Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ภาษากับการสื่อสาร

ภาษากับการสื่อสาร

Description: ศึกษาความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับภาษากับการสื่อสาร การฟัง พูด อ่านและเขียนภาษาไทยเพื่อการสื่อสารในชีวิตประจำวัน การอ่านคำร้อยแก้ว คำร้อยกรอง อ่านประกาศ แถลงการณ์ การเขียนจดหมาย ย่อความ เรียงความ โวหารต่าง ๆ การพูด การสนทนา บรรยาย อภิปราย มารยาทการพูด การฟัง

Search

Read the Text Version

ช้ตามกาลเทศะท่ีแตกต่างกันบุคคลท่ีมีฐานะ ม เพราะคาคาเดียวจะใช้กับบุคคลทุกสถานะ หลักภาษาไทย ดังน้ันจึงมีการจาแนกภาษาไทย บบแผน และภาษาแบบแผน ในท่ีนี้จะกล่าวถึง ระดบั ดังนี้ พูดยวั่ เยา้ เล่นเฉพาะในกล่มุ ทส่ี นิทสนมกัน ละคร นวนิยาย บุคคลทสี่ นทิ นตัว สังคม กีฬา ธรุ กิจ และการบนั เทงิ

๒.๒ ภาษากึ่งแบบแผน เปน็ ทง้ั ภาษา แบบแผน หมายถึง การใชภ้ าษาเขียนสาหรับบ ภาษากง่ึ แบบแผนทใ่ี ช้กนั โดยทว่ั ไปมี ๖ ประกา ๒.๒.๑ ขา่ วท่ัวไป บทความต่างๆ ใน ๒.๒.๒ จดหมายส่วนตัวที่ไม่คุ้นเคย ๒.๒.๓ นวนิยาย เร่ืองสั้น ๒.๒.๔ ขอ้ เขยี นในวารสาร นติ ยสาร ๒.๒.๕ บทวิจารณ์ บทละคร

าพูดและภาษาเขียน ในการเขียนท่ใี ช้ภาษาก่ึง บคุ คลที่ไมค่ นุ้ เคยมากอ่ นและไม่เปน็ พธิ ีรีตอง าร ดงั นี้ นสอ่ื มวลชน จดหมายธุรกิจ ร

๒.๓ ภาษาแบบแผน เปน็ ภาษาท่มี คี ว สาหรับการเขยี นเฉพาะเรอ่ื ง เชน่ เรยี งความ จ ที่ใชเ้ ขียนมากวา่ พดู ถา้ ใชพ้ ดู ก็เป็นการเขยี นสา โอวาทภาษาแบบแผน แบ่งออกได้ ๒ แบบ ดงั ๒.๓.๑ ข้อเขียนเพื่อพดู ได้แก่ - คาปราศรยั ของบคุ คลสาคญั ในโอก - คากลา่ วท่ีมพี ธิ กี ารและมรี ะเบยี บว - เอกสารประกอบการเรียน ๒.๓.๒ ข้อเขียนท่ใี ช้อ่าน - บทควา - บทวจิ ารณ์ - แบบเรียนหรอื ห - ข้อเขยี นเกี่ยวกบั วชิ าการสาขาตา่ ง

วามมงุ่ หมาย ใชเ้ ปน็ แบบแผนและหลกั เกณฑ์ จดหมายราชการ ภาษาแบบแผนจงึ เป็นภาษา าหรับพูดอย่างมีพธิ รี ตี อง เชน่ สนุ ทรพจน์ งนี้ - โอวาท ปาฐกถา สนุ ทรพจน์ กาสต่างๆ วาระ าม - วรรณกรรมประเภทสารคดี หนงั สือเรยี น - หนงั สอื ตารา งๆ - การรายงานทางวชิ าการ

๘.๖ ลกั ษณะของผู้เขียนทีด่ ี การเขยี นงานทุกประเภท ผูเ้ ขียนจาเป และยังตอ้ งมคี วามสามารถในการใชค้ า ใช้ประ เขียนของตนอันจะทาใหง้ านเขียนนนั้ เปน็ งานเ อัจจมิ า เกิดผล กลา่ วถึงลกั ษณะของ ๑) เป็นผสู้ นใจในงานเขยี นทกุ ประเภ ๒) เป็นผทู้ ่ีมคี วามคดิ ริเรมิ่ สร้างสรรค ๓) เป็นผู้ทีม่ ีความสามารถในการใช้ภ ๔) เป็นผู้ทม่ี ีประสบการณ์ในเรือ่ งตา่ ง ๕) เป็นผทู้ ่ีมีการยอมรับความคิดเห็น

ปน็ ตอ้ งมีความรู้ ความเข้าใจในเร่อื งทีต่ นเขยี น ะโยค สานวนโวหารต่างๆ ใหเ้ หมาะสมกับงาน เขียนท่มี คี ุณภาพ งผเู้ ขียนที่ดไี ว้ ๑๐ ประการ สรุปได้ ดงั นี้ ภท ค์ ภาษาทด่ี ี งๆเปน็ อยา่ งดี นของผอู้ ื่น

๖) เป็นผทู้ ร่ี ู้จักใช้กลวิธตี า่ งๆ ในการ ๗) เป็นผู้ท่เี ริม่ ต้นเรือ่ ง ดาเนินเรือ่ ง ๘) เป็นผทู้ ม่ี ารยาทในการเขยี น ไมล่ ๙) เปน็ ผทู้ ม่ี นี สิ ยั ชอบคน้ คว้าหาควา ๑๐) เป็นผู้ที่มคี วามอดทน

รเขยี น และจบเรอ่ื ง ได้อา่ งประทับใจ ลอกเลียนแบบใคร ามร้อู ยูเ่ สมอ

๘.๗ ลกั ษณะของงานเขียนทีด่ ี การเขยี นเปน็ วิธกี ารหนึง่ ในกระบวนก ลักษณอ์ กั ษรเพอ่ื ให้ผอู้ า่ นเข้าใจความคดิ และจ ประทปี วานกิ ทินกร กลา่ วถงึ ลักษณ ไว้ ๕ ประการ ดังนี้ ๑. มคี วามชดั เจนแจม่ แจ้ง ๒. มีความกระชบั รัดกมุ ๓. มีน้าหนัก ๔. มคี วามเหมาะสม ๕. มคี วามจริงใจ

การสื่อสาร เพื่อแสดงความร้สู กึ นกึ คดิ เป็นลาย จดุ ประสงค์ของผู้เขยี น ณะของงานเขียนที่ดใี นหนงั สือ การใช้ภาษาไทย

วจิ ติ ตรา แสงพลสทิ ธ์ิ และคณะ ไดใ้ หห้ ลักกา กนั ไว้ ๗ ประการ ดังน้ี ๑) ภาษาดี หมายถงึ การนาภาษามา ๒) มีแงง่ าม หมายถงึ งานเขียนช้นั นั้น ๓) ความเท่ียงธรรม หมายถงึ เปน็ งา ๔) มงุ่ สาคัญ หมายถึง จะต้องมีจดุ มุ่ง ๕) สรรคจ์ าเป็น หมายถึง งานเขียนท ๖) เดน่ เนื้อหา หมายถงึ ประโยชน์ท่ีผ ๗) สูงคา่ นิยม หมายถึง งานเขียนท่แี

ารพจิ ารณางานเขียนโดยผูกเปน็ คาคล้องจอง าใช้อย่างประณตี นมีจดุ เดน่ ในดา้ นใดด้านหนง่ึ ท่เี รา้ ความรู้สกึ านเขียนทีป่ ราศจากอคตใิ ดๆ งหมายที่สาคญั อยา่ งใดอยา่ งหนึง่ ทีผ่ ู้อ่านเกดิ ความรสู้ กึ วา่ ตนเองจาเปน็ ผู้อา่ นจะไดร้ ับจากงานเขียนนนั้ ๆ แสดงให้เห็นถงึ ความมีจติ ใจสูงมีแงม่ ุมท่คี งที่

๘.๘ โวหารการเขียน โวหาร หมายถึง ทว่ งทานองในการ ตามความตอ้ งการของผู้เขยี นด้วยลลี าของกา กบั เนอ้ื ความที่จะเขียน โวหารในการเขยี นแ พรรณนาโวหาร เทศนาโวหาร อุปมาโวหาร ๘.๘.๑ บรรยายโวหาร บรรยายโวหารเป็นโวหารทีใ่ ช้เขยี น ตามลาดับเหตุการณ์ งานเขียนที่ควรใชบ้ รรย เช่น บทความ ตารา รายงาน วิทยานพิ นธ์ เ ตรีศิลป์ บุญขจร ได้ให้หลักการเขยี ๑) เรอ่ื งที่เขยี นเป็นความจรงิ ผูเ้ ขีย ๒) เลือกเขียนเฉพาะสาระสาคญั เท ๓) ใชภ้ าษาที่เขา้ ใจง่าย อาจใช้อุปม ความชดั เจนได้บา้ ง แต่ไมม่ ากจรเกินไป ๔) เรียบเรยี งความคิดให้สมั พันธ์ก

รเขยี นเพอื่ ใหผ้ ูอ้ ่านเข้าใจหรือเกดิ ความรู้สกึ ตรง ารใช้ภาษาอย่างมชี นั้ เชงิ และมศี ลิ ปะเหมาะ แบง่ ออกเป็น ๕ ประเภท คอื บรรยายโวหาร และสาธกโวหาร นเพอ่ื อบอกเลา่ เร่ือง หรืออธิบายเรอ่ื งราวตา่ งๆ ยายโวหารไดแ้ ก่ งานเขียนประเภทใหค้ วามรู้ เล่าเรื่องตานาน บันทึกจดหมายเหตุ ยนบรรยายโวหารไว้ ดังน้ี ยนควรมคี วามรูใ้ นเรอ่ื งทเ่ี ขียนเปน็ อย่างดี ทา่ นั้น มาโวหาร และสาธกโวหารเขา้ ช่วย เพ่ือให้ได้ กันต้งั แตต่ น้ จนจบ

๘.๘.๒ พรรณนาโวหาร เปน็ โวหารท่ีใช้เลา่ เรื่องโดยสอดแทร เลน่ เสยี งเพือ่ โนม้ น้าวให้ผู้อ่านเกิดภาพพจน์ แ ใหห้ ลักในการเขียนพรรณนาโวหารไว้ ดังนี้ ๑) ต้องใช้คาดี หมายถึง การเลือก สือ่ อารมณเ์ หมาะสมกับเนือ้ เรอ่ื งท่ีต้องการบร ๒) ต้องมีใจความดี แม้จะพรรณน อารมณค์ วามรู้สกึ สอดคลอ้ งกบั เนอื้ หาท่ีกาลัง ๓) อาจต้องใช้อุปมาโวหาร คือ กา เกดิ จินตนาการและความรูส้ ึกคล้อยตาม ๔) ในบางกรณีอาจต้องใช้สาธกโวห เกิดความแจ่มแจ้ง เกดิ ภาพและอารมณ์ทช่ี ัด

รกอารมณ์ความร้สู กึ ของผู้เขียน นิยมเลน่ คา และให้เกดิ อารมณค์ ล้อยตาม ดงั ที่นกั วิชาการ กสรรถ้อยคา เพื่อให้สื่อความหมาย สื่อภาพ รรยาย นายืดยาว แต่ใจความต้องมุ่งให้เกิดภาพลา งพรรณนา ารเปรียบเทียบเพ่ือให้ได้ภาพชัดเจน อ่านแล้ว หารประกอบด้วย คือ การยกตัวอย่างเพ่ือให้ ด

๘.๘.๓ เทศนาโวหาร เทศนาโวหาร เป็นโวหานท่ีผูเ้ ขียนม่งุ ชใี้ ห้เห็นคณุ ประโยชนห์ รอื โทษท่กี ลา่ วถงึ อยา่ ง ชกั จูงใหผ้ ู้อ่านเห็นดเี ห็นงามและคลอ้ ยตามคว เร่ืองทเี่ ปน็ คาสอน โอวาท อภิปราย ชกั ชวนหร ผะอบ โปษะกฤณะ เรยี กโวหารชนิดน ทดี่ ี ควรคานงึ เร่อื ง ตอ่ ไปน้ี ๑) มีความร้คู วามเขา้ ใจในเร่อื งทีจ่ ะเข ๒) ควรรูจ้ กั คดั สรรโวหารชนดิ บรรยา สาธกโวหารมาใช้อย่างเหมาะสมเพ่อื ให้ผูอ้ า่ นเ ๓) ควรรู้จกั ใช้เหตุผลและหลกั ฐานอา้ อยา่ งเหมะสม ๔) จดั ลาดบั เนือ้ หาให้สัมพนั ธ์กันอย่า

งอธิบายช้แี จงอย่างชดั เจนแจ่มแจง้ ด้วยเหตผุ ล งประจกั ษ์แจ้ง โดยมจี ดุ มุ่งหมายเพือ่ โนม้ นา้ ว วามคดิ ของตน โวหารชนิดนเ้ี หมาะกับการเขียน รอื โตแ้ ย้ง นี้วา่ โวหารเชิงอภปิ ราย การเขียนเทศนาโวหาร ขียนเป็นอย่างดี ายโวหาร พรรณนาโวหาร อุปมาโวหารและ เกิดความเข้าใจอย่างลกึ ซงึ้ ชดั เจน างองิ เขา้ มาสนับสนุนความคิดเหน็ ของตนได้ างมเี หตผุ ล

๘.๘.๔ สาธกโวหาร สาธกโวหาร เป็นโวหารเสรมิ โวหารอืน่ ตัวอย่างประกอบ เพ่ือให้ผอู้ า่ นเข้าใจเร่อื งนน้ั ช การเลือกอทุ าหรณห์ รอื ตัวอย่าง ผู้เขียนควรมหี ท่กี าลังกล่าวถึง อุทาหรณท์ ี่ยกมาอาจเปน็ บุคค ๘.๘.๕ อุปมาโวหาร อปุ มาโวหาร เป็นโวหารเสรมิ โวหารอืน่ เปรียบเทียบ โดยนาสิ่งท่ีคล้ายคลงึ กันมาเปรียบ ในเรอื่ งไดด้ ียิ่งข้ึน

นๆ โดยมีจุดมงุ่ หมายเพอ่ื ยกอทุ าหรณ์หรอื ชดั เจนแจม่ แจ้ง และมีน้าหนักท่นี ่าเชอื่ ถือย่งิ ข้ึน หลัก คอื ควรเลือกอุทาหรณ์ใหเ้ ขา้ กับเน้อื ความ คล สถานท่ี หรือนิทานกไ็ ด้ นๆ อกี ชนิดหนง่ึ เป็นโวหารแสดงความ บเพื่อใหเ้ กิดความเขา้ ใจและความชดั เจน

๘.๙ ขั้นตอนการเขียน ผเู้ ขยี นต้องการจะเขยี นงานเขียนประ รายงานทางราชการ ผเู้ ขยี นควรดาเนนิ การตาม ๘.๙.๑ ขน้ั รวบรวมความคิด การเขยี นอะไรก็ตาม จะตอ้ งเป็นส่ิงท่ีผ เรือ่ งทจี่ ะเขยี นให้ไดม้ ากที่สดุ ๘.๙.๒ ข้ันตระเตรยี มแลจัดระเบียบค ขอ้ มูลความคดิ ตา่ งๆที่รวบรวมได้อาจ อาจไม่ตรงตามความประสงค์ ต้องนามาคดั สรร ๘.๙.๓ ขน้ั ลงมอื เขียน เขยี นไปตามโครงเรื่องหรือเขยี นไปตา ๘.๙.๔ ขน้ั ตรวจทานและปรบั ปรงุ ระหว่างทเ่ี ขยี นเน้อื หาสาระตอ้ งอ่านท อา่ นตรวจทานอีกครงั้ เพ่อื ปรบั ปรงุ แก้ไขขอ้ บก

ะเภทใดไมว่ า่ จะเป็นเรียงความ บทความสารคดี มขน้ั ตอนในการเขียน ดังนี้ ผู้เขยี นมคี วามรูม้ คี วามคิดความเข้าใจเก่ยี วกับ ความคิด จอยู่ในลกั ษณะกระจดั กระจาย บางอย่าง รคดั เอาเฉพาะที่ตอ้ งการ ามที่คดิ จะต้องพนิ จิ พเิ คราะหท์ ง้ั ในเนือ้ หา ทบทวนเป็นระยะๆ และเมื่อเขยี นจบแล้วต้อง กพร่องต่างๆ

๘.๑๐ หลักการเขยี นยอ่ หนา้ การเขยี นงานทุกประเภท ผู้เขยี นจะตอ้ ยอ่ หน้าเป็นส่ิงจาเปน็ ตอ่ งานเขียนเป็นอย่างมาก ในแต่ละย่อหน้าได้อย่างสมบูรณ์กจ็ ะมสี ว่ นช่วย มากขน้ึ ดว้ ย ๘.๑๐.๑ ความหมายของยอ่ หนา้ ย่อหนา้ คือ ข้อความหนึ่งหรือกลุม่ ปร เพียงอยา่ งเดยี วในหน่ึงยอ่ หนา้ หรือขอ้ ความตอ ประโยคท่ปี ระกอบ ทีข่ ยายความคิดของประโย สาคญั อาจปรากฏอย่ตู ้นย่อหน้า กลางยอ่ หน้าท ของย่อหน้าก็ได้ จุไรรัตน์ ลักษณะศริ ิ กล่าวถงึ ลกั ษณ ใหก้ ารเขยี นน้ันมีความน่าสนใจยิง่ ขนึ้ สรปุ ได้ ด ๑) เมอ่ื ตอ้ งการยกตัวอย่างกแ็ ยกเน้ือห ๒) เม่อื ต้องการเนน้ จสุ าคัญในย่อหน้า ๓) เมือ่ ตอ้ งการเนน้ ความในย่อหน้าต่อ ๔) เม่อื ตอ้ งการแยกให้เห็นบทสนทนา

องเขยี นย่อหนา้ ไว้ในงานเขยี นของตนเสมอ ก เพราะถา้ ผูเ้ ขียนสามารถทีจ่ ะเขยี นยอ่ หนา้ ยในงานเขยี นตา่ งๆ นัน้ มีความหมายสมบรู ณ์ ระโยคที่มารวมกันเพือ่ แสดงความคดิ สาคญั อนหนงึ่ ประกอบด้วยใจความสาคัญและ ยคใจความสาคญั ให้ชัดเจนประโยคใจความ ทา้ ยยอ่ หน้าหรอื อยู่ทง้ั ตอนต้นและตอนทา้ ย ณะการใชย้ อ่ หน้าประกอบการเขยี นซึง่ จะชว่ ย ดงั น้ี หาให้เหน็ ประเดน็ เปน็ ข้อๆ าแรก ก็แยกเขยี นในยอ่ หน้าใหม่ อไปกบั ยอ่ ความในย่อหน้าแรก า

๘.๑๐.๒ ความสาคญั ของย่อหนา้ งานเขียนจะต้องประกอบดว้ ยยอ่ หน ของสว่ นที่สาคญั ในส่วนตา่ งๆ ของเน้ือหา ย่อ ๑) บรรจุความคดิ หลกั ท่ีผูเ้ ขยี นต้องก ๒) ทาใหผ้ อู้ า่ นมีโอกาสคิดพจิ ารณาเ ๓) ทาใหผ้ อู้ ่านได้พักสายตายและสม ๔) ทาใหเ้ กดิ ความงาม ๘.๑๐.๓ หลกั การย่อหนา้ ๑) ตอ้ งยาวพอทีจ่ ะอธบิ ายความคิดไ ๒) มคี วามยาวประมาณ ๕ บรรทดั ห ๓) แต่ละยอ่ หน้ามีความสั้นยาวไมต่ ่า

นา้ หลายย่อหน้ารวมกัน ยอ่ หน้าจึงเป็นจดุ รวม อหนา้ ทด่ี ตี ้องมีผลดีตอ่ ผู้เขียนและผ้อู ่าน ดงั นี้ การเสนอ เน้ือหา มอง ไดแ้ จ่มแจ้ง หรือ ๑๐๐ คา างกนั นัก

๘.๑๐.๔ องค์ประกอบของยอ่ หน้า การยอ่ หน้าแต่ละย่อหนา้ จะต้องประ ๑) ใจความสาคญั ใจความสาคัญหรือประโยคใจควา ผู้อ่านใน ๑ ย่อหน้านั้นต้องมีใจความสาค ใจความสาคัญจึงเป็นความคิดหลักท่ีผู้เขีย การแสดงใจความสาคัญในย่อหน้ามักปร กลาง หรอื ท้ายหรืออยทู่ ั้งตน้ ทง้ั ท้ายกไ็ ด้ ๒) ประโยคความขยาย ประโยคความขยายเปน็ ประโยคใจค เข้าใจความคดิ เหน็ ของผ้เู ขียนได้อย่างชดั เจน

ะกอบไปด้วยองค์ประกอบสาคญั ๒ ส่วน ามสาคัญ คือ ความคิดของผู้เขียนมุ่งเสนอแก่ คัญเรื่องใดเร่ืองหน่ึงเพียงเรื่องเดียว ประโยค ยนต้องการแสดงออกมาให้ผู้อ่ืนทราบความ รากฏเป็นประโยคๆ หนึ่ง ซึ่งอาจอยู่ตอนต้น ความสาคญั ประโยคขยายความจะช่วยให้ผอู้ ่าน น

๘.๑๐.๕ รปู แบบขอยอ่ หนา้ การยอ่ หน้าแบ่งเปน็ ๔ รปู แบบ ดังน ๑) ประโยคใจความสาคัญอยตู่ อน ๒) ประโยคใจความสาคญั อยู่ตอน ๓) ประโยคใจความสาคญั อย่ตู อน ๔) ประโยคใจความสาคญั อยู่ตอน

นี้ นหน้า นกลางย่อหนา้ นท้ายย่อหนา้ นต้นและตอนท้ายยอ่ หนา้

๘.๑๐.๖ ลกั ษณะของการยอ่ หน้าท่ีดี ย่อหนา้ ทด่ี คี วรมีลกั ษณะสาคญั ๔ ป ๑) มีเอกภาพ เอกภาพ คือ ความเป็นหนง่ึ ยอ่ หน้า ใจความสาคญั อย่างเดยี ว และมีประโยคขยา เท่านั้น ยอ่ หน้าทม่ี ีเอกภาพ ไดแ้ ก่ ยอ่ หนา้ ท่ดี ๑.๑ มุ่งเฉพาะประเด็นเดียว ๑.๒ รายละเอียดต่างๆมีไวเ้ พ่ือขย ๑.๓ ความคิดทม่ี ีอย่ใู นทกุ ประโยค อธิบายหรือสนบั สนนุ ความคิดหลัก ๑.๔ ควรเขียนด้วยการใชถ้ ้อยคาท อย่างเสมอต้นเสมอปลาย

ประการ ดงั นี้ าทดี่ จี ะต้องแสดงความคิดหลัก หรือประโยค ายความท่มี ุ่งสนบั สนนุ ประโยคใจความสาคัญ ดีมลี ักษณะ ดงั นี้ ยายความและสนับสนนุ ประเดน็ สาคัญ ค ควรเป็นความคดิ ท่ีมีความจาเป็นในการ ที่เหมาะกับเร่อื ง และใหค้ วามรสู้ ึกทด่ี แี กผ่ อู้ า่ น

๒) มีสมั พนั ธภาพ การมสี ัมพนั ธภาพ คือ มีการเช่ือมโย สัมพนั ธอ์ ย่างมรี ะเบียบ เชน่ ลาดบั ความตามค สมั พนั ธภาพของยอ่ หน้า แบ่งได้๒ ป ๒.๑ สมั พันธภาพในย่อหน้า ๒.๒ สัมพันธภาพระหว่างยอ่ หนา้ ๓) มสี ารตั ถภาพ การมีสารัตถภาพ คือ การเนน้ ความห เหน็ ว่าสาคญั กค็ วรแสดงสาคัญนั้นใหป้ รากฏแ ๔) มคี วามสมบูรณ์ สิง่ ท่ีผเู้ ขยี นควรพจิ ารณาเพอ่ื ใหย้ ่อหน ๔.๑ เขียนขยายความให้ครอบคลมุ ๔.๒ เขยี นอย่างมเี หตุผล ๔.๓ เขียนให้ถกู ตอ้ งตามหลกั ภาษา

ยง เรียบเรียงขอ้ ความในยอ่ หนา้ ใหเ้ กยี่ งเนอ่ื ง ความสาคัญ หรอื ลาดบั เหตไุ ปหาผล ประการ ดังน้ี หรอื ยา้ ความ กล่าวคือ เรือ่ งใดประเดน็ ใดท่ี แด่นชัด น้าสมบูรณย์ ่ิงข้ึน คอื มความคดิ หลกั า ท้งั การใชค้ าและการสร้างประโยค

๘.๑๑ การเขยี นเรยี งความ ๘.๑๑.๑ ความหมายของเรยี งความ เรียงความเปน็ งานเขยี นชนิดทผ่ี ู้เขียน ความร้สู กึ ความข้าใจออกมาเป็นเรอื่ งราว ด้วย ทว่ งทานองการเขยี นท่นี า่ อา่ น การเขียนเรยี งค อยา่ งมาก ๘.๑๑.๒ ข้ันตอนในการเขยี นเรียงคว การเขียนเรยี งความ ผูเ้ ขยี นควรดาเน ๑. เลือกเร่อื งท่จี ะเขียน ๒. การกาหนดขอบเขตของเ ๓. การแสดงหาข้อมูลและรว ๔. การเขยี นโครงเรอ่ื ง ๕. การแสดงออก ๖. การตรวจทานแกไ้ ข

นต้องการจะถา่ ยทอดความรู้ ความคิดทศั นะ ยถ้อยคาสานวนทเ่ี รยี บเรียงอยา่ งชัดเจน และ ความ จึงจาเปน็ ตอ้ งอาศยั การเรยี นรแู้ ละฝกึ ฝน วาม นนิ การเขยี นไปตามข้นั ตอน ๖ ประการ ดงั น้ี เน้อื เรอื่ ง วบรวมข้อมูลประกอบเรอ่ื ง

๘.๑๑.๓ องค์ประกอบของเรยี งความ ๑) คานา คานา จัดเป็นส่วนของเรียงความในส บอกใหผ้ อู้ ่านทราบวา่ ผเู้ ขยี นจะเขียนเร่ืองอะไร ๒) เนอื้ เรอ่ื ง เนื้อเรื่อง เป็นใจความส่วนใหญ่ของเร เขียนเรียงความ เพราะเป็นส่วนที่เสนอความร ๓) สรุป บทสรุป คือ การปิดเร่ือง ท่ีเรียกกันว ที่ผเู้ ขยี นจะเนน้ ความรู้ ความคิดหลัก หรือประ เขยี นทิ้งทา้ ยเพอ่ื ใหผ้ ู้อ่านเกดิ ความประทับใจ

ส่วนแรกมีหน้าที่เปิดประเด็นเข้าสู่เร่ืองเป็นการ ร มงุ่ ชกั นาใหผ้ ู้อา่ นสนใจอ่านเรอ่ื งตอ่ ไป ร่ือง และเป็นส่วนที่มีความสาคัญที่สุดของการ รู้ความคิด ความเข้าใจ ทัศนคติ หรือความรู้สึก ว่า “ตอนสรุป”เป็นส่วนสุดท้ายของเรียงความ ะเด็นสาคัญของเร่ืองท่ีเขียนอีกคร้ังหนึ่ง เป็นการ

๘.๑๑.๔ ลักษณะของเรยี งความท่ีดี เรยี งความที่ดีควรมีลกั ษณะ ๓ ประกา ๑) มีเอกภาพ มเี อกภาพ หมายถงึ ความเปน็ อนั หนึ่ง จะตอ้ งมีเนอื้ หาทป่ี น็ อนั หน่งึ อันเดียวกนั ไม่นอก ๒) มีสมั พนั ธภาพ มีสัมพนั ธภาพ หมายถึง ความสมั พันธ เนอ้ื หาจะตอ้ งมคี วามสัมพนั ธต์ ่อเนือ่ งกันตลอดท ๓) มสี ารตั ถภาพ สารัตถภาพ หมายถึง มีสาระดี เรีย ครบถ้วนตลอดท้ังเรื่อง ดังน้ัน การเขียนเรียงความท่ีดีผู้เขียน สาคัญทั้ง ๓ ประการ ดังกล่าวข้างต้นและนาม เรยี งความนน้ั เป็นเรียงความที่ดีมปี ระสิทธิภาพ

าร ดังน้ี งอนั เดียวกัน ไดแ้ ก่ เรียงความท่ีดเี นือ้ เรื่อง กเร่อื ง ธก์ ันเปน็ อนั หน่ึงอนั เดียวกนั เรยี งความท่ดี ี ทัง้ เร่อื ง ยงความที่ดีต้องมีสาระดี มีสาระที่สมบูรณ์ นควรตระหนักและให้ความสาคัญของลักษณะ มาใช้เหมาะสมกับเรียงความของตน ก็จะทาให้ พมีผ้อู า่ นใหค้ วามสนใจอ่านโดยทวั่ ไป

สรุป การเขยี นเปน็ วิธีการหน่งึ ในการส มนุษย์โดยใชต้ ัวอักษรเปน็ เครื่องมือในการ จุดประสงคข์ องผเู้ ขยี น ซ่ึงการเขียนนเี้ ปน็ เปน็ การส่ือสารถาวรมากกว่าการสอ่ื สารด การเขยี นมีหลายรปู แบบ เช่น การเ เพ่ือแสดงความคิดเหน็ การเขียนสร้างจนิ ต เพอื่ ลอ้ เลียนเสียดสี การเขียนเพื่อกิจธุระ ราชการต่างๆในการการเขียนนี้จะมรี ูปแบ กาหนดให้ใช้ในรูปแบบใด ในแต่ละหนว่ ยง

ปทา้ ยบท สอื่ สาร เพอ่ื ให้การตดิ ต่อระหว่างมนษุ ย์กับ รสือ่ สารใหผ้ ้อู า่ นได้ทราบความคิด ความรสู้ กึ นการถา่ ยทอดความรสู้ ึกออกมาเปน็ ตวั อักษร ดว้ ยคาพูด เขียนเลา่ เรอื่ ง การเขียนเพื่ออธยิ าย การเขียน ตนาการ การเขยี นเพอื่ โนม้ นา้ วจิตใจ การเขยี น การเขียนจดหมาย และการเขียนจดหมาย บบทีแ่ ตกตา่ งกันออกไป ขน้ึ อยกู่ บั วา่ มกี าร งานหรือสถานท่นี น้ั ๆ

สรุป ทักษะในการเขียนภาษาใดก็ตามจะ ทกั ษะในการฟงั การพูด การการอ่าน แล ทสี่ ุดเพราะการเขยี นเป็นวธิ ถี า่ ยทอดความ การเขยี น จึงเปน็ เรอ่ื งสาคัญที่นักศ และการฝกึ หดั ตนเองให้มากที่สดุ ผูท้ ่บี รร และพถิ พี ิถันในการเลือกใช้โวหารให้เหมา

ปทา้ ยบท ะตอ้ งดาเนินเกย่ี วเนื่องกันไป ๔ ประการ คือ ละการเขยี น ทักษะการเขียนเป็นทักษะที่ยาก มรคู้ วามคดิ ศกึ ษาจะตอ้ งเอาใจใส่ตดตามท้งั ภาคทฤษฎี รลจุ ุดมุง่ หมายในการเขยี นจงึ ต้องมวี ิจารณญาณ าะสมกบั เนื้อเรือ่ งในแตล่ ะตอนอีกดว้ ย


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook