ท ศ ช า ติ 49 พ ร ะ เ ต มี ย์ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ถูกทดลองด้วยขนมและของเคี้ยวอยู่เช่นน้ีเป็นเวลานานแรมปี ก็ไม่แสดงพิรุธ แตอ่ ย่างใด เม่ือพระเตมีย์อายุได้ ๒ ชันษา พวกอำ�มาตย์กราบทูลพระราชาว่า “เด็กอายุ ๒ ขวบ ชอบผลไม้ พวกข้าพระองค์จะทดลองพระกุมาร ด้วยผลไม้” จึงทดลองนำ�ผลไม้มาวางไว้ใกล้ ๆ พระเตมีย์และเด็กบริวาร แล้วปลอ่ ยใหย้ ือ้ แย่งกันกินผลไม้ตามชอบใจ แล้วพากนั ยืนแอบดู เดก็ คนอนื่ ๆ ตา่ งตอ่ สทู้ บุ ตกี ันยือ้ แย่งผลไม้มาเค้ยี วกิน ส่วนพระเตมีย์บอกตัวเองว่า “เตมยี ์ ถา้ อยากไปนรก กก็ นิ ผลไม้ นน้ั เถดิ ” เพราะกลวั จะไปเกดิ ในนรก จงึ ไมช่ ายตามองดผู ลไมน้ นั้ เลย แมพ้ ระกมุ าร ถกู ทดลองดว้ ยผลไม้อยูเ่ ช่นนเ้ี ปน็ เวลานานแรมปี กไ็ มแ่ สดงพริ ุธแต่อยา่ งใด เม่ือพระเตมีย์อายุได้ ๓ ชันษา พวกอำ�มาตย์กราบทูลพระราชาว่า “เดก็ อายุ ๓ ขวบ ชอบของเลน่ พวกขา้ พระองคจ์ ะทดลองพระกมุ ารดว้ ย ของเลน่ ” จงึ ทดลองน�ำ รปู ชา้ งปนั้ รปู มา้ ปนั้ และรปู ปนั้ สตั วช์ นดิ ตา่ ง ๆ ไปวางไว้ ใกล้ ๆ พระเตมยี แ์ ละเด็กบริวาร แลว้ ปลอ่ ยใหย้ ้อื แยง่ กันตามชอบใจ เด็กบรวิ าร ตา่ งต่อสทู้ ุบตกี ันยอื้ แย่งของเล่นท่ตี นชอบ ส่วนพระเตมีย์ทรงอดกลั้นความอยาก เลน่ ของเลน่ เอาไว้ ไมเ่ หลียวมองดูอะไร ๆ เลย แมพ้ ระกมุ ารถูกทดลองอย่เู ช่นนี้ เปน็ เวลานานแรมปี พวกอ�ำ มาตยก์ ็จับพริ ุธพระเตมยี ไ์ ม่ได้ เม่ือพระเตมีย์อายุได้ ๔ ชันษา พวกอำ�มาตย์กราบทูลพระราชาว่า “เดก็ อายุ ๔ ขวบ ชอบอาหารที่มีรสแปลกต่าง ๆ พวกขา้ พระองคจ์ ะ ทดลองพระกุมารด้วยอาหาร” จึงทดลองนำ�อาหารชนิดต่าง ๆ มากมาย มาวางไวใ้ กล้ ๆ พระเตมยี แ์ ละเดก็ บรวิ าร แลว้ ปลอ่ ยใหย้ อื้ แยง่ กนั กนิ ตามชอบใจ เดก็ บรวิ ารคนอนื่ ๆ ตา่ งท�ำ อาหารเปน็ ค�ำ ๆ กนิ กนั อยา่ งเอรด็ อรอ่ ย สว่ นพระเตมยี ์ ทรงอดกลน้ั หาไดช้ ายตามองดอู าหารเหลา่ นนั้ ไม่ พระองคบ์ อกตวั เองวา่ “เตมยี ์ เจ้าเคยอดอาหารมาไม่รู้กี่ภพก่ีชาติ จะอดอาหารตายอีกสักชาติก็คง
พ ร ะ เ ต มี ย์ 50 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ไมเ่ ปน็ ไร” พระมารดาเห็นเชน่ นนั้ เหมอื นพระหทยั จะแตกสลายลงใหไ้ ด้ จึงให้ พระโอรสเสวยโภชนาหารด้วยพระหัตถ์พระองค์เอง แม้พระกุมารถูกทดลองอยู่ เช่นนีเ้ ปน็ เวลานานแรมปี ก็ไม่แสดงพริ ธุ แตอ่ ยา่ งใด เม่ือพระเตมีย์อายุได้ ๕ ชันษา พวกอำ�มาตย์กราบทูลพระราชาว่า “เดก็ อายุ ๕ ขวบ กลวั ไฟ พวกขา้ พระองคจ์ ะทดลองพระกมุ ารดว้ ยไฟ” จงึ ทดลองดว้ ยการปลกู เรอื นใหญไ่ วท้ ส่ี นามหลวง เรอื นนน้ั มงุ ดว้ ยใบตาล มปี ระตู เข้าออกหลายทาง ให้นำ�พระกุมารและเด็กบริวารเข้าไปอยู่ในเรือนน้ัน แล้วจุด ไฟเผา เมอ่ื พวกเดก็ เหน็ ไฟลกุ ไหม้ ตา่ งกก็ ลวั ตายรอ้ งไหเ้ สยี งดงั ลนั่ วงิ่ หนอี อกมา สว่ นพระเตมยี ร์ �ำ พงึ วา่ “เราถกู เผาดว้ ยไฟรอ้ นน้ี กย็ งั ดกี วา่ ถกู เผาไหมด้ ว้ ย ไฟนรก” พระองค์มิได้หวั่นไหวต่อเปลวไฟที่กำ�ลังปะทุไหม้นั้นเลย เม่ือเพลิง ลุกลามเข้ามาใกล้ พวกอำ�มาตย์ก็อุ้มพระกุมารออกไป แม้จะทดลองอยู่เช่นน้ี เป็นเวลานานแรมปี กจ็ บั พริ ธุ พระเตมีย์ไมไ่ ด้ เมอื่ พระเตมยี อ์ ายุได้ ๖ ชนั ษา อ�ำ มาตย์ทงั้ หลายกราบทลู พระราชาวา่ “เดก็ อายุ ๖ ขวบ กลวั ช้างตกมัน พวกขา้ พระองค์จะทดลองพระกมุ าร ดว้ ยชา้ งตกมัน” จึงทดลองน�ำ พระกมุ ารไปน่งั ทที่ อ้ งสนามหลวง แวดล้อมดว้ ย เด็กบริวาร จากนั้นให้ปล่อยช้างเชือกหนงึ่ ซึง่ ถูกฝึกหัดอยา่ งดีแล้วออกมา ชา้ งน้ัน ส่งเสียงร้องกึกก้องโกญจนาท เอางวงตีแผ่นดินฝุ่นตลบแสดงอาการดุร้าย รอ้ งแปรน๋ ๆ มา พวกเดก็ เห็นช้างตกมนั แผดเสยี งรอ้ งดรุ า้ ยเชน่ นน้ั ต่างก็ตกใจ กลวั ตายรอ้ งไห้ ว่ิงหนีหวั ซุกหวั ซนุ ไปคนละทศิ ละทาง พระเตมีย์คิดว่า “เราถูกงาช้างตกมันดุร้ายเชือกน้ีแทงตาย ยัง ประเสริฐกว่าถูกเผาไหม้ในนรกอันร้ายกาจ” จึงสงบน่ิงมิได้สะทกสะท้าน ช้างท่ีฝึกดีแล้วนั้นแล่นตรงเข้ามา เอางวงจับพระองค์กวัดแกว่งไปมาเหมือน แกว่งก�ำ ดอกไม้ ท�ำ ให้พระกมุ ารไดร้ บั ความล�ำ บากย่ิงนัก พวกทหารจงึ เข้าไปรับ พระกุมารออกมาจากช้าง พระราชาตรัสถามพวกทหารว่า “ขณะท่ีพวกท่าน รับพระกุมารมา พระกุมารได้ขยับมือขยับเท้าบ้างหรือไม่” พวกทหาร
ท ศ ช า ติ 51 พ ร ะ เ ต มี ย์ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง กราบทลู วา่ มไิ ดแ้ สดงอาการใด ๆ เลย แมจ้ ะทดลองดว้ ยชา้ งตกมนั โดยท�ำ นองนี้ เปน็ เวลานานแรมปี กจ็ ับพริ ธุ ไมไ่ ด้ เม่ือพระเตมีย์อายุได้ ๗ ชันษา พวกอำ�มาตย์กราบทูลพระราชาว่า “โดยทวั่ ไป เดก็ อายุ ๗ ขวบ มกั จะกลวั งพู ษิ พวกขา้ พระองคจ์ ะทดลอง พระกุมารด้วยงูพิษ” จึงทดลองนำ�พระกุมารพร้อมท้ังเด็กบริวาร ไปนั่งท่ี ท้องสนามหลวง แล้วปล่อยฝูงงูพิษที่ถอนเขี้ยวเย็บปากแล้วเข้าไปตรงกลางกลุ่ม เด็กซึ่งน่ังห้อมล้อมพระเตมีย์อยู่ เด็กบริวารเห็นงูพิษต่างก็พากันร้องลั่นวิ่งหนีไป ด้วยความตกใจกลวั พระเตมียพ์ จิ ารณาภยั ในนรกแล้วด�ำ ริว่า “เราพนิ าศไปในปากงพู ษิ รา้ ยนี้ ยงั ดกี วา่ พนิ าศไปในนรกอนั รา้ ยกาจ” แลว้ ประทบั นง่ั นงิ่ เฉยอยู่ ฝงู งพู ษิ ตา่ งเลอื้ ยตรงเขา้ รดั รอบกายแผพ่ งั พานเหนอื เศยี รพระกมุ าร แมเ้ ชน่ นน้ั พระเตมยี ์ ก็มิได้หว่ันไหว แม้จะทดลองด้วยงูพิษร้ายเป็นเวลานานแรมปีเช่นน้ี ก็จับพิรุธ พระเตมยี ์ไม่ได้ จงึ ปรึกษากนั วา่ จะท�ำ อยา่ งไรต่อไป เมอื่ พระเตมยี อ์ ายไุ ด้ ๘ ชนั ษา อ�ำ มาตยท์ งั้ หลายกราบทลู พระราชาวา่ “เดก็ อายุ ๘ ขวบ ชอบฟอ้ นร�ำ ขบั รอ้ ง พวกขา้ พระองคจ์ ะทดลองพระกมุ าร ด้วยการฟ้อนรำ�ขับร้อง” จึงทดลองนำ�พระกุมารพร้อมท้ังเด็กบริวารไปนั่งท่ี ทอ้ งสนามหลวง แลว้ จดั ใหม้ กี ารแสดงมหรสพฟอ้ นร�ำ อยา่ งตระการตา เดก็ บรวิ าร คนอ่ืน ๆ เห็นการแสดงมหรสพฟ้อนรำ�ต่างก็แสดงอาการร่าเริงยินดี พากัน หวั เราะสนุกสนาน พระเตมีย์พิจารณาว่า “ในนรก ไม่มีความรื่นเริงหรือความชุ่ม เยน็ ใจ แมช้ ั่วขณะหนึ่ง” จึงน่งิ เฉย มไิ ดท้ อดพระเนตรดูอะไร ๆ เลย แมจ้ ะ ทดลองเช่นนีเ้ ป็นเวลานานแรมปี กจ็ ับพิรุธพระเตมยี ์ไมไ่ ด้ เม่ือพระเตมีย์อายุได้ ๙ ชันษา พวกอำ�มาตย์กราบทูลพระราชาว่า “เดก็ อายุ ๙ ขวบ กลวั ศัสตราวธุ พวกขา้ พระองคจ์ ะทดลองพระกมุ าร
พ ร ะ เ ต มี ย์ 52 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ด้วยศัสตราวุธ” จึงทดลองนำ�พระกุมารพร้อมทั้งเด็กบริวารไปน่ังที่ ท้องสนามหลวง แล้วปล่อยให้วิ่งเล่นกันตามประสา ในขณะท่ีเด็กบริวารกำ�ลัง เล่นสนุกสนานกันอยู่ พลันชายคนหน่ึงก็ปรากฏกายข้ึน ถือดาบคมวาววับดัง แก้วผลึก กวัดแกว่งโลดเต้นยักเยื้องท่าทางเข้ามาตะโกนขู่ตวาดว่า “ใครเป็น โอรสพระเจ้ากาสี คนกาลกิณี ข้าจักตัดหัวเจ้าเสียด้วยดาบเดี๋ยวนี้” แล้วว่ิงแหวกกลุ่มเด็กตรงเข้าไปหาพระกุมาร เด็กบริวารเห็นดังนั้นก็ตกใจกลัว ต่างร้องลัน่ วิ่งหนไี ปคนละทิศละทาง พระเตมยี ท์ รงร�ำ พงึ วา่ “ใหเ้ ราพนิ าศยอ่ ยยบั เพราะคมดาบ ยงั จะ ประเสริฐกวา่ พนิ าศในนรก” ชายผู้น้ันเอาดาบจอ่ ลงทคี่ อตะโกนขู่วา่ “ขา้ จะ ตดั หวั เจา้ เดีย๋ วนี้” แมเ้ ช่นนี้ กไ็ มส่ ามารถทำ�ให้พระองคส์ ะดุ้งได้ พระเตมยี ถ์ ูก ทดลองเช่นน้เี ปน็ เวลานานแรมปี กจ็ บั พิรุธไมไ่ ด้ เมื่อพระเตมีย์อายุได้ ๑๐ ชันษา พวกอำ�มาตย์กราบทูลพระราชาว่า “เด็กอายุ ๑๐ ขวบ กลัวเสียงดัง ควรจะใช้เสียงทดลองพระกุมารว่า หหู นวกหรอื ไม”่ จงึ ทดลองดว้ ยการใหค้ นเปา่ สงั ขน์ ง่ั อยใู่ ตท้ บี่ รรทม ใหเ้ อามา่ น ก้ันที่บรรทมเพ่ือไม่ให้พระกุมารมองเห็น เจาะเป็นช่องไว้ท้ังส่ีข้างสำ�หรับสังเกต เมอื่ นางนมน�ำ พระกมุ ารไปบรรทมแลว้ พวกคนเปา่ สงั ขก์ เ็ ปา่ ขน้ึ อยา่ งดงั พรอ้ มกนั พวกอำ�มาตย์ที่แอบดูก็ไม่เห็นพระองค์เผลอสติขยับพระหัตถ์ พระบาท หรือ อวยั วะอืน่ ใด พระเตมียถ์ กู ทดลองเชน่ น้ีเปน็ เวลานานแรมปี ก็จับพิรุธไม่ได้ เมื่อพระเตมีย์อายุได้ ๑๑ ชันษา พวกอำ�มาตย์กราบทูลพระราชาว่า “เด็กอายุ ๑๑ ขวบ กลัวเสียงกลอง ควรจะทดลองพระกุมารด้วย เสียงกลอง” เม่อื ล่วงไปหน่งึ ปี อำ�มาตย์ทัง้ หลายก็จบั พิรธุ ไมไ่ ด้ เมื่อพระเตมีย์อายุได้ ๑๒ ชันษา พวกอำ�มาตย์กราบทูลพระราชาว่า “เด็กอายุ ๑๒ ขวบ ย่อมกลัวประทีป ควรจะทดลองพระกุมารด้วย ประทปี ” จงึ ทดลองใหพ้ ระกมุ ารบรรทมในทม่ี ดื ในเวลากลางคนื คดิ วา่ พระกมุ าร
ท ศ ช า ติ 53 พ ร ะ เ ต มี ย์ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง จะขยับพระหัตถ์หรือพระบาทบ้าง จึงจุดประทีปดวงหนึ่ง และดับอีกดวง สลับกันไป ครั้นปล่อยให้พระโพธิสัตว์บรรทมไปได้ครู่หนึ่งในที่มืด ก็ยกแท่น บรรทมข้ึนไปใกล้หม้อประทีปนำ้�มันท่ีกำ�ลังลุกโชติช่วง จุดไฟให้สว่างพร้อมกัน ทเี ดยี ว แลว้ สงั เกตดอู าการพระกมุ าร แตก่ ไ็ มเ่ หน็ การขยบั พระหตั ถห์ รอื พระบาท แตอ่ ย่างใด เมือ่ ลว่ งไปหนง่ึ ปี พวกอ�ำ มาตย์ก็จบั พิรธุ ไมไ่ ด้ เมื่อพระเตมีย์อายุได้ ๑๓ ชันษา พวกอำ�มาตย์กราบทูลพระราชาว่า “เด็กอายุ ๑๓ ขวบ เกลียดแมลงวัน ควรจะทดลองพระกุมารด้วย แมลงวนั ” จงึ เอาน�้ำ ออ้ ยทาทว่ั รา่ งพระกมุ าร แลว้ ใหบ้ รรทมในทมี่ แี มลงวนั ชกุ ชมุ ฝงู แมลงวนั ไดก้ ลนิ่ น�้ำ ออ้ ย กต็ อมกนิ น�้ำ ออ้ ยตามรา่ งกายพระกมุ าร พระกมุ ารรสู้ กึ เจบ็ แสบเหมอื นถกู เขม็ แทง แตก่ ท็ รงด�ำ รวิ า่ “เราตายในปากแมลงวนั ยงั จะดี เสียกว่าตายในนรกอเวจี” สู้อดกลั้นทุกขเวทนานิ่งเสียไม่หว่ันไหว ราวกับ พระมหาเถระเขา้ นโิ รธสมาบตั ิ เมอ่ื ลว่ งไปหนงึ่ ปี อ�ำ มาตยท์ งั้ หลายกจ็ บั พริ ธุ ไมไ่ ด้ เม่ือพระเตมีย์อายุได้ ๑๔ ชันษา พวกอำ�มาตย์กราบทูลพระราชาว่า “เมอื่ เดก็ มอี ายุ ๑๔ ปี กน็ บั ไดว้ า่ เปน็ หนมุ่ แลว้ พวกคนหนมุ่ มกั รกั สวย รักงาม เกลียดสิ่งสกปรก พวกข้าพระองค์จะทดลองพระกุมารด้วย สงิ่ สกปรกโสโครก” ตง้ั แตน่ ั้นจงึ ทดลองปลอ่ ยพระกุมารไม่ให้สรงน�ำ้ ไม่จดั ท่ี ถ่ายอจุ จาระปสั สาวะ ไม่นำ�เสด็จลกุ ออกจากทบี่ รรทม พระกุมารกถ็ า่ ยอุจจาระ ปสั สาวะ นอนเกลอื กกลวั้ สง่ิ ปฏกิ ลู ทเ่ี หมน็ ขนื่ คาวและสกปรกอยใู่ นทบ่ี รรทมนนั่ เอง หมแู่ มลงวนั กบ็ นิ ตอมกินของสกปรกกันหงึ่ อยรู่ อบกาย พระชนกพระชนนปี ระทบั นง่ั ขา้ ง ๆ สดุ แสนทจ่ี ะเวทนา ตรสั วา่ “เตมยี ์ ลูกเอ๋ย ตอนนี้ ลกู ก็โตเปน็ หนุ่มแล้ว ใครเขาจะประคับประคองลกู ได้ ตลอดไป ลูกไม่ละอายหรอกหรือ ลูกนอนอยู่ทำ�ไม ลุกขึ้นอาบนำ้� ท�ำ ความสะอาดรา่ งกายเถอะลกู ” แลว้ ตดั พ้อบริภาษโดยประการต่าง ๆ
พ ร ะ เ ต มี ย์ 54 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง แม้พระโพธิสัตว์นอนจมอยู่ในกองอุจจาระปัสสาวะ ซึ่งปฏิกูลน่า ขยะแขยงเหม็นข่ืนคาวเช่นนั้น ก็ทรงวางใจเป็นกลาง ทรงพิจารณากล่ินเหม็น ของคูถนรกว่า สามารถฟุ้งตลบข้ึนในใจของผู้ท่ียืนอยู่ในที่ไกลแสนไกลกว่าคูถน้ี มากมายนกั จงึ ทรงน่งิ เสีย เมอ่ื ลว่ งไปหน่ึงปี พวกอำ�มาตย์ก็จับพิรธุ ไมไ่ ด้ เม่ือพระเตมีย์อายุได้ ๑๕ ชันษา พวกอำ�มาตย์กราบทูลพระราชาว่า “เมื่อเด็กมีอายุ ๑๕ ปี กลัวความร้อน พวกข้าพระองค์จะทดลอง พระกมุ ารดว้ ยถา่ นเพลิง” พวกอ�ำ มาตยค์ ดิ กันว่า พอพระกุมารถูกความร้อน แผดเผา ได้รับความทุกข์ เมื่อทนไม่ได้ก็จะขยับพระหัตถ์หรือพระบาทเอง จึงนำ�ถาดใสถ่ า่ นเพลิงจนเตม็ มาวางไว้ใต้พระแท่นบรรทมพระเตมีย์ เปลวไฟโหมลุกไหม้ร้อนแรงรอบกาย พระเตมีย์ให้โอวาทตัวเองว่า “เตมีย์ ไฟในนรกอเวจี ร้อนแรงแผ่ไพศาลไปไกลกว่าไฟน้ีมากมาย หลายพันเท่า สามารถทำ�ลายดวงตาผู้ท่ียืนมองดูอยู่ห่างออกไปไกล ถงึ รศั มี ๑๐๐ โยชน์ได้ ความรอ้ นของไฟนี้จะเทยี บอะไรกบั ความร้อน ในนรกนั้น” ส้อู ดกลั้นความรอ้ นน้ัน ไม่หว่นั ไหว พระชนกพระชนนีทอดพระเนตรเห็นพระกุมารได้รับความทุกข์ทรมาน เช่นนนั้ พระหทัยแทบแตกสลาย จงึ แหวกฝูงชนเข้าไปนำ�พระกุมารออกมา แล้ว ตรสั วิงวอนวา่ “เตมยี ์ ลกู เอ๋ย พอ่ กบั แมร่ วู้ ่าลูกไมใ่ ช่คนง่อยเปล้ียเสยี ขา เพราะมอื เทา้ ปาก และชอ่ งหขู องคนพกิ าร ไมไ่ ดเ้ ปน็ อยา่ งน้ี พอ่ กบั แม่ ปรารถนาลูก จึงไดล้ ูกสมปรารถนา ลูกอย่าท�ำ ให้พอ่ กับแมท่ ุกข์ใจเลย อย่าทำ�ให้พ่อกับแม่ถูกพระราชาทั่วชมพูทวีปดูหม่ินดูแคลนว่า มีลูก งอ่ ยเปลยี้ เสยี ขาเลย” แมพ้ ระชนกพระชนนจี ะวงิ วอนถงึ อยา่ งนี้ พระเตมยี ก์ ย็ งั บรรทมน่ิง เหมือนไม่ได้ยินพระดำ�รัสนั้น พระชนกพระชนนีทั้งสองต่างก็ทรง กรรแสงรำ�่ ไห้เสด็จจากไป
ท ศ ช า ติ 55 พ ร ะ เ ต มี ย์ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง บางคราวพระชนกเสด็จไปวิงวอนพระองค์เดียว บางคราวพระชนนี เสด็จไปวิงวอนพระองค์เดียว บางคราวก็เสด็จไปพร้อมกันทั้งสองพระองค์ เม่ือ ล่วงไปหนึง่ ปี ก็จับพริ ธุ ไม่ได้ ในกาลเม่อื พระเตมยี อ์ ายุได้ ๑๖ ชนั ษา เหลา่ อำ�มาตย์และพราหมณ์ ต่างเห็นพ้องกันว่า แม้พระกุมารจะเป็นง่อยเปล้ีย เป็นใบ้ หรือเป็นคนหูหนวก ก็ตาม แต่บดั นี้ พระกมุ ารเจรญิ ชันษาเป็นหนุ่มแน่น ยอ่ มมีอารมณก์ ำ�หนัดยนิ ดี ในกามตามธรรมชาติของชายหนุ่ม เหมือนดอกไม้เมื่อถึงคราวบานก็ต้อง แย้มบาน พวกเราจะให้นางสนมฟ้อนรำ� บำ�เรอ ยั่วยวน เพื่อทดลองพระกมุ าร พระเจ้ากาสิกราชรับส่ังให้เรียกสนมนักฟ้อนรุ่นดรุณี สัดส่วนเรือนร่าง ทรวดทรงงดงามสมสว่ นมารบั สง่ั วา่ “หญงิ ใด สามารถท�ำ ใหพ้ ระกมุ ารรา่ เรงิ หรอื ผกู พันพระกมุ ารไว้ได้ เราจะอภเิ ษกหญิงนน้ั ให้เปน็ อคั รมเหสขี อง พระกมุ าร” นางนมทงั้ หลายสรงสนานพระกมุ ารดว้ ยน�้ำ หอม ตกแตง่ ราวกบั เทพบตุ ร ให้บรรทมบนพระสิริไสยาสน์ที่ตกแต่งไว้อย่างดี อบห้องให้มีกลิ่นหอม ประดับ ตกแต่งด้วยช่อดอกไม้และเครื่องอบต่าง ๆ แล้วออกไป จากนั้น หญิงดรุณี เหล่านั้นได้พากันแวดล้อมพระเตมีย์ พยายามให้พระเตมีย์อภิรมย์ด้วยการ ฟ้อนรำ�บ้าง ด้วยการขับร้องอันไพเราะบ้าง ด้วยการขับกล่อมบทกลอน ทำ�นองเสนาะบา้ ง พระโพธิสัตว์ทรงสมบูรณ์ด้วยพระปัญญาอันเลิศ มิได้ชายตาดูหญิง เหล่านั้นเลย ทรงอธิษฐานวา่ “หญิงเหล่านี้ อย่าได้ถกู เนื้อตอ้ งตวั เราเลย” แล้วทรงกลั้นลมหายใจเข้าออก พระสรีระของพระองค์ก็กลับแข็งกระด้างทันที หญงิ เหลา่ น้นั ตกใจกลวั คดิ ว่าพระกมุ ารไมใ่ ชม่ นุษย์ พระกุมารเปน็ ยกั ษ์ รา่ งกาย จงึ แขง็ กระดา้ ง จึงพากนั แตกตนื่ หนีไป
พ ร ะ เ ต มี ย์ 56 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง พระราชาตรสั ถามหญงิ สาวทง้ั หลายวา่ “ลกู เราหวั เราะกบั พวกเธอ บา้ งหรอื ไม”่ หญงิ สาวทงั้ หลายกราบทลู ตามความเปน็ จรงิ ท�ำ ใหพ้ ระราชาทรง ท้อพระทยั เปน็ อยา่ งย่ิง เมอ่ื ลว่ งไปหนึ่งปี อ�ำ มาตยท์ ้ังหลายกจ็ ับพริ ุธไมไ่ ด้ ถูกน�ำ ไปฝังท้ังเป็น พระราชาตรัสถามพราหมณ์ผู้ทำ�นายลักษณะว่า “เม่ือแรกท่ี ลกู เราเกดิ พวกทา่ นบอกเราวา่ พระกุมารสมบรู ณด์ ว้ ยบญุ ลกั ษณะอนั ประเสริฐ อันตรายนานาประการไม่สามารถแผ้วพานลูกเราได้ บัดน้ี ลูกเราเปน็ ง่อยเปล้ยี เป็นใบ้ ท้ังหหู นวก ไมจ่ รงิ ดงั ค�ำ ท�ำ นาย พวกท่าน จะวา่ อยา่ งไร” พวกพราหมณ์เห็นการณ์ผิดไปจากนิมิตท่ีตนทำ�นายไว้เช่นนั้น เกรง ราชทณั ฑจ์ งึ กราบทลู แกต้ วั วา่ “พระอาญามพิ น้ เกลา้ พวกขา้ พระองคท์ ราบ นิมติ ทงั้ หลายจนหมดสิ้นมาตั้งแตแ่ รกแล้ว แตเ่ พราะพระกุมารนี้ เปน็ พระโอรสท่ีราชสกุลทำ�ความปรารถนาจึงได้มา เม่ือพวกข้าพระองค์ กราบทลู วา่ เปน็ กาลกณิ ตี ง้ั แตแ่ รกประสตู พิ ระองคก์ จ็ ะเสยี ใจ เพราะเหตุ นน้ั พวกข้าพระองค์จงึ ไม่กราบทูลให้ทรงทราบตั้งแต่แรก” พระราชาตรัสถามเหล่าพราหมณ์ว่า ควรจะทำ�อย่างไรต่อไป พวกพราหมณส์ บโอกาสจงึ กราบทลู วา่ “ขา้ แตพ่ ระมหาราชเจา้ ถา้ พระกมุ าร ยงั อยใู่ นพระราชมณเฑยี รตอ่ ไป จะประสบเคราะหก์ รรมอยา่ งรา้ ยแรง ถงึ ๓ ประการดว้ ยกนั คือ พระองค์จะถึงแก่ชีวิต เศวตฉตั รจะถึงกาล ลม่ สลาย และพระอคั รมเหสจี ะถงึ แกช่ วี ติ ควรทพี่ ระองคจ์ ะชกั ชา้ ไมไ่ ด้ ขอไดโ้ ปรดเตรยี มรถอวมงคล เทยี มดว้ ยมา้ อวมงคล น�ำ พระราชกมุ าร บรรทมบนรถอวมงคล ออกทางประตูทิศตะวันตก ขุดหลุมฝังเสียใน ปา่ ช้าผดี บิ ”
ท ศ ช า ติ 57 พ ร ะ เ ต มี ย์ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง พระเจ้ากาสิกราชสดับเช่นนั้น เหมือนพระหทัยจะแตกสลาย แม้จะ สงสารลูกแต่ก็ทรงหวาดกลัวภยันตรายท่ีจะเกิดข้ึน จึงมีบัญชาให้นำ�พระโอรส ไปฝงั ตามค�ำ กราบทลู ของพราหมณ์ พระมารดาทราบดังนั้น จึงรีบเสด็จเข้าเฝ้าพระราชาเพียงลำ�พัง พระองค์เดียว กราบทูลทวงพรที่เคยฝากไว้คืน พระราชาให้เลือกขอพรได้ตาม ปรารถนา พระนางกราบทูลขอราชสมบัติให้พระโอรส พระราชาไม่ทรงยินยอม พระเทวีทูลถามถึงสาเหตุที่ไม่ทรงยินยอม พระราชาตรัสว่า “ลูกของเรา เป็นกาลกิณี” พระนางกราบทูลว่า “ถ้าไม่พระราชทานตลอดชีวิต ก็ขอ ไดโ้ ปรดพระราชทานราชสมบัติ ๗ ปี” พระราชาไม่ทรงยนิ ยอม พระเทวี ได้ขอให้ครองราชสมบัติลดลงตามลำ�ดับจาก ๖ ปี จนถึง ๑ ปี พระราชา ก็ไม่ทรงยินยอม จึงทูลขอลดลงจาก ๗ เดือน จนถึง ๑ เดือน แม้เช่นน้ัน พระราชากไ็ ม่ทรงยินยอม พระเทวจี ึงทูลขอเพียง ๗ วัน พระราชาจงึ ทรงยินยอม เม่ือพระราชาทรงอนุญาต พระเทวีจึงประดับตกแต่งพระโอรส แล้ว โปรดให้ประกอบพิธีราชาภิเษก ป่าวประกาศไปทั่วพระนครว่า “ราชสมบัตินี้ เปน็ ของพระเตมยี ์ราชกุมาร” ให้ประดับท่วั ท้ังพระนคร นำ�พระโอรสประทบั บนคชาธาร ยกเศวตฉัตรขึ้นเหนือพระเศียร จัดร้ิวขบวนแห่กระทำ�ประทักษิณ รอบพระนคร ครนั้ เสรจ็ พธิ รี าชาภเิ ษกแลว้ ใหพ้ ระโอรสบรรทมบนพระยภี่ อู่ นั มสี ริ ิ พระราชมารดาตรัสวิงวอนตลอด ๕ วนั ๕ คนื ว่า “เตมียล์ ูกแม่ แม่ ไมเ่ ปน็ อนั หลบั อนั นอน รอ้ งไหม้ าตลอด ๑๖ ปี เพราะลกู ตาทง้ั สองขา้ ง ของแม่บวมชำ้� หัวใจแม่เจ็บปวด เพราะความทุกข์โศก แม่รู้ว่าลูก ไม่ใช่คนงอ่ ยเปลี้ย ลกู อย่าทำ�ใหแ้ มไ่ ร้ทพี่ ึ่งเช่นนเ้ี ลย นี่ก็จะหกวันแลว้ ท่ีลูกได้ครองราชสมบัติ พระราชารับส่ังนายสารถีชื่อสุนันทะเอาไว้ว่า “สุนันทะ พรุ่งนี้จงเอาม้าอวมงคลเทียมด้วยรถอวมงคลแต่เช้าตรู่ นำ�ลูกเราออกจากพระนครไปทางประตูทิศตะวันตก ประกาศให้ผู้คน ทั้งหลายรู้ว่า คนกาลกิณีจะไปป่าช้าผีดิบ จงขุดหลุมฝังลูกเราท่ีป่าช้า
พ ร ะ เ ต มี ย์ 58 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ผีดิบ” พรุ่งน้ีเช้าลูกจะถูกนำ�ไปฝังท่ีป่าช้าผีดิบแล้วนะลูก แม่จะมีชีวิต อย่ตู อ่ ไปได้อยา่ งไร” พระเตมยี ไ์ ดย้ นิ เชน่ นน้ั กลบั มจี ติ ใจแชม่ ชน่ื วา่ “เตมยี ์ ความพยายาม ที่เจ้าทำ�มาตลอด ๑๖ ปี จะถึงที่สุดแห่งความหวังในวันพรุ่งน้ีแล้ว” เมื่อพระโพธิสัตว์ดำ�ริอยู่อย่างนี้ก็เกิดปีติ เอิบอ่ิมข้ึนภายในใจอย่างประหลาด แต่พระมารดากลับระทมทุกข์เจ็บปวดเหมือนใจจะขาด แม้เมื่อเป็นเช่นนั้น พระโพธิสัตว์ก็ทรงดำ�ริว่า “ถ้าพูดอะไรออกไปตอนน้ี ความต้ังใจของเรา จะไม่สมั ฤทธผิ ล” จึงไมย่ อมตรสั อะไรกบั พระชนนเี ลย ราตรีนั้นผ่านไปอย่างเงียบเหงาจนรุ่งเช้า พระเทวีสรงสนานพระโอรส ประดับตกแต่งแล้ว ให้พระโอรสประทับนั่งบนพระเพลา สวมกอดพระโอรส ไว้แนบอกร้องไห้ปิ่มจะขาดใจ ทรงหวาดกลัวพระอาทิตย์ที่กำ�ลังสาดแสงจับ ขอบฟ้าด้านทศิ ตะวนั ออก เช้าวันน้ัน นายสารถีลุกขึ้นเทียมรถแต่เช้าตรู่ ด้วยบารมีพระโพธิสัตว์ เทวดาที่สถิตอยู่ในราชมณเฑียรดลใจให้นายสารถีนั่งรถมงคลที่เทียมด้วยม้า มงคล ขับออกมาหยดุ อยู่ท่ีประตพู ระราชนิเวศน์ แล้วเข้าสหู่ ้องบรรทมพระเตมยี ์ ถวายบงั คมพระเทวแี ลว้ กราบทลู วา่ “ขา้ แตพ่ ระเทวี ขอพระองคอ์ ยา่ ไดก้ รวิ้ ขา้ พระองคเ์ ลย ขา้ พระองคร์ บั พระราชบญั ชามา จงึ ตอ้ งทำ�ตามรับสัง่ ” คร้ันกราบทูลดังนี้แล้ว เอามือกันพระเทวีซ่ึงน่ังร้องไห้สวมกอดพระโอรสอยู่ ให้ถอยหา่ งออกไป แล้วอุ้มพระกุมารลงจากปราสาท พระนางจันทาเทวีทรงสยายพระเกศา ทุบอก ปริเทวนาการ ร้องไห้ คร่ำ�ครวญเจยี นจะขาดใจ ทา่ มกลางความเศรา้ สลดของนางสนมในปราสาท พระเตมีย์ทอดพระเนตรเห็นพระมารดาร้องไห้เหมือนพระทัยจะ แตกสลาย ทรงด�ำ ริวา่ เมอ่ื ไมพ่ ดู พระชนนีจะต้องอกแตกตาย จงึ ประสงค์จะพูด ดว้ ย แตท่ รงพจิ ารณาตอ่ ไปวา่ “ถา้ พระองคพ์ ดู กบั พระชนนี ความพยายาม
ท ศ ช า ติ 59 พ ร ะ เ ต มี ย์ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ท่อี ดทนท�ำ มาตลอด ๑๖ ปี ก็จะสูญเปล่า เม่ือไม่พดู จะเป็นประโยชน์ แก่ตนเอง แก่พระชนก พระชนนี และแก่มหาชนเป็นอันมาก” ดำ�ริ เช่นนแี้ ล้วสอู้ ดกล้ันความโศกเอาไว้ ไมต่ รสั อะไรกับพระชนนีเลย นายสนุ นั ทสารถอี มุ้ พระราชกมุ ารขนึ้ รถแลว้ ตงั้ ใจจะขบั รถตรงไปประตู ทิศตะวนั ตก ซง่ึ เป็นทต่ี ัง้ ป่าชา้ ผีดิบ แต่ถกู เทวดาดลใจ ให้ขับรถตรงไปทางประตู ทิศตะวันออก คร้ันล้อรถกระทบธรณีประตูนอกพระนคร พระโพธิสัตว์สดับเสียง น้ันแล้ว ทรงดำ�ริว่า ความปรารถนาของพระองค์สัมฤทธิผลแล้ว เกิดแช่มชื่น เบกิ บานใจอย่างประหลาด รถแลน่ ออกจากพระนครผา่ นชุมชน ท้องนา ป่าเขา ไปไกล ล่วงเข้าสู่ราวป่าใหญ่อันรกชัฏแห่งหนึ่ง นายสารถีกลับรู้สึกไปว่าเป็น ป่าช้าผีดิบ พิจารณาดูเห็นว่าที่น่ีเหมาะ จึงหยุดรถเปล้ืองเคร่ืองทรงแต่งองค์ พระราชกุมารออก ห่อวางไว้ใกล้ราชรถ แล้วลงมือขุดหลุมไม่ห่างไกลจาก ราชรถนัก พระเตมีย์ดำ�ริว่า “เราไม่ได้ขยับเนื้อขยับตัวมา เป็นเวลานาน ถึง ๑๖ ปี เรายงั มีกำ�ลังอยู่หรือเปลา่ ” จึงทดลองลกุ ขึ้น เอาพระหตั ถ์ขวา ลูบพระหัตถ์ซ้าย พระหัตถ์ซ้ายลูบพระหัตถ์ขวา แล้วนวดพระบาทท้ังสองข้าง ทรงคิดจะลงจากราชรถ แผ่นดินก็กลบั สงู ขึ้นเสมอทา้ ยราชรถจนเกยพระบาท พระเตมยี ์เสด็จลงจากราชรถ เดินกลับไปกลับมาครู่หน่งึ กท็ รงสัมผัส ได้ถงึ พละกำ�ลังท่เี ต็มเปย่ี ม สามารถเดินไดไ้ กลถงึ ๑๐๐ โยชน์ ภายในวนั เดยี ว เมื่อทรงพิจารณาต่อไปว่าหากนายสารถีทำ�ร้าย จะมีกำ�ลังพอท่ีจะสู้ได้หรือไม่ จึงทดลองจับท้ายรถ แล้วยกข้ึนกวัดแกว่งไปมาเหนือพระเศียรเหมือนยกรถ เด็กเล่น ครั้นทรงพิจารณาเห็นว่าพระองค์มีกำ�ลังพอจะสู้กับนายสารถีได้ จงึ ประสงค์จะไดเ้ ครือ่ งประดับพระองค์
พ ร ะ เ ต มี ย์ 60 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ท้าวสักกเทวราชทราบว่า ความปรารถนาของพระเตมีย์ถึงท่ีสุดตามที่ ต้องการแลว้ บดั นี้ มคี วามประสงค์จะไดเ้ คร่อื งประดับ จงึ ให้วสิ สกุ รรมเทพบุตร น�ำ เคร่อื งประดบั ทพิ ยไ์ ปประดับพระโพธสิ ัตวใ์ หเ้ หมือนกับท้าวสกั กเทวราช พระเตมีย์เสด็จไปยืนใกล้หลุมที่นายสารถีกำ�ลังขุดอยู่ ตรัสถามว่า “นายสารถี ทา่ นกม้ หนา้ กม้ ตาขดุ หลมุ นที้ �ำ ไม ทา่ นจะใชห้ ลมุ ท�ำ อะไร” นายสารถีได้ยินเสียงคนทักอยู่ไม่ไกล แต่ก็มิได้เงยหน้าขึ้นดู ยังคง ขุดหลุมต่อไป พลางตอบว่า “พระโอรสของพระราชาเราเป็นใบ้ หูหนวก ง่อยเปลย้ี เหมอื นคนไมม่ จี ิตใจ พระราชารบั สั่งใหเ้ ราน�ำ มาฝงั ในปา่ ชา้ ผีดิบน้”ี พระเตมีย์ตรัสกับนายสารถีว่า “นายสารถี พระราชาส่ังให้ท่าน ฝงั พระโอรสผเู้ ป็นใบ้ หหู นวก งอ่ ยเปลี้ย แตเ่ ราไม่ใช่คนหหู นวก ไมใ่ ช่ คนใบ้ งอ่ ยเปลี้ย และไม่มอี วัยวะพิกลพิการแตอ่ ยา่ งไร ถา้ ทา่ นฝังเรา ผูไ้ มไ่ ด้เปน็ คนพกิ ารเช่นนั้น ทา่ นก็ท�ำ ในสิ่งทไ่ี ม่เป็นธรรม” พระเตมยี เ์ หน็ ทา่ ทางนายสารถี แมฟ้ งั ค�ำ นน้ั แลว้ กย็ งั ไมม่ องดพู ระองค์ ยังคงกม้ หนา้ กม้ ตาขดุ หลุมต่อไป ทรงประสงค์จะให้นายสารถที ราบว่า พระองค์ คอื พระเตมยี ์ ไมไ่ ดห้ หู นวก ไมไ่ ดเ้ ปน็ ใบ้ ไมไ่ ดง้ อ่ ยเปลยี้ จงึ ตรสั วา่ “นายสารถี เพ่ือนเอ๋ย หากคิดว่าเราง่อยเปล้ีย ก็จงดูขาท้ังสองข้างของเราเถิด เป็นเหมือนลำ�กล้วยทองคำ� แม้แขนท้ังสองข้างของเรา ก็มีผิวพรรณ ดงั ใบกลว้ ยทองค�ำ ไดย้ นิ คำ�อนั ไพเราะของเราไหม เมอ่ื ท่านเหน็ แล้ว ยงั ใจดำ�ฝงั เราได้ ทา่ นก็ทำ�ในสิง่ ท่ีไมเ่ ป็นธรรม” นายสารถีคิดว่าใครกนั น่ี พอมาถึงก็ยกยอปอป้ันตนเองอยู่ได้ จงึ หยุด ขดุ หลุม เงยหนา้ ขนึ้ ดู ได้เห็นรปู รา่ งพระโพธสิ ัตว์ เกิดประหลาดใจ ไม่ทราบว่า ชายผู้นี้เป็นมนุษย์หรือเทวดา จึงถามว่า “ท่านเป็นใครกัน เป็นเทวดา
ท ศ ช า ติ 61 พ ร ะ เ ต มี ย์ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง คนธรรพ์ หรือพระอินทร์ ท่านเป็นลูกเต้าเหล่าใคร จึงมายืนยกยอ ปอป้ันตนเองอยเู่ ช่นน”้ี พระโพธิสัตว์ตรัสว่า “เราไม่ใช่เทวดา ไม่ใช่คนธรรพ์ ไม่ใช่ พระอินทร์แต่อย่างไร เราเป็นโอรสพระเจ้ากาสิกราชที่ท่านกำ�ลัง ขุดหลุมฝัง เป็นโอรสของพระราชาที่ท่านพึ่งพระบารมีเลี้ยงชีพอยู่ใน เวลานี้ จงฟังเราเถิดนายสารถี ผูใ้ ดอาศัยนงั่ หรือนอนใต้รม่ ไม้ ไม่ควร หกั รานกงิ่ ตน้ ไมน้ น้ั เพราะเขาผนู้ นั้ จะไดช้ อื่ วา่ เปน็ คนเนรคณุ มติ ร เปน็ คนหยาบชา้ พระราชาเปน็ เหมอื นตน้ ไม้ เราผเู้ ปน็ โอรส เปน็ เหมอื นกงิ่ ไม้ ส่วนท่านเล่าเป็นเหมือนคนอาศัยร่มไม้ ถ้าท่านฝังเราเสียในป่า ท่าน ก็ท�ำ สิง่ ท่ีไม่เป็นธรรม” ถึงแม้พระโพธิสัตว์จะตรัสอย่างน้ี นายสารถีก็ยังไม่เช่ือว่าพระองค์คือ พระเตมีย์กุมาร แต่เพราะถ้อยคำ�พระโพธิสัตว์อ่อนโยนไพเราะจับใจ จึงทำ�ให้ นายสารถยี นื ฟงั อยู่ ประกาศคาถาวา่ ดว้ ยน�้ำ ใจมิตร พระโพธิสัตว์ดำ�ริว่า จะต้องทำ�ให้นายสารถีเช่ือให้ได้ว่าพระองค์คือ เตมยี ก์ มุ าร พระโอรสของพระเจา้ กาสกิ ราช จงึ ประกาศคาถาวา่ ดว้ ยน�ำ้ ใจมติ รดงั กึกก้องไปท่ัวราวปา่ แหง่ นน้ั วา่ “ผู้ใดไม่เนรคุณมิตร ชนเป็นอันมาก ก็ได้พ่ึงพาอาศัยเขา เลยี้ งชพี เขาจากเรอื นไปทไี่ หน ๆ ยอ่ มอดุ มสมบรู ณด์ ว้ ยขา้ วปลาอาหาร ผใู้ ดไมเ่ นรคณุ มติ ร เขาไปสชู่ นบท หมบู่ า้ น หรอื ราชธานใี ด ๆ จะได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติคุณ ได้รับการนับถือจากหมู่ชนเป็น อันมากในที่นั้น ๆ โจรทั้งหลายไม่อาจข่มเหงเขาผู้นั้นได้ แม้กษัตริย์ กไ็ มท่ รงดูหม่นิ เขาผู้น้นั จะชนะข้าศึกศตั รูผมู้ ่งุ รา้ ยทั้งปวงได้
พ ร ะ เ ต มี ย์ 62 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ผู้ใดไม่เนรคุณมิตร เม่ือเขาผู้นั้นกลับมาเรือนของตน ก็มิได้ กลบั มาดว้ ยความรสู้ กึ หงดุ หงดิ โกรธเคอื งใคร ๆ จะเปน็ ผโู้ ดดเดน่ เปน็ ที่ ชน่ื ชมยนิ ดี ไดร้ บั ค�ำ ยกยอ่ งสรรเสรญิ อยา่ งมากมาย ทา่ มกลางหมญู่ าติ เขาผู้น้นั ให้ความเคารพนอบน้อม ยกยอ่ งสรรเสรญิ คนอน่ื และคนอน่ื กจ็ ะให้ความเคารพนอบนอ้ ม ยกย่องสรรเสริญเขาเชน่ กนั ผใู้ ดไมเ่ นรคณุ มติ ร เขาผนู้ น้ั บชู าคนอนื่ ยอ่ มไดร้ บั การบชู าตอบ ไหว้ผู้อื่นย่อมได้รับการไหว้ตอบ และย่อมเข้าถึงความเป็นผู้เจริญ ด้วยเกียรติยศ ช่ือเสียง สิริ มีความเจริญรุ่งเรือง ดุจกองเพลิงย่อม รงุ่ เรอื งไพโรจนย์ ง่ิ ดจุ เทวดาผมู้ เี ดชานภุ าพมาก โคทง้ั หลายของบคุ คล ผู้นั้นจะตกลูกเพ่ิมจำ�นวนมากข้ึน พืชธัญญาหารท่ีหว่านไว้ในนา ย่อมเจริญงอกงาม จะได้ประโยชน์จากพืชผลท่ีหว่านไว้ แม้ประสบ อุบัติเหตพุ ลัดตกจากเหว จากภเู ขา พลาดตกตน้ ไม้ หรอื อันตรายแก่ ชวี ติ โดยประการใด ๆ ก็จะไดท้ ี่พึ่งท่อี าศัย ผใู้ ดไมเ่ นรคณุ มติ ร เหลา่ ศตั รยู อ่ มย�ำ่ ยเี ขาผนู้ น้ั ไมไ่ ด้ ดจุ ตน้ ไทร ทหี่ ยั่งรากไปทว่ั ย่อมเจรญิ งอกงาม แผ่กงิ่ ก้านใบดกหนา พายุไม่อาจ พัดโหมกระหน่�ำ ให้หกั โคน่ ล้มได้” แมพ้ ระโพธสิ ตั วจ์ ะตรสั ถงึ เพยี งนี้ นายสนุ นั ทสารถกี ย็ งั จ�ำ พระองคไ์ มไ่ ด้ คิดสงสัยว่า คนผู้นี้เป็นใครกันแน่ แล้วลุกข้ึนเดินไปท่ีรถ ไม่เห็นพระโอรสและ ห่อเครื่องประดับ จึงกลับมามองดูอีกคร้ัง ก็จำ�พระองค์ได้ จึงทรุดหมอบลง แทบพระบาทประนมมือทูลวิงวอนพระโพธิสัตว์ว่า “เชิญเสด็จเถิดพระเจ้าข้า ข้าพระองค์จะนำ�กลับคืนสู่พระนคร ขอพระองค์จงครองราชสมบัติ ขอพระองค์จงมีพระชนม์ยง่ิ ยืนนาน” พระโพธสิ ตั วต์ รสั กบั นายสนุ นั ทสารถวี า่ “พอทเี ถอะ เราไมต่ อ้ งการ ราชสมบัตหิ รอกนายสารถี แตเ่ ราตอ้ งการปฏิบตั ธิ รรม”
ท ศ ช า ติ 63 พ ร ะ เ ต มี ย์ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง นายสุนันทสารถีคิดว่า อย่างไรเสีย พระกุมารก็คงจะเสด็จกลับ พระนครเพื่ออนุเคราะห์เรา จึงกราบทูลว่า “เม่ือพระองค์เสด็จกลับจาก ป่าแห่งน้ี พระชนกและพระชนนีจะพระราชทานรางวัลมากมายแก่ ขา้ พระองค์ เหลา่ พระสนม กมุ าร พอ่ คา้ และพราหมณท์ งั้ หลาย จะยนิ ดี ใหร้ างวลั ขา้ พระองค์ เหลา่ กองพลชา้ ง กองพลมา้ กองพลรถ กองพล ทหารราบทั้งหมด ก็จะยินดีให้รางวัลข้าพระองค์ แม้แต่ชาวชนบท ชาวหมู่บ้าน ผู้มีธัญญาหารมาก ก็จะชุมนุมกันให้เคร่ืองบรรณาการ ข้าพระองค์ ขอพระองคเ์ ชญิ เสด็จกลับคืนสูพ่ ระนครเถดิ พระเจา้ ขา้ ” พระโพธิสัตว์สดับดังนั้น จึงตรัสตอบว่า “พระชนกและพระชนนี สละเราแลว้ กมุ ารทงั้ ปวงและชาวพระนคร ตลอดจนอาณาประชาราษฎร์ ต่างก็สละเราแล้วเช่นกัน เราไม่มีเหย้าเรือน แม้พระชนกพระชนนี ทง้ั สองกท็ รงอนญุ าต เราจะบวชอยใู่ นปา่ คนเดยี ว ไมป่ รารถนากามคณุ ทง้ั หลาย” เมอื่ พระโพธสิ ตั วต์ รสั ถงึ คณุ ธรรมของตนเชน่ น้ี พลนั ปตี กิ เ็ กดิ ขน้ึ ทว่ มทน้ จิตใจ จึงทรงเปล่งอุทานด้วยกำ�ลังแห่งปีติว่า “ความหวังผลของเหล่าชน ผไู้ มร่ บี รอ้ น อดทนเพยี รพยายามอยรู่ �่ำ ไป ยอ่ มส�ำ เรจ็ ผลในวนั หนง่ึ อยา่ ง แนน่ อน นายสารถีเพอ่ื นเอย๋ ทา่ นจงรไู้ ว้เถดิ ว่า เราออกบวชประพฤติ พรหมจรรย์เรียบร้อยแล้ว ภยั ในนรกจะมีแตท่ ี่ไหน” นายสารถียังไม่ลดละความพยายาม คิดว่าหากทำ�ให้พระองค์สงสาร อย่างไรเสีย พระกุมารก็จะต้องเสด็จกลับพระนคร จึงกราบทูลว่า “พระองค์ มีวาจาไพเราะอ่อนโยนเช่นนี้ เหตุใดจึงไม่ตรัสในพระราชสำ�นักของ พระชนกพระชนนเี ลา่ ” พระโพธิสัตว์ตรัสว่า “เราเป็นคนง่อยเปล้ีย เพราะไม่มีเส้นเอ็น ยดึ โยงรา่ งกายกห็ าไม่ เราเปน็ คนหหู นวก เพราะไมม่ โี สตประสาทกห็ าไม่
พ ร ะ เ ต มี ย์ 64 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง เราเปน็ ใบ้ เพราะไมม่ ลี นิ้ กห็ าไม่ ทา่ นอยา่ ไดเ้ ขา้ ใจวา่ เราเปน็ ใบ้ แตเ่ รา ระลึกชาติได้ว่า เคยเกิดเป็นกษัตริย์ครองราชสมบัติในมหาเศวตฉัตร นั้นเป็นเวลา ๒๐ ปี กลับไปเกิดในนรกหมกไหม้นานถึง ๘๐,๐๐๐ ปี เรากลัวการครองราชสมบัติ จึงอธิษฐานใจว่า ขอชนท้ังหลายอย่าได้ อภิเษกเราในราชสมบัติเลย เราจึงไม่พูดในราชสำ�นักพระชนกและ พระชนนี ในเวลานั้น พระชนกอุ้มเราให้น่ังบนตัก แล้วพิพากษาพวก นกั โทษว่า “จงฆา่ โจรคนหนงึ่ จงจองจำ�โจรคนหน่งึ จงเอาหอกแทงโจร คนหนง่ึ แลว้ เอาน�้ำ กรดราดแผล จงเสยี บโจรคนหนงึ่ บนหลาว” เราไดฟ้ งั คำ�พิพากษาอันหยาบคายที่พระชนกตรัสส่ังเจ้าหน้าท่ีอย่างนี้ จึงกลัว การครองราชสมบตั ิ เราไมเ่ ปน็ ใบ้ กท็ �ำ เหมอื นคนเปน็ ใบ้ ไมง่ อ่ ยเปลยี้ ก็ท�ำ เหมือนคนง่อยเปลยี้ แกล้งนอนเกลือกกลิ้งอยใู่ นอจุ จาระปสั สาวะ ของตน นายสารถเี พอื่ นเอย๋ ชวี ติ มนษุ ยเ์ รานลี้ �ำ บากยงิ่ นกั เปน็ ของนอ้ ย ท้ังเต็มไปด้วยทุกข์ ใครเล่าจะอาศัยชีวิตซ่ึงน้อยนิดนี้สร้างเวรกรรม เพราะไมม่ ปี ญั ญา เพราะไม่เข้าใจธรรม” พระโพธิสัตว์ตรัสอุทานซำ้�อีก เพื่อประกาศเจตนารมณ์อันแรงกล้า ในการตัดสินใจท่ีจะไม่เสด็จกลับคืนพระนครว่า “ความหวังผลของเหล่าชน ผไู้ มร่ บี รอ้ น อดทนบ�ำ เพญ็ เพยี รอยรู่ �ำ่ ไป ยอ่ มส�ำ เรจ็ ผลในวนั หนงึ่ อยา่ ง แนน่ อน นายสารถี ทา่ นจงรไู้ วเ้ ถดิ วา่ เราออกบวชประพฤตพิ รหมจรรย์ เรยี บร้อยแลว้ ภัยในนรกจะมแี ต่ท่ีไหนเล่า” นายสุนันทสารถีได้ฟังดังนั้นจึงคิดว่า พระกุมารมีราชสมบัติมหาศาล เช่นนี้ ยังทิ้งเข้าป่า ต้ังใจออกบวชอย่างไม่ไยดี เหมือนท้ิงซากศพเสียอย่างน้ี แล้วเราจะต้องการอะไรกบั ชวี ติ อันไมส่ มประกอบของเรา เราจะบวชกบั พระองค์ จึงกราบทูลว่า “ข้าแต่พระลูกเจ้า แม้ข้าพระองค์ก็จะบวชกับพระองค์ ขอพระองค์ไดโ้ ปรดใหข้ ้าพระองคบ์ วชดว้ ยเถดิ ”
ท ศ ช า ติ 65 พ ร ะ เ ต มี ย์ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง แม้นายสารถีจะทูลวิงวอนอยู่อย่างน้ัน พระโพธิสัตว์ก็ทรงดำ�ริว่า “หากเราอนุญาตให้นายสารถีบวชในเวลานี้ พระชนกและพระชนนี ของเรากจ็ ะไมเ่ สดจ็ มาหาเรา เมอื่ เปน็ เชน่ นี้ ความเสอ่ื มจะมแี กพ่ ระองค์ ทัง้ สอง มา้ รถ และเครื่องประดบั ทง้ั หลายกจ็ ะสญู หายไป เราจะถกู ครหาว่า นายสารถีน้ันไม่กลับมา คงจะถูกพระราชกุมารซึ่งเป็นยักษ์ จับกินเสียแล้ว” ทรงพิจารณาอย่างรอบคอบ เพื่อมิให้เกิดข้อครหา และ พิจารณาถึงความเจริญแก่พระชนกและพระชนนีทั้งสองพระองค์ จึงเปลื้อง เคร่ืองประดับมอบให้นายสารถี พร้อมกับสั่งว่า “เรามอบรถให้ท่านแล้ว ท่านจงนำ�กลับไปคืนราชสำ�นัก ปลดเปลื้องตนจากหนี้ก่อน ผู้ไม่มีหนี้ เท่านนั้ จึงจะบวชได”้ นายสารถไี ดฟ้ งั ดงั นน้ั เกดิ ความกงั วลใจวา่ เมอ่ื เรากลบั ไปพระนครแลว้ ถา้ พระกมุ ารเสดจ็ ไปทอี่ นื่ พระราชบดิ าเสดจ็ มาไมพ่ บจะลงทณั ฑเ์ รา เพราะฉะนน้ั เราจะขอคำ�ยืนยันให้แน่ใจก่อนว่า พระองค์จะไม่เสด็จไปท่ีไหน จนกว่าเราจะ กลับมา จงึ กล่าวว่า “เมอ่ื ข้าพระองคท์ ำ�ตามพระดำ�รัสแลว้ แมพ้ ระองค์ ก็ควรจะทำ�ตามท่ีข้าพระองค์ทูลขอ ขอพระองค์จงประทับรออยู่ที่นี้ จนกว่าขา้ พระองคจ์ ะน�ำ พระราชาเสดจ็ มา พระราชบิดาทอดพระเนตร เห็นพระองค์แล้ว จะทรงปตี ิโสมนสั เอบิ อิม่ ใจอยา่ งยิง่ เปน็ แน”่ พระโพธสิ ตั วต์ รสั วา่ “นายสารถี เราจะท�ำ ตามค�ำ รอ้ งขอของทา่ น แม้ตัวเราเองก็อยากเห็นพระชนก พระชนนี และพระประยูรญาติ ทง้ั หลายของเราเสดจ็ มาสถานทแ่ี หง่ นี้ จงกลบั ไปเถดิ นายสารถเี พอื่ นรกั จงกราบทูลพระชนกพระชนนีตามทเี่ ราสงั่ ” คร้ันตรัสดังน้ีแล้ว ก็น้อมพระองค์หันหน้าไปยังกรุงพาราณสี ถวาย บงั คมพระชนกพระชนนจี ากทไี่ กล ดว้ ยความเคารพรกั อยา่ งเตม็ เปยี่ ม นายสารถี ทำ�ประทักษิณพระกุมาร กราบลงแทบพระยุคลบาท ลิงโลดใจเหลือประมาณ ข้นึ รถขบั บ่ายหน้าตรงไปยงั กรงุ พาราณสี
พ ร ะ เ ต มี ย์ 66 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ในขณะน้ัน พระนางจนั ทาเทวเี ปดิ หน้าต่างรอคอยการกลบั มาของนาย สารถี ดว้ ยตอ้ งการจะทราบความเปน็ ไปของลกู วา่ เปน็ อยา่ งไร พอทอดพระเนตร เห็นรถว่างเปล่า นายสารถีกลับมาเพียงคนเดียว พระหทัยแทบแตกสลาย ทรงร้องไห้ฟูมฟายปริเทวนาการว่า “นายสารถีฝังลูกเราเสียแล้ว เพราะ นายสารถีกลับมาคนเดียว ปัจจามิตรท้ังหลายจะเย้ยหยันยินดี ศัตรู ทั้งหลายจะกระหยิ่มใจ เพราะสามารถฝังลูกเราได้แล้ว” ทรงกรรแสง โศกเศรา้ ตรสั ถามนายสารถี ดว้ ยพระอสั สชุ ลนองพระเนตรวา่ “ลกู เราเปน็ งอ่ ย ใบ้ หรือตรสั อะไรกับเธอบ้าง เขาขยบั มือขยับเทา้ บา้ งไหม เขารอ้ งขอ ชีวิตหรือเปลา่ ขณะถกู ฝงั ” นายสุนันทสารถีเห็นพระเทวีร้องไห้แทบขาดใจ ก็สงสารอย่างจับใจ แตไ่ มก่ ลา้ กราบทลู เรอื่ งทงั้ หมด เพราะคดิ วา่ ถา้ กราบทลู วา่ พระโอรสไมไ่ ดเ้ ปน็ ใบ้ ไมไ่ ดง้ อ่ ยเปลยี้ ไมไ่ ดห้ หู นวก มพี ระด�ำ รสั ไพเราะเสนาะกลา่ วธรรมไดอ้ ยา่ งจบั ใจ พระราชาจะกริว้ วา่ เม่ือเปน็ เชน่ น้ัน เหตุไรจึงไมพ่ าพระกมุ ารกลบั มา แล้วสัง่ ลง พระราชอาญาโดยทยี่ งั ไมไ่ ดร้ บั ฟงั รายละเอยี ด ควรขอพระราชทานอภยั โทษกอ่ น จึงกราบทลู วา่ “ขา้ แต่พระแม่เจา้ ขอพระแมเ่ จา้ โปรดประทานอภยั โทษ แก่ข้าพระองค์ ข้าพระองค์ขอกราบทูลตามที่ได้ฟังได้เห็นในสำ�นัก พระราชโอรส” พระนางจนั ทาเทวตี รสั วา่ “นายสารถี เธออยา่ กลวั เลย จงบอกตาม ที่ทา่ นได้ฟังได้เห็นมาว่าลูกของเราเปน็ อยา่ งไร” นายสารถีกราบทูลว่า “พระโอรสไม่ได้เป็นใบ้ ไม่ได้ง่อยเปล้ีย พระองคม์ วี าจาไพเราะ ทรงกลวั ทจี่ ะไดค้ รองราชสมบตั ิ จงึ คดิ หาวธิ ลี วง อย่างมากมาย พระองค์ทรงระลึกชาติได้ว่า เคยเป็นพระราชาครอง ราชสมบตั ใิ นชาตกิ อ่ นเปน็ เวลา ๒๐ ปี แลว้ ตอ้ งไปตกนรกหมกไหม้ อยถู่ งึ ๘๐,๐๐๐ ปี เพราะกลวั จะตอ้ งครองราชสมบตั อิ กี ครงั้ จงึ ทรงอธษิ ฐานวา่ “ขอชนทงั้ หลายอยา่ ไดอ้ ภเิ ษกเราในราชสมบตั เิ ลย” พระองคจ์ งึ ไมต่ รสั
ท ศ ช า ติ 67 พ ร ะ เ ต มี ย์ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ในราชสำ�นักพระชนกและพระชนนี พระโอรสทรงมอี วยั วะครบท้ัง ๓๒ ประการ มีพระรูปงดงามสมสว่ น มีพระวาจาไพเราะอ่อนโยน ฉลาด หลักแหลม ถ้าพระองค์มีพระราชประสงค์จะพบพระโอรส ก็ขอเชิญ รีบเสด็จเถดิ พระเจา้ ข้า ข้าพระองค์จะนำ�เสดจ็ ไปยังสถานท่ที พ่ี ระโอรส ประทับอยู”่ ส่ทู างโพธญิ าณ เมื่อพระเตมียก์ ุมารสง่ นายสารถกี ลบั ไปแล้ว มีความประสงคจ์ ะผนวช ขณะนนั้ พระอนิ ทรร์ บั สง่ั วสิ สกุ รรมเทพบตุ รใหไ้ ปสรา้ งบรรณศาลา และจดั เตรยี ม เคร่ืองบริขารสำ�หรับบรรพชิตให้พระโพธิสัตว์ วิสสุกรรมเทพบุตรลงจากสวรรค์ มาเนรมิตอาศรมขึ้นในราวป่าประมาณ ๓ โยชน์ เนรมิตที่อยู่ในเวลากลางคืน และกลางวัน สระน้ำ�สำ�หรับดื่มกินสรงสนาน ทำ�สถานท่ีนั้นให้อุดมสมบูรณ์ ไปด้วยต้นไม้มีผลทุกฤดูกาล เนรมิตที่เดินจงกรม เกลี่ยด้วยทรายเน้ือละเอียด ใกล้บรรณศาลา เนรมติ เครือ่ งบริขารส�ำ หรบั บรรพชิตทกุ อยา่ ง แล้วเขยี นหนงั สอื ประกาศไวว้ า่ “กลุ บตุ รผใู้ ดผหู้ นง่ึ ตอ้ งการบวช จงใชเ้ ครอ่ื งบรขิ ารส�ำ หรบั บรรพชติ เหล่านี้บวชเถิด” แลว้ กลับสูท่ พิ ยวิมานของตน พระโพธิสัตว์ทอดพระเนตรเห็นอาศรมน้ัน ทรงอ่านข้อความประกาศ กท็ รงทราบไดท้ นั ทวี า่ พระอนิ ทรป์ ระทานให้ จงึ เสดจ็ เขา้ บรรณศาลา เปลอื้ งเครอ่ื ง แต่งตัวออก ทรงนุ่งผ้าเปลือกไม้สีแดงผืนหน่ึง ห่มผืนหนึ่ง พาดหนังเสือเฉวียง พระอังสา ม้วนเกลา้ พระเกสาให้เป็นชฎา ถอื ไมเ้ ท้า เสดจ็ ออกจากบรรณศาลา เพื่อจะให้สิริแห่งภาวะความเป็นนักบวชสมบูรณ์ย่ิงขึ้น จึงเสด็จจงกรมกลับไป กลบั มาในทจ่ี งกรม ทรงเปล่งอทุ านว่า “เราไดก้ ารบรรพชาแลว้ จึงเป็นสขุ การบรรพชาเปน็ สขุ จรงิ หนอ” แล้วเสดจ็ เข้าบรรณศาลา ประทบั นง่ั บนทล่ี าด ดว้ ยใบไม้ เจรญิ สมาธจิ นไดบ้ รรลุอภิญญา ๕ และสมาบตั ิ ๘
พ ร ะ เ ต มี ย์ 68 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ครั้นตกเย็น ตะวันอ่อนแสงลงทาบเหนือทิวไม้ฟากตะวันตก ฝูงนก ต่างส่งเสียงร้องเรียกกัน กลับรวงรังกึกก้องแนวไพร พระองค์จึงเสด็จออกจาก บรรณศาลา เก็บใบหมากเม่าท้ายที่จงกรม น่ึงด้วยน้ำ�ร้อนไร้รสเค็มรสเปร้ียว จืดสนิท เสวยดุจกินอมฤตรส เจริญพรหมวิหาร ๔ แล้วพักอิริยาบถสำ�ราญ อยใู่ นป่าแห่งน้ัน ฝ่ายพระเจ้ากาสิกราชทรงทราบจากนายสารถีว่า พระโอรสไม่ได้เป็น คนพิการเช่นนั้น ทรงยินดีเป็นอย่างย่ิง รับส่ังให้มหาเสนาจัดเตรียมการเสด็จ อย่างเร่งด่วน ให้ตระเตรียมขบวนรถเทียมม้า ผูกเคร่ืองประดับช้างทรง ตระเตรียมสังข์และบัณเฑาะว์ กลองตหี น้าเดยี ว กลองตสี องหนา้ และรำ�มะนา อนั ไพเราะ พระองคจ์ ะเสดจ็ ไปประทานโอวาทพระโอรส ขอใหช้ าวนคิ ม นางสนม กมุ าร พอ่ คา้ และพราหมณท์ ง้ั หลาย รบี เตรยี มยาน กองพลชา้ ง กองพลมา้ กองพลรถ กองพลทหารราบ ใหเ้ วน้ มา้ อว้ นอดื อาดไมว่ อ่ งไว และมา้ ผอมไรเ้ รยี่ วแรง ใหเ้ ลอื ก เฉพาะม้าที่สมบรู ณว์ อ่ งไวปราดเปรียว พระราชาเตรยี มประชมุ พลถงึ ๓ วนั จงึ เสดจ็ ออกจากพระนครพรอ้ มดว้ ย จตุรงคเสนา ในวันท่ี ๔ ให้นำ�ทรัพย์ท่ีพอจะเอาไปได้ไปด้วย เสด็จขึ้นประทับ บนมา้ สนิ ธพ แลว้ สง่ั ใหน้ างฝา่ ยในตามเสดจ็ ทกุ คน ใหเ้ ตรยี มเครอ่ื งราชกกธุ ภณั ฑ์ ส�ำ หรับราชาภิเษกทัง้ ๕ คอื พัดวาลวชี นี พระอณุ หิส พระขรรค์ เศวตฉัตร และฉลองพระบาททอง ไปดว้ ย ตรสั สงั่ ใหน้ ายสารถนี �ำ ทางเสดจ็ เคลอื่ นขบวน ล่วงหน้าไปถึงปา่ ทีพ่ ระเตมีย์ฤาษปี ระทับอยอู่ ยา่ งเรง่ ด่วน พระเตมีย์ฤåษีทอดพระเนตรเห็นพระราชบิดากำ�ลังเสด็จมา ทรง รงุ่ เรอื งดว้ ยพระเดชานภุ าพ พรอ้ มพรง่ั ดว้ ยหมอู่ �ำ มาตยข์ ตั ตยิ วงศ์ จงึ ถวายพระพร ทลู ถามถงึ ทกุ ขส์ ขุ ดว้ ยค�ำ อนั ไพเราะออ่ นโยนวา่ “ขอถวายพระพร มหาบพติ ร ทรงปราศจากโรคาพาธหรือ ทรงเปน็ สขุ สำ�ราญดหี รอื ราชกญั ญาของ พระองค์ และโยมมารดาของอาตมาไมม่ โี รคาพาธหรือ”
ท ศ ช า ติ 69 พ ร ะ เ ต มี ย์ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง พระราชาตรัสว่า “พ่อไม่มีโรคาพาธอันใด สุขภาพร่างกายก็ แข็งแรงดี ราชกัญญาทั้งปวงของพ่อ และโยมมารดาของลูกก็ไม่มี โรคภยั ” พระโพธิสัตว์ทูลถามว่า “มหาบพิตรยังโปรดนำ้�จัณฑ์อยู่หรือ ทรงยนิ ดีในสจั จะ ในธรรม และในทานอยู่บา้ งหรือ” พระราชาตรัสตอบว่า “พอ่ ไม่ด่ืมน้ำ�จณั ฑ์ ไมโ่ ปรดนำ้�จณั ฑ์แลว้ ทกุ วันน้ี ใจพอ่ ยนิ ดีในสจั จะ ในธรรม และการให้ทาน” พระโพธสิ ตั วท์ ลู ถามถงึ พาหนะมมี า้ และโค เปน็ ตน้ ตลอดจนความเปน็ ไป ของเหตุการณ์บ้านเมืองว่า “บ้านเมืองในชายแดนของมหาบพิตร สงบดี อยู่หรือ รัฐสีมามั่นคงดีอยู่หรือ ฉางหลวงและคลังหลวงยังบริบูรณ์ดี อยูห่ รือ” พระราชาตรัสตอบว่า “บ้านเมืองสงบสุขดี ไม่มีโจรผู้ร้าย แม้ ฉางหลวงและคลงั หลวงกบ็ รบิ รู ณด์ ”ี พระโพธสิ ตั วใ์ หท้ หารทอดพระราชอาสน์ แล้วทูลเชิญให้พระราชาประทับน่ัง พระองค์ไม่ประทับนั่ง จึงให้ทหาร ลาดเครื่องลาดใบไม้ถวาย แม้เช่นน้ัน พระองค์ก็ไม่ประทับน่ังบนเครื่องปูลาด ใบไมน้ ั้น เพราะความเคารพต่อพระโอรสซ่งึ บวชเป็นบรรพชติ แตป่ ระทบั นง่ั ลงท่ี พ้ืนดินนั่นเอง พระโพธิสัตว์ได้เสด็จเข้าไปในบรรณศาลานำ�ใบหมากเม่านึ่ง ออกมาหนอ่ ยหนงึ่ เพอื่ จะแสดงการเปน็ อยอู่ ยา่ งบรรพชติ ใหพ้ ระราชาทรงทราบ จึงเชิญพระราชาให้เสวยว่า “มหาบพิตร ใบหมากเม่าของอาตมภาพน้ี สุกแล้ว ไม่มีรสเค็ม ขอมหาบพิตรผู้เสด็จมาเป็นแขกของอาตมภาพ เสวยเถดิ ” พระราชาตรสั ตอบวา่ “พอ่ บรโิ ภคใบหมากเมา่ ไมไ่ ด้ และโภชนะ ก็ไม่ใช่อย่างนี้น่ีลูก พ่อบริโภคข้าวสุกท่ีหุงจากข้าวสาลี ปรุงด้วยเนื้อ
พ ร ะ เ ต มี ย์ 70 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง สะอาด” แต่เพราะความเคารพพระโพธิสัตว์ พระราชาจึงหยิบใบหมากเม่ามา วางไวท้ ี่ฝา่ พระหัตถ์ แล้วตรัสถามว่า “ลูกฉนั อาหารอยา่ งนดี้ อกหรือ” พระโพธสิ ตั วท์ ลู วา่ “ใชแ่ ลว้ มหาบพติ ร” พระราชาประทบั นง่ั รบั สง่ั กบั พระโอรสอย่างสุขใจ ในขณะนน้ั พระนางจันทาเทวีแวดลอ้ มไปดว้ ยหมู่นางสนม เสด็จมาถงึ เหน็ พระโอรสผเู้ ปน็ ทรี่ กั ทรงมพี ระหทยั สนั่ อยภู่ ายในพระอรุ ะ ถงึ กบั เปน็ ลมลม้ ลง ตรงนน้ั เอง เม่อื ฟ้นื คืนสติก็ตรงเข้าจับพระบาทพระโอรส ทรงกราบลงแลว้ ร้องไห้ พระเนตรทัง้ สองนองไปด้วยน้�ำ ตา พระราชาตรัสกับพระมเหสีด้วยพระวาจาเป่ียมสุขว่า “จันทา เธอดู อาหารลูกเราเถิด” ทรงหยิบใบหมากเม่าวางในพระหัตถ์พระมเหสี แล้ว ประทานแก่นางสนมอื่น ๆ นางสนมทั้งหลายต่างก็กล่าวกันว่า พระองค์เสวย อย่างนเ้ี ลยหรอื ทำ�ไมจึงทรงท�ำ สง่ิ ทีท่ ำ�ได้ยากยิ่งเช่นนีไ้ ด้ นางสนมทุกคนเอาใบ หมากเมา่ นน้ั มาวางทูนไว้บนศรี ษะของตน ๆ กราบนมัสการน่งั อยู่ พระราชาตรัสถามพระโพธสิ ตั ว์ว่า “น่เี ปน็ เรอื่ งอศั จรรย์ส�ำ หรบั พ่อ เหลอื เกนิ เพราะพอ่ ไดม้ าเหน็ ลกู อยใู่ นปา่ คนเดยี ว ฉนั อาหารไมม่ รี สเคม็ ไม่มีรสเปรย้ี ว ไมป่ รุงรส แตเ่ หตุไร ผวิ พรรณลกู ยงั ผอ่ งใส” พระโพธิสตั ว์ทูลตอบว่า “ขอถวายพระพรมหาบพิตร อาตมภาพ นอนคนเดียวตามลำ�พังบนเครื่องลาดใบไม้ เพราะการนอนคนเดียว จึงทำ�ให้ผิวพรรณของอาตมาผ่องใส ไม่ต้องมีราชองครักษ์ถืออาวุธ รกั ษาการณ์ อาตมาไมเ่ ศรา้ โศกถงึ อารมณ์ที่ล่วงไปแล้ว ไมล่ ะหอ้ ยหา อารมณท์ ยี่ งั ไมม่ าถงึ มชี วี ติ อยกู่ บั ปจั จบุ นั ขณะ เพราะเหตนุ น้ั ผวิ พรรณ อาตมภาพจึงผ่องใส คนพาลท้ังหลายย่อมเศร้าหมอง เพราะเหตุ ๒ ประการ คอื เพราะละห้อยหาอารมณ์ทย่ี งั ไมม่ าถงึ เพราะเศร้าโศก
ท ศ ช า ติ 71 พ ร ะ เ ต มี ย์ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ถึงอารมณ์ที่ล่วงไปแล้ว เหมือนต้นอ้อท่ียังเขียวสด แต่ถูกถอนท้ิงไว้ กลางแดดย่อมเหย่ี วแหง้ ไป” พระราชาทรงดำ�ริว่า เราจะอภิเษกลูกเราอยู่กลางป่าน้ี แล้วพา กลบั คนื พระนคร จงึ ตรสั วา่ “พอ่ ขอมอบกองพลชา้ ง กองพลรถ กองพลมา้ กองพลทหารราบ และกองพลหมุ้ เกราะ ตลอดถงึ พระราชนเิ วศนอ์ นั นา่ ร่ืนรมย์ให้ลูก มอบนางสนมกำ�นัลในท่ีประดับด้วยเครื่องอลังการ พร้อมสรรพให้ลูก จงเป็นพระราชาของแผ่นดิน ปกครองอาณา ประชาราษฎรใ์ หร้ ม่ เยน็ เปน็ สขุ สตรี ๔ คนน้ี ช�ำ นาญในการฟอ้ นร�ำ ขบั รอ้ ง ฝกึ หดั มาดแี ลว้ จะท�ำ ใหล้ กู รนื่ รมยใ์ นการใชช้ วี ติ ลกู จะอยใู่ นปา่ ไปท�ำ ไม พ่อจะนำ�ราชธิดาของพระราชาพระองค์อ่ืนท่ีสวยงาม มีการศึกษาดี ท้ังฉลาดเฉลียวมาอภิเษกกับลูก ลูกจงให้ราชธิดาเหล่านั้นมีโอรส มากมาย ลูกยังเยาว์เป็นหนุ่มแน่น ยังมีเส้นผมดำ�สนิท จงครอง ราชสมบตั เิ ถดิ เมอื่ ชราแล้วจึงค่อยบวช” พระโพธิสัตว์ตรัสตอบว่า “มหาบพิตร คนเราควรประพฤติ พรหมจรรยต์ ง้ั แตย่ งั หนมุ่ แนน่ การบวชควรเปน็ เรอื่ งของคนหนมุ่ ทา่ นผู้ แสวงหาคณุ ธรรมทง้ั หลาย ตา่ งสรรเสรญิ การบวชประพฤตพิ รหมจรรย์ ตั้งแต่ยังหนุ่มแน่น อาตมภาพปรารถนาที่จะประพฤติพรหมจรรย์ ไม่ปรารถนาทีจ่ ะครองราชสมบัติ อาตมภาพเห็นลูกชายลูกหญิงอันเป็นที่รักของท่านท้ังหลาย ทกี่ วา่ จะไดม้ ากแ็ สนยาก พวกเขารอ้ งเรยี กพอ่ แมฉ่ อเลาะนา่ รกั นา่ เอน็ ดู ยังไม่ทันไรก็ตายจากไปเสียแล้ว เหมือนหน่อไม้ไผ่ยังอ่อนก็ถูกถอน แท้จริงแล้ว นรชนไม่ว่าจะยังหนุ่มแน่นหรือยังสาวก็ล้วนตายได้ท้ังนั้น ใครเล่าจะวางใจในชวี ิตได้วา่ “เรายังเด็ก ยงั หนุม่ อีกนานกวา่ จะตาย” อายุของคนเรานี้น้อยนัก วันคืนเล่าก็ล่วงไปไม่หยุด เหมือนอายุของ ฝงู ปลาในสระท่มี ีน้�ำ แห้งขอด ความเปน็ หน่มุ สาวจะตา่ งอะไรจากอายุ
พ ร ะ เ ต มี ย์ 72 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ของฝงู ปลาในสระทม่ี นี �้ำ เหลอื นอ้ ย สตั วโ์ ลกถกู ครอบง�ำ และถกู รมุ ลอ้ ม อยู่ตลอดเวลา เม่ือคืนวันไม่ล่วงไปเปล่า แต่กลืนกินอายุ วรรณะ และกำ�ลังให้ส้ินตามไปด้วย มหาบพิตรจะอภิเษกอาตมภาพให้ครอง ราชสมบตั ิท�ำ ไม” พระราชาตรสั ถามวา่ “จงบอกพอ่ เถดิ วา่ สตั วโ์ ลกถกู อะไรครอบง�ำ และถูกอะไรรุมล้อมไว้ คืนวันทำ�ให้อายุ วรรณะ และกำ�ลังส้ินไป อย่างไร” พระโพธิสัตว์ตรัสตอบพระราชบิดาว่า “สัตว์โลกถูกความตาย ครอบงำ�ไว้ ถูกความแก่รุมล้อมไว้ตลอดเวลา ต้ังแต่วันท่ีทารกถือ ปฏิสนธิในครรภ์มารดา อายกุ ็น้อยลงเร่อื ย ๆ เพราะคนื วนั ล่วงไป ๆ ไมไ่ ดล้ ว่ งไปเปลา่ แตก่ ลนื กนิ อายุ วรรณะ และก�ำ ลงั ใหส้ น้ิ ตามไปดว้ ย ขอมหาบพิตรจงทรงทราบอย่างนี้ว่า เมื่อด้ายท่ีช่างหูกกำ�ลังทอผ้า ช่างหูกทอไปได้เท่าใด ส่วนท่ีจะต้องทอก็เหลือน้อยลงทุกขณะ ข้อน้ี เปน็ ฉนั ใด นบั จากวนั ทเี่ กดิ ชวี ติ สตั วก์ เ็ หลอื นอ้ ยลงทกุ วนั เชน่ กนั แมน่ �ำ้ ท่ีเต็มฝ่ังย่อมไม่ไหลข้ึนสู่ท่ีสูง เปรียบเหมือนอายุของมนุษย์ทั้งหลาย เม่ือล่วงไปแล้วย่อมไม่กลับไปสู่ความเป็นเด็กอีกครั้ง แม่นำ้�ที่เต็มฝ่ัง ยอ่ มพดั พาเอาตน้ ไมท้ เ่ี กดิ อยรู่ มิ ฝงั่ ใหห้ กั โคน่ ไป ไมต่ า่ งจากหมสู่ ตั วถ์ กู ความแกแ่ ละความตายพัดพาไป” พระราชาทรงสดบั ธรรมกถาของพระโพธสิ ตั วแ์ ลว้ ไมม่ คี วามรสู้ กึ ผกู พนั ในการครองเรือนอกี ตอ่ ไป ทรงเบอื่ หน่ายเหลอื เกนิ ประสงค์จะออกผนวช เพ่ือ จะทรงทดลองพระโพธสิ ัตว์ จึงตรสั ยำ้�อกี ว่า “พ่อจะไม่กลับพระนครอีกแล้ว จะบรรพชาในทน่ี แี้ หละ ถา้ ลกู กลบั พระนคร พอ่ จะมอบเศวตฉตั รใหล้ กู พ่อขอมอบกองทัพ พระราชนิเวศน์อันน่ารื่นรมย์ ตลอดจนนางสนม กำ�นัลในทั้งหมดให้ลูก จงเป็นพระราชาของแผ่นดิน ปกครองอาณา ประชาราษฎรใ์ หร้ ม่ เยน็ เปน็ สขุ สตรี ๔ คน ช�ำ นาญในการฟอ้ นร�ำ ขบั รอ้ ง
ท ศ ช า ติ 73 พ ร ะ เ ต มี ย์ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ได้รับการฝึกหัดมาดีแล้ว จะทำ�ให้ลูกรื่นรมย์ในการใช้ชีวิต ลูกจะอยู่ ในป่าไปทำ�ไม พ่อจะนำ�ราชธิดาของพระราชาพระองค์อื่นที่สวยงาม มีการศึกษาดี ท้ังฉลาดเฉลียวมาอภิเษกกับลูก ลูกจงให้ราชธิดา เหล่านน้ั มโี อรสมากมาย ลกู ยังเยาวเ์ ปน็ หนุ่มแนน่ ยังมีเสน้ ผมด�ำ สนทิ จงครองราชสมบัติกอ่ นเถดิ ค่อยบวชภายหลงั ” พระโพธิสตั ว์ตรสั ตอบว่า “มหาบพิตร พระองคจ์ ะใหอ้ าตมภาพ เสื่อมเพราะทรัพย์ทำ�ไม ทำ�ไมคนเราจึงจะตายเพราะภรรยา ทำ�ไม คนหนุ่มต้องมาแก่ชราไปอย่างไร้ประโยชน์ เมื่อโลกเต็มไปด้วยชรา และมรณะ เราจะมวั เทย่ี วเพลดิ เพลนิ เลน่ หวั กนั อยทู่ �ำ ไม จะมปี ระโยชน์ อะไรที่อาตมายังจะต้องแสวงหาทรัพย์ แสวงหาบุตรและภรรยา อาตมภาพพน้ แลว้ จากเครอ่ื งผกู เมอ่ื คนเรารวู้ า่ ตวั เองตอ้ งตายแนแ่ ลว้ ก็จะไม่มีความยินดีในการแสวงหาทรัพย์อีกต่อไป ผลไม้ที่สุกแล้ว ยอ่ มพร้อมจะรว่ งหลน่ ได้ตลอดเวลา ส่วนภัยของสัตว์ท่เี กิดแลว้ กย็ อ่ ม จะตายได้ทุกเมื่อ ผู้คนเป็นอันมากเห็นกันอยู่ในเวลาเช้า พอตกเย็น ไม่เห็นกันแล้ว คร้ันเห็นกันอยู่ในเวลาเย็น พอรุ่งเช้าก็พลันห่างหาย จึงควรรีบเร่งทำ�ความเพียรเสียต้ังแต่วันนี้ สมรภูมิที่มีการวางแผน ทางยุทธศาสตร์อย่างดี ด้วยการวางกองพลช้าง กองพลรถ กองพล ทหารราบไว้ สามารถเอาชนะสงครามอ่ืนใดได้ แต่ไม่สามารถ เอาชนะสงครามคือมรณะได้ ไม่มีกองทัพใดอาจเอาชนะมรณะด้วย การต่อสู้ ด้วยเวทมนตร์ ดว้ ยยุทธวิธี หรอื สินทรพั ย์อืน่ ใด ความตายมิได้เว้นแม้แต่กษัตริย์ พราหมณ์ พ่อค้า ลูกจ้าง คนจัณฑาล และคนเทขยะ ย่อมย่ำ�ยีบดขยี้ราบลงทั้งหมดทีเดียว ควรรบี ท�ำ ความเพยี รเสยี ตงั้ แตว่ นั นี้ ใครเลา่ จะรไู้ ดว้ า่ จะตายวนั พรงุ่ นี้ การผัดผ่อนกับมัจจุราชผู้มีเสนาใหญ่นั้น ไม่มีเลย โจรท้ังหลายย่อม ปรารถนาทรพั ย์ สว่ นอาตมภาพพน้ จากบว่ งแลว้ ขอเชญิ พระองคเ์ สดจ็ กลับไปเถดิ อาตมภาพไมป่ รารถนาราชสมบตั ”ิ
พ ร ะ เ ต มี ย์ 74 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง เม่ือพระราชา พระนางจันทาเทวี นางสนม เสนาอำ�มาตย์ ตลอดจน อาณาประชาราษฎร์ ฟงั เทศนาของพระโพธสิ ตั วจ์ บลงแลว้ ตา่ งเกดิ ความเลอ่ื มใส มีความประสงคจ์ ะบวชทุกคน พระราชาโปรดให้ตีกลองประกาศไปท่ัวพระนครว่า ผู้ใดปรารถนาจะ บวชในสำ�นักของลูกเรา ก็จงบวชเถิด และโปรดให้เปิดประตูคลังหลวงท้ังหมด โปรดให้จารึกข้อความบนแผ่นทองคำ� แขวนไว้ท่ีเสาใหญ่กลางท้องพระโรงว่า “มขี ุมทรพั ย์ใหญ่ในทีน่ น้ั ๆ ผู้ทีต่ ้องการกจ็ งเอาไป” ชาวพระนครต่างทง้ิ บา้ นเรอื นตามพระราชาออกบวช พระราชาทรงผนวชในสำ�นักของพระโพธิสัตว์ พร้อมด้วยประชาชน เปน็ จ�ำ นวนมาก อาศรมสถานประมาณ ๓ โยชน์ ทพี่ ระอนิ ทรส์ รา้ งถวาย เนอื งแนน่ ไปดว้ ยนกั บวช พระโพธสิ ตั ว์ ใหเ้ หลา่ สตรอี ยใู่ นบรรณศาลาตรงกลาง เพราะเกรง จะเกดิ อันตราย สว่ นบรรณศาลารอบนอกให้เปน็ ทีอ่ ยูข่ องเหลา่ บรุ ษุ นกั บวชชายหญงิ ท้ังหมด พากนั เก็บผลไมซ้ ง่ึ หล่นลงที่พนื้ ดินมาบริโภค ใครมจี ติ หวนระลกึ ถึงกามราคะ พยาบาท หรอื อวหิ งิ สา เม่ือพระโพธสิ ตั ว์ทราบ ก็เสด็จประทับนั่งแสดงธรรมสั่งสอน นักบวชเหล่านั้นได้ฟังโอวาท ปฏิบัติธรรม จนไดบ้ รรลอุ ภิญญา ๕ และสมาบตั ิ ๘ ข่าวคราวการผนวชของพระเจ้ากรุงพาราณสีแพร่กระจายออกไปอย่าง รวดเร็ว จนทำ�ให้กษัตริย์สามนต์ราชในประเทศใกล้เคียงพระองค์หนึ่ง ต้องการ จะชิงเอาราชสมบัติ จึงยกทัพมายังกรุงพาราณสี ครั้นเสด็จยาตราทัพเข้าสู่ พระนคร เห็นพระนครวิจิตรงดงาม กลับเงียบสงบว่างไร้จากผู้คนพลุกพล่าน จึงเสด็จข้ึนสู่ปราสาทราชฐาน ทอดพระเนตรเห็นประตูคลังหลวงถูกเปิดทิ้งไว้ รตั นะอันประเสริฐ ๗ ประการ ถูกทอดท้ิงอย่างไรค้ ่า ทรงคาดการณว์ า่ น่าจะเกดิ อาเพศอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นกับราชวงศ์เพราะราชสมบัตินี้ จึงรับสั่งให้เรียกพวก นักเลงสรุ ามาตรสั ถาม
ท ศ ช า ติ 75 พ ร ะ เ ต มี ย์ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง พวกนักเลงสุรากราบทูลว่า “พระเตมีย์ พระโอรสของพระราชา แห่งพระนครน้ีไม่ปรารถนาท่ีจะครองราชสมบัติ พระองค์มิได้เป็นใบ้ ก็แสร้งทำ�เป็นใบ้ มิได้หูหนวกก็แสร้งทำ�เป็นหูหนวก เสด็จออกจาก พระนครนเ้ี ขา้ ปา่ บวชเปน็ ฤาษี แมพ้ ระราชาพรอ้ มดว้ ยอาณาประชาราษฎร์ กเ็ สดจ็ ออกจากพระนคร ไปบวชในส�ำ นกั ของพระเตมียเ์ ชน่ กัน” พระเจา้ สามนตร์ าชตรสั ถามวา่ “พระราชาของพวกเจา้ ออกไปทาง ประตูไหน” เมื่อนักเลงสุรากราบทูลว่า เสด็จออกทางประตูทิศตะวันออก จงึ นำ�กองทพั ออกตดิ ตามทางประตูน้ัน ลัดเลาะไปตามฝัง่ แม่นำ�้ จนเขา้ สรู่ าวปา่ อันรกชัฏ พระองค์เกิดความกร่ิงเกรงภัยว่า จะเป็นแผนการอย่างใดอย่างหน่ึง ของกษัตริย์แหง่ นครน้ี พระโพธสิ ตั วท์ ราบการเสดจ็ มาของพระเจา้ สามนตร์ าช จงึ เสดจ็ ออกไป ต้อนรับ ประทับน่ังในอากาศแสดงธรรมแก่พระราชาพระองค์น้ัน พระเจ้า สามนต์ราชพร้อมด้วยจตุรงคเสนาสดับธรรมแล้ว เกิดความเล่ือมใสพากันบวช ในส�ำ นกั ของพระโพธิสัตวน์ ั้น แม้พระราชาจากนครอ่นื ๆ อกี ๗ พระองค์ ก็เสดจ็ มาดว้ ยหวังจะยดึ กรงุ พาราณสี ตา่ งละทง้ิ ราชสมบตั ิ บวชโดยท�ำ นองเดยี วกนั ผนื แผน่ ดนิ ทต่ี งั้ อาศรม ของพระโพธิสัตว์ได้กลายเป็นมหาสมาคม ภายในพระนครได้กลายเป็นป่าช้า ชา้ งทง้ั หลายกลายเปน็ ชา้ งปา่ มา้ ทง้ั หลายกลายเปน็ มา้ ปา่ แมร้ ถทง้ั หลายกช็ �ำ รดุ ทรุดโทรมไปในปา่ เครื่องใช้สอยและเงนิ ทองทงั้ หลาย ก็ตกเร่ยี รายเกล่อื นกลาด ไมต่ ่างอะไรจากกรวดทราย นักบวชท้ังหมดต่างเจริญสมณธรรมจนได้บรรลุสมาบัติ ๘ เมื่อ สน้ิ ชีวติ แลว้ ไดไ้ ปเกิดในพรหมโลก แม้ช้างและมา้ ทงั้ หลายซึ่งเป็นสตั ว์เดรจั ฉาน มีจิตเลื่อมใสหมู่ฤาษีทั้งหลาย ได้เกิดในสวรรค์ชั้นกามาวจร ๖ ชั้น ได้แก่ ชั้นจาตุมหาราชิกา ชั้นดาวดึงส์ ช้ันยามา ช้ันดุสิต ช้ันนิมมานรดี และช้ัน ปรนมิ มิตวสวตั ตี ตามบญุ กศุ ลของตน
พ ร ะ เ ต มี ย์ 76 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง กลบั ชาตมิ าเกิดสมยั พุทธกาล ครน้ั พระพทุ ธองคต์ รสั เลา่ เรอื่ งในอดตี ชาตขิ องพระองคใ์ หภ้ กิ ษทุ ง้ั หลาย ฟงั แลว้ ไดต้ รัสสรปุ ว่า “ภิกษุท้ังหลาย มิใช่ในชาตินี้เท่านั้นท่ีเราละท้ิงราชสมบัติ ออกบวช แม้ในอดีตชาติ เราก็ได้ละท้ิงราชสมบัติออกบวชเช่นกัน เทพธิดาผู้สิงสถิตอยู่ท่ีเศวตฉัตรในอดีตชาตินั้น เป็นภิกษุณีชื่อ อบุ ลวรรณาในชาตินี้ นายสนุ นั ทสารถเี ปน็ พระสารีบตุ ร ท้าวสกั กะเปน็ พระอนุรุทธะ พระชนกและพระชนนีเป็นมหาราชสกุล บริษัทนอกน้ี เป็นพุทธบริษัท ส่วนบัณฑิตผู้ทำ�เป็นใบ้ ทำ�เป็นง่อยเปล้ีย คือ เรา ผูเ้ ป็นพระสัมมาสัมพทุ ธเจ้านี่เอง”
ท ศ ช า ติ 77 พ ร ะ เ ต มี ย์ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง
พระมหาชนก สุวรรณภมู ิ แผน่ ดนิ ทอง “เกิดเป็นคน ควรมคี วามเพียรพยายามอยู่รำ่�ไป จนกว่าจะประสบผลส�ำ เร็จ นรชนผมู้ ีปญั ญา แมป้ ระสบทกุ ข์ ก็ไม่ไร้ซง่ึ ความหวงั ”
80 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง พระพทุ ธเจา้ ตรสั เลา่ เรอ่ื งราวในอดตี ชาตขิ องพระองค์ ทที่ รงใชค้ วามเพยี รพยายามอยา่ งยง่ิ ยวด กวา่ จะผา่ น ความทุกข์เข็ญจนได้ออกผนวช เมื่อครั้งเกิดเป็นพระมหาชนก ทรงมีปณิธาน อย่างแน่วแน่ในการบำ�เพ็ญ “วิริยบารมี” ต้ังใจอย่างเด็ดเดี่ยวที่จะมีความ เพียรพยายาม เพ่อื กา้ วไปสคู่ วามสำ�เรจ็ แม้จะประสบกบั ความทกุ ขย์ ากลำ�บาก ขนาดไหน หากยังไม่ประสบผลสำ�เรจ็ กจ็ ะเพยี รพยายามตอ่ ไปไมท่ อ้ ถอย มหาชนกชาดก ปรากฏอยใู่ นพระไตรปฎิ ก ขทุ ทกนกิ าย ชาดก มหานบิ าต และอรรถกถา ขุททกนกิ าย ชาดก มหานบิ าต ขณะตรัสเล่าเร่ืองพระมหาชนก พระพุทธองค์ประทับอยู่ที่พระเชตวัน มหาวิหาร อารามที่ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีซื้ออุทยานของพระกุมารพระนาม วา่ “เชต” สร้างถวายพระพทุ ธองค์ ขณะนั้นเปน็ เวลาบา่ ยแลว้ อาทติ ยย์ า้ ยดวง คล้อยลงตำ่� หมู่ภิกษุออกจากสถานที่สำ�หรับทำ�สมาธิ มาน่ังประชุมกันอยู่ใน อาคารส�ำ หรบั แสดงธรรม สนทนาถงึ การออกบวชของพระพทุ ธองค์ พระพทุ ธองค์ เสด็จออกจากพระคันธกุฎีมายังอาคารสำ�หรับแสดงธรรม ตรัสถามหมู่ภิกษุ ถึงเรอ่ื งราวทก่ี �ำ ลงั สนทนากนั เม่ือภิกษุเหล่านั้นกราบทูลให้ทรงทราบ พระพุทธองค์จึงตรัสเล่าเรื่อง พระมหาชนก ผตู้ ้ังปณิธานท่ีจะใช้ความเพียรพยายามจนกวา่ จะประสบผลส�ำ เร็จ ดงั ต่อไปนี้ ศึกชงิ ราชบลั ลงั ก์มถิ ลิ านคร ในอดีตชาติ ได้มีพระราชาพระนามว่า “พระมหาชนกราช” ครอง ราชสมบัติในกรุงมิถิลานคร แควน้ วเิ ทหะ พระองคม์ พี ระราชโอรส ๒ องค์ คอื “พระอริฏฐชนก” และ “พระโปลชนก” พระราชาทรงแต่งตั้งอริฏฐชนกผู้พี่ เป็นอปุ ราช และแต่งตัง้ โปลชนกผนู้ ้องเป็นเสนาบดี
ท ศ ช า ติ 81 พระมหาชนก ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ครน้ั ตอ่ มา พระมหาชนกราชสวรรคต พระอรฏิ ฐชนกขนึ้ ครองราชสมบตั ิ สบื ตอ่ จากพระบดิ า ทรงตั้งพระโปลชนกให้เปน็ อุปราช อำ�มาตยผ์ ู้ใกลช้ ดิ คนหนง่ึ คอยกราบทลู ยยุ งพระอรฏิ ฐชนกราชอยเู่ สมอวา่ “พระอปุ ราชวางแผนจะปลง พระชนมพ์ ระองค์ ขน้ึ ครองราชยเ์ สยี เอง” พระอรฏิ ฐชนกราชทรงสดบั ค�ำ ยยุ ง บอ่ ย ๆ เขา้ กห็ ลงเชือ่ เกดิ ความหวาดระแวง หมดความรกั ในพระอนชุ า จึงสัง่ ควบคุมพระโปลชนกอุปราชด้วยโซ่ตรวน นำ�ไปจองจำ�ไว้ในคฤหาสน์หลังหนึ่ง ใกลพ้ ระราชวงั ตั้งกองทหารควบคมุ รักษาการณ์อย่างเขม้ แขง็ พระโปลชนกทรงต้ังสัตยาธิษฐานว่า “ถ้าเราก่อเวรต่อพระเชษฐา เครื่องจองจำ�อย่าหลุดจากมือและเท้า แม้ประตูเหล็กก็อย่าเปิดออก ถ้าเราไม่ได้ก่อเวรต่อพระเชษฐา ขอเคร่ืองจองจำ�จงหลุดจากมือและ เท้า แม้ประตูก็จงเปิดออก” สิ้นคำ�สัตยาธิษฐาน ทันใดนั้นโซ่ตรวนก็พลัน หักสะบ้ันออกเป็นท่อน ๆ แม้ประตูก็เปิดออก พระโปลชนกเสด็จหลบหนี ล้ีภัยออกไปอาศัยอยู่ในหมู่บ้านใกล้ชายแดนแห่งหนึ่ง ชาวบ้านจำ�พระองค์ได้ จึงช่วยกันบำ�รุงดูแล พระอริฏฐชนกราชส่งจารชนออกติดตาม แต่ก็ไม่สามารถ จับพระองคไ์ ด้ พระโปลชนกได้ยึดเอาหมู่บ้านชายแดนแห่งหนึ่ง สั่งสมกำ�ลังพล จนกลายเป็นกองทัพใหญ่ข้นึ ตามลำ�ดับ คร้นั สถานการณเ์ อ้ืออำ�นวย ทรงดำ�ริวา่ “เม่ือก่อนเราไม่ได้ก่อเวรต่อพระเชษฐาของเรา แต่บัดน้ีถึงเวลาที่เรา ตอ้ งกอ่ เวรแลว้ ” จงึ สงั่ ใหป้ ระชมุ พล ยกทพั ออกจากชายแดน ไปตง้ั คา่ ยประชดิ มถิ ิลานคร การศึกครั้งน้ัน เหล่ากองทหารฝ่ายมิถิลานครท่ียังจงรักภักดีต่อ พระโปลชนก ทราบว่าพระองค์ยกทัพเสด็จมาแล้ว ก็เล็ดลอดขนยุทโธปกรณ์ นำ�ช้าง ม้า เป็นต้น เข้าสวามิภักด์ิ แม้ชาวเมืองอ่ืน ๆ ก็เข้าร่วมเป็นพันธมิตร เป็นจำ�นวนมาก กองทัพพระโปลชนกจึงกลายเป็นกองทัพท่ีย่ิงใหญ่ พระองค์ สง่ สาสน์ ไปถวายพระเชษฐาวา่ “เมอ่ื กอ่ นขา้ พระองคม์ ไิ ดก้ อ่ เวรตอ่ พระองค์
พระมหาชนก 82 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง แต่บัดน้ีข้าพระองค์จะก่อเวร พระองค์จะให้เศวตฉัตรหรือจะทำ� สงคราม” พระราชาอริฏฐชนกตัดสินพระทัยเลือกใช้วิธีการทางทหาร เข้าต่อสู้ ทำ�การรบป้องกันเศวตฉัตร จึงส่ังจัดเตรียมกำ�ลังพลทำ�สงคราม ทรงส่ังเสีย พระอัครมเหสีว่า “ในสมรภูมิรบ แพ้ชนะไม่อาจหย่ังรู้ ถ้าเกิดอันตราย จงรักษาลูกในครรภ์ให้ดี” คร้ันแล้ว ได้กรีธาทัพหลวงออกจากพระนคร เป็นการเปดิ ศกึ สายเลอื ดชงิ บลั ลงั ก์มิถิลานคร ในการศกึ คร้งั นั้น ทหารฝ่ายพระโปลชนกไดป้ ลดิ ชีพพระอรฏิ ฐชนกราช กลางสมรภูมิรบ กองทัพฝ่ายพระนครรู้ว่าพระราชาสวรรคตแล้ว ไม่มีผู้บังคับ บัญชาการทัพก็เกิดขวัญเสีย กลายเป็นโกลาหลไร้รูปขบวน จึงถูกกองทัพฝ่าย พระโปลชนกบดขย้แี ตกพา่ ยสิน้ ฝ่ายพระอคั รมเหสี เมอ่ื ทราบวา่ พระราชสวามสี นิ้ พระชนมใ์ นสนามรบ แล้ว ก็รบี เก็บส่งิ ของมีคา่ ต่าง ๆ ท่ีสามารถนำ�ติดตวั ไปได้ เชน่ ทองค�ำ แกว้ มณี แก้วมุกดา และแก้ววิเชียร เป็นต้น ห่อด้วยผ้าเก่า ใส่กระเช้า ปูปิดทับไว้ด้วย ข้าวสารอีกชั้น ทรงปลอมแปลงพระองค์ นุ่งเสื้อผ้าเก่าครำ่�คร่าเศร้าหมอง วางกระเชา้ บนพระเศยี ร เสดจ็ หนอี อกจากพระนครไปทางประตเู มอื งดา้ นทศิ เหนอื ในเวลากลางวันเพียงลำ�พัง เพราะพระองค์ไม่เคยเสด็จไปท่ีไหนจึงไม่มีใครรู้จัก พระองค์ แม้พระองคเ์ องก็ไมร่ จู้ ักเสน้ ทาง ท้งั ไมส่ ามารถกำ�หนดทศิ ได้ พระองค์ ต้ังใจเสด็จไปยงั เมืองกาลจมั ปานคร แควน้ องั คะ ซึ่งเคยได้ยินแตช่ ่อื เทา่ นัน้ จงึ ประทบั ทศ่ี าลารมิ ทางแหง่ หนง่ึ คอยสอบถามคนทจ่ี ะเดนิ ทางไปกาลจมั ปานคร ดว้ ยเดชานภุ าพลกู ในครรภพ์ ระเทวี ซงึ่ เปน็ พระโพธสิ ตั ว์ ชว่ ยบนั ดาลให้ บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ของท้าวสักกเทวราชเกิดรุ่มร้อน เม่ือพระองค์ตรวจดู สาเหตุก็ทราบว่าผู้ที่บังเกิดในครรภ์พระเทวีมีบุญมาก แต่แม่กำ�ลังได้รับ ความลำ�บากต้องการความช่วยเหลือ จึงเนรมิตเกวียนมีประทุนปกปิดมิดชิดดี มีเตียงสำ�หรับน่ังนอนอยู่ภายในประทุนนั้น เนรมิตตนเป็นชายชราขับเกวียน
ท ศ ช า ติ 83 พระมหาชนก ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ไปหยุดที่ศาลาซ่ึงพระเทวีประทับอยู่ แกล้งร้องถามไปว่า “มีใครจะไป นครกาลจมั ปาบา้ งไหม” พระเทวไี ดส้ ดบั ดงั นนั้ กด็ ใี จ รบี ตอบวา่ “ตา ฉนั เอง จะไป” ทา้ วสกั กะแปลงจงึ ตรสั วา่ “ถา้ เชน่ นนั้ แมห่ นขู น้ึ มานง่ั บนเกวยี นเถดิ ” พระเทวรี บี กลุ กี จุ อออกจากศาลาพลางกลา่ ววา่ “ตา ครรภฉ์ นั แกแ่ ลว้ ขนึ้ เกวยี น ไปไมไ่ ด้ จะขอเดนิ ตามหลงั เกวยี นไป แตข่ อฝากกระเชา้ นี้ บรรทกุ เกวยี น ไปด้วย” ทา้ วสักกะในคราบชายชราผอู้ ารีตรสั ว่า “แมห่ นูพูดอะไรอย่างนน้ั ไม่มีใครชำ�นาญการขับเกวียนอย่างตาอีกแล้ว แม่หนูอย่ากลัวเลย ข้ึนมาน่ังบนเกวยี นเถิด” ด้วยบุญญานุภาพลูกในครรภ์ เมื่อพระเทวีจะก้าวขึ้นเกวียน ได้เกิดลมพัดฟุ้งฝุ่นละอองกระจายไปท่ัว ขณะน้ันแผ่นดินได้นูนข้ึน จรดท้ายเกวียน พระเทวีก้าวขึ้นเกวียนได้อย่างง่ายดาย วูบหนึ่งของความคิด พระเทวที รงสงสยั วา่ “นหี่ รอื จะเปน็ เทวดา” แตเ่ พราะความเหนอ่ื ยลา้ จงึ ท�ำ ให้ พระเทวีหลับไปอย่างง่ายดาย บนท่ีนอนภายในประทุนเกวียนพร้อมกับความ สงสยั นน้ั ท้าวสักกะในคราบชายชราผู้ชำ�นาญทาง ได้ขับเกวียนมาไกลราว ๓๐ โยชน์ จึงหยุดพักที่แม่น้ำ�แห่งหนึ่ง จัดเตรียมเส้ือผ้าสำ�หรับผลัดเปล่ียน และอาหารไว้ให้ จึงปลุกพระเทวใี ห้ลุกข้นึ อาบน้ำ�ในแมน่ ้�ำ พระเทวีท�ำ ตามอย่าง ว่าง่าย ลุกข้ึนอาบน้ำ� ผลัดเปล่ียนเส้ือผ้า ทานอาหารแล้วหลับต่อ ท้าวสักกะ ในคราบชายชราผู้อาทรขับเกวียนนำ�ทางต่อไป จนลุเข้าเขตนครกาลจัมปา เม่ือเวลาเยน็ แลว้ พระเทวีรู้สึกตัวลุกขึ้นทอดพระเนตรเห็นประตู คูค่าย หอรบ และ กำ�แพงพระนครตระหง่านงามอยู่รายรอบ จึงถามชายชราผู้นำ�ทางว่า “ตา เมอื งนชี้ อ่ื อะไร” ทา้ วสกั กะแปลง ตอบวา่ “แมห่ นู นแ่ี หละนครกาลจมั ปา” พระเทวีนึกฉงนจึงค้านว่า “ตาพูดอะไร นครกาลจัมปาอยู่ห่างจากเมือง ของพวกเราตั้ง ๖๐ โยชน์มิใช่หรือ” ชายชราตอบว่า “ถูกแล้ว แม่หนู
พระมหาชนก 84 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง แตต่ าขนึ้ ลอ่ งระหวา่ งมถิ ลิ านครกบั กาลจมั ปานครอยบู่ อ่ ย จงึ ช�ำ นาญทาง รู้จักทางลัดดี จึงมาถึงที่นี่เร็ว” ชายชราผู้อาทรให้พระเทวีลงจากเกวียน ใกล้ประตูด้านทิศใต้ แล้วกล่าวด้วยแววตาเอ็นดูและน้ำ�เสียงอ่อนโยนว่า “บ้านของตาเลยไปข้างหน้าโน้นอีก แต่แม่หนูลงตรงนี้แล้วเข้าไป ในเมืองเถิด” แล้วขับเกวียนหายไป พระเทวีเข้าไปน่ังพักอยู่ท่ีศาลาแห่งหนึ่ง ตามลำ�พัง ท่ามกลางบ้านเมืองป้อมปราการที่แปลกตา ตะวันเริ่มอ่อนแสงลง ยงิ่ ทำ�ใหพ้ ระองคร์ ้สู กึ โดดเดยี่ ว ขณะนน้ั พราหมณท์ ศิ าปาโมกข์ ชาวนครกาลจมั ปา มลี กู ศษิ ย์ ๕๐๐ คน เดินตามไปอาบนำ้� ได้ผ่านมาทางศาลานั้น ด้วยอานุภาพพระโพธิสัตว์ผู้บังเกิด ในพระครรภ์ของพระเทวี ทำ�ให้มหาพราหมณ์มองเห็นรูปร่างพระเทวีงดงาม สมบูรณ์ด้วยสิริลักษณ์มาแต่ไกล พอเห็นเท่าน้ันก็เกิดความเมตตาอย่างล้นพ้น เหมอื นได้เห็นน้องสาวของตน จึงให้เหล่าศษิ ยห์ ยุดอยนู่ อกศาลา เข้าไปในศาลา เพียงลำ�พัง ถามว่า “แม่หนูเป็นชาวเมืองไหน” พระเทวีตอบว่า “ดิฉัน เป็นอัครมเหสขี องพระเจา้ อรฏิ ฐชนก กรุงมถิ ลิ านคร” พราหมณ์ถามว่า “แม่หนูมาท่ีนี่ทำ�ไม” พระเทวีตรัสตอบว่า “พระเจ้าอริฏฐชนกถูกพระโปลชนก พระอนุชาปลงพระชนม์ ชิงเอา ราชสมบัติ ดฉิ ันกลวั อันตรายจงึ หนีมา ตั้งใจรักษาลูกในครรภไ์ ว้” พราหมณ์ถามว่า “พระองค์มีญาติในพระนครนี้บ้างหรือไม่” พระเทวตี อบวา่ “ไมม่ ี” พราหมณ์กล่าวว่า “ถา้ เชน่ น้นั พระองค์อย่าเสียใจ ไปเลย เราคือ อุทจิ จพราหมณ์ เปน็ พราหมณ์มหาศาล เปน็ อาจารย์ ทิศาปาโมกข์ เธอมฐี านะเป็นน้องสาวเรา ตอ่ ไปนใ้ี ห้เรยี กเราว่าพี่ชาย จงจับเท้าเรา แกล้งทำ�เป็นร้องไห้คร่ำ�ครวญเถิด” พระเทวีทำ�ตามที่ พราหมณ์แนะนำ� ส่งเสยี งร้องไห้จับเทา้ ท้ังสองข้างของพราหมณ์
ท ศ ช า ติ 85 พระมหาชนก ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ท้ังสองคนต่างร้องไห้ครำ่�ครวญรำ�พันกันอยู่ เหล่าลูกศิษย์ได้ยินเสียง รอ้ งไห้ร�ำ พันจึงตกใจ พากันวง่ิ กรเู ข้าไปในศาลาถามถึงสาเหตุ พราหมณก์ ลา่ ววา่ “หญิงนี้เป็นน้องสาวของอาจารย์ พลัดพรากจากกันไปเม่ือคราวโน้น เพง่ิ ไดม้ าพบกนั ” ลกู ศษิ ยก์ ลา่ ววา่ “บดั นี้ พวกทา่ นกไ็ ดเ้ จอกนั แลว้ ตงั้ แตน่ ้ี เป็นต้นไป ขอพวกท่านอย่าได้วิตกกังวลเลย” พราหมณ์ให้ลูกศิษย์ นำ�ยานท่ีมีประทุนปกปิดมารับพระเทวีกลับเรือน กำ�ชับพวกลูกศิษย์ให้บอก นางพราหมณวี ่า หญิงนี้เปน็ นอ้ งสาว ฝา่ ยนางพราหมณี ภรรยามหาพราหมณเ์ ขา้ ใจวา่ พระเทวเี ปน็ นอ้ งสาว สามี จึงให้พระเทวีสรงสนานด้วยน้ำ�อุ่น แล้วจัดเตรียมที่นอนให้ ดูแลพระเทวี ในเรอื นของตนดว้ ยดตี ลอดมา ก�ำ เนดิ พระมหาชนก ครน้ั อยตู่ อ่ มาไมน่ าน พระเทวกี ป็ ระสตู พิ ระโอรสมผี วิ พรรณเกลยี้ งเกลา งดงาม พระเทวขี นานนามพระโอรสตามพระอัยกาวา่ “มหาชนก” ครนั้ พระกมุ ารเจรญิ วยั เปน็ คนเขม้ แขง็ มกี �ำ ลงั มาก เมอื่ เลน่ อยกู่ บั พวก เด็ก ๆ ใครทำ�ให้ไม่พอใจ พระมหาชนกจะจับเด็กคนน้ันไว้แน่นแล้วตีอย่างแรง เพราะถือว่าตนมีกำ�ลังมาก และด้วยความเป็นผู้กระด้าง ถือตัว เพราะความที่ เกิดในตระกูลกษัตริย์ เด็กเหล่านั้นพากันร้องไห้ เม่ือถูกถามว่าใครตี ก็บอกว่า “คนไม่มีพ่อ ลูกหญิงหม้ายตี” พระมหาชนกนึกฉงนที่พวกเด็กเรียกตนว่า ลูกหญิงหมา้ ย วันหน่ึง พระมหาชนกถามมารดาว่า ใครเป็นบิดา พระเทวีลวงว่า มหาพราหมณเ์ ปน็ บดิ า พระมหาชนกกเ็ ชอื่ สนทิ ใจ ครน้ั รงุ่ ขนึ้ อกี วนั พระมหาชนก ถกู พวกเดก็ ลอ้ เลยี นอกี วา่ “ลกู หญงิ หมา้ ย ๆ” จงึ บอกวา่ “พอ่ พราหมณเ์ ปน็ บิดาเรา” เด็กพวกน้ันแย้งว่า “พราหมณ์เป็นลุงเธอต่างหาก ไม่ใช่พ่อ”
พระมหาชนก 86 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง พระมหาชนกคิดว่า เด็กเหล่านั้นบอกว่าพราหมณ์เป็นลุงเรา มารดาเห็นจะ ไมไ่ ด้บอกความจรงิ จึงตงั้ ใจที่จะค้นหาความจรงิ ให้ได้ ครั้นถงึ เวลาดมื่ นม พระมหาชนกจึงกดั นมมารดาไว้ บอกว่า “ถา้ แม่ ไม่บอกว่าใครเป็นบิดา ลูกจะกัดนมให้ขาด” พระเทวีไม่สามารถปกปิด พระโอรส จึงบอกความจริงทุกประการว่าเป็นโอรสพระเจ้าอริฏฐชนกในกรุง มิถิลานคร พระบิดาถูกพระโปลชนกผู้เป็นน้องชายปลงพระชนม์ ชิงราชสมบัติ พระองคต์ อ้ งการรกั ษาชวี ิตลูกในครรภไ์ ว้ จงึ แอบหลบหนีมาอยู่เมอื งนี้ เม่ือพระมหาชนกทราบความจริงแล้ว ต้ังแต่น้ันเป็นต้นมา แม้ พระมหาชนกจะถกู ลอ้ เลยี นวา่ “ลกู หญงิ หมา้ ย คนไมม่ พี อ่ ” กไ็ มเ่ กรย้ี วกราด โกรธเคือง พระองค์กลับมุ่งม่ันเรียนไตรเพทและศิลปศาสตร์ท้ังปวงจาก อุทิจจมหาพราหมณ์จนจบสิน้ แผนยึดสุวรรณภูมิ ขณะมีอายุ ๑๖ ปี พระมหาชนกองอาจ สง่างาม มีความต้ังใจอย่าง เด็ดเด่ียวท่ีจะชิงเอาราชสมบัติของพระบิดาคืนมาให้ได้ แต่ขณะนี้ยังไม่มีกำ�ลัง ทรัพย์ ท้ังกำ�ลังทางทหารก็ไม่มี พระองค์จึงจำ�เป็นจะต้องมีกองกำ�ลังเป็นของ พระองคเ์ อง พระองคเ์ รม่ิ ตดิ ตอ่ กบั พวกพอ่ คา้ ทางทะเล เตรยี มการวางแผนทจ่ี ะยดึ แผ่นดินสุวรรณภูมิ แผ่นดินในตำ�นานท่ีถูกกล่าวขานถึงความม่ังคั่งอุดมสมบูรณ์ เพ่ือใช้เป็นฐานท่ีมั่นสั่งสมกองกำ�ลังชิงเอาราชสมบัติคืน จึงทูลถามมารดาว่า “แม่ แมม่ ที รพั ยต์ ดิ ตวั มาบา้ งหรอื ไม่ ลกู จะคา้ ขายใหท้ รพั ยเ์ พม่ิ มากขน้ึ แลว้ ใชเ้ ปน็ ทนุ ชงิ เอาราชสมบตั พิ ระบดิ าคนื มา” พระเทวตี อบวา่ “แมไ่ มไ่ ด้ มามอื เปลา่ หรอกลกู แมไ่ ดน้ �ำ ของมคี า่ อยู่ ๓ อยา่ งมาดว้ ย คอื แกว้ มณี แก้วมุกดา แก้ววิเชียร แต่ละอย่างพอจะเป็นทุนชิงเอาราชสมบัติ คืนมาได้ ลูกใช้แก้วสามอย่างน้ันแล้วคิดอ่านเอาราชสมบัติเถิด อย่าท�ำ การค้าขายเลย”
ท ศ ช า ติ 87 พระมหาชนก ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง พระมหาชนกกราบทลู วา่ “ขอแมใ่ หท้ รพั ยเ์ พยี งครง่ึ หนง่ึ ลกู จะไป ค้าขายเมืองสุวรรณภูมิ ได้ทรัพย์จำ�นวนมากเป็นทุนแล้ว จะชิงเอา ราชสมบตั ิพระบิดาคืน” จงึ ขอทรพั ย์คร่งึ หนึ่งน�ำ ไปซอ้ื สินค้าขน้ึ เรือ แลว้ กลับ มากราบลาพระมารดาไปเมอื งสุวรรณภูมิ พรอ้ มกับพวกพ่อคา้ วาณิชย์ พระมารดาตรสั หา้ มวา่ “ลกู เอย๋ ขน้ึ ชอื่ วา่ มหาสมทุ ร มปี ระโยชน์ น้อย แต่มีอันตรายมาก ลูกอย่าไปเลย ทรัพย์สมบัติของลูกก็มีมาก พอทจ่ี ะชงิ เอาราชสมบตั ิคืนมาได้” พระมหาชนกคดิ ว่า แมพ้ ระมารดาจะมี ทรัพย์พอที่จะชิงเอาราชสมบัติคืนมาได้ แต่หากขาดกองกำ�ลังท่ีแข็งแกร่ง ทรัพย์ที่มีอยู่ก็ไร้ค่า ไม่สามารถท่ีจะชิงเอาราชสมบัติคืนมาได้ จึงกราบทูลว่า “อย่างไรเสีย ลูกก็ตอ้ งไป” แล้วทำ�ประทักษณิ กราบลาไปขึน้ เรือพรอ้ มกบั พวกลกู เรือชาวสวุ รรณภมู ิ ในวันท่ีมหาชนกลงเรือไปค้าขายท่ีสุวรรณภูมิน้ัน เหตุการณ์ ข้างฝ่ายมิถิลานคร พระเจ้าโปลชนกเกิดประชวรอย่างหนัก พระองค์ บรรทมแลว้ ไม่ไดเ้ สดจ็ ลุกขน้ึ อีกเลย ส่วนพวกพ่อค้าชาวสุวรรณภูมิประมาณ ๗๐๐ คน แล่นเรือออกสู่ มหาสมุทรไปได้ ๗๐๐ โยชน์ แล่นเรือไปได้ ๗ วัน ก็เผชิญพายุอย่างหนัก คลืน่ แรง ทอ้ งทะเลปัน่ ปว่ นจนไมอ่ าจบงั คับเรือได้ เรือไมส่ ามารถตา้ นทานพายุ คล่ืนท่ีโหมซัดกระหนำ่�อย่างบ้าคลั่ง แผ่นกระดานท้องเรือถูกคล่ืนซัดปริร้าว แลว้ หลดุ แตกกระจายไปตามแรงคลน่ื น�ำ้ ไหลทะลกั เขา้ เรอื ทกุ ทศิ ทกุ ทาง เรอื คอ่ ย ๆ จมลงสู่มหาสมุทร ลูกเรือกลัวตายร้องไห้ระงม กราบไหว้อ้อนวอนเทวดาท่ีตน เคารพนับถือ แต่พระมหาชนกไม่ร้องไห้ ไม่คร่ำ�ครวญ ไม่อ้อนวอนเทวดา ทราบว่าเรือจมแน่ เส้ียวหนึ่งของความคิด พระมหาชนกรีบคลุกนำ้�ตาลกรวด กับเนยกินให้อิ่มท้อง เอาผ้าเน้ือเกล้ียง ๒ ผืน ชุบน้ำ�มันจนชุ่ม เช็ดถูตามตัว แล้วนุ่งผ้าให้กระชับม่ัน เพ่ือไม่ให้ร่างกายชุ่มน้ำ�และดับกล่ินกายมนุษย์ แล้ว ปนี ปา่ ยขน้ึ ไปบนยอดเสากระโดง ขณะเรอื ก�ำ ลงั จมดงิ่ ลงสทู่ อ้ งทะเล พระมหาชนก
พระมหาชนก 88 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง มองเหน็ ปลา เตา่ และสัตวร์ ้ายนานาชนิด ก�ำ ลงั รมุ กนิ ลกู เรอื อย่างกระหายเลอื ด ท้องทะเลข่ืนคาว แดงฉานไปด้วยสีเลอื ด พระมหาชนกยืนท่ียอดเสากระโดง กำ�หนดทิศท่ีเมืองมิถิลานครตั้งอยู่ แล้วโยกปลายเสากระโดง ดีดตัวเองด้วยพละกำ�ลังสุดแรง กระโดดพุ่งออกไป จนข้ามพ้นรัศมีฝูงปลาและเต่า ซ่ึงกำ�ลังรุมกินซากลูกเรืออยู่ จึงพ้นจากคมปาก ของสัตวร์ า้ ยท้ังหลาย ขณะเรอื วาณชิ ยท์ พ่ี ระมหาชนกโดยสารมาเผชญิ กบั พายรุ า้ ย จนเรอื แตก อบั ปางลงสมู่ หาสมทุ ร พระเจ้าโปลชนกเสดจ็ สวรรคตในวนั นั้นนัน่ เอง พระมหาชนกว่ายนำ้�อยู่ท่ามกลางมหาสมุทรสีมรกตอัน กวา้ งใหญไ่ พศาลไปตามทศิ ทางทกี่ �ำ หนด ผนื น�้ำ จรดขอบฟา้ เบอื้ งหนา้ ไมเ่ ห็นฝั่ง แตก่ ็ยงั แหวกว่ายอยเู่ ช่นน้นั คร้ันถึงวันที่ ๗ พระมหาชนก สังเกตท้องฟ้า เห็นพระจันทร์เต็มดวงก็รู้ว่าเป็นวันเพ็ญอุโบสถ จึง บว้ นปากดว้ ยน้ำ�เค็ม แลว้ สมาทานอโุ บสถศลี กลางมหาสมทุ ร กาลนัน้ ทา้ วจตุโลกบาลมอบใหน้ างมณีเมขลาเทพธิดา เป็นผู้คอย ช่วยเหลือคนดีท่ีทำ�กรรมดี เช่น บำ�รุงเลี้ยงมารดาบิดา เป็นต้น ท่ีเรืออับปาง ไมส่ มควรตายในมหาสมทุ ร นางมณีเมขลาไม่ได้ตรวจตราดูมหาสมุทรมาเป็นเวลา ๗ วัน เพราะ ไปเทวสมาคม หลงเพลิดเพลินทิพยสมบัติในเทวสมาคมนั้น จึงลืมตรวจตราดู มหาสมุทร เมื่อนึกข้ึนได้ก็ล่วงไป ๗ วันแล้ว นางตรวจดูก็เห็นพระมหาชนก กำ�ลังแหวกว่ายอยู่ท่ามกลางทะเลอันกว้างใหญ่ไพศาล จึงคิดว่าถ้าปล่อยให้ พระมหาชนกตายในมหาสมุทร ตนก็จะไม่สามารถมองหน้าเทพตนใดใน เทวสมาคมไดอ้ กี จงึ ปรากฏกายในอากาศไมไ่ กลจากพระมหาชนกนกั พรอ้ มกบั กล่าวว่า “น่ันใครกัน ท้ังท่ีมองไม่เห็นฝ่ัง ก็ยังอุตส่าห์เพียรพยายาม
ท ศ ช า ติ 89 พระมหาชนก ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง แหวกว่ายอยู่ท่ามกลางมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ จะมีประโยชน์อะไร ที่ต้องเพยี รพยายามว่ายน�ำ้ อยู่เชน่ น้ี” พระมหาชนกคดิ ว่า “เราวา่ ยน้�ำ อยกู่ ลางมหาสมุทรมาได้ ๗ วนั เข้าวันน้ีแล้ว ไม่เห็นมีใครนอกจากเราคนเดียว น่ีใครมาพูดกับเรา” จงึ แหงนหนา้ มองขน้ึ ไปบนทอ้ งฟา้ กเ็ หน็ มสี ตรนี างหนงึ่ ปรากฏกายอยู่ แลว้ ตอบวา่ “เราได้ไตร่ตรองเห็นถึงปณิธานแห่งชาวโลก และอานิสงส์แห่งความ เพียรพยายาม เพราะฉะนั้นแม้มองไม่เห็นฝ่ัง เราก็จะเพียรพยายาม ว่ายนำ�้ อยูท่ ่ามกลางมหาสมุทรตอ่ ไป” พระมหาชนกได้พิเคราะห์โดยถ่ีถ้วนแล้ว รู้ธรรมเนียมของโลกว่า ปณิธานแห่งบุรุษ และอานิสงส์แห่งความเพียรพยายามจะไม่สูญเปล่า จึงเพียร พยายามอยเู่ ชน่ นั้น นางมณเี มขลาตอ้ งการฟงั ธรรมจากพระมหาชนกมากยงิ่ ขน้ึ ไป จงึ กลา่ ว อกี วา่ “ฝ่งั มหาสมทุ รอยู่หา่ งไกลสุดสายตา พยายามไปกไ็ รป้ ระโยชน์ ยงั ไม่ทันถึงฝั่งกจ็ ะตายเสียกอ่ น” พระมหาชนกตอบนางมณีเมขลาว่า “เธอพูดอะไรน่ัน ถ้าเรา ได้เพียรพยายามแล้ว แม้จะตายไปก็ไร้คำ�ครหา ผู้ท่ีมีความเพียร พยายาม แมจ้ ะตายก็ไม่เป็นหนี้ เพราะไมถ่ ูกตำ�หนิจากหม่ญู าติ จาก เทวดา และจากพรหมท้ังหลาย เมื่อได้ทำ�หน้าท่ีของลูกผู้ชายอย่าง องอาจ แม้จะตายก็ไม่เสียใจภายหลงั ” เทพธิดาแย้งพระมหาชนกว่า “หนา้ ทบ่ี างอยา่ ง เพยี รพยายามไป ก็ไร้ประโยชน์ มีแต่ก่อให้เกิดความลำ�บากเพียงอย่างเดียว การทำ� ความพยายามกบั สงิ่ ท่ีไรผ้ ล สดุ ทา้ ยกต็ ายเปลา่ แลว้ จะท�ำ ความเพยี ร พยายามไปท�ำ ไมกัน”
พระมหาชนก 90 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง เมื่อเทพธิดากล่าวอย่างนี้ พระมหาชนกต้องการให้นางมณีเมขลา ยอมจ�ำ นนตอ่ ความเพยี รพยายามของตน จงึ กลา่ ววา่ “แมเ่ ทพธดิ า ใครกต็ าม ทั้งท่ีรู้ว่า ส่ิงท่ีตนทำ�จะไม่ประสบความสำ�เร็จ ถ้าไร้เสียซึ่งความ พยายามแล้วทอดอาลัยในชีวิต ล้มเลิกความเพียรพยายามกลางคัน ไมท่ �ำ สง่ิ นนั้ ตอ่ ไป เขากย็ อ่ มไดร้ บั ผลแหง่ ความเกยี จครา้ น แตค่ นบางคน ในโลกน้ีอยู่ได้เพราะความหวัง จึงทำ�หน้าที่ของตนด้วยความเพียร พยายาม แมห้ น้าทน่ี ้นั จะประสบความส�ำ เรจ็ หรอื ไมก่ ต็ าม เธอกเ็ ห็น ผลแห่งความเพียรพยายามประจักษ์แจ้งด้วยตนเองแล้วมิใช่หรือ ดูสิ คนอนื่ ๆ จมลงในมหาสมทุ รกนั หมดแลว้ เพราะพวกเขาไรเ้ สยี ซงึ่ ความ เพียรพยายาม เราเพียงคนเดียวเท่านั้นท่ียังเพียรพยายามว่ายน้ำ� ข้ามมหาสมุทรอยู่ จึงมีโอกาสได้มาพบเธอผู้เป็นเทพธิดา เราจะ พยายามตามกำ�ลังความสามารถ จะทำ�ความเพียรที่ลูกผู้ชายควรทำ� ว่ายน้�ำ ตอ่ ไปจนถงึ ฝัง่ แหง่ มหาสมทุ รใหไ้ ด้” เทพธดิ าได้ฟงั วาจาอนั แสดงความเดด็ เดีย่ วมุ่งม่ันเช่นน้นั จึงสรรเสริญ พระมหาชนกวา่ “แมห้ ว้ งน�ำ้ จะกวา้ งใหญไ่ พศาลสดุ ประมาณเชน่ นี้ ทา่ นก็ ยังมีความเพียรพยายามโดยธรรม ด้วยความเพียรแห่งบุรุษจึงไม่จม ลงในห้วงมหรรณพ ท่านจงไปในสถานที่ท่ที ่านปรารถนาเถดิ ” เทพธิดามณีเมขลาถามพระมหาชนกว่า “ท่านบัณฑิตผู้มากด้วย ความเพียรพยายาม ท่านจะให้เราไปส่งที่ไหน” พระมหาชนกตอบว่า ตอ้ งการไปกรงุ มถิ ลิ านคร คร้ันแล้ว นางมณีเมขลาจึงช้อนอุ้มพระมหาชนกขึ้นเหมือนคนยกช่อ ดอกไม้ ใช้แขนทั้งสองประคองให้นอนแนบทรวง พาเหาะไปในอากาศเหมือน มารดาอมุ้ บุตร เพราะพระมหาชนกเหนอื่ ยล้าจากการวา่ ยน�้ำ อยกู่ ลางมหาสมุทร ตลอด ๗ วนั จงึ หลบั ไปในออ้ มกอดของนางเทพธิดาทันที
ท ศ ช า ติ 91 พระมหาชนก ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง นางมณีเมขลานำ�พระมหาชนกไปถึงมิถิลานคร ให้บรรทมเบื้องขวา บนแผ่นหินเรียบสนิทดีในสวนมะม่วงแห่งหน่ึง มอบให้รุกขเทวดาคอยเฝ้าระวัง รกั ษา แลว้ กลบั วมิ านของตน พระเจา้ โปลชนกนนั้ ไม่มีพระราชโอรส แตม่ พี ระราชธดิ าเพยี งพระองค์ เดียว นามว่า “สีวลี” เป็นหญิงฉลาดหลักแหลม ก่อนท่ีพระเจ้าโปลชนก จะสวรรคต อำ�มาตย์ทั้งหลายได้ทูลถามว่า จะมอบราชสมบัติให้ใคร พระองค์ สง่ั เสยี วา่ “พวกทา่ นจงยนิ ยอมพรอ้ มใจกนั มอบราชสมบตั แิ กผ่ ทู้ สี่ ามารถ ท�ำ ใหพ้ ระราชธดิ ายอมรบั ได้ หรอื ผู้ทีร่ หู้ ัวนอนแหง่ บลั ลังก์ ๔ เหลยี่ ม หรอื ผทู้ สี่ ามารถยกธนู มชี อื่ วา่ “สหสั สถามธน”ู ขน้ึ ได้ หรอื ผทู้ ส่ี ามารถ น�ำ ขุมทรัพยใ์ หญ่ ๑๖ แหง่ ออกมาแสดงได้” อำ�มาตย์ท้ังหลายกราบทูลถามถึงปริศนาแห่งปัญหาว่าเป็นอย่างไร พระราชาจึงตรสั บอกค�ำ ใบป้ ริศนาแหง่ ขุมทรพั ยใ์ หญ่ ๑๖ แห่งไว้ ดงั น้ี ๑. ขุมทรพั ย์ทีอ่ ยู่ทางพระอาทติ ย์ข้ึน ๒. ขุมทรพั ย์ที่อยูท่ างพระอาทิตยต์ ก ๓. ขุมทรัพยภ์ ายใน ๔. ขุมทรพั ย์ภายนอก ๕. ขมุ ทรพั ย์ทไ่ี มใ่ ช่ภายใน ไมใ่ ช่ภายนอก ๖. ขุมทรพั ย์ขาขน้ึ ๗. ขุมทรพั ย์ขาลง ๘. ขุมทรพั ย์ทไ่ี มร้ ังใหญ่ท้งั ๔ (ดา้ นท่ี ๑) ๙. ขมุ ทรัพยท์ ่ไี ม้รงั ใหญ่ทง้ั ๔ (ด้านที่ ๒) ๑๐. ขมุ ทรัพยท์ ไ่ี มร้ ังใหญท่ ้งั ๔ (ดา้ นที่ ๓) ๑๑. ขมุ ทรพั ยท์ ไ่ี มร้ ังใหญ่ทง้ั ๔ (ดา้ นที่ ๔) ๑ ๒. ขุมทรัพย์ในที่ ๑ โยชน์ โดยรอบ ๑ ๓. ขุมทรพั ย์ใหญ่ทีป่ ลายงาทัง้ ๒
พระมหาชนก 92 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ๑ ๔. ขุมทรัพย์ปลายหาง ๑ ๕. ขมุ ทรัพย์น�ำ้ ๑ ๖. ขมุ ทรพั ย์ท่ยี อดไม้ สหัสสถามธนูท่ีหนักพันแรงคนยก ด้านหัวนอนของบัลลังก์ ๔ เหลย่ี มอยู่ดา้ นไหน และการทำ�ให้พระธิดาสวี ลียอมรบั พระเจา้ โปลชนกตรัสดังนแ้ี ลว้ ก็สวรรคต ในวันที่ ๗ จากวันที่พระเจ้าโปลชนกสวรรคต และถวายพระเพลิง พระบรมศพเสร็จแล้วนั้น เหล่าเสนาพฤฒามาตย์ได้ประชุมปรึกษาหารือกันว่า ใครเหมาะสมทจี่ ะครองราชสมบตั ติ ามทพี่ ระราชารบั สง่ั ไว้ เหลา่ เสนาพฤฒามาตย์ ต่างมีความเห็นว่า เสนาบดีมีความสนิทใกล้ชิดกับพระราชา เป็นผู้ที่เหมาะสม จงึ แจง้ ใหเ้ สนาบดที ราบ เสนาบดียินดีย่ิงนักจึงตรงไปปราสาทพระราชธิดา เม่ือพระราชธิดา ทราบว่า ผู้ท่ีทำ�ให้พระองค์ยินดีก็จะได้ครองราชสมบัติสืบต่อจากพระราชบิดา ต้องการทดลองเสนาบดีว่า จะมีสติปัญญาคู่ควรเศวตฉัตรหรือไม่ จึงรับส่ังให้ เข้าเฝ้า เสนาบดีประสงค์จะทำ�ให้พระราชธิดาโปรดปราน จึงรีบเดินเข้าไปเฝ้า อยา่ งเรง่ รีบตามรบั ส่งั พระราชธิดารับส่ังให้วิ่งกลับไป เสนาบดีคิดว่าจะทำ�ให้พระราชธิดา โปรดปรานจึงว่ิงกลับไป พระราชธิดาจึงรับสั่งให้ว่ิงมาอีก เสนาบดีก็ว่ิงกลับมา ตามรับส่ัง พระราชธิดาทราบว่า เสนาบดีคนนี้เบาปัญญา เป็นผู้นำ�ที่ดีไม่ได้ จงึ รบั สง่ั ใหน้ วดเทา้ เสนาบดกี น็ ง่ั ลง เรมิ่ นวดเทา้ พระราชธดิ า พระราชธดิ ากถ็ บี อก เสนาบดลี ้มหงายลงไป แล้วไล่ออกไป เสนาบดีได้รับความอับอาย เมื่อถูกใครถามก็ตอบว่า พระราชธิดา ไม่ใช่คน แต่เป็นนางยักษิณี จากนั้น อำ�มาตย์ผู้เป็นขุนคลัง เศรษฐีทั้งหมด
ท ศ ช า ติ 93 พระมหาชนก ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง เจ้าพนักงานเชิญเคร่ืองสูง เจ้าพนักงานเชิญพระแสงที่เข้าทดสอบ ล้วนแต่ได้รับ ความอับอายขายหน้าจากพระราชธดิ าทงั้ สน้ิ เมอ่ื ไมม่ ผี สู้ ามารถท�ำ ใหพ้ ระราชธดิ ายอมรบั ได้ เหลา่ เสนาพฤฒามาตย์ จึงปรึกษากัน ป่าวประกาศข้อท่ี ๒ ออกไปว่าจะมอบราชสมบัติให้ผู้ท่ีสามารถ ยกธนนู �ำ้ หนักราวพันแรงคนยกข้ึนได้ ก็ไมม่ ใี ครสามารถยกธนูข้ึนได้ เหล่าเสนา พฤฒามาตย์จึงปรึกษากัน ป่าวประกาศข้อที่ ๓ ออกไปว่า จะมอบราชสมบัติ ให้แก่ผู้รู้จักหัวนอนแห่งบัลลังก์ ๔ เหล่ียม ก็ไม่มีใครบอกได้ จึงปรึกษากัน ปา่ วประกาศขอ้ ท่ี ๔ ออกไปวา่ จะมอบราชสมบตั ใิ ห้แก่ผทู้ ี่สามารถน�ำ ขมุ ทรัพย์ ๑๖ แห่ง ออกมาได้ ก็ไม่มีใครสามารถนำ�ออกมาได้ เหล่าเสนาพฤฒามาตย์ ท้ังหลายต่างปรกึ ษากันว่า แว่นแควน้ ท่ขี าดพระราชาไมส่ ามารถดำ�รงอยู่ได้ สูร่ าชบัลลังก์มิถลิ านคร ปโุ รหติ ได้แนะน�ำ เหลา่ อ�ำ มาตยว์ ่า ควรจะประกอบพิธีอัศวเมธ ปลอ่ ย ราชรถเทียมม้ามงคลสีขาวออกไป พระราชาท่ีเชิญเสด็จได้ด้วยพิธีอัศวเมธ สามารถครองราชสมบตั ใิ นชมพูทวีปท้ังสนิ้ เหลา่ เสนาอ�ำ มาตยต์ า่ งเหน็ ดว้ ย จงึ ใหต้ กแตง่ พระนคร แลว้ ใหเ้ ทยี มมา้ สขี าว ๔ ตวั ในราชรถอนั เปน็ มงคล ปดู ว้ ยเครอ่ื งลาดอนั วจิ ติ รส�ำ หรบั ประดษิ ฐาน เบญจราชกกุธภัณฑ์ แวดล้อมด้วยจตุรงคเสนา ให้นักดนตรีประโคมดนตรี ทง้ั ขา้ งหนา้ และขา้ งหลงั ราชรถ ใหเ้ อาน�ำ้ จากพระเตา้ ทองค�ำ รดสายหนงั เชอื ก แอก ปฏัก จึงปล่อยราชรถออกไป พร้อมสั่งว่า “จงไปที่อยู่ของผู้มีบุญญาธิการ ที่จะได้ครองราชสมบัต”ิ ราชรถท�ำ ประทักษิณพระราชนเิ วศนแ์ ล้วมงุ่ หน้าออกสู่ถนนหลวง แล่น ทะยานไปเบ้ืองหน้าด้วยความเร็ว ชนท้ังหลายต่างภาวนาให้ราชรถมาหยุดที่ตน
พระมหาชนก 94 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ราชรถนั้นแล่นผ่านเคหสถานบ้านเรือนของชนท้ังปวงไป ทำ�ประทักษิณพระนคร แล้วออกประตพู ระนครดา้ นตะวนั ออก มุ่งหนา้ ตรงไปยงั อทุ ยาน ชนทงั้ หลายเหน็ ราชรถแลน่ ออกพระนครไป จงึ บอกใหน้ �ำ ราชรถกลบั มา ปโุ รหติ ห้ามวา่ แม้จะแล่นไปไกลถงึ ๑๐๐ โยชน์ กอ็ ยา่ ใหก้ ลบั ราชรถมงุ่ หน้าสู่ อทุ ยาน ท�ำ ประทกั ษณิ แผน่ ศิลามงคล แลว้ หยดุ อยู่เตรียมรับเสดจ็ ขึน้ ปุโรหิตเห็นชายคนหน่ึงนอนอยู่บนศิลา ต้องการทดสอบชาย ผนู้ ั้นวา่ มีปญั ญาสมควรแกเ่ ศวตฉตั รหรอื ไม่ จงึ หยุดคอยสงั เกตดอู ยู่ ถ้าผู้มีปัญญาจะไม่ลุกข้ึนมองดู ถ้าเป็นคนกาลกิณีจะตกใจกลัวลุกขึ้น มองดดู ว้ ยความลนลานแล้วหนไี ป จึงให้ประโคมดนตรเี ปน็ ร้อย ๆ ชิ้น ขึ้นทนั ที เสยี งดนตรีดงั กกึ ก้องแผ่สะท้อนออกไปทัว่ ท้องสมทุ รสาคร พระมหาชนกรู้สึกตัวเพราะเสียงน้ัน เปิดผ้าคลุมศีรษะออกเห็นฝูงชน จึงคิดว่า “เศวตฉัตรมาถึงเราแน่แล้ว” คงอยู่ในอาการสงบ ไม่ได้แสดง อาการดใี จแต่อยา่ งไร ดงึ ผ้าคลมุ ปดิ ศีรษะ พลิกตวั นอนตะแคงซา้ ย ท�ำ ทเี หมอื น ไม่ใส่ใจเหตุการณ์รอบข้าง หลับต่อไป ปุโรหิตจึงเข้าไปเปิดเท้าพระมหาชนก ตรวจดูลักษณะแล้วกล่าวว่า “อย่าว่าแต่ทวีปหนึ่งเท่าน้ันเลย ท่านผู้นี้ สามารถครองราชสมบตั ใิ นมหาทวปี ทง้ั ๔ ได”้ แลว้ ใหป้ ระโคมดนตรขี น้ึ อกี พระมหาชนกเปิดหน้าออกมาอีกคร้ัง พลิกตัวกลับมานอนตะแคงขวา มองดูฝงู ชน ขณะน้ันปโุ รหติ แจง้ ให้ฝงู ชนถอยออกไป ประคองอัญชลกี ราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นสมมติเทพ ขอพระองค์ได้โปรดเสด็จลุกข้ึนเถิด ราชสมบัตมิ าถงึ พระองคแ์ ล้ว” พระมหาชนกถามปโุ รหติ วา่ “พระราชาของพวกทา่ นไปไหน” ครน้ั ปุโรหิตกราบทูลว่า “พระราชาสวรรคตแล้ว” จึงตรัสถามว่า “พระราชา ไมม่ พี ระราชโอรสหรอื ” ปโุ รหติ กราบทลู วา่ “พระราชาไมม่ พี ระราชโอรส มีแตพ่ ระราชธิดาเพยี งพระองคเ์ ดียว”
ท ศ ช า ติ 95 พระมหาชนก ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง พระมหาชนกจึงกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้น เราจะครองราชสมบัติ” แล้วเสด็จลุกข้ึนประทับนั่ง เหล่าเสนาพฤฒามาตย์ ปุโรหิต ตลอดจนอาณา ประชาราษฎรไ์ ดป้ ระกอบพธิ อี ภเิ ษกพระมหากษตั รยิ ์ ณ สถานทน่ี นั้ ถวายพระนาม ว่า “พระมหาชนกราช” พระมหาชนกประทับบนราชรถเสด็จนำ�ขบวนเข้าสู่พระนคร ด้วย เดชานุภาพอันย่ิงใหญ่ แล้วเสด็จข้ึนสู่พระราชนิเวศน์ ทรงดำ�ริว่า การแต่งตั้ง ต�ำ แหน่งเสนาบดแี ละตำ�แหนง่ อนื่ ๆ เอาไว้ก่อน ทรงเสดจ็ ขนึ้ สพู่ ระทน่ี ่งั ช้นั ใน ขมุ ทรัพย์จอมจักรา ฝ่ายพระธิดาสีวลีต้องการจะทดลองพระมหาชนก มหากษัตริย์แห่ง มิถิลานครพระองค์ใหม่ จึงรับสั่งให้ทหารไปตามมาเข้าเฝ้าโดยด่วน ทหารไป กราบทลู พระราชาตามรบั สง่ั วา่ “พระธดิ าสวี ลรี บั สงั่ หา จงรบี เสดจ็ เขา้ เฝา้ ” แม้พระราชาสดับแล้ว ก็แสร้งทำ�เป็นเหมือนไม่ได้ยิน เพราะความที่ พระองค์เป็นบัณฑิต จึงรับส่ังกับเหล่าอำ�มาตย์ ชมเชยปราสาทราชฐานไปตาม ปกตวิ า่ มคี วามวจิ ติ รงดงามตระการตา เมอ่ื ทหารนนั้ ไมอ่ าจท�ำ ใหพ้ ระราชาไดย้ นิ จงึ กลบั มาทูลพระราชธดิ าวา่ พระราชามวั แต่ชมปราสาทราชฐาน ไมใ่ ส่ใจคำ�พดู ของพระองค์ พระราชธิดาคิดว่า ชายผู้น้ีมีอัธยาศัยกว้างขวาง ลุ่มลึก จึงส่งทหาร ไปทูลเชิญเสด็จอีกถึงสองสามคร้ัง แม้พระมหาชนกก็เสด็จชมปราสาทราชฐาน ไปตามปกตติ ามความพอพระทยั ของพระองค์ เหมอื นการด�ำ เนนิ ของพญาราชสหี ์ จนเสดจ็ เขา้ ไปใกลพ้ ระสวี ลเี ทวรี าชธดิ า พระธดิ ารสู้ กึ สนั่ สะทา้ น ไมอ่ าจตา้ นทาน เดชานภุ าพได้ จึงเสด็จมาถวายให้เก่ียวพระกร พระมหาชนกทรงรับเกี่ยวพระกร พระราชธดิ า ขึ้นประทบั นัง่ ณ ราชบัลลังก์ภายใต้พระมหาเศวตฉตั ร ตรสั เรียก
พระมหาชนก 96 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง อำ�มาตยท์ ัง้ หลายมาถามว่า ก่อนทพ่ี ระราชาจะเสด็จสวรรคต ไดส้ ่งั อะไรไวบ้ ้าง อ�ำ มาตย์กราบทลู ใหท้ ราบถึงปริศนาที่พระราชารบั ส่ังไว้ ดังนี้ (๑) ใหม้ อบราชสมบตั แิ กผ่ ทู้ ที่ �ำ ใหพ้ ระราชธดิ าสวี ลโี ปรดปราน ได้ พระมหาชนกตรัสว่า “พระราชธิดาเสด็จมาถวายเก่ียวพระกร พระองค์แล้ว ข้อนี้เป็นอันว่า เราไดท้ �ำ ใหพ้ ระราชธดิ าโปรดปรานแล้ว ทา่ นจงบอกข้ออืน่ ” อ�ำ มาตยก์ ราบทลู ใหท้ ราบถึงค�ำ ใบแ้ หง่ ปริศนาข้อตอ่ ไป ดังนี้ (๒) ใหม้ อบราชสมบตั แิ กผ่ ทู้ ร่ี ดู้ า้ นหวั นอนแหง่ บลั ลงั ก์ ๔ เหลย่ี ม พระมหาชนกดำ�ริว่า ปัญหาข้อน้ีรู้ยาก ต้องอาศัยอุบายจึงจะรู้ได้ พระองค์จึงถอดป่ินทองคำ�บนพระเศียรออก วางท่ีพระหัตถ์พระสีวลีเทวี ทรง รับสั่งว่า “เธอช่วยหาท่ีวางป่ินทองนี้ด้วย” พระราชธิดาสีวลีรับป่ินทองไป เนื่องจากปิ่นทองเป็นเคร่ืองประดับพระเศียรพระมหากษัตริย์ พระนางเลือกวาง ไว้ในทท่ี ีเ่ หมาะสม จึงวางไว้สว่ นทเ่ี ป็นเบอื้ งหัวนอนแหง่ บลั ลังกน์ ัน้ พระมหาชนกทราบไดท้ นั ทวี ่า ตรงนนั้ เป็นด้านหวั นอนแห่งบลั ลงั ก์ แต่ ทำ�เป็นเหมือนไม่ได้ยินอำ�มาตย์ จึงตรัสทวนคำ�ถามซ้ำ�ว่า “ท่านถามเราว่า อยา่ งไร” ครนั้ อ�ำ มาตยก์ ราบทลู ใหท้ ราบจงึ รบั สง่ั วา่ “การรจู้ กั หวั นอนบลั ลงั ก์ ๔ เหล่ียม ไม่ยาก ด้านนี้เป็นด้านหัวนอน” พร้อมกับชี้บัลลังก์ด้านท่ีปิ่น วางอยู่ อ�ำ มาตยก์ ราบทูลใหท้ ราบถึงคำ�ใบแ้ หง่ ปริศนาขอ้ ตอ่ ไป ดงั นี้
ท ศ ช า ติ 97 พระมหาชนก ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง (๓) ใหม้ อบราชสมบัตแิ กผ่ ู้ยกสหัสสถามธนูข้ึนได้ พระมหาชนกรับสั่งให้นำ�สหัสสถามธนูท่ีมีนำ้�หนักพันแรงคนยกขึ้น น้ันมา แล้วประทับบนราชบัลลังก์น้ันเอง ยกธนูข้ึนเหมือนยกกงดีดฝ้ายของ เหลา่ สตรี อ�ำ มาตยก์ ราบทูลใหท้ ราบถงึ คำ�ใบ้แห่งปริศนาขอ้ ตอ่ ไป ดังนี้ (๔) ให้มอบราชสมบัติแกผ่ ู้น�ำ ขมุ ทรัพย์ ๑๖ แห่งออกมาได้ พระมหาชนกตรสั ถามถงึ ปรศิ นาเกย่ี วกบั ขมุ ทรพั ยน์ นั้ เมอ่ื พวกอ�ำ มาตย์ กราบทลู ค�ำ ใบแ้ หง่ ปรศิ นาตา่ ง ๆ มขี มุ ทรพั ยใ์ นทพ่ี ระอาทติ ยข์ นึ้ เปน็ ตน้ พระองค์ ก็ทราบได้ทันที เหมือนคนเหน็ ดวงจนั ทร์ในวนั เพ็ญลอยเดน่ อยู่ทา่ มกลางทอ้ งฟา้ ทรงตรัสวา่ “วนั น้เี ยน็ แล้ว พรุ่งนีจ้ ะเปิดขมุ ทรัพย์ทกุ แหง่ ” ครนั้ รงุ่ ขนึ้ อกี วนั พระมหาชนกใหป้ ระชมุ เหลา่ อ�ำ มาตย์ แลว้ ตรสั ถามวา่ พระราชาเคยนิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้ามาฉันภายในพระราชนิเวศน์หรือไม่ เม่อื อำ�มาตย์กราบทลู วา่ เคยนิมนตม์ าฉัน พระมหาชนกจึงด�ำ รวิ า่ พระอาทิตย์ น่าจะไม่ใช่พระอาทิตย์ท่ีมองเห็นกัน แต่หมายถึง พระปัจเจกพุทธเจ้า ซ่ึงมี คุณแรงกล้าเหมือนดวงอาทิตย์ ขุมทรัพย์คงจะอยู่ในสถานที่ต้อนรับพระปัจเจก พุทธเจ้า และขุมทรัพย์อีกแห่งจะอยู่ตรงพระองค์ยืนส่งพระปัจเจกพุทธเจ้า ซ่ึง เหมอื นพระอาทติ ย์ลับขอบฟา้ พระมหาชนกรับสั่งให้ขุดตรงที่พระราชาประทับยืนขณะเสด็จออก ต้อนรับพระปัจเจกพุทธเจ้า นำ�ขุมทรัพย์ออกมาได้ และให้ขุดตรงที่พระราชา ประทับยืนขณะเสด็จส่งพระปัจเจกพุทธเจ้า นำ�ขุมทรัพย์ออกมาได้ มหาชนต่าง โหร่ อ้ งถวายสาธกุ ารสรรเสรญิ พระปญั ญาของพระมหาชนก ดว้ ยความปตี ยิ นิ ดวี า่ “คนเป็นอันมากเท่ียวขุดค้นหาทรัพย์ทางทิศท่ีพระอาทิตย์ข้ึนและ พระอาทติ ยต์ ก แตข่ มุ ทรัพยอ์ ย่ตู รงนเ้ี อง”
พระมหาชนก 98 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง พระมหาชนกได้แก้ปัญหาต่าง ๆ เกี่ยวกับคำ�ใบ้แห่งปริศนาขุมทรัพย์ ของพระเจา้ โปลชนก ดงั ต่อไปนี้ ให้ขุดขุมทรัพย์ภายในธรณีแห่งประตูใหญ่ของพระราชฐาน เพราะ ปญั หาวา่ “ขุมทรัพย์ภายใน” ให้ขุดขุมทรัพย์ภายนอกธรณีแห่งประตูใหญ่ของพระราชฐาน เพราะ ปัญหาว่า “ขุมทรพั ยภ์ ายนอก” ให้ขุดขุมทรัพย์ใต้ธรณีประตูใหญ่ของพระราชฐาน เพราะปัญหาว่า “ขมุ ทรัพยไ์ มใ่ ชภ่ ายใน ไมใ่ ช่ภายนอก” ให้ขุดขุมทรัพย์ตรงท่ีเกยสำ�หรับพระราชาเสด็จเหยียบขึ้นช้างทรง เพราะปญั หาว่า “ขุมทรัพย์ขาข้ึน” ให้ขุดขุมทรพั ยต์ รงท่พี ระราชาเสด็จลงจากคอช้างทรง เพราะปญั หาวา่ “ขมุ ทรพั ย์ขาลง” ใหข้ ุดขมุ ทรัพยท์ ง้ั ๔ ใตเ้ ทา้ พระแทน่ บรรทมทงั้ ๔ ซึ่งท�ำ จากไมร้ งั ใหญ่ เพราะปญั หาว่า “ขมุ ทรัพย์ทีไ่ มร้ ังใหญ่ท้ัง ๔” ให้ขุดขุมทรัพย์จากท่ีประมาณชั่วแอกโดยรอบพระสิริไสยาสน์ เพราะ ปัญหาว่า “ขุมทรัพยใ์ นทโี่ ยชนห์ นง่ึ โดยรอบ” ให้ขุดขุมทรพั ย์ท้งั ๒ ในโรงช้างต้น ตรงใตง้ าทั้ง ๒ ขา้ ง เพราะปญั หา วา่ “ขุมทรพั ยใ์ หญ่ที่ปลายงาทั้งสอง” ใหข้ ดุ ขมุ ทรพั ยใ์ นโรงชา้ ง เฉพาะตรงปลายหางของชา้ งตน้ เพราะปญั หา วา่ “ขมุ ทรพั ย์ทปี่ ลายหาง” ให้วิดนำ้�ในสระโบกขรณีออก ขนเอาขุมทรัพย์ข้ึนมา เพราะปัญหาว่า “ขุมทรัพย์นำ�้ ”
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 572
- 573
- 574
- 575
- 576
- 577
- 578
- 579
- 580
- 581
- 582
- 583
- 584
- 585
- 586
- 587
- 588
- 589
- 590
- 591
- 592
- 593
- 594
- 595
- 596
- 597
- 598
- 599
- 600
- 601
- 602
- 603
- 604
- 605
- 606
- 607
- 608
- 609
- 610
- 611
- 612
- 613
- 614
- 615
- 616
- 617
- 618
- 619
- 620
- 621
- 622
- 623
- 624
- 625
- 626
- 627
- 628
- 629
- 630
- 631
- 632
- 633
- 634
- 635
- 636
- 637
- 638
- 639
- 640
- 641
- 642
- 643
- 644
- 645
- 646
- 647
- 648
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 600
- 601 - 648
Pages: