305 หากคู่กรณีไม่ดําเนินกระบวนพิจารณาตามคําส่ัง ตามวรรคหนึ่งโดยไม่มีเหตุอันสมควร กรณีเป็นผู้ร้อง ศาลอาจพิจารณาสั่งไม่รับคําร้องไว้พิจารณาวินิจฉัยหรือ จําหน่ายคดีน้ันก็ได้ หากเป็นผู้ถูกร้อง ให้ถือว่าผู้ถูกร้อง ไม่ติดใจที่จะแก้ไข และให้ศาลดําเนินกระบวนพิจารณา ตอ่ ไป มาตรา ๕๔ เมื่อศาลมีคําส่ังรับคําร้องที่มีคู่กรณี การส่งส�ำเนา ไว้พิจารณาวินิจฉัย ให้ส่งสําเนาคําร้องแก่ผู้ถูกร้อง หรือ ค�ำรอ้ งแก่ มีคําสั่งแจ้งให้ผู้ถูกร้องมารับสําเนาคําร้องภายในระยะเวลา ผูถ้ ูกรอ้ ง ทศ่ี าลกําหนด เมื่อผู้ถูกร้องได้รับสําเนาคําร้อง ให้ย่ืนคําชี้แจง แก้ข้อกล่าวหาภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับสําเนา คําร้อง หรือภายในระยะเวลาท่ีศาลกําหนด และให้นํา ความในมาตรา ๔๒ มาใชบ้ ังคบั ด้วยโดยอนุโลม กรณผี ู้ถกู ร้องไมย่ ่นื คําชแี้ จงแก้ขอ้ กลา่ วหาภายใน ระยะเวลาตามวรรคสองหรือไม่มารับสําเนาคําร้องภายใน กําหนดเวลาตามวรรคหนึ่ง ให้ถือว่าผู้ถูกร้องไม่ติดใจท่ีจะ ยื่นคําชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา และให้ศาลดําเนินกระบวน พจิ ารณาตอ่ ไป มาตรา ๕๕ ผู้ร้องจะแก้ไขเพิ่มเติมคําร้อง การแก้ไข หรือผู้ถูกร้องจะแก้ไขเพิ่มเติมคําชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา เพิ่มเตมิ ค�ำรอ้ ง ย่อมทําได้ โดยต้องยื่นคําขอเสียก่อนวันท่ีศาลกําหนดว่า หรอื ค�ำชแี้ จง จะมีคําวินิจฉัยไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน แต่ในกรณีที่มีการย่ืน แก้ข้อกล่าวหา
306 คําขอก่อนวันที่ศาลกําหนดว่าจะมีคําวินิจฉัยน้อยกว่าเจ็ดวัน หรือที่การแก้ไขเพิ่มเติมนั้นทําให้ประเด็นแห่งคดีที่จะต้อง วินิจฉัยเปลี่ยนแปลงไป ศาลจะไม่รับไว้พิจารณาก็ได ้ แต่ในกรณีที่ศาลมีคําสั่งรับไว้พิจารณาศาลต้องส่งสําเนา การแกไ้ ขเพ่ิมเตมิ นัน้ ไปให้คู่กรณีอีกฝา่ ยหนง่ึ ทราบดว้ ย มาตรา ๕๖ การสง่ สําเนาคาํ ร้อง สาํ เนาคาํ ชี้แจง แก้ข้อกล่าวหา หรือเอกสารอ่ืนใดระหว่างศาลกับคู่กรณี พยาน หรือผู้เก่ียวข้อง ให้ส่ง ณ ภูมิลําเนา หรือถิ่นท่ีอยู่ ปกติ หรือสถานท่ีติดต่อแห่งใดแห่งหน่ึงตามที่คู่กรณี พยาน หรือผูเ้ ก่ยี วข้องได้แจง้ ไว้ วิธีการส่ง และการปิดประกาศแทนการส่งให้เป็น ไปตามขอ้ กําหนดของศาล การก�ำหนด มาตรา ๕๗ เม่ือศาลรับคดีใดไว้พิจารณาแล้ว ประเดน็ และ ให้ศาลกําหนดประเด็นและลําดับประเด็นที่จะพิจารณา ล�ำดบั ประเดน็ ที่ วินิจฉัย แต่ไม่ตัดอํานาจศาลที่จะแก้ไขหรือเพิ่มเติม จะพจิ ารณา ประเดน็ หรอื ลาํ ดบั ประเด็นที่ไดก้ ําหนดหรอื ลําดับไว้เดิม วินจิ ฉัย ตุลาการทุกคนเว้นแต่ตุลาการที่ได้รับอนุญาต ให้ถอนตัวหรือต้องถอนตัวเพราะถูกคัดค้าน ต้องทํา ความเห็นส่วนตนตามประเด็นและตามลําดับประเด็นท่ีศาล ได้กําหนดหรือลําดบั ไว้ เม่ือศาลรับเรื่องใดไว้พิจารณาแล้ว ตุลาการผู้ใด จะปฏิเสธไม่วินิจฉัยโดยอ้างว่าเรื่องนั้นไม่อยู่ในอํานาจของ ศาลมไิ ด้
307 มาตรา ๕๘ หากศาลเห็นว่าคดีใดเป็นปัญหา คดีท่เี ปน็ ปญั หา ข้อกฎหมาย หรือมีพยานหลักฐานเพียงพอท่ีจะพิจารณา ข้อกฎหมายหรอื วินิจฉัยได้ ศาลอาจประชุมปรึกษาเพื่อพิจารณาแล ะ มพี ยานหลกั ฐาน วนิ ิจฉยั โดยไมท่ าํ การไตส่ วนหรือยตุ กิ ารไตส่ วนกไ็ ด้ เพยี งพอ เมื่อศาลเห็นว่าพยานหลักฐานใดเกิดข้ึนหรือได้ มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่เก่ียวข้องกับเร่ืองที่ พิจารณาวินิจฉัย หรือไม่มีความจําเป็นแก่การพิจารณา วินิจฉัย หรือจะทําให้คดีล่าช้าโดยไม่สมควร ศาลอาจส่ัง งดการสืบหรอื ไม่รบั ฟงั พยานหลักฐานนั้นกไ็ ด้ ตุลาการจํานวนไม่น้อยกว่าสองในสามของ ตุลาการทั้งหมดเท่าท่ีมีอยู่อาจมีมติไม่ให้นําเอกสารหรือ พยานหลักฐานซ่ึงอาจมีผลต่อความม่ันคงของประเทศ มาใช้ในคดีได้ มาตรา ๕๙ การนั่งพิจารณาของศาลให้กระทํา การน่งั พจิ ารณา โดยเปิดเผย เว้นแต่เมื่อศาลเห็นเป็นการสมควรเพื่อรักษา ของศาล ความเรียบร้อยในบริเวณที่ทําการศาล หรือเพื่อคุ้มครอง ประโยชน์สาธารณะ ศาลมีอํานาจกําหนดบุคคลที่จะอยู่ใน หอ้ งพจิ ารณาได ้ เม่ือศาลประกาศกําหนดวันนัดไต่สวนคร้ังแรก ให้ส่งสําเนาประกาศให้แก่คู่กรณีไม่น้อยกว่าสิบห้าวัน ก่อนวันนัด ส่วนกําหนดวันนัดไต่สวนครั้งต่อไป ให้เป็น ไปตามที่ศาลกําหนด และให้ปิดประกาศกําหนดนัด ดังกลา่ วไว ้ ณ ที่ทําการศาลดว้ ย
308 การอ้างพยาน มาตรา ๖๐ คู่กรณีจะอ้างตนเอง บุคคล และ หลักฐาน หลักฐานอื่นเป็นพยานหลักฐานได้ และมีสิทธิตรวจ พยานหลักฐานและขอสําเนาพยานหลักฐานของตนเอง หรือของคู่กรณีอีกฝ่ายหน่ึงในเวลาทําการตามวิธีการและ ระยะเวลาท่ีกาํ หนดในข้อกําหนดของศาลก็ได ้ การอ้างพยานหลักฐานตามวรรคหน่ึง ให้คู่กรณี ย่ืนบัญชีระบุพยานหลักฐาน และวิธีการท่ีจะได้มาซึ่ง พยานหลกั ฐานดงั กลา่ ว ภายใต้บังคับมาตรา ๕๘ ก่อนศาลมีคําวินิจฉัย คู่กรณีอาจยื่นบัญชีระบุพยานหลักฐานเพิ่มเติมได้ แต่ต้อง ยื่นเสียก่อนวันที่ศาลกําหนดว่าจะมีคําวินิจฉัยไม่น้อยกว่า เจด็ วัน การตรวจพยาน มาตรา ๖๑ เพ่ือให้การพิจารณาคดีเป็นไป หลักฐาน ด้วยความรวดเร็วและเป็นธรรม ศาลอาจกําหนดให้ม ี การตรวจพยานหลักฐานก่อนก็ได้ แต่ต้องแจ้งคู่กรณี ทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่าสิบห้าวันก่อนวันนัดตรวจพยาน หลกั ฐาน การไต่สวน มาตรา ๖๒ ในการไต่สวนพยานบุคคล ไม่ว่า พยานบคุ คล จะเป็นพยานท่ีฝ่ายใดอ้างหรือที่ศาลเรียกมาเอง ให้ศาล สอบถามพยานบุคคลเอง แล้วให้พยานให้ถ้อยคําในข้อ น้ันโดยวิธีแถลงด้วยตนเองหรือตอบคําถามศาล ศาลอาจ ถามพยานเกี่ยวกับข้อเท็จจริงใด ๆ ที่เกี่ยวเน่ืองกับคดี แม้จะไม่มฝี ่ายใดยกขึ้นอ้างก็ตาม
309 เพ่ือประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลอาจ อนุญาตให้คู่กรณีซักถามพยานเพ่ิมเติมตามประเด็นและ ข้อเท็จจริงที่ศาลกําหนดไว้ก็ได้ โดยให้ฝ่ายท่ีอ้างพยาน เป็นผูซ้ กั ถามก่อน หลังจากคู่กรณีถามพยานตามวรรคสองแล้ว ห้ามมิให้คู่กรณีฝ่ายใดถามพยานอีก เว้นแต่จะได้รับ อนญุ าตจากศาล มาตรา ๖๓ ศาลอาจอนุญาตให้มีการไต่สวน การไตส่ วน พยานที่อยู่นอกท่ีทําการศาลตามที่คู่กรณีฝ่ายใดฝ่ายหน่ึง พยานทอ่ี ยนู่ อก หรือท้ังสองฝ่ายร้องขอ การไต่สวนพยานเช่นน้ันอาจใช้ ที่ท�ำการศาล ระบบการประชมุ ทางจอภาพตามข้อกาํ หนดของศาลได้ การไต่สวนพยานตามวรรคหนึ่ง ให้ถือว่ากระทํา ในหอ้ งพจิ ารณาของศาล มาตรา ๖๔ ในกรณีท่ีศาลเห็นสมควร หรือใน การให้ถอ้ ยค�ำ กรณีท่ีคู่กรณีฝ่ายท่ีอ้างพยานนั้นร้องขอและศาลอนุญาต ของพยานบุคคล ศาลอาจกําหนดให้พยานบุคคลหรือพยานผู้เชี่ยวชาญ หรอื พยาน ท่ีต้องมาให้ถ้อยคํา เสนอบันทึกถ้อยคํายืนยันข้อเท็จจริง ผ้เู ช่ียวชาญ ห รื อ ค ว า ม เ ห็ น ล ่ ว ง ห น ้ า ต ่ อ ศ า ล ต า ม ป ร ะ เ ด็ น ท่ี ศ า ล กําหนดหรือท่ีศาลอนุญาตให้คู่กรณีฝ่ายท่ีร้องขอกําหนด โดยให้ส่งต้นฉบับบันทึกถ้อยคํายืนยันข้อเท็จจริงหรือ ความเห็นล่วงหน้าต่อศาล และสําเนาแก่คู่กรณีฝ่ายอ่ืน เ พ่ื อ ท ร า บ ก ่ อ น วั น นั ด ไ ต ่ ส ว น พ ย า น บุ ค ค ล ห รื อ พ ย า น ผูเ้ ช่ียวชาญนน้ั ไมน่ อ้ ยกว่าเจ็ดวัน
310 คู่กรณีที่ติดใจคัดค้านข้อเท็จจริงในบันทึกถ้อยคํา ยืนยันข้อเท็จจริงหรือความเห็นล่วงหน้าดังกล่าวใน ประเด็นใด ให้ทําคําคัดค้านเป็นหนังสือย่ืนต่อศาลก่อน วั น นั ด ไ ต ่ ส ว น พ ย า น บุ ค ค ล ห รื อ พ ย า น ผู ้ เ ชี่ ย ว ช า ญ นั้ น ไม่นอ้ ยกว่าสามวนั มิฉะนั้นให้ถอื วา่ ไมต่ ิดใจคดั คา้ น ในวันไต่สวนพยาน ให้พยานรับรองบันทึก ถ้อยคํายืนยันข้อเท็จจริงหรือความเห็นล่วงหน้า แล้วตอบ ข้อซักถามเพ่ิมเติมของศาลและคู่กรณีฝ่ายอื่นตามประเด็น ที่เสนอต่อศาลตามวรรคสองและศาลอนุญาต หากพยาน ไม่มาศาล หรือมาศาลแต่ไม่ยอมตอบข้อซักถาม ให้ศาล ปฏิเสธที่จะรับฟังบันทึกถ้อยคํายืนยันข้อเท็จจริงหรือ ความเห็นล่วงหน้าของพยานบุคคลหรือพยานผู้เชี่ยวชาญ น้ันเป็นพยานหลักฐานในคดี เว้นแต่มีเหตุจําเป็นหรือ สมควรเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลจะรับฟัง บันทึกถ้อยคํายืนยันข้อเท็จจริงหรือความเห็นล่วงหน้าของ พยานบุคคลหรือพยานผู้เชี่ยวชาญน้ันประกอบพยาน หลกั ฐานอนื่ ก็ได้ พยานบุคคลหรือพยานผู้เชี่ยวชาญใดยื่นบันทึก ถ้อยคํายืนยันข้อเท็จจริงหรือความเห็นล่วงหน้าตาม ว ร ร ค ห นึ่ ง ต ่ อ ศ า ล แ ล ้ ว จ ะ ข อ ถ อ น บั น ทึ ก ถ ้ อ ย คํ า ยื น ยั น ข้อเท็จจริงหรือความเห็นล่วงหน้าน้ันมิได้ และเม่ือพยาน รับรองบันทึกถ้อยคํายืนยันข้อเท็จจริงหรือความเห็นล่วงหน้า แล้ว ให้ถือว่าบันทึกถ้อยคํายืนยันข้อเท็จจริงหรือ
311 ความเห็นล่วงหน้านั้นเป็นส่วนหนึ่งของการให้ถ้อยคํา ของพยาน มาตรา ๖๕ ความในมาตรา ๖๔ วรรคหนึ่ง และวรรคสอง ให้ใช้บังคับแก่กรณีที่ศาลกําหนดให้ พยานบุคคลใดหรือพยานผู้เชี่ยวชาญเสนอบันทึกถ้อยคํา ยืนยันข้อเท็จจริงหรือความเห็นต่อศาลตามประเด็นที่ศาล กําหนดแทนการมาให้ถ้อยคําโดยพยานไม่ต้องมาศาลด้วย โดยอนุโลม เว้นแต่ระยะเวลาตามมาตรา ๖๔ วรรคหน่ึง ให้นบั แต่วันท่ไี ด้รับคําส่ังศาล มาตรา ๖๖ ระหว่างการไต่สวนของศาล ให้ การบนั ทกึ ศาลบันทึกรายงานการพิจารณาคดีรวมไว้ในสํานวน รายงาน และจัดให้คู่กรณีและพยานลงลายมือช่ือไว้เป็นหลักฐาน การพิจารณาคดี หากคู่กรณีหรือพยานลงลายมือชื่อไม่ได้ หรือไม่ยอมลง ลายมือช่ือ ให้ศาลทํารายงานจดแจ้งเหตุที่ไม่มีลายมือช่ือ เช่นนนั้ ไวแ้ ทนการลงลายมอื ชือ่ ให้ศาลบันทึกการให้ถ้อยคําของพยานในการ ไต่สวนรวมไว้ในสํานวนด้วย โดยใช้อุปกรณ์บันทึกเสียง หรืออุปกรณ์บันทึกภาพและเสียง หรือโดยวิธีการอ่ืนใด ตามข้อกาํ หนดของศาล มาตรา ๖๗ คู่กรณีฝ่ายหน่ึงฝ่ายใดหรือท้ังสอง การร้องขอให้มี ฝ่ายมีสิทธิร้องขอให้มีการแถลงการณ์เปิดคดีหรือปิดคดี การแถลงการณ์ ของตนได้ตามท่ีศาลเห็นสมควรและภายในเวลาที่ศาล เปิดหรอื ปิดคดี กําหนด
312 การแถลงการณ์เปิดคดีหรือปิดคดีของคู่กรณ ี ต้องทําเป็นหนังสือ เว้นแต่ศาลเห็นสมควรให้กระทํา ด้วยวาจา และให้นําความในมาตรา ๖๖ วรรคสอง มาใชบ้ ังคับดว้ ยโดยอนุโลม หลักเกณฑ์ วิธีการ และระยะเวลาในการ แถลงการณ์เปิดคดีหรือปิดคดี ให้เป็นไปตามข้อกําหนด ของศาล การขอตรวจดู มาตรา ๖๘ คู่กรณี พยานในส่วนท่ีเก่ียวกับ ขอส�ำเนาหรือ การให้ถ้อยคําของตน หรือบุคคลภายนอก ซ่ึงมีส่วน ขอส�ำเนาที่มี ได้เสียโดยชอบหรือมีเหตุผลอันสมควร มีสิทธิขอตรวจดู ค�ำรับรอง ขอสําเนา หรือขอสําเนาที่มีคํารับรองความถูกต้องของ เอกสารในสํานวนได้ ท้ังนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ ความถกู ต้อง และเงื่อนไขท่ีกําหนดไว้ในข้อกําหนดของศาล ซึ่งจะ กําหนดใหต้ ้องเสยี คา่ ธรรมเนียมดว้ ยกไ็ ด้ มาตรา ๖๙ ให้ศาลเป็นผู้บันทึกรายงานการ พจิ ารณาคด ี มาตรา ๗๐ ให้ตุลาการคนหนึ่งซ่ึงได้รับมอบหมาย จากศาลเป็นผู้ลงลายมือชื่อในประกาศ คําส่ัง รายงาน การพิจารณาคด ี หรอื หนงั สืออ่นื ใดของศาล การก�ำหนด มาตรา ๗๑ เพ่ือป้องกันความเสียหายท่ีจะเกิดขึ้น มาตรการหรือ อย่างร้ายแรงท่ียากแก่การแก้ไขเยียวยาในภายหลัง วิธกี ารชวั่ คราว หรือเพื่อป้องกันความรุนแรงอันใกล้จะถึงและคําร้องของ กอ่ นการวินจิ ฉัย ผู้ร้องมีเหตุอันมีนํ้าหนักที่ศาลจะวินิจฉัยให้เป็นไปตาม
313 คําร้อง เมื่อศาลเห็นสมควรหรือคู่กรณีได้ยื่นคําขอ ให้ศาลมีอํานาจกําหนดมาตรการหรือวิธีการใด ๆ เ ป ็ น ก า ร ชั่ ว ค ร า ว ก ่ อ น ก า ร วิ นิ จ ฉั ย แ ล ะ อ อ ก คํ า สั่ ง ไ ป ยั ง หน่วยงานของรัฐ เจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือบุคคลท่ี เก่ียวข้องให้ปฏิบัติได้ ท้ังนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และประเภทคดที ่กี าํ หนดในขอ้ กําหนดของศาล มาตรการหรือวิธีการช่ัวคราวก่อนการวินิจฉัย ตามวรรคหน่ึง ให้มีผลใช้บังคับได้ไม่เกินหกสิบวันนับแต่ วนั ทีศ่ าลกาํ หนดมาตรการหรือวธิ ีการช่ัวคราวน้ัน หมวด ๔ การทําคําวินิจฉยั หรอื คาํ สงั่ มาตรา ๗๒ คําวินิจฉัยของศาลให้ถือเสียงข้างมาก การลงมติ เว้นแต่รัฐธรรมนูญจะบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น ในกรณีท่ี ค�ำวนิ จิ ฉัย คะแนนเสียงเท่ากัน ให้ศาลปรึกษาหารือกันจนกว่าจะได้ ข้อยตุ ิ ตุลาการซ่ึงเป็นองค์คณะทุกคนจะงดออกเสียง ในประเด็นใดประเด็นหนึ่งตามท่ีศาลได้กําหนดไว้มิได้ เว้นแตม่ ีเหตตุ ามมาตรา ๕๒ วรรคสาม
314 องค์ประกอบ มาตรา ๗๓ คําวินิจฉัยของศาลอย่างน้อยต้อง ของค�ำวินจิ ฉยั ประกอบด้วยข้ออ้างและคําขอตามท่ีปรากฏในคําร้อง หรือหนังสือขอให้ศาลพิจารณาวินิจฉัย ข้อโต้แย้งใน คําช้ีแจงข้อกล่าวหา ประเด็นแห่งคดี สรุปข้อเท็จจริงที่ได้ จากการพิจารณา เหตุผลในการวินิจฉัยในแต่ละประเด็น และบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่ยกข้ึนอ้างอิง รวมทั้งผลแห่งคําวินิจฉัย คําวินิจฉัยของศาลต้องลงลายมือช่ือของตุลาการ ที่วินิจฉัย ถ้าตุลาการคนใดมีเหตุจําเป็นอันไม่อาจ หลีกเลี่ยงได้ไม่สามารถลงลายมือชื่อได้ ให้องค์คณะน้ัน มอบหมายให้ตุลาการคนใดคนหน่ึงซ่ึงเป็นองค์คณะจดแจ้ง เหตุดงั กล่าวแล้วตดิ รวมไว้กบั คาํ วนิ จิ ฉัย การก�ำหนด มาตรา ๗๔ ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่ง ค�ำบังคบั ใหเ้ ป็น รัฐธรรมนูญ คําวินิจฉัยของศาล หากมีความจําเป็น ไปตามค�ำวนิ จิ ฉยั จะต้องบังคับให้เป็นไปตามคําวินิจฉัย ให้ศาลมีอํานาจ กํ า ห น ด คํ า บั ง คั บ ใ ห ้ เ ป ็ น ไ ป ต า ม คํ า วิ นิ จ ฉั ย ข อ ง ศ า ล ไว้ในคําวินิจฉัยนั้น โดยศาลอาจกําหนดให้มีผลไปใน อนาคตขณะใดขณะหนึ่งหลังวันอ่านคําวินิจฉัย หรือ อาจกําหนดเง่ือนไขหรือมาตรการในการบังคับอย่างหน่ึง อย่างใด ท้ังนี้ ตามความจําเป็นหรือสมควรตามความ เป็นธรรมแห่งกรณี และให้องค์กร หน่วยงานของรัฐ หรือบุคคลใดที่มีหน้าที่ในการบังคับ รายงานผล การปฏิบัติหรือข้อขัดข้องในการปฏิบัติตามคําบังคับของ
315 ศาลต่อศาลภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ศาลมีคําวินิจฉัย หรือภายในระยะเวลาที่ศาลกําหนด ท้ังนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และประเภทคดีที่กําหนดในขอ้ กําหนดของศาล มาตรา ๗๕ ในการวินิจฉัยคดี ตุลาการซึ่งเป็น องค์คณะทุกคนต้องทําความเห็นส่วนตนเป็นหนังสือ พร้อมทั้งแถลงด้วยวาจาต่อท่ีประชุม และให้ที่ประชุม ปรกึ ษาหารอื ร่วมกนั กอ่ นแล้วจงึ ลงมต ิ ความเห็นส่วนตนตามวรรคหน่ึง ให้ทําโดยสังเขป และต้องเผยแพรต่ อ่ สาธารณะตามขอ้ กาํ หนดของศาล การทําคําวินิจฉัยของศาล องค์คณะอาจมอบหมาย ให้ตุลาการคนหน่ึงคนใดเป็นผู้จัดทําคําวินิจฉัยตามมติ ของศาลก็ได้ คําวินิจฉัยของศาล ให้ประกาศในราชกิจจา นเุ บกษาภายในสามสบิ วันนบั แตว่ ันท่มี คี าํ วนิ ิจฉยั มาตรา ๗๖ คาํ วินิจฉยั ของศาลใหม้ ผี ลในวนั อ่าน ผลของค�ำวินจิ ฉยั ในกรณีท่ีศาลมีคําวินิจฉัยคดีที่มีคู่กรณี ถ้าคู่กรณี ฝ่ายใดฝ่ายหน่ึงหรือทั้งสองฝ่าย แล้วแต่กรณี ทราบ นัดโดยชอบแล้วไม่มา ให้ศาลบันทึกไว้และให้ถือว่า คําวินิจฉัยนนั้ ไดอ้ า่ นโดยชอบแลว้ ในกรณีที่ศาลมีคําวินิจฉัยคดีที่ไม่มีผู้ถูกร้อง ให้ ศาลแจ้งคําวินิจฉัยของศาลแก่ผู้ร้องหรือผู้มีหนังสือขอให้ ศาลพิจารณาวินิจฉัย และให้ถือว่าวันท่ีศาลลงมติซ่ึงเป็น วนั ท่ีปรากฏในคําวินิจฉยั เป็นวนั อ่าน
316 ในกรณีท่ีศาลมีคําวินิจฉัยคดีตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๗๓ มาตรา ๒๑๒ มาตรา ๒๑๓ หรือมาตรา ๒๓๑ (๑) ให้หน่วยงานท่ีรับผิดชอบงานธุรการของศาล จัดทําประกาศผลแห่งคําวินิจฉัยของศาลส่งไปประกาศใน ราชกจิ จานุเบกษาโดยเรว็ การแจ้งให้คู่กรณีมาฟังคําวินิจฉัยและการอ่าน คําวินิจฉัยของศาลตามวรรคสอง และการแจ้งคําวินิจฉัย ตามวรรคสาม ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการตาม ขอ้ กําหนดของศาล ค�ำส่งั ไม่รับค�ำร้อง มาตรา ๗๗ คําส่ังไม่รับคําร้องไว้พิจารณา ไวพ้ ิจารณา วินิจฉัยหรือจําหน่ายคดี ต้องประกอบด้วย ความเป็นมา โดยย่อของคดี เหตุผลในการมีคําส่ัง ความเห็นประกอบ และบทบัญญตั ขิ องรฐั ธรรมนญู และกฎหมายที่ยกข้ึนอ้างอิง ให้นําความในมาตรา ๗๕ วรรคสาม มาใช้ บังคับแก่การทําคําสั่งด้วยโดยอนุโลม เมื่อจัดทําคําส่ัง เสร็จแล้วให้แจ้งคู่กรณีทราบ พร้อมปิดประกาศไว ้ ณ ท่ีทําการศาลไมน่ ้อยกวา่ สบิ ห้าวนั คําส่ังของศาลตามวรรคหนึ่งและวรรคสองให้มีผล ในวันทีศ่ าลลงมติซึ่งเปน็ วนั ที่ปรากฏในคาํ สัง่ กรณคี �ำวินจิ ฉัย มาตรา ๗๘ ในกรณีที่คําวินิจฉัยหรือคําสั่งของ หรอื ค�ำส่ังของ ศาลมีข้อผิดพลาดหรือผิดหลงเล็กน้อย เม่ือศาลเห็นเอง ศาลมขี อ้ ผดิ พลาด หรือเมื่อคู่กรณีร้องขอและศาลเห็นสมควร ศาลจะมีคําส่ัง
317 แก้ไขเพิ่มเติมข้อผิดพลาดหรือผิดหลงเล็กน้อยเช่นว่านั้น ให้ถกู ต้องก็ได ้ การทําคําส่ังแก้ไขเพ่ิมเติมตามวรรคหนึ่งจะต้อง ไม่เป็นการกลับหรือแก้ผลในคําวินิจฉัยหรือคําสั่งเดิม เม่ือได้ทําคําสั่งเช่นว่าน้ันแล้ว ให้แจ้งคู่กรณีทราบ และให้ นําความในมาตรา ๗๕ วรรคสาม และวรรคสี่ มาใช้ บังคบั ด้วยโดยอนโุ ลม หลักเกณฑ์และวิธีดําเนินการจัดทําคําส่ังตาม วรรคหนง่ึ และวรรคสอง ใหเ้ ปน็ ไปตามขอ้ กาํ หนดของศาล บทเฉพาะกาล มาตรา ๗๙ ให้ประธานศาลรัฐธรรมนูญและ การด�ำรงต�ำแหนง่ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญซ่ึงดํารงตําแหน่งยังไม่ครบวาระ ของประธาน ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ศาลรฐั ธรรมนญู ๒๕๕๐ และดํารงตําแหน่งอยู่ในวันก่อนวันที่พระราช และตุลาการ บัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ใช้บังคับ ยังคงอยู่ในตําแหน่ง ศาลรฐั ธรรมนญู ต่อไปจนกว่าจะครบวาระตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ชุดเดิม แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ หรือพ้น จากตําแหน่งตามมาตรา ๑๘ เว้นแต่กรณีตาม (๑) ในส่วนท่ีเกี่ยวกับการขาดคุณสมบัติตามมาตรา ๘ มิให้
318 นํามาใช้บังคับ และให้ถือว่าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งดํารงตําแหน่งอยู่ต่อไปตามวรรคนี้และตุลาการศาล รัฐธรรมนูญซ่ึงยังคงอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปตามวรรคสอง มจี าํ นวนครบตามองค์ประกอบตามมาตรา ๘ แล้ว การท�ำหนา้ ที่ ให้ประธานศาลรัฐธรรมนูญและตุลาการศาล ของประธาน รัฐธรรมนูญซึ่งต้องอยู่ปฏิบัติหน้าท่ีต่อไปในวันก่อนวันที่ ศาลรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญน้ีใช้บังคับ ตามคําสั่ง และตุลาการ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ท่ี ๒๔/๒๕๖๐ ลงวันท่ี ๒๐ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๐ เร่ือง ให้ ศาลรฐั ธรรมนญู งดเว้นการคัดเลือกหรือสรรหาบุคคลให้ดํารงตําแหน่ง ชุดเดิม ตุ ล า ก า ร ศ า ล รั ฐ ธ ร ร ม นู ญ ต า ม คํ า สั่ ง หั ว ห น ้ า ค ณ ะ รั ก ษ า ความสงบแห่งชาติ ท่ี ๒๓/๒๕๖๐ บรรดาที่ดํารงตําแหน่ง ครบวาระตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ยังคงอยู่ปฏิบัติหน้าท่ีต่อไปจนกว่า ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่แต่งต้ังข้ึนใหม่ตามมาตรา ๘ วรรคหน่งึ (๑) (๒) และ (๕) จะเขา้ รับหน้าท่ ี การสรรหา มาตรา ๘๐ การสรรหาหรือคัดเลือกบุคคลให้ หรือคัดเลอื ก ดํารงตําแหน่งแทนประธานศาลรัฐธรรมนูญและตุลาการ บุคคลแทน ศาลรัฐธรรมนูญตามมาตรา ๗๙ วรรคหนึ่งซึ่งมีเหตุพ้น ต�ำแหน่งท่วี า่ ง จากตําแหน่งไม่ว่าด้วยเหตุใด และแทนประธานศาล รัฐธรรมนูญและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญซึ่งอยู่ปฏิบัติหน้าท่ี ต่อไปตามมาตรา ๗๙ วรรคสอง ให้ดําเนินการสรรหา หรือคัดเลือกเมื่อได้มีการเรียกประชุมรัฐสภาครั้งแรก
319 ภายหลังการเลือกต้ังท่ัวไป ตามรัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจกั รไทย ภายในย่ีสิบวันนับแต่วันที่พ้นกําหนดเวลาตาม วรรคหนึ่ง ให้องค์กรอิสระแต่งตั้งและส่งชื่อผู้แทนให ้ สํานักงานเลขาธิการวุฒิสภาเพื่อประกอบเป็นคณะกรรมการ สรรหาตามมาตรา ๑๑ เม่ือพ้นกําหนดเวลาตามวรรคสองแล้ว หาก องค์กรอิสระใดยังไม่อาจแต่งต้ังผู้แทนได้ หรือในกรณีท่ี ไม่มีผู้นําฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ให้คณะกรรมการ สรรหาปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้ โดยให้ถือว่าคณะกรรมการ สรรหาประกอบด้วยกรรมการสรรหาเท่าท่ีมีอยู่ แต่ไม ่ ตั ด สิ ท ธิ อ ง ค ์ ก ร อิ ส ร ะ ท่ีจ ะ แ ต ่ ง ต้ั ง ผู ้ แ ท น ม า ใ น ภ า ย ห ลั ง การแต่งต้ังดังกล่าวไม่มีผลให้การดําเนินการของคณะกรรมการ สรรหาที่ได้ดาํ เนินการไปแล้วต้องเสียไป ภายในย่ีสิบวันนับแต่วันพ้นจากระยะเวลาตาม วรรคสอง ให้คณะกรรมการสรรหาพิจารณาและวินิจฉัยว่า ป ร ะ ธ า น ศ า ล รั ฐ ธ ร ร ม นู ญ แ ล ะ ตุ ล า ก า ร ศ า ล รั ฐ ธ ร ร ม นู ญ ซ่ึงต้องปฏิบัติหน้าท่ีอยู่ในวันก่อนวันที่พระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญนี้ใช้บังคับตามมาตรา ๗๙ วรรคสอง ถือว่าเป็นผู้ซึ่งจะต้องมีการสรรหาหรือคัดเลือกในประเภท ใดตามมาตรา ๘ (๑) (๒) และ (๕) คาํ วนิ ิจฉัยของคณะกรรมการสรรหาให้เป็นท่ีสุด
320 ระยะเวลา มาตรา ๘๑ ให้คณะกรรมการสรรหาตาม การสรรหา มาตรา ๘๐ ดําเนินการสรรหาผู้สมควรได้รับการแต่งต้ัง เป็นผู้ดํารงตําแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญตามจํานวนท่ี ยังว่างอยู่และตามประเภทท่ีคณะกรรมการสรรหาวินิจฉัย ตามมาตรา ๘๐ วรรคส่ี ภายในหกสิบวันนับแต่วันท่ี มคี าํ วนิ จิ ฉัยตามมาตรา ๘๐ ในกรณีที่ต้องมีการคัดเลือกผู้สมควรได้รับ การแต่งตั้งเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ให้นําความ ในวรรคหน่ึงมาใช้บังคับแก่การคัดเลือกผู้สมควรได้รับ การแต่งต้ังเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญของท่ีประชุมใหญ่ ศาลฎีกาหรือที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด แลว้ แต่กรณี ดว้ ยโดยอนโุ ลม ในกรณีท่ีไม่มีประธานศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อ วุฒิสภาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งได้รับการสรรหาหรือ คัดเลือกแล้ว ให้ผู้ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากวุฒิสภาและ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญซ่ึงยังอยู่ในตําแหน่งตามมาตรา ๗๙ วรรคหน่ึง ประชุมร่วมกันเพื่อเลือกกันเองให้คนหน่ึง เป็นประธานศาลรัฐธรรมนูญ และแจ้งให้ประธานวุฒิสภา ทราบเพอ่ื ดาํ เนนิ การต่อไป มาตรา ๘๒ บ ร ร ด า ข ้ อ กํ า ห น ด ร ะ เ บี ย บ ประกาศ คําส่ัง หรือมติของศาลท่ีออกตามรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ซ่ึงใช้บังคับ อยู่ในวันก่อนวันท่ีพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้
321 ใช้บังคับ ให้มีผลใช้บังคับต่อไปเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งต่อ รัฐธรรมนูญ หรือพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ ทั้งน้ี จนกว่าจะมีข้อกําหนด ระเบียบ ประกาศ คําส่ัง หรอื มตขิ องศาลตามพระราชบญั ญตั ปิ ระกอบรฐั ธรรมนญู น ้ี มาตรา ๘๓ การดําเนินการไต่สวน หรือการ ดําเนินการอ่ืนใดตามหน้าท่ีและอํานาจของศาลซึ่งดําเนินการ ก่อนวันท่ีพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ใช้บังคับ ให้ถือว่าการน้ันเป็นการดําเนินการตามพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญน้ี ส่วนการดําเนินการต่อไปให้เป็น ไปตามพระราชบัญญัตปิ ระกอบรฐั ธรรมนูญน้ ี ในกรณีท่ีมีปัญหาว่าการดําเนินการในเร่ืองใด ท่ียังค้างพิจารณาอยู่และมิได้บัญญัติวิธีดําเนินการไว้ใน พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญน้ี ให้ดําเนินการนั้น ต่อไปตามมติของศาล ผรู้ ับสนองพระราชโองการ พลเอก ประยทุ ธ์ จันทรโ์ อชา นายกรัฐมนตรี
322 หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญฉบับน้ี คือ โดยท่ีรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทยบัญญัติให้การสรรหา และ การวินิจฉัยการพ้นจากตําแหน่งของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ก า ร พิ จ า ร ณ า วิ นิ จ ฉั ย เ รื่ อ ง ต า ม ห น ้ า ท่ี แ ล ะ อํ า น า จ ของศาลรัฐธรรมนูญ และการดําเนินงานของศาลรัฐธรรมนูญ เปน็ ไปตามพระราชบัญญัตปิ ระกอบรฐั ธรรมนญู จึงจาํ เป็น ตอ้ งตราพระราชบญั ญตั ิประกอบรฐั ธรรมนูญนี้ ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๕ ตอนที่ ๑๒ ก วนั ที ่ ๒ มนี าคม ๒๕๖๑ หนา้ ๑-๓๑.
พระราชบญั ญตั ิประกอบรฐั ธรรมนญู วา่ ดว้ ยวิธพี จิ ารณาคดอี าญา ของผ้ดู ำ� รงต�ำแหนง่ ทางการเมือง พ.ศ. ๒๕๖๐
325 พระราชบัญญัตปิ ระกอบรัฐธรรมนญู วา่ ด้วยวธิ ีพจิ ารณาคดอี าญา ของผ้ดู ำ� รงตำ� แหนง่ ทางการเมอื ง พ.ศ. ๒๕๖๐ สมเดจ็ พระเจา้ อยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดนิ ทรเทพยวรางกรู ใหไ้ ว ้ ณ วันท่ ี ๒๒ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๐ เป็นปีที่ ๒ ในรชั กาลปัจจบุ นั ส ม เ ด็ จ พ ร ะ เ จ ้ า อ ยู ่ หั ว ม ห า ว ชิ ร า ล ง ก ร ณ บดินทรเทพยวรางกูร มีพระราชโองการโปรดเกล้าฯ ใหป้ ระกาศว่า โดยท่ีเป็นการสมควรมีกฎหมายประกอบ รั ฐ ธ ร ร ม นู ญ ว ่ า ด ้ ว ย วิ ธี พิ จ า ร ณ า ค ดี อ า ญ า ข อ ง ผู ้ ดํ า ร ง ตําแหนง่ ทางการเมือง
326 พ ร ะ ร า ช บั ญ ญั ติ ป ร ะ ก อ บ รั ฐ ธ ร ร ม นู ญ น้ี มีบทบัญญัติบางประการเก่ียวกับการจํากัดสิทธิและเสรีภาพ ของบุคคล ซ่ึงมาตรา ๒๖ ประกอบกับมาตรา ๒๘ และมาตรา ๓๗ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บั ญ ญั ติ ใ ห ้ ก ร ะ ทํ า ไ ด ้ โ ด ย อ า ศั ย อํ า น า จ ต า ม บ ท บั ญ ญั ต ิ แหง่ กฎหมาย เหตุผลและความจําเป็นในการจํากัดสิทธิ และเสรีภาพของบุคคลตามพระราชบัญญัติประกอบ รัฐธรรมนูญนี้ เพ่ือกําหนดวิธีพิจารณาพิพากษาและ การอุทธรณ์คําพิพากษาคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่ง ทางการเมือง รวมท้ังการบังคับให้เป็นไปตามคําพิพากษา หรือคําส่ังในคดีให้เป็นไปโดยมีประสิทธิภาพ เป็นธรรม และรวดเร็ว อันจะเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ ซึ่ง การตราพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญน้ีสอดคล้อง กับเงื่อนไขที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๖ ของรัฐธรรมนูญ แหง่ ราชอาณาจกั รไทยแล้ว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติ ป ร ะ ก อ บ รั ฐ ธ ร ร ม นู ญ ข้ึ น ไ ว ้ โ ด ย คํ า แ น ะ นํ า แ ล ะ ยิ น ย อ ม ของสภานติ ิบญั ญตั แิ หง่ ชาติทาํ หน้าทีร่ ัฐสภา ดงั ต่อไปน้ี มาตรา ๑ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ นี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย วิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง พ.ศ. ๒๕๖๐”
327 มาตรา ๒ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ เร่ิมบังคบั ใช้ ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นตน้ ไป มาตรา ๓ ให้ยกเลกิ (๑) พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย ผลการบังคับใช้ วิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง พ.ศ. ๒๕๔๒ (๒) พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราช บัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญา ของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง พ.ศ. ๒๕๔๒ พ.ศ. ๒๕๕๐ (๓) ประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับท่ี ๒๔/๒๕๕๗ เรื่อง ให้พระราชบัญญัติประกอบ รัฐธรรมนูญมีผลบังคับใช้ต่อไป ลงวันท่ี ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๕๗ เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับพระราชบัญญัติประกอบ รัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่ง ทางการเมอื ง มาตรา ๔ ใ น พ ร ะ ร า ช บั ญ ญั ติ ป ร ะ ก อ บ นิยามของค�ำทใ่ี ช้ รฐั ธรรมนญู น้ ี เว้นแตข่ อ้ ความจะแสดงไว้เปน็ อยา่ งอนื่ “ศาล” หมายความว่า ศาลฎีกาแผนกคดีอาญา ของผ้ดู าํ รงตําแหน่งทางการเมือง
328 “คณะกรรมการ ป.ป.ช.” หมายความว่า คณะ ก ร ร ม ก า ร ป ้ อ ง กั น แ ล ะ ป ร า บ ป ร า ม ก า ร ทุ จ ริ ต แ ห ่ ง ช า ติ ตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกัน และปราบปรามการทุจริต “กรรมการ ป.ป.ช.” หมายความว่า ประธาน หรือกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและ ปราบปรามการทุจรติ “คณะผู้ไต่สวนอิสระ” หมายความว่า คณะ บุคคลซ่ึงประธานศาลฎีกาแต่งตั้งเพื่อทําหน้าท่ีไต่สวนหา ข้อเท็จจริงและทําความเห็นในกรณีที่มีการกล่าวหา กรรมการ ป.ป.ช. มาตรา ๕ นับแต่วันท่ีพระราชบัญญัติประกอบ รัฐธรรมนูญนี้ใช้บังคับ ห้ามมิให้ศาลอ่ืนนอกจาก ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง รับคดีท่ีอยู่ในอํานาจของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของ ผู้ดํารงตําแหนง่ ทางการเมืองไว้พจิ ารณาพิพากษา วิธีการพจิ ารณาคดี มาตรา ๖ การพิจารณาคดีให้ใช้ระบบไต่สวน โดยให้ศาลค้นหาความจริงไม่ว่าจะเป็นคุณหรือเป็นโทษ แก่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และในการวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริง ให้ศาลรับฟังพยานหลักฐานได้ แม้ว่าการไต่สวนพยาน หลักฐานนั้นจะมีข้อผิดพลาดคลาดเคล่ือนไปจากขั้นตอน
329 วิธีการ หรือกรอบเวลา ที่กฎหมายกําหนดไว้ ถ้าศาลได้ ให้โอกาสแก่คู่ความในการโต้แย้งคัดค้านพยานหลักฐาน นั้นแล้ว เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงที่ถูกต้องตรงตามความจริง ท่ีเกิดข้ึนในคดีน้ัน ทั้งนี้ ตามแนวทางและวิธีการตาม ขอ้ กําหนดของประธานศาลฎีกา การพิจารณาของศาลต้องเป็นไปโดยรวดเร็วตาม ที่กําหนดในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ และ ข้อกําหนดของประธานศาลฎีกา ทั้งน้ี โดยนําสํานวน การไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. หรือของคณะ ผู้ไต่สวนอิสระ แล้วแต่กรณี เป็นหลักในการพิจารณา และเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ให้ศาลมีอํานาจ ไตส่ วนหาขอ้ เทจ็ จริงและพยานหลักฐานเพมิ่ เติมได้ ในการปฏิบัติหน้าท่ี ศาลมีอํานาจเรียกเอกสาร หรือหลักฐานที่เกี่ยวข้องจากบุคคลใดหรือเรียกบุคคลใด มาให้ถ้อยคํา ตลอดจนขอให้ศาลอ่ืน พนักงานสอบสวน หน่วยราชการ หน่วยงานอื่นของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือ ราชการส่วนท้องถ่ิน ดําเนินการใดเพื่อประโยชน์แห่ง การพจิ ารณาได้ ศาลมีอํานาจแต่งตั้งบุคคลหรือคณะบุคคลเพ่ือ ปฏิบัติหน้าท่ีตามที่มอบหมายในการให้ความช่วยเหลือ หรือสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ของศาลที่มิใช่การพิจารณา หรือพิพากษาคดไี ด้
330 อ�ำนาจในการ มาตรา ๗ ศาลมีอํานาจออกหมายอาญาและ ออกหมายอาญา หมายใด ๆ ตามท่ีประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ และหมายอน่ื ๆ อาญาและประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความแพง่ บญั ญตั ิ การรักษาการและ มาตรา ๘ ให้ประธานศาลฎีการักษาการตาม การออกข้อก�ำหนด พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ และมีอํานาจออก ข้อกําหนดเพ่ือปฏิบัติการตามพระราชบัญญัติประกอบ รัฐธรรมนูญน้ี และข้อกําหนดอื่น เกี่ยวกับการดําเนินคดี เพ่ือใช้แก่การปฏิบัติงานของศาลได้เท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งต่อ พระราชบัญญัตปิ ระกอบรฐั ธรรมนญู น้ี ข้อกําหนดตามวรรคหนึ่งเม่ือได้รับความเห็นชอบ ของท่ีประชุมใหญ่ศาลฎีกา และประกาศในราชกิจจานุเบกษา แลว้ ใหใ้ ช้บงั คับได้ นอกจากที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติประกอบ รัฐธรรมนูญน้ี กระบวนพิจารณาในศาลให้เป็นไปตาม ข้อกําหนดตามวรรคหน่ึง ในกรณีท่ีไม่มีข้อกําหนด ดังกล่าว ให้นําบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธี พิจารณาความอาญาและประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความแพ่งมาใช้บังคับเท่าท่ีไม่ขัดหรือแย้งกับบทบัญญัติ ตามพระราชบญั ญตั ิประกอบรฐั ธรรมนญู น้ ี
331 หมวด ๑ บททวั่ ไป มาตรา ๙ ให้มีแผนกคดีอาญาของผู้ดํารง ศาลฎีกา ตําแหนง่ ทางการเมอื งในศาลฎีกา แผนกคดีอาญา ของผูด้ �ำรงต�ำแหนง่ อง เพ่ือประโยชน์ในการดําเนินกระบวนพิจารณา ทางการเมือง ข ศาลตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญน ้ี ใ ห ้ ป ร ะ ธ า น ศ า ล ฎี ก า แ ต ่ ง ตั้ ง ผู ้ พิ พ า ก ษ า ใ น ศ า ล ฎี ก า ซึ่งดํารงตําแหน่งไม่ต่�ำกว่าผู้พิพากษาศาลฎีกา หรือ ผู ้ พิ พ า ก ษ า อ า วุ โ ส ซ่ึ ง เ ค ย ดํ า ร ง ตํ า แ ห น ่ ง ไ ม ่ ต่� ำ ก ว ่ า ผู้พิพากษาศาลฎีกาจ�ำนวนตามท่ีเห็นสมควร เป็น ผู้พิพากษาประจําแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่ง ทางการเมืองในศาลฎีกาเพื่อปฏิบัติงานท่ีจําเป็นในระหว่าง ท่ียังไม่มีองค์คณะผู้พิพากษาตามมาตรา ๑๑ สําหรับ คดีใดคดีหน่ึง มาตรา ๑๐ ศาลมีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดี อ�ำนาจ ดังตอ่ ไปนี้ ในการพิจารณา (๑) คดีที่มีมูลแห่งคดีเป็นการกล่าวหาว่า พพิ ากษาคดี ผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองเฉพาะตามที่บัญญัติไว ้ ในกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและ ปราบปรามการทุจริต ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ดํารง ตําแหน่งในองค์กรอิสระ หรือผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน
332 ร�่ำรวยผิดปกติ ทุจริตต่อหน้าท่ี หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่ หรือใช้อํานาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือ กฎหมาย (๒) คดีที่คณะผู้ไต่สวนอิสระเห็นว่ากรรมการ ป.ป.ช. มีพฤติการณ์ร�่ำรวยผิดปกติ ทุจริตต่อหน้าท่ี หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อํานาจขัดต่อบทบัญญัติแห่ง รฐั ธรรมนญู หรือกฎหมาย (๓) คดีท่ีมีมูลแห่งคดีเป็นการกล่าวหาบุคคลอ่ืน ซ่ึงมิใช่บุคคลตาม (๑) และ (๒) เป็นตัวการ ผู้ใช ้ หรือผู้สนับสนุนในการกระทําความผิดทางอาญาตาม (๑) หรือ (๒) รวมทั้งผู้ให้ ผู้ขอให้หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อ่ืนใดแก่บุคคลตาม (๑) หรือ (๒) เพื่อจูงใจให้กระทําการ ไม่กระทําการ หรือประวิง การกระทําอนั มิชอบดว้ ยหนา้ ท ่ี (๔) คดีท่ีบุคคลตาม (๑) หรือกรรมการ ป.ป.ช. หรือเจ้าหน้าที่ของสํานักงานคณะกรรมการ ป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติตามมาตรา ๕๗ วรรคสอง จงใจไม่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและ หนี้สิน หรือจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินหรือ หนี้สินอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ และมีพฤติการณ์อันควรเชื่อได้ว่ามีเจตนาไม่แสดงที่มา แห่งทรพั ย์สินหรือหน้สี นิ
333 มาตรา ๑๑ เ ม่ื อ มี ก า ร ยื่ น ฟ้ อ ง ค ดี ต ่ อ ศา ล การด�ำเนินการ ให้ประธานศาลฎีกาเรียกประชุมใหญ่ศาลฎีกาโดยเร็ว เมอ่ื มกี ารยืน่ ฟ้อง เพื่อเลือกผู้พิพากษาในศาลฎีกาซึ่งดํารงตําแหน่งไม่ต่�ำกว่า คดตี ่อศาล ผู้พิพากษาศาลฎีกาหรือผู้พิพากษาอาวุโส ซึ่งเคยดํารง ตําแหน่งไม่ต�่ำกว่าผู้พิพากษาศาลฎีกาจํานวนเก้าคน เปน็ องค์คณะผพู้ ิพากษา โดยให้เลอื กเปน็ รายคดี ในกรณีมีเหตุสมควร ผู้พิพากษาคนใดอาจขอ ถอนตัวจากการได้รับเลือกเป็นองค์คณะผู้พิพากษาได ้ โดยให้แถลงต่อท่ีประชุมใหญ่ศาลฎีกาก่อนการลงคะแนน และให้ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาลงมติว่าจะให้มีการถอนตัว หรอื ไม ่ มตขิ องทีป่ ระชมุ ใหญ่ศาลฎกี าให้เป็นท่สี ดุ การเลือกองค์คณะผู้พิพากษาแต่ละคดีให้ใช้ วธิ ีการเลอื ก วิธีการลงคะแนนลับ ให้ผู้พิพากษาซ่ึงได้รับคะแนนสูงสุด องคค์ ณะผู้พพิ ากษา เรยี งลงไปตามลาํ ดับจนครบจํานวนเก้าคนเป็นผู้ได้รบั เลอื ก เป็นองค์คณะผู้พิพากษาสําหรับคดี ถ้ามีผู้ได้รับคะแนน เท่ากันในลําดับใดอันเป็นเหตุให้มีผู้ได้รับเลือกเกินจํานวน ดังกล่าว ให้ประธานศาลฎีกาจับสลากว่าผู้ใดเป็นผู้ได้ รบั เลือก ผู้พิพากษาซ่ึงได้รับเลือกเป็นองค์คณะผู้พิพากษา มีหน้าที่และอํานาจในการพิจารณาพิพากษาคดีจนกว่า จะส้ินสุดหน้าที่และอํานาจตามพระราชบัญญัติประกอบ รัฐธรรมนูญนี้ และระหว่างการพิจารณาพิพากษาคดีน้ัน
334 ห ้ า ม มิ ใ ห ้ มี คํ า ส่ั ง ใ ห ้ ผู ้ พิ พ า ก ษ า ผู ้ นั้ น ไ ป ทํ า ง า น ท่ี อ่ื น นอกศาลฎกี า ในกรณีท่ีผู้พิพากษาคนใดในองค์คณะผู้พิพากษา พ้นจากหน้าที่ตามมาตรา ๑๒ หรือมีเหตุสุดวิสัย หรือ เหตุจําเป็นอ่ืนอันมิอาจก้าวล่วงได้ทําให้ผู้พิพากษาน้ัน ไม่สามารถปฏิบัติหน้าท่ีได้ ให้ดําเนินการเลือกผู้พิพากษา เข้ามาแทนที่ให้ครบจํานวนตามหลักเกณฑ์และวิธีการ ตามวรรคหนึ่ง โดยผู้พิพากษาซ่ึงได้รับเลือกน้ัน ให้มี อํานาจเช่นเดียวกับผู้พิพากษาอ่ืนในองค์คณะผู้พิพากษา ท่ีตนเข้าแทนที่ และมีอํานาจตรวจสํานวน ทําความเห็น ในการวินิจฉัยคดี และลงลายมือชื่อในคําสั่งที่เป็น การวนิ ิจฉัยชข้ี าดคดีหรือคําพิพากษาได ้ ในกรณีมีเหตุสุดวิสัย หรือเหตุจําเป็นอื่นอันมิอาจ ก้าวล่วงได้ทําให้ผู้พิพากษาคนใดในองค์คณะผู้พิพากษา ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ในวันนัดเป็นการชั่วคราว และ ผู้พิพากษาในองค์คณะผู้พิพากษาคงเหลือไม่น้อยกว่าเจ็ดคน ให้ถือว่าผู้พิพากษาเท่าที่มีอยู่เป็นองค์คณะผู้พิพากษา พิจารณาคดีต่อไปได้ เว้นแต่การทําคําสั่งที่เป็นการวินิจฉัย ชีข้ าดคดีหรือคาํ พพิ ากษา ก า ร เ ป ลี่ ย น แ ป ล ง ส ถ า น ะ ข อ ง ผู ้ พิ พ า ก ษ า ในศาลฎีกาซึ่งได้รับเลือกเป็นองค์คณะผู้พิพากษาไปเป็น ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา ไม่กระทบกระเทือนถึง การทผ่ี นู้ ้ันจะปฏิบัตหิ นา้ ทเี่ ป็นองค์คณะผพู้ ิพากษาตอ่ ไป
335 ผู้พิพากษาซ่ึงร่วมประชุมใหญ่ศาลฎีกาตาม วรรคหน่ึง องค์คณะผู้พิพากษาซ่ึงได้รับเลือกใน การประชุมดังกล่าว ตลอดจนบุคคลซ่ึงองค์คณะผู้พิพากษา มอบหมายให้ปฏิบัติหน้าท่ีมีสิทธิได้รับเบี้ยประชุม หรือ ค่าตอบแทน แล้วแต่กรณี ตามระเบียบที่คณะกรรมการ บริหารศาลยุติธรรมตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหาร ราชการศาลยตุ ธิ รรมกาํ หนด มาตรา ๑๒ ผู้พิพากษาในองค์คณะผู้พิพากษา การพน้ หนา้ ท่ี ยอ่ มพ้นหนา้ ทใี่ นคดีเม่ือ ของผู้พิพากษา ในองค์คณะ (๑) พ้นจากการเป็นข้าราชการตุลาการ ให้ ผู้พิพากษา (๒) ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ไปดาํ รงตําแหน่งท่ีศาลอ่ืน (๓) ถอนตัวเน่ืองจากการคัดค้านผู้พิพากษา และองค์คณะผู้พิพากษามีคําส่ังยอมรับตามคําคัดค้านใน มาตรา ๑๓ (๔) มีเหตุสมควรและได้รับอนุญาตจากที่ประชุม ใหญศ่ าลฎีกาใหถ้ อนตัวได้ มาตรา ๑๓ หากคู่ความฝ่ายใดประสงค์จะ การคัดค้าน คัดค้านผู้พิพากษาคนใดซึ่งได้รับเลือกเป็นผู้พิพากษาใน ผพู้ พิ ากษา องค์คณะผู้พิพากษา เน่ืองจากมีเหตุอันจะคัดค้าน ในองค์คณะ ผู้พิพากษาได้ ให้ยื่นคําร้องต่อศาลก่อนเริ่มการไต่สวน ผพู้ ิพากษา พยานหลักฐาน ในการน้ี ให้องค์คณะผู้พิพากษาไต่สวน ตามท่ีเห็นสมควรแล้วมีคําส่ังยอมรับหรือยกคําคัดค้าน
336 คําสั่งนี้เป็นที่สุด และให้นําบทบัญญัติว่าด้วยการคัดค้าน ผู้พิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาใชบ้ ังคับโดยอนุโลม การคัดค้านผู้พิพากษาจะกระทํามิได้ หากได้เร่ิม การไต่สวนพยานหลักฐานไปแล้ว เว้นแต่ผู้คัดค้าน สามารถแสดงต่อศาลได้ว่ามีเหตุสมควรท่ีทําให้ไม่สามารถ คัดค้านได้กอ่ นน้ัน ผู้พิพากษา มาตรา ๑๔ ให้องค์คณะผู้พิพากษาเลือก เจา้ ของส�ำนวน ผู้พิพากษาคนหนึ่งในจํานวนเก้าคนเป็นผู้พิพากษา เจา้ ของสาํ นวน ผู้พิพากษาเจ้าของสํานวนมีอํานาจดําเนินการตาม มติขององค์คณะผู้พิพากษาและเม่ือได้รับความเห็นชอบจาก ผู้พิพากษาในองค์คณะผู้พิพากษาอีกสองคน มีอํานาจ ออกคาํ สงั่ ใดๆ ทม่ี ิไดเ้ ปน็ การวินิจฉัยชข้ี าดคดีได ้ การไตส่ วน มาตรา ๑๕ ให้ศาลดําเนินกระบวนพิจารณา พยานหลกั ฐาน ไต่สวนพยานหลักฐานต่อเน่ืองติดต่อกันไปจนกว่าจะเสร็จ การพิจารณา เว้นแต่จะมีเหตุสุดวิสัยหรือเหตุจําเป็นอื่น อันมอิ าจก้าวล่วงได้ การขอใหไ้ ตส่ วน มาตรา ๑๖ ถ้าอัยการสูงสุด หรือคณะกรรมการ พยานหลักฐาน ป.ป.ช. รวมทั้งบุคคลที่เกี่ยวข้องในคดี เกรงว่าพยานหลักฐาน ทันที ท่ีอาจต้องอ้างอิงในภายหน้าจะสูญหายหรือยากแก่ การนํามาไต่สวนในภายหลงั บคุ คลดังกล่าวอาจยนื่ คํารอ้ ง ต่อศาลขอให้มีคาํ สงั่ ไตส่ วนพยานหลักฐานน้ันไวท้ นั ทไี ด้
337 ในกรณีท่ีมีการยื่นคําร้องตามวรรคหนึ่งก่อน อัยการสูงสุดหรือคณะกรรมการ ป.ป.ช. ยื่นฟ้อง ให้ ผู้พิพากษาประจําแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่ง ทางการเมืองในศาลฎีกาตามมาตรา ๙ เป็นผู้พิจารณา ทั้งน้ี พยานหลักฐานท่ีได้จากการไต่สวนพยานหลักฐาน ดงั กลา่ วให้รับฟงั เปน็ พยานหลักฐานได้ มาตรา ๑๗ เมื่อศาลประทับรับฟ้อง ให้ผู้ถูก กล่าวหาซ่ึงดํารงตําแหน่งตามมาตรา ๑๐ (๑) กรรมการ ป.ป.ช. หรือเจ้าหน้าท่ีของรัฐ หยุดปฏิบัติหน้าท่ีจนกว่า จะมีคําพพิ ากษา เวน้ แต่ศาลจะมีคําส่ังเป็นอย่างอื่น ในกรณีที่ศาลมีคําพิพากษาให้ผู้ใดพ้นจากตําแหน่ง หรือคําพิพากษานั้นมีผลให้ผู้ใดพ้นจากตําแหน่ง ไม่ว่าจะ มีการอุทธรณ์ตามหมวด ๖ อุทธรณ์ หรือไม่ ให้ผู้นั้น พ้นจากตําแหน่งต้ังแต่วันท่ีศาลมีคําพิพากษาหรือวันท่ี หยดุ ปฏบิ ตั หิ น้าที ่ มาตรา ๑๘ ในระหว่างพิจารณา ศาลมีอํานาจ การมอบหมาย มอบหมายให้ผู้พิพากษาซ่ึงปฏิบัติหน้าท่ีในศาลฎีกาทํา ใหผ้ พู้ พิ ากษา หน้าที่ช่วยเหลือศาลในการดําเนินคดีตามพระราชบัญญัติ ชว่ ยเหลอื ศาล ประกอบรฐั ธรรมนญู นี ้ อย่างหน่ึงอย่างใด ดังต่อไปนี ้ ในการด�ำเนนิ คดี (๑) ตรวจสอบและรวบรวมพยานหลักฐานเพ่ือ ให้ศาลใช้เป็นแนวทางในการพจิ ารณาคดี (๒) ดําเนินการและจัดทํารายงานเก่ียวกับคดี ตามทศ่ี าลมคี ําสง่ั
338 (๓) ชว่ ยเหลือศาลในการบนั ทึกคําพยาน (๔) ปฏิบัติหน้าท่ีอื่นตามบทบัญญัติแห่งพระราช บัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญน้ีหรือตามข้อกําหนดของ ประธานศาลฎกี าในการทาํ หน้าท่ชี ว่ ยเหลือนัน้ หลักเกณฑ์ วิธีการ และเง่ือนไขในการปฏิบัติ หน้าท่ีของผู้พิพากษาซ่ึงปฏิบัติหน้าท่ีในศาลฎีกา ให้เป็น ไปตามท่ีกาํ หนดในข้อกาํ หนดของประธานศาลฎีกา ระยะเวลา มาตรา ๑๙ ระยะเวลาที่กําหนดไว้ในพระราช ทกี่ �ำหนด บัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ หรือในกฎหมายอ่ืน ที่ บทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้นํามา ใช้บังคับ หรือในข้อกําหนดของประธานศาลฎีกา หรือ ตามที่ศาลกําหนด เมื่อศาลเห็นสมควรหรือเม่ือคู่ความ มีคําขอ ศาลอาจย่นหรือขยายได้ตามความจําเป็นและ เพื่อประโยชนแ์ ห่งความยตุ ธิ รรม ในกรณีท่ีมีข้อผิดพลาดหรือบกพร่องทางวิธี พิจารณาเกิดขึ้น ศาลอาจสั่งให้คู่ความซึ่งดําเนินกระบวน พิจารณาไม่ถูกต้อง ดําเนินกระบวนพิจารณาให้ถูกต้องได้ ภายในระยะเวลาและเง่ือนไขท่ีศาลเห็นสมควรกําหนด ทงั้ น้ี เพือ่ ประโยชนแ์ ห่งความยุตธิ รรม ความเหน็ มาตรา ๒๐ การทําคําสั่งท่ีเป็นการวินิจฉัย ในการวินิจฉัยคดี ช้ีขาดหรือการพิพากษาคดี ให้ผู้พิพากษาในองค์คณะ ผู้พิพากษาทุกคนทําความเห็นในการวินิจฉัยคดีเป็น หนังสือโดยสังเขป พร้อมทั้งต้องแถลงด้วยวาจา
339 ต่อที่ประชุม และให้ที่ประชุมปรึกษาหารือร่วมกันก่อน แล้วจึงลงมติโดยให้ถือมติตามเสียงข้างมาก ในการน้ี องค์คณะผู้พิพากษาอาจมอบหมายให้ผู้พิพากษาคนใด ค น ห นึ่ ง ใ น อ ง ค ์ ค ณ ะ ผู ้ พิ พ า ก ษ า เ ป ็ น ผู ้ จั ด ทํ า คํ า ส่ั ง ห รื อ คาํ พิพากษาตามมตนิ ้นั กไ็ ด้ ความเห็นในการวินจิ ฉัยคดตี ามวรรคหน่งึ อย่างน้อย ต้องมสี าระสําคัญตามข้อกําหนดของประธานศาลฎกี า คําส่ังท่ีเป็นการวินิจฉัยช้ีขาดคดีหรือคําพิพากษา ของศาล ให้เปิดเผยโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา ส่วนความเหน็ ในการวินิจฉัยคดขี องผูพ้ พิ ากษาในองคค์ ณะ ผู้พิพากษาทุกคน ให้เปิดเผยตามวิธกี ารในขอ้ กําหนดของ ประธานศาลฎกี า มาตรา ๒๑ คําส่ังท่ีเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดคดี องค์ประกอบ หรือคาํ พพิ ากษาของศาล อย่างนอ้ ยต้องประกอบดว้ ย ของค�ำสัง่ ที่เปน็ (๑) ช่ือคู่ความทกุ ฝ่าย การวินจิ ฉัย (๒) เรื่องท่ีถูกกลา่ วหา ชข้ี าดคดีหรอื (๓) ขอ้ กล่าวหาและคาํ ใหก้ าร ค�ำพพิ ากษา (๔) ข้อเท็จจรงิ ทีไ่ ด้จากการพิจารณา (๕) เหตุผลในการวินิจฉัยท้ังในปัญหาข้อเท็จจริง และขอ้ กฎหมาย (๖) บทบัญญตั ิของกฎหมายทย่ี กขนึ้ อา้ งอิง (๗) คําวินิจฉัยคดี รวมทั้งการดําเนินการเกี่ยวกับ ทรพั ย์สินทเี่ กี่ยวขอ้ ง ถา้ มี
340 การจบั กุมหรอื มาตรา ๒๒ เมื่อมีความจําเป็นที่จะต้องจับกุม คุมขังผถู้ ูกกลา่ วหา หรือคุมขังผู้ถูกกล่าวหาหรือจําเลยเนื่องจากมีหลักฐาน หรือจ�ำเลย ตามสมควรว่าผู้นั้นน่าจะได้กระทําความผิดอาญาและ มีเหตุอันควรเชื่อว่าผู้น้ันจะหลบหนีหรือจะไปยุ่งเหยิง กั บ พ ย า น ห ลั ก ฐ า น ห รื อ ก ่ อ เ ห ตุ อั น ต ร า ย ป ร ะ ก า ร อ่ื น คณะกรรมการ ป.ป.ช. คณะผู้ไต่สวนอิสระ หรืออัยการสูงสุด อาจร้องขอต่อศาลเพ่ือให้ศาลออกหมายจับหรือหมายขัง ผ้นู ้ันได ้ ในกรณีที่มีการฟ้องคดีแล้ว ไม่ว่าจะมีการคุมขัง จําเลยมาก่อนหรือไม่ ให้องค์คณะผู้พิพากษาพิจารณา ถึงเหตุอันควรคุมขังจําเลยและมีคําส่ังตามท่ีเห็นสมควร หรือปล่อยชว่ั คราวจาํ เลยนัน้ ได้ หมวด ๒ การดําเนนิ คดอี าญา ผ้มู อี �ำนาจ มาตรา ๒๓ ผู้มีอํานาจฟ้องคดีอาญาตาม ฟอ้ งคดอี าญา พระราชบัญญัตปิ ระกอบรัฐธรรมนูญน้ ี ได้แก่ (๑) อยั การสูงสุด (๒) คณะกรรมการ ป.ป.ช. ทั้งน้ี ตามหลักเกณฑ์ แ ล ะ เ ง่ื อ น ไ ข ที่ ก ฎ ห ม า ย ป ร ะ ก อ บ รั ฐ ธ ร ร ม นู ญ ว ่ า ด ้ ว ย การปอ้ งกันและปราบปรามการทุจริตกาํ หนด
341 มาตรา ๒๔ ใ น ก า ร ฟ ้ อ ง ค ดี อ า ญ า สํ า ห รั บ การฟ้องคดีอาญา การกระทําอันเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทและ ท่ีผดิ ต่อกฎหมาย บทใดบทหนึ่งอยู่ในอํานาจของศาล ให้ศาลรับพิจารณา หลายบท พิพากษาขอ้ หาความผดิ บทอน่ื ไวด้ ้วย ในกรณีที่พบว่าศาลอ่ืนรับฟ้องคดีในข้อหา ความผิดอาญาบทอื่นจากการกระทําความผิดกรรมเดียว กั บ ก า ร ก ร ะ ทํ า ค ว า ม ผิ ด ต า ม ท่ี มี ก า ร ยื่ น ฟ ้ อ ง ค ดี ต า ม พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ ให้องค์คณะผู้พิพากษา แจ้งไปยังศาลอ่ืนท่ีรับฟ้องดังกล่าวเพื่อให้โอนคดีดังกล่าว มายังศาลต่อไป หรือศาลอื่นจะขอโอนคดีดังกล่าวมายัง ศาลเองก็ได้ และให้ถือว่ากระบวนพิจารณาที่ได้ดําเนินการ ไปแล้วในศาลอ่ืนก่อนมีคําพิพากษาไม่เสียไป เว้นแต่ องค์คณะผู้พิพากษาจะมีคําสั่งเป็นอย่างอ่ืนเพื่อประโยชน์ แหง่ ความยุตธิ รรม มาตรา ๒๕ ใ น ก า ร ดํ า เ นิ น ค ดี อ า ญ า ต า ม อายคุ วาม พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญน้ีเม่ือได้ยื่นฟ้องคดี ในคดอี าญา ตอ่ ศาลแลว้ ให้อายคุ วามสะดุดหยุดลง ในกรณีผู้ถูกกล่าวหาหรือจําเลยหลบหนีไป ใ น ร ะ ห ว ่ า ง ถู ก ดํ า เ นิ น ค ดี ห รื อ ร ะ ห ว ่ า ง ก า ร พิ จ า ร ณ า ค ดี ของศาล มิให้นับระยะเวลาที่ผู้ถูกกล่าวหาหรือจําเลย หลบหนรี วมเป็นสว่ นหน่ึงของอายุความ
342 ในกรณีมีคําพิพากษาถึงท่ีสุดให้ลงโทษจําเลย ถ้าจําเลยหลบหนีไปในระหว่างต้องคําพิพากษาถึงท่ีสุด ให้ลงโทษ มิให้นําบทบัญญัติมาตรา ๙๘ แห่งประมวล กฎหมายอาญามาใช้บงั คบั การฟ้องคดีอาญา มาตรา ๒๖ ฟ้องต้องทําเป็นหนังสือและมี ข้อความตามท่ีบัญญัติไว้ในมาตรา ๑๕๘ แห่งประมวล กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มีข้อความท่ีเป็นการ กล่าวหาเกี่ยวกับการทุจริตต่อหน้าท่ี หรือจงใจปฏิบัติ หน้าที่หรือใช้อํานาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือ กฎหมาย และต้องระบุพฤติการณ์ท่ีกล่าวหาว่ากระทํา ความผิด พร้อมทั้งชี้ช่องพยานหลักฐานให้ชัดเจนเพียงพอ ที่จะดาํ เนินกระบวนพจิ ารณาไตส่ วนข้อเท็จจริงต่อไปได้ ภายใต้บังคับมาตรา ๒๗ ในวันยื่นฟ้องให ้ จําเลยมาหรือคุมตัวมาศาล และให้โจทก์ส่งสํานวน การไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. หรือคณะผู้ไต่สวน อิสระ แล้วแต่กรณี พร้อมสําเนาอิเล็กทรอนิกส์ต่อศาล เพ่ือใช้เป็นหลักในการพิจารณาและรวมไว้ในสํานวน ท้ังนี้ ศาลอาจไต่สวนหาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเพิ่มเติม ได้ตามทเ่ี ห็นสมควร กรณีที่ศาลเห็นว่าฟ้องไม่ถูกต้อง ให้ศาลมีคําส่ัง ให้โจทก์แกฟ้ ้องใหถ้ ูกต้อง การฟ้องคดีอาญาตามพระราชบัญญัติประกอบ รฐั ธรรมนญู นี ้ ไมต่ อ้ งไต่สวนมลู ฟ้อง
343 มาตรา ๒๗ ในการยื่นฟ้องคดีต่อศาล ให้ การยนื่ ฟ้องคดี อัยการสูงสุดหรือคณะกรรมการ ป.ป.ช. แจ้งให้ผู้ถูก ต่อศาล กล่าวหามาศาลในวันฟ้องคดี ในกรณีที่ผู้ถูกกล่าวหาไม่มา ศาลและอัยการสูงสุดหรือคณะกรรมการ ป.ป.ช. ม ี หลักฐานแสดงต่อศาลว่าได้เคยมีการออกหมายจับผู้ถูก กล่าวหาแล้วแต่ยังไม่ได้ตัวมา หรือเหตุที่ผู้ถูกกล่าวหา ไม่มาศาลเกิดจากการประวิงคดี หรือไม่มาศาลตามนัด โดยไม่มีเหตุแก้ตัวอันควร ให้ศาลประทับรับฟ้องไว้ พิจารณาได ้ แมจ้ ะไมป่ รากฏผ้ถู กู กล่าวหาต่อหน้าศาล มาตรา ๒๘ ในกรณีท่ีศาลประทับรับฟ้องไว้ กรณศี าล ตามมาตรา ๒๗ และศาลได้ส่งหมายเรียก และสําเนา ประทบั รับฟอ้ งคดี ฟ้องให้จําเลยทราบโดยชอบแล้วแต่จําเลยไม่มาศาล ให้ ศาลออกหมายจับจําเลยและให้ผู้มีหน้าท่ีเก่ียวข้องกับ การติดตามหรือจับกุมจําเลยรายงานผลการติดตามจับกุม เปน็ ระยะตามที่ศาลกาํ หนด ในกรณีที่ได้ออกหมายจับจําเลยและได้ม ี การดาํ เนินการตามวรรคหนึ่งแล้ว แต่ไม่สามารถจบั จาํ เลย ได้ภายในสามเดือนนับแต่ออกหมายจับ ให้ศาลมีอํานาจ พิจารณาคดีได้โดยไม่ต้องกระทําต่อหน้าจําเลย แต่ ไมต่ ดั สทิ ธจิ าํ เลยท่ีจะตงั้ ทนายความมาดําเนนิ การแทนตนได้ บทบัญญัติมาตรานี้ไม่เป็นการตัดสิทธิจําเลยที่จะ มาศาลเพ่ือต่อสู้คดีในเวลาใดก่อนที่ศาลจะมีคําพิพากษา
344 แต่การมาศาลดังกล่าวไม่มีผลให้การไต่สวนและการดําเนิน กระบวนพจิ ารณาทีไ่ ดท้ าํ ไปแล้วตอ้ งเสียไป การขอใหศ้ าล มาตรา ๒๙ ในคดีท่ีศาลดําเนินกระบวนพิจารณา ร้ือฟื้นคดชี ้นึ ตามมาตรา ๒๘ และมีคาํ พพิ ากษาวา่ จาํ เลยกระทําความผดิ พจิ ารณาใหม่ ถ้าภายหลังจําเลยมีพยานหลักฐานใหม่ที่อาจทําให ้ ข้อเท็จจริงเปลี่ยนแปลงไปในสาระสําคัญ จําเลยจะมา แสดงตนต่อศาลและยื่นคําร้องต่อศาลเพื่อขอให้ร้ือฟื้นคดี ข้ึนพิจารณาใหม่ได้ แต่ต้องย่ืนเสียภายในหนึ่งปีนับแต่วัน ท่ีศาลมีคําพิพากษา และให้ศาลมีอํานาจสั่งรื้อฟื้นคดีขึ้น พิจารณาใหม่ได้ตามที่เห็นสมควร คําส่ังของศาลในกรณี เช่นนี้ใหเ้ ป็นทีส่ ุด ในกรณีท่ีศาลส่ังร้ือฟื้นคดีขึ้นพิจารณาใหม่ ให้ ดําเนินการตามมาตรา ๑๑ แต่ผู้พิพากษาในองค์คณะ ผ้พู พิ ากษาต้องไม่เคยพจิ ารณาคดีน้นั มาก่อน การรื้อฟื้นคดีข้ึนพิจารณาใหม่ไม่มีผลให้การ ไต่สวนและการดําเนินกระบวนพิจารณาท่ีได้ทําไปแล้ว ต้องเสียไป การดําเนินการในการรื้อฟื้นคดีข้ึนพิจารณาใหม่ ใหเ้ ป็นไปตามขอ้ กําหนดของประธานศาลฎกี า มาตรา ๓๐ เ ม่ือศ า ล ปร ะ ทับรับฟ้อ งแล้ว ห้ามมิให้ศาลอนุญาตให้ถอนฟ้อง เว้นแต่จะได้ความว่า หากไม่อนุญาตให้ถอนฟ้องจะกระทบกระเทือนต่อความ ยุตธิ รรม
345 มาตรา ๓๑ การพิจารณาและไต่สวนพยาน หลักฐานให้กระทําโดยเปิดเผย เว้นแต่มีความจําเป็น เพ่ือคุ้มครองประโยชน์สาธารณะสําคัญ ให้ศาลมีคําสั่งให้ พิจารณาเปน็ การลบั ได้ เม่อื ศาลเห็นเป็นการสมควร เพ่ือใหก้ ารพิจารณา กรณีศาลไต่สวน เป็นไปโดยไม่ชักช้า ศาลมีอํานาจไต่สวนพยานหลักฐาน พยานหลักฐาน ลบั หลังจาํ เลยได ้ ในกรณดี งั ต่อไปนี ้ ลับหลังจ�ำเลย (๑) จําเลยไม่อาจมาฟังการไต่สวนพยานหลักฐาน ได้เน่ืองจากความเจ็บป่วยหรือมีเหตุจําเป็นอื่นอันมิอาจ ก้าวล่วงได้ เม่ือจําเลยมีทนายและจําเลยได้รับอนุญาต จากศาลทีจ่ ะไม่มาฟังการพจิ ารณาและสืบพยาน (๒) จําเลยเป็นนิติบุคคลและศาลได้ออกหมายจับ ผู้จัดการหรือผู้แทนของนิติบุคคลนั้นแล้วแต่ยังจับตัวมา ไม่ได ้ (๓) จําเลยอยู่ในอํานาจศาลแล้วแต่ได้หลบหนี ไปและศาลได้ออกหมายจบั แลว้ แตย่ งั จับตวั มาไม่ได ้ (๔) ในระหว่างพิจารณาหรือไต่สวน ศาลม ี คําส่ังให้จําเลยออกจากห้องพิจารณาเพราะเหตุขัดขวาง การพิจารณา หรือจําเลยออกไปจากห้องพิจารณาโดย ไม่ไดร้ ับอนุญาตจากศาล (๕) จําเลยทราบวันนัดแล้วไม่มาศาลโดยไม่มี เหตุอันสมควร หรือศาลเห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่ง
346 ความยุตธิ รรมจําเปน็ ตอ้ งไตส่ วนพยานหลักฐานใดในนัดน้นั โดยไม่เลื่อนคดี กรณีตาม (๓) ในกรณีท่ีต้องมีการส่งหนังสือ คําส่ัง หรือหมายอาญาของศาลให้ส่งไปยังทนายความ ของจาํ เลยแทน กรณี มาตรา ๓๒ ใ น ก า ร ดํ า เ นิ น ค ดี อ า ญ า ต า ม ผู้ถกู กลา่ วหา พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ ผู้ถูกกล่าวหาหรือ หรือจ�ำเลย จําเลยซึ่งหลบหนีไปในระหว่างได้รับการปล่อยช่ัวคราว หลบหนี ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกิน หน่ึงหม่ืนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ และถ้าเป็นการหลบหนี ไปในระหว่างการพิจารณาคดีศาลอาจมีคําส่ังให้ผู้มีหน้าท่ี เก่ียวข้องกับการติดตามหรือจับกุมจําเลยรายงานผล ภายในระยะเวลาทศ่ี าลเห็นสมควร ความผิดตามวรรคหน่ึงไม่ระงับไปเพราะเหตุท่ีคดี ของผู้ถูกกล่าวหาหรือจําเลยน้ันมีการสั่งไม่ฟ้อง ยกฟ้อง จําหน่ายคดี หรอื ถอนฟอ้ ง เมื่อศาลประทับ มาตรา ๓๓ ภายใต้บังคับมาตรา ๒๘ เมื่อ รบั ฟอ้ งแลว้ ศาลประทับรับฟ้องแล้ว ให้ศาลส่งสําเนาฟ้องแก่จําเลย และนัดคู่ความมาศาลในวันพจิ ารณาคร้ังแรก นับแต่วันที่จําเลยได้รับสําเนาฟ้อง ให้จําเลย มีสิทธิขอตรวจและขอคัดสําเนาเอกสารในสํานวนการไต่สวน ของคณะกรรมการ ป.ป.ช.
347 ในวันพิจารณาคร้ังแรก เม่ือจําเลยมาอยู่ต่อหน้า วันพิจารณา ศาลและศาลเช่ือว่าเป็นจําเลยจริง ให้อ่านและอธิบายฟ้อง ครง้ั แรก ให้ฟัง และถามว่าได้กระทําผิดจริงหรือไม่ จะให้การต่อสู้ อย่างไรบ้าง คําให้การของจําเลยให้บันทึกไว้ ถ้าจําเลย ไม่ให้การก็ให้บันทึกไว้ และถ้าจําเลยให้การปฏิเสธหรือ ไม่ให้การ ก็ให้ศาลกําหนดวันตรวจพยานหลักฐานโดยให้ โจทก์จําเลยทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่าสิบสี่วัน ในกรณีท่ี จําเลยมิได้มาศาลในวันพิจารณาคร้ังแรกไม่ว่าด้วยเหตุใด ใหถ้ อื ว่าจาํ เลยให้การปฏเิ สธ ในคดีท่ีจําเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง แม้ข้อหา ที่จําเลยรับสารภาพน้ันกฎหมายกําหนดอัตราโทษอย่างต�่ำ ให้จ�ำคุกน้อยกว่าห้าปี หรือโทษสถานท่ีเบากว่าน้ัน ศาลอาจเรียกพยานหลักฐานมาไต่สวนต่อไปเพื่อทราบถึง พฤติการณ์แห่งการกระทําความผิดจนกว่าจะพอใจว่า จาํ เลยกระทําความผดิ จรงิ ก็ได้ มาตรา ๓๔ ให้โจทก์จําเลยยื่นบัญชีระบุพยาน การย่ืนบัญชี ต่อศาลพร้อมสําเนาในจํานวนที่เพียงพอก่อนวันพิจารณา ระบพุ ยานต่อศาล ตรวจพยานหลกั ฐานไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน การยื่นบัญชีระบุพยานเมื่อล่วงพ้นระยะเวลาตาม วรรคหน่ึงจะกระท�ำได้ต่อเมื่อได้รับอนุญาตจากองค์คณะ ผู้พิพากษา เมื่อมีเหตุสมควรแสดงได้ว่าไม่สามารถทราบถึง พยานหลกั ฐานนน้ั หรอื เปน็ กรณจี าํ เปน็ เพอ่ื ประโยชนแ์ หง่ ความยตุ ธิ รรม หรอื เพอ่ื ใหโ้ อกาสแกจ่ าํ เลยในการตอ่ สคู้ ด ี
348 การส่ง มาตรา ๓๕ ในวันตรวจพยานหลกั ฐาน ใหโ้ จทก์ พยานเอกสาร จําเลยส่งพยานเอกสารและพยานวัตถุต่อศาลเพ่ือให้ และพยานวัตถุ อีกฝ่ายตรวจสอบ เว้นแต่องค์คณะผู้พิพากษาจะมีคําส่ัง ต่อศาล เป็นอย่างอ่ืน เนื่องจากสภาพและความจําเป็นแห่งพยาน หลักฐานนั้น หลังจากนั้นให้โจทก์จําเลยแถลงแนวทาง การเสนอพยานหลกั ฐานต่อองคค์ ณะผพู้ ิพากษา เพ่ือประโยชน์ในการค้นหาความจริง แม้จําเลย จะมิได้ยื่นบัญชีระบุพยานตามมาตรา ๓๔ หรือมิได ้ ส่งพยานเอกสารและพยานวัตถุต่อศาลตามวรรคหนึ่ง เพราะเหตุที่จําเลยไม่มาศาลและไม่มีทนายความ หรือแม ้ โจทก์จําเลยจะมิได้มีการโต้แย้งพยานหลักฐานไว้ หรือมี การโต้แย้งพยานหลักฐานภายหลังวันตรวจพยานหลักฐาน องค์คณะผู้พิพากษาจะไต่สวนหาข้อเท็จจริงและพยาน หลกั ฐานเพ่ิมเติมก็ได้ ก�ำหนด มาตรา ๓๖ ในกรณีที่ต้องมีการไต่สวน ให้ วันเริม่ ไต่สวน องค์คณะผู้พิพากษากําหนดวันเร่ิมไต่สวน โดยแจ้งให้ โจทก์จาํ เลยทราบล่วงหน้าไม่นอ้ ยกวา่ เจ็ดวัน การไตส่ วน มาตรา ๓๗ ในการไต่สวนพยานบุคคล ไม่ว่า พยานบุคคล จะเป็นพยานที่คู่ความฝ่ายใดอ้างหรือท่ีศาลเรียกมาเอง ให้องค์คณะผู้พิพากษาสอบถามพยานบุคคลเอง โดยการ แจ้งให้พยานทราบประเด็นและข้อเท็จจริงที่จะไต่สวน แล้วให้พยานเบิกความในข้อนั้นโดยวิธีแถลงด้วยตนเอง หรือตอบคําถามศาล ศาลอาจถามพยานเกี่ยวกับข้อเท็จจริง
349 ใด ๆ ท่ีเกี่ยวเน่ืองกับคดีแม้จะไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกข้ึนอ้าง กต็ าม แลว้ จึงอนญุ าตใหค้ ูค่ วามถามพยานเพมิ่ เตมิ การถามพยานตามวรรคหนึ่ง จะใช้คําถามนํา ตามที่ศาลเห็นสมควรกไ็ ด ้ หลังจากคู่ความถามพยานตามวรรคหนึ่งแล้ว ห้ามมิให้คู่ความฝ่ายใดถามพยานอีก เว้นแต่จะได้รับ อนุญาตจากศาล มาตรา ๓๘ บุคคลดังต่อไปนี้มีสิทธิได้รับ ผู้ที่มีสิทธไิ ด้รับ คา่ ปว่ ยการ คา่ พาหนะเดินทาง คา่ เช่าทพี่ ัก และคา่ ใช้จา่ ย ค่าใช้จา่ ยจากศาล อื่นตามระเบียบท่ีคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรมตาม กฎหมายว่าดว้ ยระเบยี บบรหิ ารราชการศาลยตุ ิธรรมก�ำหนด (๑) พยานบุคคลทศ่ี าลเรยี กมาเองตามมาตรา ๓๗ (๒) บุคคลซึ่งมาให้ถ้อยคําและบุคคลหรือ คณะบุคคลท่ีได้รับแต่งต้ังตามมาตรา ๖ วรรคสาม และ วรรคส ี่ (๓) ผู้ทรงคุณวุฒิหรือผู้เชี่ยวชาญท่ีศาลขอให้มา ให้ความเห็นตามมาตรา ๓๙ มาตรา ๓๙ ศาลอาจขอให้ผู้ทรงคุณวุฒิหรือ การขอให้ ผู้เชี่ยวชาญมาให้ความเห็นเพื่อประกอบการพิจารณา ผทู้ รงคุณวฒุ ิ พิพากษาคดีได้ แต่ต้องแจ้งให้คู่ความทุกฝ่ายทราบและให้ หรือผู้เชย่ี วชาญ โอกาสคู่ความตามสมควร ในอันท่ีจะขอให้เรียกผู้ทรงคุณวุฒิ มาใหค้ วามเห็น หรือผู้เชี่ยวชาญฝ่ายตนมาให้ความเห็นโต้แย้งหรือเพิ่มเติม ความเหน็ ของผูท้ รงคณุ วฒุ หิ รือผเู้ ช่ียวชาญดังกลา่ ว
350 การแถลงปดิ คดี มาตรา ๔๐ เมื่อการไต่สวนพยานหลักฐาน เสร็จส้ิน โจทก์จําเลยมีสิทธิแถลงปิดคดีของตนภายใน เวลาท่ีศาลกําหนด แล้วให้องค์คณะผู้พิพากษามี คําพิพากษาและให้อ่านคําพิพากษาในศาลโดยเปิดเผย ภายในสามสิบวันนับแต่วันเสรจ็ การพจิ ารณา ในกรณีท่ีศาลนัดฟังคําพิพากษาหรือคําสั่งตาม วรรคหนึ่ง แต่จําเลยท่ีทราบนัดโดยชอบแล้วไม่มาฟัง คําพิพากษาหรือคําส่ัง ให้ศาลอ่านคําพิพากษาหรือคําส่ัง ลับหลังจําเลยได้ และให้ถือว่าจําเลยได้ฟังคําพิพากษา หรือคาํ สง่ั น้ันแลว้ ในการพิจารณาคดีตามมาตรา ๒๘ วรรคสอง เมื่อศาลนัดฟังคําพิพากษาหรือคําสั่ง ให้ปิดประกาศแจ้ง การนัดฟังคําพิพากษาหรือคําส่ังน้ัน ณ ภูมิลําเนาหรือ ที่อยู่ที่ปรากฏตามหลักฐานทางทะเบียน ตามกฎหมาย ว่าด้วยการทะเบียนราษฎรของจําเลย หรือวิธีการอ่ืนใด ตามท่ีศาลเห็นสมควร และให้ถือว่าจําเลยทราบนัดโดย ชอบแลว้ พยานบุคคล มาตรา ๔๑ ให้ถือว่าพยานบุคคลในคดีอาญา ในคดอี าญา ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญน้ี เป็นพยานที่ อาจได้รับการคุ้มครองตามมาตรการพิเศษตามกฎหมาย วา่ ดว้ ยการคมุ้ ครองพยานในคดีอาญา
351 มาตรา ๔๒ การริบทรัพย์สินในการดําเนินคดี การริบทรพั ยส์ นิ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญน้ี ไม่ว่าโจทก์จะ มีคําขอหรือไม่ก็ตาม นอกจากศาลจะมีอํานาจริบทรัพย์สิน ตามกฎหมายท่ีบัญญัติไว้โดยเฉพาะแล้ว ให้ศาลมีอํานาจส่ัง ให้ริบทรัพย์สินดังต่อไปน้ีด้วย เว้นแต่เป็นทรัพย์สินของ ผู้อ่นื ซึง่ มไิ ด้รู้เหน็ เป็นใจดว้ ยในการกระทําความผิด (๑) ทรัพย์สินที่บุคคลได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ใน การกระทาํ ความผดิ (๒) ทรัพย์สินหรือประโยชน์อันอาจคํานวณเป็น ราคาเงินได้ท่ีบุคคลได้มาจากการกระทําความผิดหรือจาก การเป็นผู้ใช้ ผู้สนับสนุน หรือผู้โฆษณาหรือประกาศให ้ ผอู้ ืน่ กระทําความผดิ (๓) ทรัพย์สินหรือประโยชน์อันอาจคํานวณเป็น ราคาเงินได้ที่บุคคลได้มาจากการจําหน่าย จ่าย โอน ด้วยประการใด ๆ ซ่ึงทรัพย์สินหรือประโยชน์ตาม (๑) หรอื (๒) (๔) ดอกผลหรือประโยชน์อ่ืนใดอันเกิดจาก ทรพั ยส์ ินหรอื ประโยชน์ตาม (๑) (๒) หรอื (๓) ในการท่ีศาลจะมีคําส่ังริบทรัพย์สินตาม (๑) ให้ ศ า ล วิ นิ จ ฉั ย ต า ม ค ว ร แ ก ่ พ ฤ ติ ก า ร ณ ์ แ ล ะ ค ว า ม ร ้ า ย แ ร ง แห่งการกระทําความผิด รวมท้ังโอกาสที่จะนําทรัพย์สิน น้ันไปใช้ในการกระทําความผิดอีก
352 ในกรณีที่ศาลเห็นว่ามีวิธีการอื่นที่จะทําให้บุคคล ไม่สามารถใช้ทรัพย์สินตาม (๑) ในการกระทําความผิด ได้อีกต่อไป ให้ศาลมีอํานาจสั่งให้ดําเนินการตามวิธีการ ดงั กล่าวแทนการรบิ ทรัพย์สิน หากการดําเนินการตามวรรคสามไม่เป็นผล ศาลจะมีคําสง่ั ริบทรพั ย์สินนัน้ ในภายหลงั กไ็ ด ้ การริบทรพั ย์สิน มาตรา ๔๓ การดําเนินคดีตามพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญน้ี ไม่ว่าโจทก์จะมีคําขอหรือไม่ก็ตาม บรรดาทรัพย์สินดังต่อไปน้ีให้ริบเสียทั้งส้ิน เว้นแต่เป็น ทรัพย์สินของผู้อื่นซ่ึงมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทํา ความผดิ (๑) ทรัพย์สินหรือประโยชน์อันอาจคํานวณ เป็นราคาเงินได้ท่ีบุคคลได้ให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้แก ่ เจ้าหน้าท่ีของรัฐ เพ่ือจูงใจให้กระทําการ ไม่กระทําการ หรือประวิงการกระทาํ อันมิชอบด้วยหน้าท ี่ (๒) ทรัพย์สินหรือประโยชน์อันอาจคํานวณ เป็นราคาเงินได้ท่ีเจ้าหน้าที่ของรัฐได้มาจากการกระทํา ความผิดต่อตําแหน่งหน้าท่ี หรือความผิดต่อตําแหน่ง หน้าท่ีราชการ หรือความผิดต่อตําแหน่งหน้าท่ีในการ ยุติธรรม หรือความผิดในลักษณะเดียวกันตามกฎหมาย เก่ียวกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตหรือตาม กฎหมายอ่นื
353 (๓) ทรัพย์สินหรือประโยชน์อันอาจคํานวณเป็น ราคาเงินได้ที่ได้ให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้ เพ่ือจูงใจ บุคคลให้กระทําความผิด หรือเพื่อเป็นรางวัลในการที่ บุคคลได้กระทาํ ความผิด (๔) ทรัพย์สินหรือประโยชน์อันอาจคํานวณเป็น ราคาเงินได้ที่บุคคลได้มาจากการจําหน่าย จ่าย โอนด้วย ประการใด ๆ ซึ่งทรัพย์สินหรือประโยชน์ตาม (๑) (๒) หรือ (๓) (๕) ดอกผลหรือประโยชน์อื่นใดอันเกิดจาก ทรพั ยส์ ินหรอื ประโยชน์ตาม (๑) (๒) (๓) หรือ (๔) มาตรา ๔๔ ในการพิพากษาคดีหรือภายหลัง การก�ำหนด จากนั้น ถ้าความปรากฏแก่ศาลเองหรือความปรากฏ มลู ค่าของ ตามคําขอของโจทก์ว่า ส่ิงที่ศาลจะสั่งริบหรือได้ส่ังริบ ทรัพยส์ นิ โดยสภาพไม่สามารถส่งมอบได้ สูญหาย หรือไม่สามารถ ติดตามเอาคืนได้ไม่ว่าด้วยเหตุใด หรือได้มีการนําสิ่งนั้น ไปรวมเข้ากบั ทรพั ย์สินอ่ืน หรือได้มกี ารจาํ หน่าย จา่ ย โอน ส่ิงนั้น หรือการติดตามเอาคืนจะกระทําได้โดยยาก เกินสมควร หรือมีเหตุสมควรประการอื่น ศาลอาจกําหนด มูลค่าของสิ่งนั้นโดยคํานึงถึงราคาท้องตลาดในวันที่ศาลมี คําพิพากษาหรือคําสั่ง และสั่งให้ผู้มีหน้าท่ีต้องส่งส่ิงที่ ศาลส่ังริบชําระเป็นเงินแทนตามมูลค่าดังกล่าวภายในเวลา ท่ีศาลกําหนด
354 การกําหนดมูลค่าตามวรรคหน่ึงในกรณีที่ม ี การนําไปรวมเข้ากับทรัพย์สินอื่นหรือในกรณีมูลค่าของ ทรัพย์สินที่ได้มาแทนต่�ำกว่าราคาท้องตลาดของส่ิงท่ีศาล สั่งริบในวันที่มีการจําหน่าย จ่าย โอนส่ิงน้ัน ให้ศาล กําหนดโดยคํานึงถึงสัดส่วนของทรัพย์สินที่มีการรวมเข้า ด้วยกันน้ัน หรือมูลค่าของทรัพย์สินที่ได้มาแทนส่ิงนั้น แล้วแตก่ รณี ในการส่ังให้บุคคลชําระเงินตามวรรคหนึ่ง ศาล จะกําหนดให้ผู้นั้นชําระเงินท้ังหมดในคราวเดียว หรือจะ ให้ผ่อนชําระก็ได้ โดยคํานึงถึงความเหมาะสมและเป็นธรรม แก่กรณี และถ้าผู้น้ันไม่ชําระหรือชําระไม่ครบถ้วนตาม จํานวนและภายในระยะเวลาที่ศาลกําหนด ต้องเสีย ดอกเบ้ียในระหว่างเวลาผิดนัดตามอัตราที่ศาลกําหนด และให้ศาลมีอํานาจสั่งให้บังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินอื่นของ บคุ คลนนั้ ได้ไมเ่ กนิ จาํ นวนเงินที่ยงั ค้างชาํ ระ
355 หมวด ๓ การดําเนนิ คดีร้องขอให้ทรัพย์สิน ตกเป็นของแผ่นดนิ มาตรา ๔๕ ในการพิจารณาพิพากษาคดีร้องขอ ให้ทรพั ยส์ นิ ให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินเพราะเหตุร�่ำรวยผิดปกติ ตกเป็นของ ให้นําบทบัญญัติในหมวด ๒ การดําเนินคดีอาญา เว้นแต่ แผน่ ดิน มาตรา ๒๔ มาตรา ๒๕ มาตรา ๒๖ เฉพาะบทบัญญัติ ที่กําหนดให้ในวันยื่นฟ้องให้จําเลยมาหรือคุมตัวมาศาล มาตรา ๒๗ มาตรา ๒๘ มาตรา ๒๙ มาตรา ๓๑ มาตรา ๓๒ มาตรา ๓๓ วรรคสาม และวรรคสี่ มาตรา ๔๐ มาตรา ๔๒ และมาตรา ๔๓ มาใช้บังคับ โดยอนโุ ลม มาตรา ๔๖ คําร้องขอให้ทรัพย์สินตกเป็นของ รายละเอยี ด แผ่นดิน นอกจากจะต้องระบุรายละเอียดเกี่ยวกับ ของทรพั ยส์ นิ ข้อกล่าวหาและพฤติการณ์ท่ีแสดงให้เห็นว่าผู้ถูกกล่าวหา ร่�ำรวยผิดปกติแล้ว จะต้องระบุรายละเอียดเก่ียวกับ ทรัพย์สินและสถานที่ตั้งของทรัพย์สินท่ีขอให้ตกเป็นของ แผ่นดิน ช่ือและท่ีอยู่ของผู้ครอบครองหรือมีช่ือเป็น เจ้าของกรรมสทิ ธ์ใิ นขณะยืน่ คาํ รอ้ งด้วย
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423