ อุปกรณ์นามาใช้ประกอบการเลน่ เชน่ ชดุ เครือ่ งครัว (ของเลน่ ) ถว้ ยกาแฟ แกว้ ตา่ ง ๆ ท่ีเป็นพลาสตกิ แต่ถา้ ไม่มีกอ็ าจแสดงการหยบิ จบั โดยไมม่ ีของกไ็ ด้ หรือจะรว่ มกัน ประดิษฐข์ น้ึ มาเองกไ็ ด้ 5. การอภปิ รายเกี่ยวกบั ความรู้ ความคิด ความรู้สกึ และพฤติกรรมทีแ่ สดงออก ของผแู้ สดงและสรุปการเรยี นรูท้ ีไ่ ด้รับ (ทม่ี า : ขนิษฐา บนุ นาค, 2561, การเล่นบทบาทสมมติ (Role Playing) กิจกรรมสรา้ งสรรคส์ าหรบั เดก็ ปฐมวยั , www.youngciety.com)
ประโยชนใ์ นการจดั กิจกรรมบทบาทสมมติ 1. สง่ เสรมิ ความคิดสร้างสรรค์ เพราะเดก็ ไดค้ ิดสรา้ งสรรคจ์ ากจนิ ตนาการออกมาเปน็ บทบาทท่ีเด็กสมมตขิ ้ึน ซึ่งเปน็ การ กระตุ้นความคดิ เช่น เด็กเล่นสมมตเิ ปน็ พอ่ ค้า-แมค่ า้ เดก็ กจ็ ะเชือ่ มโยงความคดิ วา่ เวลาไปตลาดกบั คณุ พอ่ คุณแม่ ไปทต่ี ลาดจะเจออะไรบา้ ง เวลาเห็นแมค่ ้าขายของเคา้ ทาอะไรบ้าง เดก็ ก็จะจดจาและจนิ ตนาการออกมาผา่ นการ แสดงทา่ ทางตามบทบาทนนั้ ๆ 2. สง่ เสรมิ ทกั ษะดา้ นภาษา เพราะกจิ กรรมบทบาทสมมติเป็นกจิ กรรมทเี่ กยี่ วข้องกับการสอื่ สารดว้ ยคาพดู และทา่ ทาง ในบางคร้ังเราจะเหน็ เด็กเลน่ และพูดคนเดยี ว แต่ท่ีเดก็ พูดคนเดยี วนนั้ ลว้ นเป็นเพ่อื นทเ่ี ด็กอาจจะสมมติเป็นตัวละครตัวตา่ ง ๆ ออกมา จากจินตนาการของเด็กเอง ก็จะทาใหม้ กี ารส่อื สารออกมาเปน็ คาพดู และท่าทาง ถา้ ผู้ปกครองมเี วลาร่วมเล่นกบั เด็กในวัยทีก่ าลงั เริม่ หดั พูด กจ็ ะยงิ่ ช่วยส่งเสริมในการใชภ้ าษาและทาให้เดก็ ได้เรยี นรู้คาศัพทใ์ หม่ ๆ เพ่มิ มากขนึ้ (ที่มา : ขนิษฐา บนุ นาค, 2561, การเล่นบทบาทสมมติ (Role Playing) กิจกรรมสรา้ งสรรคส์ าหรบั เดก็ ปฐมวยั , www.youngciety.com)
3. สง่ เสริมทักษะทางสงั คม จากการทางานรว่ มกนั เปน็ กลุ่มเดก็ จะไดเ้ รยี นรูแ้ ละสรา้ งความสมั พันธ์กับผู้อน่ื รู้จกั ปรับตัวเขา้ กบั เพ่อื น ๆ นอกจากนีย้ ังชว่ ยฝึกการเป็นผู้นาผตู้ ามให้กับเด็กและปลูกฝังให้เดก็ มีความรักและสามคั คี 4. ส่งเสรมิ ทกั ษะทางอารมณ์ เด็กในวยั ปฐมวัยเปน็ วัยท่ชี อบแสดงออกทางความรู้สึก กิจกรรมบทบาทสมมติเปน็ กจิ กรรมที่ช่วยให้เดก็ ได้ แสดงออกทางดา้ นอารมณต์ นเองได้อย่างเตม็ ท่ี ซงึ่ คณุ ครหู รือผู้ปกครองสามารถสอนให้เด็กแสดงอารมณต์ ่าง ๆ ออกมาจาก การแสดงผา่ นตวั ละครนั้น เชน่ ดีใจ เสียใจ รอ้ งไห้ มีความสขุ ทกุ ข์ใจ ฯลฯ โดยสอนให้เด็ก ๆ รูว้ ่า เมือ่ เกิดความรสู้ ึกเหล่านนั้ จะมพี ฤตกิ รรมอะไรตามมา ซง่ึ เป็นการสอนเด็กในการเรียนรูอ้ ารมณข์ องตัวเองได้ 5. ส่งเสรมิ ด้านความจา ในการทากจิ กรรมเดก็ จะตอ้ งจดจาทา่ ทางและบทบาทของตัวละครนน้ั ๆ ไมว่ ่าจะเปน็ บทบาทจากจนิ ตนาการ หรอื บทบาทสมมติที่กาหนดให้ ลว้ นแต่จะคอยกระตุ้นความจาจากประสบการณ์ในชีวติ ประจาวัน หรือจดจามา จากการเลยี นแบบพฤติกรรมจากส่งิ ตา่ ง ๆ รอบตวั เดก็ ผ้ปู กครองสามารถช่วยตอ่ ยอดในการกระต้นุ ความจาให้ เดก็ ได้ (ท่ีมา : ขนิษฐา บนุ นาค, 2561, การเลน่ บทบาทสมมติ (Role Playing) กิจกรรมสรา้ งสรรคส์ าหรบั เดก็ ปฐมวยั , www.youngciety.com)
การออกแบบกิจกรรมศลิ ปะเพ่ือพฒั นาภาษาทีท่ ันสมยั “ศิลปะบาบัด”ทางเลือกเดก็ พเิ ศษ “กรมสุขภาพจติ ” เผยศิลปะบาบัด เป็นอกี หนึง่ แนวการบาบัดทางเลอื กเพ่อื เด็กพเิ ศษ เนน้ การดูแลสขุ ภาพแบบองคร์ วม ผ่านกจิ กรรมต่างๆ เชน่ การวาด ระบายสี การปน้ั การประดิษฐ์ การใชด้ นตรีบาบัดและละครบาบัด หวงั ชว่ ยกระตุน้ และสง่ เสรมิ พฒั นาการดา้ นตา่ งๆ มที ักษะในการส่อื สารและการโตต้ อบกับบุคคลอ่ืน ตลอดจนเกดิ ความสนกุ สนานและรู้สกึ ผ่อนคลาย (สานกั งานกองทุนสนบั สนุนการสรา้ งเสรมิ สขุ ภาพ, 2560, “ศลิ ปะบาบดั ”ทางเลอื กเดก็ พเิ ศษ, www.thaihealth.or.th)
นาวาอากาศตรี นายแพทย์บญุ เรอื ง ไตรเรอื งวรวัฒน์ กล่าวว่า ศลิ ปะคือ หนทาง แห่งการปลดปลอ่ ยอารมณ์ ความร้สู ึก ความคิด ตามความต้องการของแตล่ ะคน สาหรับเด็ก ศิลปะจะช่วยในด้านการพฒั นาอารมณ์ สตปิ ัญญา สมาธิ ความคิด สรา้ งสรรค์ รวมถงึ ช่วยพฒั นากล้ามเน้อื มัดเลก็ และการประสานงานการเคลือ่ นไหวของ ร่างกาย ตลอดจนเปน็ เครอื่ งมือสาคญั ทชี่ ่วยกระต้นุ การส่ือสาร และเสริมสรา้ งทักษะ ทางสงั คมอีกด้วย การใชศ้ ิลปะบาบดั จึงเป็นรูปแบบหน่งึ ของการแพทยเ์ สรมิ และ ทางเลือก ที่เนน้ การดแู ลสขุ ภาพแบบองคร์ วม นามาเสริมในการดแู ลรักษาแนวทางหลกั ให้มีประสิทธภิ าพดียง่ิ ขึน้ การบาบัดรกั ษาเดก็ พิเศษ (สานกั งานกองทุนสนบั สนุนการสรา้ งเสรมิ สขุ ภาพ, 2560, “ศลิ ปะบาบดั ”ทางเลอื กเดก็ พเิ ศษ, www.thaihealth.or.
ในปัจจุบันกรมสขุ ภาพจติ ได้ใช้ศลิ ปะบาบัด ทงั้ ดา้ นทัศนศลิ ป์ ไดแ้ ก่ การวาด ระบายสี การป้นั การประดษิ ฐ์ ฯลฯ การใชด้ นตรีบาบดั ได้แก่ การเลน่ ดนตรี ร้องเพลง ฯลฯ และละครบาบดั ได้แก่ การแสดงละคร และการเคลอ่ื นไหวร่างกาย ฯลฯ ซึ่งจะใช้ แตกต่างกนั ไปในเด็กพิเศษหรอื ผูร้ บั การบาบัดทม่ี สี ภาพปัญหาแตกต่างกนั อย่างไรก็ตาม หวั ใจสาคญั ทน่ี ามาใชใ้ นกระบวนการทางศิลปะบาบดั คอื การสนับสนุน และเสริมสร้าง กาลังใจ โดยให้ความสนใจ ใหก้ าลังใจ และชมเชยเม่อื ทาได้สาเรจ็ หรือมคี วามพยายาม เพม่ิ ขนึ้ (สานกั งานกองทุนสนบั สนุนการสรา้ งเสรมิ สขุ ภาพ, 2560, “ศลิ ปะบาบดั ”ทางเลอื กเดก็ พเิ ศษ, www.thaihealth.or.th)
หลักการทางานของ Optimusic จะประกอบด้วย อุปกรณส์ รา้ งลาแสงสตี า่ งๆ อปุ กรณ์ ทีเ่ ป็นแผ่นสะทอ้ นแสง และโปรแกรมซอฟต์แวร์ โดยลาแสงจากอปุ กรณแ์ ต่ละสจี ะมี เซน็ เซอรต์ รวจจบั การเคลือ่ นไหวท่ตี ัดผา่ นลาแสงหรอื ปดิ การสะทอ้ นของลาแสง ส่งไปยงั คอมพวิ เตอร์ เพ่อื เชอ่ื มโยงกับเสียงดนตรี หรือเสยี งต่างๆ การใช้แสงและเสียงดนตรี ย่อมช่วยใหเ้ ด็กสนใจและสนุก อกี ทง้ั ยงั ได้เคลอื่ นไหว ไดเ้ รียนรกู้ ารแยกสี การ เรยี งลาดบั เสยี งและเหตุการณ์ ทาใหส้ มองได้รบั การพฒั นา (สานกั งานกองทนุ สนับสนุนการสรา้ งเสรมิ สขุ ภาพ, 2560, “ศลิ ปะบาบดั ”ทางเลอื กเดก็ พเิ ศษ, www.thaihealth.or.th)
“ละครบาบดั ” ชว่ ยในการฟนื้ ฟูสมรรถภาพทางรา่ งกาย การเคลอื่ นไหว การใช้กลา้ มเนือ้ ท้ังมัดเลก็ และมัดใหญ่ พัฒนาทกั ษะทางภาษาใหส้ ามารถเข้าใจและส่อื สารกบั บคุ คลอน่ื ได้ ตลอดจนช่วยในการพฒั นาทักษะการชว่ ยเหลือตวั เอง และการส่งเสริมพัฒนาการ ทางสงั คมและการแสดงออก รวมถงึ การไดส้ ารวจตัวเอง เรียนรกู้ ารแสดงออกทาง อารมณค์ วามรู้สกึ ท่หี ลากหลาย สาหรับการสรา้ งสมั พันธภาพกบั บุคคลอ่นื ซึง่ หวั ใจ สาคัญของการนาละครมาใช้กับเดก็ พิเศษ คอื การสรา้ งพลังศรัทธาในตวั เองและกระตุ้น ให้เกดิ แรงบันดาลใจในการพฒั นาตน สามารถดารงชวี ติ ได้อย่างปกติ หรือมีทกั ษะทาง สังคม (Social Skills) “ละครต้องเรม่ิ ทคี่ วามสนกุ ความสนุกจะนาพาไปสู่ความ กระตอื รอื ร้นในการเรยี นรแู้ ละเปลย่ี นแปลงพฤติกรรมไปในทิศทางท่ดี ีข้นึ ” (สานกั งานกองทุนสนบั สนุนการสรา้ งเสรมิ สุขภาพ, 2560, “ศลิ ปะบาบดั ”ทางเลอื กเดก็ พเิ ศษ, www.thaihealth.or.th)
5 การประเมนิ ภาษากบั ศลิ ปะ
1.การประเมนิ ศลิ ปะ ในความเป็นจรงิ แลว้ ศิลปะไม่จาเป็นตอ้ งสวยงาม และทาตามแบบไดถ้ ูกตอ้ ง เพราะศิลปะไม่มีคาตอบท่ีถกู หรือ ผดิ เหมือนการเรียนดา้ นอ่ืน ๆ จงึ เป็นการยากสาหรับครูท่ีจะวางมาตรฐานทางศิลปะ โดยใชค้ วามต้องการหรือ รสนยิ มของครูเป็นหลกั เน่ืองจากมาตรฐานของครูไม่เป็นเกณิใ์ นการแสดงออกของเด็กเล็ก ๆ การประเมินผล ทางศิลปะ แยกการจัดออกเป็น 2 ส่วนคือ ส่วนท่ีเป็นผลงานและสว่ นท่ีเป็นพฤติกรรม ดังนี้ (สิริพรรณ ตนั ติรัตน์ ไพศาล, 2545: 106-107) ทม่ี า:https://www.gotoknow.org/posts/466
การประเมิ นผลทางศิ ลปะ 1.1 กำรประเมนิ ผลด้ำนผลงำน การประเมินผลงานของเดก็ จากการสงั เกตและการจดบนั ทึกหรือการทาํ ตารางบนั ทึก ดว้ ยวิธีตา่ ง ๆ ดงั น้ี CONTENT 1.1.1 สงั เกตจากความสาเรจ็ ของงานมมี ากน้อยเพยี งใด 1.1.2 สงั เกตพฒั นาการและความกา้ วหน้าในการทางานวา่ พฒั นาขน้ึ หรอื ไม่ เชน่ ทกั ษะทต่ี อ้ งมกี ารใชม้ อื และการใชเ้ ครอ่ื งมอื สงั เกตการเปลยี่ นแปลงจากขอ้ บกพรอ่ งทเ่ี คยมใี นการสรา้ งผลงาน ครงั้ ก่อน ๆ 1.1.3 สงั เกตความคดิ รเิ รมิ่ สรา้ งสรรค์ จากทกั ษะในการวาดและระบายสี ภาพทเี่ ดก็ วาดมลี ายเสน้ มนั่ คง ความราบรน่ื ความตอ่ เน่อื ง ของเสน้ ทวี่ าด ขอ้ ควรระวงั ในการประเมนิ ดา้ นผลงาน คอื ไมค่ วรนาเอาผลงานของเดก็ แตล่ ะคนมา เปรยี บเทยี บกนั แตจ่ ะเป็นการนาเอาผลงานของ เดก็ คนเดยี วทที่ าไวใ้ นแตล่ ะครงั้ มาเปรยี บเทยี บกนั วา่ มพี ฒั นาการดขี น้ึ หรอื ไมอ่ ยา่ งไร ทม่ี า:https://www.gotoknow.org/posts/466800?
การประเมิ นผลทางศิ ลปะ 1.2 กำรประเมนิ ผลด้ำนพฤตกิ รรม เป็นการประเมินผลพฤติกรรมของเด็กโดยสามารถประเมินไดจ้ ากการสงั เกตจากพฤติกรรมดา้ นตา่ ง ๆ อยา่ งละเอียดและสม่าํ เสมอดงั น้ี CONTENT 1.2.1 พฒั นาการทางกาย สงั เกตจากความสามารถในการปฏบิ ตั งิ าน สามารถใชเ้ ครอ่ื งมอื อุปกรณ์ไดอ้ ยา่ ง คล่องแคล่ว มนั่ คง 1.2.2 ดา้ นอารมณ์สงั เกตการแสดงออกจากความพงึ พอใจต่องานทต่ี นไดท้ ามคี วามรสู้ กึ สนุกสนาน เพลดิ เพลนิ เมอ่ื ไดล้ งมอื ทางาน 1.2.3พฒั นาการทางสงั คม สงั เกตจากความสามารถในการทางานกลุ่มรว่ มกบั เพอ่ื น สามารถปรบั ตวั ใหเ้ ขา้ กบั หมู่ คณะไดด้ ี สามารถรบั ผดิ ชอบต่องานไดด้ ี รหู้ นา้ ทใ่ี นการเกบ็ ทาความ 1.2.4 พฒั นาการทางการสรา้ งสรรค์ สามารถแสดงความคดิ ไดแ้ ตกต่างแปลกใหม่ โดยไม่ ลอกเลยี นแบบงานของ ผอู้ ่นื สามารถแกป้ ัญหาและแสดงความเชอ่ื มนั่ ในความคดิ ของตนได้ ทม่ี า:https://www.gotoknow.org/posts/466800?
2. การประเมินความสามารถทางภาษา หมายถงึ การแสดงออกของเด็กปฐมวยั ในการสอื่ สารทาง ภาษาดา้ น การพดู และสอื่ สาร การฟั ง สมรรถนะดา้ นภาษาความสามารถของเด็กปฐมวยั ในการ การเขยี น 1 เขา้ ใจ ความหมายของคาํ ไดแ้ ก่ การ 3 เป็ นการเปิดโอกาสใหเ้ ด็กไดม้ อี สิ ระ บอกความหมาย หรอื สอื่ ความหมายใน ในการถา่ ยทอดสอ่ื สาร พฒั นา คาํ ทยี่ นิ ไดถ้ กู ตอ้ ง และการ ปฏบิ ตั ติ าม กลา้ มเนือ้ มดั เล็กและการสรา้ ง คาํ สง่ั ไดแ้ ก่ การฟังคาํ สง่ั ไดอ้ ยา่ งเขา้ ใจ ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งมอื กบั ตาเป็ น และปฏบิ ตั ติ ามไดถ้ กู ตอ้ ง พนื้ ฐานในการเตรยี มความพรอ้ มใน การเขยี นการอา่ น การพูด หกมาายรถพงึ พูดฤตกิ รรมการ 2 เป็ นกระกบวานรกาอรทา่ านงสมองทใ่ี ช ้ 4 ตดิ ตอ่ สอ่ื สารกนั ระหวา่ งบคุ คล ดว้ ย สอื่ ความหมาย ตวั อกั ษรหรอื การใชถ้ อ้ ยคาํ นํ้าเสยี ง ภาษา อากปั สญั ลกั ษณอ์ อกมาในรปู ของ ความคดิ ความเขา้ ใจ แลว้ กรยิ า ทา่ ทาง สหี นา้ แววตาเพอื่ นําไปใชใ้ หเ้ ป็ นประโยชนโ์ ดย ถา่ ยทอดความรสู ้ กึ ความคดิ ความ ตวั อกั ษรทใ่ี ชเ้ ป็ นเพยี ง ตอ้ งการของผพู้ ูดไปสผู่ ูฟ้ ัง เพอื่ ใหผ้ ูฟ้ ัง เครอ่ื งหมายแทนคาํ พูด และ เกดิ ความเขา้ ใจและตอบสนองได ้ คาํ พูดเปรยี บเสมอื น ทม่ี า: เพมิ่ ศรี ชูวเิ ชยี ร. (2549เ)ค. รพอื่ฒั งนหามดา้านยกคารวเาขมยี นคขดิ อองเกี ดทก็ ปหี ฐนม่ึงวยั โดยใชศ้ ลิ ปะการ วาดภาพตอ่ เตมิ จากภาพพมิ พ.์ , มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ.
3. เครื่องมือในการประเมิ น การประเมนิ ผลงานเดก็ ปฐมวยั สามารถใชเ้ ครอ่ื งมอื ในการประเมนิ ผลงานจากการทากจิ กรรมสรา้ งสรรค์ ไดด้ งั น้ี(สรวงพร กุศลสง่ , 2553: 111-115) การสงั เกตและการบันทกึ การสนทนา การรวบรวมผลงาน ทม่ี า:http://https://www.youngciety.com/article/journal/
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437