ท ศ ช า ติ 399 พ ร ะ ภู ริ ทั ต ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง พราหมณเ์ นสาทะคิดว่านาคนเ้ี ปน็ พน่ี ้องของภูริทตั จะไมไ่ ว้ชวี ติ เราแน่ แตช่ า่ งเถอะ เราจะยกยอเกยี รตคิ ณุ ของนาคน้ี รวมทงั้ มารดาและบดิ าของเขาดว้ ย ทำ�ให้ใจอ่อนแล้วขอชีวิต จึงกล่าวว่า “ถ้าท่านเป็นโอรสของพญานาคราช ผปู้ ระเสริฐ พระชนกของท่านเป็นผู้ยง่ิ ใหญ่ผู้หนงึ่ แม้พระชนนีของทา่ น ก็ไม่มีใครเทียบเท่าในหมูม่ นุษย์ ผมู้ อี านภุ าพมากเช่นทา่ น อย่าวา่ แต่ จะฉุดคร่าพราหมณ์เลย แม้แต่เพียงแค่ทาสของพราหมณ์ก็ไม่ควรท่ี ผ้ปู ระเสริฐอย่างท่านจะฉุดครา่ ใหจ้ มนำ้�” สโุ ภคะกลา่ ววา่ “พราหมณช์ ว่ั แกคดิ จะหลอกขา้ ใหป้ ลอ่ ยแกหรอื ข้าไม่ไว้ชีวิตแกแน่ แกแอบต้นไม้ยิงสัตว์ซ่ึงมากินน้ำ� เห็นพี่ชายข้า รุ่งเรืองด้วยฤทธิ์และยศ พ่ีข้าพาแกไปเล้ียงดู ให้ทุกส่ิงทุกอย่าง แต่ แกกลบั เนรคุณพี่ข้า วนั น้ีกรรมสนองแกแลว้ ยื่นคอแกออกมา ข้าจะ ตัดเสยี ใหข้ าด” พราหมณ์เนสาทะคิดว่านาคนี้คงจะไม่ไว้ชีวิตเราแน่ จึงทำ�ใจดีสู้เสือ กลา่ ววา่ “ใคร ๆ ไมค่ วรฆา่ พราหมณผ์ ทู้ รงเวท ผสู้ วดออ้ นวอน ผปู้ ระกอบ พิธบี ูชายัญ เพราะผทู้ ีฆ่ า่ พราหมณย์ อ่ มไปเกดิ ในนรก” สุโภคะได้ยินเช่นนั้นก็เกิดความลังเลใจ คิดว่าต้องนำ�พราหมณ์น้ี ไปยังนาคพิภพ สอบถามพี่น้องของเราก็รู้เอง จึงกล่าวข่มขู่ว่า “ถ้าเช่นน้ัน พ่ีน้องของเราล้วนเป็นคนฉลาดรอบรู้ มีช่ือลือชาอยู่ในนาคพิภพ เราจะให้พี่น้องเราตัดสิน” ครั้นสุโภคะกล่าวดังนี้แล้ว ได้จับคอพราหมณ์ เนสาทะเสอื กไสไปดา่ ไปพลางจนถงึ นาคพภิ พ พระพรหมสร้างโลก ขณะนั้น อริฏฐะนั่งเฝ้าประตูปราสาท เห็นสุโภคะจับพราหมณ์บังคับ ขู่เข็ญทรมานมาก็ตกใจ จึงเดินสวนออกไปห้ามสุโภคะ ไม่ให้เบียดเบียน
พ ร ะ ภู ริ ทั ต 400 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง พราหมณ์ เพราะพวกพราหมณ์เป็นบุตรท้าวมหาพรหม ถ้าท้าว มหาพรหมรู้เข้าก็จะโกรธว่า พวกนาคเบียดเบียนบุตรท่าน จะทำ�ให้ นาคพภิ พเดือดร้อน ในอดีตชาติ ก่อนมาเกิดเป็นพญานาค อริฏฐะเคยเกิดเป็นพราหมณ์ บูชายัญ จึงพูดตามสัญญาเดิมท่ีตนทรงจำ�มาในอดีตชาติ อริฏฐะเรียกสุโภคะ และนาคบรษิ ทั มา ไดพ้ ดู สรรเสรญิ พราหมณผ์ บู้ ชู ายญั เปน็ อนั มากวา่ “พสี่ โุ ภคะ ยญั และพระเวททพ่ี วกพราหมณบ์ ชู าไมใ่ ชข่ องลอ้ เลน่ ผตู้ เิ ตยี นพราหมณ์ กเ็ ทา่ กบั ทงิ้ ทรพั ยท์ น่ี า่ ปลม้ื ใจ และทง้ิ ธรรมของสตั บรุ ษุ พวกทา่ นอยา่ ได้ พดู เปน็ อนั ขาดวา่ พราหมณท์ ำ�กรรมด้วยการเนรคณุ ภรู ิทัต” อริฏฐะถามสุโภคะว่า “พ่ีรู้หรือไม่ว่า โลกนี้ใครสร้าง” สุโภคะ ตอบวา่ “พไ่ี ม่รู้” อริฏฐะจึงกล่าวว่า พวกพราหมณ์เรียนไตรเพท พวกกษัตริย์ปกครอง แผน่ ดนิ พวกแพศยป์ ระกอบอาชพี คา้ ขาย และพวกศทู รเปน็ ผรู้ บั ใช้ วรรณะทง้ั ๔ นี้ ท้าวมหาพรหมเป็นผู้สร้าง ท้าวมหาพรหมมีอานุภาพมากอย่างน้ี ผู้ที่เล่ือมใส ใหท้ านแกพ่ ราหมณ์ ผเู้ ปน็ บตุ รทา้ วมหาพรหม ไมไ่ ปเกดิ ทอ่ี น่ื แนน่ อกจากสวรรค์ แมเ้ ทพเหล่าน้ี คอื ทา้ วธาดา ทา้ ววิธาดา ทา้ ววริ ุณ ท้าวกุเวร ท้าวโสมะ พญายม พระจันทร์ พระวายุ และพระอาทิตย์ เป็นต้น แม้เทพเหล่าน้ีต่างก็บูชายัญ และท�ำ บุญกับพราหมณ์ผู้ทรงเวทมาก่อนทง้ั นัน้ ทา้ วอรชนุ และท้าวภมี เสน ผ้มู กี องทพั นา่ กลวั กบ็ ชู าไฟมากอ่ น ผทู้ เี่ ลยี้ ง พราหมณ์มาตลอดตามกำ�ลังศรัทธาด้วยจิตเลื่อมใส จะได้ไปเกิดเป็นเทพ องคห์ นึง่ อยา่ งแน่นอน ท้าวมจุ ลินทบ์ ูชาไฟใหอ้ ่ิมหนำ�ด้วยเนยใส ก็ได้ไปเกดิ ในทิพยคติ ทา้ วททุ ปี ะทรงมีอานุภาพมาก สละราชสมบัติออกบวช กไ็ ดไ้ ปเกดิ ใน สวรรค์
ท ศ ช า ติ 401 พ ร ะ ภู ริ ทั ต ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง สว่ นพระเจา้ สาครราช ทรงปราบปรามแผน่ ดนิ ไปจนจรดทะเล รบั สงั่ ให้ ตั้งเสาสที องงดงามส�ำ หรบั ใชผ้ กู สตั วบ์ ูชายัญ ไดไ้ ปเกิดเปน็ เทพองค์หนึง่ “พี่สุโภคะ พ่ีไม่รู้อะไร รู้แต่จะโบยตีพราหมณ์เท่าน้ัน พี่รู้ หรือไม่ว่า แม่นำ้�คงคาและมหาสมุทรเป็นที่สั่งสมนมส้ม เพราะเกิด จากอานุภาพของพระเจ้าอังคโลมบาท ทรงบูชาไฟแล้วได้ไปเกิดใน นครของทา้ วสหัสสนัยน”์ ในอดตี กาล พระเจา้ กรงุ พาราณสีพระนามวา่ “อังคโลมบาท” ตรัส ถามทางสวรรค์กับพวกพราหมณ์ พวกพราหมณ์แนะนำ�ให้เข้าไปป่าหิมวันต์ ทำ�การสักการะพราหมณ์แล้วบูชาไฟ พระองค์จึงพาแม่โคนมและพระมเหสีไป ทำ�ตามที่พราหมณ์แนะนำ� ส่วนนมสดและนมส้มท่ียังเหลือจากพวกพราหมณ์ บรโิ ภคอกี จ�ำ นวนมาก ใหน้ �ำ ไปทง้ิ ในทตี่ า่ ง ๆ สถานทท่ี งิ้ นมสดและนมสม้ ไดก้ ลาย เป็นแม่น้�ำ คงคา แม่น�้ำ น้อยใหญ่ และมหาสมทุ รไป แม้ท้าวมหาพรหมผู้ประเสริฐ มีฤทธิ์เรืองยศ ก็เคยเกิดเป็นมาณพ ทำ�การบูชาไฟมาก่อน จึงได้เกิดมาเป็นท้าวมหาพรหมผู้สร้างโลกนี้และโลกหน้า แมน่ ้�ำ ภาคีรถี ภูเขาหมิ วันต์ และภูเขาวิชฌะ ภูเขาเหล่านี้ คือ ภูเขามาลาคีรี ภูเขาหิมวันต์ ภูเขาคิชฌกูฏ ภเู ขาสุทศั น์ ภเู ขานิสภะ ภเู ขากากเวรุ และภูเขาใหญ่อื่น ๆ กลา่ วกันว่า พวกพราหมณผ์ ู้บชู ายญั ไดก้ อ่ สรา้ งไว้ ในอดีตกาล พระเจ้ากรุงพาราณสีพระองค์หนึ่ง ตรัสถามทางไป สวรรคก์ บั พวกพราหมณ์ เมอื่ ไดร้ บั ค�ำ แนะน�ำ ใหพ้ ระองคท์ �ำ บญุ กบั พวกพราหมณ์ พระองค์ก็ได้ถวายทานอย่างมากมาย แล้วตรัสถามว่า ทานของพระองค์มีผล หรอื ไม่ เมอ่ื พวกพราหมณท์ ลู วา่ มผี ลแลว้ แตอ่ าสนะส�ำ หรบั พราหมณน์ ง่ั ไมเ่ พยี งพอ พระองค์จึงรับส่ังให้ปั้นอิฐ สร้างอาสนะ ที่นอน และต่ังถวายพวกพราหมณ์ ตอ่ มาอาสนะ ทนี่ อน และตง่ั เหลา่ นน้ั ไดก้ ลายเปน็ ภเู ขามาลาครี ี เปน็ ตน้ จงึ กลา่ ว ไดว้ า่ ภเู ขาท้ังหมด พวกพราหมณ์ผบู้ ูชายัญสร้างเอาไว้
พ ร ะ ภู ริ ทั ต 402 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง อริฏฐะถามสุโภคะอีกว่า “พ่ีสุโภคะ พี่รู้หรือไม่ว่า เหตุไร มหาสมุทรจงึ เค็มจนดื่มไมไ่ ด”้ สุโภคะตอบว่า “พี่ไมร่ ”ู้ อริฏฐะผู้ตาบอดจึงรุกรานพ่ีชายผู้ไม่รู้ต่อไปว่า “พี่ไม่รู้อะไร เอาแต่ จะโบยตีพราหมณ์เท่าน้ัน ผู้คนเรียกพราหมณ์ผู้ทรงเวท ผู้เข้าถึงพลานุภาพแห่ง มนตรา มตี บะแกก่ ลา้ วา่ ผสู้ วดออ้ นวอน คลน่ื มหาสมทุ รซดั ทว่ มพราหมณผ์ กู้ �ำ ลงั ตกั น�้ำ เตรยี มประกอบพธิ อี ยทู่ ฝี่ งั่ มหาสมทุ ร เพราะเหตนุ น้ั น�้ำ ในมหาสมทุ รจงึ ถกู มหาพรหมสาปใหเ้ ค็มจนดมื่ ไม่ได”้ อริฏฐะเล่าว่า วันหนึ่ง พราหมณ์น้ันกำ�ลังประกอบพิธีลอยบาป ยนื อยทู่ ีร่ มิ ฝง่ั ตักนำ�้ จากมหาสมทุ ร กระท�ำ การดำ�เกลา้ สระหัวของตน ขณะนนั้ สาครปั่นป่วนบ้าคล่ัง เกิดคล่ืนใหญ่ซัดกลืนเอาพราหมณ์นั้นลงสู่มหาสมุทร ท้าวมหาพรหมโกรธว่า สาครนี้ฆ่าบุตรพระองค์ จึงสาปให้มหาสมุทรเค็ม ตัง้ แต่น้ันเปน็ ตน้ มา มหาสมทุ รจึงกลายเป็นน�ำ้ เคม็ ดืม่ ไมไ่ ด้ พระโพธิสตั วแ์ สดงธรรม พวกนาคเป็นอันมากที่มาเยี่ยมพระโพธิสัตว์ ฟังแล้วก็คล้อยตาม พลอยหลงเชือ่ ผดิ ๆ ไปว่า ที่อริฏฐะพูดนน้ั เป็นเรอื่ งจริง พระโพธิสัตว์นอนป่วยอยู่ คิดว่าอริฏฐะทำ�ให้ประชาชนเกิดความ หลงผิดไปแล้ว คิดจะทำ�ให้นาคบริษัทเกิดสัมมาทิฏฐิ จึงลุกขึ้นอาบน้ำ�แต่งตัว นง่ั บนธรรมาสน์ สง่ั ใหน้ าคบริษทั ทง้ั หมดประชุมกัน ให้เรียกอริฏฐะมาด้วย แลว้ กล่าวว่า เจ้ากล่าวสรรเสริญสิ่งที่ไม่จริง การบูชายัญด้วยวิธีของพวกพราหมณ์ ไม่ใชส่ งิ่ ประเสรฐิ และไมใ่ ช่ทางแหง่ สวรรค์ แท้จริงแล้ว การเรียนเวทเป็นโทษของเหล่านักปราชญ์ เป็น สง่ิ ทค่ี นโงเ่ ขลาท�ำ กนั ไมม่ คี ณุ ดา้ นใดเลย ไมต่ า่ งจากพยบั แดดทสี่ ตั วห์ วิ
ท ศ ช า ติ 403 พ ร ะ ภู ริ ทั ต ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง มองเหน็ วา่ เปน็ น�้ำ มคี ณุ ทางหลอกลวงคนโง่ แตห่ ลอกคนมปี ญั ญาไมไ่ ด้ พระเวทป้องกันการเนรคุณมิตรไม่ได้ ไฟท่ีคนบูชาแล้วก็ไม่สามารถป้องกัน คนโทสจรติ ไมใ่ หท้ �ำ ความชว่ั ไดเ้ ชน่ กนั แมจ้ ะเอาไมท้ ม่ี อี ยทู่ งั้ โลก และทรพั ยส์ มบตั ิ ทั้งหมดไปเผาบูชาไฟ ไฟก็เผาผลาญไม้และทรัพย์สมบัติจนหมด ไม่มีเหลือ เพราะไฟไมร่ จู้ กั อม่ิ เช้อื เพลิง แลว้ ใครจะท�ำ ใหไ้ ฟอมิ่ ได้ ถ้าคนทำ�บุญด้วยการเอาไม้และหญ้าเผาไฟเพื่อบูชาแล้วจะ ได้บุญ คนเผาถ่าน คนต้มเกลือ พ่อครัว และสัปเหร่อ ก็เป็นคนท่ี ทำ�บุญมากที่สดุ คนบางพวกนับถือไฟเป็นเทวดา คนบางพวกนับถือนำ้�เป็นเทวดา คนเหล่านี้ทั้งหมดกล่าวเท็จ โง่เขลาเบาปัญญา ไร้เหตุผล เข้าใจกันไปผิด ๆ ไฟไม่มีร่างกายและจิตใจท่ีจะรู้สึกได้ จึงไม่ใช่เทพเจ้าที่ต้องบูชา แต่ไฟเป็น เพียงส่ิงให้แสงสว่างแก่ประชาชนได้ทำ�การงานเท่านั้น เม่ือคนบูชาไฟแต่ยังทำ� ความช่วั อยู่ แล้วจะไปสวรรคไ์ ด้อย่างไร พวกพราหมณ์ต้องการเล้ียงชีวิตต่างหากท่ีกล่าวว่า พระพรหมสร้าง สรรพส่ิงแล้วครอบงำ�โลกเอาไว้ และพระพรหมบูชาไฟ เมื่อพระพรหมสร้างไฟ แลว้ ท�ำ ไมพระพรหมจงึ กลบั ไปไหวไ้ ฟทตี่ นสรา้ งขน้ึ มา ฟงั ดคู �ำ ของพวกพราหมณ์ ก็น่าหัวเราะ ไม่เป็นความจริง ไม่ควรสวด พวกพราหมณ์ในอดีตหลอกเอาไว้ หากิน เมื่อยังไม่มีลาภสักการะจึงร้อยกรองพิธีการฆ่าสัตว์บูชายัญเอาไว้ว่า “พวกพราหมณส์ าธยายมนต์ พวกกษตั รยิ ป์ กครองแผน่ ดนิ พวกแพศย์ ประกอบอาชพี คา้ ขาย สว่ นพวกศทู รเปน็ ทาสรบั ใช”้ แลว้ กห็ ลอกคนใหเ้ ชอ่ื ตามน้นั ว่า มหาพรหมผู้มีอ�ำ นาจเป็นผู้สร้างไว้ กถ็ า้ คำ�นเี้ ปน็ จรงิ ตามทพี่ วกพราหมณก์ ลา่ ว คนทไ่ี มไ่ ด้เกดิ มา เป็นกษตั รยิ ก์ เ็ ป็นกษตั รยิ ไ์ ม่ได้ คนที่ไม่ได้เกิดมาเปน็ พราหมณ์ก็เรียน มนตราไม่ได้ คนที่ไม่ได้เกิดมาเป็นแพศย์ก็ประกอบอาชีพค้าขาย
พ ร ะ ภู ริ ทั ต 404 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ทำ�นาทำ�ไร่ไม่ได้ และพวกศูทรก็เป็นอย่างอ่ืนไม่ได้ นอกจากทาส รับใช้ผู้ซ่ือสัตย์ ก็แล้วทำ�ไมคนที่มีความสามารถ จะเปลี่ยนแปลง ชะตาชวี ติ ของตนไมไ่ ด้ แตท่ งั้ ทเี่ ปน็ เรอื่ งไมจ่ รงิ เปน็ เรอื่ งโกหก เขากย็ งั กลา่ วเท็จเพราะเห็นแกป่ ากทอ้ ง ถ้าผู้ปกครองยังขูดรีดภาษีจากพ่อค้า นักบวชยังถือศาสตรา เที่ยวฆ่าสัตว์ พระพรหมก็ไม่ใช่ผู้สร้างโลกท่ีแท้จริง ถ้าพระพรหมสร้างโลก แล้วทำ�ไมจึงสร้างโลกให้มีแต่ความระทมทุกข์ ทำ�ไมจึงไม่สร้างโลกให้มีแต่ ความสขุ ถ้าพระพรหมเป็นผู้เจริญ เปน็ เจ้าชีวิตของหมู่สัตว์ กแ็ ล้วเหตุไรโลกจึง โนม้ เอียงไปทางไม่เท่ยี งธรรม ผูค้ นมเี ลห่ ์เหลี่ยม หลอกลวง และมวั เมาในการ ใชอ้ �ำ นาจอยา่ งไม่เป็นธรรม ถ้าพระพรหมประเสริฐ เป็นผู้เจริญ เป็นเจ้าชีวิตของหมู่สัตว์ ในโลกจริง พระพรหมกต็ ้องเปน็ เจ้าแห่งความยุติธรรมดว้ ย เม่ือความ ยุติธรรมมีอยู่ แต่ไม่ต้ังอยู่ในความยุติธรรม กลับตั้งอยู่ในความ อยุติธรรมเสยี เอง เม่ือฆ่าตั๊กแตน ผีเสื้อ งู แมลงภู่ หนอน และแมลงวันแล้ว ลอยบาปก็บริสุทธิไ์ ด้ นคี่ อื ความยุติธรรมของพรหมผู้ประเสริฐหรือ? ถา้ คนฆา่ ผอู้ น่ื แลว้ บรสิ ทุ ธไิ์ ด้ และผถู้ กู ฆา่ ยอ่ มเขา้ ถงึ แดนสวรรค์ ท�ำ ไม พวกพราหมณ์จึงไม่ฆ่าพราหมณ์ด้วยกันเอง หรือทำ�ไมจึงไม่ฆ่าพวกคนที่เช่ือคำ� ของตน พวกเน้ือ สัตว์เล้ียง และโคตัวไหน ๆ ล้วนแต่ดิ้นรนกระเสือกกระสน ต้องการมชี วี ติ อยทู่ ้งั นนั้ แตพ่ วกพราหมณ์กน็ ำ�สตั ว์พวกนน้ั ไปผกู ท่เี สาฆา่ บชู ายญั แล้วพวกคนพาลก็ยื่นหน้าเข้าไปที่เสาบูชายัญ สวดสรรเสริญว่า “เสายัญน้ี จะท�ำ ใหม้ ชี วี ติ ทย่ี งั่ ยนื ในสมั ปรายภพ จงเอาไฟไปบชู า จงใหท้ รพั ยแ์ กเ่ รา แลว้ พวกทา่ นจะไดส้ งิ่ ท่ีปรารถนาในโลกทพิ ย์”
ท ศ ช า ติ 405 พ ร ะ ภู ริ ทั ต ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ถ้าบุคคลจะได้ทรัพย์สมบัติ แก้วแหวนเงินทอง และจะได้ไปเกิดใน สวรรค์เพราะการบูชายัญ พวกพราหมณ์เท่าน้ันจะบูชายัญเพียงคนเดียว เขาจะ ไม่ยอมใหค้ นอ่นื ทไี่ ม่ใชพ่ ราหมณ์บชู ายญั แน่ ส่วนพราหมณ์บางคนนำ�พระราชาหรือมหาอำ�มาตย์เข้าไปโรงบูชาไฟ แนะนำ�ใหโ้ กนผม โกนหนวด และตดั เลบ็ สวดพรรณนาอานิสงสแ์ หง่ การบชู าไฟ แล้วรับทรัพย์ไป พอหลอกลวงได้ทรัพย์มาแล้ว ก็มาฉลองกันอย่างสนุกสนาน เหมือนฝูงการุมจิกนกเค้า พวกเขาหลอกลวงด้วยส่ิงท่ีตามองไม่เห็น ปล้นเอา ทรพั ยท์ ่ีมองเห็นไป พวกพราหมณ์บอกว่า ตนเป็นผู้เอาอิฐมาสร้างภูเขามาลาคีรี ภูเขา หิมวนั ต์ ภเู ขาวิชฌะ ภูเขาสทุ ศั น์ ภเู ขานสิ ภะ ภูเขากากเวรุ และภเู ขาน้อยใหญ่ อืน่ ๆ ภูเขาไม่ใชอ่ ิฐ เห็นได้ชัดว่าภเู ขาเหล่าน้นั เป็นหนิ ตามธรรมชาติมาแตเ่ ดมิ พวกพราหมณ์บอกว่ามหาสมุทรซัดท่วมพราหมณ์ผู้กำ�ลังเตรียมนำ้� ประกอบพธิ บี วงสรวงอยทู่ ฝี่ ง่ั มหาสมทุ ร พรหมจงึ สาปใหน้ �้ำ ในมหาสมทุ รกลายเปน็ นำ้�เคม็ ก็แม่นำ้�ได้พัดพาเอาพราหมณ์ผู้เรียนเวททรงมนตราไปตั้งมากมาย แต่น�้ำ ในแม่น�้ำ ก็ไม่ไดเ้ ค็ม เหตุไรมเี พยี งน�ำ้ ในมหาสมทุ รเท่านั้นทีเ่ ค็ม ดื่มไมไ่ ด้ ถงึ บอ่ น้�ำ ทีเ่ ขาขุดไว้ใช้ กลายเป็นนำ�้ เค็ม ด่ืมไมไ่ ด้ กม็ ีมาก ไม่มีใครดีหรือเลวเพราะชาติกำ�เนิด ลูกคนจัณฑาลถ้าเขาเป็น คนฉลาด มีความคดิ ก็เรยี นเวทสาธยายมนตราได้ หัวไมแ่ ตก ๗ เส่ียงอยา่ งที่ พวกพราหมณ์โกหกเอาไว้ พวกพราหมณ์สร้างมนตราขึ้นมาเหมือนกับการ ฆา่ ตวั เอง เพราะฆา่ คณุ ธรรมในตน สาธยายเพยี งปาก แตย่ ดึ ถอื ไวด้ ว้ ยความโลภ เปลี่ยนแปลงความคดิ ได้ยาก
พ ร ะ ภู ริ ทั ต 406 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง พระโพธสิ ตั วแ์ สดงธรรมโดยประการตา่ ง ๆ อกี เปน็ อนั มาก เพอ่ื ท�ำ ลาย ความเห็นผิดท่ีอริฏฐะกล่าวไว้ นาคบริษัทได้ฟังธรรมกถาของพระโพธิสัตว์แล้ว ต่างเกิดความเข้าใจแจ่มชัด พระโพธิสัตว์ส่ังให้นาคบริษัทนำ�พราหมณ์เนสาทะ ออกไปจากนาคพิภพ ไม่ได้ตำ�หนิพราหมณ์น้นั เลยแม้แต่นอ้ ย ด้านพระเจ้าสาครพรหมทัต ไม่ลืมวันตามท่ีนัดไว้กับหลาน ได้เสด็จ ไปยงั อาศรมพระบดิ าซึง่ บวชเปน็ ฤๅษี พรอ้ มด้วยจตรุ งคเสนาหมู่ใหญ่ ส่วนพระโพธสิ ตั ว์ พรอ้ มทัง้ พระชนก พระชนนี และพ่นี ้อง ก็ได้ไปเฝา้ พระเจ้าลุงและพระอัยกาตามทีน่ ดั ไวเ้ ชน่ กัน ในขณะน้ัน พระเจ้าสาครพรหมทัตทอดพระเนตรเห็นพระโพธิสัตว์ กำ�ลังมาพรอ้ มกบั นาคบรษิ ทั เปน็ อันมาก ทรงจ�ำ ไมไ่ ด้ จงึ ทลู ถามพระราชบิดาวา่ “ฝูงชนท่กี ำ�ลงั มาดงู ดงามตระการตานน้ั เป็นใคร” พระราชบิดาเป็นฤๅษีผู้มีฤทธิ์ ได้อภิญญาบอกว่า “ผู้ที่มาเหล่านั้น คือ นาค ลูกท้าวธตรฐนาคราช หลานของเจ้า เกดิ แต่นางสมุททชา” แล้วพระฤๅษีได้แนะนำ�ให้พระเจ้าสาครพรหมทัตได้รู้จักว่า นาคตนไหนเป็นใคร ดว้ ยกำ�ลังแหง่ ฤทธิข์ องตน ในขณะพระฤๅษีและพระเจ้าสาครพรหมทัตกำ�ลังสนทนากันอยู่อย่างนี้ นาคบรษิ ทั ท้ังหลายก็มาถึง ได้พากนั ถวายบงั คมบาทพระฤๅษี ฝา่ ยนางสมทุ ทชาถวายบงั คมพระราชบดิ าและพระราชภาดา กป็ รเิ ทวนา กรรแสงไห้ คร้ันได้เวลาพอสมควรแล้วก็พานาคบริษัทกลับไปยังนาคพิภพ ส่วนพระเจ้าสาครพรหมทัตประทับอยู่สองสามวัน จึงถวายบังคมลาพระบิดา กลับกรุงพาราณสี
ท ศ ช า ติ 407 พ ร ะ ภู ริ ทั ต ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง นับจากวันน้ัน พระนางสมุททชาก็ไม่ได้กลับโลกมนุษย์อีกเลยตลอด พระชนมช์ พี ทรงสนิ้ ชพี ในนาคพภิ พ ฝา่ ยพระโพธสิ ตั วร์ กั ษาศลี อยตู่ ลอดชวี ติ ครนั้ สน้ิ ชพี แลว้ ไดไ้ ปเกดิ ในสวรรคพ์ รอ้ มท้งั นาคบรษิ ัท กลับชาติมาเกิดสมัยพทุ ธกาล คร้ันพระบรมศาสดาตรัสเล่าเรื่องราวในอดีตชาติของพระองค์แล้ว ได้ตรัสว่า “เมื่อพระพุทธเจ้ายังไม่เสด็จอุบัติขึ้นในโลกมนุษย์ โบราณ บัณฑิตก็ยังสละนาคสมบัติมากมายขนาดน้ี รักษาอุโบสถกรรม บิดา มารดาของภรู ิทตั ในอดีตชาติ ไดม้ าเกิดเปน็ ศากยราชสกลุ พราหมณ์ เนสาทะมาเกิดเป็นพระเทวทัต โสมทัตมาเกิดเป็นพระอานนท์ นางอัจจิมุขีมาเกิดเป็นนางอุบลวรรณาเถรี สุทัศนะมาเกิดเป็น พระสารีบุตร สุโภคะมาเกิดเป็นพระโมคคัลลานะ อริฏฐะมาเกิดเป็น สุนักขัตตลจิ ฉวี ภูริทตั เป็นเรา ผูอ้ รหนั ตสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ”
พ ร ะ จั น ท กุ ม า ร 408 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง
พระจนั ทกมุ าร ขนั ติ คอื อาภรณป์ ระดบั ใจ “พระองคพ์ ระราชทานพวกขา้ พระองค์ ใหเ้ ป็นทาสขณั ฑหาลปโุ รหิต ยงั จะดีเสยี กวา่ ฆ่าพวกข้าพระองค์ เพราะถึงแมว้ า่ จะถกู จองจาํ ดว้ ยโซใ่ หญ่ พวกข้าพระองคก์ ็ยังพอจะเล้ยี งช้าง เลีย้ งมา้ ขนขี้ช้าง ขี้มา้ ให้เขาได้ หรือหากจะถกู เนรเทศออกจากแวน่ แคว้น พวกขา้ พระองค์กย็ ังเทีย่ วขออาหารเลี้ยงชวี ิตได”้
410 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง จันทชาดกเป็นชาดกท่ีพระพุทธเจ้าตรัสเล่าถึงเร่ืองราว ในอดีตชาติของพระองค์ เม่ือครั้งเกิดเป็นเจ้าชาย จนั ทกมุ าร ทรงมปี ณธิ านทจี่ ะบาํ เพญ็ “ขนั ตบิ ารม”ี แมจ้ ะไดร้ บั ความทกุ ขท์ รมาน จากความไมเ่ ป็นธรรมอยา่ งไร กจ็ ะอดทนกล�ำ้ กลืนไม่คิดทําร้ายผู้ท่ีทําร้ายตน จนั ทกมุ ารชาดก ปรากฏอยใู่ นพระไตรปฎิ ก ขทุ ทกนกิ าย ชาดก มหานิบาต และอรรถกถา ขทุ ทกนกิ าย ชาดก มหานิบาต ขณะตรสั เลา่ เรอื่ งจนั ทกมุ ารนนั้ พระพทุ ธองคป์ ระทบั อยทู่ ภ่ี เู ขาคชิ ฌกฏู เนื่องจากพวกภิกษุสนทนากันเก่ียวกับพระเทวทัตว่า พระเจ้าอชาตศัตรูเป็น เดก็ หนมุ่ จงึ มพี ระทยั เบา หลงเชอื่ พระเทวทตั ทรงท�ำ ปติ ฆุ าตโดยการปลงพระชนม์ พระเจ้าพิมพิสารผู้เป็นพระชนก ด้วยการให้อดพระกระยาหาร และใช้มีดกรีด พระบาททง้ั สองขา้ ง เพอื่ ไมใ่ หพ้ ระชนกเสดจ็ พระดาํ เนนิ ดว้ ยการจงกรม จนกระทงั่ สวรรคตในเวลาต่อมา แล้วอภิเษกพระองค์ขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งแคว้นมคธ ครั้น ครองราชยแ์ ล้ว ถกู พระเทวทัตยุยงใหส้ ง่ พลธนูไปปลงพระชนม์พระบรมศาสดา พระเจา้ อชาตศตั รตู รสั ถามพระเทวทตั วา่ ในเรอ่ื งนพี้ ระองคค์ วรจะตอ้ ง ทำ�อยา่ งไร พระเทวทัตขอให้พระเจ้าอชาตศัตรูระดมพลธนูมาเป็นจำ�นวนมาก จากนั้น คัดเอาเฉพาะที่ฝีมือดี ๆ แล้วส่งมาให้ตน พระเจ้าอชาตศัตรูทรงรับ ดำ�เนนิ การตามนนั้ จงึ ใหเ้ รียกระดมพลธนเู ฉพาะพวกที่ยงิ แมน่ จ�ำ นวน ๕๐๐ คน คัดเลือกจากพลธนูเหล่าน้ัน ให้ได้พลแม่นธนู จำ�นวน ๓๑ คน แล้วรับส่ังว่า “พวกเจ้าจงทำ�ตามคำ�สั่งของพระเถระ” ทรงส่งพลธนูไปรับคำ�สั่งจาก พระเทวทตั พระเทวทตั เรยี กเฉพาะหวั หนา้ พลธนมู าวางแผน แลว้ สงั่ การวา่ “ทา่ น หวั หนา้ ขณะนี้ พระสมณโคดมประทบั อยบู่ นภเู ขาคชิ ฌกฏู พระองคจ์ ะ เสด็จจงกรมในที่พักกลางวันอยู่ตรงโน้น ส่วนท่านต้องไปซุ่มอยู่อีก ด้านหน่ึง ยิงพระสมณโคดมให้ตายด้วยลูกศรอาบยาพิษ แล้วค่อย หลบหนอี อกมาอกี ด้าน”
ท ศ ช า ติ 411 พ ร ะ จั น ท กุ ม า ร ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ครน้ั วางแผนรว่ มกนั เสรจ็ แลว้ จงึ สง่ หวั หนา้ พลธนไู ป จากนนั้ ไดซ้ อ้ นแผน จัดวางกำ�ลังพลธนอู กี ชุดหนง่ึ ไวท้ หี่ นทางนนั้ ๒ คน เพอ่ื ฆ่าตดั ตอน สัง่ วา่ “จะมี ชายคนหน่ึงเดินมาทางที่พวกท่านดักซุ่มอยู่ จงปลิดชีพชายคนน้ันเสีย แลว้ กลับมาตามทางโนน้ ” แมใ้ นทางน้ัน พระเทวทัตก็จดั วางพลธนไู ว้ ๔ คน ส่ังว่า “จะมีชาย ๒ คน เดินมาทางท่ีพวกท่านดักซุ่มอยู่ จงฆ่าชาย ๒ คนนนั้ เสยี แลว้ กลบั มาทางโนน้ ” แมใ้ นทางนนั้ พระเทวทตั กจ็ ดั วางพลธนู ไว้ ๘ คน สง่ั วา่ “จะมชี าย ๔ คน เดินมาตามทางที่พวกท่านดักซมุ่ อยู่ จงฆา่ คนทงั้ ๔ เสยี แลว้ กลบั มาทางโนน้ ” แมใ้ นทางนนั้ พระเทวทตั กจ็ ดั วาง ก�ำ ลงั คนไว้ ๑๖ คนเชน่ กนั สง่ั วา่ “จะมชี าย ๘ คน เดนิ มาตามทางทพี่ วกทา่ น ซุม่ อยู่ จงฆา่ คนท้งั ๘ นน้ั เสยี แลว้ กลบั มาทางโน้น” การทพ่ี ระเทวทตั ท�ำ อยา่ งนนั้ เพราะตอ้ งการฆา่ ปดิ ปากคนทง้ั หมด เพอื่ ปกปดิ กรรมชัว่ ของตน ขณะนั้น หัวหน้าพลธนูจัดเตรียมอาวุธครบมือ ขัดดาบทางด้านซ้าย แล้วผูกแล่งธนูไว้ข้างหลัง จับคันธนูใหญ่ที่ทำ�จากเขาแกะ ตรงข้ึนเขาคิชฌกูฏ ไปหลบซ่อนอยู่ตามจุดที่วางแผนเอาไว้ เห็นพระบรมศาสดาเสด็จจงกรมอยู่ จึงยกคันธนูขึ้นแล้วพาดลูกศร ดึงสายมาหมายใจว่าจะยิงพระตถาคต แต่ ไม่สามารถยิงลูกศรออกไปได้ ด้วยพระศาสดาทรงให้ข้ึนสายธนูได้เท่าน้ัน แต่ ใหย้ งิ ลกู ศรออกไปไมไ่ ด้ หัวหน้าพลธนูน้ัน เม่ือไม่สามารถยิงลูกศรออกไปได้ ทั้งลดคันธนูลง ก็ไม่ได้ จำ�ต้องยืนแข็งท่ืออยู่อย่างนั้น จึงลำ�บากกายอย่างย่ิง เหมือนกระดูก สีขา้ งท้งั ๒ จะหกั มนี �้ำ ลายไหลยืดออกจากปาก ทั่วทงั้ รา่ งกายเกิดอาการเกร็ง แข็งกระด้าง เหมอื นเคร่อื งยนต์ตดิ ขัด จงึ กลวั ตายยืนอยู่ ลำ�ดับนั้น พระบรมศาสดาทอดพระเนตรเห็นหัวหน้าพลธนูเหนื่อยล้า แล้ว จึงเปล่งพระวาจาด้วยพระสุรเสียงอันไพเราะ ตรัสปลอบหัวหน้าพลธนู
พ ร ะ จั น ท กุ ม า ร 412 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ใหเ้ บาใจวา่ “ทา่ นผเู้ จรญิ อยา่ กลวั เลย จงเขา้ มาทน่ี เี้ ถดิ ” ในขณะนนั้ อาการ แข็งเกร็งของหัวหน้าพลธนูได้คลายออก จึงทิ้งอาวุธเข้าไปหมอบลง เอาหัวซบ แทบบาทมูลของพระผ้มู ีพระภาคเจ้า แล้วกราบทูลว่า “ขา้ แตพ่ ระองคผ์ ู้เจรญิ โทษล่วงเกินได้ตกถึงข้าพระพุทธเจ้าแล้ว ข้าพระองค์ช่างโง่เขลานัก เป็นคนหลง เป็นคนบาป ข้าพระพุทธเจ้ามิได้รู้จักคุณของพระองค์ จึงได้มาปลงพระชนม์ชีพของพระองค์ตามที่พระเทวทัตเส้ียมสอน ขอพระองค์โปรดยกโทษแก่ข้าพระพุทธเจ้าเถิด” แล้วหัวหน้าพลธนู จงึ นง่ั ลง ณ ที่อนั สมควร พระบรมศาสดาแสดงธรรมโปรดหัวหน้าพลธนูให้บรรลุโสดาปัตติผล แล้วตรัสสอนว่า “เธอจงอย่ากลับไปตามทางที่พระเทวทัตวางแผนให้ แตจ่ งไปเสยี ทางอนื่ ” แลว้ สง่ หวั หนา้ พลธนนู น้ั ไป เมอ่ื พระบรมศาสดาสง่ หวั หนา้ พลธนไู ปแลว้ พระองคไ์ ด้เสด็จจากทจี่ งกรมไปประทบั นัง่ อยูท่ โี่ คนไมต้ ้นหนง่ึ เมื่อพลธนูอีก ๒ คน ไม่เหน็ หัวหนา้ พลธนูกลับมาทจี่ ุดนดั พบตามแผน ท้ังเวลาก็ผ่านไปนานจนผิดปกติ คิดว่าทำ�ไมชักช้านัก จึงออกเดินสวนทางไป ครั้นเห็นพระทศพลก็เข้าไปถวายอภิวาทนั่งลงด้านหนึ่ง พระบรมศาสดาจึง แสดงธรรมโปรดพลธนทู ง้ั ๒ คนนนั้ ใหไ้ ดบ้ รรลโุ สดาปตั ตผิ ลเชน่ กนั ตรสั สอนวา่ “เธอทั้ง ๒ อย่าเดนิ ไปทางทพี่ ระเทวทตั สัง่ ไว้ ใหห้ ลบออกไปทางอ่ืน” แล้วส่งเขากลบั ไป เมื่อพลธนูที่เหลือนอกนี้มาน่ังเฝ้าในทำ�นองเดียวกัน ก็ทรงแสดง พระธรรมเทศนาโปรดให้พวกเขาได้บรรลุโสดาปัตติผล แล้วทรงส่งกลับไปโดย ทางอนื่ เช่นเดยี วกัน หัวหน้าพลธนูท่ีกลับมาถึงก่อนได้เข้าไปหาพระเทวทัตแล้วรายงานว่า ตนไม่สามารถปลงพระชนม์ชีพของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระผู้มีพระภาค พระองค์น้ันทรงมีอิทธิฤทธ์ิมาก ทรงมีอานุภาพอันย่ิงใหญ่ แม้พลธนูท่ีเหลือ ก็กลบั มาพบพระเทวทตั ในทำ�นองเดยี วกนั
ท ศ ช า ติ 413 พ ร ะ จั น ท กุ ม า ร ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง พลแม่นธนูเหล่าน้ันคิดกันว่า พวกตนอาศัยพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รอดชีวิตมาได้ จึงชวนกันออกบวชในสำ�นักของพระศาสดาแล้วได้บรรลุธรรม เป็นพระอรหันต์ทุกรปู ความเปน็ ไปของพระเทวทตั ทง้ั หมดน้ี ไดป้ รากฏในหมภู่ กิ ษสุ งฆ์ เปิดตำ�นานชวี ติ พระเทวทตั พระเทวทัตเป็นพระญาติของพระพุทธเจ้าฝ่ายกรุงเทวทหะ ออกบวช พร้อมกับพระภทั ทิยะ พระอนุรทุ ธะ พระอานนท์ พระภคั คุ พระกิมพลิ ะ ซ่ึงเปน็ พระญาติฝ่ายศากยวงศ์ กรุงกบิลพัสด์ุ และพระอุบาลี พนักงานภูษามาลา ในราชสาํ นกั เมอื่ พระเทวทตั บวชแลว้ เหน็ ลาภสกั การะเกดิ ขนึ้ ในพระศาสนามาก จงึ หลงติดในลาภ คดิ การใหญ่ปรารถนาจะปกครองสงฆ์เสยี เอง เมื่อพระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรือง ชาวกรุงโกสัมพีต่างถือจีวร เภสัช นำ้�ปานะ และดอกไม้ เคร่ืองสักการบูชาไปวิหาร ต่างถามถึงพระพุทธเจ้าและ พระเถระสําคญั มพี ระสารีบุตร เป็นตน้ แต่ไมม่ ใี ครถามถงึ พระเทวทตั เลย พระเทวทัตเกิดความนอ้ ยเนอ้ื ต่ำ�ใจ คดิ วา่ เราก็เปน็ กษตั ริยบ์ วชพรอ้ ม กับเจ้าศากยะเหมือนกัน แต่ไม่มีใครถามถึง เราควรทาํ ให้ใครเล่ือมใส จะได้มี ลาภสักการะอย่างองค์อ่ืนบ้าง พระเทวทัตนึกถึงพระเจ้าพิมพิสาร แต่พระองค์ ก็บรรลุโสดาปัตติผลแล้ว มีศรัทธาต้ังมั่นต่อพระพุทธเจ้า ไม่สามารถทําให้ พระองค์เลื่อมใสได้ แม้พระเจ้าปเสนทิโกศลก็เช่นกัน ส่วนอชาตศัตรูกุมาร พระโอรสของพระเจ้าพิมพิสารยังเป็นเด็กหนุ่ม ยังไม่รู้คุณและโทษอะไร หาก ทาํ ให้พระองค์เลื่อมใสได้ ลาภสกั การะเปน็ อันมากจะเกิดข้นึ ตามมา พระเทวทัตจึงออกจากกรุงโกสัมพีไปยังกรุงราชคฤห์ เนรมิตกายเป็น กมุ ารนอ้ ย มีอสรพษิ ๔ ตวั พันที่มือและเท้าทัง้ ส่ี ตัวหนึ่งท่ีคอ ตวั หน่ึงแผ่พังพาน
พ ร ะ จั น ท กุ ม า ร 414 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง เป็นเทริดบนศีรษะ ตัวหนึ่งทําเฉวียงบ่าลงจากอากาศ ด้วยสังวาลย์งูนี้น่ังบน พระเพลาของอชาตศัตรูกมุ าร คร้ันเห็นพระราชกุมารตกใจกลัวก็ทูลว่า “อย่ากลัวเลย อาตมา คือพระเทวทัต” พลันน้ันก็กลับกลายเป็นพระภิกษุ ทรงไตรจีวร ผู้สํารวม น่าเลื่อมใสเช่นเดิม ยืนอยู่ตรงพระพักตร์ ทําให้พระราชกุมารทรงเลื่อมใสด้วย อิทธิปาฏิหาริย์ ต่อมา พระราชกุมารก็ได้ไปพบพระเทวทัตทั้งเวลาเช้าและเวลาเย็น พร้อมด้วยรถบรรทุกภัตตาหารเป็นจํานวนมาก ทําให้พระเทวทัตมีลาภสักการะ เปน็ อันมาก พวกพระภกิ ษซุ ง่ึ เดนิ ทางมาจากกรงุ ราชคฤหเ์ พอื่ เขา้ เฝา้ พระบรมศาสดา กราบทลู เหตกุ ารณต์ า่ ง ๆ ใหพ้ ระองคท์ ราบ พระบรมศาสดาตรสั เตอื นพวกภกิ ษวุ า่ พวกเธอจงอย่าพอใจลาภสักการะเลย อชาตศัตรูกุมารจะบํารุงเทวทัตไปได้กี่วัน ลาภสักการะที่เกดิ ข้ึนแกเ่ ทวทัตกเ็ พอ่ื ฆา่ ตนเทา่ น้ัน แล้วตรสั ย�ำ้ วา่ “ผลกล้วยเกิดขึน้ ย่อมฆ่าต้นกล้วย ขุยไผเ่ กดิ ขึน้ ยอ่ มฆ่าต้นไผ่ ขยุ ออ้ เกดิ ขน้ึ ยอ่ มฆา่ ตน้ ออ้ ฉนั ใด ลาภสกั การะเมอ่ื เกดิ ขน้ึ แลว้ ยอ่ มฆา่ คนช่วั เหมอื นลูกม้าอสั ดรย่อมฆา่ แมข่ องตนเอง ฉันนั้น” พระเทวทัตทลู ขอปกครองสงฆ์ ครน้ั อย่ตู ่อมา เมอื่ พระพทุ ธเจา้ เสดจ็ กลบั จากกรงุ โกสัมพี มาประทบั ที่ กรงุ ราชคฤห์ แควน้ มคธ พระเทวทตั มลี าภสกั การะมาก เกดิ หลงในลาภ จงึ อยาก เปน็ ใหญใ่ นหมู่สงฆ์ เพราะจิตคิดไมด่ ีจึงทาํ ให้ฤทธิเ์ ส่อื ม ขณะพระพุทธองค์กําลังแสดงธรรมอยู่ที่พระเวฬุวันวิหาร พระเทวทัต ไดเ้ ข้าไปกราบทูลขอปกครองสงฆ์ด้วยตนเอง
ท ศ ช า ติ 415 พ ร ะ จั น ท กุ ม า ร ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง แม้พระพุทธเจ้าจะตรัสห้ามถึง ๓ คร้ัง แต่พระเทวทัตก็ยังกราบทูล เช่นนั้น ในท่ีสุดพระพุทธองค์ตรัสว่า “เทวทัต แม้แต่พระสารีบุตรและ พระโมคคัลลานะ พระองค์ก็ยังไม่มอบให้ปกครองสงฆ์ แล้วไฉน พระองคจ์ ะมอบให้พระเทวทตั ปกครองสงฆ์” แลว้ ทรงตําหนพิ ระเทวทตั วา่ ใช้สอยปจั จัยทเ่ี ขาถวายเหมอื นคนคอยกลนื กนิ นำ้�ลายทีเ่ ขาถ่มทิง้ พระเทวทัตน้อยใจว่า พระบรมศาสดาประจานตนท่ามกลางสงฆ์ แต่กลับทรงยกย่องพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะข้ึนข่มตน จึงโกรธและ ผกู อาฆาตพระบรมศาสดานบั แตน่ ้ันมา พระบรมศาสดารบั สัง่ ให้สงฆท์ าํ ปกาสนยี กรรม คอื กรรมอนั สงฆ์ ควรประกาศให้ประชาชนทราบถึงพฤติกรรมของพระเทวทัตว่าทำ� ไม่ถูกต้อง พระเทวทัตน้อยเนื้อตำ่�ใจว่าเราถูกพระสมณโคดมกําจัดเสียแล้ว บัดน้ี เราจะทําใหพ้ ระองค์พนิ าศ ต่อมา เมื่อพระเทวทัตไม่สามารถครอบงำ�สงฆ์ได้ จึงวางแผนด้าน อาณาจักร ยุยงเจ้าชายอชาตศัตรูให้ปลงพระชนม์พระเจ้าพิมพิสาร ผู้ทรงเป็น พระชนก แลว้ อภเิ ษกพระองคข์ นึ้ เปน็ พระมหากษตั รยิ ์ สว่ นพระเทวทตั ไดพ้ ยายาม ปลงพระชนมพ์ ระพุทธเจ้าด้วยหวงั จะปกครองสงฆ์เอง พระเทวทัตได้ส่งพลธนูไปซุ่มยิงพระพุทธเจ้า เม่ือไม่สําเร็จจึงข้ึนภูเขา คิชฌกูฏด้วยตัวเอง กล้ิงก้อนศิลาใหญ่ลงมา ด้วยหมายใจว่าจะปลงพระชนม์ พระพทุ ธเจา้ ขณะทก่ี อ้ นศลิ ากลง้ิ ลงมา ไดก้ ระทบยอดบรรพตสองยอด ซงึ่ เคลอ่ื น เข้ามาบดบัง สะเก็ดศิลากระเด็นมากระทบพระบาทพระพุทธเจ้า ทําให้ห้อ พระโลหติ หมภู่ ิกษใุ ช้แครห่ ามนาํ พระพทุ ธองค์ไปแวะพกั ณ มัททกจุ ฉิ อทุ ยาน เชงิ เขาคชิ ฌกฏู แลว้ นาํ พระองคไ์ ปยงั ชวี กมั พวนั หมอชวี กโกมารภจั จไ์ ดถ้ วายการ รักษาจนอาการดีขึน้
พ ร ะ จั น ท กุ ม า ร 416 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง จากน้ัน พระเทวทัตไดป้ ลอ่ ยชา้ งหลวงช่ือ “นาฬาคริ ”ี ซึง่ กำ�ลงั ตกมนั ไปปลงพระชนม์พระพุทธเจ้า พระอานนท์เถระยอมสละชีวิตออกขวางข้างหน้า พระพุทธองค์ทรงห้ามพระอานนท์ และแผ่เมตตาจิตไปสู่ช้างนาฬาคิรี เม่ือ ช้างหลวงได้สัมผัสเมตตาจิตของพระองค์ก็หายเมา ลดงวงลง เดินเข้าไปหา พระพุทธองค์ หมอบลงตรงเบื้องพระพักตร์ พระพุทธองค์ทรงยกพระหัตถ์ขวา ลูบกระพองช้างนาฬาคิรี ตรัสว่า “นาฬาคิรี เจ้าอย่าเข้ามาหาเราด้วยจิต คิดจะฆ่าเช่นนี้ เพราะนั้นเป็นต้นเหตุแห่งทุกข์ ผู้ทําร้ายพระพุทธเจ้า ย่อมไปสทู่ ุคติ เจ้าจงอยา่ ประมาท เม่ือส้นิ ชพี จะไปสสู่ คุ ติได”้ ชา้ งนาฬาคริ เี อางวงสดู ละอองธลุ พี ระบาทของพระพทุ ธองค์ แลว้ พน่ ลง บนกระพองของตน ยอ่ ตวั ถอยออกไปจนสดุ สายตาทแ่ี ลเห็นพระพทุ ธเจา้ แล้วจึง หนั หลังกลับไปสูโ่ รงชา้ ง ประชาชนท่ีเห็นเหตุการณ์ต่างวิพากษ์วิจารณ์กันว่า “การกระทํา ท้ังหมดน้ีเป็นฝีมือพระเทวทัต แต่พระเจ้าแผ่นดินก็ยังคบภิกษุเช่นน้ี อยู่อกี ” พระเจ้าอชาตศัตรูทรงสดับเสียงเล่าลือวิพากษ์วิจารณ์ของประชาชน จึงรับส่ังให้ถอนสำ�รับอาหารท่ีเคยอุปัฏฐากพระเทวทัตคืนมา แล้วมิได้เสด็จไป อปุ ฏั ฐากพระเทวทตั อกี เลย ประชาชนตา่ งหมดศรทั ธา ไมม่ ใี ครตอ้ นรบั พระเทวทตั พระเทวทัตเสื่อมจากลาภสักการะ จึงวางแผนการใหม่ เป็นเหตุแห่งสังฆเภท ทําสงฆ์ให้แตกจากกนั พระเทวทตั ไดเ้ ขา้ ไปเฝา้ พระพทุ ธเจา้ ทลู ขอขอ้ วตั รปฏบิ ตั อิ ยา่ งอกุ ฤษฏ์ เพ่ือให้พระบรมศาสดาบัญญัติให้ภิกษุสงฆ์ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ข้อวัตร ปฏิบัติน้นั มี ๕ ประการ คือ ๑. ภกิ ษทุ ัง้ หลายไม่พึงฉนั ปลาและเนอ้ื ตลอดชีวิต ๒. ภกิ ษุทัง้ หลายพงึ อย่ปู ่าเป็นวตั รตลอดชวี ติ
ท ศ ช า ติ 417 พ ร ะ จั น ท กุ ม า ร ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ๓. ภิกษุทั้งหลายพึงเทีย่ วบณิ ฑบาตเป็นวัตรตลอดชีวิต ๔. ภกิ ษทุ ัง้ หลายพงึ ใชผ้ า้ บงั สุกลุ เป็นวัตรตลอดชีวติ ๕. ภกิ ษทุ ั้งหลายพงึ อยู่โคนตน้ ไม้เป็นวตั รตลอดชวี ิต พระพทุ ธองค์ตรสั หา้ มพระเทวทัตพรอ้ มให้เหตุผลวา่ ทรงอนุญาตปลา และเนื้อท่บี ริสทุ ธิ์ ๓ ประการ คือ ๑. ไม่เห็นวา่ เขาฆา่ เพอื่ ตน ๒. ไม่ได้ยนิ วา่ เขาฆา่ เพ่ือตน ๓. ไม่สงสยั ว่าเขาฆา่ เพือ่ ตน สําหรับการอยู่ป่าตลอดชีวิต การเท่ียวบิณฑบาตตลอดชีวิต การใช้ผ้าบังสุกุลตลอดชีวิต ทรงอนุญาตให้ถือข้อวัตรปฏิบัติเหล่าน้ี ตามปฏิปทาของตนเองเป็นท่ีต้ัง ภิกษุรูปใดต้องการถือปฏิปทา การอยปู่ ่าเป็นวตั ร เท่ียวบิณฑบาตเป็นวัตร หรอื ถือผ้าบงั สกุ ลุ เปน็ วัตร ก็ให้ปฏิบัติตามน้ัน ใครไม่ต้องการก็ไม่ต้องปฏิบัติ สําหรับประการ สุดท้าย ทรงอนุญาตให้พระภิกษุอาศัยโคนไม้เป็นเสนาสนะได้เพียง ๘ เดือน นอกฤดูฝนเท่าน้ัน เน่ืองจากการอยู่ป่าในฤดูฝน จะทําให้ ภิกษสุ งฆเ์ กดิ ความลาํ บาก ที่จริงพระเทวทัตก็รู้ว่า ถึงอย่างไรพระพุทธเจ้าก็คงไม่ทรงอนุญาต ซ่ึงจะได้เป็นช่องในการยกตนข่มท่าน เมื่อพระเทวทัตได้ยินว่า พระบรมศาสดา ไมท่ รงอนญุ าต จงึ เกดิ ความดใี จทส่ี มกบั ความปรารถนาของตน ทจี่ ะทาํ ใหป้ ระชาชน เห็นว่า ตนเป็นผู้มีข้อวัตรปฏิบัติท่ีเคร่งกว่าพระพุทธเจ้า จึงลุกจากอาสนะ ถวายบงั คมพระผู้มีพระภาคเจา้ แลว้ กลับไปพรอ้ มพระภกิ ษสุ าวกของตน รุ่งข้ึนอีกวัน พระเทวทัตพร้อมด้วยพระภิกษุสาวก เข้าไปกรุงราชคฤห์ ประกาศให้ประชาชนทราบความท่ีพระพุทธเจ้าไม่ทรงอนุญาตข้อวัตรที่เคร่งครัด ที่ตนสมาทานและประพฤติปฏิบัติอยู่ คือ ไม่ฉันปลาและเน้ือ แต่จะฉันอาหาร
พ ร ะ จั น ท กุ ม า ร 418 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ประเภทผกั ตลอดชีวติ อยปู่ า่ ใช้ชวี ติ อยา่ งพระป่าตลอดชีวติ เท่ยี วบิณฑบาตและ ต้องฉนั ในบาตรเทา่ น้นั ตลอดชีวิต อาหารที่ถวายดว้ ยภาชนะอยา่ งอ่ืนซ่ึงไมไ่ ดใ้ ส่ ลงไปในบาตรไม่ฉัน ใช้ผ้าบังสุกุลตลอดชีวิต จะไม่ใช้สอยผ้าท่ีชาวบ้านถวาย และอยโู่ คนต้นไม้ตลอดชีวิต คําประกาศนั้นทําให้ประชาชนท่ีเบาปัญญาเข้าใจว่า พระเทวทัต เคร่งครัด ส่วนพระพุทธเจ้ามักมาก คิดถึงแต่ความสะดวกสบาย และทําให้ พระภิกษุบวชใหม่ท่ีมีปัญญาน้อย ยังไม่รู้ท่ัวถึงพระธรรมวินัย พากันหลงเช่ือ ยอมตนเขา้ เป็นพรรคพวกจํานวนมาก เม่ือพระพุทธเจ้าทรงทราบ ให้พระเทวทัตมาเฝ้า รับส่ังถามเร่ืองที่ เกดิ ขน้ึ พระเทวทัตรับว่าจรงิ ตามนน้ั พระพทุ ธเจ้าจึงตรัสว่า “เทวทตั เธออยา่ พอใจการทาํ ใหส้ งฆเ์ กดิ ความแตกแยกเลย เพราะการทาํ ใหส้ งฆแ์ ตกแยก มโี ทษหนกั ผใู้ ดทาํ ใหส้ งฆแ์ ตกแยกยอ่ มพบแตค่ วามทกุ ข์ และหมกไหม้ ในนรกช่ัวกัปช่ัวกลั ป์” พระเทวทัตไม่ได้ใส่ใจโอวาทของพระพุทธองค์ ผลุนผลันไปจากที่น้ัน เช้าวันต่อมา พระเทวทัตพบพระอานนท์ขณะกําลังบิณฑบาต ได้บอกความ ประสงคข์ องตนวา่ “อานนท์ นบั ตง้ั แตว่ นั นเ้ี ปน็ ตน้ ไป ผมจะแยกทาํ อโุ บสถ สังฆกรรมจากพระผมู้ ีพระภาคเจ้า แยกจากหมภู่ กิ ษสุ งฆ”์ เมอื่ พระอานนทก์ ลบั จากบณิ ฑบาต ไดน้ าํ ความนน้ั กราบทลู พระพทุ ธเจา้ พระพทุ ธองคท์ รงเปลง่ อทุ านวา่ “คนดที าํ ความดไี ดง้ า่ ย แตค่ นชวั่ ทาํ ความดี ได้ยาก คนชวั่ ทาํ ความช่วั ไดง้ ่าย แต่คนดที ำ�ความชวั่ ได้ยาก” ครั้นถึงวันอุโบสถ พระเทวทัตประกาศให้พระภิกษุเลือกเอาว่า “ข้อ วัตรปฏบิ ตั ิทง้ั ๕ ประการนี้ ผใู้ ดเหน็ ชอบ ผู้นั้นจงจับสลากเลือกเอา”
ท ศ ช า ติ 419 พ ร ะ จั น ท กุ ม า ร ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง พระภิกษุผู้บวชใหม่ ชาวเมืองเวสาลีประมาณ ๕๐๐ รูป ยังไม่รู้ พระธรรมวินัย เข้าใจว่า นี้คือ ธรรม น้ีคือ วินัย จึงเลือกข้อวัตรปฏิบัติตาม พระเทวทตั ครนั้ พระเทวทตั ทาํ ลายสงฆใ์ หแ้ ตกจากกนั แลว้ ไดน้ �ำ พระภกิ ษผุ บู้ วชใหม่ ๕๐๐ รปู หลีกไปทางตาํ บลคยาสีสะ พระบรมศาสดาตรัสกับพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะว่า “หาก พวกเธอยังมีความการุญในพระภิกษุผู้บวชใหม่เหล่านั้นอยู่ จงรีบไป น�ำ พระภกิ ษเุ หลา่ นนั้ ซงึ่ กาํ ลงั จะถงึ ความยอ่ ยยบั กลบั มา” พระอคั รสาวก ทง้ั สองจงึ เดินทางตามไปทีต่ าํ บลคยาสีสะ พระเทวทัตเห็นพระอัครสาวกทัง้ สองตามมา เข้าใจว่า พระอัครสาวก ตามมาเพราะชอบใจหลักธรรมของตน จึงนิมนต์ใหน้ ่งั ขณะนัน้ พระเทวทตั กาํ ลังแสดงธรรมแกพ่ ระภิกษุทง้ั หลาย เลียนแบบ ตามอยา่ งพระพทุ ธเจา้ เชอื้ เชญิ พระสารบี ตุ รวา่ “สารบี ตุ ร บดั นี้ พระภกิ ษสุ งฆ์ ปราศจากความง่วงแล้ว ท่านจงแสดงธรรมกถาต่อจากเราเถิด เรา เมื่อยหลัง จักนอนพักสักครู่หนึ่ง” เพราะพระเทวทัตเหน็ดเหน่ือย จึงขาด สติสัมปชญั ญะผลอ็ ยหลบั ไป พระสารีบุตรได้กล่าวสอนพระภิกษุผู้บวชใหม่ ท้ังด้วยธรรมีกถาและ การว่ากล่าวตักเตือน สั่งสอน ส่วนพระมหาโมคคัลลานะก็กล่าวสอนท้ังด้วย ธรรมีกถาและการแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ เม่ือพระมหาเถระทั้งสองกล่าวสอนอยู่ พระภิกษุผู้บวชใหม่เหล่าน้นั ได้ดวงตาเห็นธรรม เกดิ ความเลอ่ื มใส จากนน้ั พระสารบี ตุ รและพระโมคคลั ลานะไดน้ าํ พระภกิ ษทุ งั้ ๕๐๐ รปู นน้ั กลบั ไปยังพระเวฬวุ นั วิหาร กรงุ ราชคฤห์ พระโกกาลกิ ะ ซง่ึ เปน็ สาวกผใู้ หญข่ องพระเทวทตั ปลกุ พระเทวทตั ให้ ลุกขึ้นกลา่ วว่า “ลกุ ขึน้ เถิด ทา่ นเทวทตั พระสารบี ตุ ร พระโมคคัลลานะ
พ ร ะ จั น ท กุ ม า ร 420 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง พาพระภกิ ษเุ หลา่ นน้ั ไปแลว้ เราบอกทา่ นแลว้ วา่ อยา่ ไวใ้ จพระสารบี ตุ ร กับพระโมคคัลลานะ เพราะทั้งสองมีเจตนาไม่ดี ลุอํานาจแห่งความ ปรารถนาลามก” ด้วยความฉุนเฉียวจึงเอาเข่ากระทุ้งยอดอกพระเทวทัต จนพระเทวทตั กระอกั เลือดอุน่ เพราะความตรอมใจ ทําให้พระเทวทัตอาพาธนานถึง ๙ เดือน และ นับวันอาการก็ยิ่งทรุดหนักลงเร่ือย ๆ ในที่สุดก็กลับได้สํานึก ต้องการเข้าเฝ้า พระพุทธองค์ จึงขอรอ้ งสาวกของตนทย่ี งั เหลืออยใู่ ห้ช่วยนาํ ไป พระภิกษุพวกน้นั กลา่ วว่า “ท่านสร้างเวรสรา้ งกรรมกบั พระพุทธเจา้ ไว้มากนัก จงึ ไม่อาจ น�ำ ท่านไปเฝ้าได”้ พระเทวทัตกล่าวว่า “อย่าทำ�ให้เราพินาศเลย แม้เราจะผูก อาฆาตพระพุทธเจ้า แต่พระองค์ไม่มีความอาฆาตแม้ประมาณเท่า ปลายผม เราจะไปขอขมาพระพทุ ธเจ้า” แท้จริงแล้ว แม้พระเทวทัตจะทําเช่นนั้น แต่พระพุทธองค์ก็ทรงมี น้ำ�พระทัยต่อพระเทวทตั เสมอกบั บุคคลทั่วไป เชน่ นายขมงั ธนู โจรองคลุ มิ าล ชา้ งนาฬาคิรี และพระราหุล เป็นตน้ พระเทวทัตได้ร้องขอวิงวอนแล้ววิงวอนเล่า ให้พระภิกษุนําไปเฝ้า พระพุทธองค์ สาวกเหล่านั้นจึงเอาเตียงหามพระเทวทัตไปจากกรุงราชคฤห์ จนถึงกรุงสาวัตถี พระภิกษุท้ังหลายได้ทราบข่าว จึงเข้าไปกราบทูลให้ พระบรมศาสดาทราบ พระองค์ตรัสว่า “เทวทัตจะไม่มีโอกาสได้เห็นพระองค์อีกเลย ในชาติน้ี” แมเ้ หลา่ พระภกิ ษจุ ะไดเ้ ขา้ ไปกราบทลู ใหท้ รงทราบเปน็ ระยะ ๆ วา่ “อกี ประมาณหนง่ึ โยชน์ พระเทวทตั กม็ าถงึ แลว้ อกี ประมาณคาวตุ หนง่ึ แลว้
ท ศ ช า ติ 421 พ ร ะ จั น ท กุ ม า ร ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ขณะนี้ ใกล้จะมาถึงสระโบกขรณีแลว้ ” พระพทุ ธองค์กย็ ังทรงรบั สง่ั เช่นเดิม ว่า “แม้พระเทวทัตจะเข้ามาจนถึงพระเชตวัน พระเทวทัตก็จะไม่มี โอกาสไดเ้ ห็นพระองคใ์ นชาตนิ ้ี” เม่ือสาวกนําพระเทวทัตมาใกล้พระเชตวัน วางเตียงลงริมฝั่งสระ โบกขรณี ต่างก็ลงไปอาบนำ้�ในสระ พระเทวทัตรู้สึกอบอุ่นใจที่จะได้พบ พระพทุ ธเจ้า พยายามพยงุ กายลกุ ขน้ึ จากเตียงเพอ่ื จะลา้ งหน้า พอวางเท้าลงบน พน้ื ดินเทา่ นนั้ เท้าท้งั สองกจ็ มลงในแผ่นดนิ ถูกธรณีสูบต้ังแต่ขอ้ เทา้ เข่า เอว อก จนถึงคอ ในขณะท่ีคางจรดถึงพื้นดิน พระเทวทัตสํานึกผิด ได้กล่าวคําขอขมา พระพทุ ธองคเ์ ปน็ ครงั้ สดุ ทา้ ยวา่ “ขา้ พระองคถ์ วายกระดกู คางเปน็ พทุ ธบชู า ขอถงึ พระพทุ ธเจ้าพระองค์น้ันว่าเปน็ ที่พึง่ ” ด้วยอานิสงส์ที่พระเทวทัตสํานึกผิด เปล่งวาจาขอถึงพระพุทธเจ้าว่า เป็นที่พึ่งก่อนมรณภาพนี้ ภายหลังจากชดใช้กรรมในอเวจีนรกแล้ว ในอนาคต พระเทวทตั จะได้ตรสั รเู้ ป็นพระปจั เจกพทุ ธเจ้า นามวา่ “อฏั ฐสิ สระ” เรื่องที่พระเทวทัตพยายามส่งพลแม่นธนูไปปลงพระชนม์พระพุทธเจ้า จนธรณีสูบน้ัน ได้ก่อให้เกิดความสังเวชใจ กลายเป็นเรื่องสนทนากันอย่าง กว้างขวางในหมพู่ ระภกิ ษุสงฆ์ ตลอดจนประชาชนทัว่ ไป พระศาสดาเสดจ็ ออกจากทบ่ี รรทม สดบั เสยี งสนทนาของภกิ ษทุ ง้ั หลาย ด้วยพระโสตธาตุอันเป็นทิพย์ จึงเสด็จมายังโรงธรรมสภา ตรัสถามถึงเร่ืองที่ ภิกษุสนทนากันว่า “ภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในชาตินี้เท่าน้ันท่ีพระเทวทัต พยายามฆา่ คนเป็นอันมาก เพราะผูกเวรในเราผูเ้ ดียว แมใ้ นชาตกิ ่อน พระเทวทัตก็พยายามทําเช่นน้ี” หมู่ภิกษุเกิดความสนใจ ทูลขอให้เล่า เรื่องราวให้ฟัง พระองค์จึงตรัสเล่าเร่ืองจันทกุมาร ซึ่งเป็นเร่ืองในอดีตชาติ ของพระองค์ให้หม่ภู กิ ษฟุ งั
พ ร ะ จั น ท กุ ม า ร 422 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง กำ�เนิดพระจนั ทกมุ าร ในอดีตกาล สมัยนั้นกรุงพาราณสีมีช่ือว่า “ปุปผวดี” พระราชา ผู้ปกครองแผ่นดินพระนามว่า “พระเจ้าวสวัตดี” พระองค์มีพระโอรสนามว่า “เอกราช” เมอ่ื พระเจ้าวสวตั ดีทรงชราภาพแล้ว ไดส้ ละราชบัลลงั ก์ ทรงอภเิ ษก พระราชโอรสข้ึนครองราชสมบัติ พระเจ้าเอกราชทรงตั้งพระโอรสพระนามว่า “พระจนั ทกมุ าร” ดํารงตําแหน่งอปุ ราช สว่ นพราหมณช์ ่ือว่า “ขณั ฑหาละ” ผู้เปน็ อาจารย์ ทรงตง้ั ใหเ้ ป็นปโุ รหติ ครน้ั อยตู่ อ่ มา พระราชาทรงเหน็ วา่ ขณั ฑหาละเปน็ บณั ฑติ มคี วามรอบรู้ เป็นผู้ถวายอนุศาสน์อรรถธรรมแด่พระองค์ จึงให้ดํารงตําแหน่งผู้พิพากษา ตดั สนิ อรรถคดอี กี ต�ำ แหนง่ หนงึ่ ดว้ ย ขณั ฑหาลพราหมณอ์ าศยั ตาํ แหนง่ ผพู้ พิ ากษา รับสนิ บน ใครใหส้ ินบนก็ตัดสินลําเอยี งเข้าหาผนู้ ั้น อยู่มาวันหนึ่ง ชายผู้แพ้คดีคนหน่ึงไม่ยอมรับในคําพิพากษา จึงยืนด่า อยใู่ นศาลทว่ี นิ จิ ฉยั อรรถคดี ครน้ั ออกมาภายนอกเหน็ พระจนั ทกมุ ารจงึ เขา้ ไปเฝา้ กราบลงแทบพระบาทร้องห่มร้องไห้ว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจากคำ�พิพากษา ขัณฑหาละปลน้ ตนในการตัดสินคดี รบั สินบนแล้วตดั สนิ ให้ตนแพค้ ดีความ พระจันทกุมารปลอบโยนว่า “อย่ากลัวไปเลย” แล้วพาชายคนน้ัน ไปยังศาลที่ทำ�การวินิจฉัยอรรถคดี ขอให้มีการรื้อฟื้นคดีข้ึนมาพิจารณาใหม่ พระองค์ทรงตรวจสอบหลักฐานแล้ว กลับคำ�พิพากษา ตัดสินให้ชายคนน้ันเป็น ฝ่ายชนะคดี ประชาชนท่ีมาฟังคําพิพากษาต่างพากันแซ่ซ้องสรรเสริญดังกึกก้อง ไปทั่วพระนคร พระราชาตรสั ถามถงึ เสยี งโหร่ อ้ งนน้ั เจา้ หนา้ ทกี่ ราบทลู ใหท้ รงทราบวา่ พระราชกุมารตัดสินคดีด้วยความเท่ียงธรรม ประชาชนจึงส่งเสียงสาธุการ พระราชาทรงปลาบปลื้มพระทัย เม่ือพระจันทกุมารเสด็จมาเฝ้า จึงตรัสถามถึง
ท ศ ช า ติ 423 พ ร ะ จั น ท กุ ม า ร ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง เรื่องการตัดสินคดีความ ทรงทราบว่าพระราชโอรสมีความยุติธรรม จึงมอบ ตาํ แหนง่ การตัดสนิ คดีใหเ้ ปน็ ผู้รับผดิ ชอบเพยี งผเู้ ดียว ดว้ ยแรงอาฆาต ตั้งแต่วันน้ันเป็นต้นมา ขัณฑหาลพราหมณ์สูญเสียผลประโยชน์ท่ีเคย ไดร้ ับจากสนิ บน จึงผกู อาฆาตพระจันทกมุ าร คอยจ้องจบั ผดิ อยู่ สว่ นพระราชา กม็ พี ระทยั ไม่หนักแน่น ใกล้รุ่งวันหน่ึง พระองค์ฝันว่าได้ทอดพระเนตรเห็นสวรรค์ช้ันดาวดึงส์ มีซุม้ ประตูและกําแพงประดับด้วยแกว้ ๗ ประการ ถนนหนทางราบเรียบงดงาม เวชยันตปราสาทสูงเทียมเมฆ มีสวนนันทวัน มีสระโบกขรณี น่าเบิกบานใจ เกลื่อนกลน่ ไปดว้ ยหมนู่ างเทพอปั สรฟอ้ นราํ ขบั ร้อง ประโคมดนตรี ครน้ั ทรงต่ืนบรรทม ประสงค์จะเสดจ็ ไปสวรรค์ชนั้ ดาวดึงส์ จงึ ทรงด�ำ ริ วา่ พรุ่งนี้ เมื่ออาจารย์มาเฝา้ จะถามถงึ วิธกี ารทจ่ี ะไปเทวโลก แล้วจะท�ำ ตามวธิ ี ท่ีอาจารย์บอก ทรงสรงสนานแต่เช้าตรู่ เสวยพระกระยาหารแล้วประทับน่ังรอ พราหมณป์ ุโรหติ ส่วนขัณฑหาลพราหมณไ์ ปเฝา้ พระราชาแตเ่ ช้า ทลู ถามถึงการบรรทม ตามธรรมเนียม พระราชาตรัสถามว่า “อาจารย์ ท่านเป็นผู้ฉลาดรอบรู้ คนทําบญุ อยา่ งไรจึงจะได้ไปสวรรค์” ที่จรงิ ปัญหาน้ี พระเจ้าเอกราชตอ้ งถามพระสัพพญั ญูพทุ ธเจา้ สาวก ของพระพุทธเจ้า หรือไม่ก็พระโพธิสัตว์ แต่พระองค์กลับตรัสถามขัณฑหาล พราหมณ์ ขัณฑหาลพราหมณ์คิดว่า ได้โอกาสแก้แค้นศัตรูแล้ว เราจะฆ่า พระจนั ทกมุ าร พระราชาตรสั ถามถงึ ทางไปสสู่ วรรค์ จงึ บอกทางไปนรกวา่ “ผจู้ ะไป
พ ร ะ จั น ท กุ ม า ร 424 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง เกิดในสวรรค์ ต้องทํา “อติทาน” คือ ทานท่ีย่ิงใหญ่กว่าการให้ทาน ทั้งปวง ต้องฆ่าคนทไี่ มค่ วรฆ่า” พระราชาตรัสถามถึงทานท่ีย่ิงใหญ่กว่าการให้ทานท้ังปวงเป็นอย่างไร ในโลกน้ีใครคือคนทไ่ี มค่ วรฆ่า พระองคจ์ ะบชู ายญั ใหท้ านตามทบ่ี อกนัน้ ขัณฑหาลพราหมณ์กราบทูลว่า “ต้องบูชายัญด้วยการฆ่า พระราชโอรส พระราชธิดา พระมเหสี ชาวนิคม โคอุสุภราช และ ม้าอาชาไนย อย่างละ ๔ ตลอดจนสัตว์เหล่าอื่นอีก มีช้าง เป็นต้น อย่างละ ๔ ดว้ ยการตัดหวั เอาถาดทองคาํ รองโลหติ เทลงในหลุมยัญ แล้วจะได้ไปเทวโลก การให้อาหารและเคร่ืองนุ่งห่ม เป็นต้น แก่ สมณพราหมณ์ คนยากไร้ คนเดนิ ทางไกล วณพิ ก และยาจก ทาํ ไดง้ า่ ย จึงไม่ได้เป็นทานท่ีล่วงลำ้�ไปกว่าการให้ทาน ส่วนการฆ่าบุคคลที่ ไม่ควรฆ่า แล้วบูชายัญด้วยเลือดจากลําคอของคนเหล่านั้น น้ีช่ือว่า “อติทาน” เปน็ ทานทีท่ าํ ไดย้ าก เพราะเปน็ การสละอย่างยงิ่ ใหญ่” การทข่ี ณั ฑหาลพราหมณใ์ หจ้ บั คนอน่ื ๆ และสตั วช์ นดิ ตา่ ง ๆ บชู ายญั ดว้ ย เพราะคิดว่า ถ้าจับเฉพาะพระจันทกุมารคนเดียว ผู้คนก็จะคิดว่าตนผูกอาฆาต พระกมุ าร จึงให้จับประชาชนดว้ ย จะไดไ้ ม่เป็นท่สี งสัย พราหมณก์ ราบทลู ถามพระราชาวา่ “ขอเดชะ พระองคจ์ ะทรงบชู า ยัญท่ที ําไดย้ ากน้ีไดห้ รอื ” พระราชาตรัสวา่ “ทา่ นเกรงวา่ เราจะทําไมไ่ ด้ หรอื เราบูชายญั แล้วจะไปสวรรค์” ขัณฑหาลพราหมณท์ ูลวา่ “โดยมาก มนุษย์เป็นคนข้ีขลาด อ่อนแอ จึงบูชายัญไม่ได้ ขอพระองค์โปรดให้ รวบรวมสตั ว์มาชุมนมุ ไวใ้ นทีน่ ี้ ขา้ พระองคจ์ ะเตรยี มหลมุ บชู ายัญ” คร้ันพราหมณ์กราบทูลดังน้ีแล้ว จึงพาพรรคพวกของตนท้ังหมด เทา่ ทม่ี อี อกจากพระนคร ไปเตรยี มหลมุ บชู ายญั ปรบั พน้ื ทใี่ หร้ าบเรยี บสม�่ำ เสมอ แลว้ ลอ้ มร้วั ไว้
ท ศ ช า ติ 425 พ ร ะ จั น ท กุ ม า ร ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง การที่พราหมณ์ล้อมร้ัวหลุมยัญไว้ เพราะเกรงว่าสมณพราหมณ์หรือ ผู้มใี จเป็นธรรมมาพบเขา้ แล้วจะขดั ขวางการกระทาํ นน้ั พราหมณ์ในโบราณกาล จึงบัญญัติกฎการบูชายัญไว้ว่า หลุมยัญต้องล้อมรั้ว จึงจะถูกต้องตามพิธีกรรม แหง่ การบูชายญั ชาวพระราชวังในได้ยินเช่นน้ันก็พากันตกใจ ต่างโจษจันระเบ็งเซ็งแซ่ กล่าวขานไปทัว่ พระราชวังว่า พระราชกุมารและพระมเหสจี ะถูกฆ่าบูชายญั ถูกจับบูชายัญ พระเจา้ เอกราชทรงเรยี กทหารมารบั สง่ั วา่ “เราฆา่ พระโอรส พระธดิ า และพระมเหสี บูชายัญแล้วจะได้ไปสวรรค์ เจ้าจงไปควบคุมตัว พระจันทกุมาร พระสุริยกุมาร พระภัททเสนกุมาร พระสุรกุมาร และพระวามโคตรกุมาร มารวมไวใ้ นท่แี ห่งเดียวกนั ” พวกทหารไปตาํ หนกั พระจนั ทกมุ ารกอ่ นพระองคอ์ นื่ ทลู ใหท้ รงทราบวา่ “พระบิดาทรงมีพระประสงค์จะฆ่าพระองค์บูชายัญแล้วไปสวรรค์ จงึ ทรงรบั สง่ั พวกขา้ พระองค์มาควบคุมพระองค์ไป” เจ้าชายจันทกุมารตรัสถามว่า “ใครแนะนําพระราชาให้พวกท่าน มาจับเรา” ทหารกราบทลู วา่ “ขณั ฑหาลพราหมณ์ พระเจ้าข้า” เจา้ ชายจันทกมุ ารตรัสถามวา่ “พระองคท์ รงใชใ้ ห้พวกท่านมาจบั เราเพยี งคนเดียวหรือใหจ้ บั คนอนื่ ดว้ ย” ทหารกราบทลู วา่ “พระราชาโปรดใหจ้ บั คนอนื่ ดว้ ย พระองคท์ รง มพี ระประสงค์จะบูชายัญด้วยสัตวช์ นิดต่าง ๆ ชนิดละ ๔ ตัว”
พ ร ะ จั น ท กุ ม า ร 426 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง พระจนั ทกมุ ารคดิ วา่ พราหมณน์ จ้ี องเวรเราคนเดยี ว มไิ ดจ้ องเวรคนอนื่ แต่เพราะสูญเสียผลประโยชน์จากการตัดสินคดีความ ก็จะฆ่าคนเป็นอันมาก เม่ือเราเข้าเฝ้าพระบิดา คนทั้งหมดก็จะพ้นภัย เจ้าชายจันทกุมารตรัสว่า “ถ้าเช่นนั้น ท่านจงทําตามพระราชบัญชาของพระเจ้าอยู่หัวเถิด” ทหารนําเจ้าชายจันทกุมารมาประทับท่ีท้องสนามหลวง แล้วไปควบคุมตัว พระราชกมุ ารอีก ๓ พระองค์มาประทบั รวมกนั จากนนั้ พระราชารับสั่งใหท้ หารไปนาํ ตวั พระธดิ าทง้ั ๔ พระองค์ คอื เจ้าหญิงอุปเสนา เจ้าหญิงโกกิลา เจ้าหญิงมุทิตา และเจ้าหญิงนันทา ให้มาอยู่รวมกันกับพ่ีชาย แล้วรับสั่งให้ไปควบคุมตัวพระมเหสี คือ พระนางวิชยา พระนางเอราวดี พระนางเกศินี และพระนางสุนันทา มาประทบั รวมกับพระโอรสและพระธดิ า จากนั้น ทรงให้ทหารไปควบคุมตัวเศรษฐีทั้ง ๔ คน คือ ปุณณมุข คหบดี ภทั ทยิ คหบดี สงิ คาลคหบดี และวฑั ฒคหบดี เมื่อพระราชาให้ทหารไปจับกุมพระโอรส พระธิดา และพระมเหสีนั้น ทั่วพระนคร ไม่มีใครกลา้ เอย่ ปากอะไรเลย แตเ่ มอ่ื พระราชามรี บั สง่ั ใหค้ วบคมุ ตวั เศรษฐมี าเทา่ นนั้ กเ็ กดิ การตอ่ ตา้ น เน่ืองจากเศรษฐีเป็นตระกูลใหญ่ มีเครือญาติ เพ่ือนฝูง เก่ียวพันกันเป็นอันมาก เมอื่ เศรษฐีถูกจับกุมตวั ประชาชนจึงเกิดปฏิกิริยาตอ่ ตา้ น พากนั กาํ เริบข้นึ กลาย เป็นจลาจลไปทวั่ พระนคร ได้มีการนัดชุมนุมกนั ตามทอ้ งถนนและสวนสาธารณะ ปราศรัยคัดค้านกันว่า “เราจะไม่ยอมให้พระราชาฆ่าเศรษฐีบูชายัญ” แล้วพากันไปห้อมล้อมเศรษฐีเอาไว้ พวกเศรษฐีถูกห้อมล้อมด้วยหมู่ญาติและ พวกพ้อง เบียดเสียดเกล่ือนกล่นไปด้วยบุตรและภรรยา รวมตัวกันเดินทางไป ถวายบงั คมพระราชาขอประทานชวี ิตไว้ แล้วขอให้ประกาศใหพ้ วกตนเป็นทาส
ท ศ ช า ติ 427 พ ร ะ จั น ท กุ ม า ร ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง แม้พวกคหบดี ตลอดจนบุตร ภรรยา และญาติพี่น้องของเศรษฐี อ้อนวอนขอชีวิตอย่อู ย่างนี้ กห็ าได้ทําให้พวกทหารถอยกลับไปไม่ ยงั ควบคุมตวั เหล่าเศรษฐไี ปนั่งรวมกับพระราชกุมารตามรับสง่ั ของพระราชา จากนัน้ พระราชารบั สง่ั ให้ทหารไปนําช้างตน้ ๔ ตัว คอื ชา้ งอภยงั กร ช้างนาฬาคริ ี ชา้ งอจั จคุ ตะ ชา้ งวรณุ ทันตะ ม้าอสั ดร ๔ ตัว คอื มา้ เกสี ม้าสุภมขุ ม้าปุณณมุข ม้าวินตกะ และโคอุสุภราชอีก ๔ ตัว คือ โคยูถปติ โคอโนชา โคนิสภะ โคควัมปติ มารวมกันไว้ ทรงรับสั่งทหารตระเตรียมการทุกอย่างให้ พร้อมสําหรับการบูชายัญในวันรุ่งขึ้น ทรงให้แจ้งแก่พระโอรสและพระธิดาว่า วันนจี้ ะเปน็ วันสุดท้ายแลว้ ในเวลานนั้ พระชนนแี ละพระชนกผชู้ ราภาพของพระเจา้ เอกราช ยงั ทรง พระชนม์อยู่ทั้ง ๒ พระองค์ พวกอํามาตย์จึงไปเข้าเฝ้ากราบทูลให้ทรงทราบว่า พระราชาทรงประสงคจ์ ะใชพ้ ระโอรส พระธดิ า และพระมเหสี เปน็ เครอ่ื งบชู ายญั พระราชมารดารําพึงรําพันกรรแสงไห้ ทุบอกคร่ำ�ครวญ เสด็จไปตรัสถาม พระเจา้ เอกราชวา่ “เขาว่าลูกจะบูชายัญเช่นนี้จริงหรือ” พระราชากราบทูลว่า “เมื่อต้องฆ่าจันทกุมาร หม่อมฉันก็สละ ลกู ทกุ คนได้ เม่อื หมอ่ มฉนั บูชายญั ด้วยบุตรธิดาแล้วจะได้ไปสวรรค์” พระราชมารดาตรสั วา่ “ลกู เอย๋ ลกู อยา่ เชอ่ื คาํ พดู เชน่ นน้ั เลย การ เอาลกู บชู ายญั เปน็ ทางไปนรก ไมใ่ ชท่ างไปสวรรค์ ลกู จงใหท้ าน อยา่ ได้ เบียดเบียนสัตว์เลย นี่จึงจะเป็นทางไปสวรรค์” แล้วพระชนนีก็ตรัสเรียก พระราชาโดยประการต่าง ๆ ทั้งโดยนามและโดยโคตร เพอ่ื ใหไ้ ด้สติ พระราชาตรัสวา่ “เสดจ็ แม่ คําแนะนาํ ของอาจารย์ต้องเป็นจริง หม่อมฉันจะฆ่าจันทกุมารและสุริยกุมาร หม่อมฉันจะบูชายัญด้วย บุตรทส่ี ละไดย้ าก”
พ ร ะ จั น ท กุ ม า ร 428 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง เมอื่ พระราชมารดาทาํ ใหพ้ ระราชาเชอ่ื ไมไ่ ด้ กก็ รรแสงไหเ้ สดจ็ หลกี ไป แม้พระเจ้าวสวัตดี พระราชบิดาผู้ชราภาพได้สดับเช่นนั้น ก็เสด็จมาซักถาม เร่ืองราวนั้น ทรงห้ามพระราชโอรส แม้พระเจ้าเอกราชก็ทรงยืนยันเช่นเดิมว่า เม่ือพระองคบ์ ูชายัญดว้ ยบตุ รทง้ั หลายแลว้ จะได้ไปสวรรค์ พระราชบดิ าตรสั วา่ “ลกู เอย๋ ลกู อยา่ ไดห้ ลงเชอ่ื ค�ำ พดู เชน่ นน้ั เลย คนฆ่าลูกแล้วจะได้ไปสวรรค์มีท่ีไหน ลูกอย่าได้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเลย จงมรี าชบตุ รหอ้ มลอ้ ม ปกครองอาณาประชาราษฎร์ ปกครองกาสกิ รฐั ท�ำ ให้บา้ นเมืองเจรญิ ร่งุ เรอื งโดยธรรมเถิด” แมพ้ ระราชบดิ ากไ็ มอ่ าจหา้ มพระเจา้ เอกราช ใหท้ าํ ตามพระราชดาํ รสั ได้ พระจนั ทกมุ ารทรงดาํ รวิ า่ เพราะเราคนเดยี ว ทาํ ใหผ้ คู้ นเดอื ดรอ้ นทวั่ ทงั้ แผ่นดนิ เราจะทูลวงิ วอนพระราชบดิ าให้ปลดปลอ่ ยอาณาประชาราษฎร์ จงึ ตรสั วา่ “ขอพระองคอ์ ย่าไดฆ้ า่ พวกขา้ พระองคเ์ ลย โปรดพระราชทานพวก ข้าพระองค์ท้ังหมด ให้เป็นทาสของขัณฑหาลปุโรหิตเถิด ถึงแม้ พวกข้าพระองค์ถูกท่านปุโรหิตจองจําด้วยโซ่ใหญ่ ก็ยังพอจะเลี้ยงช้าง เลย้ี งม้า ขนขช้ี า้ ง ขนขมี้ ้า ใหเ้ ขาได้ หรือหากเนรเทศพวกข้าพระองค์ ออกจากแวน่ แคว้น ก็ยังจะเท่ยี วขอทานเล้ยี งชีวติ ได”้ พระราชาไดท้ รงสดบั คาํ พร�ำ่ วอนตา่ ง ๆ ของพระราชกมุ ารแลว้ ทรงเกดิ ความทกุ ขเ์ หมอื นอกจะแตก ทรงกรรแสงไห้ ประกาศว่า “ไม่มพี อ่ คนไหนฆ่า ลูกในไส้ของตนได้ เราไม่ต้องการไปสวรรค์แล้ว ลูกพรำ่�เพ้อเพราะ รกั ชวี ติ ทาํ ใหพ้ อ่ เปน็ ทกุ ขเ์ หลอื เกนิ พวกทา่ นจงปลอ่ ยลกู เราเถดิ พอกนั ที กบั การเอาลกู บูชายญั ” ครั้นพวกทหารได้ฟังพระดํารัสของพระราชาแล้วต่างก็ดีใจ ปล่อย พระราชบุตร อาณาประชาราษฎร์ ตลอดจนสัตว์ทกุ ชนิด
ท ศ ช า ติ 429 พ ร ะ จั น ท กุ ม า ร ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ฝ่ายขัณฑหาลพราหมณ์กําลังจัดเตรียมพิธีกรรมอยู่ในหลุมยัญอย่าง ประณีต ด้วยความรู้สึกสาสมใจว่าได้แก้แค้นศัตรูแล้ว ทหารคนหน่ึงได้มา เยย้ หยันพราหมณว์ า่ “เฮ้ย ขณั ฑหาละ ไอพ้ ราหมณ์ชัว่ พระราชาทรงให้ ปล่อยพระราชโอรสและพระราชธิดาไปแล้วโว้ย แกคงต้องเอาเลือด ในคอของลูกเมียแกเองบชู ายัญแลว้ ละ” ขัณฑหาลพราหมณ์รู้สึกโมโหสุดขีด คิดว่า น่ีพระราชาทำ�อะไรลงไป ทรงเป็นบ้าไปแล้วหรือไง จึงลกุ ขน้ึ วง่ิ ไปอยา่ งรีบเร่ง ราวกบั คนถูกไฟประลัยกลั ป์ แผดเผา กราบทูลว่า “ขอเดชะ ผู้ท่ีบูชายัญเองก็ตาม แนะนําให้ผู้อื่น บูชายัญก็ตาม และผู้ท่ีอนุโมทนาผู้บูชายัญก็ตาม ย่อมไปสู่สวรรค์ ขา้ พระองค์ทลู ไวต้ ัง้ แต่ทแี รกแล้วมิใชห่ รือวา่ การบูชายัญเช่นน้ี ทําได้ ยาก แต่พระองค์ก็ยังยืนยันที่จะทํา เมื่อข้าพระองค์ตระเตรียมการ บูชายัญไว้เสรจ็ แลว้ พระองคก์ ลับทรงลม้ เลกิ กลางคัน” พระราชาไม่ทรงทราบว่า ขัณฑหาลพราหมณผ์ กู อาฆาตพระราชกมุ าร ทรงเข้าใจว่า การบูชายัญเป็นความชอบธรรม จึงทรงรับส่ังให้ทหารไปจับกุม พระราชกมุ ารกลบั มาอีก พระจนั ทกมุ ารกราบทลู วา่ “ขอเดชะ เมอื่ ขา้ พระองคเ์ กดิ พระองค์ รับสั่งให้พราหมณ์มากล่าวคํามงคลแก่ข้าพระองค์ ก็ในกาลนั้น ขณั ฑหาลพราหมณน์ เ่ี องตรวจตราลกั ษณะของขา้ พระองค์ แลว้ ทาํ นาย ว่า พระราชกุมารพระองค์น้ีจะไม่ประสบภยันตรายนานาประการ ในระหว่างพระราชกุมารพระองค์นี้จะปกครองรัฐให้เจริญรุ่งเรือง สบื ตอ่ จากพระองค์ คาํ พยากรณข์ องขณั ฑหาลพราหมณฟ์ งั ดแู ลว้ ไรเ้ หตผุ ล ไมส่ มกับที่กลา่ วไว้ต้ังแต่ต้น โกหก หลอกลวง พระองค์ก็ทรงเชือ่ เขา จะฆ่าลกู บูชายัญโดยหาเหตุอนั ควรมไิ ด้เลย
พ ร ะ จั น ท กุ ม า ร 430 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ก็แล้วทําไมจึงไม่ฆ่าพวกข้าพระองค์เสียต้ังแต่ยังเยาว์ จะได้ ไมต่ อ้ งมาประสบกบั ความเจบ็ ปวดใจเชน่ น้ี ครนั้ เลย้ี งใหโ้ ตเปน็ หนมุ่ แลว้ มไิ ด้คดิ รา้ ยอะไรพระองค์เลย กลับรับสง่ั ให้ฆ่าเสยี ขอพระองค์จงทรงพิจารณาดูเถิด เมื่อบ้านเมืองเกิดศึก สงคราม ชายแดนกระดา้ งกระเดอ่ื ง มใิ ชพ่ วกบตุ รเชน่ ขา้ พระองคห์ รอก หรือท่ีจะขึ้นคอช้าง ข้ึนหลังม้า มีอาวุธคู่กาย จู่โจมข้าศึก อยู่กลาง สนามรบ บุตรเช่นน้ีหรือท่ีควรถูกฆ่าบูชายัญ แม่นกเพียรคาบหญ้า มาทํารัง ก็หวังจะทะนุถนอมลูกน้อยของตน ส่วนพระองค์กลับรับส่ัง ให้ฆ่าลกู ในไส้ พระองค์ทรงเชื่อขัณฑหาลปุโรหิต วันนี้ ขัณฑหาลปุโรหิตยัง ไม่ฆ่าพระองค์ เพราะยังมีพวกข้าพระองค์อยู่ แต่เม่ือเขากําจัดพวก ข้าพระองค์ได้แล้ว ต่อไปก็จะฆ่าพระองค์ด้วย พระองค์พระราชทาน บ้าน นิคม และโภคะให้พราหมณ์ แต่พราหมณ์นั้นก็ยังคิดร้ายผู้ให้ ข้าวน�ำ้ เชน่ นน้ั ได้ เพราะโดยมาก พวกพราหมณ์เป็นคนอกตญั ญ”ู แลว้ พระจันทกมุ ารกอ็ ้อนวอนอีกมากมาย ครั้นพระราชาสดับคําพร่�ำ กล่าวของพระกุมารเชน่ นน้ั ก็โปรดให้ปล่อย พวกพระราชกมุ ารไปอีก ขัณฑหาลพราหมณ์มากล่าวอีกเช่นเคยว่า พระราชาทรงประสงค์จะ บชู ายญั แต่กลับเปน็ ผู้สร้างความยุง่ ยากใหก้ ับพิธี ขอพระราชาอยา่ ใหม้ อี ะไรมา เป็นอปุ สรรคในการบูชายญั เลย ครั้นพระราชาถูกพราหมณ์กล่าวอยา่ งน้ี เพราะ ความที่เปน็ คนหเู บาจงึ รับสงั่ ให้จับกมุ พระราชกุมารกลับมาอกี คร้ัง พระจันทกุมารจึงยอ้ นคาํ พดู ของพราหมณว์ ่า “ขอเดชะ ถ้าบชู ายญั เช่นน้ีแล้วจะได้ไปสวรรค์จริงตามที่ขัณฑหาลพราหมณ์สอน ก็ให้ พราหมณ์น่ันแหละ ทดลองเอาลูกเมียของตนบูชายัญก่อน พระองค์
ท ศ ช า ติ 431 พ ร ะ จั น ท กุ ม า ร ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ค่อยบชู ายญั ภายหลงั แมโ้ ภชนะมรี สอรอ่ ย พระองคจ์ ะเสวย ยังต้อง ใหค้ นอนื่ ลองชมิ กอ่ น กน็ คี่ วามตายของลกู ในไสแ้ ท้ ๆ เหตไุ ร พระองค์ จงึ ไม่โปรดใหค้ นอื่นทดลองก่อน น่าแปลกใจ เมื่อรู้ว่าคนฆ่าบุตรและธิดาแล้วจะได้ไปสวรรค์ ทำ�ไมพราหมณ์จึงไม่ฆ่าลูก ภรรยา และพวกญาติของตนเอง ถ้าฆ่า ผู้อ่ืนแล้วจะได้ไปเทวโลก ฆ่าตนเองคงได้ไปถึงพรหมโลก ฉะนั้น ก็ไม่ต้องฆ่าคนอื่นหรอก ฆ่าตนเองน่ันแหละดีท่ีสุด แต่พราหมณ์น้ี ไม่ทำ�อย่างน้ัน กลับยุให้พระองค์ฆ่าพวกข้าพระองค์ ขอพระองค์ทรง ทราบไว้เถิด พราหมณ์นี้สูญเสียผลประโยชน์ในการตัดสินคดีความ เขาผูกอาฆาตขา้ พระองคจ์ งึ ทําเช่นน”ี้ แม้พระจันทกุมารจะกราบทูลเช่นนี้ ก็ไม่ได้ทําให้พระราชบิดาเปล่ียน ความต้ังใจ พระราชกุมารจึงหันไปตรัสกับประชาชนท่ีห้อมล้อมพระราชาว่า “พวกท่านท้ังหลายในพระนครนี้ก็ล้วนรักลูก ไฉนจึงไม่กราบทูล พระราชาอย่าให้ฆ่าลูกในไส้ แม้เราเองก็ได้ทำ�ประโยชน์ให้แด่ พระราชา และไดท้ �ำ ประโยชนใ์ หแ้ กป่ ระชาชน ทงั้ ประชาชนในพระนครน้ี กไ็ มม่ ใี ครทมี่ คี วามแคน้ เคอื งต่อเรา แต่ท�ำ ไมจงึ ไม่มีใครช่วยกราบทูล ทดั ทานพระราชาให้เราเลย” แม้เจ้าชายจันทกุมารจะตรัสอย่างนี้ ก็ไม่มีประชาชนคนไหนกล้า กราบทูลทดั ทานพระราชา จงึ ส่งพระชายาของพระองคไ์ ปทูลวิงวอนพระราชาวา่ อยา่ ฆา่ พระราชกมุ ารทง้ั หลาย ผไู้ มค่ ดิ ท�ำ รา้ ยตอ่ พระองค์ ผอู้ งอาจดจุ พญาราชสหี ์ ผู้เป็นความหวังของอาณาประชาราษฎร์ พระราชาไมท่ รงทอดพระเนตรดสู ตรเี หลา่ นนั้ เลย พระราชกมุ ารไรท้ พี่ ง่ึ จงึ บน่ เพอ้ วา่ “ทาํ ไม เราจงึ ไมเ่ กดิ ในตระกลู ชา่ งรถ ในตระกลู ปกุ กสุ ะ หรอื ในตระกลู พอ่ คา้ พระราชาจะไดไ้ มร่ บั สง่ั ใหฆ้ ่าเราบูชายญั ทําไมหนอ เราต้องเกดิ มาเป็นลูกกษตั ริย”์
พ ร ะ จั น ท กุ ม า ร 432 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง พระราชกมุ ารส่งพระชายาไปรอ้ งขอพราหมณว์ ่า พวกเธอจงไปหมอบ แทบเทา้ ทา่ นอาจารยข์ ณั ฑหาละ จงออ้ นวอนวา่ “ทา่ นอาจารย์ พวกเราไมร่ วู้ า่ มคี วามผดิ อะไร ถา้ จนั ทกมุ ารท�ำ อะไรผดิ ตอ่ ทา่ นโดยไมร่ ตู้ วั กข็ อทา่ น ยกโทษใหจ้ ันทกุมารดว้ ยเถิด” จากนั้น เจา้ หญงิ เสลาราชกมุ ารี นอ้ งสาวของจันทกมุ าร ผูท้ พ่ี ระราชา กรุณามาก เห็นพี่ชายถูกนำ�ไปบูชายัญ ไม่อาจอดกล้ันความโศกเศร้าได้ จึงไป กราบลงแทบพระบาทของพระราชบิดาร่ำ�ไห้คร่ำ�ครวญวา่ “เสด็จพ่อ พระองค์ ปรารถนาสวรรค์ แลว้ ทาํ ไมจงึ ตอ้ งเอาเจา้ พขี่ องลกู เปน็ เครอื่ งบชู ายญั ” แมเ้ ช่นน้นั พระราชาไม่ทรงใสใ่ จคําออ้ นวอนของพระนาง จากนั้น เจ้าชายวสุละ พระโอรสของพระจันทกุมาร เห็นพระบิดาถูก จองจําไดร้ บั ทุกข์ จงึ เข้าไปหมอบแทบพระบาทพระราชา กอดเข่าพระอยั กา ทลู วิงวอนขอชวี ิตพระบิดา รอ้ งไหค้ ร่�ำ ครวญ เกลือกกลิ้งไปมาอยเู่ บ้อื งพระพกั ตรว์ ่า “ขอเดชะพระอัยกา หลานเปน็ เดก็ ยังไมโ่ ตเป็นหนมุ่ ตอ้ งกาํ พรา้ บดิ า ขอพระอัยกาอย่าไดฆ้ ่าพระบดิ าของหลานเลย” พระราชาทรงสดับเสียงครำ่�ครวญของหลาน เหมือนพระอุระจะแตก ทรงสวมกอดหลาน มีพระเนตรเต็มไปด้วยพระอัสสุชล ตรัสว่า “หลานรัก อยา่ ทกุ ขไ์ ปเลย ป่จู ะปลอ่ ยพอ่ เจา้ พ่อเจา้ อยู่น่ี เจ้าจงไปพร้อมกับพ่อ เจ้าร้องอยู่อย่างน้ี ทําให้ปู่ทุกข์เหลือเกิน จงปล่อยพระราชกุมาร เราไม่ต้องการไปสวรรคแ์ ลว้ ” ขณั ฑหาลพราหมณก์ ม็ ากลา่ วอกี วา่ ยญั นที้ �ำ ไดย้ าก เกดิ ขนึ้ ไดแ้ สนยาก ขอจงอย่าให้อะไรมามีอุปสรรคต่อพิธีบูชายัญ แม้พระราชาก็ให้ทหารไปจับกุม พระราชกุมารตามคําของพราหมณ์กลบั มาอกี เหมอื นเดมิ พราหมณ์คิดว่า พระราชาพระองคน์ ีเ้ ป็นคนใจเบา ประเด๋ียวให้ปล่อย ประเดี๋ยวให้จับ หากมีเด็กมาอ้อนวอนอีก พระองค์ก็จะปล่อยพระราชบุตร
ท ศ ช า ติ 433 พ ร ะ จั น ท กุ ม า ร ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง เราจะพาเจา้ ชายไปหลมุ ยญั เสยี เลย จงึ กราบทลู วา่ “ขา้ พระองคต์ ระเตรยี มยญั พรอ้ มทุกอย่างเสรจ็ แล้ว สมบูรณ์ดว้ ยรัตนชาติทัง้ ปวง บัดน้ี ได้เวลา แลว้ เชิญเสด็จเถิด เชญิ พระองคท์ รงบชู ายัญ จะได้ไปสวรรค์ บนั เทงิ พระหฤทัย” เกดิ จลาจลทัว่ พระนคร ในเวลาที่ทหารพาพระโพธิสัตว์ไปหลุมยัญ พระชายาของเจ้าชาย จันทกุมาร และเจ้าชายสุริยกุมารก็ได้ออกจากพระราชนิเวศน์ เดินทางติดตาม ไปด้วย มีผมเผ้ารุงรัง ร้องไห้คร่ำ�ครวญ ต่างบ่นเพ้อรำ�พันไปตามทางว่า พระจนั ทกมุ ารและพระสรุ ยิ กมุ ารใสช่ ดุ ผา้ ขาวจากแควน้ กาสี ใสต่ า่ งหู ลบู ไลด้ ว้ ย กฤษณาและจณุ จนั ทน์ ถกู ทหารน�ำ ตวั ออกไปบชู ายญั แลว้ เมอ่ื กอ่ นทง้ั ๒ พระองค์ ถกู ทหารเชญิ เสดจ็ โดยคอชา้ ง โดยหลงั มา้ โดยราชรถคนั งาม ประดบั ดว้ ยเครอื่ งทอง แต่วันนี้พระจันทกุมารและพระสุริยกุมารทั้ง ๒ พระองค์ เสด็จด้วยเท้าเปล่า พระราชมารดาเปน็ ทกุ ขเ์ หลอื เกนิ ประชาชนตา่ งก็โศกเศรา้ เมื่อเจ้าหญิงเหล่านั้นร้องไห้คร่ำ�ครวญอยู่ ทหารได้นําตัวเจ้าชาย ออกจากพระนครไปยงั หลมุ บชู ายญั แลว้ ประชาชนทว่ั ทงั้ พระนครชมุ นมุ ประทว้ งกนั เกดิ จลาจลขนึ้ หลัง่ ไหลออกจากพระนครตามเสดจ็ ไปอยา่ งเนอื งแนน่ พราหมณ์ เห็นฝูงชนมากเกนิ ไป เกดิ ความหวาดกลวั วา่ จะเกดิ เหตุรา้ ยขนึ้ จงึ สงั่ ให้ปิดประตู พระนคร เมอื่ ประชาชนออกจากพระนครไปทหี่ ลมุ ยญั ไมไ่ ด้ กพ็ ากนั ไปชมุ นมุ ใน สวนแห่งหนึ่งภายในพระนคร ใกล้กําแพงด้านที่จะประกอบพิธีบูชายัญ ส่งเสียง โห่ร้องอ้ืออึง ฝูงนกพากันตกใจ บินทะยานข้ึนท้องฟ้า ฝูงชนเห็นนกแตกตื่น จงึ รอ้ งเรยี กนกนน้ั ๆ พร�ำ่ เพอ้ เหมอื นคนบา้ วา่ “นกเอย๋ ถา้ พวกเจา้ ตอ้ งการเนอ้ื กจ็ งบนิ ไปทางทิศตะวนั ออกแห่งปุปผวดนี คร ทน่ี ้ัน พระเจา้ เอกราชผูม้ ี
พ ร ะ จั น ท กุ ม า ร 434 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง พระทัยเบา จะฆ่าพระโอรส พระธิดา พระมเหสี คหบดี ช้าง ม้า โคอุสุภราช และสตั วอ์ น่ื ๆ บูชายัญ” ประชาชนครำ่�ครวญอย่างนี้แล้ว จึงเคล่ือนขบวนไปยังพระตําหนัก พระโพธิสัตว์ ทําประทักษิณปราสาทแล้วมองดูพระตําหนัก เห็นเรือนยอดและ พระราชอุทยานก็รู้สึกเงียบเหงาวังเวงใจ จึงคร่ำ�ครวญโดยประการต่าง ๆ ว่า “นี่ปราสาทของพระองค์ นี่เรอื นยอดของพระองค์ ลว้ นทําด้วยทองคํา เกลื่อนกล่นด้วยพวงมาลัย งดงามยิ่ง น่ีพระราชอุทยานมีดอกไม้ บานสะพรั่งตลอดฤดูกาล ทั้งอโศก กรรณิการ์ แคฝอย มะม่วง สระโบกขรณีดารดาษด้วยดอกบัวหลวงและบัวขาว งดงามวิจิตรด้วย ลายเครือวัลย์ น่าร่ืนรมย์ใจย่ิงนัก บัดนี้ พระโอรสท้ัง ๔ พระองค์ ถกู เขานาํ ไปฆ่าแล้ว” ครั้นประชาชนพรำ่�เพ้อท่ีพระตําหนักแลว้ จงึ พากันไปพรำ�่ เพอ้ ท่โี รงช้าง โรงม้าว่า “นี่ช้างแก้ว น่ีม้าแก้ว พระลูกเจ้าเสด็จไปในรถคันนี้ ย่อม งดงามดังเทวดา บัดน้ี พระลูกเจ้าถูกเขานําไปฆ่าแล้ว อย่างไรหนอ พระราชาผมู้ พี ระทยั เบาจงึ จะบชู ายญั ดว้ ยลกู ในไส้ บา้ นเมอื งจะวา่ งเปลา่ เงียบเหงาไร้มนษุ ย์ พระนครจะกลายเป็นปา่ ใหญ”่ เมื่อประตูเมืองถูกปิด ประชาชนออกไปข้างนอกไม่ได้ ก็พากันชุมนุม โหร่ อ้ งไปตามทอ้ งถนนภายในพระนคร ฝ่ายเจ้าชายจันทกุมารถูกนําตัวไปท่ีหลุมบูชายัญ พระมารดา พระโพธิสัตว์นามว่า “โคตมีเทวี” ซบลงแทบบาทพระราชา เกลือกกล้ิงไปมา ทูลขอประทานชีวิตพระโอรสว่า “หม่อมฉันจะเป็นบ้าแล้ว ถ้าเขาฆ่าลูก จนั ทกุมาร ชีวติ ของหม่อมฉันกจ็ ะหาไม”่ เมือ่ พระนางโคตมเี ทวคี ร่ำ�ครวญอย่อู ย่างนี้ พระราชากท็ รงนงิ่ ไมต่ รสั อะไร พระนางโคตมีจึงบอกลูกสะใภ้ทั้งหลายว่า “ลูกเราโกรธพวกเจ้าแล้ว
ท ศ ช า ติ 435 พ ร ะ จั น ท กุ ม า ร ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง กระมงั จึงหนจี ากพวกเจา้ ไป เหตุไรพวกเจ้าจงึ ไมน่ ําสามีเจ้ากลับมา” เมื่อพระนางฆัฏฎิกา พระนางอุปริกขี พระนางโบกขรณี และพระนางภาริกา ผเู้ ปน็ สะใภไ้ มร่ จู้ ะท�ำ อยา่ งไร จงึ สวมกอดมารดาพระโพธสิ ตั วต์ า่ งรอ้ งไหค้ ร�่ำ ครวญ อยอู่ ย่างน้นั เม่ือพระมารดาพระโพธิสัตว์กับพระสุณิสาไม่เห็นวิธีอ่ืนท่ีดีไปกว่าน้ีจึง กลา่ วคาถาสาปแชง่ พราหมณว์ า่ “ขณั ฑหาละ เมอื่ จนั ทกมุ ารและสรุ ยิ กมุ าร ถกู นาํ ไปฆา่ เจา้ ไดฆ้ า่ ความหวงั ของประชาชน เราเกดิ ความโศกเศรา้ ใจ เช่นไร ขอให้แม่ของเจ้า เมียของเจ้า จงประสบความเศร้าโศก ทุกข์ ทรมานใจเชน่ เรา ขอใหแ้ มข่ องเจา้ ไดเ้ หน็ พวกลกู ๆ ของตนตายตอ่ หนา้ เช่นกบั เรา” ท่ีหลุมบูชายัญ แม้พระโพธิสัตว์ก็ทูลวิงวอนพระราชาอีกว่า “ขอ พระองค์อย่าได้ฆ่าพวกข้าพระองค์เลย หญิงผู้ต้องการบุตร แม้จะ ยากจนข้นแค้นเพียงไรก็ตาม หรือแม้แต่จะเป็นหญิงหมัน มีลูกไม่ได้ ก็ตาม ก็ยังบนบานศาลกล่าวขอบุตรจากเทวดา บางคนต้ังครรภ์แล้ว ก็ปล่อยให้ลูกแท้ง ส่วนมารดาของหม่อมฉันดูแลครรภ์อย่างดีจนลูก เกดิ มา แต่พระองค์กลับรับส่งั ใหฆ้ า่ ลูกบชู ายญั ขอพระองคอ์ ยา่ รับสั่ง ให้ฆ่าพวกข้าพระองคบ์ ูชายญั เลย” แม้พระจันทกุมารจะทูลวิงวอนอย่างนี้ พระราชาก็ไม่ตอบอะไร พระโพธสิ ตั วจ์ งึ หมอบลงแทบพระบาทของพระมารดา พลางรอ้ งไหป้ รเิ ทวนาการ วา่ “พระมารดาตอ้ งทกุ ขท์ รมานใจ เพราะเลยี้ งลกู มาดว้ ยความลาํ บาก แต่ต้องมาถูกฆ่าด้วยเหตุอันไม่ควร ลูกขอกราบพระบาทพระมารดา ขอพระราชบดิ าจงไดไ้ ปเทวโลกสมใจเถดิ ขอพระมารดาทรงสวมกอดลกู แลว้ ประทานพระบาทให้ลกู ได้กราบ บัดนี้ ลกู จะจากไปแล้ว คงทาํ ให้ พระมารดาโศกเศร้าตลอดไป”
พ ร ะ จั น ท กุ ม า ร 436 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง พระมารดาพระโพธิสัตว์ทรงคร่ำ�ครวญพรำ่�เพ้อว่า “มาน่ีเถิดลูกแม่ ลูกจงนุ่งผ้ากาสิกพัสตร์เน้ือละเอียด ประดับหัตถาภรณ์ด้วยเครื่อง ประดับทองคําฝังมุกดาและแกว้ แม่จะประดบั ใหล้ ูกเป็นคร้ังสดุ ทา้ ย” บัดนี้ เจ้าหญิงจันทาเทวี ผู้เป็นอัครมเหสีของเจ้าชายจันทกุมาร หมอบลงแทบฝ่าพระบาทของพระราชา พลางพิไรรำ�พันว่า “พระองค์ไม่ทรง รกั ลกู แลว้ หรือ” พระราชาตรสั ว่า “เรารักลกู ทุกคน ไมใ่ ชแ่ ค่ลกู ทเี่ กดิ จากโคตมี เท่านั้น แม้พวกเจ้าผู้เป็นสะใภ้ ก็เป็นท่ีรักของเราเช่นกัน แต่เรา ปรารถนาสวรรค์ จึงตอ้ งฆ่าลูกของเรา” เจ้าหญิงจนั ทากราบทูลว่า “ขอจงรับส่งั ให้ฆา่ ลูกเสียก่อน แตอ่ ย่า ท�ำ ลายดวงใจของลกู เลย ลูกจะได้ไมเ่ จ็บปวดทกุ ข์ทรมาน เพราะการ จากไปของจนั ทกมุ าร ลกู จะไดไ้ ปอยกู่ บั จนั ทกมุ ารในปรโลก ถา้ พระองค์ จะทรงทําบุญให้สมบูรณ์ ก็จงฆา่ หมอ่ มฉนั ทง้ั สองพร้อมกนั ” พระราชาตรัสวา่ “จันทา เจ้าอย่าทาํ อยา่ งนเี้ ลย ถงึ เราบูชายัญ ดว้ ยบตุ รของเราแลว้ พผ่ี วั นอ้ งผวั ของเจา้ กย็ งั อยู่ จะทกุ ขร์ อ้ นไปท�ำ ไม เจา้ กอ็ ยู่กับพวกเขาได้” เม่ือพระราชาตรัสเช่นนั้น เจ้าหญิงจันทาเทวีไม่รู้จะทำ�อย่างไร จึงเอา ฝา่ มอื ตตี วั เองราํ พงึ ราํ พนั วา่ “ท�ำ ไมพระองคต์ รสั เชน่ นนั้ ได้ ไมม่ ปี ระโยชน์ อะไรท่ีจะมีชีวิตอยู่อีกต่อไป เราจะดื่มยาพิษตายตามจันทกุมารไป ไม่มีพระญาติหรือมิตรสหายคนใดเลยที่มีหัวใจยึดม่ันในความดีพอท่ี จะกราบทลู ทัดทานไม่ให้พระราชาฆ่าพระราชโอรส เชิญเถดิ นีล่ ูกของ หมอ่ มฉันทุกคน ขอจงเอาลกู ของหม่อมฉันไปบชู ายัญดว้ ย พวกเราจะ ได้ตายไปพร้อมกนั ถา้ ไมฆ่ า่ ลูกของหมอ่ มฉันก็จงปลอ่ ยจันทกมุ าร”
ท ศ ช า ติ 437 พ ร ะ จั น ท กุ ม า ร ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง พระนางจนั ทาเทวที รงคร�่ำ ครวญเชน่ นก้ี บั พระราชา เมอ่ื ไมไ่ ดผ้ ลอยา่ งไร จงึ เสดจ็ ไปยืนร้องไห้อยกู่ ับพระโพธิสตั ว์ เจ้าชายจันทกุมารตรัสปลอบเจ้าหญิงจันทาเทวีว่า “จันทา เม่ือยัง มีชีวิต เราให้อาภรณ์แก่เธอมากมายล้วนแต่ของมีค่า ท้ังแก้วมุกดา แก้วมณี และแก้วไพฑรู ย์ แตว่ ันน้ี เราจะให้อาภรณต์ ดิ กาย นจี่ ะเปน็ ของช้ินสดุ ทา้ ยท่เี ราจะให้เธอ” เจ้าหญิงจันทาเทวีสุดที่จะกล้ันความเศร้าไว้ได้ พระนางร้องไห้พลาง รําพันว่า “เม่ือก่อน พระศอพระองค์สวมมาลาท่ีเบ่งบาน แต่วันนี้ พระศอพระองค์จะถูกฟนั ด้วยดาบอนั คม” ขณะท่ีพระนางจันทาเทวีคร่ำ�ครวญอยู่อย่างน้ัน พิธีการทุกอย่างใน หลุมยัญถูกเตรียมเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกอํามาตย์นําพระราชโอรสมาให้ก้ม พระศอ คุกเข่าลงน่ัง ขัณฑหาลพราหมณ์น้อมถาดทองคําเข้าไปใกล้ แล้วหยิบ ดาบมาถือยืนอยู่ ด้วยตัง้ ใจว่าจะตดั คอพระราชกมุ าร พระนางจันทาเทวี ผู้เป็นพระราชธิดาของพระเจ้าปัญจาละเห็นดังน้ัน ไม่มีท่ีพึ่งอ่ืนใดท่ีจะช่วยให้พระสวามีรอดพ้นจากการถูกฆ่าได้ จึงประคองอัญชลี ดําเนินเวียนไปในระหว่างประชาชนที่ชุมนุมมุงดูกันอยู่ ทรงกระทําสัจกิริยา ตั้ง สัตยาธิษฐานชว่ ยพระสวามีวา่ “ขณั ฑหาละไดก้ ระทาํ กรรมช่วั ช้าเหลอื เกิน นี่คือความสัตย์จริง ด้วยสัจจวาจาน้ี ขอให้ข้าพเจ้าได้อยู่ร่วมกับ พระสวามีดว้ ยเถิด อมนษุ ย์ ยักษ์ ท้งั สัตว์ท่มี าเกิดแล้ว และท่กี �ำ ลงั จะ มาเกิดก็ตามเหล่าใดมีอยู่ในท่ีน้ี ท้ังเหล่าเทพเทวาบรรดามี ขอจงฟัง คำ�ของข้าพเจ้า ขอท่านทั้งหลายจงช่วยเหลือข้าพเจ้าให้ได้อยู่ร่วมกับ พระสวามี ขอจงคุ้มครองข้าพเจ้าผู้ไร้ที่พึ่ง ขออย่าให้พวกข้าศึก ชนะพระสวามีของขา้ พเจ้าเลย”
พ ร ะ จั น ท กุ ม า ร 438 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง พราหมณ์ถกู รุมประชาทณั ฑ์ พระอินทร์ทรงสดับเสียงคร่ำ�ครวญของเจ้าหญิงจันทาเทวี ทรงทราบ เรื่องน้ันแล้ว จึงฉวยเอาค้อนเหล็กมีเปลวไฟลุกโชติช่วง เสด็จมากวัดแกว่งข่มขู่ พระราชาใหป้ ลอ่ ยคนทงั้ หลายวา่ “พระองคจ์ งจาํ ไว้ อยา่ ใหเ้ ราตหี วั ของเจา้ ดว้ ยคอ้ นเหลก็ นี้ อยา่ ไดฆ้ า่ ลกู ผไู้ มค่ ดิ รา้ ยตอ่ ตวั เอง เจา้ เคยเหน็ ทไ่ี หน คนฆา่ ลกู ฆา่ เมยี แล้วไดไ้ ปสวรรค”์ ขัณฑหาลปุโรหติ และพระราชาได้ยนิ เสียงพระอนิ ทร์ ทั้งได้เห็นรปู เกิด ความอัศจรรย์ใจและหวาดกลัว จึงให้ปลดปล่อยสัตว์ท้ังหมด เมื่อสัตว์ทั้งหมด หลุดพ้นจากเคร่ืองจองจําแล้ว ฝูงชนซ่ึงประชุมอยู่ในท่ีน้ันก็ลุกฮือกันข้ึน ต่าง ชว่ ยกันรมุ ประชาทณั ฑ์ เอากอ้ นดนิ ก้อนหิน ท่อนไม้ ขวา้ งปาขัณฑหาลปโุ รหติ จนถึงแก่ความตาย ครน้ั ประชาชนรมุ ประชาทณั ฑข์ ณั ฑหาลพราหมณแ์ ลว้ กเ็ รม่ิ กรกู นั เขา้ ไป จะฆ่าพระราชา พระโพธิสัตว์สวมกอดพระบิดาไว้แน่น ไม่ให้ประชาชนทำ�ร้าย ฝูงชนกล่าวว่า “พวกเราจะไม่ฆ่าพระราชา แต่จะไม่ยอมให้เศวตฉัตร และไม่ยอมใหอ้ ย่ใู นพระนคร เราจะให้พระราชาเปน็ คนจณั ฑาล แล้ว ไลใ่ ห้ออกไปอยู่นอกพระนคร” ฝูงชนช่วยกันถอดเครื่องทรงของพระราชา ให้สวมเสื้อผ้าย้อมด้วย น้ำ�ฝาด ให้โพกผ้าท่ีพระเศียรด้วยผ้าย้อมด้วยน้ำ�ขมิ้น ทำ�ให้เป็นจัณฑาล ส่งไป อยทู่ หี่ มูบ่ ้านคนจณั ฑาล สว่ นใครท่รี ว่ มมือในการบูชายัญกต็ าม ใช้ให้บูชาก็ตาม สมรู้รว่ มคิดก็ตาม ให้ประหารชีวติ ทง้ั หมด ครั้นจัดการกับคนกาลกิณีท้ังสองน้ันแล้ว ก็นําเคร่ืองราชาภิเษกมา อภเิ ษกพระจันทกมุ ารใหเ้ ปน็ พระราชาที่หลุมบูชายญั นัน่ เอง
ท ศ ช า ติ 439 พ ร ะ จั น ท กุ ม า ร ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง เมอ่ื สตั วท์ งั้ ปวงหลดุ พน้ จากเครอ่ื งจองจาํ แลว้ ประชาชนตา่ งโบกผา้ และ โบกธงเพ่ือประกาศความร่ืนรมย์ยินดี ขณะท่ีพระจันทกุมารเสด็จเข้าสู่พระนคร ต่างโห่ร้องไปตามทอ้ งถนนทกุ ที่ พระโพธิสตั วท์ รงเร่ิมปฏิบัติบาํ รุงพระราชบิดา แม้พระราชบิดาก็ไมไ่ ด้ เสด็จเข้าพระนคร เมื่อเสบียงอาหารหมด พระโพธิสัตว์เสด็จไปปฏิบัติ พระราชกรณียกิจในท่ีต่าง ๆ ก็เข้าไปเฝ้าพระราชบิดา แต่มิได้ถวายบังคม ฝา่ ยพระเจา้ เอกราชกระทาํ อญั ชลแี ลว้ ตรสั วา่ “ขอพระองค์ จงทรงมพี ระชนม์ ยนื นาน พระเจ้าขา้ ” เมื่อพระโพธิสัตว์ตรัสถามว่า “พระบิดาขาดเหลือส่ิงใด” พระเจ้า เอกราชจึงทูลส่ิงที่ต้องการแล้ว พระโพธิสัตว์ก็โปรดให้ถวายเงินเป็นค่าใช้จ่าย แกพ่ ระบดิ า พระโพธิสัตว์ครองราชสมบัติโดยธรรมตลอดมา ครั้นสวรรคตก็ได้ ไปเกิดในเทวโลก กลับชาติมาเกิดสมัยพทุ ธกาล ครั้นพระบรมศาสดาทรงนําพระธรรมเทศนานี้มาแสดง แล้วทรง ประกาศอรยิ สจั วา่ “ภกิ ษทุ งั้ หลาย ไมใ่ ชแ่ ตใ่ นชาตนิ เี้ ทา่ นนั้ แมใ้ นอดตี ชาติ พระเทวทตั กอ็ าศยั เราเพยี งผเู้ ดยี ว พยายามฆา่ คนเปน็ อนั มาก ขณั ฑหาล พราหมณ์ในอดีตชาติได้เป็นพระเทวทัต พระนางโคตมีเทวีเป็น พระมหามายา พระนางจันทาเทวเี ปน็ มารดาพระราหุล พระวสุละเป็น พระราหุล พระเสลากุมารีเป็นพระอุบลวรรณาภิกษุณี พระสุรกุมาร เป็นพระอานนท์ พระวามโคตรเป็นพระกัสสปะ พระภัททเสนะเป็น พระโมคคัลลานะ พระสุริยกุมารเป็นพระสารีบุตร ท้าวสักกเทวราช เป็นพระอนุรุทธะ บริษัทในกาลน้ันได้เกิดมาเป็นพุทธบริษัท ส่วน พระจนั ทกุมารนนั้ คือเรา พระสมั มาสัมพุทธเจ้านั่นเอง”
พระนารทมหาพรหม 440 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง
พระนารทมหาพรหม สตั วโ์ ลกยอ่ มเป็นไปตามกรรม “เว้นเราแล้ว ไม่มใี ครสามารถปลดเปลอื้ ง พระเจ้าองั คติราชจากมจิ ฉาทฏิ ฐไิ ด้ วนั น้เี ราควรจะไปสงเคราะห์พระธดิ า และทำ�ให้พระราชาพร้อมทั้งบริวารชนเกดิ ความสวสั ดี”
442 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง นารทมหาพรหมเป็นชาดกท่ีพระพุทธเจ้าตรัสถึง เรื่องราวในอดีตชาติของพระองค์ เมื่อครั้งเกิดเป็น มหาพรหมนารทะ ทรงมีปณิธานท่ีจะบาํ เพญ็ “อุเบกขาบารม”ี นารทชาดก ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก มหานบิ าต และอรรถกถา ขทุ ทกนิกาย ชาดก มหานิบาต ขณะตรสั เลา่ เรอื่ งนารทะ เปน็ ตอนตน้ พทุ ธกาล ภายหลงั จากทพ่ี ระองค์ จาํ พรรษาแรกทีป่ า่ อิสิปตนมฤคทายวัน เทศนาโปรดปญั จวัคคยี ์ทง้ั ๕ รูป จนได้ บรรลอุ รหตั ผลเปน็ พระสาวกรนุ่ แรก ภายในพรรษานนั้ ยงั มยี สกลุ บตุ รและสหาย ออกบวชเพม่ิ ขน้ึ อีก ขณะนัน้ มีพระอรหันตเ์ กดิ ขึ้นในโลก ๖๑ องค์ พระพุทธองค์ มีรบั ส่งั ใหป้ ระชมุ หม่ภู กิ ษุสงฆ์ตรสั ส่งไปประกาศพระศาสนาวา่ “ภกิ ษุท้ังหลาย เราพน้ แลว้ จากบว่ งทัง้ ปวง ทัง้ ท่เี ป็นของทิพย์ ทั้งที่เป็นของมนุษย์ แม้พวกเธอก็พ้นแล้วจากบ่วงทั้งปวง ทั้งท่ีเป็น ของทิพย์ ทง้ั ทเ่ี ป็นของมนุษย ์ พวกเธอจงเท่ียวจาริกไปเพื่ออนุเคราะห์โลก เพ่ือประโยชน์ เกื้อกูลความสุขแก่ทวยเทพและมนุษย์ทั้งหลาย พวกเธออย่าได้ ไปทางเดยี วกนั สองรปู จงแสดงธรรมงามในเบอื้ งตน้ งามในทา่ มกลาง งามในทสี่ ดุ จงประกาศพรหมจรรย์ พรอ้ มทง้ั อรรถ พรอ้ มทงั้ พยญั ชนะ ให้ครบบรบิ ูรณ์ สตั ว์ทั้งหลายจําพวกท่ีมีธุลี คอื กิเลสในจกั ษนุ อ้ ยมอี ยู่ เพราะไม่ได้ฟงั ธรรมย่อมเสือ่ ม ผู้รู้ทวั่ ถึงธรรม จกั มี” พระพุทธองค์เสด็จกรุงราชคฤห์เพียงพระองค์เดียว เพ่ือโปรดชฎิล ๓ พ่ีน้อง และเพื่อเปล้ืองปฏิญญาท่ีทรงให้ไว้กับพระเจ้าพิมพิสาร ขณะเสด็จ กรุงราชคฤห์ ทรงมุ่งหน้าไปสู่ตำ�บลอุรุเวลาเสนานิคม พระพุทธองค์ได้ทรง แวะพกั ทไ่ี ร่ฝ้ายช่อื “กปั ปาสกิ วนาสณฑ”์ ประทับนงั่ ใต้ร่มไม้ต้นหนึ่ง
ท ศ ช า ติ 443 พระนารทมหาพรหม ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง คร้ังน้ัน ภัททวัคคีย์จำ�นวน ๓๐ คน ซึ่งเป็นพระราชโอรสของพระเจ้า มหาโกศล พาภรรยามาพกั ผอ่ นอยู่ทไ่ี รฝ่ า้ ยนน้ั คนหนง่ึ ไม่มภี รรยา พวกเพือ่ น ๆ จงึ น�ำ หญิงขายบรกิ ารมาให้ ตอ่ มา หญงิ ขายบรกิ ารไดข้ โมยเคร่อื งประดับหนีไป พวกภัททวัคคีย์จึงช่วยกันเที่ยวตามหา พบพระบรมศาสดาประทับน่ังอยู่ท่ีร่มไม้ แหง่ หนง่ึ จงึ เขา้ ไปเฝา้ แลว้ ถามวา่ “ขา้ แตส่ มณะ ทา่ นเหน็ สตรผี า่ นมาทางน้ี บา้ งหรือไม”่ พระพทุ ธองคท์ รงยอ้ นถามวา่ “พวกเธอตอ้ งการสง่ิ ใดจากสตรนี น้ั ” พวกเขาตอบวา่ “สตรนี นั้ ขโมยเครอื่ งประดบั เพอื่ นพวกเราไป” พระพทุ ธองค์ ตรัสว่า “ระหว่างการแสวงหาสตรี กับการแสวงหาตัวเอง สำ�หรับ พวกเธอแลว้ อยา่ งไหนดกี วา่ กนั ” ภทั ทวคั คยี ต์ อบวา่ “การแสวงหาตวั เอง เป็นส่ิงที่ดีกวา่ ” พระพทุ ธองคจ์ งึ ตรัสว่า “ถา้ เชน่ นน้ั พวกเธอจงนั่งลงเถิด เราจะ แสดงธรรมแก่พวกเธอ” เมื่อภัททวัคคีย์น่ังลงแล้ว พระองค์ได้แสดงเทศนา ชอื่ “อนปุ พุ พกี ถา” อนั เปน็ การแสดงหวั ขอ้ ธรรมไปตามล�ำ ดบั จากหวั ขอ้ ธรรม งา่ ย ๆ ไปจนถงึ หวั ขอ้ ธรรมท่ลี กึ ซึง้ ตง้ั แต่ การใหท้ าน การรักษาศลี การไป เกิดในสวรรค์ กามาทีนวกถา ว่าด้วยโทษของความเศร้าหมองเพราะ กามท้ังหลาย และอานสิ งสข์ องการออกจากกาม เม่ือพระพุทธองค์ทรงทราบว่าทุกคนมีจิตสงบ ปราศจากนิวรณ์ มีจิต เบิกบานผ่องใสแล้ว จึงทรงแสดงอริยสัจ ๔ ทำ�ให้ภัททวัคคีย์ได้บรรลุธรรม เปน็ พระโสดาบนั ขออปุ สมบทกบั พระพทุ ธองค์ โปรดชฎลิ ๓ พ่นี อ้ ง ภายหลงั จากนัน้ พระบรมศาสดาเสด็จจาริกไปโดยลำ�ดับ จนถึงต�ำ บล อรุ เุ วลาเสนานคิ ม ซง่ึ เปน็ ทอ่ี ยขู่ องเหลา่ ฤาษที งั้ หลายมาเกา่ แก่ สมยั นน้ั ฤาษชี ฎลิ
พระนารทมหาพรหม 444 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ๓ พี่นอ้ ง ตง้ั ส�ำ นกั บำ�เพญ็ ตบะอยู่ ณ อรุ เุ วลาเสนานิคมนี้ คือ อรุ ุเวลกสั สปะ เป็นหัวหน้าเหล่าชฎิล ๕๐๐ คน นทีกัสสปะ เป็นหัวหน้าเหล่าชฎิล ๓๐๐ คน และคยากสั สปะ เปน็ หัวหนา้ เหล่าชฎลิ ๒๐๐ คน พระผูม้ พี ระภาคเจ้าเสดจ็ เขา้ ไปสูอ่ าศรมของอรุ เุ วลกัสสปะ หลังจากมี ปฏิสันถารกันตามสมควรแล้ว จึงตรัสว่า “กัสสปะ ถ้าท่านไม่ขัดข้อง เรา จะขอพักอาศยั อยู่ในโรงบชู าไฟของท่านสักราตรีหนึ่ง” อุรุเวลกัสสปะตอบว่า “มหาสมณะ ข้าพเจ้าไม่ขัดข้องเลย แต่ ในโรงบูชาไฟน้ันมีพญานาคดุร้าย มีฤทธ์ิและพิษร้ายแรงอาศัยอยู่ อาจท�ำ อนั ตรายทา่ นได้” พระบรมศาสดาตรัสว่า “เราแนใ่ จวา่ พญานาคจะไม่ทำ�อันตราย เรา เพียงท่านอนุญาตให้เราพักอาศัยเท่านั้น” พระพุทธองค์ตรัสถึง สองสามครั้ง อุรุเวลกัสสปะจึงกล่าวว่า “มหาสมณะ เชิญท่านพักอาศัย ในโรงบชู าไฟตามอัธยาศัยเถดิ ” ทรงแสดงปาฏหิ าริย์ พระบรมศาสดาเสดจ็ เขา้ สโู่ รงบชู าไฟ ประทบั นงั่ ขดั สมาธิ ตงั้ พระวรกาย ตรง ด�ำ รงพระสติไว้มั่น ครั้นพญานาคเห็นพระพุทธองค์เสด็จเข้ามาในโรงบูชาไฟท่ีตนอาศัย อยู่ รู้สึกไม่พอใจ จึงพ่นควันข้ึน พระพุทธองค์ทรงดำ�ริว่า ควรครอบงำ�เดชของ พญานาคนด้ี ว้ ยเดชของพระองค์ โดยไมใ่ หก้ ระทบแม้ผิวหนัง จึงทรงบันดาลดว้ ย อิทธิฤทธ์ิให้เกิดควันขึ้นบ้าง พญานาคทนความลบหลู่ไม่ได้ จึงพ่นไฟออกมา ในทนั ที พระพทุ ธองคก์ ท็ รงเขา้ เตโชกสณิ มธี าตไุ ฟเปน็ อารมณ์ บนั ดาลไฟตา้ นทาน ไว้เชน่ กัน
ท ศ ช า ติ 445 พระนารทมหาพรหม ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง เมื่อไฟของท้ังสองฝ่ายลุกโชติช่วงข้ึน โรงบูชาไฟก็รุ่งโรจน์ปรากฏดุจ ไฟโหมลุกไหม้ไปท่ัว พวกชฎิลต่างกล่าวกันว่า “พระสมณะรูปงามคงถูก พญานาคเผาตายไปแลว้ แน”่ คร้ันราตรนี น้ั ผา่ นไป เปลวไฟของพญานาคไมป่ รากฏ แต่เปลวไฟของ พระพุทธองค์ยังปรากฏอยู่ เปล่งพระรัศมีประกายต่าง ๆ คือ สีขาว สีเขียว สแี ดง สหี งสบาท สเี หลอื ง สแี กว้ ผลกึ ซา่ นออกจากพระวรกาย พระพทุ ธองค์ ทรงขดพญานาคไว้ในบาตร แล้วทรงแสดงแก่ชฎิลน้ัน ตรัสว่า “น่ีพญานาค ของทา่ น เราสะกดไว้ด้วยเดชของเราแลว้ ” อุรเุ วลกสั สปะรูส้ กึ เล่ือมใสในอทิ ธิปาฏหิ ารยิ ข์ องพระพุทธองค์ แต่ก็ยัง คิดว่า “พระมหาสมณะน้มี ีฤทธิ์มาก มอี านภุ าพมากกจ็ รงิ แต่กไ็ ม่เป็น พระอรหนั ต์เหมือนเรา” จึงออกปากชวนให้พระพุทธองค์พำ�นักอยู่ในท่ีนน้ั พระพทุ ธองคเ์ สดจ็ ไปประทบั อยใู่ กลป้ า่ แหง่ หนงึ่ ไมไ่ กลจากอาศรมของ อรุ เุ วลกสั สปะ เมอ่ื ราตรปี ฐมยามผา่ นไป ทา้ วมหาราชทงั้ ๔ มาเฝา้ พระองค์ ถวาย บังคมแล้วยืนถวายการอารักขาอยู่ท้ัง ๔ ทิศ คร้ันรุ่งเช้า ถึงเวลาภัตตาหาร อรุ เุ วลกสั สปะเขา้ ไปทลู ถามวา่ “เมอ่ื คนื ใครเขา้ มาหาทา่ น มรี ศั มงี าม ท�ำ ให้ ป่าสว่างไสวไปท่ัว” พระพุทธองค์ตรัสตอบว่า “ท่านเหล่าน้ันคือ ท้าวมหาราชทั้ง ๔ เข้ามาหาเราเพ่ือฟังธรรม” อุรุเวลกัสสปะคิดว่า พระมหาสมณะมฤี ทธม์ิ าก มอี านภุ าพมากแท้ ถงึ กบั ทา้ วมหาราชทงั้ ๔ เขา้ มาหา เพื่อฟังธรรม แต่ก็ไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนเราแน่ พระพุทธองค์ฉันภัตตาหาร เสรจ็ แลว้ ยงั คงประทบั อยใู่ นไพรสณฑน์ น้ั ไดแ้ สดงปาฏหิ ารยิ โ์ ดยประการตา่ ง ๆ จนทำ�ให้อุรเุ วลกสั สปะเกดิ ศรทั ธาเลอ่ื มใส พระพทุ ธองคต์ รสั วา่ “กสั สปะ ทา่ นไมใ่ ชพ่ ระอรหนั ต์ ทง้ั ยงั ไมพ่ บ ทางแห่งความเป็นพระอรหันต์ แม้แต่ปฏิปทาของท่านที่จะเป็นเหตุ ให้เป็นพระอรหันต์ หรือพบทางแห่งความเป็นพระอรหันต์ก็ยังไม่มี”
พระนารทมหาพรหม 446 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง อรุ เุ วลกสั สปะฟงั พระพทุ ธด�ำ รสั นนั้ แลว้ ซบศรี ษะลงแทบพระบาทของพระพทุ ธองค์ ทูลขอบรรพชาอุปสมบท เป็นเหตุให้นทีกัสสปะ คยากัสสปะ ผู้เป็นน้องชาย พรอ้ มท้ังบริวารละทิ้งเพศฤาษีบวชตามเชน่ กนั ตอ่ มา พระองคท์ รงแสดงเทศนา ช่อื ว่า “อาทติ ตปริยายสตู ร” วา่ ดว้ ยกิเลส คือ ราคะ โทสะ โมหะ รอ้ นแรง เหมือนไฟ โปรดพระภิกษุชฎิล ๓ พนี่ ้องให้ไดบ้ รรลอุ รหตั ผล พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ท่ีตำ�บลคยาสีสะตามพระพุทธาภิรมย์ แลว้ จากนนั้ จงึ เสดจ็ จารกิ สนู่ ครราชคฤห์ พรอ้ มดว้ ยภกิ ษสุ งฆจ์ �ำ นวน ๑,๐๐๐ รปู ซึ่งเป็นนักบวชชฎิลเก่า เพื่อโปรดพระเจ้าพิมพิสาร ประทับอยู่ที่อุทยานลัฏฐิวัน เขตกรุงราชคฤห์ แควน้ มคธ พระเจา้ พมิ พิสารทรงสดบั แน่ชัดแล้วว่า เจา้ ชายสิทธัตถะซึ่งออกผนวช บดั นี้ ไดบ้ รรลพุ ระอนตุ ตรสมั มาสมั โพธญิ าณ ตรสั รเู้ ปน็ พระพทุ ธเจา้ ทรงประกาศ พรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ พร้อมท้ังพยัญชนะ เสด็จมาถึงกรุงราชคฤห์แล้ว ขณะนี้ ประทับอยู่ในอทุ ยานลฏั ฐวิ ัน ทรงแวดล้อมด้วยพราหมณ์ คหบดีชาวมคธ ๑๒ นหตุ (สิบสองหมืน่ ) เสดจ็ ไปเฝ้าพระผ้มู ีพระภาคเจ้า บางพวกถวายบังคม พระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วเลือกนั่งท่ีสมควร บางพวกทูลปราศรัยกับ พระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วน่ัง บางพวกประคองอัญชลีไปทางพระผู้มีพระภาคเจ้า แลว้ น่ัง บางพวกแนะนำ�นามและโคตรของตนแลว้ นัง่ บางพวกนง่ั น่ิงเฉยอยู่ ครง้ั นนั้ พราหมณค์ หบดชี าวมคธเกดิ ความสงสยั วา่ พระมหาสมณโคดม ประพฤติพรหมจรรย์ตามท่านอุรุเวลกัสสปะ หรือท่านอุรุเวลกัสสปะ ประพฤติพรหมจรรย์ตามพระมหาสมณโคดม พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบความดำ�ริในใจของพราหมณ์คหบดี ชาวมคธนน้ั จึงตรสั กับพระอุรุเวลกสั สปะวา่ “กัสสปะ ท่านอยู่ต�ำ บลอุรเุ วลา มานาน เคยเปน็ อาจารยส์ ง่ั สอนหมชู่ ฎลิ ทา่ นเหน็ เหตอุ นั ใด จงึ ยอมละทงิ้ การบชู าไฟที่เคยกระทำ�มาเปน็ เวลานาน”
ท ศ ช า ติ 447 พระนารทมหาพรหม ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง พระอรุ เุ วลกสั สปะทลู ตอบวา่ “ยญั ทงั้ หลายกลา่ วยกยอ่ งรปู เสยี ง กลนิ่ รส และสตรที งั้ หลายวา่ เปน็ สงิ่ ทพี่ งึ ปรารถนา บดั นี้ ขา้ พระพทุ ธเจา้ ทราบจากพระพุทธองค์ว่า สิ่งเหล่าน้ันเป็นมลทิน เป็นกิเลส เพราะ เหตุนัน้ ขา้ พระองค์จึงไม่ยนิ ดใี นการเซน่ สรวงบชู ายญั ” พระผ้มู ีพระภาคเจา้ ตรสั ถามวา่ “กสั สปะ เม่อื ใจของท่านไมย่ นิ ดี ในอารมณ์ คือ รูป เสียง กลิ่น และรสเหล่าน้ัน ใจของท่านยินดี ในส่ิงไรเลา่ ทา่ นยนิ ดใี นเทวโลกหรอื มนุษยโลก” พระอรุ เุ วลกสั สปะกราบทลู ตอบวา่ “ขา้ พระพทุ ธเจา้ ไดเ้ หน็ ทางอนั สงบ ปราศจากกิเลส ปราศจากความกงั วล ไม่ตดิ อยูใ่ นกามภพ ไมม่ ี ภาวะเป็นอย่างอ่ืน อันเป็นธรรมที่พระองค์แนะให้บรรลุ เพราะฉะนั้น ข้าพระองคจ์ ึงไมย่ นิ ดีทง้ั เทวโลกและมนษุ ยโลก” เพื่อจะประกาศภาวะที่ตนเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า จึงซบศีรษะลงท่ี หลังพระบาทของพระตถาคต ประกาศว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผมู้ พี ระภาคเจา้ เปน็ ศาสดาของขา้ พระองค์ ขา้ พระองคเ์ ปน็ สาวก” ดงั นแ้ี ลว้ เหาะขนึ้ สทู่ อ้ งฟา้ สงู ๗ ชวั่ ล�ำ ตาล แลว้ กลบั ลงมาถวายบงั คมพระพทุ ธเจา้ มหาชนเห็นปาฏิหาริย์ดังน้ัน ก็ได้กล่าวสรรเสริญคุณพระบรมศาสดา วา่ “น่าอัศจรรยจ์ ริง พระพุทธเจา้ มอี านุภาพมาก พระอรุ ุเวลกสั สปะมี ความเห็นผิด เข้าใจว่าตนเป็นพระอรหันต์ พระองค์ก็สามารถทำ�ลาย ความเห็นผิดทรมานเสียได”้ พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ไดท้ รงสดบั ดงั นนั้ แลว้ จงึ ตรสั วา่ การทเี่ ราไดบ้ รรลุ สัพพัญญุตญาณแล้ว ทรมานอุรุเวลกัสสปะในชาตินี้ ไม่น่าอัศจรรย์เท่ากับ ในอดตี ชาติ แตข่ ณะทเี่ รายงั มรี าคะ โทสะ และโมหะ เกดิ เปน็ พรหมชอื่ วา่ “นารทะ” ไดท้ �ำ ลายขา่ ย คอื ทฏิ ฐขิ องอรุ เุ วลกสั สปะ ท�ำ ใหห้ มดพยศ เปน็ เรอ่ื งนา่ อศั จรรยก์ วา่
พระนารทมหาพรหม 448 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ดังนี้แล้ว จึงตรัสเล่าเรื่องในอดีตชาติของพระองค์เม่ือคร้ังเกิดเป็นนารทพรหม ให้มหาชนชาวมคธฟงั เสด็จออกสหี บัญชร ในอดีตกาล ยังมีพระราชาพระองค์หน่ึงพระนามว่า “พระเจ้า อังคติราช” ครองราชสมบัติในกรุงมิถิลานคร วิเทหรัฐ พระองค์เป็น พระธรรมราชา ปกครองแผ่นดินด้วยทศพิธราชธรรม พระองค์มีพระราชธิดา พระองค์หน่ึงพระนามว่า “เจ้าหญิงรุจาราชกุมารี” มีพระสิริโฉมงดงาม มีบญุ ญาธกิ ารมาก ท้ังฉลาดหลักแหลม ส่วนพระเทวคี นอ่ืน ๆ ของพระองค์ มจี ำ�นวนถึง ๑๖,๐๐๐ นาง ทุกคน เป็นหญิงหมัน เจ้าหญิงรุจาราชกุมารี พระธิดาเพียงพระองค์เดียวจึงเป็นท่ี โปรดปรานของพระเจ้าองั คติราชย่ิงนัก พระองค์ได้จัดผ้าเน้ือละเอียด ประมาณค่ามิได้ พร้อมกับผอบเต็ม ด้วยดอกไม้นานาชนิด ๒๕ ผอบ ของเสวยที่ประณีตย่ิง ส่งไปพระราชทาน พระราชธิดาทุกวัน นอกจากน้ัน พระองค์ยังได้ส่งเงินสำ�หรับให้ทาน จำ�นวน ๑,๐๐๐ กหาปณะ ไปพระราชทานใหเ้ จ้าหญงิ ทุกก่งึ เดอื น ทรงตรสั วา่ “ลูกจงใช้ ทรัพย์ส่วนน้ีให้ทานเถิด” พระเจ้าอังคติราชมีอำ�มาตย์ผู้ใหญ่เป็นคณะมนตรีอยู่ ๓ นาย คือ วิชยะอำ�มาตย์ สุนามะอำ�มาตย์ และอลาตะเสนาบดีอำ�มาตย์ เป็น ราชบัณฑติ ผมู้ ีความเฉลียวฉลาด ยิ้มแย้มกอ่ นพูดเสมอ ครั้นถึงคืนวันเพ็ญกลางเดือน ๑๒ ฤดูกาลที่ดอกบัวบานสะพรั่งไปทั่ว เป็นเทศกาลมหรสพประจำ�ปีของชาวมิถิลานคร ประชาชนต่างพากันตบแต่ง พระนครไว้อยา่ งดงามตระการตาราวกับเทพนคร ตามทอ้ งถนนและทส่ี าธารณะ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 572
- 573
- 574
- 575
- 576
- 577
- 578
- 579
- 580
- 581
- 582
- 583
- 584
- 585
- 586
- 587
- 588
- 589
- 590
- 591
- 592
- 593
- 594
- 595
- 596
- 597
- 598
- 599
- 600
- 601
- 602
- 603
- 604
- 605
- 606
- 607
- 608
- 609
- 610
- 611
- 612
- 613
- 614
- 615
- 616
- 617
- 618
- 619
- 620
- 621
- 622
- 623
- 624
- 625
- 626
- 627
- 628
- 629
- 630
- 631
- 632
- 633
- 634
- 635
- 636
- 637
- 638
- 639
- 640
- 641
- 642
- 643
- 644
- 645
- 646
- 647
- 648
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 600
- 601 - 648
Pages: