Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore แผนการสอนรายวิชาวิทยาศาสตร์ ชั้นป.4 นางอมลสิริ คำฟู

แผนการสอนรายวิชาวิทยาศาสตร์ ชั้นป.4 นางอมลสิริ คำฟู

Published by jarunpanakul, 2021-05-09 18:29:06

Description: แผนการสอนรายวิชาวิทยาศาสตร์ ชั้นป.4 นางอมลสิริ คำฟู

Search

Read the Text Version

แผนการจัดการเรยี นรูว้ ชิ าวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้ัน ป.4 นางอมลสริ ิ คำฟู แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 31 สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รายวิชา วิทยาศาสตร์ รหสั วชิ า ว14101 ชัน้ ประถมศึกษาปที ี่ 4 หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 1 เรอ่ื ง สัตวม์ ีกระดกู สนั หลัง (สัตว์เลอ้ื ยคลาน) เวลา 1 ชว่ั โมง ครผู ู้สอน นางอมลสิริ คำฟู ********************************************************************************** 1. มาตรฐานการเรยี นรู้ มาตรฐาน ว 1.3 เข้าใจกระบวนการและความสำคัญของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม สาร พนั ธุกรรม การเปลยี่ นแปลงทางพนั ธกุ รรมทมี่ ีผลต่อส่งิ มีชวี ติ ความหลากหลายทางชวี ภาพ และววิ ฒั นาการของ ส่งิ มชี ีวติ รวมทัง้ นำความรไู้ ปใช้ประโยชน์ 2. ตวั ช้ีวัดชนั้ ปี บรรยายลักษณะเฉพาะที่สังเกตได้ของสัตว์มีกระดูกสันหลังในกลุ่มปลา กลุ่มสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก กลุ่มสัตว์เลื้อยคลาน กลุ่มนก และกลุ่มสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม และยกตัวอย่างสิ่งมีชีวิตในแต่ละกลุ่ม (ว 1.3 ป. 4/4) 3. จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ 1. บรรยายลักษณะเฉพาะที่สังเกตได้ของสตั วม์ ีกระดกู สนั หลังในกลุม่ สตั ว์เลือ้ ยคลานได้ (K) 2. จำแนกสัตว์เปน็ กลุ่มสตั ว์สะเทนิ น้ำสะเทนิ บกและกลุ่มสัตวเ์ ลือ้ ยคลานได้ (K) 3. มคี วามสนใจใฝร่ หู้ รืออยากร้อู ยากเหน็ (A) 4. พอใจในประสบการณก์ ารเรียนรู้ทเี่ ก่ยี วกบั วทิ ยาศาสตร์ (A) 5. ทำงานรว่ มกับผูอ้ ืน่ อย่างสรา้ งสรรค์ (A) 6. สื่อสารและนำความรเู้ รือ่ งสัตว์มกี ระดูกสนั หลัง (สัตวเ์ ล้อื ยคลาน) ไปใชใ้ นชีวติ ประจำวันได้ (P) 4. สาระสำคัญ สัตว์มีกระดูกสันหลังในกลุ่มสัตว์เลื้อยคลานเป็นสัตว์เลือดเย็น ลำตัวมีเกล็ดหรือผิวหนังหนา ออกลูก เปน็ ไข่ หายใจดว้ ยปอด และเจรญิ เติบโตบนบก 5. สาระการเรยี นรู้ สตั วม์ ีกระดกู สันหลัง – สตั วเ์ ลื้อยคลาน 6. คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์ 1. มีวินยั 2. ใฝ่เรยี นรู้ 3. ม่งุ ม่นั ในการทำงาน 4. มจี ติ วทิ ยาศาสตร์

แผนการจัดการเรยี นรวู้ ชิ าวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชัน้ ป.4 นางอมลสริ ิ คำฟู 7. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน 1. ความสามารถในการส่ือสาร 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี 8. ชิน้ งานหรอื ภาระงาน 1. สืบค้นขอ้ มูลลักษณะของสตั ว์มีกระดกู สนั หลังในกลุ่มสัตว์เลือ้ ยคลาน 2. จำแนกสตั วม์ ีกระดกู สันหลงั เป็นกลุ่มสัตว์สะเทนิ นำ้ สะเทินบกและสตั ว์เล้อื ยคลาน 9. การจดั กิจกรรมการเรียนรู้ ขน้ั นำเข้าส่บู ทเรยี น 1) ครูทบทวนความรู้เดิมเกี่ยวกับสัตว์มีกระดูกสันหลังในกลุ่มสัตว์สะเทินนำ้ สะเทินบก โดยให้นักเรียน ยกตัวอย่างลักษณะสำคัญของสัตว์มีกระดูกสันหลังในกลุ่มสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกมาคนละ 1 ลักษณะ (แนว คำตอบ สัตว์มีกระดกู สนั หลงั ในกลุ่มสัตวส์ ะเทนิ น้ำสะเทนิ บกออกลูกเปน็ ไข่) 2) นกั เรยี นชว่ ยกันตอบคำถามและแสดงความคดิ เหน็ เกย่ี วกบั คำตอบของคำถาม เพ่อื เช่ือมโยงไปสู่การ เรียนรู้เร่อื ง สัตวม์ กี ระดกู สันหลงั (สตั ว์เลอื้ ยคลาน) ข้นั จัดกจิ กรรมการเรียนรู้ จัดกจิ กรรมการเรยี นรโู้ ดยใชก้ ระบวนการสืบเสาะหาความรู้ (Inquiry Process) ซงึ่ มขี นั้ ตอนดังน้ี 1) ขนั้ สร้างความสนใจ (Engagement) (1) ครูนำรูปเต่ากำลังว่ายนำ้ มาใหน้ กั เรียนดแู ล้วถามนกั เรยี นวา่ เตา่ เป็นสตั วม์ ีกระดูกสนั หลัง ในกลมุ่ ใด เพราะอะไร (แนวคำตอบ เต่าเปน็ สตั ว์มีกระดูกสันหลังในกลุ่มสตั วเ์ ลื้อยคลาน เพราะเตา่ หายใจดว้ ย ปอดและมีผิวหนังหนา) (2) นักเรียนรว่ มกันอภปิ รายเกีย่ วกับคำตอบจากคำถามของครูตามประสบการณ์ของนกั เรยี น 2) ขน้ั สำรวจและค้นหา (Exploration) (1) ใหน้ ักเรยี นศกึ ษาเร่ืองลักษณะของสัตวม์ ีกระดกู สันหลังในกลุ่มสัตว์เลื้อยคลานจากใบความรู้หรือใน หนังสือเรียน โดยครูช่วยอธิบายให้นักเรียนเข้าใจว่า สัตว์มีกระดูกสันหลงั ในกลุ่มสัตวเ์ ลื้อยคลานมลี กั ษณะบาง ประการท่ีเป็นลักษณะเฉพาะ (2) แบ่งนักเรียนกลุ่มละ 5 – 6 คน สืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับสัตว์มีกระดูกสันหลังในกลุ่มสัตว์เลื้อยคลาน โดยดำเนินการตามขนั้ ตอนดงั นี้ – แต่ละกลุ่มวางแผนการสืบคน้ ข้อมูล โดยแบ่งหัวขอ้ สตั ว์มีกระดูกสันหลังในกลุม่ สัตว์เลื้อยคลาน เป็นหวั ข้อย่อย เช่น อุณหภูมริ ่างกาย ลกั ษณะภายนอก อวยั วะในการหายใจ และการเจรญิ เติบโต ใหส้ มาชกิ แต่ ละกลมุ่ ชว่ ยกันสืบค้นตามหัวขอ้ ทกี่ ำหนด – สมาชกิ แต่ละกลุ่มชว่ ยกันสบื ค้นข้อมูลตามหัวข้อทก่ี ลุ่มของตนเองรับผิดชอบโดยการสืบค้นจาก หนังสอื วารสาร สารานกุ รมวทิ ยาศาสตร์ สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน และอินเทอรเ์ นต็ – สมาชิกกลุม่ นำข้อมลู ที่สบื คน้ ได้มารายงานให้เพื่อนๆ สมาชิกในกล่มุ ฟัง รวมท้ังร่วมกันอภิปราย ซักถามจนคาดว่าสมาชกิ ทุกคนมีความรคู้ วามเข้าใจท่ตี รงกัน – สมาชิกกล่มุ ชว่ ยกันสรปุ ความรทู้ ไ่ี ด้ทง้ั หมดเป็นผลงานของกลมุ่

แผนการจัดการเรยี นรู้วิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชน้ั ป.4 นางอมลสริ ิ คำฟู (3) ครูคอยแนะนำช่วยเหลือนักเรียนขณะปฏิบัติกิจกรรม โดยครูเดินดูรอบ ๆ ห้องเรียนและ เปดิ โอกาสให้นกั เรียนทุกคนซักถามเมื่อมปี ัญหา 3) ขั้นอธิบายและลงขอ้ สรุป (Explanation) (1) นกั เรยี นแตล่ ะกลุม่ สง่ ตัวแทนกล่มุ นำเสนอผลการปฏิบัตกิ ิจกรรมหนา้ หอ้ งเรียน (2) นกั เรียนและครรู ่วมกันอภิปรายและหาข้อสรปุ จากการปฏบิ ัตกิ ิจกรรม โดยใช้แนวคำถาม ตอ่ ไปน้ี – สัตว์มีกระดูกสันหลังในกลุ่มสัตว์เลื้อยคลานมีลักษณะสำคัญอะไร (แนวคำตอบ สัตว์มีกระดูก สันหลังในกลุ่มสตั ว์เลื้อยคลานเป็นสัตว์เลือดเย็น ลำตัวมีเกล็ดหรือผิวหนังหนา ออกลูกเป็นไข่ หายใจด้วยปอด และเจริญเตบิ โตบนบก) – สัตว์มีกระดูกสันหลังในกลุ่มสัตว์เลื้อยคลานแตกต่างจากสัตว์มีกระดูกสันหลังในกลุ่มสัตว์ สะเทนิ น้ำสะเทินบกลักษณะใด (แนวคำตอบ สตั ว์มีกระดกู สนั หลังในกลุ่มสตั วเ์ ล้ือยคลานเจริญเตบิ โตเฉพาะบน บกเทา่ นน้ั ) (3) ครแู ละนกั เรียนร่วมกันสรุปผลการปฏบิ ัติกจิ กรรม โดยครเู นน้ ใหน้ ักเรียนเข้าใจว่า สัตว์มีกระดูกสัน หลงั ในกลุ่มสัตวเ์ ลื้อยคลานเปน็ สตั ว์เลือดเยน็ ลำตัวมีเกลด็ หรอื ผิวหนงั หนา ออกลกู เป็นไข่ หายใจด้วยปอด และ เจริญเติบโตบนบก 4) ข้นั ขยายความรู้ (Elaboration) (1) ครูให้นักเรียนฝึกจำแนกสัตวม์ ีกระดกู สันหลงั ในกลุ่มสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกและสัตว์มีกระดูกสัน หลงั ในกลุ่มสัตว์เลื้อยคลานตามขน้ั ตอนดงั น้ี – ครูเตรียมบัตรภาพสัตว์มีกระดูกสันหลังในกลุ่มสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกและสัตว์มีกระดูกสัน หลังในกลุ่มสัตว์เลื้อยคลานมาประมาณ 12 แผน่ – จดั นกั เรียนเป็น 2 แถว หาตวั แทนถอื แผ่นภาพ 1 คน โดยใหย้ กขึ้นทลี ะแผน่ ให้เพ่ือนดูเพียงครู่ หนงึ่ แล้วเก็บลง – เพอ่ื นคนแรกของแตล่ ะแถวบอกว่าภาพทเี่ ห็นเปน็ สัตวม์ ีกระดูกสันหลังในกลุ่มสัตว์สะเทนิ น้ำสะเทิน บกหรอื สัตว์มีกระดกู สันหลงั ในกลมุ่ สัตวเ์ ลื้อยคลาน ใครตอบได้กอ่ นและถูกต้องจะไดเ้ กบ็ บตั รภาพไว้ – เปลย่ี นใหค้ นท่ี 2 ทำกจิ กรรม และเปลี่ยนไปจนหมดแถว – แถวท่ไี ดบ้ ัตรภาพมากที่สดุ เปน็ ฝ่ายชนะ

แผนการจัดการเรยี นรู้วชิ าวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชัน้ ป.4 นางอมลสริ ิ คำฟู ตวั อย่างแผน่ ภาพ (2) นักเรียนค้นคว้าคำศัพท์ภาษาต่างประเทศเกี่ยวกับสัตว์มีกระดูกสันหลังในกลุ่มสัตว์เลื้อยคลาน จากหนังสือเรียนภาษาต่างประเทศหรืออินเทอร์เน็ต และนำเสนอให้เพื่อนในห้องฟัง แล้วคัดคำศัพท์พร้อมทั้ง คำแปลลงสมุดส่งครู 5) ข้ันประเมนิ (Evaluation) (1) ครูให้นักเรียนแต่ละคนพิจารณาว่า จากหัวข้อที่เรียนมาและการปฏิบัติกิจกรรมมีจุดใดบ้าง ทย่ี งั ไมเ่ ขา้ ใจหรือยงั มขี อ้ สงสัย ถ้ามี ครูชว่ ยอธบิ ายเพิม่ เตมิ ใหน้ กั เรียนเขา้ ใจ (2) นกั เรียนร่วมกนั ประเมินการปฏบิ ตั กิ จิ กรรมกลุม่ วา่ มปี ญั หาหรอื อุปสรรคใดและได้แก้ไขอยา่ งไรบา้ ง (3) ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประโยชน์ที่ได้รับจากการปฏิบัติกิจกรรม และ การนำความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ (4) ครทู ดสอบความเขา้ ใจของนักเรียนโดยถามคำถามนักเรยี น เชน่ – สัตว์มีกระดูกสันหลงั ในกล่มุ สตั วเ์ ลอ้ื ยคลานมลี กั ษณะสำคัญอะไรบ้าง

แผนการจัดการเรยี นร้วู ชิ าวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้น ป.4 นางอมลสริ ิ คำฟู – สัตว์มีกระดูกสันหลังในกลุ่มสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกและสัตว์มีกระดูกสันหลังในกลุ่ม สัตว์เลอื้ ยคลานมลี กั ษณะสำคญั ใดท่แี ตกตา่ งกนั ข้นั สรปุ ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเกี่ยวกับสัตว์มีกระดูกสนั หลังในกลุ่มสัตว์เลื้อยคลาน โดยร่วมกันเขียนเป็น แผนที่ความคดิ หรอื ผังมโนทศั น์ 10. สื่อการเรียนรู้ 1. รปู เต่ากำลังว่ายน้ำ 2. บัตรภาพสัตว์มีกระดูกสันหลังในกลุ่มสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกและสัตว์มีกระดูกสันหลังในกลุ่ม สตั ว์เลื้อยคลาน 3. หนงั สอื วารสาร สารานกุ รมวทิ ยาศาสตร์ สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน และอินเทอรเ์ น็ต 4. หนงั สือเรยี นภาษาตา่ งประเทศ 5. คมู่ ือการสอน วิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศกึ ษาปที ี่ 4 6. สอ่ื การเรียนรู้ PowerPoint รายวชิ าพืน้ ฐาน วิทยาศาสตร์ ช้ันประถมศกึ ษาปีท่ี 4 7. แบบฝึกทกั ษะรายวิชาพ้นื ฐาน วทิ ยาศาสตร์ ชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 4 8. หนงั สือเรยี นรายวิชาพืน้ ฐาน วทิ ยาศาสตร์ ช้นั ประถมศกึ ษาปที ี่ 4 11. การวดั และประเมินผลการเรยี นรู้ ดา้ นความรู้ (K) ด้านคุณธรรม จริยธรรมและ ด้านทักษะ/กระบวนการ (P) จิตวทิ ยาศาสตร์ (A) 1. ซักถามความรู้เรื่องสัตว์มีกระดกู 1. ประเมินทักษะการคิดโดย สันหลัง (สตั ว์เลอื้ ยคลาน) 1. ประเมนิ เจตคติทางวิทยาศาสตร์ การสงั เกตการทำงานกลุ่ม เป็นรายบุคคลโดยการสงั เกต 2. ตรวจช้ินงานหรอื ภาระงานของ และใช้แบบวัดเจตคติทาง 2. ประเมนิ พฤติกรรมในการ กจิ กรรมฝกึ ทักษะระหว่างเรยี น วทิ ยาศาสตร์ ปฏิบัติกิจกรรมเป็น รายบคุ คลหรือรายกล่มุ โดย 2. ประเมินเจตคตติ อ่ วทิ ยาศาสตร์ การสงั เกตการทำงานกลุม่ เปน็ รายบคุ คลโดยการสงั เกต และใชแ้ บบวดั เจตคตติ อ่ วทิ ยาศาสตร์

แผนการจัดการเรยี นรูว้ ิชาวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้น ป.4 นางอมลสริ ิ คำฟู 12. บนั ทกึ ผลหลังการจดั การเรยี นรู้ 12.1 สรปุ ผลหลังการจัดการเรียนรู้ 1. นกั เรียนจำนวน..................คน ผ่านจุดประสงค์การเรียนร้.ู .....................คน คดิ เป็นรอ้ ยละ.................. ไม่ผ่านจุดประสงคก์ ารเรียนรู.้ .................คน คิดเป็นรอ้ ยละ.................. นกั เรยี นน่ีไมผ่ ่าน มีดังน้ี 1............................................................ 2............................................................ 3............................................................ 4............................................................ 5............................................................ 6............................................................ แนวทางแก้ไขนักเรียนท่ีไมผ่ ่านจุดประสงค์การเรียนรู้ ............................................................................................................................. ......................... ...................................................................................................................................................... 2. นักเรียนมีความรูค้ วามเขา้ ใจ (K) ............................................................................................................................. ......................... .................................................................................................................................. .................... 3. นกั เรียนมีความร้เู กิดทกั ษะ (P) ...................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ......................... 4. นกั เรียนมเี จตคติ ค่านิยม คุณธรรมจรยิ ธรรม (A) ............................................................................................................................. ......................... ....................................................................................... ............................................................... 12.2 ปัญหา อปุ สรรค และแนวทางแก้ไข …………………………………………………………………………………………………………………………………………. 12.3 ขอ้ เสนอแนะ …………………………………………………………………………………………………………………………………………. ลงชือ่ .................................................. (นางอมลสิริ คำฟ)ู ตำแหนง่ ครผู ูช้ ว่ ย

แผนการจัดการเรยี นรวู้ ชิ าวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้นั ป.4 นางอมลสริ ิ คำฟู แผนการจดั การเรยี นรทู้ ี่ 32 สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รายวชิ า วิทยาศาสตร์ รหัสวชิ า ว14101 ชั้นประถมศึกษาปที ่ี 4 หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 1 เรือ่ ง สัตวม์ ีกระดูกสนั หลัง (นก) เวลา 1 ชว่ั โมง ครูผสู้ อน นางอมลสริ ิ คำฟู ********************************************************************************** 1. มาตรฐานการเรยี นรู้ มาตรฐาน ว 1.3 เข้าใจกระบวนการและความสำคัญของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม สาร พนั ธกุ รรม การเปล่ยี นแปลงทางพนั ธกุ รรมท่ีมผี ลตอ่ สง่ิ มชี วี ติ ความหลากหลายทางชวี ภาพ และวิวฒั นาการของ สงิ่ มชี วี ติ รวมทั้งนำความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์ 2. ตัวชี้วดั ชัน้ ปี บรรยายลักษณะเฉพาะที่สังเกตได้ของสัตว์มีกระดูกสันหลังในกลุ่มปลา กลุ่มสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก กลุ่มสัตว์เลื้อยคลาน กลุ่มนก และกลุ่มสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม และยกตัวอย่างสิ่งมีชีวิตในแต่ละกลุ่ม (ว 1.3 ป. 4/4) 3. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. บรรยายลักษณะเฉพาะทสี่ งั เกตไดข้ องสตั ว์มกี ระดูกสนั หลังในกลมุ่ นก (K) 2. มีความสนใจใฝ่รหู้ รอื อยากรู้อยากเห็น (A) 3. พอใจในประสบการณก์ ารเรียนร้ทู ีเ่ กี่ยวกบั วทิ ยาศาสตร์ (A) 4. ทำงานร่วมกับผูอ้ ื่นอยา่ งสรา้ งสรรค์ (A) 5. ส่อื สารและนำความรูเ้ รือ่ งสตั ว์มกี ระดูกสนั หลัง (นก) ไปใช้ในชวี ิตประจำวนั ได้ (P) 4. สาระสำคญั สัตว์มีกระดูกสันหลังในกลุ่มนกเป็นสัตว์เลือดอุ่น ลำตัวปกคลุมด้วยขนเป็นแผง ปากเป็นจะงอย ไม่มี ฟนั ออกลูกเปน็ ไข่ หายใจดว้ ยปอด และเจริญเตบิ โตบนบก 5. สาระการเรียนรู้ สัตว์มีกระดกู สนั หลงั – นก 6. คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ 1. มีวินยั 2. ใฝ่เรยี นรู้ 3. มุ่งมน่ั ในการทำงาน 4. มจี ติ วทิ ยาศาสตร์ 7. สมรรถนะสำคญั ของผูเ้ รยี น 1. ความสามารถในการสือ่ สาร 2. ความสามารถในการคดิ 3. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี

แผนการจัดการเรยี นรู้วิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้นั ป.4 นางอมลสริ ิ คำฟู 8. ชิ้นงานหรอื ภาระงาน สบื คน้ ขอ้ มูลลักษณะของสัตว์มกี ระดูกสนั หลงั ในกล่มุ นก 9. การจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ ข้ันนำเขา้ สู่บทเรียน 1) ครูทบทวนเรอื่ งสัตว์มีกระดูกสันหลงั ในกลุ่มปลา กลุม่ สัตว์สะเทนิ น้ำสะเทินบก กลุ่มสัตว์เลื้อยคลาน โดยให้นักเรียนยกตัวอย่างสัตว์ในแต่ละกลุ่ม (แนวคำตอบ สัตว์มีกระดูกสันหลังในกลุ่มปลา เช่น ปลาดุกและ ปลาชอ่ น สัตว์มกี ระดูกสนั หลังในกลมุ่ สัตวส์ ะเทินนำ้ สะเทินบก เช่น กบและคางคก และสัตวม์ ีกระดกู สันหลังใน กลุ่มสัตว์เลอ้ื ยคลาน เช่น จระเขแ้ ละเตา่ ) 2) ครูถามคำถามนักเรียนว่า นอกจากสัตว์มีกระดูกสันหลังในกลุ่มปลา กลุ่มสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก และกลมุ่ สตั วเ์ ลอ้ื ยคลานแล้ว สตั ว์มกี ระดกู สันหลงั ยงั จำแนกเป็นกลมุ่ ใดได้อกี (แนวคำตอบ จำแนกเป็นกลุ่มนก และกลุ่มสตั วเ์ ลย้ี งลูกด้วยน้ำนม) 3) นักเรยี นชว่ ยกันตอบคำถามและแสดงความคิดเหน็ เก่ียวกับคำตอบของคำถาม เพ่ือเชือ่ มโยงไปสู่การ เรียนรเู้ รอ่ื ง สตั วม์ ีกระดกู สันหลัง (นก) ขั้นจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ จดั กจิ กรรมการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการสบื เสาะหาความรู้ (Inquiry Process) ซงึ่ มีขัน้ ตอนดงั น้ี 1) ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement) (1) ครูกระตุ้นนักเรียนโดยถามคำถามว่า นักเรียนรู้จักสัตว์มีกระดูกสันหลังใน กลุ่มนกหรือไม่ ยกตัวอยา่ ง (แนวคำตอบ รู้จกั สตั ว์มกี ระดูกสนั หลงั ในกลุ่มนก เช่น นกกระจอกและนกนางนวล) (2) นักเรียนรว่ มกันอภปิ รายเก่ียวกบั คำตอบจากคำถามของครตู ามประสบการณ์ของนกั เรียน 2) ขน้ั สำรวจและคน้ หา (Exploration) (1) ให้นักเรียนศึกษาเรอ่ื งลักษณะของสัตวม์ ีกระดูกสนั หลังในกลมุ่ นกจากใบความรหู้ รือในหนังสือเรียน โดยครูช่วยอธิบายให้นักเรียนเข้าใจว่า สัตว์มีกระดูกสันหลังใน กลุ่มนกมีลักษณะบางประการที่เป็น ลักษณะเฉพาะ (2) แบ่งนักเรียนกลุ่มละ 5 – 6 คน สืบคน้ ข้อมลู เก่ยี วกับสัตว์มีกระดูกสันหลังในกลมุ่ นกโดยดำเนินการ ตามข้นั ตอนดังนี้ – แต่ละกลุ่มวางแผนการสืบค้นข้อมูล โดยแบ่งหัวข้อสัตว์มีกระดูกสันหลังในกลุ่มนกเป็นหัวข้อ ย่อย เช่น อุณหภูมิร่างกาย ลักษณะภายนอก อวัยวะในการหายใจ และการเจริญเติบโต ให้สมาชิกแต่ละกลุ่ม ช่วยกันสบื ค้นตามหวั ขอ้ ท่ีกำหนด – สมาชิกแต่ละกลุ่มช่วยกนั สบื ค้นข้อมลู ตามหวั ข้อทีก่ ลุ่มของตนเองรับผิดชอบโดยการสืบค้นจาก หนงั สอื วารสาร สารานุกรมวิทยาศาสตร์ สารานกุ รมไทยสำหรบั เยาวชน และอนิ เทอรเ์ น็ต – สมาชกิ กลมุ่ นำข้อมูลท่ีสบื คน้ ได้มารายงานให้เพ่ือนๆ สมาชิกในกลุม่ ฟัง รวมทั้งร่วมกันอภิปราย ซักถามจนคาดวา่ สมาชกิ ทุกคนมีความรคู้ วามเข้าใจท่ตี รงกนั – สมาชกิ กลุ่มชว่ ยกันสรุปความรู้ทีไ่ ด้ท้งั หมดเป็นผลงานของกลุม่ (3) ครูคอยแนะนำช่วยเหลือนักเรียนขณะปฏิบัติกิจกรรม โดยครูเดินดูรอบๆ ห้องเรียนและเปิดโอกาส ให้นักเรยี นทุกคนซักถามเม่ือมปี ญั หา

แผนการจัดการเรยี นร้วู ิชาวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชัน้ ป.4 นางอมลสริ ิ คำฟู 3) ข้นั อธบิ ายและลงข้อสรุป (Explanation) (1) นกั เรียนแตล่ ะกลุ่มสง่ ตวั แทนกลมุ่ นำเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหนา้ ห้องเรียน (2) นักเรยี นและครูร่วมกันอภิปรายและหาขอ้ สรุปจากการปฏบิ ตั กิ ิจกรรม โดยใช้แนวคำถาม ตอ่ ไปนี้ – สัตวม์ ีกระดกู สนั หลงั ในกลุ่มนกมีลักษณะสำคัญอะไร (แนวคำตอบ สตั ว์มกี ระดกู สันหลังในกลุ่ม นกเป็นสัตว์เลือดอุ่น ลำตัวปกคลุมด้วยขนเป็นแผง ปากเป็นจะงอย ไม่มีฟัน ออกลูกเป็นไข่ หายใจด้วยปอด และเจริญเติบโตบนบก) – เป็ดที่มีปากแบนจำแนกเป็นสัตว์มีกระดูกสันหลังในกลุ่มนกหรือไม่ เพราะอะไร (แนวคำตอบ เป็ดจำแนกเป็นสัตว์มีกระดูกสันหลังในกลุ่มนก เพราะมีลักษณะของสัตว์ในกลุ่มนก เช่น มีขนเป็นแผงและ ออกลกู เปน็ ไข่ แม้วา่ จะมปี ากแบนแต่ก็มลี ักษณะแขง็ และไม่มีฟัน) (3) ครูและนกั เรียนรว่ มกันสรุปผลการปฏิบัติกจิ กรรม โดยครเู น้นใหน้ ักเรียนเข้าใจว่า สัตว์มีกระดูกสัน หลังในกลุ่มนกเป็นสัตว์เลือดอุ่น ลำตัวปกคลุมด้วยขนเป็นแผง ปากเป็นจะงอย ไม่มีฟัน ออกลูกเป็นไข่ หายใจ ดว้ ยปอด และเจริญเตบิ โตบนบก 4) ขั้นขยายความรู้ (Elaboration) (1) ครูขยายความรู้ให้กับนักเรียนว่า สัตว์เลือดอุ่น หมายถึง สัตว์ที่มีอุณหภูมิภายในลำตัวคงที่ ไม่ เปลี่ยนไปตามอุณหภูมิของสิ่งแวดล้อม แต่สัตว์เลือดอุ่นก็มีวิธีรักษาอุณหภูมิภายในลำตัวให้เหมาะสมต่อการ ดำรงชีวิต เชน่ ในช่วงฤดหู นาว นกบางชนิดจะย้ายถนิ่ ฐานมายังบริเวณทมี่ ีอากาศอบอ่นุ หรือชว่ งฤดูร้อน นกจะ กินน้ำมากกวา่ ปกติเพ่ือระบายความร้อน (2) ครูอธิบายเพิม่ เติมว่า สัตว์มีกระดูกสันหลังในกลุ่มนก นอกจากนกชนิดต่างๆ แล้วยงั รวมถึงไก่ เป็ด และห่าน ซึ่งมีลักษณะสำคัญที่เหมือนกัน คือ เป็นสัตว์เลือดอุ่น ลำตัวปกคลุมด้วยขนเป็นแผง ปากเป็นจะงอย ไม่มฟี นั (ยกเวน้ เป็ดและห่านท่ีมีปากลักษณะแบน) ออกลกู เป็นไข่ หายใจดว้ ยปอด และเจรญิ เติบโตบนบก (3) นกั เรยี นค้นคว้าคำศัพทภ์ าษาต่างประเทศเกีย่ วกับสตั ว์มกี ระดูกสนั หลังในกลุ่มนก จากหนงั สอื เรียน ภาษาต่างประเทศหรืออินเทอร์เน็ต และนำเสนอให้เพื่อนในห้องฟัง แล้วคัดคำศัพท์พร้อมทั้งคำแปลลงสมุดส่ง ครู 5) ขนั้ ประเมิน (Evaluation) (1) ครใู ห้นกั เรียนแต่ละคนพิจารณาว่า จากหวั ข้อท่ีเรยี นมาและการปฏบิ ัติกจิ กรรมมีจุดใดบ้าง ท่ียังไม่ เขา้ ใจหรอื ยังมีข้อสงสัย ถา้ มี ครชู ว่ ยอธิบายเพิ่มเตมิ ใหน้ ักเรยี นเขา้ ใจ (2) นักเรยี นรว่ มกันประเมินการปฏบิ ตั กิ จิ กรรมกลุ่มวา่ มีปัญหาหรอื อปุ สรรคใดและไดแ้ ก้ไขอย่างไรบา้ ง (3) ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประโยชน์ที่ได้รับจากการปฏิบัติกิจกรรม และ การนำความร้ไู ปใชป้ ระโยชน์ (4) ครูทดสอบความเข้าใจของนักเรียนโดยถามคำถามนักเรียน เชน่ – นอกจากนกแล้วมสี ตั ว์ชนิดใดอยใู่ นกลมุ่ นกอีกหรอื ไม่ ยกตัวอย่าง – เปด็ และหา่ นจัดอยูใ่ นกล่มุ นกเพราะอะไร ขน้ั สรปุ ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเกี่ยวกับสัตว์มีกระดูกสันหลังในกลุ่มนก โดยร่วมกันเขียนเป็นแผนท่ี ความคดิ หรือผงั มโนทัศน์

แผนการจัดการเรยี นรู้วิชาวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชัน้ ป.4 นางอมลสริ ิ คำฟู 10. ส่ือการเรียนรู้ 1. หนังสอื วารสาร สารานุกรมวิทยาศาสตร์ สารานกุ รมไทยสำหรบั เยาวชน และอนิ เทอรเ์ นต็ 2. หนงั สือเรียนภาษาต่างประเทศ 3. ค่มู ือการสอน วิทยาศาสตร์ ช้นั ประถมศึกษาปีท่ี 4 4. สื่อการเรยี นรู้ PowerPoint รายวิชาพน้ื ฐาน วิทยาศาสตร์ ช้นั ประถมศกึ ษาปที ี่ 4 5. แบบฝึกทักษะรายวชิ าพน้ื ฐาน วิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศกึ ษาปีที่ 4 6. หนังสือเรยี นรายวชิ าพน้ื ฐาน วิทยาศาสตร์ ช้ันประถมศึกษาปที ่ี 4 11. การวดั และประเมินผลการเรียนรู้ ด้านความรู้ (K) ด้านคุณธรรม จรยิ ธรรมและ ด้านทักษะ/กระบวนการ (P) จติ วิทยาศาสตร์ (A) 1. ซกั ถามความรเู้ รื่องสตั วม์ กี ระดกู 1. ประเมนิ ทักษะการคิดโดย สันหลัง (นก) 1. ประเมนิ เจตคตทิ างวทิ ยาศาสตร์ การสงั เกตการทำงานกลมุ่ เป็นรายบคุ คลโดยการสงั เกต 2. ตรวจชิ้นงานหรือภาระงานของ และใชแ้ บบวดั เจตคตทิ าง 2. ประเมินพฤติกรรมในการ กิจกรรมฝกึ ทักษะระหว่างเรยี น วทิ ยาศาสตร์ ปฏบิ ัตกิ จิ กรรมเปน็ รายบคุ คลหรอื รายกลุ่มโดย 2. ประเมินเจตคติตอ่ วทิ ยาศาสตร์ การสงั เกตการทำงานกลุ่ม เป็นรายบุคคลโดยการสังเกต และใช้แบบวดั เจตคติต่อ วทิ ยาศาสตร์

แผนการจัดการเรยี นรูว้ ิชาวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้น ป.4 นางอมลสริ ิ คำฟู 12. บนั ทกึ ผลหลังการจดั การเรยี นรู้ 12.1 สรปุ ผลหลังการจัดการเรียนรู้ 1. นกั เรียนจำนวน..................คน ผ่านจุดประสงค์การเรียนร้.ู .....................คน คดิ เป็นรอ้ ยละ.................. ไม่ผ่านจุดประสงคก์ ารเรียนรู.้ .................คน คิดเป็นรอ้ ยละ.................. นกั เรยี นน่ีไมผ่ ่าน มีดังน้ี 1............................................................ 2............................................................ 3............................................................ 4............................................................ 5............................................................ 6............................................................ แนวทางแก้ไขนักเรียนท่ีไมผ่ ่านจุดประสงค์การเรียนรู้ ............................................................................................................................. ......................... ...................................................................................................................................................... 2. นักเรียนมีความรูค้ วามเขา้ ใจ (K) ............................................................................................................................. ......................... .................................................................................................................................. .................... 3. นกั เรียนมีความร้เู กิดทกั ษะ (P) ...................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ......................... 4. นกั เรียนมเี จตคติ ค่านิยม คุณธรรมจรยิ ธรรม (A) ............................................................................................................................. ......................... ....................................................................................... ............................................................... 12.2 ปัญหา อปุ สรรค และแนวทางแก้ไข …………………………………………………………………………………………………………………………………………. 12.3 ขอ้ เสนอแนะ …………………………………………………………………………………………………………………………………………. ลงชือ่ .................................................. (นางอมลสิริ คำฟ)ู ตำแหนง่ ครผู ูช้ ว่ ย

แผนการจัดการเรยี นรู้วชิ าวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชนั้ ป.4 นางอมลสริ ิ คำฟู แผนการจดั การเรียนรู้ที่ 33 สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี รายวชิ า วิทยาศาสตร์ รหสั วิชา ว14101 ช้ันประถมศึกษาปีที่ 4 หน่วยการเรียนรทู้ ี่ 1 เร่อื ง สตั ว์มกี ระดูกสันหลงั (สัตวเ์ ลีย้ งลูกดว้ ยนำ้ นม) เวลา 1 ชว่ั โมง ครผู ู้สอน นางอมลสิริ คำฟู ********************************************************************************** 1. มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน ว 1.3 เข้าใจกระบวนการและความสำคัญของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม สาร พันธกุ รรม การเปลี่ยนแปลงทางพนั ธุกรรมทม่ี ผี ลต่อสงิ่ มชี วี ติ ความหลากหลายทางชวี ภาพ และวิวฒั นาการของ สงิ่ มชี วี ติ รวมท้ังนำความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ 2. ตัวช้ีวดั ช้ันปี บรรยายลักษณะเฉพาะที่สังเกตได้ของสัตว์มีกระดูกสันหลังในกลุ่มปลา กลุ่มสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก กลุ่มสัตว์เลื้อยคลาน กลุ่มนก และกลุ่มสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม และยกตัวอย่างสิ่งมีชีวิตในแต่ละกลุ่ม (ว 1.3 ป. 4/4) 3. จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ 1. บรรยายลักษณะเฉพาะทส่ี ังเกตได้ของสตั วม์ ีกระดกู สันหลังในกล่มุ สัตว์เล้ียงลูกด้วยน้ำนม (K) 2. มคี วามสนใจใฝร่ ู้หรอื อยากรูอ้ ยากเหน็ (A) 3. พอใจในประสบการณก์ ารเรียนรู้ท่เี ก่ยี วกับวทิ ยาศาสตร์ (A) 4. ทำงานร่วมกบั ผู้อน่ื อยา่ งสรา้ งสรรค์ (A) 5. สอ่ื สารและนำความร้เู ร่ืองสัตว์มีกระดูกสันหลัง(สตั วเ์ ลีย้ งลูกด้วยนำ้ นม)ไปใชใ้ นชีวติ ประจำวนั ได้ (P) 4. สาระสำคญั สตั วม์ ีกระดูกสันหลงั ในกลมุ่ สตั ว์เลีย้ งลูกดว้ ยนำ้ นมเปน็ สตั ว์เลือดอุ่น ลำตัวปกคลุมด้วยขนเป็นเส้น เพศ เมียมตี อ่ มสร้างน้ำนม ออกลูกเปน็ ตวั หายใจดว้ ยปอด และเจริญเตบิ โตบนบก 5. สาระการเรียนรู้ สตั วม์ ีกระดกู สนั หลัง – สตั วเ์ ล้ยี งลกู ดว้ ยนำ้ นม 6. คุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ 1. มวี ินัย 2. ใฝ่เรียนรู้ 3. มุ่งม่ันในการทำงาน 4. มจี ิตวิทยาศาสตร์ 7. สมรรถนะสำคญั ของผเู้ รียน 1. ความสามารถในการสอ่ื สาร 2. ความสามารถในการคดิ 3. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี

แผนการจัดการเรยี นรู้วิชาวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชัน้ ป.4 นางอมลสริ ิ คำฟู 8. ช้ินงานหรือภาระงาน สืบค้นขอ้ มูลลกั ษณะของสตั ว์ในกลุ่มสตั วเ์ ล้ียงลูกด้วยน้ำนม 9. การจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ ข้ันนำเข้าสบู่ ทเรียน 1) ครูทบทวนความรู้เดิมเกี่ยวกับสัตว์มีกระดูกสันหลังในกลุ่มนก โดยให้นักเรียนยกตัวอย่างลักษณะ สำคัญของสตั ว์แต่ละกลมุ่ มาคนละ 1 ลักษณะ (แนวคำตอบ สตั วใ์ นกลุ่มนกมจี ะงอยปากแขง็ ) 2) นักเรียนช่วยกนั ตอบคำถามและแสดงความคิดเหน็ เกย่ี วกับคำตอบของคำถาม เพอ่ื เช่ือมโยงไปสู่การ เรยี นรูเ้ รื่อง สัตว์มกี ระดกู สันหลัง (สตั ว์เลยี้ งลูกดว้ ยนำ้ นม) ขน้ั จดั กจิ กรรมการเรียนรู้ จดั กจิ กรรมการเรียนรโู้ ดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ (Inquiry Process) ซง่ึ มีข้นั ตอนดงั นี้ 1) ขัน้ สรา้ งความสนใจ (Engagement) (1) ครูนำรปู วาฬ โลมา ค้างคาว และตุ่นปากเป็ดมาใหน้ ักเรยี นดแู ลว้ ถามคำถามว่า – สัตว์ในรปู เรียกวา่ อะไรบา้ ง (แนวคำตอบ วาฬ โลมา คา้ งคาว และตนุ่ ปากเปด็ ) – สตั ว์ในรูปจัดเปน็ สตั ว์มกี ระดกู สันหลงั ในกลุม่ ใด (แนวคำตอบ สัตวเ์ ล้ยี งลกู ดว้ ยน้ำนม) (2) นักเรยี นรว่ มกันอภิปรายเก่ยี วกับคำตอบจากคำถามของครูตามประสบการณ์ของนักเรียน 2) ข้ันสำรวจและค้นหา (Exploration) (1) แบ่งนักเรียนกลุ่มละ 5 – 6 คน สืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับวาฬ โลมา ค้างคาว และตุ่นปากเป็ด โดยดำเนินการตามขนั้ ตอนดงั นี้ – แต่ละกลุ่มวางแผนการสืบค้นข้อมูล โดยแบ่งหัวข้อวาฬ โลมา ค้างคาว และตุ่นปากเป็ดเป็นหัวข้อ ย่อย เช่น แหล่งที่อยู่ ลักษณะภายนอก และลกั ษณะที่แสดงถึงสัตว์ในกลุม่ สัตว์เล้ียงลูกดว้ ยน้ำนม ให้สมาชิกแต่ ละกลมุ่ ช่วยกันสืบค้นตามหัวขอ้ ทีก่ ำหนด – สมาชิกแต่ละกลุ่มช่วยกันสืบค้นข้อมูลตามหัวข้อที่กลุ่มของตนเองรับผิดชอบโดยการสืบค้นจาก หนงั สอื วารสาร สารานุกรมวิทยาศาสตร์ สารานุกรมไทยสำหรบั เยาวชน และอินเทอรเ์ นต็ – สมาชิกกลุ่มนำข้อมูลที่สืบค้นได้มารายงานให้เพื่อน ๆ สมาชิกในกลุ่มฟัง รวมทั้งร่วมกันอภิปราย ซักถามจนคาดว่าสมาชกิ ทุกคนมีความรคู้ วามเขา้ ใจทีต่ รงกนั – สมาชกิ กลมุ่ ชว่ ยกันสรุปความรู้ท่ไี ดท้ ั้งหมดเปน็ ผลงานของกลมุ่ (2) ครูคอยแนะนำชว่ ยเหลือนักเรียนขณะปฏิบตั ิกิจกรรม โดยครูเดนิ ดูรอบๆ ห้องเรยี นและเปิดโอกาส ให้นักเรียนทุกคนซักถามเม่อื มีปญั หา 3) ขัน้ อธิบายและลงข้อสรปุ (Explanation) (1) นกั เรียนแต่ละกลุม่ สง่ ตวั แทนกลมุ่ นำเสนอผลการปฏบิ ัตกิ จิ กรรมหนา้ หอ้ งเรยี น (2) นกั เรียนและครูรว่ มกนั อภิปรายและหาข้อสรุปจากการปฏิบตั กิ ิจกรรม โดยใช้แนวคำถาม ตอ่ ไปนี้ – ลักษณะสำคัญที่ทำให้สัตว์กลุ่มนี้เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมคืออะไร (แนวคำตอบ เพศเมียมี ตอ่ มสรา้ งนำ้ นม)

แผนการจัดการเรยี นรูว้ ิชาวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชนั้ ป.4 นางอมลสริ ิ คำฟู – วาฬและโลมาไม่จัดเป็นสัตว์มีกระดูกสันหลังในกลุ่มปลาเพราะอะไร (แนวคำตอบ เพราะวาฬ และโลมาหายใจด้วยปอด ออกลูกเป็นตัว และเพศเมียมีต่อมสร้างน้ำนม ซึ่งแตกต่างจากลักษณะของสัตว์มี กระดกู สันหลงั ในกลุม่ ปลาที่หายใจดว้ ยเหงือก ออกลกู เปน็ ไข่ และเพศเมยี ไม่มีต่อมสร้างน้ำนม) – ค้างคาวไม่จัดเป็นสัตว์มีกระดูกสันหลังในกลุ่มนกเพราะอะไร (แนวคำตอบ เพราะค้างคาว ออกลูกเป็นตัว และเพศเมียมีต่อมสร้างน้ำนม ซึ่งแตกต่างจากลักษณะของสัตว์มีกระดูกสันหลังในกลุ่มนกท่ี ออกลูกเปน็ ไขแ่ ละเพศเมยี ไมม่ ีต่อมสร้างน้ำนม) – ตุ่นปากเป็ดแตกต่างจากสัตว์มีกระดูกสันหลังในกลุ่มสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมชนิดอื่นในเรื่องใด (แนวคำตอบ ออกลูกเป็นไข่และปากแบนและแข็งเหมือนปากของเป็ดที่จำแนกอยู่ในสัตว์มีกระดูกสันหลังใน กลมุ่ นก) (3) ครแู ละนกั เรียนร่วมกันสรุปผลการปฏิบัติกจิ กรรม โดยครูเนน้ ให้นักเรียนเข้าใจว่า สัตว์มีกระดูกสัน หลังในกลุ่มสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมเป็นสัตว์เลือดอุ่น ลำตัวปกคลุมด้วยขนเป็นเส้น เพศเมียมีต่อมสร้างน้ำนม ออกลูกเปน็ ตัว หายใจด้วยปอด และเจรญิ เติบโตบนบก 4) ขั้นขยายความรู้ (Elaboration) (1) ครูอธิบายความรู้เสริมให้นักเรียนว่า สัตว์มีกระดูกสันหลังในกลุ่มสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมบางชนิด อาศัยในน้ำ เช่น โลมาและวาฬ ซึ่งแม้จะอาศัยในน้ำแต่ก็มีลักษณะสำคัญของสัตว์มีกระดูกสันหลังในกลุ่มสัตว์ เลี้ยงลูกดว้ ยน้ำนม คือ เพศเมียมีต่อมสร้างนำ้ นม ออกลูกเป็นตัว และหายใจด้วยปอด โดยสัตว์พวกน้ีจะมีปอด ขนาดใหญเ่ พ่อื กกั เก็บอากาศไว้ใชห้ ายใจเม่ือดำนำ้ (2) ครูอธิบายเร่อื งน่ารู้ วาฬ โดยให้นักเรียนเขา้ ใจว่า วาฬสามารถดำน้ำได้เฉลี่ย 20 นาที และสามารถ ดำน้ำได้นานถึง 1 ชั่วโมง ในขณะที่คนดำน้ำได้เฉลี่ยเพียง 3 นาที และคนที่ถูกบันทึกสถิติโลกว่าดำน้ำได้นาน ทส่ี ุดสามารถดำนำ้ ไดน้ านถงึ 22 นาที 22 วนิ าที (3) นักเรียนค้นคว้าคำศัพท์ภาษาต่างประเทศเกี่ยวกับสัตว์มีกระดูกสันหลังในกลุ่มนกและกลุ่มสัตว์ เลยี้ งลูกด้วยนำ้ นมจากหนังสือเรยี นภาษาต่างประเทศหรืออนิ เทอร์เน็ต และนำเสนอให้เพื่อนในห้องฟัง แล้วคัด คำศัพท์พร้อมทัง้ คำแปลลงสมดุ ส่งครู 5) ขนั้ ประเมิน (Evaluation) (1) ครูให้นักเรียนแต่ละคนพิจารณาว่า จากหัวข้อที่เรียนมาและการปฏิบัติกิจกรรมมีจุดใดบ้างที่ยังไม่ เข้าใจหรือยงั มขี ้อสงสยั ถา้ มี ครูชว่ ยอธบิ ายเพิม่ เตมิ ใหน้ กั เรียนเข้าใจ (2) นกั เรยี นร่วมกันประเมนิ การปฏิบัตกิ จิ กรรมกลมุ่ ว่ามปี ญั หาหรอื อุปสรรคใดและไดแ้ กไ้ ขอยา่ งไรบ้าง (3) ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประโยชน์ที่ได้รับจากการปฏิบัติกิจกรรม และ การนำความร้ไู ปใชป้ ระโยชน์ (4) ครทู ดสอบความเข้าใจของนักเรยี นโดยถามคำถามนักเรียน เชน่ – คา้ งคาวไมจ่ ดั อยูใ่ นกลุม่ นกเพราะอะไร – เราไมเ่ รยี กวาฬวา่ ปลาวาฬเพราะอะไร

แผนการจัดการเรยี นรู้วชิ าวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้น ป.4 นางอมลสริ ิ คำฟู ขนั้ สรุป 1) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเกี่ยวกบั สัตว์มกี ระดูกสันหลังในกลุ่มสัตว์เลี้ยงลูกดว้ ยน้ำนม โดยร่วมกัน เขยี นเป็นแผนทีค่ วามคิดหรือผงั มโนทัศน์ 2) ครูมอบหมายให้นักเรยี นไปศึกษาค้นคว้าเน้ือหาของบทเรยี นชวั่ โมงหน้า เพอื่ จัดการเรียนรู้คร้ังต่อไป โดยใหน้ กั เรียนศกึ ษาคน้ ควา้ ล่วงหนา้ ในหวั ขอ้ สัตวไ์ ม่มีกระดกู สันหลงั 3) ครูใหน้ กั เรียนเตรียมประเด็นคำถามท่ีสงสัยมาอย่างน้อยคนละ 1 คำถาม เพอ่ื นำมาอภิปรายร่วมกัน ในชั้นเรียนคร้งั ตอ่ ไป 10. สื่อการเรยี นรู้ 1. รูปวาฬ โลมา คา้ งคาว และตุ่นปากเป็ด 2. หนงั สอื วารสาร สารานุกรมวทิ ยาศาสตร์ สารานุกรมไทยสำหรบั เยาวชน และอินเทอร์เน็ต 3. หนงั สือเรยี นภาษาต่างประเทศ 4. คูม่ ือการสอน วิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศกึ ษาปที ่ี 4 5. ส่ือการเรยี นรู้ PowerPoint รายวชิ าพืน้ ฐาน วทิ ยาศาสตร์ ช้ันประถมศกึ ษาปีที่ 4 6. แบบฝกึ ทักษะรายวิชาพืน้ ฐาน วิทยาศาสตร์ ช้ันประถมศึกษาปที ่ี 4 7. หนังสอื เรยี นรายวชิ าพน้ื ฐาน วิทยาศาสตร์ ชนั้ ประถมศกึ ษาปที ี่ 4 11. การวัดและประเมินผลการเรยี นรู้ ด้านความรู้ (K) ด้านคุณธรรม จริยธรรมและ ดา้ นทกั ษะ/กระบวนการ (P) จติ วทิ ยาศาสตร์ (A) 1. ซักถามความร้เู รื่องสัตว์มีกระดกู 1. ประเมินทักษะการคดิ โดย สนั หลงั (สตั ว์เลยี้ งลูกด้วยนำ้ นม) 1. ประเมินเจตคติทาง การสงั เกตการทำงานกลุ่ม วิทยาศาสตรเ์ ป็นรายบุคคล 2. ตรวจช้นิ งานหรอื ภาระงานของ โดยการสังเกตและใชแ้ บบวดั 2. ประเมนิ พฤติกรรมในการ กิจกรรมฝกึ ทักษะระหวา่ งเรยี น เจตคตทิ างวิทยาศาสตร์ ปฏิบตั ิกิจกรรมเป็น รายบคุ คลหรอื รายกล่มุ โดย 2. ประเมินเจตคตติ ่อ การสงั เกตการทำงานกลุ่ม วทิ ยาศาสตรเ์ ปน็ รายบคุ คล โดยการสงั เกตและใช้แบบวัด เจตคตติ อ่ วทิ ยาศาสตร์

แผนการจัดการเรยี นรวู้ ชิ าวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชน้ั ป.4 นางอมลสริ ิ คำฟู 12. บันทกึ ผลหลงั การจดั การเรียนรู้ 12.1 สรปุ ผลหลังการจัดการเรยี นรู้ 1. นกั เรียนจำนวน..................คน ผ่านจดุ ประสงค์การเรยี นร.ู้ .....................คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ.................. ไม่ผ่านจุดประสงค์การเรียนร.ู้ .................คน คดิ เป็นร้อยละ.................. นกั เรยี นนีไ่ มผ่ า่ น มีดงั น้ี 1............................................................ 2............................................................ 3............................................................ 4............................................................ 5............................................................ 6............................................................ แนวทางแก้ไขนักเรยี นที่ไมผ่ ่านจดุ ประสงค์การเรียนรู้ ............................................................................................................................. ......................... ...................................................................................................................................................... 2. นักเรียนมีความรู้ความเขา้ ใจ (K) ............................................................................................................................. ......................... .......................................................................................................... ............................................ 3. นักเรยี นมคี วามรเู้ กิดทกั ษะ (P) ............................................................................................................................. ......................... ...................................................................................................................................................... 4. นกั เรียนมเี จตคติ ค่านิยม คุณธรรมจริยธรรม (A) .................................................................................. .................................................................... ............................................................................................................................. ......................... 12.2 ปัญหา อุปสรรค และแนวทางแก้ไข …………………………………………………………………………………………………………………………………………. 12.3 ข้อเสนอแนะ …………………………………………………………………………………………………………………………………………. ลงชอ่ื .................................................. (นางอมลสริ ิ คำฟู) ตำแหนง่ ครผู ชู้ ่วย

แผนการจัดการเรยี นรู้วชิ าวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชน้ั ป.4 นางอมลสริ ิ คำฟู แผนการจัดการเรยี นรู้ท่ี 34 สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี รายวชิ า วทิ ยาศาสตร์ รหสั วชิ า ว14101 ชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 4 หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 1 เรือ่ ง สตั วไ์ ม่มีกระดูกสนั หลงั (1) เวลา 1 ชว่ั โมง ครูผ้สู อน นางอมลสิริ คำฟู ********************************************************************************** 1. มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน ว 1.3 เข้าใจกระบวนการและความสำคัญของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม สาร พนั ธุกรรม การเปล่ยี นแปลงทางพันธุกรรมท่ีมีผลตอ่ สงิ่ มีชีวิต ความหลากหลายทางชีวภาพ และวิวัฒนาการของ ส่ิงมชี วี ติ รวมทั้งนำความร้ไู ปใชป้ ระโยชน์ 2. ตัวช้ีวดั ชนั้ ปี จำแนกสัตว์ออกเป็นสัตว์มีกระดูกสันหลังและสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังโดยใช้การมีกระดูกสันหลังเป็น เกณฑ์ โดยใช้ขอ้ มูลทร่ี วบรวมได้ (ว 1.3 ป. 4/3) 3. จุดประสงค์การเรยี นรู้ 1. บรรยายลกั ษณะเฉพาะทีส่ งั เกตได้ของสตั วไ์ ม่มกี ระดูกสันหลัง (K) 2. มคี วามสนใจใฝ่รูห้ รืออยากร้อู ยากเหน็ (A) 3. พอใจในประสบการณก์ ารเรยี นรู้ท่เี ก่ยี วกับวทิ ยาศาสตร์ (A) 4. ทำงานร่วมกับผูอ้ ่นื อย่างสรา้ งสรรค์ (A) 5. ส่อื สารและนำความรเู้ รื่องสัตว์ไมม่ ีกระดูกสันหลงั ไปใชใ้ นชวี ติ ประจำวันได้ (P) 4. สาระสำคัญ สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังเป็นสัตว์ที่ไม่มีโครงร่างเป็นแกนแข็งภายในลำตัว สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังจึงมี ลำตัวออ่ นนิ่ม และบางชนิดสร้างโครงร่างแข็งหุ้มลำตัวไวเ้ พื่อป้องกันอันตราย ซ่งึ ลักษณะเฉพาะท่ีแตกต่างกันนี้ สามารถใช้เป็นเกณฑใ์ นการจำแนกสตั วไ์ มม่ ีกระดูกสันหลงั เป็นกลุ่มได้ 5. สาระการเรียนรู้ สตั วไ์ มม่ ีกระดกู สันหลัง – กลุม่ ฟองน้ำ – กลุ่มหนอนพยาธิ – กลุ่มสตั ว์ทม่ี ีรกู ลางลำตัว 6. คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ 1. มีวินยั 2. ใฝเ่ รียนรู้ 3. มงุ่ มัน่ ในการทำงาน 4. มจี ติ วทิ ยาศาสตร์

แผนการจัดการเรยี นร้วู ชิ าวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้ัน ป.4 นางอมลสริ ิ คำฟู 7. สมรรถนะสำคัญของผู้เรยี น 1. ความสามารถในการส่อื สาร 2. ความสามารถในการคดิ 3. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี 8. ชิ้นงานหรอื ภาระงาน สืบคน้ ข้อมูลลกั ษณะของสตั วไ์ มม่ ีกระดูกสนั หลงั 9. การจดั กิจกรรมการเรียนรู้ ขน้ั นำเข้าสบู่ ทเรยี น 1) ครูทบทวนความรู้เดิมเกี่ยวกับการจำแนกสัตว์ โดยใช้การมีกระดูกสันหลังเป็นเกณฑ์โดยถาม นักเรียนว่า งูและไส้เดือนดินจัดเป็นสัตว์ในกลุ่มเดียวกันหรือไม่ เพราะอะไร (แนวคำตอบ งูและไส้เดือนดิน จัดเป็นสัตวต์ ่างกลุ่มกัน เพราะงูมีโครงร่างเป็นแกนแข็งภายในลำตัว ส่วนไส้เดือนดินไม่มีโครงร่างเป็นแกนแขง็ ภายในลำตัว) 2) นักเรียนช่วยกนั ตอบคำถามและแสดงความคิดเหน็ เก่ียวกับคำตอบของคำถาม เพ่ือเชอื่ มโยงไปสู่การ เรยี นรเู้ รื่อง สตั วไ์ มม่ ีกระดกู สนั หลงั ข้ันจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ จัดกิจกรรมการเรยี นรูโ้ ดยใชก้ ระบวนการสืบเสาะหาความรู้ (Inquiry Process) ซ่ึงมีขนั้ ตอนดังน้ี 1) ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement) (1) ครูแบ่งกลมุ่ นกั เรยี นแล้วเปดิ โอกาสใหน้ ักเรียนในกลุ่มนำเสนอข้อมลู เกยี่ วกบั สตั วไ์ มม่ ีกระดูกสันหลัง ที่ครูมอบหมายใหไ้ ปเรียนรู้ล่วงหน้าให้เพื่อนๆ ในกลุ่มฟัง จากนั้นใหแ้ ตล่ ะกลุ่มสง่ ตวั แทนมานำเสนอข้อมูลหน้า หอ้ งเรยี น (2) ครูตรวจสอบวา่ นักเรียนทำภาระงานที่ได้รบั มอบหมายไปหรือไม่ โดยตรวจสอบจากการ จดบันทึก ของนกั เรียน และถามคำถามเกยี่ วกับภาระงาน ดงั นี้ – สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังมีลักษณะสำคัญอะไร (แนวคำตอบ ไม่มีโครงร่างเป็นแกนแข็งภายใน ลำตวั ) – สตั ว์ไมม่ กี ระดูกสันหลงั แบ่งเป็นกลุ่มใดบ้าง (แนวคำตอบ กลุ่มฟองนำ้ กลุ่มสัตว์ที่มีรกู ลางลำตัว กลุม่ หนอนพยาธิ กลุม่ สตั วท์ ม่ี ีลำตวั เป็นปล้อง กลุม่ หอย และกลมุ่ สัตวท์ ี่มีขาเปน็ ขอ้ ) (3) ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนตั้งประเด็นคำถามที่นักเรียนสงสยั จากการทำภาระงานอย่างน้อยคนละ 1 คำถาม ซึ่งครูใหน้ ักเรยี นเตรยี มมาลว่ งหนา้ และให้นกั เรยี นช่วยกนั ตอบและแสดงความคดิ เหน็ (4) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเกี่ยวกับภาระงาน โดยครูช่วยอธิบายให้นักเรียนเข้าใจว่า สัตว์ไม่มี กระดกู สนั หลังเปน็ สัตวท์ ไี่ ม่มโี ครงร่างเปน็ แกนแข็งภายในลำตัว โดยสตั ว์ไมม่ กี ระดกู สนั หลังแต่ละชนิดมีลักษณะ เฉพาะท่แี ตกตา่ งกันจงึ สามารถนำมาจำแนกเปน็ กลมุ่ ได้

แผนการจัดการเรยี นรูว้ ชิ าวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้น ป.4 นางอมลสริ ิ คำฟู 2) ข้นั สำรวจและคน้ หา (Exploration) (1) แบ่งนักเรียนกลุ่มละ 5 – 6 คน สืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังโดยดำเนินการตาม ขั้นตอนดงั นี้ – แต่ละกลุ่มวางแผนการสืบค้นข้อมูล โดยแบ่งหัวข้อสตั วไ์ ม่มีกระดูกสนั หลังในกลุม่ ฟองน้ำ กลุ่ม สัตว์ที่มีรูกลางลำตัว และกลุ่มหนอนพยาธิเป็นหัวข้อย่อย เช่น ลักษณะลำตัวของสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังในแต่ ละกลุ่ม และตัวอย่างของสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังในแต่ละกลุ่ม ให้สมาชิกแต่ละกลุ่มช่วยกันสืบค้นตามหัวข้อท่ี กำหนด – สมาชิกแต่ละกลุ่มชว่ ยกันสืบคน้ ข้อมลู ตามหัวข้อท่กี ลุ่มของตนเองรับผิดชอบโดยการสืบค้นจาก หนังสือ วารสาร สารานกุ รมวทิ ยาศาสตร์ สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน และอนิ เทอรเ์ นต็ – สมาชกิ กลุม่ นำข้อมูลที่สบื ค้นได้มารายงานให้เพื่อนๆ สมาชิกในกลุ่มฟัง รวมทัง้ ร่วมกันอภิปราย ซักถามจนคาดวา่ สมาชกิ ทุกคนมคี วามรคู้ วามเขา้ ใจทต่ี รงกนั – สมาชิกกลมุ่ ชว่ ยกนั สรุปความรู้ที่ไดท้ ง้ั หมดเป็นผลงานของกลมุ่ (2) ครูคอยแนะนำช่วยเหลือนักเรียนขณะปฏิบัติกิจกรรม โดยครูเดินดูรอบๆ ห้องเรียนและเปดิ โอกาส ให้นักเรยี นทุกคนซักถามเม่ือมีปญั หา 3) ขน้ั อธบิ ายและลงข้อสรปุ (Explanation) (1) นักเรยี นแตล่ ะกลมุ่ สง่ ตัวแทนกลมุ่ นำเสนอผลการปฏบิ ตั กิ จิ กรรมหนา้ หอ้ งเรยี น (2) นักเรยี นและครูร่วมกนั อภปิ รายและหาขอ้ สรปุ จากการปฏบิ ัติกจิ กรรม โดยใช้แนวคำถาม ต่อไปนี้ – ยกตัวอย่างลักษณะลำตัวของสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังมา 1 กลุ่ม (แนวคำตอบ กลุ่มสัตว์ที่มีรู กลางลำตัว มลี ำตัวออ่ นนม่ิ และมรี กู ลางลำตวั ) – ยกตวั อย่างสตั ว์ในกลุม่ สตั วไ์ มม่ กี ระดูกสันหลงั มา 1 กลุ่ม (แนวคำตอบ กลุม่ สัตวท์ ี่มรี ูกลางลำตัว เชน่ แมงกะพรนุ ปะการัง และดอกไมท้ ะเล) (3) ครูและนักเรียนรว่ มกนั สรุปผลการปฏิบัตกิ ิจกรรม โดยครูเน้นให้นักเรียนเข้าใจว่า สัตว์ไม่มีกระดูก สันหลังเป็นสัตว์ที่ไม่มีโครงร่างเป็นแกนแข็งภายในลำตัว สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังจึงมีลำตัวอ่อนนิ่ม และมี ลักษณะเฉพาะที่แตกตา่ งกนั ในสัตวแ์ ตล่ ะกลุ่ม เราจึงสามารถใช้เปน็ เกณฑใ์ นการจำแนกสัตว์ไม่มกี ระดูกสันหลัง เปน็ กลุ่มได้ 4) ข้นั ขยายความรู้ (Elaboration) ครเู ชื่อมโยงความรู้อาเซียน โดยถามนักเรียนว่า นกั เรียนรจู้ ักปะการังหรือไม่ และถา้ ต้องดูปะการังต้อง ไปที่ใด จากนัน้ ครใู หค้ วามรู้เสริมกับนักเรียนว่า ปะการังเปน็ สตั ว์ไมม่ ีกระดูกสนั หลังในกลุ่มสัตว์ที่มีรูกลางลำตัว ทอี่ าศัยในทะเล แต่ทีเ่ ราเหน็ วา่ ปะการังเปน็ เหมือนก้อนแข็งเนื่องจากปะการงั สร้างหนิ ปูนขึ้นเพื่อป้องกันตัวเอง และเนื่องจากประเทศในอาเซียนส่วนใหญ่มีชายฝั่งติดทะเลจึงเป็นแหล่งปะการังจำนวนมากที่ช่วยสรา้ งรายได้ จากธุรกิจการท่องเทย่ี วทางทะเลให้กับคนในท้องถิ่น 5) ขนั้ ประเมิน (Evaluation) (1) ครูให้นักเรียนแต่ละคนพิจารณาว่า จากหัวข้อที่เรียนมาและการปฏิบัติกิจกรรมมีจุดใดบ้างที่ยังไม่ เขา้ ใจหรอื ยังมีข้อสงสัย ถ้ามี ครชู ว่ ยอธิบายเพิ่มเติมใหน้ ักเรียนเข้าใจ (2) นักเรียนร่วมกันประเมินการปฏิบตั กิ ิจกรรมกลุ่มว่ามปี ญั หาหรอื อุปสรรคใดและไดแ้ ก้ไขอย่างไรบา้ ง (3) ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประโยชน์ที่ได้รับจากการปฏิบัติกิจกรรม และ การนำความรูไ้ ปใช้ประโยชน์

แผนการจัดการเรยี นร้วู ชิ าวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้นั ป.4 นางอมลสริ ิ คำฟู (4) ครทู ดสอบความเข้าใจของนกั เรยี นโดยถามคำถามนักเรียน เช่น – ปะการังและดอกไมท้ ะเลจำแนกอยู่ในกลุม่ เดยี วกบั แมงกะพรุนเพราะอะไร ข้นั สรปุ ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเกี่ยวกับสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังในกลุ่มฟองน้ำ กลุ่มสัตว์ที่มีรูกลางลำตัว และกลุ่มหนอนพยาธิ โดยรว่ มกันเขียนเป็นแผนทีค่ วามคดิ หรือผังมโนทศั น์ 10. ส่ือการเรียนรู้ 1. หนงั สอื วารสาร สารานุกรมวทิ ยาศาสตร์ สารานุกรมไทยสำหรบั เยาวชน และอนิ เทอรเ์ นต็ 2. คูม่ ือการสอน วิทยาศาสตร์ ช้ันประถมศกึ ษาปที ี่ 4 3. ส่ือการเรียนรู้ PowerPoint รายวิชาพืน้ ฐาน วิทยาศาสตร์ ชัน้ ประถมศึกษาปที ่ี 4 4. แบบฝึกทักษะรายวิชาพื้นฐาน วทิ ยาศาสตร์ ช้ันประถมศกึ ษาปที ี่ 4 5. หนังสอื เรยี นรายวชิ าพน้ื ฐาน วทิ ยาศาสตร์ ช้นั ประถมศึกษาปีท่ี 4 11. การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ด้านความรู้ (K) ดา้ นคุณธรรม จริยธรรมและ ดา้ นทกั ษะ/กระบวนการ (P) จติ วทิ ยาศาสตร์ (A) 1. ซักถามความรู้เรื่องสตั วไ์ ม่มี 1. ประเมนิ ทักษะการคดิ โดย กระดูกสันหลงั 1. ประเมนิ เจตคติทาง การสังเกตการทำงานกลมุ่ วิทยาศาสตรเ์ ปน็ รายบคุ คล 2. ตรวจชน้ิ งานหรือภาระงานของ โดยการสงั เกตและใชแ้ บบวัด 2. ประเมนิ พฤติกรรมในการ กิจกรรมฝึกทกั ษะระหว่างเรยี น เจตคติทางวทิ ยาศาสตร์ ปฏบิ ตั ิกิจกรรมเปน็ รายบคุ คลหรือรายกลุ่มโดย 2. ประเมินเจตคติต่อ การสงั เกตการทำงานกลุ่ม วิทยาศาสตรเ์ ป็นรายบุคคล โดยการสังเกตและใชแ้ บบวดั เจตคติต่อวิทยาศาสตร์

แผนการจัดการเรยี นรวู้ ชิ าวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้ัน ป.4 นางอมลสริ ิ คำฟู 12. บนั ทึกผลหลังการจดั การเรียนรู้ 12.1 สรุปผลหลังการจัดการเรียนรู้ 1. นกั เรียนจำนวน..................คน ผา่ นจดุ ประสงค์การเรียนรู้......................คน คิดเปน็ รอ้ ยละ.................. ไมผ่ า่ นจุดประสงคก์ ารเรยี นร้.ู .................คน คิดเป็นร้อยละ.................. นักเรียนนไ่ี มผ่ ่าน มีดงั น้ี 1............................................................ 2............................................................ 3............................................................ 4............................................................ 5............................................................ 6............................................................ แนวทางแก้ไขนักเรยี นท่ีไมผ่ ่านจดุ ประสงค์การเรียนรู้ ............................................................................................................................. ......................... ...................................................................................................................................................... 2. นักเรียนมคี วามรคู้ วามเขา้ ใจ (K) ............................................................................................................................. ......................... ............................................................................................................................. ......................... 3. นักเรียนมคี วามรเู้ กิดทักษะ (P) ...................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ......................... 4. นกั เรยี นมเี จตคติ ค่านยิ ม คณุ ธรรมจรยิ ธรรม (A) ............................................................................................................................. ......................... ...................................................................................................................................................... 12.2 ปัญหา อปุ สรรค และแนวทางแก้ไข …………………………………………………………………………………………………………………………………………. 12.3 ขอ้ เสนอแนะ …………………………………………………………………………………………………………………………………………. ลงชอ่ื .................................................. (นางอมลสิริ คำฟ)ู ตำแหน่ง ครูผชู้ ว่ ย

แผนการจัดการเรยี นร้วู ิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้ัน ป.4 นางอมลสริ ิ คำฟู แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 35 สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี รายวิชา วิทยาศาสตร์ รหสั วิชา ว14101 ชั้นประถมศึกษาปที ่ี 4 หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 1 เรื่อง สัตว์ไมม่ ีกระดูกสนั หลงั (2) เวลา 1 ชว่ั โมง ครูผ้สู อน นางอมลสิริ คำฟู ********************************************************************************** 1. มาตรฐานการเรยี นรู้ มาตรฐาน ว 1.3 เข้าใจกระบวนการและความสำคัญของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม สาร พนั ธกุ รรม การเปลีย่ นแปลงทางพันธุกรรมท่ีมีผลต่อสิง่ มชี ีวติ ความหลากหลายทางชวี ภาพ และววิ ัฒนาการของ สิ่งมีชีวติ รวมทัง้ นำความรูไ้ ปใช้ประโยชน์ 2. ตวั ช้ีวดั ชน้ั ปี จำแนกสัตว์ออกเป็นสัตว์มีกระดูกสันหลังและสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังโดยใช้การมีกระดูกสันหลังเป็น เกณฑ์ โดยใช้ข้อมูลทร่ี วบรวมได้ (ว 1.3 ป. 4/3) 3. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ 1. บรรยายลกั ษณะเฉพาะทส่ี งั เกตไดข้ องสตั วไ์ ม่มกี ระดกู สันหลัง (K) 2. มีความสนใจใฝ่รู้หรอื อยากรอู้ ยากเห็น (A) 3. พอใจในประสบการณก์ ารเรยี นรู้ท่ีเก่ียวกับวทิ ยาศาสตร์ (A) 4. ทำงานรว่ มกบั ผ้อู ่ืนอย่างสรา้ งสรรค์ (A) 5. สอ่ื สารและนำความรูเ้ ร่อื งสตั วไ์ ม่มกี ระดกู สันหลังไปใช้ในชีวิตประจำวนั ได้ (P) 4. สาระสำคญั สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังเป็นสัตว์ที่ไม่มีโครงร่างเป็นแกนแข็งภายในลำตัว สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังจึงมี ลำตัวออ่ นน่ิม และบางชนิดสร้างโครงร่างแข็งหุ้มลำตวั ไวเ้ พื่อป้องกันอนั ตราย ซึง่ ลกั ษณะเฉพาะที่แตกต่างกันน้ี สามารถใชเ้ ปน็ เกณฑใ์ นการจำแนกสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังเปน็ กลุ่มได้ 5. สาระการเรยี นรู้ สัตวไ์ ม่มกี ระดูกสนั หลงั – กลุ่มสตั ว์ท่มี ลี ำตวั เป็นปลอ้ ง – กลุม่ หอย 6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 1. มวี ินยั 2. ใฝเ่ รียนรู้ 3. มุง่ มน่ั ในการทำงาน 4. มีจิตวทิ ยาศาสตร์

แผนการจัดการเรยี นรู้วิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชนั้ ป.4 นางอมลสริ ิ คำฟู 7. สมรรถนะสำคญั ของผเู้ รียน 1. ความสามารถในการส่ือสาร 2. ความสามารถในการคดิ 3. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี 8. ชิ้นงานหรอื ภาระงาน สืบคน้ ขอ้ มูลลักษณะของสตั วไ์ มม่ ีกระดูกสนั หลงั 9. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ขั้นนำเข้าสู่บทเรยี น 1) ครูทบทวนความรู้นักเรียน โดยถามนักเรียนว่า หนอนพยาธิจัดเป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังเพราะ อะไร (แนวคำตอบ หนอนพยาธไิ ม่มีโครงรา่ งแขง็ เปน็ แกนภายในลำตัว) 2) นักเรยี นช่วยกันตอบคำถามและแสดงความคดิ เห็นเกี่ยวกบั คำตอบของคำถาม เพอ่ื เชื่อมโยงไปสู่การ เรยี นรูเ้ รอ่ื ง สตั ว์ไม่มีกระดกู สันหลัง ข้ันจัดกิจกรรมการเรียนรู้ จดั กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ (Inquiry Process) ซึ่งมขี นั้ ตอนดังนี้ 1) ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement) (1) ครูกระตุ้นนกั เรียนโดยการถามคำถามว่า นอกจากสัตวไ์ ม่มกี ระดกู สันหลังในกลุ่มฟองน้ำ กลุ่มสัตว์ ที่มรี กู ลางลำตวั และกลุ่มหนอนพยาธแิ ล้ว นกั เรยี นรู้จกั สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลงั กลุ่มใดอกี บ้าง (แนวคำตอบ สตั ว์ ไมม่ ีกระดูกสนั หลังในกลมุ่ สตั ว์ทีม่ ลี ำตัวเปน็ ปลอ้ งและสตั วไ์ ม่มีกระดูกสนั หลงั ในกลุม่ หอย) (2) นักเรยี นรว่ มกันอภิปรายเก่ยี วกับคำตอบจากคำถามของครูตามประสบการณ์ของนกั เรยี น 2) ขั้นสำรวจและคน้ หา (Exploration) (1) แบ่งนักเรียนกลุ่มละ 5 – 6 คน สืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง โดยดำเนินการตาม ขั้นตอนดงั นี้ – แต่ละกลุ่มวางแผนการสืบค้นข้อมูล โดยแบ่งหัวข้อสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังในกลุ่มสัตว์ทีม่ ีลำตัวเปน็ ปล้องและสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังในกลุ่มหอยเป็นหัวข้อย่อย เช่น ลักษณะลำตัวของสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังใน แต่ละกลุ่ม และตัวอย่างของสัตว์ไมม่ กี ระดกู สันหลังในแต่ละกลุม่ ให้สมาชิกแต่ละกลุม่ ช่วยกันสบื คน้ ตามหัวขอ้ ทกี่ ำหนด – สมาชิกแต่ละกลุ่มช่วยกันสืบค้นข้อมูลตามหัวข้อที่กลุ่มของตนเองรับผิดชอบโดยการสืบค้นจาก หนงั สอื วารสาร สารานุกรมวิทยาศาสตร์ สารานกุ รมไทยสำหรบั เยาวชน และอินเทอรเ์ นต็ – สมาชิกกลุ่มนำข้อมูลที่สืบค้นได้มารายงานให้เพื่อนๆ สมาชิกในกลุ่มฟัง รวมทั้งร่วมกันอภิปราย ซักถามจนคาดวา่ สมาชิกทกุ คนมีความรคู้ วามเข้าใจท่ตี รงกัน – สมาชิกกล่มุ ช่วยกนั สรุปความรทู้ ีไ่ ดท้ ง้ั หมดเปน็ ผลงานของกลมุ่ (2) ครูคอยแนะนำช่วยเหลือนักเรียนขณะปฏิบัติกิจกรรม โดยครูเดินดูรอบๆ ห้องเรียนและเปิด โอกาสใหน้ ักเรยี นทุกคนซกั ถามเม่อื มปี ัญหา

แผนการจัดการเรยี นรูว้ ชิ าวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชัน้ ป.4 นางอมลสริ ิ คำฟู 3) ขน้ั อธิบายและลงขอ้ สรุป (Explanation) (1) นักเรียนแต่ละกล่มุ สง่ ตวั แทนกล่มุ นำเสนอผลการปฏิบัติกจิ กรรมหน้าห้องเรยี น (2) นกั เรยี นและครรู ว่ มกันอภปิ รายและหาขอ้ สรุปจากการปฏบิ ัติกจิ กรรม โดยใช้แนวคำถาม ต่อไปนี้ – ยกตัวอย่างลักษณะลำตัวของสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังมา 1 กลุ่ม (แนวคำตอบ สัตว์ไม่มีกระดูก สันหลงั ในกล่มุ สัตวท์ ี่มลี ำตัวเปน็ ปล้องมีลำตัวอ่อนนิ่มและยาว มีลกั ษณะเป็นปล้องคล้ายวงแหวนต่อกัน และไม่ มีขา) – ยกตัวอยา่ งสตั ว์ในกลุม่ สัตว์ไม่มีกระดูกสนั หลังมา 1 กลมุ่ (แนวคำตอบ สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง ในกล่มุ สัตว์ทม่ี ลี ำตวั เป็นปลอ้ ง เช่น ไสเ้ ดอื นดนิ ปลิง และทากดดู เลือด) (3) ครูและนักเรียนร่วมกนั สรุปผลการปฏิบัติกิจกรรม โดยครูเน้นให้นกั เรยี นเข้าใจวา่ สัตว์ไม่มีกระดกู สันหลังเป็นสัตว์ที่ไม่มีโครงร่างเป็นแกนแข็งภายในลำตัว สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังจึงมีลำตัวอ่อนนิ่ม และมี ลกั ษณะเฉพาะที่แตกต่างกันในสัตว์แต่ละกลุ่ม เราจึงสามารถใช้เป็นเกณฑ์ในการจำแนกสัตว์ไม่มกี ระดูกสันหลัง เป็นกลุ่มได้ 4) ขัน้ ขยายความรู้ (Elaboration) (1) ครูให้นักเรียนเล่นเกมโดยแบ่งนักเรียนเป็นกลุ่ม สืบค้นชนิดของสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังในแต่ละ กลุ่มให้มากที่สุด จากนั้นครูให้นักเรียนแต่ละกลุ่มบอกชนิดของสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังครั้งละ 1 ชื่อ โดยไม่ซ้ำ กัน พร้อมกับระบุว่าจำแนกอยู่ในกลุ่มใด เมื่อแต่ละกลุ่มบอกชื่อครบแล้วให้วนรอบใหม่ กลุ่มใดพูดชื่อได้เป็น กลมุ่ สุดทา้ ยเป็นฝ่ายชนะ (2) นักเรียนค้นคว้าคำศัพท์ภาษาต่างประเทศเกี่ยวกับสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังจากหนังสือเรียน ภาษาต่างประเทศหรืออินเทอร์เน็ต และนำเสนอให้เพื่อนในห้องฟัง แล้วคัดคำศัพท์พร้อมทั้งคำแปลลงสมุดสง่ ครู 5) ขั้นประเมนิ (Evaluation) (1) ครูให้นักเรียนแต่ละคนพิจารณาว่า จากหัวข้อที่เรียนมาและการปฏิบัติกิจกรรมมีจุดใดบ้างที่ยังไม่ เข้าใจหรอื ยงั มขี ้อสงสัย ถ้ามี ครชู ่วยอธบิ ายเพ่ิมเติมใหน้ ักเรยี นเข้าใจ (2) นักเรียนร่วมกนั ประเมินการปฏบิ ัตกิ จิ กรรมกลุม่ ว่ามีปัญหาหรอื อปุ สรรคใดและไดแ้ ก้ไขอย่างไรบา้ ง (3) ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประโยชน์ที่ได้รับจากการปฏิบัติกิจกรรม และ การนำความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์ (4) ครทู ดสอบความเขา้ ใจของนกั เรยี นโดยถามคำถามนักเรียน เชน่ – พยาธไิ สเ้ ดือนและไส้เดือนดนิ จำแนกอยู่ต่างกลุ่มกันเพราะอะไร – ทากดูดเลือดและหอยทากจำแนกอยู่ต่างกลมุ่ กนั เพราะอะไร ขนั้ สรุป ครูและนกั เรยี นร่วมกันสรปุ เกี่ยวกับสัตว์ไม่มกี ระดูกสนั หลงั ในกลุ่มสัตว์ที่มลี ำตวั เป็นปล้องและสัตว์ไม่มี กระดูกสนั หลังในกลมุ่ หอย โดยร่วมกนั เขียนเป็นแผนทค่ี วามคดิ หรอื ผังมโนทศั น์

แผนการจัดการเรยี นรู้วิชาวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชนั้ ป.4 นางอมลสริ ิ คำฟู 10. สื่อการเรยี นรู้ 1. หนงั สอื วารสาร สารานุกรมวทิ ยาศาสตร์ สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน และอนิ เทอรเ์ น็ต 2. หนงั สือเรยี นภาษาตา่ งประเทศ 3. คมู่ ือการสอน วทิ ยาศาสตร์ ช้นั ประถมศึกษาปที ่ี 4 4. ส่อื การเรยี นรู้ PowerPoint รายวชิ าพ้นื ฐาน วทิ ยาศาสตร์ ชนั้ ประถมศกึ ษาปีที่ 4 5. แบบฝึกทกั ษะรายวชิ าพื้นฐาน วิทยาศาสตร์ ชนั้ ประถมศึกษาปที ่ี 4 6. หนงั สือเรยี นรายวชิ าพน้ื ฐาน วิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปที ี่ 4 11. การวดั และประเมินผลการเรียนรู้ ดา้ นความรู้ (K) ด้านคุณธรรม จริยธรรมและ ด้านทกั ษะ/กระบวนการ (P) จิตวทิ ยาศาสตร์ (A) 1. ซกั ถามความรูเ้ รื่องสัตวไ์ ม่มี 1. ประเมินทักษะการคดิ โดย กระดูกสนั หลงั 1. ประเมินเจตคติทาง การสังเกตการทำงานกลุ่ม วทิ ยาศาสตรเ์ ป็นรายบุคคล 2. ตรวจชิ้นงานหรอื ภาระงานของ โดยการสงั เกตและใช้แบบวัด 2. ประเมนิ พฤติกรรมในการ กิจกรรมฝึกทักษะระหวา่ งเรียน เจตคติทางวิทยาศาสตร์ ปฏบิ ตั ิกจิ กรรมเป็น รายบคุ คลหรอื รายกลุ่มโดย 2. ประเมนิ เจตคตติ อ่ การสังเกตการทำงานกลมุ่ วทิ ยาศาสตรเ์ ป็นรายบคุ คล โดยการสงั เกตและใชแ้ บบวัด เจตคตติ ่อวทิ ยาศาสตร์

แผนการจัดการเรยี นรูว้ ชิ าวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้ัน ป.4 นางอมลสริ ิ คำฟู 12. บันทึกผลหลงั การจดั การเรยี นรู้ 12.1 สรุปผลหลงั การจัดการเรยี นรู้ 1. นกั เรียนจำนวน..................คน ผา่ นจุดประสงค์การเรียนรู้......................คน คิดเป็นรอ้ ยละ.................. ไม่ผ่านจดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้..................คน คิดเปน็ ร้อยละ.................. นักเรยี นนีไ่ ม่ผา่ น มีดังนี้ 1............................................................ 2............................................................ 3............................................................ 4............................................................ 5............................................................ 6............................................................ แนวทางแก้ไขนักเรียนที่ไม่ผ่านจุดประสงค์การเรียนรู้ ............................................................................................................................. ......................... ............................................................................................................................... ....................... 2. นักเรยี นมีความรูค้ วามเขา้ ใจ (K) ...................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ......................... 3. นักเรียนมคี วามรูเ้ กิดทักษะ (P) ............................................................................................................................. ......................... ................................................................................................... ................................................... 4. นกั เรยี นมเี จตคติ ค่านิยม คุณธรรมจรยิ ธรรม (A) ............................................................................................................................. ......................... ................................................................................................................................. ..................... 12.2 ปัญหา อปุ สรรค และแนวทางแก้ไข …………………………………………………………………………………………………………………………………………. 12.3 ข้อเสนอแนะ …………………………………………………………………………………………………………………………………………. ลงชอ่ื .................................................. (นางอมลสิริ คำฟ)ู ตำแหนง่ ครูผชู้ ว่ ย

แผนการจัดการเรยี นรวู้ ชิ าวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชนั้ ป.4 นางอมลสริ ิ คำฟู แผนการจดั การเรยี นรทู้ ่ี 36 สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รายวชิ า วทิ ยาศาสตร์ รหสั วชิ า ว14101 ช้ันประถมศึกษาปที ่ี 4 หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 1 เรื่อง สตั ว์ท่ีมีขาเปน็ ข้อ เวลา 1 ชว่ั โมง ครูผู้สอน นางอมลสริ ิ คำฟู ********************************************************************************** 1. มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน ว 1.3 เข้าใจกระบวนการและความสำคัญของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม สาร พันธุกรรม การเปลี่ยนแปลงทางพนั ธกุ รรมที่มผี ลต่อสงิ่ มีชวี ิต ความหลากหลายทางชวี ภาพ และววิ ฒั นาการของ สิง่ มชี วี ติ รวมท้ังนำความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ 2. ตัวช้ีวัดชั้นปี จำแนกสตั ว์ออกเปน็ สัตว์มีกระดูกสันหลังและสตั วไ์ ม่มีกระดูกสนั หลังโดยใชก้ ารมกี ระดูกสันหลงั เป็น เกณฑ์ โดยใชข้ ้อมลู ท่ีรวบรวมได้ (ว 1.3 ป. 4/3) 3. จดุ ประสงค์การเรียนรู้ 1. บรรยายลกั ษณะของกลุม่ สัตวท์ ม่ี ขี าเป็นขอ้ ได้ (K) 2. มีความสนใจใฝ่รู้หรอื อยากรูอ้ ยากเห็น (A) 3. พอใจในประสบการณก์ ารเรียนรทู้ ีเ่ กีย่ วกับวทิ ยาศาสตร์ (A) 4. ทำงานรว่ มกบั ผอู้ น่ื อย่างสร้างสรรค์ (A) 5. สื่อสารและนำความรู้เร่อื งสัตว์ที่มีขาเป็นข้อไปใช้ในชีวติ ประจำวันได้ (P) 4. สาระสำคัญ กลุ่มสัตว์ที่มีขาเป็นข้อเป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังที่มีลักษณะเฉพาะ คือ ขามีลักษณะเป็นข้อต่อกัน ลำตวั แบ่งเป็น 3 สว่ น คอื หัว อก และทอ้ ง และมเี ปลอื กแขง็ หมุ้ ลำตวั 5. สาระการเรยี นรู้ สัตว์ไมม่ ีกระดกู สันหลัง – กลุ่มสัตวท์ ีม่ ีขาเปน็ ขอ้ 6. คณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ 1. มีวนิ ยั 2. ใฝเ่ รียนรู้ 3. ม่งุ ม่ันในการทำงาน 4. มีจิตวทิ ยาศาสตร์

แผนการจัดการเรยี นรวู้ ิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้น ป.4 นางอมลสริ ิ คำฟู 7. สมรรถนะสำคัญของผเู้ รยี น 1. ความสามารถในการส่ือสาร 2. ความสามารถในการคดิ 3. ความสามารถในการแกป้ ญั หา 4. ความสามารถในการใช้ทักษะ/กระบวนการและทักษะในการดำเนนิ ชีวิต 5. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี 8. ชิน้ งานหรอื ภาระงาน สังเกตลกั ษณะของแมลง 9. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ข้นั นำเข้าสบู่ ทเรยี น 1) ครูถามนกั เรียนวา่ นักเรียนรจู้ ักสตั วท์ ีม่ ขี าเป็นขอ้ หรอื ไม่ ยกตัวอย่าง (แนวคำตอบ รจู้ ัก เช่น แมงมุม ตั๊กแตน และมด) 2) นกั เรยี นช่วยกนั ตอบคำถามและแสดงความคิดเห็นเกีย่ วกับคำตอบของคำถาม เพ่ือเชือ่ มโยงไปสู่การ เรียนรเู้ รือ่ ง สตั ว์ทมี่ ขี าเปน็ ข้อ ขน้ั จดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ จัดกจิ กรรมการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ (Inquiry Process) ซง่ึ มีข้นั ตอนดงั นี้ 1) ขนั้ สร้างความสนใจ (Engagement) (1) ครูนำรูปมดและแมงมุมมาให้นักเรยี นดู และให้นักเรียนร่วมกันอภิปรายว่า ลักษณะใดของมดและ แมงมมุ ท่ีแสดงว่าสัตวท์ ้งั 2 ชนิด อยู่ในกลุม่ สัตว์ทม่ี ีขาเป็นข้อ (แนวคำตอบ ลักษณะท่ีแสดงว่ามดและแมงมุมอยู่ ในกลุ่มสัตว์ที่มีขาเป็นข้อ คือ ขามีลักษณะเป็นข้อเชื่อมต่อกันอย่างชัดเจน และลำตัวแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ หัว อก และทอ้ ง) (2) นกั เรียนร่วมกนั อภิปรายเก่ียวกับคำตอบจากคำถามของครูตามประสบการณ์ของนักเรียน 2) ข้ันสำรวจและค้นหา (Exploration) (1) แบ่งกลุ่มนักเรียน ปฏิบัติกิจกรรมที่ 10 สังเกตลักษณะของแมลง แต่ละกลุ่มปฏิบัติกิจกรรมตาม ข้ันตอนทีไ่ ด้วางแผนไว้ ดังน้ี – แบ่งกล่มุ นกั เรียน กลมุ่ ละ 5 – 6 คน – นำตวั อยา่ งแมลงสตัฟฟ์ หรอื ลอ่ แมลงโดยใชน้ ้ำหวานให้แมลงมากนิ แล้วจับแมลงใส่ขวด – ใชแ้ วน่ ขยายสังเกตลักษณะของแมลง บันทกึ และวาดรูปแสดงสว่ นประกอบ (2) ครคู อยแนะนำช่วยเหลือนักเรยี นขณะปฏิบตั ิกิจกรรม โดยครูเดินดรู อบๆ ห้องเรียนและเปิดโอกาส ให้นักเรียนทกุ คนซักถามเมือ่ มปี ัญหา 3) ขนั้ อธบิ ายและลงขอ้ สรุป (Explanation) (1) นกั เรียนแตล่ ะกลุ่มสง่ ตัวแทนกลมุ่ นำเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหน้าห้องเรยี น (2) นกั เรยี นและครูร่วมกนั อภปิ รายและหาขอ้ สรปุ จากการปฏบิ ัตกิ จิ กรรม โดยใช้แนวคำถาม ตอ่ ไปน้ี – แมลงจดั เปน็ สัตวป์ ระเภทใด (มหี รอื ไมม่ ีกระดูกสันหลัง) (แนวคำตอบ สตั วไ์ ม่มีกระดกู สันหลงั ) – บอกชอ่ื แมลงท่ีนกั เรยี นรู้จกั มา 3 ชนิด (แนวคำตอบ ผึง้ ผีเสอ้ื และแมลงปอ)

แผนการจัดการเรยี นรู้วชิ าวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชนั้ ป.4 นางอมลสริ ิ คำฟู (3) ครูและนกั เรียนรว่ มกนั สรุปผลการปฏบิ ัติกจิ กรรม โดยครูเนน้ ใหน้ ักเรียนเข้าใจว่า แมลงส่วนใหญ่มี ลำตัวแบ่งเปน็ 3 ส่วน คือ หัว อก และทอ้ ง มีหนวด 2 เสน้ มีขา 6 ขา ลักษณะเปน็ ข้อเช่อื มต่อกัน 4) ขน้ั ขยายความรู้ (Elaboration) (1) ครูอธบิ ายเร่ืองนา่ รู้ แมลงมากมาย โดยให้นักเรียนดูแผนภูมิร้อยละของปริมาณสตั ว์ทง้ั โลก สัตวไ์ ม่มี กระดกู สันหลงั และสัตวท์ มี่ ขี าเปน็ ข้อ และอธิบายกบั นกั เรียนว่า สตั ว์ไม่มีกระดูกสันหลงั มีจำนวนมากถึงร้อยละ 96 ของสัตวท์ ง้ั โลก และจำแนกเปน็ สัตว์ไม่มีกระดูกสนั หลังในกลุ่มสตั ว์ที่มีขาเปน็ ข้อมากถึงร้อยละ 85 ของสัตว์ ไม่มกี ระดูกสันหลัง และในจำนวนของสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังในกลุม่ สัตว์ที่มีขาเป็นข้อนนั้ แบ่งเป็นแมลงถึงร้อย ละ 74 ของสัตวท์ ี่มีขาเป็นข้อ (2) ครูให้นักเรียนปฏิบัติ กิจกรรมเสริมการเรียนรูท้ ี่ 4 สัตว์ที่อยู่ใกลต้ ัว แต่ละกลุ่มปฏิบัตกิ ิจกรรมตาม ขั้นตอนทไี่ ด้วางแผนไว้ ดังนี้ – แบ่งกลุ่มนักเรียน กลุ่มละ 5 – 6 คน ช่วยกันคิด วางแผน และปฏิบัติกิจกรรม ให้สมาชิกของ กลุม่ ออกสำรวจสตั ว์ท่ีอยู่บริเวณโรงเรยี น บา้ น หรือสวนสาธารณะ – สงั เกตลกั ษณะเฉพาะของสัตว์แต่ละชนดิ บันทึกขอ้ มลู – วิเคราะห์แยกชนิดของสัตว์เป็นสัตว์มีกระดูกสันหลังและสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง ร่วมกัน อภิปรายในกล่มุ และสรปุ ผล 5) ขนั้ ประเมิน (Evaluation) (1) ครูให้นักเรียนแต่ละคนพิจารณาว่า จากหัวข้อที่เรียนมาและการปฏิบัติกิจกรรมมีจุดใดบ้าง ที่ยัง ไมเ่ ข้าใจหรอื ยังมีขอ้ สงสยั ถ้ามี ครชู ่วยอธิบายเพิม่ เติมให้นกั เรยี นเขา้ ใจ (2) นักเรียนร่วมกนั ประเมนิ การปฏบิ ตั ิกจิ กรรมกลุ่มว่ามปี ญั หาหรอื อปุ สรรคใดและได้แกไ้ ขอยา่ งไรบา้ ง (3) ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประโยชน์ที่ได้รับจากการปฏิบัติกิจกรรม และ การนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ (4) ครูทดสอบความเขา้ ใจของนกั เรียนโดยถามคำถามนักเรยี น เชน่ – ตะขาบมลี ำตวั เปน็ ปลอ้ งต่อกนั แต่ไมจ่ ดั อยูใ่ นกลมุ่ สัตวท์ ีม่ ีลำตัวเป็นปล้องเพราะอะไร – เปลอื กแข็งทีห่ ุม้ ลำตวั แมลงมปี ระโยชนอ์ ย่างไร

แผนการจัดการเรยี นรวู้ ิชาวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชัน้ ป.4 นางอมลสริ ิ คำฟู ข้ันสรุป 1) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเกี่ยวกับสัตว์ที่มีขาเป็นข้อ โดยร่วมกันเขียนเป็นแผนที่ความคิดหรือผัง มโนทศั น์ 2) ครูดำเนินการทดสอบหลังเรียนโดยให้นักเรียนทำแบบทดสอบหลังเรียน เพื่อวัดความก้าวหน้า/ ผลสัมฤทธิท์ างการเรียน หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 2 ของนักเรียน 3) ครูเชื่อมโยงเนื้อหาจากบทเรียนนีก้ ับหน่วยการเรียนรู้ที่ 3 เพื่อให้นักเรียนเตรียมความพร้อมในการ เรยี นช่ัวโมงต่อไป โดยการใช้คำถามกระตุน้ ดังน้ี – รอบตัวเรามีวัตถุมากมายที่ทำจากวัสดุต่าง ๆ วัสดุเหล่านั้นมีสมบัติแตกต่างกันหรือไม่ และ สามารถจำแนกเป็นกลุ่มได้หรือไม่ (แนวคำตอบ วัสดุที่แตกต่างกันมีสมบัติแตกต่างกันและสามารถใช้สมบัติที่ แตกต่างกันเป็นเกณฑใ์ นการจำแนกวัสดุเป็นกลมุ่ ได้) 4) ครูมอบหมายให้นักเรยี นไปศึกษาค้นคว้าเนื้อหาของบทเรยี นชั่วโมงหน้าเพือ่ จัดการเรยี นรู้ครั้งต่อไป โดยให้นกั เรยี นศกึ ษาค้นคว้าล่วงหนา้ ในหัวขอ้ สมบัติของวสั ดุ 5) ครใู หน้ ักเรยี นเตรยี มประเด็นคำถามท่สี งสยั มาอย่างน้อยคนละ 1 คำถาม เพอื่ นำมาอภปิ รายร่วมกัน ในชัน้ เรยี นคร้งั ต่อไป 10. ส่ือการเรยี นรู้ 1. รูปมดและแมงมุม 2. ใบกิจกรรมท่ี 10 สังเกตลกั ษณะของแมลง 3. แผนภูมริ อ้ ยละของปรมิ าณสตั วท์ ้งั โลก สัตวไ์ มม่ ีกระดกู สนั หลงั และสตั วท์ ่มี ขี าเป็นขอ้ 4. ใบกจิ กรรมเสรมิ การเรยี นร้ทู ี่ 4 สตั ว์ที่อยูใ่ กล้ตัว 5. แบบทดสอบหลังเรียน 6. คูม่ อื การสอน วทิ ยาศาสตร์ ชนั้ ประถมศึกษาปที ่ี 4 7. สื่อการเรียนรู้ PowerPoint รายวิชาพื้นฐาน วทิ ยาศาสตร์ ชัน้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 4 8. แบบฝกึ ทักษะรายวชิ าพน้ื ฐาน วทิ ยาศาสตร์ ช้นั ประถมศกึ ษาปีท่ี 4 9. หนงั สอื เรยี นรายวชิ าพืน้ ฐาน วทิ ยาศาสตร์ ช้นั ประถมศึกษาปีท่ี 4 11. การวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรู้ ดา้ นความรู้ (K) ดา้ นคุณธรรม จรยิ ธรรมและ ดา้ นทกั ษะ/กระบวนการ (P) จิตวิทยาศาสตร์ (A) 1. ซกั ถามความรเู้ ร่ือง 1. ประเมนิ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์โดย สตั ว์ท่ีมขี าเปน็ ข้อ 1. ประเมินเจตคตทิ างวทิ ยาศาสตร์ ใช้แบบวดั ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ เป็นรายบคุ คลโดยการสังเกตและ 2. ตรวจช้นิ งานหรือภาระ ใช้แบบวัดเจตคตทิ างวทิ ยาศาสตร์ 2. ประเมินทักษะการคดิ โดยการสงั เกตการทำงาน งานของกจิ กรรมฝึก กลุ่ม ทักษะระหวา่ งเรียน 2. ประเมนิ เจตคติต่อ 3. วิทยาศาสตรเ์ ปน็ รายบคุ คลโดย 3. ประเมินทักษะการแก้ปญั หาโดยการสังเกตการ 3. ทดสอบหลงั เรียนโดย ทำงานกลมุ่ ใช้แบบทดสอบหลงั การสงั เกตและใช้แบบวดั เจตคติ เรียน ต่อวิทยาศาสตร์ 4. ประเมนิ พฤติกรรมในการปฏิบตั ิกจิ กรรมเป็น รายบคุ คลหรอื รายกล่มุ โดยการสงั เกตการทำงาน กลมุ่

แผนการจัดการเรยี นรูว้ ชิ าวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้นั ป.4 นางอมลสริ ิ คำฟู 12. บันทึกผลหลังการจัดการเรยี นรู้ 12.1 สรุปผลหลงั การจัดการเรยี นรู้ 1. นกั เรยี นจำนวน..................คน ผ่านจดุ ประสงค์การเรยี นรู้......................คน คิดเป็นร้อยละ.................. ไมผ่ ่านจุดประสงคก์ ารเรียนรู้..................คน คิดเปน็ ร้อยละ.................. นกั เรียนนไ่ี ม่ผา่ น มีดงั นี้ 1............................................................ 2............................................................ 3............................................................ 4............................................................ 5............................................................ 6............................................................ แนวทางแก้ไขนักเรียนที่ไม่ผ่านจุดประสงค์การเรียนรู้ ............................................................................................................................. ......................... ............................................................................................................................... ....................... 2. นักเรียนมคี วามรูค้ วามเขา้ ใจ (K) ...................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ......................... 3. นักเรียนมีความรูเ้ กิดทักษะ (P) ............................................................................................................................. ......................... .......................................................................................................... ............................................ 4. นักเรยี นมเี จตคติ ค่านยิ ม คุณธรรมจรยิ ธรรม (A) ............................................................................................................................. ......................... ........................................................................................................................................ .............. 12.2 ปัญหา อุปสรรค และแนวทางแก้ไข …………………………………………………………………………………………………………………………………………. 12.3 ข้อเสนอแนะ …………………………………………………………………………………………………………………………………………. ลงชอ่ื .................................................. (นางอมลสิริ คำฟ)ู ตำแหนง่ ครผู ู้ชว่ ย

แผนการจัดการเรยี นรวู้ ชิ าวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้นั ป.4 นางอมลสริ ิ คำฟู แผนการจดั การเรียนรทู้ ี่ 38 สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี รายวิชา วทิ ยาศาสตร์ รหสั วชิ า ว14101 ชนั้ ประถมศึกษาปีที่ 4 หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 2 เร่ือง แรงโนม้ ถว่ ง (1) เวลา 1 ชว่ั โมง ครผู ู้สอน นางอมลสริ ิ คำฟู ********************************************************************************** 1. มาตรฐานการเรยี นรู้ มาตรฐาน ว 2.2 เข้าใจธรรมชาติของแรงในชีวิตประจำวัน ผลของแรงที่กระทำต่อวัตถุ ลักษณะการ เคลื่อนที่แบบต่าง ๆ ของวัตถุ รวมทงั้ นำความรู้ไปใช้ประโยชน์ 2. ตวั ชี้วัดช้ันปี ระบุผลของแรงโนม้ ถว่ งที่มตี ่อวัตถจุ ากหลักฐานเชิงประจักษ์ (ว 2.2 ป. 4/1) 3. จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ 1. อธิบายความหมายของแรงโนม้ ถว่ งได้ (K) 2. มีความสนใจใฝร่ ้หู รอื อยากรู้อยากเหน็ (A) 3. พอใจในประสบการณ์การเรียนรูท้ ี่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ (A) 4. ทำงานรว่ มกบั ผ้อู นื่ อยา่ งสร้างสรรค์ (A) 5. สือ่ สารและนำความรเู้ ร่ืองแรงโน้มถว่ งไปใช้ในชีวติ ประจำวันได้ (P) 4. สาระสำคญั แรงโน้มถว่ ง คือ แรงดงึ ดดู ระหวา่ งวัตถทุ มี่ มี วล แรงโนม้ ถว่ งของโลก คือ แรงท่ีโลกซ่งึ มีมวลมากดงึ ดูดวัตถุที่มมี วลเข้าสู่ศนู ย์กลางของโลก 5. สาระการเรียนรู้ แรงโนม้ ถว่ ง 6. คณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์ 1. มีวนิ ัย 2. ใฝ่เรียนรู้ 3. มุ่งมั่นในการทำงาน 4. มจี ิตวิทยาศาสตร์ 7. สมรรถนะสำคัญของผเู้ รยี น 1. ความสามารถในการสอื่ สาร 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการแก้ปัญหา 4. ความสามารถในการใช้ทักษะ/กระบวนการและทักษะในการดำเนินชวี ิต 8. ชน้ิ งานหรือภาระงาน สงั เกตการตกของวัตถุ 9. การจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ ครูดำเนินการทดสอบกอ่ นเรยี นโดยให้นกั เรียนทำแบบทดสอบก่อนเรยี น เพื่อตรวจสอบความพรอ้ ม และพื้นฐานของนักเรียน

แผนการจัดการเรยี นรู้วชิ าวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชน้ั ป.4 นางอมลสริ ิ คำฟู ข้ันนำเข้าสูบ่ ทเรียน 1) ครถู ามคำถามนักเรยี นเพื่อกระตนุ้ ความสนใจวา่ เมอ่ื นักเรยี นกระโดดข้นึ สู่อากาศ นกั เรยี นจะตกลง สพู่ ้นื โลกทกุ คร้ังเพราะอะไร (แนวคำตอบ เพราะโลกมีแรงดงึ ดดู ตอ่ วัตถุ) 2) นกั เรียนชว่ ยกนั อภปิ รายและแสดงความคดิ เห็นของคำตอบจากคำถาม เพ่ือเชอ่ื มโยงไปสู่การเรยี นรู้ เร่ือง แรงโนม้ ถว่ ง ขน้ั จดั กจิ กรรมการเรียนรู้ จดั กิจกรรมการเรียนรู้โดยใชก้ ระบวนการสบื เสาะหาความรู้ (Inquiry Process) ซ่งึ มขี น้ั ตอนดงั นี้ 1) ขัน้ สรา้ งความสนใจ (Engagement) (1) ครูแบ่งกลุ่มนักเรียนแลว้ เปดิ โอกาสใหน้ ักเรียนในกลุม่ นำเสนอข้อมลู เกย่ี วกับแรงโนม้ ถ่วงทคี่ รู มอบหมายใหไ้ ปเรียนร้ลู ่วงหน้าให้เพ่ือน ๆ ในกลมุ่ ฟัง จากน้ันใหแ้ ตล่ ะกลุ่มส่งตวั แทนมานำเสนอข้อมูลหนา้ ห้องเรยี น (2) ครูตรวจสอบว่านักเรียนทำภาระงานที่ได้รับมอบหมายไปหรือไม่ โดยตรวจสอบจากการจดบันทึก ของนักเรียน และถามคำถามเกยี่ วกบั ภาระงาน ดังนี้ – สงิ่ ทีท่ ำใหว้ ตั ถตุ ่าง ๆ ไมล่ อยออกไปนอกโลกคอื อะไร (แนวคำตอบ แรงโน้มถ่วง) – แรงโน้มถว่ งคอื อะไร (แนวคำตอบ แรงดงึ ดดู ระหวา่ งวตั ถุที่มมี วล) (3) ครูเปิดโอกาสให้นักเรยี นตั้งประเดน็ คำถามที่นกั เรียนสงสยั จากการทำภาระงานอย่างน้อยคนละ 1 คำถาม ซ่งึ ครใู ห้นักเรยี นเตรียมมาลว่ งหนา้ และใหน้ กั เรียนชว่ ยกันตอบและแสดงความคิดเห็น (4) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเกี่ยวกับภาระงาน โดยครูช่วยอธิบายให้นักเรียนเข้าใจว่า โลกมีแรง ดงึ ดดู ต่อวัตถทุ ี่มมี วล และเรยี กแรงดึงดูดระหว่างโลกและวัตถุทม่ี ีมวลว่า แรงโนม้ ถ่วงของโลก 2) ขั้นสำรวจและค้นหา (Exploration) (1) แบ่งกลุ่มนักเรียน กลมุ่ ละ 5 – 6 คน ปฏบิ ัติกิจกรรมที่ 18 สังเกตการตกของวตั ถุ แตล่ ะกลุม่ ปฏิบัติ กิจกรรมตามขน้ั ตอนทไ่ี ด้วางแผนไว้ ดงั นี้ – ถอื ลูกบอลไวร้ ะดับอก แลว้ ปลอ่ ยลูกบอล สังเกตการตกของลูกบอล บันทึกผลการสงั เกต – กำยางลบด้วยมือขวา เหยียดแขนออกแล้วคว่ำมือ จากนั้นปล่อยยางลบ สังเกตการตกของยางลบ บนั ทึกผลการสงั เกต (2) ครคู อยแนะนำช่วยเหลอื นักเรยี นขณะปฏิบตั ิกิจกรรม โดยครูเดินดรู อบ ๆ หอ้ งเรียนและเปิดโอกาส ให้นักเรยี นทุกคนซักถามเม่อื มีปัญหา 3) ข้ันอธบิ ายและลงขอ้ สรุป (Explanation) (1) นักเรียนแตล่ ะกลมุ่ ส่งตัวแทนกลมุ่ นำเสนอผลการปฏบิ ัติกจิ กรรมหน้าห้องเรยี น (2) นกั เรียนและครูร่วมกนั อภิปรายและหาข้อสรปุ จากการปฏบิ ัติกิจกรรม โดยใชแ้ นวคำถาม ต่อไปนี้ – ผลการสังเกตลูกบอลและยางลบเหมือนหรือแตกต่างกันลักษณะใด (แนวคำตอบ ผลการสังเกต เหมอื นกนั คอื เมอ่ื ปลอ่ ยลูกบอลและยางลบ ลกู บอลและยางลบตกลงส่พู ืน้ โลกเสมอ) – ทิศทางการเคลื่อนที่ของลูกบอลและยางลบมีลักษณะใด (แนวคำตอบ ลูกบอลและยางลบตกลง ในแนวดิง่ มที ศิ สพู่ ้ืนโลก)

แผนการจัดการเรยี นรวู้ ิชาวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้นั ป.4 นางอมลสริ ิ คำฟู – จากการปฏิบัติกิจกรรมสรุปว่าโลกมีแรงดึงดูดได้หรือไม่ สังเกตจากอะไร (แนวคำตอบสรุปว่า โลกมแี รงดึงดดู สงั เกตจากเมอื่ ปลอ่ ยวตั ถอุ ยา่ งอิสระ วัตถตุ กลงสพู่ น้ื โลกเสมอ) (3) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผลการปฏบิ ัติกิจกรรม โดยครูเน้นให้นักเรียนเข้าใจว่า โลกมีแรงดึงดูด วตั ถุต่างๆ ทม่ี มี วลในทิศสูพ่ ืน้ โลกเสมอ 4) ข้ันขยายความรู้ (Elaboration) ครูอธิบายเกี่ยวกับทิศทางของแรงโน้มถ่วงของโลกและนักวิทยาศาสตร์ที่ค้นพบแรงโน้มถ่วงของโลก โดยเนน้ ใหน้ กั เรียนเขา้ ใจวา่ แรงโนม้ ถว่ งของโลกมีทศิ เขา้ สู่ศนู ยก์ ลางของโลกและมหี น่วยเป็นนวิ ตนั 5) ข้นั ประเมนิ (Evaluation) (1) ครูให้นักเรียนแต่ละคนพิจารณาว่า จากหัวข้อที่เรียนมาและการปฏิบัติกิจกรรมมีจุดใดบ้างที่ยังไม่ เขา้ ใจหรอื ยงั มขี ้อสงสยั ถา้ มี ครชู ว่ ยอธิบายเพ่มิ เตมิ ให้นกั เรียนเข้าใจ (2) นกั เรยี นร่วมกนั ประเมนิ การปฏบิ ัตกิ ิจกรรมกลุม่ ว่ามีปัญหาหรอื อปุ สรรคใดและไดแ้ กไ้ ขอยา่ งไรบา้ ง (3) ครแู ละนักเรยี นรว่ มกันแสดงความคดิ เห็นเกี่ยวกบั ประโยชน์ทไี่ ด้รับจากการปฏบิ ัติกจิ กรรมและการ นำความร้ไู ปใช้ประโยชน์ (4) ครูทดสอบความเข้าใจของนกั เรียนโดยถามคำถามนกั เรียน เช่น – แรงทโ่ี ลกดึงดดู วตั ถเุ รียกวา่ อะไร – โลกดงึ ดูดวตั ถใุ นทิศทางใด ขนั้ สรปุ ครแู ละนกั เรยี นร่วมกันสรุปเก่ียวกับแรงโน้มถ่วง โดยรว่ มกันเขียนเปน็ แผนทค่ี วามคดิ หรือผงั มโนทศั น์ 10. สื่อการเรยี นรู้ 1. แบบทดสอบก่อนเรียน 2. ใบกิจกรรมที่ 11 สงั เกตการตกของวตั ถุ 3. คูม่ ือการสอน วทิ ยาศาสตร์ ชัน้ ประถมศึกษาปีท่ี 4 4. สอื่ การเรยี นรู้ PowerPoint รายวิชาพื้นฐาน วิทยาศาสตร์ ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4 5. แบบฝึกทักษะรายวชิ าพ้นื ฐาน วิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปที ี่ 4 6. หนังสอื เรียนรายวิชาพนื้ ฐาน วิทยาศาสตร์ ช้ันประถมศึกษาปที ่ี 4

แผนการจัดการเรยี นรู้วชิ าวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้นั ป.4 นางอมลสริ ิ คำฟู 11. การวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรู้ ดา้ นความรู้ (K) ดา้ นคุณธรรม จรยิ ธรรมและ ด้านทกั ษะ/กระบวนการ (P) จิตวทิ ยาศาสตร์ (A) 1. ซักถามความรูเ้ ร่ืองแรงโน้มถว่ ง 2. ตรวจช้นิ งานหรอื ภาระงานของ 1. ประเมินเจตคติทางวิทยาศาสตร์ 1. ประเมินทักษะกระบวนการ กจิ กรรมฝกึ ทกั ษะระหวา่ งเรยี น เปน็ รายบคุ คลโดยการสังเกต ทางวทิ ยาศาสตรโ์ ดยใช้ 3. ทดสอบก่อนเรียนโดยใช้ และใชแ้ บบวดั เจตคตทิ าง แบบวัดทักษะกระบวนการ แบบทดสอบก่อนเรยี น วิทยาศาสตร์ ทางวิทยาศาสตร์ 2. ประเมินเจตคติต่อวิทยาศาสตร์ 2. ประเมนิ ทักษะการคิดโดย เป็นรายบุคคลโดยการสังเกต การสังเกตการทำงานกลุม่ และใช้แบบวัดเจตคตติ อ่ 3. ประเมนิ ทักษะการ วิทยาศาสตร์ แกป้ ญั หาโดยการสังเกต การทำงานกลุ่ม 4. ประเมนิ พฤติกรรมในการ ปฏิบตั กิ จิ กรรมเป็น รายบุคคลหรือรายกลุ่มโดย การสงั เกตการทำงานกลมุ่

แผนการจัดการเรยี นรู้วิชาวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้นั ป.4 นางอมลสริ ิ คำฟู 12. บันทึกผลหลงั การจดั การเรียนรู้ 12.1 สรปุ ผลหลังการจัดการเรียนรู้ 1. นกั เรยี นจำนวน..................คน ผ่านจุดประสงค์การเรยี นรู้......................คน คิดเปน็ รอ้ ยละ.................. ไม่ผ่านจุดประสงค์การเรยี นรู้..................คน คดิ เปน็ ร้อยละ.................. นกั เรยี นนี่ไมผ่ ่าน มีดังนี้ 1............................................................ 2............................................................ 3............................................................ 4............................................................ 5............................................................ 6............................................................ แนวทางแก้ไขนักเรียนที่ไม่ผา่ นจดุ ประสงค์การเรียนรู้ ....................................................................................... ............................................................... ............................................................................................................................. ......................... 2. นักเรียนมีความรู้ความเข้าใจ (K) .................................................................................................................................... .................. ................................................................................................................. ..................................... 3. นักเรยี นมีความร้เู กิดทกั ษะ (P) ............................................................................................................................. ......................... ...................................................................................................................................................... 4. นกั เรียนมีเจตคติ ค่านยิ ม คุณธรรมจริยธรรม (A) ......................................................................................... ............................................................. ............................................................................................................................. ......................... 12.2 ปัญหา อุปสรรค และแนวทางแก้ไข …………………………………………………………………………………………………………………………………………. 12.3 ข้อเสนอแนะ …………………………………………………………………………………………………………………………………………. ลงช่ือ.................................................. (นางอมลสริ ิ คำฟ)ู ตำแหน่ง ครผู ู้ช่วย

แผนการจัดการเรยี นรวู้ ิชาวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชน้ั ป.4 นางอมลสริ ิ คำฟู แผนการจัดการเรียนรทู้ ่ี 39 สาระการเรียนร้วู ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี รายวชิ า วิทยาศาสตร์ รหสั วิชา ว14101 ชัน้ ประถมศึกษาปีท่ี 4 หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 2 เร่อื ง แรงโนม้ ถว่ ง (2) เวลา 1 ชว่ั โมง ครูผู้สอน นางอมลสิริ คำฟู ********************************************************************************** 1. มาตรฐานการเรยี นรู้ มาตรฐาน ว 2.2 เข้าใจธรรมชาติของแรงในชีวิตประจำวัน ผลของแรงที่กระทำต่อวัตถุ ลักษณะการ เคลอ่ื นทแี่ บบต่าง ๆ ของวัตถุ รวมท้ังนำความรไู้ ปใช้ประโยชน์ 2. ตวั ชี้วดั ช้ันปี ระบผุ ลของแรงโนม้ ถว่ งท่ีมีต่อวตั ถจุ ากหลักฐานเชิงประจักษ์ (ว 2.2 ป. 4/1) 3. จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ 1. อธบิ ายความหมายของแรงโนม้ ถว่ งได้ (K) 2. สงั เกตลักษณะการเคลือ่ นที่ของวัตถเุ มื่อตกสู่พน้ื โลกได้ (K) 3. มีความสนใจใฝร่ ูห้ รอื อยากรอู้ ยากเหน็ (A) 4. พอใจในประสบการณ์การเรียนร้ทู ีเ่ กย่ี วกบั วิทยาศาสตร์ (A) 5. ทำงานร่วมกับผูอ้ ่นื อยา่ งสร้างสรรค์ (A) 6. ส่อื สารและนำความร้เู รื่องแรงโน้มถ่วงไปใชใ้ นชวี ติ ประจำวันได้ (P) 4. สาระสำคัญ แรงโน้มถ่วง คือ แรงดงึ ดูดระหวา่ งวัตถุทมี่ ีมวล แรงโนม้ ถว่ งของโลก คือ แรงทโี่ ลกซ่ึงมีมวลมากดึงดดู วตั ถุทมี่ ีมวลเข้าสศู่ นู ย์กลางของโลก 5. สาระการเรียนรู้ แรงโน้มถว่ ง 6. คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์ 1. มีวนิ ยั 2. ใฝเ่ รียนรู้ 3. มุง่ มั่นในการทำงาน 4. มีจติ วทิ ยาศาสตร์ 7. สมรรถนะสำคัญของผู้เรยี น 1. ความสามารถในการสอื่ สาร 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการแก้ปัญหา 4. ความสามารถในการใชท้ ักษะ/กระบวนการและทักษะในการดำเนินชีวิต 5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี 8. ชิ้นงานหรือภาระงาน สงั เกตวัตถุเคล่ือนท่ีอยา่ งไร

แผนการจัดการเรยี นรวู้ ิชาวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้นั ป.4 นางอมลสริ ิ คำฟู 9. การจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ ข้นั นำเขา้ สู่บทเรยี น 1) ครูกระตุ้นนักเรียนโดยถามนักเรียนว่า แรงโน้มถ่วงของโลกคืออะไร และมีทิศทางใด (แนวคำตอบ แรงโน้มถว่ งของโลก คอื แรงทีโ่ ลกดึงดูดวตั ถไุ ว้ โดยมีทศิ เขา้ สู่ศนู ย์กลางของโลก) 2) นกั เรียนช่วยกันตอบคำถามและแสดงความคิดเหน็ เก่ียวกับคำตอบของคำถาม เพ่ือเชื่อมโยงไปสู่การ เรียนรู้เรือ่ ง แรงโนม้ ถว่ ง ขัน้ จัดกจิ กรรมการเรียนรู้ จัดกจิ กรรมการเรยี นรูโ้ ดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ (Inquiry Process) ซ่งึ มขี ัน้ ตอนดังน้ี 1) ขนั้ สร้างความสนใจ (Engagement) (1) ครูให้นักเรียนลองทายว่าถ้านำวัตถุ 4 ชนิด คือ ใบไม้ ลูกปิงปอง ดินน้ำมัน และเมล็ดถั่วมาปล่อย จากมืออย่างอิสระในระดับอก วัตถุจะมีลักษณะการเคลื่อนที่เหมือนหรือแตกต่างกัน (แนวคำตอบ วัตถุมี ลกั ษณะการเคลื่อนทแ่ี ตกตา่ งกัน แต่จะมีทิศทางเขา้ สูศ่ นู ย์กลางของโลกเหมือนกนั ) (2) นกั เรียนรว่ มกนั อภิปรายเก่ยี วกบั คำตอบจากคำถามของครตู ามประสบการณ์ของนักเรยี น 2) ขั้นสำรวจและคน้ หา (Exploration) (1) ครูให้นักเรียนปฏิบัติกิจกรรมเสริมการเรียนรู้ที่ 5 วัตถุเคลื่อนที่อย่างไร แต่ละกลุ่มปฏิบัติกิจกรรม ตามขั้นตอนที่ได้วางแผนไว้ ดังน้ี – แบ่งกลมุ่ นกั เรียนเพ่ือสังเกตวัตถชุ นดิ ตา่ งๆ – แต่ละกลุ่มคาดคะเนว่า ถ้ากำวัตถุด้วยมือขวา เหยียดแขนออกแล้วคว่ำมือ จากนั้นปล่อยวัตถุ วัตถุจะมกี ารเคลอื่ นทีล่ กั ษณะใด – ปฏิบัติกิจกรรมโดยปล่อยวัตถคุ ร้ังละ 1 ชนดิ บันทึกผล (2) ครูคอยแนะนำช่วยเหลือนักเรียนขณะปฏิบัติกิจกรรม โดยครูเดนิ ดูรอบๆ ห้องเรียนและเปิดโอกาส ใหน้ ักเรียนทุกคนซกั ถามเมอ่ื มปี ัญหา 3) ข้นั อธบิ ายและลงข้อสรปุ (Explanation) (1) นักเรยี นแตล่ ะกลุ่มสง่ ตวั แทนกลมุ่ นำเสนอผลการปฏิบตั ิกิจกรรมหนา้ ห้องเรียน (2) นกั เรยี นและครูรว่ มกนั อภิปรายและหาข้อสรุปจากการปฏิบัติกจิ กรรม โดยใช้แนวคำถาม ต่อไปนี้ – วัตถุแต่ละชนิดมีลักษณะการเคลื่อนทีเ่ หมือนหรือแตกต่างกันลักษณะใด (แนวคำตอบ วัตถุแต่ ละชนิดมีลักษณะการเคล่ือนที่แตกต่างกัน โดยใบไมเ้ คล่อื นที่ร่อนไปทางซา้ ยและขวาสลบั กันไปจนหยุดเคล่ือนที่ บนพ้นื ลกู ปิงปองและเมล็ดถวั่ ตกลงในแนวดิ่งและกระดอนขน้ึ ลงจนหยดุ เคล่ือนท่บี นพน้ื สว่ นดินน้ำมนั จะตกลง ในแนวด่งิ สู่พื้นและหยดุ เคล่ือนที่ทนั ที) – การเคลอื่ นทีข่ องวตั ถุเกิดจากแรงใด (แนวคำตอบ แรงโนม้ ถ่วงของโลก) – จากการปฏิบัติกิจกรรมสรุปได้ว่าอย่างไร (แนวคำตอบ เมื่อปล่อยวัตถุจากมือ วัตถุทุกชนิดจะ ตกลงสู่พ้ืนเสมอ) (3) ครูและนกั เรียนร่วมกันสรปุ ผลการปฏบิ ัติกจิ กรรม โดยครูเน้นใหน้ ักเรยี นเขา้ ใจว่า เมอื่ ปล่อยวัตถุ จากมือ วตั ถแุ ต่ละชนิดจะมลี ักษณะการเคล่อื นท่ีสู่พืน้ โลกแตกตา่ งกนั แต่วัตถทุ กุ ชนิดจะตกลงส่พู ้ืนโลกเสมอ

แผนการจัดการเรยี นรู้วิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชัน้ ป.4 นางอมลสริ ิ คำฟู 4) ขั้นขยายความรู้ (Elaboration) (1) ครูเชื่อมโยงความรู้อาเซียน โดยครูใหค้ วามรู้เสริมกับนักเรียนเกี่ยวกับการใชป้ ระโยชน์จากแรงโนม้ ถ่วงของโลกในการผลติ กระแสไฟฟ้าว่า แรงโนม้ ถว่ งของโลกทำใหน้ ำ้ ตกจากท่ีสูงลงสทู่ ต่ี ่ำจงึ นำไปใชป้ ระโยชน์ใน การผลิตกระแสไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าพลังนำ้ จากเขื่อนได้ ซึ่งในอาเซียนมีหลายประเทศที่ใช้การผลิตกระแสไฟฟา้ จากพลังน้ำลักษณะนี้ และมีการนำกระแสไฟฟ้าที่ผลิตได้ไปใช้ในประเทศหรือส่งขายให้กับประเทศเพื่อนบ้าน เพ่อื ความมั่นคงดา้ นพลังงานใหก้ บั ประเทศนั้นๆ เช่น การขายพลงั งานไฟฟ้าของประเทศลาวใหก้ บั ประเทศไทย (2) นกั เรยี นคน้ คว้าคำศัพทภ์ าษาต่างประเทศเกย่ี วกับแรงโนม้ ถ่วง จากหนังสือเรียนภาษาต่างประเทศ หรืออนิ เทอร์เน็ต และนำเสนอให้เพือ่ นในห้องฟงั แล้วคดั คำศพั ท์พร้อมท้ังคำแปลลงสมดุ ส่งครู 5) ขัน้ ประเมิน (Evaluation) (1) ครูให้นักเรียนแต่ละคนพิจารณาว่า จากหัวข้อที่เรียนมาและการปฏิบัติกิจกรรมมีจุดใดบ้างที่ยังไม่ เข้าใจหรือยงั มีข้อสงสยั ถ้ามี ครูช่วยอธิบายเพิ่มเติมให้นักเรยี นเข้าใจ (2) นักเรยี นรว่ มกนั ประเมินการปฏบิ ตั ิกิจกรรมกลุม่ ว่ามปี ญั หาหรืออุปสรรคใดและไดแ้ กไ้ ขอย่างไรบา้ ง (3) ครแู ละนักเรยี นร่วมกันแสดงความคดิ เห็นเก่ียวกับประโยชน์ทไี่ ดร้ ับจากการปฏิบตั ิกิจกรรมและการ นำความรไู้ ปใช้ประโยชน์ (4) ครทู ดสอบความเข้าใจของนกั เรียนโดยถามคำถามนักเรียน เชน่ – เมอ่ื โยนลกู บอลขึน้ ฟ้า ลูกบอลจะตกลงสูพ่ ้ืนโลกเสมอเพราะอะไร – ถ้าโลกไม่มีแรงโน้มถว่ งจะเกิดเหตุการณ์ใด ขน้ั สรุป ครแู ละนกั เรียนร่วมกนั สรปุ เก่ียวกบั แรงโนม้ ถว่ ง โดยรว่ มกนั เขยี นเปน็ แผนทคี่ วามคิดหรือผงั มโนทศั น์ 10. ส่ือการเรยี นรู้ 1. ใบกจิ กรรมเสริมการเรยี นรู้ที่ 5 วตั ถเุ คลือ่ นทอี่ ยา่ งไร 2. หนงั สือเรยี นภาษาตา่ งประเทศหรืออนิ เทอร์เน็ต 3. คมู่ ือการสอน วิทยาศาสตร์ ชัน้ ประถมศึกษาปีที่ 4 4. ส่ือการเรียนรู้ PowerPoint รายวชิ าพน้ื ฐาน วทิ ยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4 5. แบบฝกึ ทักษะรายวชิ าพนื้ ฐาน วิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 6. หนังสอื เรียนรายวชิ าพืน้ ฐาน วิทยาศาสตร์ ชัน้ ประถมศึกษาปที ี่ 4

แผนการจัดการเรยี นร้วู ชิ าวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้น ป.4 นางอมลสริ ิ คำฟู 11. การวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรู้ ด้านความรู้ (K) ด้านคุณธรรม จริยธรรมและ ด้านทักษะ/กระบวนการ (P) จิตวิทยาศาสตร์ (A) 1. ซกั ถามความร้เู ร่ืองแรงโน้มถ่วง 1. ประเมินทักษะกระบวนการ 2. ตรวจชนิ้ งานหรอื ภาระงานของ 1. ประเมนิ เจตคติทาง ทางวทิ ยาศาสตร์โดยใช้ วิทยาศาสตร์เปน็ รายบุคคล แบบวัดทักษะกระบวนการ กิจกรรมฝกึ ทกั ษะระหวา่ งเรยี น โดยการสงั เกตและใชแ้ บบวดั ทางวิทยาศาสตร์ เจตคติทางวทิ ยาศาสตร์ 2. ประเมินทักษะการคิดโดย 2. ประเมินเจตคตติ อ่ การสังเกตการทำงานกลมุ่ วทิ ยาศาสตร์เป็นรายบคุ คล โดยการสงั เกตและใชแ้ บบวดั 3. ประเมินทักษะการ เจตคตติ ่อวทิ ยาศาสตร์ แกป้ ญั หาโดยการสงั เกต การทำงานกลุ่ม 4. ประเมนิ พฤติกรรมในการ ปฏิบัติกิจกรรมเป็น รายบคุ คลหรอื รายกลุ่มโดย การสังเกตการทำงานกลุ่ม

แผนการจัดการเรยี นรูว้ ิชาวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้น ป.4 นางอมลสริ ิ คำฟู 12. บนั ทกึ ผลหลังการจดั การเรยี นรู้ 12.1 สรปุ ผลหลังการจัดการเรียนรู้ 1. นกั เรียนจำนวน..................คน ผ่านจุดประสงค์การเรียนร้.ู .....................คน คดิ เป็นรอ้ ยละ.................. ไม่ผ่านจุดประสงคก์ ารเรียนรู.้ .................คน คิดเป็นรอ้ ยละ.................. นกั เรยี นน่ีไมผ่ ่าน มีดังน้ี 1............................................................ 2............................................................ 3............................................................ 4............................................................ 5............................................................ 6............................................................ แนวทางแก้ไขนักเรียนท่ีไมผ่ ่านจุดประสงค์การเรียนรู้ ............................................................................................................................. ......................... ...................................................................................................................................................... 2. นักเรียนมีความรูค้ วามเขา้ ใจ (K) ............................................................................................................................. ......................... .................................................................................................................................. .................... 3. นกั เรียนมีความร้เู กิดทกั ษะ (P) ...................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ......................... 4. นกั เรียนมเี จตคติ ค่านิยม คุณธรรมจรยิ ธรรม (A) ............................................................................................................................. ......................... ....................................................................................... ............................................................... 12.2 ปัญหา อปุ สรรค และแนวทางแก้ไข …………………………………………………………………………………………………………………………………………. 12.3 ขอ้ เสนอแนะ …………………………………………………………………………………………………………………………………………. ลงชือ่ .................................................. (นางอมลสิริ คำฟ)ู ตำแหนง่ ครผู ูช้ ว่ ย

แผนการจัดการเรยี นร้วู ชิ าวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชน้ั ป.4 นางอมลสริ ิ คำฟู แผนการจดั การเรยี นร้ทู ี่ 40 สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี รายวชิ า วทิ ยาศาสตร์ รหสั วชิ า ว14101 ช้ันประถมศึกษาปีที่ 4 หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 2 เรื่อง ผลของแรงโนม้ ถว่ ง (1) เวลา 1 ชว่ั โมง ครูผ้สู อน นางอมลสริ ิ คำฟู ********************************************************************************** 1. มาตรฐานการเรยี นรู้ มาตรฐาน ว 2.2 เข้าใจธรรมชาติของแรงในชีวิตประจำวัน ผลของแรงที่กระทำต่อวัตถุ ลักษณะการ เคลือ่ นทแี่ บบต่าง ๆ ของวัตถุ รวมทง้ั นำความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ 2. ตัวชี้วัดชน้ั ปี 1. ระบผุ ลของแรงโนม้ ถว่ งทม่ี ีตอ่ วตั ถจุ ากหลักฐานเชงิ ประจักษ์ (ว 2.2 ป. 4/1) 2. ใชเ้ ครอ่ื งชง่ั สปริงในการวดั นำ้ หนกั ของวตั ถุ (ว 2.2 ป. 4/2) 3. จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ 1. สังเกตผลของแรงโน้มถ่วงทม่ี ีต่อวตั ถุได้ (K) 2. สังเกตการวัดนำ้ หนักของวัตถุดว้ ยเคร่อื งชั่งสปริงได้ (K) 3. มีความสนใจใฝร่ ้หู รืออยากรู้อยากเห็น (A) 4. พอใจในประสบการณ์การเรยี นรทู้ เ่ี ก่ยี วกบั วิทยาศาสตร์ (A) 5. ทำงานร่วมกับผอู้ ื่นอย่างสร้างสรรค์ (A) 6. ส่อื สารและนำความรูเ้ รื่องผลของแรงโนม้ ถว่ งไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ (P) 4. สาระสำคัญ แรงโน้มถ่วงของโลกดึงดูดให้วัตถทุ ี่มีมวลตกลงสู่พื้นโลก เราวัดแรงนีไ้ ด้ด้วยการใชเ้ ครื่องชัง่ สปริง และ เรียกแรงนว้ี า่ นำ้ หนกั มหี นว่ ยเป็น นวิ ตนั 5. สาระการเรยี นรู้ แรงโน้มถ่วง – น้ำหนักและมวล 6. คุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ 1. มีวนิ ัย 2. ใฝเ่ รยี นรู้ 3. ม่งุ มั่นในการทำงาน 4. มจี ติ วิทยาศาสตร์

แผนการจัดการเรยี นรวู้ ิชาวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้น ป.4 นางอมลสริ ิ คำฟู 7. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน 1. ความสามารถในการส่ือสาร 2. ความสามารถในการคดิ 3. ความสามารถในการแก้ปัญหา 4. ความสามารถในการใชท้ ักษะ/กระบวนการและทักษะในการดำเนนิ ชีวิต 8. ชิน้ งานหรือภาระงาน สังเกตการวดั แรง 9. การจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ ขั้นนำเข้าสบู่ ทเรยี น 1) ครทู บทวนความรู้เกี่ยวกบั แรงโนม้ ถ่วง โดยถามคำถามนักเรยี นวา่ แรงที่โลกกระทำต่อวตั ถเุ รยี กวา่ อะไร (แนวคำตอบ แรงโนม้ ถ่วงของโลก) 2) ครถู ามคำถามเพ่มิ เติมกบั นักเรยี นวา่ เราสามารถวดั แรงท่โี ลกกระทำต่อวัตถุได้หรือไม่ (แนวคำตอบ ได)้ 3) นกั เรียนชว่ ยกันอภิปรายและแสดงความคดิ เห็นของคำตอบจากคำถาม เพ่อื เชื่อมโยงไปสู่การเรียนรู้ เรอ่ื ง ผลของแรงโนม้ ถว่ ง ข้ันจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ จดั กิจกรรมการเรยี นรู้โดยใช้กระบวนการสบื เสาะหาความรู้ (Inquiry Process) ซ่งึ มขี ัน้ ตอนดังน้ี 1) ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement) (1) ครูกระตุ้นนักเรยี นโดยนำรปู หรอื เครือ่ งชง่ั สปรงิ แบบตา่ ง ๆ มาใหน้ ักเรียนดูแล้วถามนักเรยี นว่า เครอ่ื งชัง่ น้ำหนกั เครื่องช่งั สปริงแบบแขวน เคร่ืองช่ังสปริงแบบตา่ งๆ – อุปกรณ์เหล่านีค้ ืออะไร และใช้ประโยชน์ในเร่ืองใด (แนวคำตอบ อุปกรณ์เหล่านี้ คือ เครื่องช่ัง สปรงิ แบบต่างๆ ใชป้ ระโยชน์ในการชง่ั น้ำหนักและมวลของวัตถุ) – อุปกรณ์เหล่าน้สี ามารถวัดแรงทโ่ี ลกดึงดูดตอ่ วตั ถไุ ดห้ รือไม่ (แนวคำตอบ ได้) (2) นกั เรยี นรว่ มกันอภิปรายเกยี่ วกับคำตอบจากคำถามของครตู ามประสบการณ์ของนกั เรียน

แผนการจัดการเรยี นรูว้ ชิ าวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชัน้ ป.4 นางอมลสริ ิ คำฟู 2) ขั้นสำรวจและคน้ หา (Exploration) (1) ให้นักเรียนศึกษาเรื่องน้ำหนักและมวลจากใบความรู้หรือในหนังสือเรียน โดยครูช่วยอธิบายให้ นกั เรียนเข้าใจว่า เราสามารถวัดแรงทโ่ี ลกดงึ ดูดวตั ถุหรือแรงโน้มถ่วงของโลกได้ โดยใชเ้ คร่ืองชัง่ สปริง และเรียก แรงทโี่ ลกดงึ ดดู วัตถุน้ีว่า น้ำหนกั มีหนว่ ยเป็น นิวตัน (2) แบ่งกลุ่มนักเรียน กลุ่มละ 5 – 6 คน ปฏิบัติกิจกรรมที่ 12 สังเกตการวัดแรง แต่ละกลุ่มปฏิบัติ กจิ กรรมตามข้ันตอนท่ไี ดว้ างแผนไว้ ดงั น้ี – แขวนเคร่ืองชั่งสปริงแบบแขวนในแนวดิ่ง สังเกตตำแหนง่ เขม็ ชบ้ี นเคร่อื งชั่งสปรงิ แบบแขวน – ออกแรงดงึ ขอเกยี่ วของเครื่องชงั่ สปริงแบบแขวนลง สังเกตและบนั ทึกค่าของแรง – แขวนถุงทราย 1 ถุงกับขอเก่ียวของเครอื่ งชงั่ สปริงแบบแขวน สังเกตและบนั ทกึ ค่าของแรงเม่อื ถงุ ทรายอยูน่ ิ่ง – นำวัตถอุ ื่น ๆ มาเก่ียวกับขอเกี่ยวของเครอ่ื งช่งั สปริงแบบแขวน สงั เกตและบนั ทึกค่าของแรงท่ี อ่านได้ (3) ครคู อยแนะนำช่วยเหลือนักเรียนขณะปฏิบัติกิจกรรม โดยครูเดนิ ดรู อบๆ หอ้ งเรยี นและเปิดโอกาส ใหน้ ักเรียนทุกคนซักถามเมือ่ มปี ัญหา 3) ขนั้ อธบิ ายและลงข้อสรปุ (Explanation) (1) นกั เรยี นแตล่ ะกลมุ่ สง่ ตัวแทนกลมุ่ นำเสนอผลการปฏบิ ัตกิ จิ กรรมหน้าหอ้ งเรียน (2) นักเรยี นและครรู ว่ มกนั อภปิ รายและหาขอ้ สรุปจากการปฏิบัติกจิ กรรม โดยใชแ้ นวคำถาม ต่อไปนี้ – เมอ่ื แขวนวัตถุแต่ละชนิด เครอื่ งชงั่ สปรงิ แบบแขวนเปล่ียนแปลงลักษณะใด (แนวคำตอบ สปริง ของเครื่องชั่งสปริงแบบแขวนจะยดื ออกทิศทางเดียวกบั แรงโน้มถว่ งของโลกและแสดงค่าท่เี ครื่องวัดได้) – คา่ ท่ีอา่ นได้จากเครอ่ื งชัง่ สปริงแบบแขวนคือค่าของอะไร (แนวคำตอบ คา่ ของแรงดึงดูดของโลก ที่กระทำต่อวัตถุ) – เครื่องชั่งสปริงแบบแขวนวัดขนาดของแรงโน้มถ่วงของโลกท่ีกระทำต่อวัตถุได้หรือไม่ สังเกต จากอะไร (แนวคำตอบ เครอ่ื งชงั่ สปรงิ แบบแขวนวดั ขนาดของแรงโนม้ ถ่วงของโลกได้ โดยสงั เกตจากการท่ีสปริง ของเครื่องชงั่ สปริงแบบแขวนยืดออกเมื่อนำวัตถุไปแขวนเพือ่ แสดงคา่ ท่ีวัดได)้ (3) ครแู ละนกั เรยี นรว่ มกนั สรปุ ผลการปฏบิ ัติกิจกรรม โดยครูเนน้ ใหน้ ักเรยี นเข้าใจว่า เคร่ืองช่ังสปริง แบบแขวนสามารถวัดขนาดของแรงโน้มถ่วงที่กระทำต่อวัตถุได้ โดยขนาดของแรงโน้มถ่วงที่กระทำต่อวัตถุมี หน่วยเปน็ นวิ ตัน 4) ขน้ั ขยายความรู้ (Elaboration) (1) ครูอธิบายเกี่ยวกับผลของแรงโน้มถ่วงต่อวัตถุว่า แรงโน้มถ่วงทำให้วัตถุที่มีมวลคงที่เกิดน้ำหนัก น้ำหนกั จงึ หมายถึงขนาดของแรงท่โี ลกกระทำต่อวตั ถุ มหี นว่ ยเป็นนวิ ตนั ส่วนมวลที่มคี ่าคงที่ นัน้ คือ ปรมิ าณ เนื้อสารของวัตถุ มีหน่วยเป็นกิโลกรัม ดังนั้น เครื่องชั่งน้ำหนักที่เราใช้อยู่ในชีวิตประจำวัน ที่มีหน่วยเป็น กโิ ลกรัม จงึ หมายถงึ เคร่ืองช่งั มวลของวตั ถนุ ั่นเอง (2) ครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับการทำงานของเครื่องชั่งสปริงในการวัดมวลหรือน้ำหนัก โดยการวัด มวลหรอื น้ำหนกั แบง่ เป็น 2 กรณี คือ

แผนการจัดการเรยี นรูว้ ชิ าวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชนั้ ป.4 นางอมลสริ ิ คำฟู • การวัดโดยใช้สมบัติการยืดตัวของสปริง เช่น เครื่องชั่งสปริงแบบแขวน เมื่อนำวัตถุมาวัด สปริงจะขยายตัว ถ้ามวลหรือน้ำหนักมาก แรงดึงจะมาก สปริงก็จะยืดตัวมาก ทำให้แสดงค่ามวลหรือน้ำหนัก ของวตั ถทุ ี่วัดได้มากขึ้น ระยะยืดของสปรงิ มากข้ึนตามวตั ถทุ ี่มมี วลหรือนำ้ หนกั มากขึ้น • การวัดโดยใช้สมบัติการหดตัวของสปริง เช่น เครื่องชั่งน้ำหนัก เมื่อนำวัตถุมาวัดมวลหรือ น้ำหนัก สปริงจะหดตัว ถ้ามวลหรือน้ำหนักมาก แรงกดจะมาก สปริงก็จะหดตัวมาก ทำให้แสดงค่ามวลหรือ น้ำหนักของวัตถุทว่ี ดั ได้มากขนึ้ สปรงิ หดตวั เม่อื นำวัตถุมาวัดมวล 5) ขัน้ ประเมิน (Evaluation) (1) ครูให้นักเรียนแต่ละคนพิจารณาว่า จากหัวข้อที่เรียนมาและการปฏิบัติกิจกรรมมีจุดใดบ้างที่ยังไม่ เขา้ ใจหรือยงั มีขอ้ สงสยั ถา้ มี ครชู ว่ ยอธิบายเพ่มิ เตมิ ใหน้ ักเรียนเข้าใจ (2) นกั เรียนรว่ มกนั ประเมนิ การปฏบิ ตั ิกจิ กรรมกลุ่มวา่ มีปัญหาหรอื อุปสรรคใดและไดแ้ ก้ไขอยา่ งไรบ้าง (3) ครแู ละนกั เรยี นรว่ มกนั แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประโยชน์ที่ไดร้ ับจากการปฏิบตั ิกจิ กรรมและการ นำความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ (4) ครทู ดสอบความเข้าใจของนกั เรียนโดยถามคำถามนักเรยี น เช่น – เครื่องช่ังสปริงวดั คา่ ใดของวตั ถไุ ด้ – แรงโนม้ ถว่ งของโลกมผี ลต่อวตั ถลุ กั ษณะใด – นำ้ หนักและมวลแตกตา่ งกันเพราะอะไร

แผนการจัดการเรยี นรู้วิชาวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชนั้ ป.4 นางอมลสริ ิ คำฟู ขัน้ สรปุ ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเกี่ยวกับผลของแรงโน้มถ่วง โดยร่วมกันเขียนเป็นแผนที่ความคิดหรือผัง มโนทศั น์ 10. ส่ือการเรียนรู้ 1. รูปหรอื เคร่ืองช่งั สปริงแบบต่าง ๆ 2. ใบกจิ กรรมท่ี 12 สงั เกตการวัดแรง 3. รูปการทำงานของเคร่อื งชง่ั สปรงิ 4. คมู่ ือการสอน วิทยาศาสตร์ ช้ันประถมศึกษาปีที่ 4 5. สอื่ การเรียนรู้ PowerPoint รายวชิ าพ้ืนฐาน วิทยาศาสตร์ ชัน้ ประถมศึกษาปีที่ 4 6. แบบฝกึ ทกั ษะรายวชิ าพื้นฐาน วทิ ยาศาสตร์ ช้นั ประถมศึกษาปีท่ี 4 7. หนังสือเรยี นรายวชิ าพนื้ ฐาน วิทยาศาสตร์ ชนั้ ประถมศึกษาปีที่ 4 11. การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ดา้ นความรู้ (K) ด้านคุณธรรม จริยธรรมและ ด้านทักษะ/กระบวนการ (P) จิตวทิ ยาศาสตร์ (A) 1. ซักถามความรู้เรื่องผลของ 1. ประเมนิ เจตคตทิ าง 1. ประเมนิ ทักษะกระบวนการทาง แรงโนม้ ถ่วง วทิ ยาศาสตร์เปน็ รายบุคคลโดย วทิ ยาศาสตรโ์ ดยใช้แบบวัดทักษะ 2. ตรวจชน้ิ งานหรือภาระ การสงั เกตและใชแ้ บบวดั เจต กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ งานของกจิ กรรมฝึกทักษะ คตทิ างวทิ ยาศาสตร์ 2. ประเมินทักษะการคดิ โดยการ ระหวา่ งเรียน 2. ประเมนิ เจตคตติ ่อวิทยาศาสตร์ สังเกตการทำงานกลมุ่ เปน็ รายบคุ คลโดยการสงั เกต 3. ประเมนิ ทักษะการแกป้ ญั หาโดย และใชแ้ บบวัดเจตคตติ ่อ การสงั เกตการทำงานกลุม่ วิทยาศาสตร์ 4. ประเมินพฤติกรรมในการปฏบิ ตั ิ กิจกรรมเปน็ รายบุคคลหรือราย กลมุ่ โดยการสงั เกตการทำงานกลมุ่

แผนการจัดการเรยี นรวู้ ชิ าวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชน้ั ป.4 นางอมลสริ ิ คำฟู 12. บันทึกผลหลงั การจดั การเรียนรู้ 12.1 สรปุ ผลหลังการจัดการเรยี นรู้ 1. นกั เรยี นจำนวน..................คน ผ่านจุดประสงค์การเรยี นรู.้ .....................คน คดิ เป็นรอ้ ยละ.................. ไม่ผา่ นจดุ ประสงคก์ ารเรยี นร.ู้ .................คน คดิ เปน็ ร้อยละ.................. นักเรยี นน่ไี มผ่ ่าน มีดงั น้ี 1............................................................ 2............................................................ 3............................................................ 4............................................................ 5............................................................ 6............................................................ แนวทางแก้ไขนักเรยี นท่ีไมผ่ า่ นจดุ ประสงค์การเรียนรู้ ............................................................................................................................. ......................... .......................................................................................................... ............................................ 2. นกั เรยี นมีความร้คู วามเข้าใจ (K) ............................................................................................................................. ......................... ...................................................................................................................................................... 3. นกั เรยี นมีความร้เู กิดทกั ษะ (P) ................................................................................................. ..................................................... ............................................................................................................................. ......................... 4. นกั เรยี นมีเจตคติ ค่านยิ ม คณุ ธรรมจริยธรรม (A) ............................................................................................................................... ....................... ............................................................................................................ .......................................... 12.2 ปัญหา อปุ สรรค และแนวทางแก้ไข …………………………………………………………………………………………………………………………………………. 12.3 ข้อเสนอแนะ …………………………………………………………………………………………………………………………………………. ลงช่ือ.................................................. (นางอมลสิริ คำฟู) ตำแหนง่ ครผู ู้ช่วย

แผนการจัดการเรยี นรวู้ ิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชน้ั ป.4 นางอมลสริ ิ คำฟู แผนการจดั การเรยี นร้ทู ่ี 41 สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รายวชิ า วทิ ยาศาสตร์ รหสั วิชา ว14101 ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4 หน่วยการเรียนรู้ท่ี 2 เรอ่ื ง ผลของแรงโน้มถ่วง (2) เวลา 1 ชวั่ โมง ครผู สู้ อน นางอมลสิริ คำฟู ********************************************************************************** 1. มาตรฐานการเรยี นรู้ มาตรฐาน ว 2.2 เข้าใจธรรมชาติของแรงในชีวิตประจำวัน ผลของแรงที่กระทำต่อวัตถุ ลักษณะการ เคลื่อนทีแ่ บบตา่ ง ๆ ของวตั ถุ รวมท้ังนำความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ 2. ตัวช้ีวดั ช้ันปี 1. ระบุผลของแรงโนม้ ถว่ งที่มีต่อวตั ถจุ ากหลักฐานเชิงประจักษ์ (ว 2.2 ป. 4/1) 2. ใช้เคร่อื งช่งั สปริงในการวดั น้ำหนักของวัตถุ (ว 2.2 ป. 4/2) 3. จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ 1. สังเกตผลของแรงโน้มถว่ งที่มีตอ่ วัตถุได้ (K) 2. สงั เกตการวดั น้ำหนักของวัตถุดว้ ยเครอ่ื งชัง่ สปริงได้ (K) 3. มีความสนใจใฝ่รหู้ รืออยากรู้อยากเห็น (A) 4. พอใจในประสบการณก์ ารเรียนรทู้ ีเ่ ก่ยี วกับวทิ ยาศาสตร์ (A) 5. ทำงานรว่ มกับผอู้ ื่นอย่างสร้างสรรค์ (A) 6. ส่อื สารและนำความรเู้ ร่ืองผลของแรงโน้มถ่วงไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ (P) 4. สาระสำคญั แรงโน้มถ่วงของโลกดึงดูดให้วัตถทุ ี่มีมวลตกลงสู่พืน้ โลก เราวัดแรงนีไ้ ด้ด้วยการใช้เครือ่ งชัง่ สปริง และ เรยี กแรงนวี้ า่ น้ำหนัก มหี นว่ ยเปน็ นิวตัน 5. สาระการเรยี นรู้ แรงโนม้ ถ่วง – นำ้ หนักและมวล 6. คุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ 1. มีวินัย 2. ใฝเ่ รียนรู้ 3. มุ่งม่ันในการทำงาน 4. มจี ติ วทิ ยาศาสตร์ 7. สมรรถนะสำคัญของผู้เรยี น 1. ความสามารถในการส่ือสาร 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี

แผนการจัดการเรยี นรู้วชิ าวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้น ป.4 นางอมลสริ ิ คำฟู 8. ชน้ิ งานหรอื ภาระงาน เรียงลำดบั มวลของวตั ถุ 9. การจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ ข้นั นำเขา้ สู่บทเรยี น 1) ครูทบทวนความรู้เดิมเกี่ยวกับผลของแรงโน้มถ่วง โดยการให้นักเรียนอธิบายว่า เราสามารถวัดแรง โนม้ ถว่ งได้โดยวธิ ีใด (แนวคำตอบ โดยใชเ้ ครื่องชง่ั สปรงิ แบบตา่ งๆ) 2) นักเรยี นชว่ ยกนั ตอบคำถามและแสดงความคดิ เหน็ เกีย่ วกบั คำตอบของคำถาม เพื่อเช่อื มโยงไปสู่การ เรียนร้เู ร่อื ง ผลของแรงโนม้ ถ่วง ขัน้ จดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ จดั กิจกรรมการเรียนรโู้ ดยใช้กระบวนการสบื เสาะหาความรู้ (Inquiry Process) ซ่งึ มีขน้ั ตอนดังนี้ 1) ขนั้ สร้างความสนใจ (Engagement) (1) ครูกระตนุ้ นักเรยี นโดยการถามคำถามว่า เราสามารถคาดคะเนนำ้ หนักของวัตถุจากขนาดได้หรือไม่ เพราะอะไร (แนวคำตอบ ไม่ได้ เพราะนำ้ หนกั ไม่ไดข้ ้นึ อย่กู ับขนาด) (2) นักเรียนร่วมกันอภปิ รายเกีย่ วกบั คำตอบจากคำถามของครูตามประสบการณ์ของนกั เรยี น 2) ขัน้ สำรวจและคน้ หา (Exploration) แบ่งกลุ่มนักเรียน กลุ่มละ 5 – 6 คน แต่ละกลุ่มคาดคะเนน้ำหนักวัตถุจำนวน 5 ชิ้นที่ครูนำมา และ เรียงลำดับนำ้ หนักจากนอ้ ยไปหามาก (ให้นักเรียนคาดคะเนจากการมองเทา่ นั้น) จากนั้นครูชั่งน้ำหนักของวัตถุ พร้อมกับเน้นหน่วยที่ได้ กลุ่มใดเรียงลำดับได้ถูกต้องมากที่สุดเป็นฝ่ายชนะ (หมายเหตุ: วัตถุที่ครูนำมาต้องมี ขนาดไม่แปรผันกับน้ำหนัก คือ วัตถุที่มีน้ำหนักมากกว่าต้องมีขนาดเล็กกว่าและวัตถุที่มีน้ำหนักน้อยกว่าต้องมี ขนาดใหญ่กวา่ เพื่อใหน้ กั เรยี นเขา้ ใจวา่ ขนาดไมม่ ีผลตอ่ น้ำหนักของวตั ถุ) 3) ขัน้ อธิบายและลงข้อสรปุ (Explanation) (1) นกั เรยี นแตล่ ะกลุม่ ส่งตวั แทนกลมุ่ นำเสนอผลการปฏิบัตกิ ิจกรรมหนา้ หอ้ งเรียน (2) นักเรยี นและครูรว่ มกนั อภิปรายและหาขอ้ สรุปจากการปฏบิ ตั ิกจิ กรรม โดยใช้แนวคำถาม ตอ่ ไปน้ี – ขนาดของวตั ถุมีผลตอ่ นำ้ หนักของวัตถหุ รือไม่ สังเกตจากอะไร (แนวคำตอบ ขนาดของวัตถุไม่มี ผลตอ่ นำ้ หนักของวัตถุ สังเกตจากวัตถทุ ่มี ขี นาดใหญ่กว่ามนี ำ้ หนกั น้อยกว่าวัตถุทม่ี ขี นาดเล็กกว่า) – ปจั จยั ที่มผี ลต่อน้ำหนกั คอื อะไร (แนวคำตอบ ปริมาณเนอื้ สารของวตั ถุ) (3) ครูและนกั เรยี นรว่ มกันสรุปผลการปฏิบตั ิกิจกรรม โดยครูเน้นให้นักเรียนเข้าใจว่า น้ำหนักของวัตถุ ขึน้ อย่กู ับปริมาณเน้ือสารของวัตถุเท่านัน้ ส่วนขนาดของวัตถไุ มม่ ผี ลตอ่ นำ้ หนกั ของวตั ถุ 4) ขั้นขยายความรู้ (Elaboration) นักเรียนค้นคว้าคำศัพท์ภาษาตา่ งประเทศเก่ยี วกบั ผลของแรงโน้มถ่วง จากหนังสอื เรยี น ภาษาตา่ งประเทศหรืออินเทอรเ์ นต็ และนำเสนอใหเ้ พ่ือนในหอ้ งฟัง แล้วคัดคำศัพทพ์ ร้อมทัง้ คำแปลลงสมุดสง่ ครู

แผนการจัดการเรยี นรู้วิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้น ป.4 นางอมลสริ ิ คำฟู 5) ขัน้ ประเมิน (Evaluation) (1) ครูให้นักเรียนแต่ละคนพิจารณาว่า จากหัวข้อที่เรียนมาและการปฏิบัติกิจกรรมมีจุดใดบา้ งที่ยังไม่ เข้าใจหรือยงั มขี อ้ สงสัย ถา้ มี ครูชว่ ยอธิบายเพิม่ เติมใหน้ ักเรียนเข้าใจ (2) นักเรยี นร่วมกนั ประเมินการปฏิบตั กิ ิจกรรมกลุม่ วา่ มีปญั หาหรืออปุ สรรคใดและไดแ้ กไ้ ขอย่างไรบา้ ง (3) ครแู ละนักเรยี นร่วมกนั แสดงความคิดเห็นเก่ียวกับประโยชน์ท่ไี ดร้ บั จากการปฏบิ ัติกจิ กรรมและการ นำความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์ (4) ครูทดสอบความเขา้ ใจของนักเรียนโดยถามคำถามนกั เรยี น เชน่ – ส่งิ ใดมผี ลตอ่ นำ้ หนกั ของวัตถุ – เราวัดน้ำหนักของวตั ถไุ ด้ดว้ ยวิธใี ด ขั้นสรปุ ครแู ละนกั เรียนร่วมกนั สรปุ เกี่ยวกบั ผลของแรงโน้มถ่วง โดยร่วมกันเขยี นเปน็ แผนที่ความคิดหรือผงั มโน ทัศน์ 10. ส่ือการเรยี นรู้ 1. เครื่องชงั่ สปริงและวตั ถุทมี่ ีมวลตา่ งกัน (ขนาดไม่เทา่ กัน) จำนวน 5 ชิ้น 2. หนังสือเรยี นภาษาต่างประเทศหรืออินเทอร์เน็ต 3. คมู่ ือการสอน วิทยาศาสตร์ ชนั้ ประถมศึกษาปีที่ 4 4. ส่อื การเรียนรู้ PowerPoint รายวิชาพ้ืนฐาน วิทยาศาสตร์ ชน้ั ประถมศึกษาปีที่ 4 5. แบบฝึกทกั ษะรายวิชาพ้นื ฐาน วิทยาศาสตร์ ชน้ั ประถมศึกษาปีที่ 4 6. หนังสอื เรยี นรายวิชาพ้ืนฐาน วทิ ยาศาสตร์ ชน้ั ประถมศึกษาปที ่ี 4 11. การวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรู้ ดา้ นความรู้ (K) ดา้ นคุณธรรม จริยธรรมและ ด้านทักษะ/กระบวนการ (P) จติ วิทยาศาสตร์ (A) 1. ซักถามความร้เู ร่ืองผลของแรง โนม้ ถว่ ง 1. ประเมินเจตคตทิ างวทิ ยาศาสตร์ 1. ประเมนิ ทักษะการคดิ โดย 2. ตรวจชิ้นงานหรือภาระงานของ เปน็ รายบคุ คลโดยการสงั เกต การสังเกตการทำงานกลมุ่ กิจกรรมฝึกทักษะระหวา่ งเรียน และใช้แบบวัดเจตคติทาง 2. ประเมนิ พฤติกรรมในการ วิทยาศาสตร์ ปฏบิ ตั กิ ิจกรรมเป็น 2. ประเมนิ เจตคตติ ่อวิทยาศาสตร์ รายบุคคลหรอื รายกลมุ่ โดย เปน็ รายบุคคลโดยการสังเกต การสังเกตการทำงานกลุม่ และใชแ้ บบวดั เจตคตติ ่อ วิทยาศาสตร์


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook