Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ภาษาบาลีเพื่อการศึกษาค้นคว้า ฯ

ภาษาบาลีเพื่อการศึกษาค้นคว้า ฯ

Published by supasit.kon, 2022-12-29 03:05:57

Description: ภาษาบาลีเพื่อการศึกษาค้นคว้า ฯ

Search

Read the Text Version

ภาษาบาล ี เพอ่ื การศกึ ษาคน้ ควา้ พระพทุ ธศาสนา Pali and Buddhist Studies เหมาะสาหรบั :  ผสู ้ นใจศกึ ษาภาษาบาลเี พอื่ การคน้ ควา้ พระพทุ ธศาสนา  ผเู ้ รม่ิ ตน้ ศกึ ษาภาษาบาลดี ว้ ยตนเอง  ครู และอาจารย์ ทสี่ อนภาษาบาลี  นักเรยี น นสิ ติ หรอื นักศกึ ษา ทเี่ ลอื กศกึ ษาภาษาบาลี  หอ้ งสมดุ ของสถาบันการศกึ ษาทม่ี กี ารเรยี นการสอนภาษาบาลี  หอ้ งสมดุ ของวดั ตา่ ง ๆ โดยเฉพาะวดั ทม่ี สี านักเรยี น และมกี ารเรยี น การสอนภาษาบาลี สวุ ทิ ย์ ภาณุจารี

สาระสาคญั ในเลม่ ในหนังสือเล่มน้ี ผูเ้ ขียนไดน้ าเสนอเน้ือหาสาระสาคัญเก่ียวกับ หลักเกณฑท์ างไวยากรณ์บาลี การแปลบาลี การอ่านบาลี และวธิ กี าร ทางภาษาบาลีอ่ืน ๆ อย่างครบถว้ น โดยแบ่งเนื้อหาออกเป็ นบท ๆ ประกอบดว้ ย ความรเู ้ บอื้ งตน้ เกย่ี วกบั ภาษาบาลี อกั ษรในภาษาบาลี สนธิ นามศัพท์ อพั ยยศัพท์ กรยิ า นามกติ ก์ สมาส ตัทธติ ประโยค คาถาและ อรรถกถา การแปลบาลเี ป็ นไทย การแปลไทยเป็ นบาลี และการอา่ นบาลี เพอื่ ความเขา้ ใจ ตามลาดับ

ภาษาบาล ี เพอื่ การศกึ ษาคน้ ควา้ พระพทุ ธศาสนา Pali and Buddhist Studies

ภาษาบาล ี เพอ่ื การศกึ ษาคน้ ควา้ พระพทุ ธศาสนา ผเู้ ขียน: รองศาสตราจารย์ ดร.สุวิทย์ ภาณุจารี ISBN: ๙๗๘-๙๗๔-๒๓๕-๕๒๗-๒ พมิ พค์ ร้งั แรก: พ.ศ. ๒๕๕๒ จำนวนพิมพ์ ๕๐๐ เล่ม พมิ พ์ครั้งท่ี ๒: พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวนพิมพ์ ๕๐๐ เลม่ จานวนหนา้ : ๔๖๖ หนำ้ สงวนลิขสิทธติ์ ามกฎหมาย จัดพิมพ์โดย: บัณฑิตวทิ ยำลัย มหำวิทยำลยั มหำมกฏุ รำชวทิ ยำลัย ๒๔๘ หมู่ 1 ถนนศำลำยำ-นครชยั ศรี ตำบลศำลำยำ อำเภอพุทธมณฑล จังหวดั นครปฐม ๗๓๑๗๐ พมิ พ์ท:่ี JPRINT ๙๔ ถนนมหำรำช เขตพระนคร แขวงพระบรมมหำรำชวงั กรงุ เทพมหำนคร ๑๐๒๐๐ โทร. ๐๘๐-๒๘๙-๑๕๙-๕ ราคา ๓๕๐ บาท

คำนำ หนังสอื “ภาษาบาลเี พ่อื การศกึ ษาคน้ ควา้ พระพทุ ธศาสนา” เล่มนี้ เขียนขึ้นโดยมีวตั ถุประสงค์ เพื่อให้นักศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาวิชาภาษาบาลีและสันสกฤตใช้เป็นตาราประกอบการศึกษาตาม หลักสูตรรายวิชาภาษาบาลีเพ่ือการศึกษาค้นคว้าพระพุทธศาสนา หรือ Pali and Buddhist Studies (รหัส BU ๕๐๐๖) และเพื่อให้ผทู้ สี่ นใจทัว่ ไปได้ใชศ้ กึ ษาด้วยตนเอง หนังสือเล่มนี้ เป็นรายวิชาตามหลักสูตรใหม่และบังคับเรียนสาหรับนักศึกษาเพราะเป็น รายวิชาที่ถือว่ามีความสาคัญมากวิชาหน่ึงในหลักสูตรของมหาวิทยาลัยในฐานะเป็นมหาวิทยาลัย ที่เน้น การเรียนการสอนทางพระพุทธศาสนา อย่างไรก็ตาม ในการศึกษาตามรายวิชาน้ัน จาเป็นจะต้องมีสื่อ ที่สาคัญ กล่าวคือ ตาราที่นักศึกษาสามารถใช้ประกอบการศึกษาได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ตามเนื้อหา สาระของรายวชิ า ในการเขียนหนังสือเล่มน้ี ผู้เขียนจึงได้นาเสนอเนื้อหาสาระสาคัญของรายวิชาอย่างครบถ้วน พร้อมท้ังแสดงหลกั เกณฑ์และวิธีการทางภาษาบาลี ซ่ึงมีขอบข่ายครอบคลุมตัวเนือ้ หาของหลักสูตร โดย ประกอบด้วย ความรู้เบ้ืองต้นเก่ียวกับภาษาบาลี อักษรในภาษาบาลี สนธิ นามศัพท์ อัพยยศัพท์ กริยา นามกิตก์ สมาส ตัทธิต ประโยค คาถาและอรรถกถา การแปลบาลี และการอ่านบาลีเพื่อความเข้าใจ ตามลาดับ นอกจากนี้ ผเู้ ขยี นยังได้จัดทาแบบฝกึ หัดทา้ ยบทในแต่ละบทไว้สาหรับนกั ศึกษาเพือ่ การฝึกฝน ทบทวนในแต่ละบทแตล่ ะตอน พรอ้ มทงั้ ไดจ้ ัดทาเฉลยแบบฝึกหัดไว้เพื่ออานวยความสะดวกแกน่ ักศึกษา ผู้ประสงคจ์ ะตรวจคาตอบและศกึ ษาคน้ คว้าด้วยตนเองอีกดว้ ย หวังเป็นอย่างยิ่งว่า หนังสือเล่มน้ี จะสามารถใช้ประกอบการเรียนการสอนตามหลักสูตร และอานวยประโยชน์ใหแ้ กน่ ักศกึ ษาตลอดถงึ ผูส้ นใจศึกษาทวั่ ไปไดเ้ ป็นอยา่ งดี สุวิทย์ ภาณจุ ารี บณั ฑิตวทิ ยาลยั มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลยั

ขอ้ ควรทราบ ๑. หนังสือ ภาษาบาลีเพ่ือการศึกษาค้นคว้าพระพุทธศาสนา เล่มน้ี ผู้เขียนได้อาศัย ประสบการณ์ท่ีได้สอนนักเรียนนักศึกษามาเป็นเวลานาน และศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมเพื่อให้ได้เน้ือหา สาระ หลักเกณฑ์ และวิธีการต่าง ๆ ท่ีถูกต้องชัดเจนและลงตัว แล้วเรียงเน้ือหาตามลาดับขั้นตอน จากง่ายไปหายาก ซึ่งถือว่าได้จัดไว้อย่างครบถ้วนและเป็นระบบ จึงเหมาะสาหรับนักศึกษาที่ต้องใช้ ประกอบการศึกษาในรายวิชาภาษาบาลีเพื่อการศึกษาค้นคว้าพระพุทธศาสนา แต่สาหรับบุคคลท่ัวไป ท่สี นใจจะศกึ ษาคน้ คว้าพระพทุ ธศาสนาจากเอกสารหรือคมั ภีร์บาลโี ดยตรง ก็สามารถใช้หนังสือเล่มนี้ให้ เป็นประโยชน์ได้ โดยอาจเลือกศึกษาบทใดบทหนึ่งที่น่าสนใจหรือท่ีเห็นว่าเข้าใจง่ายก่อนก็ได้ ทั้งนี้ ก็ขึน้ อยูก่ บั พื้นฐานความรขู้ องตนเปน็ สาคัญ ๒. ในหนังสือเล่มน้ี ใช้คาว่า “กริยา” แทนคาว่า “กิริยา” ทุกแห่ง เช่น คาว่า “กิริยา อาขยาต” ใช้คาว่า “กริยาอาขยาต” หรือคาว่า“กิริยากิตก์” ใช้คาว่า “กริยากิตก์” เป็นต้น เพราะ โดยท่ัวไปและตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ (หน้า ๖๙ และ ๑๒๙) ได้ให้ ความหมายไว้วา่ คาว่า “กริยา” หมายถึง คาที่แสดงอาการของนามหรือสรรพนาม ส่วนคาว่า “กิริยา” หมายถึง อาการท่ีแสดงออกมาด้วยกาย หรือมารยาท ดังนั้น เม่ือพิจารณาดูความหมายแล้ว เห็นว่าถ้า จะใช้คาให้ส่ือความหมายวา่ เปน็ การกระทาของบทประธานหรือตวั กัตตาในประโยคทางภาษา ก็ควรใช้ คาว่า “กริยา” ซ่ึงน่าจะสื่อความหมายให้คนท่ัวไปเข้าใจได้ถูกต้องมากกว่าการใช้คาว่า “กิริยา” อยา่ งไรกต็ าม ในวงการศกึ ษาภาษาบาลีแหง่ คณะสงฆไ์ ทย ยังนิยมใชค้ าว่า “กริ ิยา” ในความหมายท่ีเป็น การกระทาของบทประธานหรือตัวกัตตาในประโยคจนถือเป็นแบบอย่างที่ถูกต้องตามปกติ เช่น กิรยิ าอาขยาต กริ ิยากิตก์ ปุพพกาลกิรยิ า ฯลฯ ฉะน้นั พึงทราบว่าใช้ได้ทัง้ สองแบบ ๓. ตัวเลขท่ีแสดงถึงการอ้างอิงในหนังสือเล่มน้ี เป็นการส่ือถึงช่ือคัมภีร์พระไตรปิฎกบาลี อักษรไทย ฉบับสยามรัฐ บอกเล่ม ข้อและหน้า เช่น วินย. ๑/๗/๑๓ หมายถึง คัมภีร์พระวินัยปิฎก เล่ม ๑ ข้อ ๗ หน้า ๑๓ ฯลฯ และเป็นการสื่อถึงช่ือคัมภีร์ธัมมปทัฏฐกถา บอกเล่ม ภาคและหน้า ซ่ึงส่วนใหญ่จะใส่ไว้ในวงเล็บหลังประโยคหรือข้อความภาษาบาลีท่ียกมาเพ่ือเป็นตัวอย่างการแปล เช่น ตมห พฺรูมิ พฺราหฺมณ. (๘/๑๘๙) ตัวเลข ๘/๑๘๙ ในวงเล็บ หมายถึง คัมภีร์ธัมมปทัฏฐกถา ภาค ๘ หนา้ ๑๘๙ แต่ถ้าเป็นคัมภีร์อื่น ๆ จะมีอักษรย่อชื่อคัมภีร์อยู่ด้วย เช่น เต หิ ยทิ...อปาเยเสฺวว สสีทาเปยฺย. (มงฺคลตถฺ . ๑/๑๗๕) อักษรย่อในวงเลบ็ วา่ “มงคฺ ลตถฺ ” หมายถึง คมั ภรี ม์ ังคลตั ถทปี นี เล่ม ๑ หนา้ ๑๗๕ ๔. คาศัพท์ภาษาอังกฤษบางคาที่ปรากฏอยู่ในคู่มือเล่มนี้ท้ังที่อยู่ในวงเล็บและนอกวงเล็บน้ัน ผู้เขียนได้แสดงไว้ก็ด้วยมุ่งหวังจะให้นักศึกษาหรือผู้ที่มีพื้นความรู้ทางด้านภาษาอังกฤษอยู่แล้ว ได้ เทียบเคียงและจะทาให้เข้าใจภาษาบาลีได้ดีข้ึน โดยวิธีนี้เป็นการช่วยอธิบายประกอบความเข้าใจ และ ขยายความรู้ของนักศึกษาหรือผู้สนใจให้กว้างข้ึน ส่วนผู้ที่ไม่มีพื้นความรู้ทางด้านภาษาอังกฤษมาก่อน กส็ ามารถข้ามไปได้โดยจะไม่มีผลกระทบต่อการศึกษารายวิชานี้แต่อยา่ งใด

๕. การเขยี นพยญั ชนะบาลใี นหนงั สือเล่มน้ี ใช้หลกั ทัว่ ไป ซง่ึ อาจสรุปได้ ๒ วิธี ดงั น้ี ๕.๑ ถ้าเป็นพยัญชนะที่อาศัยสระหรือมีสระอยู่ด้วย จะไม่มี . (พินทุ) ปรากฏอยู่ด้านล่าง ของพยญั ชนะ เชน่ ก, กา, กิ, กี (ก = ก+ฺ อ, กา = กฺ+อา, กิ = ก+ฺ อ,ิ กี = กฺ+อ)ี ฯลฯ ๕.๒ แต่ถ้าเป็นพยัญชนะท่ีไม่อาศัยสระหรือไม่มีสระอยู่ด้วย จะมี . (พินทุ) ปรากฏอยู่ ดา้ นลา่ งของพยญั ชนะ เช่น กฺ, ข,ฺ คฺ ฯลฯ และ กรณีท่ี ๒ นี้ มักนิยมใชก้ บั พยญั ชนะที่สดุ ธาตดุ ว้ ย เช่น จุรฺ ธาตุ คมฺ ธาตุ ฯลฯ ซ่ึงตัว รฺ และ มฺ ไม่มีสระ อ เป็นตัวธาตุล้วน ๆ พร้อมที่จะนาไปประกอบด้วยปัจจัย และวภิ ตั ตไิ ดต้ อ่ ไป ๖. ในหนังสอื เลม่ น้ี ผูจ้ ัดทาไดพ้ ยายามสรา้ งสรรค์ให้มีคณุ ลักษณะ ๑๐ ประการ ดังนี้ ๖.๑ เนือ้ หาครบถ้วนถูกต้องสมบูรณ์: เปน็ ตาราเรยี นที่มีเน้อื หาสาระและกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ทางภาษาบาลตี ้งั แตร่ ะดับตน้ ถึงระดับสงู ครบถ้วนและถูกต้องสมบูรณ์ ผ้เู รยี นสามารถใช้เป็นเครื่องมือใน การศึกษาค้นคว้าพระพทุ ธศาสนาจากเอกสารภาษาบาลีไดเ้ ปน็ อยา่ งดี ๖.๒ ทันสมัย: เนื้อหาสาระ หลักเกณฑ์ และวิธีการต่าง ๆ ทันสมัย เพราะได้เรียงเนื้อหา ตามลาดับขั้นตอนจากง่ายไปหายาก จัดเรียงเป็นระบบ เน้นการคิดวิเคราะห์ (critical thinking) แทน การทอ่ งจาแล้วบอกต่อ ๆ กัน (มุขปาฐะ) สามารถศกึ ษาให้เข้าใจและใช้ประโยชนไ์ ด้ทีละขนั้ ตอน เพราะ ได้บูรณาการหลักเกณฑ์และวิธีการทางภาษาบาลีเข้ากับการฝึกปฏิบัติในแต่ละตอน เหมือนอย่างตารา ภาษาตา่ งประเทศทว่ั ไปทนี่ ิยมทากนั ในปจั จบุ ัน ๖.๓ ชดั เจนในแนวคดิ และการนาเสนอ: แนวคิดในแตล่ ะเรื่องหรือแต่ละบทแต่ละตอน มี ความชัดเจน ไม่สับสน ไม่กากวม มีการนาเสนอประเด็นต่าง ๆ ทีละประเด็นตามลาดับขั้นตอน ง่ายต่อ การเข้าใจ และเป็นประโยชน์ตอ่ การเรียนการสอนในมหาวทิ ยาลยั หรอื สถานศึกษา ๖.๔ ทันต่อความก้าวหน้าทางวิชาการ: มีการสังเคราะห์และเสนอความรู้หรือวิธีการที่ ทันต่อความก้าวหน้าทางวิชาการและเป็นประโยชน์ต่อวงวิชาการพระพุทธศาสนา เช่น การนาเสนอ ความรู้และวิธีการศึกษาประโยคภาษาบาลี (ดูบทท่ี ๑๓) การอ่านภาษาบาลีเพื่อความเข้าใจในประเด็น สาคัญตา่ ง ๆ (ดบู ทที่ ๑๗) ๖.๕ สอดแทรกความคิดริเร่ิมและประสบการณ์: มีการสอดแทรกความคิดริเร่ิมและ ประสบการณ์ของผู้เขียนที่แสดงให้เห็นถึงความรู้ใหม่ที่เป็นประโยชน์ต่อการเรียนการสอน เช่น การคิด อธิบายคาศัพท์สาคัญทางภาษาบาลีด้วยการใส่คาภาษาอังกฤษไว้ในวงเล็บหลังคาศัพท์สาคัญท่ัวไป การ แสดงแผนภาพให้เห็นกลุ่มภาษาแม่โบราณตระกูลอินโด-ยุโรเปี้ยน (ดูหน้า ๕) ซึ่งเป็นประสบการณ์ของ ผูเ้ ขียนทีไ่ ด้มาจากการศึกษาทางดา้ นภาษาศาสตร์ (Linguistics) ฯลฯ ๖.๖ เป็นแหล่งอ้างอิง: ข้อมูลหรือเนื้อหาต่าง ๆ สามารถนาไปใช้อ้างอิงในทางวิชาการ พระพทุ ธศาสนาได้ เพราะได้ผ่านการศกึ ษาค้นควา้ และตรวจสอบแล้วเปน็ อยา่ งดี ๖.๗ นาไปปฏิบัติได้: แนวคิด เน้ือหา หลักเกณฑ์ และวิธีการต่าง ๆ สามารถนาไปปฏิบัติ ได้ โดยเฉพาะอย่างย่ิงสามารถนาไปเป็นแนวทางในการศึกษาค้นคว้าพระพุทธศาสนาจากเอกสารภาษา บาลไี ด้โดยตรง ๖.๘ เป็นงานบุกเบิกทางวิชาการ: ลักษณะงานมีการบุกเบิกทางวิชาการแนวใหม่ที่ให้ ความรู้เกี่ยวกับวิธีการศึกษาภาษาบาลี โดยการบูรณาการหลักเกณฑ์ทางภาษาต่าง ๆ เข้าด้วยกัน เช่น การบูรณาการหลักเกณฑ์ทางภาษาไทย และภาษาอังกฤษเขา้ กับหลักเกณฑ์ทางภาษาบาลี (ดบู ทที่ ๑๓) การแสดงทักษะการอา่ นภาษาบาลเี พ่ือความเข้าใจในประเด็นสาคัญตา่ ง ๆ ทเ่ี กย่ี วกบั ความหมายของคา

(words) กลุ่มคาหรือวลี (phrases) ประโยค (sentences) ใจความสาคัญของย่อหน้า (main idea) ฯลฯ (ดูบทที่ ๑๗) ๖.๙ ชวนให้คิดและค้นคว้าต่อ: ภาษาบาลีมีความสาคัญในแง่ของการช่วยรักษา พระพุทธศาสนาและเป็นประโยชน์สาหรับผู้ศึกษา จึงควรคิดศึกษาและค้นคว้าต่อไปอย่างต่อเน่ือง (ดู หน้า ๑๒ และ ๑๔) ๙.๑๐ น่าเช่ือถือและยอมรับ: เป็นหนังสือที่ใช้เป็นตาราเรียน มีรูปแบบและเนื้อหาที่ผ่าน การตรวจสอบและกลั่นกรองแล้ว มีการอ้างอิง จัดทาเชิงอรรถ และบรรณานุกรมอย่างชัดเจน จึง น่าเช่ือถือและยอมรับในวงวิชาการพระพุทธศาสนาท่ีเก่ียวข้องกับการศึกษาภาษาบาลใี นระดับชาติหรือ นานาชาติ

อกั ษรยอ่ ทใ่ี ช้ (คมั ภรี พ์ ระไตรปฎิ กบอก เลม่ /ขอ้ /หนา้ : คัมภรี อ์ น่ื บอก เลม่ /หนา้ หรอื หนา้ อย่างเดียว) อ. = อันว่า มงคฺ ลตฺถ. = มังคลตั ถทีปนี ท. = ทั้งหลาย สมนฺต. = สมนั ตปาสาทิกา ป. = ประถมบุรุษ วินย. = วินยปิฏก ม. = มธั ยมบุรุษ ที.ส.ี = ทฆี นิกาย สลี กฺขนฺธวคฺค อุ. = อุตตมบุรุษ ท.ี ม. = ทีฆนกิ าย มหาวคฺค เอก. = เอกวจนะ ที.ปา. = ทีฆนกิ าย ปาฏิกวคฺค พห.ุ = พหุวจนะ ม.ม.ู = มชฌฺ มิ นิกาย มูลปณฺณาสก ปุ. = ปุงลิงค์ ส.ํ ข. = สํยุตตฺ นกิ าย ขนธฺ วารวคฺค อติ . = อิตถีลิงค์ สํ.ส. = สยํ ุตฺตนิกาย สฬายตนวคฺค นปุ. = นปงุ สกลงิ ค์ ขุ.ขุ. = ขุททฺ กนิกาย ขทุ ฺทกปา ป. = ปฐมาวภิ ัตติ ข.ุ ชา = ขุททฺ กนกิ าย ชาตก ทุ. = ทตุ ิยาวภิ ัตติ Vin. = Vinaya Pitฺaka (5 vols.) ต. = ตติยาวิภตั ติ D. = Díghanikãya (3 vols.) จ. = จตตุ ถีวิภตั ติ M. = Majjhimanikãya (3 vols.) ปญ.ฺ = ปัญจมีวภิ ัตติ S. = Samyuttanikãya ฉ. = ฉัฎฐวี ิภตั ติ Kh. = Khuddhakapãtha ส. = สตั ตมีวภิ ัตติ J.V. = Jãtaka (including its Atฺtฺhakathã) อา. = อาลปนวิภัตติ

สารบญั หนา้ คานา ค ขอ้ ควรทราบ ง อกั ษรยอ่ ทใี่ ช้ ช สารบญั ซ สารบญั ตาราง ธ สารบญั แผนภาพ ธ บทท่ี ๑ ความรเู้ บอื้ งตน้ เกย่ี วกบั ภาษาบาลี ๑ ๑.๑ ความนา ๑ ๑.๒ ความหมายของบาลี ๒ ๑.๓ แหลง่ กาเนิดของภาษาบาลี ๔ ๔ ๑.๓.๑ แหล่งกาเนดิ ของภาษาบาลคี ือแคว้นมคธ ๔ ๑.๓.๒ แหล่งกาเนิดของภาษาบาลีคือแควน้ โกศล ๕ ๑.๔ ความเปน็ มาและพฒั นาการของภาษาบาลี ๗ ๑.๔.๑ ยุคคาถา ๗ ๑.๔.๒ ยุครอ้ ยแกว้ ในพระไตรปิฎก ๗ ๑.๔.๓ ยคุ ร้อยแก้วระยะหลงั ๗ ๑.๔.๔ ยคุ รอ้ ยกรองประดษิ ฐ์ ๘ ๑.๕ ภาษาบาลกี บั พระพุทธศาสนา ๙ ๑.๖ คัมภีร์พระพทุ ธศาสนาฉบับภาษาบาลี ๙ ๑.๖.๑ คัมภีร์พระไตรปฎิ ก ๙ ๑.๖.๒ คมั ภีรอ์ รรถกถา ๑๐ ๑.๖.๓ คมั ภรี ์ฎกี า ๑๑ ๑.๖.๔ คัมภีรอ์ นุฎีกา ๑๑ ๑.๗ การใชค้ าภาษาบาลีในภาษาไทย ๑๑ ๑.๗.๑ การเปลี่ยนแปลงคาบาลีเพ่อื ใช้ในภาษาไทย ๑๒ ๑.๗.๒ หลักการสงั เกตคาบาลีที่ใชใ้ นภาษาไทย ๑๒ ๑.๘ ความสาคญั ของภาษาบาลี ๑๓ ๑.๘.๑ เป็นมูลภาสา ๑๓ ๑.๘.๒ เปน็ ตนั ตภิ าสา ๑๓ ๑.๘.๓ เปน็ สกานริ ตุ ติ ๑๔ ๑.๘.๔ เปน็ อุตตมภาสา

(ฌ) ๑.๙ ประโยชนข์ องการศึกษาบาลี ๑๔ ๑.๙.๑ ชว่ ยในการเขียนสะกดการันต์คาพ้องเสยี งท่ีมาจากภาษาบาลี ๑๔ ๑.๙.๒ ช่วยใหเ้ กิดความเข้าใจอยา่ งซาบซงึ้ ในการศึกษาวรรณคดี ๑๕ ๑.๙.๓ ช่วยในการแตง่ กาพย์ กลอน โคลง ฉนั ท์ ๑๕ ๑.๙.๔ ช่วยใหเ้ ข้าใจความหมายของธรรมะมากขนึ้ ๑๖ ๑.๙.๕ ช่วยในการบญั ญตั ศิ ัพท์ ๑๖ ๑.๙.๖ ชว่ ยใหภ้ าษาไทยมคี าใช้มากขึ้น ๑๖ ๑.๙.๗ ใชป้ ระสมกับคาไทย ๑๖ ๑.๙.๘ ใช้เป็นคาราชาศพั ท์ ๑๖ ๑.๙.๙ ใช้ในการต้งั ช่ือ นามสกลุ ราชทินนาม สถานที่ และสงิ่ ตา่ ง ๆ ๑๗ ๑.๙.๑๐ ใช้แทนคาไทยท่ีถอื กันว่าไม่สุภาพหรอื เป็นคาหยาบ ๑๗ ๑๗ ๑.๑๐ สรปุ ทา้ ยบท ๒๓ บทที่ ๒ อกั ษรในภาษาบาลี ๒๓ ๒.๑ ความนา ๒๔ ๒.๒ ความหมายของอกั ษร ๒๔ ๒.๓ จานวนอักษรในภาษาบาลี ๒๔ ๒๔ ๒.๓.๑ สระ ๘ ตวั ๒๕ ๒.๓.๒ พยัญชนะ ๓๓ ตวั ๒๗ ๒.๔ อธบิ ายสระ ๘ ตัว ๒๘ ๒.๕ อธบิ ายพยัญชนะ ๓๓ ตวั ๒๘ ๒.๖ ฐานกรณ์ของอักษร ๒๙ ๒.๖.๑ ฐานของอักษร ๒๙ ๒.๖.๒ อกั ษรทเ่ี กดิ จากฐานเดยี ว ๒๙ ๒.๖.๓ อักษรทเ่ี กิดจาก ๒ ฐาน ๒๙ ๒.๖.๔ กรณ์ของอักษร ๓๐ ๒.๖.๕ สรปุ อกั ษรและฐานกรณ์ของอกั ษร ๓๐ ๒.๗ มาตราการออกเสยี งอักษร ๓๐ ๒.๘ ลกั ษณะเสียงของพยัญชนะ ๓๐ ๒.๘.๑ พยญั ชนะมลี กั ษณะการออกเสียงเปน็ ๗ อยา่ ง ๓๑ ๒.๘.๒ เสียงของพยัญชนะวรรคและอวรรค ๓๑ ๒.๘.๓ สรปุ เสยี งของพยัญชนะวรรคและอวรรค ๓๑ ๒.๙ การออกเสียงพยัญชนะบางตัว ๓๑ ๒.๙.๑ พยญั ชนะ ๔ ตวั คอื ย ร ล ว ๓๒ ๒.๙.๒ พยญั ชนะ ๗ ตัว คือ ย ร ล ว ส ห ฬ ๒.๙.๓ พยัญชนะ คือ ห

(ญ) ๓๒ ๓๒ ๒.๑๐ พยัญชนะสงั โยค ๒.๑๑ สรปุ ท้ายบท ๔๐ บทท่ี ๓ สนธิ ๔๐ ๔๐ ๓.๑ ความนา ๔๑ ๓.๒ ความหมายของสนธิ ๔๑ ๓.๓ ประเภทของสนธิ ๔๑ ๔๑ ๓.๓.๑ สระสนธิ ๔๑ ๓.๓.๒ พยัญชนะสนธิ ๔๑ ๓.๓.๓ นคิ คหติ สนธิ ๔๑ ๓.๔ วิธที าสนธิ ๔๑ ๓.๔.๑ การลบ (โลป) ๔๑ ๓.๔.๒ การแปลง (อาเทส) ๔๑ ๓.๔.๓ การลงอกั ษร (อาคม) ๔๑ ๓.๔.๔ การทาใหผ้ ดิ ไปจากเดิม (วกิ าร) ๔๑ ๓.๔.๕ การคงท่ี (ปกต)ิ ๔๑ ๓.๔.๖ การทาใหย้ าว (ทีฆ) ๔๑ ๓.๔.๗ การทาใหส้ ั้น (รสฺส) ๔๑ ๓.๔.๘ การซ้อนตวั อกั ษร (ส โฺ ค) ๔๓ ๓.๕ สระสนธิ ๔๓ ๓.๕.๑ การลบ (โลป) ๔๔ ๓.๕.๒ การแปลง (อาเทส) ๔๔ ๓.๕.๓ การลงสระ (อาคม) ๔๕ ๓.๕.๔ การทาให้ผิดไปจากเดิม (วิการ) ๔๕ ๓.๕.๕ การคงท่ี (ปกติ) ๔๕ ๓.๕.๖ การทาให้ยาว (ทีฆ) ๔๕ ๓.๕.๗ การทาให้ส้นั (รสสฺ ) ๔๒ ๓.๖ พยญั ชนะสนธิ ๔๗ ๓.๖.๑ การลบ (โลป) ๔๗ ๓.๖.๒ การแปลง (อาเทส) ๔๗ ๓.๖.๓ การลงพยญั ชนะ (อาคม) ๔๘ ๓.๖.๔ การคงที่ (ปกต)ิ ๔๘ ๓.๖.๕ การซอ้ นพยญั ชนะ (ส ฺโ ค) ๔๘ ๓.๗ นิคคหิตสนธิ ๓.๗.๑ การลบ (โลป) ๓.๗.๒ การแปลง (อาเทส)

(ฎ) ๔๙ ๔๙ ๓.๗.๓ การลงนิคคหิต (อาคม) ๕๐ ๓.๗.๔ การคงที่ (ปกติ) ๓.๘ สรุปท้ายบท ๕๗ บทที่ ๔ นามศพั ท:์ นามนาม ๕๗ ๕๘ ๔.๑ ความนา ๕๓ ๔.๒ ความหมายของนามนาม ๕๘ ๔.๓ ประเภทของนามนาม ๕๘ ๕๘ ๔.๓.๑ สาธารณนาม ๕๘ ๔.๓.๒ อสาธารณนาม ๕๙ ๔.๔ ลิงค์ ๖๐ ๔.๕ ประเภทของลิงค์ ๖๐ ๔.๖ ลิงค์ของนามนาม ๖๑ ๔.๗ วจนะ ๖๑ ๔.๘ วิภตั ติ ๖๒ ๔.๙ จานวนของวภิ ตั ตินาม ๖๒ ๔.๑๐ คาแปลประจาวภิ ัตติ ๖๒ ๔.๑๑ การนั ต์ ๗๒ ๔.๑๒ การแจกนามศัพทด์ ้วยวภิ ัตตินาม ๘๐ ๔.๑๒.๑ สามัญศพั ท์ ๔.๑๒.๒ กตปิ ยศพั ท์ (ปกิณณกศพั ท)์ ๘๖ ๔.๑๓ สรปุ ท้ายบท ๘๖ บทที่ ๕ นามศพั ท:์ คณุ นาม ๘๖ ๘๗ ๕.๑ ความนา ๘๗ ๕.๒ ความหมายของคุณนาม ๘๗ ๕.๓ ขนั้ ของคุณนาม ๘๗ ๘๘ ๕.๓.๑ คุณนามขั้นปกติ ๘๘ ๕.๓.๒ คุณนามขน้ั วเิ ศษ ๘๘ ๕.๓.๓ คณุ นามข้ันอตวิ เิ ศษ ๙๑ ๕.๔ ลงิ ค์ของคุณนาม ๕.๕ สงั ขยา ๕.๕.๑ ปกติสังขยา ๕.๕.๒ ปรู ณสังขยา

(ฏ) ๙๑ ๙๑ ๕.๖ การแจกสงั ขยา ๙๕ ๕.๖.๑ การแจกปกตสิ งั ขยา ๙๖ ๕.๖.๒ การแจกปรู ณสังขยา ๑๐๓ ๕.๗ สรปุ ทา้ ยบท ๑๐๓ บทที่ ๖ นามศพั ท:์ สพั พนาม ๑๐๓ ๑๐๔ ๖.๑ ความนา ๑๐๔ ๖.๒ ความหมายของสัพพนาม ๑๐๔ ๖.๓ ประเภทของสัพพนาม ๑๐๕ ๑๐๕ ๖.๓.๑ ปุรสิ สพั พนาม ๑๐๕ ๖.๓.๒ วิเสสนสัพพนาม ๑๐๗ ๖.๔ ลงิ ค์ของสัพพนาม ๑๑๑ ๖.๕ การแจกสพั พนาม ๖.๕.๑ การแจกปรุ สิ สัพพนาม ๑๒๐ ๖.๕.๒ การแจกวเิ สสนสัพพนาม ๖.๖ สรุปท้ายบท ๑๒๐ ๑๒๐ บทท่ี ๗ อพั ยยศพั ท์ ๑๒๑ ๑๒๑ ๗.๑ ความนา ๑๒๑ ๗.๒ ความหมายของอัพยยศพั ท์ ๑๒๒ ๗.๓ ประเภทของอัพยยศัพท์ ๑๒๕ ๗.๔ อุปสัค ๑๒๕ ๗.๕ หน้าทีข่ องอปุ สัค ๑๒๕ ๗.๖ ตวั อยา่ งคาศัพท์ทีม่ ีอุปสคั นาหน้า ๑๒๖ ๗.๗ นิบาต ๑๒๖ ๑๒๖ ๗.๗.๑ นบิ าตบอกอาลปนะ ๑๒๗ ๗.๗.๒ นิบาตบอกกาล ๑๒๗ ๗.๗.๓ นบิ าตบอกท่ี ๑๒๗ ๗.๗.๔ นบิ าตบอกปรจิ เฉท ๑๒๗ ๗.๗.๕ นิบาตบอกอปุ มาอุปไมย ๑๒๘ ๗.๗.๖ นิบาตบอกประการ ๗.๗.๗ นบิ าตบอกปฏิเสธ ๗.๗.๘ นบิ าตบอกการไดย้ นิ เล่าลือ ๗.๗.๙ นบิ าตบอกปริกปั ๗.๗.๑๐ นิบาตบอกการถาม

(ฐ) ๑๒๘ ๑๒๘ ๗.๗.๑๑ นบิ าตบอกการยอมรับ ๑๒๘ ๗.๗.๑๒ นิบาตบอกการเตือน ๑๒๙ ๗.๗.๑๓ นิบาตสาหรับผกู ศพั ท์และประโยค ๑๒๙ ๗.๗.๑๔ นบิ าตทาบทให้เต็ม ๑๓๐ ๗.๗.๑๕ นิบาตมีเนือ้ ความต่าง ๆ ๑๓๐ ๗.๘ ปัจจัย ๑๓๑ ๗.๘.๑ ประเภทปัจจัยนาม ๑๓๒ ๗.๘.๒ ประเภทปัจจยั กริยากติ ก์ ๗.๙ สรุปทา้ ยบท ๑๔๑ บทท่ี ๘ กรยิ า: กรยิ าอาขยาต ๑๔๑ ๑๔๒ ๘.๑ ความนา ๑๔๒ ๘.๒ ความหมายของกริยาอาขยาต ๑๔๓ ๘.๓ องคป์ ระกอบของกริยาอาขยาต ๑๔๓ ๘.๔ วิภัตติ ๑๔๔ ๑๔๕ ๘.๔.๑ วตั ตมานา ๑๔๖ ๘.๔.๒ ปัญจมี ๑๔๘ ๘.๔.๓ สตั ตมี ๑๔๙ ๘.๔.๔ ปโรกขา ๑๕๒ ๘.๔.๕ หยิ ตั ตนี ๑๕๓ ๘.๔.๖ อัชชตั ตนี ๑๕๔ ๘.๔.๗ ภวสิ สันติ ๑๕๔ ๘.๔.๘ กาลาตปิ ัตติ ๑๔๕ ๘.๕ กาล ๑๕๖ ๘.๕.๑ ปัจจุบันกาล ๑๕๗ ๘.๕.๒ อดีตกาล ๑๕๗ ๘.๕.๓ อนาคตกาล ๑๕๗ ๘.๖ บท ๑๕๘ ๘.๖.๑ ปรสั สบท ๑๕๘ ๘.๖.๒ อัตตโนบท ๑๕๘ ๘.๗ วจนะ ๑๕๘ ๘.๗.๑ เอกวจนะ ๑๕๙ ๘.๗.๒ พหวุ จนะ ๘.๘ บรุ ุษ ๘.๘.๑ ประถมบรุ ุษ

(ฑ) ๑๕๙ ๑๕๙ ๘.๘.๒ มธั ยมบุรุษ ๑๖๐ ๘.๘.๓ อุตตมบรุ ุษ ๑๖๐ ๘.๙ ธาตุ ๑๖๐ ๘.๙.๑ ความหมายของธาตุ ๑๖๐ ๘.๙.๒ ชนิดของธาตุ ๑๖๓ ๘.๙.๓ ธาตุ ๘ หมวด ๑๖๓ ๘.๑๐ วาจก ๑๖๓ ๘.๑๐.๑ ความหมายของวาจก ๑๖๓ ๘.๑๐.๒ ประเภทของวาจก ๑๖๓ ๑๖๔ ๑) กตั ตุวาจก (Active voice) ๑๖๔ ๒) กมั มวาจก (Passive voice) ๑๖๔ ๓) ภาววาจก (Impersonal voice) ๑๖๕ ๔) เหตกุ ตั ตุวาจก (Causative voice) ๑๖๕ ๕) เหตกุ ัมมวาจก (Causal passive voice) ๑๖๕ ๘.๑๑ ปจั จัย ๑๖๗ ๘.๑๑.๑ ความหมายของปจั จยั ๘.๑๑.๒ ปัจจัย ๕ หมวดตามวาจก ๑๘๑ ๘.๑๒ สรุปท้ายบท ๑๘๑ บทที่ ๙ กรยิ า: กรยิ ากติ ก์ ๑๘๒ ๑๘๒ ๙.๑ ความนา ๑๘๒ ๙.๒ ความหมายของกรยิ ากติ ก์ ๑๘๓ ๙.๓ ประเภทของกรยิ ากติ ก์ ๑๘๓ ๑๘๔ ๙.๓.๑ กรยิ ากิตก์ทวั่ ไป ๑๘๔ ๙.๓.๒ กริยากิตก์คงรูป ๑๘๔ ๙.๔ องคป์ ระกอบของกริยากิตก์ ๑๘๔ ๙.๕ วภิ ตั ติ ๑๘๕ ๙.๖ กาล ๑๘๕ ๙.๖.๑ ปัจจุบนั กาล ๑๘๕ ๙.๖.๒ อดีตกาล ๑๘๖ ๙.๗ วจนะ ๑๘๖ ๙.๗.๑ เอกวจนะ ๑๘๖ ๙.๗.๒ พหุวจนะ ๙.๘ ธาตุ ๙.๙ วาจก (Voices) ๙.๙.๑ กตั ตุวาจก (Active voice)

(ฒ) ๑๘๗ ๑๘๗ ๙.๙.๒ กัมมวาจก (Passive voice) ๑๘๗ ๙.๙.๓ ภาววาจก (Impersonal voice) ๑๘๗ ๙.๙.๔ เหตุกัตตวุ าจก (Causative voice) ๑๘๘ ๙.๙.๕ เหตกุ มั มวาจก (Causal passive voice) ๑๘๘ ๙.๑๐ ปจั จัย ๑๘๘ ๙.๑๐.๑ กิตปจั จัย ๑๘๘ ๙.๑๐.๒ กจิ จปัจจยั ๑๙๐ ๙.๑๐.๓ กิตกิจจปจั จัย ๙.๑๑ สรปุ ทา้ ยบท ๒๐๐ บทที่ ๑๐ นาม: นามกติ ก์ ๒๐๐ ๒๐๑ ๑๐.๑ ความนา ๒๐๑ ๑๐.๒ ความหมายของนามกิตก์ ๒๐๒ ๑๐.๓ ประเภทของนามกิตก์ ๒๐๒ ๑๐.๔ สาธนะ ๒๐๒ ๑๐.๕ ประเภทของสาธนะ ๒๐๒ ๒๐๒ ๑๐.๕.๑ กตั ตสุ าธนะ ๒๐๒ ๑๐.๕.๒ กัมมสาธนะ ๒๐๓ ๑๐.๕.๓ ภาวสาธนะ ๒๐๓ ๑๐.๕.๔ กรณสาธนะ ๒๐๓ ๑๐.๕.๕ สมั ปทานสาธนะ ๒๐๓ ๑๐.๕.๖ อปาทานสาธนะ ๒๐๓ ๑๐.๕.๗ อธกิ รณสาธนะ ๒๐๓ ๑๐.๖ ปัจจัยนามกิตก์ ๒๐๓ ๑๐.๖.๑ กิตปัจจยั ๒๐๓ ๑๐.๖.๒ กจิ จปจั จัย ๒๐๓ ๑๐.๖.๓ กิตกิจจปัจจัย ๒๐๔ ๑๐.๗ วเิ คราะห์นามกิตก์ตามลาดบั ปัจจยั ๒๐๔ ๑๐.๗.๑ หมวดกติ ปจั จยั ๒๐๕ ๑๐.๗.๒ หมวดกิจจปัจจัย ๒๐๕ ๑๐.๗.๒ หมวดกิตกจิ จปจั จยั ๒๐๕ ๑๐.๘ รูปวิเคราะหแ์ ละสาธนะ ๒๐๖ ๑๐.๘.๑ ลง กวฺ ิ ปัจจยั ๒๐๖ ๑๐.๘.๒ ลง ณี ปจั จัย ๑๐.๘.๓ ลง ณวฺ ุ ปจั จัย ๑๐.๘.๔ ลง ตุ ปัจจยั

(ณ) ๒๐๖ ๒๐๗ ๑๐.๘.๕ ลง รู ปจั จัย ๒๐๗ ๑๐.๘.๖ ลง ข ปจั จัย ๒๐๗ ๑๐.๘.๗ ลง ณฺย ปจั จยั ๒๐๘ ๑๐.๘.๘ ลง อ ปัจจัย ๒๐๙ ๑๐.๘.๙ ลง อิ ปัจจยั ๒๑๐ ๑๐.๘.๑๐ ลง ณฺ ปจั จยั ๒๑๐ ๑๐.๘.๑๑ ลง ตเว ปจั จัย ๒๑๑ ๑๐.๘.๑๒ ลง ติ ปจั จัย ๒๑๑ ๑๐.๘.๑๓ ลง ตุ ปจั จัย ๒๑๒ ๑๐.๘.๑๔ ลง ยุ ปัจจยั ๑๐.๙ สรุปทา้ ยบท ๒๑๘ บทท่ี ๑๑ สมาส ๒๑๘ ๒๑๘ ๑๑.๑ ความนา ๒๑๙ ๑๑.๒ ความหมายของสมาส ๒๑๙ ๑๑.๓ วิธีการยอ่ สมาส ๒๑๙ ๒๑๙ ๑๑.๓.๑ ยอ่ โดยการลบวภิ ัตติ ๒๑๙ ๑๑.๓.๒ ยอ่ โดยการไม่ลบวภิ ตั ติ ๒๒๐ ๑๑.๔ ประเภทของสมาส ๒๒๑ ๑๑.๔.๑ กมั มธารยสมาส ๒๒๒ ๑๑.๔.๒ ทคิ ุสมาส ๒๒๒ ๑๑.๔.๓ ตปั ปุริสสมาส ๒๒๓ ๑๑.๔.๔ ทวนั ทวสมาส ๒๒๕ ๑๑.๔.๕ อัพยยีภาวสมาส ๑๑.๔.๖ พหพุ พิหสิ มาส ๒๓๒ ๑๑.๕ สรุปท้ายบท ๒๓๒ บทท่ี ๑๒ ตทั ธติ ๒๓๒ ๒๓๓ ๑๒.๑ ความนา ๒๓๓ ๑๒.๒ ความหมายของตัทธติ ๒๓๘ ๑๒.๓ ประเภทของตัทธิต ๒๓๙ ๒๔๐ ๑๒.๓.๑ สามัญญตทั ธิต ๑๑.๓.๒ ภาวตทั ธติ ๑๑.๓.๓ อพั ยยตัทธิต ๑๒.๔ สรปุ ท้ายบท

(ด) บทท่ี ๑๓ ประโยค ๒๔๗ ๑๓.๑ ความนา ๒๔๗ ๑๓.๒ ความหมายของประโยค ๒๔๗ ๑๓.๓ องค์ประกอบของประโยค ๒๔๘ ๒๔๘ ๑๓.๓.๑ ภาคประธาน (Subject) ๒๔๘ ๑๓.๓.๒ ภาคแสดง (Predicate) ๒๔๘ ๑๓.๔ ชนดิ ของประโยค ๒๔๙ ๑๓.๔.๑ ประโยคภาษาบาลีตามลักษณะไวยากรณ์ ๒๔๙ ๒๔๙ ๑) ประโยคลงั คตั ถะ (Noun Phrase) ๒๔๙ ๒) ประโยคกตั ตวุ าจก (Active Voice) ๒๔๙ ๓) ประโยคกมั มวาจก (Passive Voice) ๒๕๐ ๔) ประโยคภาววาจก (Impersonal Voice) ๒๕๐ ๕) ประโยคเหตกุ ตั ตวุ าจก (Causative Voice) ๒๕๐ ๖) ประโยคเหตุกัมมวาจก (Causal Passive Voice) ๒๕๐ ๑๓.๔.๒ ประโยคภาษาบาลีตามลกั ษณะเน้ือความ ๒๕๑ ๑) เอกัตถประโยค (Simple Sentence) ๒๕๔ ๒) อเนกัตถประโยค (Compound Sentence) ๒๕๗ ๓) สงั กรประโยค (Complex Sentence) ๒๕๗ ๑๓.๔.๓ ประโยค ย กรยิ าปรามาส ๒๕๗ ๑๓.๔.๔ ประโยคแทรก ๒๕๗ ๑) ประโยคอนาทร ๒๕๘ ๒) ประโยคลกั ขณะ ๑๓.๕ สรปุ ท้ายบท ๒๖๖ บทที่ ๑๔ คาถาและอรรถกถา ๒๖๖ ๒๖๗ ๑๔.๑ ความนา ๒๖๗ ๑๔.๒ ความหมายของคาถาและอรรถกถา ๒๖๗ ๑๔.๓ ประเภทของคาถา ๒๖๗ ๒๖๗ ๑๔.๓.๑ คาถาทพี่ ระพุทธเจ้าตรัสเอง ๒๖๗ ๑๔.๓.๒ คาถาที่พระสาวก ฤาษี และเทวดา เป็นตน้ กล่าว ๒๖๗ ๑๔.๔ ลกั ษณะของถ้อยคาทเ่ี ก่ียวขอ้ งกบั คาถา ๒๖๗ ๑๔.๔.๑ ศพั ท์ ๒๖๘ ๑๔.๔.๒ บท ๑๔.๔.๓ บาท ๑๔.๕ ลกั ษณะของคาถาทเ่ี ป็นฉันทช์ นิดต่าง ๆ

(ต) ๒๖๘ ๒๖๙ ๑๔.๕.๑ ปัฐยาวตั รฉันท์ ๒๖๙ ๑๔.๕.๒ อนิ ทรวเิ ชียรฉันท์ ๒๗๐ ๑๔.๕.๓ อเุ ปนทรวิเชียรฉันท์ ๒๗๐ ๑๔.๕.๔ อินทรวงศฉันท์ ๒๗๑ ๑๔.๕.๕ วังสฏั ฐฉนั ท์ ๒๗๑ ๑๔.๕.๖ วสนั ตดิลกฉันท์ ๒๗๒ ๑๔.๖ ลักษณะของอรรถกถา ๑๔.๗ สรุปทา้ ยบท ๒๗๘ บทที่ ๑๕ การแปลบาลี ๒๗๘ ๒๗๙ ๑๕.๑ ความนา ๒๗๙ ๑๕.๒ ความหมายของการแปล ๒๗๙ ๑๕.๓ วธิ กี ารแปล ๒๘๐ ๒๘๐ ๑๕.๓.๑ การแปลโดยพยญั ชนะ (Literal Translation) ๒๘๐ ๑๕.๓.๒ การแปลโดยอรรถ (Meaning-based Translation) ๒๘๑ ๑๕.๔ การแปลบาลเี ป็นไทย (Pali Translation into Thai) ๒๘๓ ๑๕.๔.๑ วธิ ีการแปลบาลีเป็นไทย ๒๘๓ ๑๕.๔.๒ หลักการแปลบาลเี ปน็ ไทย ๒๘๓ ๑๕.๕ การแปลอาลปนะ ๒๘๕ ๑๕.๕.๑ ความหมายของอาลปนะ ๒๘๕ ๑๕.๕.๒ หลักการแปลอาลปนะ ๒๘๕ ๑๕.๖ การแปลนิบาตต้นขอ้ ความ ๒๘๕ ๑๕.๖.๑ ความหมายของนบิ าตต้นข้อความ ๒๘๕ ๑๕.๖.๒ หลกั การแปลนบิ าตตน้ ขอ้ ความ ๒๘๖ ๑๕.๗ การแปลกาลสัตตมี ๒๘๗ ๑๕.๗.๑ ความหมายของกาลสตั ตมี ๒๘๗ ๑๕.๗.๒ หลักการแปลกาลสัตตมี ๒๘๗ ๑๕.๘ การแปลบทประธาน ๒๘๙ ๑๕.๘.๑ ความหมายของบทประธาน ๒๘๙ ๑๕.๘.๒ ลกั ษณะของบทประธาน ๒๙๐ ๑๕.๘.๓ หลักการตรวจหาบทประธานในประโยค ๒๙๐ ๑๕.๘.๔ หลักการแปลบทประธาน ๒๙๑ ๑๕.๙ การแปลบททีเ่ นอื่ งด้วยบทประธาน ๒๙๔ ๑๕.๙.๑ ความหมายของบททีเ่ น่ืองดว้ ยบทประธาน ๑๕.๙.๒ หลกั การแปลบทท่เี น่อื งด้วยบทประธาน ๑๕.๑๐ การแปลกริยาในระหวา่ ง

(ถ) ๒๙๔ ๒๙๔ ๑๕.๑๐.๑ ความหมายของกรยิ าในระหว่าง ๒๙๙ ๑๕.๑๐.๒ หลกั การแปลกรยิ ากิตก์ที่ลง อนฺต และ มาน ปัจจัย ๓๐๓ ๑๕.๑๐.๓ หลักการแปลกรยิ ากติ ก์ทลี่ ง ต ปัจจยั ๓๐๘ ๑๕.๑๐.๔ หลกั การแปลกรยิ ากติ ก์ทล่ี ง ตนู าทิ ปัจจัย ๓๐๘ ๑๕.๑๑ การแปลบททเ่ี น่ืองดว้ ยกริยาในระหวา่ ง ๓๐๘ ๑๕.๑๒ การแปลประโยคแทรก ๓๐๙ ๑๕.๑๒.๑ ประโยคอนาทร ๓๑๐ ๑๕.๑๒.๒ ประโยคลกั ขณะ ๓๑๐ ๑๕.๑๓ การแปลกริยาคมุ พากย์ (Finite Verb) ๓๑๒ ๑๕.๑๓.๑ ความหมายของกรยิ าคุมพากย์ ๓๑๘ ๑๕.๑๓.๒ หลกั การแปลกรยิ าคุมพากย์ ๓๑๘ ๑๕.๑๔ การแปลบททเ่ี นอ่ื งดว้ ยกรยิ าคุมพากย์ ๓๑๙ ๑๕.๑๔.๑ บทท่ีเนอ่ื งดว้ ยกริยาคุมพากย์ ๓๑๙ ๑๕.๑๔.๒ หลักการแปลบททเ่ี นอ่ื งดว้ ยกรยิ าคมุ พากย์ ๓๑๙ ๑๕.๑๕ การแปลคาถาและอรรถกถา ๓๒๐ ๑๕.๑๕.๑ การแปลคาถา ๓๒๔ ๑๕.๑๕.๒ การแปลอรรถกถา ๑๕.๑๖ สรุปทา้ ยบท ๓๔๕ บทท่ี ๑๖ การแปลไทยเป็ นบาลี ๓๔๕ ๓๔๖ ๑๖.๑ ความนา ๓๔๖ ๑๖.๒ หลักการแปลไทยเป็นบาลี ๓๔๗ ๓๔๘ ๑๖.๒.๑ การเรยี งปฐมาวิภัตติ ๓๔๙ ๑๖.๒.๒ การเรยี งทตุ ิยาวิภตั ติ ๓๕๐ ๑๖.๒.๓ การเรียงตตยิ าวภิ ตั ติ ๓๕๑ ๑๖.๒.๔ การเรยี งจตุตถีวิภัตติ ๓๕๑ ๑๖.๒.๕ การเรยี งปญั จมวี ภิ ตั ติ ๓๕๒ ๑๖.๒.๖ การเรยี งฉฏั ฐีวิภตั ติ ๓๕๓ ๑๖.๒.๗ การเรยี งสัตตมีวภิ ตั ติ ๑๖.๒.๘ การเรียงอาลปนะ ๓๖๑ ๑๖.๓ สรุปทา้ ยบท ๓๖๑ บทท่ี ๑๗ การอา่ นบาลเี พอ่ื ความเขา้ ใจ ๓๖๒ ๑๗.๑ ความนา ๑๗.๒ ขอ้ ความบาลี (๑)

(ท) ๓๖๓ ๓๖๔ ๑๗.๓ ขอ้ ความบาลี (๒) ๓๖๕ ๑๗.๔ ข้อความบาลี (๓) ๓๖๖ ๑๗.๕ ข้อความบาลี (๔) ๓๖๗ ๑๗.๖ ข้อความบาลี (๕) ๓๖๘ ๑๗.๗ ข้อความบาลี (๖) ๓๖๙ ๑๗.๘ ข้อความบาลี (๗) ๓๗๑ ๑๗.๙ ขอ้ ความบาลี (๘) ๓๗๒ ๑๗.๑๐ ข้อความบาลี (๙) ๓๗๓ ๑๗.๑๑ ข้อความบาลี (๑๐) ๓๗๔ ๑๗.๑๒ ขอ้ ความบาลี (๑๑) ๓๗๕ ๑๗.๑๓ ขอ้ ความบาลี (๑๒) ๓๗๗ ๑๗.๑๔ ขอ้ ความบาลี (๑๓) ๓๗๘ ๑๗.๑๕ ขอ้ ความบาลี (๑๔) ๓๗๙ ๑๗.๑๖ ข้อความบาลี (๑๕) ๓๘๑ ๑๗.๑๗ ข้อความบาลี (๑๖) ๓๘๒ ๑๗.๑๘ ข้อความบาลี (๑๗) ๓๘๓ ๑๗.๑๙ ข้อความบาลี (๑๘) ๓๘๕ ๑๗.๒๐ ข้อความบาลี (๑๙) ๓๘๗ ๑๗.๒๑ ข้อความบาลี (๒๐) ๓๘๙ ๑๗.๒๒ ข้อความบาลี (๒๑) ๓๙๐ ๑๗.๒๓ ขอ้ ความบาลี (๒๒) ๑๗.๒๔ สรุปท้ายบท ๓๙๒ ๓๙๖ บรรณานกุ รม ๓๙๗ ภาคผนวก ๔๐๘ ภาคผนวก ก คาแปลข้อความบาลบี ทที่ ๑๗ ภาคผนวก ข เฉลยแบบฝึกหัดทา้ ยบท

(ธ) สารบญั ตารางและแผนภาพ ตารางท่ี การเทียบสระบาลกี ับสระโรมัน หนา้ ๒.๑ การเทยี บพยัญชนะบาลีกับพยญั ชนะโรมนั ๒๔ ๒.๒ อักษรท่เี กิดจากฐานเดียวและฐานกรณ์ ๒๕ ๒.๓ อักษรท่เี กิดจาก ๒ ฐาน และฐานกรณ์ ๒๙ ๒.๔ พยญั ชนะวรรคและอวรรคตามลกั ษณะของการออกเสียง ๒๙ ๒.๕ หลกั การแปลประโยคภาษาบาลีตามลาดับ ๙ ประการ ๓๑ ๑๕.๑ สรปุ หลักการแปลกริยากติ ก์ที่ลง อนตฺ และ มาน ปจั จยั ๒๘๒ ๑๕.๒ สรุปหลกั การแปลกรยิ ากติ ก์ท่ีลง ต ปจั จยั ๒๙๗ ๑๕.๓ สรุปหลกั การแปลกริยากติ ก์ที่ลง ตูนาทิ ปัจจัย ๓๐๒ ๑๕.๔ ๓๐๖ แผนภาพที่ กลุม่ ภาษาแมโ่ บราณตระกูลอินโด-ยโุ รเปี้ยน ๖ ๑.๑ โครงสร้างของอเนกัตถประโยค ๒๕๑ ๑๓.๑ ตัวอยา่ งโครงสร้างของประโยค ย-ต ๒๕๕ ๑๓.๒ การถา่ ยทอดข้อความจากภาษาต้นฉบบั เป็นภาษาฉบับแปล ๒๗๙ ๑๕.๑

บทท่ี ความรเู้ บอื้ งตน้ ๑ เกยี่ วกบั ภาษาบาลี Introduction to Pali วตั ถุประสงค์ประจาบทที่ ๑ เม่อื ศึกษาบทท่ี ๑ จบแลว้ นักศกึ ษา/ผู้ทสี่ นใจศึกษา สามารถ ๑. บอกความหมายของบาลีได้ ๒. บอกแหล่งกาเนิดของภาษาบาลีได้ ๓. อธิบายความเปน็ มาและพัฒนาการของภาษาบาลีได้ ๔. บอกได้ว่าภาษาบาลมี ีความเกี่ยวขอ้ งกับพระพุทธศาสนาอย่างไร ๕. ระบคุ ัมภรี ์พระพุทธศาสนาฉบับภาษาบาลไี ด้ ๖. อธิบายเก่ียวกับการใชค้ าภาษาบาลีในภาษาไทยได้ ๗. บอกความสาคัญของภาษาบาลีได้ ๘. บอกประโยชนข์ องการศึกษาภาษาบาลีได้ ๑.๑ ความนา เม่ือพูดถึงภาษาบาลี ผู้คนส่วนใหญ่มักจะคิดว่าเป็นภาษาที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา โดย เปน็ ภาษาท่ใี ช้บันทึกคาสัง่ สอนของพระพุทธเจา้ เป็นภาษาทม่ี รี ะเบียบแบบแผน มกี ฎเกณฑ์ หรอื มรี ะบบ ไวยากรณ์ท่ีเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองอยา่ งชัดเจน แตถ่ า้ ถามว่า “บาลี” หรอื “ภาษาบาลี” แปลว่าอะไร มีความหมายว่าอย่างไร คนส่วนใหญ่อาจจะมองแตกต่างกันโดยอ้างอิงที่มาต่างกันหรือแสดงเหตุผล ส่วนตัวตา่ งกัน ดังนั้น ในบทแรกน้ี จะนาเสนอเน้ือหาสาระสาคัญด้านความรู้เบ้ืองต้นเกี่ยวกับภาษาบาลี ดังกล่าว จานวน ๘ ประเด็น ได้แก่ ๑) ความหมายของบาลี ๒) แหล่งกาเนิดของภาษาบาลี ๓) ความ เป็นมาและพัฒนาการของภาษาบาลี ๔) ภาษาบาลีกับพระพุทธศาสนา ๕) คัมภีร์พระพุทธศาสนาฉบับ ภาษาบาลี ๖) การใช้คาภาษาบาลีในภาษาไทย ๗) ความสาคัญของภาษาบาลี และ ๘) ประโยชน์ของ การศกึ ษาภาษาบาลี โดยมีรายละเอียด ดังต่อไปนี้

๒ ๑.๒ ความหมายของบาลี คาวา่ “บาลี” ได้มีนักปราชญ์หรือคัมภีรต์ ่าง ๆ ให้ความหมายไว้ ดงั น้ี ๑.๒.๑ คัมภีร์อภิธานัปปทีปกิ า กล่าวว่า คาวา่ “บาลี” มาจาก ปา ธาตุ แปลวา่ รักษา ลง ฬิ ปัจจัย จึงมีรูปสาเร็จเป็น “ปาฬิ” หรือ “ปาลิ” ดังหลักฐานว่า “ปา รกฺขเณ, ฬิ. ปาติ รกฺขตีติ ปาฬิ. ปาลิ อติ ิ เอกจเฺ จ.” นอกจากนี้ ยังมีหลกั ฐานแสดงเพ่มิ เตมิ ในรูปแบบของคาถา ดงั นี้ ปาฬสิ ทฺโท ปาฬธิ มเฺ ม ตฬากปาฬยิ มฺปิ จ ทิสสฺ เต ปนฺติยเํ ยว อติ ิ เ ยฺยํ วชิ านตา.๑ ในคาถานี้ คาวา่ “ปาฬิธมฺเม” หมายถงึ บาลธี รรมหรือปริยัติธรรม คาว่า “ตฬากปาฬิยมฺปิ” หมายถึง ขอบสระ และคาวา่ “ปนฺติยเยว” หมายถึง บรรทัด, แถว, แนว หรือระเบียบ จากความหมาย ทั้ง ๓ คาน้ี อาจอธิบายได้ว่า คาว่า บาลีธรรมหรือปริยัติธรรม หมายถึง เคร่อื งรกั ษาพระสัทธรรม คาว่า ขอบสระ หมายถึง เคร่ืองกั้นมิให้ตัวพระพุทธพจน์กระจัดกระจาย และคาว่า บรรทัด แถว แนว หรือ ระเบียบ หมายถึง เคร่ืองจัดตัวพระพุทธพจน์ให้เป็นแนวเป็นระเบียบ ฉะน้ัน คาว่า “บาลี” ตามนัย ดังกลา่ วมา จึงควรหมายถึง ตวั พระพุทธพจน์ ๑.๒.๒ พระพทุ ธโฆษาจารย์ ได้ให้คาจากดั ความไว้ ดังน้ี ๑) คาว่า “บาลี” หมายถึง ภาษาท่ีรักษาเน้ือความไว้ มาจากรากศัพท์ว่า ปาลฺ แปลว่า รักษา ซึ่งมาจากรูปวิเคราะห์ว่า อตฺถํ ปาเลตีติ ปาลี: ภาษาใดย่อมรักษาซึ่งเน้ือความ เพราะเหตุ นั้น ภาษานน้ั ช่ือ บาลี๒ ๒) คาว่า “บาลี” หมายถึง ตัวคัมภีร์พระไตรปิฎก ดังหลักฐานว่า “ปริปุจฺฉา นาม ปาลิอฏฺ กถาทีสุ คณฺ ปทอตฺถปทวินิจฺฉยกถา: การกล่าววนิ ิจฉัยคัณฐีบทและอรรถกถาในคัมภีรท์ ้ังหลาย อาทิ พระไตรปฎิ ก และอรรถกถา ช่อื วา่ ปรปิ ุจฉา”๓ ๓) คาว่า “บาลี” หมายถึง ตัวพระพุทธพจน์ ดังหลักฐานว่า “ตํ ปน อตฺตโน มตึ คเหตฺวา กเถนฺเตน น ทฬฺหคาหํ คเหตฺวา โวหริตพฺพํ การณํ สลฺลกฺเขตฺวา อตฺเถน ปาลึ ปาลิยา จ อตฺถํ สํสนฺเทตฺวา กเถตพฺพํ: อันผู้ศกึ ษา เม่ือจะยึดอัตตโนมติมากล่าว (อธิบายธรรมวินัย) ไม่ควรจะกล่าวอย่าง ๑ พระมหาเถรสุภูติ (แหง่ ลังกาทวีป), อภิธานปปฺ ทปี กิ าสูจิ, (กรงุ เทพฯ: มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๕), หน้า ๖๒๕. ๒ พระพุทธโฆษาจารย์, สมันตปาสาทิกา นาม วินยัฏฐกถาย ปฐโม ภาโค, (กรุงเทพฯ: มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๒๔), หน้า ๒๗๒. ๓ พระพทุ ธโฆษาจารย,์ วิสุทธิมัคคัสส นาม ปกรณวิเสสัสส ตตโิ ย ภาโค, (กรงุ เทพฯ: มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๒๒), หนา้ ๙.

๓ เช่ือม่ันเกินไป ควรจะกาหนดเหตุ เทียบเคียงพระไตรปิฎก (ตัวพระพุทธพจน์) กับเนื้อความ และ เทยี บเคยี งเน้อื ความกบั พระไตรปิฎก (ตวั พระพุทธพจน)์ เสียกอ่ น แลว้ จึงกล่าว”๔ ๑.๒.๓ ปทานุกรมบาลีอังกฤษของสมาคมบาลีปกรณ์ ได้แสดงศัพท์ไว้ทั้ง ๒ รูป คือ ปาลิ และ ปาฬิ ซ่ึงทั้งสองคานี้ มิได้หมายถึง ภาษา แต่หมายถึง พระพุทธวจนะ หรือ เนื้อความดั้งเดิมใน พระไตรปิฎก และไดใ้ ห้ความหมายของคาว่า บาลี ไว้ ๒ นัย ดงั น้ี ๑) แถว, แนว เช่น ทนั ตปาลิ (แถวแห่งฟัน) ๒) ธรรม, ปริยัตธิ รรม ตาราธรรมของพระพุทธศาสนาทีเ่ ป็นหลักด้ังเดิม๕ ๑.๒.๔ พจนานุกรมบาลี-ไทย ของ ป. หลงสมบญุ ได้ให้ความหมายของคาว่า บาลี ไว้ ๔ นัย ดังน้ี ๑) บาลี หรือ พระบาลี หมายถึง พระปรยิ ัติธรรม คอื พระพุทธพจน์อันเป็นหลักเดิม ไดแ้ ก่ คาในพระไตรปิฎก ๒) บาลี หมายถึง ภาษาท่ีใช้เป็นหลักในพระพุทธศาสนา (รักษาอรรถ) โดยคาว่า บาลี มาจาก ปาลฺ ธาตุ ลง อิ ปัจจยั ๓) บาลี หมายถึง ระเบียบคาที่พุทธาทิบัณฑิตประกาศ โดยคาว่า บาลี มาจาก ป บทหน้า อาลิ ธาตุ ลง อ ปัจจยั ๔) บาลี แปลว่า คมดาบ, ขอบ, ปาก, ราว, ป่า, แถว, แนว, ลาดับ, เหตุ, มลู เค้า๖ ๑.๒.๕ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ ได้ให้ความหมายว่า บาลี คือ ภาษาท่ีใชเ้ ป็นหลกั ในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท, คมั ภีรพ์ ระไตรปฎิ ก, พุทธพจน์ จากความหมายตา่ ง ๆ ของคาว่า บาลี ตามท่ีได้กลา่ วมาแลว้ นี้ อาจสรปุ ไดเ้ ป็น ๓ นัย ดังน้ี ๑) บาลี หมายถึง ภาษา หรือตัวภาษาท่ีใช้เป็นหลักในการรักษาพระพุทธพจน์ หรือ บันทึกพระพทุ ธพจน์เอาไว้อย่างเปน็ ระเบียบ ๒) บาลี หมายถงึ ตวั พระพุทธพจน์โดยตรง ๓) บาลี หมายถงึ ตวั คมั ภรี พ์ ระไตรปิฎกที่รกั ษาพระพทุ ธพจน์ ๔ พระพุทธโฆษาจารย์, สมันตปาสาทิกา นาม วินยัฏฐกถาย ปฐโม ภาโค, (กรุงเทพฯ: มหามกุฏราช วิทยาลยั , ๒๕๒๔), หน้า ๒๗๒. ๕ สมาคมบาลีปกรณ์, พจนานุกรมบาลีอังกฤษ, อ้างถึงใน คณาจารย์มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช วทิ ยาลยั “แตง่ แปลบาลี”, (กรงุ เทพฯ: หจก. นวสาสน์ การพิมพ,์ ๒๕๕๑), หนา้ ๔. ๖ ป.หลงสมบญุ , พจนานกุ รมบาล-ี ไทย, (กรุงเทพฯ: ครุ สุ ภาลาดพร้าว, ๒๕๑๙), หนา้ ๔๐๕.

๔ ๑.๓ แหลง่ กาเนิดของภาษาบาลี แหล่งหรือถิ่นกาเนิดของภาษาบาลี เป็นปัญหาที่ถกเถียงกันมานานแล้ว คงเป็นเพราะผู้ที่ ถกเถียงกันนั้น ส่วนใหญ่หรือท้ังหมดไม่มขี ้อมูลเชิงประจักษ์ หรอื ขาดข้อมูลร่วมสมัยเม่ือครั้งท่ีภาษาบาลี กาเนิดเกิดมา กล่าวไดว้ ่า บรรดาผู้ที่ถกเถียงกันท้ังหมดนั้น ไม่มีใครทม่ี ีชวี ิตอยู่ในขณะท่ภี าษาบาลกี าเนิด หรือไม่มีใครเป็น “สหชาต” (ผู้เกิดร่วมวันเดือนปีเดียวกัน) กับภาษาบาลี จึงไม่รู้ไม่เห็นด้วยตัวเองว่า ภาษาบาลีกาเนิดจากแหล่งใด หรือถิ่นใด คงได้แต่สันนิษฐานกันโดยอ้างหลักฐานประกอบบ้างตาม สมควร ซึ่งในท่ีน้ีจะขอแสดงมติหรือความเช่ือเกี่ยวกับแหล่งกาเนิดของภาษาบาลี ตามที่นักปราชญ์ได้ นาเสนอไว้เพยี ง ๒ มติ ดังน้ี ๑.๓.๑ แหล่งกาเนิดของภาษาบาลีคือแคว้นมคธ: นักปราชญ์ส่วนใหญ่ทั้งบรรพชิตและ คฤหัสถ์ เช่น พระพุทธโฆษาจารย์ ไกเกอร์ (Wilhelm Geiger)๗ เป็นต้น เช่อื ว่าภาษาบาลีมีถนิ่ กาเนิดอยู่ ท่ีแคว้นมคธ โดยได้แสดงเหตุผลว่า พระพุทธเจ้าแม้พระองค์จะเป็นชาวแคว้นโกศลโดยกาเนิด แต่ พระองคก์ ใ็ ช้เวลาส่วนใหญเ่ ผยแผ่พระพทุ ธศาสนาอย่ทู ี่แคว้นมคธ ภาษาบาลจี งึ น่าจะมีรากฐานจากภาษา มาคธี ซ่ึงเป็นภาษาของชาวแคว้นมคธ เป็นภาษาชั้นสูงท่ีมีวัฒนธรรมทางภาษาดีมาตั้งแต่ก่อนสมัย พุทธกาล และเป็นภาษากลางทีผ่ คู้ นตา่ งชาติตา่ งวัฒนธรรมใช้เปน็ สื่อในการสนทนาปราศรยั ๑.๓.๒ แหล่งกาเนิดของภาษาบาลีคือแคว้นโกศล : รีส เดวิดส์ (T.W. Rhys Davids)๘ กล่าวว่า ภาษาบาลีเป็นภาษาที่มีรากฐานมาจากภาษาของชาวแคว้นโกศล โดยได้แสดงเหตุผลไว้ว่า แคว้นโกศลเป็นสถานท่ีประสูติของพระพุทธเจ้า พระพุทธพจน์ได้เกี่ยวข้องกับ ๒ อาณาจักร คือ อาณาจักรโกศลและอาณาจักรมคธ ศูนย์กลางของพระพุทธศาสนา อยู่ที่ ๒ อาณาจักรน้ี ยิ่งกว่าน้ัน กรุง กบิลพัสดุ์ เมืองหลวงของแคว้นสักกะ อันเป็นสถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้าอยู่ในแคว้นโกศล เหมือนกัน ภาษาแมข่ องพระพุทธเจ้าก็คอื ภาษาของชาวโกศล ดังน้ัน พระพุทธเจา้ อาจทรงแสดงธรรมที่ ตรัสรู้ด้วยภาษาหน่ึงที่ใช้พูดกันในแคว้นโกศลและแคว้นมคธ เช่นเดียวกับภาษาฮินดูที่ใช้พูดกันในรัฐ อุตรประเทศและรฐั พิหารในปจั จบุ นั โดยนัยน้ี แหล่งกาเนิดของภาษาบาลีจึงน่าจะอยใู่ นแคว้นโกศล นอกจากนย้ี ังมนี ักปราชญอ์ ีกหลายท่าน ได้แสดงมติหรือความเชื่อของตนเกย่ี วกับแหลง่ กาเนิด ของภาษาบาลีไว้ต่างกัน แต่ยังขาดหลักฐานทางประวัติศาสตร์ยืนยัน จึงมิได้นามาแสดงในที่นี้ ส่วนตัว ผู้เขียนเองค่อนขา้ งเห็นด้วยกับมติแรกดังกล่าวข้างตน้ คือเห็นว่าภาษาบาลีมีแหล่งกาเนิดอยู่ท่ีแควน้ มคธ และเป็นภาษาที่มีรากฐานมาจากภาษามาคธี หรืออาจกล่าวได้ว่าภาษาบาลีกับภาษามาคธีเป็นภาษา ๗ Wilhelm Geiger. Pali Literature and Language. English Version Translated from Pali Literature and Sprache by Batakrishna Ghosh. Second Edition. (Delhi: Taj offsef Press. 1968). pp. 1-7 FF. ๘ Rhyds Savid, T.W. and Oldenberg, Hermann. Translators. Secred Books of The East. Vol.xx (Vinaya Pitaks: Part III). (Delhi: Shri Jainendra Press. 1969)

๕ เดียวกันเพราะมีลักษณะโครงสร้างทางภาษาเหมือนกัน แม้จะมีความแตกต่างกันบ้างในด้านพยัญชนะ และเสียงก็ตาม ความแตกต่างดังกล่าวน้เี ป็นธรรมชาติของภาษาทัว่ ไปที่ใช้ในชีวิตประจาวนั เมื่อวันเวลา ผ่านไปเป็นเวลานาน ย่อมมีส่วนท่ีเปลี่ยนไป เช่นภาษาไทยในสมัยพ่อขุนรามคาแหง เม่ือเวลาผ่านไป จนถึงปัจจุบันมีหลายส่วนท่ีไม่เหมือนภาษาไทยสมัยปัจจุบัน หรือส่วนใหญ่ปัจจุบันเลิกใช้แล้ว โดยนัยน้ี กลา่ วไดว้ ่าภาษาไทยในสมัยปจั จุบันมรี ากฐานมาจากภาษาไทยในสมัยพ่อขนุ รามคาแหง ๑.๔ ความเปน็ มาและพัฒนาการของภาษาบาลี ตามประวัติศาสตรอ์ นิ เดยี ไดก้ ล่าวไวว้ า่ เม่ือคร้ังสมยั ดึกดาบรรพ์ประมาณ ๒,๐๐๐-๓,๐๐๐ ปี ก่อนพุทธศักราช ได้มีชนชาติหน่ึงเรียกว่า “อารยัน” ซึ่งถือว่าเป็นบรรพบุรุษของชาวอินเดีย ได้ย้ายถ่ิน ฐานมาจากทางเหนือของอินเดีย๙ ข้ามภูเขาหิมาลัย รุกไล่เจ้าของถ่ินเดิมท่ีเรียกว่า “มิลักขะ” ให้ถอยลง มาทางใต้แลว้ เขา้ ตั้งถน่ิ ฐานแทน พร้อมกันนน้ั ก็ได้นาเอาภาษาและวัฒนธรรมประเพณตี ่าง ๆ ของตนเข้า มาดว้ ย โดยเฉพาะภาษาท่ปี รากฏอยู่ในคัมภีร์พระเวทซึง่ เรียกว่า “ไวทิกภาษา” (Vedic language) น้ัน ถือว่าเป็นภาษาอารยันสมัยแรกที่ใช้เป็นเครื่องมือในการติดต่อสื่อสารท่ีสาคัญอย่างหนึ่งที่ชาวอารยัน นาเข้ามาและภาษาในรูปเดิมของชาวอารยันน้ี กล่าวกันว่า มีรากฐานมาจากภาษาแม่ตระกูลอินโด-ยุโร เป้ียน (Indo-European) หรืออินเดีย-ยุโรป ซ่ึงเป็นตระกูลหนึ่งของภาษาที่มีวิภัตติปัจจัย ดูแผนภาพท่ี ๑.๑ ๙ ชนชาตอิ ารยนั ไดย้ า้ ยไปทางยโุ รปพวกหนึ่ง อีกพวกหนึง่ ไดย้ า้ ยมาอนิ เดยี ตอนใต้

๖ กล่มุ ภาษาแม่โบราณตระกูลอินโด-ยุโรเป้ียน (Proto Indo-European) (๑) อนาโตเลียน อินโด-อริ าเนยี น (๑๐) (Anatolian) (Indo-Iranian) (๒) โตชาเรียน บอลโต-สลาวคิ (๙) (Tocharian) (Balto-Slavic) (๓) อลั บาเนียน กรีก (๘) (Albanian) (Greek) (๔) อารีมเี นียน เซลติค (๗) (Arminian) (Celtic) (๕) เยอรมนั นิค อิตาลิค (๖) (Germanic) (Italic) แผนภาพท่ี ๑.๑ กล่มุ ภาษาแม่โบราณตระกลู อินโด-ยุโรเป้ียน จากแผนภาพที่ ๑.๑ จะเห็นว่า กลุ่มภาษาแม่โบราณตระกูลอินโด-ยุโรเปี้ยน (Proto Indo- European) มีจานวน ๑๐ ภาษา ได้แก่ (๑) ภาษาอนาโตเลียน (Anatolian) (๒) ภาษาโตซาเรียน (Tocharian) (๓) ภาษาอัลบาเนียน (Albanian) (๔) ภาษาอารีมีเนียน (Arminian) (๕) ภาษาเยอรมัน นิค (Germanic) (๖) ภาษาอิตาลิค (Italic) (๗) ภาษาเซลติค (Celtic) (๘) ภาษากรกี (Greek) (๙) ภาษา บอลโต-สลาวคิ (Balto-Slavic) และ (๑๐) ภาษาอินโด-อิราเนยี น (Indo-Iranian) ภาษาอารยันในสมัยแรก ท่ีว่ามีรากฐานมาจากภาษาแม่ตระกูลอินโด-ยุโรเปี้ยน (Indo- European) น้ัน ได้กลายเป็นภาษาแม่ของภาษาต่าง ๆ ในอนิ เดีย เช่น ภาษาบาลี ภาษาสันสกฤต ภาษา อนิ ดี ภาษาเบงกาลี เปน็ ต้น

๗ กล่าวเฉพาะภาษาบาลี ภาษาบาลีไดส้ ืบเช้ือสายมาจากภาษาปรากฤต และภาษาปรากฤตเอง ก็สืบเช้ือสายมาจากภาษาแม่ตระกูลอินโด-อิราเนียน (Indo-Iranian) อีกทอดหนึ่ง ภาษาบาลีดังกล่าวน้ี มีพัฒนาการมายาวนาน และได้มีการนาภาษาบาลีมาใช้เพื่อบันทึกพระพุทธวจนะในพระพุทธศาสนา นกิ ายเถรวาทเปน็ จานวนมาก ไกเกอร์ (Wilhelm Geiger) นกั ปราชญ์บาลีชาวเยอรมัน ไดเ้ ขียนหนังสือ ในสมัยศตวรรษท่ี ๑๙ ชื่อ Pali Literature and Language โดยแบ่งพัฒนาการรูปแบบ หรือ ลักษณะของภาษาบาลีไว้ ๔ ยคุ ซึ่งอาจสรุปได้ ดังน้ี ๑.๔.๑ ยุคคาถา (The Language of the Gãthãs) ภาษาบาลีท่ีใช้ในยุคน้ี เป็นภาษาคาถา คือภาษาท่ีประพันธ์เป็นคาถาหรือร้อยกรอง รูปคาหรือศัพท์ท่ีใช้มีลักษณะเหมือนภาษาอินเดียโบราณ เพราะการใช้คายังเก่ียวข้องกับภาษาไวทิกะ (Vedic language) ท่ีใช้บันทึกคาสอนในคัมภีร์พระเวท อัน เป็นคัมภีร์ทางศาสนาท่ีเก่าที่สุดของชาวอารยัน ภาษาคาถาน้ีเป็นภาษาที่ใช้บันทึกพระพุทธวจนะคร้ัง แรกเพ่อื สะดวกแก่การทอ่ งจาดว้ ยปาก (มุขปาฐะ) และถือเป็นภาษาบาลียุคแรก ๑.๔.๒ ยุคร้อยแก้วในพระไตรปิฎก (The Language of the Canonical Prose) ภาษา บาลีที่ใช้ในยุคน้ี เป็นภาษาร้อยแก้ว เรียกว่า “ร้อยแก้วในพระไตรปิฎก” หรือ “ร้อยแก้วคอคาถา” (ร้อยแก้วก่อนกล่าวหรือตรัสคาถา) รูปแบบของภาษาที่ใช้มีลักษณะการแต่งเติมภายหลัง เพื่อประกอบ พระพุทธวจนะ อันเป็นภาษาคาถาหรือร้อยกรองในยุคแรก โดยนัยนี้ จึงอาจกล่าวได้ว่าภาษาบาลีใน พระไตรปิฎกได้เขียนขึ้นในยคุ นี้ ๑.๔.๓ ยุคร้อยแก้วระยะหลัง (The Later Prose of the Post Canonical Literature) ภาษาบาลีในยุคนี้ เป็นภาษาร้อยแก้วระยะหลัง อาจเรียกวา่ “ร้อยแก้วรุ่นอรรถกถา” คือเป็นภาษาร้อย แก้วท่ีพระอรรถกถาจารย์ต่าง ๆ ได้แต่งขึ้นในภายหลัง ซ่ึงเป็นช่วงระยะเวลาหลังจากยุคร้อยแก้วใน พระไตรปิฎก ราวศตวรรษที่ ๕ เป็นต้นไป ดังตัวอย่างในคัมภีร์ทั้งหลาย เช่น มิลินทปัญหา วิมุตติมรรค วสิ ทุ ธิมรรค เปน็ ตน้ ลักษณะภาษาท่ีใช้ ก็อาศยั รากฐานจากพระไตรปิฎก มีการใช้ภาษาประดษิ ฐ์รปู แบบ ใหม่ ๆ และมีการดดั แปลงคามาใช้ ๑.๔.๔ ยุคร้อยกรองประดิษฐ์ (The Language of Later Artificial Poetry) ภาษาบาลีใน ยคุ นี้ เป็นภาษาร้อยกรองประดิษฐ์ ลักษณะของภาษาทใี่ ช้ไม่สมา่ เสมอ มกี ารผสมผสานระหว่างรูปคาเก่า กับรปู คาใหม่ คอื ผแู้ ต่งสร้างคาใหม่ ๆ ขึน้ ใชเ้ พอ่ื ให้ไพเราะ สวยงาม และเหมาะสมกับช่วงเวลาน้นั ๆ จากรูปแบบหรือลักษณะต่าง ๆ ของภาษาบาลีท่ีใช้ในยุคต่าง ๆ ดังกล่าวมานี้ โดยภาพรวม แล้วเห็นว่าภาษาบาลีมีรูปแบบหรือลักษณะผสม คือ มีทั้งร้อยกรอง ร้อยแก้ว ภาษาเก่า ภาษาใหม่ ซึ่ง เป็นธรรมชาติของภาษาทวั่ ไปท่ีจะต้องมพี ัฒนาการไปตามผู้ใช้ และตามกาลเวลาอนั เหมาะสมกบั ยุคสมัย นอกจากพัฒนาการของภาษาบาลีตามยุคต่าง ๆ ดังกลา่ วมาแล้ว ภาษาบาลยี ังมีพัฒนาการใน ยุคต้น ๆ ของการประกาศพระพุทธศาสนาจนกระทัง่ ใช้บนั ทึกพระพุทธวจนะลงในคัมภีร์ ซงึ่ ในประเด็นน้ี มีผ้รู ูไ้ ด้ใหท้ ศั นะไว้ ดังนี้

๘ ๑) เน่ืองด้วยพระพุทธเจ้า เมื่อทรงใช้ภาษามาคธี (ภาษามคธ) เป็นหลักในการประกาศ พระพุทธศาสนาให้เข้าถึงชนทุกช้ันวรรณะ ได้ทรงปรับปรุงแก้ไขภาษาสุทธมาคธี ซ่ึงชั้นเดิมเป็นภาษา ปรากฤตให้ดีข้ึน เม่ือเป็นภาษามาคธี ก็เป็นภาษามาคธีที่ดีและไพเราะข้ึนโดยอานุภาพของพระพุทธเจ้า ภาษามาคธีจงึ มีชื่อเรียกเสียใหมว่ า่ “บาลี” ซึง่ แปลว่า “แบบแผน” ๒) พระพุทธเจ้าทรงใช้ภาษามาคธีเป็นสื่อในการประกาศศาสนาของพระองค์ และทรง ปรับปรงุ ภาษามาคธใี ห้ดีขึน้ เพ่ือให้ชนทุกช้ันวรรณะเข้าใจ เมื่อภาษามาคธีเป็นภาษาท่ดี ีและไพเราะด้วย อานุภาพของพระพุทธเจ้า ก็มีการใช้ภาษามาคธีเพ่ือจารึกคาสอนทางพระพุทธศาสนา ภาษามาคธีจึงมี ชื่อเรยี กวา่ “ภาษาบาลี”๑๐ ในปัจจุบันน้ี มีการศึกษาภาษาบาลีกันอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในประเทศที่นับถือ พระพุทธศาสนาเถรวาท เช่น ไทย เมยี นมาร์ ลังกา เป็นตน้ กล่าวโดยเฉพาะประเทศไทย ถือว่า ภาษาบาลีมีบทบาทท่ีสาคัญยิ่งท้ังในแง่ของการพูด และการเขียน เพราะภาษาไทยมีไม่เพียงพอต่อการใช้ จึงยืมภาษาบาลีมาใช้เป็นจานวนมาก และมี การศึกษากันอย่างตอ่ เนื่องท้ังในฝ่ายพุทธจกั รและอาณาจักร รูปแบบของภาษาก็มีลกั ษณะผสมผสานท้ัง ร้อยกรอง ร้อยแก้ว ภาษาเก่า ภาษาใหม่ อักษรที่ใช้ก็เป็นอักษรไทย หรือเรียกว่า “ภาษาบาลี อักษรไทย” ๑.๕ ภาษาบาลกี บั พระพุทธศาสนา ในสมยั พุทธกาล ปราชญท์ ั้งหลายเชอ่ื กนั วา่ พระพทุ ธเจ้าได้ทรงใชภ้ าษาบาลี (ซ่งึ พฒั นามาจาก ภาษามาคธี) เปน็ หลักในการประกาศพระพุทธศาสนา คาสั่งสอนของพระองค์ท่บี ันทึกไว้ในพระไตรปิฎก ในกาลต่อมา ก็ใช้ภาษาบาลี คัมภีร์อรรถกถาต่าง ๆ ที่แต่งข้ึนเพ่ืออธิบายพระพุทธวจนะก็ใช้ภาษาบาลี รวมทั้งคัมภีรอ์ ่ืน ๆ ที่แต่งข้ึนเพ่ืออธิบายข้อธรรมตา่ ง ๆ เช่น ฎีกา อนุฎีกา เป็นต้น ก็ใช้ภาษาบาลี ภาษา บาลจี งึ อย่ใู นฐานะภาษาท่รี กั ษาพระพทุ ธศาสนา โดยเฉพาะพระพทุ ธศาสนาเถรวาท ต่อมาเมื่อพระพุทธศาสนาเถรวาทได้กลายมาเป็นศาสนาสาคัญในประเทศไทย การจะรับเอา พระพุทธศาสนามาปฏิบัติ จาเป็นต้องศึกษาหัวข้อธรรม แนวทางปฏิบัติ และขนบธรรมเนียมประเพณี ต่าง ๆ ถ้อยคาที่ใช้ในพระพุทธศาสนานั้น เป็นถ้อยคาท่ีถ่ายทอดด้วยภาษาสามัญทั่วไปไม่ได้ เพราะไม่ ลึกซ้ึงหรือสื่อความหมายได้ไม่ชัดเจน จึงจาเป็นต้องศึกษาภาษาบาลีเพื่อศึกษาหลักคาสอนให้เข้าใจและ ลึกซึ้ง เมื่อมีการศึกษาภาษาบาลีก็เท่ากับได้ศึกษาพระพุทธศาสนา หรือเม่ือศึกษาพระพุทธศาสนาก็ เท่ากับได้ศึกษาภาษาบาลีไปด้วย ดังน้ัน ภาษาบาลีกับพระพุทธศาสนาย่อมมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกัน อยา่ งใกล้ชิด หรืออาจกลา่ วได้วา่ ภาษาบาลกี บั พระพุทธศาสนาเปน็ อนั เดียวกนั ๑๐ อารีย์ สหชาติโกสีย์, เทียบลักษณะคาบาลีสันสกฤตกับคาไทยตอนท่ี ๑-๒, (อักขรวิธี, วิจีวิภาค), (กรงุ เทพฯ: มหาวทิ ยาลยั ศรีนครนิ ทรวโิ รฒ, ๒๕๑๗), หนา้ ๕.

๙ ปัจจุบันในประเทศไทย เม่ือพูดถึงบาลี คนส่วนหนึ่งเข้าใจกันว่า บาลีเป็นภาษา และเรียกว่า “ภาษาบาลี” ในขณะท่คี นอีกส่วนหนึ่งโดยเฉพาะในวงการคณะสงฆ์ไทยเข้าใจว่าบาลีเป็นพระพุทธพจน์ และเรียกว่า “พระบาลี” ท้งั นี้เพราะภาษาบาลีกับพระพทุ ธศาสนามีความสัมพนั ธ์กันอยา่ งใกล้ชิด กลา่ ว ไดว้ ่าเป็นอนั เดียวกันดงั กล่าวแล้วนน่ั เอง ๑.๖ คัมภีรพ์ ระพุทธศาสนาฉบบั ภาษาบาลี ในการศึกษาภาษาบาลีนั้น จาเป็นจะต้องรู้จักคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาฉบับภาษาบาลีด้วย คัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาฉบับภาษาบาลีท่ีสาคัญ ๆ และเป็นหลักในการศึกษาค้นคว้าทั่วไป ได้แก่ คมั ภีร์พระไตรปิฎก คัมภีร์อรรถกถา คมั ภีร์ฎีกา และคัมภีร์อนุฎีกา คัมภีร์พระไตรปิฎกน้ันเชื่อกันว่าเป็น คัมภีร์ที่บันทึกคาสั่งสอนของพระพุทธเจ้าตามท่ีพระองค์ได้ตรัสรู้ คัมภีร์อรรถกถาเป็นคัมภีร์ท่ีอธิบาย เน้ือความในพระไตรปิฎก คัมภีร์ฎีกา เป็นคัมภีร์ที่อธิบายเนื้อความในอรรถกถา ส่วนคัมภีร์อนุฎีกา เป็น คมั ภรี ท์ อ่ี ธบิ ายเนอ้ื ความในฎีกา มรี ายละเอยี ด ดงั ต่อไปน้ี ๑.๖.๑ คัมภีร์พระไตรปิฎก เป็นคัมภีร์ที่บันทึกคาสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ในประเทศไทย คัมภีร์พระไตรปิฎกฉบับภาษาบาลีท่ีควรทราบในปัจจุบัน เช่น คัมภีร์พระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ คัมภีร์ พระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เป็นต้น คัมภีร์พระไตรปิฎกดังกล่าวนี้ จัดเป็นคัมภีร์ อา้ งองิ ชน้ั ท่ี ๑ แบ่งออกเป็น ๓ ปฎิ ก ดงั น้ี ๑) พระวินัยปิฎก ว่าด้วยข้อห้ามหรือวินัยของภิกษุและภิกษุณี พุทธประวัติ พิธีกรรมทางพระวินัย ความเป็นมาของนางภิกษุณี ประวัติการทาสังคายนา และข้อเบ็ดเตล็ดทางพระ วนิ ยั ๒) พระสุตตันตปิฎก ว่าด้วยพระสูตรหรือพระธรรมเทศนาขนาดยาว พระธรรม เทศนาขนาดกลาง พระธรรมเทศนาอันประมวลธรรมะหรือเร่อื งราวไว้เป็นพวก ๆ พระธรรมเทศนาเป็น ข้อ ๆ ตามลาดบั จานวน พระธรรมเทศนาเบ็ดเตล็ดรวมทง้ั ภาษิตของพระสาวก ประวัตติ ่าง ๆ และชาดก ๓) พระอภิธรรมปิฎก ว่าด้วยธรรมะรวมเป็นหมวดเป็นกลุ่ม ธรรมะแยกเป็นข้อ ๆ ธรรมะจัดระเบียบความสัมพันธ์โดยถือธาตุเป็นหลัก บัญญัติ ๖ ชนิดและรายละเอียดเฉพาะบัญญัติที่ เก่ียวกบั บุคคล คาถามคาตอบในหลักธรรมเพ่ือถือเป็นหลักในการตัดสินพระธรรม ธรรมะที่รวมเป็นคู่ ๆ และปัจจยั ๒๔ อยา่ ง ๑.๖.๒ คัมภีร์อรรถกถา เป็นคัมภีร์ท่ีพระอรรถกถาจารย์ได้แต่งขึ้นเพ่ืออธิบายความใน พระไตรปฎิ ก จัดเปน็ คัมภีร์อ้างอิงช้ันท่ี ๒ แบง่ ออกเป็น ๓ ประเภท ดงั น้ี ๑) อรรถกถาพระวินัย เป็นคัมภีร์ท่อี ธิบายความในพระวินัยปิฎกให้มีความชัดเจน ขนึ้ เพื่อเปน็ ประโยชน์แก่ผู้ศกึ ษาวินยั ในการนาไปปฏิบัติและส่ังสอนพระภกิ ษสุ ามเณรไดอ้ ย่างถูกต้องและ มีประสิทธิภาพ อรรถกถาพระวินัย รุ่นเก่าก่อน เป็นภาษาสิงหลโบราณ เช่น มหาอรรถกถา (มูลอรรถกถา) มหาปัจจรีอรรถกถา กุรุนทีอรรถกถา เป็นต้น กล่าวกันว่าต้นฉบับได้สูญหายไปหมดแล้ว

๑๐ อย่างไรก็ตาม อรรถกถาพระวินัยที่รู้จักกันดีและนิยมศึกษากันในเมืองไทย เป็นอรรถกถาท่ีพระพุทธ- โฆษาจารย์เป็นผู้แต่ง แบง่ เปน็ คมั ภรี ห์ ลกั ได้ ๒ คมั ภีร์ คอื (๑) สมันตปาสาทิกา และ (๒) กงั ขาวติ รณี ๒) อรรถกถาพระสูตร เป็นคัมภีร์ท่ีอธิบายความในพระสุตตันตปิฎก เพ่ือให้มี ความชัดเจน เป็นประโยชน์ในการนาไปประพฤติปฏิบัติและเผยแผ่ธรรม อรรถกถาพระสุตตันตปิฎกรุ่น โบราณ เช่น มหาอรรถกถา (มูลอรรถกถา) สุตตันตอรรถกถา อาคมัฏฐกถา เป็นต้น เป็นอรรถกถาที่ไม่ ปรากฏช่ือผู้แต่ง แต่ก็เป็นคัมภีร์ท่ีมีความสาคัญและมีอิทธิพลต่อนักปราชญ์ทางพุทธศาสนาในยุคต่อมา อรรถกถาท่ีเป็นที่รู้จักและนิยมศึกษากันในยุคต่อมา เป็นอรรถกถาที่พระพุทธโฆษาจารย์เป็นผู้แต่ง เช่น (๑) สุมังคลวิลาสินี (อรรถกถาทีฆนิกาย) (๒) ปปัญจสูทนี (อรรถกถามัชฌิมนิกาย) (๓) สารัตถปกาสินี (อรรถกถาสังยุตตนิกาย) (๔) มโนรถปูรณี (อรรถกถาอังคุตตรนิกาย) และ (๕) ธรรมบท (อรรถกถา ธรรมบท) ๓) อรรถกถาพระอภิธรรม เป็นคัมภีร์ท่ีอธิบายความท่ีมีเน้ือหาสาระยากและ สลับซับซ้อนในพระอภิธรรมปิฎก เพื่อให้เข้าใจง่ายและสะดวกแก่การศึกษาค้นคว้า อรรถกถาพระ อภิธรรมรุ่นโบราณ ไม่ปรากฏชื่อผู้แต่ง ได้แก่ มหาอรรถกถา (มูลอรรถกถา) อภิธัมมัฏฐกถา อรรถกถา พระอภิธรรมท่ีเป็นที่รู้จักและนิยมศึกษาค้นคว้า เป็นอรรถกถาท่ีพระพุทธโฆษาจารย์เป็นผู้แต่ง ได้แก่ (๑) อัฏฐสาลนิ ี (อรรถกถาธัมมสังคณี) (๒) สัมโมหวิโนทนี (อรรถกถาวภิ ังค์) (๓) ปรมัตถทีปนี (อรรถกถา ธาตุกถา) (๔) ปรมัตถทปี นี (อรรถกถาปุคคลบัญญัติ) (๕) ปรมตั ถทีปนี (อรรถกถาวตั ถุ) (๖) ปรมตั ถทีปนี (อรรถกถายมก) และ (๗) ปรมตั ถทปี นี (อรรถกถาปัฏฐาน) ๑.๖.๓ คัมภีร์ฎีกา เป็นคัมภรี ์ที่พระฎีกาจารย์แต่งขึน้ ภายหลังอรรถกถาเพือ่ อธิบายความใน อรรถกถา จัดเป็นคัมภีร์อา้ งองิ ช้ันที่ ๓ แบง่ ออกเปน็ ๓ ประเภท ดงั นี้ ๑) ฎีกาพระวินัย เป็นคัมภีร์ที่อธิบายคาหรือเน้นอธิบายเฉพาะข้อความที่เข้าใจ ยากในอรรถกถาพระวินัย เพื่อให้เข้าใจง่ายข้ึน คัมภีร์ฎีกาพระวินัยที่รู้จักและศึกษากันส่วนใหญ่ เช่น (๑) สารัตถทีปนี (พระสารีบุตร ชาวลังกาเป็นผู้แต่ง) (๒) วิมติวิโนทนี (พระมหากัสสป ชาวลังกาเป็นผู้ แต่ง) และ (๓) วชิรพุทธิ (พระวชิรพุทธิ เปน็ ผูแ้ ตง่ ) ๒) ฎีกาพระสูตร เป็นคัมภีร์ท่ีอธิบายคาหรือเน้นอธิบายเฉพาะข้อความท่ีเข้าใจ ยากในอรรถกถาพระสูตรเพ่ือให้เข้าใจง่ายขึ้น คัมภีร์ฎีกาพระสูตรท่ีรู้จักและศึกษากันส่วนใหญ่ เช่น (๑) ลีนัตถปกาสนา (ฎีกาทีฆนิกาย พระธรรมปาละ เป็นผู้แต่ง) (๒) ลีนัตถปกาสนา (ฎีกามัชฌิมนิกาย พระธรรมปาละ เป็นผู้แต่ง) (๓) ลีนัตถปกาสนา (ฎีกาสังยุตตนิกาย พระธรรมปาละ เป็นผู้แต่ง) (๔) ลีนัตถปกาสนา (ฎีกานิบาตชาดก ไม่ปรากฏช่ือผู้แต่ง) และ (๕) ปรมัตถมัญชุสา (มหาฎีกาวิสุทธิ- มรรค พระธรรมปาละ เปน็ ผแู้ ต่ง) ๓) ฎีกาพระอภิธรรม เป็นคัมภีร์ที่อธิบายหรือเน้นอธิบายเฉพาะข้อความที่เข้าใจ ยากในอรรถกถาพระอภิธรรมเพ่ือให้เข้าใจง่ายข้ึน คัมภีร์ฎีกาพระอภิธรรมที่รู้จักและศึกษากันส่วนใหญ่ เช่น (๑) ลนี ัตถโชตนา (มูลฎีกาธัมมสังคณี พระอานันทาจารย์ เป็นผ้แู ตง่ ) (๒) ลีนตั ถโชตนา (ฎีกาวิภังค- ปกรณ์ พระอานนั ทาจารย์ เป็นผูแ้ ตง่ ) (๓) ลนี ตั ถโชตนา (มลู ฎีกาธาตกุ ถา พระอานันทาจารย์ เป็นผู้แตง่ ) (๔) ลีนัตถโชตนา (มูลฎีกาปุคคลบัญญัติ พระอานันทาจารย์ เปน็ ผู้แตง่ ) และ (๕) อภิธัมมัตถ- วภิ าวินี (ฎีกาอภธิ มั มตั ถสังคหะ พระสมุ ังคลเถระ เป็นผ้แู ตง่ )

๑๑ ๑.๖.๔ คัมภีร์อนุฎีกา เป็นคัมภีร์ท่ีพระอนุฎีกาจารย์แต่งข้ึนภายหลังคัมภีร์ฎีกาเพ่ืออธิบาย ความในคัมภีร์ฎีกา จัดเป็นคมั ภีร์อา้ งอิงช้ันท่ี ๔ แบ่งออกเปน็ ๓ ประเภท ดังน้ี ๑) อนุฎีกาพระวินัย คือฎีกาใหม่ที่แต่งเพ่ิมเติมภายหลัง เป็นคัมภีร์ท่ีอธิบาย เน้ือความในฎีกาพระวินัย เพ่ือให้มีความชัดเจนย่ิงข้ึน คัมภีร์อนุฎีกาพระวินัย เช่น (๑) วินยลักขาฎีกา คัมภรี ใ์ หม่ (พระมุนินทโฆษะ เป็นผแู้ ตง่ ) และ (๒) ขทุ ทกสิกขาฎีกาคัมภีรใ์ หม่ (พระสงั ฆรักขติ เปน็ ผู้แตง่ ) ๒) อนุฎีกาพระสูตร คือ ฎีกาใหม่ที่แต่งเพิ่มเติมภายหลัง เป็นคัมภีร์ท่ีอธิบาย เนื้อความในฎีกาพระสูตร เพื่อให้มีความชัดเจนยิ่งข้ึน คัมภีร์อนุฎีกาพระสูตร เช่น (๑) เอกังคุตตรฎีกา คัมภีร์ใหม่ (พระสารีบุตร ชาวลังกา เป็นผู้แต่ง) (๒) ทุกังคุตตรฎีกาคัมภีร์ใหม่ (พระสารีบุตร ชาวลังกา เป็นผ้แู ต่ง) และ (๓) ติกงั คุตตรฎกี าคัมภรี ์ใหม่ (พระสารบี ุตร ชาวลงั กา เป็นผู้แต่ง) ๓) อนุฎีกาพระอภิธรรม เป็นคัมภีร์ที่อธิบายความในฎีกาพระอภิธรรม เพื่อให้มี ความชัดเจนย่ิงข้ึน คัมภีร์อนุฎีกาพระอภิธรรม เช่น (๑) อนุฎีกาธัมมสังคณ์ ชื่อ ลีนัตถปกาสินี (พระอานันทะ เป็นผู้แต่ง) (๒) อนุฎีกาวิภังคปกรณ์ ช่ือ ลีนัตถปกาสินี (พระอานันทะ เป็นผู้แต่ง) (๓) อนุฎีกาธาตุกถา ชื่อ ลีนตั ถปกาสินี (พระอานันทะ เป็นผู้แต่ง) และ (๔) อภิธัมมัตถวภิ าวินฎี ีกาคัมภีร์ ใหม่ (พระสุมงั คละ เป็นผู้แต่ง) ๑.๗ การใชค้ าภาษาบาลใี นภาษาไทย กลา่ วกนั ว่า การใช้คาภาษาบาลีในภาษาไทย ไดเ้ ริม่ ในสมัยพ่อขุนรามคาแหงโดยภาษาบาลมี า พร้อมกับพระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์ ซ่ึงใช้ภาษาบาลีจารึกพระพุทธวจนะไว้ในพระไตรปิฎก เม่ือไทย รับเอาพระพุทธศาสนามาเป็นศาสนาหลักประจาชาติไทย ชาวไทยผู้ท่ีนับถือพระพุทธศาสนาก็ได้ศึกษา ภาษาบาลีเพื่อเรียนรู้พระพุทธศาสนา ถ้อยคาที่ใช้ในภาษาบาลีเป็นถ้อยคาที่แฝงไปด้วยความหมายทาง ศาสนา ไม่อาจจะถ่ายทอดด้วยภาษาสามัญทั่วไปได้อย่างลึกซึ้งเหมือนภาษาบาลี จึงจาเป็นต้องรับเอา ภาษาบาลีซึ่งเป็นคาศัพท์เฉพาะทางศาสนาเข้ามาใชใ้ นภาษาไทย เช่น นิพพาน เมตตา สงฆ์ พุทโธ โมโห อาสาฬบูชา เป็นต้น ๑.๗.๑ การเปลี่ยนแปลงคาบาลีเพื่อใช้ในภาษาไทย คาภาษาบาลีที่นามาใช้ในภาษาไทย นน้ั มีหลักเกณฑ์กวา้ ง ๆ ในการเปลี่ยนแปลงคา ดังนี้ ๑) เปลีย่ นสระ เชน่ วิริย-เพียร, พหสุ สุต-พหูสตู , ครุ-ครู ฯลฯ ๒) เปลี่ยนพยัญชนะ เช่น อุปาย-อุบาย, ปติ-บดี, คติ-คดี, ฏีกา-ฎีกา, ชปา-ชบา, กลปก-กลั บก, ปติ า-บดิ า ฯลฯ ๓) เปล่ียนวรรณยุกต์ เช่น เสนห-เสน่ห์, เลห-เล่ห์, พุทโธ-พุทโธ่, อุตสาห-อุตส่าห์, สนเทห-สนเท่ห์ ฯลฯ ๔) แทรกพยัญชนะ เช่น มาตา-มารดา, มายา-มารยา, สหี -สิงห์, สขิ ร-สิงขร ฯลฯ ๕) ตัดทอนพยางค์ เช่น อรุโณทัย-อโณทัย, อโุ บสถ-โบสถ์, จินดามณี-จินดา, พสุธา- สุธา, อนุช-นชุ ฯลฯ

๑๒ ๖) ทาความหมายให้แคบ เช่น วาสนา (อาการทางกายวาจาท่ีได้อบรมมาท้ังท่ีดี และไม่ดี ไทยใช้หมายถึง กุศลท่ีทาให้ได้รับลาภยศ; สุขุม (น้อย, ละเอียด, อ่อน) ไทยใช้หมายถึง ละเอียดออ่ นทางความคิด; วติ ถาร (ซบึ ซาบ, แผ,่ กวา้ ง) ไทยใช้หมายถงึ ลกั ษณะผิดปกตธิ รรมดา ๗) ทาความหมายให้กว้าง เช่น กมล (ดอกบัว) ไทยใช้หมายถึง ดอกบัว, ดวงใจ; นิยม (แนน่ อน, กาหนด) ไทยใชห้ มายถึง การยกยอ่ ง, ชืน่ ชอบ, นบั ถือ, เชอื่ ถอื ๘) ทาความหมายให้เปลี่ยนไป เช่น โอกาส (เหตุ, สถานที่) ไทยใช้หมายถึง ช่วงเวลาท่ีเหมาะ, ช่องทางทเี่ หมาะ; อิจฉา (ความปรารถนา) ไทยใชห้ มายถงึ ความเดอื นรอ้ นเพราะผู้อื่น ได้ดี, เห็นผู้อ่ืนได้ดีทนไม่ได้; โมโห (ความหลง) ไทยใช้หมายถึง ความโกรธ; อารมณ์ (ส่ิงท่ีจิตยินดี) ไทย ใชห้ มายถงึ ความชอบใจ, ความไม่ชอบใจ ๑.๗.๒ หลักการสังเกตคาบาลีที่ใช้ในภาษาไทย เนื่องจากคาบาลีและสันสกฤตที่ใช้ใน ภาษาไทยมีจานวนมาก และมีลกั ษณะทคี่ ลา้ ยกัน จึงควรมหี ลักสังเกตพร้อม ๆ กัน ดังน้ี ๑) คาท่ีมาจากบาลี ใช้ ส แต่สันสกฤต ใช้ ษ, ศ เช่น สิสส (บาลี)-ศิษย์ (สันสกฤต), สสี ะ (บาล)ี -ศีรษะ (สนั สกฤต), สต (บาลี)-ศต (สันสกฤต) ๒) คาที่มาจากบาลี ไม่มี ฤ ฤๅ ฦ ฦๅ ไอ เอา แต่สันสกฤตมี เช่น เวชช (บาลี)-ไวทย (สนั สกฤต), โอรส (บาล)ี -เอารส (สนั สกฤต), อตุ ุ (บาลี)-ฤตุ (สันสกฤต) ๓) คาที่มาจากบาลีใช้ตัว ฬ แต่สันสกฤตใช้ตัว ฑ เช่น จุฬา (บาลี)-จุฑา (สันสกฤต), กฬี า (บาล)ี -กรีฑา (สันสกฤต), ครฬุ (บาล)ี -ครุฑ (สันสกฤต) ๔) คาที่มาจากบาลีไม่นิยมเสียงควบกล้า แต่สันสกฤตมีเสียงควบกล้า เช่น อิตถี (บาลี)-สตรี (สนั สกฤต), อินท (บาล)ี -อินทร (สนั สกฤต), รตั ติ (บาล)ี -ราตรี (สนั สกฤต) ๕) คาท่ีมาจากบาลีไม่มี รร แต่สันสกฤตมี เช่น ธัมม (บาลี)-ธรรม (สันสกฤต), สัพพ (บาลี)-สรรพ (สันสกฤต), สัคค (บาลี)-สวรรค์ (สันสกฤต) ๖) คาที่มาจากบาลีมพี ยัญชนะสงั โยคและมีกฎเกณฑ์ เช่น ทกุ ข์ (พยญั ชนะที่ ๑ ซอ้ น หน้าพยัญชนะท่ี ๑ ในวรรคของตน) มัจฉา (พยัญชนะท่ี ๑ ซ้อนหน้าพยัญชนะท่ี ๒ ในวรรคของตน) ฯลฯ (ดูรายละเอียดเร่ืองพยัญชนะสังโยคในบทท่ี ๒) แต่คาที่มาจากสันสกฤตมีพยัญชนะสังโยคที่มี กฎเกณฑ์ไม่แน่นอน เช่น หัสดิน มีพยัญชนะสังโยค คือ ส แต่ไม่มีพยัญชนะตวั ที่ถูกซ้อนหน้า, สัปดาห์ มี พยัญชนะสังโยค คอื ป และมพี ยัญชนะตัวทถ่ี ูกซอ้ นหน้าคือ ด ซ่งึ เป็นพยญั ชนะตา่ งวรรค ฯลฯ ๑.๘ ความสาคัญของภาษาบาลี ภาษาบาลีเป็นภาษาท่ีมีความสาคัญมาก เพราะเชื่อกันว่าเป็นภาษาดั้งเดิม เป็นภาษาแบบ แผน เป็นภาษาที่พระพุทะเจ้าทรงอนุญาตให้ภิกษุท้ังหลายศึกษาและพระองค์เองก็ทรงศึกษาด้วย รวมท้งั เป็นภาษาช้ันสูง โดยมรี ายละเอียด ดงั นี้

๑๓ ๑.๘.๑ เป็นมูลภาสา คือภาษาดั้งเดิมอันเป็นท่ีมาของภาษาท้ังหลาย หมายถึงภาษาหลัก หรือภาษาแรกของเสฏฐบุคคล ๔ จาพวก คือ กัปปิกบุคคล พรหม อัสสุตาลาปบุคคล และ พระสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย ดังปรากฏหลกั ฐานวา่ สา มาคธี มลู ภาสา นรา ยายาทิกปปฺ ิกา สมฺพุทฺธา จาปิ ภาสเร.๑๑ พฺรหมฺ าโน จสสฺ ุตาลาปา ภาษาทหี่ มู่มนุษย์ พรหม ผู้ทไี่ มเ่ คยสดบั คําพูดของมนษุ ย์ และพระสมั พุทธเจ้าทงั้ หลาย ใชก้ นั มาตงั้ แต่ตน้ กปั ป์ เรียกว่า “ภาษามาคธี” (บาล)ี อนั เป็นมลู ภาษา ๑.๘.๒ เป็นตันติภาสา คือ ภาษาแบบแผน หมายถึง ภาษาพระไตรปิฎกหรือภาษาที่ใช้ จารึกพระพุทธศาสนาไว้เป็นระเบียบแบบแผนดังปรากฏหลักฐานว่า “ตนฺตึ อวิสํวาเทตฺวาติ ปาลึ อญฺ ถา อกตฺวา: คาํ วา่ “ตนตฺ ึ อวิสวํ าเทตวฺ า” หมายถงึ ไม่บดิ เบอื นพระไตรปิฎก (ตวั พระพุทธวจนะ)”๑๒ ๑.๘.๓ เป็นสกานิรุตติ คือ ภาษาท่ีพระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้ภิกษุทั้งหลายใช้เป็น เครอ่ื งมอื ในการศกึ ษาพระพทุ ธพจน์และพระองคเ์ องก็ทรงใชด้ ้วย ดังปรากฏหลกั ฐานในพระไตรปิฎกว่า “น ภิกฺขเว พุทธฺ วจนํ ฉนฺทโส อาโรเปตพพฺ ํ โย อาโรเปยยฺ อาปตตฺ ิ ทกุ ฺกฏสฺส. อนุชานามิ ภกิ ขฺ เว สกาย นิรุตฺติยา พุทฺธวจนํ ปรยิ าปุณติ ุํ ภิกษุทั้งหลาย เราตถาคตไม่อนุญาตให้เธอท้ังหลายยกพุทธพจน์ ข้ึนสู่ภาษาสันสกฤต รูปใดทํา รูปนั้นต้องอาบัติทุกกฎ ภิกษุทั้งหลาย เรา ตถาคตอนญุ าตให้เรยี นพระพทุ ธพจนด์ ว้ ยภาษาของตน”๑๓ และปรากฏหลกั ฐานวา่ “เอตฺถ สกานริ ตุ ตฺ ิ นาม สมฺมาสมฺพุทเฺ ธน วุตฺตปปฺ กาโร มาคธโก โวหาโร” ที่ชื่อว่า สกานิรุตติ ก็คือ ภาษาท่ีชาวมคธใช้ (มาคธี) ซ่ึงมีรูปแบบท่ี พระสัมมาสัมพทุ ธเจา้ ทรงตรัสไว้”๑๔ ๑๑ พระพทุ ธัปปิยมหาเถระ, ปทรปู สทิ ธิ, (กรุงเทพฯ: เฉลิมชาญการพิมพ,์ ๒๕๒๖), หน้า ๓๔. ๑๒ สารตฺถทีปนี นาม วนิ ยฎกี า ภาค ๒, (กรงุ เทพฯ: มหามกฏุ ราชวทิ ยาลัย, ๒๕๒๒), หนา้ ๗๕. ๑๓ วิ.จุลล. ๗/๑๘๐/๖๙. คาว่า “ฉนฺทโส” พระพุทธโฆษาจารย์อธิบายว่า “เวท วิย สกฺกฏภาสาย วาจนามคคฺ ” แปลวา่ (ยกพระพทุ ธวจนะขน้ึ ) สู่สือ่ กลางแห่งการสอนด้วยภาษาสนั สกฤต เหมือน (ยก) พระเวท และคา วา่ “สกายนิรตุ ตฺ ยิ า” ทา่ นอธบิ ายว่า หมายถงึ ภาษามาคธี ๑๔ BINALA CHURN LAW อ้างถึงใน สมันตปาสาทิกา อรรถกถาจลุ ลวรรค ฉบับสงิ หล, หนา้ ๓๐๖.

๑๔ ๑.๘.๔ เป็นอุตตมภาสา คือ ภาษาช้ันสูง ในข้อนี้พระเทพเมธาจารย์ (เช้า ฐติ ป ฺโ ) ได้ให้ เหตผุ ลไว้ ดังน้ี ๑) พระพุทธเจา้ ทรงแสดงพระพุทธพจนด์ ว้ ยภาษาบาลี ๒) สงั คายนาทุกครง้ั พระสงั คีตกิ าจารยก์ ระทาด้วยภาษาบาลี ๓) การเขียนและการพิมพ์ปริยัติคันถะลงในใบลานก็ดี แผ่นหินก็ดี ท่านจารึกเป็น ภาษาบาลี สว่ นตวั อกั ษรเป็นของชาตนิ ้ัน ๆ ได้ เชน่ ภาษาบาลีอักษรไทย เป็นตน้ ๔) พระสงฆ์ผู้นาศาสนภาระทั้งหลาย เล่าเรียนปริยัติคันถะซึ่งเรียบเรียงด้วยภาษา บาลี นับตงั้ แต่อยใู่ นสามเณรภาวะ ๕) พระสงฆ์และพุทธศาสนิกชนประเทศพุทธศาสนาเถรวาท สวดมนต์เป็นภาษา บาลี แม้จะฟงั ไมร่ ูเ้ ร่อื งกไ็ ม่มใี ครเบ่ือหน่อยหรือรงั เกียจ๑๕ ๑.๙ ประโยชนข์ องการศึกษาภาษาบาลี ภาษาบาลีมีความเก่ียวข้องกับภาษาไทยทั้งในด้านร้อยแก้วและร้อยกรอง ตลอดถึงศัพท์ทาง วิชาการต่าง ๆ จานวนมาก ภาษาบาลีจงึ มีประโยชน์สาหรับผ้ศู ึกษา วิสนั ต์ กฎแก้ว ได้กล่าวถึงประโยชน์ ของการศึกษาภาษาบาลี ซึ่งอาจสรุปได้ ๑๐ ประการ ดังน้ี๑๖ ๑.๙.๑ ช่วยในการเขียนสะกดการันต์คาพ้องเสียงท่ีมาจากภาษาบาลี เม่ือผู้ศึกษาได้ทราบ ความหมายของคาน้นั แลว้ สามารถเขยี นสะกดการนั ต์ได้ถกู ตอ้ ง เชน่ บาลี ไทยใช้ ความหมาย กณณฺ กณั ณ์ หู กณฺ กณั ฐ์ คอ กานตฺ กานต์ รัก, ใคร่ การณ การณ์ เหตุ, เคา้ มลู คาว่า กัณณ์ กับ กัณฐ์ และคาว่า กานต์ กับ การณ์ เป็นคู่คาพ้องเสียง (คือ มีเสียงเหมือนกัน) เม่อื ทราบความหมายของคาแล้ว จะสามารถเขยี นสะกดการันตไ์ ดถ้ กู ต้อง ๑๕ พระเทพเมธาจารย์ (เชา้ ฐติ ปญั โญ), แบบเรยี นวรรณคดีบาลปี ระเภทคมั ภีรไ์ วยากรณ์, (กรุงเทพฯ: ประยรู วงศ,์ ๒๕๐๔), หน้า ๑๙-๒๐. ๑๖ วิสนั ต์ กฎแก้ว, ภาษาบาลสี ันสกฤตทเี่ ก่ียวข้องกบั ภาษาไทย, (กรงุ เทพฯ: ธนธัชการพิมพ,์ ม.ป.ป.), หน้า ๕-๗.

๑๕ ๑.๙.๒ ช่วยให้เกิดความเข้าใจอย่างซาบซึ้งในการศึกษาวรรณคดี โดยเฉพาะวรรณคดีท่ี เกยี่ วกับพระพุทธศาสนาและวรรณคดีไทยประเภท โคลง ฉนั ท์ กาพย์ กลอน เป็นต้น เพราะคาศพั ท์ทใ่ี ช้ มีคาภาษาบาลอี ยเู่ ป็นจานวนมาก๑๗ เชน่ ๑) สมทุ รโฆษคาฉนั ท์ พระศรีสรศาสดา มีพระมหิมานภุ าพพน้ ตยาคี สร = ทิพย,์ แกลว้ , รปู ศพั ทเ์ ดมิ เปน็ สรุ มหิมานุภาพ = มอี านุภาพมาก รปู ศพั ทเ์ ดิม คือ มหิมา + อานุภาว ๒) พระปฐมสมโพธกิ ถา ปริจเฉทท่ี ๘ ครัน้ ถงึ ณ วนั จาตุททสสี ุกกปกั ขว์ สิ าขมาส... จาตุททสีสกุ กปักข์ = ข้ึน ๑๔ ค่า รูปศัพท์เดิมคือ จาตุททสี (๑๔ ค่า) + สุกฺก (ขาว) + ปกฺข (ฝ่าย) วิสาขมาส = เดือน ๖ รูปศัพท์เดิมคือ วิสาข (ช่ือเดือน ๖) + มาส (เดอื น) ๑.๙.๓ ช่วยในการแต่งกาพย์ กลอน โคลง ฉันท์ เพราะว่าคาบาลีสามารถแผลงให้เป็นครุ- ลหุ เพ่ือรักษาข้อบังคับแห่งกาพย์ กลอน โคลง ฉันท์ หรือเพ่ือความไพเราะในด้านเสียงโดยความหมาย ยังคงเดมิ เช่น ๑) อลิ ราชคาฉันท์ (วสันตดิลกฉันท)์ ผาสกุ สนกุ นครขัณ- ฑสมิ าสมุ ณฑล บาเทงิ ระเริงหทยชน ทิชชาติประชมุ ชี ฯ สิมา = เขตแดน รูปศัพท์เดิมเป็น สีมา (ขณฺฑสีมา) แต่แผลงเป็น สิมา เพ่ือรักษา ขอ้ บงั คับของคณะฉนั ท์ ๒) สมทุ รโฆษคาฉันท์ บาดแผลท่แี ลล้นจะประมาณ วิการส้ินทง้ั อินทรีย์ แสนโศกวโิ ยคทุกขทวี คือจะวอดชวิ าวาย ฯ ๑๗ นอกจากภาษาบาลแี ลว้ ยงั มีภาษาสันสกฤตปะปนอยู่มากด้วย แตใ่ นทีน่ ้ี จะกล่าวถงึ เฉพาะภาษาบาลี

๑๖ ชวิ า = ชพี , ชวี ติ รปู ศพั ท์เดมิ เป็น ชวี แผลงเปน็ ชิว ทวี = เพม่ิ ขึ้น, มากขนึ้ รปู ศัพท์เดิมเปน็ ทฺวิ แผลงเปน็ ทวี ๑.๙.๔ ช่วยให้เข้าใจความหมายของธรรมะมากขนึ้ เชน่ คาว่า จตรุ าริยสจั = อรยิ สจั ๔ รูปศพั ท์เดมิ คอื จตุร + อรยิ + สจจฺ อบายมขุ = ทางแห่งความเสอ่ื ม รปู ศพั ท์เดมิ คอื อปาย + มุข ๑.๙.๕ ช่วยในการบัญญัติศัพท์ เนื่องจากวิทยาการสมัยใหม่ที่ได้แพร่หลายเข้ามาในประเทศ ไทยส่วนใหญ่เป็นภาษาอังกฤษและแปลเป็นภาษาไทยแท้ ๆ ไม่ได้ เราจึงบัญญัติศัพท์ขึ้นใช้แทน และ ศพั ท์ท่ีจะบัญญัตนิ ้ันมักจะใช้คาภาษาบาลี (และสันสกฤต) มาผูกประสมกันใช้แทนคาศัพท์ภาษาอังกฤษ นน้ั ๆ เชน่ เอกลักษณ์ ใช้แทน Identity มโนทัศน์ ใช้แทน Conception คาว่า เอก และ มโน เปน็ คาบาลี ผกู ผสมกับคาวา่ ลกั ษณ์ และ ทัศน์ ซ่งึ เป็นคาสันสกฤต ๑.๙.๖ ช่วยให้ภาษาไทยมีคาใช้มากข้ึน เน่ืองจากภาษาไทยแท้ ๆ มีคาจากัด เช่นคาว่า “พอ่ , แม”่ เปน็ ต้น แต่เมอ่ื เรารับเอาคาภาษาบาลี (และสันสกฤต) มาใช้ ทาใหเ้ รามคี าใชม้ ากขนึ้ เชน่ คาไทย คาบาลี พอ่ ชนก แม่ ชนนี ๑.๙.๗ ใช้ประสมกับคาไทย คือนาเอาคาบาลีมาประสมกับคาไทย เพ่ือใช้ประโยชน์ได้มาก ข้ึน เช่น คาบาลี คาไทย ไทยใช้ ความหมาย พล เมือง พลเมือง ประชาชน, ชาวเมอื ง ๑.๙.๘ ใช้เป็นคาราชาศัพท์ โดยใช้คาบาลีเป็นคาราชาศัพท์และนิยมเติมคาว่า “พระ” ข้างหน้าคาเหลา่ นน้ั เชน่ คาบาลี คาราชาศัพท์ ความหมาย นลาฏ พระนลาฏ หนา้ ผาก นาสิกา พระนาสิก จมูก

๑๗ ๑.๙.๙ ใช้ในการตั้งช่ือ นามสกลุ ราชทนิ นาม สถานที่ และสิ่งของตา่ ง ๆ ๑) ช่ือและนามสกุล คนไทยจานวนมากคิดว่าคาบาลี (และสันสกฤต) เป็นคาท่ีมี ความไพเราะในด้านเสียง และมีความหมายลึกซึ้ง จึงนิยมใช้คาบาลี (และสันสกฤต) ตั้งช่ือและนามสกุล บตุ รหลานของตน เพ่ือให้เป็นสริ ิมงคล เช่น สชุ พี รตั นา ฯลฯ ๒) ราชทินนาม เป็นบรรดาศักด์ิท่ีพระเจ้าแผ่นดินพระราชทานแก่ผู้ท่ีมีความชอบ หรือดารงตาแหน่งในทางราชการ คาศัพท์ที่ใช้ประกอบขึ้นใช้เป็น “ราชทินนาม” มักใช้คาบาลี (และ สนั สกฤต) เป็นส่วนมาก เชน่ อนมุ านราชธนโสภณเจติยาภบิ าล เทพมงคลเมธี ฯลฯ ๓) สถานที่ คนไทยนิยมนาคาบาลี (และสันสกฤต) มาตั้งช่ือสถาบันการศึกษาหรือ หน่วยงานต่าง ๆ เพอื่ ความเป็นสิรมิ งคล เชน่ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬา ลงกรณราชวทิ ยาลยั ฯลฯ ๑.๙.๑๐ ใชแ้ ทนคาไทยที่ถือกันว่าไม่สุภาพหรอื เป็นคาหยาบ เช่น คาบาลี คาสภุ าพ/ราชาศพั ท์ ความหมาย องคฺ ชาต องคชาต อวยั วะลับของชาย อณฺฑ อณั ฑะ ส่วนหนง่ึ ของอวัยวะลบั ชาย, ไข่ เมถุน เสพเมถนุ รว่ มเพศ, ร่วมรัก, สมสู่ ๑.๑๐ สรปุ ท้ายบท คาว่า “บาลี” หมายถึง (๑) ภาษาหรือตัวภาษาที่ใช้เป็นหลักในการรักษาพระพุทธพจน์ (๒) ตัวพระพุทธพจน์โดยตรงและ (๓) ตัวคัมภีร์พระไตรปิฎกที่รักษาพระพุทธพจน์ ภาษาบาลีมี แหล่งกาเนิดตามที่นักปราชญ์ได้นาเสนอไว้ ๒ แห่ง คือ แคว้นมคธ และแคว้นโกศล ภาษาบาลีได้สืบเช้ือ สายมาจากภาษาปรากฤต และภาษาปรากฤตเองก็สืบเช้ือสายมาจากภาษาแม่ตระกูลอินโด-อิราเนียน (Indo-Iranian) อีกทอดหน่ึง ภาษาบาลีมีพัฒนาการมายาวนานโดยอาจแบ่งพฒั นาการของภาษาบาลีได้ ๔ ยุค คือ ยคุ คาถา (The Language of the Gãthãs) ยุครอ้ ยแก้วในพระไตรปิฎก (The Language of the Canonical Prose) ยุ ค ร้ อ ย แ ก้ ว ร ะ ย ะ ห ลั ง (The Later Prose of the Post Canonical Literature) และยุคร้อยกรองประดิษฐ์ (The Language of Later Artificial Poetry) ภาษาบาลีมี ความเก่ียวข้องกับพระพุทธศาสนาในแง่ท่ีว่าพระพุทธเจ้าทรงใช้ภาษาบาลีเป็นหลักในการประกาศ พระพทุ ธศาสนา และมกี ารใช้ภาษาบาลีบนั ทึกคาสัง่ สอนของพระพทุ ธเจ้าไว้ในพระไตรปิฎกในกาลต่อมา คมั ภรี ์ท่สี าคัญทางพระพุทธศาสนาจานวนมากใชภ้ าษาบาลีนับต้งั แต่คัมภีร์พระไตรปิฎก คัมภีร์อรรถกถา คัมภีร์ฎีกา ฯลฯ ในส่วนของประเทศไทย มีการใช้คาภาษาบาลีในภาษาไทยจานวนมาก ภาษาบาลีมี ความสาคัญในฐานะเป็น มูลภาสา ตันติภาสา สกานิรุตติ และอุตตมภาสา นอกจากนี้ภาษาบาลีมี ประโยชน์แก่ผู้ศึกษามาก เช่น ช่วยในการเขียนสะกดการันต์คาพ้องเสียงซ่ึงเป็นคาท่ีมาจากภาษาบาลี ชว่ ยใหเ้ กดิ ความเขา้ ใจอยา่ งซาบซงึ้ ในการศึกษาวรรณคดี ชว่ ยในการแตง่ กาพย์ กลอน โคลง ฉนั ท์ ฯลฯ

๑๘ แบบฝึกหัดท้ายบทท่ี ๑ แบบฝึกหัดท่ี ๑.๑ ให้เลือกคาตอบท่ถี กู ท่สี ดุ เพยี งข้อเดยี ว ๑. คาวา่ “บาลี” หมายถงึ อะไร ก. ภาษาหรือตัวภาษาท่ใี ชเ้ ปน็ หลกั ในการรกั ษาพระพุทธพจน์ ข. ตวั คัมภีร์พระไตรปฎิ กที่รกั ษาพระพุทธพจน์ ค. ตัวพระพุทธพจนท์ ี่พระพทุ ธเจ้าทรงแสดง ง. ถกู ต้องทุกขอ้ ๒. ใครที่เชอ่ื วา่ ภาษาบาลมี ีถ่ินกาเนิดอย่ทู ีแ่ คว้นมคธ ก. พระพทุ ธเจ้า ค. ไกเกอร์ (Wilhelm Geiger) ข. พระพุทธโฆษาจารย์ ง. ข้อ ข. และ ค. ถูก ๓. ข้อใด เป็นเหตุผลของ รีส เดวิดส์ (T.W.Rhys Davids) ในการกล่าวว่าภาษาบาลีเป็นภาษาที่มี รากฐานมาจากภาษาของชาวแคว้นโกศล ก. แควน้ โกศลเป็นสถานที่ประสตู ิของพระพทุ ธเจา้ ข. ภาษาแมข่ องพระพทุ ธเจา้ กค็ อื ภาษาของชาวโกศล ค. ศนู ย์กลางของพระพทุ ธศาสนาอยู่ท่ีอาณาจกั รโกศลและอาณาจักรมคธ ง. ถกู ต้องทุกขอ้ ๔. ภาษาบาลี สืบเชอื้ สายมาจากภาษาใดในกลมุ่ ภาษาแมโ่ บราณตระกูลอินโด-ยโุ รเป้ียน ก. อนาโตเลียน (Anatolian) ค. อนิ โด-อิราเนียน (Indo-Iranian) ข. เยอรมันนิค (Germanic) ง. บอลโต-สลาวคิ (Balto-Slavic) ๕. ภาษาบาลใี นยุคแรกมีลักษณะเช่นใด ก. เป็นภาษาร้อยแกว้ ค. เปน็ ภาษาท่ีประพันธ์เป็นคาถา ข. เป็นภาษารอ้ ยกรอง ง. ขอ้ ข. และ ค. ถกู ๖. “รอ้ ยแก้วคอคาถา” หมายถึงอะไร ก. ภาษาบาลที ่แี ตง่ เติมเพอ่ื ประกอบคาถา ข. ภาษาบาลีท่ีประพนั ธเ์ พิ่มเติมในรูปแบบคาถา ค. ภาษาบาลีทีใ่ ช้ในคัมภรี ์วิสทุ ธิมรรค ง. ภาษาบาลที ี่ใช้ในคัมภีรร์ นุ่ อรรถกถา

๑๙ ๗. ภาษาบาลีที่แต่งข้ึนใช้โดยมีลักษณะผสมผสานระหว่างรูปคาเก่ากับรูปคาใหม่ จัดเป็นภาษาบาลีใน ยคุ ใด ก. ยุคคาถา ค. ยุครอ้ ยแกว้ ระยะหลัง ข. ยคุ ร้อยแก้วในพระไตรปิฎก ง. ยคุ ร้อยกรองประดษิ ฐ์ ๘. ข้อใดกลา่ วไมถ่ ูกต้อง ก. พระพทุ ธเจา้ ทรงใชภ้ าษาบาลเี ป็นหลกั ในการประกาศพระพทุ ธศาสนา ข. คาสัง่ สอนของพระพุทธเจ้าทบี่ ันทกึ ไว้ในพระไตรปฎิ กในครัง้ ทาสังคายนาใช้ภาษาบาลี ค. คัมภรี ์อรรถกถาตา่ ง ๆ ทแ่ี ตง่ ขนึ้ เพ่ืออธิบายพระพทุ ธวจนะสว่ นใหญ่ใชภ้ าษาบาลี ง. พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้ภิกษุทั้งหลายใช้ภาษาบาลีและสันสกฤตเพ่ือการเผยแผ่ พระพทุ ธศาสนา ๙. พระไตรปิฎกจดั แบ่งออกเปน็ เท่าใด ก. ๓ ปฎิ ก ค. ๕ ปิฎก ข. ๔ ปฎิ ก ง. ๖ ปฎิ ก ๑๐. “พระธรรมเทศนาขนาดยาว” จดั อยู่ในปฎิ กใด ก. พระวินัยปฎิ ก ค. พระอภธิ รรมปิฎก ข. พระสตุ ตันตปิฎก ง. ถกู ตอ้ งทกุ ข้อ ๑๑. ข้อใดไมจ่ ัดอยู่ในพระวินยั ปิฎก ก. วนิ ัยของภิกษแุ ละภกิ ษณุ ี ค. พุทธประวตั ิ ข. ประวตั ิการทาสังคายนา ง. ชาดก ๑๒. คัมภรี ์ท่ีแต่งขนึ้ เพือ่ อธิบายความในพระไตรปิฎกเรียกว่าอะไร ก. คัมภีรอ์ รรถกถา ค. คัมภีรอ์ นฎุ กี า ข. คมั ภีรฎ์ กี า ง. คมั ภรี ์ปกรณว์ ิเสส ๑๓. คมั ภรี ์ใดจัดเปน็ คัมภีรอ์ ้างอิงช้ันที่ ๓ ก. คมั ภรี พ์ ระไตรปิฎก ค. คมั ภรี ฎ์ ีกา ข. คัมภรี อ์ นฎุ กี า ง. คัมภรี อ์ รรถกถา ๑๔. “สมุ งั คลวลิ าสินี” เป็นคมั ภรี ์ประเภทใด ก. อรรถกถาพระวนิ ัย ค. อรรถกถาพระอภธิ รรม ข. อรรถกถาพระสตู ร ง. ฎกี าพระสูตร

๒๐ ๑๕. คัมภรี ์ในข้อใดไมใ่ ช่อรรถกถาพระสตู ร ก. ธรรมบท ค. สารัตถปกาสินี ข. ปปญั จสทู นี ง. สมันตปาสาทิกา ๑๖. คมั ภรี ใ์ นข้อใดไม่ใช่อรรถกถาพระอภิธรรม ก. อฏั ฐสาลนิ ี ค. ปรมตั ถทปี นี ข. สัมโมหวโิ นทนี ง. มโนรถปรู ณี ๑๗. คัมภรี ใ์ ดเปน็ คมั ภรี ท์ ่ีแตง่ ขึ้นเพอ่ื อธิบายความในอรรถกถาพระสตู ร ก. สารัตถทีปนี ค. อภิธมั มัตถวภิ าวนิ ี ข. ลนี ตั ถปกาสนา ง. สมุ งั คลวลิ าสินี ๑๘. คมั ภีร์อนุฎีกาจดั เป็นคัมภีรอ์ ้างอิงช้ันที่เทา่ ใด ก. ชัน้ ที่ ๑ ค. ชนั้ ท่ี ๓ ข. ช้ันที่ ๒ ง. ช้นั ที่ ๔ ๑๙. ข้อใดไมใ่ ช่เหตุผลในการรับคาบาลมี าใชใ้ นภาษาไทย ก. ชาวไทยรบั เอาพระพทุ ธศาสนามาเปน็ ศาสนาหลกั ประจาชาติไทย ข. ชาวไทยศึกษาภาษาบาลีเพอ่ื เรยี นร้พู ระพทุ ธศาสนา ค. ถอ้ ยคาทใี่ ชใ้ นภาษาบาลีแฝงไปดว้ ยความหมายทางศาสนา ง. คาสอนทางพุทธศาสนาสามารถถ่ายทอดด้วยภาษาไทย ๒๐. คาในขอ้ ใดแตกต่างจากพวก ค. ภตั ตาคาร ก. เมตตา ง. กรรณ ข. สงฆ์

๒๑ แบบฝกึ หดั ท่ี ๑.๒ ใหต้ อบคาถามต่อไปน้ี ๑. จงอธบิ ายความหมายของคาว่า “บาลี” มาพอเขา้ ใจ ๒. ทาไม Rhys Davids จึงกลา่ ววา่ ภาษาบาลเี ป็นภาษาท่มี ีรากฐานมาจากภาษาของชาวแควน้ โกศล ๓. ภาษาบาลมี ีความเปน็ มาอย่างไร อธบิ ายพอเข้าใจ ๔. Wilhelm Geiger ได้แบ่งพฒั นาการรูปแบบหรือลกั ษณะของภาษาบาลีไว้อย่างไร อธิบาย ๕. ภาษาบาลีเก่ยี วข้องกบั พระพุทธศาสนาอยา่ งไร อธบิ าย ๖. คมั ภีรพ์ ระพุทธศาสนาฉบบั ภาษาบาลี มีคัมภรี อ์ ะไรบา้ ง อธิบายพอเข้าใจ ๗. การใชค้ าภาษาบาลีในภาษาไทยมหี ลกั เกณฑ์อยา่ งไร จงอธิบายพรอ้ มยกตวั อยา่ งประกอบ ๘. นกั ศึกษามหี ลักการสังเกตคาบาลที ี่ใช้ในภาษาไทยอย่างไร จงยกตวั อยา่ งพร้อมอธบิ ายพอเข้าใจ ๙. ภาษาบาลีมคี วามสาคญั อย่างไร อธบิ ายพอเข้าใจ ๑๐. ภาษาบาลีมีประโยชนแ์ ก่ผู้ศึกษาอยา่ งไรบ้าง ยกตัวอย่างและอธิบายพอเขา้ ใจ

๒๒ เอกสารอา้ งอิงประจาบทที่ ๑ บาลีปกรณ์, สมาคม. พจนานุกรมบาลีอังกฤษ. อ้างถึงใน คณาจารย์มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช วิทยาลยั “แตง่ แปลบาลี”. กรงุ เทพฯ: นวสาส์นการพมิ พ,์ ๒๕๕๑. บุญร่วม ทิพพศรี. บาลีสันสกฤตท่ีเก่ียวกับภาษาไทย. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, ม.ป.ป. ป. หลงสมบญุ . พจนานกุ รมบาลี-ไทย. กรุงเทพฯ: ครุ ุสภาลาดพรา้ ว, ๒๕๑๙. พระเทพเมธาจารย์ (เช้า ฐติ ปัญโญ). แบบเรียนวรรณคดปี ระเภทคัมภีร์ไวยากรณ์. กรงุ เทพฯ: ประยูรวงศ์, ๒๕๐๔. พระพุทธโฆษาจารย์. สนฺตปาสาทิกา นาม วินยฏฺ กถา ภาค ๑. กรุงเทพฯ: มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๒๕. พระพุทธโฆษาจารย์. วสิ ุทธฺ มิ คฺค ปกรณวิเสส ภาค ๓. กรงุ เทพฯ: มหามกฏุ ราชวิทยาลยั , ๒๕๒๕. พระพุทธัปปิยมหาเถระ. ปทรูปสทิ ธิ. กรงุ เทพฯ: เฉลิมชาญการพมิ พ์, ๒๕๒๖. พระมหาอดศิ ร ถริ สโี ล. ประวัติคัมภีร์บาล.ี กรงุ เทพ ฯ : มหามกฏุ ราชวทิ ยาลัย, ๒๕๔๓. พระสารีบุตร (ชาวลังกา). สารตฺถทีปนี นาม วินยฏีกา ภาค ๒. กรุงเทพฯ: มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๒๒. พฒั น์ เพง็ ผลา. ประวตั ิวรรณคดี. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยรามคาแหง, ๒๕๓๕. มหามกุฏราชวิทยาลัย, มูลนิธิ. สฺยามรฏฺ สฺส เตปิฏก เล่มท่ี ๗. กรุงเทพฯ: มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๓๘. ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒. (พิมพ์คร้ังท่ี ๑). กรุงเทพฯ: บริษทั นานมีบุ๊คส์พบั ลเิ คช่นั ส์ จากัด, ๒๕๔๖. วิสนั ต์ กฎแกว้ . ภาษาบาลีสนั สกฤตท่เี กี่ยวขอ้ งกบั ภาษาไทย. กรุงเทพฯ: ธนธัชการพิมพ์. ม.ป.ป. สุธิวงศ์ พงศ์ไพบลู ย์. หลักภาษาไทย. กรุงเทพ ฯ: ไทยวฒั นาพานิช, ๒๕๓๙. สุภาพรรณ ณ บางช้าง. ประวัติวรรณคดีบาลีในอินเดียลังกา. กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย, ๒๕๒๖. เสนาะ ผดงุ ฉตั ร. ความรเู้ กย่ี วกบั วรรณคดบี าล.ี กรงุ เทพฯ: มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย, ๒๕๓๒. อารีย์ สหชาติโกสีย์. เทียบลักษณะบาลีสันสกฤตกับคาไทย ตอนท่ี ๑-๒. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยศรี นครินทรวิโรฒ. ๒๕๑๗. Rhyds David, T.W. And Oldenberg, Hermann. Translators. Secred Books Of The East. Vol. xx (Vinaya Pitaka : Part III). Delhi: Shri Jainendra Press, 1969. Wilhelm Geiger. Pali Literature and Language. English Version Translated From Pali Literature and Sprache by Batakrishna Ghosh. Second Edition. Delhi: Taj offset Press. 1968. PP. 1-7 FF.

บทที่ อกั ษรในภาษาบาลี ๒ Alphabets วัตถุประสงค์ประจาบทท่ี ๒ เมือ่ ศึกษาบทที่ ๒ จบแล้ว นักศึกษา/ผู้ทสี่ นใจศึกษา สามารถ ๑. บอกความหมายของคาวา่ อักษรได้ ๒. บอกจานวนอักษรในภาษาบาลีได้ ๓. อธบิ ายสระ ๘ ตวั ได้ ๔. อธิบายพยญั ชนะ ๓๓ ตวั ได้ ๕. อธบิ ายฐานกรณ์ของอกั ษรได้ ๖. อธิบายเกี่ยวกับมาตราการออกเสียงอักษรได้ ๗. อธิบายลักษณะเสียงของพยัญชนะได้ ๘. อธบิ ายเก่ียวกบั การออกเสยี งพยัญชนะบางตวั ได้ ๙. บอกพยัญชนะสงั โยคได้ ๒.๑ ความนา โดยทัว่ ไป บรรดาภาษาทั้งหลายท่ีใช้เปน็ ภาษาเขยี น จะมีตวั อักษรที่ใช้เขียนในภาษานั้น ๆ ดว้ ย แต่ภาษาบาลีไม่มีตัวอักษรท่ีใช้เขียนโดยเฉพาะ เม่ือต้องการใช้สาหรับเขียนหรือบันทึก เช่น บันทึกพระ พุทธวจนะไว้ในพระไตรปิฎก บันทึกคาอธิบายพระพุทธวจนะไว้ในคัมภีร์อรรถกถา ฯลฯ ก็ใช้ตัวอักษร ของชนชาติหรือประเทศน้ัน ๆ แทน เช่น พระไตรปิฎกฉบับภาษาบาลีอักษรไทย พระไตรปิฏกฉบับ ภาษาบาลีอักษรโรมัน ฯลฯ อย่างไรก็ตาม แม้ภาษาบาลีจะไม่มีตัวอักษรท่ีใช้เขียนโดยเฉพาะ แต่เราก็ สามารถศึกษาอักษรในภาษาบาลีได้โดยใช้สัญลักษณ์ท่ีเป็นอักษรไทยแทน ดังน้ัน ในบทนี้ จะนาเสนอ เนื้อหาสาระสาคัญเก่ียวกับอักษรในภาษาบาลี ๙ ประเด็น ได้แก่ ๑) ความหมายของอักษร ๒) จานวน อักษรในภาษาบาลี ๓) อธิบายสระ ๘ ตัว ๔) อธิบายพยัญชนะ ๓๓ ตัว ๕) ฐานกรณ์ของอักษร ๖) มาตราการออกเสียงอักษร ๗) ลักษณะเสียงของพยัญชนะ ๘) การออกเสียงพยัญชนะบางตัว และ ๙) พยญั ชนะสงั โยค โดยมีรายละเอยี ด ดงั ต่อไปน้ี

๒๔ ๒.๒ ความหมายของอักษร คาว่า “อักษร” ในภาษาบาลี เรียกว่า “อักขระ” แปลว่า ไม่รู้จักส้ินไป หรือไม่เป็นของแข็ง ท่ีว่าไม่รู้จักสิ้นไป นั้น หมายความว่า อักษรที่เป็นของชาติใด ภาษาใด ก็จะสามารถใช้พูดหรือเขียนใน ชาตินั้นภาษาน้ันได้โดยไม่หมดสิ้นไป เช่น ก อกั ษรตัวเดยี วเท่านั้น แมจ้ ะนาไปใช้พดู หรอื เขียน เป็นหม่ืน เป็นแสนตัว ก อักษรนั้น ก็ไม่หมดไป และท่ีว่า ไม่เป็นของแข็ง นั้น หมายความว่า อักษรของชาติใด ภาษาใด ก็ใชไ้ ด้ครบถว้ นตามต้องการของชาตนิ ้ัน ภาษาน้นั โดยไมข่ ดั ข้อง อน่ึง อักษร หมายถึง เสียง (คาพูด) และตัวหนังสือ เน้ือความของถ้อยคาทั้งปวง ต้องกาหนด หมายรดู้ ้วยอักษร ถ้าเข้าใจเรอื่ งอักษรไมด่ ี กจ็ ะเข้าใจเนอื้ ความยาก ๒.๓ จานวนอกั ษรในภาษาบาลี อักษรในภาษาบาลี มีจานวน ๔๑ ตัว ซึ่งอาจแบ่งออกเป็นสระ ๘ ตัว และพยัญชนะ ๓๓ ตัว โดยมรี ายละเอยี ด ดังนี้ ๒.๓.๑ สระ ๘ ตัว ได้แก่ อ อา, อิ อ,ี อุ อู, เอ โอ ซ่ึงสระท้ัง ๘ ตัวนี้ อาจเปรียบเทียบกับสระ โรมัน ดงั ตารางที่ ๒.๑ ตารางที่ ๒.๑ การเทียบสระบาลีกบั สระโรมนั อ อา อิ อี อุ อู เอ โอ a ã i ï uüeo ๒.๓.๒ พยญั ชนะ ๓๓ ตัว แบง่ เปน็ พยญั ชนะวรรค ๒๕ ตวั และพยัญชนะอวรรค ๘ ตวั ดังน้ี ๑) พยัญชนะวรรค ๒๕ ตัว ไดแ้ ก่ ก ข ค ฆง จ ฉ ชฌ ฏ ฑ ฒณ ต ถ ท ธน ป ผ พ ภม

๒๕ ๒) พยัญชนะอวรรค ๘ ตัว ได้แก่ ย ร ล ว ส ห ฬ (อัง) พยญั ชนะ ๓๓ ตวั นี้ อาจเปรียบเทยี บกบั พยัญชนะโรมัน ดังตารางที่ ๒.๒ ตารางที่ ๒.๒ การเทียบพยัญชนะบาลีกับพยัญชนะโรมัน พยัญชนะวรรค ๒๔ ตวั ชอ่ื วรรค ๑ ๒ ๓๔ ๕ ง ก ก ข คฆ n k k kh g gh ñ ณ จ จ ฉ ชฌ n น c c ch j jh n ม ฏฏ ฑฒ m t t th d dh ๘ (องั ) ต ต ถ ทธ am (m) t t th d dh ป ป ผ พภ p p ph b bh พยัญชนะอวรรค ๘ ตวั ๑๒ ๓ ๔๕๖๗ ยร ล วสหฬ yr l vshl ๒.๔ อธิบายสระ ๘ ตวั สระ ๘ ตัว ในภาษาบาลี ตามทกี่ ล่าวแลว้ ในข้อ ๒.๓.๑ น้ัน เราอาจอธบิ ายเป็นข้อ ๆ เพ่อื ความ เข้าใจที่ชดั เจนยิ่งขน้ึ ได้ ดงั น้ี

๒๖ ๒.๔.๑ คาว่า “สระ” แปลว่า เสียง หมายถึง อักษรที่สามารถเปล่งเสียงให้ปราสาทหูได้ยิน๑ สามารถออกเสียงได้ตามลาพงั ตนเอง และทาพยญั ชนะให้ออกเสยี งได้ ๒ ๒.๔.๒ อกั ษรเบ้ืองตน้ ตงั้ แต่ อ จนถึง โอ จดั เป็น สระ ๒.๔.๓ สระ ๘ ตัวนี้ เรียกว่า นิสสัย เพราะเป็นท่ีอาศัยของพยัญชนะ บรรดาพยัญชนะทั้ง ๓๓ ตวั ต้องอาศัยสระจึงจะออกเสียงได้ ๒.๔.๔ สระ ๓ ตัว คอื อ, อ,ิ อุ เรียกว่า รัสสะ เพราะมีเสียงสัน้ เช่น ในคาวา่ อติ, ครุ, เป็นตน้ ๒.๔.๕ สระ ๕ ตัว คือ อา, อี, อู, เอ, โอ เรียกว่า ทีฆะ เพราะมีเสียงยาว เช่น ในคาว่า ภาคี, วธ,ู เสโข เป็นตน้ ๒.๔.๖ สระ ๒ ตัว คือ เอ, โอ ถ้ามีพยัญชนะสังโยคอยู่หลัง จัดเป็น รัสสะ เช่นในคาว่า เสยโย, โสตถิ เปน็ ต้น ๒.๔.๗ สระท่ีเป็นทีฆะล้วน และสระที่เป็นรัสสะมีพยัญชนะสังโยค หรือมีนิคคหิตอยู่หลัง เรียกว่า ครุ เพราะมเี สียงหนัก เช่น ในคาว่า ภูปาโล เอสี มนุสสินโท โกเสยย เป็นตน้ ๒.๔.๘ สระท่ีเป็นรัสสะล้วน ไม่มีพยัญชนะสังโยคหรือนิคคหิตอยู่หลัง เรียกว่า ลหุ เพราะมี เสยี งเบา เชน่ ในคาวา่ ปติ มุนิ เป็นตน้ ๒.๔.๙ สระจัดเป็นคู่ได้ ๓ คู่ ดังน้ี ๑) อ, อา เรียกว่า อวณโณ ๒) อ,ิ อี เรียกวา่ อวิ ณโณ ๓) อ,ุ อู เรยี กว่า อวุ ณโณ ๒.๔.๑๐ สระ ๒ ตัว คือ เอ, โอ จัดเป็นสระผสม (สังยุตตสระ) คือ ผสมเสียงสระ ๒ ตัว เป็น เสียงเดยี วกนั ดังนี้ ๑) อ กับ อิ ผสมกันเป็น เอ ๒) อ กบั อุ ผสมกนั เปน็ โอ ๒.๔.๑๑ การเขยี นสระ มี ๒ แบบ ดังน้ี ๑) แบบสระลอย จะปรากฏตวั อ อักษรเสมอ เชน่ อ, อา, อิ เป็นตน้ ๒) แบบสระจม จะไมป่ รากฏตวั อ อกั ษร คือ อ อักษร จมเขา้ ไปอยู่ในพยัญชนะ เช่น ก, กา, กิ เป็นต้น ๑ พระอัคควงั สเถร, คัมภรี ์สัททนตี สิ ตุ ตมาลา, (กรุงเทพฯ: พทิ ักษ์อักษร, ๒๕๔๕), หน้า ๑๑. ๒ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส, บาลีไวยากรณ์ อักขรวิธี ภาคท่ี ๑ สมัญญาภิธาน และสนธิ, (กรุงเทพฯ: มหามกุฏราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๒), หนา้ ๖.

๒๗ ๒.๕ อธบิ ายพยัญชนะ ๓๓ ตวั พยัญชนะ ๓๓ ตัว ในภาษาบาลี ตามที่กล่าวแล้ว ในข้อ ๒.๓.๒ นั้น เราอาจอธิบายเป็นข้อ ๆ เพือ่ ความเขา้ ใจที่ชัดเจนย่งิ ขึน้ ได้ ดงั นี้ ๒.๕.๑ พยัญชนะ แปลว่า การทาความหมายให้ปราฏกชัดเจนข้ึน๓ หมายความว่า พยัญชนะ ต้องอาศัยสระจึงออกเสียงได้และเม่ือออกเสียงได้แล้ว ทาให้มีความหมายหรือเน้ือความชัดเจนจนเข้า ใจความได้ ลาพังเพียงสระเองแม้จะออกเสียงได้ แต่ถ้าพยัญชนะไม่อาศัยแล้ว ก็จะมีเสียงเหมือนกันคือ ออกเสียงเป็นตัว อ เหมือนกันหมด แสดงเน้ือความไม่ชัด ยากท่ีจะเข้าใจ เช่น ในคาว่า “ไปไหนมา” ถ้าพยัญชนะไม่อาศัยแล้ว ก็จะออกเสียงเป็นตัว อ เหมือนกันหมดว่า “ไอไอ๋อา” หรือในคาว่า “เขาดี ใจ”กจ็ ะออกเสยี งเปน็ “เอา๋ อใี อ” ซ่ึงแสดงเน้อื ความไม่ชัด ๒.๕.๒ อักษร ๓๓ ตวั ทีเ่ หลอื จากสระ มี ก เปน็ ตน้ มี (นคิ คหิต) เปน็ ท่สี ดุ จดั เปน็ พยญั ชนะ ๒.๕.๓ พยญั ชนะ เรยี กว่า “นิสิต” แปลวา่ ผ้อู าศัย เพราะตอ้ งอาศยั สระจึงจะออกเสยี งได้ ๒.๕.๔ พยญั ชนะจัดเป็น ๒ พวก คือ ๑) พยญั ชนะวรรค เกดิ เปน็ หมู่ ๆ ตามฐานกรณ์ที่เกดิ และ ๒) พยญั ชนะอวรรค เกิดไมเ่ ป็นหมู่ตามฐานกรณ์ท่ีเกิด ๒.๕.๕ พยญั ชนะวรรค มี ๒๕ ตวั จดั เป็น ๕ วรรค ๆ ละ ๕ ตวั ดงั นี้ ๑) ก วรรค =ก ข ค ฆ ง ๒) จ วรรค =จ ฉ ช ฌ ๓) ฏ วรรค =ฏ ฑ ฒ ณ ๔) ต วรรค =ต ถ ท ธ น ๕) ป วรรค =ป ผ ฟ ภ ม ๒.๕.๖ พยญั ชนะอวรรค มี ๘ ตัว คือ ย, ร, ล, ว, ส, ห, ฬ, ๒.๕.๗ พยัญชนะ คอื เรียกวา่ นคิ คหิต แปลว่า กดสระ คือเวลาอ่านจะออกเสยี งทางจมูก ไม่ให้อา้ ปากกว้างตามปกติ จะกดฐานกรณ์ไว้ ๒.๕.๘ พยญั ชนะ คือ (นคิ คหติ ) นี้ ตามสาสนโวหาร เรยี กวา่ อนุสาร แปลวา่ ไปตามสระ คือ ต้องไปตามหลงั สระรสั สะคอื อ, อ,ิ อุ เท่านัน้ เชน่ ในคาว่า อห, อกาส,ึ เสตุ เป็นต้น ๒.๕.๙ การเขยี นพยญั ชนะ มี ๒ แบบ ดังนี้ ๑) ปราสยพยัญชนะ การเขียนพยัญชนะท่ีต้องอาศัยสระหลงั เมอ่ื แยกพยัญชนะออก จากสระ พยญั ชนะต้องวางอย่หู นา้ สระและสระต้องวางอยู่หลังพยัญชนะเสมอ มีท้ังหมด ๓๒ ตัว เชน่ ก แยกพยญั ชนะออกจากสระเปน็ ก + อ กา แยกพยัญชนะออกจากสระเปน็ ก + อา ๓ พระอคั ควงั สเถร. คมั ภีร์สทั ทนตี สิ ุตตมาลา, (กรุงเทพฯ: พทิ กั ษอ์ ักษร, ๒๕๔๕), หนา้ ๑๓-๑๔.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook