Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ทศชาติ

ทศชาติ

Published by BURINTHORNVORAVITAR, 2022-11-20 09:39:05

Description: ทศชาติ

Search

Read the Text Version

ท ศ ช า ติ 199 พ ร ะ ม โ ห ส ถ บั ณ ฑิ ต ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง คดีความโจรขโมยเครื่องประดบั ยังมีหญิงยากจนคนหน่ึง แก้เคร่ืองประดับลูกปัดที่ถักด้วยด้ายหลากสี ออกจากคอ วางไว้บนผ้านุ่งห่ม แล้วลงอาบน้ำ�ในสระโบกขรณีที่มโหสถให้ขุดไว้ ขณะน้ันมีหญิงสาววัยรุ่นคนหน่ึงเดินผ่านมาเห็นเคร่ืองประดับ เกิดอยากได้เป็น ของตน จึงทําทีเป็นแกล้งหยิบขึ้นมาดู พร้อมทั้งเอ่ยปากชมว่างามเหลือเกิน ตนเองก็คิดอยากจะทำ�เครื่องประดับแบบนี้ใส่บ้างเหมือนกัน ทําเป็นสอบถาม ราคาเหมือนจะซ้อื ทดลองสวมทค่ี อของตนเหมอื นกะขนาด เพราะความท่ีหญิง เจ้าของเป็นคนซื่อจึงกล่าวว่า “ทดลองใส่ดูก่อนก็ได้” พอเจ้าของเผลอ หญิงสาววยั รุ่นจึงสวมเคร่อื งประดบั แลว้ เดินหนไี ป หญิงเจ้าของเห็นเช่นนั้นจึงรีบข้ึนจากสระน้ำ� ผลัดเส้ือผ้าแล้วว่ิงตามไป ตะโกนถามวา่ “เธอจะเอาเครอื่ งประดบั ของฉนั ไปไหน” หญงิ ขโมยโตต้ อบวา่ “ฉนั ไมไ่ ดเ้ อาเครอื่ งประดบั ของเธอมา เครอ่ื งประดบั ทค่ี อเปน็ ของฉนั ” หญิงทั้งสองต่างโต้เถียงยื้อแย่งเครื่องประดับว่าเป็นของตน ฝูงชนชุมนุมมุงดู หญงิ ทัง้ สองทะเลาะกนั ขณะนน้ั มโหสถเล่นอยูก่ ับเพอ่ื น ๆ ได้ยนิ เสียงหญงิ สองคนทะเลาะกนั ดังมาถึงหน้าประตูศาลา ถามดูก็รู้ว่าคนทะเลาะแย่งเคร่ืองประดับกัน จึงให้ เรยี กเขา้ มา เหน็ ทา่ ทางก็รูว้ ่าใครเปน็ เจา้ ของ ใครเป็นขโมย จึงถามทงั้ สองคนว่า จะยอมรับให้ตนเป็นคนตัดสินหรือไม่ เม่ือหญิงทั้งสองยอมรับจึงเร่ิมทำ�การ ไต่สวนว่า “เธอย้อมเคร่ืองประดับน้ีด้วยของหอมชนิดไหน” หญิงขโมย ตอบวา่ ย้อมด้วยของหอมทุกอย่าง ส่วนหญงิ เจ้าของตอบวา่ “ดิฉันเป็นคนจน จึงไมส่ ามารถหาของหอมทกุ อยา่ งมายอ้ มได้ ดฉิ นั ย้อมเคร่อื งประดับ ดว้ ยน�้ำ หอมท่ที �ำ จากดอกประยงคเ์ ป็นประจ�ำ ” มโหสถให้บริวารจดคําให้การของหญิงคู่กรณีท้ังสองเอาไว้ แล้วให้นํา ภาชนะใส่น้ำ�มาแช่เครื่องประดับ จากน้ันให้เรียกคนรู้จักกล่ินมาดมพิสูจน์

พ ร ะ ม โ ห ส ถ บั ณ ฑิ ต 200 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง หลักฐาน เพื่อจะได้เป็นพยานยืนยันความบริสุทธิ์ คนรู้จักกล่ินดมก็รู้ว่า เครื่องประดบั มกี ลน่ิ น�้ำ หอมท�ำ จากดอกประยงค์อยา่ งเดียว มโหสถจึงบอกให้ประชาชนทราบถึงผลการพิสูจน์ แล้วให้หญิงวัยรุ่นท่ี เป็นขโมยจำ�นนต่อหลักฐานยอมรับสารภาพ และให้นําเครื่องประดับคืนเจ้าของ ตง้ั แต่น้ันเปน็ ตน้ มาความท่มี โหสถเป็นบัณฑิตก็เรม่ิ เปน็ ทร่ี ูจ้ กั ของประชาชน คดคี วามโจรขโมยม้วนด้าย ยังมีหญิงเจ้าของไร่ฝ้ายคนหน่ึง เม่ือดอกฝ้ายแก่แล้วได้เก็บฝ้ายที่ไร่ มาป่ันเป็นด้าย แล้วเอาเมล็ดมะพลับมาเป็นแกนพันให้เป็นม้วนเก็บไว้ในพก ขณะเดินกลับบ้านได้แวะอาบน้ำ�ท่ีสระโบกขรณีของมโหสถ ได้วางม้วนด้ายไว้ บนผ้านุง่ แลว้ ลงอาบนำ�้ ขณะนน้ั มหี ญงิ คนหนง่ึ เดนิ ผา่ นมา เหน็ มว้ นดา้ ยวางอยเู่ กดิ โลภอยากได้ ตบมอื ฉาดหนง่ึ พูดชมว่า “โอโ้ ฮ! ม้วนดา้ ยนสี้ วยจริง เส้นเล็กละเอยี ดดี เธอทําเองหรือ” ทําทีเหมือนเหล่ตามองดู แต่มือฉวยหยิบด้ายซ่อนในพกผ้า เดินหนีไป หญิงเจ้าของเห็นเช่นน้ัน จึงรีบขึ้นจากน้ำ�ผลัดผ้าว่ิงตามไป ดึงผ้าไว้ ถามวา่ “แกเอามว้ นดา้ ยขา้ มาทาํ ไม” หญงิ ขโมยเถยี งวา่ “เอ แมน่ ี่ ขต้ี จู่ รงิ ม้วนด้ายแกเมื่อไร ของแกก็ต้องอยู่กับแก นี่มันด้ายข้าต่างหาก” หญิงทั้งสองเกิดโต้เถียงกันขึ้นอย่างรุนแรง จนมาถึงประตูศาลาท่ีมโหสถเล่นอยู่ เมื่อมโหสถจะวินิจฉัยคดีความ ได้ถามหญิงขโมยก่อนว่า ได้ใช้อะไรเป็นแกน พันด้าย หญิงขโมยตอบว่า “เอาเมล็ดฝ้ายเป็นแกน” ส่วนหญิงเจ้าของ ตอบวา่ “เอาเมลด็ มะพลบั เปน็ แกน” มโหสถบณั ฑติ ใหบ้ รวิ ารบนั ทกึ ค�ำ ใหก้ าร ของหญงิ คกู่ รณที ง้ั สองไว้ แลว้ ใหค้ ลมี่ ว้ นดา้ ยออก เหน็ เมลด็ มะพลบั จงึ ใหห้ ญงิ ขโมย จ�ำ นนตอ่ หลกั ฐานยอมรบั สารภาพ แลว้ ใหค้ นื มว้ นดา้ ยแกเ่ จา้ ของ ฝงู ชนตา่ งรา่ เรงิ กล่าวชืน่ ชมมโหสถวา่ วินิจฉยั คดไี ดอ้ ย่างยตุ ธิ รรม

ท ศ ช า ติ 201 พ ร ะ ม โ ห ส ถ บั ณ ฑิ ต ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง คดีความแย่งลกู อยู่มาวันหน่ึง หญิงคนหน่ึงพาลูกไปอาบนำ้�ท่ีสระโบกขรณีท่ีมโหสถ ขุดไว้ เมื่ออาบนำ้�ให้ลูกเสร็จแล้ว จึงนําลูกข้ึนไปนอนไว้บนผ้านุ่งของตนริมฝั่ง ส่วนตนเองกลับลงไปล้างหน้า ขณะน้ัน นางยักษ์ตนหนึ่งเห็นเด็กนั้นอยากจับกิน จงึ จาํ แลงกายเปน็ หญงิ มาแสรง้ ถามวา่ “เดก็ คนนเ้ี ปน็ ลกู เธอหรอื ชา่ งนา่ รกั จงั ” หญงิ ผเู้ ป็นแมต่ อบว่า “จะ๊ ลูกฉันเอง” นางยกั ษข์ ออุ้มทาํ ทีแสดงทา่ ทางใหเ้ ด็ก ดมื่ นม เมื่อหญงิ มารดาทารกอนญุ าตแลว้ จงึ อ้มุ เดก็ นน้ั ทําทเี ป็นหยอกล้อเลน่ หัว ครู่หนึ่งแล้วอุ้มหนีไป หญิงผู้เป็นมารดาเห็นเช่นน้ันจึงรีบข้ึนจากสระว่ิงตามไป ตะโกนวา่ “แกจะเอาลกู ฉนั ไปไหน” หญงิ ขโมยกลา่ ววา่ “หนา้ ดา้ น ลกู แกทไ่ี หน นมี่ นั ลกู ข้าต่างหาก” หญงิ ทงั้ สองโตเ้ ถยี งยือ้ แยง่ เด็กเดนิ ไปจนถงึ ประตศู าลา มโหสถได้ยินเสียงคนท้ังสองทะเลาะกันจึงให้เรียกเข้ามาถาม เม่ือ มโหสถเห็นก็รู้ได้ทันทีว่าหญิงคนนี้เป็นนางยักษ์จําแลงกายมาอย่างแน่นอน เพราะไม่กะพริบตา นัยน์ตาแดง และไม่มีเงา แม้จะรู้แต่ก็ถามว่า จะยอมรับ ในการตัดสินหรือไม่ เมื่อได้รับคําตอบจากหญิงท้ังสองว่ายอมรับ จึงขีดเส้นบน แผ่นดิน แล้วให้นําเด็กนอนตรงกลางระหว่างเส้น ให้หญิงยักษ์แปลงจับมือเด็ก ส่วนผู้เป็นแม่จับเท้า แล้วกล่าวว่า “ขอให้แย่งกัน ใครดึงได้ เด็กเป็นลูก ของคนน้ัน” หญิงท้ังสองก็ฉุดคร่าแย่งเด็กมาเป็นของตน เด็กถูกดึงเจ็บปวด เหมือนร่างจะฉีกออกจากกันจึงร้องไห้ดังล่ัน ผู้เป็นแม่ได้ยินเสียงลูกร้องรู้สึก เหมอื นหวั ใจจะแหลกสลาย จงึ ปลอ่ ยลกู ทนั ที ยนื เอามอื กมุ หนา้ รอ้ งไหส้ ะอกึ สะอน้ื ดว้ ยความเสียใจว่าแยง่ ลูกคนื มาไม่ได้ เม่ือจะทำ�การวินิจฉัยคดีความ มโหสถได้ถามฝูงชนที่ยืนมุงดูว่า “ตามปกติ ส�ำ หรบั ลกู แลว้ จติ ใจของผเู้ ปน็ แมอ่ อ่ นโยน หรอื แขง็ กระดา้ ง” ฝูงชนตอบว่า “ใจของผู้เป็นแม่อ่อนโยน” มโหสถถามฝูงชนต่อไปอีกว่า “บัดนี้ พวกท่านเห็นเป็นอย่างไร หญิงผู้ฉุดเด็กได้เป็นแม่หรือว่าหญิง

พ ร ะ ม โ ห ส ถ บั ณ ฑิ ต 202 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ผู้เสียสละยอมปล่อยเด็กเป็นแม่” ฝูงชนตอบว่า “หญิงผู้เสียสละยอม ปลอ่ ยเด็กเปน็ แม่” มโหสถถามตอ่ ไปว่า “ถา้ เชน่ นน้ั พวกท่านรู้หรือยังว่า หญงิ คนนเ้ี ปน็ ขโมย” ฝงู ชนตอบวา่ “ยงั ไมร่ ”ู้ มโหสถจงึ กลา่ ววา่ “หญงิ คนน้ี เปน็ ยกั ษ์ ฉดุ ครา่ เอาเดก็ ไปกนิ ” ฝงู ชนถามวา่ “รไู้ ดอ้ ยา่ งไรวา่ ผหู้ ญงิ คนน้ี เป็นยกั ษ์” มโหสถตอบว่า “เพราะนัยนต์ ายกั ษ์แดง ไม่กะพริบ ไม่มเี งา และไร้ความกรณุ า” มโหสถถามหญงิ นนั้ วา่ “เธอเปน็ ใคร” นางยกั ษต์ อบวา่ “ฉนั เปน็ ยกั ษ”์ มโหสถซกั ตอ่ ไปวา่ “เธอจะเอาเดก็ ไปทาํ ไม” นางยกั ษต์ อบวา่ “ฉนั จะเอาไปกนิ เป็นอาหาร” มโหสถกล่าวว่า “หยาบช้า จริง ๆ ชาติก่อนก็ทํากรรม จงึ เกิดเปน็ ยกั ษ์ มาชาตนิ ี้ยงั จะทํากรรมอีก” ครน้ั แลว้ จึงให้นางยกั ษร์ ักษา ศลี ๕ บอกวา่ ตงั้ แตน่ ต้ี อ่ ไปอยา่ ท�ำ กรรมเช่นน้ีอกี แล้วปลอ่ ยตัวไป หญิงผู้เป็นมารดาได้ลูกกลับคืนก็ดีใจ กล่าวอวยพรให้มโหสถมีอายุ ยืนนาน แลว้ อมุ้ ลกู กลับไป คดคี วามเมยี นอกใจ ยังมีชายคนหน่ึง ช่ือ “โคฬกาฬ” เป็นคนเต้ีย ผิวดํา ขยันทํางาน มานานถงึ ๗ ปี จงึ เกบ็ หอมรอมริบเงินไว้จนเปน็ กอ้ น ตอ่ มาได้แตง่ งานกบั นาง “ทีฆตาลา” อยู่มาวันหนึ่ง นายโคฬกาฬต้องการไปเย่ียมบิดามารดาของตน จงึ บอกใหภ้ รรยาทอดขนมเพอ่ื นาํ ไปฝากบดิ ามารดา ครนั้ นางอดิ ออดหา้ มไมใ่ หไ้ ป นายโคฬกาฬก็รบเร้าส่งั ถึง ๓ ครงั้ นางจึงยอมทอดขนม จดั เสบียงและของฝาก เขาเดินทางไปพร้อมกับภรรยาจนมาถึงแม่น้ำ� มีกระแสนำ้�ไหลเชี่ยวแต่ตื้น ในระหวา่ งทาง สองสามภี รรยาเปน็ คนขขี้ ลาด กลวั จมน�ำ้ ไมก่ ลา้ เดนิ ขา้ ม จงึ ไดแ้ ต่ ยนื มองอยู่ทีร่ มิ ฝ่ังแมน่ ำ้� ทำ�ท่าทางกลา้ ๆ กลวั ๆ

ท ศ ช า ติ 203 พ ร ะ ม โ ห ส ถ บั ณ ฑิ ต ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ขณะน้ัน มีชายเข็ญใจคนหนึ่ง ชื่อ “ทีฆปิฏฐิ” เดินเลียบมาตามฝั่ง แม่น้ำ� ถึงตรงท่ีสองสามีภรรยายืนอยู่ สองสามีภรรยาถามว่า “แม่นำ้�น้ีลึก หรือต้ืน” นายทีฆปิฏฐิดูท่าทางก็รู้ว่าสามีภรรยาคู่นี้เป็นคนขี้ขลาด กลัวจมน้ำ� จงึ ตอบว่า “แมน่ �้ำ นี้ลกึ มาก ปลาร้ายก็ชุกชุม” สองสามีภรรยาจงึ ซกั ถามว่า “แลว้ เธอขา้ มไปไดอ้ ยา่ งไรเลา่ ” ชายคนนนั้ ตอบวา่ “เราขา้ มจนคนุ้ เคยแลว้ รู้ว่าตรงไหนข้ามได้ ตรงไหนข้ามไม่ได้ สัตว์ร้ายเหล่านั้นจึงไม่ทํา อนั ตรายเรา” สองสามภี รรยาคนู่ น้ั กลา่ ววา่ “ถา้ เชน่ นนั้ ขอใหน้ าํ เราทงั้ สอง ขา้ มไปดว้ ย” ชายคนน้ันรับปากว่าจะพาข้าม สองสามีภรรยาจึงแบ่งอาหารให้กิน เมอ่ื กนิ อม่ิ แลว้ เขาไดถ้ ามวา่ “ทา่ นจะใหเ้ ราพาใครขา้ มไปกอ่ น” นายโคฬกาฬ ตอบว่า “พาภรรยาเราข้ามไปก่อน ค่อยกลับมาพาเราข้ามไปทีหลัง” ชายคนนั้นจึงให้นางทีฆตาลาข้ึนข่ีคอ ถือเสบียงและของฝากทั้งหมดข้ามแม่นำ้� ไปก่อน พอเดินไปได้ระยะหนึ่งก็ย่อตัวลงไป ทําทีเหมือนนำ้�ลึก ค่อย ๆ เดิน ลยุ นำ้�ไป นายโคฬกาฬยนื อยทู่ ี่ฝ่งั คดิ ว่าแมน่ �ำ้ นี้ลกึ จรงิ ๆ คนสูงขนาดนั้นยังลึก ถึงคอ ลำ�พงั ตนจะข้ามไปได้อยา่ งไร สว่ นนายทฆี ปฏิ ฐพิ านางทฆี ตาลาไปถงึ กลางแมน่ �ำ้ กพ็ ดู เกยี้ วพาราสวี า่ “ถ้าเธอไปกบั ฉนั ฉันจะเลี้ยงดูเธออยา่ งดี เธอจะมเี สอ้ื ผา้ อาภรณ์และ เคร่ืองประดับทุกอยา่ ง มคี นใช้ชายหญิงคอยรับใช้ ไอโ้ คฬกาฬเต้ยี น่ัน ได้ให้อะไรเธอบ้าง” นางทีฆตาลาฟังก็หลงเคลิบเคล้ิม ส้ินรักสามีตน มีจิต ปฏิพัทธ์ตอ่ นายทีฆปฏิ ฐิกลางแม่น�ำ้ น่นั เอง จึงตอบว่า “ถา้ ไมท่ อดทง้ิ ฉนั ฉนั ก็ ยนิ ดไี ปกบั เธอ” นายทฆี ปฏิ ฐกิ ลา่ ววา่ “เธอพดู อะไรอยา่ งนนั้ ฉนั จะเลยี้ งดู เธอเอง” คนท้ังสองข้ามถึงฝั่งก็พูดจาฉอเลาะช่ืนชมกันอย่างดูดดื่ม ไม่ใส่ใจ นายโคฬกาฬซ่ึงยืนรออยู่ฝั่งโน้น เพียงแต่กล่าวว่า “เจ้ารออยู่ตรงน้ันก่อน”

พ ร ะ ม โ ห ส ถ บั ณ ฑิ ต 204 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ตา่ งปอ้ นอาหารกนั และกนั ตอ่ หนา้ นายโคฬกาฬซงึ่ ยนื มองดอู ยอู่ กี ฝง่ั แลว้ จงู มอื กนั เดนิ หนไี ป นายโคฬกาฬเหน็ เชน่ นนั้ กร็ วู้ า่ คนทง้ั สองรวมหวั กนั ทงิ้ ตนหนไี ป จงึ วงิ่ ไป ว่ิงมาตามฝ่ังแม่นำ้� เดินลงน้ำ�ไปได้หน่อยหน่ึงก็กลับขึ้นมาเพราะความกลัว ครนั้ เดนิ ลงน�้ำ ไปอกี หนหนงึ่ กก็ ลบั ขนึ้ มาอกี แตด่ ว้ ยความโกรธอยา่ งมากจงึ ตดั สนิ ใจ กระโดดลงไป ดว้ ยหมดอาลยั ตายอยากในชวี ิตว่าจะเปน็ หรอื ตายกต็ าม ก็ได้รวู้ ่า นำ�้ ต้ืน จึงเดินลยุ นำ�้ ข้ามไปแล้วรบี วงิ่ ตามไป ครนั้ ตามไปทนั คนทงั้ สอง นายโคฬกาฬจงึ กลา่ ววา่ “เฮย้ ! อา้ ยโจรรา้ ย มึงจะพาเมียกูไปไหน” นายทีฆปิฏฐิตอบว่า “อ้ายถ่อย ตัวแคระ เต้ีย แล้วยังหน้าด้านอีก เมียมึงเมื่อไร เมียมึงก็ต้องอยู่กับมึง น่ีเมียกู” กลา่ วดงั นแ้ี ลว้ กผ็ ลกั หวั นายโคฬกาฬเซถลาลม้ ไป นายโคฬกาฬลกุ ขนึ้ ไดก้ ร็ บี ควา้ มอื เมียไว้ กล่าวอ้อนวอนว่า “ทีฆตาลา เธอจะไปไหน ฉนั ทํางานมานาน ถึง ๗ ปี จงึ ได้เธอมาเปน็ เมีย อย่าทง้ิ ฉนั ไปเลย” คนทัง้ สองทะเลาะกนั จนผ่านมาถงึ ทีใ่ กลศ้ าลามโหสถ ฝูงชนต่างชุมนุมมุงดูคนแย่งเมียกัน มโหสถให้เรียกคนท้ังสองมา สอบถาม ใหค้ นทง้ั สองยนื ยนั วา่ จะยอมรบั ในค�ำ ตดั สนิ คดคี วาม เมอ่ื ทง้ั สองยนื ยนั จะยอมรบั ในคำ�ตัดสนิ มโหสถจึงเริม่ ไต่สวน ใหเ้ รียกนายทีฆปิฏฐิมาถามก่อนวา่ “ทา่ นชอ่ื อะไร” “ขา้ พเจา้ ชอื่ ทฆี ปฏิ ฐ”ิ ชายผแู้ ยง่ ภรรยาเขา ตอบอยา่ งฉะฉาน “ภรรยาท่านช่ืออะไร” นายทีฆปิฏฐิไม่ทันรู้จักชื่อ จึงโมเมบอกชื่ออ่ืนไป ถามต่อว่า “บิดามารดาท่านชื่ออะไร” ก็บอกชื่อบิดามารดาของตน “บิดา มารดาภรรยาชอื่ อะไร” นายทฆี ปฏิ ฐยิ ังไมท่ นั ไดร้ ู้จักก็บอกช่ืออืน่ มโหสถใหบ้ รวิ ารของตนบนั ทกึ คาํ ใหก้ ารตามทนี่ ายทฆี ปฏิ ฐเิ บกิ ความไว้ จากนนั้ ใหน้ ายทฆี ปฏิ ฐอิ อกไป แลว้ เรยี กนายโคฬกาฬเขา้ มาไตส่ วน ถามชอ่ื บคุ คล ทเ่ี ก่ียวขอ้ งทงั้ หมดเหมอื นทถี่ ามนายทีฆปิฏฐิ

ท ศ ช า ติ 205 พ ร ะ ม โ ห ส ถ บั ณ ฑิ ต ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง นายโคฬกาฬตอบค�ำ ถามตรงตามความจริงของตัวเองทง้ั หมด มโหสถ ใหบ้ นั ทกึ คําเบกิ ความเอาไว้อย่างละเอียด ใหน้ ํานายโคฬกาฬออกไป แล้วเรียก นางทีฆตาลาเข้ามาไต่สวนวา่ “เธอชอื่ อะไร” “ฉันช่ือทีฆตาลา” “สามเี ธอ ชื่ออะไร” นางทีฆตาลายังไม่ทันรู้จักชื่อกันก็บอกชื่ออื่น “บิดามารดาเธอ ชอื่ อะไร” ก็บอกชอ่ื บดิ ามารดาของตน มโหสถถามตอ่ วา่ “บิดามารดาสามี ของเธอชอื่ อะไร” นางทฆี ตาลายงั ไมร่ จู้ กั ชอ่ื พอ่ แมข่ องนายทฆี ปฏิ ฐกิ บ็ อกชอ่ื อน่ื มโหสถให้บันทึกคําเบิกความของนางทีฆตาลาเอาไว้อย่างละเอียด จากน้นั ใหน้ าํ นายทีฆปฏิ ฐิและนายโคฬกาฬเขา้ มา แล้วถามมหาชนวา่ “คําพูด ของนางทีฆตาลาตรงกับนายทีฆปิฏฐิ หรือตรงกับคําพูดของนาย โคฬกาฬ” มหาชนตอบวา่ คําพดู ของนางทีฆตาลากับของนายโคฬกาฬตรงกนั มโหสถจงึ วนิ จิ ฉยั คดนี ว้ี า่ “นายโคฬกาฬเปน็ สามขี องนางทฆี ตาลา ส่วนนายทีฆปิฏฐิเป็นโจรขโมยเมียคนอื่น” ให้นายทีฆปิฏฐิจำ�นนต่อ หลักฐาน ยอมรับสารภาพ นายโคฬกาฬไดภ้ รรยาคืนเพราะการตดั สนิ คดคี วาม อันเที่ยงธรรม ก็ออกปากชื่นชมในความเป็นบัณฑิตของมโหสถ แล้วพาภรรยา ออกเดนิ ทางตอ่ ไป มโหสถสอนนายทฆี ปฏิ ฐวิ า่ “อยา่ ทาํ กรรมเชน่ นอี้ กี ตอ่ ไป” คดคี วามรถ ยงั มชี ายคนหนงึ่ ขบั รถออกจากบา้ นไปลา้ งหนา้ ทแ่ี มน่ �ำ้ ทา้ วสกั กเทวราช ทรงปรารถนาจะแสดงปัญญานุภาพมโหสถ ผู้เป็นหน่อพุทธางกูร ให้เป็นที่รับรู้ อยา่ งกวา้ งขวาง จงึ จาํ แลงกายเปน็ มนษุ ยม์ าจบั ทา้ ยรถเดนิ ตามไป ชายเจา้ ของรถ ถามว่าเดินตามมาทําไม ครั้นได้รับคําตอบว่าท่ีเดินตามมา เผื่อมีอะไรให้ตน ช่วยเหลอื เขาจึงใหท้ า้ วสกั กะแปลงเฝ้ารถให้ แล้วลงจากรถไปทําธรุ ะส่วนตวั

พ ร ะ ม โ ห ส ถ บั ณ ฑิ ต 206 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ทา้ วสกั กเทวราชไดโ้ อกาสจงึ ขน้ึ รถรบี ขบั หนไี ปอยา่ งเรว็ ชายเจา้ ของรถ ทําธุระส่วนตัวเสร็จ ออกมาเห็นรถถูกขโมยหนีไปก็รีบว่ิงตามไป ตะโกนว่า “หยดุ เดยี๋ วนี้ แกจะขบั รถขา้ ไปไหน” ทา้ วสกั กะขบั รถไปพลางตะโกนตอบวา่ “รถแกคันอ่นื แต่คันน้รี ถขา้ ” จงึ เกิดการทะเลาะกนั ข้นึ อย่างรุนแรง จนมาถึง ประตูศาลา มโหสถถามวา่ เสยี งเอะอะโวยวายอะไร ไดร้ ับค�ำ ตอบวา่ คนทะเลาะกัน เร่ืองรถ จึงให้เรียกคนทั้งสองมา ครั้นเห็นคนท้ังสองก็ทราบชัดว่า ชายผู้น้ี คือพระอินทร์ เพราะไม่กะพริบตา มีความองอาจ ปราศจากความเกรงกลัว ส่วนชายผู้นี้เป็นเจ้าของรถ แม้มโหสถทราบเช่นน้ันก็ไม่ด่วนวินิจฉัย ได้ถามถึง เหตุแห่งการวิวาทกัน และให้ท้ังสองยอมรับในคําตัดสินของตน เมื่อทั้งสอง ยืนยนั ว่าจะยอมรับในคำ�ตดั สนิ จงึ เรมิ่ การไตส่ วนไปตามลำ�ดบั มโหสถกลา่ ววา่ “เราจะใหค้ นขบั รถไป ใหท้ า่ นทงั้ สองจบั ทา้ ยรถ แล้ววิ่งตามไป ผู้ท่ีไม่ยอมปล่อยจะเป็นเจ้าของรถ” แล้วให้ชายคนหนึ่ง ขนึ้ รถขบั ไปขบั มา โดยใหค้ นทง้ั สองจบั ทา้ ยรถวง่ิ ตามไป เจา้ ของรถวงิ่ ไปไดค้ รหู่ นงึ่ กเ็ หน็ดเหนื่อยแทบขาดใจ จึงปล่อยรถยืนหอบหมดอาลยั อยู่ ฝ่ายพระอินทร์ยังคงว่ิงตามรถกลับไปกลับมา มโหสถส่ังให้รถวกกลับ มาจอด แล้วบอกฝูงชนว่า “ชายคนนี้วิ่งไปได้ครู่หนึ่งก็ปล่อยรถ แต่อีก คนหน่ึงยังว่ิงตามกลับไปกลับมาไม่มีอาการเหน่ือยหอบ แม้เหง่ือ เพียงหยดเดียวก็ไม่มี ไม่มีความสะทกสะท้าน ทั้งไม่กะพริบตา ผู้น้ี คือพระอนิ ทร์” มโหสถถามวา่ “ทา่ นเปน็ พระอนิ ทรใ์ ชห่ รอื ไม”่ ครน้ั ไดร้ บั ค�ำ ตอบวา่ ใช่ พระองค์คือท้าวสักกะ จึงถามว่า “พระองคเ์ สด็จมาทน่ี ท้ี าํ ไม” ครั้นไดร้ ับ คำ�ตอบจากท้าวสักกะว่า เพื่อประกาศปัญญาของเธอ มโหสถจึงกล่าวว่า “ถ้า เชน่ นนั้ พระองคโ์ ปรดอยา่ ไดก้ ระทาํ อยา่ งนอ้ี กี เลย” พระอนิ ทรเ์ หาะขน้ึ ไป

ท ศ ช า ติ 207 พ ร ะ ม โ ห ส ถ บั ณ ฑิ ต ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ในอากาศ ตรสั ชมมโหสถวา่ วนิ จิ ฉยั คดไี ดเ้ ทย่ี งธรรม แลว้ เสดจ็ กลบั ยงั ทพิ ยสถาน ของพระองค์ คราวน้ัน อํามาตย์ท่ีคอยสังเกตอยู่ในเหตุการณ์ตลอด รู้สึกต่ืนเต้น กับเรื่องทเี่ กิดข้นึ จึงไปเฝา้ พระเจ้าวิเทหราชดว้ ยตัวเอง กราบทูลให้ทรงทราบถึง เร่ืองราวท่ีเกิดขึ้นว่า “มโหสถตัดสินคดีความได้อย่างเที่ยงตรง แม้ พระอินทร์ก็ยังแพ้ ขอพระองค์ทรงโปรดทราบว่า เขาเป็นอัจฉริยบุรุษ เหตุใดพระองค์จึงยังไมท่ รงยอมรับ” พระราชาตรัสถามอาจารย์เสนกะว่า “ควรนําบัณฑิตเข้ามา ราชสำ�นักได้หรือยัง” เสนกปุโรหิตเป็นคนขี้อิจฉา ตระหน่ีลาภ ได้กราบทูล ทัดทานว่า “คนไม่ได้เป็นบัณฑิตด้วยเหตุเพียงเท่าน้ี ขอพระองค์ โปรดรอไปกอ่ น เราทดลองเขาไปเรอ่ื ย ๆ แลว้ กจ็ ะรเู้ อง” พระเจา้ วเิ ทหราช ทรงประทบั น่งิ โดยดษุ ณภี าพ ไมต่ รัสอะไร ไขปริศนาจอมราชัน ปริศนาเรอ่ื ง โคนกับปลายไมต้ ะเคียน วันหน่ึง พระเจ้าวิเทหราชต้องการทดลองปัญญามโหสถ จึงให้นํา ท่อนไม้ตะเคียนมาตัดให้เหลือเพียง ๑ คืบ ให้ช่างกลึงกลึงให้เท่ากัน แล้วส่ง ไปยงั หมบู่ า้ นปาจนี ยวมชั ฌคาม ซง่ึ เปน็ หมบู่ า้ นทมี่ โหสถอาศยั อยู่ พรอ้ มรบั สงั่ ให้ ชาวบ้านแก้ปัญหาว่า ท่อนไม้ตะเคียนน้ี ส่วนไหนเป็นโคน ส่วนไหนเป็นปลาย ถ้าไมม่ ีใครรจู้ ะถกู ปรบั สนิ ไหมเปน็ เงนิ ๑,๐๐๐ กหาปณะ ชาวบ้านต่างมาประชุมกนั แตก่ ็ไม่มใี ครตอบได้ จึงบอกสิรวิ ัฒกเศรษฐี ว่า บางทีมโหสถน่าจะรู้ เศรษฐีจึงให้ตามบุตรชายมาจากสนามเด็กเล่น บอก เร่ืองราวใหท้ ราบ แล้วถามวา่ “ลกู พ่อ ชาวบา้ นไมม่ ีใครรู้ปัญหานี้ ลกู พอ่ พอจะร้บู ้างไหม”

พ ร ะ ม โ ห ส ถ บั ณ ฑิ ต 208 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง มโหสถคิดว่า พระราชาไม่ได้ต้องการท่ีจะทราบโคนหรือปลาย ของไมต้ ะเคยี นทอ่ นนี้ แตท่ รงสง่ ไมต้ ะเคยี นทอ่ นนม้ี าดว้ ยมพี ระประสงคจ์ ะทดลอง ภมู ิปัญญาของตน มโหสถรับท่อนไม้ตะเคียนมาเท่าน้ัน ก็รู้ได้ทันทีว่า ข้างไหนปลาย ขา้ งไหนโคน แมร้ เู้ ชน่ นน้ั กใ็ หน้ าํ ภาชนะใสน่ �ำ้ มา เพอ่ื จะแสดงปญั ญานภุ าพของตน และสอนชาวบ้านให้รู้วิธีคิดคํานวณหาโคนและปลายไม้ มโหสถวัดกึ่งกลาง ระหวา่ งทอ่ นตะเคยี น แลว้ เอาดา้ ยผกู ตรงกลางทอ่ น จบั ปลายดา้ ยยกไว้ วางทอ่ น ตะเคียนในน�้ำ พอวางเท่านน้ั ส่วนโคนก็จมลงก่อน เพราะดา้ นโคนหนกั กวา่ มโหสถถามชาวบ้านว่า “ต้นไม้ทั่วไปโคนหนักหรือปลายหนัก” ชาวบ้านตอบว่า “โคนหนัก” จึงกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้น ส่วนท่ีจมลงก่อน ก็เป็นโคน” แล้วทําเครื่องหมายเป็นสัญลักษณ์ไว้ ส่งไปทูลพระราชาว่า ขา้ งน้ีปลาย ขา้ งน้ีโคน พระเจ้าวเิ ทหราชทรงยนิ ดี ตรัสถามว่า ใครเป็นผคู้ ดิ หาวิธี คํานวณไม้ท่อนน้ีจึงรู้ได้ ก็ได้ทราบว่ามโหสถเป็นผู้คิดวิธีคำ�นวณ จึงตรัสถาม เสนกปุโรหิตว่า ควรนํามโหสถมาได้หรือยัง แม้เสนกะก็ยังยืนยันว่าให้รอ ไว้ก่อน ยังไมค่ วรนําเข้าสพู่ ระราชวงั ในเวลานี้ ปริศนาเรอ่ื ง กะโหลกหญิงหรือชาย อยู่มาวันหน่ึง พระเจ้าวิเทหราชให้นํากะโหลกหญิงและชายมา ส่งไป ให้ชาวบ้านปาจีนยวมัชฌคามคิดหาวิธีพิสูจน์ว่า กะโหลกไหนเป็นหญิงและ กะโหลกไหนเปน็ ชาย ถ้าไมร่ จู้ ะถูกปรับสินไหม ๑,๐๐๐ กหาปณะ ชาวบา้ นไมร่ ู้ จงึ ถามมโหสถ พอมโหสถเหน็ กะโหลกเทา่ นนั้ กร็ วู้ า่ ศรี ษะไหนเปน็ หญงิ ศรี ษะไหน เป็นชาย เพราะผู้ชายมีรอยหยักกะโหลกตรง ส่วนผู้หญิงมีรอยหยักกะโหลก โค้งไปโค้งมา ไม่ตรงเหมือนกับรอยหยักกะโหลกผู้ชาย ชาวบ้านได้ส่งข่าว

ท ศ ช า ติ 209 พ ร ะ ม โ ห ส ถ บั ณ ฑิ ต ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ไปกราบทูลพระราชา พระองค์ประสงค์ที่จะนํามโหสถเข้าสู่พระนคร แต่เสนกะ ก็ยงั ทลู ทัดทานเหมอื นเดิม ปริศนาเรอื่ ง งูตัวผูห้ รือตัวเมยี อยู่มาวันหน่ึง พระเจ้าวิเทหราชให้นํางูตัวผู้และงูตัวเมียมา ส่งไปให้ ชาวบ้านปาจีนยวมัชฌคามคิดหาวิธีพิสูจน์ว่า งูตัวไหนเป็นงูตัวผู้ งูตัวไหน เป็นงูตัวเมีย เมื่อไม่มีใครรู้จะปรับสินไหม ๑,๐๐๐ กหาปณะ เมื่อชาวบ้านไม่รู้ จึงถามมโหสถ พอมโหสถบัณฑิตเห็นเท่าน้ันก็รู้ได้ทันที เพราะงูตัวผู้มีหางใหญ่ งูตัวเมียมีหางเรียวเล็ก หัวงูตัวผู้ใหญ่ หัวงูตัวเมียเรียวเล็ก นัยน์ตางูตัวผู้ใหญ่ นัยน์ตางูตวั เมยี เล็ก ลายงูตวั ผูต้ ิดกนั ส่วนลายงูตัวเมียไมต่ ิดกนั ชาวบ้านส่งข่าว ไปกราบทูลพระราชา พระองค์ทรงยินดี มีความประสงค์จะนำ�มโหสถเข้าสู่ พระราชวงั แมเ้ ชน่ นเ้ี สนกะก็ยังทูลทดั ทานไว้เหมือนเดมิ ปริศนาเร่ือง โคขาวมเี ขาท่เี ท้า อยมู่ าวนั หนง่ึ พระเจา้ วเิ ทหราชใหช้ าวบา้ นปาจนี ยวมชั ฌคาม สง่ โคตวั ผู้ ท่ีมีลักษณะมงคลมาถวาย โคนั้นขาวท้ังตัว มีเขาท่ีเท้า มีโหนกท่ีหัว วันหนึ่ง รอ้ ง ๓ เวลา ถา้ สง่ มาไมไ่ ดจ้ ะปรบั สนิ ไหมเปน็ เงนิ ๑,๐๐๐ กหาปณะ เมอื่ ชาวบา้ น ไมร่ ู้จึงถามมโหสถ มโหสถกล่าวว่า พระราชาให้ส่งไก่ขาวท้ังตัวไปถวายนั่นเอง ไก่มีเขา ท่ีเท้าเพราะมเี ดือยทีเ่ ท้า มโี หนกทหี่ วั เพราะมีหงอนท่ีหัว ท่วี า่ วนั หนึ่งรอ้ ง ๓ เวลา เพราะวันหน่ึงขัน ๓ ครั้ง ฉะนั้นให้ส่งไก่มีลักษณะอย่างนี้ไปถวายพระราชา ชาวบา้ นเหลา่ นนั้ กส็ ง่ ไปถวายพระราชา พระราชาทรงยนิ ดี มคี วามประสงคจ์ ะน�ำ มโหสถเข้าสู่พระราชวัง เสนกะก็ทลู ทัดทานเอาไว้

พ ร ะ ม โ ห ส ถ บั ณ ฑิ ต 210 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ปริศนาเรอ่ื ง ดา้ ยร้อยแก้วมณี พระเจา้ วเิ ทหราชมแี กว้ มณที ที่ า้ วสกั กเทวราชประทานแกพ่ ระเจา้ กสุ ราช เปน็ ของสําคัญมาก แกว้ มณนี ้นั มี ๘ เหลย่ี ม ดา้ ยร้อยแกว้ มณีเกา่ ขาด ไมม่ ีใคร ดึงเอาด้ายเกา่ ออกแลว้ รอ้ ยด้ายใหมไ่ ด้ พระเจ้าวิเทหราชจึงส่งไปให้ชาวบ้านในหมู่บ้านปาจีนยวมัชฌคาม นั้น เอาด้ายเก่าออกแล้วร้อยด้ายใหม่แทน ถ้าร้อยไม่ได้จะปรับสินไหมเป็นเงิน ๑,๐๐๐ กหาปณะ พวกชาวบา้ นหมดปญั ญา ไมส่ ามารถดงึ เอาดา้ ยเกา่ ออกแลว้ ร้อยดา้ ยใหมเ่ ข้าแทนไดจ้ ึงแจง้ แก่มโหสถ มโหสถบอกชาวบ้านว่า “อย่าวิตกไปเลย” แล้วให้เอานำ้�ผ้ึงมาทา รูแก้วมณีท้ังสองข้าง ให้ฟ่ันขนสัตว์เป็นด้าย แล้วเอาน้ำ�ผึ้งทาปลายด้ายนั้น รอ้ ยปลายดา้ ยเขา้ ไปในรแู กว้ มณนี ดิ หนง่ึ วางไวใ้ นทม่ี ดแดงจะออกหากนิ มดแดง ได้กล่ินนำ้�ผ้ึงจึงพากันออกมารุมกินด้ายเก่าในแก้วมณี แล้วพยายามแทะเล็ม กินนำ้�ผึ้งที่ด้ายใหม่ จึงคาบปลายด้ายขนสัตว์อันใหม่ที่สอดไว้ ลากออกมาอีก ข้างหนงึ่ มโหสถรู้ว่าด้ายนั้นเข้าไปแล้ว จึงให้ชาวบ้านนําไปถวายพระราชา พระราชาทรงสดับอบุ ายวิธีท่มี โหสถรอ้ ยด้ายน้ันก็ทรงยินดี ปริศนาเร่ือง โคตวั ผู้ตกลกู วันหนึ่ง พระราชารับสั่งข้าราชบริพารให้เอาขนมกุมมาสให้โคตัวผู้กิน เป็นจํานวนมากจนท้องโต ให้ล้างเขาท้ังสองข้างให้สะอาดแล้วทาด้วยน้ำ�มัน เอาน้ำ�ขมิ้นทาตามตัว ส่งไปยังหมู่บ้านปาจีนยวมัชฌคามนั้น ด้วยพระดํารัสว่า “ทราบมาวา่ หมบู่ า้ นปาจนี ยวมชั ฌคามเปน็ หมบู่ า้ นบณั ฑติ โคตวั ผมู้ งคล ของพระราชามลี กู ขอให้ชาวบ้านช่วยกนั ทําใหโ้ คตวั ผ้นู ี้ตกลูก แล้วส่ง

ท ศ ช า ติ 211 พ ร ะ ม โ ห ส ถ บั ณ ฑิ ต ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง กลบั ไปคืนพระราชาพรอ้ มทั้งลูกโค เม่ือไม่สง่ จะปรับสนิ ไหมเป็นเงิน ๑,๐๐๐ กหาปณะ” ชาวบา้ นตา่ งประชุมปรึกษากันเพื่อหาวธิ ี แต่กไ็ ม่สามารถทําใหโ้ คตวั ผู้ ตกลูกได้จึงถามมโหสถ มโหสถคิดว่า เร่ืองน้ีจำ�เป็นต้องย้อนปัญหา จึงถามว่า “มใี ครทแ่ี กลว้ กลา้ สามารถทลู ตอบโตก้ บั พระราชาไดห้ รอื ไม”่ ชาวบา้ น คนหนงึ่ เสนอตวั ท�ำ หนา้ ที่ มโหสถบอกให้ชาวบ้านคนน้ันไปสยายผม แล้วร้องไห้โอดครวญโดย ประการตา่ ง ๆ ทป่ี ระตพู ระราชวัง ใครถามก็อย่าตอบ แตใ่ หร้ ้องไห้โอดครวญ เรื่อยไป รอจนกว่าพระราชาจะตรัสเรียกมาถามถึงสาเหตุท่ีร้องไห้ จากนั้น จึงกราบทูลอย่างน้ีว่า “ข้าแต่สมมติเทพ บิดาของข้าพระองค์คลอดบุตร ไม่ได้ วันนี้ครบ ๗ วันแล้ว ขอจงเป็นที่พึ่งของข้าพระองค์ด้วยเถิด โปรดทรงหาวิธีทจ่ี ะใหบ้ ดิ าข้าพระองค์คลอดลกู ด้วยเถิด” พระราชาตรสั วา่ “เจา้ พดู บา้ อะไรของเจา้ ผชู้ ายทไี่ หนจะคลอดลกู ได”้ ใหก้ ราบทูลวา่ “ข้าแตส่ มมติเทพ ถา้ อย่างน้มี ีไม่ได้ แล้วชาวบ้าน ปาจีนยวมัชฌคามจะทําให้โคมงคลของพระองค์ตกลูกได้อย่างไร” ชายคนนนั้ รับว่าทําได้ จงึ ไดไ้ ปท�ำ ตามทีม่ โหสถบอก โดยท่ไี ม่รูต้ น้ สายปลายเหตุ เมื่อพระราชาตรัสถามถึงผู้ท่ีเป็นเจ้าของความคิดนี้ ทราบว่ามโหสถเป็นผู้คิด ก็โปรดปรานยงิ่ ขึ้น ปริศนาเร่อื ง หงุ ข้าวใหม้ รี สเปรย้ี ว อีกวันหนึ่ง พระราชาทรงดําริว่าจะทดลองปัญญามโหสถ จึงให้ ส่งขา่ วไปวา่ ชาวบา้ นปาจีนยวมัชฌคามเป็นบณั ฑิต ขอให้หงุ ขา้ วเปรีย้ วมาถวาย ข้าวเปรี้ยวนั้นต้องประกอบดว้ ยคณุ สมบัติ ๘ อยา่ ง คอื ๑) ไมใ่ ห้หงุ ดว้ ยข้าวสาร ทัว่ ไป ๒) ไม่ใหห้ งุ ด้วยนำ้�ทัว่ ไป ๓) ไม่ใหห้ ุงด้วยหม้อข้าว ๔) ไมใ่ ห้หุงด้วยเตา

พ ร ะ ม โ ห ส ถ บั ณ ฑิ ต 212 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง หงุ ข้าว ๕) ไม่ใหห้ ุงดว้ ยไฟทว่ั ไป ๖) ไม่ใหห้ ุงดว้ ยฟนื ๗) ไม่ให้หญิงหรือชาย ยกมา ๘) ไม่ใหน้ ํามาส่งโดยหนทาง หากชาวบ้านปาจีนยวมัชฌคามส่งมาไม่ได้จะถูกปรับสินไหมเป็นเงิน ๑,๐๐๐ กหาปณะ ชาวบ้านได้แจ้งแกม่ โหสถ มโหสถบอกใหช้ าวบา้ นหงุ ดว้ ยขา้ วแหลก ไมใ่ ชข่ า้ วสาร ใหห้ งุ ดว้ ยน�้ำ คา้ ง ไม่ใช่น้ำ�ปกติ ให้หุงด้วยภาชนะดินใหม่ ไม่ใช่หม้อข้าว ให้ตอกตอไม้สําหรับ ตง้ั ภาชนะดนิ ใหมห่ งุ ไมใ่ ชห่ งุ ดว้ ยเตา ใหห้ งุ ดว้ ยไฟทน่ี าํ ไมม้ าสกี นั จนเกดิ ไฟ ไมใ่ ช่ ไฟท่ีก่อตามปกติ ให้หุงด้วยใบไม้ ไม่ใช่หุงด้วยฟืน ช่ือว่าหุงข้าวเปรี้ยวแล้ว บรรจุในภาชนะใหม่ ผูกด้วยด้ายแล้วประทับตรา อย่าให้หญิงหรือชายยกไป ให้กะเทยยกไป อย่าเดินไปตามหนทางหลัก ให้เดินลัดเลาะไปตามทางน้อย และทางใหญ่สลับกนั อันชือ่ ว่าไมไ่ ดส้ ่งมาตามหนทาง แล้วสง่ ไปถวายพระราชา พระราชาทอดพระเนตรเห็นเช่นนั้น ทรงทราบว่ามโหสถคิด กโ็ ปรดปรานยิง่ ข้ึน ปริศนาเร่ือง เชือกทรายห้อยชิงชา้ อกี วนั หนง่ึ พระราชาประสงคจ์ ะทดลองปญั ญามโหสถ จงึ สง่ ขา่ วไปบอก ชาวบ้านปาจีนยวมัชฌคามว่า พระราชามีพระประสงค์จะทรงเล่นชิงช้าห้อยด้วย เชือกทราย เชือกทรายเก่าในราชสกุลขาดเสียแล้ว ให้ชาวบ้านฟั่นเชือกทราย หน่ึงเส้นส่งมาถวาย ถ้าส่งมาถวายไม่ได้จะถูกปรับสินไหมเป็นเงิน ๑,๐๐๐ กหาปณะ ชาวบ้านจงึ แจง้ แกม่ โหสถ มโหสถคิดว่าเรื่องนี้ต้องย้อนปัญหา จึงเรียกคนฉลาดเจรจามา สองสามคน แนะนาํ ใหไ้ ปทูลพระราชาวา่ “ชาวบ้านไมท่ ราบขนาดเชือกน้ัน วา่ เลก็ ใหญเ่ ทา่ ไร ขอไดโ้ ปรดสง่ เชอื กทรายเสน้ เกา่ ประมาณสกั หนงึ่ คบื

ท ศ ช า ติ 213 พ ร ะ ม โ ห ส ถ บั ณ ฑิ ต ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ไปเป็นตัวอย่าง ชาวบ้านเห็นเชือกทรายเก่าแล้วจะได้ฟั่นได้ตรงตาม ขนาดท่ีต้องการ ถ้าพระราชารับส่ังว่า เชือกทรายเก่าในพระราชฐาน ไมม่ ี ทา่ นทงั้ หลายจงกราบทลู วา่ ขา้ แตพ่ ระมหาราช ถา้ เชอื กทรายเกา่ ตวั อยา่ งไมม่ ี แลว้ ชาวบา้ นจะทาํ เชอื กทรายเสน้ ใหมไ่ ดอ้ ยา่ งไร” ชาวบา้ น ไดท้ าํ ตามทม่ี โหสถแนะนาํ พระราชาตรสั ถามถงึ ผทู้ ค่ี ดิ ยอ้ นปญั หานี้ ทรงทราบวา่ มโหสถคิดก็ทรงยินดี ปรศิ นาเรื่อง ส่งสระน�ำ้ ไปถวายพระราชา อยู่มาวันหนึ่ง พระเจ้าวิเทหราชต้องการทดลองปัญญามโหสถอีก จงึ ใหส้ ง่ ขา่ วไปบอกชาวบา้ นวา่ พระราชามพี ระประสงคจ์ ะทรงเลน่ น�ำ้ ใหช้ าวบา้ น ส่งสระโบกขรณีที่เต็มไปด้วยบัวหลากสีไปถวาย ถ้าชาวบ้านไม่ส่งจะถูกปรับ สนิ ไหมเปน็ เงนิ ๑,๐๐๐ กหาปณะ ชาวบ้านจงึ แจง้ ให้มโหสถทราบ มโหสถคิดว่าเร่ืองนี้ต้องย้อนปัญหา จึงสั่งให้เรียกคนฉลาดเจรจา มาสองสามคน แนะนําให้พดู แล้วสง่ ไปทลู ว่า ท่านทั้งหลาย จงเล่นน�ำ้ จนตาแดง ทงั้ ผมทง้ั เสอ้ื ผา้ เปยี กปอน ตวั เปอ้ื นโคลน ถอื เชอื ก กอ้ นดนิ และทอ่ นไม้ ไปประตู พระราชนิเวศน์ ให้กราบทูลว่า พวกท่านมายืนคอยเฝ้าพระราชา เม่ือมีโอกาส ไดเ้ ขา้ เฝา้ แลว้ จงึ กราบทลู วา่ “ขา้ แตพ่ ระมหาราชเจา้ พระองคท์ รงสง่ ขา่ วไปให้ ชาวบ้านส่งสระโบกขรณีมาถวาย แต่เม่ือพวกข้าพระองค์นํามา สระ โบกขรณนี น้ั เห็นพระนครมกี าํ แพง คูค่าย ป้อมปราการ ประตู หอรบ ก็กลัว ตื่นตกใจ ด้นิ รน ตดั เชอื กหนีเข้าป่าไป เพราะเคยอยู่ในปา่ แม้ พวกข้าพระองค์จะบังคับโบยตีด้วยก้อนดินและท่อนไม้อย่างไรก็ ไมส่ ามารถนาํ กลบั มาได้ ขอพระองคโ์ ปรดพระราชทานสระโบกขรณเี กา่ ของพระองคท์ น่ี �ำ มาจากป่า พวกขา้ พระองคจ์ ะนาํ ไปหลอกลอ่ แล้วผกู ติดกับสระโบกขรณีใหมน่ าํ มาถวาย”

พ ร ะ ม โ ห ส ถ บั ณ ฑิ ต 214 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง เมอื่ พระราชารบั สงั่ วา่ “พวกเจา้ เอาอะไรมาพดู ไมเ่ ปน็ เรอ่ื งเปน็ ราว เราไมเ่ คยนาํ สระโบกขรณมี าจากปา่ ” จงึ ทลู วา่ “ขา้ แตส่ มมตเิ ทพ ถา้ ไมไ่ ด้ อยา่ งนแี้ ลว้ ชาวบา้ นจะสง่ สระโบกขรณมี าถวายไดอ้ ยา่ งไร” ชาวบา้ นทร่ี บั คําแนะนําของมโหสถได้ไปทําตามทุกประการ พระราชาทรงทราบว่ามโหสถ แก้ปัญหานีก้ ท็ รงยนิ ดี ปริศนาเร่อื ง ส่งอทุ ยานไปถวายพระราชา อยมู่ าวนั หนงึ่ พระราชาโปรดใหส้ ง่ ขา่ วไปอกี วา่ พระองคป์ ระสงคจ์ ะทรง ประพาสพระราชอุทยาน แต่พระราชอุทยานเก่าของพระองค์นั้นต้นไม้หักโค่น เสียหายหมด ชาวบ้านปาจีนยวมัชฌคามให้ส่งอุทยานใหม่เต็มไปด้วยต้นไม้ ออกดอกผลิบานสะพรั่งงดงามมาถวาย ถ้าไม่ส่งเข้ามาตามพระราชประสงค์ จะถูกปรับสินไหมเป็นเงิน ๑,๐๐๐ กหาปณะ พวกชาวบ้านได้นําความแจ้งให้ มโหสถทราบ มโหสถคิดว่าเรื่องนี้ต้องย้อนปัญหา จึงเรียกคนท้ังหลายมาส่ัง เหมอื นเรอ่ื งสง่ สระโบกขรณไี ปถวาย คนเหลา่ นนั้ กไ็ ปทาํ ตามสง่ั พระราชาทรงสดบั ดงั นน้ั จึงตรสั ถามความเห็นเสนกะว่าควรนํามโหสถบณั ฑติ มาได้หรอื ยงั เพราะ เสนกะหวงลาภ จิตใจคับแคบ จงึ ทลู ทัดทานเหมือนเดมิ พระเจ้าวิเทหราชทรงดําริว่า มโหสถสามารถแก้ปัญหาอย่างธรรมดา ไดถ้ งึ ๗ ข้อ แก้ปญั หาที่ลึกซึง้ ซึ่งผูกขน้ึ มาทดลองมโหสถโดยเฉพาะ และยงั ย้อน ปญั หาเชน่ นไ้ี ด้ เปน็ เหมอื นการแกป้ ญั หาของพระพทุ ธเจา้ แตอ่ าจารยเ์ สนกะกย็ งั ไม่ยอมให้นาํ บณั ฑิตเชน่ นมี้ าพระราชนเิ วศน์ ชา่ งเถอะ อย่าสนใจคาํ คดั ค้านของ อาจารยเ์ สนกะนักเลย เราจะไปนํามโหสถมาด้วยตัวเอง พระเจ้าวิเทหราชได้เสด็จไปยังหมู่บ้านปาจีนยวมัชฌคาม ด้วยขบวน เสดจ็ อยา่ งยิง่ ใหญ่อลังการ แต่ในระหวา่ งทางทพี่ ระองคท์ รงมา้ มงคลเสด็จไปนั้น

ท ศ ช า ติ 215 พ ร ะ ม โ ห ส ถ บั ณ ฑิ ต ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง กีบเท้าของม้าก็แตกเพราะกระทบพื้นดินท่ีแตกระแหง และเส้นทางท่ีทุรกันดาร มาก พระราชาจงึ เสดจ็ กลบั เข้าพระนคร อาจารยเ์ สนกะเขา้ เฝา้ ทลู ถามถงึ การเสดจ็ ไปหมบู่ า้ นปาจนี ยวมชั ฌคาม ครั้นไดฟ้ ังพระกระแสรบั สง่ั ถงึ เหตุการณท์ เ่ี กดิ ข้ึน จึงไดท้ ีกราบทลู วา่ “พระองค์ ทึกทกั เอาวา่ ข้าพระองคข์ ดั ขวางความเจริญ ขอพระองคท์ รงพจิ ารณา เองเถดิ วา่ ทาํ ไมขา้ พระองคจ์ งึ ทดั ทานใหท้ รงรอไวก้ อ่ น แตก่ ย็ งั ทรงมา้ มงคลรบี ดว่ นเสดจ็ ออกไป เดชะบญุ ทกี่ บี มา้ แตกไปเสยี กอ่ น ไมเ่ ชน่ นนั้ ไมท่ ราบว่าจะเกดิ เหตุรา้ ยแรงอะไรขึน้ ” พระเจ้าวิเทหราชได้สดับคําของเสนกะก็ทรงนิ่งเงียบ ยอมรับโดย ดุษณีภาพ วันรุ่งขึ้น พระเจ้าวิเทหราชไม่อาจทนอยู่ได้ จึงปรึกษาเสนกะอีกว่า จะนํามโหสถเข้ามายังพระราชวัง เสนกปุโรหิตกราบทูลว่า “ถ้าเช่นนั้น พระองคอ์ ยา่ เสดจ็ ไปเอง จงสง่ ทตู ไปบอกมโหสถวา่ พระองคเ์ สดจ็ ไปหา มโหสถแลว้ แตก่ บี มา้ พระทน่ี งั่ แตกระหวา่ งทางจงึ เสดจ็ กลบั ขอมโหสถ จงส่งม้าอัสดร๓ หรือม้าประเสริฐกว่าม้าสามัญทั่วไปมา ถ้าเธอจะส่ง ม้าอัสดรมา เธอจงมาด้วยตัวเอง แต่เมื่อจะส่งม้าตัวประเสริฐมา จงส่งบิดาของเธอมาด้วย” พราหมณ์เสนกะคิดว่าปัญหาน้ี จะทําให้มโหสถ เขา้ ตาจน พระเจ้าวิเทหราชทรงเห็นด้วยจึงส่งราชทูตไปแจ้งตามนั้น มโหสถ ได้ฟังคําราชทูต คิดว่าพระราชาทรงมีพระราชประสงค์จะพบเราและบิดา เมื่อ ราชทูตกลับไปแล้ว จึงบอกบิดาว่า “พ่อ พระราชาทรงมีพระราชประสงค์ ๓ มา้ อสั ดร เปน็ มา้ ทปี่ ระเสรฐิ กวา่ มา้ สามญั ทว่ั ไป เกดิ จากการผสมพนั ธร์ุ ะหวา่ ง พ่อลากับแม่มา้

พ ร ะ ม โ ห ส ถ บั ณ ฑิ ต 216 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง จะพบพอ่ และลกู ขอใหพ้ อ่ พรอ้ มดว้ ยเศรษฐคี นอนื่ ๆ ไปเฝา้ พระราชากอ่ น แตอ่ ยา่ ไปมอื เปลา่ ใหน้ าํ ผอบไมจ้ นั ทนบ์ รรจเุ นยใสใหเ้ ตม็ นาํ ไปถวาย ดว้ ย พระราชาจะตรสั ปฏสิ นั ถารกบั พอ่ และจะรบั สง่ั ใหน้ งั่ ทนี่ ง่ั อนั สมควร ใหพ้ อ่ พจิ ารณาทน่ี ง่ั ทส่ี มควร เมอื่ พอ่ นงั่ แลว้ ลกู จะตามเขา้ ไป พระราชา จะตรสั ทกั ทายลกู แล้วรบั ส่ังให้น่ังทส่ี มควรเชน่ กัน จากน้ัน ลกู จะมอง ดูพ่อ ขอให้พ่อลุกจากที่นั่งแล้วบอกว่า มโหสถลูกพ่อ ลูกมาน่ังท่ีนี่ ปญั หาทง้ั หลายทง้ั ปวงทห่ี มบู่ า้ นของพวกเราจะจบลงวนั น”ี้ แลว้ กาํ ชบั พอ่ ให้จําสิ่งทน่ี ดั แนะกนั ไว้ บิดามโหสถทําตามน้ัน ได้ออกเดินทางล่วงหน้าไปก่อน ให้กราบทูล พระราชาว่ามคี นมายนื รอเขา้ เฝา้ ครั้นได้รับพระบรมราชานุญาตแล้ว จงึ เขา้ เฝา้ ถวายบงั คมพระราชายนื อยู่ พระเจ้าวิเทหราชทรงทักทายปราศรัย แล้วตรัสถามว่า “คหบดี มโหสถบุตรของท่านไม่มาด้วยหรือ?” เศรษฐีกราบทูลว่า มโหสถกําลัง ตามมา พระราชาทรงทราบกด็ พี ระทยั แลว้ รบั สง่ั ใหเ้ ศรษฐเี ลอื กทนี่ ง่ั ตามสมควร บัณฑิตนอ้ ยถวายตวั ฝ่ายมโหสถแต่งตัวเสร็จแล้ว มีเพื่อนเด็กบริวารห้อมล้อม นั่งรถที่ ประดับอย่างหรูหราไป ขณะกำ�ลังเข้าสู่พระนคร ได้เห็นลาตัวหนึ่งเดินแทะเล็ม กินหญ้าอยู่ท่ีคูค่ายใกล้กําแพงพระนคร จึงสั่งให้เพื่อนเด็กไปจับลามาผูกปากไว้ ปอ้ งกนั ไมใ่ หร้ อ้ ง หอ่ ดว้ ยเสอื่ ลาํ แพน ใหน้ อนบนไมก้ ระดาน ชว่ ยกนั หามมา แลว้ เข้าสพู่ ระราชวงั พรอ้ มเด็กบริวาร ขณะเข้าสู่พระนคร มีประชาชนมามุงดูบัณฑิตน้อยอย่างเนืองแน่น ต่างพากันพูดชมเชยไม่ขาดปากวา่ “หนนู ้อยคนนี้ ลูกสิรวิ ัฒกเศรษฐี ช่อื ว่า

ท ศ ช า ติ 217 พ ร ะ ม โ ห ส ถ บั ณ ฑิ ต ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง “มโหสถ” เขาว่าเม่ือเกิดมาก็ถือแท่งโอสถมาด้วย เขาแก้ปัญหาท่ี พระราชาทดลองไดท้ กุ ขอ้ ” เมื่อพระราชาทรงทราบว่ามโหสถมาถึงแล้วก็ทรงยินดี ตรัสว่า “มโหสถบุตรเรา เข้ามาเถิด” มโหสถพร้อมด้วยเด็กบริวารขึ้นสู่ปราสาท ถวายบงั คมพระราชาแลว้ ยนื อยขู่ า้ งหนง่ึ พระราชาทอดพระเนตรเห็นมโหสถก็ทรงปราโมทย์ยิ่ง ตรัสปฏิสันถาร อย่างเอ็นดูว่า “น่ังตามสบายเถิด บัณฑิตน้อย” ขณะนั้นพระโพธิสัตว์ ชายตามองดูบิดา สิริวัฒกเศรษฐีก็ลุกจากที่นั่งให้มโหสถมานั่งแทนตามท่ีได้ นัดแนะกันไว้ ขณะน้ัน บัณฑิต ๔ คน ท้ัง เสนกะ ปุกกสุ ะ กามนิ ทะ และเทวนิ ทะ คอยจ้องจับผิดอยู่ แม้ชนเหล่าอื่นผู้ไม่เข้าใจเห็นเหตุการณ์ต่างก็พากันตบมือ สรวลเสเฮฮา ขบขนั พดู เยาะเยย้ ว่า “คนทงั้ หลายพากนั เรียกคนโฉดเขลา ผู้น้ีว่า “บัณฑิต” การเรียกผู้ที่ไล่ให้บิดาลุกจากท่ีแล้วนั่งเสียเองน้ีว่า “บณั ฑติ ” ไม่สมควรเลย” พระเจ้าวิเทหราชทรงมีพระพักตร์ชา สลด เศร้าหมอง เสียพระทัย เพราะความอบั อายคณะมนตรีและข้าราชบรพิ ารวา่ ยกย่องคนผดิ มโหสถเห็นอากัปกิริยาของพระราชาเช่นนั้นจึงทูลถามว่า “ขณะ ข้าพระองค์เข้าเฝ้า ดูพระองค์ร่าเริงแจ่มใส แต่ขณะน้ีพระองค์ดู เคร่งขรึมไป พระองค์เสยี พระทยั หรือพระเจ้าข้า” พระราชาตรสั ตอบวา่ “ใช่ เราเสียใจ เมอ่ื กอ่ นเราไดฟ้ งั เรือ่ งราว ของเจ้าก็ยินดีเป็นอย่างย่ิง แต่พอมาได้เห็นเช่นน้ีไม่เป็นดังที่เขา เล่าลอื กนั กร็ ู้สึกเสียใจ” มโหสถกราบทลู ถามวา่ “เพราะเหตุไรหรือพระเจ้าข้า”

พ ร ะ ม โ ห ส ถ บั ณ ฑิ ต 218 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง พระเจ้าวิเทหราชตรัสตอบว่า “เพราะเจ้าให้บิดาของตนลุกจาก ท่ีน่ังแล้วน่ังเสียเอง เป็นการกระทําท่ีไม่ถูกต้อง ไม่ใช่วิสัยท่ีบัณฑิต พึงกระทาํ ” มโหสถทูลถามว่า “พระองค์ทรงเข้าพระทัยว่า บิดาสำ�คัญกว่า บุตรเสมอไปหรือพระเจ้าข้า” พระราชาตรัสตอบว่า “เราเข้าใจเช่นน้ัน บณั ฑติ นอ้ ย ไมว่ า่ จะอยา่ งไร บดิ าตอ้ งสาํ คญั กวา่ บตุ ร” มโหสถจงึ กราบทลู ถามวา่ “พระองค์ส่งข่าวไป มรี บั ส่ังใหข้ า้ พระองคน์ ําม้าอัสดรมาถวาย ไมใ่ ชห่ รือพระเจ้าข้า” เม่ือกราบทลู ดงั นแ้ี ล้ว มโหสถ จงึ ให้บรวิ ารหามลานนั้ เขา้ มา ใหน้ อนแทบพระบาทพระเจา้ วเิ ทหราช แลว้ ทลู ถามวา่ “ขอเดชะ ลาตวั น้ี ราคาเท่าไร พระเจา้ ข้า” แมพ้ ระราชาจะไมท่ รงเขา้ พระทัยที่มโหสถนาํ ลามา แต่กต็ อบว่า “ถ้า ใชง้ านได้ก็มรี าคาประมาณ ๘ กหาปณะ” มโหสถทลู ถามตอ่ ไปวา่ “แลว้ มา้ อสั ดร เกดิ จากทอ้ งแมม่ า้ สามญั หรอื เกิดจากทอ้ งนางลา เพราะผสมกบั พอ่ ลาน้ี มา้ อัสดรซ่ึงนบั ว่าเป็น มา้ อาชาไนยมีราคาเทา่ ไร พระเจ้าข้า” พระราชาตรสั ว่า “ม้าอสั ดรประเมนิ ค่าไม่ได้เลย บณั ฑติ นอ้ ย” มโหสถจึงกราบทูลว่า “ขอเดชะ เหตุไรพระองค์จึงตรัสเช่นน้ัน ก็เม่ือครู่นี้พระองค์ยังตรัสว่า บิดาประเสริฐกว่าบุตรเสมอไป ถ้า พระดำ�รัสนั้นเป็นจริง ลาตัวน้ีก็ประเสริฐกว่าม้าอัสดรของพระองค์ ขอพระองค์จงทรงรับลาตัวนี้ไว้ แต่ถ้าทรงเห็นว่าม้าอัสดรประเสริฐ กว่าลาท้ังหลายซ่ึงเป็นพ่อ พระองค์ก็จงทรงรับม้าอัสดรน้ันไว้ เพราะเหตไุ ร พวกบณั ฑติ ของพระองคจ์ งึ ไมร่ แู้ มก้ ระทง่ั เรอ่ื งเพยี งเทา่ นี้ กลับพากันตบมือหัวเราะเยาะเย้ยข้าพระองค์ พระองค์ได้บัณฑิต เจ้าปัญญาพวกนนั้ มาจากไหน”

ท ศ ช า ติ 219 พ ร ะ ม โ ห ส ถ บั ณ ฑิ ต ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ครั้นมโหสถกล่าวเยาะเย้ยบัณฑิตทั้ง ๔ คนนั้นแล้ว ได้กราบทูล พระราชาอกี วา่ “ขอเดชะ ถา้ พระองคท์ รงเขา้ พระทยั วา่ บดิ าประเสรฐิ กวา่ บุตรทุกสถานะ ลาตัวน้ีก็ประเสริฐกว่าม้าอัสดรด้วย เพราะว่าลา เปน็ พอ่ ของม้าอสั ดร ถ้าพระองค์ทรงเห็นวา่ บิดาประเสริฐกว่าบุตรทกุ สถานะ พระองค์ก็จงรับบิดาของข้าพระองค์ไว้ แต่ถ้าทรงเห็นว่าบุตร ประเสรฐิ กวา่ บดิ า กจ็ งรบั ขา้ พระองคไ์ ว้ เพอื่ ประโยชนข์ องพระองคเ์ ถดิ พระเจ้าข้า” พระเจ้าวิเทหราชได้ฟังคําน้ันก็ทรงโสมนัสว่า พระองค์คิดไม่ผิด ข้าราชบริพารต่างก็แซ่ซ้องสาธุการว่า มโหสถแก้ปัญหาได้ดี ต่างส่งเสียง ปรบมือและโบกสะบัดแผ่นผ้าเป็นพัน ๆ ผืน ส่วนบัณฑิตท่ีเหลือต่างมีสีหน้า ซีดเผอื ดไปตาม ๆ กนั แท้จริง ไม่มีใครรู้คุณบิดามารดาเท่ากับพระโพธิสัตว์ การท่ีมโหสถ ให้บิดาลุกจากที่นั่งแล้วน่ังเสียเอง มิใช่เพราะดูหม่ินบิดา แต่เนื่องจากปัญหา เกิดขึ้น เพื่อจะแก้ปัญหานั้น เพ่ือจะประกาศความท่ีตนเป็นบัณฑิต และเพื่อจะ ดับรัศมขี องบัณฑิตทัง้ ๔ คน ผู้ผูกปัญหาน้ขี ึ้น มโหสถจึงทาํ อยา่ งน้ี พระเจ้าวิเทหราชทรงยินดีจับสุวรรณภิงคาร๔ ทรงหลั่งน้ำ�ลงในมือ สิริวัฒกเศรษฐี พระราชทานให้ปกครองหมู่บ้านปาจีนยวมัชฌคาม ตรัสว่า “เหลา่ อนเุ ศรษฐี จงบาํ รงุ สริ วิ ฒั กเศรษฐ”ี แลว้ ใหส้ ง่ เครอื่ งประดบั ตา่ ง ๆ ไป พระราชทานแก่นางสุมนาเทวี มารดาพระโพธิสัตว์ ทรงเล่ือมใสการแก้ปัญหา เร่ืองลาของมโหสถ มีพระราชประสงค์จะทรงรับมโหสถไว้เป็นราชบุตรบุญธรรม ของพระองค์ จึงตรัสกบั เศรษฐีว่า “คหบดี ท่านจงให้มโหสถไวเ้ ปน็ ราชบุตร บญุ ธรรมของเรา” ๔ สวุ รรณภงิ คาร คือ พระเต้าทองค�ำ ส�ำ หรบั หล่ังนำ�้ ทกั ษิโณทกเวลาทำ�บญุ

พ ร ะ ม โ ห ส ถ บั ณ ฑิ ต 220 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง เศรษฐรี สู้ ึกใจหายและหวาดหวั่น จงึ ทลู คัดคา้ นว่า “ขอเดชะ มโหสถ บตุ รของขา้ พระองค์ยังเดก็ นกั จนถงึ วนั น้ีเธอยังไมห่ ย่านม เม่ือเธอโต เปน็ ผใู้ หญแ่ ลว้ ขา้ พระองคจ์ ะนาํ มาถวายไวใ้ หร้ บั ราชการในราชส�ำ นกั ” พระราชาตรสั สพั ยอกวา่ “จากนต้ี อ่ ไป ทา่ นอยา่ หว่ งมโหสถเลย มโหสถเป็นราชบุตรของเรา ท่านกังวลว่า เราจะเล้ียงบุตรของท่าน ไมไ่ ดก้ ระมงั เราพอจะเลยี้ งบตุ รของทา่ นได้ วนั นที้ า่ นจงกลบั บา้ นเถดิ ” ตรสั ฉะน้ีแลว้ มพี ระราชานุญาตให้เศรษฐีกลับบา้ น เศรษฐเี หมอื นหวั ใจจะขาด เปน็ หว่ งลกู ยงั เลก็ นกั ทง้ั คดิ เหน็ หนา้ ภรรยา ว่า เธอไม่เห็นหน้าลูกจะเสียใจขนาดไหน จึงสวมกอดมโหสถไว้แนบอก จูบท่ี ศีรษะ แล้วสอนลูกว่า “ลูกพ่อ ลูกเป็นเหมือนดวงใจและดวงตาของพ่อ อย่าทําให้พ่อกับแม่ผิดหวัง จากนี้ไปลูกอย่าประมาท จงต้ังใจถวาย การรับใช้พระราชาของเรา” มโหสถไหว้บิดา พูดให้คลายกังวล แล้วส่ง กลบั บ้าน พระเจา้ วเิ ทหราชตรสั ถามมโหสถวา่ จะเปน็ ขา้ หลวงฝา่ ยในหรอื ขา้ หลวง ฝา่ ยนอก พระโพธิสตั วค์ ดิ วา่ ตนมีบริวารมาก จึงขอเป็นขา้ หลวงเรือนนอก พระราชาจึงพระราชทานเคหสถานที่เหมาะสม พร้อมท้ังเสบียงและ เครือ่ งใชส้ อยต่าง ๆ ตลอดถึงบรวิ ารใหม้ โหสถ ตั้งแต่นัน้ มา มโหสถกเ็ ขา้ ถวาย การรบั ใชพ้ ระราชา แมพ้ ระเจ้าวิเทหราชกท็ รงประสงคจ์ ะทดลองมโหสถต่อไป แก้วมณีในรังกา กาลนั้น เกิดการเล่าลือกันว่ามีแก้วมณีอยู่ในสระโบกขรณี เพราะ ประชาชนเห็นแสงแก้วมณสี ะท้อนอยู่ในน้ำ� ไม่ไกลจากประตูพระนครดา้ นทศิ ใต้ ประชาชนกราบทูลพระราชาให้ทรงทราบ พระเจ้าวิเทหราชตรัสเรียกเสนกะมา

ท ศ ช า ติ 221 พ ร ะ ม โ ห ส ถ บั ณ ฑิ ต ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง รบั สงั่ ใหห้ าวธิ นี าํ แกว้ มณนี นั้ ขนึ้ มา อาจารยเ์ สนกะกราบทลู เสนอใหว้ ดิ น�้ำ ออกจาก สระเอาแกว้ มณีขน้ึ มา พระองคจ์ งึ มอบใหเ้ ปน็ ภาระของเสนกะ อาจารย์เสนกะให้ประชาชนมาช่วยกันวิดน้ำ� ขนเลนออกจากสระ โบกขรณี แม้ขุดถึงพ้ืนก็ไม่เห็นแก้วมณี เม่ือปล่อยน้ำ�เข้าเต็มสระโบกขรณี แสง เงาสะท้อนแกว้ มณกี ็ปรากฏอกี แมเ้ สนกะทาํ เชน่ นั้นอีกกไ็ ม่ได้แกว้ มณี อาจารย์ เสนกะหมดปัญญาจงึ กราบทลู พระราชาใหท้ รงทราบ พระราชาตรัสเรียกมโหสถมา รับส่ังว่า “มีแก้วมณีอยู่ในสระ โบกขรณี อาจารย์เสนกะให้วิดน้ำ�และโคลนออกจนหมด กระทั่งขุด ถงึ พน้ื กย็ งั ไมเ่ หน็ เมอ่ื ปลอ่ ยน�้ำ เขา้ เตม็ สระ กเ็ หน็ แกว้ มณอี กี เหมอื นเดมิ ” มโหสถกราบทลู วา่ “เชิญเสดจ็ เถดิ พระเจ้าข้า ข้าพระองคจ์ ะนําแก้วมณี มาถวาย” พระเจ้าวิเทหราชได้สดับเช่นน้ันก็ทรงดีใจว่า วันนี้จะได้เห็นปัญญา มโหสถ จงึ เสดจ็ พรอ้ มด้วยขา้ ราชบริพารไปยงั ริมสระโบกขรณี มโหสถยืนท่ีฝั่งสระน้ำ�คะเนดูก็รู้ว่าแก้วมณีไม่ได้อยู่ในสระ แต่อยู่บน ตน้ ตาล ท�ำ ใหเ้ กดิ แสงสะทอ้ นจากแกว้ มณลี งไปทสี่ ระน�้ำ จงึ ใหค้ นนาํ ภาชนะใสน่ �ำ้ มาตง้ั ไว้ ทดสอบดกู เ็ ปน็ จรงิ ตามนน้ั จงึ กราบทลู วา่ “ขอพระองคท์ อดพระเนตร แก้วมณีไม่ได้ปรากฏแต่เฉพาะในสระโบกขรณีเท่านั้น แม้ในภาชนะน้ี ก็มีแก้วมณีด้วย แสดงว่าแก้วมณีไม่ได้อยู่ในสระโบกขรณี แต่อยู่ใน รงั กาบนตน้ ตาล โปรดใหท้ หารขึน้ ไปนาํ ลงมาเถดิ พระเจา้ ข้า” พระราชารับส่ังให้ทหารข้ึนไปนําแก้วมณีลงมาจากรังกา มโหสถรับ แก้วมณีมาถวายพระราชา ฝูงชนที่มาชุมนุมกันต่างส่งเสียงสรรเสริญด้วยความ ยินดี ต่างดา่ ทออาจารย์เสนกะ พูดชมเชยมโหสถไมข่ าดปากว่า “แกว้ มณีอยู่ บนต้นตาล เสนกะโง่เกณฑ์คนตั้งมากมายมาวดิ น�ำ้ ออกจากสระ”

พ ร ะ ม โ ห ส ถ บั ณ ฑิ ต 222 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง แม้พระเจ้าวิเทหราชก็ทรงโสมนัสเป็นอย่างย่ิง ทรงถอดสร้อยมุกดา เคร่ืองประดับพระศอของพระองค์พระราชทานให้มโหสถ และพระราชทาน สรอ้ ยมกุ ดาวลีแก่บริวารมโหสถทุกคน กง้ิ กา่ ได้ทอง อีกวันหน่ึง พระเจ้าวิเทหราชเสด็จไปพระราชอุทยานกับมโหสถ ขณะน้ันมีกิ้งก่าตัวหน่ึงจับอยู่ท่ีปลายเสาค่าย มันเห็นพระราชาเสด็จมาก็ลง มาจากปลายเสาคา่ ยหมอบอยทู่ พี่ นื้ ดนิ พระราชาทอดพระเนตรเห็นกิริยากิ้งก่าน้ัน จึงตรัสถามว่า “ก้ิงก่า ตวั นี้ทําอะไร” มโหสถทลู ตอบวา่ “กงิ้ ก่าถวายความเคารพ พระเจา้ ขา้ ” พระราชาตรัสว่า “กิ้งก่าเป็นสัตว์เดรัจฉาน ยังรู้จักแสดงความเคารพ มันคงต้องการอะไร” มโหสถกราบทูลว่า “กิ้งก่าไม่ต้องการทรัพย์ ควร พระราชทานเพียงแค่ของกินก็พอ” คร้ันพระราชาตรัสถามว่า “มันกิน อะไร” มโหสถทูลตอบว่า “มันกินเนื้อ พระเจ้าข้า” พระราชาตรัสซักถาม ต่อไปวา่ “มันควรไดเ้ นือ้ ราคาเทา่ ไร” มโหสถ ทูลวา่ “ราคาราวกากณกิ หนึ่ง๕ พระเจ้าข้า” รับส่ังทหารว่า รางวัลของหลวงเพียงกากณิกหน่ึงน้อยไป จงึ ทรงใหน้ าํ เนื้อมีราคากึง่ มาสกมาใหก้ งิ้ กา่ กนิ เปน็ ประจาํ ครั้นวันพระอุโบสถวันหนึ่ง ที่โรงฆ่าสัตว์งดฆ่าสัตว์ ทหารไม่ได้เนื้อ จงึ เจาะเหรยี ญกึง่ มาสก เอาด้ายรอ้ ยผกู เปน็ เคร่อื งประดับทีค่ อกิ้งกา่ กิ้งก่าเกิดความถือตัว เพราะคิดว่ามีทรัพย์กึ่งมาสกนั้น วันน้ัน พระราชาเสด็จไปพระราชอุทยาน ก้ิงก่าเห็นพระราชาเสด็จมาก็ตีตนเสมอ ๕ กากณิก แปลว่า ทรพั ย์มีคา่ เท่าคา่ แหง่ ชนิ้ เน้อื พอที่กาจะพาบนิ ไปได้ เป็นช่ือ มาตราเงินสมัยโบราณ ซ่งึ มีค่านอ้ ยทส่ี ดุ

ท ศ ช า ติ 223 พ ร ะ ม โ ห ส ถ บั ณ ฑิ ต ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง พระราชา เหมอื นจะเขา้ ใจวา่ พระองค์มพี ระราชทรพั ย์มาก เราก็มีมากเหมอื นกัน เพราะความถือตัวท่ีเกิดจากการมีทรัพย์กึ่งมาสกน้ัน จึงไม่ลงจากปลายเสาค่าย ยกหวั ร่อนอวดเหรียญไปมา อยบู่ นปลายเสาค่าย พระเจา้ วิเทหราชทอดพระเนตรเหน็ กริ ิยาของก้งิ ก่า จึงตรสั ถามมโหสถ วา่ “ทาํ ไมวนั นีก้ ิ้งก่าจงึ ไมล่ งจากปลายเสาคา่ ยเหมอื นวันกอ่ น” มโหสถกราบทูลให้ทราบว่า “คนไม่ฆ่าสัตว์ในวันพระอุโบสถ ทหารหาเนอ้ื ให้กิ้งก่ากนิ ไมไ่ ด้ จึงเอาเหรียญก่ึงมาสกผกู ไว้ท่คี อ กิ้งก่า จงึ เกิดความถอื ตวั ขนึ้ ” พระราชาใหเ้ รยี กราชบรุ ษุ นน้ั มาตรสั ถาม ทรงทราบความจรงิ กเ็ ลอื่ มใส พระโพธิสัตว์เปน็ อยา่ งมาก จึงพระราชทานบา้ นสว่ ยทป่ี ระตพู ระนครทง้ั ๔ แหง่ ให้มโหสถ แต่กริ้วก้ิงก่า ทรงปรารภจะให้ฆ่าเสีย มโหสถทูลทัดทานว่า “สัตว์ เดรัจฉานไม่มปี ัญญา ขอพระองค์โปรดยกโทษให้มันเถิด” เจา้ หญงิ สามญั ชน คราวนั้น มีชายหนุ่มคนหน่ึงช่ือ “ปิงคุตตระ” เป็นชาวมิถิลานคร เดินทางไปศึกษาอยูส่ าํ นักของอาจารยท์ ิศาปาโมกขท์ กี่ รงุ ตักสิลา๖ เพราะความ ท่ีชายหนุ่มคนนั้นเป็นคนสมองดี จึงสําเร็จการศึกษาได้อย่างรวดเร็ว เขาให้ ทรพั ย์เป็นคา่ วชิ าตอบแทนคุณอาจารย์ แลว้ ลากลบั บา้ น ๖ กรุงตักสิลา เป็นชื่อเมืองที่มีชื่อเสียงทางด้านการศึกษา ส�ำ หรับกรุงตักสิลา ในสมัยพุทธกาลนั้น มีความเจริญด้านศิลปวิทยาอย่างมาก ปัจจุบันได้แก่ บริเวณประเทศ อัฟกานิสถาน ต่อมาถูกเข้ายึดครองโดยกองทัพของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชในราว ๒๐๐ ปีหลังพระพุทธเจ้าปรินิพพาน และในราว ๑,๗๐๐ ปีหลังพระพุทธเจ้าปรินิพพาน ก็ถกู ทำ�ลายโดยกองทพั เตริ ์ก

พ ร ะ ม โ ห ส ถ บั ณ ฑิ ต 224 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง สมัยน้ันมีธรรมเนียมอยู่ว่า ถ้าในสกุลอาจารย์นั้นมีลูกสาว โตเปน็ สาวแลว้ อาจารย์ตอ้ งยกใหเ้ ป็นภรรยาศษิ ยผ์ ใู้ หญ่ อาจารย์ทศิ าปาโมกข์นน้ั มีลกู สาวอยคู่ นหนงึ่ รูปรา่ งหนา้ ตางดงาม ทั้ง เป็นผู้มีบุญมาก อาจารย์ได้มอบลูกสาวให้เป็นภรรยาชายหนุ่มคนน้ัน แต่เขา ไม่มีบุญ เป็นคนกาลกิณี จึงไม่ได้ชอบใจ แม้ไม่ต้องการก็จําใจต้องรับ เพราะ ไม่ตอ้ งการทําลายความหวังดีของอาจารย์ เวลากลางคืน หญิงสาวนั้นขึ้นมานอนบนเตียงด้วย ชายหนุ่มก็แสดง อาการรงั เกียจกรนุ่ โกรธ ลงจากทน่ี อนไปนอนทีพ่ ื้น เมือ่ หญงิ สาวลงมานอนท่ีพน้ื ใกล้ ๆ ชายหนุ่มก็แสดงอาการผลุนผลันผุดลุกข้ึนไปนอนบนเตียง หญิงสาวก็ ขนึ้ ไปทนี่ อนอกี พอหญงิ สาวขน้ึ ไปชายหนมุ่ กก็ ลบั ลงมานอนทพี่ นื้ เพราะธรรมดา ว่ากาลกิณีอยู่ร่วมกับสิริไม่ได้ จนวันเวลาผ่านไป ๑ สัปดาห์ ชายหนุ่มจึงพา หญงิ สาวไปกราบลาอาจารย์ ออกจากพระนครตกั สลิ า เดินทางกลับมิถลิ านคร ในระหว่างทาง ทั้ง ๒ คน ไม่ได้พูดจาปราศรัยกันเลย จนเดินทาง เข้าสู่เขตกรุงมิถิลานคร ปิงคุตตระเห็นต้นมะเดื่อต้นหนึ่งมีผลดกหนา รู้สึกหิว จงึ ปนี ข้ึนไปเกบ็ ผลมะเดอื่ กิน แม้หญิงสาวก็หิวจึงบอกให้ปิงคุตตระทิ้งผลมะเด่ือลงมาให้ตนกินบ้าง ชายหนุ่มนั้นตอบว่า “มือตีนมีก็ปีนขึ้นเก็บกินเอง” นางคิดว่า “อีตานี้ ใจรา้ ยสิ้นด”ี จงึ ปีนข้นึ ไปเกบ็ กนิ เอง ชายหนมุ่ รวู้ ่าหญงิ สาวปนี ขน้ึ ไปแล้ว กร็ ีบ ไต่กลับลงมา พลางคิดว่าจะหนีจากหญิงกาลกิณีน้ีพ้นได้อย่างไร จึงเอาหนาม ล้อมต้นมะเดื่อไว้ไม่ให้ลงได้ แล้วรีบเผ่นหนีไป เม่ือหญิงสาวลงจากต้นมะเดื่อ ไมไ่ ด้ ก็น่ังหงอยอยบู่ นต้นไมน้ ้ัน วันนั้น พระเจ้าวิเทหราชเสด็จประพาสพระราชอุทยานพร้อมด้วย ข้าราชบริพาร ทรงเล่นเพลินอยู่ในพระราชอุทยานจนตกเย็น จึงประทับนั่งบน คชาธารเสด็จเข้าพระนคร ได้ทอดพระเนตรเห็นหญิงสาว เกิดตราตรึงใน

ท ศ ช า ติ 225 พ ร ะ ม โ ห ส ถ บั ณ ฑิ ต ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ความงามของนาง มพี ระทยั ปฏพิ ทั ธ์ อยากทราบวา่ นางมคี คู่ รองหรอื ยงั จงึ รบั สง่ั ให้อํามาตย์ไปถาม นางแจ้งว่านางมีสามีที่สกุลตบแต่ง แต่เขาหลอกให้น่ังบน ตน้ ไม้ เอาหนามล้อมท้งิ ไว้แล้วหนไี ป อาํ มาตย์กราบทูลใหพ้ ระราชาทรงทราบ พระราชาทรงดาํ รวิ า่ “สง่ิ ของไมม่ เี จา้ ของ ยอ่ มตกเปน็ ของหลวง” จงึ รับสัง่ ใหร้ ับนางลงจากตน้ ไม้ แลว้ ใหข้ น้ึ ชา้ งนําเข้าสพู่ ระราชนเิ วศน์ ทรงอภเิ ษก ไว้ในตําแหน่งอัครมเหสี พระนางเป็นท่ีโปรดปรานของพระราชามาก เนื่องจาก พระนางเปน็ สามญั ชน พระราชาไดม้ าจากตน้ มะเดอื่ อาณาประชาราษฎรจ์ งึ ถวาย พระนามพระนางวา่ “เจ้าหญงิ อุทมุ พร๗” แปลวา่ เจา้ หญงิ มะเด่ือ อยู่มาวันหน่ึง เจ้าหน้าท่ีนําชาวบ้านใกล้ประตูพระนคร ให้ช่วยกันถาง ทางเสด็จพระราชดําเนินไปยังสวนหลวง ปิงคุตตระได้รับจ้างถางทาง เม่ือทาง ยังไม่เสร็จเรียบร้อยดี พระราชาประทับบนรถพระที่นั่งกับพระนางอุทุมพรเทวี เสด็จออกจากพระนคร พระนางอุทุมพรทอดพระเนตรเห็นปิงคุตตระกําลังใช้ จอบถางทางอยู่ก็จำ�ได้ ทรงดําริว่าบุรุษกาลกิณีคนนี้ ไม่สามารถจะทรงสิริไว้ได้ กท็ รงพระสรวล พระเจา้ วเิ ทหราชทอดพระเนตรเหน็ พระนางมองดชู ายหนมุ่ แลว้ หวั เราะ กก็ รวิ้ ตรสั ถามวา่ “เธอหวั เราะอะไร” พระนางกราบทูลว่า “ชายถางทาง คนน้ีเป็นสามีเก่าหม่อมฉัน หลอกให้หม่อมฉันปีนข้ึนต้นมะเดื่อ เอา หนามลอ้ มไวแ้ ลว้ หนไี ป จงึ คดิ วา่ คนกาลกณิ นี ไ้ี รว้ าสนา รกั ษาสริ เิ อาไว้ ไมไ่ ด”้ พระราชาตรัสว่า “อย่าโกหก เธอเห็นอะไรอย่างอื่นให้บอกมา ตามตรง หากไม่บอกจะฆ่าเสีย” ทรงจับพระแสงดาบขู่ตะคอก พระนาง กลัวพระราชอาญาจนพระวรกายสั่นเทา จึงกราบทูลให้พระราชาตรัสถามพวก ๗ เจา้ หญงิ อทุ มุ พร ในสมยั พทุ ธกาลกลบั ชาตมิ าเกดิ เปน็ พระนางปชาบดโี คตมี

พ ร ะ ม โ ห ส ถ บั ณ ฑิ ต 226 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง บัณฑิตก่อน พระราชายั้งพระทัยได้จึงตรัสถามเสนกะว่า “ท่านอาจารย์ ทา่ นเชอ่ื คาํ พดู มเหสเี ราหรอื ไม”่ อาจารยเ์ สนกะทลู วา่ “ขา้ พระองคไ์ มเ่ ชอ่ื ชายท่ีไหนจะทอดทิ้งสตรีท่ีมีความงดงามเช่นน้ีได้” เจ้าหญิงอุทุมพรเทวี สดับเช่นน้ันก็ย่ิงกลัวพระราชอาญามากขึ้น พระพักตร์ซีดเผือด ทรงกรรแสง สะอ้นื ไห้ พระราชาทรงดําริว่า อาจารย์เสนกะจะรู้อะไร เราจะถามมโหสถ จึงตรัสถามมโหสถว่า “มโหสถ สตรีคนหน่ึงรูปร่างหน้าตางดงาม เพียบพร้อมด้วยจรรยามารยาท แต่ชายไม่ปรารถนาเธอ เจ้าเช่ือ หรือไม”่ มโหสถกราบทูลว่า “ข้าพระองค์เชื่อ พระเจ้าข้า เพราะชาย คนนน้ั ไรว้ าสนา ไมว่ า่ ยคุ ไหนสมยั ไหน สริ ไิ มอ่ าจอยรู่ ว่ มกบั กาลกณิ ไี ด”้ พระราชาทรงพิจารณาตามคํามโหสถก็หายกร้ิวพระเทวี ทรงยินดี เป็นอย่างย่ิง ตรัสว่า “ถ้าไม่ได้เจ้า วันนี้ข้าคงสูญเสียสตรีที่ประเสริฐ เชน่ นแ้ี ล้ว เพราะหลงเชอ่ื คำ�ของคนเขลา ขา้ ไดน้ างไวเ้ พราะเจ้าแท้ ๆ” ตรัสชมมโหสถฉะนแี้ ลว้ พระราชทานรางวลั ให้มโหสถ ฝา่ ยพระนางอทุ มุ พรเทวดี าํ รวิ า่ มโหสถมบี ญุ คณุ แกพ่ ระองคม์ าก ชว่ ยให้ พระองคร์ อดชวี ติ จงึ กราบทลู วา่ “ในพระนครนี้ หมอ่ มฉนั ไรญ้ าติ หมอ่ มฉนั รอดชีวิตเพราะมโหสถ เธอจึงเป็นญาติเพียงคนเดียวท่ีหม่อมฉันมีอยู่ หม่อมฉันขอพรจากพระองค์ ขอให้มโหสถอยู่ในฐานะน้องชายของ หม่อมฉันตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เม่ือมีอาหารอร่อย หม่อมฉันจะ ไม่บริโภคโดยที่น้องชายคนนี้ไม่ได้บริโภคด้วย ขอให้หม่อมฉัน สามารถเปิดประตูส่งไปให้น้องชายได้ตลอดเวลา หม่อมฉันขอพร ขอ้ น”ี้ พระเจ้าวเิ ทหราชทรงประทานพร และทรงอนญุ าตตามทพ่ี ระเทวีขอ

ท ศ ช า ติ 227 พ ร ะ ม โ ห ส ถ บั ณ ฑิ ต ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ไม่มีมิตรแท้และศัตรทู ี่ถาวร เช้าวันหน่ึง พระเจ้าวิเทหราชเสวยพระกระยาหารแล้ว เสด็จ พระราชดําเนินไปมาบนระเบียงปราสาท เม่ือทอดพระเนตรออกไปทางช่อง หน้าตา่ ง ไดเ้ หน็ แพะกับสนุ ัขค่หู นึ่งหยอกลอ้ เลน่ กันอยา่ งสนิทสนม ตามปกติ แพะนั้นจะไปอาศัยกินหญ้าในโรงช้างท่ีเขากองไว้สำ�หรับ เตรียมให้ช้าง ช้างยังไม่ทันได้กิน แพะตัวน้ันก็แอบเข้าไปกินก่อน พวกคน เลี้ยงช้างจึงไล่ตีแพะให้ออกไป คนเล้ียงช้างคนหนึ่งเอาท่อนไม้ตีถูกหลังแพะ จนหลังแอน่ ไป แพะเจ็บปวดจงึ หลบไปนอนอยใู่ กล้กําแพงพระราชนิเวศน์ ท่ีพระราชนิเวศน์นั้นยังมีสุนัขตัวหนึ่งอาศัยห้องเคร่ืองหลวงกินเศษ กระดูกและหนังที่เขาท้ิงจนอ้วนพี ในวันเดียวกันน้ัน เม่ือพ่อครัวจัดอาหาร เสร็จแล้ว ได้ออกไปผึ่งเหงื่อข้างนอก สุนัขได้กล่ินปลาและเนื้อ ทนความอยาก ไม่ไดจ้ งึ เข้าไปในหอ้ งเครื่อง คุย้ ฝาปดิ ภาชนะใหต้ กลงแล้วคาบเน้อื ไปกนิ พ่อครัวได้ยินเสียงภาชนะหล่น ก็เข้าไปในห้องเครื่องตามเสียง เห็น สนุ ขั กาํ ลงั กนิ เน้ือจึงไลต่ ี สนุ ัขน้ันตกใจกลวั จึงทง้ิ เนอื้ วง่ิ ร้องหนีออกไป แมพ้ อ่ ครัว รวู้ า่ สนุ ขั หนอี อกไปแลว้ กย็ งั ตดิ ตามไลต่ ตี อ่ ไป สนุ ขั ยกเทา้ ขา้ งหนงึ่ วงิ่ โขยกเขยก เข้าไปหาแพะซง่ึ นอนอยู่ แพะถามสนุ ัขวา่ “เพื่อน แอ่นหลังยกเท้าข้างหน่งึ เดินกะเผลก มาด้วยเหตุไร เพ่ือนปวดท้องหรือ” ส่วนสุนัขก็ย้อนถามแพะว่า “ก็แล้ว เพอื่ นเปน็ อะไรไป ทาํ ไมจงึ หลงั แอน่ นอนซมอยอู่ ยา่ งนน้ั เพอื่ นปวดทอ้ ง เหมือนกันหรือ” สัตว์ทั้งสองต่างเล่าเร่ืองของตนให้กันและกันฟัง แล้วสรุปว่า ต่อไปพวกเราคงไปท่นี ั้นไม่ได้อีกแลว้ สัตว์ทั้งสองชว่ ยกันคิดหาแผนการทีจ่ ะมีชวี ติ อย่ใู หไ้ ด้ แพะจึงบอกสนุ ัข วา่ “ถา้ เราทง้ั สองรว่ มมอื กนั กม็ วี ธิ ที จี่ ะมชี วี ติ อยไู่ ด้ ตง้ั แตน่ ไี้ ปเจา้ ไปนาํ

พ ร ะ ม โ ห ส ถ บั ณ ฑิ ต 228 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง หญ้ามาจากโรงเล้ียงช้าง คนเล้ียงช้างจะไม่สงสัย เพราะคิดว่าสุนัข ไมก่ นิ หญา้ สว่ นขา้ จะไปนาํ เนอ้ื จากโรงครวั มาใหเ้ จา้ พอ่ ครวั กไ็ มส่ งสยั ขา้ เพราะเห็นว่าแพะไม่กนิ เนอื้ ” สัตว์ทั้งสองจึงตกลงกันตามน้ี ต้ังแต่น้ันมา สุนัขไปคาบฟ่อนหญ้าจากโรงช้างมาวางไว้ใกล้กำ�แพง ส่วนแพะไปคาบเน้ือจากห้องเครื่องมาวางไว้ สุนัขกินเนื้อ ส่วนแพะก็กินหญ้า สตั วท์ งั้ สองจึงมคี วามสนิทสนมเป็นเพอื่ นกัน อาศัยอยใู่ กล้กาํ แพงพระนคร พระเจ้าวิเทหราชทอดพระเนตรเห็นแพะและสุนัขชอบพอกัน จึงทรง จนิ ตนาการวา่ “ยงั ไมเ่ คยเหน็ เหตกุ ารณเ์ ชน่ นมี้ ากอ่ น แตก่ ไ็ ดเ้ หน็ ในวนั น้ี เมื่อก่อนสัตว์ท้ังสองเป็นศัตรูกัน มาบัดน้ีกลับรักใคร่กลมเกลียวกัน เราจะเอาเหตกุ ารณน์ ้ไี ปผูกเปน็ ปัญหา ถามบัณฑติ ท้งั หลาย ใครไม่รู้ จะถูกไล่ออกไปจากแคว้น แต่จะยกย่องเชิดชูผู้รู้” พระองค์ไม่ได้ถาม ในวันนน้ั เนอื่ งจากเป็นเวลาเยน็ มากแล้ว รุ่งขน้ึ อีกวนั เมอ่ื บณั ฑิตมาน่งั สนองงานตามหน้าทขี่ องตนแลว้ พระเจ้า วิเทหราชจึงตรัสถามปัญหาข้ึนว่า “วันนี้ เรามีปัญหามาให้พวกท่านแก้ ในโลกนไ้ี มเ่ คยมมี ติ รแทแ้ ละศตั รทู ถ่ี าวร สาํ หรบั สตั ว์ ไมม่ สี ตั วจ์ าํ พวก ไหนเป็นเพ่ือนกัน เดนิ ไปดว้ ยกันไดไ้ กลเกิน ๗ ก้าว เพราะเหตุอะไร แพะและสุนัขเคยเป็นศัตรูกัน แต่กลับกลายมาเป็นเพื่อนที่คุ้นเคยกัน ใครไม่รจู้ ะถกู ไล่ออกจากแคว้น เพราะเราไม่ตอ้ งการคนไร้ปญั ญา” ขณะนนั้ เสนกบัณฑติ นงั่ อยูห่ วั แถว มโหสถนัง่ เปน็ คนสดุ ทา้ ย มโหสถ ขบคิดปัญหานั้นก็ยังไม่รู้ความหมาย จึงตริตรองว่า “พระราชาไม่น่าจะคิด ปญั หาทลี่ มุ่ ลกึ เชน่ นไี้ ดด้ ว้ ยพระองคเ์ อง พระองคค์ งทอดพระเนตรเหน็ อะไรสกั อยา่ งแน่ ถ้ามีเวลาสัก ๑ วนั เราจะแก้ปญั หานีไ้ ด้ อาจารย์ เสนกะควรจะทลู ขอพระราชากลบั ไปคดิ สกั วนั หนง่ึ ” สว่ นบณั ฑติ อกี ๓ คน นกึ อะไรไมอ่ อก เหมอื นนัง่ อยใู่ นห้องมดื

ท ศ ช า ติ 229 พ ร ะ ม โ ห ส ถ บั ณ ฑิ ต ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง เสนกะมองดูมโหสถว่า มโหสถจะคิดเห็นเป็นประการไร ส่วนมโหสถ ก็มองดูเสนกะเช่นกัน เสนกะรู้ว่ามโหสถยังคิดปัญหาน้ีไม่ออก จึงต้องการ ขอโอกาสผัดไปอีกวันหนึ่ง เราจะทําให้มโหสถได้โอกาสตามที่ต้ังใจ จึง หัวเราะข้ึนด้วยวิสาสะกับพระราชา กราบทูลว่า “พระองค์จะขับไล่บัณฑิต ผไู้ มส่ ามารถแกป้ ญั หาไดอ้ อกจากแควน้ จรงิ หรอื พระเจา้ ขา้ ” พระราชา รับวา่ “เราพูดจริง” เสนกะกราบทูลว่า “ขอเดชะ ปัญหานี้ละเอียดอ่อน มีเงื่อนงํา สลับซับซ้อน ต้องมีเวลานั่งขบคิดเงียบ ๆ คนเดียว จะคิดท่ามกลาง คนมากมายอยา่ งนไี้ มไ่ ด้ เพราะจติ ใจฟงุ้ ซา่ น จงึ ขอโอกาสเลอ่ื นออกไป เป็นวันพรุ่งนี้ ข้าพระองค์ท้ังหลายจะแก้ปัญหาถวาย” พระเจ้าวิเทหราช ทรงอนญุ าตตามนน้ั พรอ้ มกับทรงส�ำ ทบั ว่า “จงไปคิดมาให้ดี ถา้ ตอบไมไ่ ด้ เราจะขับไลอ่ อกจากแวน่ แคว้น” บัณฑิตทั้งหมดลงจากพระราชนิเวศน์ เสนกะกล่าวกับเพื่อน ๆ ว่า “พระราชาตรสั ถามปญั หาลมุ่ ลกึ ถา้ ตอบไมไ่ ด้ เหน็ ทภี ยั ใหญจ่ ะเกดิ ขนึ้ กลบั บา้ นแลว้ ชว่ ยกนั คิดใหด้ ”ี จึงแยกย้ายกลับเรอื นของตน ฝ่ายมโหสถยังไม่กลับเรือน คิดว่าพ่ีสาวของเราน่าจะรู้เร่ือง จึงตรง ไปเฝ้าเจ้าหญิงอุทุมพรเทวี ทูลถามว่า “พระพี่นาง วันน้ีหรือเม่ือวาน พระราชาประทบั อยู่ท่ีไหนนาน ๆ บ้างหรอื ไม”่ พระนางอทุ มุ พรรับส่ังวา่ “พระราชาเสดจ็ กลับไปกลับมาประทับ ยืนที่ระเบียงทอดพระเนตรอยู่ที่หน้าต่างเป็นเวลานาน” มโหสถคิดว่า พระราชาน่าจะทอดพระเนตรเห็นอะไรสักอย่าง จึงเดินไปสํารวจดูภายนอก ได้เห็นพฤติกรรมของแพะและสุนัขก็เข้าใจว่า พระราชาทอดพระเนตรเห็นสัตว์ ทั้งสองจึงตั้งปัญหาขึ้นถาม จับเค้าได้เช่นนี้แล้ว จึงทูลลาพระนางอุทุมพรเทวี กลับเรอื น

พ ร ะ ม โ ห ส ถ บั ณ ฑิ ต 230 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ฝ่ายบัณฑิตท้ัง ๓ คนคิดไม่ออก จึงชวนกันไปถามเสนกะ แม้เสนกะ กย็ งั คดิ ไมอ่ อกเชน่ กนั จงึ กลา่ ววา่ “ขนาดอาจารยย์ งั คดิ ไมอ่ อก แลว้ พวกผม จะคิดออกได้อย่างไร เราผัดผ่อนพระราชามาแล้ว ถ้าตอบไม่ได้ พระราชาทรงกร้ิว จะขับไล่พวกเราออกจากแว่นแคว้น จะทําอย่างไร กันด”ี บัณฑติ ทั้ง ๔ คน จึงพากนั ไปถามมโหสถวา่ คดิ ปัญหาไดห้ รอื ยัง มโหสถตอบว่า “ขอรับท่านอาจารย์ เมอ่ื ผมคิดไม่ได้ แลว้ ใคร จะคิดได้” บัณฑิตท้ัง ๔ คน จึงขอร้องให้มโหสถบอกตนบ้าง มโหสถคิดว่า ถ้าไม่บอกให้รู้ พระราชากริ้ว แล้วขับไล่พวกเขาออกจากแคว้น จะเกิดความ ลาํ บาก แตจ่ ะพระราชทานเงนิ ทองให้ตนเพียงคนเดียว อยา่ ให้พวกเขาเดอื ดร้อน เลย จงึ ให้พวกเขาน่ังอาสนะตำ่�กว่าตน แล้วแก้ปญั หาให้บณั ฑิตทงั้ ๔ คนฟงั โดย ไม่ให้รู้วา่ พระราชาไปเห็นอะไรมา ในวันรุ่งขึ้น พวกบัณฑิตไปเฝ้าพระราชาแต่เช้า พระองค์ตรัสถาม เสนกะว่า “ท่านอาจารย์รู้ปัญหาแล้วหรือยัง” เสนกะกราบทูลว่า “ข้าแต่ มหาราชเจ้า เมื่อข้าพระองค์แก้ไม่ได้ แล้วใครจะแก้ได้” จึงกราบทูล ตามทเ่ี รยี นมาจากมโหสถว่า “ชนชนั้ สงู และขา้ หลวงโปรดปรานเนอ้ื แพะ แตไ่ มช่ อบเนอื้ สนุ ขั คุณธรรมน�้ำ มติ รระหวา่ งแพะกบั สนุ ขั จงึ เกดิ ขึน้ ” แมเ้ สนกะจะกราบทลู เชน่ นก้ี ไ็ มท่ ราบความหมาย แตพ่ ระเจา้ วเิ ทหราช ทรงเขา้ พระทัยว่าเสนกะรู้แลว้ จงึ ตรสั ถามปุกกุสะเป็นคนตอ่ ไป ปุกกุสะได้ทีจึงกราบทูลว่า “ข้าพระองค์ไม่ใช่บัณฑิตหรือ พระเจ้าข้า” แล้วกราบทูลตามทีเ่ รียนมาเช่นเดยี วกนั ว่า “ชนทงั้ หลายใชห้ นงั แพะปหู ลงั มา้ เพราะนง่ั สบาย แตไ่ มใ่ ชห้ นงั สนุ ัข คณุ ธรรมนำ้�มิตรระหวา่ งแพะกบั สุนขั จึงเกดิ ขนึ้ ”

ท ศ ช า ติ 231 พ ร ะ ม โ ห ส ถ บั ณ ฑิ ต ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง แม้ปุกกุสะเองก็ไม่ทราบความหมายท่ีตนกราบทูลไป พระราชา เขา้ พระทยั วา่ ปกุ กสุ ะรคู้ วามหมาย จงึ ตรสั ถามกามนิ ทะตอ่ ไป กามนิ ทะกราบทลู วา่ “แพะมเี ขาโคง้ แตส่ นุ ขั ไมม่ เี ขา แพะกนิ หญา้ สว่ นสนุ ขั กนิ เนอื้ คุณธรรมน�้ำ มิตรระหว่างแพะกบั สุนขั จึงเกิดขน้ึ ” แมก้ ามนิ ทะกไ็ มร่ คู้ วามหมาย พระราชาตรสั ถามเทวนิ ทะเปน็ คนตอ่ ไป เทวนิ ทะกราบทูลขอ้ ความทต่ี นไมท่ ราบความหมายเชน่ กนั วา่ “แพะกนิ หญา้ กนิ ใบไม้ สนุ ขั ไมก่ นิ หญา้ ไมก่ นิ ใบไม้ แตไ่ ลต่ ะครบุ กระตา่ ยหรือแมวกิน คุณธรรมน้ำ�มิตรระหว่างแพะกับสนุ ัขจงึ เกดิ ขน้ึ ” พระราชาเข้าพระทัยว่า แม้เทวินทะน้ีก็รู้จึงตรัสถามมโหสถเป็นคน สดุ ทา้ ยว่า “บณั ฑติ น้อย แล้วตวั เจา้ รู้ปญั หาน้หี รอื ไม”่ มโหสถกราบทลู วา่ “ข้าแต่มหาราชเจ้า ตั้งแต่นรกอเวจีจนถึงพรหมโลก ยกเว้น ข้าพระองคแ์ ลว้ คนอ่นื ใครจะแก้ปัญหานี้ได”้ พระเจ้าวิเทหราชตรสั วา่ “ถา้ เชน่ นั้นเจา้ กจ็ งบอกมา” มโหสถจงึ กราบทลู ว่า “ขอพระองคท์ รงฟัง แพะมี ๔ เทา้ ๘ กีบ แฝงกายไปนำ�เนื้อมาให้สุนัข สุนัขแฝงกายไปนำ�หญ้ามาให้แพะ พระองค์ประทับอยู่บนปราสาททอดพระเนตรเห็นคุณธรรมนำ้�มิตร ระหวา่ งสนุ ัขกบั แพะด้วยพระองคเ์ อง จงึ ต้ังปัญหาขนึ้ ” พระราชาไม่ทรงทราบว่า อาจารย์ท้ัง ๔ คน รู้ปัญหาเพราะมโหสถ ทรงเข้าใจว่าบัณฑิตทั้ง ๕ คน รู้ด้วยปัญญาของตน ก็ทรงโสมนัสว่า พระองค์ โชคดีท่ีมีบัณฑิตเช่นนี้อยู่ในราชสกุล บัณฑิตทุกคนของพระองค์รู้ปัญหาอัน ละเอยี ดออ่ นลึกซึง้ น้ีได้

พ ร ะ ม โ ห ส ถ บั ณ ฑิ ต 232 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ทรงดำ�ริที่จะพระราชทานรถม้าอัสดรและหมู่บ้านส่วยเป็นรางวัลแก่ บัณฑิตทกุ คน แตเ่ จ้าหญิงอทุ มุ พรทรงทราบว่า บณั ฑติ คนอน่ื รปู้ ัญหาจากมโหสถ จึงดำ�ริว่า พระราชาพระราชทานรางวัลให้บัณฑิตทุกคนเหมือนกัน เป็นการ ไมถ่ กู ต้อง จึงเสด็จไปเฝ้าพระราชา ทูลใหท้ รงทราบวา่ “บัณฑติ ทัง้ ๔ คน รู้ปัญหาจากมโหสถ เนื่องจากมโหสถเกรงว่าคนเหล่านี้จะได้รับ ความเดอื ดรอ้ น พระองคพ์ ระราชทานรางวลั ใหบ้ ณั ฑติ ทง้ั หมดเสมอกนั ไม่ถกู ตอ้ ง ควรพระราชทานให้มโหสถเปน็ พเิ ศษ” พระราชาทรงทราบว่า มโหสถไม่บอกว่าบัณฑิตคนอื่นรู้ปัญหา จากตน ก็ทรงโสมนัสว่ามโหสถจิตใจกวา้ งขวาง มีพระราชประสงคจ์ ะท�ำ สกั การะ ให้ย่ิงกว่า จึงทรงดำ�ริว่า “ถ้าเช่นนั้น เอาไว้ก่อน เราจะถามปัญหาบุตรของเรา ขอ้ หนึ่ง เมื่อบตุ รของเราแกไ้ ด้ จงึ คอ่ ยทำ�สกั การะให้มากยงิ่ ขนึ้ ในภายหลัง” ศกึ ประลองปัญญามหาบณั ฑติ พระราชาจงึ ทรงคิดปัญหาชอื่ “สิรมิ นั ตปญั หา๘” ขน้ึ มา ระหวา่ งสิริ คือ ยศและทรพั ย์กบั ปญั ญา อะไรจะประเสริฐกวา่ กัน วันหนึ่ง ขณะท่ีพระราชาประทับท่ีท้องพระโรง บัณฑิตได้เข้าเฝ้าตาม ปกติ พระราชาตรัสว่า “วันนี้ เรามีปัญหามาถามพวกท่านอีก” จึงถาม เสนกบัณทติ ๙ ก่อนว่า “ท่านอาจารย์ มีคนอยู่ ๒ พวก คอื คนมีปญั ญา แต่ปราศจากสิริ และคนมียศแต่ไร้ปัญญา ระหว่างคน ๒ จำ�พวกนี้ ใครประเสรฐิ กวา่ กัน” ๘ สิริมันตปัญหา หมายถึง ปัญหาเกี่ยวกับคนมีสิริ คือ ทรัพย์และ ยศถาบรรดาศักดกิ์ ับปัญญา อะไรประเสริฐกวา่ กัน ๙ ในสมัยพทุ ธกาล เสนกบณั ฑติ กลับชาติมาเกิดเป็นพระมหากสั สปะ

ท ศ ช า ติ 233 พ ร ะ ม โ ห ส ถ บั ณ ฑิ ต ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ปญั หานี้เกี่ยวเนือ่ งกบั การสืบเชอ้ื สายมาตามวงศ์ตระกูลของเสนกะ จงึ กราบทูลเฉลยปัญหา ทันทีว่า “คนทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นปราชญ์หรือคน โง่เขลา มีชาติตระกูลหรือไร้สกุลรุนชาติ มีศิลปะหรือไร้ศิลปะก็ตาม ตา่ งกย็ อมตวั เปน็ ขา้ รบั ใชข้ องคนมยี ศศกั ด์ิ มที รพั ย์ และเปน็ ใหญเ่ ปน็ โต ขา้ พระองคจ์ ึงเหน็ วา่ คนแม้มีปัญญาแตไ่ รย้ ศเปน็ คนเลว ส่วนคนมยี ศ คือ มที รัพย์เทา่ น้ัน ประเสรฐิ ” พระเจา้ วเิ ทหราชสดบั ค�ำ ของอาจารยเ์ สนกะนนั้ แลว้ ไมต่ รสั ถามบณั ฑติ ๓ คนท่ีเหลอื ซง่ึ นงั่ อยู่ถัดมาตามลำ�ดับ แต่ตรสั ถามมโหสถผยู้ งั ใหมใ่ นหมู่บัณฑติ ของพระองค์ พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า “ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ขอพระองค์ โปรดฟังเถิดพระเจ้าขา้ คนมีทรัพย์ มยี ศแตไ่ ร้ปญั ญา ช่ือว่า “คนโง่” คนโง่นั้นอาศัยตำ�แหน่งหน้าที่ สร้างบาปสร้างกรรม แล้วสำ�คัญว่า “ยศตำ�แหน่งของเราประเสริฐ” คนโง่เห็นโลกนี้โลกหน้าก็เฉย ๆ ไม่แสวงหาธรรม จึงประสบเคราะหก์ รรมอยเู่ สมอ ขา้ พระองคเ์ ห็นวา่ คนมปี ญั ญาน่ันแหละ ประเสรฐิ ส่วนคนไร้ปัญญา แม้มีอำ�นาจวาสนา ก็หาประเสรฐิ ไม”่ เม่ือมโหสถกราบทูลอย่างนี้ พระเจ้าวิเทหราชทอดพระเนตรดู เสนกบัณฑิต แล้วตรัสว่า “มโหสถสรรเสริญคนมีปัญญาว่าประเสริฐกว่า คนมีอสิ ริยยศมิใช่หรือ ทา่ นอาจารย์จะวา่ อยา่ งไร” เสนกบัณทิตกราบทูลว่า “ขอเดชะ มโหสถยังเด็กนัก ปากยัง ไมส่ ิน้ กลนิ่ น�ำ้ นม จะรูอ้ ะไร ศลิ ปะกด็ ี พวกพ้องกด็ ี หรอื รูปร่างหนา้ ตา ก็ดี ไม่ได้จัดสรรโภคะให้โควินทเศรษฐี ถึงแม้เขาจะเป็นคนไม่สม ประกอบ มีนำ้�ลายไหลเย้ิมตลอดเวลา ก็มีความสุข เพราะผู้คนต่าง กอ็ ยากคบหาเขา”

พ ร ะ ม โ ห ส ถ บั ณ ฑิ ต 234 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง เสนกบัณฑิตได้ยกเอาโควินทะซ่ึงเป็นเศรษฐีในพระนครน้ัน มาเป็น ตัวอย่าง เขามีร่างกายไม่สมประกอบ ไร้บุตรธิดา ไม่มีความรู้อะไร ๆ แต่มี สมบตั มิ ากถงึ ๘๐ โกฏิ เม่ือเขาพูดจะมีน้�ำ ลายไหลเยม้ิ คาง มหี ญิงสาวสองนาง แต่งตัวสวยงาม ยืนถือดอกบัวบานคอยรับน้ำ�ลายที่ไหลออกมาจากปาก แล้ว โยนทง้ิ ทางหนา้ ต่าง พวกนกั เลงสุรา เมอื่ จะเข้าร้านสรุ า ตอ้ งการดอกบัวไปประดับ ก็พากนั ไปเรียกเศรษฐี เมื่อเศรษฐีพูดว่า “เรียกข้าทำ�ไม” ขณะพูดนำ้�ลายก็ไหลออก จากปาก หญิงสาวท้ังสองนางก็ช่วยกันเอาดอกบัวรับนำ้�ลายไว้ แล้วโยนท้ิงทาง หน้าต่าง พวกนักเลงสุราก็เก็บดอกบัวรองนำ้�ลายเศรษฐีที่หญิงสาวโยนท้ิง เอาไปล้างน้ำ�ประดับตัวเขา้ รา้ นเครอ่ื งดื่ม เสนกะยกโควินทเศรษฐีในมิถิลานครน้ันเองข้ึนมาเป็นตัวอย่าง ได้ กราบทูลว่า “แม้เศรษฐีจะเป็นคนไม่สมประกอบ ไม่มีปัญญา แต่ก็ สมบูรณ์ด้วยสิริอย่างนี้เพราะมีทรัพย์มาก ข้าพระองค์เห็นว่าคนมี ปัญญาเป็นคนเลวทราม คนมที รพั ยเ์ ปน็ คนประเสริฐ” พระเจา้ วเิ ทหราชจงึ ตรัสถามมโหสถดว้ ยความเอ็นดวู า่ “บณั ฑิตนอ้ ย เธอจะแกอ้ ยา่ งไร” มโหสถกราบทลู วา่ “เสนกะคนนห้ี ลงมวั เมาในยศถาบรรดาศกั ด์ิ และทรพั ย์สมบัติเท่านน้ั ไม่เหน็ ค้อนใหญ่จะทุบหวั ตน โปรดรบั ฟังเถิด พระเจ้าข้า คนไร้ปัญญายามสุขก็ลืมหลงตัวตน เม่ือถึงคราวทุกข์ก็ พร�่ำ เพอ้ รำ�พนั ครัน้ ถกู สขุ บา้ งทุกข์บา้ งมากระทบ ก็ทรุ นทุรายเหมือน ปลาหน้าแล้ง ข้าพระองค์เห็นอย่างนี้จึงกราบทูลว่า คนมีปัญญา น่นั แหละประเสริฐ คนโงถ่ ึงแมม้ ยี ศต�ำ แหนง่ ก็หาประเสรฐิ ไม”่ พระเจา้ วเิ ทหราชสดบั ดงั นน้ั แลว้ จงึ ตรสั ถามเสนกะวา่ “ทา่ นอาจารย์ จะแก้อย่างไร”

ท ศ ช า ติ 235 พ ร ะ ม โ ห ส ถ บั ณ ฑิ ต ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง เสนกบัณฑิตกราบทูลว่า “บัณฑิตน้อยน้ีจะรู้อะไร ไม่ต้องพูด ถึงมนุษย์ แม้แต่ต้นไม้ท่ีมีลูกดกหนา ฝูงนกกาก็ยังได้พึ่งพาอาศัย ฝงู นกกายอ่ มบนิ ไปหาตน้ ไมใ้ นปา่ ทม่ี ลี กู ดก ผคู้ นเปน็ อนั มากยอ่ มคบคา้ สมาคมกับคนรวยเท่าน้นั เพราะต้องการทรัพย์ ข้าพระองค์เหน็ อยา่ งน้ี จึงกราบทูลว่า คนมีปัญญาเป็นคนตำ่�ทราม คนมีสิริเท่านั้นเป็นคน ประเสรฐิ ” พระเจ้าวิเทหราชตรัสกับมโหสถว่า “เธอจะแก้อย่างไร บัณฑิต น้อย” มโหสถกราบทูลว่า “เสนกบัณฑิตคนลงพุงน้ีจะรู้อะไร โปรด รับฟังเถิด พระเจ้าข้า คนโง่แม้มีอำ�นาจวาสนา ก็ใช้อำ�นาจไปในทาง ที่ผิด เบียดบังเอาทรัพย์เขามา หารู้ไม่ว่ายมทูตจะฉุดคร่าคนเขลา ผู้ร้องไห้อยู่ลงนรก ข้าพระองค์ขอยืนยันว่า คนมีปัญญานั่นแหละ ประเสรฐิ สว่ นคนเขลาแม้มียศก็หาประเสริฐไม่” พระเจา้ วิเทหราชตรสั ถามเสนกะว่า “ทา่ นอาจารยจ์ ะแกอ้ ย่างไร” เสนกบัณฑิตกราบทูลว่า “แม่น้ำ�ทุกสาย เมื่อไหลลงสู่แม่น้ำ� คงคาแล้ว ย่อมทิ้งช่ือเสียงเรียงนาม ผู้คนพากันเรียกว่า “แม่น้ำ� คงคา” ครั้นแม่นำ้�คงคาไหลไปสู่มหาสมุทร ชื่อก็หมดไป คงได้ช่ือ ใหมว่ ่า “มหาสมทุ ร” คนแมม้ ีปญั ญามากแคไ่ หน พอเขา้ บ้านคนรวย ก็หมดความสำ�คัญลง เหมือนแม่นำ้�คงคาไหลลงไปสู่มหาสมุทร ข้าพระองค์ยืนยันว่า คนมีปัญญาเป็นคนตำ่�ทราม ส่วนคนมีทรัพย์ เปน็ ผ้ปู ระเสริฐ” พระราชาตรัสกับมโหสถว่า “บัณฑิตน้อย เธอจะแก้อย่างไร กว็ ่าไป”

พ ร ะ ม โ ห ส ถ บั ณ ฑิ ต 236 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง มโหสถกราบทูลวา่ “มหาสมทุ รท่ีท่านอาจารยก์ ล่าวถงึ มแี มน่ ำ้� นอ้ ยใหญน่ บั ไมถ่ ว้ น ไหลลงไปรวมกนั แมม้ หาสมทุ รนน้ั จะมคี ลน่ื ใหญ่ สาดซัดแค่ไหน แต่คลื่นก็ไม่เคยล่วงฝั่งไปได้ เหมือนคำ�พูดของคนโง่ ไม่เคยมพี ลังเกนิ ถอ้ ยคำ�ของบัณฑิต ขา้ พระองคย์ นื ยนั วา่ คนมีปญั ญา เปน็ คนประเสรฐิ คนเขลาแมม้ ตี �ำ แหน่งหนา้ ท่กี ห็ าประเสรฐิ ไม”่ เสนกบัณฑิตตอบโต้ว่า “คนมีตำ�แหน่งเป็นถึงผู้พิพากษา แม้ ไม่สำ�รวมระวัง เป็นคนทุศีล ตัดสินอะไรไปแม้ไม่ถูกต้อง ผู้คนยัง เช่ือถือ มากกว่าคำ�พูดของคนมีปัญญาแต่ไร้ตำ�แหน่ง ข้าพระองค์ เห็นดังน้ี จึงกราบทูลยืนยันว่า คนมีปัญญาเป็นคนตำ่�ช้า ส่วนคนมี สริ เิ ป็นคนประเสรฐิ ” มโหสถแก้ว่า “เสนกะคนโง่เขลาจะรู้อะไร คนเขลาชอบโกหก ท้ังตนเองและผู้อ่ืน เพราะไม่รู้ผิดชอบชั่วดี มักถูกตำ�หนิในท่ีประชุม แม้ตายไปก็จะไปเกิดในนรก ข้าพระองค์เห็นดังนี้จึงยืนยันว่า คนมี ปัญญาเทา่ น้นั เป็นคนประเสริฐ คนโง่เขลาแม้มยี ศหาประเสรฐิ ไม่” เสนกบัณฑิตตอบโต้ว่า “คนมีปัญญาดุจแผ่นดิน แต่ไร้ท่ีซุก หัวนอน ดีแต่ปาก ยากจน แม้แต่ญาติก็ยังไม่คบหา หมดสง่าราศี พูดกลางหมู่ญาติก็ไม่มีใครอยากฟัง ข้าพระองค์เห็นดังนี้จึงกล่าวว่า คนมีปญั ญาเป็นคนตำ่�ชา้ คนรวยเทา่ น้ันเป็นคนประเสรฐิ ” มโหสถแก้ว่า “เสนกะเห็นแค่โลกน้ีเท่าน้ัน ไม่ได้เห็นไปถึง โลกหนา้ คนมปี ญั ญาดจุ แผน่ ดนิ ไมพ่ ดู เหลาะแหละ เหลวไหล เพอ้ เจอ้ ไมเ่ หน็ แกพ่ รรคพวก เขายอ่ มถกู ประชาชนยกยอ่ งสรรเสรญิ ทา่ มกลาง ที่ประชุม ถึงตายแล้วก็ไปเกิดในสวรรค์ ข้าพระองค์เห็นดังน้ีจึง กราบทูลว่าคนมีปัญญาเท่าน้ันเป็นคนประเสริฐ คนโง่เขลาแม้มียศ กห็ าประเสรฐิ ไม”่

ท ศ ช า ติ 237 พ ร ะ ม โ ห ส ถ บั ณ ฑิ ต ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง เสนกะกล่าววา่ “ช้าง มา้ โค ตา่ งหู แกว้ มณี และสตรีท้งั หลาย ล้วนเป็นของผู้มีอำ�นาจ ผู้มีปัญญาแต่ไร้ทรัพย์ ก็เป็นได้แค่คนใช้ของ ผมู้ อี �ำ นาจ ขา้ พระองคเ์ หน็ ดงั นจ้ี งึ กราบทลู วา่ คนมปี ญั ญาเปน็ คนต�ำ่ ชา้ ส่วนคนมสี ริ เิ ทา่ นน้ั เป็นคนประเสรฐิ ” มโหสถตอบโต้ว่า “สิริย่อมละทิ้งคนพาล ท่ีมีแต่ความโง่เขลา ไร้ความคิด แม้มีอำ�นาจวาสนาก็รักษาอำ�นาจวาสนาไว้ไม่ได้ ข้าพระองค์เห็นดงั นจี้ งึ กราบทูลวา่ คนมีปัญญาเทา่ น้นั เปน็ คนประเสรฐิ คนโง่เขลาแมม้ ยี ศหาประเสรฐิ ไม่” เสนกบัณฑิตคิดว่า จะต้องทำ�ให้มโหสถจนมุมให้ได้ จึงกราบทูลว่า “ขอเดชะ มโหสถยังเด็กนกั จะร้อู ะไร ขอพระองค์โปรดฟงั เถิด พวก ข้าพระองค์ทง้ั หมด แมเ้ ปน็ บณั ฑิตนับว่ามีปัญญา ยังตอ้ งเปน็ ข้ารบั ใช้ ประคองอัญชลีต่อพระองค์ พระองค์มีอำ�นาจเหนือพวกข้าพระองค์ ท้ังหลาย ไม่ต่างจากท้าวสักกเทวราชเป็นเจ้าแห่งเทพทั้งหลาย ข้าพระองค์เห็นดังนี้จึงกราบทูลว่า คนมีปัญญาเป็นคนต่ำ�ช้า คนมี สิริเทา่ นน้ั เป็นคนประเสริฐ” พระเจ้าวิเทหราชทรงดำ�ริว่า คำ�แก้ของอาจารย์เสนกะมีเหตุผลดี บตุ รของเราจะสามารถยกเหตุผลอ่นื มาแกไ้ ด้หรอื ไม่ จงึ ตรสั วา่ “บณั ฑิตนอ้ ย เธอจะแก้อยา่ งไร” เมื่อเสนกบัณฑิตยกเหตุผลน้ีมาคัดค้าน เพื่อยกเอาพระเจ้าแผ่นดิน มาแอบอ้างข่มมโหสถ คนอ่ืนเว้นพระบรมโพธิสัตว์เสียแล้ว ก็ไม่มีใครสามารถ แกป้ ญั หาน้ีได้ เพราะถา้ แกไ้ ม่ดีกจ็ ะหมน่ิ พระบรมเดชานภุ าพ เม่ือพระโพธิสัตว์จะหักล้างวาทะแห่งเสนกบัณฑิตน้ัน ด้วยกำ�ลังแห่ง ปัญญาของตน จึงกราบทูลว่า “ขอเดชะ เสนกะนี้ช่างโง่นัก สมองคิดแต่

พ ร ะ ม โ ห ส ถ บั ณ ฑิ ต 238 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง เร่ืองยศ เร่ืองตำ�แหน่งเท่านั้น ไม่คิดท่ีจะใช้ปัญญาสร้างยศ จึงไม่รู้ ถึงพลานุภาพแหง่ ปญั ญา ขอพระองคจ์ งโปรดฟังเถิด พระเจา้ ขา้ คนโง่เขลาที่มียศตำ�แหน่ง ในยามมีปัญหาลึกซึ้งต้องแก้ไข มักตกเป็นทาสของคนฉลาด คนฉลาดเท่านั้นจะสามารถแก้ไขเรื่องท่ี ละเอียดได้ ส่วนคนโง่เขลาแม้มียศถาบรรดาศักด์ิ ก็ถึงความงวยงง อับจนปัญญา คนมีปัญญาจึงประเสริฐ ส่วนคนโง่เขลาแม้มียศก็หา ประเสริฐไม”่ เสนกะใช้ความรไู้ ปจนหมด จงึ นั่งเก้อซบเซาอยู่ ไม่รู้จะตอบโต้อยา่ งไร เมื่อเสนกะหมดปฏิภาณนิ่งอยู่ พระราชาเห็นอากัปกิริยาเช่นน้ัน ก็ทราบว่าหมดภมู ทิ จี่ ะโต้ จึงรบั ส่งั กบั มโหสถวา่ “บัณฑิตน้อย เจ้ายงั มอี ะไร จะพูดอีก” มโหสถไดพ้ รรณนาพลานภุ าพแหง่ ปญั ญาตอ่ ไปวา่ “สตั บรุ ษุ ทงั้ หลาย สรรเสริญปัญญาว่าประเสริฐ ส่วนพวกคนเขลาหลงมัวเมาอยู่กับ ยศตำ�แหน่ง จึงมัวแต่แสวงหายศถาบรรดาศักด์ิ ปัญญาญาณของ บัณฑิตล้ำ�ลึกเกินกว่าจะหย่ังรู้ คนมียศถาบรรดาศักด์ิจะเก่งกว่าคนมี ปัญญาไม่ได้” พระเจ้าวิเทหราชสดับคำ�นั้นก็ทรงโสมนัส พระราชทานรางวัล มากมายใหพ้ ระโพธิสตั ว์ นางในดวงใจ ต้ังแต่น้ันมา มโหสถก็มีอำ�นาจวาสนามากยิ่งข้ึน เม่ือมโหสถมีอายุ ได้ ๑๖ ปี เจา้ หญงิ อทุ มุ พรด�ำ รวิ า่ มโหสถโตเปน็ หนมุ่ แลว้ ทงั้ มคี วามเจรญิ รงุ่ เรอื ง กา้ วหนา้ ในยศถาบรรดาศกั ด์ิ ควรจะมคี รอบครวั จงึ ไดก้ ราบทลู พระเจา้ วเิ ทหราช พระราชาทรงเห็นชอบด้วยจึงแจ้งให้มโหสถทราบ เม่ือมโหสถรับแล้ว จึงมี พระเสาวนีย์ว่าจะหาหญิงสาวมาให้

ท ศ ช า ติ 239 พ ร ะ ม โ ห ส ถ บั ณ ฑิ ต ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง มโหสถคดิ ว่าสตรที ีพ่ ระพ่นี างจดั หามาให้ อาจจะไมเ่ ปน็ ท่ีชอบใจ ควร จะเลอื กดเู อง จึงทลู วา่ จะเลือกสตรดี ว้ ยตนเอง พระนางอุทุมพรเทวีทรงอนุญาต มโหสถจึงกลับเรือน แจ้งให้สหาย ทราบแล้วปลอมตัวเป็นช่างชุนผ้า ถืออุปกรณ์สำ�หรับรับจ้างเย็บผ้า ออกจาก พระนครทางประตดู า้ นทศิ เหนอื เพยี งล�ำ พงั คนเดยี ว ไปหมบู่ า้ นอตุ ตรยวมชั ฌคาม ท่ีหมู่บ้านน้ัน มีสกุลเศรษฐีเก่าแก่อยู่สกุลหน่ึง บัดนี้ยากจนลง มีบุตรสาวรปู รา่ งหนา้ ตางดงามน่ารัก เพียบพรอ้ มดว้ ยลักษณะผดู้ ี ตามเชื้อสาย วงศส์ กลุ ทกุ อยา่ ง วนั นน้ั นางตม้ ขา้ วตงั้ แตเ่ ชา้ มดื ออกจากเรอื นน�ำ ไปใหบ้ ดิ าทกี่ �ำ ลงั ไถนา เดนิ สวนทางกบั มโหสถ มโหสถบัณฑิตเห็นนางเดินสวนทางมาคิดในใจว่า หญิงสาวคนน้ี เพียบพร้อมด้วยลักษณะผู้ดีทุกอย่าง หากเธอยังไม่มีสามี ก็จะเป็นภรรยา ของเราได้ ฝา่ ยหญงิ สาวพอเหน็ มโหสถกค็ ดิ ในใจเชน่ กนั วา่ ชายผนู้ ท้ี า่ ทางสงา่ งาม หากเราได้เขาเปน็ สามี ทรัพย์สมบตั ิก็จะพอกพูนกลบั ขน้ึ มามัง่ คัง่ ไดไ้ ม่ยาก มโหสถไม่รู้ว่าหญิงสาวคนน้ีมีสามีหรือยัง จึงคิดวิธีถามนาง ด้วย แสดงใบ้เพื่อทดสอบภูมิปัญญา ถ้านางฉลาดก็จะรู้ความหมายที่ถาม ถ้าเป็น คนไม่มีปัญญาก็จะไม่รู้ความหมาย จะได้ไม่ต้องเสียเวลาอยู่ท่ีนี่นาน จึงหยุด ยืนอยู่ห่าง ๆ แล้วกำ�มือเข้า ยื่นมือออกไปให้เห็น ส่ือหมายความว่า “เธอมี สามีหรือยัง” หญิงสาวมองเห็นก็รู้ได้ทันทีว่า ชายผู้น้ีถามว่าตนมีสามีหรือยัง จึงยืนอยู่ตรงน้ันแล้วแบมือออก หมายความว่า “ชีวิตฉันว่างเปล่าอยู่ ยงั ไม่มคี ู่ครอง”

พ ร ะ ม โ ห ส ถ บั ณ ฑิ ต 240 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง มโหสถก็รู้ได้ทันทีเช่นกันว่านางยังไม่มีสามี จึงเดินเข้าไปหา ถามว่า “เธอชอ่ื อะไร?” หญงิ สาวรวู้ า่ ชายผนู้ เ้ี ปน็ คนมปี ญั ญา จงึ ตอบค�ำ ถามเปน็ ปรศิ นา ว่า “สง่ิ ใดไมม่ ที ั้งในอดตี ในอนาคต และปัจจุบนั น่นั คอื ชอื่ ของดิฉนั ” มโหสถบัณฑิตกล่าวว่า “ช่ือว่าความไม่ตาย ไม่มีในโลก ไม่ว่า อดีต อนาคต หรือปัจจุบัน เธอเห็นจะช่ือว่า อมรา” หญิงสาวรับว่า “ถูกแล้วจ้ะ ฉันช่ือ อมรา” มโหสถถามต่อไปว่า “เธอจะนำ�ข้าวต้มไป ให้ใคร” หญงิ สาวบอกวา่ “นำ�ไปให้บรุ พเทวดาจะ้ ” มโหสถกล่าววา่ “บดิ า มารดาช่ือว่า บุรพเทวดา เธอคงจะนำ�ข้าวต้มไปให้บิดาของเธอ” หญงิ สาวรับตามนนั้ มโหสถถามว่า “บดิ าเธอท�ำ งานอะไร” หญิงสาวตอบว่า “บดิ าของดฉิ นั ท�ำ สง่ิ หนง่ึ โดยสว่ นสอง” มโหสถกลา่ ววา่ “การไถนา ชอ่ื วา่ การท�ำ สง่ิ หนงึ่ โดยสว่ นสอง เพราะขณะไถเปน็ ทางเดยี ว แตด่ นิ แยกออก เป็นสองทาง บดิ าของเธอเหน็ จะกำ�ลังไถนา” หญงิ สาวรบั ว่า “ถูกแล้ว” มโหสถถามว่า “บิดาของเธอไถนาอยู่ที่ไหน” หญิงสาวตอบว่า “บดิ าของดฉิ นั ไถนาในทค่ี นทงั้ หลายไปไดเ้ พยี งอยา่ งเดยี ว แลว้ ไมก่ ลบั มาอีกเลย” มโหสถกล่าวว่า “ป่าช้าเป็นสถานท่ีท่ีคนตายไปเพียง อย่างเดียวแล้วไม่กลับ บิดาของเธอคงจะไถนาใกล้ป่าช้า” หญิงสาว รับว่าถูกแลว้ มโหสถถามต่อไปว่า “วันนี้เธอจะกลับเรือนหรือไม่” นางอมรา ตอบว่า “ถา้ มาดฉิ ันจะยังไม่กลับ ถา้ ไมม่ าดฉิ นั จะกลบั ” มโหสถกลา่ วว่า “บดิ าของเธอเหน็ จะไถนาใกล้แมน่ �้ำ เมอ่ื นำ�้ หลากมาเธอจะยงั ไมก่ ลับ ถา้ น้�ำ ไมห่ ลากมาเธอจะกลบั ” หญงิ สาวรบั วา่ ถกู แลว้ ครั้นคนท้ังสองเจรจาโต้ตอบกันเท่าน้ีแล้ว หญิงสาวจึงเชิญมโหสถให้ ทานข้าวต้ม แล้ววางหม้อข้าวต้มลง มโหสถต้องการทดลองหญิงสาว คิดว่า การปฏิเสธตั้งแต่พบกนั คร้งั แรกเป็นการเสียมารยาท ถ้านางอมราไมล่ า้ งภาชนะ

ท ศ ช า ติ 241 พ ร ะ ม โ ห ส ถ บั ณ ฑิ ต ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ให้นำ้�ล้างมือแล้วตักข้าวต้มให้เรา เราจะไปจากนางทันที จึงกล่าวว่า “ก็ดี เหมอื นกัน ฉนั กำ�ลงั หวิ อยู่พอดี” นางอมราวางหม้อข้าวลง ล้างถ้วย แล้วตักน้ำ�มาให้มโหสถล้างมือ ไม่วางถ้วยเปล่าไว้ที่มือมโหสถ แต่วางไว้ท่ีพ้ืน คนข้าวในหม้อแล้วตักข้าวต้มใส่ เต็มถ้วย ข้าวต้มในถ้วยนั้นมีเมล็ดข้าวมากกว่านำ้� มโหสถพูดเป็นเชิงสัพยอก เยา้ เลน่ วา่ “เหน็ ทา่ น�ำ้ จะแลง้ มแี ตข่ า้ วเตม็ ถว้ ย น�ำ้ ไมม่ ”ี หญงิ สาวตอบวา่ “น้ำ�แล้งจ้ะ” มโหสถไม่ลดละ ยังต่อปากต่อคำ�ว่า “เธอคงไม่ได้ตักนำ้�มา จากทงุ่ กระมัง” หญิงสาวตอบวา่ “ไมไ่ ดต้ ักมาจะ้ ” หญิงสาวแบ่งขา้ วตม้ ไว้ ให้บิดา เหลือจากน้ันจึงให้มโหสถทาน มโหสถทานข้าวต้มอิ่ม บ้วนปากแล้ว ถามทางไปเรอื นว่า “ฉันอยากไปเรือนเธอ จะบอกทางได้ไหม” นางอมราตอบว่า “ได้จ้ะ” แล้วบอกทางแก่มโหสถเป็นปริศนาว่า “ร้านขายข้าวสัตตุ ร้านขายน้ำ�ส้มสายชู และต้นทองหลางใบซ้อนกัน กำ�ลังออกดอกบานสะพรั่งอยู่ทางไหนให้ไปทางนั้น ดิฉันถือภาชนะใส่ ขา้ วตม้ ดว้ ยมอื ขา้ งไหน ไมบ่ อกดว้ ยมอื ขา้ งนนั้ นน่ั คอื ทางไปเรอื นดฉิ นั ซึ่งต้งั อยใู่ นหมู่บ้านอุตตรยวมชั ฌคาม” มโหสถไปเรือนตามทางที่นางอมราบอกเปน็ ปรศิ นาได้ไม่ยาก มารดา หญงิ สาวเหน็ มโหสถจงึ เชญิ ใหน้ งั่ แลว้ ถามวา่ “ทานขา้ วตม้ มาหรอื ยงั ” มโหสถ ตอบวา่ “นอ้ งหญงิ อมราใหท้ านมาบา้ งแลว้ จะ้ ” มารดาของนางอมรารใู้ นทวี า่ ชายหนุ่มคนนี้คงชอบลูกสาวของตนจึงตามมาถึงเรือน แต่นางก็ยังไม่พูดอะไร มโหสถมองดูภายในเรือนก็รู้ว่า สกุลนี้ค่อนข้างยากจน แต่ก็ถามว่า “ฉันเป็น ชา่ งชุนผา้ พอจะมีผ้าเกา่ ใหฉ้ ันชุนบา้ งไหม” มารดานางอมราตอบวา่ “ผา้ นะมดี อกพอ่ หนมุ่ แตค่ า่ จา้ งไมม่ ใี ห”้ มโหสถกล่าวว่า “ฉนั ไม่ชนุ เอาคา่ จ้างกไ็ ด้จ้ะ แมเ่ อามาเถอะ ฉันจะเยบ็ ใหเ้ ปลา่ ” มารดานางอมราจงึ น�ำ ผา้ เกา่ มาใหม้ โหสถชนุ มโหสถท�ำ ไดค้ ลอ่ งแคลว่

พ ร ะ ม โ ห ส ถ บั ณ ฑิ ต 242 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง เย็บผ้าท้ังหมดประเด๋ียวเดียวก็เสร็จ แล้วบอกให้มารดานางอมราไปบอกให้ ชาวบ้านนำ�ผ้ามาจ้างชุน มารดานางอมราก็บอกชาวบ้านท่ัวไป มโหสถชุนผ้า วนั เดียวได้เงินถึง ๑,๐๐๐ กหาปณะ มารดานางอมราเตรียมหุงหาอาหารเย็น แต่ไม่ทราบว่ามโหสถจะอยู่ ทานขา้ วดว้ ยหรือไม่ จึงถามด้วยความฉลาดว่า “เวลาเยน็ แม่ควรจะหงุ ข้าว เท่าไร” เมอ่ื ทราบวา่ มโหสถจะอยทู่ านขา้ วดว้ ย นางจงึ หงุ หาอาหารดเี ป็นพเิ ศษ ทง้ั แกงและกับ คร้ันตกเยน็ นางอมรากลับจากส่งขา้ วบิดา เอามดั ฟืนทูนศรี ษะมาจาก ป่า เก็บฟนื เสรจ็ แล้วจึงเข้าเรอื น ส่วนบิดากลับบ้านเย็นกว่าบุตรสาว มโหสถทานอาหารร่วมกับบิดา มารดาของหญงิ สาว ส่วนนางอมราดูแลคนเหล่านน้ั ก่อนจงึ ทานภายหลงั มโหสถคอยสังเกตอยู่ในบ้านนั้นสองสามวัน วันหนึ่งมโหสถต้องการ ทดลองใจหญิงสาว จึงบอกให้เธอเอาข้าวสารก่ึงทะนาน แบ่งส่วนต้มข้าวต้ม ทำ�ขนม และหุงข้าวสวย หญิงสาวเอาข้าวเปลือกมาตำ� แล้วเลือกเอาข้าวสาร มเี มล็ดเตม็ หุงเปน็ ขา้ วสวย เอาข้าวสารหักต้มเป็นขา้ วตม้ และเอาปลายขา้ วสาร ป่นทำ�ขนม ทำ�กับข้าวให้พอดีกับข้าวสวยให้มโหสถ พอมโหสถทานข้าวต้ม ก็รู้ว่ามีรสดีมาก แต่ก็ทำ�เป็นแสดงอาการว่าอาหารไม่ได้เร่ือง ถ่มถุยข้าวต้มท้ิง บ่นอุบอิบว่า “เธอทำ�อาหารยังไง ทำ�ให้ข้าวสารเสียหายไปเปล่าโดย ใช่เหตุ” แลว้ สง่ ถ้วยขา้ วต้มคืนให้ หญงิ สาวไมแ่ สดงอาการโกรธเจา้ แงแ่ สนงอน แววตาสงบนงิ่ กลา่ วดว้ ย ใบหนา้ ราบเรยี บวา่ “ถา้ ขา้ วตม้ ไมอ่ รอ่ ย จะรบั ขนมกไ็ ดน้ ะจะ๊ ” แลว้ สง่ ขนม ใหม้ โหสถ มโหสถแสดงอาการเหมอื นเดมิ นางอมรากลา่ ววา่ “ถา้ ขนมไมอ่ รอ่ ย รับข้าวสวยก็ได้จ้ะ” แล้วส่งข้าวสวยให้ มโหสถทำ�เป็นขัดเคือง ขยำ�อาหาร ทง้ั สามอยา่ งรวมกนั เทราดหญิงสาวต้ังแต่หวั ลงมา แลว้ ไลใ่ หไ้ ปนัง่ อยู่ท่ีประตู

ท ศ ช า ติ 243 พ ร ะ ม โ ห ส ถ บั ณ ฑิ ต ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง แม้เช่นน้ี หญิงสาวก็เฉย ๆ ไม่โกรธ เดินออกไปน่ังอยู่ท่ีประตูตาม คำ�ส่ังด้วยกิริยาอ่อนน้อม มโหสถเห็นแล้วอดสงสารไม่ได้ รู้ว่านางไม่ใช่ คนเจ้าแงแ่ สนงอนเหมือนหญงิ ทัว่ ไปจงึ เรยี กกลับมา หญงิ สาวไดย้ นิ มโหสถเรยี ก จงึ เดนิ เขา้ มาน่ังลงใกล้ ๆ มโหสถอย่างว่าง่าย เม่ือมโหสถออกจากบ้านมาน้ัน ได้นำ�ผ้าและเงิน ๑,๐๐๐ กหาปณะ มาด้วย มโหสถให้ผ้าน้ันแก่หญิงสาว บอกให้ไปอาบนำ้�แต่งตัวใหม่ หญิงสาว ทำ�ตามอย่างว่าง่าย มโหสถจึงพูดขอหญิงสาวจากพ่อแม่ของนาง และให้เงิน ๑,๐๐๐ กหาปณะที่ไดจ้ ากการชนุ ผา้ และเงนิ อีก ๑,๐๐๐ กหาปณะทน่ี ำ�ติดตัวมา รวมเป็น ๒,๐๐๐ กหาปณะเป็นสินสอด แล้วลาพ่อตาแม่ยาย พานางอมรา กลบั มิถิลานคร คู่ชีวติ มหาบณั ฑิต มโหสถเอาร่มและรองเท้าให้นางอมราใช้ขณะเดินทาง เธอรับของ ท้ังสองอย่างแล้วพากันเดินทางไป หญิงสาวหุบร่มเสียในขณะออกสู่ท่ีโล่งแจ้ง แดดจา้ และถอดรองเทา้ ถือเดินไปในทด่ี อน พอถึงทล่ี มุ่ มนี �้ำ ขงั กส็ วมรองเทา้ เดิน มโหสถเหน็ จึงถามถึงสาเหตุวา่ ทำ�ไมจึงทำ�อย่างนนั้ นางตอบว่า “ในที่ดอน มองเห็นหนามท่ีจะตำ�เท้า แต่ในนำ้� มองไม่เห็น จึงต้องสวมรองเท้าในท่ีมีนำ้�” มโหสถคิดว่าหญิงสาวคนนี้ ฉลาดหลักแหลมมาก แล้วเดินทางต่อไปจนถึงป่า หญิงสาวก็ก้ันร่มเดินไป มโหสถถามว่า “คนทั่วไปก้ันร่มกันแดด แต่ทำ�ไมเธอกลับก้ันร่มในป่า ที่มีร่มไม้” นางตอบว่า “ที่ฉันทำ�อย่างนี้ เพราะกลัวก่ิงไม้แห้งตกถูก ศรี ษะ” มโหสถดใี จวา่ นางฉลาดหลกั แหลม

พ ร ะ ม โ ห ส ถ บั ณ ฑิ ต 244 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง เม่ือมโหสถเดินทางไปกับนาง เห็นต้นพุทรามีผลดกหนาจึงหยุดน่ัง ใตต้ น้ พทุ รา หญงิ สาวบอกมโหสถขน้ึ ไปเกบ็ พทุ ราใหก้ นิ แตม่ โหสถบอกวา่ เหนอ่ื ย ขึ้นไมไ่ ด้ ให้ขึน้ กินเอง นางจงึ ปีนข้นึ ไปเก็บผลพุทรากนิ มโหสถบอกนางโยนลงมาให้กินบ้าง นางคิดจะทดลองว่าชายน้ีฉลาด หรอื ไม่ จงึ ถามวา่ “เธอจะกนิ ผลรอ้ นหรอื ผลเยน็ ” แมม้ โหสถจะรเู้ หตทุ น่ี างถาม เพือ่ จะทดลองก็ทำ�เปน็ ไม่รู้ แล้วตอบว่า “ฉนั ต้องการผลร้อน” นางเก็บพุทรา โยนไปท่พี ้นื ดิน มโหสถกเ็ ก็บพุทรามาปัดฝุ่นออกแลว้ เค้ยี วกนิ เมอ่ื มโหสถจะทดลองนางอกี จงึ กลา่ ววา่ “ฉนั อยากกนิ ผลเยน็ บา้ ง” นางก็เก็บผลพุทราโยนไปบนพื้นหญ้า มโหสถไม่ต้องปัดฝุ่น เก็บพุทราน้ันมากิน ได้เลย ครั้นทดลองเช่นน้ีรู้ว่านางฉลาดเหลือเกินก็ดีใจ แล้วบอกให้นางลงจาก ต้นพุทรา หญิงสาวลงจากต้นพุทรา แล้วถือภาชนะไปตักน้ำ�มาให้มโหสถด่ืม จากนั้นจึงพากันเดินเข้าพระนคร มโหสถให้นางหยุดพักอยู่ที่เรือนคนเฝ้าประตู พระนคร แล้วบอกภรรยาคนเฝ้าประตูให้ทราบเพื่อทดลองนาง ส่วนตนเอง ลว่ งหนา้ เข้าบา้ นไปกอ่ น เรียกสหายมาบอกให้ไปทดลอง พูดเกีย้ วนางอมรา พวกชายหนุ่มไปหานางอมรา ทำ�ตามที่มโหสถสั่ง หญิงสาวไม่ใส่ใจ กลบั คดิ วา่ ชายเหลา่ น้ีเทียบไม่ไดก้ ับสามีของตน มโหสถให้ชายหนมุ่ ไปทำ�เช่นนนั้ หลายคร้ัง พอครั้งสดุ ทา้ ยจึงกล่าววา่ “ถ้าเชน่ นั้น กไ็ ปฉุดนางมา” พวกเขา ไปท�ำ ตามทม่ี โหสถสง่ั หญงิ สาวมาเหน็ มโหสถแตง่ ตวั อยา่ งเสนาบดี มที รพั ยส์ มบตั ิ มาก กจ็ �ำ ไม่ได้ มองดมู โหสถแล้วหัวเราะและร้องไห้ มโหสถถามเหตุน้นั เธอจงึ บอกวา่ “ดิฉันเหน็ สมบตั ทิ ่าน ก็นึกในใจวา่ ทา่ นมสี มบตั มิ าก เพราะได้ ทำ�กุศลไว้ในชาติก่อน จึงคิดว่าผลบุญน่าอัศจรรย์จริง นึกในใจดังน้ี จึงหัวเราะ แต่ที่ร้องไห้ก็เพราะสงสารว่า บัดนี้ ท่านมาทำ�ร้ายคนท่ีมี สามหี วงแหนกจ็ ะไปเกิดในนรก”

ท ศ ช า ติ 245 พ ร ะ ม โ ห ส ถ บั ณ ฑิ ต ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง เมอื่ มโหสถทดลองนางอมรากร็ วู้ า่ นางมคี วามบรสิ ทุ ธใิ์ จ ไมเ่ หน็ แกท่ รพั ย์ จึงสั่งบริวารของตนให้พานางไปอยู่ที่เดิม แล้วแต่งตัวเป็นช่างชุนผ้า ไปค้างคืน อยู่กับนาง ครั้นรุ่งเชา้ ก็ไปราชสำ�นักทูลเร่ืองทง้ั หมดให้พระนางอทุ มุ พรเทวีทราบ พระนางนำ�ความกราบบังคมทูลพระเจ้าวิเทหราช แล้วประดับนาง อมราด้วยเคร่อื งประดับต่าง ๆ ให้นั่งในวอทีป่ ระดับอย่างดี น�ำ มายังบ้านมโหสถ จัดพธิ แี ตง่ งานใหด้ ว้ ยเกยี รตอิ ันยง่ิ ใหญ่ พระราชาทรงสง่ ทรพั ยไ์ ปเป็นของขวญั แก่มโหสถ ชาวพระนครทั้งหมด ตั้งแต่คนรกั ษาประตตู ่างจดั ของขวญั มาให้ ฝ่ายนางอมราเทวีแบ่งของท่ีได้รับพระราชทานคืนเข้าพระคลังหลวง ส่วนหนงึ่ รบั ไว้ส่วนหนงึ่ แลว้ น�ำ ไปมอบเปน็ ของขวัญให้กบั ประชาชนเพื่อเป็นการ ผูกมิตรกบั ชาวพระนคร ตง้ั แตน่ น้ั มา มโหสถกอ็ ยรู่ ว่ มกบั หญงิ สาว ไดถ้ วายอนศุ าสนอ์ รรถธรรม แด่พระราชาสบื มา เกมคนโกง อยู่มาวันหน่ึง คณะมนตรีทั้ง ๔ คน ปรึกษากันว่า “ลำ�พังมโหสถ เพยี งคนเดยี วพวกเรากไ็ มส่ ามารถเทยี บได้ บดั น้ี เขาไดภ้ รรยาผฉู้ ลาด พวกเราจะทำ�อย่างไร ต้องหาทางทำ�ให้พระราชาเกิดความระแวง มโหสถให้ได้” เสนกบัณฑิตจึงวางแผนใส่ความมโหสถ โดยตนเองจะขโมย ปน่ิ ปกั ผมแกว้ มณขี องพระราชา ปกุ กสุ ะขโมยสวุ รรณมาลา กามนิ ทะขโมยผา้ คลมุ บรรทมกมั พล ส่วนเทวนิ ทะขโมยฉลองพระบาททองค�ำ แล้วหาทางน�ำ ไปซอ่ นไว้ ในเรอื นของมโหสถ อย่าให้เปน็ ทส่ี งสัยได้

พ ร ะ ม โ ห ส ถ บั ณ ฑิ ต 246 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ครั้นตกลงกันตามนั้น เสนกะจึงแอบเอาป่ินปักผมแก้วมณีใส่ไว้ใน หม้อเปรียง แล้วให้สาวใช้คนหน่ึงนำ�หม้อเปรียงน้ันออกไปเร่ขาย กำ�ชับว่า ถ้าคนอื่นรับซื้อไว้ อย่าขายให้ แต่ถ้าคนในเรือนมโหสถรับซ้ือให้ขายท้ังหม้อ สาวใช้ไม่รู้ว่าเสนกะแอบเอาปิ่นปักผมแก้วมณีใส่ไว้ในหม้อเปรียงก็ร้องขาย เรอ่ื ยไปตามนายสง่ั แมม้ คี นถามซอ้ื กไ็ มย่ อมขาย จนมาถงึ บา้ นมโหสถกร็ อ้ งขาย เดนิ กลบั ไปกลับมาอยหู่ น้าบ้าน นางอมราเทวียืนอยู่ที่ประตูเห็นท่าทางก็ผิดสังเกต แปลกใจว่า หญิงขายเปรียงนี้ไม่ยอมไปท่ีอื่น น่าจะมีอะไรผิดปกติ จึงบอกให้คนใช้ของตน หลบไปก่อน แล้วกำ�ชับว่า ถ้าตนเรียกก็อย่าเพิ่งเข้ามา จนกว่าจะมีคนไปตาม จากนั้น จึงเรียกคนขายเปรียงมาว่าจะรับซ้ือ เมื่อคนขายเปรียงเข้ามาแล้ว นางอมราเทวีทำ�เป็นเรียกพวกคนใช้ของตนไปหยิบเงินมาให้ พวกคนใช้ก็ทำ� เป็นไม่ได้ยินนายเรียกเพราะนัดแนะกันไว้ก่อน นางอมราเทวีจึงทำ�เป็นบ่น อุบอิบเหมือนขัดเคืองใจ แล้วบอกให้คนขายเปรียงไปเรียกคนใช้ของตนมาให้ ขณะท่ีคนขายเปรียงกำ�ลังเดินไปนางจึงล้วงมือลงในหม้อเปรียง พบปิ่นปักผม แก้วมณี เมื่อนางคนขายเปรียงกลับมาจึงถามว่า มาจากไหน นางบอกว่าเป็น คนใช้ในบ้านของอาจารย์เสนกะ นางอมราเทวีซักถามช่ือของนาง ตลอดจนชื่อบิดามารดา เมื่อได้รับ คำ�ตอบแล้ว จึงสอบถามราคาเปรียงว่าราคาเท่าไร เม่ือนางคนขายบอกราคา จึงขอซื้อไว้ท้ังหมด คนขายเปรียงกล่าวว่า ถ้าซ้ือเปรียงทั้งหมดก็เอาไว้ทั้งหม้อ โดยไม่คิดราคา นางอมราตกลงรบั ซอ้ื ไว้ แล้วใหค้ นขายเปรียงกลบั ไป ไดบ้ นั ทึก ข้อมูลลงในสมุดจดงานเป็นลายลักษณ์อักษรไว้เป็นหลักฐานว่า วันน้ัน เดือนนั้น อาจารย์เสนกะให้คนใช้ช่ือน้ี ธิดาของคนชื่อนี้นำ�ปิ่นปักผมแก้วมณีของพระราชา มาเรข่ าย แม้ปุกกุสะ กามินทะ และเทวินทะ ก็ส่งราชาภรณ์อ่ืน ๆ ซุกซ่อนใน ผัก ผลไม้ และมัดข้าวโพดไปขายโดยทำ�นองเดียวกัน นางอมราเทวีรับซ้ือไว้

ท ศ ช า ติ 247 พ ร ะ ม โ ห ส ถ บั ณ ฑิ ต ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ทัง้ หมด แลว้ ลงบนั ทกึ เร่อื งไวเ้ ป็นหลักฐานอยา่ งละเอยี ดเช่นเคย บอกใหม้ โหสถ ทราบเรอ่ื งทั้งหมดทเี่ กิดขนึ้ แล้วเกบ็ หลักฐานไว้ ฝ่ายเสนกะไปกราบทูลเตือนพระราชาว่า ไม่เห็นพระองค์ประดับ แก้วจุฬามณีนานแล้ว พระเจ้าวิเทหราชนึกข้ึนได้จึงรับสั่งให้ข้าหลวงไปนำ�มา ประดบั เมอ่ื ขา้ หลวงคนนน้ั ไปดไู มเ่ หน็ แกว้ จฬุ ามณแี ละราชาภรณอ์ นื่ ๆ จงึ กลบั มา รายงานพระราชา อาจารย์ทั้ง ๔ คน ทำ�ทีเป็นตกใจ กราบทูลพระราชาว่า ราชาภรณ์ของพระองค์หายไป น่าจะมีคนคิดการใหญ่ แล้วทูลยุยงพระราชาว่า พวกตนไดเ้ หน็ เครอื่ งราชาภรณอ์ ยใู่ นเรอื นมโหสถ การทม่ี โหสถแอบน�ำ ราชาภรณ์ ไปใช้เองเช่นน้ีน้ันเป็นการไม่จงรักภักดี ส่อแสดงว่ากำ�ลังคิดการอันเป็นกบฏ ตอ่ พระองค์ สายสืบที่มโหสถวางไว้ได้ไปแจ้งเหตุการณ์ท่ีเกิดข้ึนให้มโหสถทราบ ลว่ งหนา้ มโหสถคดิ วา่ หากเขา้ เฝา้ พระราชากราบทลู ใหท้ รงทราบ กจ็ ะรคู้ วามจรงิ จึงรีบเขา้ วงั ไปเฝ้าพระเจ้าวเิ ทหราช ขณะนัน้ พระราชากริ้วมโหสถมาก ทรงทราบวา่ มโหสถกำ�ลงั จะเขา้ เฝ้า ทรงคดิ ระแวงหนกั ขน้ึ ไปอกี วา่ ท�ำ ไมมโหสถจงึ มาผดิ เวลาเชน่ น้ี คงจะคดิ มดิ มี ริ า้ ย อะไร แสดงว่าท่ีอาจารย์พูดต้องมีมูลความจริง พระองค์จึงไม่ยอมให้มโหสถ เข้าเฝ้า มโหสถรู้ว่าพระราชากร้ิวมากจนไม่ยอมให้เข้าเฝ้า จึงรีบกลับบ้าน ขณะน้นั พระราชามีรบั สัง่ ให้จบั กมุ ตัวมโหสถ มโหสถยังไม่ทันถึงบ้านก็ได้รับข่าวจากสายลับของตนว่า พระราชามี รับส่ังให้จับกุมตัวมโหสถ จึงคิดว่าขณะนี้พระราชาทรงกริ้ว คงไม่รับฟังเหตุผล เราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรข้ึน ควรจะหลบหนีไปสักระยะหนึ่งก่อน ค่อยคิดอ่าน หาทางแกไ้ ข จงึ สง่ ขา่ วไปบอกใหน้ างอมราเทวที ราบ แลว้ ปลอมตวั ออกจากเมอื ง

พ ร ะ ม โ ห ส ถ บั ณ ฑิ ต 248 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ทางประตูด้านทิศใต้ หลบหนีราชภัยไปยังหมู่บ้านทักขิณยวมัชฌคาม ทำ�งาน รบั จ้างปน้ั หมอ้ เลย้ี งชพี ในหมูบ่ ้านแห่งน้นั หกั เหลย่ี มบัณทติ จอมปลอม ภายในพระนครเกิดข่าวแพร่สะพัดไปท่ัวว่ามโหสถบัณฑิตคิดการ เป็นกบฏต่อพระเจ้าแผ่นดิน แต่ความลับแตกก่อน ขณะนี้ได้แอบหลบหนี ออกจากพระนครไปแล้ว จึงเกิดความโกลาหลอลหม่าน สอบถามเร่ืองราวกัน อย่างกว้างขวาง คณะมนตรีท้ัง ๔ คน รู้ว่ามโหสถหนีไปแล้วก็ดีใจ พูดปลอบชาว พระนครวา่ “พวกทา่ นอยา่ ทกุ ขใ์ จไปเลย เรากเ็ ปน็ บณั ฑติ พอจะเปน็ ทพี่ งึ่ พวกท่านได”้ ประชาชนท่ีรูค้ วามจริงได้ยินเช่นนนั้ ตา่ งตะโกนดา่ ทออย่อู ึงม่ี เม่อื บัณฑติ ทงั้ ๔ คน เหน็ นางอมราเทวอี ยคู่ นเดยี ว ต่างก็คดิ หมายมนั่ ท่จี ะไดน้ างมาเป็นของตน ไมบ่ อกกันและกนั ให้รู้ ตา่ งคนต่างแอบสง่ ส่งิ ของไปให้ นางอมราเพือ่ เปน็ การผูกสัมพนั ธ์ นางอมรารับบรรณาการที่คนทั้ง ๔ ส่งไปให้ก็ทราบความมุ่งหมาย ของคนเหลา่ นั้น จงึ วางแผนท่จี ะแกแ้ คน้ ใหค้ นเหล่าน้นั ไดอ้ าย นางอมราเทวีได้นัดแนะคนเหล่านั้นให้มาบ้านของตน ในเวลาท่ี แตกต่างกันออกไป จากนนั้ จงึ ให้คนในบ้านชว่ ยกนั ขดุ หลมุ ลกึ ท�ำ รัว้ รอบขอบชิด ล้อมไว้ แล้วนำ�อุจจาระผสมน้ำ�เทลงในหลุมนั้น ปิดแผ่นกระดาน ทำ�กลไก ท่ีหลุมอุจจาระ ทำ�ล่ิมสลักไว้สองข้าง เอาเสื่อปูทับปกปิดไว้อีกช้ันหน่ึง ประดับ ด้วยดอกไม้ ตกแตง่ ให้ดงู ดงาม ให้ตงั้ อา่ งสำ�หรบั อาบนำ้�ไว้ ท�ำ ทุกอยา่ งให้เสร็จ กอ่ นตะวันตกดนิ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook