Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ทศชาติ

ทศชาติ

Published by BURINTHORNVORAVITAR, 2022-11-20 09:39:05

Description: ทศชาติ

Search

Read the Text Version

ท ศ ช า ติ 549 พ ร ะ เ ว ส สั น ด ร ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง พระนางมัทรีนึกฉงนว่า เม่ือก่อนพระสวามีไม่เคยบอกให้เก็บข้าวของ แต่เหตุใดวันนี้จึงบอกให้เก็บ จึงทูลถามว่า “เจ้าพี่จะโปรดให้เก็บทรัพย์ไว้ ท่ีไหน ขอพระองค์รบั สั่งหมอ่ มฉันดว้ ย” พระเวสสันดรตรัสว่า “มัทรี เธอควรบริจาคทานให้ท่านผู้มีศีล ตามสมควร สตั ว์ท้งั ปวงไม่มที พ่ี ง่ึ อนื่ ที่จะดยี งิ่ ไปกว่าการบรจิ าคทาน” เม่ือพระนางมัทรีรับทราบแล้วจึงตรัสสอนเพิ่มขึ้นไปอีกว่า “เธอจง เอน็ ดลู กู ทงั้ สองของเราและจงดแู ลพอ่ แมฉ่ นั ตอ่ ไปเธอจะไมไ่ ดอ้ ยกู่ บั ฉนั ถ้ากษัตริย์พระองค์ใดมาสู่ขอ เธอจงตกลงปลงใจไปอยู่กับกษัตริย์ พระองคน์ ั้น เธอจงหาสามีอน่ื จะได้ไมล่ าํ บาก” พระนางมทั รดี �ำ รวิ า่ ท�ำ ไมพระเวสสนั ดรตรสั ไดถ้ งึ ขนาดนี้ จงึ ทลู ถามวา่ “เหตไุ รพระองคจ์ งึ ตรสั ไม่เปน็ มงคลเชน่ นี้” พระเวสสนั ดรตรสั ตอบวา่ “มทั รี ชาวสพี โี กรธเคอื งทพี่ บี่ รจิ าคชา้ ง จึงขับไล่จากแว่นแคว้น พรุ่งนี้พ่ีจะให้ทานคร้ังใหญ่แล้วจะออกจาก พระนคร ในวันท่ี ๓ พี่ต้องไปอยู่ป่าที่อันตรายเต็มไปด้วยสัตว์ร้าย มากมาย เมอื่ อยปู่ ่าคนเดียวอาจจะไม่รอดชวี ิตก็ได้” พระนางมัทรีกราบทูลว่า “พระองค์อย่าตรัสเช่นนี้ ไม่ดีเลย พระองคไ์ มส่ มควรเสดจ็ พระองคเ์ ดยี ว แมห้ มอ่ มฉนั กจ็ ะโดยเสดจ็ ดว้ ย ใหต้ ายรว่ มกบั พระองคย์ งั จะดกี วา่ ทจ่ี ะพรากจากพระองค์ ใหเ้ ผาตวั เอง ตายเสยี ยงั จะดกี วา่ อยโู่ ดยไมม่ พี ระองค์ นางชา้ งพงั ตามชา้ งพลายไปอยปู่ า่ เทยี่ วไปตามภผู าทางกนั ดาร สถานทขี่ รขุ ระฉนั ใด แมห้ มอ่ มฉนั จะพาลกู ทัง้ สองตามเสดจ็ ไปขา้ งหลงั ฉันนนั้ หม่อมฉนั และลูกจะเปน็ ผเู้ ลย้ี งง่าย ไมท่ าํ ใหพ้ ระองค์เป็นภาระ”

พ ร ะ เ ว ส สั น ด ร 550 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง คร้ันพระนางมัทรีกราบทูลพระสวามีอย่างนี้แล้ว จึงพรรณนาถึงป่า หมิ พานต์ท่ีงดงามอยา่ งละเอียด ประหนึ่งว่าเคยเหน็ ด้วยตัวเองมากอ่ นว่า “เมอื่ ลกู ไปดว้ ย พระองคอ์ ยปู่ า่ ไดท้ อดพระเนตรเหน็ ลกู ทง้ั สอง พดู จาฉอเลาะ ไพเราะ นา่ รัก น่าเอ็นดู เก็บดอกไม้ประดบั ตน นั่งเล่น อยู่ท่ีพุ่มไม้ในป่าบ้าง ท่ีอาศรมรมณียสถานบ้าง ก็จะทําให้พระองค์ เพลิดเพลิน ไม่เปน็ ทกุ ข์ เพราะทรงระลกึ ถึงราชสมบัติ เมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นช้างมาตังคะเท่ียวอยู่ในป่า ตัวเดียวก็ตาม เดินนําหน้าโขลงช้างพัง ส่งเสียงร้องกึกก้องโกญจนาท ไปกต็ าม ทอดพระเนตรปา่ เขาลาํ เนาไพรระหวา่ ง ๒ ขา้ งทาง เกลอื่ นกลน่ ไปดว้ ยฝูงสตั วน์ านาชนดิ ทง้ั เหลา่ กนิ นรฟ้อนราํ อยู่กลางปา่ กึกกอ้ งไป ดว้ ยเสยี งกระแสน�้ำ ตกกระทบโขดหนิ ไหลรนิ ไมข่ าดสาย เสยี งรอ้ งของ นกเคา้ ที่เทีย่ วอยู่ตามซอกเขา เสยี งสัตวร์ ้ายในป่าทง้ั ราชสหี ์ เสอื โคร่ง แรด โค และฝูงนกยูงจับอยู่ที่ยอดเขา เกลื่อนกล่นไปด้วยนางนกยูง กําลังรําแพน มีแพนหางวิจิตร ขับร้องอยู่ในเวลาเย็น เต็มไปด้วย มวลดอกไม้นานาพรรณเบ่งบาน ส่งกลิ่นหอมฟุ้ง ท่ีพื้นดินก็เขียวชอุ่ม ปกคลุมไปด้วยแมลงค่อมทอง ท้ังอัญชันเขียวสดกําลังแตกยอดอ่อน บวั บกออกดอกบานสะพรง่ั สง่ กลน่ิ หอมฟงุ้ และปทมุ ชาตมิ ดี อกรว่ งหลน่ ในเดอื นฤดเู หมนั ต์ เมอื่ นั้นพระองคก์ จ็ ะไม่ทรงระลึกถึงราชสมบตั ิ” พระนางมัทรีทรงพรรณนาถึงหิมวันตประเทศตามจินตนาการของ พระองค์ เหมอื นพระองคเ์ คยเสด็จประทบั อยทู่ ่ปี ่าหมิ พานตม์ าก่อน๑๐ ๑๐ พระเวสสันดรและพระนางมัทรีเคยเกิดเป็นสัตว์ป่าหิมพานต์หลายชาติ พระนางมทั รีจึงพรรณนาป่าหมิ พานตจ์ ากความทรงจําแห่งอดีตชาติได้เหมอื นอยา่ งตาเห็น

ท ศ ช า ติ 551 พ ร ะ เ ว ส สั น ด ร ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง บรจิ าคมหาทานราชทรัพย์ พระนางผุสดีทรงเป็นทุกข์ใจว่า ลูกรู้ข่าวแล้วหรือยัง เม่ือลูกรู้แล้ว จะทําอย่างไร จึงแอบเสด็จไปพบพระโอรสด้วยวอที่สวยงามมีม่านปกปิด ประทับยืนที่หน้าประตูห้องบรรทมพระเวสสันดร ได้ยินเสียงสนทนากันระหว่าง พระเวสสันดรกับพระนางมัทรีก็พลอยกรรแสงครำ่�ครวญอย่างน่าเวทนาว่า เรากินยาพิษ โดดเหว หรือเอาเชือกผูกคอตายยังจะดีเสียกว่าที่จะให้ชาวเมือง ขับไล่ลูกผู้ไม่มีความผิด ทําไมชาวนครสีพีจึงขับไล่ลูกเราผู้ไม่ทําร้ายใคร เป็นคนฉลาด มแี ตก่ ารใหท้ าน ไมต่ ระหนี่ พระราชาต่าง ๆ ก็ยกย่องสรรเสริญ พระนางผสุ ดเี ขา้ ไปหาพระโอรส ทรงครำ�่ ครวญอย่างนา่ สงสาร ปลอบ พระโอรสและพระนางมัทรีให้อุ่นใจแล้วเสด็จกลับไปกราบทูลพระเจ้าสญชัยว่า “ชาวเมืองให้ขับไล่ลูกผู้ไม่มีความผิดออกจากแคว้น ต่อไปบ้านเมือง จะเป็นเหมือนรังผ้ึงร้างที่ผ้ึงหนีจากไป พระเจ้าแผ่นดินที่ถูกอำ�มาตย์ ทอดท้ิงจะต้องอยู่ลําบากตามลำ�พังเหมือนหงส์ไร้ขนปีก จับเจ่าอยู่ ในเปอื กตมแห้ง ขอพระองคอ์ ยา่ ทรงขับไลล่ กู ตามคําของชาวสพี เี ลย” พระเจ้าสญชัยตรัสว่า “น้องผุสดี เมื่อเราขับไล่ลูกที่รักผู้เป็น ดุจธงชัยของชาวสีพี ก็ทําตามขัตติยราชประเพณีธรรมของแคว้นสีพี แตโ่ บราณ ถงึ ลกู จะเป็นทีร่ ักกวา่ ชีวิตเราก็ท�ำ ไปด้วยความจำ�เปน็ ” พระนางผุสดีทรงครวญครำ่�รําพันโดยประการต่าง ๆ ว่า “เม่ือก่อน มียอดธงปลิวสะบัดติดตามลูกเวสสันดรท่ีเสด็จโดยช้าง โดยวอ โดยราชรถ ทั้งมีกองทหารแต่งเคร่ืองแบบงดงาม ทอแสงวาววับ ติดตามมา เหมือนดอกกรรณิการ์ท่ีบานสะพร่ัง แต่วันนี้ลูกจะเดิน เทา้ เปลา่ ไปตามทางไดอ้ ยา่ งไร แมม้ ทั รที ต่ี ามไปจะอยอู่ ยา่ งไร เมอ่ื กอ่ น แค่ได้ยินเสียงสุนัขเห่าหอนก็สะดุ้ง เมื่อได้ยินเสียงนกเค้าแมว นกฮูก ครวญคราง จะหวาดกลัวตวั ส่นั แคไ่ หน”

พ ร ะ เ ว ส สั น ด ร 552 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง นางฝ่ายในได้ยินพระนางผุสดีครำ่�ครวญก็พากันร้องไห้ตามกัน เหล่าชนชาววังพระเวสสันดรได้ยินสตรีในวังหลวงพระเจ้าสญชัยครำ่�ครวญ ก็คร่ำ�ครวญไปตามกัน ในราชสกุลท้ังสองไม่มีใครสามารถดํารงอยู่ตามภาวะ ของตนได้ ตา่ งล้มลงเกลือกกล้ิงไปมาครำ�่ ครวญ ราตรนี น้ั ผา่ นไปอยา่ งเงยี บเหงา วงั ทง้ั วงั ดวู งั เวงเหมอื นปา่ ชา้ ดวงอาทติ ย์ ขึน้ แล้ว เจา้ หน้าที่จัดเตรยี มทานเสรจ็ ไดก้ ราบทลู ใหพ้ ระเวสสันดรทราบ พระเวสสันดรทรงสรงสนานแต่เช้า ประดับพระองค์เสร็จแล้วเสวย พระกระยาหาร แวดล้อมไปด้วยฝูงชน เสด็จเข้าสู่โรงทานเพื่อบริจาคสัตตสดก มหาทาน ท้ังชา้ ง มา้ รถ ขัตติยกัญญา ทาส ทาสี และโคนม อย่างละ ๗๐๐ ตลอดจนสง่ิ ของอื่น ๆ อกี มากมาย เมื่อพระโพธิสัตว์ทรงบริจาคทานอยู่อย่างน้ี ชาวพระนครที่มารับทาน ต่างรอ้ งไหร้ ําพนั วา่ “ข้าแต่พระเวสสนั ดร ชาวพระนครสพี ีขบั ไล่พระองค์ เพราะทรงบรจิ าคทาน ขอใหพ้ ระองคบ์ รจิ าคทานใหม้ ากยง่ิ ขน้ึ ไปอกี เถดิ ” เสียงกึกก้องโกลาหลนา่ หวาดเสียวดังสะท้อนเข้าไปในพระนคร ฝ่ายผู้รับทานต่างพากันรําพันว่า “พระเวสสันดรจะเสด็จเข้าป่า พวกเราหมดท่ีพ่ึงแล้ว ต้ังแต่น้ีไปพวกเราจะบากหน้าไปพึ่งใครได้ เหมือนพระองค”์ จึงพากนั นอนกลงิ้ เกลอื กไปมาร้องใหค้ รำ่�ครวญ พวกเหล่าเทวดาแจ้งให้พระราชาทั่วชมพูทวีปทราบว่าพระเวสสันดร ทรงบาํ เพญ็ มหาทาน จงึ นาํ กษัตริยท์ ั้งหลายมารบั นางขตั ตยิ กญั ญาเหล่าน้นั ไป พระเวสสันดรทรงบริจาคทานอยู่จนถึงเวลาเย็นจึงเสด็จกลับ พระราชนิเวศน์ไปถวายบังคมลาพระชนกพระชนนีเพื่อเดินทางในวันรุ่งข้ึน พระนางมทั รคี ดิ วา่ แมเ้ รากจ็ ะโดยเสดจ็ พระสวามจี ะไปกราบลาเชน่ กนั จงึ เสดจ็ ไป พรอ้ มกับพระเวสสันดร

ท ศ ช า ติ 553 พ ร ะ เ ว ส สั น ด ร ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง พระเวสสันดรถวายบังคมลาพระบิดา กราบทูลว่า “เสด็จพ่อ สัตว์ เหลา่ ใดเหลา่ หนงึ่ ทเี่ กดิ มาแลว้ ลว้ นตอ้ งตายทง้ั นนั้ ขอพระองคจ์ งเนรเทศ ลูกไปเขาวงกตเถิด หม่อมฉันบริจาคทานในวังของตนกลับถูกหาว่า เบยี ดเบยี นชาวเมอื งของตน ทงั้ ถูกเนรเทศจากเมอื งของตน หม่อมฉนั จะประสบทุกข์ในป่าทเ่ี ต็มไปด้วยสตั วร์ ้ายมากมาย” จากนั้นจึงถวายบังคมพระมารดาขออนุญาตบรรพชาว่า “เสด็จแม่ ขอจงทรงอนุญาตให้ลูกบวช ลูกบริจาคทานในวังของตนยังถูกหาว่า เบยี ดเบยี นชาวเมอื งของตน ลกู จะออกไปจากแคว้นของตนตามความ ต้องการของชาวเมอื ง” พระนางผสุ ดตี รสั วา่ “ลกู แม่ แมอ่ นญุ าต ลกู จงบวชเถดิ แตม่ ทั รี กับหลาน ๆ ให้อยู่กับแม่ มัทรีกับหลานทั้งสองจะไปทำ�อะไรในป่า” พระเวสสันดรตรัสว่า “ลูกไม่ต้องการให้ใครติดตามไปด้วย แม้แต่ทาสี คนเดียวก็ไม่อยากให้ไป แต่ถ้ามัทรีต้องการตามลูกไปก็ตามใจ ถ้า ไมต่ ้องการไปกอ็ ยู่เถิด ลูกจะไม่ห้าม” พระเจ้าสญชัยลุกขึ้น เสด็จเข้าไปหาลูกสะใภ้วิงวอนว่า “มัทรี การอย่ใู นปา่ ลำ�บาก ลกู อย่าไปเลย” พระนางมทั รกี ราบทลู ว่า “เสดจ็ พอ่ หมอ่ มฉนั จะไมม่ คี วามสขุ เลยถ้าต้องอยู่โดยปราศจากพระเวสสันดร” พระเจ้าสญชัยตรสั ว่า “มัทรี ลูกคดิ ดใู ห้ดี ลูกยงั ไม่รู้วา่ กลางป่า มีอันตรายมาก เม่ือเห็นฝูงลิงน่ากลัวท่าทางพิลึก ลูกจะทําอย่างไร ในปา่ แสนจะลาํ บาก มที งั้ ตกั๊ แตน บงุ้ เหลอื บ ยงุ แมลง ผงึ้ นอกจากนนั้ ยังมีงู แม้งูเหลือมไม่มีพิษแต่มันก็มีกําลังมาก มันรัดคนหรือสัตว์ ใหต้ ายได้ หมเี ปน็ สตั วท์ อ่ี นั ตราย ทงั้ นา่ กลวั แมจ้ ะขน้ึ ตน้ ไมก้ ห็ นไี มพ่ น้ ฝูงกระบือป่าปลายเขาแหลมชอบขวิดชนเที่ยวอยู่ราวป่าริมฝ่ังแม่นำ้� โสตุมพะ ถ้าลูกมัทรีเห็นฝูงกระบือในป่าจะทําอย่างไร ลูกเคยอยู่แต่ ในวัง เม่ือไปถงึ เขาวงกตจะอยู่อย่างไร”

พ ร ะ เ ว ส สั น ด ร 554 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง พระนางมัทรีกราบทูลพระเจ้าสญชัยว่า “เสด็จพ่อ หม่อมฉันรู้ว่า ป่าใหญ่มีอันตรายมาก แต่หม่อมฉันจะสู้ทนภัยท้ังหมด จะดั้นด้น แหวกตน้ เป้ง หญา้ คา หญา้ คมบาง หญ้าแฝก หญ้าปลอ้ ง และหญ้า มุงกระต่ายไป จะโดยเสด็จพระสวามีไป ไม่ย่อท้อ คงไม่มีชายใด อยากอยรู่ ว่ มกบั หญิงหม้ายทผ่ี ัวทิ้ง มแี ต่เขาจะจกิ ผมหญิงหมา้ ย ทุบตี ให้ไดร้ บั ความอับอายขายหน้า หญิงหม้าย แม้เกิดในสกุลญาติท่ีรำ่�รวยก็ยังถูกญาติพ่ีน้อง และเพอื่ นฝงู คอ่ นแคะวา่ หญงิ ไมม่ ผี วั นต้ี อ้ งเปน็ ภาระพวกเราตลอดชวี ติ แมน่ �ำ้ ไมม่ นี �้ำ กไ็ รป้ ระโยชน์ แวน่ แควน้ ไรจ้ อมราชนั กล็ ม่ จม หญงิ หมา้ ย แมม้ พี ่ีนอ้ งต้ัง ๑๐๐ กเ็ หมือนตัวคนเดียว ธงเป็นเคร่ืองหมายแห่งราชรถ ควันเป็นท่ีปรากฏแห่งไฟ พระราชาเป็นสัญลักษณ์ของแผ่นดิน สามีก็เป็นสง่าราศีของสตรี ความเปน็ หม้ายเป็นทุกข์ในโลก ถงึ อย่างไรหมอ่ มฉนั จะต้องไป เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายสรรเสริญสตรีผู้ร่วมสุขร่วมทุกข์ กบั สามเี พราะเธอทําส่ิงทที่ ําไดย้ าก หม่อมฉนั จะนงุ่ หม่ ผ้าย้อมน�ำ้ ฝาด โดยเสด็จพระสวามีไปทุกหนทุกแห่ง ให้แผ่นดินล่มสลายยังดีกว่า เปน็ หมา้ ยอยคู่ นเดยี ว หมอ่ มฉนั ไมป่ รารถนาแผน่ ดนิ ทม่ี ที รพั ยม์ ากมาย จรดฝั่งมหาสาคร แต่ต้องพลัดพรากจากพระสวามี หญิงท่ีทิ้งสามี ยามทุกขย์ ากเป็นหญงิ ไม่ดเี ลย” พระเจ้าสญชัยตรัสว่า “ลูกมัทรี ถ้าเช่นน้ันหลานชาลีกับหลาน กณั หาชนิ าทัง้ สองยังเลก็ นกั ใหอ้ ยกู่ บั พอ่ แมเ่ ถิด พ่อแม่จะเลย้ี งดเู อง” พระนางมัทรีกราบทูลว่า “ชาลีและกัณหาชินาจะทําให้ชีวิตท่ี เศร้าโศกของหม่อมฉันทง้ั สองร่นื รมย์อยกู่ ลางปา่ แสนไกลไรผ้ คู้ น”

ท ศ ช า ติ 555 พ ร ะ เ ว ส สั น ด ร ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง พระเจ้าสญชยั ตรสั วา่ “หลานทั้งสองเคยสุขสบายไปอยูก่ ลางป่า เชน่ นั้นจะทาํ อยา่ งไร” เมอ่ื กษตั รยิ เ์ จรจากนั อยอู่ ยา่ งนร้ี าตรกี ส็ วา่ ง เจา้ พนกั งานนาํ รถเทยี มมา้ สินธพมาเทียบไว้ท่ีประตวู ังรอรับพระเวสสนั ดร พระนางมัทรีถวายบังคมกษัตริย์ท้ังสองพระองค์ บอกลาสตรีข้าหลวง ท้งั หลาย พาพระโอรสและพระธิดาไปประทับอยู่บนรถกอ่ นพระเวสสันดร บรจิ าคมา้ และราชรถ พระเวสสนั ดรถวายบงั คมพระชนกและพระชนนีแล้วทรงทาํ ประทักษณิ เสด็จขึ้นรถพระที่น่ัง พาพระโอรส พระธิดา และพระมเหสี มุ่งหน้าสู่เขาวงกต ขณะนน้ั มปี ระชาชนมายนื คอยสง่ เสดจ็ ตามทอ้ งถนนเปน็ จาํ นวนมาก พระนางผสุ ดี ดำ�ริว่าลูกต้องให้ทานในระหว่างทาง จึงให้คนนํารถบรรทุกรัตนะตามไปมอบให้ พระเวสสนั ดร พระเวสสันดรทรงบริจาครัตนะและเคร่ืองประดับจนหมดตัว พระราชทานใหย้ าจกผมู้ าขอถงึ ๑๘ ครง้ั จงึ เสดจ็ ออกจากพระนครไป ประสงคจ์ ะ ทอดพระเนตรราชธานีเป็นคร้ังสุดท้าย แผ่นดินในท่ีมีประมาณเท่ารถพระท่ีนั่ง กแ็ ยกออก หมนุ รถพระทนี่ งั่ ใหห้ นั หนา้ กลบั พระนครเชตดุ ร พระองคท์ อดพระเนตร สถานท่ีประทับของพระชนกพระชนนี ทําให้เกิดแผ่นดินไหวเป็นท่ีน่าอัศจรรย์ พระองค์ตรัสกับพระนางมัทรวี า่ “น้องมัทรีดสู ิ น่นั พระราชนเิ วศน์พระบิดา นัน่ วังของเราทพ่ี ระบดิ าประทานให้ ดนู ่ารื่นรมย์ทเี ดยี ว” จากน้ันพระเวสสันดรรับส่ังให้อํามาตย์กลับแล้วขับรถพระท่ีนั่งไปเอง ตรัสสง่ั ใหพ้ ระนางมัทรีคอยดขู า้ งหลงั ไว้ หากมีคนขอทานตามมาให้บอกดว้ ย

พ ร ะ เ ว ส สั น ด ร 556 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง คราวนั้นมีพราหมณ์ ๔ คนมาไม่ทันรับมหาทาน ได้ถามทางท่ี พระเวสสันดรเสด็จไป ครั้นทราบแลว้ จึงรบี ติดตามไปทูลขอม้า ๔ ตวั พระนาง มทั รที อดพระเนตรเหน็ พราหมณ์ทง้ั ๔ คนตามมาจงึ บอกใหพ้ ระเวสสันดรทราบ พระเวสสันดรหยุดรถพระท่ีน่ัง พวกพราหมณ์ได้ทูลขอม้าที่เทียมรถทั้ง ๔ ตัว พระเวสสนั ดรไดพ้ ระราชทานใหค้ นละตวั เมื่อพระเวสสันดรพระราชทานม้าทั้ง ๔ ตัวไปแล้ว งอนรถพระท่ีน่ัง ไดต้ ง้ั อยใู่ นอากาศ ครน้ั พราหมณไ์ ปแลว้ เทวบตุ ร ๔ องคจ์ าํ แลงกายเปน็ ละมงั่ ทอง มารองรบั งอนรถลากไป พระโพธิสัตว์ทรงทราบว่าละม่ังท้ัง ๔ ตัวน้ันเป็นเทพบุตร จึงตรัสกับ พระนางมทั รวี า่ “น้องมัทรี เธอดูละมง่ั ทองน่ันสิมาลากรถเราไปเหมือน ม้าท่ฝี กึ มาดีแลว้ ชา่ งงดงามนา่ รักจรงิ ” ขณะที่พระเวสสันดรกําลังนั่งรถเสด็จไปได้มีพราหมณ์อีกคนหน่ึง มาทูลขอรถ นับเป็นคนที่ ๕ ท่ีมาทูลขอรถจากพระเวสสันดรในป่าแห่งน้ี พระเวสสนั ดรใหพ้ ระโอรส พระธดิ า และพระมเหสลี งจากรถแลว้ พระราชทานรถ ให้พราหมณ์ ขณะน้นั เหลา่ เทพบุตรกไ็ ดอ้ ันตรธานหายไป ป่าใหญ่และไพรกวา้ ง พระโพธิสัตว์ตรัสกับพระนางมัทรีว่า “น้องมัทรี เธออุ้มลูกกัณหา เพราะกัณหาเป็นน้อง ตัวเบา ส่วนพ่ีจะอุ้มลูกชาลี” แล้วกษัตริย์ทั้งสอง ก็อุ้มพระโอรสและพระธิดาเสด็จไป ต่างร่าเริงบันเทิงใจ สนทนากันด้วยใบหน้า ท่ีเปีย่ มสุข พระเวสสันดรตรัสถามทางไปเขาวงกตจากคนที่เดินสวนทางมา ผู้คน ตอบวา่ ยงั ต้องเดินทางอกี ไกล

ท ศ ช า ติ 557 พ ร ะ เ ว ส สั น ด ร ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ชาลีและกัณหาชินาสองพี่น้องเห็นต้นไม้มีผลต่าง ๆ ห้อยย้อยอยู่ ระหวา่ งสองขา้ งทางกท็ รงกรรแสง อยากเสวยผลไม้ ตน้ ไมเ้ หลา่ นน้ั กโ็ นม้ กง่ิ ลงมา เปน็ ทน่ี ่าอัศจรรย์ พระเวสสนั ดรเลอื กเกบ็ ผลทสี่ ุกดีให้ลูกทงั้ สอง พระเวสสันดรเดินทางจากกรุงเชตุดรจนถึงมาตุลนคร แคว้นเจตรัฐ รวมระยะทาง ๓๐ โยชน์ คอื จากกรงุ เชตดุ รถงึ เขา “สวุ รรณครี ตี าละ” ระยะทาง ๕ โยชน์ จากเขาสุวรรณคีรีตาละถึงแม่น้ำ� ชื่อ “โกนติมารา” ๕ โยชน์ จากแม่นำ้�โกนติมาราถึงเขา ช่ือ “อัญชรคีรี” ๕ โยชน์ จากภูเขาอัญชรคีรี ถึงบ้านพราหมณ์ ช่อื “ทนุ นิวิฏฐะ” ๕ โยชน์ และจากบา้ นพราหมณ์ทุนนิวิฏฐะ จนถงึ “มาตลุ นคร” ๑๐ โยชน์ รวมเป็น ๓๐ โยชน์ เทวดาย่นเส้นทางให้ส้ันเข้าเพ่ือไม่ให้พระกุมารทั้งสองลำ�บากในการ เดินทาง กษัตริยท์ ้ัง ๔ พระองค์จึงเสด็จถึงมาตุลนคร แคว้นเจตรฐั ในวนั เดยี ว เทา่ น้นั แคว้นเจตรัฐเป็นชนบทม่ังคั่งอุดมสมบูรณ์ ผู้คนมากมาย พระเวสสันดรไม่ต้องการให้เกิดความเอิกเกริกจึงไม่เสด็จเข้าไปภายในนคร ประทบั พกั อยู่ทีศ่ าลาใกล้ประตเู มอื ง พระนางมทั รีเชด็ ฝุ่นท่ีพระบาทพระโพธิสตั ว์ แล้วนวดพระบาท ทรงต้องการให้ประชาชนรู้ว่าพระเวสสันดรเสด็จมาจึงออก จากศาลาไปประทับยืนอยู่ที่หน้าศาลาใกล้ประตูเมือง พวกหญิงท่ีเดินเข้าออก พระนครเห็นพระนางมัทรี ดูลักษณะไม่เหมือนสามัญชนท่ัวไป ต่างเข้ามา หอ้ มลอ้ มไถถ่ ามทกุ ขส์ ขุ ประชาชนรวู้ า่ เปน็ พระนางมทั รเี สดจ็ มาดว้ ยพระบาทเปลา่ ต่างมามุงดูกล่าวกันว่า “พระเวสสันดรและพระกุมารทั้งสองพระองค์ เสด็จมาดูนา่ อนาถ” จึงไปกราบทูลกษตั รยิ เ์ จตราชใหท้ รงทราบ กษัตริยเ์ จตราชทราบข่าวจงึ พากันเสดจ็ มาเย่ยี ม ต่างกรรแสงตรัสถาม ถึงทุกข์สุขของพระบิดาและพระมารดาพระเวสสันดร ตลอดจนเหตุการณ์ บ้านเมอื งวา่ “พระองคเ์ ดินทางมาไกลโดยไมม่ ีกองทหาร ไม่มขี บวนรถ พระองค์ถูกฆ่าศกึ ย�ำ่ ยีหรือจึงเสดจ็ มาไกลถึงที่น”ี้

พ ร ะ เ ว ส สั น ด ร 558 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง พระโพธิสัตว์ตรัสถึงเหตุการณ์ท่ีพระองค์เสด็จมาให้กษัตริย์เจตราช ฟังว่า พระองค์ได้บริจาคช้างปัจจยนาเคนทร์เป็นทานแก่พราหมณ์ ชาวเมือง พากันโกรธเคือง และพระบิดาก็กริว้ จึงขบั ไลใ่ ห้ไปอยเู่ ขาวงกต กษตั รยิ เ์ จตราชจงึ ทลู ขอพระเวสสนั ดรใหเ้ สดจ็ มาเปน็ พระราชอาคนั ตกุ ะ ของแคว้นเจตรัฐ พระเวสสันดรตรัสว่า พระราชบิดาขับไล่พระองค์ออกจาก แว่นแคว้น ดังน้ันพระองค์จงึ ตอ้ งไปเขาวงกตตามรับสั่ง กษัตริย์เจตราชจึงทูลเชิญให้ประทับอยู่ในแคว้นเจตรัฐจนกว่าพวกตน จะไปกราบทลู ให้พระเจา้ สญชยั พระราชทานอภัยโทษ พระเวสสันดรตรัสห้ามไม่ให้กษัตริย์เจตราชไปเฝ้าพระราชบิดา เน่ืองจากพระองค์ไม่มีอํานาจในการตัดสินใจ แต่ชาวเมืองต่างหากท่ีมีอํานาจ ในการตัดสินใจ และหากทำ�เช่นนั้นจะเปิดโอกาสให้ชาวเมืองและกองทัพ ที่โกรธแค้นยกเปน็ เหตกุ าํ จดั พระราชบิดาของพระองคไ์ ด้ พวกกษตั รยิ เ์ จตราชเชญิ พระเวสสนั ดรเสดจ็ ขน้ึ ครองราชสมบตั ใิ นแควน้ เจตรัฐ แม้รัฐนกี้ ม็ ่ังคั่ง อุดมสมบรู ณ์ ชนบทก็มาก แผ่นดนิ ก็กวา้ งใหญ่ไพศาล พระเวสสันดรตรัสว่า “เราถูกเนรเทศจากแว่นแคว้นก็ไม่คิด ครองราชสมบัติ หากพวกท่านอภเิ ษกเรา ผถู้ กู เนรเทศจากแว่นแคว้น ให้ครองราชสมบัติเช่นนั้น ประชาชนและกองทัพจะไม่พอใจ ความ บาดหมางระหว่างแคว้นสีพีและแคว้นเจตรัฐจะเกิดข้ึน จนกลายเป็น ชนวนสงครามโดยมีเราเป็นต้นเหตุ เราไม่ต้องการเห็นผู้คนรบรา ฆ่าฟันกัน” แม้กษัตริย์เจตราชจะทูลวิงวอนอย่างไรพระเวสสันดรก็ไม่ต้องการ ราชสมบัติ กษัตริย์เจตราชต้องการทําการต้อนรับพระเวสสันดรอย่างยิ่งใหญ่ แตพ่ ระองค์กไ็ ม่ประสงคจ์ ะเสดจ็ เข้าไปภายในพระนคร

ท ศ ช า ติ 559 พ ร ะ เ ว ส สั น ด ร ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง กษัตริย์เจตราชจึงให้ตกแต่งศาลาน้ัน ก้ันม่าน ตั้งพระแท่นบรรทม แลว้ ตัง้ กองรักษาการณ์ไวโ้ ดยรอบ พระเวสสันดรพักแรมอยู่ที่ศาลานั้น ๑ ราตรี รุ่งขึ้นสรงสนานแต่เช้า เสวยพระกระยาหารเสร็จแล้วก็ออกเดินทางต่อไป กษัตริย์เจตราชตามไปส่ง พระเวสสันดรจนถึงชายป่าเป็นระยะทาง ๑๕ โยชน์ กราบทูลให้ทรงทราบถึง เส้นทางข้างหน้าอีก ๑๕ โยชน์ว่า “ภูเขาหินที่เห็นอยู่ข้างหน้าโน้นเป็นท่ี บาํ เพญ็ พรตของฤาษบี ชู าไฟ ชอื่ เขา “คนั ธมาทน”์ ขอพระองค์ จงประทบั พักแรมทีภ่ เู ขาน้นั ” กษัตริย์เจตราชต่างร้องไห้นำ้�ตาไหลนองหน้าสงสารพระเวสสันดร กราบทูลต่อไปว่า จากนั้นขอให้พระองค์บ่ายหน้าขึ้นเหนือก็จะเห็นเขา “เวปุลลบรรพต” เต็มไปดว้ ยหมไู่ มต้ า่ ง ๆ ร่มเยน็ รนื่ รมย์ เมอื่ ข้ามเขาลกู น้ัน ไปแล้วก็จะเห็นแม่น้ำ� ช่ือ “เกตุมดี” เป็นแม่นำ้�ลึกไหลมาจากซอกเขามีนำ้� เตม็ ฝง่ั ตลอดปี มที า่ ราบเรยี บสวยงาม เต็มไปดว้ ยฝงู ปลานานาชนดิ ขอพระองค์ จงหยุดให้พระโอรส พระธิดา และพระมเหสีพกั สรง เสวย ที่บริเวณแม่นำ้�นน้ั เมอื่ เดนิ ทางต่อก็จะพบตน้ ไทรใหญบ่ นยอดเขาน่ารื่นรมย์ ถดั จากนนั้ ไปกจ็ ะเหน็ ภเู ขา ชอื่ “นาลกิ ะ” ซง่ึ เปน็ เขาศลิ าลว้ น คลาคล�่ำ ไปดว้ ยฝงู นกนานาชนิด เกลื่อนกลน่ ไปด้วยหมกู่ ินนร ดา้ นทิศตะวนั ออกเฉยี งใต้ ของภูเขาลูกน้นั มสี ระน�้ำ ชอื่ “มจุ ลินท์” เต็มไปด้วยดอกบุณฑรกิ ดอกอุบลขาว และดอกไม้น�้ำ นานาพนั ธ์ุ สง่ กล่ินหอมฟ้งุ จากน้ันพระองค์จะเสด็จถึงภูมิประเทศ คล้ายมีหมอกปกคลุม มีหญ้าแพรกเขียวขจีตลอดฤดูกาล แล้วจะล่วงเข้าเขตไพรสณฑ์ซ่ึงปกคลุม ด้วยไม้ดอกและไม้ผลท้ังสองข้างทาง เต็มไปด้วยฝูงนกร้องกึกก้องอื้ออึง ประสานเสยี งในหมู่ไม้

พ ร ะ เ ว ส สั น ด ร 560 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง เม่ือพระองค์เสด็จถึงซอกเขาจะพบเส้นทางกันดาร เดินลําบาก เปน็ แดนเกดิ แหง่ แมน่ �ำ้ ทงั้ หลาย จะทอดพระเนตรเหน็ สระโบกขรณดี ารดาษไปดว้ ย ต้นสอดนำ้�และกุ่มบก มีฝูงปลาแหวกว่ายไปมามากมาย มีท่าเรียบราบ มีนำ้� เตม็ เปย่ี มอยตู่ ลอดเวลา พระองคจ์ งสรา้ งบรรณศาลาดา้ นทศิ ตะวนั ออกเฉยี งเหนอื แหง่ สระโบกขรณีน้ัน กษัตริย์เจตราชกราบทูลเส้นทางให้พระเวสสันดรทราบอย่างนี้แล้ว สง่ เสดจ็ คดิ หวน่ั เกรงวา่ จะมศี ตั รตู ามมาท�ำ รา้ ยพระเวสสนั ดร จงึ ใหเ้ รยี กพรานปา่ คนหน่ึง ช่ือ “เจตบุตร” มารับส่ังให้อยู่รักษาทางเข้าป่า คอยตรวจตราผู้คน ทเ่ี ข้าออกป่า พระเวสสันดรพร้อมด้วยพระโอรส พระธิดา และพระมเหสี เสด็จถึง เขาคนั ธมาทน์ หยดุ พกั อยทู่ นี่ น่ั หนง่ึ วนั จากนนั้ จงึ มงุ่ หนา้ ขน้ึ เหนอื ตามค�ำ บอกเลา่ ของกษตั ริยเ์ จตราช จนลุถงึ เชิงเขาเวปลุ ลบรรพต ประทบั นง่ั ทร่ี มิ ฝ่งั แม่นำ้�เกตุมดี เสวยเน้ือที่พรานป่าคนหน่ึงถวาย พระองค์พระราชทานเข็มทองคําให้นายพราน คนนั้นเป็นท่ีระลึก ทรงสรงสนานท่ีแม่นำ้�นั้น ครั้นนั่งพักหายเหนื่อยแล้วจึงเสด็จ ไปประทบั นง่ั ทร่ี ม่ ไทรใหญ่ จากนนั้ จงึ เดนิ ทางตอ่ ไปถงึ เขานาลกิ บรรพต แลว้ เสดจ็ ตอ่ ไปจนถงึ สระมจุ ลินท์ ลัดเลาะไปตามรมิ ฝง่ั จนถงึ ด้านทศิ ตะวนั ออกเฉียงเหนือ จึงเสด็จเข้าสู่ป่าใหญ่ซึ่งมีทางท่ีเดินได้เพียงคนเดียว ครั้นพ้นป่าน้ันก็ลุถึง สระโบกขรณี ขณะนั้นภพท้าวสักกเทวราชเกิดรุ่มร้อน พิจารณาดูก็ทราบว่า พระโพธสิ ตั วเ์ สดจ็ เขา้ สปู่ า่ หมิ วนั ตประเทศแลว้ พระองคค์ วรไดท้ ปี่ ระทบั จงึ รบั สง่ั ให้วิสสุกรรมเทพบุตรไปเนรมิตอาศรมไว้ท่ีเว้ิงเขาวงกต วิสสุกรรมเทพบุตร ไปเนรมิตบรรณศาลา ๒ หลัง ท่ีจงกรม ๒ แห่ง และทพี่ ักกลางคืน ทพ่ี กั กลางวนั จัดเตรียมบริขารบรรพชิตและจารึกอักษรไว้ว่า “ผู้ประสงค์จะบวชขอให้ใช้ บรขิ ารน”้ี แลว้ ทาํ การปอ้ งกนั อมนษุ ยแ์ ละสตั วร์ า้ ย ตลอดจนสตั วท์ มี่ เี สยี งนา่ กลวั ไม่ให้เขา้ มาบรเิ วณอาศรม

ท ศ ช า ติ 561 พ ร ะ เ ว ส สั น ด ร ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง พระโพธิสัตว์ทอดพระเนตรเห็นทางเดินคนเดียวทรงคะเนว่าน่าจะมี สถานท่ีอยู่ของบรรพชิต จึงให้พระนางมัทรี พระโอรส และพระธิดาคอยอยู่ ที่ทางเข้าอาศรม เสด็จเข้าไปสํารวจดูตามลําพัง ทอดพระเนตรเห็นข้อความ ก็ทรงทราบว่า ท้าวสักกะประทานไว้ จึงเปิดประตูอาศรมเข้าไป เปลื้อง พระแสงขรรค์ พระแสงศร และพระภูษาทรงออก นุ่งผ้าเปลือกไม้สีแดง พาดหนงั เสอื บนพระองั สา เกลา้ ชฎา บวชเปน็ ฤาษี ถอื ไมเ้ ทา้ เสดจ็ ออกจากอาศรม ทรงเปลง่ อทุ านวา่ “โอ เปน็ สขุ เปน็ สขุ อยา่ งยงิ่ เราไดบ้ วชแลว้ ” เสดจ็ จงกรม ไปมา แล้วเสด็จไปหาพระมเหสดี ว้ ยอาการสาํ รวมเช่นกับพระปจั เจกพุทธเจ้า พระนางมัทรีทอดพระเนตรเห็นก็ทรงจําได้ ทรงหมอบลงท่ีพระบาท พระโพธิสัตว์ ทรงกรรแสงไห้ตามพระโพธิสัตว์เข้าอาศรม แล้วแยกไปอาศรม ของพระองค์ ทรงนุ่งผ้าเปลือกไม้สแี ดง พาดหนงั เสือบนพระอังสา เกลา้ มณฑล ชฎา ทรงบวชเป็นดาบสินี จากนั้นจึงให้พระโอรสพระธิดาบวชในภายหลัง เป็นดาบสกุมารและดาบสินีกมุ ารี พระนางมทั รที ลู พระเวสสนั ดรวา่ “จากนต้ี อ่ ไป พระองคไ์ มต่ อ้ งเสดจ็ ไปปา่ หาผลไม้ จงประทบั อยทู่ อี่ าศรมกบั ลูกทัง้ สอง หม่อมฉันจะเปน็ ผู้ ไปเก็บผลไม้มาถวาย” ตั้งแต่น้ันมาพระนางก็เข้าป่าเก็บผลไม้มาถวายพระสวามี พระโอรส และพระธิดา พระเวสสันดรบรมโพธิสัตว์ตรัสกับพระนางมัทรีว่า “บัดนี้ เราท้ังสองได้บวชเป็นบรรพชิตแล้ว ธรรมดาสตรีเป็นมลทินต่อ พรหมจรรย์ ต้ังแต่น้ีไปเธออย่ามาพบฉันในเวลาไม่เหมาะไม่ควร” พระนางทรงรับตามนั้น ด้วยพลานุภาพแห่งเมตตาจิตของพระโพธิสัตว์ แม้เหล่าสัตว์ในป่า แหง่ น้นั โดยรอบกไ็ ม่เบียดเบียนกันและกนั เปน็ ที่นา่ อัศจรรย์

พ ร ะ เ ว ส สั น ด ร 562 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง พระนางมัทรีเสด็จไปอุปัฏฐากพระโพธิสัตว์แต่เช้า เตรียมน้ำ�ดื่มนำ้�ใช้ กวาดอาศรม ใหพ้ ระกมุ ารทง้ั สองอยกู่ บั พระชนก แลว้ ถอื กระเชา้ และเสยี มเขา้ ปา่ เก็บผลไม้จนเต็มกระเช้า คร้ันตกเย็นจึงกลับออกจากป่า จัดเก็บผลไม้ไว้ สรงสนานเสรจ็ แลว้ จึงสรงใหพ้ ระกุมารท้งั สอง แลว้ ประทับนั่งเสวยผลไม้รว่ มกัน จากน้นั พระนางมัทรีจึงนาํ พระโอรสและพระธิดากลับไปอาศรมของพระองค์ กษตั รยิ ์ท้ัง ๔ พระองค์ ประทบั อยูเ่ ขาวงกต บาํ เพญ็ พรตโดยทาํ นองนี้ จนวนั เวลาผ่านไป ๗ เดือน ก�ำ เนิดชูชก ในสมัยน้ันท่ีแคว้นกาลิงครัฐมีพราหมณ์เข็ญใจไร้ญาติคนหนึ่งช่ือว่า “ชชู ก” รปู รา่ งอปั ลกั ษณ์ ตอ้ งตามบรุ ษุ โทษ ๑๘ ประการ เปน็ ชาวบา้ นทนุ นวิ ฏิ ฐะ เป็นโภวาทิกชาติ สำ�คัญตนว่าดีกว่าผู้อ่ืน ถึงแม้จะเป็นพราหมณ์ด้วยกันก็ตาม มีโคตรเป็น “ภารทวาชโคตร” มารดาชื่อ “นางจันทีพราหมณี” บิดาช่ือ “โตลกพราหมณ”์ มเี รอ่ื งเล่าว่าในยามทเ่ี ขาเกดิ มีลางรา้ ย ๔ ประการ คอื ๑. มารดาฝนั ร้ายกอ่ นคลอดชูชก เช่น ฝนั ว่าถูกงูกัดตาย ๒. ร่างกายปรากฏลกั ษณะบรุ ุษโทษ ๑๘ ประการ ๓. คนเกิดในยามน้ีจะมีนสิ ยั โกหก ตลกกนิ ปลนิ้ ปลอ้ น ค่อนขอด ๔. เกดิ นาม ๕ หรือนามงว่ั ๑๑ ๑๑ เกดิ นามงั่ว คอื พ่อแมม่ ลี กู ชายหรือหญิงติด ๆ กนั ไป ลกู คนท่ี ๕ เรยี กวา่ “เกิดนามงั่ว”

ท ศ ช า ติ 563 พ ร ะ เ ว ส สั น ด ร ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ชูชกประกอบอาชีพด้วยการเที่ยวขอทาน เขาเที่ยวขอทานจนได้เงิน ๑๐๐ กหาปณะจึงนําไปฝากไว้กับเพ่ือนคนหนึ่งแล้วออกขอทานต่อไป เมื่อชูชก หายไปนาน พราหมณน์ น้ั คดิ วา่ ชชู กสญู หายตายจากไปแลว้ จงึ ใชก้ หาปณะจนหมด อยู่มาวันหนึ่งชูชกกลับมาทวงกหาปณะที่ฝากไว้ พราหมณ์หามาคืน ให้ไม่ได้ ชูชกขู่จะฟ้องร้องเอาความจึงต้องยกลูกสาวชื่อนางอมิตตตาปนา๑๒ ให้ชูชก ชูชกพอใจจึงพานางอมิตตตาไปอยู่บ้านทุนนิวิฏฐะ แคว้นกาลิงครัฐ นางอมิตตตาปรนนิบัติพราหมณเ์ ฒา่ อย่างดี พวกพราหมณห์ นมุ่ ๆ เหน็ นางอมติ ตตาดแู ลชชู กอยา่ งดจี งึ ตาํ หนภิ รรยา ของตนว่า “แม้พราหมณ์ชูชกแก่แล้ว นางอมิตตตายังปรนนิบัติอย่างดี แตพ่ วกเจา้ กลบั สนู้ างไมไ่ ด”้ พวกภรรยาพราหมณห์ นมุ่ เคยี ดแคน้ ตา่ งกค็ ดิ วา่ ต้องทําให้นางอมติ ตตาหนไี ปจากหมูบ่ า้ นนใี้ ห้ได้ เม่ือพวกพราหมณีไปตักน้ำ� จึงพากันด่านางอมิตตตาท่ีท่าน้ำ�ว่า “อมิตตตา เธอยงั เปน็ สาวขนาดน้ี พอ่ แมย่ กให้ชูชกแก่คราวพอ่ ญาติ ของเธอคงต้องมีความลับอะไรกันจึงได้ทําเร่ืองชั่วช้าเช่นน้ีได้ เธออยู่ กบั ผวั แกจ่ ะหาความสขุ ไดอ้ ยา่ งไร ตายเสยี ยงั จะดกี วา่ มผี วั แก่ พอ่ แม่ คงหาชายอน่ื เปน็ ผวั เธอไมไ่ ดจ้ งึ ยกใหเ้ ป็นเมียพราหมณ์เฒ่า ชาติกอ่ น คงทําบุญไว้ไม่ดีหรือจะเคยด่าสมณพราหมณ์ผู้มีศีล ชาตินี้จึงได้ พราหมณ์แก่เป็นผัว ถูกงูพิษกัดหรือถูกหอกแทงตาย ก็ยังไม่เจ็บปวด เทา่ กบั ไดผ้ วั แก่ จะเลน่ หวั ฉอเลาะกระซกิ กระซห้ี รอื จะรนื่ รมยก์ บั ผวั แก่ กไ็ มไ่ ด้ เมอ่ื แอบเหน็ ผวั หนมุ่ เมยี สาวเขาคลอเคลยี เยา้ หยอกกนั อยใู่ นทล่ี บั ๑๒ “อมติ ตตาปนา” เปน็ ชอื่ ทปี่ รากฏในภาษาบาลี แปลวา่ ผทู้ ที่ �ำ ใหผ้ ชู้ ายเรา่ รอ้ น ดว้ ยความรกั หรือผ้ทู ี่ทำ�ใหผ้ ู้ชายหลงรกั นยิ มเรียกสั้น ๆ วา่ “อมติ ตตา” สว่ นวรรณกรรม ไทยนิยมเรยี กว่า “อมิตตดา”

พ ร ะ เ ว ส สั น ด ร 564 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง กแ็ ทงใจดาํ อยากทาํ อย่างน้ันบ้างก็ทําไมไ่ ด้ ขอให้เธอกลับไปอย่บู า้ น กับพอ่ แมเ่ ถดิ อยู่กับผวั แกไ่ ม่มคี วามสุขหรอก” นางอมิตตตาปนาถูกด่าเช่นน้ันก็ถือหม้อน้ำ�ร้องไห้วิ่งกลับเรือน ครั้นถูกชูชกถามก็บอกว่า “ฉันจะไม่ไปตักน้ำ�อีกแล้ว พวกนางพราหมณี ดา่ กระทบฉันวา่ ไดผ้ วั แก”่ ชชู กกลา่ ววา่ “ตอ่ ไปเธออยา่ ไดท้ าํ การงานอกี เลย อยา่ ไปตกั น�ำ้ ฉันจะไปตกั นำ�้ เอง อยา่ โกรธเคอื งนกั เลย” นางอมิตตตาจึงกล่าวว่า “ฉันไม่ได้เกิดในตระกูลที่ใช้ผัวตักน้ำ� ถา้ ท่านไมห่ าทาสหรอื ทาสีมารับใช้ ฉนั จะไมอ่ ยใู่ นเรอื นของทา่ น” ชูชก กล่าวว่า ครอบครัวของตนไม่มีความรู้ศิลปะด้านใด ท้ังทรัพย์สมบัติก็ไม่มี แล้วจะไปหาทาสหรือทาสที ่ไี หนมารับใชน้ างได้ อดตี ชาตขิ องนางอมติ ตตาปนานน้ั เคยเกดิ เปน็ ภรรยานอ้ ยของ พระโพธิสัตว์ในชาติที่เป็นพญาช้างฉัททันต์ น้อยใจว่าพญาฉัททันต์ รกั ภรรยาใหญม่ ากกวา่ ตนจงึ ผกู อาฆาตพญาชา้ งเอาไว้ หลงั จากตรอมใจ ตายแลว้ ๑๓ ไดท้ อ่ งเทยี่ วอยใู่ นภพนอ้ ยใหญ่ เมอ่ื มาเกดิ เปน็ นางอมติ ตตา แรงอาฆาตก็ยังไม่หมดจึงเกิดมาเป็นคู่เวรกับพระโพธิสัตว์อีกครั้ง คร้ันในสมัยพุทธกาล นางอมิตตตาได้กลับชาติมาเกิดเป็นนาง จญิ จมาณวกิ า เป็นสาวกของเดียรถยี ์ สรา้ งเรือ่ งใส่ความพระพทุ ธเจ้า ว่ามีทอ้ งกับตนจนถกู แผ่นดนิ สบู ๑๓ เรอื่ งพญาชา้ งฉทั ทนั ต์ ปรากฏอยใู่ นฉทั ทนั ตชาดก ขทุ ทกนกิ าย ชาดก และอรรถกา ฉทั ทันตชาดก ขุททกนกิ าย ชาดก

ท ศ ช า ติ 565 พ ร ะ เ ว ส สั น ด ร ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง นางอมติ ตตาปนากลบั รบั รู้เรอ่ื งพระเวสสนั ดรถูกเนรเทศออกจากเมอื ง ไปอยูก่ ลางปา่ อยา่ งนา่ อศั จรรย์ เพราะแรงแหง่ กรรมอนั เกิดจากความอาฆาตน้ัน จึงกล่าวว่า “ฉันจะบอกท่านตามที่ได้ยินมา พระเวสสันดรประทับอยู่ที่ เขาวงกต ทา่ นจงไปทูลขอลกู ของพระองคม์ าเป็นทาส” ชชู กกลา่ วว่า “อมติ ตตา ฉนั แก่แลว้ ทพุ พลภาพ เรย่ี วแรงไมม่ ี ท้งั หนทางกไ็ กลไปแสนยาก เธออย่าคร่ำ�ครวญน้อยใจเลย ฉันจะดแู ล เธอเอง อย่าขดั เคอื งนักเลย” นางอมิตตตาปนากล่าวว่า “ท่านยังไม่ทันไปเลยก็ยอมแพ้ เหมือนคนขลาด ไม่ทันถึงสนามรบ ยังไม่ทันได้รบก็ยอมแพ้แล้ว ถา้ ทา่ นไมห่ าทาสและทาสมี ารบั ใช้ กใ็ หร้ ไู้ วด้ ว้ ยวา่ ฉนั จะไมอ่ ยกู่ บั ทา่ น เมอ่ื ทา่ นเหน็ ฉนั แตง่ ตวั สวยงามไปเทยี่ วงานมหรสพตามเทศกาลตา่ ง ๆ สนุกสนานอยู่กับชายหนุ่ม ท่านก็จะมีแต่ความทุกข์ เม่ือคนแก่ชรา เช่นท่านพิรี้พิไรครำ่�ครวญอยู่เพราะไม่เห็นฉัน ร่างกายที่งอมอยู่แล้ว กท็ รุดโทรมย่งิ ข้ึน ผมท่ีหงอกกจ็ ะหงอกมากขนึ้ ” ชูชกถูกนางอมิตตตาขู่เช่นนั้นก็ตกใจกลัวจึงบอกว่า “เธอจงจัด เสบียงทางให้ฉัน ฉนั จะนาํ คนทีไ่ มเ่ กยี จครา้ นทาํ งานมารบั ใช้เธอ” นางอมติ ตตาตระเตรยี มเสบยี งทางใหช้ ชู กอยา่ งเรง่ รบี ฝา่ ยชชู กเปน็ หว่ ง เมียท่ีต้องอยู่คนเดียวจึงซ่อมประตูเรือนท่ีชํารุดให้มั่นคง ขนฟืนมาไว้ให้เพียงพอ ตักน้ำ�ใส่ภาชนะในเรือนให้เต็มทุกใบ แล้วแต่งตัวเป็นฤๅษีในเรือนนั่นเอง สอนนางอมิตตตาว่า “ต้ังแต่นี้ไปในเวลาค่ำ�มืดเธออย่าออกไปนอกบ้าน อยา่ ประมาทจนกวา่ ฉนั จะกลบั มา” แลว้ สวมรองเทา้ ยกถงุ ยา่ มบรรจเุ สบยี ง ข้ึนสะพาย รอ้ งไห้ เดินมงุ่ หนา้ สูน่ ครสีพเี พื่อหาทาส ครั้นชูชกไปถึงนครสีพีจึงสอบถามประชาชนว่าพระเวสสันดรประทับ อยู่ท่ีไหน ประชาชนตอบว่า “พระเวสสันดรถูกพวกแกเบียดเบียนเพราะ

พ ร ะ เ ว ส สั น ด ร 566 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ทรงให้ทานมากไป ถูกขับไล่จากแวน่ แคว้น จงึ พาพระโอรส พระธดิ า และพระมเหสีไปอยู่เขาวงกต พวกแกทําให้พระราชาของพวกเรา พนิ าศแลว้ ยงั จะมาขออะไรอีก” จึงเอาก้อนดนิ และท่อนไมข้ วา้ งปาไล่ชชู ก แม้ชูชกจะรู้ว่าทางไปเขาวงกตแสนไกล แต่เมื่อหวนคิดถึงคําพูดนาง อมิตตตาข้ึนมาทีไรก็ให้เกิดกําลังใจ จึงถือไม้เท้า ทั้งเคร่ืองบูชาไฟและนำ้�เต้า ด้ันด้นถามทางคนที่ตนพบไปเรื่อยจนเข้าสู่ป่าใหญ่เกลื่อนกล่นไปด้วยสัตว์ร้าย มากมาย แกหลงทาง กลัวตาย เดนิ รอ้ งไห้อยกู่ ลางป่าอย่างนา่ เวทนา ขณะน้ันหมาล่าสัตว์ของนายพรานเจตบุตรกระโจนออกมาล้อมแกไว้ จึงปีนขึ้นต้นไม้นั่งร้องไห้บ่นเพ้อว่า “ใครจะบอกทางไปพบพระเวสสันดร ให้เราได้ พระองค์ผู้ทรงชนะความตระหนี่ ผู้ประทานความปลอดภัย ในเวลามภี ยั เปน็ ทอ่ี าศยั ของเหลา่ คนผทู้ กุ ขย์ าก เหมอื นแผน่ ดนิ เปน็ ที่ อาศัยของเหล่าสัตว์ เหมือนมหาสมุทร เป็นที่ไหลไปรวมแห่งแม่น้ำ� เหมอื นตน้ ไทรใหญใ่ กลท้ าง เปน็ ทพี่ กั อาศยั ของคนเดนิ ทาง ใครจะบอก ที่อยพู่ ระเวสสนั ดรใหเ้ ราได้ เขาจะไดบ้ ุญมาก” ขณะนั้นพรานเจตบุตรที่กษัตริย์เจตราชมอบหมายให้อารักขา พระเวสสนั ดรเทย่ี วลา่ สตั วอ์ ยใู่ นปา่ ไดย้ นิ เสยี งหมาของตนเหา่ และเสยี งคร�่ำ ครวญ ของชูชกคิดว่า พราหมณ์นี้ครำ่�ครวญอยากพบพระเวสสันดร แกคงไม่มาดีแน่ คงมาขอพระนางมัทรีหรือพระโอรส เราจะฆ่าท้ิงเสีย จึงเดินเข้าไปหาชูชก ยกหนา้ ไมข้ น้ึ สายขจู่ ะยงิ ว่า “ตาพราหมณเ์ ฒา่ ขา้ จะฆ่าแก พระเวสสันดร ถกู พวกแกเบยี ดเบยี นจงึ ถกู ขบั ไลอ่ อกจากแวน่ แควน้ จนตอ้ งพาพระโอรส พระธดิ า และพระมเหสหี นไี ปอยทู่ เี่ ขาวงกต คนบดั ซบอยา่ งแกยงั ตามมา เบยี ดเบยี นพระองคถ์ งึ ปา่ อกี แกอยา่ มชี วี ติ อยตู่ อ่ ไปอกี เลย ขา้ จะไมใ่ หแ้ ก ไดข้ ออะไรจากพระองค์อกี เป็นอันขาด”

ท ศ ช า ติ 567 พ ร ะ เ ว ส สั น ด ร ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ชูชกตกใจกลัวตายจึงออกอุบายโกหก ชูกลักพริกขิงข้ึนพร้อมขู่พราน เจตบตุ รว่า “ช้ากอ่ นเจตบตุ ร ข้าเป็นพราหมณร์ าชทูต ใคร ๆ ไมค่ วร ฆา่ ทตู นเ่ี ปน็ ธรรมเนยี มเกา่ ฟงั ขา้ กอ่ น ประชาชนชาวสพี หี ายโกรธเคอื ง พระเวสสนั ดรแลว้ พระชนกกท็ รงปรารถนาจะพบพระโอรส ทง้ั พระชนนี กช็ รา หูตาฝา้ ฟาง เจตบุตร! ขา้ เปน็ ราชทูต มาทูลเชิญพระเวสสันดร กลับพระนคร ถา้ เจ้ารกู้ จ็ งบอกทาง บัดน้พี ระองค์ประทบั อยู่ทีไ่ หน?” พรานเจตบุตรดีใจหลงเชื่อชูชก คิดว่าพราหมณ์น้ีจะมาทูลเชิญเสด็จ พระเวสสนั ดรกลับ จงึ ผูกฝูงสนุ ขั ไว้แล้วชว่ ยให้ชูชกลงจากต้นไม้ หกั กิง่ ไม้ปูให้นั่ง จัดแจงโภชนาหารให้ทาน กล่าวด้วยความลิงโลดใจว่า “ตา ตาเป็นราชทูต ทรี่ กั พระเวสสนั ดร จงึ อตุ สา่ หเ์ ดนิ ทางมาสปู่ า่ ทแี่ สนลาํ บากเชน่ นี้ ขา้ จะ ให้กระบอกน�้ำ ผ้ึงและขาเน้อื ยา่ งและบอกทางไปพบพระเวสสันดร” จอมพรานเจตบุตร พรานเจตบุตรให้ชูชกกินอาหารแล้วให้กระบอกน้ำ�ผึ้งและขาเนื้อย่าง แก่ชชู กเพอ่ื เปน็ เสบียงทางแล้วยนื ชี้บอกทางว่า “ทา่ นพราหมณ์ เบื้องหน้าน้ันคอื ภูเขาคนั ธมาทน์ทีพ่ ระราชา เวสสนั ดรประทบั อยู่ พระองคท์ รงเพศเปน็ บรรพชติ ทรงหนงั เสอื เหลอื ง เป็นภูษา บรรทมเหนือแผ่นดนิ ทิวป่าเขียวน้ันเต็มไปด้วยผลไม้นานาชนิด และภูผาสูงยอด เสียดเมฆเขยี วชอมุ่ นัน้ เปน็ หมู่ไมต้ ะแบก ไมห้ กู วาง ไมต้ ะเคียน ไม้รงั ไม้สะคร้อ และเถาย่านไทร ลูไ่ หวไปตามลม เหมือนมาณพนอ้ ยเพง่ิ แตกเนอ้ื หนมุ่ เมาสรุ าครง้ั แรกเดนิ ซวนเซไปมา ฝงู นกนานาชนดิ สง่ เสยี ง ร้องราวดนตรีไพร ท้ังโพระดกและดุเหว่าส่งเสียงร้องขันคูอยู่ยอดไม้ โผผนิ บนิ จากตน้ นไ้ี ปสตู่ น้ นน้ั หมไู่ มต้ อ้ งลมพดั กง่ิ ใบลไู่ หวเสยี ดสกี นั ไปมา

พ ร ะ เ ว ส สั น ด ร 568 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ดังจะชวนบุคคลผู้ผ่านไปให้ยินดี ท่ีนั่นเป็นที่ประทับของพระเวสสันดร พร้อมทั้งพระนางมัทรี พระโอรส และพระธดิ า” พรานเจตบตุ รพรรณนาปา่ ทพี่ ระเวสสนั ดรอาศยั อยตู่ อ่ ไปวา่ “ทบ่ี รเิ วณ อาศรมน้นั มปี า่ ไมน้ านาพรรณ ทัง้ มะม่วง มะขวดิ ขนุน ไม้รัง ไม้หวา้ สมอพเิ ภก สมอไทย มะขามป้อม โพธิ และพทุ รา ทง้ั มะพลบั ทอง ไทร มะขวิด มะซางหวาน และมะเดื่อ อีกท้ังผลไม้นานาพันธุ์ออกลูกสุก แดงปล่ังอยเู่ ร่ียดิน ไม่ไกลจากอาศรมมีสระโบกขรณีน่ารื่นรมย์ เต็มไปด้วย ดอกบัวหลากสี ท่ีใกล้สระโบกขรณีนั้นมีฝูงนกดุเหว่าส่งเสียงไพเราะ จับใจทําให้ป่าอ้ืออึงกึกก้อง เม่ือหมู่ไม้ผลิดอกแย้มบานตามฤดูกาล รสหวานดังน้ำ�ผ้ึงร่วงหล่นจากเกสรลงมาค้างอยู่บนใบบัว เรียกว่า “โปกขรมธุ” น�ำ้ ผึง้ ใบบัว มีนกต่าง ๆ ทำ�รังอยู่ในสระ พวกหน่ึงเหมือนจะร้องขับขาน กลอ่ มว่า “ขอถวายพระพร ขอให้พระองค์ประทับอยใู่ นปา่ แห่งนเ้ี ถิด” อกี พวกหนงึ่ ร้องวา่ “ขอใหพ้ ระองค์ พรอ้ มท้ังพระโอรส พระธิดา และ พระมเหสที รงพระเกษมส�ำ ราญ จงมพี ระชนมย์ งิ่ ยนื นาน” อกี พวกหนง่ึ ว่า “ขอให้พระองค์ปราศจากศัตรู” อีกพวกหน่ึงว่า “ขอให้พระโอรส พระธิดา และพระมเหสี จงเป็นทโ่ี ปรดปรานของพระองค์” ลมทางทิศใต้และทิศตะวันตกพัดผ่านอาศรมทําให้อาศรม เต็มไปด้วยละอองเกสรดอกบัว ในสระโบกขรณีน้ันมีกระจับใหญ่ ทั้งข้าวสาลีร่วงลงท่ีพื้นดิน ปูในสระน้ันก็มีมาก ท้ังฝูงปลาและเต่า แหวกวา่ ยไปมา ในเมอื่ เหงา้ บวั แตก น�ำ้ หวานกไ็ หลออก เหมอื นนมสด และเนยใสไหลออกจากเหงา้ บวั

ท ศ ช า ติ 569 พ ร ะ เ ว ส สั น ด ร ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง หมู่แมลงผ้ึงบินตอมดอกไม้อยู่โดยรอบ มีฝูงนกหลากชนิด เรงิ รา่ อยกู่ บั คขู่ องตน ร�่ำ รอ้ งขบั ขานรบั กนั อยตู่ ลอดเวลา ฝงู นกอกี ชนดิ ทํารังอยูใ่ กลส้ ระโบกขรณี สง่ เสยี งร้องขับกลอ่ มกษัตริยท์ ัง้ ๔ พระองค์ ใหช้ ืน่ ชมยนิ ดอี ยู่ในป่า” ชูชกยินดียิ่งว่าความปรารถนาของตนใกล้สําเร็จแล้วจึงกล่าวว่า “สัตตุผงคลุกนำ้�ผึ้งและสัตตุก้อนมีรสหวานอร่อยที่นางอมิตตตาปนา เตรยี มให้ ตาจะแบ่งใหเ้ จา้ ” พรานเจตบตุ รกลา่ ววา่ “ตาเอาไวเ้ ปน็ เสบยี งทางเถดิ ตารบั น�้ำ ผง้ึ กบั ขาเน้ือยา่ งของขา้ ไปเป็นเสบยี งทางด้วย ขอให้ตาเดนิ ทางปลอดภยั ทางน้ีเป็นทางเดินได้คนเดียว ไม่มีทางแยก ตรงไปอาศรมอัจจุตฤาษี ตาไปถามทางต่อจากท่านเถิด” ชูชกทําประทักษิณพรานเจตบุตร มีจิตยินดีเดินทางไปยังอาศรม อจั จตุ ฤาษี อจั จตุ ฤาษี คร้ันชูชกภารทวาชโคตรนั้นเดินไปตามทางที่พรานเจตบุตรแนะนํา ก็ได้พบอัจจุตฤาษี ทั้งสองได้สนทนาปราศรัยปฏิสันถารไถ่ถามทุกข์สุขกันตาม สมควร ชูชกแจ้งให้อัจจุตฤาษีทราบว่า ตนมาพบพระเวสสันดร พระโอรสของ พระเจ้าสญชัยที่ถกู ชาวสพี ีขับไล่ใหม้ าอย่ปู า่ อจั จตุ ฤาษไี มพ่ อใจจงึ กลา่ วอยา่ งมอี ารมณว์ า่ “ชชู กเหน็ ทแี กจะมาขอ พระนางมทั รหี รอื พระกมุ าร แกคงไมม่ าดแี น่ ในปา่ แหง่ นพ้ี ระเวสสนั ดร ไมม่ ีทรัพยส์ มบตั ิจะให้แกแลว้ ”

พ ร ะ เ ว ส สั น ด ร 570 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ชูชกแก้ตัวว่า “ท่านอาจารย์เข้าใจผิดไปใหญ่แล้ว ไม่ควรจะ โกรธเคอื งขนาดนน้ั ขา้ พเจา้ ไมไ่ ดม้ าขอทานใหเ้ สอ่ื มเสยี พงศพ์ ราหมณ์ ข้าพเจ้ามาเย่ียมพระองค์ท่านจริง ๆ เพียงได้เห็นและได้สนทนากับ พระองค์ก็เป็นบุญเป็นกุศลแล้ว ข้าพเจ้าไม่เคยพบพระเวสสันดร จึงอยากจะมีโอกาสได้พบพระองค์ท่านสักคร้ังหน่ึง ถ้ารู้ทางก็บอก ขา้ พเจา้ ดว้ ย” เมอ่ื ชชู กเอาความดเี ขา้ วา่ อยา่ งนอ้ี จั จตุ ฤาษกี ใ็ จออ่ น กลา่ ววา่ “เอาเถอะ พรุ่งน้ีเราจะบอกทางให้ วันน้ีท่านพักอยู่ท่ีน้ีก่อน” แล้วให้ชูชกกินผลไม้ จนอ่ิม ร่งุ ขึ้นจึงออกไปยนื ช้บี อกทางวา่ “เบื้องหน้านั้นคือ ภูเขาคันธมาทน์ เป็นท่ีประทับของ พระเวสสันดร พระองค์บวชเป็นบรรพชิต ทรงหนังเสือเหลือง เป็นภูษา บรรทมเหนือแผ่นดิน บูชาไฟ นี้เป็นหนทางเดินได้คนเดียว ตรงไปจนถึงอาศรมสถานโดยไม่มีทางแยก เมื่อถึงท่ีนั่นแล้ว จะไม่ลำ�บาก ไม่อดอยาก แต่อย่างไรพระเวสสันดรประทับอยู่ที่น่ัน พร้อมด้วยพระโอรส พระธิดา และพระมเหสี” แล้วพรรณนาป่าอันเป็น เสน้ ทางสู่เขาวงกตโดยประการตา่ ง ๆ ชูชกพงศ์พราหมณ์ได้ยินก็ดีใจมากจึงทำ�ประทักษิณอัจจุตฤาษี แสดงความเคารพ แล้วเดนิ ทางม่งุ หนา้ สู่ปา่ ใหญ่ไพรกว้างต่อไป แกว้ ตาดวงใจ ยอดแห่งมหาทาน ชูชกเดินไปตามทางที่อัจจุตฤาษีแนะนำ�จนถึงฝั่งสระใหญ่ คิดว่าวันนี้ เย็นเกินไป พระนางมัทรีจะเสด็จกลับจากป่าแล้ว ปกติผู้หญิงย่อมขัดขวาง การใหท้ าน พรุ่งน้เี วลาพระนางไปป่า เราจงึ ไปอาศรมเฝ้าพระเวสสนั ดร ทูลขอ

ท ศ ช า ติ 571 พ ร ะ เ ว ส สั น ด ร ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง พระกุมารทั้งสอง พาไปก่อนท่ีพระนางจะกลับมา จึงข้ึนนอนที่เนินภูผาแห่งหน่ึง ใกลส้ ระนน้ั อย่างสขุ ใจ ใกล้รุ่งราตรีน้ันพระนางมัทรีฝันว่า มีชายผิวดำ�คนหน่ึงนุ่งห่ม ผา้ ยอ้ มน�้ำ ฝาดสองผนื ทดั ดอกไมส้ แี ดงทห่ี ทู งั้ สองขา้ ง ถอื ดาบตะคอกขู่ เข้ามาในอาศรม จับพระนางท่ีชฎาลากมา ผลักให้ล้มหงายลงพ้ืน ควกั ดวงตาออก แลว้ ตดั แขนทงั้ สองขา้ งทง้ิ แมพ้ ระนางจะรอ้ งไหว้ งิ วอน อยู่อย่างไรก็แหวกอก ควักเอาหัวใจทั้งท่ีมีหยดเลือดไหลเป็นทาง เดินจากไป พระนางสะดุ้งตน่ื ดว้ ยความตกใจ รา่ งกายส่ันเทิ้ม ทรงรำ�พงึ ว่าฝันรา้ ย นอกจากพระเวสสันดร ไม่มีใครทำ�นายฝันได้ จึงเสด็จไปเคาะประตูอาศรม พระเวสสันดร ขณะท่ียังเช้ามดื อยู่ อรณุ ยังไม่ขนึ้ พระเวสสนั ดรตรสั ถามวา่ “นนั่ ใคร” พระนางทลู ตอบวา่ “หมอ่ มฉนั มัทรีเพคะ” พระเวสสันดรตรัสวา่ “เธอลมื สง่ิ ท่ีเราทง้ั สองตกลงกนั ไวแ้ ลว้ หรือ เพราะเหตุไรจึงมาในเวลาน้ี” พระนางมัทรีกราบทูลว่า “หม่อมฉัน ไมไ่ ดม้ าเฝ้าเพราะกเิ ลส แต่หมอ่ มฉันฝันร้าย” พระเวสสนั ดรตรัสว่า “ถา้ อย่างนัน้ เธอจงเล่าไป” พระนางมัทรีก็เล่าถวายตามท่ีทรงฝัน พระโพธิสัตว์พิจารณาก็ทรง ทราบวา่ ทานบารมีของพระองค์จะเตม็ พรุ่งนี้ จะมคี นมาขอลูก จึงพูดใหพ้ ระนาง อุ่นใจว่า “มัทรี จิตของเธอขุ่นมัว เพราะอยู่ป่าจึงนอนหลับไม่ดี ทาน อาหารไม่ดี เธออยา่ กลัวเลย” เม่ือตรสั ปลอบแล้วกส็ ง่ กลับไป ครั้นสว่างแล้วพระนางมัทรีทำ�หน้าที่ทุกอย่างเสร็จเตรียมจะเข้าป่า จึงสวมกอดลูกทั้งสอง จุมพิตที่พระเศียร สอนว่า “ลูกอย่าดื้อนะ เม่ือคืน แมฝ่ นั ไมด่ ี ลกู อยา่ ประมาท” แลว้ พาไปอาศรมพระเวสสนั ดร ขอใหพ้ ระองค์

พ ร ะ เ ว ส สั น ด ร 572 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง อย่าเผลอ ดูแลลูกท้ังสอง ทรงถือกระเช้าและเสียม หวาดหว่ันใจ เช็ดนำ้�ตา เข้าสปู่ ่า ส่วนชูชกคะเนดูเวลาว่าพระนางมัทรีน่าจะเข้าป่าแล้ว จึงลงจากเนินผา เดนิ ตามทางเล็ก ๆ ไปสู่อาศรม ขณะน้ันพระเวสสันดรคิดว่า ยาจกน่าจะมาเวลาน้ี จึงเสด็จออกจาก อาศรมไปประทับน่ังท่ีแผ่นหินหน้าอาศรม ทอดพระเนตรทางท่ียาจกจะมา ส่วนพระโอรสและพระธดิ าเล่นอยใู่ กล้พระบดิ า พระเวสสันดรเห็นชูชกเดินเข้ามาทรงดำ�ริว่า พระองค์ไม่ได้ให้ทาน มานานรว่ ม ๗ เดอื น เหมอื นคนทอดทง้ิ ทานธรุ ะ จงึ ตรสั เชอ้ื เชญิ วา่ “เชญิ เขา้ มา เถิดท่านพราหมณ”์ แล้วตรัสเรยี กพระโอรสวา่ “ลกู ชาลี ยาจกมาในวนั นี้ ก็เหมือนการมาของพวกยาจกครั้งก่อน พ่อเห็นเหมือนพราหมณ์ พวกเขาท�ำ ให้พ่อเปน็ สุขใจ” พระกมุ ารกราบทลู วา่ “แมเ้ กลา้ กระหมอ่ มกเ็ หน็ เปน็ เหมอื นพราหมณ์ มาเป็นแขกของพวกเราเชน่ กัน” ครั้นกราบทูลดังนี้แล้วได้ทำ�ความเคารพพระบิดา ลุกข้ึนวิ่งไปต้อนรับ พราหมณ์ชูชก กุลีกุจอช่วยรับเคร่ืองบริขาร พราหมณ์ชูชกเห็นพระชาลีคิดว่า เด็กคนนเี้ หน็ จะเป็นพระชาลี พระโอรสของพระเวสสันดร เราจะพดู ก�ำ ราบไวเ้ สยี ตงั้ แตแ่ รก จงึ ชน้ี ว้ิ แสดงอาการใหร้ วู้ า่ “ถอยไป ถอยไป ไมใ่ ชก่ งการของเดก็ ” พระชาลีจึงหลีกไป คิดว่าตาพราหมณ์คนนี้หยาบคายเหลือเกิน ทอดมองดูไป ตามรา่ งกายก็เห็นลกั ษณะบุรษุ โทษ ๑๘ ประการ ชชู กเขา้ ไปเฝา้ พระเวสสนั ดร กลา่ วปฏสิ นั ถารถงึ การเปน็ อยโู่ ดยประการ ต่าง ๆ ฝา่ ยพระเวสสนั ดรกป็ ฏิสันถารชูชกเชน่ กนั วา่ “พราหมณ์ พวกเราไม่มี โรคภัยไข้เจ็บอะไร อยู่สุขสำ�ราญดี ผลไม้สำ�หรับเลี้ยงชีพก็หาได้ง่าย

ท ศ ช า ติ 573 พ ร ะ เ ว ส สั น ด ร ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ท้ังเหลือบยุงและสัตว์เลื้อยคลานมีบ้างแต่ก็น้อย สัตว์ร้ายที่มาทำ�ให้ เดือดร้อนก็ไม่มี พวกเรามาอยู่ป่าได้ ๗ เดือน เพ่ิงมีโอกาสได้เห็น พราหมณเ์ ปน็ ครง้ั แรก ทา่ นมากด็ แี ลว้ เชญิ เขา้ ขา้ งในเถดิ ขา้ งในมผี ลไม้ นำ้�ดมื่ ก็มี เชิญทา่ นเลอื กทานตามชอบใจ” พระโพธิสัตว์ดำ�ริว่า พราหมณ์น้ีคงจะไม่เข้าป่าใหญ่เช่นนี้โดยไม่มี จดุ ประสงค์ จงึ ตรัสถามถึงสาเหตทุ มี่ า ชูชกทูลตอบว่า “พระองค์มีพระทัยเต็มเปี่ยมด้วยศรัทธา ข้าพระองค์มาทูลขอพระโอรสและพระธิดาของพระองค์ ขอพระองค์ โปรดพระราชทานใหข้ า้ พระองคเ์ ถดิ ” พระเวสสันดรตรัสโดยไม่ลังเลว่า “พราหมณ์ เรายกให้ท่าน ไม่หว่ันไหว ท่านจงนำ�ไปเถิด แต่วันนี้พระนางมัทรีเข้าป่าหาผลไม้ ตง้ั แตเ่ ชา้ ยงั ไมก่ ลบั มา จะกลบั ตอนเยน็ ทา่ นจงอยคู่ า้ งเสยี คนื หนงึ่ กอ่ น รุ่งเชา้ จึงค่อยพาไป” ชชู กกล่าววา่ “ข้าพระองค์ไม่ต้องการพักแรม จะเปน็ ตายรา้ ยดี อยา่ งไรก็ต้องกลับไปก่อนทพี่ ระนางมทั รีจะกลบั มา เพราะวา่ พวกสตรี เป็นคนตระหนี่ ขอไม่ได้ ท้ังมีมายาจะขัดขวางทาน เมื่อพระองค์ ให้ทานด้วยศรัทธาก็อย่าได้คำ�นึงถึงมารดาของพระกุมารทั้งสองเลย ข้าพระองค์จะต้องรีบไปเด๋ียวน้ี ขอพระองค์ตรัสเรียกพระกุมาร ท้ังสองมา อย่าให้ทันได้พบพระมารดาเลย เมื่อพระองค์บริจาคทาน ด้วยศรัทธา บญุ กย็ อ่ มเจริญ และจะได้ไปสวรรค์” พระเวสสันดรตรัสว่า “ถ้าท่านไม่ต้องการพบพระมเหสีของเรา กจ็ งถวายลกู ทง้ั สองน้ี ใหพ้ ระเจา้ สญชยั ผเู้ ปน็ พระอยั กาไดท้ อดพระเนตร ลูกเราทั้งสองคนนี้พูดจาน่ารัก ช่างเจรจา พระองค์จะทรงปีติ จะ พระราชทานทรพั ยม์ ากมายให้ท่าน”

พ ร ะ เ ว ส สั น ด ร 574 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ชูชกทูลว่า “ข้าพระองค์กลัวถูกจับไปลงราชทัณฑ์ด้วยข้อหา ขโมยพระกมุ าร ขอพระองคโ์ ปรดฟงั เมอ่ื ข้าพระองคไ์ มม่ ีทรพั ย์ ทาส และทาสีกลับบ้าน นางอมิตตตาปนาจะตำ�หนิเอาได”้ พระเวสสนั ดรตรสั วา่ “พระมหาราชเจา้ ผปู้ กครองแควน้ สพี ี ทรง ปกครองแผ่นดินโดยธรรม เมื่อพระองค์เห็นหลานทั้งสองคงดีพระทัย จะพระราชทานทรพั ยม์ ากมายให้ทา่ นอยา่ งแนน่ อน” ชชู กทลู วา่ “ขา้ พระองคค์ งจะไมท่ �ำ ตามรบั สงั่ แตจ่ ะน�ำ เดก็ ทงั้ สอง ไปรบั ใชน้ างอมิตตตาปนา พราหมณีท่ีแคว้นกาลิงครฐั ” สองพ่ีนอ้ งได้ยินชชู กสนทนากับบิดากก็ ลวั จนตัวส่ัน จงึ พากันแอบหลบ ไปอยู่ข้างหลังอาศรม แม้เช่นนั้นก็ยังไม่อุ่นใจ จึงหนีออกไปซ่อนอยู่ที่พุ่มไม้ ส่ันสะท้านหวาดกลัว นึกถึงภาพท่ีถูกชูชกจับไป เม่ือไม่สามารถจะอยู่ท่ีไหนได้ กว็ งิ่ ไปวงิ่ มา ไปจนถงึ สระโบกขรณี ทงั้ สองพนี่ อ้ งไมร่ จู้ ะหลบซอ่ นทไ่ี หนจงึ ตกลงกนั ว่าจะลงไปแอบอยู่ในสระ ถ้าลงไปอยู่ในสระบิดาเห็นรอยเท้าเดินลงนำ้�ก็ต้องรู้ วา่ อยูใ่ นสระ จงึ เดินถอยหลังลงน้ำ�เหมือนคนเดินขนึ้ จากนำ้� ไปยนื แอบอยใู่ นน้�ำ ที่เตม็ ไปด้วยกอบวั เอาใบบัวปิดบังพระเศียรไว้ ชชู กมองไปรอบ ๆ ไม่เหน็ สองกมุ าร จงึ พูดค่อนแคะพระเวสสนั ดรวา่ “ปากพระองค์ก็ว่าประทานพระกุมารให้ข้าพระองค์ ครั้นข้าพระองค์ ทูลว่าจะไม่ไปกรุงเชตุดรแต่จะนำ�พระกุมารไปรับใช้นางอมิตตตาปนา พราหมณีของข้าพระองค์ที่แคว้นกาลิงครัฐ พระองค์ก็ให้สัญญาณ โบกไมโ้ บกมือใหพ้ ระโอรสและพระธดิ าหลบหนีไปเสยี แลว้ นงั่ ท�ำ เปน็ ทองไม่ร้รู ้อน คนปากวา่ ตาขยบิ โกหกเช่นพระองคก์ ม็ ใี นโลก” พระเวสสันดรได้ยินดังนั้นก็ตกใจดำ�ริว่า ลูกท้ังสองคงจะแอบหลบหนี ไปแล้ว จึงรับสั่งกับพราหมณ์ว่า “ท่านอย่ากังวล เราจะไปตามมาให้” จึงลุกข้ึนเดินไปหลังอาศรมก็ทราบว่า พระโอรสและพระธิดาหนีเข้าสู่ป่าใหญ่

ท ศ ช า ติ 575 พ ร ะ เ ว ส สั น ด ร ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง พระองค์ตามรอยเท้าไปจนถึงสระน้ำ� เห็นรอยเท้าข้ึนจากสระแต่ไม่มีรอยเท้า ลงน้ำ�ก็ทราบได้ทันทีว่า พระโอรสและพระธิดาลงไปยืนหลบอยู่ในน้ำ� จึงตรัส เรียกว่า “ชาลีลูกรัก ลูกข้ึนมาเถิด จงเพิ่มพูนบารมีของพ่อให้เต็ม จงช่วยโสรจสรงหัวใจพ่อให้เย็นฉำ่� จงทำ�ตามคำ�พ่อ ขอให้ลูกทั้งสอง จงเป็นนาวา นำ�พ่อข้ามมหาสมุทร คือ ภพ พ่อจะข้ามฝั่ง คือ ชาติ แลว้ จะน�ำ มนษุ ย์ท้ังเทวดาใหข้ า้ มพน้ ดว้ ย” พระชาลีราชกุมารคิดว่า ตาพราหมณ์จะฆ่าจะแกงเราก็ตาม เราจะ ไมใ่ หพ้ ระบดิ าตอ้ งพดู ซ�้ำ ถงึ สองสามครง้ั จงึ แหวกใบบวั โผลห่ วั ออกมา ขน้ึ จากน�้ำ หมอบแทบพระบาทเบอ้ื งขวาพระโพธิสตั ว์ กอดข้อพระบาทพระบิดากรรแสง พระเวสสันดรตรัสถามว่า “น้องหญิงของลูกไปไหน” พระชาลี กราบทูลว่า “เม่ือภัยเกิดข้ึน สัตว์ท้ังหลายก็ย่อมรักตัวกลัวตาย” พระโพธสิ ัตวก์ ็ทรงทราบว่าลกู ทัง้ สองคงนดั แนะกนั ไวก้ ่อนจงึ ตรัสเรยี ก พระกัณหาชินาราชกุมารีคิดว่า เราจะไม่ให้พระบิดาต้องพูดซำ้�ถึง สองสามครั้งจงึ ขน้ึ จากน้ำ�เหมือนกัน หมอบแทบพระบาทเบื้องซ้ายพระเวสสันดร ทรงกรรแสงกอดข้อพระบาทพระบิดาไว้แน่น นำ้�ตาสองพี่น้องหยดเปรอะเปื้อน พระบาทพระเวสสันดร แม้น้ำ�ตาของพระเวสสันดรก็หยดลงบนพระปฤษฎางค์ พระโอรสทั้งสองพระองค์เชน่ กนั พระเวสสันดรทรงหวั่นไหว มีพระทัยหดหู่ ลูบหลังพระโอรสอย่าง อ่อนโยน ประคองให้ลุกข้ึน ว่า “ลูกไม่รู้ว่าพ่อครุ่นคิดถึงทานบารมี มาตลอดดอกหรือ ลูกจงช่วยทำ�ให้บารมีของพ่อเต็ม” แล้วประทับยืน ในท่ีนั้นกำ�หนดราคาพระโอรสและพระธิดาว่า “ชาลี ถ้าลูกอยากเป็นไท ลูกต้องให้ทองคำ� ๑,๐๐๐ ลิ่มแก่พราหมณ์เป็นค่าไถ่ ส่วนน้องหญิง ของลูกมีสิริโฉมงดงาม ถ้าค่าไถ่น้อย คนท่ีมีชาติตำ่�ก็จะได้ไป แม้มี ทรัพย์เพียงเล็กน้อย นำ�มาไถ่จากพราหมณ์ก็ทำ�ให้น้องสาวของลูก

พ ร ะ เ ว ส สั น ด ร 576 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง เปน็ ไท เขาจะทำ�ใหน้ อ้ งสาวของลกู เสื่อมชาติ ยกเวน้ กษตั รยิ ์ ไม่มีใคร สามารถให้สมบัติมากมายได้ ถ้าน้องหญิงของลูกอยากจะเป็นไท ต้องให้ทาสี ทาส ช้าง โค อย่างละ ๑๐๐ และทองคำ� ๑๐๐ ลิ่ม แกพ่ ราหมณ์เป็นค่าไถ่จึงจะเปน็ ไท” พระเวสสันดรบรมโพธิสัตว์กำ�หนดราคาพระกุมารทั้งสองอย่างน้ีแล้ว ทรงปลอบโยนลกู น�ำ เสดจ็ กลับไปอาศรม จบั เต้านำ้� เรยี กชชู กมา แล้วหล่ังนำ้� ลงในมอื ชชู ก ปรารถนาพระสพั พญั ญตุ ญาณวา่ “แมบ้ ตุ รจะเปน็ ทรี่ กั ยงิ่ ของเรา เพียงไรก็ตาม แต่พระสัพพัญญุตญาณเป็นที่รักของเราย่ิงกว่าบุตร ท้ังสอง รอ้ ยเทา่ พันเท่า” ขณะพระเวสสันดรหล่ังนำ้�ทักษิโณทกให้เทวดาฟ้าดินได้ร่วม เป็นสักขีพยานและอนุโมทนาถึงการสร้างทานบารมีท่ียิ่งใหญ่ด้วยการ บริจาคพระโอรสน้ัน พ้ืนเมทนีดลก็กัมปนาทหวั่นไหว เกิดอัศจรรย์ น่าขนพองสยองเกล้า แผ่นดินใหญ่เกิดอึกทึกกึกก้องคำ�รามล่ัน ส่ัน สะเทอื นด้วยเดชแห่งทานบารมี ฝนก็ตกโปรยปรายลงชัว่ ขณะ สายฟ้า ก็แลบแปลบพรายผิดกาลผิดสมัย มหาสาครก็กระเพ่ือมปั่นป่วน ภูเขาสิเนรุก็โอนเอนน้อมยอดลงไปทางเขาวงกต ท้าวสักกเทวราช ประสานพระหัตถ์ประนมไหว้ มหาพรหมประทานสาธุการ หมู่เทวดา ก็ส่งเสยี งสาธุการบนั ลอื ลนั่ เกิดโกลาหลไปจนถึงพรหมโลก สัตวส์ ่ีเท้า มีราชสีห์ เป็นต้น ที่อยู่ในป่าแห่งนั้นก็ส่งเสียงร้องบันลือขึ้นพร้อมกัน กกึ ก้องไปท่ัวไพร พระเวสสันดรทรงให้บุตรเป็นทานแล้วก็เกิดปีติว่า ได้บริจาคแก้วตา ดวงใจให้เปน็ ทาน ประทับยืนทอดพระเนตรตามพระโอรสและพระธิดา

ท ศ ช า ติ 577 พ ร ะ เ ว ส สั น ด ร ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ลักษณะผูท้ �ำ รา้ ยมิตร ๑๘ ประการ ฝ่ายชูชกเข้าป่าเอาฟันกัดเถาวัลย์ถือมาผูกพระหัตถ์เบื้องขวาของ พระชาลีและพระหัตถ์เบื้องซ้ายของพระกัณหา จับปลายเถาวัลย์ไว้ ขู่ตะคอก อย่างหยาบคาย โบยตี ฉุดลากพาไปต่อหนา้ พระเวสสันดร ผิวกายสองพี่น้องตรงท่ีถูกตีแตกปริเป็นรอย เลือดไหลซิบออกมา เมอื่ ถกู พราหมณ์ตี สองพนี่ อ้ งตา่ งเอาหลังเขา้ รบั ไม้แทนกันและกัน ชชู กลืน่ ล้มลง ในที่แห่งหน่ึง เถาวัลย์เคลื่อนหลุดจากแขนพระกุมารทั้งสอง จึงร้องไห้ น้ำ�ตา นองหน้า ว่ิงหนีกลับไปหาพระบิดา สะอื้นไห้ สั่นเทิ้มไปท้ังตัว กราบพระบาท พระบิดาทูลว่า “พระมารดาไปป่ายังไม่กลับมา ขอให้หม่อมฉันได้พบ พระมารดากอ่ นจงึ คอ่ ยประทานใหพ้ ราหมณ์ เมอื่ ถงึ เวลานน้ั พราหมณ์ ชูชกน้จี ะขายหรอื จะฆ่าหม่อมฉนั กส็ ดุ แลว้ แต่ ชูชกนม้ี ลี กั ษณะบุรษุ โทษ ๑๘ ประการ คอื ๑. ตนี แบ ๒. เล็บกดุ ๓. มปี ลนี ่องย้อยยาน ๔. มรี มิ ฝปี ากบนยาวปดิ รมิ ฝีปากล่าง ๕. น้�ำ ลายไหลเป็นยางยืดทง้ั สองแกม้ ๖. เขย้ี วยาวงอกออกจากรมิ ฝปี ากเหมือนเขี้ยวหมู ๗. จมูกหกั ๘. มพี ุงโตเปน็ กระเปาะเหมอื นหม้อใหญ่ ๙. หลังคอ่ ม ๑๐. ตาเหล่ ๑๑. หนวดเคราแขง็ สเี หมอื นลวดทองแดง ๑๒. ผมสีเหลือง

พ ร ะ เ ว ส สั น ด ร 578 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ๑๓. หนงั ยน่ ตกกระ เสน้ เอ็นปูดโปน ๑๔. ตาเหลอื กเหลอื ง ๑๕. เอวคด หลงั โกง คอเอียง ๑๖. ขาโกง่ ๑๗. ขนตามตัวดก หยาบ ยาว ๑๘. นงุ่ หม่ หนังเสือเหลืองเปน็ ดังอมนุษย์ น่ากลวั ข้าแต่พระบิดา พราหมณ์น้ีไม่ใช่มนุษย์ แกเป็นยักษ์กินคน จากบา้ นเขา้ ปา่ มาขอลกู ไปกนิ พระองคเ์ หน็ หรอื ไมว่ า่ หมอ่ มฉนั ทง้ั สอง ถูกปีศาจพาไป พราหมณ์ชูชกตีหม่อมฉันทั้งสองเหมือนตีฝูงโค พระองคไ์ ม่เหน็ หรอื พระทยั ของพระองคแ์ ข็งราวกบั เหล็ก ทนเห็นลูก ถูกตีได้อย่างไร น้องหญิงกัณหายังเล็กนัก เกิดมายังไม่รู้จักทุกข์เลย สักนดิ เดยี ว ขอให้น้องอยู่กบั พระบิดาท่นี ี้ เม่อื ไม่เหน็ เสด็จแม่ น้องจะ รอ้ งไหเ้ หยี่ วแหง้ ตายไป เหมอื นลกู กวางทยี่ งั ไมห่ ยา่ นมพลดั พรากจากฝงู ร้องครำ่�ครวญหาแม่อยากกินนม ขอเสด็จพ่อประทานหม่อมฉัน เพียงคนเดียวเท่านั้นให้พราหมณ์ น้องหญิงกัณหายังไม่รู้จักความ ทกุ ขย์ ากเลย ขอใหน้ อ้ งกณั หาอยทู่ นี่ ก้ี ับพระบดิ าเถิด” แม้พระชาลีกุมารกราบทูลอย่างน้ี พระเวสสันดรก็ไม่ได้ตรัสอะไร อีกเลย พระชาลีกุมารจึงคร่ำ�ครวญถึงพระชนกพระชนนีว่า “ทุกข์ท่ีต้องตก เป็นทาสคนอ่ืนไม่สู้กระไรนัก เพราะทุกข์น้ีลูกผู้ชายรับได้ แต่การที่ น้องหญิงกัณหาไม่ได้เห็นพระมารดาเป็นทุกข์ย่ิงกว่า เม่ือเสด็จแม่ ไม่เห็นน้องหญิงกัณหาผู้น่ารักน่าเอ็นดูก็จะกรรแสงส้ินราตรีนาน วันน้ี ลูกท้ังสองจะจากป่า จากสวน จากแม่นำ้� ท่ีเคยเที่ยววิ่งเล่น จากท้ัง ดอกไมต้ า่ ง ๆ ทเี่ คยทดั ทรง จะจากผลไมห้ ลากชนดิ บนภผู า จากตกุ๊ ตา ช้าง ตกุ๊ ตามา้ ตุก๊ ตาววั ทีพ่ ระบดิ าปั้นใหเ้ ลน่ ”

ท ศ ช า ติ 579 พ ร ะ เ ว ส สั น ด ร ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง เมอื่ สองพนี่ อ้ งคร�่ำ ครวญอยอู่ ยา่ งนี้ ชชู กกต็ ามมาโบยตี ดงึ ลากกลบั ไป สองพี่น้องได้ฝากความกราบทูลพระมารดาว่า “ขอเสด็จพ่อ โปรดบอก เสด็จแมว่ า่ ลกู ทง้ั สองสบายดี ขอใหเ้ สดจ็ พ่อจงทรงมีความสุขสำ�ราญ เถิด โปรดประทานตุ๊กตาช้าง ตุ๊กตาม้า ตุ๊กตาวัวของลูกแด่เสด็จแม่ พระองค์จะไดด้ ตู า่ งหน้า เม่ือเสด็จแม่เหน็ ของเลน่ ท่ลี ูกท้ังสองเคยเล่น จะทรงบรรเทาความเศร้าโศกได้” เมอื่ พระโอรสกราบทลู เชน่ นนั้ พระเวสสนั ดรเกดิ ความเศรา้ โศกอยา่ งมาก ทรงหวนระลึกถึงพระโอรส พระธิดา ดวงหทัยก็รุ่มร้อน เจ็บปวด ทรงหวั่นไหว ด้วยความเศร้าโศก ไม่สามารถจะดำ�รงพระองค์อยู่ได้ มีพระเนตรนองไปด้วย น�้ำ ตา เสดจ็ เข้าอาศรมพร่ำ�ร�ำ พันอยา่ งนา่ เวทนาวา่ “วันน้ีลูกท้ังสองจะเป็นอย่างไรบ้าง จะหิว จะกลัว เดินทาง ร้องไห้ไปอย่างไร เวลาเย็นจะกินอาหารอย่างไร ใครจะหาข้าวปลา อาหารให้กิน ลูกทั้งสองจะร้องขออาหารจากแม่ว่า “แม่จ๋า! ลูกหิว” ลกู ทง้ั สองเดนิ เทา้ เปลา่ จะเดนิ ทางไปไดอ้ ยา่ งไร เทา้ พองบวมใครจะอมุ้ ใหเ้ ดนิ ชชู กตลี กู ๆ ตอ่ หนา้ ตอ่ ตาเรา แกชา่ งไมล่ ะอายใจบา้ ง แกชวั่ ชา้ จริง ๆ ใครจะเลวร้ายถึงขนาดกล้าตีลูกคนอ่ืนที่เขาให้ไปเป็นทาส ต่อหน้าต่อตาได้ แตน่ ีช่ ชู กดา่ ตีลูกตอ่ หน้าต่อตาเรา” พระเวสสนั ดรทรงร�ำ พงึ ดว้ ยความรกั ลกู แลว้ กท็ รงคดิ วา่ “พราหมณน์ ้ี ท�ำ รา้ ยลกู เราเหลอื เกนิ เราจะตามไปฆา่ พราหมณ์ น�ำ ลกู กลบั มาดไี หม เราจะถอื พระแสงศร เหนบ็ พระแสงขรรคไ์ ปตามลกู กลบั มา ลกู ทง้ั สอง ถกู เฆยี่ นตี เราเปน็ ทกุ ขเ์ หลอื เกนิ ” ครน้ั แลว้ กก็ ลบั หวนคดิ ไดว้ า่ “การทลี่ กู เรา ถกู ท�ำ รา้ ยเปน็ ความล�ำ บากย่งิ อย่าคำ�นงึ เลย การบรจิ าคบตุ รเปน็ ทาน แลว้ เกดิ ความเดอื ดรอ้ นใจภายหลงั แลว้ จะบรจิ าคไปท�ำ ไม ไมใ่ ชธ่ รรม ของสตั บุรุษ”

พ ร ะ เ ว ส สั น ด ร 580 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ประเพณพี ระโพธิสัตว์ ขณะนั้นพระเวสสันดรทรงอนุสรณ์ถึงประเพณีพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย แล้วทรงอบรมพระองค์เองว่า “พระโพธิสัตว์ท่ีไม่บริจาคมหาบริจาค ๕ ประการ คือ ๑. ไมบ่ ริจาคทรัพย์ ๒. ไมบ่ รจิ าคอวยั วะ ๓. ไม่บรจิ าคชวี ิต ๔. ไม่บรจิ าคบุตร ๕. ไมบ่ ริจาคภรรยา ไม่เคยได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ตัวเราก็อยู่ในจำ�พวก พระโพธิสตั ว์ ถา้ เราไม่บรจิ าคบุตรและภรรยาก็เป็นพระพุทธเจา้ ไม่ได้ เวสสันดรเป็นอย่างไร ท่านไม่รู้หรือว่าการบริจาคลูกให้คนอ่ืนทำ�ให้ เกิดความทุกข์ระทมขมขื่นใจ ไม่มีใครที่ไม่เป็นทุกข์ เพราะการให้ลูก แกค่ นอืน่ ทา่ นจะตามไปฆา่ ชูชกดว้ ยเหตุไร บรจิ าคทานแล้วเกิดความ เดือดรอ้ นใจภายหลงั กไ็ มต่ อ้ งท�ำ ” พระเวสสันดรตำ�หนิพระองค์เองอย่างน้ีแล้วทรงอธิษฐานสมาทานศีล อย่างแน่วแน่ว่า นับจากวันท่ีบริจาคลูกแล้วถึงชูชกจะฆ่าลูกท้ังสองพระองค์ จะไมก่ งั วล แลว้ เสดจ็ ออกจากอาศรมไปประทบั นง่ั บนแผน่ ศลิ าใกลป้ ระตทู างเขา้ อาศรม ขณะทชี่ ชู กโบยตพี ระชาลรี าชกมุ ารและพระกณั หาชนิ าราชกมุ ารตี อ่ หนา้ พระโพธสิ ตั ว์ ฉดุ กระชากลากไป พระชาลีปลอบนอ้ งสาวว่า “ผู้คนในโลกน้ีพูดเอาไว้จริงทีเดียวว่า ผู้ใดไม่มีมารดา ผู้นั้น ไม่มที ้งั บิดาด้วย มาเถิดน้องหญงิ กัณหา น้องอย่ากลวั เลย เราจะตาย

ท ศ ช า ติ 581 พ ร ะ เ ว ส สั น ด ร ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ดว้ ยกัน พระบดิ าไดป้ ระทานเราทง้ั สองใหพ้ ราหมณแ์ ลว้ อย่ไู ปก็ไมม่ ี ประโยชน์ ถึงอยา่ งไรเราก็ต้องจากปา่ แหง่ นไ้ี ป” ชชู กพราหมณพ์ ลาดลม้ ในสถานทขี่ รขุ ระแหง่ หนงึ่ เถาวลั ยท์ ผี่ กู กเ็ คลอื่ น หลดุ จากพระหัตถพ์ ระกมุ ารทงั้ สอง สองพ่นี อ้ งสน่ั สะทา้ นไปท้งั ตัวเหมือนไก่ถูกตี วิง่ หนีกลับมาหาพระบดิ าอยา่ งเรว็ ฝ่ายชูชกเฒ่าลุกขึ้นได้ก็ถือเถาวัลย์และไม้ว่ิงตามไปอย่างรวดเร็ว ด้วยความกราดเกรี้ยว จึงขู่สำ�ทับว่า “เจ้าท้ังสองฉลาดนักนะ ชอบหนี เหลือเกิน” จึงผูกพระหัตถ์สองพ่ีน้องลากกลับไปอีก พราหมณ์ถือเถาวัลย์ ด้วยมือขา้ งหนึ่ง อกี ขา้ งถือไมเ้ ฆ่ยี นตไี ปต่อหน้าพระเวสสันดรท่ปี ระทบั น่ังอยู่ พระกัณหาชินาเหลียวกลับมาสะอ้ืนไห้ตัดพ้อพระบิดาว่า “เสด็จพ่อ พราหมณน์ เี้ อาไมเ้ ทา้ ตหี มอ่ มฉนั เหมอื นนายตที าสี ไหนเสดจ็ พอ่ บอกวา่ พราหมณ์มีธรรม แต่ตาพราหมณ์นี้ไม่ได้เป็นเช่นนั้น ยักษ์แปลงเป็น พราหมณ์มา น�ำ หมอ่ มฉันสองพ่ีนอ้ งไปเค้ียวกิน พระองค์ไมเ่ หน็ หรอื ” เม่ือพระราชกุมารีน้อยสะอึกสะอ้ืนร่ำ�ไห้รำ�พัน ร่างกายสั่นเทิ้มเดินไป พระเวสสันดรบรมโพธิสัตว์ทรงเศร้าโศกอย่างมาก ดวงหทัยร้อนผ่าว อึดอัด หายใจไม่สะดวก ทรงระบายลมหายใจอันร้อนผ่าวทางพระโอษฐ์ นำ้�ตาไหล เป็นทางเหมือนหยาดเลือดไหลออกจากพระเนตรทั้งสองข้าง ทรงดำ�ริว่า “ทกุ ขใ์ หญห่ ลวงเชน่ นเ้ี กดิ ขน้ึ กบั เราเพราะความรกั หาใชเ่ พราะเหตอุ น่ื ไม่ เราควรวางจิตเป็นกลาง ให้อยู่ในอุเบกขาธรรม อย่าทำ�ความเสน่หา อาวรณ์” ทรงกล้ำ�กลืนฝืนความเศร้าโศกด้วยกำ�ลังแห่งพระญาณของพระองค์ แล้วประทบั น่ังอย่ดู ้วยอาการเป็นปกติ พระธิดากัณหาชินาราชกุมารีเสด็จไปยังไม่ทันพ้นป่าก็เดินคร่ำ�ครวญ ไปตามทางว่า “เราสองพ่ีน้องเจ็บปวดเท้าเหลือเกิน ทั้งหนทางก็ไกล เดนิ ล�ำ บาก ดวงอาทติ ยจ์ ะตกดนิ อยแู่ ลว้ พราหมณก์ ย็ งั ไมย่ อมหยดุ พกั

พ ร ะ เ ว ส สั น ด ร 582 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง เขาจะพาเราสองพน่ี อ้ งเรง่ รบี เดนิ ทางไปไหน” แลว้ กย็ กมอื ขนึ้ ไหวอ้ ธษิ ฐาน ตอ่ ปา่ เขาล�ำ เนาไพรว่า “เราสองพี่น้องขอน้อมนบไหว้เหล่าเทพเทวาท่ีสิงสถิตอยู่ ตามภูผาพนาลัย ท่ีแม่น้ำ�และสระบัว ท้ังที่ทุ่งหญ้าลดาวัลย์ สรรพพฤกษาที่เป็นโอสถท่ีเกิดในเขาและป่าไพร ขอจงทูลแด่ พระมารดาว่า เราสองพ่ีน้องเป็นสุขสบายดี ขอพระมารดาอย่าได้ เป็นหว่ ง อยา่ ไดท้ ุกข์โศกเพราะไม่ไดเ้ หน็ เราสองพ่นี ้อง ขา้ แตเ่ ทพเจ้า ขอเหล่าท่านจงทูลแด่พระมารดาของเราผู้มีพระนาม “พระแม่มัทรี” ถ้าพระมารดาต้องการจะติดตามลูกก็ให้รีบติดตามมาทางนี้เร็ว ๆ อยา่ ไปทางอน่ื จะไดพ้ บลกู ทงั้ สอง พระมารดาไปหาผลไมใ้ นปา่ กลบั มา ไม่พบลูกจะระทมทุกข์ขนาดไหน วันนี้คงหาผลไม้ได้มากจนลืมกลับ อาศรม คงไม่ทราบว่าลูกถูกพราหมณ์ใจร้ายผูกไว้แล้วตีเหมือนตีโค ถ้าลูกทั้งสองได้พบพระมารดาเสด็จกลับมาจากหาผลไม้ในเย็นวันนี้ พระมารดาคงประทานผลไม้กบั รวงผึง้ ให้พราหมณ์ พราหมณน์ ้ีกินอิ่ม แลว้ คงจะไมพ่ าลกู ทง้ั สองรบี เดนิ ทางไป แมจ่ า๋ เทา้ ของลกู บวมพองแลว้ ลกู เจบ็ เหลือเกิน พราหมณก์ ย็ งั เรง่ ใหเ้ ดนิ ไมห่ ยดุ ” พระธิดากัณหาชินาสะอึกสะอ้ืนร้องไห้รำ�พันเดินตามพราหมณ์ไปใน สถานทีต่ า่ ง ๆ พระนางเจา้ มัทรี เมื่อพระเวสสันดรบริจาคพระโอรสและพระธิดาให้พราหมณ์เฒ่า เปน็ ทาน เกดิ มหศั จรรยม์ หาปฐพบี นั ลอื ลน่ั โกลาหลไปจนถงึ พรหมโลก หมเู่ ทวดา ผู้อยู่ในหิมวันตประเทศ เป็นประหน่ึงว่าหัวใจจะแตกสลายเพราะได้ยินเสียง รอ้ งไหร้ �ำ พนั ของสองพน่ี อ้ งทชี่ ชู กพราหมณพ์ าไป ตา่ งปรกึ ษากนั วา่ ถา้ พระนางเจา้

ท ศ ช า ติ 583 พ ร ะ เ ว ส สั น ด ร ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง มัทรีเสด็จกลับถึงอาศรมสถานแต่หัววัน พระนางไม่เห็นพระโอรส พระธิดา ในอาศรม ทลู ถามพระเวสสนั ดร ทรงทราบวา่ พระสวามพี ระราชทานใหพ้ ราหมณ์ ชูชกไปแล้ว จะต้องเสด็จตามไปด้วยความรักพระโอรส ก็จะประสบทุกข์อยู่ กลางป่าอยา่ งสาหสั เหล่าเทวดาจึงให้เทพบุตร ๓ องค์จำ�แลงกายเป็นราชสีห์ เสือโคร่ง และเสอื เหลอื งไปขวางทางเสดจ็ พระนางมทั รไี ว้ แมพ้ ระนางวงิ วอนขอทางกอ็ ยา่ ให้ จนกว่าดวงอาทิตย์จะตกดิน และจัดการอารักขาพระนางให้ดีอย่าให้สัตว์ร้าย ทำ�อันตรายพระนางได้ เทพบุตรท้ังสามต่างจำ�แลงกายกลายเป็นราชสีห์ เสือโคร่ง และ เสือเหลอื ง มานอนหมอบเรียงกนั ขวางทางที่พระนางเจา้ มทั รจี ะเสดจ็ มา ส่วนพระนางเจ้ามัทรีขณะเข้าป่าหาผลไม้ทรงหว่ันพระทัยว่าพระองค์ ฝันร้าย จะรบี หาผลไมแ้ ลว้ กลับอาศรมแต่ยงั วัน ขณะเดินเทย่ี วหาผลไมก้ เ็ กดิ ลางร้าย เสยี มหลุดจากพระหตั ถ์ กระเชา้ ก็พลัดตกจากบ่า พระเนตรเบ้ืองขวาก็เขม่น ต้นไม้ที่กินผลได้ก็ไม่ค่อยมี ส่วน ตน้ ไมท้ กี่ นิ ผลไมไ่ ดก้ ก็ ลบั ออกผลมากมายเตม็ ไปหมด พระนางหลงทาง ก�ำ หนด ทิศไม่ได้ ทรงรำ�พึงอยู่กลางป่าว่า “นี่เป็นอย่างไรหนอ ตั้งแต่มาอยู่ท่ีนี่ ไม่เคยเป็นอย่างน้ี หรือจะเกิดเหตุไม่ดีอะไรกับเรา กับลูก หรือ พระสวามี” ทรงร�ำ พึงกับพระองค์เองว่า “เสียมกห็ ลุดจากมอื กระเช้า ก็พลัดตกจากบ่า นัยน์ตาข้างขวาก็เขม่น หาผลไม้ก็ไม่ได้ ทิศทั้งปวง กฟ็ ัน่ เฟอื นลมุ่ หลง” พระนางเจ้ามัทรีคำ�นวณดเู วลาว่าอาทิตยบ์ า่ ยคล้อยแลว้ จงึ เสด็จกลบั อาศรมในเวลาเยน็ ขณะเดนิ มาตามทางสตั วร์ า้ ยไดน้ อนขวางทาง พระนางร�ำ พงึ วา่ อาทิตย์ใกล้ตกดินแล้ว อาศรมก็ยังอยู่อีกไกล เราจะนำ�ผลไม้ไปให้พระสวามี และลกู ทง้ั สองไดอ้ ยา่ งไร พระองคอ์ ยทู่ อ่ี าศรมเหน็ เรายงั ไมก่ ลบั คงจะปลอบโยนลกู

พ ร ะ เ ว ส สั น ด ร 584 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ซง่ึ ก�ำ ลงั หวิ ลกู ทงั้ สองเปน็ ก�ำ พรา้ เขญ็ ใจ เคยไดด้ มื่ นมตามเวลา เคยลกุ วง่ิ ออกไปรบั เราใกลอ้ าศรมเหมอื นลกู โคออ่ นยนื คอยนมแม่ ทางเดนิ ไปอาศรมกม็ เี พยี งทางเดยี ว ดา้ นขา้ งมสี ระลึก ไม่มที างอืน่ แยกไปอาศรม ครน้ั แลว้ พระนางทรงยกพระหตั ถข์ น้ึ ประนมกลา่ ววา่ “ขา้ ขอนอบนอ้ ม พระยาพาลมฤคผมู้ กี �ำ ลงั มากในปา่ ทา่ นทง้ั หลายเปน็ พข่ี องขา้ โดยธรรม จงหลีกทางให้ข้าด้วยเถดิ ข้าเปน็ มเหสขี องพระเวสสนั ดร ผู้ถกู เนรเทศ ใหม้ าอยปู่ า่ ขณะนพี้ ระองคอ์ ยใู่ นอาศรมเพยี งคนเดยี ว คงก�ำ ลงั ปลอบ ลกู น้อยทงั้ สองที่หวิ กระหาย คอยมองทางข้ากลบั มา ขอทา่ นทง้ั หลาย จงหลกี ทางใหข้ า้ ไดไ้ ปพบลกู ทัง้ สอง ดวงอาทิตย์ก็คลอ้ ยลงต่ำ� นีก่ ็เย็น มากแล้ว อาศรมก็อยู่อีกไกล ลูกกำ�พร้าท้ังสองน่าสงสาร คงจะยืน มองทางคอยแม่มา รากไม้ผลไม้น้ีมีมาก และอาหารก็มีไม่น้อย ข้าให้พวกท่านคร่ึงหน่ึง พระมารดาของข้าเป็นพระราชบุตรี และ พระบิดาของข้าก็เป็นพระราชบุตรเช่นกัน ท่านทั้งหลายจงเป็นพ่ี ของข้าโดยธรรม ขอท่านท้งั หลายจงหลกี ทางให้ด้วยเถดิ ” แม้เช่นน้ันเทพบุตรท่ีจำ�แลงเป็นสัตว์มาขวางทางก็ไม่ยอมหลีกทางให้ รอจนรู้ว่าได้เวลาจึงลุกขึ้นเดินหลีกไป เมื่อสัตว์ร้ายทั้งสามไปแล้ว พระนางเจ้า มัทรจี งึ กลับอาศรมอยา่ งรีบเร่ง วันนั้นเป็นวันพระอุโบสถ พระจันทร์คืนเพ็ญส่องสว่างไปท่ัวผืนป่า เสยี งนกกลางคนื แวว่ มาจากทไี่ กล พระนางเจา้ เสดจ็ ถงึ ทา้ ยทจ่ี งกรมไมเ่ หน็ ลกู รกั ทง้ั สองซ่ึงเคยออกมายนื รอรบั จึงรำ�พึงกบั พระองคเ์ องว่า “เคยเห็นลูกน้อยท้ังสองหน้าตาขะมุกขะมอมไปด้วยฝุ่น ยืนรอรับท่ีนี่ แต่วันน้ีทำ�ไมไม่เห็นลูกทั้งสองร่าเริงวิ่งมาต้อนรับค้น ชายพกแม่ ทำ�ใหแ้ ม่ชน่ื ใจ วันนี้ไมเ่ ห็นลูก แมท่ ิ้งลกู ไว้แล้วออกไปหา ผลไม้เหมือนแม่นกออกจากรัง เหมือนแม่ราชสีห์ท้ิงลูกไว้ไปหาเหย่ือ

ท ศ ช า ติ 585 พ ร ะ เ ว ส สั น ด ร ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง แมก่ ลบั มาไม่เหน็ หนา้ ลกู รักทั้งสอง เห็นแต่รอยเท้าเหยยี บย่ำ�อยู่ตาม ผนื ทราย กองทรายทล่ี กู ทง้ั สองกองไวก้ ย็ งั เกลอื่ นอยู่ ไมไ่ กลจากอาศรม แมเ่ คยเหน็ ลกู ทง้ั สองเอาทรายโปรยเลน่ จนกายขะมกุ ขะมอมไปดว้ ยฝนุ่ ว่ิงไปรอบ ๆ น่ีผลมะตูมเหลืองที่ลูกเล่นตกอยู่ น้ำ�นมคัดเต็มถัน แม่เจ็บจนปวด แต่อกแม่กลับปวดร้าวราวจะแตก เพราะไม่ได้เห็น หนา้ ลกู เมอื่ กอ่ นอาศรมเหมอื นมมี หรสพเพราะลกู ทงั้ สองรา่ เรงิ เลน่ กนั สนุกสนาน แต่วันนี้น่ีอย่างไร อาศรมช่างเงียบเชียบเสียจริง แม้แต่ ฝูงกากไ็ มม่ ี ฝูงนกกห็ ายไป หรือลูกทั้งสองตายเสียแน่แลว้ ” พระนางมทั รที รงร�ำ พนั เสดจ็ ไปเฝา้ พระเวสสนั ดร วางกระเชา้ ผลไมล้ ง เห็นพระโพธิสัตว์ประทับน่ังนิ่งอยู่ลำ�พังเพียงพระองค์เดียว แต่ไม่เห็นพระโอรส และพระธดิ า จึงทลู ถามวา่ “นอี้ ยา่ งไรกนั พระองคท์ รงนงิ่ อยไู่ ด้ เมอ่ื คนื หมอ่ มฉนั ฝนั รา้ ย ใจก็หวาดหว่ันอยู่ว่าจะเกิดเหตุร้าย แม้ฝูงกาฝูงนกก็ไม่มี ลูกท้ังสอง หายไปไหน หรือถูกสัตว์ร้ายกัดกินเสียแล้ว หรือใครน�ำ ลูกท้ังสองไป พระองคส์ ง่ ไปใหเ้ ปน็ ทตู เฝา้ พระสพี รี าชทก่ี รงุ เชตดุ ร หรอื เธอผชู้ า่ งเจรจา หลบั อยใู่ นอาศรม หรอื พากนั แอบไปเลน่ ขา้ งนอกแลว้ พลดั หลงไป” แม้พระนางมัทรีจะกราบทูลอย่างนี้ พระเวสสันดรก็ไม่ได้ตรัสอะไร พระนางจงึ กราบทลู วา่ “เหตุไรพระองค์จงึ ไมต่ รสั กบั หมอ่ มฉัน หมอ่ มฉันมคี วามผิด อะไร พระองคเ์ ฉยเมยกบั หมอ่ มฉนั เชน่ นเ้ี ปน็ ทกุ ขย์ ง่ิ กวา่ การทห่ี มอ่ มฉนั ไม่เห็นลูกท้ังสอง การไม่เห็นลูกเป็นทุกข์มากอยู่แล้ว แต่พระองค์ มาเยน็ ชาไมต่ รสั กบั หมอ่ มฉนั เชน่ นย้ี งิ่ เปน็ ทกุ ขม์ ากขน้ึ ถา้ คนื นพี้ ระองค์ ไมบ่ อกหมอ่ มฉนั วา่ ลกู ไปไหน พรงุ่ นพี้ ระองคค์ งจะไดเ้ หน็ ศพหมอ่ มฉนั เปน็ แน่”

พ ร ะ เ ว ส สั น ด ร 586 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง พระเวสสันดรดำ�ริว่าจะให้พระนางมัทรีคลายความโศกเพราะบุตร ดว้ ยคำ�หยาบจงึ ตรัสวา่ “มทั รี เธอเปน็ ราชบตุ รมี เี กยี รติ รปู รา่ งหนา้ ตากง็ าม ไปหาผลไม้ ต้ังแต่เช้ากลับมาจนมืดคำ่� ท้ังในป่าก็มีพราน ดาบส และวิทยาธร ท่องเที่ยวอยู่เป็นอันมาก ใครจะรู้ว่าเธอทำ�อะไรลงไป หญิงท่ีท้ิงลูก เข้าป่าตั้งแต่เช้ากลับมาจนมืดคำ่�เช่นน้ีไม่มีใครเขาทำ�กัน เธอไม่มี แม้เพียงแต่จะคิดว่าลูกตัวน้อยจะเป็นอย่างไรหรือสามีของตนจะคิด อยา่ งไร เธอไปปา่ แตเ่ ชา้ กลบั มาจนมดื ค�ำ่ อยา่ งนคี้ งเหน็ วา่ ฉนั ยากเขญ็ ” พระนางมัทรีไม่ได้มีความน้อยเน้ือต่ำ�ใจ คิดว่าพระสวามีคงเข้าใจผิด ทพ่ี ระนางกลบั มาช้ากวา่ เวลาจงึ ทูลวา่ “พระองค์ได้สดับเสียงร้องคำ�รามกึกก้องของราชสีห์และ เสือโคร่งที่มากินน้ำ�ในสระหรือไม่ และขณะหม่อมฉันเที่ยวหาผลไม้ อยู่ในป่าใหญ่ ก็เกิดลางร้ายหลายอย่าง เสียมหลุดจากมือ กระเช้า ที่คล้องอยู่บนบ่าก็พลัดตก หม่อมฉันตกใจกลัวเป็นห่วงพระองค์ และลูก ๆ ได้ยกมือข้ึนไหว้ไปท่ัวทิศ อธิษฐานขอให้หม่อมฉันและ พระองค์ ตลอดจนลูก ๆ รอดพ้นจากภัยน้ี ขออย่าให้ราชสีห์และ เสอื เหลอื งท�ำ อนั ตรายเลย หมอ่ มฉนั คดิ วา่ วนั นเ้ี กดิ ลางรา้ ยหลายอยา่ ง ทั้งเม่ือคืนก็ฝันร้าย จึงตั้งใจจะกลับเร็วกว่าทุกวัน แต่หาผลไม้ไม่ได้ ไปที่ไหนก็มีแต่ผลไม้ที่กินไม่ได้ จึงกลับออกจากป่าเย็นไป ซำ้�ร้าย ราชสีห์ เสือโคร่ง และเสือเหลืองก็มาขวางทาง หม่อมฉันจึงมา จนตกเย็น ขอพระองค์ยกโทษให้หม่อมฉันเถิด” แม้เช่นน้ีพระเวสสันดร กไ็ มต่ รัสอะไรกับพระนาง พระนางมทั รรี �ำ พนั โดยประการตา่ ง ๆ วา่ “ท�ำ ไมไมต่ รสั กบั หมอ่ มฉนั บ้าง หม่อมฉันนุ่งห่มหนังเสือเหลือง เก็บผลไม้ในป่ามาให้พระองค์

ท ศ ช า ติ 587 พ ร ะ เ ว ส สั น ด ร ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง และลกู ตลอดมา หมอ่ มฉนั ฝนขมนิ้ ทาใหล้ กู น�ำ มะตมู สกุ เหลอื งนม้ี าให้ ลกู เลน่ และเกบ็ ผลไมม้ า ดว้ ยหวงั วา่ จะเปน็ เครอ่ื งเลน่ ของลกู ขอเพยี ง ใหพ้ วกเราไดอ้ ยู่พร้อมหนา้ พรอ้ มตาพ่อแมล่ ูก พวกเราถกู เนรเทศจาก แว่นแคว้น ร่วมสุขร่วมทุกข์กันมา ไม่ใช่เพราะหม่อมฉันรักพระองค์ และลูกหรอกหรือ พระองค์เหน็ ลกู บ้างหรือไม่ หม่อมฉันเคยด่าสมณพราหมณ์ผู้ประพฤติพรหมจรรย์ ผมู้ ศี ีลเป็นพหูสตู ไว้หรอื อยา่ งไร ชาตนิ ีจ้ งึ ต้องมาพลัดพรากจากลกู ” แม้พระนางมัทรีทรงรำ�พันอยู่อย่างน้ี พระเวสสันดรก็ไม่ได้ตรัส อะไร ๆ ดว้ ย ทกุ ขข์ องแม่ คร้ันพระเวสสันดรไม่ตรัสอะไร พระนางมัทรีก็หวาดหวั่นใจ จึงอาศัย แสงจันทร์ออกเที่ยวตามหาพระโอรสและพระธิดา เสด็จไปตามสถานท่ีต่าง ๆ มตี น้ หวา้ เปน็ ตน้ ซงึ่ เปน็ ทพี่ ระโอรส พระธดิ าเคยเลน่ ทรงคร�่ำ ครวญไปตามตน้ ไม้ ที่ลูกเคยนั่งเล่น แต่ก็ไม่เห็นลูก เห็นเพียงตุ๊กตาช้าง ตุ๊กตาม้า ตุ๊กตาวัวที่ลูก ท้ังสองเคยเล่นทิ้งอยู่เกลื่อนกลาด จึงเที่ยวตามหาลูกบนภูเขา เมื่อไม่เห็น กท็ รงคร�่ำ ครวญ เสดจ็ ลงจากภเู ขากลบั มาคร�่ำ ครวญอยใู่ นอาศรม ทอดพระเนตร เหน็ ของเลน่ พระโอรส พระธดิ า กย็ ง่ิ รอ้ งไหค้ ร�่ำ ครวญหนกั วา่ “ตกุ๊ ตาเนอ้ื ทราย ทอง ตุ๊กตากระต่าย ตุ๊กตานกเค้า ตุ๊กตาชะมด ตุ๊กตาหงส์ ตุ๊กตา นกกระเรยี น ตกุ๊ ตานกยงู ขนหางวจิ ติ รเหลา่ นที้ ลี่ กู ทงั้ สองเคยเลน่ กย็ งั อยู่ แล้วลูกทั้งสองหายไปไหน” จนทำ�ให้ฝูงสัตว์และฝูงนกตกใจออกจากท่ีอยู่ เพราะเสียงคร่ำ�ครวญและเสียงฝีพระบาทของพระนางมัทรี

พ ร ะ เ ว ส สั น ด ร 588 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง พระนางมทั รไี มเ่ หน็ ลกู ทง้ั สองทอี่ าศรมกอ็ อกจากอาศรม เทยี่ วตามหา ไปตามป่าอีกคร้ัง ทรงรำ�พันว่า “พุ่มไม้มีดอกและสระโบกขรณีมีนก จากพรากสง่ เสยี งรอ้ ง ดารดาษไปดว้ ยดอกมณฑาและปทมุ อบุ ล รอยลกู ท้ังสองมาเล่นยงั ปรากฏอยูแ่ ต่ลูกทัง้ สองหายไปไหน” เม่ือพระนางมัทรีไม่พบลูกจากท่ีไหนก็เสด็จไปหาพระเวสสันดรอีก เหน็ พระองคป์ ระทบั นง่ั มพี ระพักตร์เศร้าหมองจึงทูลว่า “พระองค์ไม่ได้ออกไปหาฟืน ไม่ได้ไปตักนำ้� ไม่ได้ก่อไฟ ไฉนพระองค์จึงดูอิดโรย อ่อนแรง เศร้าหมอง พระองค์เป็นท่ีรักของ หมอ่ มฉนั ไมม่ ใี ครทห่ี มอ่ มฉนั รกั ยง่ิ กวา่ พระองค์ เมอ่ื กอ่ นความทกุ ขย์ าก นานาประการหายไปเม่อื ได้อยรู่ ว่ มกับพระองค์ แตว่ ันน้ี แมห้ ม่อมฉัน เห็นพระองค์กลบั ท�ำ ให้เกดิ ความเศร้าโศกมากขึน้ ” แม้พระนางมัทรีกราบทูลถึงอย่างน้ี พระเวสสันดรก็ประทับนั่งน่ิงอยู่ นั่นเอง เม่ือพระเวสสันดรเย็นชาไม่ตรัสด้วย พระนางก็เต็มแน่นไปด้วยความ โศกเศร้า ร่างกายสั่นเทิ้ม เสด็จเท่ียวตามหาลูกไปตามที่เคยตามหาคร้ังก่อน เมอื่ ไมพ่ บกเ็ สดจ็ กลบั มาเฝา้ พระเวสสนั ดรอกี กราบทลู วา่ “หมอ่ มฉนั ไมพ่ บลกู ลกู ทง้ั สองคงตายแลว้ แน่” พระนางมทั รเี ศรา้ โศกเทย่ี วตามหาลกู ไปตามสถานทต่ี า่ ง ๆ ถงึ ๓ รอบ สถานท่ที ่ีพระนางเจา้ เที่ยวไปตลอดคนื เปน็ ระยะทางราว ๑๕ โยชน์ คร้ันสว่างพระนางเจ้าเสด็จมาประทับยืนคร่ำ�ครวญอยู่ใกล้ ๆ พระเวสสันดร เพราะความที่พระนางเสด็จเที่ยวไปตามภูเขา เถ่ือนถำ้� ป่าไม้ และความทุกข์ระทมขมข่ืนใจ จึงทำ�ให้พระนางหมดแรง ส้ินสติ ล้มลงใกล้ พระยคุ ลบาทของพระเวสสันดร

ท ศ ช า ติ 589 พ ร ะ เ ว ส สั น ด ร ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง พระโพธิสัตว์ทรงตกพระทัยมือไม้ส่ัน เข้าใจว่าพระนางมัทรี สิ้นพระชนม์ จึงรำ�พึงว่า “มัทรี เธอไม่ควรมาตายในป่าแดนไกล หาก เธอตายในเชตุดรราชธานีก็ยังจะไดจ้ ัดการศพอยา่ งยงิ่ ใหญ่ รัฐทงั้ สอง กส็ ะเทอื นถงึ กัน แต่ตัวเราอยกู่ ลางปา่ แต่เพยี งผูเ้ ดยี ว จะทำ�อย่างไรได้ แมแ้ ตเ่ สยี มทจ่ี ะขดุ เสาเชงิ ตะกอนเผาศพกย็ งั ไมม่ ”ี แมพ้ ระองคจ์ ะโศกเศรา้ อย่างมากแต่ก็ยังมีสติ เสด็จลุกข้ึนด้วยต้ังใจว่าจะดูให้รู้แน่นอนก่อน จึงวาง พระหัตถ์ตรงหัวใจพระนางมัทรี ทราบว่ายังมีความอบอุ่นอยู่ จึงนำ�นำ้�จาก พระเตา้ มา แมไ้ มไ่ ดถ้ กู เน้อื ตอ้ งกายพระนางมาตลอด ๗ เดอื น กไ็ มท่ รงใสใ่ จวา่ พระองค์เป็นบรรพชิต เพราะความเศร้าโศกสงสารพระนางมัทรี ทรงร้องไห้ นำ้�ตานองหน้า ช้อนพระเศียรพระนางมัทรีข้ึนวางไว้บนตัก พรมด้วยนำ้� ลูบ พระพกั ตร์ และท่ตี รงพระหทยั ประทับนง่ั อยู่ ครู่หน่ึงพระนางมัทรีก็กลับได้สติ พระนางเจ้าทรงมีหิริและโอตตัปปะ ลุกข้ึน กราบพระโพธิสัตว์ ทรงร้องไห้นำ้�ตานองหน้า ทูลถามว่า “ลูกท้ังสอง หายไปไหน” พระโพธสิ ตั วต์ อบวา่ “พใ่ี หเ้ ปน็ ทาสพราหมณค์ นหนง่ึ ไปแลว้ ” พระนางมทั รที ลู วา่ “พระองคป์ ระทานลกู ใหพ้ ราหมณไ์ ป เหตไุ ร จึงไม่ยอมบอกหม่อมฉันให้รู้ ปล่อยให้คร่ำ�ครวญ เที่ยวตามหาอยู่ ตลอดทั้งคืน” พระเวสสันดรตรัสว่า “พี่ไม่อยากบอกเธอให้รู้ต้ังแต่แรก กลัวจะรับไม่ได้ เกิดทุกข์ว่าพราหมณ์เฒ่าเข็ญใจมาขอลูกไป เธอ อย่ากลัวเลย จงยินดีเถิด เธอจงเห็นแก่ฉันที่ปรารถนาพระโพธิญาณ อย่าครำ่�ครวญนักเลย เธอครำ่�ครวญร้องไห้มากก็ทำ�ให้พ่ีเจ็บปวด ทุกข์ทรมานมาก หากเรายังไม่ตายก็คงได้พบลูกท้ังสอง สัตบุรุษ เห็นยาจกมาขอทานก็ควรให้ เธอจงอนโุ มทนาการใหบ้ ตุ รผเู้ ปน็ ทรี่ กั ย่ิง เป็นทานของพ่ี”

พ ร ะ เ ว ส สั น ด ร 590 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง พระนางมัทรีทูลว่า “หม่อมฉันขออนุโมทนา พระองค์ทรง บรจิ าคทานแลว้ จงท�ำ พระทยั ใหเ้ ลอ่ื มใสเบกิ บาน ขอจงทรงบ�ำ เพญ็ ทาน ให้ย่งิ ๆ ขน้ึ ไปเถดิ ” ครั้นพระนางมัทรีทูลอย่างน้ีแล้ว พระเวสสันดรตรัสว่า “มัทรี เธอ พูดอะไร ถึงขนาดฉันให้ลูกท่ีรักทั้งสองเป็นทานแล้ว จิตใจฉัน ไม่เลื่อมใส ความอัศจรรย์ท้ังหลายก็คงไม่เกิดขึ้น” แล้วพระองค์ ไดต้ รสั เล่าถงึ ความอศั จรรยท์ ีเ่ กดิ ขึน้ ทง้ั หมดใหพ้ ระนางเจา้ ฟงั พระนางมทั รเี กดิ อศั จรรยแ์ ละเลอ่ื มใสการใหบ้ ตุ รเปน็ ทาน อนั เปน็ ทาน สูงสดุ ของพระเวสสันดร สละพระชายา เพื่อพระโพธิญาณ ภายหลังจากพระเวสสันดรให้บุตรเป็นมหาทานแล้ว ท้าวสักกเทวราช ดำ�ริว่า เมื่อวานน้ีพระเวสสันดรได้ประทานบุตรแก่ชูชกทำ�ให้เกิดแผ่นดินไหว บัดน้ี ถ้าจะมีคนต่ำ�ช้าคนหนึ่งไปเฝ้าพระเวสสันดร ทูลขอพระนางมัทรีผู้ทรง พระสิริโฉม มีศีลาจารวัตรงดงาม เคารพรักพระสวามียิ่งกว่าชีวิต ก็จะทำ�ให้ พระองค์อยู่คนเดียว เปล่าเปล่ียว ขาดผู้ปฏิบัติ อย่ากระน้ันเลย เราจะแปลง เปน็ พราหมณไ์ ปขอพระนางมทั รใี ห้พระองคบ์ ริจาคยอดแหง่ ทานบารมี พระองค์ จะไดไ้ ม่บริจาคพระนางมัทรใี หใ้ ครแลว้ ถวายพระนางคนื ให้ ครั้นรุ่งเช้า อาทิตย์อุทัยแล้ว ท้าวสักกเทวราชจึงแปลงเป็นพราหมณ์ ชรางกเงิ่นไปปรากฏให้สองกษัตริย์เห็นแต่เช้า แล้วตรัสปฏิสันถารถามถึง การเป็นอยู่ พระเวสสันดรตรัสว่า “พระองค์ท้ังสองอยู่สุขสบายดี ไม่มี โรคภัยไข้เจ็บแต่อย่างใด ในป่าใหญ่แม้จะมีสัตว์ร้ายมากมายแต่ก็ ไม่ทำ�อันตราย เมื่อพระองค์มาอยู่ป่ามีชีวิตลำ�บาก ตลอด ๗ เดือน

ท ศ ช า ติ 591 พ ร ะ เ ว ส สั น ด ร ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง เพงิ่ จะเหน็ พราหมณเ์ ปน็ คนทสี่ อง ทา่ นมากด็ แี ลว้ เชญิ เขา้ มาขา้ งในเถดิ เชญิ ท่านเลือกทานผลไม้แตท่ ด่ี ี ๆ ดื่มน�้ำ ให้ชื่นใจก่อน” พระเวสสันดรทำ�ปฏิสันถารพราหมณ์อย่างน้ีแล้วจึงตรัสถามถึงสาเหตุ ทเี่ ขา้ มาปา่ ใหญ่ ทา้ วสกั กเทวราชทลู วา่ มาทนี่ เ้ี พอ่ื ขอพระนางมทั รอี คั รมเหสขี องพระองค์ เ ม่ื อ ท้ า ว สั ก ก เ ท ว ร า ช ใ น ค ร า บ พ ร า ห ม ณ์ ช ร า ทู ล อ ย่ า ง น้ี แ ล้ ว พระเวสสันดรมิได้ตรัสว่า “เม่ือวานน้ีอาตมาได้ให้ทานลูกแก่พราหมณ์ ไปแลว้ ถา้ ใหพ้ ระนางมทั รี อาตมาจะตอ้ งอยใู่ นปา่ เพยี งคนเดยี ว แลว้ จะให้ มัทรีแก่ท่านได้อย่างไร” พระองค์ไม่ทรงหดหู่ ลังเล ขัดเคือง ราวกับ จะยังภูผาให้บันลือลั่น ตรัสว่า “อาตมาให้ส่ิงท่ีท่านขอด้วยความยินดี โดยไม่หวาดหวั่น” คร้ันตรัสอย่างน้ีแล้วพระเวสสันดรทรงจับพระกรพระนางมัทรีด้วย พระหัตถ์ข้างหนึง่ จับพระเตา้ น�ำ้ ดว้ ยพระหตั ถ์ข้างหนงึ่ หลัง่ น�้ำ ลงในมอื พราหมณ์ ไดพ้ ระราชทานพระนางมัทรีแกพ่ ราหมณ์ เม่ือพระเวสสันดรบริจาคพระนางมัทรีให้พราหมณ์เป็นทานได้เกิด ความมหัศจรรย์ขนลุกพองสยองเกล้า แผ่นดินได้กัมปนาทหว่ันไหว แม้พระนางมัทรีก็มิได้แสดงอาการกร้ิวพระสวามี ไม่แสดงอาการขวยเขิน ไม่กรรแสง แต่ยินดีในการให้ทานของพระสวามี พระเวสสันดรคิดว่ามัทรีจะเป็นอย่างไร จึงทอดพระเนตรดูพระพักตร์ ของพระนาง พระนางมทั รจี งึ ทลู ถามวา่ “พระองคม์ องดหู นา้ หมอ่ มฉนั ท�ำ ไม หมอ่ มฉนั เปน็ ชายาของพระองคต์ ง้ั แตย่ งั รนุ่ สาว พระองคเ์ ปน็ พระสวามี ชื่อว่าเป็นเจ้าของหม่อมฉัน พระองค์ทรงประสงค์จะพระราชทาน แก่บคุ คลใดก็จงพระราชทานตามพระประสงค์ จะทรงขายหรอื จะทรง ฆา่ เสียกไ็ ด้”

พ ร ะ เ ว ส สั น ด ร 592 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง เมอื่ สละพระชาลีราชโอรส พระธดิ ากณั หาชินาราชกมุ ารี และพระนาง มัทรี พระเวสสันดรมิได้คิดเสียดายเลย เพราะเหตุแห่งพระโพธิญาณเท่าน้ัน ไม่ใช่ว่าพระองค์เกลียดชังลูกท้ังสอง ไม่ใช่ว่าพระองค์ไม่รักพระนางเจ้ามัทรี จงึ ใหเ้ ปน็ ทาน แตเ่ พราะพระองคร์ กั พระสพั พญั ญตุ ญาณยง่ิ กวา่ จงึ ไดใ้ หบ้ ตุ ร ธดิ า และพระชายาผเู้ ปน็ ท่ีรักเป็นทานเพอ่ื พระโพธิญาณ พร ๘ ประการ ท้าวสักกเทวราชทราบอัธยาศัยอันประณีตของกษัตริย์ท้ังสองพระองค์ จึงชมเชยว่า “พระองค์ทั้งสอง ชนะข้าศึกทั้งมวล ทั้งที่เป็นของทิพย์ และของมนุษย์ได้แล้ว ปฐพีบันลือล่ันส่งเสียงสาธุการกึกก้องไปถึง สวรรค์ สายฟา้ กแ็ ปลบปลาบไปโดยรอบ เกดิ เสยี งโกลาหลประหนง่ึ เสยี ง ภูเขาถล่มทลาย หมู่เทพทั้งพระอินทร์ พระพรหม พระปชาบดี พระจนั ทร์ พระยม และทา้ วเวสสวุ ณั มหาราชตา่ งอนโุ มทนาวา่ พระองค์ ทำ�สิ่งท่ีทำ�ได้ยากย่ิง ธรรมของสัตบุรุษเป็นสิ่งที่อสัตบุรุษทำ�ได้ยาก ภพภูมิที่ไปจากโลกนี้ของสัตบุรุษและอสัตบุรุษแตกต่างกัน อสัตบุรุษ ทั้งหลายย่อมไปสู่นรก ส่วนสัตบุรุษท้ังหลายย่อมไปสู่สวรรค์ การท่ี พระองค์เสด็จประทับแรมอยู่กลางป่า ได้ให้พระโอรสและพระมเหสี เป็นทานนี้ จะทำ�ให้พระองค์สัมฤทธิ์ในสิง่ ทปี่ รารถนา” ท้าวสักกเทวราชดำ�ริว่าไม่ควรจะชักช้า ควรถวายพระนางมัทรีคืน พระเวสสนั ดร จงึ ตรสั วา่ “ขา้ พระองคข์ อถวายพระนางมทั รคี นื แดพ่ ระองค์ เพราะพระองค์ท้ังสองมีฉันทะ อัธยาศัยเสมอกัน พระองค์ท้ังสอง เป็นกษัตริย์ สมบูรณ์โดยสายโลหิต ทั้งฝ่ายพระมารดาและพระบิดา ถูกเนรเทศให้มาอยู่อาศรมในราวไพรนี้ ขอจงบำ�เพ็ญบุญกุศล ตามสมควรเถิด” แล้วบอกว่า พระองค์เป็นพระอินทร์ ขอให้เลือกรับพร ๘ ประการ

ท ศ ช า ติ 593 พ ร ะ เ ว ส สั น ด ร ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง คร้ันท้าวสักกะจอมเทพตรัสอยู่อย่างนี้แล้วก็รุ่งเรืองเปล่งปล่ังด้วย รา่ งทิพยส์ ถิตอย่ใู นอากาศ พระเวสสนั ดรตรสั วา่ “ขา้ แตท่ า้ วสกั กะ ถา้ พระองคจ์ ะประทานพร ขอพระชนกทรงยินดีรับหม่อมฉันกลับจากป่าสู่พระราชนิเวศน์ ครอง ราชสมบตั ติ ามเดิม น้ีเปน็ พรข้อท่ี ๑ หมอ่ มฉนั ไมช่ อบการฆา่ คน แมม้ นี กั โทษท�ำ ผดิ รา้ ยแรง ขอให้ สามารถช่วยเขารอดพน้ จากโทษประหารชวี ติ น้เี ปน็ พรขอ้ ที่ ๒ คนทอี่ ยใู่ นวยั แก่ คนหนมุ่ และคนกลางคนเหล่าน้ันพึงอาศยั หม่อมฉนั เลยี้ งชพี ขอ้ น้ีเป็นพรข้อที่ ๓ หม่อมฉันไม่พึงล่วงเกินภรรยาคนอ่ืน พอใจแต่ในภรรยา ของตน อย่าตกอยใู่ นอ�ำ นาจสตรี นี้เป็นพรข้อที่ ๔ ขอให้บุตรของหม่อมฉันท่ีพลัดพรากไปน้ันมีอายุยืนจนได้ ครองราชสมบตั ิ ขอให้เขาครองแผ่นดนิ โดยธรรม นี้เปน็ พรข้อที่ ๕ ขอใหห้ าอาหารได้โดยไม่ล�ำ บากทกุ วนั น้ีเปน็ พรขอ้ ท่ี ๖ เมื่อหม่อมฉันบริจาคทาน ทรัพย์สมบัติ อย่าได้หมดสิ้นไป แมบ้ รจิ าคแลว้ กอ็ ยา่ ไดเ้ ดอื ดรอ้ นในภายหลงั ขณะก�ำ ลงั บรจิ าคกข็ อให้ จติ ใจผอ่ งใส นเ้ี ปน็ พรขอ้ ที่ ๗ เมื่อหม่อมฉันตายแล้วขอให้ไปเกิดในสวรรค์ช้ันดุสิต จุติจาก สวรรค์ชั้นดุสิตมาเกิดเป็นมนุษย์อีกคร้ัง ขออย่าได้เกิดอีก น้ีเป็นพร ขอ้ ที่ ๘ ท้าวสักกะจอมเทพตรัสว่า “ไม่นานนักพระบิดาของพระองค์ จะเสดจ็ มารับพระองค์ ส่วนพระโอรสและพระธดิ าก็อย่าทรงเปน็ ห่วง”

พ ร ะ เ ว ส สั น ด ร 594 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ครั้นท้าวสักกเทวราชประทานโอวาทอย่างนี้แล้วก็เสด็จกลับทิพยสถานของ พระองค์ พระมหากษัตริยาธิราชเจ้า พราหมณ์ชูชกพาพระชาลีและพระกัณหาชินาทั้งสองพระองค์ เดินทางไกลถึง ๖๐ โยชน์ เหล่าเทพยดาได้อารักขาพระกุมารท้ังสองพระองค์ ตลอดเสน้ ทาง ในระหว่างการเดินทางเม่ือดวงอาทิตย์อัสดงคต ชูชกก็ผูกพระกุมาร ท้ังสองไว้ท่ีกอไม้ให้บรรทมที่พื้นดิน ตนเองข้ึนต้นไม้นอนท่ีหว่างคาคบก่ิงไม้ เพราะกลวั สตั วร์ ้าย ในขณะนั้นมีเทพบุตรองค์หน่ึงแปลงเป็นพระเวสสันดร และเทพธิดา องค์หนึ่งแปลงเป็นพระนางมัทรี มาแก้มัดพระกุมารทั้งสองออก นวดพระหัตถ์ และพระบาท ใหส้ รงน�ำ้ แตง่ ตวั แลว้ ใหเ้ สวยอาหารทพิ ย์ ใหบ้ รรทมบนทน่ี อนทพิ ย์ พออรุณขึน้ กเ็ อาเคร่ืองพันธนาการผกู ไวต้ ามเดมิ แล้วอนั ตรธานหายไป พระราชกุมารท้ังสองพระองค์มิได้เจ็บป่วยแต่อย่างไร เสด็จไปด้วย การอนุเคราะหข์ องเทวดาอยา่ งนี้ คร้ันสว่างแล้วชูชกลงจากต้นไม้พาพระกุมารท้ังสองเดินทางต่อไป มุ่งหน้าสู่กาลิงครัฐจนมาถึงทางสองแพร่ง ทางหน่ึงไปกาลิงครัฐ อีกทางหน่ึงไป กรุงเชตุดร เทวดาดลใจให้ชูชกเห็นทางไปกรุงเชตุดร เป็นทางไปกาลิงครัฐ ชูชกจึงนำ�สองกุมารเลือกเดินทางมุ่งหน้าไปกรุงเชตุดรด้วยเข้าใจว่าเป็นทางไป แคว้นกาลิงครฐั ลดั เลาะไปตามเชิงภูผาท่ีเดินไปได้ยากจนลเุ ขา้ เขตกรงุ เชตดุ ร ใกล้รุ่งวันนั้นพระเจ้าสญชัยฝันว่า พระองค์ประทับนั่งใน ทอ้ งพระโรง ขณะนนั้ มชี ายคนหนงึ่ ผวิ ด�ำ หนา้ ตาเหยี้ มเกรยี ม น�ำ ดอกบวั

ท ศ ช า ติ 595 พ ร ะ เ ว ส สั น ด ร ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง สองดอกมาวางไวใ้ นพระหตั ถ์ พระองคร์ บั ดอกบวั ทง้ั สองดอกไวป้ ระดบั ท่ีพระกรรณทั้งสองข้าง ละอองเกสรดอกปทุมสองดอกร่วงลงบนอก ของพระองค์ พระเจา้ สญชยั ตน่ื บรรทมทรงครนุ่ คดิ ถงึ ความฝนั จงึ ตรสั เรยี กพราหมณ์ มาทำ�นาย พวกพราหมณ์ทูลพยากรณ์ว่า “พระประยูรญาติผู้เป็นที่รักยิ่ง ของพระองคท์ จี่ ากไปนานจะกลบั มา” พระเจา้ สญชยั สดบั ค�ำ พยากรณน์ นั้ แลว้ ทรงยินดีเป็นอย่างย่ิง ทรงสนานพระเศียรแล้วเสวยพระกระยาหารต้ังแต่เช้า ตกแต่งพระองค์ด้วยเครื่องประดับทุกอย่าง ประทับน่ังในท้องพระโรง เทวดา ดลใจใหพ้ ราหมณ์ชชู กนำ�พระกมุ ารมายืนอยู่ที่ทอ้ งสนามหลวง ขณะนั้นพระเจ้าสญชัยคอยทอดพระเนตรดูหนทางที่มาสู่ท้อง สนามหลวงอยู่ตลอดเวลา ทรงมีใจจดจ่ออยู่ว่าจะมีใครมา ทรงเห็นพระกุมาร ทั้งสองพระองค์แต่ไกล จึงตรัสถามข้าราชบริพารว่า “นั่นใครกัน หน้าตา งดงามยิง่ นัก คนหนึง่ คล้ายชาลี คนหนึง่ คล้ายกณั หา หลานเรา” ทรงรบั สง่ั อ�ำ มาตยค์ นหนง่ึ ใหไ้ ปน�ำ พราหมณก์ บั เดก็ ทงั้ สองมา อ�ำ มาตย์ คนนั้นไปนำ�พราหมณ์กับเด็กทั้งสองมาเบื้องพระพักตร์ พระเจ้าสญชัย ทอดพระเนตรเห็นหลานถูกพราหมณ์ผูกมือจูงมาก็เศร้าโศกย่ิง จึงตรัสถาม พราหมณ์ชูชกว่า “พราหมณ์ ท่านนำ�เด็กท้ังสองคนนี้มาจากไหน วันนี้ จงึ ไดม้ าถึงเมอื งของเรา แล้วทา่ นจะไปไหนต่อ” ชชู กกราบทลู วา่ “พระเวสสนั ดรพระราชทานพระราชโอรสทง้ั สอง ให้ข้าพระบาท นับแต่ข้าพระบาทได้พระราชกุมาร พระราชกุมารีมา นับได้ ๑๕ ราตรีเขา้ วนั น”ี้ พระเจ้าสญชัยตรัสว่า “ไหนท่านพราหมณ์ลองว่าไป ท่านพูด อย่างไรพระเวสสันดรจึงประทานลูกให้ท่าน จะเช่ือได้อย่างไรว่าท่าน ไดม้ าโดยชอบ ใครบา้ งจะใหล้ ูกในไสเ้ ปน็ ทานได้”

พ ร ะ เ ว ส สั น ด ร 596 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ชูชกกราบทูลว่า “พระเวสสันดรเป็นท่ีพ่ึงของเหล่าคนยาก ดง่ั ธรณเี ปน็ ทพี่ งึ่ อาศยั ของหมสู่ ตั ว์ และดจุ ดง่ั สาครเปน็ ทร่ี วมแหง่ แมน่ �้ำ ทุกสาย เม่ือพระเวสสันดรเสด็จประทับแรมอยู่ในป่าใหญ่ พระองค์ ไดพ้ ระราชทานพระโอรสและพระธิดาให้ขา้ พระบาท” ขณะน้ันพวกอำ�มาตย์และข้าราชบริพารต่างติเตียนพระเวสสันดร กันข้ึน อ้ืออึงว่า “พระเวสสันดรทำ�ลงไปได้อย่างไร เม่ือคร้ังยังครอง ฆราวาส พระองค์มีพระราชศรัทธาบริจาคทานมากมาย จึงถูกขับไล่ จากราชอาณาจกั รใหไ้ ปอยใู่ นปา่ กลบั ใหท้ านลกู ในไสเ้ สยี อกี ดเู อาเถดิ หากพระองคพ์ ระราชทานทาส ทาสี ม้า แม่ม้าอสั ดร รถ ชา้ ง และ แก้วแหวนเงินทองก็ยังไม่สู้กะไร แต่นี่พระองค์พระราชทานพระโอรส พระธดิ า พระองค์ทำ�ลงไปไดอ้ ยา่ งไร” พระชาลีราชกุมารทรงอดทนเห็นเหล่าอำ�มาตย์ตำ�หนิติเตียนพระชนก ไม่ได้จึงพูดปกป้องพระบิดาว่า “ทาส ทาสี ม้า แม่ม้าอัสดร รถ ช้าง กญุ ชร และแกว้ แหวนเงนิ ทองในอาศรมของพระบิดาไมม่ ี ถา้ พระบดิ า ไมใ่ ห้ลูกแลว้ จะให้อะไร” พระเจ้าสญชัยสดับคำ�องอาจฉาดฉานของหลานเช่นนั้น จึงตรัสว่า “หลานรกั พวกเราสรรเสรญิ ทานของบดิ าหลานดอก ไมไ่ ดต้ เิ ตยี นเลย บิดาหลานให้หลานทั้งสองแก่คนขอทาน หฤทัยของบิดาหลาน เป็นอย่างไรบ้าง” พระชาลรี าชกุมารกราบทลู ว่า “พระอยั กา พระบิดาพระราชทาน หม่อมฉันท้ังสองให้คนขอทานแล้ว ทรงฟังคำ�พูดที่น่าสงสารของ น้องหญิงกัณหา พระองค์ทรงเป็นทุกข์ทรมานใจยิ่งนัก ทรงกรรแสง พระเนตรแดงกำ่� น้ำ�ตาไหลนองหน้า น้องหญิงกัณหากราบทูล พระบดิ าว่า ข้าแตพ่ ระบิดา พราหมณ์นเ้ี อาไมเ้ ทา้ ตีหมอ่ มฉัน เหมือน

ท ศ ช า ติ 597 พ ร ะ เ ว ส สั น ด ร ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ตีทาสีผู้เกิดในเรือน ไหนคนเขาบอกว่าพวกพราหมณ์มีธรรม แต่ ตาพราหมณน์ ้ี ท�ำ ไมไมเ่ หน็ เปน็ เชน่ นนั้ แกเปน็ ยกั ษแ์ ปลงเปน็ พราหมณ์ มาขอหม่อมฉนั ท้งั สองไปกนิ แน่ ๆ หม่อมฉนั ถกู ปศี าจนำ�ไป เสดจ็ พ่อ ทอดพระเนตรเห็นไหม” พระเจ้าสญชัยสดับเช่นน้ันทรงสงสารหลานเหลือประมาณ ไม่อาจ กล้ันความเศร้าโศกไว้ได้ก็ทรงกรรแสง ทรงทอดพระเนตรเห็นหลานทั้งสอง ยังยนื อยู่กบั พราหมณช์ ูชก ไมเ่ ขา้ มาหาพูดจาฉอเลาะเหมอื นเมื่อก่อน จงึ ตรสั วา่ “แม่ของหลานก็เป็นพระราชบุตรี พ่อก็เป็นพระราชโอรส เมื่อก่อน หลานทั้งสองเคยข้ึนน่ังบนตักปู่ คลอเคลียอยู่ข้างกาย เด๋ียวนี้ทำ�ไม ยืนอยู่หา่ งไกล เขา้ มาหาเถดิ หลานรกั ” พระชาลรี าชกมุ ารนอ้ ยพระทยั จงึ กราบทลู วา่ “พระชนนขี องหมอ่ มฉนั เป็นพระราชบุตรี ส่วนพระชนกก็เป็นพระราชบุตร นั่นก็เป็นส่วนของ พระบิดาและพระมารดา แต่หม่อมฉันทั้งสองเป็นทาสของพราหมณ์ หม่อมฉนั ท้ังสองจึงต้องยืนอยไู่ กลตามฐานะของทาส” พระเจ้าสญชัยสดับเช่นน้ันเหมือนหัวใจจะแตก ตรัสว่า “หลานอย่า ไดพ้ ดู อย่างน้เี ลย ยงิ่ ทำ�ให้ปู่เปน็ ทกุ ข์ หัวใจปเู่ ร่ารอ้ น กายก็เหมือนถกู ยกขึ้นไว้บนกองไฟ หลานรู้ไหมนับจากวันท่ีพวกเจ้าจากไป ปู่ไม่เคย มีความสุขในราชบัลลังก์เลย ย่ิงหลานรักพูดอย่างน้ีย่ิงทำ�ให้เป็นทุกข์ ปู่จะเอาทรัพย์ไถ่หลานมา หลานจะได้ไม่ต้องเป็นทาส พ่อของหลาน ให้หลานทั้งสองแก่พราหมณ์ ตีราคาไว้เท่าไร พนักงานจะได้ให้ พราหมณ์รับทรพั ย์ไป” พระชาลีราชกุมารกราบทูลว่า “พระอัยกา พระบิดาตีราคา หม่อมฉัน ๑,๐๐๐ ตำ�ลึงทองคำ� ส่วนน้องหญิงกัณหาตีราคาด้วยช้าง เป็นต้น อย่างละ ๑๐๐” พระเจ้าสญชัยรับส่ังให้อำ�มาตย์ไปนำ�ทรัพย์ตาม ก�ำ หนดมาไถห่ ลาน

พ ร ะ เ ว ส สั น ด ร 598 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง พระเจา้ สญชยั ไดพ้ ระราชทานสงิ่ ทง้ั ปวงอยา่ งละรอ้ ย และทองค�ำ ๑,๐๐๐ ตำ�ลึง และพระราชทานปราสาท ๗ ช้ันแก่พราหมณ์เฒ่าชูชกเป็นค่าไถ่หลาน ตั้งแต่น้นั ชชู กกม็ ีบริวารมาก แกรวบรวมทรัพย์น�ำ ข้นึ ปราสาท นั่งบนบลั ลังกใ์ หญ่ กินอาหารอยา่ งดี นอนบนทนี่ อนใหญ่ พระเจ้าสญชัยให้พระชาลีและพระกัณหาชินาสรงสนานแล้วให้เสวย โภชนาหาร ทรงประดับหลาน จุมพิตพระเศียร แล้วให้พระชาลีประทับน่ัง บนพระเพลา ส่วนพระกัณหาชินาประทับน่ังบนพระเพลาของพระนางเจ้าผุสดี ตรัสถามถึงความเปน็ อยขู่ องพระเวสสนั ดรกบั พระนางเจ้ามทั รี พระชาลีราชกุมารกราบทูลปู่ว่า “พระบิดาและพระมารดาไม่มี โรคภัยไข้เจบ็ แตอ่ ย่างไร เลย้ี งชวี ติ ดว้ ยผลไมซ้ ่ึงอดุ มสมบูรณ์ เหลอื บ ยุงและสัตว์เลื้อยคลานมีบ้างแต่ก็เล็กน้อย แม้จะมีสัตว์ร้ายชุมแต่ก็ ไมไ่ ดม้ าท�ำ อันตรายแต่อยา่ งไร เสดจ็ แมเ่ ปน็ สขุ มุ าลชาตแิ ตก่ ต็ อ้ งไปขดุ มนั หวั ออ่ น มนั มอื เสอื มนั นก และเกบ็ ผลไมใ้ นปา่ มาเลย้ี งพวกเราจนซบู ผอม ผวิ กายหยาบกรา้ น เพราะลมและแดด เมื่อเสด็จแม่เท่ียวอยู่ในป่าใหญ่ซึ่งเกล่ือนกล่น ไปด้วยสัตว์ร้ายทั้งแรดและเสือเหลือง พระเกศาก็ยุ่งเหยิง พระองค์ เกล้าชฎาบนพระเกศา เหงื่อไหลเปรอะเปอื้ นชฎา ทรงหนงั เสือเหลือง เปน็ พระภษู า ทรงบรรทมเหนือแผน่ ดิน และบชู าไฟ” คร้ันพระชาลีกราบทูลถึงความท่ีพระชนนีประสบความทุกข์ยาก อย่างนี้แล้วจึงทูลเสด็จปู่ว่า “ตามปกติหลานเคยได้ยินมาว่า คนเป็นพ่อ เป็นแม่ในโลกน้ีต่างก็รักลูก เสด็จปู่เห็นจะไม่รักลูกเป็นแน่จึงปล่อยให้ ลูกไปทกุ ข์ยากอยูก่ ลางปา่ ” พระเจ้าสญชัยฟังคำ�ฉอเลาะไร้เดียงสาของหลานทรงสะเทือนใจ อยา่ งมาก ตรสั วา่ “หลานรกั การทปี่ ขู่ บั ไลบ่ ดิ าของหลานซงึ่ ไมม่ คี วามผดิ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook