Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ทศชาติ

ทศชาติ

Published by BURINTHORNVORAVITAR, 2022-11-20 09:39:05

Description: ทศชาติ

Search

Read the Text Version

ท ศ ช า ติ 99 พระมหาชนก ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ให้ขุดขุมทรัพย์ตรงเงาไม้รังเวลาเท่ียงวันที่โคนไม้รังใหญ่ในพระราช อทุ ยาน เพราะปัญหาวา่ “ขมุ ทรัพยท์ ยี่ อดไม”้ พระมหาชนกให้นำ�ขุมทรัพย์ใหญ่ทั้ง ๑๖ มาได้แล้ว ตรัสถามว่า ยังมีปัญหาอ่ืนอีกหรือไม่ เมื่อเหล่าอำ�มาตย์กราบทูลว่า ปัญหาหมดสิ้นแล้ว มหาชนต่างโห่ร้องร่าเริงด้วยความดีใจว่า พระราชาของเราเป็นบัณฑิต ทรงไข ปริศนาได้อยา่ งนา่ อัศจรรย์ พระมหาชนกทรงดำ�รวิ า่ ก่อนบำ�เพ็ญพระราชกรณยี กจิ อืน่ ใด พระองคค์ วรใหท้ านใหญ่ จึงโปรดใหส้ ร้างโรงทาน ๖ แหง่ คอื โรงทาน กลางพระนครหน่ึงแห่ง โรงทานท่ีประตูพระนครทั้ง ๔ ด้าน และ โรงทานทปี่ ระตพู ระราชนเิ วศน์อกี หนง่ึ แหง่ สำ�หรับให้ทาน แรงกตัญญู เมอื่ พระมหาชนกไดข้ น้ึ ครองราชย์ เปน็ พระมหากษตั รยิ แ์ หง่ มถิ ลิ านคร แลว้ กห็ วนคิดถงึ พระมารดา จึงโปรดให้เชญิ พระมารดาและพราหมณ์มหาศาล มาจากกาลจัมปานคร พระองค์ทำ�การบูชาสมโภชเฉลิมฉลองพระมารดาและ พราหมณ์มหาศาลอยา่ งยิง่ ใหญ่ เม่อื พระมหาชนกข้ึนครองราชยน์ ้นั พระองคม์ อี ายุ ๑๖ ชนั ษา เพราะ ความทีพ่ ระองคข์ ึ้นครองราชสมบัตขิ ณะยังทรงพระเยาว์ และทรงเปน็ ยวุ กษตั ริย์ ท่ีเพียบพร้อมด้วยสติปัญญา ประชาชนชาววิเทหรัฐต่างเล่าขานถึงยุวกษัตริย์ ของตนดว้ ยความเคารพรกั วา่ “พระมหาชนกทรงเปน็ พระโอรสของพระเจา้ อริฏฐชนกราช ผู้ส้ินพระชนม์กลางสนามรบ ทรงครองราชสมบัติเป็น พระธรรมราชาแห่งมิถิลานคร ทรงเปน็ บัณฑติ เฉลียวฉลาดในอบุ าย สามารถแก้ปัญหาได้ พวกเราทงั้ หลายต้องการเห็นพระองค์”

พระมหาชนก 100 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ประชาชนชาววิเทหรฐั ตา่ งแตกตน่ื กันมา เพื่อจะไดเ้ ห็นพระมหาชนก เมื่ออาณาประชาราษฎร์ต่างถือเคร่ืองบรรณาการหล่ังไหลเข้าสู่ มถิ ลิ านครจนกลายเป็นมหาสมาคม ชาวพระนครก็ยินดปี รีดาจดั งานเฉลิมฉลอง พระนครเปน็ การใหญ่ ตกแตง่ พระราชนเิ วศนอ์ ยา่ งวจิ ติ รสวยงาม หอ้ ยพวงดอกไม้ โปรยปรายขา้ วตอก ตกแตง่ ดว้ ยดอกไม้ เครอ่ื งอบธปู และเครอื่ งหอม จดั เตรยี ม ขา้ วน�้ำ โภชนาหารในภาชนะเงนิ ภาชนะทองค�ำ โดยประการตา่ ง ๆ เพอื่ เปน็ เครอื่ ง ราชบรรณาการถวายพระมหาชนก อาณาประชาราษฎร์ต่างหลั่งไหลกันมา ช่ืนชมยวุ กษัตริยข์ องตนอยา่ งเนอื งแนน่ พวกอำ�มาตยข์ า้ ราชบรพิ ารอยปู่ ะร�ำ หน่งึ พวกพราหมณ์อยู่ปะร�ำ หน่ึง พวกเศรษฐี เป็นตน้ อยปู่ ะรำ�หน่ึง พวกชะแม่ ชาววัง สนมฝ่ายในรูปโฉมงดงามอยู่ปะรำ�หนึ่ง พราหมณ์ทั้งหลายก็พร้อมกันสวด สาธยายมนต์ เพ่ืออำ�นวยความสวัสดี ผู้กล่าวชัยมงคลก็พร้อมกันร้องถวาย ชัยมงคลกึกก้อง เหล่าผู้ชำ�นาญการขับร้องก็พร้อมกันขับเพลงถวายอยู่อึงม่ี ชนท้ังหลายก็บรรเลงดนตรีอยู่ครามครัน พระราชนิเวศน์ก็บันลือลั่นสนั่นศัพท์ สำ�เนียงเป็นเสียงเดียวกัน ปานมหาสมุทรปั่นป่วนเพราะพายุโหมกระหน่ำ�พัด พระมหาชนกทอดพระเนตรไปที่ไหน ก็เหมือนจะกัมปนาทหวั่นไหว พระมหาชนกประทับบนพระราชอาสน์ภายใต้มหาเศวตฉัตร ทอดพระเนตรสิริราชสมบัติอันย่ิงใหญ่ ทรงระลึกถึงความเพียรพยายามของ พระองค์ทา่ มกลางมหาสมุทรอันกว้างใหญไ่ พศาล พระองคท์ รงร�ำ พึงว่า “ชอ่ื วา่ ความเพยี ร ควรท�ำ แท้ ถา้ เราไมม่ คี วามเพยี รทา่ มกลาง มหาสมุทรอนั กว้างใหญ่ไพศาล เรากจ็ ะไมไ่ ดร้ าชสมบัตนิ ”้ี เมอื่ ทรงระลกึ ถงึ ความเพยี รพยายามอยกู่ เ็ กดิ ปตี โิ สมนสั จงึ เปลง่ อทุ าน ด้วยกำ�ลงั ปีติว่า “ลูกผู้ชายท่ีเป็นบัณฑิตควรมีความหวัง อย่าพึงเบื่อหน่าย เพราะความหวังนเ้ี อง จึงทำ�ใหเ้ ราได้เปน็ พระราชา

ท ศ ช า ติ 101 พระมหาชนก ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ลูกผู้ชายที่เป็นบัณฑิตควรมีความหวัง อย่าพึงเบ่ือหน่าย เพราะความหวงั น้ีเอง จึงทำ�ใหเ้ ราสามารถว่ายนำ�้ ข้นึ ฝ่งั ได้ เกิดเป็นคน ควรเพียรพยายามอยู่รำ่�ไป จนกว่าจะประสบ ความส�ำ เรจ็ นรชนผู้มีปัญญา แม้ประสบทกุ ข์ ก็ไม่ไร้ซง่ึ ความหวงั แท้จริง คนเป็นอันมากเมื่อประสบทุกข์ก็บ่นเพ้อรำ�พัน เม่ือ ประสบสขุ กร็ ะเรงิ หลง ไมค่ ดิ จะใชค้ วามเพยี รพยายามจงึ ประสบหายนะ คอื ความตาย โภคะทงั้ หลายของสตรหี รอื บรุ ษุ ไมไ่ ดเ้ กดิ ขนึ้ เพยี งเพราะ ความคดิ เท่านัน้ หากแตเ่ กดิ ขึ้นเพราะความเพียรพยายาม พระมหาชนกทรงปกครองบ้านเมืองด้วยทศพิธราชธรรมเสมอมา ทรงถวายความอุปถัมภพ์ ระปจั เจกพุทธเจ้าทงั้ หลาย กาลต่อมา พระนางสวี ลเี ทวี ไดป้ ระสตู พิ ระโอรส สมบรู ณด์ ว้ ยลกั ษณะแหง่ ผมู้ บี ญุ ญาธกิ าร ทรงขนานพระนาม ว่า “ทีฆาวรุ าชกมุ าร” เมอื่ ทรงเจรญิ วัย ได้รบั การอปุ ราชาภเิ ษกแล้ว ทรงช่วย พระบิดาปกครองบา้ นเมอื งต่อมา อุทยานอมั พวัน อยู่มาวันหนึ่ง คนดูแลสวนได้นำ�ผลไม้นานาชนิด ตลอดจนดอกไม้ หลากพรรณมาถวาย พระมหาชนกทอดพระเนตรเห็นแล้ว ทรงยินดีปรารถนา จะเสด็จประพาสพระราชอุทยาน คนดูแลสวนจึงเตรียมการรับเสด็จตาม พระราชประสงค์ พระมหาชนกประทับบนคอช้างเสด็จออกจากพระนคร มขี ้าราชบรพิ ารตามเสด็จเปน็ จำ�นวนมาก ขณะพระองคเ์ สดจ็ ผา่ นประตพู ระราชอทุ ยาน ไดท้ อดพระเนตร เห็นต้นมะม่วง ๒ ต้น แผ่ก่ิงก้านสาขาเขียวชอุ่มสง่างาม ต้นหนึ่ง ไม่มีผล อีกต้นหนึ่งมีผล ต้นที่มีผลน้ันเป็นมะม่วงท่ีมีรสหอมหวาน ไมม่ ใี ครกลา้ เกบ็ ผลมะม่วงจากตน้ นัน้ เพราะพระราชายงั ไม่ไดเ้ สวย

พระมหาชนก 102 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง พระมหาชนกประทับบนคอช้าง รับส่ังให้คนดูแลสวนเก็บผลมะม่วง ผลหน่ึงมาให้เสวย มะม่วงน้ันมีรสชาติโอชาหอมหวานดุจรสทิพย์ พระองค์ทรง ต้งั ใจว่า เม่ือกลับออกจากอทุ ยานจะเสวยเพิ่มอีก แลว้ เสด็จเข้าสู่พระราชอุทยาน ชมสถานทอ่ี น่ื ๆ อปุ ราช ปโุ รหติ อ�ำ มาตย์ และขา้ ราชบรพิ าร ตลอดจนตะพนุ่ ชา้ ง ตะพุ่นม้าท่ีตามเสด็จ เม่ือรู้ว่าพระราชาเสวยมะม่วงแล้ว ครั้นพระองค์เสด็จ คล้อยไปหน่อยหน่ึง ต่างก็รุมกันยื้อแย่งผลมะม่วงที่เหลือ ทำ�ให้ใบมะม่วงร่วง ก่ิงฉีกหักเกล่ือน ไม่เหลือสภาพต้นมะม่วงที่สง่างามเหมือนเดิม ส่วนมะม่วง อกี ตน้ ซง่ึ ไม่มีผล กลบั ยืนต้นแผ่กิ่งกา้ นสาขาเขียวครมึ้ สง่างาม คร้ันพระราชาเสด็จออกจากพระราชอุทยาน ต้ังใจว่าจะเสวยมะม่วง เพม่ิ อีก กลบั เห็นตน้ มะมว่ งทใ่ี หผ้ ลดกหนาอยู่ในสภาพนา่ หดหูเ่ ช่นนั้น ส่วนตน้ ที่ ไมม่ ีผล กลบั ยืนตน้ แผก่ ง่ิ กา้ นสาขาเขยี วครม้ึ สง่างาม จึงตรสั ถามเหล่าอ�ำ มาตย์ ว่าเกิดอะไรขึน้ เม่ืออำ�มาตย์กราบทูลให้ทราบถึงสาเหตุที่ต้นมะม่วงกลายสภาพเป็น เช่นนี้ จึงเกิดความสังเวชใจว่า “ต้นมะม่วงต้นหนึ่งยังคงแผ่กิ่งก้านสาขา สง่างามเพราะไม่มีผล แต่อีกต้นท่ีมีผลดกหนาถูกยื้อแย่งใบร่วงกิ่งฉีก หักเกลื่อน ราชสมบัติก็เหมือนต้นมะม่วงมีผล ต้องคอยเฝ้าหวงแหน ทำ�ให้เกิดความกังวลใจ การบวชเหมือนต้นมะม่วงไร้ผล เพราะไม่มี ผลประโยชนใ์ หแ้ สวงหา ภยั ยอ่ มมแี กผ่ มู้ คี วามกงั วล และภยั ยอ่ มไมม่ ี แก่ผ้ไู มม่ ีความกงั วล” พระมหาชนกทรงอธิษฐานจิตม่ันว่า “เราจะไม่เป็นเหมือนต้น มะม่วงมีผล แต่จะเปน็ เหมือนต้นมะม่วงไม่มผี ล เราจะสละราชสมบตั ิ ออกบวช” ครน้ั เสดจ็ สพู่ ระนครแลว้ ไดเ้ สดจ็ ขนึ้ สปู่ ราสาททนั ที ประทบั ยนื ทปี่ ระตู ให้เรียกเสนาบดีมารับสั่งห้ามไม่ให้ผู้ใดเข้าเฝ้า เว้นแต่ผู้นำ�อาหาร น้ำ�บ้วน

ท ศ ช า ติ 103 พระมหาชนก ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง พระโอษฐ์ และไม้สพี ระทนต์ เทา่ นน้ั พระองค์ไม่ทรงราชกิจใด ๆ ทรงมอบให้ เหล่าเสนาอำ�มาตย์เป็นผู้วินิจฉัยราชกิจ ทรงบำ�เพ็ญสมณธรรมบนปราสาท เพียงลำ�พงั พระองคเ์ ดียว ครั้นวันเวลาล่วงไป ประชาชนไม่เห็นพระมหาชนก เกิดความรู้สึกว่า พระราชาเปลี่ยนไป จึงชุมนุมกันที่ท้องสนามหลวง วิพากษ์วิจารณ์กันว่า “พระราชาไมเ่ หมอื นเดมิ ไมท่ อดพระเนตรการฟอ้ นร�ำ ไมใ่ สใ่ จในการ ขับร้อง ไม่ทอดพระเนตรฝูงเนื้อ ไม่เสด็จประพาสพระราชอุทยาน ไมท่ อดพระเนตรฝงู หงส์ ประทบั นง่ิ เหมอื นคนใบ้ ไมท่ รงออกวา่ ราชกจิ อะไร ๆ เลย” พระมหาชนกไม่มีจิตใจข้องเก่ียวในกามทั้งหลาย ทรงน้อมไปในวิเวก ระลกึ ถงึ เหลา่ พระปจั เจกพทุ ธเจา้ ผคู้ นุ้ เคยในราชสกลุ ทรงร�ำ พงึ วา่ ใครจะสามารถ บอกสถานทอี่ ยขู่ องพระปจั เจกพทุ ธเจา้ ใหพ้ ระองคท์ ราบได้ จึงเปล่งอุทานวา่ “ปราชญ์ทัง้ หลาย ผูม้ งุ่ ความสงบสขุ ปราศจากเคร่อื งผูก คือ กเิ ลส ทงั้ หนมุ่ และแกก่ า้ วขา้ มตณั หาไดแ้ ลว้ วนั นที้ า่ นอยทู่ ไี่ หนกนั หนอ ขา้ พเจา้ ขอนอบนอ้ มปราชญเ์ หลา่ นนั้ ผกู้ า้ วลว่ งกเิ ลสไดแ้ ลว้ ผแู้ สวงหา คณุ อนั ยง่ิ ใหญ่ ไมม่ คี วามตะเกยี กตะกาย แตอ่ ยใู่ นโลกทต่ี ะเกยี กตะกาย สามารถตัดข่ายแห่งมัจจุราชให้ขาดเสียได้ ใครหนอจักนำ�เราไปสู่ป่า ซึง่ เปน็ สถานท่อี ยู่ของท่านเหล่านน้ั ได้” เม่ือพระมหาชนกน้อมรำ�ลึกถึงพระปัจเจกพุทธเจ้าอยู่เช่นนี้ ก็เกิดปีติ อย่างมาก ทรงเสด็จลุกจากบัลลังก์เปิดสีหบัญชรด้านทิศเหนือ ยกมือไหว้เหนือ พระเศียร น้อมนมสั การพระปจั เจกพทุ ธเจา้ ทัง้ หลายไปสทู่ ่ีอันไกลโพน้ วันเวลาล่วงไป ๔ เดือน พระหทัยของพระองค์ได้น้อมไปในบรรพชา อย่างย่ิง ปราสาทราชฐานปรากฏดุจไฟนรกลุกไหม้ เร่าร้อนดุจถูกเผาผลาญ ทรงใคร่ครวญถึงกาลท่ีจะเสด็จออกจากมิถิลานครสู่ป่าหิมวันต์ ครองเพศเป็น

พระมหาชนก 104 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง บรรพชิต ทรงพรรณนาถึงกรุงมิถิลานครท่ีพระองค์ต้องการจะละท้ิงไปโดย ประการต่าง ๆ วา่ “เมื่อไร เราจะได้จากกรุงมิถิลานครอันรุ่งเรืองสว่างไสวไป ทุกทิศ นายช่างผู้ชำ�นาญรังสรรค์ไว้เป็นสัดส่วน มีพระราชนิเวศน์ ถนน กำ�แพง หอรบ มีป้อมปราการที่แข็งแกร่ง มีซุ้มประตูมั่นคง มีทางหลวงตัดไว้เรียบร้อยดี มีร้านค้าเรียงรายอยู่ตามริมถนน ผู้คน ขวักไขว่ เบียดเสียดไปด้วย โค ม้า และรถ มีพุ่มไม้ประดับและ พรรณไม้นานาชนิดในพระราชอุทยาน มีปราสาทอันวิจิตรงดงาม ระดะไปด้วยปราการ ๓ ชั้น ที่พระเจ้าวิเทหะผู้ย่ิงใหญ่ พระนามว่า “โสมนัส” ทรงสรา้ งไว้ ทรงปกครองแผ่นดินโดยธรรม พร่ังพร้อมดว้ ย พระบรมวงศานุวงศ์ อันหมปู่ ัจจามิตรมิอาจรบชนะได้ เมอื่ ไร เราจะไดจ้ ากปราสาทราชมณเฑยี รอนั นา่ รน่ื รมย์ ฉาบ ทาด้วยปูนขาวและดินเหนียว มีกล่ินหอมฟุ้งจรุงใจ พระตำ�หนักแซง เสียดฟ้า ปลียอดวิจติ รสลี ะลานตา ราดรดประพรมดว้ ยแก่นจันทน์ ความหวงั ท่ีจะได้ออกบวชจะสำ�เร็จได้เมื่อไรหนอ เม่ือไร เราจะไดจ้ ากราชบัลลังกท์ อง บัลลังก์แก้วมณี ท่ีลาด ด้วยพรมขนสัตว์อย่างวิจิตร จะได้จากผ้าฝ้าย ผ้าไหม ผ้าป่าน และ ผ้าจากแคว้นโกทุมพร จากสระโบกขรณีอันชุ่มเย็น เจื้อยแจ้วจำ�เรียง เสียงด้วยนกจากพรากมาพรำ่�เพรียกอยู่ ดารดาษไปด้วยดอกมณฑา ปทุม และอบุ ลหลากสี ความหวังทีจ่ ะไดอ้ อกบวชจะสำ�เรจ็ เมือ่ ไรหนอ เมอื่ ไร กองพลชา้ ง กองพลมา้ กองพลรถ กองพลธนู ราชบตุ ร ทัง้ หลาย หมพู่ ราหมณ์ และเหล่าอ�ำ มาตย์ ประดับด้วยเคร่อื งอลังการ

ท ศ ช า ติ 105 พระมหาชนก ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง พรอ้ มสรรพ ล้วนสวมเกราะแกลว้ กล้า เดนิ นำ�หน้าไปเป็นขบวนท่เี คย ตดิ ตามเรา จะไม่ติดตามเรา เมอื่ ไร เหลา่ นางสนมก�ำ นลั ในพดู จาฉอเลาะ นา่ รกั ละมนุ ละไม สะโอดสะอง ประดับด้วยเคร่ืองอลังการงดงามท่ีเคยติดตามเรา จะไม่ตดิ ตามเรา ความหวังนัน้ จะสำ�เร็จได้ เมือ่ ไรหนอ เมอ่ื ไร เราจะได้ปลงผม ห่มผ้า พาดสงั ฆาฏิ อุ้มบาตร เทย่ี ว บิณฑบาต จะได้ครองผ้าสังฆาฏิที่ทำ�จากผ้าบังสุกุล ซ่ึงเขาท้ิงไว้ตาม ถนนหนทาง เม่ือฝนตกตลอด ๗ วัน เราจะมีจีวรเปียกชุ่ม เท่ียว บิณฑบาต จะได้จาริกไปตามต้นไม้ ตามราวป่า ตลอดท้ังกลางวัน และกลางคืน ไม่กังวลถึงราชกิจใด ๆ เราจะละความกลัวและความ ขลาดเขลา เทย่ี วไปคนเดยี วตามซอกเขาและโตรกธาร จะท�ำ จติ ใหต้ รง ดังนักดนตรดี ดี พิณให้รื่นรมย์ใจ ความหวังน้นั จะมาถงึ เมือ่ ไรหนอ เมื่อไร เราจึงจักตัดกามสังโยชน์ ท้ังที่เป็นของทิพย์และของ มนษุ ยไ์ ด้เสยี ที ความหวงั นัน้ จะส�ำ เร็จได้ เม่ือไรหนอ” ส่ทู างโพธิญาณ พระมหาชนกเกิดในยุคสมัยท่ีคนมีอายุ ๑๐,๐๐๐ ปี เสวยราชสมบัติ ๗,๐๐๐ ปี ออกผนวชขณะพระชนมายุเหลืออยู่ประมาณ ๓,๐๐๐ ปี ใช้เวลา ตดั สนิ ใจบวชอยู่ ๔ เดือน จึงออกบวช

พระมหาชนก 106 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ตงั้ แตว่ นั ทพี่ ระองคท์ อดพระเนตรเหน็ ตน้ มะมว่ งทปี่ ระตพู ระราชอทุ ยาน ก็ทรงดำ�ริว่า “การบวชเป็นบรรพชิตประเสริฐกว่าการเป็นพระราชา เราจะออกบวช” จึงรับสั่งมหาดเล็กเป็นความลับ ให้ซื้อผ้ากาสาวพัสตร์และ บาตรดินมาจากตลาด อย่าให้ใครรู้ ให้เรียกเจ้าพนักงานภูษามาลามาปลงผม และหนวด พระราชทานบ้านส่วยเป็นรางวัลแก่พนักงานภูษามาลา แล้วโปรด ใหก้ ลบั ไป จากนั้น พระองค์ทรงน่งุ ผ้ากาสาวพัสตร์ผืนหนงึ่ หม่ ผืนหนง่ึ และพาด ผืนหนึ่งที่พระอังสา สวมบาตรดินในถุงคล้องพระอังสา ทรงถือไม้เท้าเสด็จ จงกรมกลบั ไปกลบั มาบนปราสาท ตามอยา่ งลลี าพระปจั เจกพทุ ธเจา้ ตลอดทงั้ วนั ทรงเปลง่ อทุ านว่า “โอ การบรรพชาเปน็ สุขอย่างยง่ิ เปน็ สขุ อันประเสรฐิ เหลอื เกนิ ” คร้ันรุ่งข้ึนอีกวัน ขณะแสงเงินแสงทองจับขอบฟ้า พระองค์ทรงต้ัง พระทัยเด็ดเดี่ยวเสด็จลงจากปราสาท ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับพระนางสีวลีเทวี ตรัสเรยี กเหล่าสตรีคนสนทิ ทัง้ ๗๐๐ คน มาบอกใหท้ ราบว่า พระองค์ไมไ่ ดพ้ บ พระราชามากว่า ๔ เดือนแล้ว จึงรับส่ังให้ทุกคนตกแต่งประดับประดาตนเอง ด้วยเคร่ืองประดับทุกอย่าง ให้แสดงกิริยาอาการร่าเริงแจ่มใสอย่างสตรี แม้ พระเทวีเองก็ทรงประดับตกแต่งพระองค์ แล้วเสด็จขึ้นปราสาทพร้อมสตรี เหลา่ น้ันเพ่ือเขา้ เฝา้ พระมหาชนก ขณะทพี่ ระนางเสดจ็ ไปยงั ปราสาท ไดเ้ ดนิ สวนทางกบั พระราชา ซึ่งบวชเป็นบรรพชิต ก็จำ�ไม่ได้ ทรงก้มลงกราบแล้วถอยไปยืนอยู่อีก ด้านหน่ึง เพราะคิดว่า บรรพชิตรูปนี้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้ามาถวาย โอวาทพระราชา ขณะที่พระโพธิสัตว์เสด็จลงจากปราสาทนั้น พระเทวีก็เสด็จเข้าไป ห้องบรรทม ทอดพระเนตรเห็นพระเกศาสีด�ำ สนิทดุจปีกแมลงภู่ และห่อเครื่อง

ท ศ ช า ติ 107 พระมหาชนก ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ราชาภรณ์วางอยู่บนท่ีบรรทม ก็ทราบว่าสมณะท่ีเดินสวนทางลงไปน้ัน ไม่ใช่ พระปัจเจกพุทธเจ้า แต่เป็นพระราชสวามีของพระองค์เอง จึงเรียกเหล่าสตรี เสดจ็ ลงจากปราสาทอย่างรีบเร่ง ตามไปทันพระราชาทท่ี อ้ งสนามหลวง คร้ันถึงแล้ว ได้สยายพระเกศาเร่ียรายเบื้องพระปฤษฎางค์พร้อมท้ัง สตรเี หลา่ นน้ั เอาพระหตั ถท์ ัง้ สองทุบอกกราบทลู ว่า “เพราะเหตุไร พระองค์ จึงทรงทำ�อย่างน้ี” ทรงร้องไห้ครำ่�ครวญปริเทวนาการอย่างน่าสงสารยิ่ง ติดตามพระราชาไปไม่ลดละ แต่ก็ไม่สามารถยับย้ังความต้ังใจอย่างเด็ดเด่ียว ของพระราชาได้ ครั้งนั้น ชาวพระนครท้ังส้ินก็เอิกเกริกโกลาหล ชาวเมืองต่าง โจษขานกันว่า พระราชาทรงสละราชสมบัติออกผนวช ต่างร้องไห้ เสยี ใจตอ่ การสละพระราชบลั ลังกข์ องพระราชา แม้พระนางสีวลีทรงร้องไห้คร่ำ�ครวญอยู่ ก็ไม่สามารถท�ำ ให้พระราชา เสดจ็ กลบั ได้ จงึ ใหเ้ รยี กเหลา่ อ�ำ มาตยม์ าออกอบุ าย ตรสั สงั่ ใหจ้ ดุ ไฟเผาเรอื นเกา่ ศาลาเก่าข้างหน้า ตามทางที่พระราชาจะเสด็จผ่านไป ให้เอาหญ้าและใบไม้ มาสุมให้เกิดควันโขมงมากข้ึน ประหนึ่งว่าไฟลุกไหม้กรุงมิถิลานครแล้ว เหล่า เสนาอ�ำ มาตย์ไดท้ ำ�ตามพระเทวรี ับสงั่ พระนางสีวลีไปหมอบแทบพระบาท กราบทูลให้ทราบว่า “เปลวไฟ โหมลุกไหม้คลังท้ังหลาย ท้ังคลังเงิน ทอง แก้วมุกดา แก้วไพฑูรย์ แกว้ มณี สังข์ ผ้า จนั ทรเ์ หลอื ง หนงั สตั ว์ เครือ่ งงาชา้ ง และคลังเหล็ก แม้อยู่กันคนละฝั่งก็ไหม้ติดกันไปหมด ขอพระองค์โปรดเสด็จกลับไป ดับไฟเสียก่อน พระราชทรัพย์อย่าได้วอดวายในเปลวเพลิงเลย ขอ พระองค์จงดับไฟน้ันแล้วจึงค่อยเสด็จไปภายหลัง เพราะพระองค์ จะถกู ครหาวา่ เสดจ็ ออกไปโดยไมเ่ หลยี วแลพระนครทกี่ �ำ ลงั ถกู ไฟไหม้ พระองคจ์ ะเสยี ใจในภายหลังเพราะความอับอายน้นั มาเถดิ พระองค์ โปรดสงั่ การให้เหล่าอำ�มาตยด์ ับไฟเถดิ ”

พระมหาชนก 108 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง พระโพธสิ ตั วต์ รสั กบั พระนางสวี ลวี า่ “เธอพดู อะไรกนั ผคู้ นเกดิ ความ กังวลเพราะไฟเผาผลาญทรัพย์สมบัติ แต่บัดนี้เราไม่มีทรัพย์สมบัติ แล้ว เรามีชีวิตอยู่สบาย เมื่อไฟไหม้กรุงมิถิลานครจึงไม่ได้ไหม้เรา แมแ้ ต่นดิ เดยี ว” ตรสั แลว้ กเ็ สดจ็ ออกจากพระนครทางประตทู ศิ เหนอื แมพ้ ระสนมก�ำ นลั ทง้ั หมดก็ออกตามเสด็จไป พระนางสีวลีคิดอุบายอกี อย่างหนงึ่ ได้ จงึ ตรัสสง่ั อำ�มาตย์ให้ทำ�เหมอื น โจรปลน้ ฆา่ ชาวบา้ น คนทง้ั หลายกท็ ำ�เป็นคนถืออาวุธวิง่ ไปมาเหมือนปลน้ รดนำ�้ ครั่งท่ีร่างกายเหมือนถูกคมหอกคมดาบ เลือดแดงฉาน ทุรนทุรายเกลือกกล้ิง โอดครวญบนพ้ืนดินว่า “ขณะนี้ พวกโจรปล้นแผ่นดินเข่นฆ่าอาณา ประชาราษฎรข์ องพระองค”์ แม้พระเทวีกราบทูลวา่ “โจรป่าปลน้ แผน่ ดนิ พระองค์ ขอพระองคจ์ งเสด็จกลบั เถิด อย่าใหแ้ ผ่นดนิ น้พี ินาศเลย” พระมหาชนกสงสัยว่า เมื่อพระองค์อยู่ในพระนคร ไม่เคยได้ยินว่า มโี จรปลน้ แผน่ ดนิ นเี้ หน็ จะเปน็ อบุ ายของพระนางสวี ลจี งึ ตรสั วา่ “เราไมม่ คี วาม กงั วล มชี วี ติ เปน็ สขุ ดี เมอื่ โจรปลน้ แวน่ แควน้ พวกโจรไมไ่ ดป้ ลน้ อะไร ๆ ของเราไป เราจะมีปีติเป็นอาหาร ให้วันเวลาผ่านไปด้วยความสุขท่ี เกดิ จากฌาน เหมือนเทวดาช้นั อาภัสสระ๑” แม้เม่ือพระราชาตรัสอย่างน้ีแล้ว มหาชนก็ยังคงติดตามพระองค์ไป อยา่ งไมล่ ดละ พระโพธสิ ตั วจ์ งึ หยดุ ในระหวา่ งทางใหญ่ ตรสั ถามเหลา่ อ�ำ มาตยว์ า่ “ราชสมบัติเปน็ ของใคร” อ�ำ มาตย์ทัง้ หลายกราบทูลว่า “เป็นของพระองค์ ๑ สวรรคม์ ี ๖ ชั้น เปน็ ที่อยู่ของผู้ท่ียงั เกยี่ วขอ้ งกับกามคณุ สูงข้ึนไปกวา่ นน้ั เปน็ พรหมโลก มี ๒๐ ชนั้ แบง่ เปน็ พรหมทมี่ รี ปู ร่าง เรยี กว่า “รปู พรหม” ๑๖ ชัน้ และพรหม ทีไ่ มม่ ีรปู รา่ ง เรยี กว่า “อรปู พรหม” อกี ๔ ชั้น รวมเป็นพรหมโลก ๒๐ ชนั้ ผ้ทู ี่จะไปเกดิ ใน พรหมโลกแตล่ ะชัน้ ตอ้ งท�ำ สมาธิจนได้บรรลุฌาน ๔ ขัน้ เท่าน้ัน

ท ศ ช า ติ 109 พระมหาชนก ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ผทู้ รงเปน็ พระมหากษตั รยิ ”์ พระมหาชนกจงึ ตรสั วา่ “ถา้ เชน่ นน้ั ทา่ นทง้ั หลาย จงลงราชทัณฑ์แก่ผู้ที่ลบรอยขีดของพระมหากษัตริย์น้ี” แล้วทรงเอา ไมเ้ ท้าขีดเส้นบนแผน่ ดนิ ขวางทางไว้ ไม่มีใครกล้าลบรอยขีดที่พระราชาขีดไว้ ข้าราชบริพารยืนอยู่ระหว่าง รอยขีด ตา่ งคร่�ำ ครวญกันอยา่ งเหลือเกนิ แม้พระนางสีวลีก็ไม่กล้าลบรอยขีดน้ัน แต่เม่ือทอดพระเนตรเห็น พระราชาหันหลังกลับเสด็จต่อไป จึงไม่อาจกลั้นโศกาอาดูรได้ ทรงทุบพระอุระ ลม้ ลงขวางทางใหญ่ กล้งิ เกลือกไปมาทำ�ให้เส้นขีดลบไป ข้าราชบรพิ ารจึงพากัน ตามเสด็จต่อไป เพราะไม่มเี สน้ ขดี พระโพธิสัตว์ทรงมุ่งหน้าเสด็จข้ึนเหนือไปทางภูเขาเขตป่าหิมวันต์ ส่วนพระนางสีวลกี พ็ าข้าราชบริพารตามเสดจ็ ไมล่ ดละ แม้พระราชาเสดจ็ ไปไกล ถึง ๖๐ โยชน์ ก็ยังไมส่ ามารถท�ำ ใหม้ หาชนกลับได้ กาลน้ัน มหานารทฤๅษีในป่าหิมวันต์ออกจากฌาน เปล่งอุทานว่า “โอ เป็นสุขหนอ โอ เป็นสุขจริงหนอ” มหาฤๅษีน้ันเห็นพระมหาชนกซึ่ง เป็นพระราชาออกผนวช แต่มีมหาชน ข้าราชบริพาร และพระมเหสีติดตาม มาจากพระนครเป็นอันมาก ซึ่งจะเป็นอันตรายต่อพระองค์ผู้ต้ังใจออกผนวช จึงไปพบพระราชาด้วยฤทธ์ิ สถิตอยู่ในอากาศเบ้ืองหน้าพระราชา กล่าวสอน เพอ่ื ใหเ้ กดิ อตุ สาหะวา่ “สมณะ ใครหนอตามทา่ นมา เสยี งกกึ กอ้ งโกลาหล ของประชาชนใหญ่ขนาดนี้ เหมือนเล่นกันอยู่ในบ้าน ทำ�ไมประชาชน จึงตามแวดลอ้ มท่านมากมายขนาดน้”ี พระโพธิสัตว์สดับคำ�ของฤๅษีจึงตรัสว่า “ประชาชนตามข้าพเจ้า ผู้ละทิ้งพวกเขามา ข้าพเจ้าก้าวข้ามสีมา คือ กิเลสไปแล้ว ออกบวช เพ่ือบรรลุฌานของพระมุนี แต่ผู้คนท้ังหลายเหล่าน้ันยังเป็นผู้เจือด้วย

พระมหาชนก 110 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ความเพลิดเพลินจึงติดตามข้าพเจ้ามา พระคุณเจ้าก็รู้อยู่แล้วจะถาม ท�ำ ไม” มหานารทฤๅษีกล่าวว่า “พระองค์ทรงครองเพศบรรพชิตเพียง ร่างกาย แค่บริขารและผ้ากาสาวพัสตร์ของนักบวชเท่านั้น อย่าเข้า พระทยั วา่ เราขา้ มพน้ กเิ ลสไดแ้ ลว้ กรรมคอื กเิ ลส ไมส่ ามารถขา้ มพน้ ได้ เพียงเพราะแต่งตัวเป็นเพศบรรพชิต เพราะอันตรายจากกิเลสยังมี อย่มู าก” พระโพธิสัตว์ตรัสตอบนารทฤๅษีว่า “ข้าพเจ้าไม่ปรารถนากาม ท้ังหลายท้ังในปัจจุบันและในอนาคต ข้าพเจ้าผู้เดียวท่องเท่ียวไป ตามลำ�พงั แลว้ อนั ตรายจะมแี กข่ ้าพเจา้ ไดอ้ ยา่ งไร” มหานารทฤๅษแี สดงอนั ตรายแหง่ การบวชแกพ่ ระโพธสิ ตั วว์ า่ “อนั ตราย อยทู่ ต่ี ัวเราเอง คอื ความหลบั ความเกยี จครา้ น ความงว่ งเหงา ความ ไมช่ อบใจ ความเมาเพราะบรโิ ภคอาหารมากเกนิ ไป พระองคม์ รี ปู งาม นา่ เลอื่ มใส มผี วิ พรรณดจุ ทองค�ำ เมอื่ พระองคป์ ระกาศใหค้ นทงั้ หลาย ทราบว่า พระองค์ท้ิงราชสมบัติออกผนวช คนทั้งหลายก็จะศรัทธา ถวายบณิ ฑบาตมรี สดี ทงั้ ประณตี แกพ่ ระองค์ พระองคร์ บั มาเตม็ บาตร เสวยพอควรแลว้ เขา้ บรรณศาลา บรรทมบนทลี่ าดดว้ ยใบไม้ หลบั กรน ร้สู กึ ตัว บิดข้เี กยี จ พลิกกลบั ไปกลับมา เหยยี ดพระหัตถ์และพระบาท ลุกขนึ้ จบั ราวจีวร เกียจครา้ นไม่จับไมก้ วาดกวาดอาศรม ไม่ตกั นำ้�ด่มื บรรทมตอ่ อกี คดิ ถึงกามารมณ์ ถึงเวลานน้ั ก็จะไม่พอใจในการบวช” พระโพธิสัตว์ตรัสสรรเสริญนารทฤๅษีว่า “ท่านผู้เจริญพรำ่�สอน ข้าพเจา้ ดนี กั หนา ทา่ นเปน็ ใคร” มหานารทฤๅษีกล่าวว่า “อาตมามนี ามวา่ “นารทะ” ผูค้ น เรยี ก อาตมาตามโคตรว่า “กัสสปะ” อาตมภาพมาหาพระองค์ เพราะ

ท ศ ช า ติ 111 พระมหาชนก ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง รู้ว่า การสมาคมกับสัตบุรุษย่อมเป็นประโยชน์ ขอพระองค์จงยินดีใน พรหมวิหารธรรม จงบำ�เพ็ญในศีล ในบริกรรมภาวนา และในฌาน ให้บริบูรณ์ จงมีความอดทนและความสงบระงับ อย่าถือพระองค์ว่า เปน็ กษตั รยิ อ์ อกบวช จงลดความถอื ตวั บ�ำ เพญ็ กศุ ล วชิ ชา และสมณธรรม แล้วประพฤติพรหมจรรย์ด้วยความเคารพ” ครั้นนารทฤๅษีถวายโอวาท พระโพธสิ ตั วอ์ ย่างนี้แลว้ ก็กลับไปทอ่ี ยูข่ องตน เม่ือมหานารทฤๅษีไปแล้ว มิคาชินฤๅษีก็มาถวายโอวาทพระโพธิสัตว์ เช่นกนั วา่ “พระองค์ทง้ิ ชา้ ง มา้ และอาณาประชาราษฎร์ ออกผนวช ยินดีในบาตร อาณาประชาราษฎร์ มิตร อำ�มาตย์ และพระประยูร ญาติเหล่าน้ัน ทำ�ให้พระองค์ผิดหวังกระมัง พระองค์จึงทิ้งอิสริยยศ มาชอบใจบาตรดนิ ” พระโพธสิ ตั วต์ อบมคิ าชนิ ฤๅษวี า่ “ทา่ นมคิ าชนิ ะ ขา้ พเจา้ มไิ ดม้ คี วาม ขัดแย้งอะไรกับพระประยูรญาติ ทั้งพระประยูรญาติก็มิได้ขัดแย้งกับ ขา้ พเจา้ ขา้ พเจา้ เหน็ โลกถกู กเิ ลสย�ำ่ ยี ผคู้ นตา่ งตกอยใู่ นอ�ำ นาจของกเิ ลส ถกู ท�ำ ลายและถูกฆา่ ไปเพราะกิเลส ดงั นั้น จึงไดบ้ วชเป็นภิกษ”ุ มหาฤๅษีปรารถนาจะฟงั ขอ้ ความนั้นตอ่ ไปอกี จึงกลา่ ววา่ “ใครหนอ เป็นศาสดาส่ังสอนพระองค์ คำ�พูดหมดจดในวัตรปฏิบัติอันจะนำ�ไปสู่ การก้าวล่วงทกุ ข์น้ี ใครเป็นผ้สู อน” พระโพธิสัตว์กล่าวว่า “ท่านมิคาชินะ ถึงแม้ข้าพเจ้าจะมีความ เคารพในสมณะหรือพราหมณ์อย่างจริงใจ แต่ก็ไม่เคยถามอะไร เก่ียวกับการบรรพชาเลย ข้าพเจ้าไปอุทยานได้เห็นต้นมะม่วง ๒ ต้น ต้นหน่ึงมีผลหอมหวาน อีกต้นหน่ึงไม่มีผล เหล่าชนผู้ต้องการ ผลมะมว่ งพากนั ย้ือแยง่ ตน้ มะม่วงทม่ี ผี ลจนใบรว่ งกงิ่ ฉีกหัก กลายเป็น ต้นไม้มีใบร่วงโกร๋นน่าสังเวชใจ แต่มะม่วงอีกต้นที่ไม่มีผลกลับมีใบ เขียวชอมุ่ แผ่ก่งิ ก้านสมบูรณ์

พระมหาชนก 112 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง เสือเหลืองถูกฆ่าเพราะหนัง ช้างถูกฆ่าเพราะงา คนมีทรัพย์ ถูกฆ่าเพราะทรัพย์ ใครเล่าจะฆ่าผู้ไม่มีเหย้าเรือน ผู้ไม่เก่ียวข้องกับ ตณั หา มะมว่ งตน้ หนงึ่ มผี ล อกี ตน้ หนงึ่ ไมม่ ผี ล ทง้ั สองตน้ นนั้ เปน็ ผสู้ ง่ั สอน ข้าพเจา้ ” มิคาชินฤๅษีได้ฟังดังน้ันจึงถวายโอวาทว่า “ขอพระองค์ทรงเป็น ผู้ไม่ประมาทเถิด มหาบพิตร” แล้วกลบั ไปยังท่ีอยูข่ องตน บนเสน้ ทางท่ตี อ้ งเลือก เม่ือมิคาชินฤๅษีไปแล้ว พระนางสีวลีเทวีหมอบลงแทบพระบาท พระราชา กราบทลู ใหพ้ ระองคก์ ลบั ไปอภเิ ษกพระโอรสเปน็ พระมหากษตั รยิ ก์ อ่ นวา่ “อาณาประชาราษฎร์ทั้งปวงต่างตกใจว่า พระราชาทอดทิ้งพวกเขา ออกผนวชเสียแล้ว ขอพระองค์โปรดทำ�ให้ประชาชนอบอุ่นใจ ด้วย การกลับไปอภิเษกพระราชโอรสครองราชสมบัติแล้ว จึงทรงผนวชใน ภายหลัง” พระโพธิสัตว์แย้งว่า “อาตมาได้สละชาวชนบท มิตร อำ�มาตย์ และพระประยรู ญาตทิ งั้ หลายแลว้ สว่ นทฆี าวรุ าชกมุ ารนน้ั เลา่ กเ็ ปน็ บตุ ร ของชาววเิ ทหะ สามารถปกครองบา้ นเมอื งใหเ้ จรญิ ได้ ชาววเิ ทหะจะเปน็ ผู้ อภิเษกพระราชโอรสให้ครองราชสมบตั ใิ นกรุงมถิ ิลานคร” พระนางสีวลีกราบทูลถึงตัวพระนางเองว่า “เม่ือไม่มีพระองค์ หมอ่ มฉนั จะมชี วี ติ อยไู่ ดอ้ ยา่ งไร” พระโพธสิ ตั วต์ อบวา่ “พระเทวี อาตมา จะบอกใหร้ ู้ เมอื่ เธอใหพ้ ระโอรสครองราชสมบตั ิ กจ็ ะเปน็ เหตใุ หท้ �ำ บาป ทั้งทางกาย วาจา และใจเป็นอันมาก ซึ่งจะทำ�ให้ไปเกิดในนรก การท่ีเราด�ำ รงชพี อยูด่ ว้ ยกอ้ นขา้ วท่ีผูอ้ น่ื ใหน้ ี้ เปน็ ธรรมของนักปราชญ์ ท้งั หลาย”

ท ศ ช า ติ 113 พระมหาชนก ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง กษัตริย์ทั้งสองพระองค์ตรัสโต้ตอบกันพลางเสด็จดำ�เนินไปเช่นน้ี จนอาทิตย์อัสดงจับทิวป่า สาดแสงสีแดงระเร่ือ พระเทวีจึงรับสั่งให้ต้ังค่าย พกั แรม ส่วนพระโพธิสัตว์เสด็จประทบั แรมทีโ่ คนไมแ้ ห่งหน่งึ ตลอดราตรี ครนั้ รงุ่ เชา้ พระโพธสิ ตั วก์ ท็ รงเสดจ็ ด�ำ เนนิ ตามหนทางตอ่ ไป แมพ้ ระเทวี กเ็ สดจ็ ตดิ ตามไปข้างหลงั จนลเุ ขา้ เขตถณู นครในเวลาภิกขาจาร ขณะนั้น มีชายชาวเมืองถูณนครคนหน่ึงซ้ือเน้ือมาจากโรงฆ่าสัตว์ เสียบหลาวย่างไฟจนสุก เอาออกวางไว้ข้างนอกคอยให้เย็น พอเผลอสุนัข ตัวหนึ่งแอบคาบเนื้อช้ินน้ันวิ่งหนีไป เขาวิ่งไล่ตามจนสุนัขออกประตูเมือง เม่ือเห็นว่าวิ่งตามไม่ทันแล้วจึงกลับบ้าน พระโพธิสัตว์กับพระเทวีเสด็จมา ตามทางท่สี นุ ัขว่งิ สวนมา สนุ ขั นน้ั ตกใจกลัวจงึ ทิ้งเนือ้ วิ่งหนีไป พระโพธิสัตว์ทอดพระเนตรเห็นเน้ือน้ัน ทรงรำ�พึงว่า สุนัขท้ิงชิ้นเน้ือ หนีไปแล้ว และเจ้าของคนอ่ืนก็ไม่มี อาหารเช่นนี้ไม่มีโทษ ชื่อว่า “บังสุกุล บณิ ฑบาต” จงึ น�ำ บาตรดนิ ออกมา หยบิ เนอ้ื ชนิ้ นน้ั ขนึ้ มาปดั ฝนุ่ แลว้ ใสล่ งในบาตร เสด็จไปท่านำ้�ท่ีมีนำ้�ใสสะอาด ทรงพิจารณาอาหารบิณฑบาตแล้วเริ่มเสวยเน้ือ ช้ินนั้น พระเทวดี ำ�รวิ ่า “หากพระราชายงั มเี ย่ือใยอยบู่ า้ ง ก็จะไมเ่ สวย เนื้อเดนสุนัขเปื้อนฝุ่น ไม่สะอาด น่าเกลียดน้ี แต่น้ีพระองค์ไม่ใช่ พระราชสวามขี องเราอกี ตอ่ ไปแลว้ ” แมเ้ ชน่ นี้ พระนางกไ็ มส่ ามารถหกั หา้ ม ความรักได้ จึงกราบทูลว่า “ข้าแต่พระมหาราช พระองค์ช่างเสวยเนื้อ ที่น่าเกลียดเช่นน้ีได้” พระโพธิสัตว์ตรัสว่า “เธอยังเขลานัก จะรู้จัก บิณฑบาตที่วิเศษนี้ได้อย่างไร” แล้วทรงเสวยก้อนเนื้อน้ันต่อไปดุจเสวย อมตรส บว้ นพระโอษฐ์ ลา้ งพระหตั ถ์ และพระบาทท่ที า่ นำ้�นัน้

พระมหาชนก 114 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง พระเทวตี �ำ หนิพระราชาวา่ “คนทัว่ ไป แม้อดอาหารมาถงึ ๔ มอ้ื กไ็ มย่ อมกินเนอ้ื เปอื้ นฝ่นุ ไมส่ ะอาด พระองค์สิ ชา่ งเสวยเนื้อเดนสุนขั ไม่สะอาดน่าเกลียดนไี้ ด้ ไมด่ ี ไมง่ ามเลย” พระโพธิสัตว์ตอบว่า “ชิ้นเน้ือนี้เป็นอาหารอาตมา เพราะท้ังคน ทัง้ สนุ ัขต่างกส็ ละแล้ว อาหารที่ได้มาโดยชอบธรรมเป็นของไมม่ โี ทษ” เมื่อสองกษัตริย์ตรัสโต้แย้งกันพลางเสด็จดำ�เนินไปอยู่อย่างน้ี ก็ถึง ประตูถูณนคร ขณะนั้น เด็กในนครกำ�ลังเล่นกันอยู่ เด็กหญิงคนหนึ่งเอากระด้ง น้อยฝัดทรายเล่นอยู่ ทำ�ให้กำ�ไลสองอันที่สวมอยู่ในข้อมือข้างหน่ึงกระทบกัน เกิดเสียง แต่มืออีกข้างหนึ่งไม่มีเสียง พระโพธิสัตว์ดำ�ริว่า พระนางสีวลีตาม หลังมา สตรีย่อมเป็นที่ครหาสำ�หรับบรรพชิต ชนทั้งหลายเห็นก็จะติเตียนได้ว่า บรรพชติ นแ้ี มบ้ วชแลว้ กย็ งั ไมส่ ามารถตดั ขาดจากภรรยา ถา้ เดก็ คนนฉ้ี ลาดจะพดู ท�ำ ใหน้ างสวี ลกี ลบั ได้ จงึ เสดจ็ เขา้ ไปหาเดก็ หญงิ คนนนั้ ตรสั วา่ “หนนู อ้ ย ก�ำ ไลมอื ของหนขู ้างหนึ่งมเี สียง แตอ่ ีกขา้ งหน่ึงทำ�ไมไมม่ เี สยี ง” เด็กหญงิ กล่าวว่า “สมณะ เสยี งเกดิ จากก�ำ ไลสองอนั กระทบกัน แตม่ อื อกี ขา้ งหนงึ่ มกี �ำ ไลอนั เดยี วจงึ ไมม่ เี สยี ง เหมอื นมนุ อี ยตู่ วั คนเดยี ว จงึ สงบนงิ่ สว่ นคนมคี ยู่ อ่ มทะเลาะกนั ถา้ อยคู่ นเดยี วจะทะเลาะกบั ใครได้ หากท่านอยากสงบสุขกจ็ งอยูค่ นเดียวเถดิ ” พระโพธสิ ตั วจ์ งึ ตรสั กบั พระนางสวี ลวี า่ “สวี ลี เธอไดย้ นิ เดก็ พดู แลว้ มิใช่หรือ เสมอเพียงช้ันคนใช้ยังตำ�หนิเราได้ เพราะความท่ีอาตมา เปน็ บรรพชติ เธอเปน็ สตรี เดนิ ตามกนั มา ยอ่ มเปน็ เหตใุ หเ้ กดิ ขอ้ ครหา เราจะแยกกันบนทางสองแพร่งน้ี เธอเดนิ ไปตามทางหนง่ึ สว่ นอาตมา ก็จะเดินไปอีกทางหนึ่ง จากน้ีต่อไปอย่าเรียกอาตมาว่าเป็นสวามีเธอ และอาตมากจ็ ะไม่เรยี กเธอวา่ เปน็ มเหสีอาตมา”

ท ศ ช า ติ 115 พระมหาชนก ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง พระนางสวี ลกี ราบทลู วา่ “ถา้ เชน่ นน้ั พระองคเ์ ปน็ กษตั รยิ ์ จงเดนิ ไปตามทางขวา สว่ นหม่อมฉนั เปน็ สตรี จะเดนิ ไปตามทางซา้ ย” คร้ัน พระเทวีเสด็จไปได้ครู่หนึ่ง ไม่สามารถจะอดกลั้นโศกาอาดูรได้ จึงเสด็จตาม พระราชามาอีกเหมอื นเดมิ แลว้ เข้าถูณนครพรอ้ มกนั พระโพธิสัตว์เสด็จเท่ียวบิณฑบาตจนถึงประตูเรือนช่างศร แม้พระนาง สีวลีก็เสด็จตามมาประทับยืนอยู่ข้างหลัง ช่างศรน่ังท่ีริมประตูบ้านกำ�ลังลน ลูกศรที่ถ่านเพลิง เอาน้ำ�ข้าวทาลูกศร หลับตาข้างหนึ่ง เล็งดูท่ีคดด้วยตา ขา้ งหนง่ึ ดดั ลูกศรใหต้ รง พระโพธสิ ตั ว์ทอดพระเนตรเหน็ ดังน้นั ทรงด�ำ รวิ ่า ถ้าช่างศรฉลาดกจ็ ะ พดู อะไรทเ่ี ปน็ ประโยชนต์ อ่ เรา จงึ เสดจ็ เขา้ ไปหาชา่ งศรแลว้ ตรสั ถามชา่ งศรนน้ั วา่ “ช่างศร ทำ�ไมท่านจงึ หลบั ตาข้างหนง่ึ เลง็ ดลู ูกศรดว้ ยตาข้างหน่ึง” ชา่ งศรกราบทลู วา่ “ทา่ นสมณะ การเลง็ ดว้ ยตาทงั้ ๒ ขา้ ง จะเหน็ กว้างไป จึงไม่เห็นที่คด ไม่สามารถดัดลูกศรให้ตรงได้ ถ้าหลับตา ขา้ งหนง่ึ เลง็ ดทู คี่ ดดว้ ยตาอกี ขา้ งหนงึ่ กจ็ ะสามารถเหน็ ทค่ี ด และดดั ลกู ศร ให้ตรงได้ คนมีคู่จึงทะเลาะกัน ถ้าอยู่กันคนเดียวแล้ว จะไปทะเลาะ กับใครเล่า หากท่านอยากสงบสุขจงอยู่คนเดียวเถิด ปกติสมณะ ทัง้ หลายจะไมพ่ าแมน้ ้องสาวเท่ยี วไปดว้ ย แตเ่ หตุไรทา่ นจึงพาภรรยา รูปร่างงดงามติดตามไปด้วย ภรรยานี้จะทำ�ให้ท่านเกิดอันตราย ท่านจงให้ภรรยากลบั ไป อย่คู นเดยี ว บ�ำ เพญ็ สมณธรรมเถิด” พระโพธิสัตว์เสด็จเที่ยวบิณฑบาต ได้ภัตตาหารที่เจือปนแล้วเสด็จ ออกจากพระนคร ประทบั นัง่ เสวยที่ท่าน้�ำ แห่งหนึ่ง คร้ันเสวยเสร็จแลว้ ทรงบว้ น พระโอษฐ์ ล้างบาตรเก็บเข้าถงุ แลว้ ตรสั กับพระนางสีวลวี า่ “สวี ลี เธอได้ยิน ท่ีช่างศรพูดแล้วมิใช่หรือ ช่างศรเสมอเพียงคนใช้ยังติเตียนเราได้ เพราะความท่ีอาตมาเป็นบรรพชิต ส่วนเธอเป็นสตรี เดินตามกันมา

พระมหาชนก 116 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ย่อมทำ�ให้เกิดข้อครหา เราจะตอ้ งแยกกนั บนทางสองแพร่งนี้ เธอเดิน ไปทางหนึง่ ส่วนอาตมากจ็ ะเดนิ ไปอกี ทางหนึง่ จากน้ตี ่อไปอย่าเรยี ก อาตมาว่าเป็นพระสวามีของเธอ และอาตมาก็จะไม่เรียกเธอว่าเป็น มเหสอี าตมาอกี ” แม้พระนางสีวลีเทวีจะถูกพระโพธิสัตว์ห้ามเรียกพระองค์ว่าพระสวามี ก็ยังเสด็จติดตามไปอย่างไม่ละความพยายาม พระโพธิสัตว์เองก็ไม่สามารถให้ พระนางสีวลกี ลบั ได้ แมม้ หาชนก็ตามเสด็จพระองค์อยู่น่ันเอง ครั้นแล้ว พระโพธิสัตว์ทอดพระเนตรเห็นแนวป่าใหญ่เขียวชอุ่มอยู่ เบ้ืองหน้า เมื่อดำ�เนินไปได้ทอดพระเนตรเห็นหญ้ามุงกระต่ายข้างทาง จึงถอน หญ้ามุงกระต่ายข้นึ มา แลว้ ตรสั กับพระเทวีว่า “สวี ลี เธอดหู ญ้ามุงกระตา่ ย นสี่ ิ หญา้ มงุ กระตา่ ยทตี่ ดิ กนั อยแู่ ตเ่ ดมิ บดั น้ี อาตมาถอนขนึ้ แลว้ ไมอ่ าจ ตอ่ กนั ไดอ้ กี จากนต้ี อ่ ไป การอยรู่ ว่ มกนั ระหวา่ งเราสองคนไมม่ อี กี แลว้ เธอจงอยู่คนเดยี ว แม้อาตมาก็จะอยู่คนเดยี วเช่นกัน” พระเทวไี ดฟ้ งั เชน่ นนั้ แลว้ เกดิ ความเศรา้ โศกเสยี ใจวา่ จากนไ้ี ปจะไมไ่ ด้ อยรู่ ว่ มกบั พระมหาชนกนรนิ ทรราชอกี แลว้ พระนางไมอ่ าจอดกลน้ั ความเศรา้ โศก เสียใจได้ ก็ทุบพระอุระด้วยพระหัตถ์ท้ังสอง ทรงร้องไห้อย่างน่าสงสาร คร้ันแลว้ กห็ มดสติถึงวิสัญญีภาพสลบล้มลงไปในระหว่างทาง พระโพธสิ ัตว์ทราบว่าพระนางสลบไปแล้ว แม้จะสงสารเหลอื ประมาณ แต่ก็ตัดใจรบี สาวเทา้ เสดจ็ หายเขา้ ไปในป่าใหญ่ เมื่อพระนางสีวลีฟื้นแล้ว เสด็จลุกขึ้นตรัสถามถึงพระราชา ให้เที่ยว ค้นหากไ็ มพ่ บ พระนางร้องไห้ปริเทวนาการปิม่ จะขาดใจ แลว้ ให้สรา้ งพระเจดีย์ ตรงท่ีพระราชาประทับยืน บูชาด้วยของหอมและดอกไม้ แล้วเสด็จกลับกรุง มถิ ลิ านคร

ท ศ ช า ติ 117 พระมหาชนก ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ฝ่ายพระโพธิสัตว์เสด็จเข้าป่าหิมวันต์ เจริญสมณธรรมจนได้บรรลุ อภิญญาและสมาบัติภายใน ๗ วัน มิได้เสด็จมาสู่ถ่ินมนุษย์อีกเลยตลอด พระชนม์ชพี ขณะพระนางสีวลีเสด็จกลับ โปรดให้สร้างพระเจดีย์หลายองค์ใน ระหว่างทาง ณ ที่ที่พระโพธิสัตว์ตรัสกับช่างศร ตรัสกับเด็กหญิง เสวยเน้ือที่ สุนัขท้ิง ตรัสกบั มหามิคาชินฤๅษี และตรัสกบั มหานารทฤๅษี บชู าดว้ ยของหอม และดอกไม้ ภายหลังเสด็จไปถึงมิถิลานครแล้ว ทรงอภิเษกพระราชโอรส ณ พระราชอุทยานอัมพวัน ทรงส่งพระราชโอรสพร้อมทั้งจตุรงคเสนา เข้า พระนครไป ส่วนพระองค์ทรงผนวชประทับอยู่ ณ พระราชอุทยานนั้น ทรงเพ่ง กสณิ บริกรรมจนได้บรรลฌุ าน ไม่เสือ่ มจากฌาน เมื่อสน้ิ พระชนมแ์ ลว้ ไดไ้ ปเกิด ในพรหมโลก ฝา่ ยพระมหาชนกกไ็ ดไ้ ปเกิดในพรหมโลก เชน่ กัน กลับชาติมาเกดิ สมัยพทุ ธกาล พระศาสดาตรัสว่า มิใช่แต่ในชาติน้ีเท่าน้ันที่ตถาคตออกบวช แม้ใน ชาติก่อนตถาคตก็ออกบวชเช่นกัน แล้วสรุปชาดกว่า “ท้าวสักกเทวราชใน อดตี ชาตนิ น้ั ไดม้ าเกดิ เปน็ พระอนรุ ทุ ธะในชาตนิ ้ี พราหมณท์ ศิ าปาโมกข์ ได้มาเกิดเป็นพระมหากัสสปะ นางมณีเมขลา เทพธิดาผู้รักษาสมุทร ไดม้ าเกดิ เปน็ อบุ ลวรรณาภกิ ษณุ ี นารทฤๅษไี ดม้ าเกดิ เปน็ พระสารบี ตุ ร มิคาชินฤๅษีได้มาเกิดเป็นพระโมคคัลลานะ เด็กหญิงได้มาเกิดเป็น นางเขมาภิกษุณี ช่างศรได้มาเกิดเป็นพระอานนท์ ราชบริษัทที่เหลือ ไดม้ าเป็นพุทธบรษิ ัท สีวลีเทวีได้มาเกดิ เป็นมารดาราหลุ ทฆี าวกุ ุมาร ไดม้ าเกดิ เปน็ ราหลุ พระชนกพระชนนไี ดม้ าเกดิ เปน็ มหาราชศากยสกลุ สว่ นพระมหาชนกนรนิ ทรราช คือ เราพระสัมมาสัมพทุ ธเจา้ นเ่ี อง”



พระสุวรรณสาม ตำ�นานคนกตัญญู “ความทกุ ข์เพราะถกู ยิงดว้ ยธนู ไมท่ ุกข์นกั แต่ความทกุ ข์ทีจ่ ะไม่ไดเ้ หน็ บิดามารดาตลอดไป เปน็ ทุกขย์ งิ่ กวา่ ถูกยิงดว้ ยธนู”

120 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง พระพุทธเจ้าตรัสเล่าถึงเรื่องราวในอดีตชาติของ พระองค์ ขณะบำ�เพ็ญ “เมตตาบารมี” เมื่อครั้ง เกิดเปน็ สวุ รรณสาม ชายหนุ่มผู้มจี ติ ใจออ่ นโยนเป่ียมไปดว้ ยเมตตา สุวรรณสาม ได้ท้ิงความสุขสนุกสนานตามประสาเด็กหนุ่มทั้งหลาย เล้ียงดูพ่อแม่ตาบอด ไม่เสียดายแม้กระท่ังชีวิต เพราะความรักความเมตตาที่มีต่อพ่อแม่ผู้ตาบอด ใชช้ วี ิตอยูท่ า่ มกลางป่า มีสัตว์ป่าเปน็ เพื่อน สุวรรณสามชาดก ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก มหานบิ าต และอรรถกถา ขุททกนิกาย ชาดก มหานิบาต ขณะตรสั เลา่ เรอื่ งสวุ รรณสามนนั้ พระพทุ ธองคป์ ระทบั อยทู่ พ่ี ระเชตวนั มหาวิหาร อารามที่ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีซื้ออุทยานพระกุมารพระนามว่า “เชต” สร้างถวาย พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญพระภิกษุรูปหน่ึง ผู้บิณฑบาต เล้ียงบิดามารดา เพื่อจะยกย่องพระภิกษุผู้เล้ียงดูบิดามารดาด้วยส่ิงของที่ ชาวบา้ นถวายวา่ เปน็ พระภกิ ษยุ อดกตญั ญู ใหเ้ ปน็ แบบอยา่ งแกพ่ ระภกิ ษุ ทง้ั ปวง พระพุทธองคจ์ ึงตรสั เรือ่ งราวในอดตี ชาตขิ องพระองค์ พระภกิ ษุผูเ้ ลย้ี งบดิ ามารดา ในกรุงสาวัตถี มีตระกูลเศรษฐีตระกูลหน่ึง มีทรัพย์สมบัติ ๑๘ โกฏิ มลี กู ชายสืบสกลุ เพียงคนเดยี ว บิดามารดาจึงรกั และทะนถุ นอมมาก วันหนึ่ง ลูกชายเศรษฐีเปิดหน้าต่างบนปราสาทออก มองเห็นผู้คน จำ�นวนมากท่ีถนนใหญ่ ทุกคนต่างถือดอกไม้ธูปเทียนเดินตามกันไปฟัง พระธรรมเทศนาที่พระเชตวันมหาวิหาร ก็นึกอยากไปกับเขาบ้าง จึงให้คนใช้ ถือดอกไม้ธูปเทียนตามผู้คนไปพระวิหาร ครั้นจัดแจงถวายผ้า เภสัช และ นำ้�ปานะแด่พระสงฆ์แล้ว จึงนำ�ดอกไม้ธูปเทียนไปบูชาพระพุทธเจ้า แล้วน่ังฟัง พระธรรมเทศนาอยู่ในท่ีท่ีสมควร ขณะที่ฟังเทศน์อยู่นั้น บุตรเศรษฐีเห็นโทษ

ท ศ ช า ติ 121 พ ร ะ สุ ว ร ร ณ ส า ม ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ในการใช้ชีวิตแบบฆราวาสจึงเกิดศรัทธาในการบวช เมื่อผู้คนลุกออกไปแล้ว จึงตรงเขา้ ไปถวายบังคมพระผมู้ ีพระภาคเจา้ ทูลขอบวช พระพุทธองค์ตรัสว่า พระองค์ไม่บวชให้กุลบุตรท่ียังไม่ได้รับอนุญาต จากบิดามารดา ชายหนุ่มจึงถวายบงั คมพระผู้มีพระภาคเจ้ากลับบ้าน กราบบดิ า มารดาขอบวชกบั พระพุทธเจ้า บิดามารดาได้ยินเช่นนั้นราวกับหัวใจจะแตกสลาย เพราะมีลูกชาย คนเดียว เกิดหว่ันไหวเพราะความรักลูก จึงพูดกับลูกชายว่า “ลูกเป็นที่รัก เป็นผู้สืบสกุล เป็นดวงตา เป็นชีวิตของพ่อกับแม่ทั้งสอง พ่อกับแม่ ขาดลูกจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร พ่อกับแม่อยู่ได้เพราะลูก เราทั้งสอง ก็แก่แล้ว จะตายวันตายพรุ่งก็ยังไม่รู้ ลูกยังจะท้ิงพ่อกับแม่ไปเสียอีก การบวชไมใ่ ชเ่ รอื่ งง่าย ทัง้ ทำ�ไดย้ ากยงิ่ อยากกนิ ของเยน็ ก็ไดข้ องร้อน อยากกนิ ของรอ้ นก็ได้ของเย็น ลกู อย่าบวชเลย” เมื่อชายหนุ่มไม่ได้รับอนุญาตให้บวชจึงเกิดความทุกข์ใจ นั่งก้มหน้า ซมึ เศร้า ครนุ่ คดิ ถงึ ชวี ติ ภายใต้รม่ ผ้ากาสาวพัสตร์ ไมย่ อมกินอาหารถึง ๗ วัน บิดามารดาปรึกษากันว่า “ถ้าไม่อนุญาตให้ลูกบวชก็คงจะตาย เราจะไม่ได้เห็นเขาอีกเลย ถึงลูกบวชเป็นพระภิกษุก็ยังได้เห็นหน้า ต่อไป ยังดีกว่าตาย” คร้นั เห็นตรงกนั อย่างนี้จงึ อนุญาตใหล้ ูกบวช ชายหนุ่ม ดีใจมากจึงน้อมลงกราบแทบเท้าบิดามารดา ออกจากกรุงสาวัตถีมุ่งตรงไปยัง พระเชตวนั มหาวิหาร ถวายบังคมพระผมู้ พี ระภาคเจ้าทูลขอบรรพชา พระศาสดารับส่ังพระภิกษุรูปหนึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์บวชให้กุลบุตรนั้น เปน็ สามเณร ตง้ั แตส่ ามเณรบวชแลว้ ลาภสกั การะเกิดขนึ้ มากมาย เพราะพอ่ แม่ ขา้ ทาสบรวิ ารจดั ขา้ วของมาถวายเปน็ ประจ�ำ

พ ร ะ สุ ว ร ร ณ ส า ม 122 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง คร้ันอยู่ต่อมา สามเณรก็ได้รับการอุปสมบทเป็นพระภิกษุ เล่าเรียน ธรรมะอยกู่ ับพระอุปชั ฌาย์และอาจารย์ ๕ พรรษา จึงคดิ ว่า อยู่ทน่ี ี้กเ็ กลื่อนกล่น ไปดว้ ยหมญู่ าติ ไม่สมควร ต้องการบ�ำ เพ็ญวปิ สั สนาธุระ จงึ เรยี นพระกรรมฐาน จากพระอุปัชฌาย์แล้วจาริกออกจากวิหารเชตวัน ไปอาศัยอยู่ในป่าใกล้หมู่บ้าน ชายแดนแห่งหนึ่ง พระภิกษุรูปน้ันเจริญวิปัสสนาในป่าแห่งนั้น ด้วยความเพียรพยายาม อย่างแรงกล้า แม้เพียรพยายามอยู่ถึง ๑๒ ปี ก็ไม่สามารถบรรลุธรรมข้ันใด ขน้ั หนึง่ ได้ ชีวิตที่เปลีย่ นไป ฝ่ายโยมบิดามารดาของพระภิกษุรูปน้ันอายุมากแล้ว เมื่อวันเวลา ล่วงเลยไป สังขารร่างกายก็แก่ชราร่วงโรยลง เพราะขาดลูกชาย จิตใจก็ ห่อเห่ยี ว ไมม่ ีจติ ใจจะบริหารกจิ การงาน เหล่าชนที่ประกอบการพาณิชยก์ ค็ ดโกง เพราะคิดว่าสกุลน้ีไม่มีบุตรหรือพ่ีน้องคอยควบคุม ดูแล ฟ้องร้อง เอาโทษ เม่อื มีโอกาสคดโกง พวกเขาก็ใสห่ นส้ี ินยักยอกทรพั ย์ตามชอบใจ แมก้ ระทัง่ ทาส และกรรมกรในเรือนก็แอบยักยอกเงินทองทรัพย์สมบัติหลบหนีไป จึงกลายเป็น คนขัดสนลงทกุ ขณะ คร้ันอยู่ต่อมา คนชราทั้งสองจึงกลายเป็นคนตกทุกข์ได้ยาก ส้ินเน้ือ ประดาตัว ไม่มีแม้กระทั่งนำ้�ท่ีจะล้างมือ จำ�ต้องขายเรือน แม้เช่นนั้นก็ยังถูก คดโกง จงึ ไมม่ เี รอื นอยอู่ าศยั กลายเปน็ ผทู้ นี่ า่ สงสารอยา่ งยง่ิ นงุ่ หม่ ผา้ เกา่ คร�ำ่ ครา่ ถอื กระเบอื้ งเทีย่ วขอทานไปในที่ตา่ ง ๆ ในกาลน้ัน ได้มีพระเถระรูปหนึ่งจาริกออกจากพระเชตวันมหาวิหาร ไปถงึ ทอ่ี ยขู่ องพระภกิ ษผุ เู้ ปน็ บตุ รเศรษฐอี นาถานน้ั พระภกิ ษผุ เู้ ปน็ บตุ รเศรษฐนี น้ั ทำ�อาคันตุกวัตรปฏิสันถารต้อนรับให้พักครู่หนึ่งแล้วจึงถามถึงท่ีมาของพระเถระ

ท ศ ช า ติ 123 พ ร ะ สุ ว ร ร ณ ส า ม ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ครน้ั ทราบวา่ มาจากพระเชตวนั จงึ ถามถงึ ความผาสกุ แหง่ พระศาสดาและพระมหา สาวกทง้ั หลาย แลว้ เลยี บเคยี งถามถงึ ขา่ วคราวความเปน็ อยขู่ องสกลุ เศรษฐผี เู้ ปน็ บิดามารดาในกรุงสาวัตถี พระภกิ ษอุ าคนั ตกุ ะตอบวา่ “ทา่ นอยา่ ถามถงึ ขา่ วคราวสกลุ นนั้ เลย ทราบมาวา่ สกลุ นน้ั มลี ูกชายคนเดียวบวชเปน็ พระภกิ ษุ ตงั้ แต่เขาบวช สกลุ นั้นกเ็ ร่มิ เสื่อมไป บดั นี้ เศรษฐผี เู้ ฒ่าท้งั สองนา่ สงสารย่งิ เป็นคน อนาถาไร้เรือนนอน ต้องระเหเร่ร่อนถือกระเบื้องเที่ยวขอทาน นอน ตามชายคาบา้ นคนอืน่ ” พระภิกษุผู้เป็นบุตรเศรษฐีได้ยินเช่นนั้น ไม่อาจทรงตัวอยู่ได้ พลนั น�ำ้ ตากเ็ ออ่ ทน้ ออกมา รอ้ งไหน้ �้ำ ตานองหนา้ ดว้ ยความรสู้ กึ ผดิ และ เสยี ใจกับสง่ิ ทีเ่ กดิ ข้นึ พระเถระจึงถามว่า “เธอร้องไห้ทำ�ไม” พระภิกษุผู้เป็นบุตรเศรษฐี ตอบวา่ “ท่านท้งั สองคนน้ันเปน็ บิดามารดาของกระผมเอง กระผมเปน็ บตุ รชายของทา่ น” พระเถระต�ำ หนพิ ระภิกษหุ น่มุ รปู นน้ั อย่างรุนแรงว่า “บดิ า มารดาถงึ ความพนิ าศล่มจมเพราะท่านคนเดยี ว กลับไปปรนนิบัตทิ า่ น อย่าให้ได้รบั ความลำ�บากอกี ต่อไป” พระภิกษุหนุ่มผู้เป็นบุตรเศรษฐีคิดว่า แม้ตัวท่านเองจะเพียรพยายาม ปฏิบัติธรรมอยู่ถึง ๑๒ ปี ก็ไม่สามารถบรรลุมรรคผลอย่างไรเลย เห็นจะเป็น คนอาภัพในพระศาสนา แล้วจะมีประโยชน์อะไรท่ีจะบวชอยู่อีกต่อไป แม้สึกไป เปน็ คฤหสั ถเ์ ลยี้ งดบู ดิ ามารดา ท�ำ บญุ ใหท้ าน ตายไปกไ็ ดไ้ ปเกดิ ในสวรรคเ์ ชน่ กนั จึงตัดสินใจท่ีจะลาสิกขา ได้มอบสถานที่อยู่ในป่าให้พระเถระนั้นช่วยดูแลต่อไป กราบลาพระเถระ ครั้นรุ่งข้ึน จึงออกจากป่าเดินทางไปโดยลำ�ดับจนลุถึง วิหารหลังพระเชตวัน ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากกรุงสาวัตถีมากนัก ณ ที่ตรงน้ันมีทาง สองแพร่ง ทางหน่ึงไปพระเชตวัน อกี ทางหน่งึ ไปกรงุ สาวตั ถี

พ ร ะ สุ ว ร ร ณ ส า ม 124 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง พระภิกษุหนุ่มหยุดยืนครุ่นคิดอยู่บนทาง ๒ แพร่งว่า จะไปหาบิดา มารดากอ่ น หรอื จะไปเฝา้ พระบรมศาสดากอ่ น แลว้ คดิ ตอ่ ไปวา่ เราไมไ่ ดเ้ หน็ หนา้ บิดามารดานานมากแล้วก็จริง แต่ต่อจากน้ีไป เราจะได้เฝ้าพระพุทธเจ้า ยากมาก เอาเถอะ ถงึ อย่างไรเราก็จะได้พบบิดามารดาอยแู่ ล้ว วันนี้ เราจะไป เฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อน รุ่งข้ึนค่อยไปหาบิดามารดาแต่เช้า จึงเปล่ียน เสน้ ทางทจ่ี ะไปกรงุ สาวตั ถี มงุ่ หนา้ ไปพระเชตวนั มหาวหิ าร ถงึ พระเชตวนั เมอื่ เวลา เยน็ แล้ว ซ่ึงเป็นเวลาทพ่ี ระพุทธเจา้ แสดงธรรม ใกล้รุ่งวนั ทีพ่ ระภกิ ษหุ นมุ่ รปู นนั้ เดินทางถงึ กรุงสาวัตถนี ั่นเอง พระบรม ศาสดาทรงตรวจดูสัตว์โลก ทรงเห็นอุปนิสัยพระภิกษุหนุ่มรูปน้ีว่า มีบุญเคยทำ� ไว้ในชาติกอ่ น พอที่พระองคจ์ ะอนุเคราะหใ์ ห้บรรลธุ รรมได้ เยน็ วันนนั้ พระองค์ จึงแสดงพระธรรมเทศนาพรรณนาคณุ ของบดิ ามารดา เรอื่ ง “มาตโุ ปสกสูตร” เป็นเรื่องเก่ียวกับมาตุโปสกพราหมณ์ ผู้เลี้ยงดูบิดามารดา ได้แสวงหาภิกษา โดยชอบนำ�มาเลี้ยงบิดามารดา เกิดความสงสัยว่า การที่ตนทำ�เช่นน้ีช่ือว่า ได้ทำ�กิจที่ควรท�ำ หรอื ไม่ จึงไดท้ ลู ถามพระพทุ ธองค์ พระบรมศาสดาได้ตรัสว่า พราหมณ์ทำ�ส่ิงท่ีชอบยิ่ง การทำ�เช่นนี้ ชอ่ื วา่ ไดท้ ำ�กิจท่ีควรทำ�แล้ว ด้วยวา่ ผูใ้ ดแสวงหาภิกษาโดยชอบ แลว้ น�ำ มาเล้ียง บิดามารดา ผู้น้ันย่อมได้บุญเป็นอันมาก พระพุทธองค์ได้ตรัสคาถาประพันธ์ เพ่มิ เตมิ ว่า “บุคคลใดเลี้ยงดูบิดามารดาโดยชอบ เพราะการบำ�รุงบิดา มารดาน่ันเอง บัณฑิตจึงสรรเสริญเขาผู้น้ัน เขาละจากโลกน้ีไปแล้ว ยอ่ มบันเทงิ อยูใ่ นสวรรค์” ในเวลาที่พระภิกษุหนุ่มเดินทางมาถึง ท่านได้ยืนอยู่ท้ายบริษัท สดบั ธรรมกถาอนั ไพเราะ จงึ ร�ำ พงึ ในใจวา่ “เราคดิ ไวว้ า่ จะสกึ ไปเปน็ คฤหสั ถ์ เพอ่ื เลยี้ งดบู ดิ ามารดา แตพ่ ระบรมศาสดาตรสั วา่ แมบ้ วชเปน็ พระภกิ ษุ

ท ศ ช า ติ 125 พ ร ะ สุ ว ร ร ณ ส า ม ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ก็สามารถเล้ียงดูบิดามารดาได้ ถ้าเราไม่ตัดสินใจมาเฝ้าพระศาสดา กอ่ น กจ็ ะเสอ่ื มจากการบวชทมี่ คี ณุ มากมายเชน่ นี้ เราไมจ่ �ำ เปน็ ตอ้ งสกึ ออกไปเปน็ คฤหสั ถ์ บวชเปน็ พระภกิ ษอุ ยนู่ แี่ หละ จะเลย้ี งดบู ดิ ามารดา” พระภิกษุรูปน้ันถวายบังคมพระบรมศาสดาแล้วออกจากพระเชตวัน ไปสู่โรงสลาก รับอาหารและข้าวต้มตามสลาก บวชเป็นภิกษุอยู่ป่ามา ๑๒ ปี ไม่เคยรับอาหารจากโรงสลาก นอกจากเดินบิณฑบาตด้วยลำ�แข้งเลี้ยงชีพมา ตง้ั แตว่ นั ทอี่ อกบวช วันนี้ตอ้ งมาเดนิ เขา้ โรงสลากรบั อาหารจงึ รสู้ กึ เกอ้ เขนิ ทำ�ตวั ไมถ่ กู เหมอื นคนท่พี ่ายแพ๑้ พระภิกษุรูปนั้นเข้าไปยังกรุงสาวัตถีแต่เช้าตรู่ กลับคิดว่า เราจะรับ ข้าวต้มก่อน หรือจะไปหาบิดามารดาก่อน แล้วคิดว่า การมีมือเปล่าไปหา คนอนาถาไม่สมควร จึงรับข้าวต้มในโรงทานแล้วไปสถานท่ีซ่ึงเคยเป็นเรือนของ บิดามารดา ได้เห็นบิดามารดาเที่ยวขออาหารจากชาวบ้าน เมื่อได้อาหารแล้ว ก็เข้าไปแอบอาศัยริมชายคาเรือนคนอ่ืนนั่งอยู่ กลายเป็นคนกำ�พร้าเข็ญใจ ถึงขนาดน้ี ท่านจึงเกิดความเศร้าโศกอย่างมาก ไม่อาจจะอดกลั้นน้ำ�ตาไว้ได้ จึงเข้าไปยนื อยใู่ กล้ ๆ บิดามารดา บิดามารดาเห็นท่านแล้วแต่ก็จำ�ไม่ได้ คิดว่าเป็นพระภิกษุมายืนรอ รับบิณฑบาต จึงกล่าวว่า “ของเค้ียวของฉันที่ควรถวายพระคุณเจ้าไม่มี นิมนต์ไปโปรดสัตวข์ า้ งหนา้ เถิด” ๑ ปฏิปทาของพระภิกษุในพระพุทธศาสนา คือ การบิณฑบาตเลี้ยงชีพ หาก ร่างกายยังแข็งแรง ไม่อาพาธ จะไม่รับภัตตาหารจากโรงทาน การท่ีพระภิกษุหนุ่มรูปน้ี รบั ภตั ตาหารจากโรงทาน ท่านจงึ เกดิ ความรสู้ ึกเหมือนพ่ายแพต้ อ่ อุดมการณ์ของตน

พ ร ะ สุ ว ร ร ณ ส า ม 126 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง พระภิกษุหนุ่มได้ยินบิดามารดาพูดเช่นน้ัน พลันก้อนสะอ้ืน ก็วิ่งข้ึนมาจุกอยู่คอหอย เกิดความเศร้าโศกเกินท่ีจะอดกล้ันไว้ได้ โลกทั้งโลกหมุนคว้างทำ�อะไรไม่ถูก จึงยืนร้องไห้น้ำ�ตานองหน้า อยู่ตรงนั้น เพราะได้รับความสะเทือนใจจากภาพท่ีเห็น แม้มารดาจะ กลา่ วซ้ำ�อกี สองครั้งสามครัง้ ก็ยังยืนน่ิงอยนู่ นั่ เอง บิดาของพระภิกษุรูปนั้นรู้สึกคล้ายลูกชายตน จึงบอกให้มารดาเดินไป ดูใกล้ ๆ นางจึงลุกขึ้น เดินเข้าไปหา มองดูถนัดก็จำ�ได้ จึงหมอบลง ร้องไห้ สะอกึ สะอ้ืนแทบเท้าพระภิกษุผู้เปน็ ลกู ชาย ฝ่ายบิดาเดินไปบ้างก็ร้องไห้อยู่ตรงน้ันเหมือนกัน พระภิกษุหนุ่มเห็น บิดามารดาก็ไม่อาจจะทรงกายอยู่ได้ จึงร้องไห้ด้วยความรู้สึกผิด กล่าวว่า “โยมทง้ั สองอยา่ คดิ อะไรเลย อาตมาจะเลยี้ งดโู ยมทง้ั สองไมใ่ หล้ �ำ บาก อีกต่อไป” ปลอบโยนบิดามารดาให้อุ่นใจแล้ว ให้กินข้าวต้ม ให้น่ังพักในที่ อันควรแห่งหน่ึงแล้ว ไปบิณฑบาตมาให้บิดามารดาบริโภคก่อน แล้วจึงไป บิณฑบาตส�ำ หรับตนอีกรอบหนึ่ง จากน้ันมา พระภิกษุหนุ่มจึงได้ปฏิบัติบิดามารดาท้ังสองโดยทำ�นองนี้ ได้อาหารสิ่งใดมาก็นำ�มาให้บิดามารดา ส่วนตนออกบิณฑบาตฉันเองทีหลัง เม่ือบิณฑบาตไม่ได้ก็อด เมื่อมีผู้ถวายผ้าจำ�นำ�พรรษาหรือผ้าอย่างใดอย่างหน่ึง ก็น�ำ มาให้บิดามารดา ส่วนตนซกั ยอ้ มผ้าเก่า ๆ ท่ีบดิ ามารดานุง่ หม่ นำ�มาเย็บ ยอ้ มท�ำ เป็นจวี รนุ่งหม่ เอง วันท่ีออกบิณฑบาตได้อาหารมีน้อย แต่วันท่ีบิณฑบาตไม่ได้มีมาก ผ้านุ่งผ้าห่มของพระภิกษุน้ันก็เศร้าหมองเต็มที เม่ือท่านปฏิบัติเลี้ยงดูบิดา มารดาอยู่อย่างน้ัน ร่างกายก็ผ่ายผอม ผิวพรรณก็เศร้าหมอง ไม่ผ่องใส ทั้งรา่ งกายก็ปูดโปนไปด้วยเสน้ เอน็

ท ศ ช า ติ 127 พ ร ะ สุ ว ร ร ณ ส า ม ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง หมู่พระภิกษุท่ีเป็นเพ่ือนผู้คุ้นเคยกับภิกษุนั้น รู้สึกแปลกตาที่เห็นท่าน ผวิ พรรณเศรา้ หมองผดิ ปกติ จงึ ถามวา่ “เมอื่ กอ่ นรา่ งกายผวิ วรรณะของเธอ งามสดใส แตท่ �ำ ไมเดยี๋ วนจ้ี งึ ผ่ายผอม เศรา้ หมอง ไม่ผ่องใส รา่ งกาย ก็ปูดโปนไปด้วยเส้นเอ็น เธอมีโรคอะไรบ้างหรือเปล่า” พระภิกษุนั้น ตอบว่า “ผมไม่มีโรคอะไร แต่มีความกังวลบางอย่าง” จึงบอกข้อที่ตน บิณฑบาตเลีย้ งดูบดิ ามารดาให้เพ่อื นภิกษทุ ราบ พระภิกษุเหล่านั้นจึงกล่าวว่า “พระศาสดาไม่อนุญาตให้ภิกษุ ทำ�ชาวบ้านให้เสื่อมศรัทธา การท่ีเธอนำ�ของท่ีเขาให้ด้วยศรัทธาไปให้ คฤหสั ถ์เช่นน้ี เปน็ เหตใุ หช้ าวบ้านเสอื่ มศรทั ธา เปน็ สงิ่ ทไ่ี ม่สมควร” พระภิกษุหนุ่มรูปนั้นรู้สึกละอายใจท่ีถูกเพื่อนพระด้วยกันตำ�หนิ จึงละทิ้งการเลี้ยงดูบิดามารดาผู้แก่ชรา แม้เช่นนั้น พวกภิกษุก็ยังไม่พอใจ จงึ พากนั ไปเฝา้ พระผมู้ พี ระภาคเจา้ กราบทลู วา่ “ขา้ แตพ่ ระองคผ์ เู้ จรญิ ภกิ ษุ รูปโน้นนำ�ของที่เขาถวายดว้ ยศรทั ธาไปเล้ียงดคู ฤหัสถ์” พระศาสดาตรัสเรียกพระภิกษุหนุ่มมาตรัสถาม ท่านกราบทูลรับตาม ความเปน็ จริง เม่อื จะทรงสรรเสริญการกระทำ�ของเธอ และต้องการจะประกาศ ข้อปฏิบัติในอดีตชาติของพระองค์ จึงตรัสถามว่า “คฤหัสถ์ท่ีเธอเลี้ยงดูนั้น เป็นใคร” พระภิกษุหนุ่มกราบทูลว่า “ท่านทั้งสองเป็นบิดามารดาของ ข้าพระองค์” เพ่ือจะให้กำ�ลังใจพระภิกษุหนุ่มรูปน้ัน พระบรมศาสดาจึง ทรงประทานสาธุการแล้วตรัสว่า “เธอปฏิบัติตามปฏิปทาท่ีตถาคตปฏิบัติ มาแลว้ แมเ้ มอ่ื ครง้ั ทต่ี ถาคตยงั ประพฤตบิ รุ พจรยิ า กไ็ ดบ้ �ำ รงุ เลยี้ งบดิ า มารดามาก่อนเชน่ กัน” พระภิกษุหนุ่มกลับไดค้ วามชมุ่ ชนื่ เบกิ บานใจ หมู่ภิกษุกราบทูลวิงวอนให้ทรงตรัสเล่าเรื่องข้อประพฤติในกาลก่อน พระบรมศาสดาจึงทรงนำ�อดีตชาติมาแสดง เพ่ือจะทำ�ให้การเลี้ยงดูบิดามารดา ท่ีเปน็ บรุ พจริยาของพระองคแ์ จม่ ชัดย่งิ ขนึ้

พ ร ะ สุ ว ร ร ณ ส า ม 128 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ค�ำ มัน่ สญั ญา ในอดตี ชาติ มหี มบู่ า้ นนายพราน ๒ หมบู่ า้ น อยไู่ มไ่ กลจากกรงุ พาราณสี หมบู่ ้านหน่งึ ๆ มีนายพรานอย่รู วมกนั ประมาณ ๕๐๐ ครอบครวั อยู่คนละรมิ ฝัง่ แมน่ ้�ำ นายพรานผ้เู ปน็ หัวหนา้ หมบู่ ้านท้ัง ๒ คน เปน็ เพอ่ื นรักกัน ตอนท่ยี ังหน่มุ เคยให้สัญญากันไว้ว่า ถ้าฝ่ายหน่ึงได้ลูกสาว อีกฝ่ายหน่ึงได้ลูกชาย จะให้ ทงั้ สองคนแต่งงานกัน อยตู่ อ่ มาไมน่ าน หวั หนา้ นายพรานทงั้ สองหมบู่ า้ นแตง่ งาน มคี รอบครวั นายพรานในบ้านริมฝั่งนี้ได้ลูกชาย ญาติทั้งหลายเอาผ้าทุกูลพัสตร์รองรับ กมุ ารนน้ั ในขณะเกดิ บดิ ามารดาจงึ ตง้ั ช่ือลูกชายว่า “ทกุ ลู ” แปลวา่ “เดก็ ชาย ผู้นอนบนผ้าทุกูล” ส่วนหัวหน้านายพรานอีกคนหนึ่งได้ลูกสาว เพราะเกิดที่ หมบู่ า้ นรมิ ฝงั่ แมน่ �ำ้ บดิ ามารดาจงึ ตง้ั ชอ่ื ลกู สาววา่ “ปารกิ า” แปลวา่ “เดก็ หญงิ ผเู้ กดิ ที่ริมฝ่ังแมน่ ้ำ�” เด็กท้ังสองคนมีรูปร่างหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู ผิวพรรณสะอาดหมดจด เกลีย้ งเกลา แมเ้ กดิ ในสกลุ นายพรานกม็ จี ติ ใจงดงาม ไมฆ่ า่ สตั วต์ ดั ชีวติ ตา่ งจาก เดก็ ในหมู่บ้านนายพรานทว่ั ไป เม่ือทกุ ูลกมุ ารอายุได้ ๑๖ ปี บิดามารดาต้องการให้แต่งงาน แตท่ ุกลู กุมารจุติมาจากพรหมโลก เป็นผู้บริสุทธิ์ เพราะความท่ีพรหมโลกไม่เกี่ยวข้อง ด้วยกาม จึงเอามือปิดหูท้ังสองข้าง บอกว่า “ผมไม่ต้องการมีครอบครัว โปรดอย่าพูดอย่างน้ี” แม้บิดามารดารบเร้าถึงสองครั้งสามคร้ัง ทุกูลกุมาร ก็ไมต่ อ้ งการทจ่ี ะมีครอบครัว ฝ่ายปาริกากุมารี แม้บิดามารดาพูดว่า เพ่ือนพ่อกับแม่มีลูกชาย หน้าตาดี จะให้แต่งงานกับลูก เธอก็เอามือปิดหูท้ังสองข้างกล่าวห้าม เพราะ ความที่เธอจตุ ิมาจากพรหมโลกเชน่ เดียวกัน

ท ศ ช า ติ 129 พ ร ะ สุ ว ร ร ณ ส า ม ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ในคราวนนั้ ทกุ ลู กมุ ารสง่ ขา่ วลบั ไปบอกนางปารกิ าวา่ “ถา้ เธอตอ้ งการ มีครอบครัว กแ็ ต่งงานกับคนอนื่ เถิด ฉันไม่ตอ้ งการมีครอบครวั ” ส่วน นางปาริกากส็ ง่ ข่าวลับไปถงึ ทกุ ลู กมุ ารเหมอื นกนั แตบ่ ดิ ามารดากไ็ ดใ้ หท้ งั้ สองแตง่ งานกนั ทงั้ ๆ ทชี่ ายหนมุ่ และหญงิ สาว ไม่ปรารถนา แม้เช่นน้ัน เธอท้ังสองก็มิได้ร่วมประเวณี อยู่ด้วยกันเหมือน มหาพรหม ๒ องค์ ทุกูลน้ันไม่ฆ่าปลาหรือเน้ือ แม้เนื้อท่ีคนนำ�มาให้ขายก็ ไม่ยอมขาย บดิ ามารดาพูดกับลกู ชายว่า “ลกู เกดิ ในสกลุ นายพราน ไมอ่ ยาก มีครอบครัว ไม่ฆ่าสัตว์ แล้วลูกจะประกอบอาชีพอะไร” ทุกูลกล่าวว่า “ถ้าท่านอนญุ าต เราท้งั สองจะบวช” บิดามารดาเหน็ วา่ ไมม่ ีประโยชน์ทจี่ ะ เหนี่ยวรั้งไว้จึงอนุญาตให้บวช ชายหนุ่มและหญิงสาวท้ังสองยินดีเป็นอย่างมาก กราบเท้าบิดามารดาแล้วเดินทางออกจากหมู่บ้าน มุ่งหน้าสู่หิมวันตประเทศ ลัดเลาะไปตามฝ่ังแม่นำ้�คงคา พ้นแม่น้ำ�คงคาจึงเข้าเขตแม่นำ้�มิคสัมมตา ที่ชาวบ้านสมมติเรียกกันว่า “ปากโค” ซ่ึงไหลลงมาจากภูเขาหิมวันต์ แล้วมา บรรจบกบั แม่น�้ำ คงคา ขณะนั้น ภพท้าวสักกเทวราชเกิดรุ่มร้อน พระองค์พิจารณาก็ทราบว่า มหาบุรุษทั้งสองจะบวชเป็นฤๅษี จึงมีบัญชาให้วิสสุกรรมเทพบุตรไปเนรมิต อาศรม และบริขารนักบวชให้ท่านทั้งสอง บรรณศาลาน้ันห่างจากแม่น้ำ� มิคสัมมตาประมาณกึ่งเสียงคนกู่ถึงกัน วิสสุกรรมเทพบุตรไปจัดการตาม พระอินทร์บัญชา ไล่เนื้อและนกท่ีมีสำ�เนียงน่ากลัวให้หนีไป แล้วเนรมิตทาง เส้นเดยี วไปยังอาศรมนนั้ ชายหนมุ่ และหญงิ สาวทง้ั สองเหน็ ทางทค่ี นเดนิ ทอดอยเู่ บอื้ งหนา้ จงึ เดนิ ไปตามทางน้ันจนถึงอาศรม ทุกูลบัณฑิตเข้าสู่บรรณศาลา เห็นบริขารนักบวช ก็ทราบว่าพระอินทร์ประทานให้ จึงเปล้ืองเคร่ืองนุ่งห่มคฤหัสถ์ออก นุ่งผ้า

พ ร ะ สุ ว ร ร ณ ส า ม 130 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง เปลอื กไมส้ แี ดงผนื หนง่ึ หม่ ผนื หนงึ่ พาดหนงั เสอื บนบา่ ผกู มณฑลชฎา ครองเพศ ฤๅษี แลว้ ใหน้ างปารกิ าบวชเป็นฤๅษิณี ก�ำ เนดิ พระสวุ รรณสาม เมื่อดาบสและดาบสินีทั้งสอง๒ บวชแล้ว ได้เจริญเมตตาอาศัยอยู่ ในป่าแห่งนั้น แม้ฝูงเนื้อและนกทั้งปวงก็กลับได้เมตตาจิตต่อกันและกัน ด้วย อานุภาพเมตตาแห่งนักบวชท้ังสองท่าน สัตว์ป่าเหล่าน้ันจึงไม่เบียดเบียน ทำ�อนั ตรายกนั และกัน ปาริกาดาบสินีลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ จัดเตรียมนำ้�ด่ืมและของฉันแล้ว กวาดอาศรม ทำ�หน้าท่ีทุกอย่าง จากน้ัน ดาบสและดาบสินีท้ังสองก็ออกหา ผลไมน้ านาชนดิ มาฉนั แลว้ เขา้ สบู่ รรณศาลาของตน เจรญิ สมณธรรม พกั อริ ยิ าบถ สำ�ราญอยู่ในป่าแห่งน้ัน แม้ท้าวสักกเทวราชได้เสด็จมาดูแลพระมุนีทั้งสอง เชน่ กัน วันหนึ่ง พระองค์เห็นว่าจะเกิดอันตรายแก่นักบวชท้ังสองถึงตาบอด เพราะความเป็นหว่ งจึงลงมาจากเทวโลก เข้าไปหาทุกูลบณั ฑิต นมัสการแลว้ นง่ั ณ ทอี่ นั สมควร ตรสั วา่ “จะเกดิ อนั ตรายแกท่ า่ นทง้ั สอง ควรทที่ า่ นทงั้ สอง จะตอ้ งมบี ตุ รไวส้ �ำ หรบั คอยปฏบิ ตั บิ �ำ รงุ ขอทา่ นทงั้ สองจงเสพโลกธรรม” ทุกูลบณั ฑติ ได้สดับค�ำ ของทา้ วสักกะจึงกล่าวว่า “พระองคต์ รสั อะไร แมเ้ รา ทั้งสองอยู่เรือนก็ยังไม่เสพโลกธรรม เกลียดดุจกองคูถซ่ึงเต็มไปด้วย ๒ ฤๅษี เป็นนักบวชท่ีไม่ได้จัดเข้าในลัทธิใด เป็นแต่ออกบวชเพ่ือมุ่งการ ปฏิบตั ธิ รรมเทา่ นั้น นกั บวชชาย เรยี กว่า “ฤๅษี” นกั บวชหญงิ เรยี กวา่ “ฤๅษณิ ”ี บางคร้ัง นักบวชชาย เรียกว่า “ดาบส” นักบวชหญิง เรียกว่า “ดาบสินี” ในทางพุทธศาสนา นิยมเรียกพระปัจเจกพุทธเจ้าว่า “ฤๅษี” เพราะความที่ท่านบวชและบรรลุธรรมเฉพาะตน ไม่ได้สอนคนอนื่ ใหร้ ู้ตาม (ดาบสนิ ี อา่ นวา่ ดา-บด-ส-ิ น)ี

ท ศ ช า ติ 131 พ ร ะ สุ ว ร ร ณ ส า ม ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง หมู่หนอน บัดนี้ เราเข้าป่าออกบวชเป็นฤาษี จะทำ�เช่นน้ีได้อย่างไร” ทา้ วสกั กะตรสั วา่ “พระคณุ เจา้ ไมต่ อ้ งท�ำ อยา่ งนน้ั แตข่ อใหเ้ อามอื ลบู ทอ้ ง ปาริกาดาบสินีเวลานางมีระดู” ทุกูลบัณฑิตรับว่า “อย่างน้ีทำ�ได้” ท้าวสกั กะนมสั การทกุ ลู ดาบสแลว้ กลบั ไปท่ีอยขู่ องตน ฝ่ายทุกูลบัณฑิตบอกนางปาริกาให้ทราบ แล้วเอามือลูบท้องนาง ในเวลาท่ีนางมีระดู ในกาลนน้ั พระโพธสิ ตั วจ์ ตุ จิ ากเทวโลก มาถอื ปฏสิ นธใิ นครรภน์ างปารกิ า ครั้นล่วงไปได้สิบเดือน นางคลอดบุตรมีผิวพรรณสะอาดงดงามผุดผ่อง ดัง่ ทองค�ำ บดิ ามารดาจงึ ตัง้ ช่อื บุตรว่า “สวุ รรณสาม” เวลาทน่ี างปารกิ าไปปา่ เก็บผลไม้ นางกินรีทั้งหลายที่อยู่บนขุนเขาได้ทำ�หน้าท่ีนางนมแทน เม่ือดาบส ดาบสินีท้ังสองอาบนำ้�ให้พระโพธิสัตว์แล้วให้บรรทมในบรรณศาลา พากันไปหา ผลไม้ นางกินรีทั้งหลายก็อุ้มสุวรรณสามไปอาบน้ำ�ที่แอ่งน้ำ�ในซอกเขา แล้วพา ขึ้นสู่ยอดบรรพต ประดับด้วยดอกไม้หลากสี ฝนหรดาลและมโนศิลาแต้มที่ หน้าผาก แลว้ น�ำ กลบั มาใหน้ อนในบรรณศาลาตามเดิม ครนั้ นางปารกิ ากลับมา ก็ใหบ้ ุตรดมื่ นม เมอื่ บิดามารดาเลีย้ งดบู ุตรมาเชน่ นีจ้ นมอี ายุได้ ๑๖ ปี ให้บตุ รน่งั คอย อยู่ในบรรณศาลา ตนเองพากันออกป่าหาผลไม้ ส่วนสุวรรณสามได้เฝ้าสังเกต ทางทบ่ี ดิ ามารดาไปและกลบั เพราะเกรงวา่ อาจจะเกดิ อนั ตรายแกบ่ ดิ ามารดาได้ เผชญิ กรรมกลางป่าใหญ่ อยู่มาวันหนึ่ง เมื่อบิดามารดาของสุวรรณสามไปเก็บผลไม้ในป่า เดินทางกลับในเวลาตะวันบ่ายคล้อยเย็นลงแล้ว ครั้นใกล้ถึงอาศรมเกิด ฝนตกหนักในระหว่างทาง จึงพากันเข้าไปยืนหลบฝนที่โคนต้นไม้บนจอมปลวก แห่งหน่ึง งูพิษซึ่งอาศัยอยู่ท่ีจอมปลวกได้กล่ินเหงื่อเจือนำ้�ฝนจากกายของ

พ ร ะ สุ ว ร ร ณ ส า ม 132 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง สองดาบส จึงพ่นพิษออกมาถูกตาท้ังสองข้างของดาบสและดาบสินีนั้นบอดสนิท ไมส่ ามารถมองเหน็ กนั และกนั ทุกูลบัณฑิตเรียกนางปาริกาว่า “ปาริกา ตาฉันมองไม่เห็น เธอ อยู่ไหน ฉันมองไม่เห็นเธอ” แม้นางปาริกาก็กล่าวอย่างนั้นเหมือนกัน ท้ังสองมองไม่เห็นทางก็ยืนครำ่�ครวญว่า “ชีวิตของเราทั้งสอง คงจะหาไม่ แล้ว” บิดามารดาของสุวรรณสามได้ทำ�กรรมไว้ในอดีตชาติ แม้จะออกบวช เปน็ ฤาษี บำ�เพญ็ สมณธรรม ก็ยังประสบเคราะห์กรรม มีเหตทุ �ำ ให้ตอ้ งตาบอด ในอดตี ชาติ ทงั้ สองคนเคยเกดิ ในตระกูลแพทย์ เป็นแพทย์ผู้เชย่ี วชาญ ด้านจักษุ เป็นจักษุแพทย์ผู้มีช่ือเสียง นายแพทย์นั้นได้ทำ�การรักษาโรคในจักษุ ของชายผู้มีทรัพย์มากคนหนึ่ง เมื่อดวงตาของชายผู้น้ันหายดีเป็นปกติแล้ว กลับไม่ยอมจ่ายค่ารักษาให้นายแพทย์คนน้ัน นายแพทย์โกรธจึงกลับบ้านไป ปรกึ ษาภรรยาว่าควรจะท�ำ อย่างไรกับชายผูน้ ั้นดี ฝ่ายภรรยาได้ฟังสามีกล่าวก็โกรธเช่นกัน จึงบอกสามีว่า “อย่าไป ตอ้ งการทรพั ยม์ นั เลย ประกอบยาหยอดตาขนานหนงึ่ ให้ ท�ำ ใหม้ นั กลบั ไปตาบอดเหมือนเดิม” สามีเห็นด้วยจึงออกจากเรือนไปหาชายผู้นั้น ได้ทำ� ตามน้ัน ไม่นานนักดวงตาทั้งสองข้างของชายผู้มีทรัพย์มากก็บอดสนิท “บิดา มารดาของสุวรรณสามตาบอดเพราะกรรมน้”ี ส่วนสุวรรณสามน่ังคอยบิดามารดาจนอาทิตย์อ่อนแสงเย็นลงทุกขณะ เห็นผิดปกติจึงร้อนใจเป็นห่วงบิดามารดาว่า ในวันก่อน ๆ บิดามารดาเคยกลับ มาในเวลาน้ี แต่วันนี้กลับผิดเวลา สุวรรณสามตัดสินใจเดินสวนทางไปตาม เส้นทางที่กำ�หนดไว้ในเวลาท่ีบิดามารดาไปและกลับ เดินไปพลางตะโกนกู่ร้อง เรยี กหาเรอื่ ยไป ทา่ นทง้ั สองนน้ั จ�ำ เสยี งลกู ชายไดก้ ข็ านรบั แตเ่ พราะความเปน็ หว่ ง กลัวจะเกิดอันตราย จึงร้องห้ามไม่ให้สุวรรณสามเข้าไปที่น้ันว่า “ลูกสาม

ท ศ ช า ติ 133 พ ร ะ สุ ว ร ร ณ ส า ม ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ในทน่ี มี้ ีอนั ตราย ลูกอยา่ เขา้ มา” สุวรรณสามกล่าวว่า “ถา้ อยา่ งน้ัน พ่อ กบั แมจ่ ับไมเ้ ท้าแล้วเดนิ ออกมา” สุวรรณสามจึงยื่นไม้เท้ายาวให้จับออกมาแล้วถามถึงสาเหตุว่า ทำ�ไม ถึงตาบอด บิดามารดาท้ังสองจึงเล่าให้ลูกชายฟังว่า ขณะเดินทางกลับมาถึง บริเวณน้ีเกิดฝนตกหนัก จึงเข้ามายืนหลบฝนอยู่บนจอมปลวกท่ีโคนต้นไม้น้ี ตาทัง้ สองก็บอด สุวรรณสามไดย้ นิ เช่นนนั้ กร็ ู้วา่ มงี พู ิษอยู่ในจอมปลวกน้ัน สุวรรณสามเห็นบิดามารดาตาบอดเช่นน้ีจึงร้องไห้ ครั้นแล้วก็กลับ หัวเราะ บิดามารดาเกิดความสงสัยว่า ทำ�ไมลูกร้องไห้แล้วกลับหัวเราะ จึงถามถึงสาเหตุ สุวรรณสามตอบว่าท่ีร้องไห้เพราะเสียใจว่าดวงตาของบิดา มารดาบอดสนิทในเวลาที่ตนยังเด็กอยู่จึงร้องไห้ แต่ก็ดีใจว่าจะได้ปฏิบัติบำ�รุง ท่านท้ังสองต้ังแต่อายุยังน้อยจึงหัวเราะ สุวรรณสามปลอบโยนบิดามารดาให้ เบาใจแล้วน�ำ กลับมาอาศรม ตง้ั แตว่ นั นนั้ เปน็ ตน้ มา สวุ รรณสามไดผ้ กู เชอื กเปน็ ราวในบรเิ วณอาศรม ส�ำ หรบั บดิ ามารดา เดนิ ไปในทตี่ า่ ง ๆ ทง้ั ในทพี่ กั กลางคนื ทพี่ กั กลางวนั ทจ่ี งกรม ท่ีบรรณศาลา และท่ีถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ แล้วเข้าป่าเก็บผลไม้มาเตรียมไว้ ในบรรณศาลา เกบ็ กวาดทอ่ี ยขู่ องบดิ ามารดาแตเ่ ชา้ ตรู่ ไหวบ้ ดิ ามารดากอ่ นแลว้ จึงถือหม้อนำ้�ไปแม่นำ้�มิคสัมมตานที ตักน้ำ�ด่ืมมา จากนั้น ก็จัดเตรียมผลไม้ นานาชนิด ไมส้ ีฟนั และน้�ำ บ้วนปากไว้พร้อม ครั้นบดิ ามารดาฉนั เสรจ็ บ้วนปาก แล้ว ตนเองจึงทานผลไม้ที่เหลือ เมื่อทานเสร็จแล้วก็กราบลาบิดามารดา มีฝูง สัตว์ป่านานาชนิดแวดล้อม เข้าป่าเพ่ือหาผลไม้อีก เหล่ากินนรที่เชิงเขา ตา่ งแวดล้อมพระโพธิสัตว์ชว่ ยเก็บผลไมม้ าให้ ตกเย็นสุวรรณสามกลับมาถึงอาศรม เอาหม้อตักนำ้�มาต้ังไว้ ต้มนำ้� ให้ร้อน แล้วอาบและล้างเท้าบิดามารดา นำ�กระเบื้องถ่านเพลิงมาให้บิดา มารดาผิง เช็ดมือเช็ดเท้าบิดามารดา เม่ือบิดามารดาน่ังแล้วให้บริโภคผลไม้

พ ร ะ สุ ว ร ร ณ ส า ม 134 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง สว่ นตนเองบรโิ ภคภายหลงั จากทบี่ ดิ ามารดาบรโิ ภคเสรจ็ แลว้ เกบ็ ผลไมท้ เี่ หลอื ไว้ ในอาศรมบท สวุ รรณสามปฏิบตั ิบำ�รุงบดิ ามารดาเชน่ นด้ี ้วยความสุขใจตลอดมา ถูกยงิ ด้วยธนูอาบยาพิษ สมยั น้นั พระราชาพระนามวา่ “พระเจ้าปิลยกั ษ”์ ครองราชสมบตั ิ ในกรงุ พาราณสี แควน้ กาสี พระองคต์ ดิ ใจในรสเนอ้ื กวาง จงึ มอบราชสมบตั ใิ ห้ พระชนนีว่าราชการแผ่นดิน จัดเตรียมอาวุธสำ�หรับล่าเน้ือมุ่งหน้าสู่ป่าหิมวันต์ เพยี งพระองคเ์ ดยี ว ทรงฆา่ กวาง เสวยเนอ้ื แลว้ เสดจ็ ไปจนถงึ แมน่ �ำ้ มคิ สมั มตานที เสด็จย้อนข้ึนไปตามสายน้ำ�ที่ไหลลงมา จนถึงท่าที่สุวรรณสามลงตักน้ำ� ทอดพระเนตรเหน็ รอยเทา้ กวางมากมายในบรเิ วณทา่ น�้ำ นน้ั จงึ ท�ำ ซมุ้ ดว้ ยกง่ิ ไมส้ ด ประทบั นั่งดกั ยิงกวางอยูใ่ นซ้มุ น้ัน วันนั้น สุวรรณสามเก็บผลไม้มาในเวลาเย็น จัดเก็บไว้ในอาศรมแล้ว จึงกราบลาบิดามารดาไปตักนำ้� เดินถือหม้อนำ้�ไปตามทางที่เคยเดิน มีฝูงกวาง แวดลอ้ มไปเปน็ จ�ำ นวนมาก สวุ รรณสามให้กวางสองตัวเดินเคียงคกู่ นั วางหม้อ น้�ำ ด่ืมบนหลงั กวางท้ังสอง ใช้มือประคองเดนิ ไปท่าน้ำ�ด้วยความร่าเรงิ สนกุ สนาน เล่นหวั กบั ฝงู สัตว์ป่าเหมอื นเพือ่ นเล่น ฝ่ายพระราชาประทับแอบอยู่ในซุ้ม ทอดพระเนตรเห็นสุวรรณสาม แวดล้อมด้วยฝูงกวางเดินมา ทรงคิดว่าพระองค์ท่องเที่ยวไปในป่าหิมวันต์ จนมาถงึ ทนี่ ่ี ยังไม่เคยเห็นมนุษยส์ กั คนเดยี ว ชายหนมุ่ ผ้นู จ้ี ะเปน็ เทวดาหรือนาค ก็ไม่อาจทราบได้ ถ้าพระองค์เข้าไปไต่ถาม หากเป็นเทวดาก็จะเหาะหนีไปใน อากาศ หากเปน็ นาคก็จะดำ�ดนิ หนไี ป แลว้ พระองค์ก็ไมส่ ามารถจับได้ พระองค์ ไม่ได้เที่ยวอยู่ในป่าตลอดไป เมื่อกลับพระนคร หากพระองค์ถูกหมู่อำ�มาตย์ ถามวา่ ขณะทอ่ งเทย่ี วอยใู่ นปา่ หมิ วนั ต์ ไดเ้ คยทอดพระเนตรเหน็ อะไรแปลก ๆ บา้ ง คร้ันบอกว่าเคยเห็นสัตว์ประเภทนี้ เขาก็จะย้อนถามว่าสัตว์ชนิดน้ันชื่ออะไร

ท ศ ช า ติ 135 พ ร ะ สุ ว ร ร ณ ส า ม ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง เมอื่ พระองคต์ อบวา่ ไมร่ จู้ กั เขากจ็ ะพากนั หวั เราะเยาะ จงึ ตกลงใจทจ่ี ะยงิ ชายหนมุ่ ผู้นใ้ี หบ้ าดเจ็บก่อน คอ่ ยถามเร่ืองราวทีหลงั เมือ่ ฝูงกวางลงดมื่ น้�ำ แลว้ ข้นึ กอ่ น สุวรรณสามจึงค่อย ๆ ลงน้�ำ กิริยา อาการทว่ งทรี าวกบั พระเถระผไู้ ดร้ บั การฝกึ หดั จรยิ าวตั รแลว้ สวุ รรณสามอาบน�้ำ ระงับความกระวนกระวายแล้วจึงขึ้นจากน้ำ� นุ่งผ้าเปลือกไม้สีแดงผืนหนึ่ง ห่มผืนหน่ึง เอาหนังเสือพาดเฉวียงบ่า ยกหม้อนำ้�ข้ึนวางบนบ่าซ้าย เตรียม กา้ วเทา้ เดินกลับ พระราชาทรงคิดว่ายิงเวลาน้ีแหละดีที่สุด จึงยกธนูอาบยาพิษขึ้นเล็ง อย่างแผ่วเบา เม่ือได้เป้าหมายที่เหมาะ พลันลูกธนูก็พุ่งออกจากคัน แหวก อากาศไปดว้ ยความแรงและเรว็ ตรงเขา้ เสยี บทะลสุ ขี า้ งสวุ รรณสาม สวุ รรณสาม ร้องเสียงดังด้วยความเจ็บปวด ฝูงกวางรู้ว่าสุวรรณสามถูกยิงต่างก็ตกใจกลัว ว่ิงหนีกระเจดิ กระเจิงไปคนละทาง แม้สวุ รรณสามจะถูกยิง แต่ก็ยงั มสี ติประคองหม้อนำ�้ ไว้ ตง้ั สตมิ ัน่ แล้ว ค่อย ๆ วางหมอ้ นำ�้ ลง คุ้ยเกลย่ี ทรายให้เป็นร่อง ตงั้ หม้อน�ำ้ ก�ำ หนดทศิ แลว้ นอน บนพื้นทรายเน้ือละเอียดขาวดังแผ่นเงิน หันศีรษะไปทางด้านที่บิดามารดาอยู่ แม้จะเจ็บปวดเจียนขาดใจ แต่ก็ตั้งสติกล่าวออกไปด้วยถ้อยคำ�อ่อนโยนว่า “ในป่าแห่งน้ีเราไม่เคยสร้างเวรไว้กับใคร แม้บุคคลผู้มีเวรกับบิดา มารดาเราก็ไม่มีเช่นกัน” กล่าวได้แค่นี้ก็ฝืนความเจ็บปวด บ้วนเลือด ถ่มออกจากปาก แม้มองไม่เห็นพระราชา ก็ถามออกไปว่า “ใครยิงเราซึ่งยัง ไม่ทันระวังตัว เพราะกำ�ลังแบกหม้อนำ้� จึงไม่ทันได้แผ่เมตตาให้ ท่านเป็นกษัตริย์ พราหมณ์ หรอื แพศย์ ยงิ เราแลว้ แต่กลบั หลบอย่ใู น พุม่ ไม้ เนอื้ ของเราก็กนิ ไมไ่ ด้ หนงั ก็ไรป้ ระโยชน์ เมือ่ เป็นเชน่ นี้ ท�ำ ไม ท่านจึงเข้าใจว่าควรยิงเรา ท่านเป็นใคร เพื่อนเอ๋ย จงบอกเราเถิด ยิงเราแล้วทำ�ไมจึงซ่อนตัวเสียเล่า” พูดได้แค่น้ีแล้วก็น่ิงกลำ้�กลืนฝืน ความเจ็บปวด

พ ร ะ สุ ว ร ร ณ ส า ม 136 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง แม้สุวรรณสามกล่าวเช่นนั้น พระราชาก็ทรงดำ�ริว่า “ไม่ว่าจะเป็น เทวดาหรือนาคก็ตาม ก็สามารถพูดภาษามนุษย์ได้ท้ังน้ัน เราไม่รู้ว่า ชายหนุ่มผู้น้ีเป็นเทวดา เป็นนาค หรือมนุษย์ ถ้าเขาโกรธก็อาจทำ� อนั ตรายได้ เมอ่ื บอกใหร้ วู้ า่ เราเปน็ พระราชา ไมม่ ใี ครทไ่ี มก่ ลวั ชายผนู้ ้ี แม้ถูกเรายิงล้มลง ก็ไม่ด่าทอ ไม่ตัดพ้อ กลับเรียกเราด้วยถ้อยคำ� ที่ไพเราะจนจับจิต เราควรไปหาเขา” ว่าแล้วพระเจ้าปิลยักษ์จึงออกจาก ที่กำ�บัง เสด็จไปประทับยืนใกล้สุวรรณสามแล้วตรัสว่า “เราเป็นพระราชา ของชาวกาสี คนเรยี กเราวา่ “พระเจา้ ปลิ ยกั ษ”์ เราออกจากราชมณเฑยี ร เทยี่ วลา่ กวาง เรามคี วามช�ำ นาญในการยงิ ธนู เปน็ ทเี่ ลา่ ลอื ปรากฏไปทว่ั พนื้ ชมพทู วปี วา่ มฝี มี อื แมน่ ย�ำ นกั แมช้ า้ งอยใู่ นระยะลกู ศรกไ็ มส่ ามารถ วิง่ หนไี ปไดถ้ ึง ๗ ก้าว” ครั้นพระราชาสรรเสริญความสามารถของพระองค์ดังนี้แล้ว จึงถาม สุวรรณสามว่า “เธอเป็นใคร เป็นลูกเต้าเหล่าใคร จงบอกช่ือพ่อช่ือแม่ และโคตรของเธอใหเ้ ราทราบดว้ ย” สุวรรณสามคิดวา่ ในปา่ ใหญไ่ รม้ นุษย์เชน่ นี้ ถา้ บอกว่าเป็นเทวดา นาค ยักษ์ กินนร หรือเป็นกษัตริย์อย่างใดอย่างหนึ่ง พระราชาก็ต้องเชื่อ แต่ควร บอกความจรงิ เทา่ นน้ั จงึ ทลู วา่ “ขอพระองคจ์ งทรงพระเจรญิ ขา้ พระองค์ เปน็ บตุ รฤๅษี ผเู้ ปน็ บตุ รของนายพราน ญาตทิ งั้ หลายเรยี กขา้ พระองคว์ า่ “สาม” วนั น้ี ข้าพระองคใ์ กล้ตายนอนอยู่อยา่ งน้ี เพราะถูกพระองค์ยงิ เหมือนกวางถูกศรพรานป่า ขอพระองค์ทอดพระเนตรข้าพระองค์ นอนจมกองเลือดของตนเถิด เชิญทอดพระเนตรลูกธนูที่เข้าข้างขวา ทะลอุ อกขา้ งซา้ ย ขา้ พระองคบ์ ว้ นโลหติ อยู่ รสู้ กึ ทรุ นทรุ ายกระสบั กระสา่ ย ท�ำ ไมจงึ ซมุ่ ยงิ ขา้ พระองค์ เสอื เหลอื งถกู ฆา่ เพราะหนงั ชา้ งถกู ฆา่ เพราะงา กแ็ ลว้ พระองค์เข้าใจวา่ ข้าพระองคค์ วรถกู ฆ่าดว้ ยเหตอุ ะไร”

ท ศ ช า ติ 137 พ ร ะ สุ ว ร ร ณ ส า ม ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง แม้พระราชาได้ฟังเช่นน้ันก็ยังไม่ตรัสบอกตามจริง ตรัสเล่ียงไปว่า “สาม กวางปรากฏตวั เดนิ เขา้ มาในระยะลกู ศร ครนั้ เหน็ เธอเขา้ กต็ กใจ แตกตนื่ ว่ิงหนีไป เราโกรธจงึ ยิงเธอ” พระโพธสิ ตั วท์ ลู วา่ “พระองคต์ รสั อะไร ในปา่ อนั กวา้ งใหญไ่ พศาล แห่งน้ี ไม่มีกวางตัวใดเห็นข้าพระองค์แล้วหนีไป ตั้งแต่จำ�ความได้ ข้าพระองค์ก็นุ่งผ้าเปลือกไม้มาต้ังแต่เยาว์วัย ลูกกวางและฝูงกวาง ในปา่ แมด้ รุ า้ ยกย็ งั ไมก่ ลวั ขา้ พระองค์ แมฝ้ งู กนิ นรไดช้ อื่ วา่ มคี วามขลาด อยา่ งยิง่ อาศยั อยบู่ นภูเขาคันธมาทน์ เหน็ ขา้ พระองค์ยงั ไม่สะดุ้งกลวั พวกเราต่างสนกุ สนานชนื่ ชมต่อกัน ทอ่ งเทีย่ วไปตามปา่ เขาลำ�เนาไพร เมอื่ เปน็ เชน่ นี้ ฝงู กวางจะสะดงุ้ กลวั ขา้ พระองค์ด้วยเหตุอนั ใด” พระราชารู้สึกละอายใจว่าพระองค์ยิงคนผู้ไร้ความผิดแล้วยังกล่าว เท็จอีก จึงบอกความจริงว่า “สาม กวางเห็นเธอแล้วหาตกใจหนีไปไม่ แต่เราโกหกเธอ เพราะความโกรธและความโลภ เราจงึ ยิงเธอ” ครน้ั พระราชาตรสั อยา่ งนแ้ี ลว้ กท็ รงด�ำ รวิ า่ ไมน่ า่ ทส่ี วุ รรณสามจะอาศยั อยใู่ นปา่ แหง่ นเ้ี พยี งล�ำ พงั เขาจะตอ้ งมญี าตแิ น่ จะตอ้ งถามใหร้ คู้ วาม จงึ ตรสั ถาม ว่า “เธอมาจากไหน ใครใช้ใหเ้ ธอมาตักน้�ำ ” สวุ รรณสามสอู้ ดกลั้นความเจบ็ ปวดทกุ ขเวทนาเจยี นขาดใจ บ้วนเลือด แล้วกล่าวว่า “บิดามารดาของข้าพระองค์เป็นคนตาบอด ข้าพระองค์ เลี้ยงดูท่านทง้ั สองอยู่ในปา่ ใหญแ่ ห่งน้ี จงึ มาตักนำ�้ ไปให้ท่าน” ครน้ั กลา่ วถงึ บดิ ามารดาอยา่ งนแี้ ลว้ ความทกุ ขโ์ ศกกก็ ลบั ทว่ มทบั หวั ใจ ของสุวรรณสามอย่างมาก จึงบ่นรำ�พันว่า “อาหารของบิดามารดาที่เก็บไว้ ยงั พอมีกินไดอ้ ีก ๖ วัน แตท่ า่ นทง้ั สองตาบอด เกรงจะตายเสยี เพราะ ขาดนำ้� ความทุกข์เพราะถูกยิงด้วยธนูไม่ทุกข์นัก แต่ความทุกข์ท่ีจะ ไม่ได้เห็นบิดามารดาตลอดไปเป็นทุกข์ยิ่งกว่าถูกยิงด้วยธนู เม่ือบิดา

พ ร ะ สุ ว ร ร ณ ส า ม 138 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง มารดาไร้คนดูแล จะร้องไห้บ่นรำ�พันหาข้าพระองค์อีกนานแสนนาน ข้าพระองค์เคยนวดมือนวดเท้าของท่านทุกเช้า สาย บ่าย เย็น เมื่อ ข้าพระองค์มาหายไปเช่นนี้ ท่านคงออกติดตามเที่ยวร้องเรียกไปใน ปา่ ใหญว่ า่ “ลกู สาม ลกู สาม” ความโศกนแี้ หละท�ำ ใหห้ วั ใจขา้ พระองค์ หว่นั ไหว จากนไ้ี ปขา้ พระองค์ไม่มโี อกาสได้เหน็ หน้าบดิ ามารดา ชวี ติ คงจะหาไม่แลว้ ” พระราชาทรงคิดว่า เด็กหนุ่มคนน้ีนอกจากประพฤติพรหมจรรย์ เป็นคนมีคณุ ธรรมแล้ว ยงั มีความกตญั ญเู หลือเกนิ ปฏบิ ัตบิ ิดามารดาอยา่ งดียิ่ง แม้ประสบทุกข์ถึงเพียงนี้ก็ยังคร่ำ�ครวญถึงบิดามารดา เราได้ทำ�ความผิดต่อคน ผู้มีคุณธรรมอย่างนี้แล้ว เราจะปลอบใจเด็กหนุ่มคนน้ีอย่างไรดี เม่ือเราตกนรก ราชสมบัติจะช่วยอะไรได้ เราจะเล้ียงดูบิดามารดาของเด็กหนุ่มคนนี้ตามที่เขา ปฏิบัติมา เขาจะได้เหมือนไม่ตาย จึงตรัสว่า “เธออย่าเป็นห่วงเลย เรามี ความชำ�นาญในการยิงธนูจนเป็นท่ีรู้จักไปทั่วชมพูทวีป เราจะยิงกวาง และหาอาหารในป่ามาเลี้ยงบิดามารดาของเธอ ให้เหมือนกับท่ีเธอ เลยี้ ง บิดามารดาของเธออย่ไู หน” สวุ รรณสามทลู วา่ “ขา้ พระองคข์ อฝากบดิ ามารดาดว้ ย ขอพระองค์ โปรดเล้ยี งดทู า่ น ทางด้านหัวนอนของข้าพระองคม์ ที างท่เี ดนิ เสน้ เดียว พระองค์เสด็จไปตามทางนั้นประมาณก่ึงเสียงกู่ จะถึงท่ีอยู่บิดามารดา ของขา้ พระองค์” สวุ รรณสามทลู บอกทางพระราชาอย่างนแ้ี ลว้ สอู้ ดกลั้นความเจ็บปวด ทุกขเวทนาไว้ด้วยความรักบิดามารดา ยกมือขึ้นประคองอัญชลีทูลวิงวอน พระราชาเพ่ือขอให้เลี้ยงดูบิดามารดาว่า “พระองค์ผู้ปกครองชาวกาสีให้ ร่มเย็นเป็นสุข ข้าพระองค์ขอน้อมกราบฝ่าพระบาท ขอพระองค์ทรง เลย้ี งบดิ ามารดาผตู้ าบอดของขา้ พระองคใ์ นปา่ ใหญ่ ขา้ พระองคข์ อฝาก กราบเท้าท่านทั้งสองด้วย”

ท ศ ช า ติ 139 พ ร ะ สุ ว ร ร ณ ส า ม ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง สุวรรณสามยกมือขึ้นไหว้บิดามารดาไปทางทิศอันเป็นท่ีต้ังอาศรม คร้ันแล้วพิษลูกธนูก็กำ�เริบสลบแน่น่ิงไป ลมหายใจก็หยุดนิ่ง เสียงพูดก็ขาดไป ริมฝีปากปิดสนิท นัยน์ตาหลับสนิท มือเท้าแข็งกระด้าง ร่างกายเปรอะเปื้อน ไปดว้ ยเลือด พระราชาทรงรำ�พึงว่า “สุวรรณสามพูดกับเราอยู่เดี๋ยวนี้ เป็น อะไรหนอจงึ เงยี บไปเช่นน้”ี ทรงตรวจดลู มหายใจก็หยดุ นิง่ ร่างกายก็แขง็ ทื่อ ก็ทรงเข้าใจว่าสุวรรณสามตายแล้ว ไม่อาจกล้ันความโศกไว้ได้ จึงนั่งเอามือ กมุ พระเศยี รรอ้ งไหค้ ร�่ำ ครวญกลางปา่ ใหญว่ า่ “เมอื่ กอ่ น เราเขา้ ใจวา่ จะไมแ่ ก่ ไม่ตาย เรารู้วันน้ีเองเพราะเห็นสุวรรณสามตาย จึงรู้ว่าท้ังตัวเราและ เหลา่ สตั วอ์ น่ื ๆ ตอ้ งแก่ ตอ้ งตายทงั้ นนั้ สามถกู ยงิ ดว้ ยลกู ศรอาบยาพษิ พูดอยู่กับเราหลัด ๆ กลับไม่พูดอะไรอีกเลย เราต้องตกนรกแน่แล้ว เพราะกรรมท่ีเราท�ำ เราท�ำ กรรมหยาบช้าในบา้ นเมือง ยังมีคนตเิ ตยี น เราได้ คนทั้งหลายจักชุมนุมกันวิพากษ์วิจารณ์เรา ก็แล้วใครเล่า จะติเตียนเราให้ระลึกถงึ กรรมในราวป่าทไ่ี ร้มนุษย์เชน่ นี”้ อานุภาพแห่งความกตญั ญู กาลนั้น เทพธิดานามว่า “พหุสุนทรี” อยู่ภูเขาคันธมาทน์ เคยเป็น มารดาของสุวรรณสามในอดีตชาตินับย้อนหลังกลับไปอีก ๗ ชาติ เพราะ ความรักความผูกพันบุตร ไม่ว่าบุตรจะเกิดท่ีไหนจึงคอยเฝ้าดูความเป็นไปของ พระโพธิสตั ว์อยตู่ ลอดเวลา วนั นนั้ นางก�ำ ลงั เสวยทพิ ยสมบตั ิ จงึ มไิ ดป้ อ้ งกนั สวุ รรณสาม ครนั้ กลบั มา พิจารณาดูก็เห็นพระเจ้าปิลยักษ์ยิงสุวรรณสามนอนจมกองเลือดอยู่ที่หาดทราย ฝงั่ แมน่ �ำ้ มคิ สมั มตา จงึ คดิ วา่ “ถา้ เราไมไ่ ป สวุ รรณสามจะตาย แมพ้ ระราชา ก็จะอกแตกตาย บิดามารดาของสุวรรณสามจะอดอาหาร เม่ือไม่ได้

พ ร ะ สุ ว ร ร ณ ส า ม 140 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ดื่มนำ้�ก็จะเหือดแห้งตายไปเช่นกัน แต่เมื่อเราไป พระราชาจะถือ หมอ้ น�้ำ ดม่ื ไปหาบดิ ามารดาของสวุ รรณสาม ครน้ั เสดจ็ ไปแลว้ จะรบั สงั่ ให้ทราบว่าพระองค์ฆ่าสุวรรณสาม แล้วนำ�ท่านทั้งสองไปดูลูกชาย เมื่อเป็นเช่นน้ี ดาบสดาบสินีทั้งสองและเราจะทำ�สัจกิริยา ตั้ง สัตยาธิษฐาน พิษในร่างกายสุวรรณสามก็จะหาย สุวรรณสามจะฟื้น คนื ชวี ติ ดวงตาทง้ั สองขา้ งของบดิ ามารดาสวุ รรณสามกจ็ ะมองเหน็ เปน็ ปกติ พระราชาจะได้ฟังธรรมจากสวุ รรณสาม ภายหลงั เม่อื เสดจ็ กลบั พระนคร จะทรงบรจิ าคมหาทาน ปกครองบา้ นเมอื งดว้ ยทศพธิ ราชธรรม ครน้ั ตายไปกจ็ ะไดไ้ ปเกดิ ในสวรรค”์ เทพธิดาอันตรธานไปจากภูเขาคันธมาทน์พร้อมกับความคิด ไปสถิต อยู่กลางอากาศท่ีริมฝั่งแม่นำ้�มิคสัมมตานที กล่าวกับพระเจ้าปิลยักษ์โดย ไมป่ รากฏกายวา่ “พระองคท์ �ำ ผดิ มหนั ต์ ไดท้ �ำ กรรมอนั ชว่ั ชา้ คนทง้ั สาม ไร้ความผิด ถูกพระองค์ฆ่าด้วยศรเพียงลูกเดียว เชิญเสด็จมาเถิด ข้าพเจ้าจะส่ังสอนพระองค์ ซ่ึงจะทำ�ให้พระองค์ได้ไปเกิดบนสวรรค์ พระองค์จงเล้ียงดบู ดิ ามารดาทง้ั สองผตู้ าบอดโดยธรรมในปา่ ข้าพเจา้ เขา้ ใจว่า ดว้ ยวิธนี ้พี ระองค์จึงจะพน้ จากนรก ได้ไปเกดิ ในสวรรค์” พระราชาสดับคำ�เทพธิดา ทรงเช่ือว่าหากพระองค์เล้ียงบิดามารดา ของสุวรรณสามแล้วจะได้ไปเกิดในสวรรค์ ทรงดำ�ริว่า “เราจะต้องการ ราชสมบัติไปทำ�ไม เราจะเล้ียงดูท่านท้ังสองน้ัน” ทรงตั้งพระทัยม่ัน ร่�ำ ไห้ร�ำ พันคร�ำ่ ครวญอยู่กลางป่าเพยี งลำ�พงั อยา่ งนา่ เวทนา คร้นั ระงับความโศก ให้เบาบางลงได้แล้ว จึงเก็บดอกไม้มาบูชาร่างพระโพธิสัตว์ ประพรมด้วยนำ้� ทำ�ประทกั ษิณสามรอบแลว้ ทรงกราบ เพราะเขา้ ใจวา่ สวุ รรณสามตายแลว้ จากนัน้ จงึ ถอื หม้อน�้ำ ท่ีพระโพธิสัตวใ์ สน่ ้ำ�ไวเ้ ตม็ แลว้ มุง่ หนา้ ไปทศิ ใต้ ตามทางท่สี ุวรรณสามบอกไว้

ท ศ ช า ติ 141 พ ร ะ สุ ว ร ร ณ ส า ม ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง พระราชาทรงถือหม้อน้ำ�ไปถึงอาศรม เดินเข้าประตูบรรณศาลาของ ทกุ ลู บณั ฑติ เพราะพระองคเ์ ดนิ ลงเทา้ หนกั จงึ ท�ำ ใหอ้ าศรมกระเทอื น ทกุ ลู บณั ฑติ นง่ั อยภู่ ายใน ไดฟ้ งั เสยี งฝพี ระบาทพระราชากท็ ราบวา่ ไมใ่ ชเ่ สยี งเทา้ สวุ รรณสาม จึงถามว่า “นั่นเสียงเท้าใคร ลูกสามเดินเบา วางเท้าเบา เสียงเท้าจึง ไม่ดงั ทา่ นเป็นใครกัน” พระราชาทรงดำ�ริว่า “ถ้าเราไม่บอกก่อนว่า เราเป็นพระราชา แต่บอกว่าเราฆ่าลูกของท่านตายแล้ว ท่านทั้งสองจะโกรธและด่าเรา อย่างหยาบคาย เม่ือเป็นเช่นน้ีเราก็จะโกรธจนถึงทำ�ร้ายท่านทั้งสอง จะเป็นอกุศลกรรมแก่เรามากยิ่งข้ึน แต่เมื่อบอกว่าเราเป็นพระราชา ไม่มีใครไม่กลัวพระราชา เราจะบอกให้รู้ก่อนว่าเราเป็นพระราชา” จงึ วางหมอ้ น�ำ้ ไวท้ โ่ี รงน�ำ้ ดม่ื แลว้ ประทบั ยนื ทปี่ ระตู ตรสั วา่ “เราเปน็ พระราชา ของชาวกาสี คนเรยี กเราว่า “พระเจ้าปิลยักษ”์ เราออกจากแวน่ แควน้ เทีย่ วแสวงหากวางเพราะตดิ ใจในรสเนอ้ื กวาง เราเปน็ ผู้ช�ำ นาญในการ ยิงธนูจนเป็นที่รำ่�ลือของคนทั่วไปว่ายิงธนูได้แม่นยำ�นัก แม้ช้างอยู่ใน ระยะลกู ธนกู ไ็ ม่สามารถหนีรอดไปได้” ทกุ ลู บณั ฑติ ทราบวา่ เปน็ พระราชากเ็ กดิ ความยนิ ดี จงึ กลา่ วปฏสิ นั ถารวา่ “ขา้ แต่มหาบพติ ร พระองค์เสดจ็ มาดแี ล้ว พระองค์มีเดชานภุ าพมาก เสดจ็ มาไกลกเ็ หมอื นใกล้ ในอาศรมมผี ลมะพลบั ผลมะหาด ผลมะซาง และผลหมากเมา่ ขอเชญิ พระองคเ์ ลอื กเสวยแตผ่ ลท่ดี ี ๆ เถดิ ขอจง ทรงดื่มนำ้�เย็นท่ีตักมาจากแม่นำ้�มิคสัมมตา ซึ่งไหลมาจากซอกเขา ตามพระประสงคเ์ ถดิ ” พระราชาทรงคดิ วา่ ยงั ไมค่ วรบอกวา่ พระองคไ์ ดฆ้ า่ ลกู ของทา่ นทง้ั สอง ตอนนีท้ �ำ เปน็ เหมือนไม่รู้ ควรชวนพูดเรื่องอะไร ๆ ไปกอ่ น แล้วตรัสว่า “ทา่ น ท้งั สองตาบอด มองไมเ่ หน็ อะไร ๆ ในป่า ใครเป็นคนเก็บผลไมม้ าจัด เตรียมไวอ้ ยา่ งเรยี บรอ้ ย เหมือนคนตาดีจดั แจงไว้”

พ ร ะ สุ ว ร ร ณ ส า ม 142 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ทุกูลบัณฑิตกราบทูลว่า “ลูกสาม เด็กหนุ่มน่ารักรูปร่างงดงาม สมสว่ น ผมยาวด�ำ เฟอื้ ยปลายงอนชอ้ นขนึ้ ขา้ งบน เกบ็ ผลไมม้ า ขณะน้ี เธอถือหม้อน้�ำ ไปตกั น้�ำ ท่ีแมน่ �ำ้ ประเด๋ียวก็คงใกล้จะกลับมาแลว้ ” พระราชาไดส้ ดบั ดงั นนั้ แลว้ ทรงสะเทอื นใจอยา่ งมาก ไมอ่ าจปกปดิ ไวไ้ ด้ จงึ ตรสั ดว้ ยน�้ำ เสยี งสนั่ เครอื วา่ “ขา้ พเจา้ ไดฆ้ า่ สามผปู้ ฏบิ ตั บิ �ำ รงุ ทา่ นเสยี แลว้ บดั น้ี เธอนอนอย่ทู ่ีหาดทราย รา่ งกายเปรอะเปื้อนไปดว้ ยเลอื ด” อาศรมของนางปาริกาอยู่ใกล้กับทุกูลบัณฑิต นางได้ยินการสนทนา ระหว่างทุกูลบัณฑิตกับพระราชาก็รู้สึกหวาดหวั่น ต้องการจะทราบเหตุนั้น จึงออกจากอาศรมของตน เกาะเชือกสาวเดนิ ไปหาทกุ ูลบัณฑิต กล่าววา่ “ท่าน ทุกูลบัณฑิต ท่านพูดอยู่กับใครว่าสามถูกฆ่าเสียแล้ว แค่ได้ยินว่า สามตาย หวั ใจดฉิ ันกส็ ่ัน ไม่ตา่ งอะไรจากใบไมอ้ อ่ นถกู ลมพัด” ทุกูลบัณฑิตได้โอวาทนางปาริกาว่า “ปาริกา ท่านผู้น้ีคือพระเจ้า กาสี พระองค์ยิงลูกสามเราตายท่ีหาดทราย ริมฝั่งแม่น้ำ�มิคสัมมตา เราทัง้ สองอย่าโกรธพระองค์เลย” นางปารกิ ากลา่ ววา่ “บตุ รท่รี กั กวา่ จะไดม้ ากแ็ สนยาก ทั้งเป็น ผู้เลี้ยงเราผู้ตาบอดในป่า จะไม่ให้โกรธคนฆ่าลูกคนเดียวของเราได้ อยา่ งไร” ทกุ ลู บณั ฑติ กลา่ ววา่ “บณั ฑติ ทง้ั หลาย สรรเสรญิ บคุ คลผไู้ มโ่ กรธ บคุ คลผฆู้ า่ บตุ รคนเดยี ว” ครน้ั แลว้ ฤๅษที งั้ สองกใ็ ชม้ อื ตอี กชกตวั เอง คร�ำ่ ครวญ พรรณนาคณุ ของสวุ รรณสามเปน็ อนั มาก พระราชาปลอบใจทา่ นทงั้ สองวา่ “พระคณุ เจา้ ทงั้ สองอยา่ เศรา้ โศก เสียใจไปมากเลย ข้าพเจ้าจะรับเล้ียงดูพระคุณเจ้าในป่าใหญ่แทน สุวรรณสาม ข้าพเจ้ายิงธนูแม่น จะยิงกวางและเก็บผลไม้ในป่ามา

ท ศ ช า ติ 143 พ ร ะ สุ ว ร ร ณ ส า ม ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง เลย้ี งดทู า่ นทง้ั สอง ขา้ พเจา้ ไมต่ อ้ งการราชสมบตั ิ จะเลย้ี งดทู า่ นทงั้ สอง ไปตลอดชีวติ ” ฤๅษีท้ังสองทูลว่า “พระองค์เป็นพระราชาของอาตมาทั้งสอง การทำ�เช่นนั้นไม่สมควร” พระราชาทรงดำ�ริว่า น่าอัศจรรย์ แม้เพียง คำ�หยาบของฤๅษีท้ังสองนี้ท่ีด่าทอพระองค์ผู้ทำ�ร้ายถึงเพียงน้ีก็ไม่มี กลับยกย่อง พระองคเ์ สยี อกี จงึ ตรสั วา่ “ทา่ นผเู้ ปน็ เชอ้ื ชาตนิ ายพราน ทา่ นกลา่ วเปน็ ธรรม ท่านเต็มไปด้วยความถ่อมตน ขอท่านจงเป็นบิดาของข้าพเจ้า ข้าแต่ นางปารกิ า ขอทา่ นจงเปน็ มารดาของขา้ พเจา้ ขา้ พเจา้ ขออยใู่ นฐานะสาม บตุ รของทา่ น จะท�ำ กจิ ทกุ อยา่ งตงั้ แตก่ ารลา้ งเทา้ เปน็ ตน้ ขอทา่ นทงั้ สอง อยา่ ถอื วา่ ขา้ พเจา้ เปน็ พระเจา้ แผน่ ดนิ จงถอื วา่ ขา้ พเจา้ เปน็ เหมอื นสาม ลูกของทา่ นเถิด” ฤๅษที ง้ั สองประคองอญั ชลที ลู วงิ วอนวา่ “ขอถวายพระพร มหาบพติ ร พระองคไ์ มม่ หี นา้ ทท่ี จ่ี ะท�ำ การงานใหอ้ าตมา แตข่ อพระองคจ์ งทรงถอื ปลายไมเ้ ทา้ นำ�ทางไปหาสวุ รรณสามเถดิ อาตมาทั้งสองจะสัมผสั เทา้ ทั้งสองและดวงหน้าอันงดงามน่าดูของเธอ แล้วทรมานตนให้ตาย ตามกันไป” เมื่อท่านเหล่าน้ันสนทนากันอยู่อย่างน้ี พระอาทิตย์ได้อัสดงลง ตามล�ำ ดบั พระราชาทรงด�ำริว่า ถ้าพระองค์น�ำฤๅษีท้ังสองผู้ตาบอดไปหา สุวรรณสาม ดวงใจของท่านก็จะแตกสลายเพราะเห็นสุวรรณสาม เมื่อท่าน ทงั้ สองตาย พระองคก์ เ็ หมอื นนอนอยใู่ นนรก พระองคจ์ ะไมย่ อมน�ำฤๅษที งั้ สองไป จึงตรัสว่า “สามตายไปแล้ว นอนอยู่ในป่า เหมือนดวงจันทร์และดวง อาทิตย์ตกลงเหนือแผ่นดิน เปื้อนด้วยฝุ่นทราย ป่านั้นกว้างใหญ่นัก มีสัตวร์ ้ายมากมาย ท้ังศพสุวรรณสามก็อยูไ่ กลแสนไกล ท่านท้ังสอง อย่าไปเลย จงอยู่ในอาศรมนีเ้ ถิด”

พ ร ะ สุ ว ร ร ณ ส า ม 144 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ฤๅษีท้ังสองกล่าวว่า “ในป่ามีสัตว์ร้ายตั้งร้อยต้ังพันและตั้งหมื่น อาตมาทงั้ สองกไ็ มไ่ ดก้ ลวั ” เมอื่ ไมอ่ าจทดั ทานได้ พระราชาจงึ จงู ฤๅษที งั้ สอง นำ�ทางไปหาสวุ รรณสาม ครั้นถึงแล้ว ประทับยืนใกล้สุวรรณสาม ตรัสว่า “นี้บุตรของท่าน ทั้งสอง” บิดามารดาสัมผัสกายสุวรรณสามซ่ึงนอนเกลือกฝุ่นทราย ถูกทิ้งไว้ กลางป่าใหญ่ หัวใจแทบแตกสลาย บิดาช้อนศีรษะสุวรรณสามขึ้นวางไว้บนตัก มารดายกเท้าข้ึนวางไว้บนตักของตน นั่งร้องไห้บ่นรำ�พันอย่างน่าเวทนาว่า “โลกนี้ช่างไม่ยุติธรรม ขอให้ชาวโลกจงรู้ว่าความไม่เป็นธรรมกำ�ลัง เปน็ ไปในโลกนี้ ลกู สามผงู้ ดงามนา่ รกั ลกู หลบั เอาจรงิ ๆ ลกู เคลบิ เคลม้ิ เอามากมายเหลือเกิน เหมือนคนด่ืมสุราเข้ม ขัดเคืองใครมากมาย ขนาดนั้น วนั นี้ลกู ไมพ่ ูดอะไร ๆ กับพ่อกับแม่บา้ งเลย ลูกปฏิบตั บิ ำ�รุง พอ่ แมท่ ง้ั สองผตู้ าบอด ลกู มาตายเสยี แลว้ ตอ่ ไปใครเลา่ จะท�ำ ความสะอาด ชฎาอันหมักหมมเป้ือนฝุ่นละออง เมื่อลูกมาตายเสียแล้ว ใครจะจับ ไม้กวาดกวาดอาศรมใหพ้ ่อกับแม่ ใครจะเตรยี มน�ำ้ เย็นน�้ำ ร้อนใหอ้ าบ ใครจะจดั หาผลไม้ในป่ามาให้พ่อกับแม่” เม่ือมารดาพระโพธิสัตวบ์ ่นเพอ้ มากแล้ว กเ็ อามอื อังทีอ่ กพระโพธิสตั ว์ รู้สึกยังอุ่นอยู่ จึงคิดว่า “ลูกสามยังมีไออุ่นอยู่ ลูกเราเห็นจะสลบไป เพราะยาพษิ เราจะกระท�ำ สจั กริ ยิ าเพ่อื ถอนพษิ ” คดิ ดงั น้แี ล้ว ได้กระทำ� สจั กริ ยิ า ตง้ั สตั ยาธษิ ฐานวา่ “ลกู สามมไิ ดแ้ คป่ ระพฤตธิ รรมเทา่ นน้ั แตย่ งั เปน็ ผปู้ ระพฤตดิ งั พรหมดว้ ย ไดก้ ลา่ วค�ำ จรงิ มาแตก่ อ่ น ไดเ้ ลย้ี งบดิ ามารดา มคี วามเคารพตอ่ ญาตผิ ใู้ หญใ่ นตระกลู เปน็ ผเู้ ปน็ ทร่ี กั ยงิ่ กวา่ ชวี ติ ของเรา ดว้ ยสจั จวาจานี้ ขอพษิ ของลกู สามจงหายไป บญุ กศุ ลอยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ ที่ลูกสามเลี้ยงเราและบิดาของเธอ ด้วยอานุภาพกุศลบุญน้ันทั้งหมด ขอพษิ ในกายลูกสามจงหายไป”

ท ศ ช า ติ 145 พ ร ะ สุ ว ร ร ณ ส า ม ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง เม่ือมารดาทำ�สัจกิริยาอย่างนี้ สุวรรณสามก็พลิกตัวกลับนอนต่อไป บิดาคิดว่าลูกยังไม่ตาย จึงทำ�สัจกิริยาอย่างน้ันบ้างว่า “ลูกสามไม่ได้แค่ ประพฤตธิ รรมเทา่ นน้ั แตย่ งั เปน็ ผปู้ ระพฤตดิ งั พรหมดว้ ย ไดก้ ลา่ วค�ำ จรงิ มาแตก่ อ่ น ไดเ้ ลย้ี งดบู ดิ ามารดา มคี วามเคารพตอ่ ญาตผิ ใู้ หญใ่ นตระกลู เปน็ ผเู้ ปน็ ทร่ี กั ยงิ่ กวา่ ชวี ติ ของเรา ดว้ ยสจั จวาจานี้ ขอพษิ ในกายลกู สาม จงหายไป บุญกุศลอย่างใดอย่างหนึ่งท่ีลูกสามเลี้ยงดูเราและมารดา ของเธอ ด้วยอานุภาพกุศลบุญน้ันท้ังหมด ขอพิษในกายของลูกสาม จงหายไป” เมื่อบิดาทำ�สัจกิริยาอยู่อย่างนี้ สุวรรณสามก็พลิกตัวอีกข้างหนึ่งแล้ว นอนตอ่ ไป พหสุ ุนทรีเทพธดิ ามองดสู วุ รรณสามด้วยความเอ็นดู กไ็ ด้ท�ำ สจั กิริยา เชน่ กนั วา่ “เราอยทู่ ภี่ เู ขาคนั ธมาทนม์ ายาวนาน คนอน่ื ซง่ึ เปน็ ทรี่ กั ของเรา กวา่ สามไม่มี ตน้ ไมท้ งั้ หมดมีอยทู่ เ่ี ขาคันธมาทน์ ล้วนแต่เปน็ ไมห้ อม ด้วยสัจจวาจานี้ ขอพิษในกายของสามกุมารจงหายไป” ในกาลท่ีเทพธิดาทำ�สัจกิริยาจบลง เมื่อฤๅษีท้ังสองบ่นเพ้อรำ�พันอยู่ สุวรรณสามได้ลุกขึน้ อยา่ งรวดเรว็ ความเจ็บปวดทกุ ข์ทรมานได้หายไป เหมือน น้ำ�กล้ิงตกจากใบบัว แมแ้ ผลทีถ่ ูกยิงกไ็ มป่ รากฏ ความอัศจรรย์ท่ีเกิดขึ้นพร้อมกันในขณะนั้น คือ พระบรม โพธสิ ตั วส์ ุวรรณสามหายจากโรค ดวงตาบดิ ามารดากลบั เหน็ เปน็ ปกติ แสงเงินแสงทองยามรุ่งอรุณจับขอบฟ้า และท่านท้ังส่ีมาปรากฏ ท่อี าศรม สิ่งเหล่านเี้ กดิ ขน้ึ ในขณะเดียวกนั ดว้ ยอานภุ าพของเทวดา บดิ ามารดาทงั้ สองกลบั ไดด้ วงตาดเี ปน็ ปกติ แลว้ ยนิ ดอี ยา่ งเหลอื เกนิ วา่ ลูกสามหายแล้ว สุวรรณสามกล่าวกับท่านทั้งสองว่า “ลูกคือสุวรรณสาม ลูกหายเป็นปกติปลอดภัยดีแล้ว ขอท่านอย่าคร่ำ�ครวญนักเลย ย้ิม และพดู กบั ลกู ดว้ ยวาจาอันไพเราะเถดิ ”

พ ร ะ สุ ว ร ร ณ ส า ม 146 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง พระโพธิสัตว์มองเห็นพระราชา เมื่อจะทูลปฏิสันถารจึงกล่าวว่า “ขา้ แตม่ หาบพติ ร พระองคเ์ สดจ็ มาดแี ลว้ เพราะพระองคม์ เี ดชานภุ าพ มาก เสด็จมาไกลก็เหมือนใกล้ ในอาศรมมีผลมะพลับ ผลมะหาด ผลมะซาง และผลหมากเมา่ ขอเชญิ พระองคเ์ ลอื กเสวยแตผ่ ลทด่ี ี ๆ เถดิ ขอจงทรงดื่มนำ้�เย็นที่ตักมาจากแม่นำ้�มิคสัมมตา ซ่ึงไหลจากซอกเขา ตามพระประสงคเ์ ถดิ ” พระราชาเห็นความอัศจรรย์เช่นน้ัน จึงตรัสว่า “เรามึนงงไปหมด แปลกประหลาดใจมากเหลอื เกิน เราเหน็ สามตายแล้ว แตท่ �ำ ไมกลับ ฟน้ื คืนมาได้อีก” พระโพธสิ ตั ว์กราบทลู ว่า “ข้าแตม่ หาราชเจา้ ผคู้ นเข้าใจวา่ คนมี ชวี ติ อยู่ ประสบความเจ็บปวดทกุ ข์ทรมานอยา่ งร้ายแรง น่งิ เงียบไปวา่ “ตายแล้ว” เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายย่อมคุ้มครองบุคคลผู้เล้ียงดู บิดามารดาโดยธรรม แม้นักปราชญ์ท้ังหลายในโลกนี้ย่อมสรรเสริญ เขาผนู้ ั้น บุคคลนนั้ ตายจากโลกนีไ้ ปแล้ว ย่อมมีความสขุ บันเทงิ อย่ใู น สวรรค”์ พระราชาเกิดความอัศจรรย์ใจว่า แม้เทวดาทั้งหลายก็ช่วยเยียวยา รักษาโรคให้บุคคลผู้เลี้ยงดูบิดามารดา จึงประคองอัญชลี ตรัสว่า “ข้าพเจ้า แปลกประหลาดใจมากจรงิ ๆ ทา่ นบณั ฑติ ขา้ พเจา้ ขอถงึ ทา่ นเปน็ สรณะ ขอท่านจงเปน็ ทพ่ี ่ึงของขา้ พเจ้า” สุวรรณสามกราบทูลพระราชาว่า ถ้าประสงค์จะไปสวรรค์ เสวย ทิพยสมบัติ พระองค์จงปกครองแผ่นดินด้วยทศพิธราชธรรม จึงถวายโอวาท พระเจ้าปิลยักษ์ดว้ ยทศพธิ ราชธรรมวา่

ท ศ ช า ติ 147 พ ร ะ สุ ว ร ร ณ ส า ม ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง “ขา้ แตม่ หาราชเจา้ ขอพระองคท์ รงประพฤตธิ รรมในพระชนก และพระชนนี ในพระโอรสและพระมเหสี ในมิตรและอำ�มาตย์ ในพาหนะและกองทัพ ในชาวบ้านและชาวนิคม ในชาวเมืองและ ชาวชนบท ในสมณะและพราหมณ์ ในฝูงกวางและหมู่นกท้ังหลาย ครนั้ พระองคป์ ระพฤติธรรมน้ัน ๆ ในโลกนี้แล้ว จะไดไ้ ปเกิดในสวรรค์ ขอพระองค์จงทรงประพฤติธรรมเถิด ธรรมที่พระองค์ประพฤติแล้ว จะประสบแตค่ วามสขุ ความเจรญิ พระองคป์ ระพฤตธิ รรมในโลกนแี้ ลว้ จะได้ไปเกิดในสวรรค์ พระอินทร์ เทวดา พร้อมท้ังหมู่พรหม เข้าถึงทิพยสถานได้ด้วยการประพฤติธรรม ขอพระองค์อย่าประมาท ในธรรม” พระโพธิสัตว์แสดงธรรมกถาถวายพระราชาอย่างนี้แล้ว เมื่อจะถวาย โอวาทยิ่งข้ึน ได้ถวายเบญจศีล พระราชาทรงรับโอวาทพระโพธิสัตว์ ทรงไหว้ และขอขมาโทษพระโพธสิ ตั ว์แล้วเสด็จกลับกรงุ พาราณสี ทรงบ�ำ เพ็ญกุศล มีทาน เป็นต้น ทรงรักษาศีล ๕ ครองราชสมบัติโดยธรรม ครั้นสิ้นพระชนม์ได้ไปเกิด ในสวรรค์ ฝา่ ยพระโพธสิ ตั วป์ ฏบิ ตั บิ �ำ รงุ บดิ ามารดา ไดบ้ รรลอุ ภญิ ญาและสมาบตั ิ พร้อมท้ังบิดามารดา ไม่ได้เสื่อมจากฌาน เม่ือหมดอายุได้ไปเกิดในพรหมโลก พรอ้ มทง้ั บิดามารดาน้นั

พ ร ะ สุ ว ร ร ณ ส า ม 148 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง กลับชาติมาเกดิ สมยั พุทธกาล พระบรมศาสดาทรงเล่าเรื่องสุวรรณสามแล้วตรัสว่า “ภิกษุ ทงั้ หลาย การเลยี้ งดบู ดิ ามารดาเปน็ วงศข์ องบณั ฑติ ทง้ั หลาย” ตรสั ดงั นแี้ ลว้ ทรงประกาศอริยสัจ ๔ เพื่อประชุมชาดก เมื่อทรงแสดงอริยสัจ ๔ จบลง พระภกิ ษุหนมุ่ ผู้เล้ยี งดูบิดามารดารปู น้นั ได้บรรลุโสดาปตั ติผล พระราชาปิลยักขราชในกาลนั้น กลับชาติมาเกิดเป็น พระอานนท์ในชาตินี้ พหุสุนทรีเทพธิดาเกิดเป็นภิกษุณีชื่อว่า อุบลวรรณา ท้าวสักกเทวราชเกิดเป็นพระอนุรุทธะ ทุกูลบัณฑิต ผู้บิดาเกิดเป็นพระมหากัสสปะ นางปาริกาผู้มารดาเกิดเป็นภิกษุณี ชื่อ ภทั ทกาปลิ านี ส่วนสุวรรณสามบณั ฑิต คอื เราผ้สู ัมมาสมั พุทธเจ้า


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook