Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พุทธวจน (ปฐมธรรม)

พุทธวจน (ปฐมธรรม)

Published by Sarapee District Public Library, 2020-05-31 00:35:40

Description: พุทธวจน (ปฐมธรรม)

Keywords: พุทธวจน

Search

Read the Text Version

พุทธวจน ปฐมธรรม เข้าใจธรรมเพียงบทเดียว กเ็ พยี งพอ คามณิ ! ...เพราะเหตวุ ่า ถึงแม้เขาจะเข้าใจธรรมท่เี ราแสดงสักบทเดียว นั่นก็ยงั จะเปน็ ไปเพอ่ื ประโยชน์เกื้อกลู และความสุขแกช่ นทัง้ หลายเหลา่ นัน้ ตลอดกาลนาน. สฬา. สํ. ๑๘/๓๘๙/๖๐๕.

ให้เปน็ ผ้หู นกั แน่น และไมก่ ล่าวมสุ า ราหุล ! เรากล่าววา่ กรรมอันเป็นบาปหน่อยหน่ึง ซ่ึงบุคคลผไู้ มม่ ีความละอายในการแกล้งกลา่ วเท็จ ทัง้ ทีร่ ู้อยูว่ า่ เปน็ เท็จจะทาำ ไมไ่ ด้หามไี ม.่ เพราะฉะนน้ั ในเรื่องนี้ เธอทงั้ หลาย พึงสำาเหนียกใจไว้ว่า “เราทัง้ หลายจกั ไมก่ ลา่ วมุสา แมแ้ ต่เพอื่ หัวเราะกันเล่น” ราหุล ! เธอท้ังหลายพงึ สำาเหนียกใจไวอ้ ย่างน.ี้ ราหลุ ! เธอจงอบรมจิตใหเ้ สมอดว้ ยแผ่นดิน (ปฐว)ี เถิด เมือ่ เธออบรมจติ ให้เสมอด้วยแผ่นดนิ อยู่ ผสั สะทง้ั หลายทีน่ ่าพอใจและไมน่ ่าพอใจอันเกดิ ขนึ้ แลว้ จักไมก่ ลุม้ รุมจิตต้ังอยู่. ราหุล ! เปรียบเหมอื นเมอ่ื คนเขาทิ้งของสะอาดบ้าง ไม่สะอาดบา้ ง ทง้ิ คถู บ้าง ท้ิงมูตรบ้าง ท้งิ น้าำ ลายบ้าง หนองบ้าง โลหติ บา้ ง ลงบนแผน่ ดิน แผ่นดินก็ไม่รสู้ ึกอดึ อดั ระอารงั เกยี จ ดว้ ยส่งิ เหล่านั้น, นีฉ้ นั ใด. “ราหลุ ! เธอจงอบรมจิตใหเ้ สมอดว้ ยแผ่นดินเถดิ เม่อื เธออบรมจติ ให้เสมอดว้ ยแผน่ ดินอย่,ู ผัสสะทงั้ หลายท่ีนา่ พอใจ และไมน่ า่ พอใจอนั เกดิ ขึ้นแลว้ จกั ไม่กลุ้มรุมจติ ตง้ั อยูฉ่ ฉนั นั นนั้นน้ั เหเหมมือือนนกกันัน””. ราหลุ ! เธอจงอบรมจิตให้เสมอดว้ ยน้ำา (อาโป) เถดิ เมอื่ เธอจงอบรมจติ ให้เสมอด้วยน้าำ อยู่ ผัสสะท้ังหลายทน่ี ่าพอใจและไมน่ ่าพอใจอนั เกดิ ข้นึ แลว้ จกั ไมก่ ลมุ้ รุมจติ ต้ังอยู่. ราหลุ ! เเปปรรียียบบเเหหมมือือนนเเมม่ืออ่ื คคนนเเขขาาลลา้ า้ งงขขอองงสสะะออาาดดบบา้ ้างงไไมมส่ ่สะะออาาดดบบา้ ้างงลล้าา้ งงคคถู ถู บบ้า้างงลลา้ า้ งงมมตู ูตรรบบ้า้างง นาำ้ ลาย บนาำ้ ลงาหยนบอา้ งบหา้ นงอโงลบหา้ ติ งบโา้ลงหลติ งบใา้นงนลาำ้ งนใานำ้ กนไ็ าำ้มนร่ สู้าำ กึ ไ็อมดึ ร่ อสู้ ดั กึ รอะดึ ออารดั งัรเะกอยี าจรงัดเว้กยี สจง่ิ ดเหว้ ลยา่สนง่ิ น้ัเห,ลนา่ ฉ้ีนนั้ั ใ,ดนฉ้ี นั ใด. “ราหลุ ! เธอจงอบรมจติ ใหเ้ สมอดว้ ยนาำ้ เถดิ เมอ่ื เธออบรมจติ ใหเ้ สมอดว้ ยนาำ้ อย,ู่ ผสั สะทง้ั หลายทน่ี า่ พอใจ และไมน่ า่ พอใจอนั เกดิ ขน้ึ แลว้ จกั ไมก่ ลมุ้ รมุ จติ ตง้ั อยู่ ฉนั นน้ั เหมอื นกนั ”. (ในกรณแี หง่ ไฟ ลม และอากาศ ก็ได้ตรัสไว้ในลกั ษณะคล้ายคลึงกัน) ม. ม. ๑๓/๑๒๕/๑๒๗. , ม. ม. ๑๓/๑๓๘-๔๐/๑๔๐-๔.

ความเพยี รพอดี พรอ้ มดว้ ยความสามคั พุ ท ธ ว จ นโสณะ! ข้อนกี้ ็เปน็ เช่นน้ันแลก ความเพียรท่บี ุคคลปรารภจดั เก ปฐมธรรมย่อมเปน็ ไปเพอ่ื ความฟ้งุ ฉบับ ๙ยอ่ หยอ่ นเกินไป ยอ่ มเป็นไปเพ่ือความเกียจค โสณะ ! เพราะเหตุนน้ั แล เธอจงต้งั ความเพยี รแต จงเข้าใจความทีอ่ นิ ทรยี ์ท้งั หลาย ต้องเปน็ ธรรมชาตทิ ่ีเสมอ จงกำาหนดหมายในความพอดีนั้นไ “พระเจา้ ขา้ ! ข้าพระองค์จกั ปฏบิ ัตอิ ย ภกิ ษุทง้ั หลาย ! ในทิศใดพวกภิกษุ มคี วามพรอ้ มเพร มีความบนั เทิงต่อกันและกนั ไมท่ ะเลาะวิว เขา้ กนั ไดส้ นทิ เหมอื นนาำ้ นมกบั นาำ้ มองดกู นั ดว้ ยสายตาแหง่ ความ ภกิ ษทุ งั้ หลาย ! ทศิ น้ันเปน็ ท่ีผาสุกแกเ่ รา แม้ตอ้ งเดนิ ไป (อยา่ งเหน็ดเ จะป่วยการกลา่ วไปใย ถงึ การที่เพยี งแต ในกรณีนี้ เราเชอื่ แน่แกใ่ จว่า เปน็ เพราะภิกษุเห ไดล้ ะทิ้งธรรม ๓ อย่างเสียแล้ว และพากนั มาถือกระทาำ เพิ่มพนู ในธรรม ๓ อย่าง... กธ็ รรม ๓ อยา่ ง อยา่ งไ ที่พวกภิกษเุ หล่านัน้ พากนั มาถอื กระทาำ เพ่ิมพนู ให้มาก ๓ อย่า ๑. เนกขัมมวิตก ความตรกึ ในการหลีกออกจากความพวั พนั ใ ๒. อัพย๎ าปาทวิตก ความตรึกในการไม่ทำาความ พุทธวจนสถาบัน๓. อวหิ งิ สาวิตก ความตรึกในการไม่ทาำ ตนและผู้อื่นให ธรรม ๓ อยา่ งเหลา่ น้ีแล ท่ีภกิ ษุเหลา่ น้นั พากนั มาถือ กระทำาเพม่ิ พูนใ ร่วมกันศึกษา ปฏิบัติ เผยฉแกผกฺ . ่คอ.ํ ำ�๒๒ข/อ๔๒ง๐ต/๓ถ๒๖า.ค, ตติก. อ.ํ ๒๐/๓๕

พุทธวจน ฉบับ ๙ ปฐมธรรม สื่อธรรมะนี้ จัดทำ�เพื่อประโยชน์ทางการศึกษาสู่สาธารณชน เป็นธรรมทาน ลขิ สทิ ธิ์ในต้นฉบบั นไี้ ดร้ บั การสงวนไว้ ไมส่ งวนสิทธิ์ในการจดั ท�ำ จากตน้ ฉบบั เพ่ือเผยแผ่ในทกุ กรณี ในการจัดท�ำ หรือเผยแผ่ โปรดใช้ความละเอียดรอบคอบ เพ่ือรกั ษาความถูกต้องของข้อมลู ขอค�ำ ปรกึ ษาดา้ นข้อมูลในการจดั ทำ�เพอ่ื ความสะดวกและประหยดั ตดิ ต่อไดท้ ่ี มลู นธิ ิพุทธโฆษณ์ โทรศพั ท์ ๐๘ ๘๔๙๔ ๘๐๘๓ คณุ ศรชา โทรศัพท์ ๐๘ ๑๕๑๓ ๑๖๑๑ คุณอารวี รรณ โทรศพั ท ์ ๐๘ ๕๐๕๘ ๖๘๘๘ พิมพ์ครั้งท่ี ๑ ตุลาคม ๒๕๕๔ ศลิ ปกรรม ปรญิ ญา ปฐวนิ ทรานนท์, วชิ ชุ เสริมสวัสด์ศิ รี จัดทำ�โดย มลู นิธิพทุ ธโฆษณ์ (เว็บไซต์ www.buddhakos.org)

คำ�อนุโมทนา ขออนุโมทนา  กับคณะผู้จัดทำ�  หนังสือพุทธวจน ฉบับ  “ปฐมธรรม”  ในเจตนาอันเป็นกุศล  ท่ีมีความต้ังใจ เผยแผค่ ำ�สอนขององคส์ มั มาสมั พทุ ธเจา้ ทอ่ี อกจากพระโอษฐ์ ของพระองคเ์ อง  ทง้ั หมดทท่ี า่ นตรสั รใู้ นหลายแงม่ มุ ทเ่ี กย่ี วกบั การใช้ชีวิต  วิธีแก้ทุกข์  ฯลฯ  ตามหลักพุทธวจนง่ายๆ  เพอ่ื ใหผ้ สู้ นใจไดศ้ กึ ษาและน�ำ มาปฏบิ ตั  ิ เพอ่ื ใหถ้ งึ ความพน้ ทกุ ข์ ด้วยเหตุอันดีน้ี  ขอจงเป็นพลวปัจจัยให้ผู้มีส่วนร่วมในการ ทำ�หนังสือเล่มน้ีและผู้ท่ีได้อ่าน  ได้ศึกษา  พึงเกิดปัญญา ไดด้ วงตาเห็นธรรม  พ้นทกุ ข์ในชาติน้ีเทอญ. ขออนุโมทนา พระคกึ ฤทธิ์ โสตถฺ ิผโล

อกั ษรย่อ เพื่อความสะดวกแก่ผ้ทู ย่ี ังไม่เขา้ ใจเร่ืองอกั ษรยอ่ ทีใ่ ชห้ มายแทนชือ่ คมั ภรี ์ ซ่ึงมีอย่โู ดยมาก มหาวิ. วิ. มหาวิภังค์ วนิ ยั ปิฎก. ภิกฺขุนี. ว.ิ ภิกขนุ วี ภิ ังค์ วนิ ัยปิฎก. มหา. ว.ิ มหาวรรค วินัยปฎิ ก. จุลฺล. วิ. จลุ วรรค วินัยปิฎก. ปริวาร. วิ. ปรวิ ารวรรค วนิ ยั ปิฎก. ส.ี ท.ี สลี ขันธวรรค ทีฆนกิ าย. มหา. ท.ี มหาวรรค ทีฆนกิ าย. ปา. ท.ี ปาฏิกวรรค ทีฆนกิ าย. มู. ม. มูลปณั ณาสก์ มัชฌิมนกิ าย. ม. ม. มชั ฌมิ ปัณณาสก์ มัชฌมิ นิกาย. อปุ ร.ิ ม. อุปริปัณณาสก์ มัชฌิมนกิ าย. สคาถ. สํ. สคาถวรรค สังยุตตนกิ าย. นทิ าน. ส.ํ นทิ านวรรค สงั ยตุ ตนิกาย. ขนฺธ. สํ. ขันธวารวรรค สงั ยุตตนกิ าย. สฬา. สํ. สฬายตนวรรค สังยตุ ตนิกาย. มหาวาร. สํ. มหาวารวรรค สงั ยตุ ตนิกาย. เอก. อ.ํ เอกนบิ าต อังคุตตรนิกาย. ทุก. อ.ํ ทุกนิบาต องั คุตตรนิกาย. ตกิ . อ.ํ ติกนบิ าต องั คตุ ตรนกิ าย. จตุกฺก. อ.ํ จตกุ กนิบาต อังคตุ ตรนกิ าย.

ปญฺจก. อํ. ปญั จกนิบาต องั คุตตรนิกาย. ฉกกฺ . อํ. ฉักกนิบาต อังคตุ ตรนิกาย. สตฺตก. อํ. สตั ตกนิบาต อังคตุ ตรนกิ าย อฏฺ ก. อํ. อฏั ฐกนิบาต องั คตุ ตรนิกาย. นวก. อ.ํ นวกนบิ าต องั คตุ ตรนิกาย. ทสก. อํ. ทสกนบิ าต อังคตุ ตรนกิ าย. เอกาทสก. อ.ํ เอกาทสกนิบาต องั คุตตรนกิ าย. ข.ุ ข.ุ ขุททกปาฐะ ขุททกนิกาย. ธ. ข.ุ ธรรมบท ขทุ ทกนกิ าย. อุ. ข.ุ อทุ าน ขทุ ทกนิกาย. อติ ิว.ุ ขุ. อิติวตุ ตกะ ขทุ ทกนกิ าย. สตุ ตฺ . ขุ. สุตตนิบาต ขุททกนกิ าย. วิมาน. ขุ. วมิ านวตั ถุ ขทุ ทกนกิ าย. เปต. ขุ. เปตวตั ถุ ขุททกนกิ าย. เถร. ขุ. เถรคาถา ขทุ ทกนิกาย. เถรี. ขุ. เถรีคาถา ขทุ ทกนิกาย. ชา. ขุ. ชาดก ขทุ ทกนิกาย. มหานิ. ขุ. มหานิทเทส ขุททกนกิ าย. จฬู นิ. ขุ. จูฬนิทเทส ขุททกนิกาย. ปฏสิ ม.ฺ ข.ุ ปฏิสัมภทิ ามรรค ขุททกนิกาย. อปท. ขุ. อปทาน ขุททกนกิ าย. พทุ ธฺ ว. ขุ. พุทธวงส์ ขุททกนิกาย. จรยิ า. ขุ. จริยาปิฎก ขุททกนิกาย. ตัวอย่าง : ๑๔/๑๗๑/๒๔๕ ให้อ่านว่า ไตรปฎิ กฉบับบาลีสยามรัฐ เล่ม ๑๔ หนา้ ๑๗๑ ขอ้ ท่ี ๒๔๕



ค�ำ น�ำ ไม่แปลกที่นกั วิชาการทางโลก มกั จะจัดหมวดหมธู่ รรมะ ไปตามความเข้าใจจากการคิดเชิงวิเคราะห์แบบแบ่งย่อยแยกส่วน เพราะน่ันคือฐานวิธีการเข้าหาความจริงของวิทยาศาสตร์ตะวันตก ซง่ึ ถกู ใชเ้ ปน็ แมแ่ บบ ในกระบวนการศกึ ษา ของทกุ ๆ สาขาวชิ าทางโลก. เมอ่ื มองจากจดุ ยนื นน้ั หนงั สอื พทุ ธวจนฉบบั ปฐมธรรม น้ี อาจจะถกู เขา้ ใจไดว้ า่ เปน็ หนงั สอื ธรรมะหมวดทว่ั ไป ส�ำ หรบั ฆราวาส เพราะวา่ ชอ่ื หวั ขอ้ เรอ่ื งตา่ งๆ นน้ั คอ่ นขา้ งเอนไปในแงข่ องหลกั ปฏบิ ตั ิ ในชวี ติ ประจ�ำ วนั ซง่ึ มงุ่ เนน้ ใหเ้ กดิ ปฏสิ มั พนั ธท์ างสงั คมทเ่ี ปน็ ปกตสิ ขุ . ความเขา้ ใจในลกั ษณะน้ี  มคี วามถูกต้องเพยี งมิติเดียว. จรงิ อยวู่ า่ การปฏบิ ตั ติ นทถ่ี กู ตอ้ ง ตามหลกั ค�ำ สอนตา่ งๆ สามารถสรา้ งสงั คมทเ่ี ปน็ ปกตสิ ขุ ได้ ปญั หามอี ยวู่ า่ หากเพยี งมงุ่ สรา้ ง สงั คมโลกทส่ี งบสขุ นา่ อยู่ หรอื เพยี งเพอ่ื ดแู ลชวี ติ ของตนเองใหด้ แี คน่ น้ั การมขี น้ึ ของอรหนั ตสมั มาสมั พทุ ธะกไ็ มม่ จี �ำ เปน็ แตอ่ ยา่ งใด เพราะวา่ ทกุ สงั คมเชอ้ื ชาติ ตา่ งกม็ ลี ทั ธคิ วามเชอ่ื และหลกั ค�ำ สอนทเ่ี ปน็ ไปเพอ่ื ความสงบสขุ แบบโลกๆ กนั อยแู่ ลว้ ยง่ิ ไปกวา่ นน้ั นน่ั ยงั ท�ำ ใหโ้ อกาส ของการไดเ้ กดิ มาเปน็ มนษุ ย์ และการไดม้ าพบค�ำ สอนของพระพทุ ธเจา้ กลับกลายเสมือนเปน็ ความสูญเปล่าเสยี ไปด้วย.

จุดสำ�คัญมีอยู่ว่า  สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ท้ังหมด นบั ตง้ั แตร่ าตรที ท่ี รงตรสั รู้ ไปจนถงึ ปจั ฉมิ วาจา กอ่ นปรนิ พิ พานนน้ั ไมว่ า่ จะปรากฏเปน็ เรอ่ื งลกึ หรอื ตน้ื ตอ่ บคุ คลผสู้ ดบั อยู่ อยา่ งไรกต็ าม ตา่ งกส็ ะทอ้ นอานสิ งส์ โนม้ เอยี งไปสจู่ ดุ หมายอยา่ งเดยี วกนั ในทส่ี ดุ คอื เปน็ เรอ่ื งทน่ี �ำ ไปสคู่ วามหลดุ พน้ จากชาติ ชรา มรณะ ดว้ ยกนั ทง้ั สน้ิ . ไม่ใช่เรื่องง่าย  ที่จะเห็นความสัมพันธ์เชื่อมโยงได้ว่า  วธิ ปี ฏบิ ตั ติ นตอ่ บคุ คลแวดลอ้ ม (ทศิ ๖) หรอื หลกั วธิ กี ารใชจ้ า่ ยทรพั ย์ หรอื แมก้ ระทง่ั เรอ่ื งของศลี คอื หลกั การกระท�ำ ทไ่ี มเ่ บยี ดเบยี นกนั นน้ั เกย่ี วขอ้ ง และน�ำ ไปสู่ การหลดุ พน้ จากชาติ ชรา มรณะ ไดอ้ ยา่ งไร. พระผู้มีพระภาคเจ้า  ทรงยืนยันด้วยพระองค์เองว่า เพราะเหตใุ ดกต็ าม ทท่ี �ำ ให้ ๓ สง่ิ น้ี คอื ชาติ ชรา มรณะ มอี ยใู่ นโลก เพราะเหตนุ น้ั นน่ั เอง จงึ มกี ารบงั เกดิ ขน้ึ ของอรหนั ตสมั มาสมั พทุ ธะ. เหตุข้างต้นน้ี บวกเขา้ กับ คณุ สมบัติ ๑๐ ข้อของพุทธวจน (ดไู ด้ในแผน่ พับ : ทำ�ไมต้องพทุ ธวจน - ชาวพทุ ธปฏบิ ัตติ ามใคร) ชใ้ี หเ้ หน็ ถงึ ลกั ษณะความเชอ่ื มโยงสอดคลอ้ งเปน็ หนง่ึ ของธรรมวนิ ยั ทเ่ี ปน็ พทุ ธวจน ในทกุ บรบิ ท ทกุ แงม่ มุ ไมว่ า่ ตรสั กบั ใคร ในวาระไหน. พุทธวสิ ัย ในการใช้บทพยัญชนะ และการพูดบอกสอน ทม่ี ลี กั ษณะเชอ่ื มโยงประสานเปน็ หนง่ึ เดยี วทง้ั หมด โดยไมพ่ ลาดเลยน้ี เปน็ ความอศั จรรยว์ เิ ศษ ทถ่ี กู ชาวพทุ ธมองขา้ ม หรอื ไมร่ เู้ ลยกว็ า่ ได้ เปน็ เหตใุ หพ้ ลาดโอกาส ในการรแู้ จง้ แทงตลอดหลกั ธรรมในมติ ติ า่ งๆ เพราะไม่สามารถเปิดจดุ เชอื่ มโยงธรรม ใหถ้ ึงกนั ได.้

หากใครกต็ าม ไดศ้ กึ ษาบทพยญั ชนะทเ่ี ปน็ พทุ ธวจนใหด้ ี จะพบจดุ เชอ่ื มโยงธรรม จากเรอ่ื งทด่ี เู หมอื นเปน็ เพยี งวธิ กี ารปฏบิ ตั ติ วั ในชวี ติ ประจ�ำ วนั ทว่ั ๆ ไปนน้ั ไปถงึ หลกั ธรรมล�ำ้ ลกึ อนั เปน็ แกน่ แทไ้ ด้ คอื เชอ่ื มตอ่ ๆ กนั ไปถงึ การหลดุ พน้ จากชาติ ชรา มรณะ โดยสน้ิ เชงิ ได้. จึงเป็นเร่ืองท้าทายสำ�หรับชาวพุทธ  ในแง่มุมที่ว่า ทกุ วนั น้ี เราศกึ ษาพทุ ธวจน ในระดบั ทส่ี ามารถเปดิ จดุ เชอ่ื มโยงธรรม ทซ่ี อ้ นทบั เกย่ี วเนอ่ื งกนั อยไู่ ดห้ รอื ไม่ และ เราใชป้ ระโยชนจ์ ากค�ำ สอน ของพระพุทธเจ้า ได้ถึงอานสิ งสท์ ่มี ่งุ หมายอย่างแทจ้ ริงแคไ่ หน. คณะผู้จดั พมิ พห์ นงั สอื เลม่ น้ี ขอนอบนอ้ มสักการะ ต่อ ตถาคต ผู้อรหันตสัมมาสัมพทุ ธะ และ ภกิ ษุสาวกในธรรมวนิ ยั น้ี ตัง้ แต่คร้งั พุทธกาล จนถึงยุคปจั จุบนั ท่มี สี ว่ นเกย่ี วขอ้ งในการสบื ทอดพุทธวจน คอื ธรรม และวินยั ทีท่ รงประกาศไว้ บรสิ ุทธิ์บรบิ ูรณด์ ีแล้ว. คณะศษิ ย์พระตถาคต



สารบญั ๑ ธรรมะกับชีวิต ๒ ๔ ๑. ผู้ชี้ขุมทรพั ย์ ! ๖ ๒. โอกาสในการเกิดเปน็ มนษุ ยน์ ้นั แสนยาก ๙ ๓. วิญญาณ คือ เหตุแห่งการเกิดขึ้นของสตั ว์ ๑๐ ๔. หลักปฏบิ ัติต่อทิศท้ัง ๖ ๑๑ หนา้ ที่ที่พึงปฏบิ ตั ติ ่อทิศเบื้องหน้า ๑๒ หน้าที่ท่ีพงึ ปฏบิ ัตติ อ่ ทิศเบ้ืองขวา ๑๓ หนา้ ทีท่ พ่ี งึ ปฏบิ ตั ติ อ่ ทิศเบอื้ งหลัง ๑๔ หนา้ ที่ท่พี งึ ปฏบิ ัติต่อทศิ เบอ้ื งซา้ ย ๑๕ หน้าทท่ี ี่พงึ ปฏบิ ัตติ ่อทศิ เบอ้ื งต่�ำ ๑๗ หนา้ ทท่ี พ่ี งึ ปฏบิ ัตติ ่อทศิ เบอ้ื งบน ๒๑ ๕. หลักในการใช้จ่ายทรพั ย ์ ๒๓ ๖. การตอบแทนคณุ มารดาบิดาอย่างสูงสดุ ๒๗ ๗. ว่าดว้ ยความรัก ๔ แบบ ๒๙ ๘. ลกั ษณะของ “ฆราวาสชั้นเลศิ ” ๒๙ ๙. หลักการด�ำ รงชพี เพอื่ ประโยชน์สขุ ในวนั น้ี ๓๐ ความขยันในอาชีพ การรักษาทรพั ย์

ความมมี ิตรด ี ๓๑ การดำ�รงชีวติ สมำ�่ เสมอ ๓๒ ๑๐. หลักการดำ�รงชีพ เพ่อื ประโยชน์สุขในวันหนา้ ๓๔ ๑๑. เหตเุ ส่อื มและเหตุเจรญิ แหง่ ทรัพย์ ๓๗ เหตุเสอื่ มแห่งทรพั ย์ ๔ ประการ ๓๗ เหตเุ จริญแหง่ ทรพั ย์ ๔ ประการ ๓๘ ๑๒. อบายมุข ๖ (ทางเส่อื มแห่งทรพั ย์ ๖ ทาง) ๔๐ โทษของอบายมุขแตล่ ะข้อ ๔๑ ๑๓. การบรโิ ภคกามคณุ ทั้ง ๕ อยา่ งไม่มีโทษ ๔๕ ๑๔. หลักการพูด ๔๙ ๑๕. ลักษณะการพดู ของตถาคต ๕๑ ๑๖. ลกั ษณะการพูดของสตั บุรุษ ๕๓ ๑๗. ลกั ษณะการพดู ของอสัตบุรษุ ๕๕ ๑๘. อย่าหเู บา ๕๗ ๑๙. เขา้ ใจธรรมเพียงบทเดียว ก็เพียงพอ ๕๙ ๒๐. ใหเ้ ป็นผหู้ นกั แนน่ ๖๐ ๒๑. ลาภสักการะและเสยี งเยนิ ยอ เปน็ อนั ตราย ๖๓ แม้แต่พระอรหนั ต์ ๒๒. ลักษณะของผ้มู สี ติและสัมปชัญญะ ๖๕ ๒๓. สง่ิ ท่พี ระศาสดาถือว่าเป็นความอศั จรรย ์ ๖๗

๒๔. จิตอธษิ ฐานการงาน ๖๘ ๒๕. การตั้งจติ ก่อนนอน ๖๙ ๒๖. มดื มา...สวา่ งไป  สวา่ งมา...กย็ งั คงสวา่ งไป ๗๐ ๒๗. เหตุของความสามัคคแี ละความแตกแยก ๗๓ ๒๘. ความอยาก (ตณั หา) คอื ตน้ เหตแุ หง่ การทะเลาะววิ าท ๗๗ ๒๙. กฎธรรมชาติ ๗๙ ๓๐. เหตแุ หง่ การเบยี ดเบียน ๘๐ ๓๑. ความพอใจใด ความพอใจนน้ั คอื เหตเุ กดิ แหง่ ทกุ ข ์ ๘๒ ๓๒. ธรรมอันเป็นไปเพ่อื ความเจรญิ ไม่เสอ่ื ม ๘๓ (อปริหานยิ ธรรม) ๓๓. เหตใุ หศ้ าสนาเจริญ ๘๕ ๓๔. เหตุให้ศาสนาเส่ือม ๘๘ ๓๕. สิ่งทงั้ หลายไมเ่ ทย่ี ง ๙๑ ๓๖. ผลจากความไมม่ ธี รรมะของมนุษย์ (อย่างเบา) ๙๗ ๓๗. ผลจากความไมม่ ธี รรมะของมนษุ ย์ (อยา่ งหนกั ) ๑๐๐ ๓๘. ขอ้ ควรทราบเกีย่ วกบั อกศุ ลมลู ๑๐๕ (ราคะ โทสะ โมหะ) ๓๙. คุณสมบตั ขิ องทูต ๑๐๘ ๔๐. ไม่โกหกกนั แมเ้ พยี งเพอ่ื หัวเราะเล่น ๑๐๙ ๔๑. งเู ปื้อนคถู ๑๑๐

“กรรม” และผลของการกระทำ� ๑๑๓ ๔๒. ส่งิ ทคี่ วรร้เู บ้ืองตน้ เกย่ี วกบั “กรรม” ๑๑๔ ๔๓. กายนี้ เปน็ “กรรมเก่า” ๑๑๖ ๔๔. ศลี ๕ ๑๑๘ ๔๕. ทาน ท่จี ัดวา่ เปน็ มหาทาน ๑๒๐ ๔๖. อุโบสถ (ศลี ) ๑๒๒ ๔๗. อกศุ ลกรรมบถ ๑๐ ๑๒๔ ๔๘. กศุ ลกรรมบถ ๑๐ ๑๒๙ ๔๙. อานสิ งส์สำ�หรับผู้ท�ำ ศลี ใหบ้ รบิ รู ณ์ ๑๓๕ ๕๐. ผลของการมีศีล ๑๔๐ ๕๑. ผลของการไม่มีศลี ๑๔๒ ๕๒. ท�ำ ดี ไดด้ ี ๑๔๕ ๕๓. ธรรมดาของโลก ๑๔๙ ๕๔. กรรมท่ที �ำ ให้ได้รับผลเปน็ ความไมต่ กตำ�่ ๑๕๐ ๕๕. ทานท่ีให้แล้วในสงฆแ์ บบใด จงึ มผี ลมาก ๑๕๒ ๕๖. ผูป้ ระสบบญุ ใหญ ่ ๑๕๔

ธรรมะกบั การสอบ ๑๕๗ ๕๗. ต้องขึงสายพิณพอเหมาะ ๑๕๘ ๕๘. ผูเ้ หน็ แก่นอน ๑๖๐ ๕๙. ลักษณะของ “ผมู้ คี วามเพยี รตลอดเวลา” ๑๖๓ ๖๐. ลกั ษณะของ “ผู้เกยี จคร้านตลอดเวลา” ๑๖๔ ๖๑. วิธกี ารตามรกั ษาไวซ้ ึ่งความจริง (สจฺจานุรกฺขณา) ๑๖๕ ๖๒. การตามรูซ้ ่ึงความจริง (สจฺจานโุ พโธ) ๑๖๙ ๖๓. การตามบรรลุถึงซง่ึ ความจริง (สจจฺ านุปตตฺ ิ) ๑๗๒ ๖๔. ท�ำ ความเพยี รแข่งกับอนาคตภยั ๑๗๓ ๖๕. วธิ ีแก้ความหดห ู่ ๑๗๘ ๖๖. วธิ ีแกค้ วามฟ้งุ ซ่าน ๑๘๐ การท�ำ สมาธแิ ละอานิสงส์ของการทำ�สมาธ ิ ๑๘๓ ๖๗. สมาธิภาวนา ๔ ประเภท ๑๘๔ ๖๘. อานภุ าพของสมาธิ (นยั ที่ ๑) ๑๘๘ ๖๙. อานภุ าพของสมาธิ (นัยที่ ๒) ๑๘๙ ๗๐. แมเ้ พยี งปฐมฌาน กช็ อ่ื วา่ เปน็ ทห่ี ลบพน้ ภยั จากมาร ๑๙๔ ๗๑. สมาธริ ะงบั ความรกั -เกลยี ด ทม่ี อี ยตู่ ามธรรมชาต ิ ๑๙๕ ๗๒. ความส�ำ คัญของสมถะและวปิ สั สนา ๑๙๗ ๗๓. ผู้กำ�ลังโนม้ เอยี งไปส่นู ิพพาน ๑๙๘

๗๔. อานสิ งสส์ ูงสุดแห่งอานาปานสติ ๒ ประการ ๒๐๐ ๗๕. อานาปานสตริ ะงบั ได้ซง่ึ อกุศลทง้ั หลาย ๒๐๔ ๗๖. เจริญอานาปานสติ ชอ่ื ว่าไม่เหนิ ห่างจากฌาน ๒๐๖ ๗๗. ลมหายใจก็คอื “กาย” ๒๐๗ ๗๘. ผ้เู จรญิ อานาปานสติ ยอ่ มชอ่ื ว่าเจริญกายคตาสต ิ ๒๐๙ ๗๙. ลักษณะของผูเ้ จริญกายคตาสติ ๒๑๑ ๘๐. การตง้ั จติ ในกายคตาสติ เปน็ เสาหลกั อยา่ งดขี องจติ ๒๑๓ ลักษณะของผไู้ มต่ ง้ั จิตอยูก่ บั กาย ๒๑๓ ลักษณะของผู้ตัง้ จิตอยู่กบั กาย ๒๑๕ ๘๑. ใหต้ งั้ จติ ในกายคตาสติ ๒๑๘ เสมอื นเตา่ หดอวัยวะไว้ในกระดอง ๘๒. ใหต้ ง้ั จติ ในกายคตาสติ เสมอื นบรุ ษุ ผถู้ อื หมอ้ น�ำ้ มนั ๒๒๑ ๘๓. อานสิ งสข์ องการเจรญิ กายคตาสติ ๒๒๓ ๘๔. การด�ำ รงสมาธจิ ิต เมื่อถกู เบียดเบยี นทางวาจา ๒๒๔ ๘๕. อานสิ งส์แห่งการปฏบิ ัติสมาธแิ บบตา่ งๆ ๒๒๙ ๘๖. ลักษณะของผ้ทู ง่ี า่ ยตอ่ การเขา้ สมาธ ิ ๒๓๐ ๘๗. เจรญิ สมาธใิ ห้ได้อย่างนอ้ ยวันละ ๓ ครัง้ ๒๓๒ ๘๘. การอย่ปู า่ กับการเจริญสมาธิ ส�ำ หรบั ภกิ ษบุ างรูป ๒๓๔ ๘๙. ผลของการกระท�ำ ทีท่ ำ�ได้เหมาะสมกับเวลา ๒๓๗ ๙๐. จงเป็นผู้มสี ตคิ กู่ นั ไปกบั สัมปชญั ญะ ๒๓๘

ความส�ำ คัญของค�ำ พระผมู้ ีพระภาคเจ้า ๒๔๑ ๙๑. เหตผุ ลทต่ี อ้ งรับฟังเฉพาะคำ�ตรสั ๒๔๓ ของพระผ้มู พี ระภาคเจา้ ทรงกำ�ชับให้ศกึ ษาปฏบิ ัติเฉพาะจากคำ�ของ ๒๔๓   พระองคเ์ ท่านน้ั อย่าฟังคนอ่ืน หากไมส่ นใจคำ�ตถาคต จะท�ำ ให้เกิดความ ๒๔๕   อันตรธานของคำ�ตถาคต เปรยี บดว้ ยกลองศึก พระองคท์ รงสามารถก�ำ หนดสมาธิ ๒๔๗   เม่อื จะพดู ทุกถ้อยคำ� จงึ ไมผ่ ดิ พลาด คำ�พูดทต่ี รัสมาท้งั หมดนบั แตว่ นั ตรสั รนู้ น้ั ๒๔๘   สอดรบั ไมข่ ดั แย้งกัน แตล่ ะคำ�พดู เปน็ อกาลิโก คอื ถูกต้องตรงจริง ๒๔๙   ไม่จำ�กดั กาลเวลา ทรงให้ใช้ธรรมวนิ ยั ท่ตี รสั แลว้ ๒๕๐   เป็นศาสดาแทนตอ่ ไป ทรงหา้ มบญั ญตั เิ พม่ิ หรอื ตดั ทอน สง่ิ ทบ่ี ญั ญตั ไิ ว ้ ๒๕๑ ๙๒. อริยมรรคมีองค์ ๘ คอื ๒๕๒ กลั ยาณวัตรทต่ี ถาคตทรงฝากไว้

การปรนิ ิพพานของตถาคต ๒๕๕ ๙๓. เหตกุ ารณช์ ว่ งปรินิพพาน ๒๕๖ ๙๔. ผู้มีธรรมเป็นทพ่ี ึ่ง ๒๖๑ ๙๕. หลักตดั สนิ ธรรมวินยั ๔ ประการ ๒๖๓ ๙๖. การบชู าตถาคตอยา่ งสงู สุด ๒๖๕ ๙๗. พนิ ัยกรรม ของ “พระสงั ฆบดิ า” ๒๖๗ ๙๘. สังเวชนยี สถานภายหลังพทุ ธปรนิ พิ พาน ๒๖๘ ๙๙. สถานท่ีทค่ี วรจะระลกึ ตลอดชวี ติ ๒๗๑ นพิ พานและการพน้ ทกุ ข์ ๒๗๓ ๑๐๐. เพราะการเกดิ เปน็ เหตใุ ห้พบกับความทกุ ข์ ๒๗๔ ๑๐๑. เหตแุ ห่งการเกดิ “ทกุ ข์” ๒๗๘ ๑๐๒. สน้ิ ทุกขเ์ พราะสิน้ กรรม ๒๘๐ ๑๐๓. สนิ้ นนั ทิ สิ้นราคะ ๒๘๒ ๑๐๔. ความส้ินตัณหา คอื นิพพาน ๒๘๓ ๑๐๕. ความเพลนิ เป็นเหตุให้เกิดทุกข ์ ๒๘๕ ๑๐๖. ความเปน็ โสดาบนั ๒๘๖ ประเสริฐกวา่ เปน็ พระเจา้ จักรพรรดิ ๑๐๗. สทั ธานสุ าร ี ๒๘๘ ๑๐๘. ธัมมานสุ าร ี ๒๘๙

๑๐๙. ฐานะท่เี ป็นไปไมไ่ ด้ ของผถู้ ึงพรอ้ มด้วยทฏิ ฐิ ๒๙๑ (พระโสดาบนั ) ๑๑๐. ลำ�ดับการปฏิบัตเิ พือ่ อรหัตตผล ๒๙๓ ๑๑๑. อรยิ มรรค มีองค์ ๘ ๒๙๕ ๑๑๒. “ดิน น้ำ� ไฟ ลม” ไม่อาจหยัง่ ลงไดใ้ นท่ไี หน ๓๐๐ ๑๑๓. ส่งิ ๆ หนง่ึ ซ่งึ บคุ คลพงึ รู้แจ้ง ๓๐๓ ๑๑๔. สงั ขตลกั ษณะ ๓๐๔ ๑๑๕. อสงั ขตลักษณะ ๓๐๕ ๑๑๖. ลำ�ดบั การหลดุ พน้ โดยละเอียดเมอื่ เห็นอนตั ตา ๓๐๖ ๑๑๗. ทำ�ความเขา้ ใจเกยี่ วกบั อาหาร ๓๐๘ ๑๑๘. หลักการพิจารณาอาหาร ๓๑๑ ๑๑๙. หมดความพอใจ กส็ น้ิ ทุกข ์ ๓๑๔ ๑๒๐. ความรูส้ กึ ภายในใจ ๓๑๕ เม่ือละตณั หา (ความอยาก) ได้ ลกั ษณะภกิ ษผุ มู้ ีศีล ๓๑๗ ๑๒๑. ผ้ชู ี้ชวนวงิ วอน ๓๑๘ ๑๒๒. ลกั ษณะของภกิ ษผุ ้มู ศี ีล ๓๑๙ ๑๒๓. ลักษณะของภกิ ษุผู้มีศลี ๓๒๒ ๑๒๔. ลกั ษณะของภกิ ษุผมู้ ีศีล ๓๒๔



ธรรมะกับชีวิต

32 พุทธวจน ๑ ผู้ชขี้ มุ ทรพั ย์ ! น เต อหํ อานนทฺ ตถา ปรกกฺ มสิ สฺ ามิ อานนท์ ! เราไมพ่ ยายามท�ำ กะพวกเธอ อยา่ งทะนถุ นอม ยถา กมุ ฺภกาโร อามเก อามกมตฺเต เหมือนพวกช่างหมอ้ ทำ�แก่หม้อ ที่ยังเปยี ก ยังดบิ อยู่. นคิ คฺ ยฺหนคิ ฺคยหฺ าหํ อานนทฺ วกฺขามิ อานนท์ ! เราจักขนาบแลว้ ขนาบอกี ไมม่ ีหยุด. ปวยฺหปวยฺหาหํ อานนทฺ วกขฺ ามิ อานนท์ ! เราจกั ช้ีโทษแลว้ ชีโ้ ทษอกี ไม่มีหยดุ . โย สาโร, โส ฐสสฺ ติ ผู้ใดมีมรรคผลเป็นแก่นสาร ผนู้ นั้ จักทนอยู่ได.้ อปุ ริ. ม. ๑๔/๒๔๕/๓๕๖.

ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 3 นธิ ีนวํ ปวตฺตารํ ยํ ปสฺเส วชชฺ ทสฺสินํ นคิ คฺ ยฺหวาทึ เมธาวึ ตาทิสํ ปณฺฑิตํ ภเช คนเรา ควรมองผู้มปี ัญญาใดๆ ท่ีคอยชี้โทษ คอยกล่าวค�ำ ขนาบอยู่เสมอไป วา่ คนนนั้ แหละ คอื ผูช้ ขี้ ุมทรพั ยล์ ะ ควรคบบัณฑติ ที่เป็นเชน่ น้ัน ตาทิสํ ภชมานสฺส เสยโฺ ย โหติ น ปาปโิ ย เม่อื คบหากบั บณั ฑติ ชนดิ นั้นอยู่ ย่อมมแี ต่ดีท่าเดียว ไมม่ ีเลวเลย. ธ. ขุ. ๒๕/๒๕/๑๖.

45 พุทธวจน ๒ โอกาสในการเกดิ เปน็ มนษุ ยน์ น้ั แสนยาก ภกิ ษุท้งั หลาย ! ถ้าสมมติว่า  มหาปฐพีอัน ใหญ่หลวงน้ี มนี ้�ำ ทว่ มถงึ เปน็ อันเดยี วกันทัง้ หมด; บรุ ษุ คนหน่งึ   ท้งิ แอก (ไม้ไผ่ ?) ซ่งึ มีรูเจาะได้เพียงรูเดียวลงไป ในนำ้�น้ัน;  ลมตะวันออกพัดให้ลอยไปทางทิศตะวันตก,  ลมตะวนั ตกพดั ใหล้ อยไปทางทศิ ตะวนั ออก,  ลมทศิ เหนอื พดั ใหล้ อยไปทางทศิ ใต,้   ลมทศิ ใตพ้ ดั ใหล้ อยไปทางทศิ เหนอื ,  อยดู่ งั น ้ี ในน�ำ้ นน้ั   มเี ตา่ ตวั หนง่ึ   ตาบอด  ลว่ งไปรอ้ ยๆ  ปี มนั จะผดุ ขนึ้ มาคร้ังหนึ่งๆ. ภิกษทุ ้งั หลาย ! เธอทั้งหลาย  จะสำ�คัญความ ขอ้ น้วี ่าอย่างไร; จะเป็นไปได้ไหม ที่เตา่ ตาบอด ร้อยปีจงึ จะผุดข้นึ สักครั้งหน่ึง จะพึงยน่ื คอเขา้ ไปในรซู ึง่ มอี ยู่เพียง รเู ดยี วในแอกน้นั ? “ข้อน้ยี ากท่จี ะเป็นไปได้  พระเจ้าข้า  !  ท่เี ต่าตาบอดน้นั   รอ้ ยปผี ดุ ขน้ึ เพยี งครง้ั เดยี ว  จะพงึ ยน่ื คอเขา้ ไปในรซู ง่ึ มอี ยเู่ พยี งรเู ดยี ว ในแอกนนั้ ”.

ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 5 ภกิ ษทุ ้งั หลาย ! ยากทจ่ี ะเปน็ ไปได้ ฉนั เดยี วกนั ท่ใี ครๆ จะพงึ ไดค้ วามเปน็ มนุษย์; ยากที่จะเป็นไปได้ ฉนั เดยี วกนั ทต่ี ถาคตผอู้ รหนั ตสมั มาสมั พทุ ธะจะเกดิ ขน้ึ ในโลก; ยากทจี่ ะเป็นไปได้ ฉันเดียวกนั ทธ่ี รรมวินยั อัน ตถาคตประกาศแลว้ จะรุง่ เรอื งไปทัว่ โลก. ภกิ ษทุ ้ังหลาย ! แต่วา่ บดั น้ี ความเป็นมนษุ ย์ กไ็ ดแ้ ลว้ ;  ตถาคตผอู้ รหนั ตสมั มาสมั พทุ ธะกบ็ งั เกดิ ขน้ึ ในโลกแล้ว;  และธรรมวินัยอันตถาคตประกาศแล้ว  ก็รุ่งเรอื งไปทวั่ โลกแล้ว. ภกิ ษุท้งั หลาย ! เพราะเหตนุ ั้น ในกรณีน้ี พวกเธอพึงกระท�ำ โยคกรรม เพือ่ ใหร้ วู้ า่ “นี้ ทกุ ข์; น้ี เหตใุ ห้เกิดทกุ ข;์ น้ี ความดับแหง่ ทุกข์; น้ี หนทางใหถ้ ึงความดับแห่งทกุ ข์” ดงั น้ี เถิด. มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๖๘/๑๗๔๔.

76 พพุทุทธธววจจนน ๓ วิญญาณ คือ เหตแุ ห่งการเกดิ ขนึ้ ของสตั ว์ อานนท์ ! ก็ค�ำ นีว้ า่ “นามรูปมี เพราะปจั จยั คือวญิ ญาณ” ดงั น้,ี เช่นนีแ้ ล เปน็ คำ�ที่เรากลา่ วแล้ว. อานนท์ ! ความข้อนี้  เธอต้องทราบอธิบาย โดยปริยายดงั ต่อไปนี้ ทต่ี รงกบั หัวข้อทเ่ี รากลา่ วไวแ้ ล้วว่า “นามรปู มี เพราะปัจจยั คอื วิญญาณ”. อานนท์ ! ถา้ หากวา่ วญิ ญาณจกั ไมก่ า้ วลงในทอ้ ง แห่งมารดาแล้วไซร;้ นามรูปจักปรงุ ตัวขนึ้ มาในท้องแหง่ มารดาได้ไหม ? “ขอ้ นนั้ หามิไดพ้ ระเจา้ ข้า !”. อานนท์ ! ถ้าหากว่าวิญญาณก้าวลงในท้อง แห่งมารดาแล้ว  จักสลายลงเสียแล้วไซร้;  นามรูปจัก บงั เกดิ ขึน้ เพ่ือความเป็นอย่างนไี้ ดไ้ หม ? “ขอ้ นั้น หามิไดพ้ ระเจ้าขา้ !”.

ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 7 อานนท์ ! ถ้าหากว่าวิญญาณของเด็กอ่อน  ที่ เป็นชายก็ตาม  เป็นหญิงก็ตาม  จักขาดลงเสียแล้วไซร้; นามรปู จกั ถงึ ซง่ึ ความเจรญิ งอกงาม ความไพบลู ยบ์ า้ งหรอื ? “ขอ้ นน้ั หามไิ ดพ้ ระเจ้าขา้ !”. อานนท์ ! เพราะเหตนุ ั้น ในเรอื่ งนี้, น่นั แหละ คือเหตุ,  นั่นแหละคือนิทาน,  น่ันแหละคือสมุทัย,  นนั่ แหละคอื ปัจจยั ของนามรูป; น้นั คอื วญิ ญาณ. อานนท์ ! กค็ �ำ นว้ี า่ “วญิ ญาณมี เพราะปจั จยั คอื นามรูป” ดังน,ี้ เช่นนีแ้ ล เป็นคำ�ที่เรากล่าวแล้ว. อานนท์ ! ความข้อน้ี  เธอต้องทราบอธิบาย โดยปริยายดังต่อไปน้ีที่ตรงกับหัวข้อท่ีเรากล่าวไว้แล้วว่า “วญิ ญาณมี เพราะปัจจยั คอื นามรปู ”. อานนท์ ! ถ้าหากว่าวิญญาณ  จักไม่ได้มีท่ีตั้ง ท่ีอาศัยในนามรปู แล้วไซร;้ ความเกิดขึน้ พร้อมแห่งทกุ ข์ คือ ชาติ ชรา มรณะ ตอ่ ไป จะมีขนึ้ มาให้เห็นไดไ้ หม ? “ขอ้ นั้น หามิได้พระเจ้าขา้ !”.

89 พุทธวจน อานนท์ ! เพราะเหตุนั้น ในเร่อื งน,้ี น่ันแหละ คอื เหต,ุ นน่ั แหละคอื นทิ าน, นน่ั แหละคอื สมทุ ยั , นน่ั แหละ คอื ปจั จัยของวญิ ญาณ; นนั่ คอื นามรปู . อานนท์ ! ดว้ ยเหตุเพียงเท่าน้ี สตั วโ์ ลก จงึ เกดิ บา้ ง จึงแกบ่ า้ ง จงึ ตายบา้ ง จงึ จุตบิ ้าง จึงอบุ ตั ิบ้าง : คลองแหง่ การเรยี ก (อธวิ จน) ก็มเี พยี งเทา่ นี,้ คลองแห่งการพดู จา (นิรตุ ฺต)ิ ก็มเี พียงเทา่ นี้, คลองแหง่ การบญั ญตั ิ (ปญฺ ตตฺ )ิ กม็ เี พยี งเทา่ น,้ี เรอ่ื งทีจ่ ะต้องรดู้ ้วยปญั ญา  (ปญฺาวจร)  กม็ เี พยี งเทา่ นี้, ความเวียนว่ายในวฏั ฏะ ก็มีเพยี งเทา่ นี้ : นามรปู พร้อมทง้ั วิญญาณตัง้ อยู่ เพือ่ การบญั ญตั ซิ ึ่งความเป็นอย่างนี้ (ของนามรปู กับวิญญาณ นั่นเอง). มหา. ที. ๑๐/๖๗/๕๘.

ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 9 ๔ หลักปฏิบตั ติ อ่ ทศิ ทง้ั ๖ “ข้าแตพ่ ระองค์ผเู้ จริญ ! ในอรยิ วนิ ยั   มกี ารนอบนอ้ ม ทิศท้ังหกอย่างไรพระเจ้าข้า  !  พระองค์จงทรงแสดงธรรม ที่เป็นการนอบน้อมทิศทั้งหกในอริยวินัยเถิด”. คหบดบี ุตร ! พึงทราบวา่ ทิศทง้ั หกเหลา่ นี้ มอี ยู่ คือ :- พงึ ทราบวา่ มารดาบดิ า เปน็ ปรุ ตั ถมิ ทศิ (ทศิ เบอ้ื งหนา้ ), พงึ ทราบวา่ อาจารย์ เปน็ ทกั ขณิ ทศิ (ทศิ เบอ้ื งขวา), พงึ ทราบวา่ บตุ รภรรยา เปน็ ปจั ฉิมทศิ (ทศิ บอ้ื งหลงั ), พงึ ทราบวา่ มติ รสหาย เป็นอุตตรทิศ (ทศิ เบอ้ื งซา้ ย), พงึ ทราบวา่ ทาสกรรมกร เปน็ เหฏฐมิ ทศิ (ทศิ เบอ้ื งต�ำ่ ), พงึ ทราบวา่ สมณพราหมณ ์ เป็นอุปริมทิศ (ทศิ เบอ้ื งบน).

110 พุทธวจน หน้าท่ที ีพ่ ึงปฏบิ ตั ติ อ่ ทศิ เบือ้ งหนา้ คหบดบี ตุ ร ! ทศิ เบอ้ื งหนา้   คอื   มารดาบดิ า อนั บตุ รพงึ ปฏบิ ตั ติ อ่ โดยฐานะ  ๕  ประการ  คือ :- (๑)  ทา่ นเล้ยี งเราแลว้ เราจักเลย้ี งทา่ น (๒)  เราจกั ท�ำ กจิ ของท่าน (๓)  เราจักด�ำ รงวงศ์สกลุ (๔)  เราจักปฏบิ ตั ิตนเปน็ ทายาท (๕)  เม่ือท่านทำ�กาละล่วงลับไปแล้ว  เราจัก กระท�ำ ทกั ษณิ าอทุ ศิ ทา่ น คหบดีบตุ ร ! ทศิ เบื้องหนา้ คอื มารดาบิดา อันบุตรปฏิบัติต่อโดยฐานะ  ๕  ประการ  เหล่าน้ีแล้ว ยอ่ มอนุเคราะหบ์ ตุ รโดยฐานะ  ๕  ประการ  คือ :- (๑)  หา้ มเสียจากบาป (๒)  ให้ตัง้ อยใู่ นความดี (๓)  ใหศ้ กึ ษาศิลปะ (๔)  ใหม้ ีคูค่ รองทสี่ มควร (๕)  มอบมรดกให้ตามเวลา เม่ือเป็นดังน้ี  ทิศเบื้องหน้านั้น  เป็นอันว่ากุลบุตรนั้น ปิดกั้นแลว้ เปน็ ทศิ เกษม ไม่มภี ยั เกิดขนึ้ .

ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 11 หนา้ ท่ที ี่พึงปฏบิ ตั ิตอ่ ทิศเบ้ืองขวา คหบดบี ตุ ร ! ทิศเบื้องขวา  คือ  อาจารย์ อนั ศิษยพ์ งึ ปฏิบตั ิตอ่ โดยฐานะ  ๕  ประการ คือ :- (๑)  ดว้ ยการลกุ ข้นึ ยืนรับ (๒)  ด้วยการเขา้ ไปยืนคอยรับใช้ (๓)  ด้วยการเชอ่ื ฟังอยา่ งย่งิ (๔)  ดว้ ยการปรนนบิ ตั ิ (๕)  ด้วยการศึกษาศลิ ปวิทยาโดยเคารพ คหบดบี ุตร ! ทิศเบื้องขวา  คือ  อาจารย์ อันศิษย์ปฏิบัติต่อโดยฐานะ  ๕  ประการ  เหล่าน้ีแล้ว ยอ่ มอนเุ คราะหศ์ ษิ ยโ์ ดยฐานะ  ๕  ประการ คอื :- (๑)  แนะนำ�ดี (๒)  ให้ศกึ ษาดี (๓)  บอกศิลปวทิ ยาสน้ิ เชิง (๔)  ทำ�ใหเ้ ปน็ ทร่ี ู้จกั ในมติ รสหาย (๕)  ท�ำ การค้มุ ครองให้ในทศิ ทง้ั ปวง เมื่อเป็นดังนี้  ทิศเบื้องขวาน้ัน  เป็นอันว่ากุลบุตรนั้น ปดิ กัน้ แล้ว เปน็ ทิศเกษม ไมม่ ภี ยั เกดิ ข้นึ .

123 พุทธวจน หน้าที่ทีพ่ ึงปฏิบัติตอ่ ทศิ เบ้ืองหลัง คหบดีบตุ ร ! ทิศเบื้องหลัง  คือ  ภรรยา อันสามพี งึ ปฏบิ ัตติ ่อโดยฐานะ  ๕  ประการ  คือ :- (๑)  ด้วยการยกยอ่ ง (๒)  ด้วยการไม่ดหู มน่ิ (๓)  ด้วยการไมป่ ระพฤตินอกใจ (๔)  ดว้ ยการมอบความเป็นใหญ่ในหน้าที่ให้ (๕)  ด้วยการใหเ้ คร่ืองประดับ คหบดีบุตร ! ทิศเบ้ืองหลัง  คือ  ภรรยา อันสามีปฏิบัติต่อโดยฐานะ  ๕  ประการ  เหล่าน้ีแล้ว ย่อมอนุเคราะหส์ ามีโดยฐานะ  ๕  ประการ  คอื :- (๑)  จดั แจงการงานดี (๒)  สงเคราะหค์ นขา้ งเคียงดี (๓)  ไม่ประพฤตนิ อกใจ (๔)  ตามรกั ษาทรัพยท์ มี่ ีอยู่ (๕)  ขยันขนั แข็งในการงานทงั้ ปวง เม่ือเป็นดังน้ี  ทิศเบ้ืองหลังนั้น  เป็นอันว่ากุลบุตรน้ัน ปดิ ก้นั แลว้ เป็นทศิ เกษม ไม่มีภยั เกดิ ขึน้ .

ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 13 หนา้ ทีท่ พ่ี ึงปฏิบตั ิต่อทศิ เบื้องซา้ ย คหบดีบตุ ร ! ทศิ เบื้องซ้าย คอื มติ รสหาย อนั กลุ บุตรพึงปฏิบตั ิต่อโดยฐานะ  ๕  ประการ  คอื :- (๑)  ดว้ ยการให้ปนั (๒)  ดว้ ยการพดู จาไพเราะ (๓)  ดว้ ยการประพฤตปิ ระโยชน์ (๔)  ดว้ ยการวางตนเสมอกัน (๕)  ดว้ ยการไมก่ ลา่ วค�ำ อนั เปน็ เครอ่ื งใหแ้ ตกกนั คหบดีบุตร ! ทศิ เบ้อื งซ้าย คอื มติ รสหาย อันกุลบุตรปฏิบัติต่อโดยฐานะ  ๕  ประการ  เหล่านี้แล้ว ย่อมอนุเคราะหก์ ุลบตุ รโดยฐานะ  ๕  ประการ คอื :- (๑)  รกั ษามิตรผูป้ ระมาทแลว้ (๒)  รกั ษาทรัพย์ของมติ รผปู้ ระมาทแลว้ (๓)  เปน็ ท่พี ่งึ แกม่ ิตรเมอ่ื มีภัย (๔)  ไม่ทอดทิ้งในยามมอี นั ตราย (๕)  นับถอื สมาชิกในวงศ์ของมิตร เมื่อเป็นดังน้ี  ทิศเบ้ืองซ้ายนั้น  เป็นอันว่ากุลบุตรน้ัน ปดิ กนั้ แลว้ เป็นทิศเกษม ไม่มภี ยั เกดิ ข้นึ .

154 พุทธวจน หน้าที่ท่ีพงึ ปฏบิ ตั ิตอ่ ทิศเบื้องต่�ำ คหบดีบตุ ร ! ทิศเบอ้ื งตำ่� คอื ทาสกรรมกร อนั นายพึงปฏิบตั ติ อ่ โดยฐานะ  ๕  ประการ คือ :- (๑)  ดว้ ยใหท้ ำ�การงานตามกำ�ลงั (๒)  ดว้ ยการให้อาหารและรางวลั (๓)  ด้วยการรกั ษาพยาบาลยามเจ็บไข้ (๔)  ด้วยการแบ่งของมีรสประหลาดให้ (๕)  ด้วยการปลอ่ ยใหอ้ ิสระตามสมยั คหบดบี ุตร ! ทศิ เบ้อื งต่ำ� คอื ทาสกรรมกร อันนายปฏิบัติต่อโดยฐานะ  ๕  ประการ  เหล่านี้แล้ว ยอ่ มอนเุ คราะหน์ ายโดยฐานะ  ๕  ประการ  คอื :- (๑)  เปน็ ผู้ลกุ ขนึ้ ทำ�งานกอ่ นนาย (๒)  เลิกงานทหี ลงั นาย (๓)  ถอื เอาแตข่ องท่นี ายให้ (๔)  กระทำ�การงานให้ดีท่สี ดุ (๕)  นำ�เกียรติคุณของนายไปร่�ำ ลอื เมื่อเป็นดังน้ี  ทิศเบ้ืองตำ่�น้ัน  เป็นอันว่ากุลบุตรนั้น ปดิ กัน้ แลว้ เป็นทิศเกษม ไม่มภี ยั เกิดขนึ้ .

ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 15 หน้าที่ทพ่ี ึงปฏบิ ตั ติ อ่ ทิศเบ้อื งบน คหบดีบตุ ร ! ทศิ เบอ้ื งบนคอื สมณพราหมณ์ อนั กุลบตุ รพงึ ปฏิบตั ิต่อโดยฐานะ  ๕  ประการ  คอื :- (๑)  ดว้ ยเมตตากายกรรม (๒)  ด้วยเมตตาวจีกรรม (๓)  ดว้ ยเมตตามโนกรรม (๔)  ดว้ ยการไมป่ ิดประตู (คือ ยนิ ดตี ้อนรบั ) (๕)  ด้วยการคอยถวายอามิสทาน คหบดบี ตุ ร ! ทศิ เบอ้ื งบน คอื สมณพราหมณ์ อันกุลบุตรปฏิบัติต่อโดยฐานะ  ๕  ประการ  เหล่านี้แล้ว ย่อมอนเุ คราะห์กุลบตุ รโดยฐานะ  ๖  ประการ  คือ :- (๑)  หา้ มเสียจากบาป (๒)  ให้ตั้งอยูใ่ นความดี (๓)  อนเุ คราะห์ดว้ ยใจอนั งดงาม (๔)  ใหฟ้ ังในสงิ่ ท่ไี มเ่ คยฟัง (๕)  ทำ�สงิ่ ท่ไี ดฟ้ งั แล้วใหแ้ จ่มแจง้ ถึงทส่ี ดุ (๖)  บอกทางสวรรคใ์ ห้

167 พพุทุทธธววจจนน เมื่อเป็นดังนี้  ทิศเบื้องบนนั้น  เป็นอันว่ากุลบุตรนั้น ปดิ กน้ั แล้วเปน็ ทิศเกษม ไม่มีภัยเกิดข้ึน. ปา. ท.ี ๑๑/๑๙๕-๒๐๖/๑๗๔-๒๐๕.

ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 17 ๕ หลกั ในการใชจ้ ่ายทรัพย์ คหบดี ! อริยสาวกนั้น  ใช้โภคทรัพย์ที่ตน หาไดม้ าดว้ ยความเพยี รเปน็ เครอ่ื งลกุ ขน้ึ   รวบรวมมาด้วย กำ�ลังแขน  มีตัวชุ่มด้วยเหงื่อ  เป็นโภคทรัพย์ประกอบ ด้วยธรรม ได้มาโดยธรรม เพื่อกระทำ�กรรมในหน้าที่ ๔ ประการ. ๔ ประการ อย่างไรเล่า ? ๔ ประการ ในกรณีนี้ คือ :- ๑.  อริยสาวกนั้น  ใช้โภคทรัพย์อันตนหาได้มา โดยชอบธรรม (ดังท่กี ล่าวแลว้ ข้างต้น) ในการเลย้ี งตน ให้ เป็นสุข  อิ่มหนำ�  บริหารตนให้อยู่เป็นสุขโดยถูกต้อง, ในการเลี้ยงมารดาและบดิ าใหเ้ ป็นสขุ อิ่มหน�ำ บริหาร ท่านทั้งสองให้อยู่เป็นสุขโดยถูกต้อง,  ในการเลี้ยงบุตร ภรรยา ทาสและกรรมกรชายหญงิ ให้เป็นสขุ อม่ิ หน�ำ บริหารให้อยู่กันอย่างเป็นสุขโดยถูกต้อง,  ในการเลี้ยง มิตรอำ�มาตย์ให้เป็นสุข  อ่ิมหนำ�  บริหารให้อยู่เป็นสุข

198 พุทธวจน โดยถูกต้อง  น้ีเป็นการบริโภคทรัพย์  ฐานท่ี  ๑  อัน อริยสาวกนั้นถึงแล้ว  บรรลุแล้ว  บริโภคแล้วโดยชอบ ดว้ ยเหตุผล (อายตนโส). คหบดี !  ขอ้ อืน่ ยงั มอี ีก : ๒.  อริยสาวกน้ัน  ใช้โภคทรัพย์อันตนหาได้มา โดยชอบธรรม  (ดังท่ีกล่าวแล้วข้างต้น)  ในการปิดก้ัน อนั ตรายทง้ั หลาย ท�ำ ตนใหส้ วสั ดีจากอันตรายทัง้ หลาย ทเ่ี กดิ จากไฟ จากน�ำ้ จากพระราชา จากโจร หรอื จากทายาท ที่ไม่เป็นท่ีรักนั้นๆ  นี้เป็นการบริโภคทรัพย์  ฐานท่ี  ๒ อนั อรยิ สาวกนน้ั ถงึ แลว้   บรรลแุ ล้ว  บรโิ ภคแล้วโดยชอบ ดว้ ยเหตผุ ล. คหบดี !  ข้ออนื่ ยังมอี กี : ๓.  อริยสาวกน้ัน  ใช้โภคทรัพย์อันตนหาได้มา โดยชอบธรรม (ดงั ทก่ี ลา่ วแลว้ ขา้ งตน้ ) ในการกระท�ำ พลกี รรม ๕ ประการ คือ สงเคราะห์ญาติ (ญาตพิ ล)ี สงเคราะห์แขก (อตถิ พิ ล)ี สงเคราะหผ์ ลู้ ว่ งลบั ไปแลว้ (ปพุ พเปตพล)ี ชว่ ยชาติ (ราชพลี) บูชาเทวดา (เทวตาพลี) นี้เป็นการบริโภคทรัพย์ ฐานที่ ๓ อันอริยสาวกนั้นถึงแล้ว บรรลแุ ล้ว บริโภคแล้ว โดยชอบดว้ ยเหตผุ ล. คหบดี !  ข้ออื่นยงั มีอกี :

ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 19 ๔.  อริยสาวกน้ัน  ใช้โภคทรัพย์อันตนหามาได้ โดยชอบธรรม  (ดังท่ีกล่าวแล้วข้างต้น)  ในการตั้งไว้ซ่ึง ทักษิณา  อุทิศแก่สมณพราหมณ์ท้ังหลาย  ผู้งดเว้นแล้ว จากความประมาทมวั เมา ผ้ตู ้ังม่ันอยู่ในขันติและโสรัจจะ ผฝู้ ึกฝน ทำ�ความสงบ ท�ำ ความดับเย็น แกต่ นเอง อันเปน็ ทักษิณาทานที่มีผลเลิศในเบื้องบน  เป็นฝ่ายดี  มีสุข เป็นผลตอบแทน  เป็นไปพร้อมเพื่อสวรรค์  นี้เป็นการ บริโภคทรัพย์  ฐานท่ี  ๔  อันอริยสาวกน้ันถึงแล้ว  บรรลุแล้ว  บริโภคแล้วโดยชอบด้วยเหตุผล. คหบดี ! อรยิ สาวกนน้ั ย่อมใชโ้ ภคทรพั ย์ท่ีตน หาได้มาด้วยความเพยี รเป็นเครือ่ งลุกข้นึ รวบรวมมาดว้ ย ก�ำ ลงั แขน มตี วั ชมุ่ ดว้ ยเหงอ่ื เปน็ โภคทรพั ยป์ ระกอบดว้ ยธรรม ไดม้ าโดยธรรม เพ่อื กระท�ำ กรรมในหนา้ ท่ี ๔ ประการ เหล่าน้.ี จตุกกฺ . อํ. ๒๑/๘๕/๖๑.

201 พุทธวจน

ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 21 ๖ การตอบแทนคณุ มารดาบดิ าอยา่ งสงู สดุ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! เรากล่าวการกระทำ�ตอบแทน ไมไ่ ด้งา่ ยแกท่ า่ นท้ังสอง. ทา่ นทัง้ สองนนั้ คือใคร ? คอื ๑. มารดา ๒. บิดา ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! บตุ รพงึ ประคบั ประคองมารดา ดว้ ยบา่ ขา้ งหนง่ึ พงึ ประคบั ประคองบดิ าดว้ ยบา่ ขา้ งหนง่ึ เขามอี ายมุ ชี วี ติ อยตู่ ลอดรอ้ ยปี และเขาพงึ ปฏบิ ตั ทิ า่ นทง้ั สอง นน้ั ดว้ ยการอบกลน่ิ การนวด การใหอ้ าบน�ำ้ และการดดั และทา่ นทง้ั สองนน้ั พงึ ถา่ ยอจุ จาระปสั สาวะบนบา่ ทง้ั สอง ของเขาน่นั แหละ.  ภิกษุท้งั หลาย !  การกระทำ�อย่างน้นั ยังไม่ชื่อว่า  อันบุตรทำ�แล้ว  หรือทำ�ตอบแทนแล้ว  แกม่ ารดาบดิ าเลย. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! อนึ่ง บุตรพงึ สถาปนามารดา บดิ าในราชสมบตั  ิ อนั เปน็ อสิ ราธปิ ตั ย ์ ในแผน่ ดนิ ใหญ่ อันมรี ตนะ ๗ ประการ มากหลายเชน่ นี้ การกระทำ�กิจ อยา่ งน้นั ยงั ไมช่ ่อื ว่าอันบุตรท�ำ แลว้ หรือทำ�ตอบแทนแลว้ แกม่ ารดาบดิ าเลย. ข้อน้ันเพราะเหตไุ ร ?

232 พุทธวจน เพราะมารดาบิดามีอุปการะมาก  บำ�รุงเลี้ยง แสดงโลกนี้แกบ่ ุตรท้ังหลาย. ส่วนบุตรคนใด  ยังมารดาบิดาผู้ไม่มีศรัทธา ให้สมาทานตั้งมั่นในสัทธาสัมปทา (ความถึงพร้อมด้วย ศรัทธา). ยังมารดาบิดาผู้ทุศีล  ให้สมาทานตั้งมั่นใน สีลสัมปทา (ความถึงพรอ้ มดว้ ยศลี ). ยังมารดาบิดาผู้มีความตระหนี่  ให้สมาทาน ตงั้ มัน่ ในจาคสมั ปทา (ความถึงพร้อมด้วยการบรจิ าค). ยังมารดาบดิ าทรามปัญญา ใหส้ มาทานต้งั มั่น ในปญั ญาสมั ปทา (ความถงึ พร้อมดว้ ยปัญญา). ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! ด้วยเหตุมีประมาณเท่าน้ีแล การกระทำ�อย่างน้ันย่อมชื่อว่า  อันบุตรนั้นทำ�แล้ว  และ ทำ�ตอบแทนแลว้ แก่มารดาบดิ า. ทุก. อํ. ๒๐/๗๘/๒๗๘.

ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 23 ๗ ว่าดว้ ยความรกั ๔ แบบ (๑)  ความรกั เกดิ จากความรกั ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! ในกรณีนี้  มีบุคคลซึ่งเป็นท่ี ปรารถนารกั ใครพ่ อใจของบคุ คลคนหนง่ึ , มบี คุ คลพวกอน่ื มาประพฤตกิ ระท�ำ ตอ่ บคุ คลนน้ั ดว้ ยอาการทน่ี า่ ปรารถนา นา่ รกั ใคร่น่าพอใจ; บุคคลโนน้ ก็จะเกิดความพอใจขน้ึ มา อย่างนี้ว่า  “บุคคลเหล่านั้นประพฤติกระทำ�ต่อบุคคล ที่เราปรารถนารักใคร่พอใจ  ด้วยอาการท่ีน่าปรารถนา น่ารักใคร่นา่ พอใจ” ดงั นี้; บคุ คลนน้ั ชือ่ วา่   ยอ่ มท�ำ ความรกั ให้เกิดขน้ึ ในบคุ คลเหล่าน้นั . ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! อย่างน้ีแล เรียกวา่ ความรักเกิดจากความรัก.

254 พุทธวจน (๒)  ความเกลียดเกดิ จากความรัก ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! ในกรณีนี้  มีบุคคลซ่ึงเป็นท่ี ปรารถนารกั ใครพ่ อใจของบคุ คลคนหนง่ึ , มบี คุ คลพวกอน่ื มาประพฤตกิ ระท�ำ ตอ่ บคุ คลนน้ั ดว้ ยอาการทไ่ี มน่ า่ ปรารถนา ไมน่ า่ รกั ใครพ่ อใจ; บคุ คลโนน้ กจ็ ะเกดิ ความไมพ่ อใจขน้ึ มา อย่างนี้ว่า  “บุคคลเหล่าน้ันประพฤติกระทำ�ต่อบุคคลท่ี เราปรารถนารักใคร่พอใจ  ด้วยอาการที่ไม่น่าปรารถนา ไม่นา่ รกั ใครพ่ อใจ” ดงั น;้ี บคุ คลน้ันชือ่ วา่ ยอ่ มท�ำ ความเกลยี ดใหเ้ กดิ ขน้ึ ในบคุ คลเหลา่ นน้ั . ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! อยา่ งน้แี ล เรยี กวา่ ความเกลยี ดเกดิ จากความรัก.

ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 25 (๓)  ความรักเกิดจากความเกลียด ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! ในกรณีนี้  มีบุคคลซ่ึงไม่เป็น ที่ปรารถนารักใคร่พอใจของบุคคลคนหนึ่ง,  มีบุคคล พวกอ่ืนมาประพฤติกระทำ�ต่อบุคคลนั้น  ด้วยอาการท่ี ไม่น่าปรารถนาไม่น่ารักใคร่พอใจ;  บุคคลโน้นก็จะเกิด ความพอใจข้ึนมาอย่างนี้ว่า  “บุคคลเหล่าน้ันประพฤติ กระท�ำ ตอ่ บคุ คลทเ่ี ราไมป่ รารถนารกั ใครพ่ อใจ ดว้ ยอาการ ท่ีไมน่ ่าปรารถนาไม่นา่ รักใครพ่ อใจ” ดังนี;้ บุคคลนน้ั ชอื่ ว่า  ย่อมท�ำ ความรกั ให้เกิดขน้ึ ในบคุ คลเหลา่ นนั้ . ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! อย่างนแี้ ล เรียกวา่ ความรกั เกดิ จากความเกลยี ด.

276 พพุทุทธธววจจนน (๔)  ความเกลยี ดเกิดจากความเกลียด ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! ในกรณีนี้  มีบุคคลซ่ึงไม่เป็น ที่ปรารถนารักใคร่พอใจของบุคคลคนหน่ึง,  มีบุคคล พวกอ่ืนมาประพฤติกระทำ�ต่อบุคคลน้ัน  ด้วยอาการ ท่ีน่าปรารถนาน่ารักใคร่น่าพอใจ;  บุคคลโน้นก็จะ เกิดความไม่พอใจขึ้นมาอย่างน้ีว่า  “บุคคลเหล่าน้ัน ประพฤติกระทำ�ต่อบุคคลท่ีเราไม่ปรารถนารักใคร่พอใจ ดว้ ยอาการท่ีน่าปรารถนานา่ รักใคร่น่าพอใจ” ดงั น;ี้ บุคคลน้ันชือ่ ว่า ยอ่ มท�ำ ความเกลยี ดใหเ้ กดิ ขน้ึ ในบคุ คลเหลา่ นน้ั . ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! อย่างน้แี ล เรียกวา่ ความเกลยี ดเกดิ จากความเกลยี ด. จตกุ กฺ . อ.ํ ๒๑/๒๙๐-๒๙๑/๒๐๐.

ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 27 ๘ ลกั ษณะของ “ฆราวาสชน้ั เลศิ ” คหบดี ! ในบรรดากามโภคี (ฆราวาส) เหล่าน้นั กามโภคผี ใู้ ด แสวงหาโภคทรพั ยโ์ ดยธรรม โดยไมเ่ ครยี ดครดั (เกนิ ไปจนทรมานตน) ดว้ ย, ครน้ั แสวงหาโภคทรพั ยโ์ ดยธรรม โดยไมเ่ ครียดครดั แลว้ ทำ�ตนให้เป็นสุข ให้อิม่ หนำ�ด้วย, แบง่ ปนั โภคทรพั ยบ์ �ำ เพ็ญบุญดว้ ย, ไมก่ �ำ หนดั ไม่มัวเมา ไมล่ มุ่ หลง มปี กตเิ หน็ โทษ มีปญั ญาเป็นเคร่ืองสลดั ออก บรโิ ภคโภคทรัพยเ์ หล่านัน้ อยดู่ ้วย; คหบดี ! กามโภคีผู้นี้  ควรสรรเสริญโดย ฐานะทัง้ ส่ี คอื :- ควรสรรเสริญโดย  ฐานะท่ีหน่ึง  ในข้อท่ีเขา แสวงหาโภคทรพั ยโ์ ดยธรรม โดยไมเ่ ครียดครัด, ควรสรรเสริญโดย  ฐานะที่สอง  ในข้อที่เขา ท�ำ ตนให้เปน็ สขุ ใหอ้ ่มิ หน�ำ , ควรสรรเสริญโดย  ฐานะท่ีสาม  ในข้อที่เขา แบง่ ปันโภคทรัพย์บำ�เพ็ญบุญ,

289 พุทธวจน ควรสรรเสริญโดย  ฐานะที่ส่ี  ในข้อท่ีเขา ไมก่ �ำ หนดั ไมม่ วั เมา ไมล่ มุ่ หลง มปี กตเิ หน็ โทษ มปี ญั ญา เปน็ เครอื่ งสลดั ออก บริโภคโภคทรัพย์เหล่านน้ั . คหบดี ! กามโภคีผู้น้ีควรสรรเสริญโดยฐานะ ทั้งส่ีเหล่าน.้ี คหบดี ! กามโภคีจำ�พวกน้ี  เป็นกามโภคี ช้ันเลิศ  ช้ันประเสริฐ  ชั้นหัวหน้า  ชั้นสูงสุด  ชั้นบวร กวา่ กามโภคีท้งั หลาย, เปรียบเสมือนนมสดเกิดจากแม่โค  นมส้มเกิด จากนมสด เนยขน้ เกดิ จากนมส้ม เนยใสเกดิ จากเนยขน้ หัวเนยใสเกิดจากเนยใส;  หัวเนยใสปรากฏว่าเลิศกว่า บรรดารสอันเกดิ จากโคทง้ั หลายเหลา่ น้นั , ขอ้ นฉ้ี นั ใด; กามโภคจี �ำ พวกน้ี กป็ รากฏวา่ เลศิ กวา่ บรรดากามโภคีทัง้ หลายเหล่านั้น ฉันนนั้ แล. ทสก. อํ. ๒๔/๑๙๔/๙๑.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook