นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุดรธานี ต้องการที่สูงขึ้น โดยมีมูลค่าการผลิต ณ ราคาประจำปีจำนวน 4,883.37 ล้านบาท สัดส่วนร้อยละ 64.85 - การผลิตยางและพลาสติก ขยายร้อยละ 17.9 ปรับตัวดีขึ้นจากการหดตัวร้อยละ 2.5 ในปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะ การผลิตยางและชิ้นส่วนจากยางตามความต้องการของตลาด ที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับมีพื้นที่กรีดยางเพิ่มขึ้นโดยมีมูลค่า การผลิต ณ ราคาประจำปีจำนวน 45.49 ล้านบาท สัดส่วน ร้อยละ 11.43 - ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม ขยายตัวร้อยละ 12.9 ชะลอตัวลงจากที่ขยายตัวร้อยละ 23.4 ในปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะการทำแอสฟัลท์ติกคอนกรีต โดยมี มูลค่าการผลิต ณ ราคาประจำปีจำนวน 564.9274 ล้านบาท สัดส่วนร้อยละ 7.50 ปริมาณโรงงานที่มีการอนุญาตมากที่สุด คือ ซ่อมเครื่องยนต์ จำนวน 190 ราย ผลิตภัณฑ์คอนกรีต จำนวน 183 ราย แปรรูปไม้จำนวน 166 ราย ซึ่งในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา การลงทุนด้านอุตสาหกรรมมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยใน ปี 2555 มีอัตราการขยายตัวของการอนุญาตใหม่ที่ร้อยละ 7.84 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาโดย มีการลงทุนในอุตสาหกรรม ที่สำคัญ คือ อุตสาหกรรมยางพารา ดา้ นทรัพยากรธรรมชาต ิ ป่าไม้ จังหวัดอุดรธานีมีพื้นที่ป่าไม้ 2,908,723ไร่คิดเป็น 39 % ของพื้นที่จังหวัดส่วนพื้นที่ ป่าไม้ที่มีสภาพสมบูรณ ์ มีจำนวน 868,121.2 ไร่คิดเป็น 11.84 % ของพื้นที่จังหวัด 136
ประวัติศาสตร์และข้อมูลพื้นฐานของจังหวัดอุดรธานี ทรัพยากรแร่ จังหวัดอุดรธานีมีทรัพยากรแร่ที่มีมูลค่า ทางเศรษฐกิจสงู หลายชนิด ได้แก่ 1. ถ่านหิน ตำบลบ้านผือ อำเภอบ้านผือ และตำบล ห้วยทราย อำเภอนายูง ดินขาว ตำบลโนนทอง อำเภอนายงู 2. แบไรต์ ตำบลบา้ นเพยี และตำบลนาแค อำเภอนายงู 3. โปรแตช อำเภอประจักษ์ศิลปาคม และอำเภอเมือง อุดรธานี 4. หินปนู อำเภอน้ำโสม 5. แหล่งก๊าซธรรมชาติมีพื้นที่ 232.20 ตารางกิโลเมตร ในเขตพื้นที่อำเภอหนองแสง อำเภอหนองวัวซอ และอำเภอ โนนสะอาด แหล่งน้ำ จังหวัดอุดรธานีอยู่ในเขตลุ่มน้ำใหญ่ของ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 2 ลุ่มน้ำ คือ ลุ่มน้ำชีและลุ่มน้ำโขง ประกอบด้วยลุ่มน้ำย่อยจำนวน 9 ลุ่มน้ำ คือ 1. ลุ่มน้ำชีมี 2 ลุ่มน้ำย่อย ได้แก่ 1) ลุ่มน้ำปาว ปริมาณน้ำเฉลี่ย 25,722,000 ลบ.ม. 2) ลุ่มน้ำเสือเต้น ปริมาณน้ำเฉลี่ย 1,815,000 ลบ.ม. 2. ลุ่มน้ำโขงมี 7 ลุ่มน้ำย่อย ได้แก่ 1) ลุ่มน้ำโสม ปริมาณน้ำเฉลี่ย 5,737,500 ลบ.ม. 2) ลุ่มน้ำคะนาน ปริมาณน้ำเฉลี่ย 1,035,000 ลบ.ม. 3) ลุ่มน้ำโมง ปริมาณน้ำเฉลี่ย 6,210,000 ลบ.ม. 4) ลุ่มน้ำห้วยดุก ปริมาณน้ำเฉลี่ย 540,000 ลบ.ม. 5) ลุ่มน้ำสวย ปริมาณน้ำเฉลี่ย 2,640,000 ลบ.ม. 137
นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุดรธานี 6) ลุ่มน้ำห้วยหลวง ปริมาณน้ำเฉลี่ย 35,940,000 ลบ.ม. และ 7) ลุ่มน้ำ สงคราม ปริมาณน้ำเฉลี่ย 13,248,000 ลบ.ม จังหวัดอุดรธานีมีแหล่งน้ำขนาดเล็กจำนวนทั้งสิ้น 1,530 แห่ง แยกเป็นคูคลอง 184 แห่ง สระจำนวน 468 แห่ง หนองและบึง จำนวน 774 แห่ง อ่างเก็บน้ำขนาดเล็ก 257 แห่ง อ่างเก็บน้ำขนาดกลาง18แห่งและอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ 2 แห่ง ฝายทดน้ำ 16แห่ง และสถานี สูบน้ำไฟฟ้า 45 แห่ง (สำนักงาน ทรัพยากรน้ำ, 2555) ดา้ นคมนาคม เส้นทางคมนาคมของจังหวัดอุดรธานี มี 2 เส้นทางหลัก ได้แก่ ทางบก และทางอากาศ ดังนี้ 1. ทางบก การติดต่อกับจังหวัดใกล้เคียงส่วนมากเป็น ทางรถยนตท์ ม่ี สี ภาพโครงขา่ ย (Net work) ถนนเปน็ แบบใยแมงมมุ (Spider Web Pattern) คือสามารถเดินทางเข้า-ออกกับจังหวัด อุดรธานีได้ทุกทิศทาง จังหวัดอุดรธานีอยู่ห่างจากเมืองหลวง ของประเทศ คือกรุงเทพมหานคร ประมาณ 562 กิโลเมตร ตามทางหลวงแผ่นดิน หมายเลข 2 หรือถนนมิตรภาพ จังหวัด อุดรธานีได้ดำเนินการขยายทางจราจรวงแหวนที่ 1 ให้เป็นถนน 4 เลน ช่วงสุดท้ายระหว่างบ้านจั่น-แยกไปจังหวัดหนองบัวลำภู ผนวกกับความพร้อมของถนน 4 เลน ระหว่างจังหวัด เช่น ถนน 4 เลน จากอุดรธานีไปขอนแก่น, อุดรธานีไปหนองบัวลำภู, อุดรธานีไปสกลนคร และอุดรธานีไปหนองคาย 138
ประวัติศาสตร์และข้อมูลพื้นฐานของจังหวัดอุดรธานี 2. ทางอากาศ ท่าอากาศยานอุดรธานีกำลังเติบโตตาม การขยายตัวของอุตสาหกรรมการบิน ประกอบกับกระทรวง คมนาคมได้มีนโยบายในการพัฒนาสนามบินที่มีศักยภาพ รองรับ AEC ในจังหวัดที่อยู่ตามแนวชายแดน เพื่อรองรับ การเชื่อมต่อการเดินทางกับประเทศต่างๆ ในอาเซียน ซึ่งได้มี การดำเนินการก่อสร้างและปรับปรุงอาคารที่พักโดยสารเดิม เพื่อใช้เป็นอาคารที่พักผู้โดยสารคามระหว่างประเทศ พร้อมติด ตั้งสะพานเทียบเครื่องบิน 1 ชุด วงเงินงบประมาณทั้งสิ้น 269.50 ล้านบาท (ปี 2556 วงเงิน 55 ล้านบาท ปี 2557 วงเงิน 64.49 ล้านบาท และปี 2558 วงเงิน 150.01 ล้านบาท) ซึ่งได้ ดำเนินการก่อสร้างเสร็จแล้ว และได้รับงบประมาณในการ ก่อสร้างต่อเติมลาดจอดเครื่องบินและลานจอดรถยนต์ วงเงิน ทั้งสิ้น 195 ล้านบาท (ปี 2559 วงเงิน 39 ล้านบาท และ ปี 2560 วงเงิน 156 ล้านบาท) เพื่อรองรับการขยายตัวของ ผู้มาใช้บริการที่เพิ่มขึ้นทุกปี การพัฒนาท่าอากาศยานอุดรธานี ให้มีความเชื่อมโยงกับชุมชนและพื้นที่โดยรอบเป็นไปในทิศทาง เดียวกับการผลิตและการค้าขาย ด้านการท่องเทยี่ ว จังหวัดอุดรธานี มีห้องพักทั้งหมดจำนวน 6,641 ห้อง มีรายได้จากการท่องเที่ยว ทั้งสิ้น 14,846 ล้านบาท มีจำนวน ผู้มาเยี่ยมเยือนทั้งสิ้น 3,033,534 คน แบ่งเป็นนักท่องเที่ยว 2,125,7398 คน และนักทัศนาจร 907,795 คน แบ่งเป็น นักท่องเที่ยวชาวไทย 2,897,514 คน นักท่องเที่ยวต่างชาติ 136,020 โดยมีระยะเวลาพำนักเฉลี่ยของนักท่องเที่ยวจำนวน 139
นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุดรธานี 2 วัน ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยของผู้มาเยี่ยมเยือนประมาณ 1,258 บาท/ คน/วัน และจังหวัดอุดรมีรายได้จากการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ธุรกิจโรงแรม จำนวน 36,552,062.44 บาท และมีรายได้จากการ เก็บภาษีมูลค่าเพิ่มธุรกิจร้านอาหาร ภัตตาคารในจังหวัด อุดรธานี จำนวน 7,153,199.44 บาท (ที่มา:สำนักงานสรรพากร พื้นที่อุดรธานี, ข้อมูล ณ มกราคม-กันยายน ปี 2558) ดา้ นเทศกาล งานบุญประเพณี และวัฒนธรรม เดอื นมกราคม งานประเพณีส่งท้ายปีเก่าและต้อนรับปีใหม่ งานบวงสรวงอนุสาวรีย์ พลตรีพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวง ประจักษ์ศิลปาคม ผู้ก่อตั้งเมืองอุดรธานีวันที่ 18 มกราคม ของทุกปี เทศกาลทะเลบัวแดงบาน อ.กุมภวาปี ล่องเรือชม ธรรมชาติ บนพื้นทะเลบัวแดง เดอื นกมุ ภาพนั ธ์ งานนมัสการพระพุทธบาทบัวบก จัดบริเวณ พระพุทธบาทบัวบก อำเภอบ้านผือ ในวันขึ้น 13-15 ค่ำ เดือน 4 ของทุกปีในงานมีประเพณีการเดินทางขึ้นภพู ระบาทเพื่อปิดทอง รอยพระพุทธบาท การออกร้านจำหน่าย สินค้าและผลิตภัณฑ์ พื้นเมือง งานฉลองวันเกิดเจ้าปู่-ย่า หลังเทศกาลตรุษจีน 2 สัปดาห์ เพื่อ ระลึกวันที่ก่อเกิดศาลเจ้าปู่-ย่า มีการจัดงาน เฉลิมฉลองยิ่งใหญ่ ณ ศาลเจ้า ปู่-ย่า ริมหนองบัว 140
ประวัติศาสตร์และข้อมูลพ้ืนฐานของจังหวัดอุดรธานี งานมรดกโลกบ้านเชียง จัดขึ้นที่บ้านเชียงและ พิพิธภัณฑสถาน แห่งชาติบ้านเชียงอำเภอหนองหาน จัดให้มี งานพาแลงชมการแสดงแสง-เสียง และนิทรรศการต่างๆ งานเทศกาลตรุษจีนอุดรจัดขึ้น ณ บริเวณสี่แยกเฉลิม พระเกียรติฯ (หอนาฬิกา) ถนนประจักษ์ศิลปาคม โดยจัด ให้มีกิจกรรมออกร้านจำหน่าย อาหารจีน อาหารนานาชาติ ซุ้มวัฒนธรรมจีน การแสดงมหรสพบันเทิงจาก ศิลปินชื่อดัง ตลอดงาน เดือนมนี าคม งานมะม่วงแฟร์ จัดขึ้นที่อำเภอหนองวัวซอ มีการออก ร้านจำหน่าย มะม่วง สินค้าและผลิตภัณฑ์พื้นเมือง เดอื นเมษายน มหกรรมส้มตำ งานถนนอาหารสงกรานต์เมืองอุดรธานี จัดระหว่าง วันที่ 12-15 เมษายน ของทุกปีบริเวณถนนเทศา สวนสาธารณะหนองประจักษ์ศิลปาคม จัดพิธีสรงน้ำพระรดน้ำ ขอพรผู้สูงอายุการประกวดแข่งขันประกอบ อาหารนานาชนิด รวมทั้งอาหารแปลก และร้านจำหน่ายอาหารนานาชนิด เดือนพฤษภาคม งานประเพณบี ญุ บง้ั ไฟลา้ น บา้ นธาตอุ ำเภอเพญ็ จดั ทกุ วนั ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 เดอื นตุลาคม งานแข่งเรือเทศบาลตำบลตูมใต้ อำเภอกุมภวาปี จัดช่วงเทศกาลออกพรรษาของทุกปี โดยแบ่งการแข่งขัน 141
นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุดรธานี ออกเป็นเรือขุดโบราณซึ่งมีแห่งเดียวในประเทศไทยและเรือแต่ง แบบภาคกลาง งานเทศกาลกินเจวัดสุนทรประดิษฐ์ จัดให้มีขบวนแห่ คนทรง และอาหารโรงเจตลอดเทศกาล เดอื นพฤศจิกายน งานประเพณีข้าวหลามหวานมัน บ้านพันดอน เทศบาล ตำบล พันดอน อำเภอกุมภวาปีจัดช่วงวันที่ 9-13 พฤศจิกายน ของทุกปี งานเทศกาลโคมลม อำเภอพิบูลย์รักษ์ จัดช่วงเดือน พฤศจิกายน งานประเพณีลอยกระทงจัดขึ้น ณ บริเวณถนนเทศา สวนสาธารณะหนองประจักษ์ศิลปาคม วันเพ็ญเดือน 12 เดอื นธันวาคม งานประจำปีทุ่งศรีเมืองอุดร มหกรรมโฮมพาแลงแดน ผา้ หม-่ี ขดิ ระหวา่ งวนั ท่ี 1-15ธนั วาคมของทกุ ปี ทส่ี นามทงุ่ ศรเี มอื ง อุดรธานี ในงานมีการออกร้าน จัดนิทรรศการของหน่วยงาน ทั้งภาครัฐและเอกชน มีจำหน่ายสินค้า พื้นเมือง หัตถกรรม มีการแสดงรื่นเริงมากมาย และมีการจัดงานพาแลงที่ ยิ่งใหญ่ ณ สวนสาธารณะหนองประจักษ์ศิลปาคม งานฉลองเจ้าปู่เจ้าย่า จัดขึ้นใน วันที่ 5 ธันวาคมของ ทุกปี มีขบวนแห่เชิดสิงโต มังกรทอง เอ็งกอ และการแสดง หล่อโก้ว พร้อมการจุดพลุไฟ อันยิ่งใหญ่ตระการตา ของทุกปี 142
ประวัติศาสตร์และข้อมูลพื้นฐานของจังหวัดอุดรธานี แหลง่ ท่องเทย่ี วสำคญั อำเภอเมอื งอดุ รธานี 1. อนุสาวรีย์พระเจ้าบรมวงค์เธอ กรมหลวงประจักษ์ฯ ที่ตั้งอยู่กลางเมืองอุดรธานี 2. สวนสาธารณหนองประจักษ์ศิลปาคม ที่ตั้งอยู่ในเขต เทศบาลเมืองอุดรธานีเป็นหนองน้ำขนาดใหญ่ 3. วัดโพธิสมภรณ์ ตั้งอยู่ริมถนนโพศรีเทศบาลเมือง อุดรธานี 4. พิพิธภัณฑ์เมืองอุดรธานี ตั้งอยู่ริมถนนโพศรีใน อาคารราชินทู ิศ เทศบาลเมืองอุดรธานี 5. วัดมัชฌิมาวาส ตั้งอยู่ริมถนนวัฒนานุวงศ์เทศบาล เมืองอุดรธานี 6. ศาลเจ้าปู่ย่า ตั้งอยู่สถานีรถไฟ ใกล้ตลาดหนองบัว ถนนนิตโย ทางไปสกลนคร เทศบาลเมืองอุดรธานี 7. แหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ (โฮจิมินห์) ตั้งอยู่ บ้านหนองฮาง (หนองโอน) หมู่ที่ 4 ต.เชียงพิณ 8. หมู่บ้านนาข่า ที่ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองอุดรธานี ประมาณ 16 กิโลเมตร (เส้นทางอุดร -หนองคาย) 9. อ่างเก็บน้ำห้วยหลวง ที่ตั้งอยู่ในเขตอำเภอเมือง บนทางหลวงสายอุดรธานี-หนองบัวลำภ ู 10. วัดป่าบ้านตาด ตั้งอยู่ที่บ้านตาด อำเภอเมือง 143
นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุดรธานี อำเภอบ้านผอื 1. อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขา ภูพาน ในเขตบ้านติ้ว ต.เมืองพาน อ.บ้านผือ ห่างจากอุดรธานี 68 กิโลเมตร โครงสร้างส่วนใหญ่เป็นหินทราย ที่ถูกขัดเกลาจาก ขบวนการกัดกร่อนทางธรรมชาติ ทำให้เกิดเป็นโขดหินน้อย ใหญ่รูปร่างต่างๆ กัน ปรากฏเป็นหลักฐานเกี่ยวกับชีวิตผู้คน ในอดีตที่น่าสนใจหลายแห่ง เช่น พระพุทธบาทบัวบก ที่ตั้งอยู่ บริเวณแยกทางซ้ายก่อนถึงที่ทำการอุทยานประวัติศาสตร์ ภูพระบาทบัวบก พระพุทธบาทหลังเต่า ที่ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของ พระพุทธบาทบัวบก พระพุทธบาทบัวบาน ตั้งอยู่บนเนินเขา ในเขตตำบลเมืองพาน 2. วัดป่าบ้านค้อ ตั้งอยู่ตำบลเขือน้ำ อำเภอนายงู อุทยานแห่งชาตินายูง-น้ำโสม ตั้งอยู่ที่บ้านสว่าง หมู่ 2 ต.นายูง อ.นายูง จ.อุดรธานี สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ ได้แก่ น้ำตกยูงทอง ที่ตั้งห่างจากที่ทำการอุทยานแห่งชาตินายูง- น้ำโสม ประมาณ 500 เมตร วัดป่าภูก้อน ตั้งอยู่ในเขตป่าสงวน แห่งชาติป่านายูงและป่าน้ำโสม ท้องที่บ้านนาคำ ตำบล บ้านก้อง อำเภอนายูง จังหวัดอุดรธานี และ จุดชมวิวผาแดง ที่ตั้งห่างจากที่ทำการอุทยานแห่งชาตินายูง-น้ำโสม ประมาณ 600 เมตร อำเภอหนองหาน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติบ้านเชียง ตั้งอยู่ที่บ้านเชียง ต.บ้านเชียง 144
ประวัติศาสตร์และข้อมูลพ้ืนฐานของจังหวัดอุดรธานี อำเภอบา้ นดุง คำชะโนด ตั้งอยู่บ้านโนนเมือง ต.บ้านม่วง อำเภอกมุ ภวาปี 1. พระธาตุดอนแก้ว ตั้งอยู่หมู่ 5 บ้านดอนแก้ว 2. ทะเลบัวแดง (บึงหนองหาน) เขตห้ามล่าสัตว์ป่า หนองหานกุมภวาปี ที่ตั้งอยู่บริเวณทิศเหนือของลุ่มน้ำ หนองหานฝั่งบ้านเดียม ต.เชียงแหว จะมีดอกบัวออกดอกเป็น จำนวนมากช่วงเดือน เดือนธันวาคม - มีนาคม ของทุกปี อำเภอหนองแสง 1. วนอุทยานน้ำตกคอยนาง ตั้งอยู่ในท้องที่ตำบลหนอง แสง อำเภอหนองแสง จังหวัดอุดรธานี 2. ภูฝอยลม ตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าพันดอน- ปะโค อำเภอวงั สามหมอ วนอุทยานวังสามหมอ ตั้งอยู่ตำบลหนองกุงทับม้า ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าบะยาว- ป่าหัวนาคำ-ป่าหนองกุงทับ ม้า-ป่านายูง และป่าหนองหญ้าไซ ประกาศเป็นวนอุทยานฯ จุดเด่นที่น่าสนใจในวนอุทยานฯ ได้แก่ วังใหญ่, แก่งมนน้อย, แก่งหินฮอม อำเภอเพ็ญ 1. วัดป่าพระนาไฮ ตั้งอยู่ที่หมู่ 6 บ้านสินเจริญตำบล เตาไห อำเภอเพ็ญจังหวัดอุดรธานี 145
นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุดรธานี 2. ตลาดปลาสินเจริญ ตั้งอยู่ที่หมู่ 6 บ้านสินเจริญ ตำบลเตาไห อำเภอเพ็ญ จังหวัดอุดรธานี 3. ถ้ำสิงห์ (วนอุทยานภูหินจอมธาตุ) ตั้งอยู่บนเทือกเขา ภูพาน หมู่บ้านหนองเจริญ หมู่ที่ 7 มีแหล่งท่องเที่ยวภายในถ้ำ ที่น่าสนใจ คือ ซำต้นหมาก, ลานทับควาย, ถ้ำคอกม้า, ถ้ำฤาษี อำเภอพบิ ูลรักษ์ วัดพระแท่นบ้านแดง ตั้งอยู่หมู่ที่ 7 ตำบลบ้านแดง ยุทธศาสตร์การพฒั นาจังหวดั ปี พ.ศ. 2557-2560 วิสัยทศั น์ “เมอื งนา่ อยู่ ศูนย์กลางอนุภมู ิภาคลมุ่ นำ้ โขง” พนั ธะกจิ 1. การสร้างความเข้มแข็งของสังคมเพื่อรองรับ การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมและเทคโนโลยี 2. การพัฒนาการผลิตทางการเกษตรให้ได้มาตรฐาน ในรูปแบบเกษตรปลอดภัย 3. การพัฒนาระบบคมนาคมและศักยภาพด้านการค้า เพื่อรองรับการเป็นศูนย์กลางการพัฒนาของอนุภูมิภาคลุ่มน้ำ โขง 4. การพัฒนาการทอ่ งเทย่ี ว การบริการ และการส่งเสรมิ ศิลปวัฒนธรรม ประเพณีท้องถิ่น เพื่อเพิ่มรายได้ของประชาชน ในจังหวัด 146
ประวัติศาสตร์และข้อมูลพื้นฐานของจังหวัดอุดรธานี 5. การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อ ใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน 6. การประยกุ ตใ์ ชเ้ ทคโนโลยเี พอ่ื การบรหิ ารจดั การภาครฐั คา่ นยิ ม UDON TEAM U : UNITY : มีเอกภาพ D : DEVELOPMENT : พัฒนาอย่างต่อเนื่อง O : OPENMIND : เปิดใจให้บริการ N : NETWORK : สานเครือข่ายการมีส่วนร่วม ของประชาชน T : TRANSPARENCY : มีความโปร่งใส E : EXCELLENCE : เน้นผลสัมฤทธิ์ของงาน A : ACCOUNTABILITY : มีความรับผิดชอบ M : MORALITY : มีศีลธรรม เป้าประสงค์ จังหวัดอุดรธานีมีการพัฒนาอย่างยั่งยืน มีความสมดุล ระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจกับการพัฒนาสังคมคุณภาพชีวิต ควบคู่ไปกับการดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติให้สามารถใช้ ประโยชน์ได้อย่างยั่งยืน เป็นเมืองศูนย์กลางแห่งการพัฒนาของ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน และอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ที่มีความสงบเรียบร้อย สะดวก สะอาด ปลอดภัย น่าอยู่ น่าท่องเที่ยว หน่วยงานภาครัฐมีการบริหารจัดการอย่างมี ประสิทธิภาพ 147
นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุดรธานี จังหวัดอุดรธานีมีการวางยุทธศาสตร์ที่เหมาะสมเพื่อก้าว เข้าสู่ทศวรรษที่ 13 ด้วยยุทธศาสตร์การพัฒนา ที่มุ่งสร้าง เมือง น่าอยู่และความเป็นศูนย์กลางอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง และ เป็นการเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ครอบคลุมยุทธศาสตร์ในทุกมิติทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคมโดย มีโครงการสำคัญ อาทิ - โครงการรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ หนองคาย ของรัฐบาล - โครงการก่อสร้างถนนวงแหวนรอบที่ 2 - โครงการนิคมอุตสาหกรรมสีเขียวตำบลโนนสงู - โครงการปรับปรุงภูมิทัศน์ทุ่งศรีเมือง - โครงการก่อสร้างศูนย์วัฒนธรรมและสนามกีฬา หนองแด - โครงการย้ายเรือนจำ และปรับปรุงพื้นที่เดิมเป็น สวนสาธารณะ - โครงการส่งเสริมการทำการเกษตร และการดำรง ชีวิตตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจ พอเพียง - โครงการจัดตั้งมหาวิทยาลัยอุดรธานี - โครงการส่งเสริมสนับสนุนกิจกรรมสู่ความเป็นเลิศ ทางวิชาการของมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานีเพื่อขับเคลื่อน ยุทธศาสตร์จังหวัดไปสู่ความสำเร็จ เป็นต้น 148
บ4ทท ่ี การเลือกต้ังและนักการเมืองถ่ิน จังหวัดอุดรธานี พ.ศ. 2476 – พ.ศ. 2554 น ั บ ต ั ้ ง แ ต ่ ก า ร เ ล ื อ ก ต ั ้ ง ค ร ั ้ ง แ ร ก ข อ ง ป ร ะ เ ท ศ ไ ท ย พ.ศ. 2476 จนถึงครั้งล่าสุด พ.ศ. 2554 มีการเลือกตั้งและส่งผล ให้มีนักการเมืองทั้งสิ้น 24 ชุด ในส่วนนี้จะนำเสนอถึง รายละเอียดความสำคัญเกี่ยวกับการเลือกตั้งแต่ละครั้งที่เกิดขึ้น ในประเทศไทยและนักการเมืองถิ่นจังหวัดอุดรธานีที่ได้รับ การเลือกตั้งในแต่ละครั้ง โดยมีรายละเอียดดังต่อไป
นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุดรธานี 4.1 การเลือกตั้งแต่ปี พ.ศ. 2476 - พ.ศ. 2554 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 1 (พ.ศ. 2476) การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในประเทศไทย พ.ศ. 2476 เป็นการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งแรก ในประเทศไทย และเป็นการเลือกตั้งทางอ้อมครั้งแรกและ ครั้งเดียวของไทย ตราบจนปัจจุบัน โดยเกิดขึ้นเมื่อวันพุธที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2476 (พระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้ง ผู้แทนตำบลและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 1 พุทธศักราช 2476) โดยที่มาของการเลือกตั้งครั้งนี้ เกิดขึ้นหลัง เหตุการณ์ “กบฏบวรเดช” ซึ่งยุติลงในวันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2476 เมื่อนายพันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา นายก- รัฐมนตรี ได้แถลงต่อรัฐสภาว่า รัฐบาลได้ปราบกบฏเป็นที่ เรียบร้อยแล้ว เมื่อบ้านเมืองสงบแล้ว จำต้องมีการเลือกตั้ง เกิดขึ้น ในขณะนั้นประเทศไทย (ยังคงใช้ชื่อว่า สยาม) แบ่ง การปกครองเป็นจังหวัด มีจังหวัดทั้งสิ้น 70 จังหวัด เพื่อให้ สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475 มาตรา 2 ที่ว่า “อำนาจอธิปไตยเป็นย่อมเป็นของ ประชาชน” จึงทำให้เกิดการจัดการเลือกตั้งขึ้น คือ สามารถ เลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร) ประเภทที่หนึ่งได้ทั้งหมด 78 คนโดยส่วนใหญ่จะสามารถเลือก ผู้แทนฯ ได้จังหวัดละ 1 คน มีบางจังหวัดที่มีผู้แทนฯ ได้มาก กว่าหนึ่งคน ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดร้อยเอ็ด จังหวัด มหาสารคาม จังหวัดนครราชสีมา มีผู้แทนราษฎรได้ 2 คน ขณะที่จังหวัดพระนครและจังหวัดอุบลราชธานี มีผู้แทนฯ ได้ 150
ข้อมูลการเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 3 คน ซง่ึ ขณะนน้ั รฐั ธรรมนญู กำหนดอตั ราประชากร 200,000 คน ต่อการมีผู้แทนราษฎรได้หนึ่งคน (ถ้าจังหวัดใดมีพลเมือง เกินกว่า 200,000 คน ให้เลือกผู้แทนราษฎรเพิ่มขึ้นได้อีก 1 คน ทุกๆ จำนวน 200,000 คนของพลเมือง) และบวกรวมกับสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรประเภทที่สอง ที่พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้ง ขึ้นอีก 78 คน รวมทั้งสิ้นเป็น 156 คน ซึ่งการเลือกตั้งเป็นการ เลือกตั้งทางอ้อม(ประชาชนยังไม่มีสิทธิในการเลือกตั้งโดยตรง) โดยได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดให้กรมการอำเภอ ดำเนินการ เลือกตั้งผู้แทนตำบลขึ้นทั่วประเทศ ในวันที่ 1 ตุลาคมถึงวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2476 ซึ่งวิธีการเลือกตั้งมี 3 ขั้นตามลำดับ ดังนี้ (กรมการปกครอง, 2513) 1. เลือกจากราษฎรในหมู่บ้านเลือกตัวแทนของหมู่บ้าน 2. เลือกจากผู้แทนหมู่บ้านเป็นตัวแทนระดับตำบล ขณะนั้นมีผู้มีสิทธิออกเสียงอยู่ทั้งหมด 4,278,231 คน มีผู้ออกไปใช้สิทธิทั้งหมด 1,773,532 คน คิดเป็นร้อยละ 41.5 โดยจังหวัดที่มีผู้ไปใช้สิทธิมากที่สุด คือ จังหวัดเพชรบุรี คิดเป็น ร้อยละ 78.82 และจังหวัดที่มีผู้ออกไปใช้สิทธิน้อยที่สุด คือ จังหวัดแม่ฮ่องสอน คิดเป็นร้อยละ 17.71 (สมบัติ ธำรงธัญวงศ์, 2548, น. 89) ซึ่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้ง ครั้งแรกนี้นั้นได้กลายมาเป็นนักการเมืองที่มีชื่อเสียงและ มีบทบาทในเวลาต่อมา ได้แก่ นายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ นายเลียง ไชยกาล นายโชติ คุ้มพันธ์ เป็นต้น หลังการเลือกตั้ง ได้มีการจัดตั้งคณะรัฐบาลขึ้นมาใหม่ โดยเสียงส่วนใหญ่เลือก พระยาพหลพลพยุหเสนา เป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง (เป็น 151
นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุดรธานี สมัยที่ 2) และถือเป็นคณะรัฐมนตรีคณะที่ 5 ของไทย ซึ่งคณะ รัฐมนตรีคณะนี้ได้สิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2477 ด้วยเหตุที่รัฐบาลได้เสนอญัตติขอให้สภาผู้แทนราษฎรลงมติ เห็นชอบด้วยความตกลงระหว่างประเทศ เรื่องควบคุม การจำกัดยาง แต่สภาฯ ไม่เห็นชอบด้วยกับความตกลงที่รัฐบาล ได้ลงนามไปก่อนหน้านั้น นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีทั้งคณะ จึงกราบถวายบังคมทูลลาออกจากตำแหน่ง (นรนิติ เศรษฐบุตร, 2553) สำหรับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดที่ 1 ของจังหวัด อุดรธานี คือ ขุนรักษาธนากร (กลึง เพาทธทัต) ถือว่าเป็น บุคคลแรกจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมด 69 คนทั้ง จังหวัด นับตั้งแต่อดีต-ปัจจุบัน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 2 (พ.ศ. 2480) การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2480 ถือเป็นการเลือกตั้งครั้งที่ 2 ของประเทศไทย นับตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 เป็นต้นมา การเลอื กตง้ั ครง้ั นถ้ี อื เปน็ การเลอื กตง้ั ครง้ั แรกทเ่ี ปน็ “การเลอื กตง้ั แบบแบ่งเขต” และประชาชนสามารถออกไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ราษฎรได้โดยตรง ซึ่งต่างจากการเลือกตั้งครั้งแรกที่เป็น การเลือกตั้งทางอ้อม สืบเนื่องจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ที่มาจากการเลือกตั้งครั้งแรกนั้นได้พ้นตำแหน่งไปตามวาระ อีกทั้งก่อนหน้านั้นไม่นาน พระยาพหลพลพยุหเสนา ได้ลาออก จากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เนื่องจากการมีกระทู้ถามในสภา ผู้แทนราษฎร ถึงเรื่องการซื้อขายที่ดินของสำนักงานทรัพย์สิน ส่วนพระมหากษัตริย์ แต่ในวันที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2480 ได้มี 152
ข้อมูลการเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรีต่ออีกครั้งหนึ่ง การเลือกตั้งมีขึ้นในวันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2480 โดย มีจำนวน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ทั้งหมด 91 คน มีผู้มีสิทธิ เลือกตั้งทั้งหมด 6,123,239 คน และมีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง จำนวน 2,462,535 คน คิดเป็นร้อยละ 40.22 จังหวัดที่มีผู้ไปใช้ สิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งมากที่สุด คือ นครนายก คิดเป็นร้อยละ 80.50 ส่วนจังหวัดที่น้อยที่สุด คือแม่ฮ่องสอน คิดเป็นร้อยละ 22.24 การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการเลือกตั้งแบบแบ่งเขต โดยถือ เอาจังหวัดหนึ่งๆ เป็นเขตเลือกตั้ง ซึ่งมีผู้แทนราษฎรได้ 1 คนต่อ เขต แต่หากจังหวัดใดมีพลเมืองเกิน 200,000 คน ให้มีเขต เลือกตั้งเพิ่มอีก 1 เขตต่อจำนวนพลเมืองทุก ๆ 200,000 คน ด้วยเหตุนี้บางจังหวัดจึงมีเขตเลือกตั้งได้หลายเขต เช่น กรุงเทพฯ มีอยู่ 3 เขต เป็นที่น่าสังเกตว่าแม้จะเปลี่ยนแปลงวิธีการเลือกตั้ง ที่แตกต่างไปจากครั้งแรก แต่ก็ไม่ได้ทำให้เกิดความสับสนแก่ ประชาชนมากนัก ประชาชนยังคงไปใช้สิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้ง มากถึง ร้อยละ 40.22 นอกจากนี้ยังพบว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ ปราศจากพรรคการเมืองเข้าร่วมการแข่งขัน คณะราษฎร์เอง ซึ่งเป็นกลุ่มที่ผูกขาดอำนาจทางการเมืองอยู่ในขณะนั้น ไมย่ นิ ยอมใหม้ กี ารจดั ตง้ั พรรคการเมอื งขน้ึ และกไ็ มไ่ ดด้ ำเนนิ การ ขยายฐานเข้าไปในหมู่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่หนึ่ง อยา่ งเปน็ กจิ จลกั ษณะ เชน่ การสง่ ผสู้ มคั รเขา้ แขง่ ขนั การเลอื กตง้ั เป็นต้น จึงทำให้ประชาชนเกิดความเข้าใจในความสำคัญของ การเลือกตั้งที่จะมีผลต่อการจัดตั้งรัฐบาล 153
นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุดรธานี หลังการเลือกตั้งแล้ว เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2480 พระยาพหลพลพยุหเสนา ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง (การจัดตั้งรัฐบาลครั้งที่ 5) ซึ่งได้รับความไว้วางใจด้วยคะแนนเสียง 99 ต่อ 19 เสียง คณะรฐั มนตรชี ดุ ใหมข่ น้ึ มารวมทง้ั สน้ิ 18 คน นบั เปน็ คณะรฐั มนตรี คณะที่ 8 และเป็นวาระสุดท้ายของการดำรงตำแหน่งนายกฯ ของพระยาพหลพลพยุหเสนา แม้ว่ารัฐบาลของพระยาพหล- พลพยุหเสนา จะได้รับเสียงข้างมากจากสภาให้เข้าไปบริหาร ประเทศแตก่ ารดำเนนิ งานของรฐั บาลกห็ าไดเ้ ปน็ ไปอยา่ งราบรน่ื ไม่ ในที่สุดก็ต้องทำการยุบสภาหลังจากที่ได้มีการเลือกตั้งมา ยังไม่ครบ 1 ปี การยุบสภาครั้งนี้เนื่องมาจาก นายถวิล อุดล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดร้อยเอ็ดและพรรคพวกได้เสนอ ญัตติเกี่ยวกับการร่างข้อบังคับประชุมสภา เรื่องขอรวมพระสงฆ์ ธรรมยุติกนิกาย และมหานิกายเข้าด้วยกัน และวิธีการเสนอ ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ โดยให้มีการแจ้งรายละเอียดทั้งรายรับ- รายจ่าย เพื่อให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ทราบ เมื่อเดือน กันยายน พ.ศ. 2481 ซึ่งรัฐบาลไม่เห็นด้วยเมื่อมีการลงมติ ผลปรากฏว่ารัฐบาลเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ด้วยคะแนนเสียง 42 ต่อ 40 ประเด็นดังกล่าวเป็นเหตุให้มีการยุบสภา ในวันที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2481 ถือเป็นการยุบสภาฯ เป็นครั้งแรกด้วยนับ ตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองมา เนื่องจากรัฐบาล ไม่สามารถที่จะควบคุมความวุ่นวายในสภาผู้แทนราษฎรได้ ในเหตุการณ์ครั้งนั้นมีการทำร้ายร่างกายสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร คือการจับนายเลียง ไชยกาล สมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรจังหวัดอุบลราชธานี โยนลงสระน้ำหลังอาคารรัฐสภา 154
ข้อมูลการเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (พระที่นั่งอนันตสมาคมในขณะนั้น) รัฐบาลไม่สามารถสอบสวน หาตัวผู้กระทำการมาลงโทษได้ แม้จะรู้กันโดยทั่วไปว่า เป็นการ กระทำของ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 ที่รัฐบาลเป็น ผู้แต่งตั้ง ตลอดจนการโจมตีการทำงานของรัฐบาลอย่างดุเดือด ตรงไปตรงมาของหนังสือพิมพ์หลายฉบับด้วย เกิดความวุ่นวาย ในรัฐสภาจึงต้องมีการยุบสภา สำหรับจังหวัดอุดรธานียังคงมีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรอยู่ 1 คนคอื “นายอว้ น นาครทรรพ” (กรมการปกครอง, ม.ป.ป) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 3 (พ.ศ. 2481) การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2481 ถือเป็นการเลือกตั้งครั้งที่ 3 ของประเทศไทย นับตั้ง แต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 การเลือกตั้งครั้งนี้ เกิดขึ้นในวันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2481 ผลการเลือกตั้ง มีการเลือก สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มาทั้งหมด 91 คน คิดเป็นร้อยละ 49.35 ของสภาฯ โดยมีผู้ออกมาใช้สิทธิร้อยละ 35.05 จังหวัดที่มีผู้ออกมาใช้สิทธิมากที่สุดคือ จังหวัดนครนายก คิดเป็นร้อยละ 67.36 และจังหวัดที่มีผู้ออกมาใช้สิทธิน้อยที่สุด คือ จังหวัดตรัง คิดเป็นร้อยละ 16.28 หลังการเลือกตั้งได้มีการเปลี่ยนแปลงนายกรัฐมนตร ี คนใหม่ ซึ่งพระยาพหลพลพยุหเสนา ได้ประกาศว่าจะไม่ขอรับ ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อ ได้แสดงความเบื่อหน่ายการเมือง จึงเป็นการเปิดทางให้พันเอกหลวงพิบูลสงคราม ได้มีโอกาสเข้า ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2481 155
นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุดรธานี ได้มีการแต่งตั้ง พันเอกหลวงพิบูลสงคราม รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงกลาโหม ในรัฐบาลชุดที่แล้ว เป็นนายกรัฐมนตรี ด้วยการลงนามของคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ (พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา, เจ้าพระยายมราช, เจ้าพระยา พิชเยนทรโยธิน) ในพระปรมาภิไธยของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อานันทมหิดล พันเอกหลวงพิบูลสงครามได้แถลงนโยบายต่อสภา เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ.2481 ซึ่งได้รับความไว้วางใจด้วย มติคะแนน 111 ต่อ 2 ในระยะแรกของการบริหารงานรัฐบาล ได้รับการสนับสนุนจากประชาชน โดยเฉพาะความสำเร็จของ หลวงพิบูลสงคราม ในการระดมมติมหาชนเรียงร้องดินแดน อินโดจีนคืนจากฝรั่งเศส ทำให้ฐานะความเป็นผู้นำของ หลวงพิบูลสงครามมั่นคงมากขึ้น จนหาผู้ท้าทายอำนาจได้ยาก และสามารถเลื่อนยศจาก “พลตรี”เป็น “จอมพล” แต่เมื่อ จอมพล ป. ตัดสินใจเข้าร่วมสงครามญี่ปุ่นเพื่อหลีกเลี่ยงการทำ สงครามกับประเทศญี่ปุ่น ความขัดแย้งในวงการรัฐบาลได้เริ่ม ขึ้น โดยมีการขัดแย้งในเรื่องนี้กับ นายปรีดี พนมยงค์ จนเมื่อ ฝ่ายอักษะมีท่าทีจะแพ้สงคราม เสถียรภาพของรัฐบาลก็เริ่ม สั่นคลอน ประกอบกับในช่วงนี้รัฐบาลได้ประกาศให้มีรัฐนิยม ซึ่งเป็นการ “ปฏิวัติ” ทางวัฒนธรรมและอุปนิสัยคนไทย ทำให้ เกิดความไม่พอใจในตัว จอมพล ป. มากขึ้น ดังนั้น เมื่อจอมพล ป. มีนโยบายย้ายเมืองหลวงจากกรุงเทพไปอยู่เพชรบูรณ์จึงได้ รับการคัดค้านอย่างกว้างขวาง และสภาผู้แทนราษฎรมีมิต ิ ไม่ผ่านราชกำหนดนครบาลเพชรบูรณ์ ด้วยคะแนน 43 ต่อ 41 คะแนน (สถาบันพระปกเกล้า, 2558) 156
ข้อมูลการเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จอมพล ป. พิบูลสงคราม ตัดสินใจนำคณะรัฐมนตรี ลาออก เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2487 ต่อมานายควง อภัยวงศ์ ได้รับการเสนอชื่อให้เป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2487 เมื่อนายควง อภัยวงศ์ ได้เข้ามาบริหาร ประเทศก็ได้ยืดอายุสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรออกไปอีก 2 ปี อ้างว่าประเทศอยู่ในภาวะสงครามไม่เหมาะสมที่จะเลือกตั้ง นับเป็นการยืดอายุสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่ 2 ครั้งแรก เกิดขึ้นเมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2485 สมัยรัฐบาลของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม สำหรับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในชุดที่ 3 ของจังหวัด อุดรธานี นี้ยังมี 1 คนเช่นเดิม คือ ร้อยโทขุนสร ไกรพิศิษฐ (ประจวบ มหาขันธ์) (สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, 2548, น. 13) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ชุดท่ี 4 (พ.ศ. 2489) การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป มกราคม พ.ศ. 2489 นับเป็นการเลือกตั้งในประเทศไทยเป็น ครั้งที่ 4 การเลือกตั้งครั้งนี้ ถือเป็นครั้งหนึ่งที่สำคัญ เนื่องจาก เป็นการเลือกตั้งครั้งแรกหลังสงครามมหาเอเชียบูรพา หรือ สงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลงสืบเนื่องจาก หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช นายกรัฐมนตรีได้ตราพระราชกฤษฎีกายุบสภา ผู้แทนราษฎรขึ้น เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ.2488 เนื่องด้วย สภาผู้แทนราษฎรชุดนี้มีอายุยาวนานมากพอสมควรแล้ว เนื่องจากไม่มีการเลือกตั้งเพราะอยู่ในสภาวะสงคราม โดย กำหนดให้มีการเลือกตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2489 157
นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุดรธานี โดย ม.ร.ว.เสนีย์ รักษาการนายกรัฐมนตรีอยู่จนกระทั่งถึงวันที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2489 ซึ่งการเลือกตั้งครั้งนี้มีจำนวนสมาชิก ผู้ได้รับเลือกเป็นจำนวน 96 คน การเลือกตั้งครั้งนี้กำหนดตาม รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475 กำหนด ให้มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้ 2 ประเภท คือ 1) สมาชิก สภาผู้แทนราษฎรตามที่ประชาชนทั่วไปเลือก 2) สมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรที่พระมหากษัตริย์ทรงเลือก โดยประชาชนเลือกได้ เขตละหนึ่งคน และจำกัดจำนวนประชากรที่ 200,000 คนต่อ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหนึ่งคน จากผลการเลือกตั้งพบว่า จำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ทั้งหมด 6,431,827 คน มีผู้มาใช้สิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง จำนวน 2,091,788 คน คิดเป็นร้อยละ 32.52 ของจำนวนผู้มีสิทธิ เลือกตั้งทั้งหมด จังหวัดที่มีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งมากที่สุดคือ จังหวัดบุรีรัมย์ คิดเป็นร้อยละ 54.65 และจังหวัดที่มีผู้มาใช้สิทธิ เลือกตั้งน้อยที่สุดคือ จังหวัดสุพรรณบุรี คิดเป็นร้อยละ 13.40 เ ห ต ุ ก า ร ณ ์ ท ี ่ น ่ า ส น ใ จ ข อ ง ก า ร เ ล ื อ ก ต ั ้ ง ค ร ั ้ ง น ี ้ ค ื อ การรณรงค์หาเสียงแข่งขันในจังหวัดพระนคร ระหว่าง นายควง อภัยวงศ์ นายกรัฐมนตรีช่วงสงครามกับนายวิลาศ โอสถานนท์ ซึ่งการแข่งขันของทั้งคู่เต็มไปด้วยสีสันและผู้คนให้ความสนใจ มาก ด้วยความที่เคยเป็นคณะราษฎรสายพลเรือน ที่ทำการ เปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ พ.ศ. 2475 มาด้วยกัน และได้รับ ยศ พันตรี (พ.ต.) สังกัดทหารสื่อสาร ในฐานะราชองครักษ์ ในช่วงสงครามอินโดจีนมาพร้อมกัน โดยนายควงใช้คำขวัญที่ ว่า “เหล็กวิลาศหรือจะสู้ตะปูควง” ผลการเลือกตั้งปรากฏว่า 158
ข้อมูลการเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นายควง อภัยวงศ์ ชนะเลือกตั้งไปด้วยคะแนนถล่มทลาย อีกทั้ง ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช รักษาการนายกรัฐมนตรีก็ได้ลงรับเลือกตั้ง เป็นครั้งแรก และได้รับเลือกตั้งด้วย หลังจากนี้ได้มีการโหวตกัน ในรัฐสภา ปรากฏว่าเสียงส่วนใหญ่เลือก นายควง อภัยวงศ์ เป็นนายกรัฐมนตรี นับเป็นสมัยที่ 2 ของนายควง ในการดำรง ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี นับเป็นคณะรัฐมนตรีคณะที่ 14 แต่ว่า คณะรัฐมนตรีคณะนี้มีอายุอยู่ได้เพียงเดือนเศษ ก็ต้องสิ้นสุดลง เนื่องจากการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองค่าใช้จ่าย ของประชาชนในภาวะคับขัน พ.ศ. 2489 หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ “พ.ร.บ.ปักป้ายข้าวเหนียว” ที่ นายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ สมาชิก สภาผู้แทนราษฎรจังหวัดอุบลราชธานี พรรคสหชีพ เป็นผู้เสนอ คณะรัฐมนตรีได้แถลงให้สภาฯ ทราบแล้วว่า คณะรัฐมนตร ี ไม่สามารถปฏิบัติตามร่างพระราชบัญญัติฯ นั้นได้ เพราะเกรง จะเป็นการเดือดร้อนแก่ประชาชนทั่วไป เนื่องด้วยไม่มีมาตรการ อะไรมารองรับ แต่สภาฯ ได้ลงมติรับหลักการด้วยคะแนนเสียง 65 ต่อ 63 รัฐมนตรีทั้งคณะจึงได้กราบถวายบังคมฯ ลาออกจาก ตำแหน่ง ตั้งแต่วันที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2489 ซึ่งสมาชิกคณะ รัฐมนตรีคณะนี้ส่วนหนึ่งได้ร่วมกันก่อตั้งพรรคประชาธิปัตย์ขึ้น มาในภายหลัง (มานิตย์ จุมปา, 2550, น. 97-98.) สำหรับการเลือกตั้งในจังหวัดอุดรธานีครั้งนี้มีจำนวน ผู้สมัครรับเลือกตั้งได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร จำนวน 2 คน ดังต่อไปนี้ 1. นายอ้วน นาครทรรพ 2. นายสวน พรหมประกาย 159
นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุดรธานี การเลือกต้ังเพิ่มเติม (สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดที่ 4) เนื่องจากในช่วงนี้ได้มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง คือ การแกไ้ ขรฐั ธรรมนญู มกี ารยกเลกิ รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั ร สยามที่ใช้มาตั้งแต่ พ.ศ. 2475 และใช้ฉบับใหม่ เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2489 แทน การรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้ถือว่า เป็นความพยายามของนายปรีดี ในการเสริมฐานอำนาจของตน ในรัฐสภาให้มั่นคงยิ่งขึ้น รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2489 นี้ยกเลิก สมาชิกประเภทที่ 2 โดยให้มีสมาชิกวุฒิสภาแทน ซึ่งส่วนใหญ่ เป็นพวกของนายปรีดี ส่วนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 1 ที่อยู่ในตำแหน่งก่อนหน้ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ให้มีอยู่ต่อไป โดยเพิ่มอีก 82 คน ซึ่งรวมกับที่มีอยู่เดิม 96 คน เป็นทั้งหมด 178 คน นอกจากนี้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ยังให้มีการรวมกลุ่ม ทางการเมอื ง จดั ตง้ั พรรคการเมอื งขน้ึ แตย่ งั ไมม่ พี ระราชบญั ญตั ิ พรรคการเมืองรองรับพรรคการเมืองที่จัดตั้งขึ้น จึงเป็นเรื่องของ การรวมตัวในหมู่สมาชิกที่สำคัญคือ พรรคแนวรัฐธรรมนูญ และ พรรคสหชีพ ทั้ง 2 พรรคนี้ต่างสนับสนุนนายปรีดี ส่วนอีกพรรค หนึ่งคือ พรรคประชาธิปัตย์ มีนายควง อภัยวงศ์ เป็นหัวหน้า พรรค ซึ่งเป็นพรรคที่คัดค้านนายปรีดี ดังนั้นในการเลือกตั้ง 5 สิงหาคม พ.ศ. 2489 จึงเป็น การเลือกตั้งที่มีพรรคการเมืองส่งผู้สมัครเข้าแข่งขันเป็นครั้งแรก แต่ยังไม่มีบทบาทกว้างขวาง และมีการแข่งขันระหว่างพรรค ก็ยังไม่มีความเข้มข้นเท่าที่ควร ผลการเลือกตั้งเพิ่มเติมครั้งนี้ ปรากฏว่า จากจำนวนผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้ง 5,819,662 คน มีผู้ไปใช้สิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้ง 2,026,823 คน คิดเป็นร้อยละ 160
ข้อมูลการเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 34.83 จังหวัดที่มีผู้ไปใช้สิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งมากที่สุด คือ จังหวัดสกลนคร มีผู้ไปใช้สิทธิร้อยละ 57.49 จังหวัดที่น้อยที่สุด คือ จังหวัดนราธิวาส คิดเป็นร้อยละ 16.62 และผลการเลือกตั้ง ปรากฏว่าพรรคประชาธิปัตย์ได้รับเลือกมากที่สุด คือ 15 คน (กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย, 2545) การเลือกตั้งเพิ่มเติมนี้ไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของ รัฐบาล นายปรีดี พนมยงค์ ยังคงเป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป แต่อยู่ในตำแหน่งได้ไม่นานก็ต้องลาออก เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2489 เนื่องมาจากปัญหาหลายอย่าง คือ ภาวะเศรษฐกิจ ตกต่ำ และกรณีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล (ร.8) ไดส้ วรรคตดว้ ยพระแสงปนื เมอ่ื วนั ท่ี 9 มถิ นุ ายน พ.ศ. 2489 ปัญหาเหล่านี้ทำให้รัฐบาลนายปรีดี ตกที่นั่งลำบาก พรรค ประชาธิปัตย์ได้โจมตีเรื่องนี้อย่างรุนแรง นายปรีดี พนมยงค์ แก้ปัญหาด้วยการลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2489 แต่สภาก็ได้สนับสนุนให้นายปรีดี พนมยงค์ เป็นนายกอีกครั้งในวันเดียวกันนั้นเอง อย่างไรก็ตาม ฐานะของรัฐบาลนายปรีดี ได้ตกต่ำลงอีกครั้งอย่างรวดเร็ว เนื่องจากมีการโจมตีตลอดเวลาว่านายปรีดี พยมยงค์ มีส่วนใน กรณีสวรรคต ทำให้นายปรีดี พนมยงค์ ต้องลาออกอีกครั้ง เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2489 เพื่อลดความตึงเครียด ทางการเมือง และให้ พล.ร.ต. ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ เป็น นายกรัฐมนตรีแทน โดยที่นายปรีดี ยังคงเป็นผู้คุมอำนาจอยู่ เบื้องหลัง 161
นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุดรธานี รัฐบาลของ พล.ร.ต. ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ ถือเป็น พรรคพวกเดิมกับรัฐบาลนายปรีดี ดังนั้นพรรคประชาธิปัตย์ จึงได้ดำเนินการคัดค้านรัฐบาลชุดนี้อย่างรุนแรงโดยยกเอากรณี การสวรรคตของพระบาทสมเด็จอานันทมหิดล ขึ้นมาเป็น ประเด็นโจมตี รัฐบาลไม่สามารถอธิบายให้ประชาชนหาย ข้อข้องใจได้ ทำให้ความชอบธรรมของรัฐบาลลดลง รวมทั้ง ฐานะทางการเมืองของนายปรีดีก็ลดต่ำลงเรื่อยๆ พรรคฝ่ายค้าน ได้ดำเนินการเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาล จนรัฐบาลจำต้องลาออกในวันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2490 เพื่อ ให้มีการปรับปรุงคณะรัฐมนตรีใหม่ พล.ร.ต.ถวัลย์ ธำรงนาวา สวัสดิ์ ได้รับเลือกจากรัฐสภาให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี อีกครั้งหนึ่ง แต่รัฐบาลชุดใหม่ไม่สามารถแก้ไขวิกฤติการณ ์ ต่างๆ ได้ คณะทหารโดยมี พลตรีผิน ชุณหวัณ และพันเอกกาจ กาจสงคราม ได้เข้าทำการรัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาล เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 (สุขุม นวลสุกุล และคณะ. 2523:106-108.) ผลของรัฐประหารครั้งนี้ทำให้อิทธิพลของนายปรีดี และ พรรคพวกสลายตัวลง จอมพล ป. พิบูลสงคราม กลับเข้ามามี บทบาท รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2489 ได้ถูก ยกเลิก และได้มีการประกาศใช้ รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2490 ซึ่งเป็นฉบับชั่วคราว คณะรัฐประหารมีจุดประสงค์ที่จะไม่เข้ามา มีบทบาททางการเมืองในระยะแรก จึงได้แต่งตั้งให้นายควง อภัยวงศ์ เป็นนายกรัฐมนตรีไปพลางๆ ก่อน รัฐธรรมนูญได้ กำหนดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปภายใน 90 วัน นับตั้งแต่ประกาศ ใช้รัฐธรรมนูญ 162
ข้อมูลการเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สำหรับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดอุดรที่ได้รับ การเลือกตั้งเพิ่มเติมครั้งนี้ คือ นายบุญคุ้ม จันทร-ศรีสุริยวงศ์ ไม่ได้สังกัดพรรคการเมือง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ชุดท่ี 5 (พ.ศ. 2491) เป็นการเลือกตั้งทั่วไปในประเทศไทย ครั้งที่ 6 และถือว่า เป็นการเลือกตั้งแบบรวมเขตครั้งแรกสืบเนื่องจากการที่มี การรัฐประหารขึ้นในวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 และทาง คณะรัฐประหารให้แต่งตั้งให้ นายควง อภัยวงศ์ หัวหน้าพรรค ประชาธิปัตย์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยการเลือกตั้ง กำหนดมีขึ้นในวันพฤหัสบดีที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2491 ตาม บทบัญญัติในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490 ผลการเลือกตั้งในระดับประเทศ ปรากฏว่า พรรค ประชาธิปัตย์ ได้รับคะแนนมากที่สุดเป็นลำดับที่หนึ่ง โดยได้ ทั้งสิ้น 53 ที่นั่ง ได้แกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล โดย นายควง อภัยวงศ์ ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ดำรง ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2491 นับเป็นการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นครั้งที่ 4 และต่อมา ก็ได้มีการโปรดเกล้าฯ คณะรัฐมนตรีขึ้นในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2491 นับเป็นคณะรัฐมนตรีคณะที่ 20 มีจำนวนทั้งสิ้น 24 คน และต่อมาคณะรัฐมนตรีได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา ในวันที่ 1 มีนาคม ถึงวันที่ 5 มีนาคม นับเป็นเวลาถึง 5 วัน นับว่ามากที่สุดเป็นประวัติการณ์ (ณัฐวุฒิ สุทธิสงคราม, 2524, น. 157) 163
นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุดรธานี มีผู้สิทธิ์ออกเสียงทั้งหมด 7,176,891 คน ผู้ออกไปใช้สิทธิ์ เลือกตั้ง 2,117,464 คิดเป็นร้อยละ 29.50 จังหวัดระนองเป็น จังหวัดที่มีผู้ออกไปใช้สิทธิมากที่สุด คือ ร้อยละ 58.69 ส่วนจังหวัดสมุทรปราการนั้นมีผู้มาลงคะแนนเสียงน้อยที่สุด คือ ร้อยละ 15.68 สำหรับจังหวัดลำปางไม่มีการเลือกตั้ง เพราะมี ผู้สมัคร 2 คน ตามจำนวนที่ต้องการพอดี (กรมการปกครอง) แต่การเลือกตั้งครั้งนี้นับว่ามีผู้ออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งน้อย ซึ่งก่อนหน้านั้นได้มีการแพร่ข่าวลือไปทั่ว โดยเฉพาะในพื้นที่ กรุงเทพมหานครว่า จะมีการขว้างปาระเบิดใส่คูหาเลือกตั้ง อีกทั้งในพื้นที่ภาคใต้ นายบรรจง ศรีจรูญ สมาชิกพฤฒิสภา และประธานสันนิบาตไทยอิสลามกล่าวว่า ชาวมุสลิมในจังหวัด ชายแดนภาคใต้ตอนล่าง ได้แก่ ยะลา สตูล ปัตตานี และ นราธิวาส ซึ่งมีจำนวนประมาณ 700,000 คนได้คว่ำบาตร การเลือกตั้งครั้งนี้เหตุเพราะไม่พอใจการทำงานของรัฐบาล ที่ผ่านมา (ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, 2555) การเลือกตั้งครั้งนี้สมาชิก พรรคประชาธิปัตย์ได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จำนวนมากกว่าพรรคการเมืองอื่นๆ พรรคประชาธิปัตย์จึงมี โอกาสจัดตั้งรัฐบาล เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2491 โดยมี นายควง อภัยวงศ์เป็นนายกรัฐมนตรี มีรัฐมนตรีร่วมคณะ 24 คน ต่อมา ในวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2491 คณะรัฐประหาร (เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ.2490) ก็ได้ทำการบีบบังคับให ้ นายควง อภัยวงศ์ ลาออกจากตำแหน่งโดยอ้างเหตุผล ทางเศรษฐกิจว่ารัฐบาลไม่สามารถแก้ปัญหาได้ทันท่วงที และ ปลายเดือนเดียวกันนั้นก็ได้มีมติให้จอมพล ป. พิบูลสงคราม 164
ข้อมูลการเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นายกรัฐมนตรีในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ขึ้นดำรงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรีสืบแทน สำหรับการเลือกตั้งในจังหวัดอุดรธานีครั้งนี้มีจำนวน ผู้สมัครรับเลือกตั้งได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้ แทนราษฎร จำนวน 2 คน ดังนี้ 1) นายสวน พรหมประกาย 2) นายบญุ คุ้ม จนั ทร-ศรสี ุริยวงศ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 6 (การเลือกตั้งเพ่ิมเติม พ.ศ. 2492) รัฐบาลของจอมพล ป. ได้ดำเนินการร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับถาวรขึ้นเสนอต่อรัฐสภาได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2492 แทนรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2490 ให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มีอยู่แล้วดำรงตำแหน่งต่อไป แต่ให้มีการเลือกตั้งเพิ่มเติม การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2492 นับเป็นการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 7 ของประเทศไทย มีขึ้นในวันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2492 เป็นการเลือกตั้งสมาชิก ส ภ า ผู ้ แ ท น ร า ษ ฎ ร เ พ ิ ่ ม เ ต ิ ม ต า ม จ ำ น ว น พ ล เ ม ื อ ง ต า ม บ ท เ ฉ พ า ะ ก า ล ข อ ง ร ั ฐ ธ ร ร ม นู ญ แ ห ่ ง ร า ช อ า ณ า จ ั ก ร ไ ท ย พ.ศ. 2492 เป็นการเลือกตั้งทางตรง โดยวิธีรวมเขตเรียงเบอร์ โดยถือเอาจังหวัดหนึ่งเป็นเขตเลือกตั้งหนึ่ง จำนวนผู้แทน ราษฎรในแต่ละจังหวัดคิดคำนวณโดยถือจำนวนประชาชน 150,000 คนต่อผู้แทนราษฎร 1 คน เนื่องจากการเลือกตั้ง 165
นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุดรธานี ในครั้งนี้เป็นการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพิ่มเติม จึงมี การจัดการเลือกตั้งเฉพาะใน 19 จังหวัด ทำให้ได้สมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรเพิ่มขึ้นมาอีก 21 คน จากที่มีอยู่เดิม 99 คน ผลการเลือกตั้งพบว่า จากจำนวนผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียง เลือกตั้งทั้งหมด 3,518,276 คน มีผู้มาใช้สิทธิทั้งสิ้น 870,208 คน คิดเป็นร้อยละ 24.27 จังหวัดที่มีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งมากที่สุด คือ จังหวัดสกลนคร คิดเป็นร้อยละ 45.12 และจังหวัดมีผู้มาใช้ สิทธิเลือกตั้งน้อยที่สุด คือ จังหวัดอุดรธานี คิดเป็น ร้อยละ 12.02 ภายหลังการเลือกตั้งเพิ่ม พ.ศ. 2492 พรรคประชาธิปัตย์ ยังทำตัวเป็นฝ่ายค้านที่เข้มแข็งอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งเกิด วิกฤติการณ์ทางการเมืองขึ้นเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2494 ทหารเรอื จำนวนหนง่ึ กอ่ การกบฏจบั ตวั จอมพล ป. เปน็ ตวั ประกนั กบฏครั้งนี้รู้จักกันในนาม“กบฏแมนแฮตตัน” รัฐบาลได้ถือ โอกาสนี้ปราบปราม และทำลายกำลังอำนาจทหารเรืออย่าง รุนแรง เนื่องจากฝ่ายทหารเรือได้ทำตัวเป็นกลุ่มทางการเมือง ที่ไม่ขึ้นกับคณะรัฐประหารมาตลอด และมีส่วนหนึ่งที่สนับสนุน นายปรีดี รัฐสภาซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ยังมีอิทธิพลอยู่ไม่น้อย ได้อภิปรายโจมตีรัฐบาลอย่างกว้างขวาง ว่าการปราบปราม ครั้งนี้เกินกว่าเหตุ อันแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลไม่ได้มีอำนาจ เหนือสภาอย่างแท้จริง ดังนั้นจอมพล ป. พิบูลสงครามกับ คณะทหารจึงไดท้ ำการรฐั ประหารเงียบเมื่อวันที่ 29 พฤศจกิ ายน พ.ศ. 2494 เพื่อยกเลิกสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้ รวมทั้งยกเลิก รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2492 ด้วย และได้ประการใช้รัฐธรรมนูญ แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พ.ศ. 2475 แกไ้ ขเพม่ิ เตมิ พ.ศ. 2495 แทน 166
ข้อมูลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เป็นการหันกลับไปใช้ระบบสภาเดียวที่มีสมาชิก 2 ประเภทคือ ประเภทที่ 1 เลือกตั้งโดยประชาชน และประเภทที่ 2 แต่งตั้ง โดยรัฐบาล ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้ทหารกลุ่มคณะรัฐประหาร ได้เข้ามาเป็นสมาชิกรัฐสภาด้วย สำหรับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดอุดรที่ได้รับ การเลือกตั้งครั้งนี้ คือ นายทิม จันสร โดยยังไม่ได้สังกัด พรรคการเมือง (โคทม อารียา, 2544) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ชุดท่ี 7 (พ.ศ. 2495) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดที่ 7 เป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรของประเทศไทย มีจำนวนสมาชิกทั้งสิ้น 246 คน โดยมาจากการเลือกตั้งแบบประเภทที่ 1 ซึ่งแบ่งเขตทั้งหมด 123 คน และแบบประเภทที่ 2 ซึ่งเป็นการแต่งตั้ง 123 คน จาก การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2495 การเลอื กตง้ั ครง้ั นเ้ี ปน็ การเลอื กตง้ั ทางตรง แบบรวมเขต ถือเกณฑ์ราษฎร 200,000 คนต่อผู้แทนราษฎร 1 คน ได้สมาชิก สภาผู้แทนราษฎร จำนวน 123 คน การเลือกตั้งทั่วประเทศปรากฏว่า ในจำนวนผู้มีสิทธิ์ เลือกตั้ง 7,602,591 คน มีผู้ไปใช้สิทธิออกเสียงเลือกตั้ง 29,61,291 คน คิดเป็นร้อยละ 38.76 จังหวัดที่ไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง มากที่สุดคือ จังหวัดสระบุรี คิดเป็นร้อยละ 77.78 จังหวัดที่มี ผู้ไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งน้อยที่สุด คือ พระนคร คิดเป็นร้อยละ 23.30 และจังหวัดระยองไม่มีการเลือกตั้งเพราะมีผู้สมัครเพียงคนเดียว พรรคประชาธิปัตย์ได้ประท้วงการรัฐประหารและการเลือกตั้ง ครั้งนี้โดยไม่ส่งผู้สมัครลงแข่งขัน จึงมีแต่กลุ่มสหพรรคของ 167
นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุดรธานี รัฐบาลและผู้สมัครอิสระ ความสนใจของประชาชนในเรื่อง การเลือกตั้ง ยังคงสนใจตัวบุคคล เนื่องจากยังไม่มีการจัดให้มี ระบบพรรคที่เข้มแข็ง (สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, 2549, น. 45) จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น นายกรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่งภายหลังการเลือกตั้ง รัฐบาลประสบ ปัญหาจากการแตกแยกภายในของคณะรัฐประหารคือ การขัดแย้งกันระหว่างจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ผู้บัญชาการ ทหารบก กับ พล.ต.อ. เผ่า ศรียานนท์ อธิบดีกรมตำรวจ เป็นผล ให้ฐานอำนาจของจอมพล ป. ซึ่งไม่มั่นคงอยู่แล้วสั่นคลอน มากขึ้น จอมพล ป. จึงตัดสินใจตั้ง “พรรคเสรีมนังคศิลา” ขึ้น โดยหวังใช้พรรคและประชาชนเป็นฐานอำนาจทางการเมือง ต่อไป สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้สิ้นสุดตามวาระเนื่องจาก สมาชิกประเภทที่ 1 สิ้นสุดสมาชิกภาพลง ซึ่งดำรงตำแหน่งเมื่อ วันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2495 - 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500 สำหรับการเลือกตั้งในจังหวัดอุดรธานีครั้งนี้มีจำนวน ผู้สมัครรับเลือกตั้งได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้ แทนราษฎร (มีเขตเดียวพื้นที่ทั่วทั้งจังหวัด) จำนวน 3 คน ดังต่อ ไปนี้ 1. หลวงววิ ิธสรุ การ 2. นายบญุ คมุ้ จนั ทรศรีสุรยิ วงศ ์ 3. นายสวน พรมหประกาย 168
ข้อมูลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 8 (พ.ศ. 2500) สืบเนื่องมาจากการยึดอำนาจปกครองเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2495 และใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราว เมื่อได้มี การประกาศใช้รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2475 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2495 แล้วจึงได้กำหนดให้มีการเลือกตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500 มีความสำคัญต่อการเมืองไทย คือ เป็นการเลือกที่มีพรรคการเมืองซึ่งจัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย พรรคการเมือง พ.ศ. 2498 มีผู้สมัครเข้ารับเลือกตั้งจำนวนมาก ถึง 23 พรรค แต่ได้รับเลือกตั้งเข้าในสภาเพียง 8 พรรคเท่านั้น นับว่าเป็นการเลือกตั้งที่มีการแข่งขันระหว่างพรรคการเมือง อย่างจริงจังกว่าครั้งก่อนหน้านี้ พรรคเสรีมนังคศิลาได้ส่ง ผสู้ มคั รรบั เลอื กเขา้ แขง่ ขนั มากทส่ี ดุ หวั หนา้ พรรคคอื จอมพล ป. ก็ได้ลงสมัครรับเลือกตั้งด้วย พรรครัฐบาลได้ให้ความสำคัญ การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นอย่างมาก มีการรณรงค์หาเสียงอย่าง จริงจัง ให้ได้รับเลือกมากที่สุด เพื่อจะได้เป็นรัฐบาลต่อไป การแข่งขันมีการระดมให้ประชาชนไปลงคะแนนเสียงอย่าง กว้างขวาง จนกระทั่งเป็นการเลือกตั้งที่มีผู้ไปมากที่สุดครั้งหนึ่ง ในขณะเดียวกันก็เป็นการเลือกตั้งที่มีการประท้วงอย่างรุนแรง ว่ามีการคดโกงมากที่สุดครั้งหนึ่งเช่นกัน การเลือกตั้งครั้งนี้ มีจำนวนสมาชิกทั้งสิ้น 283 คน โดยมาจากการเลือกตั้งแบบ ประเภทที่ 1 ซึ่งแบ่งเขตทั้งหมด 160 คน และแบบประเภทที่ 2 ซึ่งเป็นการแต่งตั้ง 123 คน เป็นการเลือกตั้งทางตรงแบบ รวมเขต ถือเกณฑ์ราษฎร 150,000 คน ต่อผู้แทนราษฎร 1 คน ได้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จำนวน 160 คน 169
นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุดรธานี สำหรับผลการเลือกตั้งทั่วประเทศมีผู้มีสิทธิ์ออกเสียง เลือกตั้ง 9,859,039 คน ไปใช้สิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้ง 5,668,566 คน คิดเป็นร้อยละ 57.40 จังหวัดที่มีผู้ไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง มากที่สุด คือ จังหวัดสระบุรี คิดเป็นร้อยละ 93.30 และจังหวัด ที่น้อยที่สุดคือ จังหวัดสุพรรณบุรี คิดเป็นร้อยละ 42.46 พรรค เสรีมนังคศิลาของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้รับการเลือกตั้ง มากที่สุด คือ 86 ที่นั่ง พรรคประชาธิปัตย์ได้ 30 ที่นั่ง จาก ทั้งหมด 160 ที่นั่ง นอกจากนี้ก็เป็นผู้สมัครพรรคอื่นๆ อีก 6 พรรคการเมือง และผู้สมัครอิสระ จอมพล ป.พิบูลสงคราม ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกวาระหนึ่ง (นับว่า เป็นครั้งที่ 6) โดยมีคณะรัฐมนตรีร่วมรัฐบาล 28 คน และ สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้สิ้นสุดโดย จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เข้ายึดอำนาจการปกครองประเทศ เมื่อวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2500 สำหรับการเลือกตั้งในจังหวัดอุดรธานีครั้งนี้มีจำนวน ผู้สมัครรับเลือกตั้งได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร (มีเขตเดียวพื้นที่ทั่วทั้งจังหวัด) จำนวน 4 คน ดังต่อไปนี้ 1. นายญวง เอ่ยี มศลิ า สงั กดั พรรคเสรปี ระชาธิปไตย 2. นายเกษม ปทมุ เวียง สงั กัดพรรคเสรปี ระชาธิปไตย 3. นายบญุ คมุ้ จันทรศรีสรุ ิยวงศ์ สงั กัดพรรคเสรปี ระชาธปิ ไตย 170
ข้อมูลการเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 4. นายพิมพ์ มหาพนิ ิจ สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 9 (พ.ศ. 2500) การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป ธันวาคม พ.ศ. 2500 นับเป็นการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 10 ของ ประเทศไทย สืบเนื่องมาจากการที่ จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้ทำการรัฐประหารรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม ขึ้นในวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2500 และได้แต่งตั้งให้ นายพจน์ สารสิน ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นไป ตามบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. 2475 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2495 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญที่ใช้กันในเวลานั้น โดยกำหนดให้มีขึ้นในวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2500 การเลือกตั้ง ครั้งนี้เป็นการเลือกตั้งทางตรงแบบรวมเขต ซึ่งเป็นระบบและ วิธีการเดียวกับการเลือกตั้งทั่วไป ครั้งที่ 6 และ 7 มีสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรได้ 160 คน มีจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งสิ้น 9,917,417 คน มีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง 4,370,789 คน (คิดเป็น ร้อยละ 44.07) จังหวัดที่มีผู้มาใช้สิทธิมากที่สุด คือ ระนอง (คิดเป็นร้อยละ 73.30) และน้อยที่สุดคือ อุดรธานี (คิดเป็น ร้อยละ 29.92) (สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, 2549, น. 46) สำหรับผลการเลือกตั้งระดับประเทศ ปรากฏว่าพรรค สหภูมิ เป็นพรรคที่ได้รับคะแนนมากที่สุดโดยได้จำนวนสมาชิก สภาผู้แทนราษฎร (สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร) จำนวน 45 ที่นั่ง จากจำนวนเสียงทั้งหมดในสภาผู้แทนราษฎร 159 ที่นั่ง ขณะที่ 171
นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุดรธานี พรรคประชาธิปัตย์ได้รับเลือกมาเป็นลำดับที่สองได้จำนวน 39 ที่นั่ง แต่ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ทั้งจังหวัดพระนครและ จังหวัดธนบุรี อันเป็นเมืองหลวง ทางพรรคได้ใช้ผู้สมัครชุดเดิม จากการเลือกตั้งเมื่อครั้งที่แล้ว ซึ่งได้เพียง 2 ที่นั่ง ครั้งนี ้ ได้มากถึง 11 ที่นั่ง นับว่ามากที่สุด และทางพรรคชาติสังคม ที่ตั้งขึ้นมาของจอมพล สฤษดิ์ หัวหน้าคณะปฏิวัติ ก็ได้รับ เลือกตั้งมาด้วยจำนวน 9 ที่นั่ง โดยภาพรวมการเลือกตั้งครั้งนี้ มีผู้ออกมาใช้สิทธิคิดเป็นร้อยละ 30 ซึ่งถือว่าน้อยมาก (ณัฐวุฒิ สุทธิสงคราม, 2524) การจัดตั้งรัฐบาล จอมพลสฤษดิ์ ได้แนะนำให้ พลโท ถนอม กิตติขจร รองหัวหน้าพรรคพรรคชาติสังคม ร่วมกับพรรค การเมืองอื่นๆ จัดตั้งรัฐบาลขึ้นมา โดยพลโทถนอม ได้รับ พระบรมราชโองการโปรดเกลา้ ฯ ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เป็นครั้งแรก ในวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2501 โดยมีบุคคลสำคัญ บางคนที่ได้รับตำแหน่งในรัฐบาลชุดนี้ ได้แก่ พลโทประภาส จารุเสถียร เป็นรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวง มหาดไทย และพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรรณไวทยากร กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการต่างประเทศ (ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, 2555) ขณะที่ทางพรรคประชาธิปัตย์ได้ทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้าน ต่อมาในวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501 จอมพล สฤษดิ์ ก็ได้ ทำการรัฐประหารอีกครั้งโดยประกาศให้ยกเลิกพรรคการเมือง ทั้งหมด, ยกเลิกรัฐธรรมนูญ และยกเลิกรัฐสภา พร้อมกับขึ้น ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแทน 172
ข้อมูลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สำหรับการเลือกตั้งในจังหวัดอุดรธานีครั้งนี้มีจำนวน ผู้สมัครรับเลือกตั้งได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร (มีเขตเดียวพื้นที่ทั่วทั้งจังหวัด) จำนวน 4 คน ดังต่อไปนี้ 1. นายญวง เอีย่ มศลิ า สงั กัดพรรคเสรีประชาธิปไตย 2. นายศรี สงคราม สงั กัดพรรคประชาธปิ ตั ย์ 3. นายบญุ ค้มุ จันทรศรีสุริยวงศ์ สงั กดั พรรคเสรปี ระชาธปิ ไตย 4. นายวรพจน์ วงศ์สง่า สงั กดั พรรคสหภูม ิ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 10 (พ.ศ. 2512) การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2512 นับเป็นการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของ ประเทศไทย เป็นครั้งที่ 11 สืบเนื่องมาจากการที่จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้กระทำการรัฐประหารขึ้นในวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501 ได้ประกาศให้รัฐธรรมนญู รัฐสภาและพรรคการเมือง ต่างๆ เป็นอันสิ้นสุดลง ต่อมาในวันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2502 ได้มีการประกาศ ใช้รัฐธรรมนูญการปกครองชั่วคราว บัญญัติให้สมาชิกสภา ร่างรัฐธรรมนูญ (โดยมีขึ้นเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2502) แต่งตั้งโดยรัฐบาลให้มีฐานะเป็นรัฐสภา ทำหน้าที่นิติบัญญัติ 173
นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุดรธานี นอกจากนี้มาตรา 17 ซึ่งบัญญัติให้นายกรัฐมนตรีใช้อำนาจ โดยมติคณะรัฐมนตรีอย่างกว้างขวาง ระบบการเมืองแบบนี้ ได้ใช้มาจนถึงสมัยที่จอมพลถนอม กิตติขจร เข้ารับตำแหน่ง นายกรัฐมนตรีแทนจอมพลสฤษดิ์ (ที่ถึงแก่อนิจกรรมในปี 2506) สภาร่างรัฐธรรมนูญ โดยมีนายทวี บุณยเกตุ เป็นประธานสภา ร่างรัฐธรรมนูญ ใช้เวลาในการร่างรัฐธรรมนูญจนแล้วเสร็จและ นำขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2511 ในช่วงยุคนี้ จอมพลถนอม กิตติขจร ยังเป็นนายกรัฐมนตรี และได้มีรัฐพิธีพระราชทาน รัฐธรรมนูญในวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2511 นอกจากนั้น ยังได้ มีการประกาศใช้กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญอีก 2 ฉบับ คือ พระราชบัญญัติพรรคการเมือง พ.ศ. 2511 และพระราชบัญญัติ เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทน พ.ศ. 2511 จากนั้นรัฐบาล ได้ประกาศกำหนดวันจัดการเลือกตั้งทั่วไปขึ้นในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2512 ซึ่งเป็นไปตามบทเฉพาะกาลของ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2511 มาตรา 180 ซึ่ง กำหนดให้ต้องมีการเลือกตั้งขึ้นภายใน 240 วัน จากนั้นได้มีการ จดทะเบียนก่อตั้งพรรคการเมืองต่างๆ ขึ้นมาเป็นจำนวนมาก โดยมีพรรคการเมืองใหญ่ 2 พรรค คือ พรรคสหประชาไทย และ พรรคประชาธิปัตย์ การเลือกตั้งครั้งนี้ถือเป็นการเลือกตั้ง ที่มีผู้คนตื่นตัวเป็นอย่างมาก เนื่องจากในช่วงเวลาดังกล่าว ประเทศไทยว่างเว้นการเลือกตั้งมาอย่างยาวนานถึง 11 ปีเต็ม โดยมีผู้สมัครลงเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ทั้งหมด 1,522 คน จากทั้งหมด 12 พรรคการเมือง และไม่สังกัด พรรคการเมืองใด โดยที่มีจำนวน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 174
ข้อมูลการเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้ทั้งหมด 219 คน การเลือกตั้งเป็นแบบรวมเขต ในอัตรา จำนวนประชากร 150,000 คนต่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 1 คน มีผู้สมัครรับเลือกตั้งทั่วประเทศทั้งหมด 1,253 คน ผู้สมัคร ที่ได้รับเลือกตั้งครั้งนี้มีจำนวน 219 คน มีประชาชนผู้มีสิทธิ์ เลือกตั้ง 14,820,180 คน ไปใช้สิทธิ 7,285,832 คน คิดเป็น ร้อยละ 49.16 คน จังหวัดที่มีผู้ไปใช้สิทธิ์มากที่สุด คือ จังหวัด ระนอง คิดเป็นร้อยละ 73.95 ส่วนจังหวัดที่มีผู้ไปใช้สิทธิ ์ น้อยที่สุด คือ จังหวัดพระนครคิดเป็นร้อยละ 34.66 (กรมการ ปกครอง, 2513) พรรคสหประชาไทยเป็นพรรคที่ได้รับเลือก มากที่สุด คือ 76 คน พรรคประชาธิปัตย์ 57 คน พรรคแนวร่วม ประชาธิปไตย 7 คน พรรคร่วมเกษตร 4 คน พรรคประชาชน 2 คน พรรคสัมมาชีพช่วยชาวนา 1 คน พรรคเสรีประชาธิปไตย 1 คน และผู้สมัครอิสระอีก 71 คน จากการที่ไม่มีพรรคการเมืองใดมีสมาชิกได้รับเลือกตั้ง เป็นเสียงข้างมากในสภาบรรดาผู้แทนที่ไม่ได้สังกัดพรรค การเมืองจำนวนหนึ่งต่างถูกดึงตัวเข้าไปอยู่พรรคสหประชาไทย เพื่อสนับสนุนให้ จอมพลถนอม กิตติขจร เป็นนายกรัฐมนตรี อีกวาระหนึ่ง ในการแต่งตั้งรัฐมนตรีนั้นจอมพลถนอม กิตติขจร ไม่ได้แต่งตั้งสมาชิกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรค สหประชาไทยเลย เพราะรัฐธรรมนูญห้ามไม่ให้สมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรเป็นรัฐมนตรีในเวลาเดียวกัน รัฐมนตรีส่วนใหญ ่ จะมาจากรัฐมนตรีชุดเดิมที่ร่วมรัฐบาลกันมาก่อนหน้านี้ ซึ่งทำให้เกิดความขัดแย้งกันอย่างรุนแรงในเวลาต่อมาระหว่าง รัฐบาลกับสมาชิกสภาสังกัดพรรครัฐบาลขึ้น นอกจากนั้น ยังเผชิญปัญหาที่สภาผู้แทนจงใจถ่วงเวลาพิจารณางบประมาณ 175
นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุดรธานี จนกระทั่งในที่สุด จอมพลถนอม กิตติขจร ได้ตัดสินใจ แกป้ ญั หาดว้ ยการยดึ อำนาจของตนเองเมอ่ื วนั ท่ี 17 พฤศจกิ ายน พ.ศ. 2514 ยกเลิกรัฐธรรมนูญ รัฐสภา พรรคการเมือง ตลอดจน กำจัดสิทธิเสรีภาพทางการเมืองของประชาชน และกลับไปใช้ การปกครองประเทศที่มีลักษณะอำนาจนิยมตามแบบสมัย จอมพลสฤษดิ์ อีกครั้ง การยึดอำนาจตนเองครั้งนี้ทำให้เกิด ความไม่พอใจในรัฐบาลขยายตัวอย่างกว้างขวางมากขึ้นทั้งใน หมู่นักการเมือง นิสิตนักศึกษาและประชาชนทั่วไป มีการ เรียกร้องให้รีบมีการร่างรัฐธรรมนูญออกมาประกาศใช้โดยเร็ว เหตุการณ์ถึงขั้นรุนแรงขึ้นเมื่อรัฐบาลได้สั่งการให้จับกุมบรรดา นสิ ติ นกั ศกึ ษาและประชาชน รวมทง้ั อดตี สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มในการออกหนังสือเรียงร้องรัฐธรรมนูญ โดยตั้ง ข้อหาว่า ก่อความไม่สงบและมุ่งล้มล้างรัฐบาล การกระทำของ รัฐบาลครั้งนี้เป็นผลให้มีการเดินขบวนประท้วงของนิสิต นักศึกษา และประชาชนครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ การเมืองไทย และได้บานปลายสู่เหตุการณ์นองเลือด เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 จนกระทั่งในที่สุดรัฐบาลจอมพลถนอม กิตติขจร ยอมลาออก และตัวของจอมพลถนอม ได้เดินทาง ออกไปต่างประเทศในวันต่อมาพร้อมกับจอมพลประภาส จารุเสถียร และพันเอกณรงค์ กิตติขจร เหตุการณ์จึงได้สงบลง เมื่อรัฐบาลจอมพลถนอมกิตติขจร ลาออกไปแล้วก็ได้มี พระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้นายสัญญา ธรรมศักดิ์ เข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และได้มีการจัดตั้ง รัฐบาลใหม่ขึ้น นับว่าเป็นการสิ้นสุดของการปกครองเผด็จการ ทหาร รัฐบาลได้ดำเนินการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้น และ 176
ข้อมูลการเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มีการประกาศใช้ในปี 2517 นับว่าเป็นอีกรัฐธรรมนูญที่มีความ เป็นประชาธิปไตยอย่างมากอีกฉบับหนึ่ง โดยสภาผู้แทนราษฎร มีบทบาทในการจัดตั้งรัฐบาลอย่างมากตามแบบอย่าง การปกครองของรัฐสภา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีส่วนใหญ่ ถูกกำหนดให้มาจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สำหรับการเลือกตั้งในจังหวัดอุดรธานีครั้งนี้มีจำนวน ผู้สมัครรับเลือกตั้งได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งสมาชิกสภา ผแู้ ทนราษฎร (มเี ขตเดยี วทว่ั ทง้ั จงั หวดั ) จำนวน 6 คน ดงั ตอ่ ไปน ้ี 1. นายแสวง พบิ ลู ย์ศราวุธ ไม่สังกัดพรรคการเมอื ง 2. นายญวง เอ่ยี มศิลา พรรคสหประชาไทย 3. นายสกรรจ์ สามเสน ไมส่ ังกัดพรรคการเมอื ง 4. นายสะไกร สามเสน พรรคสหประชาไทย 5. นายวิวัฒน์ อินทรอุดม พรรคสหประชาไทย 6. พนั เอกสมคดิ ศรีสงั คม พรรคเสรีประชาธิปไตย 177
นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุดรธานี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 11 (พ.ศ. 2518) เมื่อรัฐบาลจอมพลถนอมกิตติขจร ลาออกไปแล้วก็ได้มี พระบรมราชโองการโปรดเกลา้ ฯ แตง่ ตง้ั ใหน้ ายสญั ญา ธรรมศกั ดิ์ เข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และได้มีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ขึ้น นับว่าเป็นการสิ้นสุดของการปกครองเผด็จการทหาร รัฐบาลได้ดำเนินการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้น และมีการ ประกาศใช้ในปี 2517 นับว่าเป็นอีกรัฐธรรมนูญที่มีความเป็น ประชาธิปไตยอย่างมากอีกฉบับหนึ่ง โดยสภาผู้แทนราษฎร มีบทบาทในการจัดตั้งรัฐบาลอย่างมากตามแบบอย่าง การปกครองของรัฐสภา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีส่วนใหญ่ ถูกกำหนดให้มาจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ดังนั้นจึงได้มี ผู้สนใจลงสมัครรับเลือกตั้งจำนวนมาก มีทั้งบรรดาข้าราชการ นักธุรกิจซึ่งในอดีตไม่สนใจในการสมัครรับเลือกตั้งเข้ามาร่วม การสมัครรับเลือกตั้ง และมีการรณรงค์หาเสียงมีความเข้มข้น กว่าการเลือกตั้งในอดีตที่ผ่านมาเพราะเป็นการตัดสินว่าใครจะ ได้รับเลือกเป็นรัฐบาล การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2518 การเลือกตั้งครั้งที่ 12 ในประเทศไทย เป็นการ เลือกตั้งครั้งแรกที่เปลี่ยนจากการเลือกเป็นเขตจังหวัด เป็น หลายอำเภอรวมกันเป็นหนึ่งเขตเลือกตั้ง กำหนดให้เขตเลือกตั้ง หนึ่งมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ไม่เกิน 3 คน ในอัตราส่วน ของราษฎรจำนวน 150,000 ต่อ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 1 คน จำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมดทั่วประเทศ 20,243,793 คนไปใช้ สิทธิ์ออกเสียง 9,549,924 คน คิดเป็นร้อยละ 47.17 จังหวัดที่ม ี 178
ข้อมูลการเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ผู้ไปใช้สิทธิมากที่สุด คือ จังหวัดภูเก็ต คิดเป็นร้อยละ 67.88 ส่วนจังหวัดที่น้อยที่สุดคือจังหวัดเพชรบูรณ์ คิดเป็นร้อยละ 32.18 ) (สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, 2549, น. 47) สำหรับผลการเลือกตั้งทั่วประเทศมีจำนวนสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรทั้งหมด 269 คน พรรคประชาธิปัตย์ได้รับเลือกตั้ง มากเป็นอันดับที่หนึ่ง คือจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จำนวน 72 คน, พรรคธรรมสังคม 45 คน, พรรคชาติไทย 28 คน, พรรคเกษตรสังคม 19 คน, พรรคกิจสังคม 18 คน พรรคสังคมชาตินิยม 16 คน พรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทย 15 คน, พรรคพลังใหม่ 12 คน,พรรคแนวร่วมสังคมนิยม 10 คน และพรรคอื่นๆ อีก 34 คนด้วยกัน หลังจากการเลือกตั้ง ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช หัวหน้าพรรค ประชาธิปัตย์ เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และ ม.ร.ว.เสนีย์ ได้รับ โปรดเกล้าฯ เป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2518 และจัดตั้งคณะรัฐมนตรีโดยได้รับการสนับสนุนจาก พรรคเกษตรสังคม และแนวร่วมสังคมนิยม แต่ได้คะแนนเสียง สนับสนุนเพียง 103 คน ไม่ถึงครึ่งของสภา รัฐธรรมนูญกำหนด ว่า การแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต้องได้รับความไว้วางใจ จากสภาผู้แทนราษฎร เมื่อถึงวันแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อ สภา วันที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2518 ปรากฏว่า รัฐบาล ม.ร.ว.เสนีย์ ได้รับเสียงสนับสนุนเพียง 111 เสียง ถือว่าไม่ได้รับความ ไว้วางใจจาก สภาผู้แทนผู้แทนราษฎร ม.ร.ว.เสนีย์ และ พรรคประชาธิปัตย์ จึงแสดงความรับผิดชอบ โดยการลาออก และสละสิทธิ์การตั้งรัฐบาล ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช หัวหน้า พรรคกิจสังคม ซึ่งมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในสภาเพียง 179
นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุดรธานี 18 เสียง สามารถรวบรวมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคต่างๆ รวม 8 พรรค ได้ 135 เสียงเท่ากับครึ่งหนึ่งพอดี จัดตั้งรัฐบาล โดย ม.ร.ว.คกึ ฤทธ์ิ ปราโมช ไดร้ บั โปรดเกลา้ ฯ เปน็ นายกรฐั มนตรี ในขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ กลายเป็นฝ่ายค้าน แต่ความเป็น รัฐบาลต้องเผชิญกับเหตุการณ์วุ่นวายทางการเมือง เช่นมีการ ประท้วง การเดินขบวนของกลุ่มพลังเพื่อเรียกร้องสิทธิ์ต่างๆ มีการลอบสังหารผู้นำชาวนา การขัดแย้งระหว่างกลุ่มขวา และซ้าย และแรงกดดันต่างๆ ในบรรดาสมาชิกร่วมรัฐบาล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรฝ่ายรัฐบาลหันไปเข้าร่วมกับฝ่ายค้าน เสนอญัตติขอร่วมเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อลงมติไม่ไว้วางใจ รัฐบาล ในที่สุด ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ต้องตัดสินใจยุบสภา เมื่อวันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2519 รวมเวลาที่บริหารประเทศได้ประมาณ 1 ปี 1 เดือน สำหรับการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตในระดับจังหวัด ของอุดรธานี แบ่งพื้นที่การเลือกตั้งเป็น 3 เขต มีสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร (เขต 1และเขต 2 เขตละ 3 คน ส่วนเขต 3 เขตละ 2 คน) รวมผู้สมัครที่ได้รับเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งสภา ผู้แทนราษฎรทั้งหมด 8 คน ดังต่อไปนี้ เขต 1 พื้นที่อำเภอเมืองอุดรธานี อำเภอหนองวัวซอ และ กิ่งอำเภอกุดจับ 1. นายประยรู สุรนิวงศ ์ สงั กัดพรรคพลังใหม่ 2. นายบุญคุ้ม จนั ทรศรสี ุริยวงศ์ สงั กดั พรรคพลงั ประชาชน 180
ข้อมูลการเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 3. นายสมเจตน์ ฤกษะสุต สงั กัดพรรคธรรมสังคม เขต 2 พื้นที่อำเภอกุมภวาปี อำเภอหนองบัวลำภู อำเภอ เพ็ญ อำเภอบ้านดุง อำเภอหนองหาน อำเภอศรีธาตุ และ กิ่งอำเภอโนนสะอาด 4. พันเอกสมคิด ศรสี งั คม สงั กดั พรรคสงั คมนยิ มแหง่ ประเทศไทย 5. นายโสภณ วีรชัย สงั กดั พรรคสงั คมนยิ มแหง่ ประเทศไทย 6. นายสุรยทุ ธ กติ ริ าช สังกดั พรรคพลงั ใหม่ เขต 3 พื้นที่อำเภอน้ำโสม อำเภอบ้านผือ อำเภอ นากลาง อำเภอโนนสัง อำเภอศรีบุญเรือง และกิ่งอำเภอ สุวรรณคูหา 7. นายสม วาสนา สังกัดพรรคสยามใหม ่ 8. นายเตมิ สืบพนั ธ์ุ สงั กดั พรรคสยามใหม ่ สมาชิกสภาผู้แทนชุดที่ 12 (พ.ศ. 2519) การเลือกตั้งครั้งนี้มีขึ้นในวันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2519 นับเป็นการเลือกตั้งครั้งที่ 13 ของประเทศไทย มีจำนวนผู้มีสิทธิ เลือกตั้ง 20,623,430 คน มีผู้ไปใช้สิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้ง 181
นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุดรธานี 9,072,629 คน ทั่วประเทศคิดเป็นร้อยละ 43.99 ส่วนจังหวัดที่มี ผู้ออกไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งมากที่สุด คือจังหวัดนครพนม คิดเป็น ร้อยละ 63.53 และจังหวัดที่น้อยที่สุด คือ จังหวัดเพชรบูรณ์ คิดเป็นร้อยละ 26.64 มีพรรคการเมืองที่ส่งสมาชิกรับเลือกตั้ง 39 พรรค ผู้สมัครจำนวน 2,370 คน ได้รับเลือกจำนวน 24 พรรค มีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมด 279 คน สำหรับผลการเลือกตั้งในระดับประเทศปรากฏว่า พรรค ประชาธปิ ตั ย์ โดยการนำของ ม.ร.ว.เสนยี ์ ปราโมช หวั หนา้ พรรค ซึ่งเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีและเป็นพี่ชายของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก โดยได้รับเลือกมากเป็น อันดับหนึ่ง ได้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร) ทั้งหมดถึง 114 คน จากจำนวน สมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรทั้งหมดที่จะมีได้ คือ 279 คน นับว่ามากที่สุดเท่าที่ เคยมีมา โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นเมืองหลวง พรรคประชาธิปัตย์ได้ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมากถึง 24 คน ถือว่าได้ยึดครองพื้นที่ทั้งหมดของกรุงเทพฯไว้ได้ ขณะที่พรรค ชาติไทยได้เป็นอันดับสอง คือ 56 ที่นั่ง และพรรคกิจสังคม ของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ได้ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมาทั้งหมด 45 คน เป็นอันดับสามในขณะนั้น (ประวัติพรรคประชาธิปัตย์) การจัดตั้งรัฐบาลเกิดขึ้นโดยเป็นรัฐบาลผสม 4 พรรค คือ พรรคประชาธิปัตย์, พรรคชาติไทย, พรรคธรรมสังคม และ พรรคสังคมชาตินิยม รวมกันแล้วมีจำนวนเสียง สมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรทั้งหมด 206 เสียง ถือว่าเกินครึ่งหนึ่งของสภา ผู้แทนราษฎร ในวันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2519 มีพระบรม 182
ข้อมูลการเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ราชโองการโปรดเกล้าฯให้ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ดำรงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี ซึ่งนับเป็นครั้งที่ 3 ของ ม.ร.ว.เสนีย์ ที่ได้รับ ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี (ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, 2555, น. 154) สำหรับการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตในระดับจังหวัดของ อุดรธานี แบ่งพื้นที่การเลือกตั้งเป็น 3 เขต มีสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร เขตละ 3 คน รวมผู้สมัครที่ได้รับเลือกตั้งให้ดำรง ตำแหน่งสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมด 9 คน ดังต่อไปนี้ เขต 1 พื้นที่อำเภอน้ำโสม อำเภอบ้านผือ อำเภอเพ็ญ อำเภอหนองหาน อำเภอบ้านดุง อำเภอศรีธาตุ กิ่งอำเภอ สร้างคอม และกิ่งอำเภอวังสามหมอ 1. พันเอกสมคดิ ศรีสังคม สงั กดั พรรคสังคมนยิ มแหง่ ประเทศไทย 2. นายญวง เอ่ียมศิลา สงั กัดพรรคพลงั ประชาชน (พ.ศ. 2517) 3. นายวุฒิชัย แสนประสทิ ธิ์ สังกดั พรรคกิจสงั คม เขต 2 พื้นที่อำเภอเมืองอุดรธานี อำเภอนากลาง กิ่งอำเภอกุดจับ และกิ่งอำเภอสุวรรณคูหา 4. นายปณธิ าน ธาระวาณิช สงั กัดพรรคประชาธปิ ัตย์ 5. นายสมศกั ดิ์ เชยกำแหง สงั กดั พรรคเกษตรสังคม 183
นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุดรธานี 6. นายเฉลิมพล สนิทวงศช์ ัย สังกดั พรรคกจิ สงั คม เขต 3 พื้นที่อำเภอกุมภวาปี อำเภอหนองบัวลำภู อำเภอ โนนสัง อำเภอศรีบุญเรือง อำเภอหนองวัวซอ และกิ่งอำเภอ โนนสะอาด 7. นายแสวง พิบลู สราวุธ สงั กดั พรรคเกษตรสงั คม 8. นายสะไกร สามเสน สงั กดั พรรคชาติไทย 9. นายดเิ รก หลกั คำ สงั กัดพรรคกิจสงั คม สมาชิกสภาผู้แทนชุดที่ 13 (พ.ศ. 2522) การเลือกตั้งครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อมีการประกาศใช้ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2521 และในเดือน ธนั วาคม พ.ศ. 2521 พลเอก เกรยี งศกั ด์ิ ชมะนนั ทน์ นายกรฐั มนตรี ได้ประกาศให้มีการเลือกตั้งขึ้นในวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2522 เป็นการเลือกตั้งเป็นครั้งที่ 14 ของประเทศไทย การเลือกตั้ง ครั้งนี้นับเป็นการเลือกตั้งครั้งแรกที่มีขึ้นหลังเหตุการณ์นองเลือด เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และ สนามหลวง การเลือกตั้งครั้งนี้มีความแตกต่างไปจากการ เลือกตั้งครั้งอื่นๆ คือในพระราชบัญญัติ การเลือกตั้งสมาชิก สภาผู้แทนราษฎร พุทธศักราช 2522 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้ ประกอบการเลือกตั้งครั้งนี้ ในมาตรา 18 ได้กำหนดให้มีการ 184
ข้อมูลการเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จำกัดสิทธิของผู้ที่ใช้สิทธิเลือกตั้งพอสมควร เช่น ต้องจบ การศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย และการไปใช้สิทธินั้น ต้องลงทะเบียนแจ้งความประสงค์ก่อนด้วย โดยเฉพาะผู้ที่เป็น ชาวไทยเชื้อสายจีนที่เกิดจากบิดาที่เป็นชาวจีนอพยพ ทั้งๆ ที่ ตามกฎหมายแล้ว บุคคลเช่นนี้ถือว่ามีสัญชาติไทยโดยสมบูรณ์ ทำให้เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์เป็นอย่างยิ่ง ผลของการเลือกตั้งในระดับประเทศ ปรากฏว่า พรรค ประชากรไทยที่เพิ่งมีการก่อตั้งขึ้นมา โดยนายสมัคร สุนทรเวช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และอดีตสมาชิกพรรค ประชาธิปัตย์ ประสบความสำเร็จเป็นอย่างยิ่งในการเลือกตั้ง ครั้งนี้ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของพรรค โดยสามารถได้รับเลือกตั้ง ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ได้ถึง 29 ที่นั่ง จากทั้งหมด 32 ที่นั่ง โดยเหลือให้แก่ พันเอกถนัด คอมันตร์ จากพรรคประชาธิปัตย์, หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช และนายเกษม ศิริสัมพันธ์ จากพรรคกิจสังคม เพียง 3 ที่นั่งเท่านั้น ในขณะที่ภาพรวมทั้ง ประเทศ พรรคกิจสังคมได้รับเลือกมาเป็นอันดับหนึ่งคือ 82 ที่นั่ง พรรคชาติไทย 38 ที่นั่ง พรรคประชากรไทย 32 ที่นั่ง (จาก กรุงเทพฯ 29 ที่นั่ง) พรรคประชาธิปัตย์ 32 ที่นั่ง พรรคเสรีธรรม 21 ที่นั่ง พรรคชาติประชาชน 13 ที่นั่ง พรรคพลังใหม่ 8 ที่นั่ง และจากผู้สมัครอิสระที่ไม่สังกัดพรรคการเมืองอีก รวมสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรทั้งหมด 301 คน (สุจิต บุญบงการ และ พรศักดิ์ ผ่องแผ้ว, 2525) ในการเลือกตั้งครั้งนี้จึงไม่มีพรรคการเมืองใดได้เสียง เกินครึ่ง ทุกพรรคจึงมีมติสนับสนุนให้ พล.อ.เกรียงศักดิ์ 185
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 460
Pages: