นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุดรธานี ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ (Key Informant) ซึ่งคัดเลือกบุคคลผู้ให้ข้อมูล สำคัญอย่างเจาะจงและตรวจสอบความถูกต้องด้วยวิธีการ ตรวจสอบสามเส้าด้านวิธีการรวบรวมข้อมูล (Methodological Triangulation) นำข้อมูลมาวิเคราะห์แบบอุปนัย (Analytic Induction) และวิเคราะห์โดยการจัดจำแนกชนิดข้อมูล (Typological Analysis) ตามแนวคิดการจัดจำแนกของ ลอฟแลนด์ (Lofland) ผลการศึกษาพบว่า นับตั้งแต่การเลือกตั้งสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2476 ถึง การเลือกตั้งทั่วไป ครั้งที่ 21 เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2548 มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเลยทั้งสิ้น 25 คน เป็นชาย 21 คน คิดเป็นร้อยละ 84 ในขณะที่เป็นหญิง 4 คน คิดเป็น ร้อยละ 16 อาชีพก่อนเข้ามาดำรงตำแหน่งทางการเมือง ส่วนใหญ่มีอาชีพธุรกิจ รองลงมาได้แก่รับราชการ ผู้ที่ดำรง ตำแหน่งทางการเมืองยาวนานมากที่สุด คือ นายทศพล สังขทรัพย์ จำนวน 9 สมัย ระยะเวลา 18 ปี 3 เดือน 25 วัน ในขณะที่ผู้ดำรงตำแหน่งสั้นที่สุดคือ นายบัวพัน ไชยแสง 1 สมัย (ระยะเวลา 6 เดือน 18 วัน) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ที่ย้ายพรรคมากที่สุดคือ นายปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข จำนวน 4 พรรค มีภูมิลำเนาโดยการเกิดในจังหวัดเลย 12 คน คิดเป็น ร้อยละ 48 เครือข่ายทางการเมืองที่ให้การสนับสนุนนักการเมือง และความสัมพันธ์ของนักการเมืองกับประชาชนในช่วงการ เลือกตั้งระหว่าง พ.ศ. 2476 ถึง พ.ศ. 2500 ส่วนใหญ่เป็นความ 86
แนวคิดทฤษฎีและวรรณกรรมที่เก่ียวข้อง สัมพันธ์แบบเครือญาติ ทั้งในแบบเครือญาติตระกูลและ เครือญาติเกื้อกูล การเลือกตั้งใน พ.ศ.2512 เป็นยุคแรกที ่ นักธุรกิจเข้ามาสู่การเมืองระดับชาติโดยมีความสัมพันธ์ เครือข่ายธุรกิจระหว่างจังหวัดได้รับการช่วยเหลือจากกลุ่มธุรกิจ ค้าไม้และสมาชิกสภาจังหวัดเลยที่มาจากภาคตะวันออก เริ่มมี การใช้เงินซื้อเสียง การใช้อิทธิพลข่มขู่หัวคะแนน และการสร้าง ระบบอุปถัมภ์กับหัวคะแนน ผู้มีสิทธิเลือกตั้งช่วง พ.ศ. 2531 ถึง พ.ศ. 2535 เป็นช่วงการเมืองสองสภาพโดยนักการเมืองถิ่น ส่วนหนึ่งมีพฤติกรรมทางการเมืองเชิงอุดมการณ์ในขณะที่อีก กลุ่มหนึ่งเป็นแบบธนกิจการเมือง (Political Finance) การเลือกตั้ง หลังจากปี พ.ศ. 2538 เป็นต้นมานักการเมืองถิ่นกลุ่มคุณภาพ ยึดอุดมการณ์ประชาธิปไตย พ่ายแพ้การเลือกตั้งและไม่ได้ดำรง ตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอีกเลย ในขณะที่นักการเมือง กลุ่มธนกิจการเมืองเข้ามามีบทบาทและประสบความสำเร็จ ทางการเมืองทุกเขตเลือกตั้ง ในส่วนการจัดตั้งเครือข่ายทาง การเมืองไม่ปรากฏขั้วการแข่งขันทางการเมืองที่เด่นชัด แม้การ เลือกตั้งใน พ.ศ. 2538 จะมีกลุ่มที่มีความเข้มแข็งทางการเมือง อยู่ 3 ตระกูล คือ ตระกูลแสงเจริญ-รัตน์ ตระกูลเร่งสมบูรณ์สุข และตระกูลทิมสุวรรณ โดยทุกตระกูลมีอาชีพธุรกิจการรับเหมา ก่อสร้าง และการสัมปทานแร่ธาตุ แต่ได้จัดแบ่งขอบเขตพื้นที่ ทางการเมืองอย่างประนีประนอม อิงประโยชน์ทางธุรกิจและ จัดสรรอำนาจทางการเมืองอย่างลงตัว ทำให้ยังคงมีบทบาท มีอิทธิพลทางการเมืองอย่างต่อเนื่องจนถึง พ.ศ. 2548 ทำให้ ไม่เกิดสภาพการแข่งขันในตลาดการเมืองอย่างแท้จริง 87
นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุดรธานี รูปแบบการหาเสียงและวิธีการสร้างคะแนนนิยมของ นักการเมืองถิ่น ในช่วงระหว่าง พ.ศ. 2476 ถึง พ.ศ.2500 ใช้การ เดินหาเสียงกับประชาชนในหมู่บ้าน มีใบปลิว โปสเตอร์หาเสียง ฉายภาพยนตร์ มีจัดเลี้ยงสุราอาหาร แจกสิ่งของหลายประเภท เช่น น้ำปลา ปลาทูเค็ม ปลาร้า ไม้ขีดไฟ น้ำตาล รองเท้า บางคนมีการปราศรัย โดยชูนโยบายการพัฒนาพื้นที่ให้เจริญ และชูภาพลักษณ์หัวหน้าพรรคหรือหัวหน้ากลุ่มการเมือง มีการ ปล่อยข่าวลือ โจมตีว่าร้ายคู่แข่งขันทางการเมือง การเลือกตั้ง จากปี พ.ศ. 2518 เริ่มมีการใช้เงินซื้อเสียง การจัดเลี้ยง และ การจัดตั้งระบบเครือข่ายหัวคะแนนในพื้นที่ ผู้สมัครรับเลือกตั้ง ที่เป็นนักธุรกิจปราศรัยหาเสียงน้อย การสร้างคะแนนนิยม จะอาศัยการจ่ายเงิน และอุปถัมภ์หัวคะแนนการเลือกตั้ง นับจาก พ.ศ. 2538 เป็นต้นมา มีการนำรูปแบบการบริหาร จัดการเชิงธุรกิจมาใช้ในการสร้างฐานคะแนนเสียงทางการเมือง ควบคู่กับการสร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับข้าราชการ ชั้นผู้ใหญ่ในจังหวัดเลย เพื่อควบคุมและใช้ประโยชน์จากกลไก ราชการ ในขณะเดียวกันนักการเมืองจะอยู่ในการควบคุม การช่วยเหลือของหัวหน้ากลุ่ม (มุ้ง) การเมืองเพื่อสร้างความ เข้มแข็งทางอำนาจการเมือง และรองรับการกระจาย ผลประโยชน์ บทบาทของกลุ่มผลประโยชน์กับการเมืองก่อนปี พ.ศ. 2500 ไม่ปรากฏเด่นชัด เริ่มมีบทบาทและมีความสัมพันธ์ กับนักการเมืองถิ่นอย่างเด่นชัดนับจากการเลือกตั้งในปี พ.ศ. 2512 คือ กลุ่มสัมปทานป่าไม้ และกลุ่มค้าส่งค้าปลีก ต่อจากนั้นเป็นกลุ่มธุรกิจรับเหมาก่อสร้างเริ่มเข้าสู่การเมือง 88
แนวคิดทฤษฎีและวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง ในปี พ.ศ. 2529 ในบางเขตเลือกตั้ง และกลุ่มธุรกิจสัมปทานแร่ และรับเหมาก่อสร้าง เข้ายึดพื้นที่ทางการเมืองจังหวัดเลย ทุกเขตเลือกตั้งมาตั้งแต่การเลือกตั้งในปี พ.ศ. 2539 ถึง พ.ศ. 2548 และมีเครือข่ายธุรกิจรับเหมาระหว่างจังหวัด ส่วนกลุ่มที่ไม่เป็นทางการที่มีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือ นักการเมืองถิ่น ได้แก่ กลุ่ม อสม. (อาสาสมัครสาธารณสุข ประจำหมู่บ้าน) กลุ่มสตรี เครือข่ายกำนันผู้ใหญ่บ้าน และ สมาชิกสภาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยใช้เงินค่าตอบแทน และระบบอุปถัมภ์ ทางการเงินเป็นเครื่องมือหลัก ปัจจัยที่นำไปสู่ความสำเร็จทางการเมืองแตกต่างกัน ตามช่วงเวลาก่อนการเลือกตั้ง พ.ศ. 2476 ถึง พ.ศ. 2522 ปัจจัย สถานภาพบุคคลเป็นสิ่งสำคัญที่สุด รองลงมาเป็นวิธีการ หาเสียงจาก พ.ศ. 2522 ถึง พ.ศ. 2535 เป็นปัจจัยสถานภาพ บุคคล และการจัดตั้งเครือข่ายหัวคะแนนโดยใช้เงินตอบแทน นับจาก พ.ศ. 2535 ถึง พ.ศ. 2548 ระบบอุปถัมภ์ และเงินเป็น ปัจจัยสำคัญที่สุดที่นำไปสู่ความสำเร็จทางการเมือง ส่วนปัจจัย ที่นำไปสู่ความไม่สำเร็จทางการเมืองของนักการเมืองถิ่นจังหวัด เลย จะเกิดจากข้อจำกัดด้านความสามารถเชิงเศรษฐกิจ วิธีการบริหารจัดการหัวคะแนน ข่าวลือและพฤติกรรมของ นักการเมือง ทั้งในระหว่างการดำรงตำแหน่ง และไม่ได้ดำรง ตำแหน่งทางการเมือง นพพล อัคฮาด (2555, บทคัดย่อ) ได้ศึกษาเรื่อง นักการเมืองถิ่นจังหวัดหนองบัวลำภู การสำรวจเพื่อประมวล ข้อมูลการเมืองถิ่นและนักการเมืองถิ่นในพื้นที่จังหวัด 89
นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุดรธานี หนองบัวลำภู มีวัตถุประสงค์เพื่อรู้จักนักการเมืองที่ได้รับ การเลือกตั้งในจังหวัดหนองบัวลำภู ตั้งแต่มีการจัดตั้งเป็น จังหวัดหนองบัวลำภูขึ้นจนถึงปัจจุบัน และกลวิธีการหาเสียง ของนักการเมือง ใช้วิธีการศึกษาเชิงคุณภาพ ทำการเก็บข้อมูล โดยการสัมภาษณ์และการเข้าสังเกตแบบมีส่วนร่วมในพื้นที่ ช่วงเดือนเมษายน – เดือนกันยายน พ.ศ. 2555 แล้วทำการ ตรวจสอบความถูกต้องและสร้างข้อสรุปโดยการจำแนกและจัด ระบบข้อมูล จากการศึกษาพบว่า นักการเมืองถิ่นจังหวัด หนองบัวลำภูสามารถจำแนกได้ดังนี้ คือ นักการเมืองท้องถิ่น, นักธุรกิจในท้องถิ่น, ข้าราชการในพื้นที่ และบุคคลที่สืบทายาท ทางการเมืองของคนในครอบครัว ส่วนผู้ที่ได้รับการเลือกตั้ง เป็นนักการเมืองชายจำนวน 10 คน นักการเมืองหญิง 2 คน ในจำนวนนี้มีผู้ที่มีความสัมพันธ์กับ นักการเมืองคือ เป็นบิดา- บุตร 1 คน และคู่สมรส 1 คน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ได้รับ การเลือกตั้งมีจำนวน 7 คน โดยอยู่ ในตำแหน่งมากสุด คือ 13 สมัย ได้แก่ นายกิตติศักดิ์ หัตถสงเคราะห์ รองลงมา ได้แก่ นายไชยา พรหมา จำนวน 8 สมัย และนายวิชัย สามิตร 5 สมัย และสมาชิกวุฒิสภาที่ได้รับการเลือกตั้ง คนละ 1 สมัย จำนวน 5 คน พรรคการเมืองที่มีบทบาทในการเมืองถิ่นจังหวัด หนองบัวลำภู นับตั้งแต่ พ.ศ. 2538 จนถึง พ.ศ. 2544 ที่ได้รับ ความนิยมจากประชาชนได้แก่ พรรคความหวังใหม่ พรรค กิจสังคม และพรรคชาติพัฒนา และในช่วง พ.ศ. 2544 – ปัจจุบัน กระแสความนิยมของพรรคไทยรักไทยหรือ พรรคการเมืองที่ ดร.ทักษิณ ชินวัตร ให้การสนับสนุน เช่น พรรคพลังประชาชนและพรรคเพื่อไทย จะได้รับความ นิยมจาก 90
แนวคิดทฤษฎีและวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง ประชาชนในจังหวัดหนองบัวลำภูอย่างสูง สำหรับวิธีการและ กลวิธีการหาเสียงในการเลือกตั้งของนักการเมืองถิ่นในจังหวัด หนองบัวลำภู มีหลายรูปแบบ ได้แก่ การปราศรัย การใช้ รถยนต์ติดเครื่องขยายเสียงประชาสัมพันธ์ การให้เงินซื้อเสียง การเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคม และการใช้หัวคะแนนในระดับ หมู่บ้าน และบทบาทและความสัมพันธ์ของกลุ่มผลประโยชน์ และกลุ่มที่ไม่เป็นทางการพบว่า ครอบครัว ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง เครือข่ายระบบราชการในพื้นที่ การมีภูมิลำเนาในพื้นที่ และ กลุ่มคนเสื้อแดงในพื้นที่ล้วนเป็นปัจจัยที่สนับสนุนทางการเมือง แก่นักการเมืองถิ่นในจังหวัดหนองบัวลำภู ข้อเสนอแนะเพื่อ การศกึ ษาวจิ ยั ในโอกาสตอ่ ไป ในเบอ้ื งตน้ ควรจดั ใหม้ กี ารประชมุ สัมมนาในเชิงประวัติศาสตร์การเมืองจังหวัดหนองบัวลำภู เพื่อ จะได้ข้อมูลรายละเอียดข้อคิดเห็นที่หลากหลายขึ้นการศึกษา วิจัยเรื่องนี้ควรเป็นโครงการต่อเนื่องเพราะ สถานการณ์ การเมืองถิ่นจังหวัดหนองบัวลำภูได้พัฒนาการเปลี่ยนแปลงอยู่ ตลอดเวลา รวมทั้งการศึกษาเป็นกรณีเฉพาะบทบาทของพรรค ไทยรักไทยหรือพรรคการเมืองที่เชื่อมโยงกับ ดร.ทักษิณ ชินวัตร เช่น พรรคพลังประชาชนและพรรคเพื่อไทย และกลุ่ม คนเสื้อแดงในพื้นที่จังหวัดหนองบัวลำภูก็จะสามารถทำให้เห็น ภาพรวมของการเมืองถิ่นและนักการเมืองถิ่นจังหวัด หนองบัวลำภทู ี่มีความคมชัดและสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น สุเชาวน์ มีหนองหว้า และกิติรัตน์ สีหบัณฑ์ (2549, บทคัดย่อ) ได้ศึกษาเรื่อง นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุบลราชธานี ตั้งแต่ พ.ศ. 2475 - ปัจจุบัน (พ.ศ. 2548) มีวัตถุประสงค์ของ การศึกษาที่สำคัญคือ เพื่อรู้จักนักการเมืองที่เคยได้รับเลือกตั้ง 91
นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุดรธานี เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของจังหวัดอุบลราชธานี ตั้งแต่ อดีตจนกระทั่งปัจจุบัน เพื่อทราบถึงเครือข่ายและความสัมพันธ์ ของนักการเมืองในจังหวัดอุบลราชธานี บทบาทและความ สัมพันธ์ของกลุ่มผลประโยชน์ที่มีส่วนให้การสนับสนุนทาง การเมืองแก่นักการเมืองในจังหวัดอุบลราชธานี เพื่อทราบถึง บทบาทและความสัมพันธ์ของพรรคการเมืองกับนักการเมือง ในจังหวัดอุบลราชธานี และทราบถึงวิธีการหาเสียงในการ เลือกตั้งของนักการเมืองในจังหวัดอุบลราชธานีตั้งแต่อดีต จนกระทั่งปัจจุบัน ซึ่งการดำเนินการศึกษาเป็นการวิจัยเชิง คุณภาพ ดำเนินการวิจัยโดยการศึกษาวิจัยการเอกสาร การเก็บ ข้อมูลจากการสัมภาษณ์สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัด อุบลราชธานี และการใช้การสังเกตการณ์ จากการศึกษาพบว่า ตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลง การปกครองของประเทศไทยมาสู่ระบอบ ประชาธิปไตย ตั้งแต่ พ.ศ. 2475 และจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ตั้งแต่ พ.ศ. 2476 เป็นต้นมาจนกระทั่งปัจจุบัน จังหวัด อุบลราชธานีในฐานะจังหวัดหนึ่งของประเทศไทย ก็เข้าสู่ กระบวนการ การเมืองการปกครองไทย โดยจัดให้มีการเลือกตั้ง ส ม า ช ิ ก ส ภ า ผู ้ แ ท น ร า ษ ฎ ร เ พ ื ่ อ เ ข ้ า ไ ป ท ำ ง า น ใ น ร ั ฐ ส ภ า เช่นเดียวกับจังหวัดอื่นๆ เช่นกัน อย่างไรก็ตามเมื่อใช้เกณฑ ์ ภูมิหลังและอาชีพของนักการเมืองในจังหวัด อุบลราชธานีตั้งแต่ อดีตจนกระทั่งปัจจุบัน สามารถแบ่งได้เป็น 2 ยุค คือ ยุคของ นักการเมืองที่เป็นข้าราชการ ระหว่าง พ.ศ. 2476 - พ.ศ. 2514 และยุคของนักการเมืองที่เป็นนักธุรกิจ พ่อค้า ระหว่าง พ.ศ. 2518 – ปัจจุบัน 92
แนวคิดทฤษฎีและวรรณกรรมท่ีเกี่ยวข้อง ในส่วนเครือข่ายของนักการเมืองในจังหวัดอุบลราชธานี และกลุ่มผลประโยชน์ที่มีส่วนให้การ สนับสนุนทางการเมืองแก่ นักการเมืองในจังหวัดอุบลราชธานีนั้น นักการเมืองในจังหวัด อุบลราชธานี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะหลัง มีการรวมกัน เป็นกลุ่มในบางช่วงบางขณะเพื่อให้ความช่วยเหลือกัน ในการ เลือกตั้ง เช่น ในสมัยแรกๆ ภายหลังการเลือกตั้งในปี พ.ศ. 2518 เริ่มมีการรวมกลุ่มทางการเมืองที่มี นายสุทัศน์ เงินหมื่นเป็นผู้นำ ต่อมามีกลุ่มทางการเมืองที่มีนายประสิทธิ์ ณรงค์เดช และกลุ่มของ นายไชยศิริ เรืองกาญจนเศรษฐ์ เป็นผู้นำ ส่วนในปัจจุบันในจังหวัดอุบลราชธานี มีกลุ่มการเมือง สำคัญ 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่มีนายปรีชา เลาหพงศ์ชนะ เป็นผู้นำ กับกลุ่มที่มีนายเกรียง กัลป์ตินันท์ เป็นผู้นำ แม้ว่าจะอยู่ใน พรรคการเมืองเดียวกัน โดยกลุ่มการเมืองเหล่านี้จะลงสมัคร ในนามพรรคการเมืองเดียวกัน และเมื่อย้ายพรรคก็จะย้ายไป สังกัดพรรคใหม่คล้ายกัน ขณะเดียวกันหัวหน้ากลุ่มก็อาจมี ความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับนักการเมืองระดับชาติที่เป็นแกนนำ ในระดับรองหัวหน้าหรือหัวหน้าพรรคการเมืองด้วย ในส่วนรูปแบบและวิธีการหาเสียงของนักการเมืองถิ่น ในจังหวัดอุบลราชธานี จากการศึกษาพบว่า รูปแบบวิธีการ หาเสียงของนักการเมืองที่ได้รับเลือกตั้งในสมัยแรกที่มีการ เลือกตั้งกับในปัจจุบัน แตกต่างกัน กล่าวคือ ในสมัยแรกจาก การเลือกตั้งของจังหวัดอุบลราชธานีที่มีนักการเมืองได้รับ เลือกตั้ง เช่น นายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ นายเลียง ไชยกาล นายฟอง สิทธิธรรม การหาเสียงใช้รูปแบบของการออกปราศรัย ตามท้องถิ่นต่างๆ ในเขตเลือกตั้ง และการใช้กลุ่มเครือญาติ 93
นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุดรธานี เพื่อนสนิทช่วยในการหาเสียง แต่รูปแบบและวิธีการหาเสียง ของนักการเมืองในจังหวัดอุบลราชธานีในยุคปัจจุบันเปลี่ยนไป จากเดิม เป็นการใช้การจัดตั้งระบบหัวคะแนนในหมู่บ้าน และชุมชนกระจายครอบคลุมเขตเลือกตั้ง ซึ่งปัจจัยเกี่ยวกับ ความสามารถในการจัดตั้งหัวคะแนนจัดได้ว่าเป็นปัจจัยชี้ขาด สำคัญที่จะทำให้ผู้สมัครได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง นอกจากนี้ ผู้สมัครยังจะต้องมีความสามารถและเอาใจใส่ต่อการให้บริการ ประชาชนในเขตเลือกตั้ง เช่น การดูแลทุกข์สุขของประชาชน ที่ได้รับความเดือดร้อนที่มาขอความช่วยเหลือจากสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรหรือผู้ลงสมัครรับเลือกตั้ง การเข้าร่วมในกิจกรรม งานบุญประเพณีที่ชาวบ้านในชุมชนจัดขึ้นอย่างสม่ำเสมอ ตลอดเวลา ซึ่งรูปแบบและวิธีการหาเสียงดังกล่าวสำคัญมาก อย่างไรก็ตามปัจจัยเกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้สมัครที่เป็นคนมี ความรู้ความสามารถ คบง่าย พึ่งพาได้ ก็เป็นปัจจัยที่สำคัญ ประกอบกัน พิชญ์ สมพอง (2551, บทคัดย่อ) ได้ศึกษาเรื่อง นักการเมืองถิ่นจังหวัดยโสธร โครงการสำรวจเพื่อประมวล ข้อมูลนักการเมืองถิ่น จังหวัดยโสธร มีวัตถุประสงค์เพื่อรู้จัก นักการเมืองที่เคยได้รับเลือกตั้งในจังหวัดยโสธร เครือข่าย ความสัมพันธ์ของนักการเมืองในจังหวัดยโสธร บทบาทของ เครือข่ายและกลุ่มผลประโยชน์ในการสนับสนุนนักการเมืองถิ่น ยโสธร กลวิธีในการหาเสียงของนักการเมืองถิ่นยโสธร โดย การศึกษาจากเอกสารที่เกี่ยวข้อง การสัมภาษณ์ และ การสังเกตการณ์ในพื้นที่ของผู้วิจัย ข้อมูลที่ได้นำมาประมวล จัดระบบ วิเคราะห์ แล้วนำมาเสนอโดย การพรรณนาวิเคราะห์ 94
แนวคิดทฤษฎีและวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง ผลการศึกษาพบว่า นักการเมืองถิ่นยโสธรจำแนกได้ 3 กลุ่มใหญ่ คือ กลุ่มนักสื่อสารมวลชน กลุ่มครูอาจารย์ ข้าราชการเก่า และนักกฎหมาย กลุ่มนักการเมืองท้องถิ่นและ นักธุรกิจ เครือข่ายสายสัมพันธ์ที่พบจะเป็นบิดา–บุตร 1 คู่ นอกนั้นจะเป็นการเชื่อมโยงเครือข่ายกับกลุ่ม ผลประโยชน์ ทางการเมืองในระดับท้องถิ่น กลุ่มผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ และกลุ่มผลประโยชน์ทางสังคม และวัฒนธรรม พรรคการเมือง คือกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมืองมีบทบาทสูงต่อนักการเมือง ถิ่นยโสธร นักการเมืองถิ่นยโสธรมีการเปลี่ยนสังกัดพรรค ตามวาระของรัฐบาล โดยพรรคใดเป็นรัฐบาลบริหารประเทศ นักการเมืองถิ่นยโสธรก็สังกัดพรรคนั้น ส่วนกลวิธีสำคัญในการ หาเสียงได้แก่ การลงพื้นที่พบประชาชนโดยสม่ำเสมอ การให้ ความอุปถัมภ์ช่วยเหลือในรูปแบบต่างๆ นิรันดร์ กุลฑานันท์ (2549,บทคัดย่อ) ได้ศึกษาเรื่อง นักการเมืองถิ่นจังหวัดบุรีรัมย์ โดยผู้ศึกษามีวัตถุประสงค์สำคัญ คือ 1) ทำความรู้จักนักการเมืองที่เคยได้รับการเลือกตั้งใน จังหวัดบุรีรัมย์ 2) เพื่อทราบถึงเครือข่ายและความสัมพันธ์ของ นักการเมืองในจังหวัด 3) เพื่อทราบบทบาทและความสัมพันธ์ ของกลุ่มผลประโยชน์ และกลุ่มที่ไม่เป็นทางการที่มีส่วน สนับสนุนทางการเมืองในจังหวัด 4) เพื่อทราบบทบาทและ ความสัมพันธ์ของพรรคการเมืองกับนักการเมืองในจังหวัด และ 5) เพื่อทราบวิธีการหาเสียงในการเลือกตั้งของนักการเมือง ในจังหวัด โดยทำการศึกษานักการเมืองระดับชาติตั้งแต่ การเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรก จนถึง พ.ศ. 2548 โดยใช้กระบวนการ วิจัยเชิงคุณภาพในการศึกษา ผลการศึกษาพบว่า นักการเมือง 95
นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุดรธานี ที่โดดเด่นในยุคแรก พ.ศ. 2476-2500 ได้แก่ นายเสรี อิศรางกูร ณ อยุธยา (บิดา ของพลเอกธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา และเป็นรัฐมนตรีคนแรกของบุรีรัมย์) และนายสอิ้ง มารังกูล (นักการเมืองหัวก้าวหน้าในยุคแรก) ในยุคที่ 2 (พ.ศ. 2512-2519) นกั การเมอื งทโ่ี ดดเดน่ คอื นายสวสั ด์ิ คชเสนย์ และนายประเสรฐิ เลิศยะโส (ผู้สมัครพรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทย) เป็น นักการเมืองหัวก้าวหน้าที่ได้รับเลือกหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ในยุคที่สาม (พ.ศ. 2522-2535) นักการเมืองที่โดดเด่น คือ นายอนุวรรตน์ วัฒนพงศ์ศิริ (อดีตรัฐมนตรีหลายสมัย) และ นายการุณ ใสงาม นักการเมืองถิ่นจังหวัดศรีสะเกษนักการเมือง หัวก้าวหน้า ในยุคที่สี่ (พ.ศ. 2535-2540) นักการเมือง ที่โดดเด่น คือนายพรเทพ เตชะไพบูลย์ (อดีตรัฐมนตรีหลายสมัย) ในยุค ปัจจุบัน (พ.ศ. 2540-2548) นักการเมืองบุรีรัมย์ที่โดดเด่น คือ นายเนวิน ชิดชอบ (รัฐมนตรีหลายสมัย) นายโสภณ เพชรสว่าง (อดีตรองประธานสภาผู้แทนราษฎร) และพลเอกธรรมรักษ์ อิศรางกรู ณ อยุธยา (รัฐมนตรีหลายสมัย) สำหรับเครือข่ายความสัมพันธ์ระหว่างนักการเมือง ในจังหวัดพบว่า นักการเมืองบุรีรัมย์มีความสัมพันธ์กันผ่าน การทำธุรกิจ และการแบ่งปันผลประโยชน์ งบประมาณพัฒนา ที่ลงมาในพื้นที่เลือกตั้ง มีความสัมพันธ์เชิงเครือญาติ และ สัมพันธ์กับกลุ่มผลประโยชน์ต่าง ๆ เช่น หอการค้า สภา อุตสาหกรรม องค์กรกู้ภัย เป็นต้น ส่วนความสัมพันธ์ระหว่าง นักการเมืองกับพรรคการเมือง จะสัมพันธ์ผ่านมุ้งการเมืองที่ตน สังกัดอยู่ 96
แนวคิดทฤษฎีและวรรณกรรมท่ีเกี่ยวข้อง ในด้านวิธีการหาเสียงในการเลือกตั้ง มีพัฒนาการมา ตั้งแต่การเคาะประตูบ้าน จัดมหรสพแล้วปราศรัยหาเสียง ทำโปสเตอร์ แผ่นป้ายโฆษณา มาจนถึงการแจกสิ่งของ อาหาร ยารักษาโรค เสื้อผ้า และแจกเงิน ในท้ายที่สุด และรูปแบบ การจัดตั้งหัวคะแนน เริ่มจากง่ายๆ อาศัยผู้นำท้องถิ่น มาเป็นการวางเครือข่ายคล้ายธุรกิจขายตรง มีสัดส่วน หัวคะแนนต่อผู้ใช้สิทธิเล็กลง และนอกจากนี้ยังใช้วิธีการ หาเสียงโดยจัดตั้งกองทุนให้กลุ่มชาวบ้าน การอบรมและพาไป ศึกษาดูงาน การจัดเลี้ยง การแจกเบี้ยเลี้ยง เป็นต้น ไพฑูรย์ มีกุศล (2552, บทคัดย่อ) ได้ศึกษาเรื่อง นักการเมืองถิ่นจังหวัดสุรินทร์ การสำรวจเพื่อประมวลข้อมูล นักการเมืองถิ่นในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ เป็นการศึกษาและ รวบรวมข้อมูลนักการเมือง ระดับชาติที่ได้รับการเลือกตั้ง เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสุรินทร์ ตั้งแต่การเลือกตั้ง ทั่วไปครั้งแรก พ.ศ. 2476 จนถึงการเลือกตั้งทั่วไป พ.ศ. 2550 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ การเมืองการปกครองระดับชาติของจังหวัดสุรินทร์ ศึกษา โครงสร้างความสัมพันธ์ของนักการเมือง ระดับชาติกับ ประชาชนในจังหวัดสุรินทร์ และเพื่อศึกษาผลงานของ นักการเมืองที่มีต่อท้องถิ่นจังหวัดสุรินทร์ โดยใช้วิธีวิทยา (Methodology) การวิจัยเชิงประวัติศาสตร์ซึ่งเน้นการศึกษาจาก หลักฐานประเภทเอกสารชั้นต้น (Primary Source) เป็นหลักและ อาศัยเอกสารชั้นรอง (Secondary Source) ประกอบ รวมทั้ง วิธีวิทยาการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยวิธีการสัมภาษณ์นักการเมือง 97
นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุดรธานี ที่เป็นกรณีศึกษาและบุคคลที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางการเมือง ถิ่นจังหวัดสุรินทร์ ผลการวิจัยพบว่า พัฒนาการทางการเมืองถิ่นสุรินทร์ มีความสัมพันธ์กับการเมืองระดับชาติตั้งแต่แรกมีการเลือกตั้ง ทั่วไปเมื่อ พ.ศ. 2476 เป็นต้นมา โดยแบ่งช่วงเวลาอย่างกว้างๆ ได้เป็น 2 ยุค คือ การเมืองยุคเก่านับตั้งแต่แรกมีการเลือกตั้ง จนถึงการเลือกตั้งในปี 2518 จัดเป็นการเมืองแบบเดิมที่ นักการเมืองใช้รูปแบบและกลวิธีในการหาเสียงโดยใช้ความ สามารถเฉพาะตัว ซึ่งมีคุณลักษณะหรืออัตลักษณ์ที่เป็น จุดเด่นในด้านของความเป็นคน ที่มีความรู้ดีมีคุณธรรมและ ศีลธรรมอันดีมีความใกล้ชิดกับประชาชน และมีความเสียสละ เพื่อช่วยเหลือชาวบ้านที่มีความเดือดร้อนด้วยความจริงใจ นักการเมืองถิ่นรุ่นเก่าที่ชาวบ้านกล่าวถึงในคุณงามความดี อยู่เสมอ คือ นายญาติ ไหวดี นายเหลื่อม พันธ์ฤกษ์ และ นายสุธี ภูวพันธุ์ ส่วนนักการเมืองที่มีอุดมการณ์สูงที่ชาวบ้าน ชื่นชมและกล่าวขวัญถึงเสมอได้แก่ นายเปลื้อง วรรณศรี ยุคต่อมาเป็นการเมืองแบบใหม่นับตั้งแต่มีการเลือกตั้ง ทั่วไปในปี 2522 เป็นต้นมา นักการเมืองถิ่นจังหวัดสุรินทร์ยุคนี้ มีหลายกลุ่มคือ กลุ่มพ่อค้าที่มีบทบาทและมีอิทธิพลทาง ธุรกิจการค้าในจังหวัดสุรินทร์ ได้แก่ ตระกูลศรีสุรินทร์ ตระกูล เรืองกาญนเศรษฐ์ ตระกูลรุ่งธนเกียรติ และตระกูลมุ่งเจริญพร ตระกูล นักปกครองของเมืองสุรินทร์ดั้งเดิมได้แก่ ตระกูล มูลศาสตร์และมูลศาสตร์สาธร และกลุ่มนักจัดรายการวิทยุ กระจายเสียง ได้แก่ นายวิชัย จันทร์เจริญ และนายเสกสรร แสนภมู ิ 98
แนวคิดทฤษฎีและวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง ในด้านกระบวนการหาเสียงเลือกตั้งได้มีการวางรูปแบบ โดยการจัดตั้งผู้นำที่เป็นกลุ่มพวกพ้อง กลุ่มเครือญาติ กลุ่ม เครือข่ายวิชาชีพต่างๆ (ครู นักปกครองท้องถิ่นและท้องที่ และ อสม.) และกลุ่มหัวคะแนนหรือแกนนำในหมู่บ้านกับ นักการเมือง ซึ่งเป็นความสัมพันธ์แบบระบบอุปถัมภ์และ มีการใช้เงินเป็นหลักในการหาเสียงเลือกตั้ง ซึ่งเห็นได้ชัดเจน จากการเลือกตั้งในช่วงทศวรรษ 2540 เป็นต้นมา รวมทั้ง การสร้างเครือข่ายของพรรคการเมืองระหว่างนักการเมืองถิ่นกับ หัวคะแนนและกลุ่มต่างๆ ในแต่ละหมู่บ้านของจังหวัดสุรินทร์ เช่น นักปกครองท้องที่ (กำนัน ผู้ใหญ่บ้านและผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน) นักปกครองส่วนท้องถิ่น (นายก อบต. สมาชิก อบต. นายก เทศมนตรีสมาชิกสภา เทศบาล และ อสม.) และแกนนำระดับ ชาวบ้าน การสร้างเครือข่ายดังกล่าว จำเป็นต้องมีการต่อท่อ น้ำเลี้ยง (ทุนที่เป็นเงิน) อย่างเข้มข้นและสม่ำเสมอไปยัง เครือข่ายต่างๆ อย่างเป็นระบบโดยมีผู้ตรวจสอบระดับสูงกว่า นักการเมืองถิ่น (รัฐมนตรีหรือกรรมการบริหารพรรคที่ได้รับ มอบหมายให้รับผิดชอบพื้นที่ แต่ละกลุ่มจังหวัด) การเลือกตั้ง ในปัจจุบัน จึงขึ้นอยู่กับการจัดตั้งเครือข่ายหัวคะแนนและ แกนนำที่ต้องลงทุนสูงมาก จึงเป็นการยากและลำบากอย่างยิ่ง สำหรับนักการเมืองหน้าใหม่ที่จะได้รับเลือกตั้งถ้าขาด การสนับสนุนทางการเงินจากพรรคการเมืองและขาดการจัดตั้ง เครือข่ายในหมู่บ้านหรือชุมชน อย่างเป็นระบบและทั่วถึงในทุก พื้นที่ ฉลาด จันทรสมบัติ (2557, บทคัดย่อ) ได้ศึกษาเรื่อง นักการเมืองถิ่นจังหวัดมหาสารคาม มีวัตถุประสงค์การศึกษา 99
นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุดรธานี 1) เพื่อรู้จักนักการเมืองที่เคยได้รับเลือกตั้งในจังหวัดที่ทำการ ศึกษา 2) เพื่อทราบถึงเครือข่ายและความสัมพันธ์ของ นักการเมืองที่ทำการศึกษา 3) เพื่อทราบถึงบทบาทและ ความสัมพันธ์ของกลุ่มผลประโยชน์และกลุ่มที่ไม่เป็นทาง การ เช่น ครอบครัว วงศาคณาญาติ ที่มีส่วนในการสนับสนุน ทางการเมืองแก่นักการเมืองในจังหวัด 4) เพื่อทราบสมรรถนะ และความสามารถเบื้องตั้งของนักการเมืองในจังหวัด 5) เพื่อ ทราบถึงวิธีการหาเสียงในการเลือกตั้งของนักการเมือง ในจังหวัด กลุ่มประชากรที่ใช้ในการศึกษามีสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรที่ยังมีชีวิตอยู่ รวม 17 คน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการ ศึกษาครั้งนี้ได้มาโดยพิจารณาเลือกแบบเจาะจง (Purposive sampling) รวม 11 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาเป็นแบบ สัมภาษณ์แบบไม่มีโครงสร้าง แบบสอบถาม และเอกสาร หลักฐาน การวิเคราะห์ข้อมูลใช้พรรณนาวิเคราะห์ สถิติที่ใช้ ในการวิเคราะห์ข้อมลู ใช้ค่าความถี่ ผลการศึกษาปรากฏดังนี้ 1. ภูมิหลังของนักการเมืองถิ่นจังหวัดมหาสารคาม สามารถแบ่งได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ ได้แก่ (1) กลุ่มอดีต ข้าราชการ เช่น ครู อาจารย์ นักวิชาการ (2) กลุ่มนักธุรกิจและ ผู้กว้างขวางในพื้นที่ และ (3) กลุ่มนักการเมือง 2. เครือข่ายความสัมพันธ์ของนักการเมือง ถือเป็น ประเด็นที่มีความสำคัญมากในการดำเนินงานทางการเมือง โดยนักการเมืองจังหวัดมหาสารคามส่วนใหญ่ได้อาศัยฐาน อาชีพเดิมของตนเองเป็นหลักในการสร้างความใกล้ชิดกับ ชาวบ้าน 100
แนวคิดทฤษฎีและวรรณกรรมท่ีเก่ียวข้อง 3. ด้านพรรคการเมือง การเลือกตั้งในอดีต ประชาชน ส่วนใหญ่จะเน้นการมองที่ความสามารถของตัวบุคคลเป็นหลัก แต่ในระยะต่อมาปัจจัยด้านพรรคการเมืองเข้ามามีบทบาท สำคัญในการสร้างความนิยมให้กับคนในพื้นที่เป็นเป็นอย่าง มาก โดยเฉพาะตั้งแต่ปี 2544 เป็นต้นมา การเมืองในจังหวัด มหาสารคามเริ่มจะมีการผูกขาดจากพรรคการเมืองที่เกี่ยวข้อง ผูกพันกับ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร จนถึงปัจจุบัน 4. สมรรถนะและความสามารถพื้นฐานของสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรถือเป็นปัจจัยสำคัญ โดยคุณลักษณะสำคัญ 3 อันดับแรก ได้แก่ (1) มีความใฝ่รู้และพัฒนาตนเองอยู่เสมอ (2) มีศีลธรรมจริยธรรม แสดงตนเป็นแบบอย่างที่ดีตามหลัก วัฒนธรรม ประเพณีและเข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนาและ วัฒนธรรมประเพณีอย่างสม่ำเสมอ และ (3) มีความเป็นกันเอง โอบอ้อมอารีช่วยเหลือผู้อื่น 5. กลวธิ หี าเสยี งของนกั การเมอื งถน่ิ จงั หวดั มหาสารคาม ที่ประสบความสำเร็จพบว่า ในอดีตใช้การปราศรัย พบปะ ประชาชน การพูดจูงใจ ตลอดจนการใช้หัวคะแนนที่เชื่อถือได้ ตามหมูบ้าน ตำบล อำเภอ แต่ในปัจจุบันสมาชิกผู้แทนราษฎร ต้องเน้นการเข้าถึงประชาชนในพื้นที่มีความจริงใจกับประชาชน ในการแก้ไขปัญหาร่วมกัน โดยยึดหลักประชาธิปไตยในการ ทำงาน รวมทั้งการสร้างทีมงานในพื้นที่ที่มีคุณภาพที่คอย ประสานและคอยช่วยเหลือปัญหาของบ้านในเบื้องต้นในพื้นที่ ซึ่งสามารถทำได้อย่างรวดเร็วและปฏิบัติได้จริง 101
บ3ทท ่ี ประวัติศาสตร์และข้อมูลพ้ืนฐาน จังหวัดอุดรธานี 3.1 ประวัติศาสตร์ ความเป็นมา ของจังหวัดอุดรธานี จังหวัดอุดรธานีเป็นจังหวัดที่มีประวัติศาสตร์อย่าง ยาวนาน โดยจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี พบว่า บริเวณพื้นที่ที่เป็นจังหวัดอุดรธานีในปัจจุบัน เคยเป็น ถิ่นที่อยู่ของมนุษย์มาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ประมาณ 5,000-7,000 ปี จากหลักฐานการค้นพบที่บ้านเชียง อำเภอ หนองหาน และภาพเขียนสีบนผนังถ้ำ ที่อำเภอบ้านผือ เป็นสิ่ง ที่แสดงให้เห็นเป็นอย่างดีจนเป็นที่ยอมรับนับถือในวงการศึกษา ประวัติศาสตร์และโบราณคดีระหว่างประเทศว่าชุมชนที่เป็น
ประวัติศาสตร์และข้อมูลพ้ืนฐานของจังหวัดอุดรธานี ถิ่นที่อยู่ของมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ ที่จังหวัดอุดรธานี มีอารยะธรรมความเจริญในระดับสูง และอาจถ่ายทอดความ เจริญนี้ไปสู่ประเทศจีนก็อาจเป็นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เครื่องปั้นดินเผาสีลายเส้นที่บ้านเชียงนั้น สันนิษฐานว่าอาจเป็น เครื่องปั้นดินเผาสีลายเส้นที่เก่าที่สุดของโลก หลังจากยุค ความเจริญที่บ้านเชียงแล้ว พื้นที่ที่เป็นจังหวัดอุดรธานีก็ยังคง เป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์สืบต่อมาอีกจนกระทั่งสมัย ประวัติศาสตร์ของประเทศไทย นับตั้งแต่สมัยทวารวดี (พ.ศ. 1200-1600) สมัยลพบุรี (พ.ศ. 1600-1800) และสมัยสุโขทัย (พ.ศ. 1800-2000) จากหลักฐานที่พบ คือ ใบเสมา สมัยทวารวดี ลพบุรีและภาพเขียนปูนบนผนังโบสถ์ที่ปรักหักพัง บริเวณ เทือกเขาภูพานใกล้วัดพระพุทธบาทบัวบก อำเภอบ้านผือ แต่ ทั้งนี้ยังไม่ปรากฏหลักฐานชื่อจังหวัดอุดรธานีปรากฏใน ประวัติศาสตร์แต่อย่างใด ต่อมาในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีพื้นที่จังหวัด อุดรธานีปรากฏในประวัติศาสตร์ เมื่อราวปีจอ พ.ศ. 2117 พระเจ้ากรุงหงสาวดีได้ทรงเกณฑ์ทัพไทยให้ไปช่วยตีกรุงศรี- สัตนาคนหุต (เวียงจันทน์) โดยให้สมเด็จพระมหาธรรมราชากับ สมเด็จพระนเรศวรมหาราชยกทัพไปช่วยรบ แต่เมื่อกองทัพไทย มาถึงเมืองหนองบัวลำภู ซึ่งเป็นเมืองหน้าด่านของเมือง เวียงจันทน์ สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงประชวรด้วยไข้ ทรพิษ จึงยกทัพกลับไม่ต้องรบพุ่งกับเวียงจันทน์ และที่เมือง หนองบัวลำนี่เองสันนิษฐานว่า เคยเป็นเมืองที่มีความเจริญ มาตั้งแต่สมัยขอมเรืองอำนาจ ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์เป็น ราชธานีนั้น จังหวัดอุดรธานีได้เกี่ยวข้องกับการศึกสงคราม 103
นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุดรธานี กล่าวคือ ในระหว่าง พ.ศ. 2369-2371 ได้เกิดกบฏเจ้าอนุวงศ์ ยกทัพเข้ามายึดเมืองนครราชสีมา ซึ่งมีผู้นำคือ คุณหญิงโม (ท้าวสุรนารี) กองทัพเจ้าอนุวงศ์ได้ถอยทัพมาตั้งรับที่เมือง หนองบัวลำภู และได้ต่อสู้กับกองทัพไทยและชาวเมือง หนองบัวลำภูจนทัพเจ้าอนุวงศ์แตกพ่ายไป กระทั่งในปลายสมัย สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ประมาณ พ.ศ. 2411 ได้เกิดความวุ่นวายขึ้นในมณฑลลาวพวน เนื่องมาจากพวกฮ่อ แต่กองทัพไทยได้ยกขึ้นไปปราบปรามจนสงบได้ชั่วคราว ใน พ.ศ. 2428 สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า- เจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 หัวเมืองทางฝ่ายเหนือมีศูนย์บัญชาการ ณ เมืองหนองคาย มีอาณาบริเวณครอบคลุมพื้นที่ฝั่งซ้ายของ แม่น้ำโขง เกิดเหตุการณ์พวกฮ่อ หรือกบฏไต้เผงจากจีน ถอยร่น ลงทางหัวเมืองฝ่ายเหนือของราชอาณาจักรสยามได้รวม ตัวก่อการร้ายเที่ยวปล้นสะดมและก่อความไม่สงบ รบกวน ชาวบ้านอยู่ตลอดเวลา และมีท่าทีจะรุนแรงขึ้น พระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงโปรดกรุณาให้พระเจ้าบรมวงศ์ เธอกรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคมเป็นแม่ทัพใหญ่ฝ่ายใต้ และ เจ้าหมื่นไวยวรนาถเป็นแม่ทัพใหญ่ฝ่ายเหนือ ไปทำการ ปราบปรามพวกฮ่อจนแตกพ่ายไป ภายหลังการปราบปรามฮ่อ สงบแล้ว ไทยมีกรณีพิพาทกับฝรั่งเศส เนื่องจากฝรั่งเศส ต้องการลาว เขมร ญวณ รวมทั้งอาณาจักรสยามเป็น อาณานิคมด้วย โดยเรียกเหตุการณ์นี้ว่า กรณีพิพาท ร.ศ. 112 (พ.ศ. 2436) ซึ่งฝ่ายฝรั่งเศสได้ส่งทหารเข้ามาทางด่านคำมวน เพื่อทำการปลดอาวุธพระยอดเมืองขวาง และโกสตูแลงแม่ทัพ ของฝ่ายฝรั่งเศสได้คุมตัวพระยอดเมืองขวางไปที่ท่าอุเทน แต่ได้ 104
ประวัติศาสตร์และข้อมูลพ้ืนฐานของจังหวัดอุดรธานี ทหารท่าอุเทนเข้าช่วยเหลือ ทำการยิงทหารฝรั่งเศสตายจำนวน มาก หลบหนีไปได้เพียง 3 นาย เหตุการณ์ดังกล่าวนี้ฝ่ายสยาม ได้ทำการประท้วงรัฐบาลฝรั่งเศสแต่ไม่ได้ผล ฝ่ายฝรั่งเศสนั้น กลบั ไดส้ ง่ กำลงั ทหารเขา้ มาคกุ คามมากขน้ึ เมอ่ื วนั ท่ี 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2436 ฝรั่งเศสส่งเรือรบ 2 ลำ เรือนำร่อง 1 ลำ เข้ามาทาง ปากน้ำของไทยและเกิดการต่อสู้ปะทะกัน ฝ่ายไทยสู้ไม่ได้ จนกระทั่งเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2436 ฝ่ายฝรั่งเศส ยื่นข้อเสนอให้ไทยมอบดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงให้ภายใน 24 ชั่วโมง แต่ไม่ได้รับคำตอบทำให้ ม.ปาวี ทูตฝรั่งเศสเดินทาง ออกจากไทยและประกาศปดิ อา่ วไทย ตอ่ มาเมอ่ื วนั ท่ี 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2436 ด้วยพระปรีชาญาณของพระบาทสมเด็จพระจุลจอม- เกล้าเจ้าอยู่หัวที่ทรงยอมเสียสละดินแดนส่วนน้อยเพื่อรักษา ประเทศไว้ จึงทรงสละดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงให้แก่ฝรั่งเศส และสัญญากับฝรั่งเศสด้วยเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2436 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกรุงสยาม และท่านประธานาธิบดี ริบับลิก กรุงฝรั่งเศส มีความประสงค์เพื่อจะระงับกับความวิวาท ซึ่งเกิดขึ้นในสมัยที่ล่วงไปแล้ว ในระหว่างประเทศทั้งสองนี้ และ เพื่อจะผูกพันทางไมตรีอันได้มีมาหลายร้อยปีแล้ว ในระหว่าง กรุงสยามและกรุงฝรั่งเศสนั้นให้สนิทยิ่งขึ้นจึงได้ตั้งอัครราชทูต ผู้มีอำนาจเต็มทั้งสองฝ่ายให้ทำหนังสือสัญญาฉบับนี้ คือ ฝ่ายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกรุงสยาม ได้ตั้งพระเจ้า น้องยาเธอกรมหลวงเทวะวงษ์วโรประการ คณาภยันดรมหาจักรี และแครนด์ออฟฟิเชอร์ลิยิอองคอนเนอร์ เสนาบดีว่าการ ต่างประเทศกรุงสยามฝ่ายหนึ่งแลฝ่ายท่านประธานาธิบดี รปิ นั ลกิ กรงุ ฝรง่ั เศส ไดต้ ง้ั มองซเิ ออรเ์ ลอร์ ชาวสม์ ารเิ ลอมริ เ์ ดอวเิ ลร์ 105
นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุดรธานี ผู้ได้รับเครื่องอิสริยาภรณ์ แกรนด์ออฟฟิเชอร์ลิยิอองคอนเนอร์ และจุลวราภรณ์อัครราชทูตผู้มีอำนาจเต็มชั้นที่หนึ่ง และ ที่ปรึกษาแผ่นดินอีกฝ่ายหนึ่งผู้ซึ่งเมื่อได้แลกเปลี่ยนตราตั้ง มอบอำนาจและได้เห็นเป็นการถูกต้องตามแบบแผนดีแล้ว ซึ่งรายละเอียดของสัญญาครั้งนี้มี 10 ประการความสำคัญกับ ระดับชาติและมีเกี่ยวข้องกับการตั้งเมืองอุดรธานี ดังต่อไปนี้คือ ข้อ 1. คอเวอนแมนต์สยามยอมสละเสียซึ่งข้ออ้างว่า มีกรรมสิทธิ์ทั้งสิ้นทั่วไปในดินแดน ณ ฝั่งซ้าย ฟากตะวันออก แม่น้ำโขง และในบรรดาเกาะทั้งหลายในแม่น้ำนั้นด้วย ข้อ 2. คอเวอนแมนต์สยามจะไม่มีเรือรบใหญ่น้อยไปไว้ ฤาใช้ดินแดนในทะเลสาบก็ดี และในลำน้ำแยกจากแม่น้ำโขง ซึ่งอยู่ภายในที่อันได้มีกำหนดไว้ในข้อต่อไปนี้ ข้อ 3. คอเวอนแมนต์สยามจะไม่ก่อสร้างด่านค่ายคูฤา ที่อยู่ของพลทหารในแขวงเมืองพระตะบอง และเมืองนคร เสียมราบ แลในจังหวัด 25 กิโลเมตร (625 เส้น) บนฝั่งขวาฟาก ตะวันตกแม่น้ำโขง ข้อ 4. ในจังหวัดซึ่งได้กล่าวไว้ในข้อ 3 นั้น บรรดา การตระเวนรักษาจะมีแต่กองตระเวนเจ้าพนักงานเมืองนั้นๆ กับ คนใช้เป็นกำลังแต่เพียงที่จำเป็นแท้ และทำการตามอย่างเช่น เคยรักษาเป็นธรรมเนียมในที่นั้น จะไม่มีพลประจำฤาพลเกณฑ์ สรรด้วยอาวุธเป็นทหารอย่างใดอย่างหนึ่งตั้งอยู่ในที่นั้นด้วย ข้อ 5. คอเวอนแมนตส์ ยามจะรบั ปฤกษากบั คอเวอนแมนต์ ฝรั่งเศสภายในกำหนดหกเดือน แต่ปีนี้ไปในการที่จะจัดการเป็น 106
ประวัติศาสตร์และข้อมูลพ้ืนฐานของจังหวัดอุดรธานี วิธีการค้าขาย แลวิธีตั้งด่านโรงภาษี ในที่ตำบลซึ่งได้กล่าวไว้ใน ข้อ 3 นั้น และในการที่จะแก้ไขข้อความสัญญา ปีมะโรงอัฐศก จุลศักราช 1218 คฤษตศักราช 1856 นั้นด้วยคอเวอนแมนต์ สยามจะไม่เก็บภาษีสินค้าเข้าออกในจังหวัดที่ได้กล่าวไว้ใน ข้อ 3 แล้วนั้น จนกว่าจะได้ตกลงกับคอเวอนแมนต์ฝรั่งเศสจะได้ ทำตอบแทนให้เหมือนกันในสิ่งของที่เกิดจากจังหวัดที่กล่าวนี้ สืบ ข้อ 6. การซึ่งจะอุดหนุนการเดินเรือในแม่น้ำโขงนั้น จะมีการจำเป็นที่จะทำได้ในฝั่งขวาฟากตะวันตกแม่น้ำโขง โดยการก่อสร้างก็ดี ฤาตั้งท่าเรือจอดก็ดี ทำที่ไว้ฟืนและถ่านก็ดี คอเวอนแมนต์สยามรับว่าเมื่อคอเวอนแมนด์ฝรั่งเศสขอแล้ว จะช่วยตามการจำเป็นที่จะทำให้สะดวกทุกอย่างเพื่อประโยชน์ นั้น ข้อ 7. คนชาวเมืองฝรั่งเศสก็ดี คนในบังคับฤาคนอยู่ใน ปกครองฝรั่งเศสก็ดี ไปมาค้าขายได้โดยสะดวกในตำบลซึ่งได้ กล่าวไว้ในข้อ 3 เมื่อถือหนังสือเดินทางของเจ้าพนักงานฝรั่งเศส ในตำบลนั้นฝ่ายราษฎรในจังหวัดอันได้กล่าวไว้นี้จะได้รับผล เป็นการตอบแทนอย่างเดียวกันด้วยเหมือนกัน ข้อ 8. คอเวอนแมนต์ฝรั่งเศสจะตั้งกงศุลได้ในที่ใดๆ ซึ่งจะคิดเห็นว่าเป็นการสมควรแก่ประโยชน์ของคนผู้อยู่ในความ ป้องกันของฝรั่งเศสและมีที่เมืองนครราชสีมา และเมืองน่าน เป็นต้น ข้อ 9. ถ้ามีความข้อข้องไม่เห็นต้องกัน ในความหมาย ของหนังสือสัญญานี้แล้ว ภาษาฝรั่งเศสเท่านั้นจะเป็นหลัก 107
นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุดรธานี ข้อ 10. สัญญานี้จะได้ตรวจแก้เป็นใช้ได้ภายในเวลา สี่เดือนตั้งแต่วันลงชื่อกันนี้ ตามสนธิสัญญาที่ทำขึ้นระหว่าง 2 ประเทศ มีเงื่อนไข ห้ามประเทศสยามตั้งกองทหารและป้อมปราการอยู่ในรัศมี 25 กิโลเมตร ของฝั่งแม่น้ำโขง ดังนั้นหน่วยทหารไทยที่ตั้งประจำ อยู่ที่เมืองหนองคาย อันเป็นเมืองศูนย์กลางของหัวเมือง หรือมณฑลลาวพวน ซึ่งมีกรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคมเป็น ข้าหลวงใหญ่สำเร็จราชการ จำต้องอพยพเคลื่อนย้ายลึกเข้ามา จนถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่งชื่อ บ้านเดื่อหมากแข้ง (ซึ่งเป็นที่ตั้ง จังหวัดอุดรธานีปัจจุบัน) ห่างจากฝั่งแม่น้ำโขงกว่า 50 กิโลเมตร เมื่อทรงพิจารณาเห็นว่าหมู่บ้าน แห่งนี้มีชัยภูมิเหมาะสมกับ การตั้งรับมือกับฝ่ายฝรั่งเศสที่อาจจะเข้ามายึดดินแดนอีก ในขณะนน้ั อกี ทง้ั มแี หลง่ นำ้ ดี เชน่ หนองนาเกลอื (หนองประจกั ษ์ ในปัจจุบัน) และ หนองน้ำ อีกหลายแห่ง รวมทั้งห้วยหมากแข้ง ซึ่งเป็นลำห้วยน้ำใสไหลเย็น กรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคมทรงให้ ตั้งศูนย์มณฑลลาวพวน และตั้งกองทหารขึ้น ณ หมู่บ้านเดื่อ หมากแข้ง อันมีที่ตั้งห่างจากแม่น้ำโขง 25 กิโลเมตรตาม ข้อตกลงในสัญญากับฝรั่งเศส จึงพอเห็นได้ว่าเมืองอุดรธานีได้อุบัติขึ้นโดยบังเอิญ เพราะเหตุผลทางการเมืองระหว่างประเทศ ยิ่งกว่าเหตุผล ทางการค้า การคมนาคมหรือเหตุผลอื่น ดังเช่นหัวเมืองสำคัญ ต่างๆ ในอดีต เพราะความตั้งใจที่แรกของพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว อยากให้กรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม ถอยที่ตั้งมาที่นครราชสีมา แต่อาจจะเกิดผลเสียกับสยามที่จะ 108
ประวัติศาสตร์และข้อมูลพื้นฐานของจังหวัดอุดรธานี มองว่าฝ่ายสยามย่อท้อต่อฝรั่งเศสจึงให้กรมหมื่นประจักษ์ ศิลปาคมตัดสินใจด้วยตนเอง จึงทำให้หมู่บ้านเดื่อหมากแข้ง เป็นที่ตั้งทางทหารและพัฒนามาเป็นจังหวัดอุดรธานีในปัจจุบัน คำว่า “อุดร” มาปรากฏชื่อเมื่อ พ.ศ. 2450 (พิธีตั้ง เมืองอุดรธานี 1 เมษายน ร.ศ. 127 หรือ พ.ศ. 2450 โดยพระยา ศรีสุริยราชวรานุวัตร “โพธิ์ เนติโพธิ์” ดำรงตำแหน่งสมุหเทศา- ภิบาลมณฑลอุดรธานีคนแรกซึ่งเป็นผู้สร้างเมืองต่อจาก กรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัวได้มีกระแสพระบรมราชโองการให้จัดตั้งเมืองอุดรธานี ขึ้นที่บ้านหมากแข้งอยู่ในการปกครองของมณฑลอุดร หลังจาก พ.ศ. 2475 มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจาก ระบบสมบูรณาญาสิทธิราชเป็นระบอบประชาธิปไตย ได้ยกเลิก มณฑลต่างๆ มณฑลอุดรจึงถูกยกเลิกแต่คงฐานะเป็นจังหวัด อุดรธานีจนกระทั่งปัจจุบันนี้ อนึ่งในวันที่ 18 มกราคมของทุกปี จังหวัดอุดรธานีได้กำหนดจัดงานวันที่ระลึกคล้ายวันจัดตั้งเมือง อุดรธานี โดยถือเป็นวันร่วมกันบำเพ็ญกุศลและเฉลิมพระเกียรติ พลตรีพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม ผู้ทรง สร้างเมืองอุดมธานีอีกด้วย 3.1.1 ตำนานบ้านหมากแข้ง สาเหตุที่เรียกว่า บ้านหมากแข้ง เนื่องจากเดิมเป็นบ้าน ร้างเรียกว่า บ้านหมากแข้ง เพราะมีต้นหมากแข้ง (มะเขือพวง) ใหญ่ต้นหนึ่ง เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 40 เซนติเมตร ซึ่งมี ตำนานเรื่องบ้านหมากแข้งว่า “บริเวณใกล้เคียงที่สร้างวังของ กรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม ซึ่งปัจจุบันเป็นวัดมัชฌิมาวาส 109
นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุดรธานี มีโนนอยู่แห่งหนึ่งชาวบ้านเรียกว่า “โนนหมากแข้ง” มีเจดีย์ ศิลาแลง มีสัณฐานดังกรงนกเขาตั้งอยู่ที่โนนนั้น เล่ากันสืบมา ว่า เป็นเจดีย์ก่อคร่อมตอหมากแข้งใหญ่ นัยว่ามีต้นหมากแข้ง ขนาดใหญ่ต้นหนึ่งพระเจ้าแผ่นดินกรุงล้านช้างร่มขาวได้ให้มา โค่นไปทำกลอง และทำเป็นกลองขนาดใหญ่ได้ถึง 3 ใบ ใบหนึ่ง เอาไปไว้ที่นครเวียงจันทน์ ใช้ตีเป็นสัญญาณบอกเหตุในเมื่อ ข้าศึกศัตรูมาราวี เมื่อตีกลองใบนี้พระยานาคจะขึ้นมาช่วยรบ ข้าศึกศัตรูให้พ่ายแพ้ แต่ภายหลังถูกเชียงเมี่ยงไปหลอกให้ ทำลายกลองใบนี้เสีย ชาวเวียงจันทน์จึงไม่มีพระยานาคมาช่วย ดุจในอดีต ใบที่สองนำไปไว้ที่พระนครหลวงพระบาง ส่วนใบที่ สามเป็นใบที่เล็กกว่า 2 ใบนั้นได้นำไปไว้ที่วัดหนองบัว (วัดเก่า ตั้งอยู่ติดกับถนนสายอุดร - สกลนคร ห่างจากทางรถไฟ ประมาณ 5 เส้น ยังมีเจดีย์ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน) เพราะมี กลองหมากแข้งอยู่ที่วัดซึ่งตั้งอยู่ริมฝั่งหนองบัว จึงเรียกว่า หนองบัวกลอง (แต่ในปัจจุบันคำว่ากลองหายไป คงเหลือแต่ หนองบัวเท่านั้น) ต้นหมากแข้งต้นนี้คนในสมัยก่อนไม่มีความ ชำนาญในมาตรวัด จึงบอกเล่าขนาดไว้ว่า ตอต้นหมากแข้งนั้น ภิกษุ 8 รูปนั่งฉันจังหันได้สะดวกสบาย” แสดงว่าต้นหมากแข้ง ต้นนั้นใหญ่โตมากเอาการทีเดียว แต่คงไม่ได้หมายความว่า ภิกษุทั้ง 8 รูป นั้นนั่งบนตอหมากแข้ง เห็นจะหมายความว่า ภิกษุ 8 รูปนั่งวงล้อมรอบตอหมากแข้ง โดยใช้ตอหมากแข้งนั้น เป็นโต๊ะหรือโตกสำหรับวางอาหาร แต่ถึงกระนั้นก็ยังมองเห็นว่า เป็นต้นหมากแข้งที่ใหญ่มากทีเดียว เรื่องต้นหมากแข้งนี้ ท่านเจ้าคุณปู่พระเทพวิสุทธาจารย์ (บุญ บุญญศิริมหาเถระ) เจ้าอาวาสรูปที่ 3 ซึ่งได้มาอยู่วัดมัชฌิมาวาส เมื่อ พ.ศ. 2440 110
ประวัติศาสตร์และข้อมูลพ้ืนฐานของจังหวัดอุดรธานี คือหลังจากสร้างวัดเพียง 4 ปี ได้เล่าว่า ที่โนนหมากแข้งนั้น มีต้นหมากแข้งขนาดเล็กอยู่มากมาย และมีต้นหมากแข้งขนาด ใหญ่เท่ากับต้นมะพร้าวขนาดเขื่องอยู่ต้นหนึ่ง แต่มีลำต้นไม่สูง เป็นพุ่มมีกิ่งก้านสาขาแผ่ออกอย่างไพศาล ประมาณ พ.ศ. 2442 มีแบ้ (แพะ) ของพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าวัฒนานุวงศ์ จำนวนมากได้มากินใบกินกิ่งก้านของมันมันจึงตายเข้าใจว่า ต้นหมากแข้งต้นนี้จะเป็นหลานหรือเหลนของต้นหมากแข้งที่ เจ้าเมืองลานช้างร่มขาวเอาไปทำกลองเพลนั้นแน่ เจดีย์ศิลา แลงนั้นตั้งอยู่ตรงกลางพระอุโบสถ วัดมัชฌิมาวาสในปัจจุบันนี้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นชอบที่ตั้งกองบัญชาการมณฑลลาวพวนท่ีบ้าน หมากแข้ง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงมี พระราชหัตถเลขาที่ 1/174 ลงวันที่ 26 พฤศจิกายน รัตนโกสินทร ศก 113 (พ.ศ. 2497) ถงึ กรมหมน่ื ประจกั ษศ์ ลิ ปาคม สรปุ ความวา่ พระองค์ทรงเห็นชอบ ด้วยกับกรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม ที่ได้ เลือกบ้านหมากแข้ง เป็นที่ตั้งกองบัญชาการมณฑลลาวพวน ดังความตอนหนึ่งว่า “บัดนี้ ได้ทราบว่า ที่ถอยลงมาตั้งอยู่ บ้านหมากแข้ง ว่าเป็นที่กลางป่า ไข้เจ็บชุกชุม ไม่เป็นภูมิสถาน ซึ่งจะตั้งมั่งคงสำหรับข้าหลวงต่างพระองค์ยั่งยืนต่อไปได้ จึ่งได้ เรียกแผนที่มาดูก็เห็นอยู่ว่าตำบลซึ่งเธอถอยลงมาตั้งนั้น เป็นที่สมควรแก่จะยึดหน่วงหัวเมืองริมฝั่งโขง และจะส่งข่าวถึง หัวเมืองทั้งปวงได้โดยรอบคอบ มีระยะทางไม่สู้ ห่างไกลทุกทิศ แต่เมื่อไต่สวนถึงประเทศที่นั้นก็ไปได้ความว่าเป็นที่ไม่บริบูรณ์ดี และมีไข้เจ็บชุกชุม มีความสงสารตัวเธอแลไพร่พลทั้งปวง ซึ่งขึ้น ไปอยู่ด้วยจะได้ความลำบาก เจ็บป่วย จึ่งขอหาฤาตาม 111
นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุดรธานี ความเห็นต่อไป” และได้ทรงหารือกับกรมหมื่นประจักษ ์ ศิลปาคมว่า หากกรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคมจะถอยลงมาอยู่ที่ นครราชสีมาและให้ข้าหลวงไพร่พลอยู่ที่บ้านหมากแข้งก็ได้ แต่จะมีผลเสียทำให้หัวเมืองลาวเห็นว่า ฝ่ายเราย่อท้อต่อ ฝรั่งเศส และได้ทรงให้กรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคมตัดสินพระทัย เอง กรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม ได้มีลายพระหัตถ์กราบบังคม ทูลฯ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ลงวันที่ 2 มกราคม ร.ศ. 113 (พ.ศ. 2437) สรุปความว่า กรมหมื่นประจักษ์ ศิลปาคมทรงมีความเห็นว่าภูมิประเทศของบ้านหมากแข้ง เ ห ม า ะ ส ม แ ล ะ อ ุ ด ม ส ม บู ร ณ ์ ด ั ง ค ว า ม ต อ น ห น ึ ่ ง ว ่ า “ข้าพระพุทธเจ้า ได้พักที่นี้ด้วยเวลาเดินทาง 2 ครั้ง ต้องพักอยู่ 2 เวลา ทั้ง 2 คราวเพราะชอบภูมิที่จริงๆ ครั้นได้มาอยู่จริงจังเข้า ก็ยิ่งชอบมากขึ้น แต่เป็นธรรมดาที่ๆ ใดห่างจากบ้านเมือง ที่ราษฎรค้าขายก็จะหาอาหารลำบาก แต่บัดนี้ ก็บริบูรณ์กว่า เมืองอื่นๆ ที่ได้เห็นและพวกที่ไปมายังซ้ำกล่าวว่า ที่หนองคาย เดี๋ยวนี้ ตลาดร่วงโรยไป สู้ที่นี้ไม่ได้ จะยอให้หรืออย่างไร ไม่ทราบเกล้าฯ แต่ถ้าจะยอก็ละเอียดพอรับได้คือ ได้เดินตรวจดู ในปี 113 มีเรือนราษฎรอพยพเข้ามาจากหนองคายและออกมา จากหนองละหาร - กุมภวาปี ขอนแก่น เป็นอันมาก กลางคืน แลดูเห็นไฟรายใบ คล้ายแพที่จอดในลำน้ำกรุงเทพ จนมีพยาน ได้ว่าเมื่อวันที่ 1 เดือนนี้พระยาไตรเพชรรัตนสงครามข้าหลวง หนองคายสั่งให้คนเข้ามาซื้อศีศะหอมที่บ้านหมากแข้ง 1 บาท ได้ถามได้ความว่า ที่โน่นไม่มีใครปลูกเพราะขายไม่ได้” ส่วน ทางด้านความเจ็บไข้ได้ป่วย ที่บ้านหมากแข้ง มีโรคภัยน้อยกว่า ที่หนองคาย และในที่สุดกรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม ได้ทรง 112
ประวัติศาสตร์และข้อมูลพ้ืนฐานของจังหวัดอุดรธานี กราบบังคมทูลฯในตอนท้ายด้วยความรู้สึกของพระองค์ที่มีต่อ ความจงรกั ภกั ดใี นแผน่ ดนิ และองคพ์ ระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั แม้ว่าจะมีความยากลำบากสักปานใดก็ตามดังความว่า “จะคิดถึงการแผ่นดินแล้ว เท่านี้ยังเพียงนี้ ถ้ายิ่งกว่านี้จะทำ อย่างไรสู้แลกกับมันตัวต่อตัวดีกว่า เห็นดีกว่านอนให้ฝีในท้อง กินตาย” ในที่สุดบ้านหมากแข้งก็ได้เป็นสถานที่ตั้ง กองบญั ชาการมณฑลลาวพวน โดยพระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอม- เกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นชอบด้วยกับความเห็นของกรมหมื่น ประจักษ์ศิลปาคม ตามพระราชหัตถเลขาที่ 128/288 ลงวันที่ 10 กุมภาพันธ์ รัตนโกสินทร์ศก 113 (พ.ศ. 2437) ถึงกรมพระยา ดำรงราชานุภาพ ความว่า “ถึงกรมดำรงราชานุภาพ ด้วยตามที่ เธอได้ขอให้จดหมายไปถึง กรมหมื่นประจักษศิลปาคมอันได้ ส่งสำเนามาให้ดูแต่ก่อนแล้ว บัดนี้ ได้รับคำตอบยืนยันว่า บ้านหมากแข้งเป็นที่สมควรและสมัครใจที่จะอยู่ในที่นั้น ได้ส่ง สำเนามาให้ดูด้วย เมื่อตรวจสอบแผนที่ฤามีความเห็นที่จะ อธิบายโต้แย้งอีกประการใด ขอให้บอกมาให้ทราบจะได้ตอบ กรมหมื่นประจักษ์” และได้ทรงมีพระราชหัตถเลขาที่ 2/ 3450 ถึงกรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม ความว่า “ด้วย ได้รับหนังสือ ลงวันที่ 2 มกราคมนี้ ซึ่งตอบช้าไป เพราะเหตุใดเธอคงจะทราบ อยู่แล้วการซึ่งเธอเห็นว่า บ้านหมากแข้งเป็นที่สมควรจะตั้งอยู่ โดยอธิบายหลายประการนั้นก็ให้ตั้งอยู่ที่นั้นจัดการเต็มตาม ความคิดที่เห็นว่าจะเป็นคุณแก่ราชการ” 113
นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุดรธานี บ้านหมากแข้งทีต่ ง้ั กองบญั ชาการมณฑลลาวพวน สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ครั้งดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ได้เสด็จตรวจ ราชการมณฑลนครราชสีมา มณฑลอุดร และมณฑลร้อยเอ็ด เมื่อ ร.ศ. 125 (พ.ศ. 2449) ได้ทรงเล่าถึงเมืองอุดร (ขณะเป็น บ้านหมากแข้ง) ในขณะนั้นไว้ว่า “เวลานี้ที่ว่าการมณฑล ที่ว่าการอำเภอ ศาล เรือนจำ โรงทหาร โรงพัก ตำรวจภูธร ออฟฟิศ ไปรษณีย์ โทรเลข และบ้านเรือนข้าราชการอยู่ติดต่อ เป็นระยะลำดับกันไป มีตลาดขายของสด และมีตึกอย่างโคราช ของพ่อค้า นายห้างบ้าง มีวัดเรียกวัดมัชฌิมาวาสตั้งอยู่บนเนิน และมีบ่อน้ำใหญ่สำหรับราษฎรได้ใช้น้ำทุกๆ ฤดูกาลด้วย มีบ้านเรือนราษฎรมาตั้งอยู่หลังบ้านข้าราชการ มีถนนตัดตรงๆ ไปตามที่ตั้งที่ทำการและตลาดเหล่านี้หลายสาย และเมื่อใกล้ เวลาข้าพเจ้าจะมาคราวนี้มณฑลได้ตัดถนนตั้งแต่หลังที่ว่าการ ไปจนหนองนาเกลือเพิ่มขึ้นอีกสายหนึ่งและเมื่อรื้อที่ว่าการบัดนี้ ไปตั้งบนเนินใกล้หนองนาเกลือตามความตกลงใหม่ถนนสายนี้ จะบรรจบกับถนนเก่าเป็นถนนยาวและงามมาก” และได้ทรง อธิบายถึงหนองนาเกลือว่า “เป็นหนองใหญ่ เพราะปิดน้ำไว้ คล้ายทุ่งสร้างที่เมืองขอนแก่น ได้ขนานนามว่า หนองประจักษ์” กองบัญชาการมณฑลลาวพวนที่บ้านหมากแข้งในเวลานั้น นายสังข์ นุตราวงศ์ ทนายความอดีตข้าราชการกระทรวง ยุติธรรมคนเก่าแก่เมืองอุดรธานี ได้เล่าให้ฟังว่า “ที่ทำการ มณฑลและสถานที่ราชการต่างๆ นั้น ตั้งอยู่บริเวณใกล้หนองน้ำ ใหญ่ที่มีชื่อว่า หนองนาเกลือ (ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อ เป็นหนอง ประจักษ์ในภายหลัง) บริเวณศาลาว่าการมณฑลและ 114
ประวัติศาสตร์และข้อมูลพ้ืนฐานของจังหวัดอุดรธานี ศาลประจำมณฑลอยู่ติดกัน และหันหน้าที่ทำการไปทาง ทิศเหนือ เพราะทั้งนี้ เนื่องจากเตรียมรับข้าศึกหากจะมีการรบ กับฝรั่งเศสส่วนที่ประทับของกรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคมนั้น อยู่บริเวณที่เป็นต้นโพธิ์ใหญ่ของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด ตรงข้ามกับวัดวัชฌิมาวาสวัดเก่าแก่ของจังหวัดอุดรธานี ซึ่งต่อมาเป็นที่ประทับของพระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าวัฒนา ข้าหลวงต่างพระองค์มณฑลลาวพวนสืบต่อจากกรมหมื่น ประจักษ์ศิลปาคมบริเวณที่เป็นทุ่งศรีเมืองในปัจจุบันเป็นที่ รกร้างว่างเปล่าลักษณะคล้ายทุ่งนาผสมป่าละเมาะ มีต้นไม้ ใหญ่อยู่อย่างประปราย นอกจากนี้ บริเวณที่เป็นสำนักงาน ชลประทานจังหวัดอุดรธานี ในปัจจุบันเป็นที่ตั้งกรมทหาร ส่วน เรือนจำนั้นตั้งอยู่บริเวณที่เป็นที่ว่าการอำเภอเมืองอุดรธานี ในเวลานี้ และสำหรับหนองนาเกลือนั้นในเวลานั้นเป็นหนองน้ำ ที่กว้างใหญ่ เมื่อคนจะข้ามมาติดต่อกับส่วนราชการที่ตั้งศาลา ว่าการมณฑลจากฝั่งหนองนาเกลือด้านตะวันตกมายังฝั่ง ตะวันออกก็จะต้องจ้างเรือแจวที่มีผู้มารับจ้างที่หนองนาเกลือ เพราะในเวลานั้นน้ำลึก มีปลา และจระเข้ชุกชุม” ดังที่ได้กล่าว แล้วในเบื้องต้นว่า ก่อนที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า- เจ้าอยู่หัวจะทรงปฏิรูปการปกครองนั้น (ก่อน พ.ศ. 2435) การปกครองของประเทศไทยในส่วนภูมิภาคเป็น “ระบบ กินเมือง” จึงได้ทรงปฏิรูปการปกครองหัวเมืองต่างๆ เป็นแบบ เทศาภิบาล โดยเริ่มตั้งแต่ พ.ศ. 2435 (ร.ศ. 111) โดยมีข้าหลวง ใหญ่เป็นผู้รับผิดชอบ (เฉพาะในมณฑลลาวพวน เรียกว่า ข้าหลวงต่างพระองค์) ต่อมาได้ทรงเลิกตำแหน่งข้าหลวงใหญ่ มีตำแหน่งสมุหเทศาภิบาลแทนขึ้นตรงต่อพระบาทสมเด็จ 115
นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุดรธานี พระเจ้าอยู่หัวซึ่งสามารถแบ่งเบาพระราชภาระในการปกครอง แผ่นดินลงได้ทั้งยังสามารถอำนวยความสุขร่มเย็นแก่อาณา ประชาราษฎร์ได้เป็นอย่างดี ดังนั้นบ้านหมากแข้งในฐานะกอง บัญชาการมณฑลลาวพวน จึงมีข้าหลวงใหญ่ปกครองตาม ลำดับ คือ กรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม (ร.ศ. 112 - 118) และ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวัฒนา(ร.ศ. 118 - 125) ต่อมา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงเปลี่ยนแปลง ผู้ปกครองมณฑลจากข้าหลวงใหญ่ (หรือข้าหลวงต่างพระองค์) เป็นสมุหเทศาภิบาล ขึ้นกับกระทรวงมหาดไทย ใน พ.ศ. 2442 (ร.ศ. 118) ปีกุน เปลี่ยนชื่อมณฑลลาวพวน เป็นมณฑลฝ่าย เหนือ โดยมีเมืองต่าง ๆ รวม 12 เมือง ขึ้นกับมณฑลฝ่ายเหนือ คือ เมืองหนองคาย หนองหาน ขอนแก่น ชนบท หล่มศักดิ์ กมุทาสัย สกลนคร ชัยบุรี โพนพิสัย ท่าอุเทน นครพนม มุกดาหาร ต่อมา ใน พ.ศ. 2443 เปลี่ยนชื่อมณฑลลาวพวนเป็น มณฑลอุดร และพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริว่า เมืองที่จัดแบ่งไว้ในมณฑลอุดรมีมากเกิน ความจำเป็นในการปกครอง จึงทรงรวมหัวเมืองในมณฑลเป็น บริเวณซึ่งมีฐานะเท่าจังหวัดเพื่อให้เหมาะสมแก่การปกครอง และโปรดให้ยุบเมืองจัตวาบางเมืองลงเป็นอำเภอ ส่วนอำเภอ ใดที่เคยเป็นเมืองขึ้นกับเมืองที่ตั้งเป็นบริเวณหรือสมควรจะให้ ขึ้นกับบริเวณใดก็ให้รวมเข้าไว้ในบริเวณนั้น โดยโปรดให้แบ่ง ออกเป็น 5 บริเวณ คือ (1) บริเวณหมากแข้ง มี 7 เมือง คือ บ้านหมากแข้ง เมืองหนองคาย เมืองหนองหาร เมืองกุมภวาปี เมืองกมุทาไสย เมอื งโพนพไิ ศรย เมอื งรตั นวาปี ตง้ั ทว่ี า่ การบรเิ วณทบ่ี า้ นหมากแขง้ 116
ประวัติศาสตร์และข้อมูลพ้ืนฐานของจังหวัดอุดรธานี (2) บริเวณพาชี มี 3 เมือง คือ เมืองขอนแก่น เมือง ชนบท เมืองภเู วียง ตั้งที่ว่าการบริเวณที่เมืองขอนแก่น (3) บริเวณธาตุพนม มี 4 เมือง คือ เมืองนครพนม เมืองไชยบุรี เมืองท่าอุเทน เมืองมุกดาหาร ตั้งที่ว่าการบริเวณ ที่เมืองนครพนม (4) บริเวณสกลนคร มี 1 เมืองคือ เมืองสกลนคร ตั้งที่ ว่าการบริเวณที่เมืองสกลนคร (5) บริเวณน้ำเหือง มี 3 เมือง คือ เมืองเลย เมืองบ่อแตน เมืองแก่นท้าว ตั้งที่ว่าการบริเวณที่เมืองเลย ลักษณะการปกครองที่รวมเมืองต่างๆ เข้าด้วยกัน และ จัดแบ่งการบริหารออกเป็น 5 บริเวณ ซึ่งบริเวณเหล่านี้มีฐานะ เทียบเท่ากับจังหวัด ส่วนเมืองที่อยู่ในสังกัดบริเวณมีฐานะ เทียบเท่ากับอำเภอนั้นอาจจะเป็นเพราะพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชประสงค์ที่จะจัดการ ปกครองในมณฑลอุดรให้รัดกุมยิ่งขึ้น โดยส่งข้าหลวงจาก กรุงเทพฯ ออกไปเป็นข้าหลวงบริเวณ ควบคุมเจ้าเมืองต่างๆ ซึ่งมีข้าหลวงตรวจการประจำเมืองควบคุมอีกชั้นหนึ่ง แสดงให้ เห็นว่าอำนาจจากส่วนกลางได้ขยายออกไปควบคุมอำนาจของ เจ้าเมืองท้องถิ่นอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งจะทำให้การปกครองแบบ รวมศูนย์อำนาจไว้ที่ส่วนกลางได้ผลดียิ่งขึ้น สามารถควบคุม เจ้าเมืองและตรวจตราทุกข์สุขของราษฎรได้อย่างทั่วถึงมาก ยิ่งขึ้น 117
นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุดรธานี 3.2 ประวัติผู้ก่อตั้งจังหวัดอุดรธานี: พลตรีพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม 3.2.1 พระประวัติ พลตรีพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม ทรงเปน็ พระเจา้ ลกู เธอองคท์ ่ี 25 ในพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ - เจ้าอยู่หัว เป็นที่ 1 ในเจ้าจอมมารดาสังวาลย์ ธิดานายศัลยวิชัย (ทองคำ ณ ราชสีมา) ประสูติในพระบรมมหาราชวัง เมื่อวันเสาร์ เดือน 5 ขึ้น 1 ค่ำ ปีมะโรง จุลศักราช 1218 ตรงกับวันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2399 เมื่อสมโภชเดือนแล้ว พระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานนามว่า “พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าทองกองก้อนใหญ่” เพราะเมื่อประสูติมีผู้นำทองคำ ก้อนใหญ่ ซึ่งขุดได้ที่ตำบลบางสะพาน ในเวลานั้นได้เข้ามา ทูลเกล้าฯ ถวาย ทรงถือว่าเป็นศุภนิมิตมงคลสำหรับพระเจ้า ลูกเธอพระองค์นี้ เมื่อพระราชทานพระนามได้ทรงพระราช นิพนธ์คาถาพระราชทานพระพร ซึ่งมีคำแปลดังนี้ “กุมารดีนี้ จงมีชื่อว่า ทองกองก้อนใหญ่ อย่างนี้เทียว โดยเนื้อความเพราะ ได้ทองแท่งใหญ่ จงไม่มีโรค เป็นสุข มีอายุยืน อันใครๆ ให้ กำเริบไม่ได้ จงมีลาภมียศ รักษาเกียรติยศของบิดาไว้ในกาล ทุกเมื่อ จงอาจเพื่ออภิบาลกิจของบิดาด้วยความสามารถ ทั้งปวง จนตลอดชีพ จงได้ทรัพย์สมบัติ สำหรับตระกลู ” พระเจ้าลูกเธอในเจ้าจอมมารดาเดียวกันกับพระเจ้าบรม วงศ์เธอ กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคมนี้ มีอีก 3 พระองค์คือ 118
ประวัติศาสตร์และข้อมูลพื้นฐานของจังหวัดอุดรธานี 1. พระองค์เจ้าชายทองแถมถวัลยวงศ์ (ภายหลังได้รับ สถาปนาเป็นกรมหลวงสรรพสารท ศุภกิจ สิ้นพระชนม์เมื่อ พ.ศ. 2462 ต้นสกุล ทองแถม) 2. พระองค์เจ้าชายเจริญรุ่งราศี 3. พระองค์เจ้าหญิงกาญจนากร 3.2.2 ประวัติด้านการศึกษา พลตรีพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม ทรงเริ่มการศึกษาวิชาอักขระสมัยวิชาอักษรไทย และบาลี กับพระองค์เจ้ากฤษณาหม่อมเจ้าหญิงจอ และพระยาปริยัติ ธรรมธาดา (เปี่ยม)และทรงศึกษาภาษาต่างประเทศกับ นางเลียวโนเว็น และนายแป็ตเตอสัน จนเชี่ยวชาญสามารถ ตรัส และเขียนภาษาอังกฤษได้ดี ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2411 ทรง ผนวชเป็นสามเณรที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม และเสด็จไป ประทับ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร พุทธศักราช 2418 ทรงผนวชที่ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม และประทับที่วัดราชประดิษฐ์- สถิตมหาสีมาราม และได้ศึกษาพระธรรมวินัยกับสมเด็จ พระสังฆราช (สา) ทรงผนวชอยู่ 1 พรรษา ส่วนการศึกษาวิชา สามัญ พระองค์ทรงศึกษาวิชากฎหมายจากขุนหลวงไกรศรี (หนู) แล้วเข้ารับราชการเป็นนักเรียนศาลฎีกาในสมัยพระบรม วงศ์เธอกรมเทเวศน์วัชรินทร์ เป็นอธิบดีศาลฎีกา 3.2.3 พระราชกรณียกิจ นับได้ว่าทรงเป็นผู้สร้างคุณประโยชน์ให้เกิดแก่ชาติ บ้านเมืองเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะทรงเป็นกำลังสำคัญพระองค์ 119
นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุดรธานี หนึ่งของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในการ รักษาดินแดนพระราชอาณาเขตของไทยทางภาคตะวันออก เฉียงเหนือ ในสมัยที่ประเทศมหาอำนาจในยุโรปกำลังแสวงหา เมืองขึ้นในดินแดนติดต่อกับประเทศไทย เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง แม่ทัพใหญ่ฝ่ายใต้ได้ปราบปรามก่อความไม่สงบของพวกฮ่อ ในมณฑลลาวพวนจนสงบราบคราบ นอกจากนั้นเมื่อทรงดำรง ตำแหน่งข้าหลวงต่างพระองค์สำเร็จราชการมณฑลฝ่ายเหนือ นั้น ได้ทรงจัดราชการทั้งปวงทั้งส่วนปราบปรามข้าศึกศัตรู และ การปกครองรักษาพระราชอาณาเขตด้วยพระปรีชาสามารถ และอุตสาหะวิริยะอันแรงกล้าให้ราชการทั้งปวงสำเร็จเป็น คุณประโยชน์แก่ราชการแผ่นดิน และให้ราษฎรได้รับความสุข ปราศจากภัยอันตรายโดยทั่วกัน โดยได้ทรงอดทนต่อความ ตรากตรำลำบากมิได้ท้อถอย โดยเฉพาะอย่างยิ่งทรงเป็นผู้ริเริ่ม ก่อตั้งจังหวัดอุดรธานี จากที่ตั้งกองบัญชาการมณฑลลาวพวน ทบ่ี า้ นหมากแขง้ ในปี พ.ศ. 2436 ไดท้ รงรเิ รม่ิ สรา้ งบา้ นหมากแขง้ ให้เกิดความเจริญจากหมู่บ้านชนบทจนเป็นเมืองอุดร และ ต่อมาได้ยกฐานะเป็นจังหวัด นับเป็นการก่อสร้างรากฐาน ความเจริญวัฒนาถาวรให้เกิดแก่เมืองอุดรธานีจวบจนปัจจุบัน พลตรีพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม ประชวรด้วยโรคอันตะ(ไส้ใหญ่) พิการ และสิ้นพระชมน์ ณ วังตรอกสาเก เมื่อวันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2467 เวลา 18.00 น. สิริพระชันษาได้ 68 พรรษา 9 เดือน 20 วัน ถึงแม้ว่าถึงวันสิ้นพระชมน์ของพระองค์จวบจนปัจจุบัน (พ.ศ. 2558) จะเป็นเวลานานกว่า 90 ปีก็ตาม แต่พระเกียรติคุณ 120
ประวัติศาสตร์และข้อมูลพื้นฐานของจังหวัดอุดรธานี พระกรุณาธิคุณได้ทรงมีต่อชาติบ้านเมือง โดยเฉพาะจังหวัด อุดรธานี สถิติอยู่ในหัวใจของปวงชนชาวไทย ชาวจังหวัด อุดรธานี ตราบชั่วฟ้าดินสลาย 3.3 รายนามผู้ปกครองจังหวัดอุดรธานี 3.3.1 ข้าหลวงใหญ่ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มณฑลอุดร 1. พลตรี พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมหลวงประจกั ษศ์ ลิ ปาคม (ดำรงตำแหน่งเมื่อ พ.ศ. 2436-2442) 2. พระวรวงศเ์ ธอพระองคเ์ จา้ วฒั นานวุ งศ์ (ดำรงตำแหนง่ เมื่อ พ.ศ. 2442-2449) 3.3.2 สมุหเทศาภิบาลสำเร็จราชการมณฑลอุดรธานี 1. พระศรีสุริยราชวรานุวัตร์ (โพธิ์ เนติโพธิ์) (ดำรง ตำแหน่งเมื่อ พ.ศ. 2449-2455) 2. พระยาศรีสุริยราชวรานุวัตร์ (สุข ดิษยบุตร) (ดำรง ตำแหน่งเมื่อ พ.ศ. 2456-2464) 3. พระยาราชนุกูลวิบูลยภักดี (อวบ เปาโรหิตย์) (ดำรง ตำแหน่งเมื่อ พ.ศ. 2465-2468) 4. พระยาอดุลเดชสยามเมศวรภักดี (อุ้ย นาครทรรพ) (ดำรงตำแหน่งเมื่อ พ.ศ. 2468-2471) 5. พระยาตริงคภูมาภิบาล (เจิม ปันยารชุน) (ดำรง ตำแหน่งเมื่อ พ.ศ. 2472-2476) 121
นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุดรธานี 3.3.3 ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี 1. หลวงวจิ ติ รวบิ ลู ยก์ าร (อยุ้ นาครทรรพ) (ดำรงตำแหนง่ เมื่อ พ.ศ. 2450-2457) 2. พระยาอุดรธานีศรีโขมสาครเขตต์ (รอด สาริมาน) (ดำรงตำแหน่งเมื่อ พ.ศ. 2457-2461) 3. หม่อมเจ้าโสตถิผล ชมภูนุช (ดำรงตำแหน่งเมื่อ พ.ศ. 2461-2462) 4. พระยาอุดรธานีศรีโขมสาครเขตต์ (ช่วง สุวรรทรรภ) (ดำรงตำแหน่งเมื่อ พ.ศ. 2462-2468) 5. พระยาอุดรธานีศรีโขมสาครเขตต์ (จิตร จิตตยะโศธร) (ดำรงตำแหน่งเมื่อ 1 เม.ย. 2469-1 พ.ค. 2478) 6. พระชาติตระการ (ม.ร.ว.จิตร์ คเณจร) (ดำรงตำแหน่ง เมื่อ 1 ต.ค. 2478-2 มี.ค. 2479) 7. พระยากำธรพายัพทิศ (ดิษ อินทรโสฬส ณ ราชสีมา) (ดำรงตำแหน่งเมื่อ 2 มี.ค. 2479-18 เม.ย. 2482) 8. หลวงวิวิธสุรการ (ถวิล เจียรมาณพ) (ดำรงตำแหน่ง เมื่อ 18 เม.ย. 2482-1 ม.ค. 2488) 9. ขุนจรรยาวิเศษ (เที่ยง บุนยมานิตย์) (ดำรงตำแหน่ง เมื่อ 1 ม.ค. 2488-7 ต.ค. 2489) 10. นายถวิล สุนทรศารทูล (ดำรงตำแหน่งเมื่อ 7 ต.ค. 2489-18 ม.ค. 2490) 122
ประวัติศาสตร์และข้อมูลพื้นฐานของจังหวัดอุดรธานี 11. นายปกรณ์ อังศุสิงห์ (ดำรงตำแหน่งเมื่อ 18 ม.ค. 2490-19 ก.พ. 2490) 12. ขุนศุภกิจวิเลขการ (กระจ่าง ศุภกิจวิเลขการ) (ดำรง ตำแหน่งเมื่อ 19 ก.พ. 2490-12 มี.ค. 2495) 13. นายปลั่ง ทัศนประดิษฐ์ (ดำรงตำแหน่งเมื่อ 12 มี.ค. 2495-19 ก.ค. 2495) 14. ขนุ บรบิ าลบรรพตเขตต์ (สงั เวยี น บรบิ าลบรรพตเขตต)์ (ดำรงตำแหน่งเมื่อ 19 ก.ค. 2495-7 ส.ค. 2500) 15. ขุนบริรักษ์บทวลัญช์ (ชุ่ม ขุนบริรักษ์บทวลัญช์) (ดำรงตำแหน่งเมื่อ 7 ส.ค. 2500-27 พ.ย. 2500) 16. นายจินต์ รักการดี (ดำรงตำแหน่งเมื่อ 27 พ.ย. 2500 – 2 ม.ค. 2505) 17. หลวงปริวรรตวรวิจิตร (จันทร์ เจริญชัย ปริวรรตวร) (ดำรงตำแหน่ง 2 ม.ค. 2505-6 ต.ค. 2506) 18. นายสุพัฒน์ วงษ์วัฒนะ (ดำรงตำแหน่งเมื่อ 6 ต.ค. 2506-14 ม.ค. 2508) 19. พล.ต.ต.สามารถ วายวานนท์ (ดำรงตำแหน่งเมื่อ 14 ม.ค. 2508-9 พ.ค. 2509) 20. นายวิญญ ู อังคนารักษ์ (ดำรงตำแหน่งเมื่อ 9 พ.ค. 2509-6 ม.ค. 2511) 21. นายเจริญ ปานทอง (ดำรงตำแหน่งเมื่อ 6 ม.ค. 2511-4 ต.ค. 2516) 123
นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุดรธานี 22. นายเอนก สิทธิประศาสน์ (ดำรงตำแหน่งเมื่อ 4 ต.ค. 2516-9 ต.ค 2518) 23. นายวิเชียร เวชสวรรค์ (ดำรงตำแหน่งเมื่อ 9 ต.ค. 2518-30 ก.ย. 2520) 24. นายพิศาล มูลศาสตรสาทร (ดำรงตำแหน่งเมื่อ 1 ต.ค. 2520-30 ก.ย. 2523) 25. นายสมภาพ ศรีวรขาน (ดำรงตำแหน่งเมื่อ 1 ต.ค. 2523-30 ก.ย. 2527) 26. นายสายสิทธิ พรแก้ว (ดำรงตำแหน่งเมื่อ 1 ต.ค. 2527-30 ก.ย. 2529) 27. นายจรวย ยิ่งสวัสดิ์ (ดำรงตำแหน่งเมื่อ 1 ต.ค. 2529- 30 ก.ย. 2533) 28. นายธวัช โพธิสุนทร (ดำรงตำแหน่งเมื่อ 1 ต.ค. 2533 -30 ก.ย. 2535) 29. นายสุพร สุภสร (ดำรงตำแหน่งเมื่อ 1 ต.ค. 2535- 30 ก.ย. 2537) 30. นายดำรง รัตนพานิช (ดำรงตำแหน่งเมื่อ 1 ต.ค. 2537-30 ก.ย. 2540) 31. นายวิชัย ทัศนเศรษฐ (ดำรงตำแหน่งเมื่อ 20 ต.ค. 2540-30 ก.ย. 2542) 32. นายเกียรติพันธ์ น้อยมณี (ดำรงตำแหน่งเมื่อ 1 ต.ค. 2542-30 ก.ย. 2544) 124
ประวัติศาสตร์และข้อมูลพื้นฐานของจังหวัดอุดรธานี 33. นายชัยพร รัตนนาคะ (ดำรงตำแหน่งเมื่อ 1 ต.ค. 2544-30 ก.ย. 2547) 34. นายจารึก ปริญญาพล 35. นายอำนาจ ผการัตน์ 36. นายคมสัน เอกชัย 37. นายแก่นเพชร ช่วงรังสี 38. นายเสนีย์ จิตตะเกษม 39. นายนพวัชร สิงห์ศักดา และ 40. นายชยาวุธ จันทร 3.4 ข้อมูลพ้ืนฐานของจังหวัดอุดรธานี คำขวัญจงั หวดั อดุ รธาน ี “น้ำตกจากสันภูพาน อุทยานแห่งธรรมะ อารยะธรรมห้าพันปี ธานีผ้าหมี่ขิด แดนเนรมิตรหนองประจักษ์ งามเลิศลักษณ์กล้วยไม้หอมอุดรซันไฌน์” ท่ตี ้ัง จังหวัดอุดรธานีตั้งอยู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของ ประเทศไทย ห่างจากกรุงเทพฯ ตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2 ระยะทาง 564 กิโลเมตร มีพื้นที่ประมาณ 11,730,302 ตาราง- กิโลเมตร หรือประมาณ 7,331,438.75 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 2.29 ของพื้นที่ประเทศ อุดรธานีนับเป็นจังหวัดที่มีพื้นที่มากเป็น อนั ดบั 4 ในภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ตง้ั อยทู่ เ่ี สน้ รงุ้ ท่ี 17 องศาเหนอื เส้นแวงที่ 103 องศาตะวันออก 125
นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุดรธานี อาณาเขต ทิศเหนือ ติดต่อกับ จังหวัดหนองคาย ทิศใต้ ติดต่อกับ จังหวัดขอนแก่น และ จังหวัดกาฬสินธุ์ ทิศตะวันออก ติดต่อกับ จังหวัดสกลนคร และ จังหวัดกาฬสินธุ์ ทิศตะวันตก ติดต่อกับ จังหวัดหนองบัวลำภู และ จังหวัดเลย ลกั ษณะภูมิประเทศ ประกอบดว้ ยภเู ขาทส่ี งู ทร่ี าบ ทร่ี าบลมุ่ และพน้ื ทล่ี กู คลน่ื ลอนตื้น แบ่งออกได้ 2 บริเวณ คือบริเวณที่สูงทางทิศตะวันตก และทางทิศใต้ สภาพภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ภูเขา บางส่วนเป็นพื้นที่ลอนตื้นถึงลอนลึก มีความสูงจากระดับ น้ำทะเลปานกลางประมาณ 200 เมตร สภาพภูมิประเทศ ลักษณะนี้ครอบคลุมพื้นที่ในเขตอำเภอน้ำโสม อำเภอ หนองวัวซอ อำเภอโนนสะอาด อำเภอศรีธาตุ อำเภอ วังสามหมอ และด้านตะวันตกของอำเภอกุดจับและอำเภอ บ้านผือ มีเทือกเขาสูงสลับเนินเตี้ย บางส่วนเป็นพื้นที่ลอนตื้น สลับพื้นที่นา มีที่ราบลุ่มอยู่บริเวณริมแม่น้ำ เช่น ลำน้ำโมง ลำปาว เปน็ ตน้ บรเิ วณพน้ื ทล่ี กู คลน่ื ทางทศิ ตะวนั ออกเฉยี งเหนอื และทิศตะวันออก สภาพภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ลูกคลื่น ลอนตื่น มีที่ดอนสลับที่นา บางส่วนเป็นเนินเขาเตี้ยๆ มีความสูง จากระดับน้ำทะเลปานกลางเฉลี่ยประมาณ 187 เมตร สภาพ ภูมิประเทศลักษณะนี้ครอบคลุมพื้นที่บริเวณอำเภอบ้านผือ 126
ประวัติศาสตร์และข้อมูลพ้ืนฐานของจังหวัดอุดรธานี อำเภอกุดจับ อำเภอเมือง อำเภอกุมภวาปี อำเภอหนองแสง อำเภอไชยวาน อำเภอเพ็ญ อำเภอทุ่งฝน อำเภอสร้างคอมและ อำเภอบ้านดุง มีที่ราบลุ่มเป็นบริเวณกว้างในเขตอำเภอเมือง และอำเภอกุมภวาปี ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของลำน้ำปาว พื้นที่ ลูกคลื่นดังกล่าวจะมีพื้นที่สูง ซึ่งเป็นป่าสงวนแห่งชาติเดิมทาง ทิศตะวันออกเฉียงเหนือในเขตอำเภอบ้านดุง นอกจานนี้ยังมี พื้นที่ราบลุ่มบริเวณแม่น้ำต่างๆ เช่นห้วยน้ำสวย ห้วยหลวง ลำน้ำเพ็ญ ห้วยดาน ห้วยไฟจานใหญ่ และแม่น้ำสงคราม เป็นต้น ลักษณะภูมิประเทศโดยทั่วไปเป็นที่ราบสูง มีความสูง กว่าระดับน้ำทะเลโดยเฉลี่ยประมาณ 187 เมตร พื้นที่เอียงลาด ลงสู่แม่น้ำโขงทางจังหวัดหนองคาย ประกอบด้วยทุ่งนา ป่าไม้ และภูเขา พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นดินปนทรายและดินลูกรัง ชั้นล่าง เป็นดินดาน ไม่เก็บน้ำหรืออุ้มน้ำในฤดูแล้ง พื้นที่บางแห่งเป็น ดินเค็มซึ่งประกอบการกสิกรรมไม่ค่อยได้ผลดี พื้นที่บางส่วน เป็นลูกคลื่นลอนลาดมีพื้นที่ราบแทรกอยู่กระจัดกระจาย สภาพ พื้นที่ทางตะวันตกมีภูเขาและป่าติดต่อกันเป็นแนวยาวมี เทือกเขาสำคัญคือ เทือกเขาภูพานทอดเป็นแนว ยาวตั้งแต่ เขตเหนือสุดของจังหวัด สภาพภูมปิ ระเทศ สภาพอากาศจังหวัดอุดรธานีแบ่งออกเป็น 3 ฤดู ได้แก่ ฤดูร้อน ฤดูฝน และฤดูหนาว บางช่วงมีอากาศร้อนจัด อบอ้าว ในเวลากลางวัน และหนาวเย็นในเวลากลางคืน 127
นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุดรธานี เขตการปกครอง จังหวัดอุดรธานีแบ่งเขตการปกครองเป็น 20 อำเภอ 155 ตำบล 1,880 หมู่บ้าน มีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 181 แหง่ ประกอบดว้ ย 1 อบจ, 1 เทศบาลนคร, 3 เทศบาลเมอื ง, 67 เทศบาลตำบล และ 109 อบต. (สำนักงานจังหวัดอุดรธานี: 2559) ดา้ นศาสนา จำนวนวัดในจังหวัดอุดรธานีมีทั้งหมด 1350 วัด แบ่งเป็น วัดมหานิกาย 1,084 วัด, วัดธรรมธรรมยุต 265 วัด วัดอนัมนิกาย 1 วัด มีวัดร้างจำนวน 211 วัด จำนวนพระภิกษุ รวมทั้งสิ้น 8,796 รูป สามเณร 1,838 รูป จำนวนโรงเรียน พระปริยัติธรรมแผนกธรรม-บาลี 51 แห่ง โรงเรียนปริยัติธรรม 128
ประวัติศาสตร์และข้อมูลพ้ืนฐานของจังหวัดอุดรธานี แผนกสามัญศึกษา 20 แห่ง และมีจำนวนสำนักปฏิบัติธรรม ประจำจังหวัดอุดรธานี 20 แห่ง ผู้นำด้านศาสนา (รายนามผู้ปกครองคณะสงฆ์จังหวัด อุดรธานี) 1. รายนามผู้ปกครองคณะสงฆ์ (มหานิกาย) 1.1 พระธรรมวิมลมุนีวัดมัชณิมาวาส (พระอาราม หลวง) เจ้าคณะจังหวัดอุดรธานี 1.2 พระโสภณพุทธิธาดา (ชาญชัย) วัดศรีนคราราม อำเภอกุมภวาปี รองเจ้าคณะจังหวัด 1.3 พระโสภณธรรมาจารย์ (พรหมา) วัดศรีสว่างบรมสุข อำเภอศรีธาตุ รองเจ้าคณะจังหวัด 1.4 พระมุนีสารประสาธน์ เจ้าคณะอำเภอเมืองอุดรธานี 1.5 พระครโู ฆสิตคณารักษ์ เจ้าคณะอำเภอหนองวัวซอ 1.6 พระครูปทุมศิลาวัฒน์ เจ้าคณะอำเภอกุดจับ 1.7 พระครูญาณวิโมกข์ เจ้าคณะอำเภอโนนสะอาด 1.8 พระครสู ิริกิจโกศล เจ้าคณะอำเภอบ้านดุง 129
นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุดรธานี 1.9 พระครูสิริจันทโสภณ เจ้าคณะอำเภอเพ็ญ 1.10 พระครปู ริยัติโพธิทักษ์ เจ้าคณะอำเภอทุ่งฝน 1.11 พระครอู ดุ มกจิ จาภรณ ์ เจา้ คณะอำเภอกมุ ภวาป ี 1.12 พระครูสิริโชติคุณ เจ้าคณะอำเภอหนองแสง 1.13 พระครสู พุ ฒั นกจิ วมิ ล เจา้ คณะอำเภอสรา้ งคอม 1.14 พระดร.มหาบาง เขมานันโท เจ้าคณะอำเภอหนองหาน 1.15 พระครูวิชัยสิทธิการ เจ้าคณะอำเภอไชยวาน 1.16 พระภาวนาวิมล วิ เจ้าคณะอำเภอบ้านผือ 1.17 พระครโู อภาสวรคุณ เจ้าคณะอำเภอน้ำโสม 1.18 พระครปู ระสิทธิ์ธรรมรักษ์ เจ้าคณะอำเภอนายูง 1.19 พระครปู ระสิทธิ์กิตติสาร เจ้าคณะอำเภอศรีธาตุ 1.20 พระครมู งคลญาณประยุต เจ้าคณะอำเภอวังสามหมอ 130
ประวัติศาสตร์และข้อมูลพ้ืนฐานของจังหวัดอุดรธานี 1.21 พระครมู ัญจาภิรักษ์ เจ้าคณะอำเภอพิบูลรักษ์ 1.22 พระครูสมุห์สายบัว กิติโสภโณ เจ้าคณะอำเภอกู่แก้ว 1.23 พระครอู าทรวนกิจ เจ้าคณะอำเภอประจักษ์ศิลปาคม 2. รายนามผู้ปกครองคณะสงฆ์ (ธรรมยุต) 2.1 พระราชวราลงั การ (สงิ ห์ ป.ธ.6) เจา้ คณะจงั หวดั อุดรธานี วัดโพธิสมภรณ์ อ.เมือง 2.2 พระจันโทปมาจารย์ วิ. (สว่าง) รองเจ้าคณะจังหวัด วัดศรีหญ้าหมาก อ.หนองวัวซอ 2.3 พระครศู าสนปู กรณ์ เจ้าคณะอำเภอเมืองอุดรธานี 2.4 พระครจู ันทปัญญาคุณ เจ้าคณะอำเภอหนองวัวซอ 2.5 พระครูสันติธรรมญาญ เจ้าคณะอำเภอหนองหาน 2.6 พระครูโสภณจริยาทร เจ้าคณะอำเภอกุมภาวปี 2.7 พระครูวินัยปัญญาคุณ เจ้าคณะอำเภอบ้านดุง อำเภอเพ็ญ และอำเภอสร้างคอม 131
นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุดรธานี 2.8 พระครูวิศาลปัญญาคุณ เจ้าคณะอำเภอน้ำโสม 2.9 พระครปู ิยสีลาจารย์ เจ้าคณะอำเภอโนนสะอาด และ อำเภอหนองแสง 2.10 ดร. พระครูธีรธรรมคุณาภรณ์ เจ้าคณะอำเภอกุดจับ 2.11 พระครศู าสนกิจสุนทร เจ้าคณะอำเภอศรีธาตุ และอำเภอวังสามหมอ 2.12 พระครวู ัชรธรรมประยุต เจ้าคณะอำเภอทุ่งฝน 2.13 พระครอู ุดมชัยคณารักษ์ เจ้าคณะอำเภอไชยวาน 2.14 พระครูจิตตภาวนาญาณ เจ้าคณะอำเภอนายูง ดา้ นเศรษฐกิจ ผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัดอุดรธานี (GPP) พ.ศ. 2556 มีมูลค่า 103,742 ล้าน จัดอยู่ในลำดับที่ 1 ของกลุ่มจังหวัด ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 1 เป็นลำดับที่ 4 ของ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือรองจากจังหวัดนครราชสีมา ขอนแก่น และอบุ ลราชธานี ตามลำดบั ลำดบั ท่ี 24 ของประเทศ ผลติ ภณั ฑ์ มวลจังหวัดอุดรธานี (GPP) พ.ศ.2556 ขยายตัวร้อยละ 6.3 ขยายตัวต่อเนื่องที่ขยายตัวร้อยละ 4.3 จาก พ.ศ. 2555 รายได้ 132
ประวัติศาสตร์และข้อมูลพื้นฐานของจังหวัดอุดรธานี เฉลี่ยต่อประชากร (GPP Per Capita) พ.ศ. 2556 มีมูลค่า 81,419 บาท/คน/ปี จัดอยู่ในลำดับที่ 3 ของกลุ่มจังหวัด ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 1 รองจากจังหวัดหนองคาย และจังหวัดเลย ลำดับที่ 5 ของภาคตะวันออกเฉลี่ยเหนือ รองจากจังหวัดขอนแก่น นครราชสีมา หนองคาย และเลย ตามลำดับ และอยู่ในลำดับที่ 50 ของประเทศ โครงสร้างเศรษฐกิจของจังหวัดอุดรธานีที่สำคัญ ขึ้นอยู่กับ ด้านเกษตรกรรมด้านอุตสาหกรรม ด้านการศึกษา ดา้ นการขายสง่ ขายปลกี และดา้ นตวั การทางการเงนิ ตามลำดบั (ที่มา : สภาพัฒน์ ฯ โดยวิธีคำนวณแบบปริมาณลูกโซ่) 1. สาขาการเกษตรกรรม สาขาการขายสง่ ขายปลกี 21.7% 2. สาขาอุตสาหกรรม 14.8 % 3. สาขาการศึกษา 13.1 % 4. สาขาการขายส่งขายปลีก 10.9 % 5. สาขาตัวกลางทางการเงิน 6.7 % 6. สาขาอื่น 32.8 % ด้านเกษตรกรรม จังหวัดอุดรธานีมีพื้นที่ทั้งหมด 7,331,439 ไร่ เป็นพื้นที่ ทำการเกษตร จำนวน 4,575,847 ไร่ (62.41 %) แบ่งได้ดังนี้ 1. พื้นที่ทำนา จำนวน 2,331,385 ไร่ 2. พื้นที่ทำไร่ จำนวน 1,290,952 ไร่ 133
นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุดรธานี 3. พื้นที่ปลูกยางพารา จำนวน 492,086 ไร่ 4. พื้นที่ปลูกไม้ยืนต้น จำนวน 116,135 ไร่ 5. พื้นที่ปลูกไม้ผล จำนวน 51,927 ไร่ 6. พื้นที่ปลกู พืชผัก จำนวน 15,582 ไร่ 7. พื้นที่ปลกู ปาล์มน้ำมัน จำนวน 13,878 ไร่ 8. พื้นที่ปลูกไม้ดอกไม้ประดับ 800 ไร่ 9. พื้นที่อื่นๆ จำนวน 263,102 ไร่ พืชเศรษฐกจิ ทีส่ ำคัญ 1. ข้าว เป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญของจังหวัดอุดรธานี มีการเพาะปลูกข้าวทุกอำเภอ การเพาะปลูกข้าวส่วนใหญ่ สามารถทำการเพาะปลูกข้าวได้ปีละ 1 ครั้ง 2. อ้อย เป็นพืชที่มีการเพาะปลูกกันมากเนื่องจากมี โรงงานน้ำตาล 3 แห่งที่รองรับผลผลิตอ้อย ทั้งหมดภายใน จังหวัดอุดรธานี และบางส่วนจากจังหวัดใกล้เคียง 3. มันสำปะหลัง มีการเพาะปลูกมาก เนื่องจากเป็นพืช ที่เพาะปลูกง่าย ทนความแห้งแล้งได้ดี มีปัญหาในการดูแล รักษาน้อย 4. ยางพารา ได้รับการส่งเสริมจากภาครัฐให้ปลูก แม้ จะใช้เวลานานก่อนที่จะได้มีการเก็บผลผลิต แต่พื้นที่จังหวัด อุดรธานีนั้นเป็นพื้นที่มีความเหมาะสมในการปลกู ยางพาราที่ดี 134
ประวัติศาสตร์และข้อมูลพ้ืนฐานของจังหวัดอุดรธานี ด้านการประมง เกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ จำนวน 14,993 ราย เป็นประเภทฟาร์ม แบบยังชีพ 14,778 ราย และ เชิงพาณิชย์ 215 ราย เป็นลักษณะการเลี้ยงในบ่อ มีเนื้อที่เลี้ยง 24,462.87 ไร่ มีผลผลิต 6,726,597.18กิโลกรัม เลี้ยงปลานิล ปลาดุก ปลาตะเพียน และมีการเลี้ยงปลานิลในกระชัง ในแหล่งน้ำสาธารณะ 27 รายจำนวน 244 กระชังผลผลิต 219,600 กิโลกรัมและมีผลผลิตจากการจับสัตว์น้ำจากแหล่งน้ำ ธรรมชาติประมาณ 10.9 ล้านกิโลกรัม/ปี ด้านอุตสาหกรรม: โครงสร้างการผลิตด้าน อุตสาหกรรมจงั หวดั อุดรธานี ข้อมูล GPP จังหวัดอุดรธานีปี 2554 ด้านอุตสาหกรรม มีจำนวน 11,908 ล้านบาท โดยมีการขยายตัวร้อยละ 3.8 จากร้อยละ 0.3 ในปีก่อนหน้า เนื่องจากการขยายตัวของ หมวดอาหาร หมวดยางและพลาสติก หมวดผลิตภัณฑ์โลหะ และหมวดผลิตภัณฑ์อโลหะโดยมีกิจกรรมการผลิตที่สำคัญ คือ การผลิตผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.4 จากที่ ขยายตัวร้อยละ 5.2 ในปีที่ผ่านมา การขยายตัว ดังกล่าว เป็นผลมาจากกิจกรรมที่สำคัญ ดังนี้ - โรงฆ่าวัว ขยายตัวร้อยละ 31.7 เนื่องจากประชาชน หันมานิยมบริโภคเนื้อวัวเพิ่มขึ้น เป็นผลมาจากเนื้อหมูมีราคา สูงขึ้น ตามราคาต้นทุนวัตถุดิบของอาหารสัตว์ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น - การผลิตน้ำตาลทรายขาว ขยายตัวร้อยละ 10.8 จาก การปรับตัวขึ้นของราคาอ้อยและน้ำตาล ประกอบกับความ 135
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 460
Pages: