ท ศ ช า ติ 499 พ ร ะ วิ ธู ร บั ณ ฑิ ต ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง แลว้ ออกจากห้อง ข้นึ นัง่ บลั ลงั ก์สอนลกู ๆ ว่า “พระราชาพระราชทานพ่อให้มาณพคนหนึ่ง พ่อจะอยู่กับ ลกู ๆ ไดเ้ พยี ง ๓ วนั จากนนั้ พอ่ กต็ อ้ งตกไปอยใู่ นอ�ำ นาจของมาณพนน้ั เขาจะพาพ่อไปท่ีไหนก็ยังไม่รู้ วันนี้พ่อมาสั่งสอนลูก พ่อยังไม่ได้ทำ� เคร่อื งป้องกันให้ลกู ๆ ก็ยังไปไม่ได้ จงจ�ำ คำ�พอ่ ใหด้ ี ถ้าพระราชาทรงต้องการกัลยาณมิตร พระองค์จะตรัสถาม ลูก ๆ ว่า เม่ือก่อนพ่อของพวกเจ้าสอนอะไรไว้บ้าง ถ้ารับสั่งให้ลูก นั่งอาสนะเสมอพระองค์ ให้รู้ว่าในหมู่มนุษย์ไม่มีใครมีชาติตระกูล เสมอด้วยพระมหากษัตริย์ ให้ลูกถวายบังคมกราบทูลอย่างน้ีว่า “ข้าแตพ่ ระองคผ์ ปู้ ระเสรฐิ พระองค์อย่าไดร้ บั สั่งอย่างนั้นเลย เพราะ ขอ้ นม้ี ใิ ชธ่ รรมเนยี มทถ่ี อื กนั มาแตโ่ บราณ ขอเดชะ พระอาญามพิ น้ เกลา้ ข้าพระองค์มีชาติตำ่�ต้อย หาควรนั่งอาสนะเสมอพระองค์ผู้สูงศักด์ิไม่ เหมือนสุนัขจิ้งจอกมีชาติตำ่�ต้อย จะนั่งเสมอพญาไกรสรราชสีห์ อยา่ งไรได้ พระเจา้ ข้า” พวกบุตร ธิดา ญาติ และทาสกรรมกรทั้งหมด ได้ยินพระโพธิสัตว์ พูดเช่นนั้น ต่างพากันร้องไห้ พิไรรำ�พันไปตาม ๆ กัน พระโพธิสัตว์ตักเตือน ชนเหล่านัน้ ให้มีสติ รสู้ ึกตัว คลายความโศกาดรู ธรรมะส�ำ หรบั ข้าราชการ คร้ันเห็นบตุ ร ธิดา ญาตมิ ติ ร และเพอื่ นสนทิ สงบสตอิ ารมณ์ได้แลว้ นง่ิ เงยี บกนั อยู่ พระโพธสิ ตั วม์ คี วามด�ำ รแิ หง่ ใจ ไมห่ ดหู่ กลา่ วตอ่ ไปวา่ “ลกู อยา่ วิตก อย่าเศร้าโศก อย่าร่ำ�ไรรำ�พันไปเลย สังขารไม่เท่ียง ไม่ย่ังยืน มคี วามแปรปรวนไปเปน็ ธรรมดา แม้ “ยศ” ยอ่ มเสอ่ื มไปเปน็ ธรรมดา มานง่ั กันตรงน้ี พอ่ จะแสดง “ราชวสดีธรรม” คอื หลักปฏิบัติส�ำ หรับ
พ ร ะ วิ ธู ร บั ณ ฑิ ต 500 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ขา้ ราชการใหล้ กู ฟงั อนั จะเป็นเหตุใหล้ กู ไดร้ บั ยศ จงต้ังใจฟงั ใหด้ ี ข้าราชการประจำ�ราชสำ�นักนั้น เม่ือพระเจ้าอยู่หัวยังไม่ทรง ทราบความสามารถ กย็ งั ไมพ่ ระราชทานต�ำ แหนง่ ทสี่ �ำ คญั ใหร้ บั ผดิ ชอบ (๑) เปน็ ข้าราชการ อย่ากล้าเกนิ ไป อย่าขลาดจนทำ�ใหเ้ สยี ข้อราชการ ท้ังอย่าประมาทในราชกิจ อย่าเห็นว่าตำ�แหน่งท่ีได้รับ เปน็ ต�ำ แหนง่ เลก็ นอ้ ย ตอ้ งถอื วา่ เปน็ เรอ่ื งส�ำ คญั ทกุ เรอ่ื ง คอยระมดั ระวงั อยเู่ สมอ (๒) เม่ือใดก็ตามท่ีพระเจ้าอยู่หัวทรงทราบว่า ข้าราชการ ผู้นั้นเป็นคนดี มีความรู้ มีความสามารถ และมีความซื่อสัตย์สุจริต พระองค์ย่อมทรงวางพระราชหฤทัยให้ดำ�รงตำ�แหน่งท่ีสำ�คัญและจะ ไม่ทรงมคี วามลบั (๓) เปน็ ขา้ ราชการ เมอื่ พระเจา้ อยหู่ วั ยงั มไิ ดต้ รสั ใชก้ ไ็ มค่ วร หว่ันไหว น้อยเน้ือตำ่�ใจ ตกอยู่ภายใต้อำ�นาจแห่งอคติ พึงตั้งใจ สนองงานในราชกจิ ตามหนา้ ทเ่ี สมอตน้ เสมอปลาย เทย่ี งตรง เหมอื นคน ประคองตาช่ัง (๔) เป็นขา้ ราชการ ตอ้ งหมน่ั เรยี นรูใ้ นราชกจิ ใหเ้ ขา้ ใจอยา่ ง ถ่องแท้ ต้องปฏิบัติราชกิจทุกอย่างเสมอต้นเสมอปลาย เท่ียงตรง เหมือนคนประคองตาชงั่ (๕) เป็นข้าราชการ พึงเป็นผู้ฉลาดในราชกิจ แม้ถูกตรัสใช้ ไม่ว่าจะเปน็ กลางวนั หรือกลางคืนกไ็ มพ่ ึงหวาดหว่นั ในราชกจิ นั้น ๆ (๖) ลาดพระบาทที่เขาปูไว้สำ�หรับเสด็จพระราชดำ�เนิน แมพ้ ระเจา้ อยหู่ วั จะทรงอนญุ าต ขา้ ราชการกไ็ มค่ วรเดนิ บนลาดพระบาท น้ัน
ท ศ ช า ติ 501 พ ร ะ วิ ธู ร บั ณ ฑิ ต ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง (๗) เปน็ ขา้ ราชการ ขา้ วของเครอื่ งใชใ้ ดกต็ ามทพี่ ระเจา้ อยหู่ วั ทรงใช้ อยา่ พงึ ใชท้ ดั เทียมกับพระองคเ์ ปน็ อนั ขาด ต้องใช้ของที่มีราคา ดอ้ ยกว่าเสมอ (๘) เปน็ ขา้ ราชการ ไมพ่ งึ ใชส้ อยเสอื้ ผา้ เครอ่ื งประดบั มาลา เครอ่ื งลบู ไลท้ ดั เทยี มกบั พระราชา ตลอดจนไมพ่ งึ แสดงอากปั กริ ยิ า หรอื พูดจาตามแบบอย่างพระองค์ พึงแสดงอากปั กิรยิ าท่ีแตกตา่ งออกไป (๙) เม่ือพระเจ้าอยู่หัวทรงส�ำ ราญอยู่ท่ามกลางหมู่อำ�มาตย์ มนี างสนมก�ำ นลั เฝา้ แหนอยู่ พงึ เปน็ ผฉู้ ลาด อยา่ แสดงอาการทอดสนทิ กบั นางสนมก�ำ นัลใน (๑๐) เปน็ ขา้ ราชการ อยา่ คดิ ฟงุ้ ซา่ น คะนองกาย คะนองปาก ให้เสียมารยาท พึงเป็นผู้มีปัญญา รักษาตน ต้องสำ�รวมระวัง จิตใจ ตอ้ งมัน่ คง (๑๑) เป็นข้าราชการ ไม่พึงเล่นหัว หยอกล้อ ไม่พึงเจรจา ปราศรัยในทล่ี บั กบั นางสนมกำ�นลั ใน อย่าพงึ ฉ้อโกงชาติบ้านเมอื ง (๑๒) เปน็ ขา้ ราชการ อยา่ เหน็ แกน่ อน อยา่ ดม่ื สรุ าจนเมามาย จนเป็นเหตุให้เสียราชกิจ อย่าฆ่าสัตว์ในสถานท่ีพระราชทานอภัย อันเป็นการฝ่าฝนื พระราชอ�ำ นาจ (๑๓) เป็นข้าราชการ อย่าน่ังร่วมพระแท่นที่ประทับ อันเป็น พระราชอาสน์ ทง้ั ในเรือ ในรถ อยา่ ทะนงตนว่าเป็นคนโปรดปราน (๑๔) เปน็ ขา้ ราชการ ตอ้ งใชไ้ หวพรบิ พจิ ารณาใหด้ ี ขณะถวาย การรับใช้ไม่ควรเข้าเฝ้าให้ใกล้นัก ไม่ควรอยู่ห่างไกลนัก ควรยืน หรือนั่งเฝ้า พอให้พระองค์ทอดพระเนตรเห็นถนัด พอจะได้ยิน พระราชด�ำ รสั ทต่ี รัสใช้
พ ร ะ วิ ธู ร บั ณ ฑิ ต 502 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง (๑๕) เปน็ ขา้ ราชการ อยา่ ชะลา่ ใจวา่ พระเจา้ อยหู่ วั เปน็ เพอื่ นเรา พระเจ้าอยู่หัวเป็นคู่หูกันกับเรา ต้องคอยระมัดระวังตัวอยู่เสมอ เหมอื นคนระวังละอองขา้ วเปลือกปลิวเข้าตางา่ ย (๑๖) เป็นข้าราชการ อย่าชะล่าใจว่าตนเป็นนักปราชญ์ ราชบัณฑิตท่ีทรงยกย่องเชิดชู แล้วกล่าววาจาหยาบคายจ้วงจาบ เพ็ดทูลขณะพระองคป์ ระทบั อย่ทู ่ามกลางเสนาพฤฒามาตย์ (๑๗) เปน็ ขา้ ราชการ แมจ้ ะไดร้ บั อนญุ าตใหเ้ ขา้ นอกออกในได้ เป็นพิเศษ กไ็ ม่พงึ ย่ามใจ พึงระมดั ระวงั ตนเองไวเ้ หมอื นคนระวังไฟ (๑๘) เมอ่ื พระเจา้ อยหู่ วั จะทรงพระราชทานยกยอ่ งพระราชโอรส หรือพระราชวงศ์ด้วยตำ�แหน่งใด ๆ อย่าด่วนเพ็ดทูลคุณหรือโทษ จงน่งิ ดใู ห้ดีก่อน (๑๙) เมอื่ พระเจา้ อยหู่ วั จะทรงพระราชทานปนู บ�ำ เหนจ็ รางวลั ตามความดีความชอบในราชการแก่ผู้ใด อย่าทูลทัดทานตัดลาภเขา ผนู้ นั้ (๒๐) เป็นข้าราชการ ผู้เป็นปราชญ์ พึงโอนอ่อนไปดุจคันธนู น้อมเขา้ หากนั และพงึ ไหวไปตามเหมือนไผล่ ่ตู ามลม อย่าทูลทัดทาน ใหเ้ สียราชการ (๒๑) เปน็ ขา้ ราชการ อยา่ เหน็ แกก่ นิ ตอ้ งเปน็ คนมที อ้ งบางดจุ คันธนู ไม่ควรพูดมาก ให้ทำ�ตัวเหมือนปลาไม่มีล้ิน พึงเป็นผู้อยู่ง่าย กนิ งา่ ย แตอ่ งอาจแกล้วกล้า มปี ญั ญารักษาตน (๒๒) เปน็ ข้าราชการ อยา่ เท่ียวผหู้ ญิงมากเกินไป จะเปน็ เหตุ ใหห้ มดราศี จติ ใจไมผ่ อ่ งใส ท�ำ ใหเ้ กดิ โรครา้ ย เกดิ ความกระวนกระวาย ไมก่ ระปรก้ี ระเปรา่ หมดกำ�ลัง
ท ศ ช า ติ 503 พ ร ะ วิ ธู ร บั ณ ฑิ ต ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง (๒๓) เปน็ ข้าราชการ ควรประหยัดปาก ประหยดั คำ� ไมค่ วร พดู มากจนพร่ำ�เพรอื่ บ้านำ้�ลาย และไมค่ วรนงิ่ จนซอื่ บอ้ื เหมอื นคนใบ้ เม่อื ถงึ คราวพดู ก็ตอ้ งพดู พอประมาณ (๒๔) เป็นข้าราชการ ต้องอดทน อย่าฉุนเฉียวโกรธง่าย อยา่ พดู กระทบกระเทยี บ เปรยี บเปรย แดกดนั ใหร้ �ำ คาญห ู ตอ้ งเปน็ คน พูดจริง มีวาจาออ่ นโยน นา่ คบหาเปน็ เพื่อน อยา่ พูดสอ่ เสยี ด เพอ้ เจอ้ เหลวไหล ไร้สาระ (๒๕) เปน็ ขา้ ราชการ ตอ้ งเลย้ี งดบู ดิ ามารดา มคี วามออ่ นนอ้ ม ถ่อมตนตอ่ ญาตผิ ใู้ หญ่ในตระกูล เปน็ คนออ่ นโยน พดู วาจาไพเราะ (๒๖) เป็นข้าราชการ พึงเป็นคนมีมารยาทงาม มีศิลปะ หมนั่ ฝกึ ฝนตนเองอยเู่ สมอ มงุ่ ท�ำ ประโยชน์ มคี วามหนกั แนน่ ไมห่ วน่ั ไหว ทั้งคราวโชคหรือคราวเคราะห์ มีอัธยาศัยอ่อนโยน ไม่เย่อหยิ่ง ไมป่ ระมาทในราชกิจ มีเนื้อตวั สะอาดสะอา้ น เปน็ คนขยันเอางาน (๒๗) เป็นข้าราชการ ควรอ่อนน้อมถ่อมตน เคารพยำ�เกรง ผู้ใหญ่ สงบเสง่ียมเจียมตวั รา่ เรงิ แจ่มใส ทำ�งานกบั เพือ่ นไดด้ ี (๒๘) เปน็ ข้าราชการ หากไมไ่ ด้รบั มอบหมาย อยา่ ขวนขวาย เข้าไปเกี่ยวข้องกับผู้ที่มาราชการลับ พึงเอาใจใส่แต่เรื่องท่ีเกี่ยวกับ เจา้ นายของตนเท่าน้นั (๒๙) เปน็ ข้าราชการ ควรคบหาสมณะและพราหมณ์ ผู้มศี ลี เปน็ พหสู ตู โดยเคารพ (๓๐) เปน็ ข้าราชการ เมือ่ คบกับสมณะและพราหมณ์ ผู้มีศีล เป็นพหสู ตู แลว้ พึงสมาทานรักษาอโุ บสถศลี โดยเคารพ
พ ร ะ วิ ธู ร บั ณ ฑิ ต 504 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง (๓๑) เป็นข้าราชการ เม่ือหวังความเจริญก้าวหน้า พึงบำ�รุง เลี้ยงสมณะและพราหมณ์ ผู้มีศีลเป็นพหูสูต ด้วยข้าวปลาอาหาร แล้วสอบถามบาปบุญคุณโทษ ประโยชน์และมิใช่ประโยชน์จากท่าน เหล่าน้ัน (๓๒) เป็นข้าราชการ ผู้หวังความเจริญก้าวหน้า พึงเข้าไป สมาคมคบหากบั สมณะและพราหมณ์ ผู้มศี ลี เป็นพหสู ูต มปี ัญญา (๓๓) เป็นข้าราชการ ไมพ่ งึ ยกเลกิ การใหท้ านท่ีพระเจา้ อยู่หัว เคยพระราชทานใหส้ มณะและพราหมณ์ อนงึ่ ในเวลาท่ีพระเจา้ อย่หู วั ก�ำ ลังพระราชทาน ถา้ เห็นวณิพกมาก็ไมพ่ ึงหา้ มปรามอะไร (๓๔) เป็นข้าราชการ พึงมีปญั ญา มคี วามรอบรู้ ฉลาดในวิธี จัดการราชกจิ รูจ้ ักกาลเทศะ (๓๕) เปน็ ขา้ ราชการ พงึ ขยนั หมน่ั เพยี ร ไมป่ ระมาท มคี วามรู้ ในงานทตี่ นรับผิดชอบ ท�ำ งานในหน้าทใี่ หส้ ำ�เรจ็ เรยี บรอ้ ยดว้ ยดี (๓๖) อน่ึง เป็นข้าราชการ ควรไปตรวจตราดูลานข้าวสาลี ปศุสัตว์ และนาอย่างสม่ำ�เสมอ พึงให้เก็บข้าวเปลือกไว้พอประมาณ ให้หุงเล้ยี งคนในเรอื นพอประมาณ (๓๗) เป็นข้าราชการ ไม่ควรตั้งบุตร ธิดา พี่น้อง หรือ เครือญาติผู้ไม่มีศีลธรรมให้ดำ�รงตำ�แหน่งที่สำ�คัญ เพราะว่าเขาเป็น คนพาล คนพาลไม่นับว่าเป็นญาติ เพราะคนพาลรับราชการไม่ได้ มีแต่จะทำ�ลายช่ือเสียงทรัพย์สมบัติให้พินาศ คนเช่นน้ีไม่ควรยกย่อง ให้ดำ�รงตำ�แหน่งท่ีสำ�คัญ แต่ถ้าเขามาหาก็ควรต้อนรับ ให้ข้าวของ เส้อื ผา้ เคร่อื งนุง่ ห่ม และอาหารตามสมควร
ท ศ ช า ติ 505 พ ร ะ วิ ธู ร บั ณ ฑิ ต ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง (๓๘) พึงแต่งต้ังทาส กรรมกร หรือคนรับใช้ที่มีศีลธรรม ขยันหม่นั เพยี ร ใหด้ �ำ รงตำ�แหน่งที่สำ�คัญ (๓๙) เป็นข้าราชการ ต้องมีศีล มีสัตย์ อย่าละโมบโลภมาก อย่าเห็นแกพ่ วกพอ้ งเขา้ ขา้ งคนผดิ อย่าหนา้ ไหวห้ ลังหลอก พึงท�ำ ตาม คำ�สัง่ มุ่งหวงั ประโยชนแ์ ก่เจ้านายตน (๔๐) เปน็ ขา้ ราชการ พงึ เปน็ ผรู้ จู้ กั พระราชอธั ยาศยั และปฏบิ ตั ิ ตามพระราชประสงค์ อยา่ ขดั พระราชประสงค์ (๔๑) เป็นขา้ ราชการ เวลาขดั สพี ระวรกายและชว่ ยสรงสนาน พึงก้มศีรษะ ล้างพระบาท แมถ้ ูกกรว้ิ กอ็ ยา่ แสดงอาการโกรธ (๔๒) คนผหู้ วงั ความเจรญิ ยงั ยอมไหวห้ มอ้ น�ำ้ และท�ำ ประทกั ษณิ นกแอ่นลมได้ ก็แล้วไฉนจะไม่ยอมนอบนอ้ มพระเจา้ อยู่หวั ผทู้ รงเปน็ นกั ปราชญผ์ ู้สงู สดุ สามารถพระราชทานสมบัตไิ ดท้ กุ อย่าง (๔๓) พระเจ้าอยู่หัวพระราชทานที่นอน ผ้านุ่ง ผ้าห่ม ยานพาหนะ ท่ีอยู่อาศัย และบ้านเรือน ตลอดจนโภคสมบัติให้ได้ เหมอื นมหาเมฆ ท�ำ ใหน้ �ำ้ ฝนตก เป็นประโยชนแ์ กห่ มูส่ ตั วท์ ว่ั ไป น้ีชื่อว่า “ราชวสดีธรรม” เป็นหลักปฏิบัติสำ�หรับข้าราชการ ในราชส�ำ นกั นรชนผปู้ ระพฤตติ ามยอ่ มท�ำ ใหพ้ ระเจา้ อยหู่ วั โปรดปรานได้ และยอ่ มได้รับการยกยอ่ งจากเจ้านายทั้งหลาย คร้ันวิธูรบัณฑิตแสดงราชวสดีธรรม อันเป็นหน้าท่ีของข้าราชการ ท่ีดี สอนบุตร ภรรยา ญาติมิตรจบลง ก็เป็นวันท่ี ๓ ครบตามที่กำ�หนดไว้ จงึ อาบน�ำ้ แตเ่ ชา้ ตรู่ บรโิ ภคอาหารแลว้ หอ้ มลอ้ มดว้ ยหมญู่ าติ ไปทลู ลาพระราชา และได้กราบทูลฝากบุตรและภรรยาของตนว่า “ขอเดชะ ฝ่าพระบาท ขอพระองค์ทรงพระกรุณาชุบเล้ียงบุตร ภรรยา และญาติมิตรของ
พ ร ะ วิ ธู ร บั ณ ฑิ ต 506 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ขา้ พระองค์ เหมอื นขา้ พระองคย์ งั พง่ึ พระบรมโพธสิ มภาร โดยทห่ี มญู่ าติ ของขา้ พระองคจ์ ะไมเ่ ดอื ดรอ้ นในภายหลงั การทข่ี า้ พระองคต์ อบมาณพวา่ ข้าพระองค์เป็นทาสนั้น เป็นความผิดพลาดของข้าพระองค์ หากจะมี ข้อผิดพลาดส่ิงใด ขอพระองค์ทรงพระราชทานอภัยโทษให้แก่ ข้าพระองค์ด้วยเถดิ ” พระราชาตรัสว่า “ท่านไม่ไปนั่นแหละเราจึงจะพอใจ เราจะ ฆ่ามาณพนั้นปิดปาก หมกไว้ให้มิดชิดเสีย เร่ืองทั้งหมดก็จะจบลง โดยไม่มีใครรู้ ท่านอย่าไปเลย” พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า “ขอฝ่าพระบาท อย่าตรัสเช่นนั้น อยา่ ทรงตงั้ พระราชหฤทยั ไวใ้ นอธรรมเลย ขอจงทรงขวนขวายในอรรถ และธรรมเถิด การทำ�กรรมช่ัวไม่ดี บัณฑิตติเตียนผู้ทำ�กรรมชั่ว จะเกิดในนรกในภายหลัง การทำ�เช่นนี้มิใช่ธรรม ไม่ควรทำ� บัดนี้ ข้าพระองคไ์ ด้ตกเป็นทาสมาณพแล้ว เจา้ นายย่อมมีอำ�นาจเหนือทาส เขาจะทบุ ตี เผา หรอื ฆา่ เสยี กไ็ ด้ ข้าพระองคไ์ ม่โกรธเลย ขา้ พระองค์ กราบทูลลา” ขณะน้ันประชาชนมาชุมนุมกันท่ีท้องสนามหลวง พระโพธิสัตว์ ถวายบงั คมลาพระราชา ประชาชนชาวพระนครตา่ งพดู กนั เซง็ แซว่ า่ “วธิ รู บณั ฑติ ถกู มาณพน�ำ ตัวไปแลว้ พวกเราจะทำ�อย่างไรดี” ฝูงชนอดกลนั้ ความโศก ไวไ้ ม่ได้ ต่างพากันเอามือกุมหนา้ รอ้ งไหส้ ะอกึ สะอ้ืน พระโพธิสัตว์หยุดปราศรัยส่ังสอนชาวพระนครว่า “ญาติมิตรแห่ง ปวงข้าทัง้ หลาย ขอพวกท่านอย่าได้วิตกทกุ ข์รอ้ นไปเลย สังขารท้ังปวง ไม่เท่ียง แม้สรีระก็ไม่ย่ังยืน ยศถาบรรดาศักด์ิอันโลกธรรมสมมติ ย่อมเสื่อมไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจงให้ทาน รักษาศีล อย่าได้ ประมาทในการทำ�บุญกุศล แล้วจะมีความสุขทั้งชาติน้ีและชาติหน้า นค่ี ือสมบตั ิทเี่ ที่ยงแท้และยัง่ ยนื ” จากน้ันจึงกลับเรือนของตน
ท ศ ช า ติ 507 พ ร ะ วิ ธู ร บั ณ ฑิ ต ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ขณะนั้นธรรมบาลกุมารพาน้อง ๆ ออกไปคอยต้อนรับบิดาท่ีประตู หน้าบา้ น พระโพธสิ ตั ว์เหน็ หนา้ ลกู ๆ แมจ้ ะมคี วามหนักแน่นก็กลนั้ น้ำ�ตาไวไ้ มไ่ ด้ ตรงเข้าสวมกอดลูกไวแ้ นบอก รสู้ กึ สบั สนว้าว่นุ ใจ พระโพธิสัตว์น้ันมีบุตร ธิดา ภริยา และข้าทาสบริวาร กรรมกร มติ รสหายเปน็ อนั มาก ตา่ งกอดกันรอ้ งไห้ล้มฟบุ ลงทับกนั พระสนมกำ�นัลฝ่ายใน พระราชกุมาร พราหมณ์ พวกพ่อค้าวาณิช ชาวนา อาณาประชาราษฎร์ ตลอดจนกองทัพกรมกองตา่ ง ๆ ต่างกม็ ายนื รอ้ งไห้ สะอึกสะอ้ืนอยู่ในนิเวศน์ของวิธูรบัณฑิตว่า “เพราะเหตุไร ท่านจึงท้ิง พวกเราไป” พระโพธิสัตว์ปลอบโยนประชาชนให้หายเศร้าโศก บอกเร่ืองที่ควร จะบอกทุกอย่างแก่บุตรและภริยา เสร็จแล้วจึงไปหาปุณณกยักษ์ที่ปราสาท ปุณณกยักษ์กล่าวว่า “ท่านบัณฑิต เรารีบไปกันเถอะ หนทางข้างหน้า ยังไกลนัก อย่าชักช้าอยเู่ ลย จงจับหางมา้ อาชาไนย ไมต่ อ้ งกลวั ” พระโพธิสัตว์กล่าวว่า “เราหาได้กลัวตายไม่ เพราะเราไม่ได้ ทำ�กรรมช่วั อันจะเป็นเหตุใหไ้ ปเกิดในนรกไว”้ พระโพธสิ ตั ว์บันลือสหี นาทอย่างนแี้ ล้ว ไมห่ วาดสะดงุ้ ไมก่ ลัว องอาจ ดังพญาไกรสรราชสีห์ อธิษฐานบารมีอย่างแน่วแน่ว่า “ขออย่าให้ผ้าผืนน้ี หลุดออกจากกาย” แล้วนุ่งผ้าให้กระชับ จับหางม้าด้วยมือทั้งสอง กระหวัด หางม้าไวม้ ่นั แลว้ กล่าววา่ “เชญิ ทา่ นน�ำ เราไปเถิด” ฝา่ มรสมุ ชีวติ ปณุ ณกยกั ษก์ ระตกุ บงั เหยี นใหส้ ญั ญาณมา้ มโนมยั จอมอาชา โจนทะยาน เผน่ โผนพาวธิ รู บณั ฑติ เหาะไปในอากาศเขา้ สเู่ ขากาฬครี อี ยา่ งรวดเรว็ พลางคดิ วา่
พ ร ะ วิ ธู ร บั ณ ฑิ ต 508 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ควรทำ�ให้วิธูรบัณฑิตตายแล้วผ่าเอาหัวใจ ท้ิงศพไว้ในระหว่างภูเขา แล้วจึงไป นาคพภิ พ ปุณณกยักษ์ควบม้าไปในระหว่างทางที่มีต้นไม้และภูเขา เหว่ียง พระโพธิสัตว์ให้กระทบกับต้นไม้และซอกภูเขาหมายให้ตายโดยชอบธรรม ดว้ ยอานภุ าพแหง่ สจั จะพระโพธสิ ตั ว์ ทง้ั ตน้ ไมแ้ ละภเู ขาไดแ้ หวกออกเปน็ ทางหา่ งจาก ร่างพระโพธิสัตว์ข้างละศอก ปุณณกยักษ์เหลียวกลับมามองดูว่าพระโพธิสัตว์ ตายหรือยัง เห็นหน้าตายังผ่องใสรู้ว่ายังไม่ตาย จึงควบม้าไประหว่างต้นไม้ และภเู ขา เหวยี่ งพระโพธสิ ตั วใ์ หก้ ระทบทต่ี น้ ไมแ้ ละซอกภเู ขาอกี ตน้ ไมแ้ ละภเู ขา ก็แหวกออกเช่นเคย เป็นท่ีน่าอัศจรรย์ ถึงอย่างนั้นพระโพธิสัตว์ก็ได้รับความ ลำ�บากอยา่ งยิง่ ปุณณกยักษ์คิดว่าบัณฑิตนี้ยังไม่ตายอีก เราจะทำ�ให้วิธูรบัณฑิต แหลกละเอยี ดกลางพายุ จึงควบมา้ เข้าไปกลางกระแสพายกุ ลา้ เหลียวกลบั มาดู ก็ยังเห็นหน้าตาพระโพธิสัตว์เบิกบานอยู่เหมือนเดิม ยิ่งทำ�ให้ปุณณกยักษ์โมโห จึงควบม้าเข้าไปกลางกระแสพายุกล้า ว่ิงกลับไปกลับมาอีกถึง ๗ รอบ พายุ ไดแ้ หวกออกเปน็ ทางให้พระโพธสิ ตั ว์ ปุณณกยักษ์ควบม้าไป หมายใจให้พระโพธิสัตว์กระทบที่ลมเวรัมภะ แมล้ มเวรมั ภะที่พัดกระหน�ำ่ ส่งเสียงครืน ๆ ดจุ เสียงฟา้ ผา่ ก็แหวกออกเป็นทางให้ พระโพธิสัตว์เช่นกัน เม่ือปุณณกยักษ์เห็นว่าลมเวรัมภะทำ�อันตรายพระโพธิสัตว์ ไมไ่ ด้ ก็ควบม้าไปเขากาฬคีรีบรรพต ในเวลาที่วิธูรบัณฑิตถูกปุณณกยักษ์ในคราบมาณพน้อยพาไปนั้น บุตร ภรรยา และบรวิ ารของวธิ ูรบณั ฑติ ไปทีพ่ กั ปุณณกยักษ์ไม่เห็นพระโพธิสตั ว์ ตา่ งพากันรอ้ งไห้ ล้มกล้ิงเกลอื กลงอย่างนา่ เวทนา บริวารท่ีปราสาท ซ่ึงเห็นปุณณกยักษ์พาวิธูรบัณฑิตไปทางอากาศ บอกกนั และกนั ให้ทราบวา่ มาณพไมไ่ ดพ้ าวธิ รู บัณฑติ ไปตามทาง แต่พาไปทาง
ท ศ ช า ติ 509 พ ร ะ วิ ธู ร บั ณ ฑิ ต ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง อากาศ ย่งิ ทำ�ให้ผคู้ นร้องไหค้ ร่�ำ ครวญมากขนึ้ ข่าวคราววิธูรบัณฑิตถูกนำ�ไปทางอากาศแพร่กระจายออกไป ความ เศรา้ โศกกแ็ ผไ่ ปทวั่ พระนคร ประชาชนตา่ งพากนั รอ้ งไหถ้ งึ พระโพธสิ ตั ว์ จงึ พากนั ไปชุมนุมร้องไห้เสียงดังกึกก้องไปทั่วพระบรมมหาราชวัง พระราชาสดับเสียง คร่�ำ ครวญของประชาชน จงึ ตรสั ถามถึงสาเหตุ ชาวพระนครกราบทูลให้พระราชาทรงทราบว่า “ขอเดชะ ได้ยินว่า มาณพน้ันไม่ใช่พราหมณ์ แต่เป็นยักษ์จำ�แลงเป็นพราหมณ์ มาเอา วิธูรบัณฑิตไป ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายสูญเสียวิธูรบัณฑิตแล้ว เห็นจะมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้ ถ้าวิธูรบัณฑิตไม่กลับภายใน ๗ วัน พวกข้าพระพทุ ธเจ้าจะขนฟนื มากองไว้ แลว้ ก่อไฟใหเ้ ป็นเปลวลกุ โพลง โชตชิ ว่ งเผาตัวตาย๒” พระราชาตรสั กบั ประชาชนของพระองคว์ า่ “เราสญู เสยี วธิ รู บณั ฑติ ไป แม้เราเองก็เสียใจไม่น้อย ความรู้สึกเราไม่ต่างจากพวกท่าน แต่ วิธูรบัณฑิตฉลาด เฉียบแหลม สามารถแสดงประโยชน์และมิใช่ ประโยชนไ์ ดแ้ จง้ ชดั มปี ญั ญาพจิ ารณาไดอ้ ยา่ งรอบคอบ จะเอาตวั รอด ได้ไม่ยาก ขอพวกท่านอย่ากังวล อย่าพากันเศร้าโศก อย่าพากัน ครำ่�ครวญให้มากไปเลย เราเชื่อว่าวิธูรบัณฑิตจะช่วยเหลือตนเอง เอาตวั รอดกลบั มาได”้ ชาวพระนครกลับได้ความอบอุ่นใจว่า วิธูรบัณฑิตคงจะทูลพระราชา ถงึ วธิ เี อาตวั รอดไว้แล้ว จึงพากันกลับเรือนของตน ๒ แม้ในการที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพาน ทวยเทพและมนุษย์ท้ังหลาย จะมีความเสียใจมาก แต่ก็ไม่มีใครพูดว่าพวกเราจะเผาตัวเองตายตามพระพุทธเจ้า เชน่ กบั ครั้งพระพทุ ธเจา้ เสวยพระชาตเิ ปน็ วธิ รู บัณฑิต
พ ร ะ วิ ธู ร บั ณ ฑิ ต 510 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ปุณณกยักษ์วางพระโพธิสัตว์ไว้ แล้วไปยืนคิดแผนการบนยอดเขาว่า ถา้ วธิ รู บณั ฑติ ยงั มชี วี ติ อยู่ เรากจ็ ะไมไ่ ดส้ ง่ิ ทปี่ รารถนา เราจะฆา่ วธิ รู บณั ฑติ ใหต้ าย โดยชอบธรรมได้อย่างไร จึงจะได้เนื้อหทัยไปถวายพระนางวิมลา จากน้ัน ค่อยรบั นางอริ ันทดไี ปเทวโลก เราไมค่ วรฆ่าวธิ ูรบณั ฑติ ดว้ ยมอื ของตน แตจ่ ะให้ ตกใจกลวั จนหัวใจวายตาย คิดได้ดังนี้จึงแปลงกายเป็นยักษ์ใหญ่น่าสะพรึงกลัวมาข่มขู่ ผลัก พระโพธิสัตว์ให้ล้มลง จับเท้าทั้งสองยัดใส่ปากทำ�ท่าจะเคี้ยวกิน ถึงทำ�เช่นนั้น กไ็ ม่ไดท้ �ำ ให้พระโพธิสัตว์ตกใจกลัว แม้แตเ่ พียงอาการขนลุกกย็ งั ไมม่ ี ปุณณกยักษ์จำ�แลงเป็นพญาไกรสรราชสีห์ว่ิงมาเหมือนจะกัดให้ จมเข้ียวบ้าง แปลงเป็นช้างตกมันตัวใหญ่โตมหึมาว่ิงมาเหมือนจะเอางาท่ิมแทง ให้บี้แบนบ้าง แม้เช่นนั้นก็ไม่ได้ทำ�ให้วิธูรบัณฑิตหว่ันไหว ปุณณกยักษ์จึงนฤมิต เป็นงูใหญ่เล้ือยมารัดร่างวิธูรบัณฑิตแล้วแผ่พังพานใหญ่เหนือศีรษะ แต่ก็ไม่ได้ ทำ�ให้วิธรู บัณฑิตครัน่ คร้ามหวาดกลัว ปุณณกยักษ์จึงบันดาลให้เกิดพายุใหญ่พัดมาอย่างแรงกล้า ต้ังใจหอบ เอาวิธูรบัณฑิตข้ึนไปแล้วตกลงมาร่างแหลกเหลว แต่พายุใหญ่ก็มิอาจแม้จะพัด ขนวิธูรบัณฑติ ให้ปลิวได้ ปุณณกยักษ์จึงแทรกภูเขาเข้าไปเขย่าให้สั่นไหวไปมาดุจพญาช้าง เขย่าต้นไม้ ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ทำ�ให้วิธูรบัณฑิตเคลื่อนจากที่ยืน จึงแทรกภูเขา เข้าไปอีกคร้ัง ส่งเสียงคำ�รนร้องดังกึกก้องกัมปนาท จนแผ่นดินท้องฟ้าสะเทือน เล่ือนล่ัน หวังให้วิธูรบัณฑิตหัวใจวายตาย ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ทำ�ให้วิธูรบัณฑิต ขนลุก แท้จริงพระโพธิสัตว์รู้ว่าผู้ท่ีแปลงเป็นยักษ์ เป็นราชสีห์ เป็นช้าง และเป็นงใู หญม่ าท�ำ อนั ตราย โดยประการต่าง ๆ คือ มาณพน้นั หาใช่ใครอืน่ ไม่
ท ศ ช า ติ 511 พ ร ะ วิ ธู ร บั ณ ฑิ ต ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ปุณณกยักษ์คิดว่าวิธูรบัณฑิตตายเองไม่ได้ เห็นทีต้องลงมือฆ่าเอง จึงจับเท้าวิธูรบัณฑิตยกข้ึนอย่างกระชับม่ันให้ห้อยหัวลง กวัดแกว่งไปมา แล้วขว้างลอยคว้างไปตกลงที่ภูเขาไกลประมาณ ๑๕ โยชน์ แล้วย่ืนมือออกไป จบั เทา้ ยกขนึ้ ดวู า่ ตายหรอื ยงั เมอ่ื เหน็ วา่ ยงั ไมต่ ายจงึ ขวา้ งออกไปอกี เปน็ ครง้ั ท่ี ๒ ตกลงไกลถึง ๓๐ โยชน์ แล้วย่ืนมือออกไปจับยกขึ้นดูอีกเห็นว่ายังมีชีวิตอยู่ คิดว่าคราวนี้ต้องให้ตาย ถ้าไม่ตายจะจับฟาดลงบนยอดเขานี้ จึงขว้างออกไป เป็นครั้งท่ี ๓ ลอยคว้างออกไปตกไกลถึง ๖๐ โยชน์ แล้วจึงย่ืนมือออกไป จบั เทา้ วิธรู บณั ฑิตยกขึ้นมองดหู นา้ ผ้มู ปี ัญญารกั ษาตน พระโพธิสัตว์คิดว่า ครั้งแรกมาณพน้ีขว้างเราสองครั้งสามครั้งไปไกล ถึง ๖๐ โยชน์ คราวนจี้ ะจบั เราฟาดกับยอดเขาให้ตาย จะถามดูวา่ ทำ�ไมจงึ จะ ฆา่ เรา ขณะที่ปุณณกยักษ์จับเท้าพระโพธิสัตว์ยกขึ้นให้หัวห้อยลง หมายใจ จะฟาดลงกับยอดเขา แม้จะน่าสยดสยอง น่าหวาดเสียว แต่ก็ไม่ได้ทำ�ให้ พระโพธสิ ตั ว์สะดุง้ พระโพธสิ ตั ว์จึงถามทัง้ ทห่ี ัวยังห้อยอยูว่ ่า “มาณพ ทา่ นเปน็ อมนุษย์หรือเทวดา รูปร่างหน้าตาเหมือนจะเป็นคนดี แต่กลับไม่ได้ เปน็ คนดอี ยา่ งหนา้ ตา ดู ๆ คลา้ ยจะส�ำ รวม แตก่ ลบั ไมส่ �ำ รวม ท�ำ กรรม ช่วั ชา้ ความร้สู กึ ดี ๆ แม้แต่นอ้ ย ไม่มใี นจิตใจท่านเลย ขอถามท่าน หน่อยเถอะ ความจริงแล้วท่านเป็นใครกันแน่ ท่านจับเราโยนลงเหว หวังใหต้ าย เราตายแลว้ ทา่ นจะไดอ้ ะไร” ปณุ ณกยกั ษก์ ลา่ ววา่ “ทา่ นผเู้ ปน็ ปราชญ์ เราเปน็ ยกั ษช์ อื่ ปณุ ณกะ เป็นอำ�มาตย์ของท้าวกุเวร” ครั้นแนะนำ�ตนเองแล้ว ได้บอกถึงสาเหตุว่า “พญานาคนามวา่ “วรณุ ” ผคู้ รอบครองนาคพภิ พ มธี ดิ ารปู งามนามวา่
พ ร ะ วิ ธู ร บั ณ ฑิ ต 512 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง “อิรันทดี” เรารักนาง ผู้มีเอวงาม อยากได้มาเป็นภรรยา จึงตั้งใจ ฆา่ ทา่ น” วธิ รู บณั ฑติ คดิ วา่ มนษุ ยย์ อ่ ยยบั เพราะความเขา้ ใจผดิ กนั มามากนกั แลว้ เม่ือปุณณกยักษ์อยากได้นางอิรันทดีมาเป็นภรรยา แล้วทำ�ไมจะต้องฆ่าตน จึงถามด้วยวาจาอ่อนโยนว่า “ปุณณกยักษ์ ท่านอย่าโง่นักเลย ผู้คน เป็นอันมากล้มตายเพราะความเข้าใจผิด เมื่อท่านรักนางอิรันทดี แลว้ ท�ำ ไมต้องฆ่าเรา เมื่อเราตายแล้ว ทา่ นจะได้นางอย่างไร ฟงั แล้ว ไม่เหน็ จะเกีย่ วอะไรกัน” ปณุ ณกยกั ษก์ ลา่ ววา่ “เราปรารถนาธดิ าพญาวรณุ นาคราช จงึ ได้ ไปสขู่ อ พญาวรณุ นาคราชตรสั กบั เราวา่ ถา้ ไดด้ วงหทยั วธิ รู บณั ฑติ แลว้ นำ�มานาคพิภพโดยชอบธรรม จึงจะยอมมอบธิดาให้ เราจึงพยายาม ฆา่ ท่าน เราไมไ่ ด้โง่ ทง้ั ไม่ได้เข้าใจอะไรผิดเลย” วิธูรบัณฑิตตรึกตรองดูแล้ว มองไม่เห็นว่าพระนางวิมลาจะเอาหัวใจ ของตนไปทำ�อะไร พระนางไม่น่าจะต้องการหัวใจ แท้จริงแล้วปัญญาน่ันเอง คอื หัวใจของบณั ฑิต พญาวรณุ นาคราชฟงั ธรรมกถาของเรา เกดิ ความเลือ่ มใส เอาแกว้ มณีบชู าเรา คร้นั กลบั นาคพภิ พ คงจะพรรณนาความทเี่ ราเปน็ ธรรมกถึก ให้พระนางฟัง พระนางจงึ ปรารถนาท่จี ะฟังธรรมกถาของเราบา้ ง พระนางวมิ ลา และพญาวรณุ นาคราชเหน็ จะเกดิ ความเขา้ ใจผดิ กนั จงึ ใชใ้ หป้ ณุ ณกยกั ษไ์ ปฆา่ เรา ความท่ีเราเป็นบัณฑิต ทำ�ให้เราประสบทุกข์มากถึงเพียงนี้ เม่ือปุณณกยักษ์ ฆา่ เราแลว้ จะไดป้ ระโยชนอ์ ะไร เราจะเตอื นมาณพนน้ั ใหร้ สู้ กึ ตวั แลว้ ละเวน้ ชวี ติ เรา
ท ศ ช า ติ 513 พ ร ะ วิ ธู ร บั ณ ฑิ ต ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ธรรมะส�ำ หรับคนดี วิธูรบัณฑิตกล่าวทั้งท่ีหัวยังห้อยลงอยู่ว่า “จงวางเราลงก่อนเถิด เรารู้สาธุนรธรรม เม่ือแสดงให้ท่านฟังจบแล้วจึงค่อยควักเอาหัวใจ เราไป” ปุณณกยักษ์คิดว่า “เขาเล่ากันว่า วิธูรบัณฑิตน้ีแสดงธรรมได้ ไพเราะนัก ธรรมนี้วิธูรบัณฑิตเห็นจะยังไม่เคยแสดงให้เทวดาและ มนษุ ยฟ์ ังที่ไหน เราเหน็ จะเป็นคนแรกท่ีไดฟ้ งั สาธนุ รธรรมนี้ เอาเถอะ เราควรฟังสาธุนรธรรมดูก่อนค่อยฆ่าทีหลัง” จึงวางพระโพธิสัตว์ลงให้นั่ง บนยอดเขา วธิ รู บณั ฑติ รสู้ กึ ออ่ นเพลยี จงึ พดู กบั ปณุ ณกยกั ษว์ า่ “เราจะแสดงธรรม ช่ือ “สาธุนรธรรม” ซ่ึงยังไม่เคยมีใครแสดงมาก่อนทั้งในหมู่มนุษย์ และเทวดา ร่างกายเราเศร้าหมอง จะขออาบนำ้�ชำ�ระกายก่อน” ปณุ ณกยกั ษย์ อมอนญุ าตตามนน้ั แลว้ ไปน�ำ น�้ำ มาใหว้ ธิ รู บณั ฑติ อาบ เมอ่ื วธิ รู บณั ฑติ อาบนำ้�เสร็จแล้วให้แต่งตัวด้วยผ้าทิพย์ประดับด้วยของหอม ดอกไม้ทิพย์ และ ให้บริโภคอาหารทิพย์ จากน้ันวิธูรบัณฑิตจึงนั่งบนอาสนะที่ปุณณกยักษ์ประดับ จัดเตรียมไว้ แสดง “สาธุนรธรรม” คือ ธรรมะสำ�หรับคนดี วา่ “มาณพ คนดียอ่ มปฏิบตั ิตามหลกั ธรรม ๔ ประการนี้ คือ ๑. จงเดินไปตามทางทีท่ า่ นเดนิ กนั มาแล้ว ๒. จงอย่าเผาฝา่ มอื อนั ชุ่ม ๓. อย่าทำ�ร้ายมติ รไม่วา่ ในกาลไหน ๆ ๔. อย่าตกอยู่ในอ�ำ นาจพวกอสตรี ปณุ ณกยกั ษฟ์ งั แลว้ ไมอ่ าจเขา้ ใจความหมายของสาธนุ รธรรมทงั้ ๔ ขอ้ จึงขอให้วธิ ูรบัณฑิตอธบิ ายให้ฟัง วธิ ูรบณั ฑติ จงึ อรรถาธบิ ายดว้ ยพทุ ธลลี าว่า
พ ร ะ วิ ธู ร บั ณ ฑิ ต 514 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง “บุคคลใดมีน้ำ�ใจ เชื้อเชิญคนท่ีไม่เคยรู้จักมักคุ้นกันมาก่อน ใหน้ ง่ั ในบา้ น ควรท�ำ คณุ ประโยชนแ์ กเ่ ขาคนนน้ั โดยแท้ บณั ฑติ ทง้ั หลาย กล่าวสรรเสริญผู้ตอบแทนบุญคุณนั้นว่า “ผู้เดินไปตามทางที่ท่านเดิน กนั มาแลว้ ” บุคคลพักอาศัยในเรือนของผู้ใดแม้แต่คืนเดียว ได้รับการ เลย้ี งดดู ้วยขา้ ว น้ำ� โภชนาหารอยา่ งดี แมแ้ ต่ใจก็ไมค่ วรคดิ ร้ายผนู้ น้ั ผู้ไม่คิดร้ายต่อบุคคลผู้มีอุปการคุณน้ัน ชื่อว่า “ไม่เผาฝ่ามืออันชุ่ม และยังได้ชื่อว่าไม่ท�ำ รา้ ยมติ ร” บุคคลน่ังหรือนอนที่ร่มเงาของต้นไม้ใด ไม่ควรหักรานก่ิง ของต้นไมน้ น้ั เพราะผ้ปู ระทษุ ร้ายมติ รเช่นน้นั จัดว่า “เปน็ คนเนรคุณ” อนงึ่ สตรีใดท่ีสามียกยอ่ งอยา่ งดแี ล้ว ถึงกบั ให้ดแู ลทรพั ย์สนิ ทง้ั หมดในบา้ น เมอ่ื มโี อกาสแลว้ กลบั ดหู มน่ิ สามขี องตน บคุ คลไมค่ วร ล่มุ หลงสตรเี ช่นน้ัน ผ้ชู อ่ื วา่ “อสตรี” คอื ผ้หู ญิงทไ่ี ม่ดี เพราะไมเ่ ปน็ กุลสตร”ี บุคคลช่ือว่าเดินไปตามทางท่ีท่านเดินกันมาแล้วอย่างน้ี ไม่เผาฝ่ามืออันชุ่มอย่างน้ี ไม่ตกอยู่ในอำ�นาจของหญิงที่ไม่ดีอย่างนี้ และช่ือวา่ ไมป่ ระทษุ รา้ ยมิตรอย่างนี้ มาณพ ธรรม ๔ ประการนี้ ช่ือวา่ “สาธุนรธรรม” ต้ังแต่น้ไี ป ทา่ นจงตง้ั อยู่ในธรรมนีเ้ ถดิ และจงละอธรรม คอื ความชัว่ เสีย” เมื่อปุณณกยักษ์ฟังสาธุนรธรรมจบลงแล้วก็รู้ว่าวิธูรบัณฑิตขอชีวิต ด้วยการยกสาธุนรธรรมข้ึนมาแสดง จึงได้สติว่าบัณฑิตนี้ได้ต้อนรับเราทั้งท่ี ไมเ่ คยรจู้ กั กนั มากอ่ น เราไดร้ บั ความสขุ สบายอยใู่ นเรอื นของบณั ฑติ ตลอด ๓ วนั แต่กลับเนรคุณทำ�กรรมช่ัวช้าเช่นนี้ลงไปเพราะลุ่มหลงสตรี หากเราทำ�ร้าย
ท ศ ช า ติ 515 พ ร ะ วิ ธู ร บั ณ ฑิ ต ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง วิธูรบัณฑิตนี้ก็เท่ากับว่าทำ�ร้ายมิตร จัดว่าเป็นคนเนรคุณ ไม่ประพฤติตาม สาธุนรธรรม เราจะต้องการนางอิรันทดีไปทำ�ไม เราจะนำ�บัณฑิตน้ีกลับไปส่ง ไว้ตามเดิม เช็ดน้ำ�ตาประชาชนชาวอินทปัตถ์นครผู้กำ�ลังทุกข์โศกให้เบิกบาน จึงกล่าวว่า “เราพักอาศัยอยู่ในเรือนท่านถึง ๓ วัน ได้รับการเล้ียงดู อยา่ งดี ขอเชญิ ทา่ นกลบั ไปเรอื นของทา่ นเถดิ เราไมต่ อ้ งการนางอริ นั ทดี แล้ว เพราะคำ�สุภาษิตของท่านน่ันเองทำ�ให้เราไม่พล้ังมือฆ่าท่าน ชว่ ยใหท้ า่ นรอดชีวิตในวนั น้ี” วิธูรบัณฑิตกล่าวว่า “อย่าเพิ่งส่งเรากลับเลย ขอให้นำ�เราไป นาคพภิ พ เราอยากเหน็ ทา้ ววรณุ และวิมานของพระองค์” ปุณณกยักษ์กล่าวว่า “ตามปกติคนฉลาดมีปัญญามักหลีกเล่ียง ศัตรู เหตไุ รท่านจงึ ต้องการไปท่อี ย่ขู องศัตรทู จี่ ะฆ่าท่านเอาหวั ใจ” วิธูรบัณฑิตกล่าวว่า “แม้เราก็รู้ชัดว่าคนผู้มีปัญญาต่างก็ ไมต่ อ้ งการพบศตั รู แตเ่ ราไมไ่ ดท้ �ำ ความชว่ั ไวใ้ นทไ่ี หนเลย จงึ ไมก่ ลวั ตาย อีกอย่างหนง่ึ ตัวทา่ นเปน็ คนหยาบชา้ ท�ำ รา้ ยเราถงึ เพียงนี้ จติ ใจทา่ น ยงั ออ่ นโยนเพราะธรรมกถาของเรา การท�ำ ให้จติ ใจพญานาคออ่ นโยน เปน็ หนา้ ที่ของเรา ทา่ นจงพาเราไปเถดิ ” ปุณณกยักษ์กล่าวว่า ถ้าเช่นนั้นก็เชิญเถิด เราไปดูพิภพของพญานาค ซึ่งมีอานุภาพมากด้วยกัน สถานท่ีซ่ึงนางนาคสาวประดับประดาสวยงาม เที่ยวเล่นเพลิดเพลินกันเป็นกลุ่ม ๆ ทั้งกลางวันและกลางคืน ดารดาษด้วย ดอกไม้หลากชนิด สว่างไสวดังสายฟ้าในอากาศ ให้เหมือนท้าวเวสสุวัณ เสด็จไปยังนิฬิญญาราชธานี เม่อื ปุณณกยกั ษไ์ มอ่ าจขดั ขวางความประสงคข์ องวิธูรบณั ฑติ ได้ จงึ น�ำ ขนึ้ นงั่ อาสนะบนม้ามโนมยั พาเขา้ สู่ภพนาคราชด้วยเดชานุภาพของตน
พ ร ะ วิ ธู ร บั ณ ฑิ ต 516 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง พญานาคเห็นปุณณกยักษ์มาจึงตรัสทักทายปราศรัยก่อนว่า “เธอไป มนุษยโลกไดด้ วงหทยั วิธูรบัณฑติ หรือไดต้ ัววธิ ูรบณั ฑติ มาแล้วหรือ” ปุณณกยักษ์ทูลว่า “ท่านผู้นี้แหละ คือ วิธูรบัณฑิตที่พระองค์ ทรงตอ้ งการตวั วธิ รู บณั ฑติ เปน็ ผรู้ กั ษาธรรม แมข้ า้ พระพทุ ธเจา้ กไ็ ดม้ า โดยชอบธรรม ขอเชญิ ใตฝ้ า่ ละอองธลุ พี ระบาททอดพระเนตรวธิ รู บณั ฑติ ผูแ้ สดงธรรมด้วยเสียงอนั ไพเราะนีเ้ ถดิ ” ภพนาคราช พญาวรุณนาคราชทอดพระเนตรเห็นพระโพธิสัตว์แม้อยู่ในนาคพิภพ ก็ไม่แสดงอาการสะทกสะท้าน ไม่อภิวาท ทั้งไม่ร้องขอชีวิต จึงตรัสถามว่า “ท่านบัณฑิต ท่านเป็นมนุษย์ ถูกนำ�มานาคพิภพท่ีตนไม่เคยเห็น ก็นับว่าตกอยู่ในอุ้งหัตถ์มฤตยู แม้ยืนอยู่ต่อหน้าความตายก็ยัง ไม่สะทกสะท้าน ท้ังไม่กราบไหว้ถวายความเคารพเรา อาการเช่นน้ี ดเู หมือนจะไม่ใชอ่ าการของผใู้ ช้ปญั ญารกั ษาชีวิต” วธิ รู บณั ฑติ ไมไ่ ดท้ ลู ตรง ๆ กบั พญานาคราช ผปู้ รารถนาการกราบไหว้ แต่เป็นผู้ฉลาดในการเจรจา จึงกราบทูลด้วยปฏิภาณของตนว่า “ข้าแต่ พญานาคราช ข้าพระองค์ไม่ถวายบังคมพระองค์เพราะข้าพระองค์ เป็นเหมือนนักโทษท่ีกำ�ลังจะถูกประหารชีวิต ทั้งข้าพระองค์ก็ไม่กลัว ตอ่ ความตาย นกั โทษประหารไมพ่ งึ กราบไหวเ้ พชฌฆาต และเพชฌฆาต กค็ งไมป่ รารถนาท่ีจะใหน้ กั โทษประหารกราบไหว้ตน เพราะจะไม่เกิด ประโยชน์อะไรข้นึ มาเลย” พญานาคราชสดับดังน้ัน ทรงพอพระทัย จึงชมเชยวิธูรบัณฑิต ว่า “ท่านบัณฑิต เป็นจริงอย่างที่ท่านพูดทุกอย่าง นักโทษประหาร ไม่พึงกราบไหว้เพชฌฆาต หรือเพชฌฆาตก็ไม่พึงให้นักโทษประหาร
ท ศ ช า ติ 517 พ ร ะ วิ ธู ร บั ณ ฑิ ต ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง กราบไหว้ตน เพราะจะไม่เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมาเลย มีแต่จะเสีย เวลาเปลา่ ” วิธูรบัณฑิตทูลปฏิสันถารพญานาคราชว่า “ข้าแต่พญานาคราช วมิ าน ฤทธ์ิ ความรงุ่ เรอื ง และพระวริ ยิ ภาพของพระองคเ์ ปน็ ของไมเ่ ทยี่ ง แต่พระองค์กลับเห็นเป็นเช่นกับของเท่ียง ขอจงทรงพิจารณาถึงการ เสดจ็ อบุ ัติในนาคพิภพของพระองค์ วมิ านนพี้ ระองค์ทรงไดม้ าอยา่ งไร เป็นของเกิดข้ึนตามฤดูกาล พระองค์ทรงสร้างข้ึนเอง หรือเหล่าเทพ ถวายพระองค์ พระเจา้ ขา้ ” พญานาคตรัสวา่ “วิมานนห้ี าได้เกิดข้ึนตามฤดูกาลไม่ และเรา มิได้สร้างเอง ท้ังหมู่เทพก็มิได้สร้างให้เรา แต่เราได้วิมานน้ีมาด้วย บุญญานภุ าพของตน” วธิ รู บณั ฑติ ทลู ถามวา่ “พระองคท์ �ำ บญุ อะไรไว้ นาคพภิ พพรอ้ มทงั้ วิมานอันไพโรจนย์ ่งิ นีจ้ งึ อบุ ัติขนึ้ แก่พระองค์” พญานาคตรสั วา่ “เมอ่ื ครงั้ เกดิ เปน็ มนษุ ย์ เราและชายามศี รทั ธา ให้ทานแด่สมณะและพราหมณ์ ท้ังดอกไม้ ธูปเทียน เครื่องลูบไล้ ที่นอน ท่พี กั อาศยั ผ้านงุ่ ผา้ ห่ม ผา้ ปูนอน ขา้ ว นำ้� ด้วยความเคารพ คร้ังนั้นเรือนของเราเป็นดังบ่อนำ้�สำ�หรับพวกสมณะและพราหมณ์ ท้งั หลาย ฤทธ์ิ ความรุ่งเรือง วิริยภาพ และการเกิดในนาคพิภพ พรอ้ มทัง้ วิมานอนั ไพโรจนย์ งิ่ เปน็ เพราะผลแหง่ บญุ น้ัน” วิธูรบัณฑิตทูลถามว่า “ถ้าเช่นนั้นพระองค์ก็ทรงทราบว่า การท่ีพระองค์ได้เสด็จอุบัติในนาคพิภพก็ด้วยผลแห่งบุญน่ันเอง เพราะเหตุนั้น ขอพระองค์อย่าได้ประมาท ขอจงทรงประพฤติธรรม ท่ีจะท�ำ ให้พระองคไ์ ดท้ รงครอบครองวิมานนีต้ อ่ ไป”
พ ร ะ วิ ธู ร บั ณ ฑิ ต 518 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง พญานาคตรสั ว่า “ทา่ นบณั ฑิต ในนาคพภิ พไมม่ ีสมณพราหมณ์ ทจี่ ะถวายขา้ ว น�ำ้ เลย ขอทา่ นบอกวธิ ที จ่ี ะท�ำ บญุ ใหท้ าน อนั จะเปน็ เหตุ ให้เราได้ครอบครองวิมานตอ่ ไปด้วยเถิด” วิธูรบัณฑิตกราบทูลว่า “นาคท้ังหลาย ท้ังท่ีเป็นพระโอรส พระธิดา พระชายา พระญาติ ทั้งหมู่มิตรและข้าราชบริพารของ พระองค์ในนาคพิภพน้ี เป็นบ่อเกิดแห่งบุญ ขอพระองค์อย่าทำ�ร้าย และอยา่ คดิ รา้ ยเขาเหลา่ นนั้ จะทรงสถติ อยใู่ นวมิ านนต้ี ลอดพระชนมายุ แล้วจะเสดจ็ ไปสเู่ ทวโลกอนั สงู กวา่ นาคพภิ พ” พญานาคได้สดับธรรมของพระโพธิสัตว์อย่างน้ีแล้วทรงดีพระทัย เปน็ อยา่ งมาก ประสงคท์ จ่ี ะใหช้ ายาฟงั ยิง่ นกั ทรงดำ�ริว่า เราทำ�ให้บัณฑิตชักชา้ อยู่ภายนอกนานเกินไปแล้ว ควรจะนำ�ไปพบน้องนางวิมลาให้เธอได้ฟังสุภาษิต อันไพเราะจึงค่อยส่งบัณฑิตกลับไปให้พระเจ้าธนัญชัย จึงตรัสว่า “ท่านเป็น อำ�มาตย์ของพระราชาผู้ประเสริฐสุด เมื่อพระองค์พรากจากท่านแล้ว ยอ่ มจะทรงมคี วามทกุ ข์ ความเศรา้ โศก คนถกู ความทกุ ขค์ รอบง�ำ กต็ าม คนป่วยหนกั ก็ตาม ได้พบกับท่านแลว้ ยอ่ มไดร้ บั ความสขุ ” วิธูรบัณฑิตกราบทูลว่า “พระองค์ตรัสธรรมของสัตบุรุษที่ชี้ทาง แหง่ ประโยชนโ์ ดยแท้ เปน็ สง่ิ ทนี่ กั ปราชญป์ ระพฤตกิ นั เมอื่ ภยั ใหญห่ ลวง เกิดขนึ้ ผ้ทู รงภมู ิปญั ญาเช่นข้าพระองคจ์ ึงปรากฏ” พญานาคตรัสถามวิธูรบัณฑิตว่า “ปุณณกยักษ์บอกว่าได้ท่านมา โดยชอบธรรม เขาคงชนะสกาจึงได้ท่านมา ปุณณกยักษ์จับท่านมา ได้อยา่ งไร” พระโพธิสัตว์ทูลตอบว่า “ปุณณกยักษ์เล่นสกาชนะพระราชาของ ข้าพระองค์ โดยมขี ้าพระองคเ์ ป็นเดมิ พนั พระราชาจึงได้พระราชทาน ขา้ พระองค์แก่ปณุ ณกยกั ษ์ ปณุ ณกยกั ษจ์ งึ ช่อื วา่ ไดข้ ้าพระองค์มาโดย ชอบธรรม”
ท ศ ช า ติ 519 พ ร ะ วิ ธู ร บั ณ ฑิ ต ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง พญานาคทรงชนื่ ชมโสมนสั มพี ระทยั เบกิ บาน ตนื้ ตนั ดว้ ยปตี ิ ทรงจงู มอื วธิ รู บณั ฑติ เสดจ็ เขา้ ไปพระต�ำ หนกั ในอนั เปน็ ทปี่ ระทบั ของพระชายาอยา่ งสนทิ สนม ตรสั ทกั ทายพระนางโดยความเบกิ บานพระทยั วา่ “นอ้ งวมิ ลา นอ้ งดซู บู ผอมมาก น้องดูสิใครมา วิธูรบัณฑิต ผู้ที่น้องประสงค์ดวงหทัยยืนอยู่น่ีแล้ว จะท�ำ ใหน้ อ้ งเบกิ บานใจ เชญิ นอ้ งตั้งใจฟังเถดิ ” พระนางวมิ ลาทอดพระเนตรเหน็ วธิ รู บณั ฑติ กท็ รงตนื่ เตน้ ตนื้ ตนั พระทยั ทรงโสมนัสยินดีเป็นอย่างยิ่ง ทรงดำ�ริว่า นานมากหนอกว่าจะได้พบบัณฑิตนี้ ทรงยกพระองคุลีทั้ง ๑๐ นิ้วขึ้นอัญชลี และตรัสกับวิธูรบัณฑิตจอมปราชญ์ ของชาวแคว้นกุรุรัฐว่า “ท่านเป็นมนุษย์ มาเห็นนาคพิภพเหมือนตกอยู่ ในมรณภัยเช่นน้ี ไฉนจึงไม่มีความหวาดหว่ันเลย แม้อยู่ต่อหน้า ความตายกย็ งั ไม่สะทกสะท้าน เพราะเหตไุ รท่านจงึ ไม่กลัว ทงั้ ไม่ไหว้ อ้อนวอนรอ้ งขอชีวิต” วธิ รู บณั ฑติ กราบทลู วา่ “ขา้ แตพ่ ระนางเจา้ วมิ ลา คนไมท่ �ำ ความชว่ั ย่อมไม่กลัวตาย ข้าพระองค์ไม่กลัวและไม่หวาดหว่ันต่อความตาย ท้ังไม่ไหว้พระองค์เพราะนักโทษประหารไม่ควรไหว้เพชฌฆาต หรือ เพชฌฆาตก็ไม่พึงให้นักโทษประหารกราบไหว้ตน ถึงจะกราบไหว้ ก็ถกู ฆา่ อยู่ดี จึงไมเ่ กดิ ประโยชนอ์ ะไรท่จี ะไหว้” พระนางวมิ ลาตรสั วา่ “ถกู อยา่ งทท่ี า่ นพดู นกั โทษประหารไมค่ วร กราบไหวเ้ พชฌฆาต เพชฌฆาตกไ็ มค่ วรใหน้ กั โทษประหารกราบไหวต้ น” วธิ รู บณั ฑติ จงึ กราบทูลปฏสิ ันถารกบั พระนางวิมลาเทวีถงึ สมบตั ิตา่ ง ๆ ในนาคพิภพลว้ นได้มาเพราะบุญ ตามทไี่ ด้กราบทูลกบั พญาวรุณนาคราช พระนางวิมลาสดับธรรมกถาของพระโพธิสัตว์ ทรงยินดีเป็นอย่างยิ่ง ทรงใหพ้ ระโพธสิ ตั วส์ รงสนาน ในเวลาสรงเสรจ็ ทรงประทานเครอื่ งประดบั ผา้ ทพิ ย์ ของหอมทิพย์ และอาหารทิพย์ พระโพธิสัตว์บริโภคโภชนาหารแล้วน่ังเหนือ ธรรมาสน์ แสดงธรรมดว้ ยพุทธลลี า
พ ร ะ วิ ธู ร บั ณ ฑิ ต 520 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง พระนางวิมลาตรัสถามปัญหาวิธูรบัณฑิตตามที่พญาวรุณนาคราช ตรัสถาม แม้วิธูรบัณฑิตก็ได้ตอบปัญหาพระนางเจ้าทุกประการ ทำ�ให้พระนาง วิมลาทรงยนิ ดีย่งิ วิธูรบัณฑิตทราบว่าพญานาคราชและพระนางวิมลาทั้งสองพระองค์ ทรงมีพระทัยเบิกบาน จึงกราบทูลว่า “ขอพระองค์อย่าทรงวิตกว่าจะทรง ท�ำ รา้ ยมติ ร และอยา่ ทรงด�ำ รวิ า่ จะฆา่ บณั ฑติ น้ี บดั น้ี ขา้ พระองคไ์ ดท้ �ำ หนา้ ทเ่ี สรจ็ แลว้ ขอจงฆา่ ขา้ พระองค์ เอาเนอ้ื หทยั ตามทที่ รงพระประสงค์ เถิด” พญานาคราชตรัสว่า “ปัญญาน่ันเองเป็นดั่งดวงใจของบัณฑิต ทัง้ หลาย เราทง้ั สองประสงค์ปญั ญาของทา่ นย่ิงนกั ปุณณกยักษ์จะไป สง่ ทา่ นใหถ้ งึ แคว้นกรุ ุในวันนี้” ครั้นพญาวรุณนาคราชตรัสอย่างน้ีแล้วจึงได้พระราชทานนางอิรันทดี ให้ปุณณกยักษ์ ปุณณกยักษ์ได้นางอิรันทดีสมปรารถนาจึงยินดีย่ิง ได้เจรจา ปราศรัยกับวิธูรบัณฑิตว่า “วิธูรบัณฑิต ท่านทำ�ให้ข้าพเจ้าได้ภรรยา ขา้ พเจา้ จะใหแ้ กว้ มณดี วงนี้ เปน็ การตอบแทนทา่ น และจะน�ำ ทา่ นไปสง่ ใหถ้ งึ แคว้นกรุ รุ ฐั ในวนั น”ี้ วธิ รู บัณฑติ ชมปณุ ณกยกั ษ์โดยประการตา่ ง ๆ แลว้ สอนว่า “ท่านต้อง รักภรรยาให้มาก อย่าทำ�ให้เธอผิดหวัง และอย่าให้ใครมาทำ�ให้ท่าน ท้งั สองแตกแยกจากกนั ได้” ปุณณกยักษ์เชิญวิธูรบัณฑิตให้นั่งที่อาสนะด้านหน้า เผ่นขึ้นม้ามโนมัย เหาะกลับไปอินทปัตถน์ คร ชใี้ ห้พระโพธสิ ตั วด์ มู หานครซ่งึ ปรากฏอยเู่ บื้องหนา้
ท ศ ช า ติ 521 พ ร ะ วิ ธู ร บั ณ ฑิ ต ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ปญั ญานภุ าพ ใกล้รุ่งวันนั้น พระเจ้าธนัญชัยได้ทรงพระสุบินนิมิตว่า มีต้นไม้ใหญ่ ตน้ หนง่ึ เกดิ อยใู่ กลป้ ระตพู ระราชนเิ วศน์ มลี �ำ ตน้ เปน็ ปญั ญา มกี งิ่ เปน็ ศลี แผก่ งิ่ กา้ น สาขาอุดมสมบูรณ์ มีผลอร่อยเต็มไปหมด ห้อมล้อมไปด้วยช้างและม้าท่ี ประดบั ประดาแลว้ ฝงู ชนตา่ งพากนั หลง่ั ไหลไปกราบไหวส้ กั การะอยา่ งเนอื งแนน่ พลนั นน้ั ปรากฏวา่ มชี ายคนหนง่ึ รปู รา่ งก�ำ ย�ำ ตวั ด�ำ นงุ่ ผา้ แดง ทัดดอกไม้แดง ถือมีดคมวาวมาตัดต้นไม้น้ันท้ังรากขาดสะบั้น แล้ว ลากไปต่อหน้าต่อตาฝูงชนซ่ึงร้องไห้ปริเทวนาการอยู่ แต่ไม่ก่ีวันก็นำ� เอากลับมาส่งคนื ไวใ้ นทเ่ี ดมิ แล้วจากไป พระราชาทรงพิจารณาพระสุบินนิมิตนั้นก็ทรงสันนิษฐานว่า คนท่ีเป็น ดุจต้นไม้ใหญ่จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากวิธูรบัณฑิต ส่วนชายหน้าตาน่ากลัว ผู้มาตัดต้นไม้ลากไปจะเป็นคนอื่นไปไม่ได้ นอกจากมาณพผู้เอาวิธูรบัณฑิตไป วันพรุ่งนี้มาณพจะนำ�วิธรู บัณฑิตกลับมาสง่ ท่ปี ระตูโรงธรรมสภาอยา่ งแนน่ อน ครั้นสนั นิษฐานดังน้ีแลว้ ก็ทรงมีพระหทัยโสมนสั รับสง่ั ให้ประดบั ท่ัวทง้ั พระนคร และให้จัดเตรียมโรงธรรมสภา ตั้งธรรมาสน์ รอรับการกลับมาของ วธิ รู บณั ฑติ ประชาชนทราบขา่ วตา่ งแตกตน่ื กนั ไปชมุ นมุ ทธ่ี รรมสภา ครนั้ พระราชา เสด็จด�ำ เนินไปถึงโรงธรรมสภา ทรงปลอบโยนประชาชนของพระองค์ใหส้ บายใจ วา่ “พวกทา่ นจะได้เหน็ วิธูรบณั ฑิตในวันนีอ้ ยา่ งแน่นอน” ขณะน้ันปุณณกยักษ์พาวิธูรบัณฑิตมาถึงประตูโรงธรรมสภาพอดี กราบลาพระโพธิสัตว์ แล้วพานางอิรันทดีข้ึนม้าอาชาไนยเหาะกลับไปในอากาศ ทนั ที พระราชาทอดพระเนตรเห็นวิธูรบัณฑิต ทรงปรีดาปราโมทย์ยิ่ง เสดจ็ ลกุ ขน้ึ สวมกอดวธิ รู บณั ฑติ ทรงเชอ้ื เชญิ ใหน้ งั่ บนอาสนะทา่ มกลางธรรมสภา
พ ร ะ วิ ธู ร บั ณ ฑิ ต 522 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ตรัสปฏิสันถารด้วยพระวาจาอันไพเราะว่า “ชาวแคว้นกุรุต่างพากันยินดี ท่ีไดเ้ ห็นทา่ นกลบั มา ทา่ นรอดพ้นจากมาณพมาได้อย่างไร” วิธูรบัณฑิตกราบทูลว่า “บุรุษที่พระองค์ตรัสเรียกว่ามาณพน้ัน ไมใ่ ชม่ นษุ ยแ์ ตเ่ ปน็ ยกั ษ์ ชอ่ื “ปณุ ณกะ” อ�ำ มาตยข์ องทา้ วกเุ วร พระนาง วิมลา มเหสีของพญาวรุณนาคราชผู้ครองนาคพิภพมีพระประสงค์ จะสดับธรรมกถาของข้าพระองค์ จึงบอกพญานาคราชว่า ปรารถนา ดวงหทัยของข้าพระองค์ พญานาคเข้าใจผิดจึงให้ปุณณกยักษ์ ซึ่งรัก ลูกสาวตนไปนำ�ดวงหทัยของข้าพระองค์มาเป็นข้อแลกเปลี่ยน จึงจะ ประทานนางอริ ันทดีให้ ปุณณกยักษ์จงึ มาท้าพนนั เลน่ สกากับพระองค์ ไดข้ า้ พระองคไ์ ปแลว้ พยายามฆา่ โดยประการตา่ ง ๆ แตก่ ไ็ มอ่ าจท�ำ ให้ ข้าพระองค์ตายได้ ข้าพระองค์จึงแสดงสาธุนรธรรมให้ฟังจนมีจิต เลื่อมใสจะนำ�ข้าพระองค์มาส่ง แต่ข้าพระองค์ให้พาไปนาคพิภพ แสดงธรรมถวายพญาวรุณนาคราชและพระนางวิมลาจนเกิดความ เลอ่ื มใส แมพ้ ญานาคกท็ รงยนิ ดี ไดป้ ระทานนางอริ นั ทดแี กป่ ณุ ณกยกั ษ์ ปุณณกยกั ษ์ได้นางอริ ันทดีก็ดีใจ จึงบชู าข้าพระองคด์ ้วยแก้วมณี เพราะเหตุแห่งนางอิรันทดีจึงทำ�ให้ปุณณกยักษ์พยายามฆ่า ข้าพระองค์ แต่ปณุ ณกยักษไ์ ดอ้ าศยั ข้าพระองค์ จึงไดภ้ รรยาผ้งู ดงาม ข้าพระองค์ได้แก้วมณีสำ�หรับพระเจ้าจักรพรรดิจากปุณณกยักษ์ ข้าพระองคข์ อถวายแก้วมณีนีแ้ ดพ่ ระองค”์ พระราชาตรัสเล่าพระสุบินนิมิตในเวลาจวนรุ่งให้ชาวพระนครฟัง ทำ�ใหพ้ ระองค์มัน่ ใจว่า อย่างไรเสียวิธรู บณั ฑิตตอ้ งกลับมาในเชา้ วันน้ี ครั้นแล้วพระองค์ได้รับส่ังอำ�มาตย์ ข้าราชบริพาร ตลอดจน อาณาประชาราษฎร์ของพระองค์ให้ทำ�การสักการะวิธูรบัณฑิตอย่างมากมาย ทรงให้ปลดปล่อยสัตว์เนื้อและนกท่ีถูกขังไว้เพื่อดูเล่นในแคว้นของพระองค์ ทรงรบั สั่งว่า
ท ศ ช า ติ 523 พ ร ะ วิ ธู ร บั ณ ฑิ ต ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง “ขอสัตว์ท้ังหลายจงพ้นจากเคร่ืองกักขังเหมือนวิธูรบัณฑิต เปน็ อสิ รภาพพน้ จากเครอ่ื งผกู พวกชาวไร่ ชาวนา จงงดการท�ำ ไร่ ท�ำ นา ตลอดหน่ึงเดือน” ทรงประกาศใหช้ าวพระนครจดั การสมโภชเปน็ การใหญ่ ใหท้ �ำ บญุ เลย้ี ง สมณพราหมณ์ ให้งดเว้นการเท่ียวเตร่ด่ืมสุรา ให้หญิงขายตัวงดขายบริการ ให้ทหารออกตรวจตราท่ัวแผ่นดินอย่างเข้มงวดเพ่ือไม่ให้มีการเบียดเบียนกัน ในระหว่างนี้ เม่ือวิธูรบัณฑิตผ่านไปที่ไหน ประชาชนต่างพากันโบกธงโห่ร้องขึ้น ด้วยความยนิ ดีเปน็ ที่ย่ิง มิถิลานครไดม้ ีงานมหรสพสมโภชตลอดหน่งึ เดอื น พระโพธิสัตว์แสดงธรรมแก่อาณาประชาราษฎร์ ส่ังสอนพระราชา เหมอื นกบั สมยั ทพ่ี ระพทุ ธเจา้ บ�ำ เพญ็ พทุ ธกจิ ท�ำ บญุ ใหท้ าน และรกั ษาอโุ บสถศลี ตลอดอายุ เมื่อสิ้นชวี ติ แล้วไดไ้ ปเกดิ ในสวรรค์ ประชาชนชาวแคว้นกุรุทั้งหมด ต้ังต้นแต่พระราชา เชื่อฟังโอวาท พระโพธิสัตว์ พากันรักษาศีล ทำ�บุญ ให้ทาน คร้ันสิ้นชีวิตได้ไปเกิดตามฐานะ บุญและกรรมของตน กลับชาตมิ าเกดิ สมัยพุทธกาล ครนั้ พระบรมศาสดาทรงตรสั เลา่ เรอื่ งวธิ รู บณั ฑติ แลว้ จงึ ตรสั วา่ “ภกิ ษุ ท้ังหลาย ไม่ใช่แต่ในชาติน้ีเท่าน้ัน แม้ในอดีตชาติ ตถาคตก็สมบูรณ์ ด้วยปัญญา ฉลาดในอุบายเหมือนกัน มารดาบิดาของบัณฑิต ในอดีตชาติน้ันกลับชาติมาเกิดเป็นมหาราชสกุลในชาตินี้ ภรรยาใหญ่ ได้มาเกิดเป็นมารดาพระราหุล บุตรคนโตได้มาเกิดเป็นพระราหุล พระนางวิมลาได้มาเกิดเป็นพระนางอุบลวรรณา พญาวรุณนาคราช ได้มาเกิดเป็นพระสารีบุตร พญาครุฑได้มาเกิดเป็นพระโมคคัลลานะ ทา้ วสกั กเทวราชไดม้ าเกดิ เปน็ พระอนรุ ทุ ธะ พระเจา้ ธนญั ชยั โกรพั ยราช
พ ร ะ วิ ธู ร บั ณ ฑิ ต 524 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ได้มาเกิดเป็นพระอานนท์ ปุณณกยักษ์ได้มาเกิดเป็นพระฉันนะ ม้ามโนมัยสินธพได้มาเกิดเป็นม้ากัณฐกะ บริษัทนอกจากน้ันได้มา เกิดเป็นพุทธบริษัท ส่วนวิธูรบัณฑิตในกาลน้ันเป็นเราตถาคต อรหนั ตสมั มาสัมพุทธเจ้าในชาตินี้”
ท ศ ช า ติ 525 พ ร ะ วิ ธู ร บั ณ ฑิ ต ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง
พ ร ะ เ ว ส สั น ด ร 526 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง
พระเวสสนั ดร มหาชาติ มหาทาน “ถา้ ใครขอหทัย เรากจ็ ะผา่ อกเอาหทยั ให้ ถา้ ใครขอดวงตา เรากจ็ ะควกั ดวงตาทง้ั สองข้างให้ ถา้ ใครขอเนอ้ื ในกาย เราก็จะเชือดเนือ้ ให้ ถา้ ใครขอโลหิต เราก็จะกรีดเลอื ดให้ แมถ้ ้าใคร ตอ้ งการให้เราเป็นทาส เราก็ยนิ ดี ยอมตวั เป็นทาสเขาผู้นั้น”
528 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง พระพุทธเจ้าตรัสเล่าถึงเร่ืองราวในอดีตชาติของ พระองค์เมื่อครั้งเกิดเป็นพระเวสสันดรไว้ใน เวสสนั ดรชาดก ทรงมีปณิธานแนว่ แนท่ ีจ่ ะบําเพ็ญ “ทานบารม”ี เวสสนั ดรชาดก ปรากฏอยใู่ นพระไตรปฎิ ก ขทุ ทกนกิ าย ชาดก มหานบิ าต และอรรถกถา ขทุ ทกนิกาย ชาดก มหานิบาต พระพุทธองค์ตรัสเวสสันดรชาดกท่ีนิโครธาราม กรุงกบิลพัสดุ์ ในระหวา่ งพรรษาท่ี ๒ หลงั การตรสั รู้ ขณะเสด็จมหานครแหง่ ราชสกลุ เพ่ือโปรด พระประยรู ญาติ พระนครแหง่ ราชสกุล พระเจ้าสุทโธทนะสดับข่าวว่าพระโอรสได้ตรัสรู้แล้ว ทรงประกาศ ธรรมจักรอันบวร พระเกียรติคุณแผ่ไพศาลไปในแคว้นต่าง ๆ ขณะนี้ประทับ อยู่ท่ีพระเวฬุวันวิหาร กรุงราชคฤห์ จึงรับส่ังอํามาตย์คนหนึ่งพร้อมด้วยบริวาร ๑,๐๐๐ คนไปกราบทูลเชิญเสด็จมายังกรุงกบิลพัสดุ์ อํามาตย์พร้อมด้วยบริวาร ไปยงั กรุงราชคฤห์ เสน้ ทางไกลประมาณ ๖๐ โยชน์ เพื่อทูลนมิ นต์พระพุทธองค์ เสดจ็ กรุงกบิลพัสด์ุ เม่ือถึงกรุงราชคฤห์ อํามาตย์พาบริวารเข้าไปยังพระเวฬุวันวิหาร ในขณะทพี่ ระพทุ ธองคก์ าํ ลงั แสดงธรรมอยทู่ า่ มกลางบรษิ ทั ๔ อาํ มาตยพ์ รอ้ มดว้ ย บริวารยืนฟังพระธรรมเทศนาอยู่ด้านท้ายสุดของพุทธบริษัทก็ได้บรรลุธรรม เปน็ พระอรหันต์ จงึ ทูลขอบวชพร้อมบริวาร ภายหลังจากท่ีพระภิกษุอำ�มาตย์ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์แล้ว กไ็ มไ่ ดก้ ลบั ไปกราบทลู ความใหพ้ ระเจา้ สทุ โธทนะทรงทราบ เมอ่ื พระเจา้ สทุ โธทนะ ไม่ได้รับข่าวสาส์นจึงส่งอํามาตย์คนอื่นพร้อมด้วยบริวารไปอีกถึง ๙ คร้ัง ก็ยัง
ท ศ ช า ติ 529 พ ร ะ เ ว ส สั น ด ร ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ไมไ่ ดร้ บั ทราบขา่ วคราว เพราะวา่ เมอ่ื พระภกิ ษผุ เู้ ปน็ อาํ มาตยท์ กุ คนไดบ้ รรลธุ รรม เป็นพระอรหันต์ บวชแล้วก็พํานักอยู่ในกรุงราชคฤห์น้ัน ไม่มีใครส่งข่าวสาส์น กลบั ไปกราบทลู พระเจา้ สทุ โธทนะ พระเจา้ สทุ โธทนะทรงดาํ รวิ า่ อาํ มาตยท์ กุ คนไปแลว้ กห็ ายเงยี บ ไมม่ ใี คร กลับมา แม้ข่าวสาส์นก็ไม่ได้ส่งกลับมาบอก พระองค์จึงตัดสินใจส่งกาฬุทายี อํามาตย๑์ ซึ่งเปน็ อํามาตยผ์ ู้ใหญแ่ หง่ กรงุ กบิลพัสดุ์ไปนิมนตพ์ ระพุทธเจ้า พระเจ้าสุทโธทนะรับส่ังกับกาฬุทายีอํามาตย์ว่า “กาฬุทายี เรา ปรารถนาที่จะเห็นบุตรของเรา จึงส่งอํามาตย์ไปถึง ๙ คร้ัง ๙ ครา แตไ่ มม่ ใี ครกลบั มาแมแ้ ตค่ นเดยี ว แมข้ า่ วสาสน์ กย็ งั ไมไ่ ดร้ บั ไมม่ ใี คร รวู้ า่ ชวี ติ จะเปน็ อยา่ งไร ขณะยังมชี ีวิตอยู่ เราปรารถนาจะเหน็ บุตรเรา สักคร้ัง เธอสามารถนําบุตรของเรามาได้หรือไม่” กาฬุทายีอํามาตย์ กราบทูลว่า “ได้ พระเจ้าข้า หากข้าพระพุทธเจ้าจะได้บวช” พระเจา้ สทุ โธทนะตรัสว่า “เธอจะบวชหรือไมก่ ต็ าม แต่จงนําบตุ รของเรา กลบั มาใหไ้ ด”้ กาฬทุ ายอี าํ มาตยท์ ลู รบั พระบญั ชาแลว้ เดนิ ทางไปยงั กรงุ ราชคฤห์ เม่ือกาฬุทายีอํามาตย์ถึงพระเวฬุวันวิหารได้ยืนอยู่ท้ายบริษัทฟัง พระบรมศาสดาแสดงพระธรรมเทศนา ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์พร้อมท้ัง บรวิ าร จงึ ไดท้ ูลขออปุ สมบท หลังจากพระบรมศาสดาตรัสรู้แล้ว ในพรรษาแรก ประทับอยู่ท่ีป่า อสิ ปิ ตนมฤคทายวนั ออกพรรษา ปวารณาแลว้ เสดจ็ ไปยงั ตาํ บลอรุ เุ วลาเสนานคิ ม ๑ สหชาติ คือ สิ่งท่ีเกิดพร้อมกันกับวันท่ีพระพุทธเจ้าเกิด สหชาติ ๗ นั้น คือ ๑. พระนางพิมพา ยโสธรา ๒. พระอานนท์ ๓. กาฬทุ ายีอาํ มาตย์ ๔. นายฉนั นะ มหาดเลก็ ๕. ม้ากัณฐกะ ๖. ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ๗. ขุมทองทั้ง ๔ (สังขนิธี, เอลนิธี, อุบลนิธี และบุญฑรกิ นธิ ี)
พ ร ะ เ ว ส สั น ด ร 530 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ประทับอยู่ทตี่ ําบลอรุ เุ วลาตลอด ๓ เดือน ทรงแนะนาํ ชฎลิ ๓ พีน่ อ้ ง พรอ้ มทัง้ ชฎิลบริวาร ๑,๐๐๐ คน ในวันเพ็ญเดือนยี่เสด็จไปยังกรุงราชคฤห์เพ่ือโปรด พระเจา้ พมิ พสิ าร พรอ้ มดว้ ยพราหมณแ์ ละคหบดชี าวมคธใหบ้ รรลธุ รรม ประทบั อยู่ท่ีกรุงราชคฤห์อีก ๒ เดือน โดยลําดับกาลเป็นเวลา ๕ เดือนนับแต่เสด็จ ออกจากกรงุ พาราณสี เหมันตฤดูล่วงไปแล้ว นับแต่วันท่ีพระกาฬุทายีเถระมาถึง วันเวลาก็ ลว่ งไปโดยลาํ ดับ คร้ันใกล้เข้าพรรษาที่ ๒ ในวนั เพ็ญเดือน ๔ พระกาฬทุ ายเี ถระ คิดว่า บัดนี้วสันตฤดูกําลังย่างเข้ามา หนทางที่จะเสด็จไปก็ชุ่มชื่น แผ่นดิน ปกคลมุ ไปด้วยหญ้าเขียวขจี ราวป่ามดี อกไม้บานสะพรัง่ มรรคาก็เหมาะแก่การ ที่จะเดินทาง ควรท่ีพระพุทธองค์จะเสด็จกรุงกบิลพัสดุ์เพ่ือโปรดพระพุทธบิดา และพระประยูรญาติ พระกาฬุทายีเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้า พรรณนาเส้นทางเสด็จ พระพุทธดําเนินไปยังพระนครแห่งราชสกุลของพระพุทธองค์ด้วยคาถาประมาณ ๖๐ คาถา ว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในฤดูกาลนี้มวลไม้ในราวป่ากําลัง ผลัดใบเก่าร่วงหล่นไป ใบใหม่แตกยอดผลิดอกบานสะพรั่ง สีแดง สว่างไสว เรืองรุ่ง ดุจเปลวเพลิง ส่งกล่ินหอมฟุ้งตลบไปท่ัวทิศ น่ารืน่ รมยใ์ จ บา้ งกผ็ ลดิ อกออกผลหลากชนดิ งดงามยงิ่ กาลนเี้ ปน็ กาล ท่ีสมควรจะจาริกไป ขอเชิญพระพิชิตมารเสด็จกรุงกบิลพัสดุ์ อันเป็น พระนครแหง่ ราชสกุล เพอื่ อนเุ คราะห์หมูพ่ ระประยูรญาติ ข้าแต่พระมหามุนี ฤดูน้ีเป็นฤดูที่ไม่หนาวนัก ไม่ร้อนนัก อากาศเยน็ สบาย ทั้งมรรคาก็สะดวก ภาคพ้ืนมีหญา้ สีเขยี วขจี อาหาร หาได้ง่าย ไม่แร้นแค้น ขอพวกศากยะและโกลิยะทั้งหลายจงได้ เขา้ เฝา้ พระองค์ ทแ่ี มน่ �้ำ โรหณิ ี ชาวนาไถนาหวา่ นกลา้ ดว้ ยหวงั ผล พอ่ คา้
ท ศ ช า ติ 531 พ ร ะ เ ว ส สั น ด ร ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง แล่นเรือออกมหาสมุทรไปค้าขายก็หวังทรัพย์ หมู่พระประยูรญาติ อยู่ที่พระนครก็หวังท่ีจะเห็นพระองค์เสด็จสู่พระนครแห่งราชสกุล เมื่อฝนตกต้องตามฤดูกาลชาวนาก็ได้ไถนาหว่านพืช แว่นแคว้นก็ อุดมสมบูรณ์ด้วยพืชพันธ์ุธัญญาหาร พวกยาจกเท่ียวขอทานอยู่เป็น ประจํา เป็นเหตุให้ผู้เป็นทานบดีมีโอกาสให้ทานบ่อย ๆ คร้ันให้ทาน บ่อย ๆ ย่อมไดไ้ ปสูส่ วรรค์ บรุ ษุ ผมู้ คี วามเพยี ร มปี ญั ญากวา้ งขวาง เกดิ ในสกลุ ใดยอ่ มทาํ สกุลนั้นให้บริสุทธิ์สะอาด ข้าพระองค์เข้าใจว่า พระองค์เป็นเทพเจ้า ทป่ี ระเสรฐิ กวา่ เทพเจา้ ทงั้ หลาย ทรงสามารถทาํ ใหส้ กลุ บรสิ ทุ ธิ์ เพราะ พระองค์เกิดแล้ว โดยอรยิ ชาตไิ ดส้ ัจจะนามวา่ “นักปราชญ”์ สมเดจ็ พระบิดาของพระองค์พระนามว่า สุทโธทนะ และพระนางเจ้า สริ มิ หามายาเปน็ พระมารดาของพระพทุ ธองค์ ทรงทะนถุ นอมพระองค์ ผู้เป็นพระโพธิสัตว์มาด้วยพระครรภ์ บัดนี้พระนางเจ้าเสด็จสวรรคต ไปบันเทิงอยู่ในไตรทิพย์ พร่ังพร้อมด้วยกามคุณอันเป็นทิพย์ มีหมู่ นางฟ้าห้อมล้อม บันเทิงอยู่ด้วยเบญจกามคุณ แม้ข้าพระองค์ก็เป็น บตุ รของพระพทุ ธเจา้ ผไู้ มม่ สี งิ่ ใดจะย�ำ่ ยไี ด้ มพี ระรศั มแี ผซ่ า่ นออกจาก พระวรกาย ไมม่ ีผู้เปรยี บปาน ผคู้ งที่ พระองค์เป็นบดิ าของบิดา เป็น พระอัยกาของข้าพระองคโ์ ดยธรรม ฯลฯ ระหว่างสองข้างทางสู่มหานครแห่งราชสกุลมีบ้านและนิคม ต้ังเรียงราย ประชาชนต่างมีศรัทธาเล่ือมใสนับถือพระรัตนตรัย พวกเขาล้วนตั้งหน้าตั้งตารอคอยพระองค์ บัดน้ีเป็นเวลาสมควรแล้ว ที่พระองค์จะเสด็จพระนครแห่งราชสกุล เพื่ออนุเคราะห์หมู่ พระประยรู ญาติ พระบรมศาสดาตรสั ถามพระกาฬุทายีวา่ “กาฬทุ ายี เพราะเหตไุ ร เธอจึงพรรณนาเสน้ ทางสู่กบิลพัสดุ์นครดว้ ยถ้อยคําอันไพเราะเช่นน”้ี
พ ร ะ เ ว ส สั น ด ร 532 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง พระกาฬุทายีกราบทูลให้ทรงทราบว่า “พระเจ้าสุทโธทนะ พระพุทธบิดา มีพระประสงค์จะพบพระองค์ ขอพระองค์เสด็จสู่ กบลิ พัสดน์ุ คร เพอื่ สงเคราะหพ์ ระชนกและพระประยูรญาตทิ ั้งหลาย” พระบรมศาสดารับคําพระกาฬุทายีเถระแล้วจึงทรงรับสั่งให้แจ้งข่าว ภิกษุสงฆ์เพื่อเตรียมการเสด็จสู่กรุงกบิลพัสด์ุ ครั้นแล้วพระพุทธองค์แวดล้อม ด้วยพระภิกษุสงฆ์อรหันตขีณาสพจํานวนมาก ทรงคํานวณเส้นทางจากกรุง ราชคฤห์ถึงกรงุ กบลิ พัสดุ์ประมาณ ๖๐ โยชน์ เดินทางวันละ ๑ โยชน์๒ ใชเ้ วลา เดนิ ทางประมาณ ๒ เดอื น จึงเสดจ็ จารกิ ไปโดยไมร่ ีบเรง่ ภิกษุสงฆ์อรหันตขีณาสพที่ตามเสด็จองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สู่กรุงกบิลพัสด์ุในครั้งนั้นมีจํานวนถึง ๒๐,๐๐๐ องค์ ได้แก่ พระภิกษุกุลบุตร ชาวแคว้นอังคะและแคว้นมคธ จํานวน ๑๐,๐๐๐ องค์ พระภิกษุกุลบุตร ชาวกรงุ กบลิ พัสดุ์ทเ่ี ป็นทูตมาทลู เชญิ เสด็จ จํานวน ๑๐,๐๐๐ องค์ พระกาฬุทายีคิดว่าควรจะไปทูลความท่ีพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จมา ให้พระเจา้ สทุ โธทนะทรงทราบ จงึ เหาะไปทางอากาศ ปรากฏในพระราชนิเวศน์ ครงั้ แรกพระราชาทรงจาํ พระกาฬทุ ายเี ถระไมไ่ ดเ้ นอ่ื งจากเครอื่ งแตง่ ตวั เปล่ียนไป เม่ือพระเถระทูลให้ทราบว่าท่านคือกาฬุทายีอำ�มาตย์จึงตรัสถามถึง พระบรมศาสดา พระเถระทลู ใหท้ ราบวา่ พระบรมศาสดาพรอ้ มดว้ ยพระภกิ ษสุ งฆ์ เป็นจํานวนมากกําลังเสด็จมา ขณะน้ีอยู่ในระหว่างทาง พระราชาทรงดีพระทัย ๒ ระยะทาง ๑ โยชน์ คิดเป็นระยะทางในสมัยปัจจุบันประมาณ ๑๖ กิโลเมตร คิดตามมาตราวัดสมัยพุทธกาล ระยะทางจากกรุงกบิลพัสดุ์ไปวัดเวฬุวัน กรุงราชคฤห์ ๖๐ โยชน์ ประมาณ ๙๖๐ กิโลเมตร พระพุทธองค์ต้องใช้เวลาเดินทางจากวัดเวฬุวัน กรุงราชคฤห์ ไปโปรดพระประยูรญาติที่กรุงกบิลพัสด์ุ และเดินทางกลับมาจําพรรษา ทีว่ ดั เวฬวุ นั กรงุ ราชคฤห์อกี คร้ัง ซึง่ มเี วลาประมาณ ๒ เดอื น ก่อนเข้าพรรษาที่ ๒
ท ศ ช า ติ 533 พ ร ะ เ ว ส สั น ด ร ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง นมิ นตพ์ ระเถระใหฉ้ นั บณิ ฑบาตกอ่ น แลว้ นาํ บณิ ฑบาตจากพระราชนเิ วศนไ์ ปถวาย พระพุทธองค์ พระเถระเหาะกลับไปทางอากาศท่ามกลางสายตาของชาวกรุง กบลิ พัสดุ์ นาํ บณิ ฑบาตมาถวายพระบรมศาสดา พระพทุ ธเจา้ เสวยบณิ ฑบาตนนั้ ในระหวา่ งทางเสดจ็ สกู่ รงุ กบลิ พสั ดุ์ พระเถระไดน้ าํ บณิ ฑบาตมาถวายพระพทุ ธเจา้ เช่นนท้ี กุ วัน แม้พระบรมศาสดาก็เสวยเฉพาะบิณฑบาตของพระชนกเท่านัน้ พระเถระกราบทูลพระราชาทุกวันว่า วันน้ีพระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จมาถึงตรงนี้ ๆ เป็นเหตุให้ราชสกุลต่างก็ยินดี เกิดความเสื่อมใส พระบรมศาสดามากยิง่ ข้ึนทง้ั ท่ยี ังไมไ่ ด้เห็นพระองค๓์ เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จมาใกล้ถึงกบิลพัสดุ์นคร เจ้าศากยะท้ังหลาย ต่างพากันตื่นเต้น คิดว่าจะได้เห็นพระญาติผู้ประเสริฐของเรา จึงประชุมกัน พจิ ารณาหาสถานท่ีประทับของพระพทุ ธเจ้า อุทยานของเจ้านิโครธศากยะร่มรื่น น่าอยู่อาศัย จึงตกลง ปรบั ปรงุ เปน็ ทร่ี ับเสดจ็ พระพุทธองค์ เมอื่ พระพทุ ธเจา้ เสดจ็ มาถงึ พระนคร เจา้ ศากยะไดจ้ ดั การตอ้ นรบั อยา่ ง ย่งิ ใหญอ่ ลงั การ ดว้ ยการใหเ้ ด็กชายและเดก็ หญงิ คนหนมุ่ สาวชาวกบิลพัสดุ์นคร ไปตงั้ แถวถอื ของหอมและดอกไม้ แตง่ ตวั ดว้ ยเครอ่ื งประดบั อนั งดงาม เดนิ นาํ หนา้ ตามด้วยพระราชกุมารและพระราชกุมารี ส่วนเจ้าศากยะท้ังหลายถือของหอม ดอกไม้ตามเสด็จมาข้างหลงั ๓ ในเวลาตอ่ มาพระบรมศาสดาจงึ ทรงสรรเสรญิ พระกาฬทุ ายเี ถระวา่ เปน็ เลศิ กวา่ ภิกษุท้ังหลายด้านทําให้ราชสกุลเกิดความเล่ือมใส ด้วยพระดํารัสว่า “ภิกษุท้ังหลาย พระกาฬุทายนี ้เี ป็นเลศิ กว่าพระสาวกท้ังหลายของเรา ผูย้ งั ราชสกลุ ใหเ้ ลอื่ มใส”
พ ร ะ เ ว ส สั น ด ร 534 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง พระราชกุมารและพระราชกุมารีนําเสด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าไปยัง นโิ ครธาราม พวกเจ้าศากยะต้อนรับพระพุทธเจ้าในฐานะเจ้าชาย ผู้จะก้าวขึ้นเป็น พระมหากษัตริย์แห่งกรุงกบิลพัสด์ุ มิใช่ในฐานะพระบรมศาสดาเอกของโลก จึงยังเป็นผู้ถอื ตัวสูงในเรื่องชาตสิ กุล ต่างดำ�ริกนั วา่ “พวกตนเปน็ พระกนษิ ฐา เปน็ พระภาคไิ นย เปน็ พระโอรส สทิ ธตั ถะเปน็ หลาน จะถวายการเคารพ ได้อย่างไร” จงึ ประทบั อย่หู า่ ง ๆ ดว้ ยอาการเคอะเขิน รบั ส่งั ให้พระราชกุมาร ทย่ี งั หนมุ่ เขา้ ไปนั่งใกล้พระพุทธเจา้ เจ้าศากยะผู้ใหญ่ท้ังหลายมิได้กราบไหว้ถวายความเคารพ พากัน นัง่ เฉยอยู่ พระพทุ ธองค์ทราบอธั ยาศัย เพ่ือจะทาํ ลายมานะของพระประยูรญาติ จึงทรงเขา้ จตุตถฌาน อันเปน็ บาทแหง่ อภญิ ญา ออกจากจตุตถฌานแล้วเหาะขึน้ ส่ทู ้องฟ้า ทรงแสดงยมกปาฏหิ ารยิ ๔์ ปานประหน่ึงจะโปรยปรายละอองธุลีพระบาทลงบนพระเศียรของพวก เจ้าศากยะ ๔ ยมกปาฏิหาริย์ ประกอบดว้ ยลักษณะดังน้ี เปลวไฟพุ่งออกจากพระกายเบ้ืองบน สายธารพุ่งออกจากพระกายเบื้องล่าง เปลวไฟพุ่งออกจากพระกายเบื้องล่าง สายธารพุ่งออกจากพระกายเบื้องบน เปลวไฟ พุ่งออกจากพระกายเบ้ืองหน้า สายธารพุ่งออกจากพระกายเบ้ืองหลัง เปลวไฟพุ่งออกจาก พระกายเบื้องหลัง สายธารพุ่งออกจากพระกายเบื้องหน้า เปลวไฟพุ่งออกจากพระเนตร เบ้ืองขวา สายธารพุ่งออกจากพระเนตรเบ้ืองซ้าย เปลวไฟพุ่งออกจากพระเนตรเบื้องซ้าย สายธารพงุ่ ออกจากพระเนตรเบื้องขวา โดยทํานองเดียวกันน้ี เปลวไฟและสายธารพุ่งออกจากเบ้ืองซ้ายและเบ้ืองขวา ของช่องพระกรรณ ช่องพระนาสิก พระอังสะ พระหัตถ์ พระปรัศว์ พระบาท พระองคุลี ขุมพระโลมาแต่ละขุม และในพระวรกายส่วนอื่น ๆ ของพระพุทธองค์ ต้ังแต่พระศอลงไป จนถงึ พระบาท
ท ศ ช า ติ 535 พ ร ะ เ ว ส สั น ด ร ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง พระเจ้าสุทโธทนะทอดพระเนตรเห็นความอัศจรรย์เช่นนั้นจึงตรัสเล่า ความหลังว่า “ในวันท่ีพระองค์ประสูติ หม่อมฉันได้เห็นพระบาทของ พระองค์ ขณะถูกอมุ้ เข้าไปใหไ้ หว้กาฬเทวิลดาบส กลบั ไปประดษิ ฐาน บนชฎาของดาบส หมอ่ มฉนั กไ็ ดไ้ หวพ้ ระองค์ นน่ั เปน็ การไหวค้ รงั้ แรก ของหม่อมฉัน ในวันวัปปมงคลแรกนาขวัญ หม่อมฉันก็ได้เห็นร่มเงา ไม้หว้าท่ีพระองค์น่งั ขัดสมาธิอยูบ่ นพระแท่น มิไดค้ ล้อยไปตามตะวนั ก็ได้ไหว้พระองค์ น่ันเป็นการไหว้คร้ังที่ ๒ บัดนี้ได้เห็นปาฏิหาริย์ ทไี่ มเ่ คยเหน็ มากอ่ นในชีวิต จึงขอไหว้พระองคอ์ ีกครั้ง นับเปน็ การไหว้ ครัง้ ที่ ๓ ของหม่อมฉัน” เม่ือพระราชาถวายบังคมแล้ว เหล่าเจ้าศากยะทั้งหลายก็พากัน ถวายบงั คมตามทงั้ หมด พระพทุ ธเจา้ เสดจ็ ลงจากอากาศ ประทบั นงั่ บนพทุ ธอาสน์ จากนนั้ ฝนโบกขรพรรษไดต้ กลงมา น�้ำ ฝนนน้ั มสี แี ดง ผปู้ ระสงคใ์ หเ้ ปยี ก จึงจะเปียก ฝนโบกขรพรรษแม้ว่าหยดเดียวก็ไม่ตกลงบนร่างกายของผู้ที่ ไม่ประสงค์จะให้เปียก เจ้าศากยะทั้งปวงเห็นดังนั้นเกิดอัศจรรย์ใจ เล่ือมใส อย่างมาก เมอ่ื เจา้ ศากยะท้ังปวงฟงั พระธรรมกถาจบลงกเ็ สด็จลกุ ขึ้น ถวายบังคม แล้วพากันกลับไป ไม่มีพระราชาหรือมหาอํามาตย์ของพระราชาพระองค์ใด กราบทูลพระบรมศาสดาใหท้ รงรบั ภัตตาหารในวันรุ่งข้ึนแมแ้ ต่ผู้เดียว ภายหลังจากหมู่พระประยูรญาติกลับพระราชนิเวศน์ไปแล้ว ตะวันบ่ายคล้อยไปสู่สายัณห์กาล แดดอ่อนยามเย็นสาดแสงทะลุ ม่านเมฆผ่านละอองฝนลงทาบวัดนิโครธาราม แม้จะเป็นยามเย็น แต่บรรยากาศกลับคล้ายยามรุ่งอรุณ ดอกไม้ในอุทยานนิโครธาราม ผลดิ อกบานสะพรงั่ สง่ กลนิ่ หอมอบอวลราวกบั ยามเชา้ แมห้ มนู่ กกโ็ ผบนิ กลับรวงรงั อยา่ งลังเล ไมแ่ น่ใจวา่ เป็นยามรุง่ อรุณหรือสายณั หก์ าล
พ ร ะ เ ว ส สั น ด ร 536 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ขณะน้ันหมู่พระภิกษุออกจากที่พักมาน่ังชุมนุมสนทนากันถึงฝน ทตี่ กลงมาอย่างน่าประหลาดและบรรยากาศท่นี ่าอัศจรรย์ พระพุทธองค์เสด็จมาสู่วงสนทนาของหมู่พระภิกษุสงฆ์ ตรัสถามถึง เร่ืองท่ีกําลังสนทนากัน เม่ือภิกษุกราบทูลให้ทรงทราบจึงตรัสแย้มว่า “ฝนน้ี เรียกว่า “ฝนโบกขรพรรษ” ตกลงในสมาคมแห่งพระญาติของเรา ในปัจจุบันชาติหาได้เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ไม่ แต่ในอดีตกาลเมื่อเรา เกิดเป็นพระโพธิสัตว์นามว่า “เวสสันดร” บําเพ็ญบารมีธรรม เพ่ือพระโพธิญาณจนเป็นเหตุให้ฝนโบกขรพรรษตกในสมาคม แหง่ พระญาติ นัน่ สเิ ปน็ เรื่องนา่ อัศจรรยก์ ว่า” พวกภิกษุสงฆ์ต่างพากันกราบทูลให้พระองค์ทรงเล่าเร่ืองราวของ พระเวสสันดรให้ฟัง จากนั้นพระพุทธองค์จึงได้ตรัสเร่ือง “เวสสันดรชาดก” ซ่ึงเป็นชีวติ ในอดีตชาตขิ องพระองค์ พร ๑๐ ประการ ในอดตี ชาตไิ ดม้ พี ระราชาพระนามวา่ “สพี มี หาราช” ครองราชสมบตั ิ ในกรงุ เชตดุ ร แควน้ สพี ี พระองคม์ พี ระโอรสองคห์ นงึ่ พระนามวา่ “สญชยั กมุ าร” เมื่อสญชัยกุมารเจริญวัย ได้อภิเษกสมรสกับ “พระนางผุสดี” พระธิดาของ พระเจา้ มทั ทราช ตอ่ มาพระเจา้ สพี ที รงอภเิ ษกสญชยั ราชกมุ าร ขน้ึ ครองราชสมบตั ิ และสถาปนาพระนางผุสดเี ปน็ อัครมเหสี พระนางผุสดนี ้ันไดบ้ �ำ เพญ็ บารมีมาตง้ั แตพ่ ระพุทธเจ้าพระองค์ก่อน นับย้อนกลับไป ๙๑ กัป เป็นยุคท่ีพระบรมศาสดา พระนามว่า “วิปัสสี” เสด็จอบุ ตั ิข้ึน ตรสั รเู้ ป็นพระพุทธเจ้าในโลก
ท ศ ช า ติ 537 พ ร ะ เ ว ส สั น ด ร ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง สมัยนั้น “พระเจ้าพันธุมราช” ครองราชสมบัติ ในนครพันธุมดี พระองคม์ ีพระธิดา ๒ องค์ กาลต่อมาพระราชาพระองค์หนึ่งได้ส่งดอกไม้ทองราคาหนึ่งแสน กับแก่นจันทน์มีค่ามากมาเป็นเครื่องบรรณาการ พระเจ้าพันธุมราชประทาน แกน่ จนั ทน์แกพ่ ระธดิ าองคใ์ หญ่ ประทานดอกไม้ทองแกพ่ ระธดิ าองคเ์ ลก็ ขณะนน้ั พระวปิ สั สพี ทุ ธเจา้ ประทบั อยู่ ณ เขตมฤคทายวนั ในนครพนั ธมุ ดี พระธิดาท้ังสองพระองค์ประสงค์จะนําของพระราชทานไปบูชาพระบรมศาสดา จึงได้กราบทูลพระบิดา เมื่อได้รับอนุญาตพระธิดาองค์ใหญ่จึงบดแก่นจันทน์ ให้ละเอียดบรรจุลงในผอบทองคํา ส่วนพระธิดาองค์เล็กให้ทําดอกไม้ทองคํา เป็นมาลาปดิ ทรวง นําไปถวายพระพุทธเจ้าท่มี ฤคทายวันวิหาร พระธดิ าองคใ์ หญไ่ ดต้ ง้ั ความปรารถนาใหไ้ ดเ้ ปน็ มารดาของพระพทุ ธเจา้ พระองคใ์ ดพระองค์หนึง่ ในอนาคตกาล สว่ นพระธดิ าองคเ์ ลก็ ไดต้ งั้ ความปรารถนาวา่ ทกุ ชาตทิ เ่ี กดิ ขอใหร้ า่ งกาย งดงามเหมอื นประดบั ดว้ ยเครอื่ งประดบั นต้ี ลอดไป จนกวา่ จะบรรลพุ ระอรหตั ผล พระบรมศาสดาได้อนโุ มทนาพระธิดาท้ังสองพระองค์ ครน้ั พระธดิ าทงั้ สองพระองคส์ นิ้ พระชนมไ์ ดไ้ ปเกดิ ในเทวโลก เวยี นวา่ ย ตายเกดิ อยู่ในเทวโลกและมนษุ ย์โลกหลายภพหลายชาต๕ิ เม่ือพระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะเสด็จอุบัติขึ้นในโลก พระธิดา องค์เล็กได้มาเกิดเป็นพระธิดาของพระเจ้ากิกีราช พระนามว่า “เจ้าหญิง ๕ ต่อมาพระราชธิดาองค์ใหญ่ได้มาเกิดเป็นพระพุทธมารดา มีพระนามว่า “มหามายาเทวี” ตามความปรารถนา พระธดิ าองคเ์ ลก็ ไดบ้ รรลพุ ระอรหัตไปกอ่ นในสมยั พระกสั สปพุทธเจา้
พ ร ะ เ ว ส สั น ด ร 538 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง อุรัจฉทาราชกุมารี” เพราะมีพระสิริโฉมงดงาม หน้าอกเหมือนมีเคร่ือง ประดับงดงามอยู่ตลอดเวลา เมื่อเจา้ หญิงอุรจั ฉทามอี ายุ ๑๖ ปี สดับเทศนาของ พระกสั สปพุทธเจ้า ไดบ้ รรลโุ สดาปตั ติผล ต่อมา ในวันท่ีพระบิดาสดับเทศนาจนได้บรรลุโสดาปัตติผล ส่วนตัว เจา้ หญิงอุรจั ฉทาไดบ้ รรลุอรหัตผล จึงผนวชแล้วนิพพาน นอกจากเจ้าหญงิ อรุ จั ฉทาแลว้ พระเจ้ากิกรี าชยงั มีพระธิดาอีก ๗ องค์ คือ เจ้าหญิงสมณี เจ้าหญิงสมณคุตตา เจ้าหญิงภิกษุณี เจ้าหญิงภิกขุทาสิกา เจ้าหญิงธรรมา เจ้าหญงิ สธุ รรมา และเจา้ หญิงสงั ฆทาส๖ี เจ้าหญิงสุธรรมาได้บําเพ็ญบุญโดยประการต่าง ๆ และด้วยอานิสงส์ แห่งการบูชาพระวิปัสสีพุทธเจ้า ด้วยจุณจันทน์ในอดีตชาติ ครั้นส้ินชีวิตจึงได้ ไปเกิดในสวรรค์ช้ันดาวดึงส์ เป็นอัครมเหสีของท้าวสักกเทวราช มีนามว่า “ผสุ ดเี ทพธิดา” ตอ่ มา ทา้ วสกั กเทวราชทราบวา่ ผสุ ดเี ทพธดิ าจะสนิ้ อายุ เพราะปรากฏ บุรพนิมิตท่ีเป็นเหตุให้รู้ว่าเทวดาจะสิ้นอายุ คือ ดอกไม้ท่ีประดับเหี่ยวแห้ง พัสตราภรณ์ที่สวมใส่เศร้าหมอง เหง่ือไหลออกจากรักแร้ ผิวพรรณเศร้าหมอง และหมดความยินดีในทิพยสมบัติของตน จึงนําไปยังอุทยานนันทวัน บอกให้ ทราบวา่ ถงึ เวลาต้องไปเกิดเปน็ มนุษย์ นางผสุ ดเี ทพธดิ าแสดงอาการเศรา้ โศกเสยี ใจ ทา้ วสกั กะจงึ ตรสั ปลอบวา่ “บาปกรรม เธอไมไ่ ดท้ าํ ไวเ้ ลย ทง้ั ไมใ่ ชว่ า่ เราไมร่ กั เธอ แตเ่ ปน็ เพราะเธอ หมดบุญแลว้ ความตายใกลเ้ ธอเขา้ มาทกุ ขณะ อยา่ ได้เศรา้ โศกเสียใจ ๖ ในยุคพระพทุ ธเจ้าของเรา พระราชธิดาทั้ง ๗ ของพระเจ้ากกิ ีราชได้มาเกดิ เป็น บคุ คลเหลา่ นี้ คอื ๑. นางเขมา ๒. นางอบุ ลวรรณา ๓. นางปฏาจารา ๔. พระนางโคตมี ๕. นางธรรมทินนา ๖. พระนางมหามายา และ ๗. นางวิสาขามหาอบุ าสกิ า
ท ศ ช า ติ 539 พ ร ะ เ ว ส สั น ด ร ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง เธอจะต้องพลดั พรากจากไป เราจะใหพ้ ร ๑๐ ประการ” ผสุ ดีเทพกัญญา รูว้ ่าตอ้ งจตุ แิ นแ่ ล้ว จงึ ทลู ขอพร ๑๐ ประการ ดงั นี้ ๑. ขอให้มีนยั น์ตาดําสนทิ ดุจตาลูกเนือ้ ทราย ๒. ขอใหม้ ีพระโขนงดาํ สนิทดุจสร้อยคอนกยูง ๓. ขอใหเ้ กดิ ในพระราชนิเวศน์ มนี ามวา่ “ผุสด”ี ๔. ขอให้พระนางได้พระโอรสผู้ทรงเกียรติกว่ากษัตริย์ทั้งปวง และให้เปน็ ผูม้ พี ระราชศรทั ธาในการกศุ ล ๕. ขออยา่ ให้มีพระครรภ์นนู อย่างสตรีทวั่ ไป ๖. ขออย่าให้พระถันทั้งคู่ดําในเวลาทรงครรภ์ และในเวลาคลอด พระโอรสกอ็ ย่าใหห้ ยอ่ นยาน ๗. ขออย่าให้มีพระเกศาหงอก ขอให้มีพระเกศาดําสนิทเหมือนปีก แมลงคอ่ มทองตลอดเวลา ๘. ขอใหม้ พี ระฉวีวรรณละเอียดดจุ ทองธรรมชาติ ๙. ขอให้มอี าํ นาจปล่อยนักโทษประหารได้ ๑๐. ขอใหไ้ ด้เป็นอัครมเหสขี องพระเจ้าสพี รี าช ท้าวสักกเทวราชประทานพรตามท่พี ระนางผุสดขี อ ก�ำ เนิดพระเวสสันดร ผุสดีเทพกัญญารับพรแล้วจุติจากสวรรค์ช้ันดาวดึงส์มาเกิดเป็นธิดา พระเจา้ มทั ทราช พระญาติท้งั หลายขนานพระนามว่า “ผสุ ด”ี ตามนามเดมิ นน้ั คร้ันพระนางผุสดีทรงเจริญวัยมีพระชนม์ได้ ๑๖ ชันษาก็มีพระสิริโฉมงดงามย่ิง ตามท่ีปรารถนาไว้
พ ร ะ เ ว ส สั น ด ร 540 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ตอ่ มาพระเจา้ สพี ไี ดส้ ละราชสมบตั ใิ หพ้ ระราชโอรสปกครอง ทรงอภเิ ษก สมรสพระนางผุสดีกับสญชัยกุมาร และสถาปนาพระนางผุสดีให้เป็นพระอัคร มเหสขี องสญชยั ราชโอรส พระนางผสุ ดไี ดเ้ ปน็ ทร่ี กั ของพระเจา้ สญชัยอย่างมาก ท้าวสักกเทวราชทรงหวนระลึกถึงพระนางก็ทรงทราบว่าพระนางผุสดี ได้พร ๙ ประการตามความปรารถนาแล้ว แต่ยังไม่ได้พระโอรสผู้ประเสริฐ อนั เปน็ พรอีกข้อหนึ่ง ในกาลนั้นพระโพธิสัตว์สถิตอยู่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ท้าวสักกะทรง ทราบวา่ อายพุ ระโพธสิ ตั วห์ มดแลว้ จงึ ไปเชญิ ใหไ้ ปเกดิ ในโลกมนษุ ยเ์ ปน็ พระโอรส พระนางผุสดี อัครมเหสีของพระเจ้าสีพีราช กรุงเชตดุ ร พรอ้ มท้ังเหลา่ เทพบุตร หกหม่ืนองค์ พระโพธิสัตว์จุตจิ ากเทวโลกไปเกดิ ในพระครรภ์พระนางผุสดี เทพบตุ ร หกหมน่ื ก็บงั เกดิ เป็นลูกอาํ มาตยห์ กหมื่นตระกูลเช่นกนั ขณะพระนางผสุ ดีทรงครรภ์ ทรงแพ้พระครรภ์ ประสงค์จะให้ สรา้ งโรงทาน ๖ แหง่ คอื ทป่ี ระตพู ระนครทงั้ ๔ ทที่ า่ มกลางพระนคร ๑ ทป่ี ระตูพระราชวัง ๑ ทรงสละพระราชทรพั ยห์ กแสนกหาปณะ บริจาค ทานทกุ วัน พระเจา้ สญชยั จงึ เรยี กพราหมณม์ าทาํ นายนมิ ติ ไดร้ บั การทลู พยากรณ์ วา่ “พระโอรสผยู้ นิ ดยี ง่ิ ในทานจะมาอุบัตใิ นพระครรภ์พระราชเทว”ี พระราชาทรงยินดียิ่ง จึงโปรดให้สร้างโรงทาน เริ่มบริจาคทานต้ังแต่ เวลาที่พระโพธิสัตว์ยังอยู่ในพระครรภ์ ส่วนการเก็บภาษีอากรเข้าพระคลังหลวง กเ็ พ่มิ ขนึ้ เหลอื ประมาณด้วยบุญญาธกิ ารแหง่ พระโพธิสตั ว์ พระราชาในชมพทู วปี ทง้ั หมดตา่ งสง่ บรรณาการไปถวายพระเจา้ สญชยั คร้ันครบ ๑๐ เดือนบริบูรณ์ พระนางผุสดีประสงค์จะทอดพระเนตรพระนคร
ท ศ ช า ติ 541 พ ร ะ เ ว ส สั น ด ร ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง พระเจ้าสญชัยจึงให้ตกแต่งพระนครให้พระราชเทวีทรงรถพระท่ีน่ังทําประทักษิณ พระนคร เมอ่ื พระนางเสดจ็ ถงึ ถนนยา่ นพอ่ คา้ เกดิ ปวดครรภ์ ทหารนาํ ความกราบ บังคมทูลพระราชา พระเจ้าสญชัยรับส่ังให้ทําพลับพลาสําหรับประสูติท่ามกลาง ถนนย่านพ่อค้า ให้ต้ังกองรักษาการณ์ พระนางเจ้าผุสดีประสูติพระโอรสท่ีถนน ย่านพอ่ ค้านนั้ พระโพธิสัตว์ประสูติจากพระครรภ์พระมารดา เป็นผู้บริสุทธ์ิ ลืมตา ทงั้ สองขน้ึ เหยยี ดพระหตั ถต์ อ่ พระมารดา ตรสั วา่ “แมจ่ า๋ หมอ่ มฉนั จะบรจิ าค ทาน แม่มที รัพยอ์ ะไรอย่บู า้ ง๗” พระชนนตี รัสตอบว่า “ลูกจงบริจาคทาน ตามอัธยาศัยเถิด” แลว้ วางถงุ เงินพนั กหาปณะในมอื น้อย ๆ ท่ีแบขออยู่ พระประยูรญาติได้ถวายพระนามว่า “เวสสันดร” เพราะพระองค์ ประสูตใิ นระหว่างถนนย่านพอ่ คา้ ในวันท่ีพระเวสสันดรประสูติ มีนางช้างพังตระกูลฉัททันต์เชือกหน่ึง ได้นําลูกช้างต้องตามคชลักษณ์อันเป็นมงคลมาไว้ที่โรงช้างต้น ส่วนตนเอง กลับสู่ป่าตามเดิม ลูกช้างน้ันเป็นช้างเผือก ขาวบริสุทธ์ิ ประชาชนต่างชื่นชม ในพระบารมแี ละใหช้ อื่ วา่ “ปจั จยนาเคนทร”์ เพราะชา้ งนนั้ เกดิ ขนึ้ โดยมพี ระกมุ าร เป็นปจั จยั พระราชาได้ประทานนางนมแก่พระราชกุมาร และเด็กหกหมื่นคน ผเู้ ปน็ สหชาติ พระราชกุมารทรงเจรญิ วัย โดยมเี ด็กหกหมืน่ คนเป็นบรวิ าร ๗ พระโพธสิ ัตว์ พอประสตู แิ ลว้ ไดต้ รัสกับพระมารดา ๓ ชาติ ดังน้ี ๑. เมื่อเสวยพระชาตเิ ปน็ พระมโหสถบัณฑิตในอุมมงั คชาดก ๒. เมอื่ เสวยพระชาตเิ ปน็ พระเวสสนั ดรในเวสสันดรชาดก ๓. เมอ่ื เกดิ เปน็ เจ้าชายสทิ ธัตถะในชาติสดุ ท้ายและได้ตรสั รเู้ ป็นพระพทุ ธเจ้า
พ ร ะ เ ว ส สั น ด ร 542 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง บรจิ าคเครือ่ งประดับ พระเวสสันดรกุมารทรงมีน้ำ�พระทัยเป่ียมไปด้วยเมตตา บริจาคทาน อยเู่ ปน็ ประจาํ เมอื่ มพี ระชนมายไุ ด้ ๕ ชนั ษา พระราชบดิ าใหช้ า่ งทาํ เครอื่ งประดบั พระราชทานแด่พระองค์ สิ้นค่าใช้จ่ายถึงแสนกหาปณะ พระราชกุมารเปล้ือง เครื่องประดับน้ันประทานแก่เหล่านางนม แม้นางนมน้ันจะถวายคืนก็ไม่ทรงรับ พวกนางนมกราบทูลให้พระราชาทรงทราบ พระราชาทรงเห็นว่า อาภรณ์ที่ลูก ให้ทานแล้วเป็นส่ิงที่ดี จึงให้ช่างทําเครื่องประดับพระราชทานอีก พระราชกุมาร ไดป้ ระทานเคร่อื งประดบั ท่ีพระราชบดิ าประทานให้เหลา่ นางนมถึง ๙ ครงั้ ขณะมพี ระชนมายไุ ด้ ๘ ชนั ษา พระราชกมุ ารเสดจ็ สปู่ ราสาท ทรงดาํ รวิ า่ “เราใหท้ านดว้ ยของนอกกายอยา่ งเดยี วหาทาํ ใหเ้ รายนิ ดไี ม่ เราตอ้ งการ ให้ทานภายใน ถ้าใครขอหทัย เราก็จะผ่าอกเอาหทัยให้ ถ้าใครขอ ดวงตา เรากจ็ ะควกั ดวงตาท้งั สองขา้ งให้ ถ้าใครขอเน้อื ในกาย เรากจ็ ะ เชอื ดเนอ้ื ให้ ถา้ ใครขอเลอื ด เรากจ็ ะกรดี เลอื ดให้ หรอื แมถ้ า้ ใครตอ้ งการ ให้เราเปน็ ทาส เราก็ยนิ ดยี อมตัวเปน็ ทาสเขาผนู้ ัน้ ” เม่ือพระเวสสันดรทรงคํานึงถึงการให้ทานภายในเช่นนี้ แผ่นดินก็ หว่ันไหว ขุนเขาก็ส่ันคลอน ท้องฟ้าก็คะนองล่ันตามเสียงปฐพี ฝนลูกเห็บก็ตก สายอสนี แมม้ ใิ ชก่ าลกเ็ ปลง่ แสงแวบวาบ สาครเกดิ คลน่ื ปว่ นปนั่ ทา้ วสกั กเทวราช ก็ประนมพระหัตถ์ ท้าวมหาพรหมก็ให้สาธุการ เกิดเสียงกึกก้องโกลาหล ขน้ึ ไปจนถึงพรหมโลก
ท ศ ช า ติ 543 พ ร ะ เ ว ส สั น ด ร ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง บรจิ าคช้างปัจจยนาเคนทร์ ขณะพระโพธิสัตวม์ ีพระชนมายุได้ ๑๖ ชนั ษา พระองค์ก็ไดส้ าํ เรจ็ การ ศกึ ษาศลิ ปะทกุ ศาสตร๘์ พระราชบิดาทรงประสงค์จะประทานราชสมบัติให้พระเวสสันดร ปกครอง และตรัสขอพระนาง “มัทรี” พระราชธดิ ากษตั ริย์ราชวงศแ์ ห่งมัททราช มาอภเิ ษกใหเ้ ปน็ อคั รมเหสี ครน้ั พระเวสสนั ดรไดร้ บั อภเิ ษกใหค้ รองราชสมบตั แิ ลว้ ก็ใหต้ งั้ โรงทานบรจิ าคพระราชทรัพย์หกแสนกหาปณะทกุ วัน ต่อมาพระนางมัทรีประสูติพระโอรส ๑ องค์ ประทานนามว่า “ชาลรี าชกมุ าร” เพราะขณะประสตู ิ พระญาตทิ งั้ หลายไดร้ องรบั ดว้ ยขา่ ยทองค�ำ เม่ือพระราชกุมารทรงเดินได้ พระนางมัทรีก็ประสูติพระราชธิดาอีก ๑ องค์ ประทานนามวา่ “กณั หาชนิ าราชกมุ าร”ี เพราะขณะประสตู ิ พระญาตทิ งั้ หลาย ได้รองรบั ด้วยหนงั หมี พระเวสสนั ดรโพธสิ ตั วป์ ระทบั คอชา้ งปจั จยนาเคนทรเ์ สดจ็ ไปทอดพระเนตร โรงทานทั้ง ๖ แห่ง เดอื นละ ๖ คร้ัง ๘ ศิลปศาสตร์ ๑๘ ประการ ที่พระเวสสันดรศึกษาสําเร็จ ได้แก่ ๑. สูติ วิชาความรู้ทั่วไป ๒. สัมมติ วิชาความรู้เก่ียวกับกฎ ระเบียบ ธรรมเนียม ประเพณี ๓. สงั ขยา วิชาคณิตศาสตร์ ๔. โยคะ วิชาการใชเ้ คร่ืองยนต์ ๕. นติ ศิ าสตร์ วิชาความรู้ เก่ียวกับกฎหมาย ๖. วิเสสกา วิชาโหราศาสตร์ ๗. คันธัพพา วิชานาฏดุริยางคศิลป์ ๘. คณกิ า วชิ าพลศึกษา ๙. ธนพุ เพทา วชิ าการใช้อาวุธ ๑๐. ปุราณา วิชาประวตั ศิ าสตร์ ๑๑. ติกิจฉา วิชาการแพทย์ ๑๒. อิติหาสา วิชาวรรณคดี ๑๓. โชติ วิชาดาราศาสตร์ ๑๔. มายา วชิ าพิชยั สงคราม ๑๕. ฉันทติ วชิ าจินตกวี ๑๖. เกตุ วิชาการทูต ๑๗. มนั ตา วิชาเวทมนตร์ ๑๘. สัททา วิชาภาษาศาสตร์
พ ร ะ เ ว ส สั น ด ร 544 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ช้างปัจจยนาเคนทร์เป็นช้างมงคล อุดมด้วยลักษณะแห่งคชาธารของ พระเจ้าจักรพรรดิ ไม่ว่าช้างมงคลน้ีจะไปที่ไหน แม้จะมีความแห้งแล้งเพียงใด ฝนก็จะตกลงมา ทาํ ให้พชื พนั ธธ์ุ ญั ญาหารอดุ มสมบูรณ์ ครงั้ นน้ั แควน้ กาลงิ ครฐั ไดเ้ กดิ ฝนแลง้ ประชาชนปลกู พชื พนั ธธุ์ ญั ญาหาร ไม่ได้ ผู้คนอดอยากล้มตายเป็นจํานวนมาก เกิดโจรผู้ร้ายออกเที่ยวปล้นสะดม ชาวบ้าน ประชาชนประสบความเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า จึงชุมนุมกันที่ ทอ้ งสนามหลวง วพิ ากษว์ ิจารณถ์ ึงเหตุการณท์ ีเ่ กดิ ขน้ึ พระเจ้ากาลิงคราช มหากษัตรยิ แ์ หง่ แคว้นกาลงิ ครัฐ ทรงคดิ หาวิธีการ ทจ่ี ะท�ำ ใหฝ้ นตก จงึ สมาทานรกั ษาอโุ บสถศลี ตลอด ๗ วนั แมเ้ ชน่ นนั้ กไ็ มส่ ามารถ ทําให้ฝนตก พระองค์จึงให้ประชุมชาวเมือง รับส่ังว่า “เราได้สมาทานศีล รักษาอุโบสถศลี ตลอด ๗ วนั ฝนก็ยังไมต่ ก ควรจะทําอยา่ งไร” ชาวเมืองกราบทูลว่า “ถ้าพระองค์ไม่สามารถทําให้ฝนตก พระราชโอรสของพระเจ้าสญชัยในกรุงเชตุดร พระนามว่า เวสสันดร ทรงยนิ ดกี ารใหท้ าน พระองคม์ ชี า้ งเผอื กตอ้ งตามคชลกั ษณแ์ หง่ ชา้ งมงคล ไปทไี่ หนฝนกต็ กทน่ี น่ั ขอพระองคส์ ง่ พราหมณไ์ ปทลู ขอชา้ งเชอื กนน้ั มา” พระราชาทรงเลือกพราหมณ์ ๘ คน คอื รามพราหมณ์ ธชพราหมณ์ ลักขณพราหมณ์ สุชาติมันตพราหมณ์ ยัญญพราหมณ์ สุชาตพราหมณ์ สุยามพราหมณ์ และโกณฑัญญพราหมณ์ โดยให้รามพราหมณ์เป็นหัวหน้า สง่ ไปทูลขอชา้ งปัจจยนาเคนทรจ์ ากพระเวสสนั ดร พวกพราหมณ์เดินทางไปจนถึงนครเชตุดร บริโภคอาหารในโรงทาน แล้ว ทําเนื้อตัวใหม้ อมแมมเปือ้ นฝนุ่ ธุลี ตกลงกันวา่ รอใหถ้ งึ วันเพ็ญขนึ้ ๑๕ ค�่ำ จึงค่อยขอ เมื่อพระเวสสันดรเสด็จตรวจโรงทานในวันต่อมา จึงพากันไปประตู เมืองด้านทิศตะวนั ออก
ท ศ ช า ติ 545 พ ร ะ เ ว ส สั น ด ร ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง วันน้ันพระเวสสันดรประทับบนคอคชาธาร เสด็จออกไปทางประตู พระนครทิศตะวันออก พวกพราหมณ์ไม่มีโอกาสทูลขอช้างท่ีน่ันจึงตามไป ประตูเมืองด้านทิศใต้ ยืนอยู่ในท่ีสูงโล่งแจ้ง แบมือข้างขวาออกขอว่า “ข้าแต่ พระเวสสันดร ขอพระองค์จงทรงพระเจริญ ขอพระองค์จงประสบแต่ ชยั ชนะ” พระเวสสันดรทอดพระเนตรเห็นพวกพราหมณ์ก็บ่ายช้างพระที่น่ัง ตรงเขา้ ไปหาพวกพราหมณ์ ประทบั บนคอชา้ ง ตรสั ถามวา่ “พราหมณ์ เนอื้ ตวั มอมแมมไปด้วยฝ่นุ ธุลี พวกท่านแบมือจะขออะไรจากเราหรือ” พราหมณ์ทั้ง ๘ คนกราบทูลว่า “ข้าแต่สมมติเทพ ขอพระองค์ โปรดพระราชทานช้างมงคลท่ีทำ�ให้แคว้นสีพีเจริญรุ่งเรือง ซ่ึงเป็น พระราชพาหนะท่ีพระองค์ประทบั แกพ่ วกขา้ พระองค”์ พระเวสสันดรทรงดําริว่า เราต้องการบริจาคทานภายใน มีอวัยวะ รา่ งกาย เปน็ ตน้ แตพ่ ราหมณพ์ วกนม้ี าขอทานภายนอกจากเรา แมเ้ ชน่ นนั้ เรากค็ วร ทําความปรารถนาของพวกเขาให้บริบูรณ์ ประทับอยู่บนคอช้างนั่นเอง ตรัสว่า “เราไม่ได้หว่ันไหว จะให้ช้างพลายตัวประเสริฐเป็นช้างราชพาหนะ สูงสุด ตามทพี่ วกทา่ นขอ” พระเวสสันดรน้อมไปในการบริจาคทาน เสด็จลงจากคอช้าง ปจั จยนาเคนทร์ พระราชทานแก่พราหมณท์ ัง้ หลาย ทรงทําประทักษิณช้าง ๓ รอบ ตรวจดูตัวช้างว่ามีส่วนไหนท่ียังไม่ได้ ประดบั บา้ งกไ็ มเ่ หน็ มี จงึ จบั พระเตา้ ทองคาํ เตม็ ดว้ ยน�ำ้ หอมเจอื ดอกไม้ ตรสั เรยี ก พวกพราหมณใ์ ห้เข้ามาหาพระองค์ ทรงวางงวงชา้ งทป่ี ระดับประดาอย่างงดงาม ในมอื พราหมณเ์ หลา่ นน้ั ทรงหล่งั น้ำ�จากพระเตา้ ทองคาํ ลง พระราชทานชา้ ง
พ ร ะ เ ว ส สั น ด ร 546 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ช้างนนั้ ประดับด้วยเครื่องประดบั ตา่ ง ๆ รวมเปน็ กหาปณะถึง ๒๔ แสน กหาปณะ นอกจากน้ัน พระองค์ยังได้พระราชทานควาญช้างและคนเลี้ยงช้าง ๕๐๐ สกลุ ใหด้ ้วย เมอื่ พระเวสสนั ดรหลงั่ น�ำ้ บรจิ าคทานเทา่ นนั้ กเ็ กดิ แผน่ ดนิ ไหว สะเทอื นเล่อื นลั่น กกึ ก้องไปทั่ว เกดิ ขนพองสยองเกลา้ นา่ สะพรึงกลวั เปน็ ทนี่ ่าอัศจรรยด์ ว้ ยอานภุ าพแห่งการบริจาคทานของพระเวสสนั ดร พวกพราหมณ์ได้ช้างทางประตูพระนครด้านทิศใต้ จึงข้ึนช้างผ่านไป ตามถนนหลวงกลางพระนคร ท่ามกลางประชาชนแวดล้อมตามไป ร้องถามว่า “พวกทา่ นข่ชี ้างของพวกเรา ท่านได้มาจากไหน” พวกพราหมณแ์ สดงมอื โต้ตอบฝงู ชนวา่ “ช้างน้ี พระเวสสันดรพระราชทานให้พวกเรา” พลางขไ่ี ป ตามถนนหลวงทา่ มกลางพระนครแลว้ ออกทางประตทู ศิ เหนือ ถกู เนรเทศ ชาวพระนครโกรธแค้นพระเวสสันดร จึงชุมนุมกันประท้วงการบริจาค ชา้ งปจั จยนาเคนทร์ ชา้ งสาํ คญั ของบา้ นเมอื งอยา่ งกวา้ งขวางจนกลายเปน็ จลาจลขนึ้ ทัว่ พระนคร พวกเชอ้ื พระวงศช์ น้ั สงู แพทย์ ชาวนา พราหมณ์ กองพลชา้ ง กองพลมา้ กองพลรถ และกองพลราบ ตลอดจนชาวแควน้ สพี ที งั้ หมดมาประชมุ กนั กราบทลู พระเจา้ สญชยั วา่ “บา้ นเมอื งกาํ ลงั จะลม่ จมเพราะถกู พระเวสสนั ดรลา้ งผลาญ เหตไุ รพระเวสสนั ดร พระโอรสของพระองค์ จงึ พระราชทานชา้ งสาํ คญั ของบ้านเมือง พระเวสสันดรจะพระราชทานข้าว นำ้� ทรัพย์สมบัติ ก็พระราชทานไป พวกเราไม่ว่าอะไร แต่ทําไมพระเวสสันดรจึง พระราชทานชา้ งสําคญั ถา้ พระองคไ์ มท่ รงทาํ ตามประชาชน เหน็ ทจี ะ เกิดปญั หาใหญแ่ น่”
ท ศ ช า ติ 547 พ ร ะ เ ว ส สั น ด ร ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง พระเจา้ สญชยั ทรงเขา้ พระทยั วา่ ชาวเมอื งจะปลงพระชนมพ์ ระเวสสนั ดร จึงตรัสว่า “ลูกเราไม่มีความผิด ถึงบ้านเมืองจะล่มสลาย แว่นแคว้น จะพนิ าศไปก็ตาม เราจะไมย่ อมฆ่าลูกของเราเป็นเด็ดขาด” ชาวเมืองสีพกี ราบทูลว่า “พวกเราไมไ่ ด้ให้พระองคป์ ลงพระชนม์ พระเวสสันดร แต่พระองค์ต้องเนรเทศพระเวสสันดรออกจากแคว้น ไปอยเู่ ขาวงกต” พระเจา้ สญชยั ตรสั วา่ “ถา้ ชาวสพี ตี อ้ งการเชน่ นน้ั เรากไ็ มข่ ดั ขอ้ ง แต่ขอให้ลูกของเราได้อยู่ตลอดราตรีนี้ คร้ันสว่างแล้วชาวสีพีจะขับไล่ ลกู เรากต็ ามใจ” ชาวเมืองต่างพอใจตามน้ัน เม่ือชาวเมืองกลับไปแล้ว พระเจ้าสญชัย ตรัสเรียกอำ�มาตย์ไปส่งข่าวให้พระโอรสทราบ อำ�มาตย์ไปเห็นพระเวสสันดร เบกิ บานอยทู่ า่ มกลางขา้ ราชบรพิ ารกอ็ ดสงสารไมไ่ ด้ จงึ รอ้ งไหห้ มอบลงทพ่ี ระบาท กราบทูลเรอ่ื งราวท้ังหมดให้ทราบ พระเวสสันดรตรัสว่า “ทําไมชาวสีพีจึงโกรธเราจนถึงเนรเทศ ออกจากเมือง” อ�ำ มาตยก์ ราบทูลใหท้ ราบวา่ “เช้ือพระวงศ์ช้ันสงู แพทย์ ชาวนา พราหมณ์ กองพลชา้ ง กองพลมา้ กองพลรถ และกองพลราบ ต่างติเตียนพระองค์ท่ีพระราชทานคชาธารที่สําคัญของบ้านเมือง พวกเขาจงึ จะขับไล่พระองค์” พระเวสสันดรยังทรงมีพระทัยแช่มช่ืนเป็นปกติดีตรัสว่า “เราจะให้ ดวงหทัย ดวงตา เงิน ทอง แกว้ มกุ ดา หรอื แก้วไพฑูรย์ ซึง่ เป็นทรพั ย์ ภายนอกของเราก็จะเป็นไรไป เม่ือยาจกมาขอ แม้แขนเราก็ให้ได้ เราไมห่ วน่ั ไหว เพราะใจของเรายินดใี นการบรจิ าค ชาวสีพจี ะเนรเทศ จะฆ่าเรา หรือจะตัดเราออกเป็นท่อน ๆ ก็ตาม เราจะไม่หยุดการ บริจาค”
พ ร ะ เ ว ส สั น ด ร 548 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง เมอื่ อ�ำ มาตยฟ์ งั ดงั นน้ั ไดก้ ราบทลู ขอ้ ความอยา่ งอน่ื ไปตามความคดิ เหน็ ของตน ซ่ึงเป็นข้อความที่พระเจ้าสญชัยหรือชาวเมืองไม่ได้บอกให้ทูลว่า “ชาวสีพีประชุมกัน มีมติว่า พระเวสสันดรต้องเสด็จไปตามทาง ที่พระราชาผู้ถูกเนรเทศเสด็จไป ผ่านภูผาท่ีชื่อว่า “อารัญชรคีรี” ไปตามฝง่ั แมน่ ้ำ� “โกนติมารา” แลว้ ประทบั อยู่ทเี่ ขาวงกต” เส้นทางที่อำ�มาตย์คนน้ันกราบทูลเป็นเส้นทางสําหรับพระราชาผู้ต้อง โทษถูกเนรเทศเสด็จไป แม้เช่นน้ันพระเวสสันดรก็ตรัสอย่างไม่สะทกสะท้านว่า “เราจะไปตามทางทพี่ ระราชาผู้ต้องโทษเสด็จไป ชาวเมืองไม่ไดข้ บั ไล่ เราดว้ ยโทษอื่น แตข่ บั ไล่เพราะเราให้ชา้ งเปน็ ทาน เราขอผดั ไป ๒ วนั เราจะบริจาคสัตตสดกมหาทานก่อน๙ ขอชาวเมืองให้โอกาสเราได้ให้ ทานสักหนง่ึ วัน รงุ่ ขึ้นเราให้ทานแลว้ จะไป” ดินแดนหมิ พานต์ เมื่ออำ�มาตย์กลับไปแล้ว พระองค์รับส่ังให้มหาเสนาคุตต์จัดเตรียม สัตตสดกมหาทานให้พร้อมทุกอย่าง แม้สุราซ่ึงเป็นสิ่งไม่ควรให้ทานก็รับสั่งให้ จดั เตรยี ม จากนน้ั พระองคเ์ สดจ็ ไปทปี่ ระทบั พระนางมทั รเี พยี งล�ำ พงั พระองคเ์ ดยี ว ประทบั นง่ั ข้าง ๆ ตรัสกับพระนางอย่างออ่ นโยนว่า “ทรัพยส์ ่งิ ใดทีเ่ ราให้เธอ ทรัพย์สิ่งใดเป็นของใช้ส่วนตัว และทรัพย์สิ่งใดท่ีเธอนําติดตัวมาจาก พระชนก เธอจงเก็บสิ่งน้ันไว้ทั้งหมด” ๙ สตั ตสดกมหาทาน คือ การใหท้ านครง้ั ย่งิ ใหญ่ โดยกําหนดสง่ิ ของหมวดละ ๗๐๐ อยา่ ง ประกอบด้วย ๑. ช้าง ๗๐๐ เชือก ๒. มา้ ๗๐๐ ตัว ๓. รถ ๗๐๐ คัน ๔. สตรี ๗๐๐ คน ๕. โคนม ๗๐๐ ตัว ๖. ทาสชาย ๗๐๐ คน ๗. ทาสหญงิ ๗๐๐ คน นอกจากน้นั ยังมีเคร่ืองอาภรณ์ต่าง ๆ อย่างละ ๗๐๐ แม้สุราซึ่งเป็นของไม่ควรให้ทานก็ได้ประทาน แกน่ ักเลงสุราดว้ ย
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 572
- 573
- 574
- 575
- 576
- 577
- 578
- 579
- 580
- 581
- 582
- 583
- 584
- 585
- 586
- 587
- 588
- 589
- 590
- 591
- 592
- 593
- 594
- 595
- 596
- 597
- 598
- 599
- 600
- 601
- 602
- 603
- 604
- 605
- 606
- 607
- 608
- 609
- 610
- 611
- 612
- 613
- 614
- 615
- 616
- 617
- 618
- 619
- 620
- 621
- 622
- 623
- 624
- 625
- 626
- 627
- 628
- 629
- 630
- 631
- 632
- 633
- 634
- 635
- 636
- 637
- 638
- 639
- 640
- 641
- 642
- 643
- 644
- 645
- 646
- 647
- 648
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 600
- 601 - 648
Pages: