Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore จิตวิทยาแนะแนวและการให้คำปรึกษา

จิตวิทยาแนะแนวและการให้คำปรึกษา

Description: จิตวิทยาแนะแนวและการให้คำปรึกษา

Search

Read the Text Version

77 ตวั อยา่ งแบบสอบถามแบบกรอกขอ้ มลู สว่ นบุคคล คาชแ้ี จง ให้นักเรียนเติมข้อความในแบบสอบถามหรอื ทาเคร่อื งหมาย  ใหต้ รงกบั ความ เป็นจรงิ มากทสี่ ุด การตอบตามความเปน็ จริงจะเปน็ ประโยชนแ์ ก่ตวั นักเรียนเอง และข้อมูลในแบบสอบถามนี้จะเกบ็ เป็นความลับ ก. ประวัตสิ ว่ นตวั และครอบครัวของข้าพเจ้า 1. ข้าพเจา้ ชื่อ........................................นามสกุล....................................เพศ................ กาลังเรียนอยชู่ ั้น...............นับถอื ศาสนา...............เชื้อชาต.ิ ............สญั ชาติ.............. เกดิ วันท.ี่ ..............เดือน.....................................พ.ศ. ...................อาย.ุ ..................ปี 2. สถานท่ีเกดิ ............................................ถนน........................ตาบล........................... อาเภอ............................จงั หวัด....................................โทรศัพท์.............................. อยู่บ้านตนเองหรอื บา้ นเชา่ ..............................มหี อ้ งส่วนตัวหรอื ไม.่ ........................ 3. บิดาช่ือ........................................นามสกลุ ....................................อาย.ุ ..................ปี อาชพี .............................................................รายได้เฉล่ยี เดอื นละ............................ สถานทท่ี างาน...............................................................โทรศพั ท.์ ............................. มารดาชื่อ....................................นามสกลุ ....................................อาย.ุ ..................ปี อาชีพ.............................................................รายไดเ้ ฉล่ยี เดือนละ............................ สถานท่ีทางาน...............................................................โทรศัพท.์ ............................. 4. สถานภาพสมรสของบดิ ามารดา (เขยี นเครอื่ งหมาย  หน้าข้อความ) .............อยูด่ ้วยกัน .............บิดาสมรสใหม่ .............บิดาถึงแกก่ รรม .............แยกกันอยู่ .............มารดาสมรสใหม่ .............มารดาถึงแกก่ รรม .............หย่าร้าง 5. นักเรยี นพกั อาศัยอยู่กับ (เขยี นเครอื่ งหมาย  หน้าข้อความ) .............บิดามารดา .............บิดาและมารดาเลีย้ ง .............บิดา .............มารดาและบิดาเลีย้ ง .............มารดา .............บิดามารดาบญุ ธรรม .............อ่ืนๆ (ระบุ)......................................................... 6. ผู้ปกครองชื่อ..............................................นามสกลุ .................................................. เก่ียวขอ้ งกับนักเรยี นโดยเป็น.......................................................อายุ.....................ปี อาชพี .............................................................รายได้เฉลีย่ เดือนละ............................

78 7. ระดับการศกึ ษาของบิดา................................................................................................ ระดบั การศึกษาของมารดา........................................................................................... 8. นกั เรยี นได้รบั คา่ ใช้จ่ายประจาวนั จาก..............................ประมาณวนั ละ...............บาท 9. นกั เรียนมพี น่ี อ้ งทเ่ี กดิ จากบดิ ามารดาเดยี วกนั ...........คน ชาย..........คน หญงิ ..........คน นกั เรยี นมีพ่นี อ้ งทีเ่ กดิ จากบิดากบั ภรรยาคนอน่ื ...........คน ชาย..........คน หญิง..........คน นักเรยี นมพี ่ีนอ้ งทีเ่ กดิ จากมารดากบั สามีคนอื่น...........คน ชาย..........คน หญิง..........คน 10. พ่นี ้องนกั เรียนรวมทงั้ ตัวนกั เรยี นเรียงลาดบั ดงั นี้ คนที่ อายุ เพศ การศึกษา อาชพี ............ ............ ............ ....................................................... ......................... ............ ............ ............ ....................................................... ......................... ............ ............ ............ ....................................................... ......................... 11. เพอื่ นของนกั เรียนทีส่ ามารถติดตอ่ ไดส้ ะดวกทส่ี ดุ ชอ่ื ....................................นามสกลุ ................................ระดบั การศึกษา...................... โรงเรียน..........................................................................โทรศัพท์................................ ท่ีบา้ น..............................................................................โทรศพั ท์................................ ข. ประวัติสุขภาพ 1. สขุ ภาพของขา้ พเจา้ ในขณะนี้ ( ) ดีมาก ( ) ดี ( ) พอใช้ ( ) ไม่ดีเลย 2. ข้าพเจา้ เคยปว่ ยอยา่ งหนกั มาก่อน ( ) เคย ( ) ไมเ่ คย ถ้าเคยเป็น บอกช่ือโรค..................................................อายุขณะเป็นโรค.................ปี 3. ข้าพเจ้าเคยเป็นโรคเรอ้ื รงั มาก่อน ( ) เคย ( ) ไมเ่ คย ถ้าเคยเป็น บอกชือ่ โรค..................................................อายขุ ณะเปน็ โรค.................ปี 4. ข้าพเจ้าเคยประสบอบุ ัติเหตุร้ายแรงมาก่อน ( ) เคย ( ) ไมเ่ คย ถ้าเคย ประสบอบุ ัตเิ หตอุ ะไร........................................................................................ 5. ข้าพเจ้าเคยเปน็ ลมวงิ วียนศีรษะบอ่ ยๆ ( ) เป็นเสมอ ( ) เป็นบ้าง ( ) ไมเ่ คยเปน็ 6. ข้าพเจา้ มีปญั หาเก่ียวกับโรคประสาท ( ) มปี ญั หา ( ) ไมม่ ปี ญั หา 7. ข้าพเจ้าต้องใชแ้ วน่ สายตาในขณะนี้ ( ) ใช้ประจา ( ) ใช้บา้ ง ( ) ไม่ตอ้ งใช้ 8. ข้าพเจ้าไม่เคยใช้แว่นสายตามาก่อนเลยแตค่ ิดวา่ จาเปน็ ตอ้ งใช้ ( ) จาเป็นมาก ( ) จาเป็น ( ) ไมจ่ าเปน็

79 9. ในเรื่องการพดู ( ) ข้าพเจ้ารสู้ ึกวา่ พดู คล่อง ( ) พูดไมค่ ลอ่ งหรอื พดู ช้า ( ) พดู ติดอา่ ง 10. ในเรอื่ งการไดย้ นิ ( ) ได้ยินชัดเจน ( ) ได้ยินไม่ชดั เจน 11. ตามปกตขิ ้าพเจ้านอนวนั ละ ( ) 4-6 ช่ัวโมง ( ) 6-8 ชวั่ โมง ( ) 8-10 ชั่วโมง 12. โรคประจาตวั ของขา้ พเจ้าทเ่ี ปน็ อยเู่ สมอ คอื ............................................................... 13. ในบางครง้ั ข้าพเจา้ วิตกกงั วลอยา่ งมากเก่ียวกบั สขุ ภาพขณะนี้ ( ) วติ ก ( ) ไมว่ ิตก 14. ขณะน้ขี า้ พเจ้าสงู ......................เซนติเมตร นา้ หนัก.........................กิโลกรมั 15. ตรวจสุขภาพปีละ....................ครั้ง ครงั้ สุดท้ายตรวจร่างกายเม่อื ............................ ตรวจท่ี...................................................................................................................... ค. ประวตั ิสงั คมและกิจกรรม 1. ทอ่ี ยู่ของครอบครัวของข้าพเจ้า ( ) บา้ นบดิ ามารดา ( ) บา้ นญาติ ( ) บ้านเช่า ( ) อื่นๆ ระบ.ุ ............. 2. ความรู้สกึ ของข้าพเจา้ ตอ่ ทอ่ี ยู่อาศัย ( ) ชอบมาก ( ) ชอบ ( ) ไม่ชอบเลย 3. เพ่ือนๆ มาเที่ยวหรอื เย่ียมเยยี นข้าพเจ้า ( ) มาบ้าง ( ) มาบ่อยๆ ( ) ไมม่ าเลย 4. ข้าพเจ้าชอบใหเ้ พ่อื นมาบา้ น ( ) ชอบใหม้ าบ่อยๆ ( ) ชอบใหม้ าบา้ งเปน็ บางครง้ั ( ) ไม่ชอบใหม้ าเลย 5. ความร้สู กึ ของข้าพเจ้าเมื่อไดพ้ บปะกบั เพ่อื นๆ............................................................ 6. ความร้สู กึ ของเพอื่ นทมี่ ีตอ่ ข้าพเจา้ .............................................................................. 7. ข้าพเจ้าไดร้ บั อนญุ าตให้ตัดสินใจด้วยตวั เอง............................................................... 8. ข้าพเจ้าใช้เวลาว่างใหเ้ ปน็ ประโยชน์ ( ) ใชเ้ ปน็ ประจา ( ) ใชบ้ า้ ง ( ) ไมใ่ ช้เลย 9. ข้าพเจ้าชอบฟงั วิทย/ุ ฟงั เพลง ( ) ชอบฟงั ประจา ( ) ชอบฟงั บ้าง ( ) ไม่ชอบฟังเลย 10. ข้าพเจา้ ชอบอ่านหนงั สือประเภท.......................................................................... 11. กีฬากลางแจ้งทข่ี ้าพเจา้ ชอบมากทส่ี ดุ ................................................................... 12. กีฬาในร่มท่ีข้าพเจ้าชอบมากท่ีสุด.......................................................................... 13. เคร่ืองดนตรที ี่ขา้ พเจ้าชอบเล่น คือ ....................................................................... 14. ข้าพเจา้ ( ) ทา ( ) ไม่ทางานพิเศษหรอื หารายไดส้ ว่ นตวั 15. งานอดเิ รกของข้าพเจ้า คอื .....................................................................................

80 ค. กิจกรรม การศึกษา และปญั หาของขา้ พเจ้า 1. เม่อื ปที ่ีแล้วขา้ พเจ้าไดเ้ ข้ารว่ มกจิ กรรมท่โี รงเรียนไดจ้ ัด คือ................................................ กจิ กรรมทขี่ า้ พเจา้ ชอบมากทสี่ ดุ คอื .................................................................................. 2. ข้าพเจา้ ( ) เคย ( ) ไม่เคย เปน็ หัวหน้ากลุ่มในการทากจิ กรรม ( ) เคย ( ) ไมเ่ คย เปน็ หวั หนา้ ชนั้ 3. ในโรงเรยี น ขา้ พเจ้ามี ( ) เพอื่ นมาก ( ) เพอ่ื นนอ้ ย ( ) ไม่มีเพอ่ื นเลย เพือ่ ทีด่ ีทสี่ ดุ ของข้าพเจา้ ชอ่ื ................................................................................................ 4. ตามปกติขา้ พเจ้าใชเ้ วลาอ่านหนงั สอื เรยี นในวันหนึ่งๆ ประมาณ......................ชวั่ โมง ข้าพเจ้า ( ) มี ( ) ไม่มี สถานทีเ่ งียบสงบเหมาะกบั การอ่านหนงั สอื หรอื ทาการบ้าน 5. ความรู้สึกของขา้ พเจ้าเกี่ยวกับวิชาทีเ่ คยเรยี น ชอบมากท่สี ุด วิชา...................................... ชอบน้อยทส่ี ุด วิชา......................................... ยากที่สดุ วชิ า.............................................. ง่ายทสี่ ุด วิชา................................................. 6. วิชาทขี่ า้ พเจา้ ต้องเอาใจใสม่ ากทสี่ ดุ คอื ............................................................................. 7. ข้าพเจา้ ( ) ทา ( ) ไมไ่ ด้ทาตารางกาหนดการไว้ดูหนังสอื 8. ข้าพเจ้าทาใหม้ สี มาธิเวลาดูหนงั สอื ( ) ไดง้ า่ ย ( ) ไดย้ าก 9. ข้าพเจา้ ( ) ต้องการ ( ) ไมต่ ้องการ คาแนะนาเกี่ยวกับวธิ ีการเรยี น 10. ตามปกติข้าพเจ้า ( ) ชอบ ( ) ไม่ชอบเรยี นหนังสือ เมื่อเทยี บกับเพอ่ื นๆ ขา้ พเจ้าเรยี นอยูใ่ นเกณฑ์ ( ) ดี ( ) ปานกลาง ( ) ไม่ดี 11. เมอื่ ขา้ พเจา้ เตบิ โตข้นึ บดิ าต้องการใหข้ ้าพเจ้ามีอาชพี ..................................................... มารดาตอ้ งการใหข้ า้ พเจา้ มอี าชพี ................................................. ข้าพเจ้าตอ้ งการมีอาชพี ................................................................ 12. ขา้ พเจา้ ตงั้ ใจจะเรยี นให้จบชน้ั สูงสดุ ของโรงเรียนแหง่ นี้ ( ) ตั้งใจแน่วแน่ ( ) ไมแ่ นใ่ จ ( ) ไมต่ กลงใจเลย 13. ข้าพเจ้าต้องการจะเรียนจบในระดับ ( ) ปริญญาตรี ( ) ปรญิ ญาโท ( ) ปริญญาเอก ( ) ระดบั อื่นๆ ระบ.ุ ................. 14. อาชีพทีข่ ้าพเจา้ เลอื กตามความตงั้ ใจของขา้ พเจา้ ในขณะนี้ เรียงลาดับ 1)........................................... 2)......................................... 3)........................................ 15. ความรสู้ กึ ของข้าพเจา้ เกย่ี วกบั ความเป็นอย่ใู นโรงเรียนแหง่ น้.ี .......................................... 16. ความร้สู กึ ของขา้ พเจา้ เกี่ยวกบั ความเป็นอยทู่ างบ้าน........................................................ 17. ปญั หาหรอื ความไม่สบายใจทขี่ า้ พเจา้ ตอ้ งการไดร้ ับความชว่ ยเหลือ 1)........................................... 2)......................................... 3)........................................

81 3.5.2 แบบสอบถามแบบการติดตามผล (Follow - Up Questionnaire) เป็น แบบสอบถามเพ่อื รวบรวมข้อมลู เกยี่ วกับผเู้ รยี นเกา่ ที่ออกไปจากโรงเรยี น ทัง้ ทสี่ าเร็จและไม่สาเร็จตาม หลักสูตร เพ่ือติดตามผลดูว่า ผู้เรียนเก่าสามารถปรับตัว และใช้ชีวิตภายนอกสถานศึกษาทางด้าน การศึกษา อาชีพและสังคมได้ดีมากน้อยเพียงใด รวมท้ังการติดตามผลของบรกิ ารแนะแนวต่างๆ ที่ สถานศกึ ษาได้จดั ใหผ้ ู้เรยี นไปแลว้ น้นั ไดผ้ ลมากน้อยเพียงใด ตัวอยา่ งแบบสอบถามการตดิ ตามผล คาช้แี จง โปรดเตมิ ขอ้ ความลงในช่องวา่ งและใสเ่ คร่อื งหมาย  ลงใน □ ของตอนท่ี 1-3 ตอนที่ 1 สถานภาพของผู้ตอบแบบสอบถาม 1. เพศ □ ชาย □ หญิง 2. ท่านมีงานทาหรือยัง □ ยงั □ มีแลว้ ถา้ มแี ลว้ โปรดระบุสถานทีท่ างาน วันเวลาทีเ่ ริ่มทางาน................................................. ท่านพอใจกับงานทีท่ าอยา่ งไร เพราะเหตใุ ด................................................................. ตอนที่ 2 รายละเอียดเกีย่ วกับการศึกษาของผตู้ อบแบบสอบถาม 1. สาเร็จการศึกษาหลกั สูตร.............................................................................................. 2. คะแนนเฉล่ยี ..................... วชิ าเอก................................ วิชาโท................................... ตอนท่ี 3 รายละเอียดเกย่ี วกบั งานของผู้ตอบแบบสอบถาม 1. งานท่ีทาอยใู่ นหนว่ ยงานของ □ รัฐบาล □ รฐั วิสาหกิจ □ เอกชน □ สว่ นตัว 2. ทา่ นคดิ อยา่ งไรกบั งานทกี่ าลงั ทาอยู่ □ ตรงกับความรูค้ วามสามารถของทา่ น □ ไมต่ รงกบั ความรคู้ วามสามารถของทา่ น □ ไม่ชอบและอยากเปลย่ี นงานใหม่ □ ตอ้ งไปหาความรเู้ พิ่มเตมิ จงึ จะทางานต่อไปได้ ตอนท่ี 4 รายละเอยี ดเกย่ี วกบั การพจิ ารณาตนเองของผู้ตอบแบบสอบถาม แบบสอบถามต่อไปนเ้ี ปน็ แบบสอบถามเกยี่ วกบั การพจิ ารณาตนเองตามลกั ษณะท่ีตงั้ ไว้ใน แตล่ ะขอ้ ขอให้ท่านพจิ ารณาใหต้ รงกับความรสู้ กึ หรอื ความคิดเห็นของทา่ น แลว้ กาเคร่ืองหมาย  ลงในชอ่ งวา่ งที่บอกลกั ษณะน้นั ๆ ที่ตรงกบั ตัวท่านเอง โดยขอให้ตอบตรงกับความเป็นจรงิ มาก ที่สดุ เพื่อประโยชน์ของตัวท่านเอง และนกั ศกึ ษารุ่นต่อไป

82 ข้อความ ระดบั ความรสู้ กึ หรือความคดิ เห็น น้อย นอ้ ย ปาน มาก มาก 1. ความร้ใู นวชิ าเอกที่ท่านได้รบั หลังจากจบ ท่ีสุด กลาง ทส่ี ุด การศึกษา 2. ทา่ นได้ใช้ความรจู้ ากวชิ าเอกของท่านเพยี งใด 3. ผลจากการใช้ความร้คู วามสามารถในการทางาน 4. ท่านตอ้ งหาความรู้ใหม่เพมิ่ เตมิ เพยี งใด 5. ท่านชอบและรักงานทก่ี าลงั ทาอยู่ 6. ทา่ นคดิ เปลย่ี นแปลงใหม่ ตอนที่ 5 รายละเอียดเก่ียวกับข้อเสนอแนะของผูต้ อบแบบสอบถาม ตอนต่อไปนีเ้ ป็นข้อเสนอแนะเก่ยี วกับความคิดเหน็ ของทา่ นในหลักสตู ร กจิ กรรมการ ฝกึ งานของมหาวิทยาลัย เพอ่ื ประโยชน์ต่อนกั ศึกษารนุ่ ต่อไป เพอ่ื จะได้เปน็ ข้อมลู ในการปรบั ปรงุ คุณภาพของนกั ศกึ ษาและบณั ฑติ ในด้านต่างๆ 5.1 หลักสตู รวิชาเอกของท่านควรมีการปรบั ปรงุ หรือไม่ อยา่ งไร ถ้ามีการปรับปรุงกรุณา ใหร้ ายละเอียดด้วย.......................................................................................................................... ........................................................................................................................................................ 5.2 ความรู้ในวิชาโท (ถ้ามี) ควรมกี ารปรบั ปรุงหรือไม่ อยา่ งไร ถา้ มกี ารปรบั ปรงุ กรุณา ใหร้ ายละเอยี ดด้วย.......................................................................................................................... ........................................................................................................................................................ 5.3 ทา่ นคิดวา่ ควรมีการฝกึ งานอยา่ งนอ้ ยเป็นเวลานานเพียงไร จงึ จะทาให้เกดิ ประสบการณใ์ นการทางาน............................................................................................................. ........................................................................................................................................................ 5.4 มหาวทิ ยาลัยควรสนบั สนนุ ให้นักศกึ ษาทากจิ กรรมอะไรบา้ งทจี่ ะเป็นการเสรมิ สรา้ ง ประสบการณ์ในการทางาน และปรบั ตัวใหเ้ ข้ากบั ผู้ร่วมงานได้อยา่ งมีประสทิ ธิภาพ....................... ........................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................ 5.5 ท่านไดร้ ับประโยชนอ์ ะไรบ้างจากมหาวิทยาลยั และมีความภาคภูมิใจในมหาวทิ ยาลยั หรือไม่มากนอ้ ยเพียงใด................................................................................................................... ........................................................................................................................................................

83 3.5.3 แบบสอบถามการประเมนิ ผล (Evaluation Questionnaire) แบบสอบถาม ประเภทน้ีเปน็ แบบทใี่ ชเ้ พือ่ ใหผ้ เู้ รียนไดแ้ สดงปฏกิ ิรยิ าของตนตอ่ นโยบาย หลักสตู ร การเรียนการสอน กิจกรรมและบริการตา่ งๆ ของสถานศึกษา ว่ามีส่วนดหี รือมีขอ้ บกพร่องอยา่ งไร ซ่ึงผลทไี่ ดจ้ ะนามาใช้ พจิ ารณาปรบั ปรงุ งานตา่ งๆ ใหด้ ีย่ิงขนึ้ ตอ่ ไป ตัวอย่างแบบสอบถามการประเมนิ ผล แบบสอบถามการประเมนิ ผลการสอน คาช้แี จง โปรดกรอกรายละเอยี ดในชอ่ งว่างดว้ ยการทาเครื่องหมาย  ลงในช่องท่ตี รงกบั ความคิดเห็น ชื่อผู้สอน...................................................................ช่อื รายวชิ า................................................. ภาคเรยี นท่.ี .............................. ปีการศึกษา......................................... ระดับคณุ ภาพ 1 หมายถึง นอ้ ยทสี่ ุด 2 หมายถึง น้อย 3 หมายถงึ ปานกลาง 4 หมายถึง มาก 5 หมายถงึ มากที่สุด ขอ้ รายการ 12345 1 การชแ้ี จงแนวการสอนของรายวชิ ามีความชัดเจน 2 อาจารยม์ ีความตรงต่อเวลา 3 สอนครอบคลมุ เนอื้ หาในรายวชิ า 4 ถา่ ยทอดความร้ใู หเ้ ขา้ ใจได้ 5 จดั กิจกรรมการเรียนสอดคล้องกับเน้ือหาที่สอน 6 ใหโ้ อกาสผเู้ รยี นซักถามและกระต้นุ ให้แสดงความคิดเหน็ 7 มีการสอดแทรกเร่อื งคณุ ธรรม จริยธรรม 8 สรา้ งบรรยากาศท่ีดใี นช้ันเรียน 9 เกณฑ์การวดั และประเมินผลมคี วามชดั เจน 10 อาจารย์แต่งกายและมีบุคลกิ ภาพความเป็นครู 11 สอื่ การสอนของอาจารยผ์ ้สู อนมคี วามเหมาะสมและ สนับสนุนการเรียนรู้ 12 ความพึงพอใจตอ่ การจดั การเรียนการสอนภาพรวมใน รายวชิ า

84 4. การเย่ียมบ้าน การเยี่ยมบ้าน (Home Visitations) การเยี่ยมบ้านเป็นกลวิธีอีกชนิดหนึ่งท่ีครูและ ผู้แนะแนวควรจะได้ปฏิบัติ ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นรายบุคคล เพราะการรู้จักผู้เรียนเฉพาะที่ สถานศึกษา ไม่ช่วยให้ครูและผู้แนะแนวเข้าใจผู้เรียนอย่างถูกต้องถ่องแท้ พฤติกรรมท่ีผิดปกติของ ผู้เรยี นทแี่ สดงออกท่ีสถานศึกษาอาจะมีสาเหตมุ าจากทางบ้านกไ็ ด้ ดงั นัน้ การเยีย่ มบา้ นจงึ เป็นกลวิธีท่ี ครแู ละผู้แนะแนวควรจะได้กระทาเพอ่ื ชว่ ยให้ร้จู กั ผเู้ รยี นไดอ้ ย่างถูกต้องไมผ่ ดิ พลาด ซึง่ จะทาให้ครูและ ผแู้ นะแนวสามารถให้การชว่ ยเหลอื ได้อย่างเหมาะสม มรี ายละเอียดดังน้ี 4.1 ความหมายของการเย่ียมบา้ น การเย่ียมบา้ น หมายถึง การสร้างความคุ้นเคยและ สัมพันธภาพทด่ี ีระหวา่ งครูหรือผ้แู นะแนว หรือผใู้ ห้คาปรึกษา ด้วยการไปพบปะกบั บิดา มารดา หรือ ผู้ปกครอง หรือบุคคลท่ีเก่ียวข้องในครอบครัวที่บ้าน ซ่ึงช่วยให้เห็นสภาพความ เป็นอยู่และ สภาพแวดล้อมในครอบครวั ของผู้เรียน ตลอดจนทราบเจตคติของบุคคลต่างๆ ในบ้านต่อตัวผู้เรียน หรอื ผู้อ่ืน อนั จะนาไปส่กู ารรู้จกั และมคี วามเข้าใจในตัวเขามากยิ่งขนึ้ นอกจากน้ียังเป็นการรว่ มมือกัน กบั ทุกๆ ฝา่ ยทีท่ าให้สามารถชว่ ยเหลือผู้เรียนได้อยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ 4.2 จุดมุ่งหมายของการเย่ียมบ้าน การเย่ียมบ้านเพื่อการแนะแนว มีจุดมุ่งหมายท่ี สาคัญดังน้ี 4.2.1 เพื่อเสรมิ สรา้ งความเขา้ ใจอันดีต่อกันระหว่างครกู บั บดิ ามารดาและผปู้ กครอง 4.2.2 เพ่ือให้เกิดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับส ภาพความเป็นอยู่ทางบ้าน ความสัมพันธ์ระหว่างบิดามารดาและเด็กในสภาพท่ีเป็นจริง เพ่ือที่จะได้รู้จักนักเรียนได้ดีขึ้น และ สามารถช่วยผู้เรยี นแกป้ ญั หาต่างๆ ได้ง่ายข้นึ 4.2.3 เพื่อให้ทราบข้อเท็จจริง และสภาพทางบ้านทีแ่ ท้จริงของผู้เรียน การได้เห็น สภาพของบ้าน การได้พูดสนทนากับบิดามารดา หรือผู้ปกครองของผู้เรียน จะช่วยทาให้ครูหรือ ผู้แนะแนวรู้จักและเข้าใจผู้เรียนลึกซึ้งยิ่งขึ้น เพื่อประโชยน์ในการแก้ปัญหาหรือส่งเสริมผู้เรียนให้ ได้ผลดีท่ีสดุ 4.2.4 เพื่อเพิ่มเติมข้อเท็จจริงบางประการท่ีเกี่ยวกับผู้เรียนที่ไม่สามารถจะหาได้ จากวิธกี ารอื่นๆ 4.3 ข้อมูลทค่ี วรไดจ้ ากการไปเยย่ี มบา้ น 4.3.1 สภาพท่วั ไปของบา้ นท้ังภายในบา้ นและในชุมชน 4.3.2 ทศั นคติของผปู้ กครองทีม่ ตี ่อผู้เรยี นและผลการเรยี นของผู้เรียน 4.3.3 ทศั นคติของผู้ปกครองที่มตี ่อสถานศกึ ษาและครู 4.3.4 ความสมั พันธ์ระหวา่ งผู้เรียนกับบดิ ามารดาหรือผปู้ กครอง 4.3.5 พฤตกิ รรมและความสนใจของผู้เรยี นเม่ืออย่บู า้ น

85 4.3.6 การใชเ้ วลาในกิจกรรมตา่ งๆ ของผู้เรียน 4.3.7 ระเบยี บและวธิ ีปกครองทผ่ี ู้ปกครองใชก้ ับผู้เรียน 4.3.8 การอานวยความสะดวกและความช่วยเหลือท่ีผู้ปกครองให้กับผู้เรียนในรื่อง การเรยี น 4.4 แนวปฏิบัติในการไปเยีย่ มบ้าน 4.4.1 ติดต่อนดั หมายและแจ้งวัตถปุ ระสงค์ของการไปเย่ยี มบ้านใหผ้ ู้ปกครองทราบ ล่วงหน้า 4.4.2 ศึกษาขอ้ มูลของผู้เรียนและผู้ปกครองเพ่ือจะช่วยใหก้ ารสนทนาราบรนื่ และ เป็นกันเองเร็วขน้ึ 4.4.3 สนับสนนุ ให้ผู้เรียนเข้าร่วมวงสนทนาด้วย โดยเฉพาะในระะแรกๆ ที่ครูไปถึง บา้ นเพื่อจะได้มจี ุดเร่ิมตน้ สนทนาและไดส้ ังเกตความสัมพันธ์ระหวา่ งผูป้ กครองกับผู้เรยี น 4.4.4 พยายามเปดิ โอกาสให้ผปู้ กศรองไดพ้ ูดหรอื แสดงความคดิ เห็นใหม้ ากทส่ี ุด 4.4.5 หลีกเล่ียงการเปรียบเทียบผู้เรียนกับคนอ่ืนๆ เพราะจะทาให้ผู้ปกครอง อบั อาย หากจะเปรยี บเทียบควรเป็นการเปรียบเทยี บระหว่างอดีตกับปัจจุบนั ของผู้เรียน 4.4.6 ไม่เคร่งครัดเรื่องเวลาและแผนการท่ีเตรียมไว้มากเกินไป ควรมีการยืดหยุ่น ปกติควรใช้เวลาเยีย่ มบา้ นประมาณ 20 - 60 นาที ทั้งน้ตี ้องสงั เกตปฏิกิรยิ าของผู้ปกครองรว่ มด้วย 4.4.7 ต้องเริ่มต้นและลงท้ายการสนทนาอย่างดีให้ผู้ปกครองรู้สึกประทับใจ และ อยากให้ความรว่ มมือ 4.4.8 รบี เขียนรายงานหลงั การไปเย่ียมบา้ น เพ่อื ใช้เป็นแนวทางการไปเย่ียมในครั้ง ต่อไป 4.5 ขอ้ เสนอแนะในการไปเยย่ี มบ้าน 4.5.1 ให้ครูเพียงคนเดียวไปเยี่ยมบ้านผู้เรียน โดยเฉพาะบ้านที่มีพ่ีน้องเรยี นอยู่ใน สถานศึกษาเดียวกัน 4.5.2 ครูจะต้องมีความรู้เรื่องการสัมภาษณ์ และรู้จักใช้จิตวิทยาขณะสนทนากับ ผูป้ กครอง 4.5.3 ควรไปเยีย่ มบ้านของผู้เรียนทุกคน แต่สาหรับผู้เรียนท่มี ีปัญหา การไปเย่ียม บา้ นเพอ่ื หาทางแก้ปญั หาเปน็ ส่ิงที่จาเปน็ 4.5.4 การไปเยย่ี มบา้ นผู้เรียนที่มีปัญหาซบั ซ้อนเพียงหน่ึงหรือสองครั้ง ไม่ช่วยให้ครู เข้าใจปญั หามากพอที่จะวนิ ิจฉัยหรือหาทางแกป้ ญั หาได้ 4.5.5 ครูท่ไี ปเยยี่ มบ้านไม่มีหนา้ ทไ่ี ปตดั สินหรือแก้ไขสภาพความเป็นอยู่ของผู้เรียน และผู้ปกครอง

86 ตัวอยา่ งแบบบนั ทึกการเย่ียมบ้าน วนั ท.ี่ .........เดอื น.............................พ.ศ. ............. เวลา...........................น. รวม................ชว่ั โมง เปน็ การเยยี่ มบ้านผ้เู รียนรายนี้ คร้งั ท.่ี ..................... ชอ่ื -สกุล ครอู าจารย์ทไ่ี ปเยีย่ ม...................................................................................................... ช่อื -สกุล ผเู้ รียน.......................................................... อายุ................ปี ชั้นเรียน......................... ชื่อ-สกุล ครูประจาชนั้ .................................................................................................................. ชอื่ -สกลุ บิดา..................................................................................................... อายุ................ปี ท่อี ยู.่ ............................................................................................ โทรศัพท.์ ................................ ระดบั การศกึ ษา..................... อาชพี ........................... สถานทท่ี างาน......................................... ลักษณะท่ีสังเกต........................................................................................................................... ชอื่ -สกุล มารดา................................................................................................. อายุ................ปี ทอ่ี ยู่............................................................................................. โทรศัพท.์ ................................ ระดับการศกึ ษา.................... อาชีพ............................ สถานที่ทางาน......................................... ลกั ษณะท่สี งั เกต........................................................................................................................... จานวนบคุ คลในครอบครวั ............คน มีลาดับดงั น้ี 1. ชื่อ-สกุล................................................... อาย.ุ ...........ปี เกี่ยวข้องเป็น.............................. ระดับการศึกษา........................ อาชพี ..................... สถานทท่ี างาน................................... โทรศพั ท.์ .............................. ลกั ษณะทส่ี งั เกต.................................................................... 2. ชอ่ื -สกลุ ................................................... อาย.ุ ...........ปี เกย่ี วข้องเป็น.............................. ระดบั การศกึ ษา......................... อาชีพ.................... สถานท่ที างาน................................... โทรศัพท์............................... ลกั ษณะทส่ี งั เกต.................................................................... 3. ชื่อ-สกลุ ................................................... อายุ............ปี เกี่ยวข้องเปน็ .............................. ระดับการศึกษา......................... อาชพี .................... สถานทีท่ างาน................................... โทรศัพท.์ .............................. ลักษณะท่สี งั เกต.................................................................... รายละเอยี ดอน่ื ๆ 1. สภาพบ้าน ทต่ี ัง้ และบรเิ วณภายนอกรอบๆ ตัวบา้ น................................................................. ...................................................................................................................................................... 2. สภาพภายในบา้ นและบรรยากาศของบา้ น............................................................................... ...................................................................................................................................................... 3. สภาพหอ้ งพกั สาหรบั อ่านหนังสอื และทาการบ้าน..................................................................... ......................................................................................................................................................

87 4. เจตคติของบิดา มารดาหรอื ผปู้ กครองทมี่ ตี อ่ ผเู้ รียน.................................................................. ...................................................................................................................................................... 5. เจตคติของบดิ า มารดาหรอื ผปู้ กครองทม่ี ีต่อสถานศกึ ษา.......................................................... ...................................................................................................................................................... 6. ความสมั พนั ธข์ องผเู้ รียนทม่ี ตี ่อสมาชิกภายในครอบครัว........................................................... ...................................................................................................................................................... 7. ความคาดหวังของผปู้ กครองทม่ี ีต่อผู้เรียน................................................................................ ...................................................................................................................................................... 8. ขอ้ เสนอแนะของผปู้ กครองเกี่ยวกบั วิธีการช่วยเหลือผู้เรียน..................................................... ...................................................................................................................................................... 9. ข้อเสนอแนะของผปู้ กครองเกย่ี วกบั การปรับปรงุ และพฒั นาสถานศกึ ษา................................. ...................................................................................................................................................... 10. ความคดิ เห็นและขอ้ เสนอแนะของครทู ที่ าหนา้ ทเ่ี ยยี่ มบา้ น..................................................... ...................................................................................................................................................... ภาพที่ 2.1 การเย่ยี มบ้าน ที่มา: http://wbvschool.net/?p=245

88 5. การทาสังคมมติ ิ สงั คมมิติ (Sociometry) เป็นวิธีการอย่างหน่ึงที่ครูหรือผู้แนะแนวใช้ศึกษาผู้เรียนของ ตนเพ่ือทราบความสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนที่เรียนอยู่ห้องเดียวกัน ว่ามีความสัมพันธ์กันอย่างไร เป็นการศึกษาบรรยากาศทางสังคม และอารมณ์ภายในห้องเรียน โดยเก่ียวข้องกับความรู้สึกของ ผเู้ รยี นในดา้ นความพงึ พอใจทีผ่ ู้เรียนแต่ละคนแสดงต่อผเู้ รียนคนอื่นๆ มรี ายละเอยี ดดงั น้ี 5.1 ความหมายของสังคมมิติ วิลเลย์และแอนดรู (Willey and Andrew, 1965, p. 305) กล่าวว่า สังคมมิติ คอื วิธีการอย่างหนึ่งทใ่ี ชว้ ัดความสัมพนั ธท์ างสังคมภายในกลุ่มของผเู้ รียน กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งว่าผู้เรียนคนใดเพ่ือนยอมรับนับถือเป็นมติ รหรอื ไมย่ อมรับ ผลที่ได้รับจากวิธีการวัด ทางสังคมมิติทาให้ครูหรือผแู้ นะแนวได้ทราบว่า ผู้เรียนคนใดสังคมยังไมด่ ี ควรได้รบั ความช่วยเหลือ ดา้ นพัฒนาการทางสงั คม 5.2 จดุ มงุ่ หมายของสงั คมมิติ การใชส้ ังคมมิติเพื่อการแนะแนว มจี ุดมุ่งหมายท่ีสาคัญ ดงั น้ี 5.2.1 เพ่ือจะได้ทราบสภาพทางสังคมสัมพันธ์ของผู้เรียนภายในห้องเรียน ว่ามี โครงสร้างทางสงั คมอย่างไร และมกี ารแบง่ เปน็ กล่มุ ยอ่ ยๆ กีก่ ล่มุ 5.2.2 เพื่อจะได้ทราบลักษณะของกลุ่มแต่ละกลุ่ม และทราบว่าในกลุ่มย่อยแต่ละ กลุ่ม ใครเปน็ หวั หนา้ 5.2.3 เพื่อทราบว่าผู้เรียนคนใด เพ่ือนไม่ยอมรับหรือยอมรับ หรือเพ่ือนทอดทิ้ง รังเกียจ 5.2.4 เพ่ือทราบเป็นขอ้ มลู ในการวางแนวทางช่วยเหลือผู้เรยี นเป็นรายบุคคลและ ทั้งกลุ่ม 5.2.5 เพือ่ จะไดเ้ ลือกศึกษาผู้เรียนเป็นรายกรณี หรือเพื่อการศกึ ษาวิจยั 5.2.6 เพอื่ ชว่ ยให้ผู้เรยี นสามารถปรบั ตวั ใชช้ ีวติ ในกลุ่มสังคมไดอ้ ย่างมคี วามสุข 5.3 ลาดับขั้นของการทาสังคมมิติ แบ่งออกเป็น 4 ขั้นตอน ดังนี้ (สุนิสา วงศ์อารีย์, 2559, น. 65-70) 5.2.1 ข้ันการกาหนดสถานการณ์ คอื การท่ีครูหรือผู้แนะแนวกาหนดสถานการณ์ โดยสร้างเป็นคาถามเพ่ือให้ผู้เรียนเลือกเพื่อน ซึ่งกาหนดให้เลือก 2 หรือ 3 อันดบั ข้อคาถามท่ีใช้มัก เป็นรูปแบบของคาถามที่พยายามให้ผู้เรียนได้บอกถึงความรู้สึกท่ีแท้จริงที่เก่ียวข้องกับเพื่อนภายใน กลุ่มคาถามท่ีใช้ในสังคมมิติ อาจจะเป็นคาถามในทางบวก หรืออาจจะเป็นคาถามในทางลบก็ได้ คาถามในทางบวก เชน่ “เพื่อนที่ดที ี่สุดของท่านคอื ใครบ้าง” “เพื่อนทีท่ ่านชอบนั่งใกล้” “ถ้าจะมีการ เลือกหัวหน้าห้องท่านจะเลือกใคร” ส่วนคาถามในทางลบ เช่น “เพ่ือนท่ีท่านชอบน้อยทส่ี ุดคอื ใคร” “เพอ่ื นคนใดทที่ ่านไมต่ อ้ งการทางานกลุม่ ” เปน็ ต้น

89 จากนัน้ จดั ทากระดาษเพือ่ ให้ผูเ้ รยี นเขียนคาตอบของสถานการณ์ท่กี าหนดให้ โดยให้ เรียงลาดับความสาคญั หรือความต้องการก่อนหลัง เม่ือผู้เรียนเขียนช่ือเพื่อนเรียบร้อยแล้วให้ส่งคืน กลับมาให้ครู พร้อมให้ผู้เรียนเขียนชื่อและนามสกุลของตนไว้ท่ีหัวกระดาษ กระดาษที่ใช้ตัดเป็น รูปสเ่ี หลยี่ มผนื ผ้า ควรมขี นาด 3x5 น้วิ เพ่อื ใหพ้ อดกี บั ขอ้ ความทีจ่ ะเขียน ดังรูป 5 นิว้ ชอื่ ....................................นามสกุล.................................... ผ้เู ลือก 3 น้วิ สถานการณ.์ ................................................................................................ ช่ือสมาชิกทีถ่ กู เลือก อนั ดับ 1 คือ............................................................. อนั ดบั 2 คอื ............................................................. อนั ดับ 3 คือ............................................................. 5.2.2 ขั้นการทาตารางแสดงผลที่ได้ คือการที่ครูหรือผู้แนะแนวนาผลการเลือก เพื่อนของผู้เรียนแต่ละคนมาลงตารางเพ่ือรวมค่าของคะแนน (Socio Score) เพ่ือศึกษาดูว่าผู้เรียน แต่ละคน เลือกใครเป็นเพ่ือนบา้ งและไดร้ บั เลือกมากน้อยเพียงไร ในขน้ั นมี้ วี ธิ ดี าเนนิ การดงั ตอ่ ไปนี้ 1) เขียนช่ือผู้เรียนทุกคนตามลาดับตัวอักษรในตารางท่ีจัดเตรยี มไว้ โดยให้ สดมภ์ตามยาวเปน็ ชื่อของผูเ้ ลอื ก และสดมภต์ ามขวางเป็นช่ือของผู้ถกู เลอื ก 2) ใส่อันดับการเลือกเพื่อนของผู้เรียนแต่ละคนลงไป โดยกรอกให้ตรงกับ สดมภ์ของผู้ทีถ่ ูกเลือก แลว้ กรอกตัวเลขลาดับของการเลอื กให้ตรงกับสดมภข์ องผูท้ ถ่ี ูกเลือก ผทู้ ี่ได้รับ เลือกอันดับหนึ่งก็ใส่หมายเลข 1 ผทู้ ี่ได้รับเลอื กอันดับสองก็ใส่หมายเลข 2 และผู้ท่ีได้รับเลือกอันดับ สามก็ใสห่ มายเลข 3 3) เมื่อกรอกผลการเลือกเพ่ือนของผู้เรียนหมดทุกคนแล้ว ก็ทาการรวม คะแนนการได้รบั เลือกของผ้เู รียนแต่ละคนในแตล่ ะอันดับ และผ]รวมการไดร้ ับเลือกทั้งหมด แล้วนา ผลรวมแต่ละอยา่ งไปใส่ในชอ่ งรวมข้างล่าง ดังตวั อย่าง

90 ผ้เู ลอื ก เจ๊ียบ แจ็ค ผถู้ กู เลอื ก โอเล่ เงาะ บอย น้อยหน่า มาโนช 2 เจย๊ี บ 2 - 31 แจ็ค 1 - 13 3 เงาะ - บอย 1 - 2 2 นอ้ ยหนา่ 3 1 32 มาโนช 3 - โอเล่ 2 3 2 รวมอันดับที่ 1 1 12 1 รวมอนั ดบั ท่ี 2 2 21 3 รวมอนั ดบั ท่ี 3 5 2111 รวม -211 1 - 21 3343 5.2.3 ขนั้ การสร้างแผนผังสังคมมิติ (Sociogram) คือการทค่ี รูหรอื ผแู้ นะแนว นาผลทไ่ี ดจ้ ากตารางแจกแจงการเลือกเพื่อนในข้ันท่ีสองมาแสดงเปน็ แผนผังแสดงความสมั พันธท์ าง สังคม ในขน้ั นม้ี วี ิธีดาเนนิ การ ดังน้ี 1) กาหนดสญั ลักษณต์ ่างๆ แทนเพศและอนั ดับการเลอื ก เช่น แทนเพศชาย แทนเพศหญงิ แทนการเลือกอันดับ 1 แทนการเลอื กอันดับ 2 แทนการเลอื กอันดบั 3 แทนการเลอื กซงึ่ กันและกันอันดบั 1 แทนการเลอื กซ่งึ กนั และกนั อันดับ 2 แทนการเลอื กซึ่งกันและกันอันดบั 3

91 2) กาหนดให้บุคคลท่ีถูกเลือกมากที่สุดอยู่ตรงกลาง และบุคคลที่ ถกู เลอื กรองลงมาอยู่ถดั ออกไปตามลาดบั ส่วนบุคคลที่ถกู เลอื กน้อยที่สดุ หรือไม่ได้ถูกเลอื กเลยใหอ้ ยู่ นอกสดุ 3) บอกให้ทราบจานวนผู้เรียนในกลุ่มท้ังหมด จานวนผู้เรียนเพศชาย จานวนผู้เรียนเพศหญิง สถานท่ี วนั เดือน ปี ท่ีทาสังคมมิติ และสถานการณ์ทีก่ าหนดใหผ้ ู้เรียนเลือก เพื่อน แลว้ เขียนแผนผงั สังคมมิติ เชน่ บอย มาโนช เงาะ โอเล่ เจย๊ี บ แจ็ค น้อยหน่า 5.2.4 ขั้นการแปลความหมาย คือการท่ีครูหรือผู้แนะแนววิเคราะห์ บรรยากาศทางสังคมของผ้เู รียนในห้อง โดยพิจารณาดูจากแผนผังสังคมมิติท่ีไดจ้ ัดทาเสรจ็ เรียบรอ้ ย แลว้ ในการตคี วามหมายแผนสังคมมิติจะต้องพิจารณาว่าผู้เรยี นในชน้ั มคี วามสมั พนั ธ์กันเปน็ อยา่ งไร มี การแบง่ กลมุ่ เปน็ กกี่ ลมุ่ ลักษณะของกล่มุ เป็นอยา่ งไร มีใครเปน็ ดาราของกลุ่ม มใี ครบา้ งที่อยู่โดดเดย่ี ว และมใี ครบ้างที่ถูกทอดท้ิง เมอ่ื ครูหรือผู้แนะแนวไดท้ ราบความสมั พันธ์ระหว่างผู้เรียนในช้ันแล้วก็จะ ไดค้ ้นหาสาเหตุตอ่ ไปอกี ว่าเป็นเพราะเหตุใด เพื่อท่ีครูหรอื ผู้แนะแนวจะได้ให้ความช่วยเหลือไดอ้ ยา่ ง ถกู ตอ้ งเหมาะสม อยา่ งไรก็ตาม คาตอบท่ไี ดจ้ ากการทาสังคมมติ ิมกั จะทาใหค้ รหู รือผู้แนะแนวคดิ ตอ่ ไป วา่ เพราะเหตุใดดาราของกลุ่มจึงได้รบั ความชื่นชอบจากกลมุ่ เพ่ือน และบคุ คลทถ่ี ูกทอดทง้ิ จงึ ไม่มผี ใู้ ด ตอ้ งการคบดว้ ย หรือเพราะเหตุใดจึงมีการคบกันในลักษณะเช่นน้ี ซ่งึ การทาสงั คมมิติไมส่ ามารถบอก เหตุผลเหล่านีไ้ ด้ การจะทราบเหตผุ ลเบ้ืองหลังการคบหาสมาคมกนั จึงต้องอาศัยการสงั เกตหรือการ สอบถามจากผู้เลือกแต่ละคนซึ่งต้องเสียเวลาในการสืบสวนเป็นอย่างมาก ดังน้ัน จึงมีผู้คิด แบบสอบถามท่มี ีชื่อวา่ “ใครเอ่ย” (Guess Who) มาใช้ซึง่ จะช่วยให้ประหยัดเวลา ง่ายและสะดวกใน การศกึ ษาข้อมูลเกี่ยวกบั เหตผุ ลในการเลอื กเพอื่ น

92 ใครเอ่ยเป็นวิธกี ารท่ีช่วยใหค้ รูหรือผู้แนะแนวทราบถึงเจตคตขิ องผู้เรยี นแตล่ ะคนท่ีมี ต่อผู้เรียนคนอื่นๆ ในห้องเดียวกัน โดยครูหรือผู้แนะแนวกาหนดข้อคาถามที่บรรยายเก่ียวกบั ลกั ษณะ ตา่ งๆ ของผู้เรียน และให้ผู้เรยี นแต่ละคนเขียนช่ือบคุ คลในห้องเรยี น ที่เขาคิดว่ามีลกั ษณะท่ีตรงหรือ ใกลเ้ คยี งกับลกั ษณะท่รี ะบไุ ว้ในคาถามแตล่ ะข้อ ก่อนที่จะให้ผู้เรียนตอบแบบสอบถามใครเอ่ย ครูหรือผู้แนะแนวจะต้องแน่ใจว่า ผู้เรียนทุกคนในช้ันเรียนรู้จกั คุ้นเคยกันเปน็ อย่างดีแลว้ และต้องทาให้ผู้เรียนไว้ใจได้ว่าจะเกบ็ คาตอบ ของเขาไวเ้ ป็นความลับ วธิ ีการใครเอ่ยน้ีสามารถใช้ควบคู่กับสังคมมิติ เพื่อจะได้มองเห็นบุคลิกภาพ และพฤติกรรมของผู้เรยี นแต่ละคนชัดเจนขนึ้ ตวั อยา่ งแบบสอบถามใครเอย่ คาชแี้ จง ขอ้ ความตอ่ ไปนเ้ี ปน็ ข้อความทีบ่ รรยายลกั ษณะบางอยา่ งของผู้เรียน ให้ผู้เรยี นคดิ ถึง เพ่ือนในหอ้ ง รวมทง้ั ตวั ของผู้เรยี นเองแตล่ ะคนทมี่ ีลักษณะตรงกับข้อความแตล่ ะขอ้ ในชอ่ งว่าง (กอ่ นท่ีจะเขยี นชือ่ ผใู้ ดลงไปในชอ่ งวา่ งจะต้องใชก้ ารพิจารณาไตรต่ รอง อย่างละเอียดจากการสงั เกตของผู้เรียนเอง หา้ มปรึกษากับเพอื่ น คาตอบของผู้เรียน จะเก็บเป็นความลับ ดงั น้นั ขอให้ผู้เรียนตอบโดยจรงิ ใจที่สดุ ) 1. คนทมี่ คี วามเหน็ อกเห็นใจผอู้ ืน่ มากทส่ี ุดในชนั้ คอื ...................................................................... 2. คนที่พูดจาสภุ าพอ่อนหวานมากทสี่ ดุ ในชั้นคอื ........................................................................... 3. คนที่ทาผิดแล้วยอมรบั ผิดคอื ..................................................................................................... 4. คนทซ่ี ่ือตรงตอ่ เวลามากทส่ี ุดในชนั้ คือ.......................................................................……………. 5. คนที่พูดจามเี หตผุ ลมากทสี่ ุดในชน้ั คือ.......................................................................…………….. 6. คนทีร่ า่ เรงิ ทสี่ ุดในชนั้ คอื ............................................................................................................ 7. คนที่แตง่ กายเรยี บร้อยท่ีสุดในช้ันคือ...........................……………………………..………………………. 8. คนทม่ี อี ารมณข์ นั ทส่ี ดุ ในชนั้ คอื …………………………….……………………..………………………………… 9. คนทท่ี างานสะอาดเป็นระเบยี บเรียบรอ้ ยทส่ี ุดในช้นั คอื ............................................................. 10. คนที่วาดรปู เกง่ ท่ีสุดในช้ันคอื ................................................................................................... 11. คนที่ชอบสนุกสนาน ร่าเริงแจม่ ใส และเปน็ มิตรกับคนอืน่ มากทสี่ ดุ ในชั้นคอื .......................... 12. คนทีร่ ้องเพลงเกง่ ทสี่ ดุ ในชัน้ คือ............................................................................................... 13. คนทชี่ อบช่วยเหลอื เพอื่ นมากทสี่ ดุ คอื ...................................................................................... 14. คนทีข่ ยันทาเวรมากทสี่ ุดในช้ันคอื ........................................................................................... 15. คนท่ชี อบแบง่ ปันของตนใหผ้ อู้ ืน่ มากท่ีสดุ ในชน้ั คอื ..................................................................

93 6. การศกึ ษารายกรณี การศึกษารายกรณี (Case Study) เป็นวิธีศึกษาพฤติกรรมของผู้เรียนแต่ละคนอย่าง ละเอียด โดยมีการรวบรวมข้อมูลเก่ียวกับผู้เรียนคนน้ัน เมื่อได้ข้อมูลมากพอสมควรแล้วจะมีการ ตีความหมายพฤติกรรม และการทาวินิจฉัยหาสาเหตุของปัญหา แล้วจึงทาการแก้ปัญหา ป้องกัน ปัญหาหรือส่งเสริมพัฒนาการ แล้วแต่กรณี อันดับสุดท้ายคือการติดตามผลหลังจากท่ีได้ให้ความ ช่วยเหลือผ้เู รียนคนน้นั ไปแล้ว มรี ายละเอียดดังนี้ 6.1 ความหมายของการศึกษารายกรณี การศึกษาเป็นรายกรณี หมายถึง กระบวน การศึกษาผู้เรียนเป็นรายบุคคลอย่างละเอียดต่อเน่ือง โดยใช้เทคนิควิธีการที่หลากหลายในการ รวบรวมและวิเคราะห์ขอ้ มลู เพื่อหาสาเหตุของปญั หาอนั จะนาไปสู่การดาเนินการให้ความช่วยเหลือ ส่ ง เส ริ ม แ ล ะ พั ฒ น าผู้ เรี ย น ให้ ส าม าร ถ ป รั บ ตัวแ ล ะ ดาเนิ น ชี วิ ตอ ยู่ ใน สั ง คม ได้ อ ย่ าง มี ความ สุ ข (สานกั วชิ าการและมาตรฐานการศึกษา, 2550, น.1) 6.2 จุดมุ่งหมายของการศึกษารายกรณี การศึกษารายกรณีเพ่ือการแนะแนว มจี ุดมุ่งหมายทสี่ าคัญดังน้ี 6.2.1 เพอ่ื ค้นหาสาเหตทุ ่ที าให้ผู้เรยี นมพี ฤติกรรมผิดปกติ ซง่ึ ทางสถานศึกษาจะได้ ให้ความช่วยเหลือและแกไ้ ขอยา่ งถูกตอ้ ง 6.2.2 เพ่ือสืบค้นรูปแบบของพัฒนาการของผู้เรียนท้ังในด้านร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ สงั คม และจติ ใจ เพือ่ ทางสถานศกึ ษาจะได้ใหก้ ารส่งเสริมพัฒนาได้อย่างเหมาะสม 6.2.3 เพื่อช่วยให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจตนเอง สามารถพัฒนาตนเองได้ในทุกๆ ด้าน และสามารถดาเนนิ ชีวติ อย่ใู นสังคมไดอ้ ย่างมคี วามสขุ และมปี ระสทิ ธภิ าพ 6.2.4 เพ่ือช่วยให้ผู้ปกครองเข้าใจบุตรหลานของตนได้ดีข้ึน และให้ความร่วมมือ กบั ทางสถานศกึ ษาในการแกไ้ ขปัญหาของบุตรหลานของตน 6.2.5 เพื่อชว่ ยให้คณะครูไดเ้ ขา้ ใจผู้เรยี นอย่างละเอยี ด ลกึ ซง้ึ ถกู ตอ้ ง และสามารถ นาผลของการศึกษารายกรณีนี้ไปใช้ในการปรับปรุงการเรียนการสอน การจัดกิจกรรม และ การให้บริการตา่ งๆ แก่ผู้เรยี นไดอ้ ย่างเหมาะสมสอดคล้องกับความต้องการและความพรอ้ มของเขา 6.3 กระบวนการของการศึกษารายกรณี กระบวนการของการศึกษารายกรณีท่ี สมบรู ณจ์ ะประกอบด้วยการดานินงาน 6 ขัน้ ดังนี้ 6.3.1 ข้ันการรวบรวมข้อมูลต่างๆ ทจี่ าเป็นเก่ียวกบั ตัวบุคคล (Collecting of the Necessary Data) ขั้นน้ีจะชว่ ยให้ผู้แนะแนวไดร้ ู้จกั ภาวะความเป็นไปในปัจจุบนั ของผ้เู รียนท่ตี ้องการ ศึกษาได้เป็นอย่างดี การดาเนินงานในขนั้ นอี้ าจทาไดร้ วดเร็วขึ้น ถ้าสถานศึกษามีระบบระเบียนสะสม ทด่ี ีอย่แู ลว้

94 6.3.2 ขั้นการวเิ คราะห์ข้อมูล (Analysis) ในขนั้ นี้อาจกระทาโดยวธิ ีประชุมปรึกษา ด้วยการเชิญบุคคลที่เก่ียวขอ้ งกับผู้เรียนมาประชุมร่วมกัน พิจารณาข้อเท็จจรงิ ที่รวบรวมมาได้จาก ขั้นท่ี 1 6.3.3 ขน้ั การตรวจวนิ ิจฉัยปัญหา (Diagnosis) ข้ันนเี้ ปน็ การนาเอาผลการวิเคราะห์ ข้อมูลในขั้นท่ีสอง มาประกอบการพิจารณา เพื่อวินิจฉัยดูว่าอะไรน่าจะเป็นสาเหตุของปัญหา อย่างไรก็ดี การลงความเห็นกี่ยวกับปัญหาน้ัน อาจจะยังไม่สิ้นสุดจนกว่าจะค้นหาสาเหตุที่แท้จริง และมหี ลกั ฐานสนบั สนนุ อย่างเพยี งพอ จึงต้องอาศยั การศกึ ษาข้อเท็จจรงิ เก่ียวกับปญั หานน้ั เพิม่ เติมใน ขน้ั ท่ี 4 6.3.4 ข้ันการสังเคราะห์ข้อมูลเข้าด้วยกัน (Synthesis) ขั้นน้ีเป็นการศึกษา ข้อเท็จจริงเพิ่มเติมด้วยวิธีการต่างๆ เช่น การสังเกต การสัมภาษณ์ การทดสอบ และกลวิธีอื่นๆ เป็นต้น แล้วนาขอ้ เท็จจรงิ ทีไ่ ดใ้ หม่ มาสังเคราะห์เขา้ ด้วยกนั กบั ขอั เท็จจรงิ ทม่ี ีอยูแ่ ล้ว เพอ่ื ทจ่ี ะช่วยให้ เข้าใจลักษณะปัญหาและทาการวนิ จิ ฉัยปญั หาได้อย่างถูกต้อง 6.3.5 ขั้นการแก้ไขปัญหา (Treatment) ข้ันนี้เป็นการคิดหาวิธีการต่างๆ ที่จะ นามาชว่ ยเหลอื และแนะแนวทางผู้เรยี นในการแก้ไขปญั หาหรือการปรับตวั ให้เหมาะสมตอ่ ไป 6.3.6 ข้ันการติดตามผล (Follow-up) ขั้นน้ีเป็นเรื่องจาเป็นท่ีต้องกระทาใน การศึกษารายกรณี เพราะจะช่วยให้ทราบข่าวขบวนการศึกษารายกรณีมีประสิทธิผลเพียงใด มขี ้อบกพร่องทคี่ วรจะปรับปรงุ แกไ้ ขอยา่ งไร 6.4 สถานการณ์ที่ควรทาการศึกษารายกรณี ครูหรือผู้แนะแนว หรือผู้ให้คาปรึกษา อาจจะใชว้ ิธกี ารศกึ ษารายกรณี ต่อเมอ่ื 6.4.1 เปน็ วธิ ีการสาหรบั การชว่ ยผู้เรียนเมื่อมปี ญั หาเกิดขนึ้ แล้ว การใชว้ ธิ กี ารศึกษา รายกรณีจะจดั ทาเฉพาะผู้เรียนทเี่ ปน็ ปญั หาเทา่ นั้น 6.4.2 เป็นกระบวนการท่ีกระทาติดต่อเน่ืองกันเพื่อการรวบรวมข้อมูลต่างๆ โดย คานึงถงึ พฒั นาการของผู้เรยี นทุกคนในสถานศึกษา 6.4.3 เป็นการศึกษารายกรณีเพือ่ ใชส้ าหรบั เปน็ ตัวอย่างในการอบรมครูประจาการ (Inserice Training) อันเปน็ การเพ่มิ พนู ความรู้ และชว่ ยให้คณะครูได้เขา้ ใจเกีย่ วกับบริการแนะแนวที่ จดั ขึ้นในสถานศกึ ษารวมถึงการมองเห็นคุณค่าของการศึกษารายละเอียดข้อเท็จจริงเก่ียวกับผู้เรียน แตล่ ะคน

95 ตวั อยา่ งหวั ข้อบันทกึ ข้อมูลการศกึ ษารายกรณี 1. ชอื่ ผูท้ าการศกึ ษา .....................................................................ตาแหน่ง................................ ระยะเวลาในการศึกษานักเรียนต้ังแต.่ ...............ถงึ .................รวมเปน็ ระยะเวลา................... 2. ข้อมูลส่วนตัวท่ัวไปของนักเรยี น ชื่อ...............................................นามสกลุ ............................................เพศ.......................... เกิดวันที่..............เดอื น............................................พ.ศ. .................... อาย.ุ .......................ปี ชนั้ เรยี น........................................โรงเรียน............................................................................. รูปรา่ งและลกั ษณะโดยทว่ั ไปของนกั เรียน............................................................................... 3. ปญั หาหรอื สาเหตขุ องการศึกษา นกั เรียนรายนมี้ บี ัญหา หรอื สง่ิ ใดทคี่ วรได้รบั การปรบั ปรงุ หรือสง่ เสรมิ พฒั นาการดา้ นใด ถา้ มีปญั หา ปญั หานัน้ หนกั เบาเพียงใด มกี ารพยายามวินิจฉัยปญั หา และได้รบั การแก้ไข ปัญหาอย่างใดมากอ่ นหรอื ไม่ นักเรยี นมคี วามรสู้ กึ นกึ คิดอยา่ งไรเกย่ี วกบั ปญั หาของเขา เชน่ รู้สึกตวั วา่ มีปญั หา และอยากแก้ไขปรับปรงุ หรือไม่ ตลอดจนความคดิ เหน็ ของครู พอ่ แม่ ผูป้ กครอง พยาบาล แพทย์ ฯลฯ ทม่ี ตี อ่ นกั เรยี นและปญั หาของเขา 4. สภาพเวดล้อมของเดก็ ก. สง่ิ แวดล้อมทางบ้าน เป็นต้นว่า ท่ีต้งั สภาพบา้ น จานวนสมาชกิ ในครอบครัว อาชพี สถานะทางเศรษฐกจิ สงั คมของครอบครัว ความสัมพนั ธ์ในหมสู่ มาชกิ ใน ครอบครัว ทศั นคตขิ องสมาชกิ คนอ่นื ๆ ทมี่ ตี อ่ เด็ก การปกครองและการศึกษาของ พอ่ แม่ หรือผปู้ กครอง ข. สิง่ แวดลอ้ มทางสถานศกึ ษา เป็นต้นวา่ ท่ตี ัง้ สภาพทางสถานศกึ ษา เพ่อื นสนทิ ของเด็ก 5. สุขภาพทางดา้ นร่างกาย นา้ หนกั สว่ นสงู ขนาดรปู ร่าง สายตา การพดู การฟัง การเคลอ่ื นไหว ประวตั ิ สขุ ภาพ การเจ็บปว่ ย โรคประจาตัว โภชนาการ ทศั นคตขิ องเดก็ ทม่ี ีต่อสขุ ภาพของตน 6. ขอ้ มลู ทไ่ี ด้จากการทดสอบ ข้อมูลทไี่ ดจ้ ากการทดสอบเด็ก เป็นตน้ ว่า สติปญั ญา ความถนดั ความสนใจของเดก็ 7. ข้อมลู ทางดา้ นการศกึ ษา ประวตั ิการเรยี นซึง่ ไม่เพยี งแตบ่ นั ทผึ ลการเรียนเท่านั้น แตร่ วมถึงเรื่องอนื่ ๆ ดว้ ย เป็นต้นว่า นสิ ัยในการทางน ทศั นคตติ อ่ สถานศกึ ษาและครู ความสามารถพิเศษ หรอื ด้อยในวชิ าการตา่ งๆ ความชอบหรือไมช่ อบวิชาใด หรือกจิ กรรมใด แผนการศึกษาตอ่ หรอื จุดมุ่งหมายในการศึกษา

96 8. การปรบั ตัวทางสงั คม การปรบั ตัวกบั เพือ่ น เปน็ ตน้ ว่า ประเภทของเพอ่ื นที่คบ เปล่ียนเพอ่ื นบอ่ ยหรือไม่ การแขง่ ขนั ในหมู่เพอื่ น สถานะและบทบทของเด็กเมอ่ื อยู่ในกลมุ่ เพื่อน การพักผ่อน งานอดเิ รก การเลน่ ของเดก็ การปรบั ตวั กบั ผู้ใหญ่ ตลอดจนความรับผดิ ชอบในหน้าท่ี พลเมือง 9. การปรบั ตวั ทางอารมณ์ มีอารมณ์ท่ีมั่นคงหรือออ่ นไหวงา่ ย การควบคุมอารมณ์ การแสดงออกทางอารมณ์ เวลาท่พี อใจ ไม่พอใจ เกลียด โกรธ ผดิ หวัง สมหวัง หรืออารมณ์ต่างๆ มีอาการทแี่ สดงว่า มีความขัดแยง้ ในใจหรือไม่ เปน็ ผทู้ ่ีมั่นใจในตนเองหรอื ไม่เพยี งใด เวลาเผชิญปญั หา แสดงออกอย่างไร 10. ประสบการณ์ในการทางาน เคยทางานทีใ่ ดบ้าง ประเภทของงาน สถานท่ี ทศั นคติทม่ี ีต่องานน้ันๆ โครงการในอนาคต เก่ยี วกบั อาชพี 11. ความรูส้ ึกนกึ คิดที่มตี ่อตนเอง ความคิดเหน็ ทผ่ี ้ถู ูกศกึ ษามีต่อตนอง เปน็ ต้นวา่ คดิ วา่ ตนมีความสามารถหรอื ไม่ เพียงใด เปน็ คนดีหรือไม่ เปน็ ทรี่ ักหรือชืน่ ชมของบคุ คลอื่นหรือไม่ มีจดุ เด่นจดุ ดอ้ ยอะไรบ้าง ความคิด ของนกั เรียนที่มตี อ่ ตนเองนนั้ ตรงกบั ที่เปน็ จรงิ หรอื ไม่ 12. การตคี วามหมายขอ้ มลู และต้งั สมมติฐาน บันทึกขอ้ ความที่ผูศ้ กึ ษาตคี วามหมายพฤติกรรม และวินิจฉัยเหตุของปญั หาหรือสาเหตุ พฤตกิ รรมของผถู้ ูกศกึ ษา 13. การแกป้ ัญหา ป้องกันปัญหา หรือส่งเสริมพฒั นาการ บนั ทกึ กระบวนการทีผ่ ู้ศึกษาใชใ้ นการแกป้ ญั หา ปอ้ งกันปัญหา หรอื สง่ เสรมิ พฒั นาการ ผู้ถูกศกึ ษา 14. การติดตามผล บันทึกวธิ ีตดิ ตามผล และข้อมลู ทไี่ ด้จากการตดิ ตามนักเรยี นท่ถี กู ศกึ ษา 7. การศึกษาจากผลงานของผเู้ รยี น การศึกษาจากผลงานของผู้เรียนประกอบด้วยวิธีการหลายอย่าง ทั้งวิธีที่ครูหรือ ผ้แู นะแนวสามารถนาไปใช้ได้ และวธิ ที ่ีต้องไดร้ ับการฝึกฝนมาโดยเฉพาะในหมนู่ ักจิตวทิ ยา การศกึ ษา ผลงานของผู้เรียนจะช่วยให้ครูหรือผู้แนะแนวเข้าใจความรู้สึกนึกคิดของผู้เรียนท่ีมีต่อตนเอง วิธีที่นิยมใช้ในสถานศึกษา ได้แก่ การศึกษาผลงานการเขียนของผู้เรียน เช่น อัตชีวประวัติ

97 (Autobiography) บันทึกประจาวันและอนุทินส่วนตวั (Diary Record and Diaries) ดงั รายละเอียด ต่อไปนี้ 7.1 อัตชีวประวัติ 7.1.1 ความหมายของอัตชีวประวัติ เชอร์ทเซอร์ และสโตน (Shertzer and Stone, 1980, p. 261) ไดใ้ หค้ วามหมายอตั ชีวประวัตวิ ่า เปน็ เครอื่ งมอื ชนดิ หนง่ึ ที่ใช้ เพ่ือใหเ้ กิดความ เข้าใจบุคคลแต่ละคน ซ่ึงไม่เพียงแต่เปิดเผยให้เหน็ พฤติกรรมที่ปรากฎเท่านน้ั แต่ยังช่วยให้เข้าใจถึง เจตคตสิ ่วนตัวและอารมณ์ซึง่ อยู่เบอื้ งหลังพฤตกิ รรมของแต่ละบุคคลนั้นๆ ด้วย ดังน้นั อัตชวี ประวัติ คือ การท่ีบุคคลเขียนเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับตนเองและเหตุการณ์ต่างๆ ที่เก่ียวข้องกับตน ซึ่งเป็น เหตุการณ์ทีเ่ กดิ ขึน้ ในอดีต รวมท้งั สภาพของผเู้ ขียนในปจั จบุ ัน ตลอดจนปัญหาและความมุ่งหวังต่างๆ ในชวี ติ ของผู้เขยี นด้วย 7.1.2 จุดมุ่งหมายของอัตชีวประวัติ การเขียนอัตชีวประวัติเพ่ือการแนะแนว มีจดุ มงุ่ หมายที่สาคญั ดงั นี้ 1) เพ่ือทราบข้อมูล ความคิด ความรู้สึก รวมท้ังเจตคติของผู้เรียน ท่ีมีต่อ ตนเองและสิ่งแวดล้อม 2) เพื่อทราบแนวทัศนะของผู้เรียน ท่ีมีต่อสภาพและบุคคลแวดล้อมท่ี เกีย่ วขอ้ งกบั ตวั ผู้เรยี น 3) เพื่อทราบถึงสิ่งท่ีผู้เรียนยึดถือเป็นสิ่งสาคัญ หรือผู้เรียนมีความรู้สึก ประทบั ใจในสง่ิ ใดเปน็ พิเศษ 4) เพ่ือให้ผู้เรียนได้มีโอกาสแสดงออกและถ่ายทอดประสบการณ์ที่ได้ ประสบมา ซง่ึ จะช่วยให้ผู้เรียนไดต้ รวจสอบตวั เองและเข้าใจตวั เองมากข้นึ 7.1.3 รูปแบบของอัตชีวประวัติ การเขียนอัตชีวประวัติเพ่ือใช้ในการแนะแนว โดยทัว่ ไปท่ีนิยมใช้กนั มี 2 รูปแบบ คือ 1) อัตชีวประวัติแบบกาหนดหัวข้อให้เขียน (Structured Autobiography) เป็นอัตชีวประวัติให้ผู้เรียนเขียนตามเค้าโครงที่กาหนดไว้หรือตอบคาถามตามหัวข้อท่ีกาหนดไว้ แบบน้ีมปี ระโยชน์มากสาหรับผู้เรียนทีม่ ีความสามารถทางภาษาไม่มากนัก ช่วยให้ผู้เรยี นจัดระเบียบ ความคดิ เห็นของตนได้ดีกว่าการเขียนโดยไม่มีการกาหนดหัวข้อ และยังช่วยให้ครูหรือผู้แนะแนวได้ ข้อมูลท่ีตนต้องการ และสามารถรวบรวมรายละเอียดต่างๆ ในแต่ละหัวข้อปัญหาได้อย่างง่ายและ รวดเรว็ ตวั อยา่ งหวั ข้อท่กี าหนดในการเขยี นอตั ชีวประวัติ เช่น สมาชิกในครอบครัว ชีวิตก่อนเข้าเรียน ชีวิตในระดับประถมศกึ ษา สถานที่อยู่ งานท่ีเคยทา การเดนิ ทาง การใช้เวลาหลัง เลกิ เรียนในแตล่ ะวัน การใช้เวลาในตอนค่าหลังอาหารเย็น การใช้เวลาในวันเสาร์อาทิตย์ วิชาที่ชอบ

98 มากท่สี ดุ และน้อยทีส่ ดุ วชิ าหรือกิจกรรมทีค่ ิดวา่ สถานศกึ ษาน่าจะเปิดสอน สิ่งที่ทาได้ดีงานทอี่ ยากทา (เลือก 3 อย่าง) และเหตผุ ลในการเลือกงานนั้นหนังสือหรือนิตยสารที่ชอบอ่านหรือ รายการวิทยุท่ี ชอบฟัง รายการภาพยนตร์ ทวี ที ่อี ยากดู ถ้าใหข้ ออะไรก็ได้ 3 อยา่ งจะขออะไร เป็นตน้ ตัวอยา่ งอัตชวี ประวตั ิ เค้าโครงการเขียนอัตชีวประวตั ิสาหรบั นักเรียนระดับประถมศึกษา “นีค่ ือชวี ิตของฉัน” ฉนั ชอื่ ..........................................................นับจากวนั เกดิ ขณะน้ฉี ันอายุ............ปี ผมของฉัน................................ ผิวของฉัน................................ตาของฉัน................................ ปจั จุบันฉันเรยี นชั้น..............................ทโ่ี รงเรียน..................................................................... ฉนั มพี ี่............คน มนี ้อง.............คน เราชอบ................................................................ดว้ ยกนั พอ่ และฉนั ชอบ.....................................ดว้ ยกัน แม่และฉันชอบ....................................ด้วยกัน ฉันอยูใ่ นเมอื ง.................................................ฉันชอบไปเที่ยวท.่ี ............................................... ฉันมกั เข้านอนเวลา..........................................ฉันต่นื นอนเวลา................................................ 2) อัตชีวประวัติแบบให้เขียนโดยเสรีหรือตามใจชอบ (Unstructured Autobiography) อัตชวี ประวัติแบบน้ีเป็นแบบที่ให้ผู้เรียนไดเ้ ขียนประวัติของตนเองอย่างอิสระและ ไม่คาดคั้นคาตอบใดหรือข้อสรุปใด ผู้เรียนสามารถเลือกท่ีจะเขียนอะไรก็ได้ทีเ่ ขาคดิ ว่ามีความสาคัญ ตอ่ เขา แบบนี้จะให้ประโยชน์ต่อการให้บริการปรึกษามากที่สดุ เพราะผ้เู รยี นจะเขียนเฉพาะสิ่งที่ตน เหน็ วา่ มคี วามสาคญั ต่อชีวิตและความเป็นมาของตนเท่านัน้ และช่วยเปดิ เผยใหบ้ ุคลกิ ภาพดา้ นท่ซี ่อน เรน้ อย่ซู ึ่งไม่สามารถมองเห็นได้จากการใช้เทคนิคอ่ืนๆ แต่แปลความหมายยาก โดยเฉพาะถ้าผู้เรียน เขียนเน้ือหาสาระอยา่ งกระจดั กระจาย 7.1.4 ขอ้ คานงึ ของการเขยี นอัตชีวประวตั ิ การเขียนอัตชวี ประวตั คิ วรคานึงถงึ ส่ิง ดงั ตอ่ ไปน้ี 1) อัตชีวประวัติเป็นเรอ่ื งส่วนบุคคล ดังน้ัน จึงควรให้ความสาคัญเกี่ยวกับ การรักษาความลับ 2) การท่ีบุคคลจะยอมเปิดเผยเรื่องราวตนเองน้ัน จะต้องเกิดจากความ ไว้วางใจและทราบว่าการเปดิ เผยนั้นกระทาเพื่อเหตุใด จากแนวคดิ ดงั กล่าวครูหรอื ผแู้ นะแนวควรสรา้ ง สมั พนั ธภาพท่ีดกี ับผู้เรียน และชแ้ี จงวัตถปุ ระสงค์การเขียนอัตชีวประวตั ิให้ผู้เรียนทราบอยา่ งชดั เจน

99 3) การเขียนอัตชีวประวัติมีความละเอียดอ่อนต่อความรู้สึกของผู้เขียน ดังน้ัน ครูหรือผู้แนะแนวจึงควรให้ผู้เรียนเขียนอัตชีวประวัติเพียงคร้ังเดียวในรอบปีการศึกษาหรือ เมอ่ื จาเปน็ 4) ธรรมชาติของมนุษย์มีความสลับซบั ซ้อน ดังน้ัน ครูควรรู้หลักการในการ วิคราะห์ แปลความอัตชีวประวัตขิ องผู้เรยี น เพอื่ ประโยชนใ์ นการหาทางช่วยเหลือเเละสง่ เสรมิ ผู้รียน ตอ่ ไปดว้ ยกระบวนการและวิธตี ่างๆ 7.2 บันทกึ ประจาวันและอนุทินสว่ นตัว 7.2.1 ความหมายของบันทึกประจาวันและอนุทินส่วนตัว นิรันดร์ จุลทรัพย์ (2554, น. 145) ได้ให้ความหมายของบันทึกประจาวันและอนุทินส่วนตัวไวว้ ่า “ข้อมูลทีผ่ ู้เรียนเขียน ขึ้นตามความรสู้ ึกนึกคิด หรือเจตคติของตนเอง ในแต่ละวันหรือแต่ละชว่ งเวลา ถ้าเป็นการเขียนถึง กิจกรรมต่างๆ ท่ีปฏิบัติเป็นตารางเวลาในแต่ละวันเรียกว่าบันทึกประจาวัน (Diary Record หรือ Diary Schedules) และถ้าเปน็ การเขียนเพ่ือบนั ทึกเหตุการณ์เรื่องราวต่างๆ ท่ีตนเองได้สัมผสั ในแต่ ละวันเป็นการระบายความรู้สกึ หรือช่วยบันทึกความทรงจา ซึ่งถือว่าเป็นเอกสารสาคัญส่วนตัวขอ ง ผู้เรยี นเรียกวา่ อนทุ ินสว่ นตวั (Diaries)” จากความหมายข้างต้น จะเห็นได้ว่าการเขียนบันทึกประจาวันและอนุทิน ส่วนตัวจะมีความคล้ายคลึงกับอัตชีวประวัติ แต่บันทึกประจาวันและอนุทินส่วนตัวต่างจาก อัตชีวประวัติตรงที่มุ่งเน้นเฉพาะกิจกรรม ประสบการณ์ และความรู้สึกนึกคิดท่ีเกิดขึ้นในวันหน่ึงๆ เท่าน้ัน ไม่ได้เป็นการบันทึกเรื่องในอดีตหรือนาคตอย่างอัตชีวประวัติ ดังนั้น บันทึกประจาวันและ อนุทินส่วนตัวจึงทาให้ครูหรือผู้แนะแนวเห็นแบบแผนชีวิตโดยทั่วไปของผู้เรียน กิจกรรมท่ีผู้เรียน ปฏิบตั ิเปน็ ประจา การใชว้ าจาและส่งิ ทีผ่ เู้ รียนสนใจ 7.2.2 จุดมุ่งหมายของบันทึกประจาวันและอนุทินส่วนตัว การบันทึกประจาวัน และอนทุ นิ ส่วนตัวเพอ่ื การแนะแนว มีจดุ มุ่งหมายทส่ี าคัญดงั น้ี 1) เพื่อเป็นการรวบรวมข้อมลู ต่างๆ ไว้เป็นหลักฐานในการอ้างอิงในโอกาส ต่างๆ ทจ่ี าเปน็ 2) เพ่ือชว่ ยใหบ้ คุ ลากรอ่นื ๆ ได้รู้จักและเข้าใจในตวั ผู้เรยี นดยี ่ิงขึ้น 3) เพ่ือใช้เป็นแนวทางในการจัดกิจกรรมช่วยเหลือและพัฒนาผู้เรียน ตามหลกั ฐานท่ีไดอ้ ่านพบจากการบรรยายในบันทึก 4) เพ่ือเปน็ การระบายอารมณ์ ความเครียด ความกดดันต่างๆ ท่เี กดิ ข้ึนกับ ตัวผูเ้ รียนในแต่ละวนั อันทาให้เกดิ ความสบายใจขึ้นไดใ้ นระดับหนงึ่ 5) เพื่อเป็นแนวทางให้เกิดประโยชน์ในการแนะแนว และบริการให้ คาปรกึ ษา

100 7.2.3 หลักการในการให้เขียนบันทึกประจาวนั และอนุทินส่วนตัว การให้ผู้เรียน เขียนบนั ทกึ ประจาวันและอนุทนิ สว่ นตวั ครหู รือผแู้ นะแนวควรมีแนวทางปฏบิ ัติดังนี้ 1) สร้างความคนุ้ เคยกบั ผู้เรียนก่อนแล้วจึงค่อยให้ผู้เรียนเขยี นบนั ทกึ 2) ช้ีแจงคุณค่าของการเขียนบนั ทึกประจาวนั ให้ผู้เรยี นทราบ 3) กระตุ้นให้ผู้เรียนบันทกึ เหตุการณ์ตามความเป็นจริงอย่างจริงใจและให้ บนั ทกึ เร่ืองราวตอ่ เน่อื งกนั ไป 4) สร้างความสัมพันธ์อันดีกับผู้เรียนจนผู้เรียนมีความไว้วางใจ และยินดี ให้อา่ น 5) ไม่ควรเข้มงวดหรือพิถีพิถันเกี่ยวกับสมุดบันทึก แบบฟอร์มและวิธีการ บนั ทกึ มากนกั เพอื่ ผู้เรยี นจะไดส้ ามารถระบายหรอื แสดงความรู้สกึ นึกคดิ ได้เตม็ ที่ ตวั อย่างการบันทึกประจาวนั บันทกึ ประจาวันของ................................................................ช้ัน/ห้องเรียน………………………. สัปดาห์ท่.ี ........... วนั .............. ที่......... เดือน................................... พ.ศ. ............................... เวลา กจิ กรรม 06.00 น. ตน่ื นอน และจัดเก็บท่นี อน 06.30 น. อาบนา้ ล้างหน้าแปรงฟัน และแตง่ ตัว 07.00 น. อา่ นหนงั สือ และจัดตารางสอน 07.30 น. รับประทานอาหารเช้าพรอ้ มกับนอ้ ง 07.50 น. ไปโรงเรียนโดยรถนักเรียน ถงึ โรงเรียนพกั ผ่อนคุยกับเพือ่ นๆ 08.00 น. เขา้ แถวเคารพธงชาติ 08.30 น. เรยี นวิชาภาษาองั กฤษ ฟังครูอธบิ ายไม่ทนั และไมค่ ่อยเข้าใจ กลบั บ้านตอนเย็นตอ้ งทบทวนอีกคร้ังหนึ่ง ฯลฯ 15.45 น. ขนึ้ รถโรงเรียนเพื่อกลับบา้ น นั่งใกล้สุปรีชา 16.30 น. มาถึงบา้ น พูดคยุ กับแม่ ให้อาหารนก 16.45 น. อาบนา้ และทาภารกิจสว่ นตัว 17.00 น. แมเ่ รยี กใหท้ าการบา้ น และทบทวนอ่านหนงั สือวิชาภาษาองั กฤษ 17.30 น. นงั่ ดโู ทรทัศน์ รายการ Super 10 ชอ่ ง WorkPoint 18.00 น. ช่วยแมจ่ ดั ตั้งโต๊ะอาหาร พอ่ กลับถงึ บ้าน รับประทานอาหารเย็น 19.30 น. สวดมนต์ ไหว้พระ ทาสมาธิ แลว้ นอน

101 ตัวอย่างการเขียนอนทุ ินส่วนตัว อนุทินสว่ นตัวของ.......................................................................ชัน้ /ห้องเรียน……………………. วัน................ท.ี่ ................ เดือน............................................................ พ.ศ. .......................... วันนีเ้ ป็นวันท่ี 4 ของปใี หม่ ปนี ้ีเราตั้งใจวา่ จะพยายามเรียนให้ดีกวา่ ปีทผี่ ่านมา อากาศ วนั น้กี ็สดชนื่ แตอ่ ากาศจะดแี บบนไ้ี ปอีกนานแคไ่ หน เพราะมีการตัดไม้ ทาลายป่าและมีโรงงาน อุตสาหกรรมต้ังข้นึ มามากมาย อาบน้าแตง่ ตัวไปโรงเรียนดีกว่า ภาคเชา้ ได้เรยี นวชิ าวิทยาศาสตร์ คุณครไู ด้พูดถงึ เร่อื งปญั หาสิ่งแวดล้อมเปน็ พษิ ซ่งึ ตรงกบั ความคดิ ของเราเม่ือตอนเช้าเลย ทาให้ เราไดท้ ราบข้อมลู และความรู้ต่างๆ ทปี่ ระโยชน์ ในอนาคตเราคงได้เข้ามามบี ทบาทในการเป็น ผดู้ แู ลสิ่งแวดล้อมบา้ ง แลว้ เราจะตอ้ งทาอะไรบ้าง หลงั เลิกเรยี น เราได้ถีบรถจักรยานกลบั บ้าน ใจเรานึกถงึ คนท่ีอยู่กรุงเทพฯ ทเ่ี ขาต้องเผชญิ ปญั หารถติดและควนั พิษ ทาให้เราเกดิ ความคิดว่า ถึงแม้ว่าเราจะเปน็ นักเรียนในชนบท แต่ก็มีชีวิตทสี่ ขุ สบายไดร้ ับอากาศสดชนื่ และไมต่ อ้ งเร่งรบี ไปโรงเรียน เพื่อหนสี ภาพการจราจร ทเ่ี ปรยี บเหมอื นจลาจลเชน่ นักเรียนในเมอื งกรงุ เม่ือไรที่ ทุกคนจะตระหนกั ถงึ คุณคา่ ของเรื่องเหลา่ นกี้ นั เสียที รับประทานอาหารเย็นเสรจ็ แลว้ วนั นี้คงจะ ต้องงดดทู ีวี เพราะเรายังมกี ารบา้ นทจี่ ะต้องทาอีก 2 วชิ า คงจะตอ้ งนอนดกึ กว่าปกติ แตไ่ มเ่ ป็นไร ลาบากในวันนดี้ ีกว่าจะตอ้ งลาบากในวันหน้า อ้อ เกอื บลมื พรงุ่ น้ี เรามนี ัดกบั อาจารยป์ ระจาชน้ั เวลา 12.30 น. ท่หี อ้ ง 1226 วธิ กี ารศกึ ษาและรวบรวมขอ้ มลู ผเู้ รยี นโดยใชแ้ บบทดสอบ การทดสอบ (Testing) เป็นกลวิธีหน่ึงของการเก็บรวบรวมข้อมูลผู้เรียนเป็นรายบุคคล โดยใช้เคร่ืองมือท่ีเรียกว่า แบบทดสอบ (Test Technique) เพื่อช่วยให้ได้ข้อมูลและได้เรียนรู้ เร่ืองต่างๆ เก่ียวกับผู้เรียน หรือช่วยให้รู้จักและเข้าใจผู้เรียนในด้านต่างๆ เช่น ด้านสติปัญญา ความถนัด ความสนใจ ความสามารถ และปัญหาต่างๆ ที่กาลังเผชิญอยู่ หากมีแบบท ดสอบท่ีดี มีคุณภาพ คือ มีความที่ยงตรงและความเชื่อมนั่ ก็จะทาให้เกิดประโยชน์ในการแนะแนวและการให้ ความชว่ ยเหลอื 1. ความหมายของแบบทดสอบ แบบทดสอบ หมายถงึ ชุดของคาถามหรือสง่ิ เร้าท่สี รา้ งขึ้นเพอื่ เรา้ หรอื กระตนุ้ ใหบ้ ุคคลแสดงพฤตกิ รรม ตอบสนองออกมา และพฤติกรรมนั้นสามารถวัดหรือสังเกตได้ ในการศึกษาคุณลักษณะต่างๆ ของ ผู้เรียนน้ัน บางอย่างอาจต้องใช้แบบทดสอบ เช่น สติปัญญา ความถนัด ความสนใจ บุคลิกภาพ สัมฤทธิผลทางการเรยี น เปน็ ต้น

102 2. จุดมุ่งหมายของการทดสอบ การทดสอบมีจุดมุ่งหมายสาคัญคือ เพ่ือรู้และเข้าใจ พฤติกรรมของมนุษย์อย่างละเอียดชัดเจน เพื่อคัดแยกและวินิจฉัยพฤติกรรมของมนุษย์ และเพ่ือ ทานาย ควบคุม พฤติกรรมของมนุษย์ สาหรับจดุ มุ่งหมายการใช้แบบทดสอบเพ่ือการรูจ้ ักผู้เรียนนั้น กเ็ พื่อศึกษามูลของผู้เรียนที่เปน็ นามธรรมซึ่งยากต่อการสังเกต การสมั ภาษณ์ หรอื การใช้วิธีการอืน่ ๆ ในการศกึ ษา 3. ประเภทของแบบทดสอบ แบบทดสอบที่ใช้ในการแนะแนว ประกอบดว้ ย 5 ประเภท ได้แก่ 3.1 แบบทดสอบความสนใจ (Interest Test) หรือแบบสารวจความสนใจ มุ่งค้นหา ชนิดหรือความมากน้อยของความสนใจของผู้เรียน เนอ่ื งจากความสนใจเป็นปัจจัยสาคัญที่มีอิทธิพล สาคัญตอ่ การเรียนรู้ การเลอื กอาชพี และการเขา้ ร่วมกจิ กรรมต่างๆ ของผู้เรยี น การทราบความสนใจที่ แท้จริงของผู้เรยี นจะเป็นประโยชนต์ ่อครูหรอื ผแู้ นะแนวในการเขา้ ใจตัวผู้เรียน และสถานการณท์ ีเ่ ป็น ปัญหาของผู้เรียน เพราะความสนใจเป็นพื้นฐานสาคัญของความสนใจและต้ังใจของบุคคล แบบทดสอบความสนใจที่นิยมใช้ ได้แก่ แบบทดสอบความสนใจในกิจกรรมเก่ียวข้องกับอาชีพของ คเู ดอร์ แบบทดสอบความสนใจในสิ่งแวดลอ้ มส่วนบุคคลของคเู ดอร์ แบบทดสอบความสนใจในงาน อาชีพของคูเดอร์ แบบทดสอบความสนใจในอาชีพของสตรองสาหรับชายและสาหรับหญิง และ แบบทดสอบความสนใจในอาชีพ ฉบบั ปี ค.ศ.1965 เปน็ ตน้ สาหรบั แบบทดสอบของคเู ดอร์ (Kuder Preference Record Vocational) ได้มี การดดั แปลงนามาใชใ้ นประเทศไทยแล้ว คอื 3.1.1 แบบทดสอบความสนใจอาชีพของกองวิจัยทางการศึกษา กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ ใช้กับนักเรียนระดับ ม.3 - ม.6 แบบสารวจนี้แบ่งกลุ่มความสนใจออกเป็น 10 ประเภท คือ งานทางจักรกล งานด้านคานวณ งานเก่ียวกับวิทยาศาสตร์ งานชักชวนโฆษณา งานศลิ ปะ งานวรรณกรรม งานดนตรี งานบรกิ ารสงั คม งานเสมยี น และงานกลางแจ้ง 3.1.2 แบบสารวจความสนใจทางอาชีพของกองการจัดหางาน กรมแรงงาน กระทรวงมหาดไทย แบบสารวจนี้แบ่งความสนใจเป็น 9 กลุ่ม คือ กลุ่มอาชีพเสมียน อาชีพการค้า อาชีพบริการ อาชพี ไฟฟ้า อาชีพช่างเครื่องยนต์กลไก อาชพี หตั ถกรรม อาชีพขบั รถ อาชพี ซ่างกอ่ สร้าง และอาชพี ชา่ งโลหะ 3.2 แบบทดสอบความถนัด (Aptitude Test) เป็นแบบทดสอบที่มุ่งค้นหาหรือ วัดความถนดั เฉพาะอยา่ ง ซงึ่ ความถนดั ตามธรรมชาติเป็นลกั ษณะเฉพาะในแต่ละบุคคล โดยแต่ละคน มคี วามถนัดในด้านต่างๆ แตกตา่ งกันไป บางคนถนัดอย่างหนงึ่ เป็นพิเศษบางคนถนัดหลายด้าน การ วดั ความถนัดมีจุดมุ่งหมายเพอ่ื แนะนาว่าใครมีโอกาสจะประสบความสาเร็จในทางใด และกิจกรรมใด ไม่เหมาะสมกับความสามารถของเขา สาหรับชนิดของความถนัดท่ีมีการทดสอบมีอยู่ 4 ชนิด คือ

103 ความถนัดท่ีเป็นความสามารถทางสมองเฉพาะด้าน เช่น ความสามารถทางความเข้าใจภาษา ความสามารถทางด้านความจา เป็นต้น ความถนัดท่ีเป็นความสามารถของกลไกของร่างกาย เช่น ความแข็งแรงและความยืดหยนุ่ ของลาตวั การประสานงานกนั ของกลา้ มเนือ้ เปน็ ตน้ ความถนดั ทเ่ี ป็น ความสามารถทางการสัมผัส เชน่ การได้ยิน การมองเห็น การดมกลน่ิ เป็นต้น และความถนัดท่เี ป็น ลักษณะของกล้ามเน้ือและสมอง เช่น การควบคุมความแม่นยา การประสานงานของแขนและขา เป็นตน้ ส่วนประเภทของแบบทดสอบความถนัด สามารถจาแนกออกเป็นประเภทตาม ลักษณะความถนัดทว่ี ัดได้ 2 ชนิด คือ (สมบรู ณ์ ตันยะ, 2545, น. 140) 3.2.1 แบบทดสอบความถนัดทางการเรียน (Scholastic Aptitude test) เป็น แบบทดสอบทีว่ ัดความถนัดในการเรยี นวิชาสามัญทั่วๆ ไป ผลการสอบจะช่วยชี้แนวทางในการเลือก เรียนวิชา หรืออาชพี ท่ตี นถนดั ได้อยา่ งถูกตอ้ งและทาให้ประสบความสาเร็จในการเรยี น 3.2.2 แบบทดสอบความถนัดจาเพาะ หรอื ความถนัดพิเศษ (Specific Aptitude test) เป็นแบบทุดสอบที่ใช้ความถนัดเฉพาะอย่ง หรือความถนัดในบางวิชา เช่น ความถนัดในการ พิมพ์ดีด ความถนัดทางช่าง ความถนัดทางศิลปะ ความถนัดทางดนตรี ฯลฯ อาจแบ่งแบบทดสอบ ความถนดั ออกเปน็ 4 ประเภท คอื (บุญชม ศรีสะอาด, 2540, น. 40) 1) แบบทดสอบความถนัดท่ัวไปรายบุคคล (Individually Administered Tests of General Apitude) เป็นแบบทดสอบที่ใช้ทานายผลสาเร็จทางการเรียน และใช้ในทาง คลินิกของนักจิตวิทยา ได้แก่ แบบทดสอบวัดชาวน์ปัญญาเด็กของเวคสเลอร์ (Wechsler Intelligence Scale for Children) แบบทดสอบสแตนฟอรด์ -บิเนต์ (Stanford - Binet Scale) 2) แบบทดสอบความถนัดท่ัวไปกลมุ่ (Group Tests of General Apitude) เปน็ แบบทดสอบที่ใช้ทานายผลสาเรจ็ ทางการเรียน โรงเรยี นและสถาบันการศกึ ษาในสหรัฐอเมรกิ าใช้ แบบทดสอบประเภทนอ้ี ยา่ งกว้างขวางกว่าแบบทดสอบทัว่ ไปรายบุคคล ตัวอย่างได้แก่ แบบทดสอบ อาร์มี แอลฟา (Army Alpha) แบบทดสอบโอทิส -เลนนอน (Otis - Lennon Mental Ability Test) 3) แบบทดสอบความถนัดพหุคูณ (Multple Apitude Battery) เป็ น แบบทดสอบท่ีมงุ่ วัดสมรรถภาพทางสมองหลายชนิด แตล่ ะชนดิ มีคะแนนแยกเฉพาะของตนสามารถ จัดทาเกณฑป์ กติของแต่ละฉบับ และหาความเทีย่ งตรงของแต่ละฉบับกับผลการเรยี นแต่ละดา้ น และ กบั อาชพี ต่างๆ เช่น แบบทดสอบ พี เอ็ม เอ (Primary Mental Ability: PMA) แบบทดสอบ ดี เอ ที (Differential Aptitude Test: DAT) แบบทดสอบเอฟ เอ ซี ที (Flanagan Aptitude Classitication Test: FACT) เปน็ ตน้ 4) แบบทดสอบความถนัดพิเศษ (Special Aptilude Test) เป็นแบบทดสอบ ท่ีใชใ้ นการพิจารณาตดั สินใจเกยี่ วกบั การคัดเลอื กทางอาชีพและทางการศึษา ไดแ้ ก่ แบบทดสอบความ

104 ถนัดทางจักรกล (Mechanical Aptitude Test) แบบทดสอบความถนัดทางดนตรี ของซีชอร์ (Seashore Measures of Musical Talents) แบบทดสอบความถนดั ทางศิลป ของไมเออร์ (Meier Art Judgment) แบบทดสอบความถนดั ทางเสมยี น (Minnesota Clerical Test) เป็นตน้ 3.3 แบบทดสอบบุคลิกภาพ (Personality Test) หรือแบบสารวจบุคลิกภาพ เป็น แบบวัดพฤติกรรมโดยรวมของบุคคล ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของบุคคลน้ัน โดยพฤติกรรมท่ีแสดง ออกมากค็ อื บุคลิกภาพ แบบวดั น้จี ะสะทอ้ นให้เหน็ ถึงความคิดความรู้สึก อารมณ์ เจตคติ ความคิดเห็น ลักษณะนิสัย เป็นต้น เน่ืองจากมีแบบทดสอบบุคลิกภาพหลายชนิดที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย ในหนว่ ยงานที่เกีย่ วขอ้ งต่างๆ แบบทดสอบบุคลิกภาพแบง่ ออกป็น 2 ชนิดใหญ่ๆ ได้แก่ 3.1.1 แบบทดสอบมีวิธีการวัดท่ีมีโครงสร้างชัดเจน (Structure Method) เป็น แบบทดสอบทเี่ ป็นปรนัย (Objective Test) มีข้อคาถามให้เลือกตอบ เป็นลักษณะของการรายงาน ตนเอง เช่น แบบทดสอบเพ่ือวัดอัตมโนทัศน์ (Self - Concept) หรือแบบทดสอบเพ่ือวัดความ วติ กกังวล เป็นตน้ แบบทดสอบทมี่ โี ครงสร้างชัดเจนนี้จึงให้ข้อมลู ทสี่ ะท้อนถึงความสามารถของบุคคล ในการปรับตัวเข้ากับสภาพท่ีถูกควบคุม ตัวอย่างแบบทดสอบบุคลิกภาพท่ีนิยมใช้ในประเทศไทย ได้ แ ก่ แ บ บ ท ด ส อ บ บุ ค ลิ ก ภ าพ EEPS (Edwards Personal Preference Schedule) แ ล ะ แบบทดสอบบคุ ลกิ ภาพ 16 PF 3.1.2 แบบทดสอบมีวิธีการวัดท่ีไม่มีโครงสร้างชัดเจน (Non - Structure Method) เป็นแบบทดสอบการฉายภาพ (Projective Test) สาหรับแบบทดสอบชนิดน้ีเป็น แบบทดสอบที่ให้ข้อมูลสะท้อนถึงโครงสร้างของบุคลิกภาพ แรงจูงใจ และความขัดแย้งท่ีอยู่ภายใน จึงเป็นแบบทดสอบที่ใช้เทคนิคการฉายออก (Projective Techniques) ที่เป็นเครื่องมือวัดทาง จติ วทิ ยาที่สร้างขึ้น เพ่ือล้วงเอาความรู้สึกนึกคิดของบคุ คลออกมาโดยไม่ให้เจ้าตวั รู้สึก และให้เห็นว่า เปน็ ความรสู้ ึกหรือปฏกิ ิริยาของคนอ่ืน แบบเทคนคิ การฉายออกนเ้ี ป็นทง้ั วิธกี ารและเครอ่ื งมือรวบรวม ข้อมูลค้นบุคลิกภาพของบุคคล เช่น แบบทดสอบ Rorschach Inkblots Test หรือแบบทดสอบ Thematic Apperception Test หรือแบบทดสอบ DAP (Draw A Person) เป็นต้น 3.4 แบบทดสอบสติปัญญา (Intelligence Test) เป็นเคร่ืองมือที่ใช้วัดกระบวนการ ทางสติปัญญาและสมอง ความสามารถของมนุษย์ในการเรียนรู้ ความจา การคิด การแก้ไขปัญหา การศึกษาเหตุผลการเข้าใจสงิ่ ต่างๆ ตลอดจนสามารถในการปรบั ตัว ผลทีไ่ ด้จากการทดสอบสติปญั ญา จะช่วยให้ครูหรือผู้แนะแนวทราบถึงระดับความสามารถทางสมองของผู้เรียน และสามารถทานาย ไดว้ ่า ผูเ้ รยี นคนนัน้ จะประสบผลสาเรจ็ ในการเรยี นหรอื ไม่ มากน้อยเพียงใด รวมถงึ วินจิ ฉยั สาเหตขุ อง ปญั หาด้านการศึกษาเล่าเรียนได้อย่างถูกต้อง อนั นาไปสู่การชว่ ยเหลือหรือส่งเสรมิ พัฒนาผู้เรียนได้ อยา่ งเหมาะสม ลักษณะของแบบทดสอบสตปิ ญั ญา สามารถแบง่ ออกเปน็ 2 ประเภท คือ

105 3.4.1 แบบทดสอบสติปัญญ าเป็นรายบุคคล แบบทดสอบประเภทนี้เป็น แบบทดสอบสตปิ ัญญาที่ผู้รับการทดสอบสามารถทดสอบได้คร้ังละหน่ึงคน ด้วยการทดสอบแบบตัว ต่อตัว ซ่ึงผู้ดาเนินการทดสอบจะต้องได้รับการฝึกฝนในการใช้แบบทดสอบประเภทนี้มาเป็นอย่างดี สาหรับแบบทดสอบประเภทนม้ี หี ลากหลาย ซ่งึ ได้แก่ แบบทดสอบสแตนฟอร์ด – บเิ นท์ (Standford Binet Intelligence Scale) แบบทดสอบเวคสเลอร์สาหรับเดก็ (Wechsler Intelligence Scale for Children = WISC) แบบทดสอบเวคสเลอร์สาหรบั ผ้ใู หญ่ (Wechsler Adult Intelligence Scale = WAIS) แบบทดสอบวุฒิภาวะทางสมองโตลัมเบีย (Columbia Mental Maturity Scale) แบบ ทดสอบประเภทนม้ี กั ใชใ้ นคลนิ ิก 3.4.2 แบบทดสอบสติปัญญาเป็นกลุ่ม เป็นแบบทดสอบสตปิ ัญญาประเภททีม่ ีผู้รับ การทดสอบได้ครง้ั ละเป็นจานวนมาก ผดู้ าเนนิ การสอบเพียงปฏิบัติตามคู่มือกส็ ามารถดาเนินการได้ แบบทดสอบประเภทน้ี ได้แก่ แบบทดสอบวิเคราะห์ศกั ยภาพทางการเรียน (Analysis of Learning Potienial) แบบทดสอบโอทิส - เลนนอน (Ots - Lenon Mental Ability Test and Ois- Lennon School Ability Test) แบบทดสอบมหาวิทยาลยั โอไฮโอ (Ohio State Univer-sity Psychological Test) แบบทดสอบแคลิฟ อร์เนีย (California Short Form Test of Mental Maturity) และ แบบทดสอบราเวน (Raven's Progressive Matrices Test) 3.5 แบบทดสอบสัมฤทธ์ิทางการเรียน (Achievement Test) เป็นแบบทดสอบที่ใช้ วัดผลท่ีได้จากการเรียนการสอน ประเมินผลความสาเร็จของผู้เรียน หลังจากได้รับการฝึกอบรมส่ัง สอนในเรื่องน้ันไปแล้ว เป็นแบบทดสอบท่ีใช้วัดผลการเรียนของนักเรียนในวิชาต่างๆ ตั้งแต่ระดับ ประถมศกึ ษาจนถงึ อุดมศึกษา ผลที่ไดจ้ ากการทดสอบสัมฤทธ์ิทางการเรยี น จะช่วยให้ครูหรือผู้แนะ แนวได้ทราบความก้าวหน้าในการศึกษาของผู้เรียน สามารถวิเคราะห์ความต้องการและปัญหา เกี่ยวกับการเรียนรู้ของผู้เรียนได้อย่างถูกต้อง แบบทดสอบสัมฤทธ์ิทางการเรียนท่ีนิยมใช้กันอยู่มี 2 ชนดิ คือ 3.5.1 แบบทดสอบผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนดา้ นการศึกษา เป็นแบบทดสอบชนิดที่ ใช้กันในสถาบันการศึกษาเพื่อวัดความรู้ ทักษะ การนาไปใช้ของผู้ถูกทดสอบหลังจากเรียนจบ หลักสูตรแล้ว ว่ามีความก้าวหน้าหรือมีความงอกงามในการเรียนรู้มากข้ึนมากน้อยเพียงใด แบบทดสอบชนิดนส้ี ามารถจาแนกยอ่ ยตามวตั ถปุ ระสงค์ของการใช้เปน็ 2 ชนดิ คอื 1) แบบทดสอบเพอ่ื สารวจผลสัมฤทธิท์ างการเรยี น เป็นแบบทดสอบที่ใช้เพื่อ ทดสอบผู้ถูกทดสอบว่าได้เรียนรู้ในส่ิงท่ีได้รับการอบรมส่ังสอนมากน้อยพียงใด เป็นแบบทดสอบ สาหรบั ทราบความสาเรจ็ โดยรวมไมไ่ ด้แยกด้านใดด้านหนงึ่ ใช้กนั โดยทวั่ ไปในสถานศึกษา 2) แบบทดสอบเพื่อการวนิ ิจฉัยผลสัมฤทธท์ิ างการเรียน เปน็ แบบทดสอบท่ีใช้ เพอ่ื ทราบวา่ ทาไมผู้ถูกทดสอบจึงไมป่ ระสบผลสาเรจ็ เท่าทีค่ วร มกั จะใชใ้ นการค้นหาสาเหตขุ องความ

106 ล้มเหลว เพ่ือหาแนวทางในการปรบั ปรุงและแก้ไขให้ดีขึ้น แบบทดสอบแต่ละฉบับสร้างข้ึนสาหรับวัด ความสามารถเฉพาะด้าน โดยจะแยกออกเป็นแบบทดสอบยอ่ ยตามทกั ษะแตล่ ะด้านในสาขาวิชานั้นๆ เชน่ แบบทดสอบวัดความสามารถทางภาษา จะมชี ดุ ของแบบทดสอบทว่ี ัดความสามารถย่อยเกี่ยวกับ การอ่าน การใช้ภาษาเพอื่ การสือ่ สาร เป็นตน้ ซ่งึ จะชว่ ยให้ทราบวา่ ผ้ถู ูก 3.5.2 แบทดสอบผลสัมฤทธิท์ างการเรียนด้านอาชพี เป็นแบบทดสอบชนดิ ท่ีใชเ้ พื่อ การคัดเลือก และจาแนกบุคคลของหน่วยงาน และองค์กรต่างๆ เพื่อรับเข้าทางาน เน้ือหาของ แบบทดสอบชนิดน้อี าจจะมีหลากหลาย เช่น รูปแบบภาษา หรือแผนผังต่างๆ ข้ึนอย่กู ับลักษณะของ อาชีพทจี่ ะนามาสร้างเปน็ แบบทดสอบ และในการตอบแบบทดสอบอาจใหผ้ ถู้ ูกทดสอบตอบแบบการ เขยี นตอบ หรือตอบแบบปากเปล่าก็ได้ 4. จรรยาบรรณเกี่ยวกับการใช้แบบทดสอบทางจิตวิทยา อนาสตาซี่ (Anastasy, 1969, p. 44-46) ได้อ้างถึงเกณฑ์ท่ีสมาคมจิตวิทยาอเมริกา ไดต้ งั้ ไว้เก่ยี วกบั การใช้แบบทดสอบทางจติ วทิ ยา ดงั นี้ 4.1 ในการขายหรือแจกจ่ายแบบทดสอบให้แก่ผู้หนึ่งผู้ใด จะต้องม่ันใจว่าบุคคลน้ัน มีความสามารถพอท่จี ะใช้แบบทดสอบนั้นใหเ้ กิดประโยชนไ์ ด้ 4.2 ในการแปลความหมายผลการสอบ ต้องให้ผู้ท่ีมีความรู้ ความชานาญในด้านนั้น โดยเฉพาะ และเขาจะต้องมีความรทู้ างการแนะแนว เพ่ือว่าจะไดน้ าเอาความหมายของการทดสอบที่ แปลได้ ไปชว่ ยในการแนะแนวร่วมดว้ ย เพราะบางคนเมือ่ ทราบผลการทดสอบทางด้านใดต่า อาจเกิด ความท้อใจ ตรงกันข้ามบางคนทราบผลการทดสอบทางดา้ นใดสูงอาจหลงตน ซ่ึงผลทเี่ กิดข้ึนเหล่านี้ อาจเกดิ ข้นึ เนอื่ งจากการไมค่ านึงถงึ การคลาดเคลื่อนในการวดั ก็ได้ 4.3 ก่อนท่ีจะลงมือดาเนินการทดสอบ ผู้ทดสอบจะต้องช้ีแจงให้ผู้รับการทดสอบได้ เข้าใจถึงจุดมุ่งหมายของการทดสอบเสียกอ่ น ว่าจะนาข้อมูลท่ีได้ไปใช้ในจุดมุ่งหมายใด และจะต้อง แจง้ ให้ชัดเจน มิใช่แจง้ โดยเอาใจหรือหลอกผรู้ ับการทดสอบ เป็นต้น 4.4 ก่อนทจี่ ะแจกจา่ ยแบบทดสอบให้บคุ คลใด ควรตรวจสอบให้แนใ่ จว่า แบบทดสอบ นนั้ เปน็ แบบทดสอบทสี่ มบรู ณ์ คือ ได้มีการทดสอบ แก้ไข ปรับปรุงอย่างดีแลว้ ไมเ่ หมาะสมอย่างยงิ่ ท่ี จะอวดอ้างว่าแบบทดสอบน้ัน เป็นแบบทดสอบท่ีดีเลิศ และควรได้บอกจุดมุ่งหมายเฉพาะของ แบบทดสอบใหแ้ นช่ ัดว่าจะนาผลไปใชเ้ พอ่ื วัตถุประสงค์ใด 4.5 แบบทดสอบต่างๆ ไม่ควรไปพิมพ์ลงในหนังสือ เอกสาร หรือหนังสือพิมพ์ หรือให้ ผู้สอบนาไปทดสอบเพอ่ื การประเมนิ ผลตนเอง ซง่ึ จะทาให้เกิดการผดิ พลาดได้ง่าย การนาแบบทดสอบ ไปพิมพ์ลงในเอกสารต่างๆ จะทาให้แบบทดสอบนั้นแพร่หลายสู่คนทั่วๆ ไป จนทาให้ผลท่ีจะได้จาก การทดสอบในครั้งต่อๆ ไป ขาดความสมบูรณ์ หรือขาดความไว้วางใจได้ ทั้งนี้เพราะได้ทราบหรือ คุ้นกับแบบทดสอบนี้มากอ่ นแลว้

107 การจดั ระบบขอ้ มลู : ระเบยี นสะสม ระเบียนสะสม (Cumulative Record) หรือ ปพ. 8 เป็นเอกสารที่บันทึกและรวบรวม ข้อมูล ข้อเท็จจริง ซึ่งเป็นรายละเอียดในทกุ ด้านของผู้เรียนแต่ละคนอยา่ งต่อเนอ่ื ง ตั้งแต่เรม่ิ เข้าเรยี น จนสาเร็จการศึกษา ระเบยี นสะสมจึงมคี วามสาคญั และมีประโยชน์ตอ่ ครูผสู้ อนในการร้จู ักผู้เรยี นเป็น อยา่ งย่งิ ครูหรอื ผูแ้ นะแนวจงึ ควรมีความรู้เบอ้ื งต้นกีย่ วกบั ระเบียบสะสม ดังนี้ 1. ความหมายของระเบียนสะสม ระเบียนสะสม หมายถึง เอกสารอย่างหนึ่งท่ีเป็นท่ี รวบรวมข้อมูล ข้อเทจ็ จรงิ และรายละเอียดในด้านตา่ งๆ ของผู้เรยี นแต่ละคนอย่างมีระบบแบบแผน เช่น ประวัติส่วนตัว ประวัติครอบครัว รายงานการเรียน รายงานการทดสอบ รายงานสุขภาพ ความถนัด ความสนใจ กิจกรรมพิเศษ โครงการศึกษา และอาชีพในอนาคต บันทึกการสัมภาษณ์ บันทึกการให้คาปรึกษาและรายงานอน่ื ๆ ท่ที างสถานศกึ ษาต้องการทราบเก่ยี วกับตัวผู้เรยี น ระเบียนสะสมใช้สาหรับบันทึกและรวบรวมรายละเอียดของความเป็น ไปของผู้เรียน ติดต่อเน่ืองกันเป็นเวลานานนับต้ังแต่ผู้รียนเร่ิมเข้าสถานศึกษา จนออกจากสถานศึกษาไปเพื่อ การศึกษาต่อในชั้นสูงหรือเพ่ือการประกอบอาชีพ ซึ่งระเบียนสะสมควรจะได้ติดตามผู้เรียนไปด้วย เพอ่ื สาหรบั ใช้เป็นหลกั ฐานให้ผู้ที่ทาหนา้ ที่ท่ีเกี่ยวข้องกบั ผู้เรียนได้ศกึ ษารจู้ ักและเขา้ ใจไดถ้ ูกต้อง 2. จดุ มุ่งหมายของระเบียนสะสม การจัดทาระเบียนสะสม มจี ุดมงุ่ หมายท่สี าคัญดงั นี้ 2.1 ช่วยให้มองเห็นภาพรวม (As a Whole ) ของผู้เรียนแต่ละคน เพราะระเบียนสะสม เป็นแหลง่ รวมข้อมลู ที่มคี วามสัมพนั ธ์กันเป็นเรื่องราว ซึง่ จะใช้เป็นฐานข้อมูลสาหรับการแนะแนวได้ เปน็ อยา่ งีดี 2.2 ช่วยใหค้ รู หรอื ผู้แนะแนวรูจ้ ักคุ้นเคยกับผู้เรียนใหม่ไดอ้ ย่างรวดเร็ว และข้อมูลที่ได้ เป็นเบื้องต้นนี้ ก็น่าเช่ือถือ เพราะการเขา้ มาสู่สถานท่ีใหม่ ผู้เรียนแต่ละคนยังไม่เกิดการเรียนรู้ที่จะ ระวังตัว ขณะเดียวกนั แต่ละคนมคี วามเต็มใจที่จะกรอกข้อมูลต่างๆ 2.3 ช่วยให้ครูหรือผู้แนะแนว และผู้ให้คาปรึกษา เล็งเห็นข้อดี หรือข้อบกพร่องของ ผู้เรยี นแต่ละคน เพือ่ วางแนวทางในการแนะแนวหรือใหก้ ารชว่ ยเหลือต่อไป 2.4 ช่วยให้ประหยัดเวลาในการสารวจข้อมลู เก่ียวกับตัวผู้เรียน เพ่ือใช้ในกรณีต่างๆ ไม่ ตอ้ งสารวจซา้ 2.5 ช่วยผู้เรยี นและผู้ปกครองได้วางแผนชีวิตของตน ไดอ้ ย่างเหมาะสมและตามสภาพ ความเปน็ จริง 2.6 ช่วยให้ได้ข้อมูลพื้นฐานสาหรับรายงาน เพ่ือส่งตัวผู้เรียนไปยังสถานศึกษาและ หน่วยงานอนื่ ๆ ท่ีผู้เรียนจะเขา้ ไปเปน็ สมาชกิ ใหม่

108 3. ขอ้ มูลท่คี วรบันทกึ ไวใ้ นระเบียนสะสม รายละเอียดข้อมูลท่ีจดบันทึกในระเบียนสะสม ควรมีความท่ีครอบคลุมเรื่องราวของ ผเู้ รยี นในทุกๆ ด้าน ซง่ึ ควรประกอบไปดว้ ยข้อมูลดงั ต่อไปน้ี 3.1 ขอ้ มลู สว่ นตวั ช่ือ ช่ือสกุล เช้ือชาติ เพศ ศาสนา ฯลฯ 3.2 ข้อมูลเกี่ยวกับครอบครัวและชุมชนท่ีผู้เรียนอยู่ ชื่อบิดามารดา หรือผู้ปกครอง สถานภาพทางเศรษฐกจิ สถานทเ่ี กดิ ของบิดามารดา ฯลฯ 3.3 ข้อมูลเก่ยี วกบั สุขภาพอนามัย สว่ นสูง น้าหนกั การเจ็บปว่ ย ฯลฯ 3.4 ข้อมูลเก่ียวกับผลสัมฤทธ์ิทางการศึกษา คะแนนผลรวมตลอดปี ช่ือวิชาที่เรียน ความลม้ เหลวในการเรียน ลาดับท่สี อบได้ ฯลฯ 3.5 ข้อมูลที่ได้จากการทดสอบกับแบบทดสอบมาตรฐาน คะแนนทดสอบเกี่ยวกับ เชาวนป์ ัญญาโดยทวั่ ไป คะแนนทดสอบเกีย่ วกบั ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียน ฯลฯ 3.6 ข้อมูลเกย่ี วกบั เวลาเรยี น จานวนเวลาเรียน วันลา ขาด ลาปว่ ย 3.7 ข้อมลู ทางบุคลกิ ภาพ เชน่ ความรับผิดชอบ ความเชือ่ มน่ั ในตนเอง ฯลฯ 3.8 ข้อมูลเบ็ดเตล็ดอืน่ ๆ การทางานพเิ ศษ การเข้าร่วมกิจกรรม ฯลฯ 4. ลักษณะและแบบของระเบียนสะสม ระเบียบสะสมที่นิยมใช้กันทั่วไปในสถานศึกษา สามารถจาแนกเป็น 3 แบบ คอื 4.1 แบบบัตรแผ่นเดียวหรือแบบพับได้ (single card or folder) เป็นแบบท่ีมีหัวข้อ รายละเอียดของข้อมูลท่ีต้องการกรอกพิมพ์ไวแ้ ล้ว ข้อมูลต่างๆ จะบันทกึ อยู่ในระเบียนแผ่นเดียวกัน ท้ังหมด ระเบียนสะสมแบบน้ีสะดวกต่อการจดั ทา ประหยัดทัง้ ค่าใชจ้ า่ ย เวลา และการจดั เกบ็ แต่กจ็ ะ ขาดรายละเอียดช่องว่างไม่พอสาหรับกรอกขอ้ มูล ขาดความยดื หยุ่น และปรับให้เหมาะสมกับสภาพ การใช้งานไดย้ าก 4.2 แบบซองหรือแฟ้มพับได้ (packet or folder type) เป็นแบบท่ีใช้ซองหรือแฟ้ม เปน็ ท่เี ก็บเอกสารท่รี วบรวมได้ ขอ้ มลู จะถูกบันทกึ ลงในบตั รรายการเป็นเร่อื งๆ และเกบ็ รวบรวมไว้ใน ซองหรือแฟ้มประจาตัวผู้เรียน ระเบียนสะสมแบบน้ีสะดวกในการจดั เก็บ ประหยัด ยืดหยุ่นได้ตาม ตอ้ งการ จงึ เปน็ แบบทีน่ ยิ มใช้มากที่สุด 4.3 แบบรวมหรือแบบเป็นเล่ม (combination) เป็นการนาแบบที่ 1 กับแบบที่ 2 มา รวมกันและจดั ทาเป็นเล่ม ทั้งนี้ขน้ึ อยู่กบั วา่ ผู้ใช้จะตอ้ งการข้อมูลรายละเอียดครอบคลุมเท่าใด หรือ ต้องการให้มีคุณสมบัติในด้านใด เช่น ราคาประหยัด จากัดเน้ือที่ ชี้ชัดข้อมูล เป็นต้น ก็ทาการ พิจารณาตามความเหมาะสม และดัดแปลงใหส้ อดคล้องกบั ความต้องการของแตล่ ะแห่ง

109 5. หลกั สาคญั ในการจดั ทาระเบยี นสะสม ในการจัดทาระเบียนสะสมควรยดึ หลกั การดงั นี้ 5.1 เป็นแบบเรียบงา่ ย ไม่ซบั ซ้อน สะดวกแกก่ ารใช้และเกบ็ รักษา 5.2 หัวขอ้ ต่างๆ ที่มีอย่ใู นระเบียนสะสมควรเป็นหัวขอ้ ที่สาคญั ๆ ซ่งึ ชว่ ยใหม้ คี วามเขา้ ใจ ผู้เรยี นได้มากทสี่ ดุ และชว่ ยให้ผเู้ รียนเกิดความเขา้ ใจตนเองด้วย 5.3 มกี ารจดบนั ทกึ ข้อมูลสมา่ เสมอ 5.4 ข้อมลู ตา่ งๆ ทจี่ ดั เกบ็ ไว้ตอ้ งทันสมยั และทันกบั เหตกุ ารณ์ 5.5 การรวบรวมและเก็บข้อมูลควรจะเป็นการทาร่วมกันระหว่างบุคลากรต่างๆ ใน สถานศกึ ษา 5.6 การจดบนั ทึกควรตรงกบั ความเป็นจรงิ มากท่ีสดุ 5.7 ข้อมูลต่างๆ ในระเบียนสะสมจะถือว่าเป็นความลับ เป็นส่ิงที่สงวนไว้เฉพาะผู้ที่ เก่ียวข้องดว้ ยเท่าน้ัน 5.8 ควรมคี าอธิบายและข้อชี้แจงตา่ งๆ อยา่ งสมบรู ณ์ 5.9 เป็นเอกสารที่ต้องเคล่ือนย้ายไปกับตัวผู้เรียนทุกครงั้ ที่ผู้เรยี นย้ายสถานศึกษาและ สถานศกึ ษาสดุ ท้ายจะเปน็ ผู้เกบ็ รกั ษาไว้ ตัวอย่างระเบยี นสะสม ระเบยี นสะสมนักเรียนรายบุคคล (ปพ.8) เลขที่…………. โรงเรียน....................................... อาเภอ.................... จังหวดั ................................. . สานักงานเขตพน้ื ท่ีการศึกษา........................................................... รปู ถา่ ย *********************** คาช้แี จง ใหน้ ักเรยี นกรอกขอ้ มลู ส่วนตัว และ กา  ในชอ่ ง  ใหค้ รบถ้วน สมบูรณ์ (ข้อมลู เหลา่ นจ้ี ะเกบ็ ไว้เปน็ ความลบั ) 1. ประวัติสว่ นตวั นกั เรยี น ชอ่ื .................................นามสกุล............................ ชน้ั ม……/….… ช่ือเล่น.................. เลขประจาตวั .................... โทรศัพท์..........……...........เกดิ วันที่............เดอื น............…...............พ.ศ.......……..........สถานทเี่ กิดบ้านเลขท่ี............... หม่ทู ่ี................บ้าน.........…............ตาบล..............................อาเภอ.................……........จังหวดั ...…………….................. อาศยั อยู่กับ........….... ระยะทางจากบ้านถงึ โรงเรยี น ประมาณ……กโิ ลเมตร ความสามารถ(พิเศษ)....................………. เดินทางมาโรงเรยี นโดย  เดนิ  รถจกั รยาน รถจกั รยานยนต์  รถรบั สง่  อืน่ ๆ ( ระบุ)…………..........… ชอ่ื ครทู ี่ปรึกษา1. .................................…....…......………......... 2. .............................………............................................ ชื่อบดิ า..............................................................................อายุ.........……..........ปี อาชีพ..............…...…………................ ช่อื มารดา...........................................................................อายุ...........……........ปี อาชีพ................……......................... ทอี่ ย่บู ดิ า/มารดา..................................................................................................……….......โทรศพั ท์............................

110 เปน็ บุตรคนที่.......…..... ในจานวนพี่นอ้ งร่วมสายโลหิต..….........คน เปน็ ชาย....….............คน หญิง..............…......คน ประกอบอาชีพแล้ว......................คน อยู่ในความอปุ การะของครอบครวั ...........................คน สถานภาพบิดา มารดา  อยดู่ ว้ ยกนั  แยกกนั อยู่  หย่ารา้ งกัน  อ่นื ๆ ระบุ..................................... รายได้ของครอบครวั  ต้ังแต่ 27,000 บาทต่อปีข้ึนไป  20,000-26,999 บาทต่อปี  นอ้ ยกวา่ 20,000 บาทต่อปี ผู้ออกคา่ ใชจ้ า่ ยในการเรยี นใหค้ ือ............................................……...เกี่ยวขอ้ งเป็น.........................……......................... งานอดิเรกของข้าพเจ้า.................................................................................................................................................. หน้าทรี่ ับผิดชอบภายในบา้ นที่ทานอกเหนือการเรียนคือ 1. ………………………………..............................……..….. 2. ................................................……..........................…….. 2. ดา้ นเกย่ี วกบั สขุ ภาพ น้าหนกั ...........กิโลกรัม สว่ นสูง............เซ็นตเิ มตร โรคประจาตัว .......………......………................................. โรคท่เี คยเป็น ....................................... เม่ือ ปี พ.ศ. ....................... การรกั ษา.........................……………............... ประวัตอิ ุบตั ิเหตุ..................…............... เมอ่ื ปี พ.ศ. .................... สถานทเี่ ขา้ รับการรกั ษา..........……….............…. 3. ดา้ นเกยี่ วกบั เศรษฐกจิ ขา้ พเจา้ มีเงินใช้ จา่ ยในการมาโรงเรียนประมาณวันละ ......................……….......บาท ข้าพเจา้ มงี านพิเศษทาคอื …………………..............………………………..……… รายไดเ้ ฉลี่ยวนั ละ…..….........……..บาท ข้าพเจา้ คิดว่าค่าใชจ้ ่ายของข้าพเจ้า  มากเกนิ ไป  พอดี  ไมพ่ อใช้บางคร้งั  นอ้ ยเกินไป 4. ด้านเก่ยี วกับส่ิงแวดลอ้ มในโรงเรียน และทางบา้ น โรงเรยี นของข้าพเจ้า  น่าเรียนมาก  นา่ เรียนพอควร  ไมน่ า่ เรียนเลย บรรยากาศในโรงเรียน  อบอุ่นมาก  อบอุ่นพอควร  หา่ งเหนิ กัน  สามัคคีกัน  ตา่ งคนตา่ งอยู่  แยกกนั หลายหมู่  หา่ งเหินกัน บรรยากาศของ  อบอุ่นมาก  อบอุ่นพอควร  ไมล่ งรอยกนั ทงั้ บ้าน บา้ นขา้ พเจ้า  สามคั คีกัน  ต่างคนตา่ งอยู่ สิง่ ทข่ี ้าพเจ้าอยากให้ครอบครัวของข้าพเจ้าปรบั ปรงุ คือ 1. ...................................................……....................... 2. …………………..……………................…….…………. 3. ...................................................……....................... 4. …………………..……………................…….…………. 5. ด้านเกี่ยวกับการเรียน  เบอ่ื เรียนบางวิชา  เรียนไมท่ นั เพื่อน ปัจจุบนั ข้าพเจา้  เรยี นไม่เขา้ ใจ  ตอ้ งการให้เพื่อนช่วย ตอ้ งการครทู ี่เขา้ ใจและเป็นที่  อยากเลิกเรียน  ปรึกษาได้ สาเหตุของปัญหาทางการเรยี น เพราะ........................................………...........................................……….........…….

111 ผลการเรยี นเฉล่ีย ม.2 ปกี ารศึกษา…………………….. ม . 3 ปกี ารศึกษา…………………….. เกรดเฉลย่ี ………………………………. เกรดเฉลีย่ ………………………………. ม.1 ปีการศึกษา…………………….. เกรดเฉลย่ี ……………………………. ม.5 ปกี ารศึกษา…………………….. ม . 6 ปีการศึกษา…………………….. ภาคเรียนที่ 1 ภาคเรียนท่ี 2 ภาคเรียนที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ม.4 ปีการศกึ ษา…………………….. เกรดเฉลีย่ …..….. เกรดเฉลย่ี …..….. ภาคเรยี นที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 เกรดเฉลีย่ ………….. เกรดเฉลี่ย………….. เกรดเฉล่ยี ………. เกรดเฉลย่ี …….. 6. ดา้ นเกีย่ วกบั มนุษยสัมพันธ์ และบุคลกิ ภาพ ข้าพเจา้ มเี พือ่ นสนิท คอื …….....…………...................……………..............…………ชั้น….................…………………. เมอ่ื อยใู่ นกลุม่ เพอื่ นขา้ พเจ้ามักเปน็  ผูน้ า  ผตู้ าม ผูน้ าบางโอกาสผตู้ าม  บางโอกาส ข้าพเจ้าเข้ากบั เพื่อนได้  ง่าย  คอ่ นข้างงา่ ย  ยาก เมอื่ ผ้ใู หญใ่ ช้งานข้าพเจ้ามักจะ ทาด้วยความ  ทาเพราะเลีย่ งไม่ได้  พยายามหลีกเลี่ยง  กระตอื รือร้น เม่ือมีกจิ กรรมกลุ่ม ข้าพเจ้ามกั จะ ทางานมากกวา่  ทางานเทา่ กับเพื่อน  ทางานน้อยกว่าเพ่ือน  เพอ่ื น 7. ดา้ นเกย่ี วกับสขุ ภาพจิตและคา่ นยิ ม ข้าพเจ้ารสู้ กึ วา่ โลกน้ี  นา่ อยู่  ไม่น่าอยู่ ข้าพเจ้าร้สู กึ วา่ ตัวเอง  มคี า่  ไม่มคี ่า ข้าพเจา้ คดิ วา่ คนท่ีดคี วรมีลักษณะ…………………………………………………………………………........………………………….. ขา้ พเจ้าคดิ ว่าสังคมท่ีดีควรมีลักษณะ………………………………………………………….…………………………………………….. 8. เป้าหมายของชวี ติ ในอนาคต ขา้ พเจ้าอยากประกอบอาชพี ......................................เพราะ...............................................……………………………... 9. ปญั หาทีข่ า้ พเจ้ากาลังประสบอยใู่ นขณะน้ี 9.1  เรอ่ื งครอบครัว 9.6  เรื่องการวางตัวในสังคม 9.2  เร่ืองการเรยี น 9.7  เร่ืองการใชเ้ วลาวา่ ง 9.3  เร่อื งสขุ ภาพ 9.8  เร่ืองการเลือกอาชพี 9.4  เรอ่ื งเศรษฐกจิ 9.9  เรื่องการเลือกศึกษาตอ่ 9.5  เรอ่ื งการคบเพ่อื น 9.10  เรอ่ื งการปรับตัวเขา้ กับครู-อาจารย์ในโรงเรยี น ถ้าต้องการความช่วยเหลือ / ปรึกษา ขา้ พเจา้ ตอ้ งการความชว่ ยเหลือ / ปรึกษา จาก  บิดา  มารดา  ครูแนะแนว  ครูทป่ี รึกษา  เพือ่ น  อน่ื ๆ (โปรดระบุ)................ ลงชือ่ ……………………………………..ผู้กรอกข้อมลู (…………………………………….) วนั ท่ี…….……..เดือน……..…………………พ.ศ……..………

112 บทสรปุ บริการศึกษาและรวบรวมข้อมูลผู้เรียนเป็นรายบุคคล เป็นบริการท่ีทาการเก็บรวบรวม ข้อมูลเก่ียวกับตัวผเู้ รียนในทกุ ๆดา้ น แล้วทาการบนั ทกึ ขอ้ มูล และแปลความหมายข้อมลู ตา่ งๆ อยา่ งมี ระบบ จากนนั้ นามาเกบ็ รวบรวมไว้อยา่ งเปน็ ระเบียบ เพอื่ นาข้อมูลที่ไดร้ ับมาใชใ้ นการช่วยเหลอื ผ้เู รยี น ไดอ้ ย่างมีประสิทธิภาพ โดยบริการนี้มีจดุ มงุ่ หมายที่สาคัญ คอื การรจู้ ักผ้เู รียนอย่างแท้จรงิ และถกู ตอ้ ง เพื่อท่ีจะสง่ เสรมิ ป้องกัน และแก้ไขปัญหาของผู้เรียนได้อย่างมีประสทิ ธิภาพ ทาให้ผูเ้ รียนเกิดความ งอกงามเตม็ ตามศักยภาพ สาหรับประเภทของขอ้ มลู ท่คี วรเก็บรวบรวม คือ ขอ้ มูลส่วนตัว และภูมิหลงั ทางครอบครวั ขอ้ มลู เกีย่ วกับประวัตใิ นสถานศึกษาและรายงานสัมฤทธ์ิผล ขอ้ มลู เก่ียวกบั สขุ ภาพและ อนามัย ข้อมูลเก่ียวกับความสนใจ ความชอบ ความไม่ชอบ และแผนของชีวิตในอนาคต ข้อมูล เก่ียวกับประสบการณ์ และกิจกรรมต่างๆ ภายนอกสถานศึกษา และข้อมูลเกี่ยวกับพัฒนาการ ทางด้านอารมณ์และดา้ นสงั คม ในการศกึ ษาและรวบรวมข้อมูลเก่ียวกบั ตวั ผู้เรยี นนัน้ จะตอ้ งศึกษารวบรวมจากตัวผู้เรียน และจากบุคคลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น บิดา มารดา ผู้ปกครอง ครูประจาช้ัน ครูประจารายวิชา และ เพื่อน เป็นต้น ซ่ึงวิธีการศึกษาและรวบรวมข้อมูลผู้เรียนเป็นรายบุคคล สามารถแบ่งออกได้ 2 ประเภท คือ วิธีการศึกษาและรวบรวมข้อมูลผู้เรียนโดยไม่ใช้แบบทดสอบ ได้แก่ การสังเกต การสมั ภาษณ์ การใช้แบบสอบถาม การเยย่ี มบา้ น การทาสงั คมมิติ การศึกษารายกรณี และการศึกษา จากผลงานของผู้เรียน และวิธีการศึกษาและรวบรวมข้อมูลผู้เรียนโดยใช้แบบทดสอบ ได้แก่ แบบทดสอบความสนใจ แบบทดสอบความถนัด แบบทดสอบบคุ ลิกภาพ แบบทดสอบสตปิ ัญญา และ แบบทดสอบสัมฤทธ์ิทางการเรียน ซึ่งการจัดข้อมูลให้เป็นระบบสามารถเก็บรวบรวมไว้ในระเบียน สะสม ทง้ั น้ีครหู รอื ผแู้ นะแนวควรทาความเขา้ ใจหลกั การ ข้นั ตอน รวมท้ังข้อควรคานึงของแต่ละกลวิธี และเครอื่ งมอื กอ่ นแต่ละชนิดทจ่ี ะนามาใชด้ ้วย

113 ใบกิจกรรมท่ี 2.1 คาช้แี จง ให้นกั ศกึ ษาแบง่ กล่มุ แลว้ รว่ มอภิปรายในหัวขอ้ “ขอ้ มูลหรอื ข้อสนเทศเกยี่ วกับ ผู้เรียนที่ควรทาการศึกษาและเก็บรวบรวมข้อมูล” เสร็จแล้วให้แต่ละกลุ่มสรุปลงบนกระดาน ฟลปิ ชารท์ ท่ีแจกให้ พรอ้ มสง่ ตัวแทนมานาเสนอหนา้ ช้นั เรียนต่อกลุ่มใหญ่ “ขอ้ มูลหรือขอ้ สนเทศเกย่ี วกบั ผเู้ รยี นท่ีควรทาการศกึ ษาและเก็บรวบรวมขอ้ มูล” ………………………………………………………………………………………………………………..……………………………. ………………………………………………………………………………………………………………..……………………………. ………………………………………………………………………………………………………………..……………………………. ………………………………………………………………………………………………………………..……………………………. ………………………………………………………………………………………………………………..……………………………. ………………………………………………………………………………………………………………..……………………………. ………………………………………………………………………………………………………………..……………………………. ………………………………………………………………………………………………………………..……………………………. ………………………………………………………………………………………………………………..……………………………. ………………………………………………………………………………………………………………..……………………………. ………………………………………………………………………………………………………………..……………………………. ………………………………………………………………………………………………………………..……………………………. ………………………………………………………………………………………………………………..……………………………. ………………………………………………………………………………………………………………..……………………………. ………………………………………………………………………………………………………………..……………………………. ………………………………………………………………………………………………………………..…………………………….

114 ใบกิจกรรมที่ 2.2 คาช้ีแจง ให้นักศึกษาแบ่งกลุ่มทาการศึกษาค้นคว้าเนื้อหาเกี่ยวกับวิธีการศึกษาและ รวบรวมข้อมูลผู้เรียนโดยไม่ใช้แบบทดสอบ (Non-testing Techniques) กลุ่มละ 1 วิธีการ จากนั้น สรปุ สาระสาคญั โดยจัดทาเป็นรายงานและนาเสนอหน้าชนั้ เรยี นด้วยสื่อทางคอมพิวเตอร์ Microsoft Power Point กลุม่ ที่ 1 การสงั เกต กลมุ่ ที่ 2 การสัมภาษณ์ กล่มุ ท่ี 3 การใชแ้ บบสอบถาม กล่มุ ท่ี 4 การเย่ียมบ้าน

กลุม่ ท่ี 5 การทาสงั คมมิติ 115 กลุ่มท่ี 6 การศึกษารายกรณี กลุม่ ท่ี 7 การศกึ ษาจากผลงานของผ้เู รียน อัตชีวประวัติ บันทกึ ประจาวัน และอนุทินส่วนตวั

116 ใบกิจกรรมที่ 2.3 คาชี้แจง ให้นักศึกษาแบ่งกลุ่มสืบค้นตัวอย่างแบบทดสอบ (Testing Techniques) ท่ี นามาใช้ศึกษาและรวบรวมข้อมูลผู้เรียน กลุ่มละ 1 วิธีการ แล้วนามาสาธิตให้เพื่อนในชั้นเรียน ได้ร่วมทาการทดสอบ กลุ่มที่ 1 แบบทดสอบความสนใจ กลุม่ ท่ี 2 แบบทดสอบความถนัด กลุ่มท่ี 3 แบบทดสอบบุคลิกภาพ กลุม่ ที่ 4 แบบทดสอบสติปญั ญา กลมุ่ ท่ี 5 แบบทดสอบสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น

117 คาถามทา้ ยบท จงตอบคาถามต่อไปนี้ โดยอธบิ ายพร้อมยกตัวอย่างประกอบ 1. จงอธบิ ายความหมาย และความสาคัญของบรกิ ารศกึ ษาและรวบรวมขอ้ มลู ผเู้ รยี นเปน็ รายบุคคลท่ีสง่ ผลกับผเู้ รียน และงานแนะแนว 2. บรกิ ารศกึ ษาและรวบรวมข้อมลู ผเู้ รียนเปน็ รายบคุ คลมจี ดุ มุง่ หมายอย่างไร 3. จงอธิบายหลักการของบรกิ ารศกึ ษาและรวบรวมข้อมลู ผเู้ รยี นเปน็ รายบุคคล 4. หากท่านในฐานะครปู ระจาชนั้ ได้รับมอบหมายให้ศกึ ษาและรวบรวมขอ้ มลู ผ้เู รียน ท่าน ควรศึกษาขอ้ มลู ใด 5. ข้อควรคานึงในบรกิ ารศกึ ษาและรวบรวมขอ้ มลู ผเู้ รยี นเปน็ รายบคุ คล มสี ิง่ ใดบ้าง และ ส่งผลกระทบอย่างไรต่อผเู้ รียน และงานแนะแนว 6. ให้ท่านเลือกวิธีการศึกษาข้อมูลผู้เรียนมา 3 วิธี แล้วอธิบายเกี่ยวกับความหมาย จดุ มุ่งหมาย หลกั การ และขอ้ ควรระวงั ในแต่ละวธิ ี 7. ครูณฐั ใหน้ กั เรียนช้นั ประถมศกึ ษาปที ่ี 5 เขียนอตั ชีวประวตั ิทุกสปั ดาห์ ท่านคิดวา่ ควร ปฏิบัติตามการกระทาของครูณฐั หรือไม่ เพราะเหตุใด 8. แพรเป็นเด็กนักเรียนหญงิ ในความดแู ลของท่าน แพรมพี ฤติกรรมขโมยส่งิ ของจากเพ่ือน ไม่เลน่ กบั เพ่ือน มักอยู่คนเดยี ว นงั่ หลบั ในหอ้ งเรียนเป็นประจา จากพฤตกิ รรมของแพร ท่านจะ ดาเนินการอย่างไรเพือ่ ทาความรจู้ กั แพรอยา่ งแทจ้ รงิ 9. หากทา่ นไดร้ บั มอบหมายใหแ้ นะแนวกบั นกั เรียน ท่านมกี ระบวนการแนะแนวบน พน้ื ฐานของการนาเครอื่ งมอื ทเ่ี ป็นแบบทดสอบไปใชไ้ ด้อย่างไร 10. จากประสบการณ์ของท่านที่ผา่ นมา ทา่ นเห็นว่าระเบียบสะสมถูกนามาใช้ประโยชนใ์ น การแนะแนวอยา่ งจริงจังหรอื ไม่ เพราะเหตใุ ด

118 เอกสารอ้างอิง กรมวชิ าการ กระทรวงศึกษาธกิ าร. (2532). คมู่ อื ปฏิบัตงิ านแนะแนวในโรงเรียนประถมศึกษา. กรงุ เทพฯ: กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. จาเนียร ช่วงโชติ. (2547). เทคนิคการแนะแนว. พมิ พค์ รง้ั ที่ 7. กรงุ เทพฯ: สานักพมิ พม์ หาวิทยาลัย รามคาแหง. จิตรอารี เนตรหนิ . (2554). “บรกิ ารศกึ ษาข้อมลู เกยี่ วกบั นกั เรียนในงานแนะแนวระดบั มัธยมศึกษา หนว่ ยท่ี 5” ในเอกสารการสอนชดุ วิชาการแนะแนวในระดบั มธั ยมศกึ ษา หน่วยท่ี 1-7. (ฉบับปรบั ปรงุ ครงั้ ที่ 1). นนทบรุ ี: สานักพมิ พม์ หาวทิ ยาลัยสโุ ขทยั ธรรมาธริ าช. เจษฎา บุญมาโฮม. (2558). หลกั การแนะแนวและการพฒั นาผูเ้ รยี น. พมิ พ์ครงั้ ที่ 4. นครปฐม: สไมล์ พรนิ้ ตงิ้ & กราฟกิ ดีไซน์. ทศวร มณีศรขี า. (2543). การเกบ็ ข้อมลู เปน็ รายบุคคล. กรงุ เทพฯ: ภาควชิ าการแนะแนวและ จิตวทิ ยาการศกึ ษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ศรีนครนิ ทรวโิ รฒ ประสานมติ ร. นริ ันดร์ จุลทรัพย์. (2554). การแนะแนวเบอ้ื งต้น. พมิ พ์ครัง้ ที่ 4. สงขลา : บรษิ ัทนาศลิ ป์โฆษณา. บญุ ชม ศรสี ะอาด. (2540). การวจิ ยั ทางการวดั ผลและประเมนิ ผล. กรุงเทพฯ: สวุ รี ยิ าสาสน์ . พนม ลิม้ อารีย.์ (2548). การแนะแนวเบ้ืองตน้ . พิมพ์ครงั้ ที่ 2. กรุงเทพฯ: โอเดยี นสโตร.์ ลกั ขณา สรวิ ฒั น์. (2551). การแนะแนวเบ้ืองตน้ . พิมพ์คร้งั ท่ี 2. กรุงเทพฯ: โอเดียนสโตร.์ สมบรู ณ์ ตนั ยะ. (2545). การประเมนิ ทางการศึกษา. กรุงเทพฯ: สวุ รี ิยาสาส์น. สุนสิ า วงศ์อารีย์. (2559). หลักการแนะแนว. อุดรธานี: คณะครศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยราชภฏั อดุ รธาน.ี สภุ างค์ จันทวานิช. (2554). การวเิ คราะหข์ ้อมูลในการวจิ ัยเชงิ คุณภาพ. กรุงเทพฯ : สานักพิมพ์แหง่ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย. สานกั วิชาการและมาตรฐานการศกึ ษา. (2550). การศึกษานกั เรียนเปน็ รายกรณ.ี กรุงเทพฯ: สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขัน้ พนื้ ฐาน กระทรวงศึกษาธกิ าร. _________. (2555). แผนพฒั นาการแนะแนวระดบั การศึกษาข้นั พืน้ ฐานในช่วงแผนพฒั นาเศรษฐกจิ และสงั คมแหง่ ชาติ ฉบบั ท่ี 11 (พ.ศ.2555-2559). กรงุ เทพฯ: สานกั งานคณะกรรมการ การศกึ ษาขัน้ พ้ืนฐาน กระทรวงศึกษาธิการ. Anastasy, Anne. (1976). Psychological Testing. New York: Macmillan Publishing Co., Inc. Willey, Andrew. (1965). Modermethods and Techniques in Guidance. New York: Harper and Erothers. Shertzer, Bruce and Stone, Shelley C. (1980). Fundamentals of Guidance. Third ed. Boston: Houghton Mifflin Co.

แผนบริหารการสอนประจาบทท่ี 3 บรกิ ารสนเทศ วตั ถปุ ระสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรม เมอ่ื ศึกษาบทเรยี นนจี้ บแล้ว นักศกึ ษาควรมพี ฤตกิ รรมดังนี้ 1. อธบิ ายความหมาย และความสาคัญของบรกิ ารสนเทศได้ 2. อธบิ ายจดุ มุ่งหมาย และหลกั การของบริการสนเทศได้ 3. จาแนกประเภทของบรกิ ารสนเทศได้ 4. บอกหลกั การรวบรวมและคดั เลอื กข้อสนเทศได้ 5. อธิบายรูปแบบการให้ขอ้ สนเทศได้ 6. อธบิ ายและยกตัวอย่างวธิ ีการและกจิ กรรมในการจดั บรกิ ารสนเทศได้ 7. บอกประโยชน์ของบริการสนเทศได้ เนื้อหาสาระ เน้ือหาสาระในบทนป้ี ระกอบด้วย 1. ความหมายของบรกิ ารสนเทศ 2. ความสาคัญของบริการสนเทศ 3. จดุ มงุ่ หมายของบรกิ ารสนเทศ 4. หลักการของบริการสนเทศ 5. ประเภทของบริการสนเทศ 6. หลักการรวบรวมและคัดเลือกข้อสนเทศ 7. รปู แบบการให้ข้อสนเทศ 8. วธิ กี ารและกจิ กรรมในการจดั บรกิ ารสนเทศ 9. ประโยชนข์ องบริการสนเทศ

120 กิจกรรมการเรยี นการสอน กจิ กรรมการเรียนการสอนเรื่องบรกิ ารสนเทศ มดี งั นี้ สปั ดาหท์ ่ี 5 (3 ชัว่ โมง) 1. ผู้สอนทบทวนเนอ้ื หาบทที่ 2 ที่เรยี นมาของสัปดาห์ก่อน พรอ้ มช้ีแจงวตั ถุประสงค์ และ เนือ้ หาประจาบทเรียนบทท่ี 3 เพอื่ ให้ผ้เู รียนรบั รูภ้ าพรวมของเน้ือหาสาระในบทเรยี นนี้ 2. ผู้สอนบรรยายเน้ือหาเกี่ยวกับบริการสนเทศ ในหัวข้อ ความหมาย ความสาคัญ จุดมุ่งหมาย หลักการ ประเภทของบริการสนเทศ หลักการรวบรวมและคัดเลือกข้อสนเทศ และ รปู แบบการให้ขอ้ สนเทศ 3. ผเู้ รียนรับฟังบรรยายสรุปเนื้อหาสาระ ร่วมกับศึกษาเนือ้ หาเรือ่ ง “บรกิ ารสนเทศ” จาก เอกสารคาสอน พรอ้ มท้ังซักถามและตอบคาถามระหวา่ งการฟังบรรยาย 4. ผู้สอนให้ผู้เรียนชมคลิปวิดีโอเกี่ยวกับการบริการสนเทศของสถานศึกษา “สร้างงาน สร้างอาชพี : โรงเรียนราชสีมาปัญญานุกลุ จงั หวดั นครราชสีมา” 7 นาที แล้วรว่ มกันสรปุ สาระสาคัญ ที่ได้รบั 5. ผู้สอนให้ผู้เรียนแบ่งกลุ่มทาใบกิจกรรม 3.1 ในหัวข้อเกี่ยวกับ “ข้อสนเทศท่ีดีและมี ประสทิ ธภิ าพสาหรบั ผเู้ รยี น” โดยให้ระดมสมองชว่ ยกนั คดิ หาคาตอบและอภปิ รายรว่ มกนั ภายในกลุ่ม เสร็จแลว้ ให้แตล่ ะกลุ่มนาเสนอหนา้ ชัน้ เรียนต่อกลุ่มใหญ่ 6. ผสู้ อนใหผ้ เู้ รียนรว่ มกนั วเิ คราะห์ อภปิ ราย สรุปเน้ือหาและแนวทางการนาไปประยกุ ตใ์ ช้ รวมทงั้ เปิดโอกาสใหผ้ ู้เรียนซักถามในหัวข้อ / ประเดน็ ที่สงสัย 7. ผู้สอนมอบหมายให้ผู้เรยี นทาคาถามทา้ ยบท และกาหนดวนั ส่ง 8. ผู้สอนชแ้ี จงหวั ข้อที่จะเรียนในครั้งต่อไป เพือ่ ให้ผูเ้ รยี นไปศึกษากอ่ นล่วงหนา้ 9. ผูส้ อนเสรมิ สร้างคุณธรรมและจรยิ ธรรมให้กบั นักศกึ ษาก่อนเลกิ เรยี น สปั ดาห์ที่ 6 (3 ชว่ั โมง) 1. ผสู้ อนทบทวนเนอื้ หาทีเ่ รยี นมาของสัปดาห์ก่อน 2. ผู้สอนบรรยายเนื้อหาเก่ียวกับบริการสนเทศ ในหัวข้อวิธีการและกิจกรรมในการ จัดบรกิ ารสนเทศ และประโยชนข์ องบรกิ ารสนเทศ พร้อมทั้งซักถามและตอบคาถามระหว่างการฟัง บรรยาย 3. ผู้สอนให้ผเู้ รยี นแบ่งกล่มุ ทาใบกิจกรรม 3.2 ในหวั ข้อเกี่ยวกบั “การออกแบบปฏิทนิ การ จดั บริการสนเทศสาหรับผเู้ รียนในระดบั ต่างๆ” โดยใหร้ ะดมสมองช่วยกนั คดิ วางแผน ออกแบบ และ อภิปรายร่วมกันภายในกลุ่ม เสร็จแลว้ ให้แตล่ ะกลุ่มนาเสนอหน้าชั้นเรียนตอ่ กลมุ่ ใหญ่

121 4. ผู้สอนให้ผู้เรียนร่วมกันวิเคราะห์ อภิปราย สรุปเนื้อหาแนวคิดเกี่ยวกับบริการสนเทศ และแนวทางการนาไปประยุกตใ์ ช้ รวมทัง้ เปิดโอกาสให้ผเู้ รยี นซักถามในหวั ข้อ / ประเด็นท่สี งสยั 5. ผสู้ อนมอบหมายใหผ้ ู้เรยี นทาคาถามทา้ ยบท และกาหนดวันส่ง 6. ผูส้ อนชีแ้ จงหวั ข้อทจ่ี ะเรียนในครง้ั ต่อไป เพอื่ ให้ผเู้ รียนไปศึกษากอ่ นล่วงหน้า 7. ผสู้ อนเสริมสร้างคุณธรรมและจรยิ ธรรมใหก้ บั นักศึกษากอ่ นเลิกเรียน ส่ือการเรียนการสอน 1. เอกสารคาสอน จิตวิทยาแนะแนวและการให้คาปรึกษา 2. เอกสาร ตารา หนังสือ และงานวิจัยที่เก่ียวข้องกับจิตวิทยาแนะแนวและการให้ คาปรกึ ษา 3. สไลดน์ าเสนอความรู้ประเด็นสาคญั ทกุ หัวขอ้ เร่ือง ด้วยส่ือทางคอมพิวเตอร์ Microsoft Power Point 4. คลิปวิดีโอเก่ียวกับ “สร้างงาน สร้างอาชีพ: โรงเรียนราชสีมาปัญญานุกุล จังหวัด นครราชสีมา” 5. ใบกิจกรรม 6. คาถามทา้ ยบท การวัดผลและการประเมินผล วตั ถุประสงค์ วธิ กี าร/เครือ่ งมอื การวดั ผลและการประเมินผล 1. อธิบายความหมาย และ 1. ซกั ถาม-ตอบคาถาม 1. นกั ศกึ ษาตอบคาถาม และ ความสาคัญของบริการสนเทศได้ อภิปราย แลกเปล่ียน อภปิ รายไดถ้ ูกตอ้ ง รอ้ ยละ 80 2. อธบิ ายจุดมงุ่ หมาย และหลกั การ และการสนทนาร่วมกัน 2. นกั ศกึ ษามีความสนใจ/ ของบรกิ ารสนเทศได้ 2. สังเกตพฤตกิ รรม ความรว่ มมือ และความ 3. จาแนกประเภทของบรกิ ารสนเทศ การร่วมกจิ กรรม กระตอื รนื ร้นในการร่วม ได้ 3. สงั เกตการนาเสนอผล กิจกรรมอยูใ่ นระดบั ดี 4. บอกหลักการรวบรวมและคัดเลือก การทางานหน้าชั้นเรียน 3. นักศกึ ษามคี วามพรอ้ ม/ ข้อสนเทศได้ 4. ใบกจิ กรรม ความตงั้ ใจและความกลา้ 5. อธิบายรปู แบบการใหข้ ้อสนเทศได้ 5. คาถามทา้ ยบท แสดงออกในการนาเสนอผล การทางานหน้าชน้ั เรียนอย่ใู น

122 วตั ถปุ ระสงค์ วธิ ีการ/เครอ่ื งมือ การวัดผลและการประเมนิ ผล 6. อธิบายและยกตวั อย่างวิธกี ารและ ระดบั ดี กจิ กรรมในการจดั บริการสนเทศได้ 4. นกั ศกึ ษาทาใบกจิ กรรมได้ 7. บอกประโยชน์ของบรกิ ารสนเทศได้ ถกู ต้อง ครบสมบรู ณ์ และเสรจ็ ตามเวลาทก่ี าหนด ร้อยละ 80 5. นกั ศกึ ษาตอบคาถามทา้ ย บทเรียนได้ ร้อยละ 80

123 บทท่ี 3 บริการสนเทศ บริการสนเทศ (Information Service) เป็นบรกิ ารท่ีจัดหา รวบรวม และนาเสนอขา่ วสาร ท้ังทางด้านการศึกษา อาชีพ ส่วนตัวและสังคม โดยอาศัยเคร่ืองมือและวิธีการต่างๆ แล้วนาข้อมูล เหล่านั้นมาวิเคราะห์แจกแจงเพ่อื ใหเ้ ปน็ ขอ้ สนเทศและพร้อมท่จี ะนาเสนอใหแ้ กผ่ ้เู รยี นหรือผรู้ บั บริการ ด้วยเทคนิคและวิธีการต่างๆ ตามความเหมาะสมเพื่อที่ผู้เรียนหรือผู้รับบริการสามารถที่จะนามา ประกอบการตดั สินใจและการแก้ปัญหาได้ดว้ ยตนเองตอ่ ไป ดังนัน้ การให้บริการสนเทศแกผ่ ู้เรียนใน สถานศึกษาจึงเป็นกิจกรรมที่สาคัญมากที่ครูหรือผู้แนะแนวจะต้องรับผิดชอบ ดาเนินการอย่างมี ประสิทธภิ าพ ความหมายของบรกิ ารสนเทศ สาหรับความหมายของบริการสนเทศน้ัน นักจิตวิทยาการแนะแนวและนักวิชาการได้ กล่าวไว้หลากหลายนาเสนอไดด้ ังนี้ เจยี รนัย ทรงชยั กุล (2544, น. 60) กลา่ ววา่ บริการสนเทศเป็นบรกิ ารท่ีสาคญั อกี ดา้ นหนึ่ง ของงานแนะแนว ซึ่งมุ่งชว่ ยเหลอื ผรู้ บั บรกิ ารสนเทศด้วยการรวบรวมและให้ข้อสนเทศที่มีคณุ ภาพ ใน ด้านการศึกษา อาชีพ และส่วนตัวสังคม เพื่อให้ผู้รับบริการสนเทศสามารถนาข้อสนเทศไปใช้ ประโยชน์ในการตดั สนิ ใจการวางแผนชีวติ การป้องกันปัญหา และการพัฒนาตนได้อย่างเหมาะสม พนม ลิ้มอารยี ์ (2548, น. 152) ได้สรปุ ความหมายของบริการสนเทศว่า หมายถึง บริการ จัดหาและให้ขา่ วสารหรือข้อสนเทศแก่ผเู้ รยี นในเร่ืองการศกึ ษา อาชพี ส่วนตัวและสงั คม เพอ่ื ท่ผี เู้ รยี น จะได้นาความรู้ท่ีได้รับจากบริการสนเทศไปใช้ในการปรับปรุงแก้ไข ร้จู ักและเข้าใจตนเอง วางแผน เลอื กและตดั สินใจเกยี่ วกบั ชอ่ งทางและโอกาสทางการศึกษาและอาชีพของตน รวมท้ังสามารถดาเนิน ชีวติ อยูใ่ นสังคมได้อย่างเหมาะสม นิรันดร์ จุลทรัพย์ (2554, น. 208) ได้อธิบายความหมายของบริการสนเทศว่าหมายถึง บริการที่จัดหารวบรวมขา่ วสารทงั้ ทางดา้ นการศกึ ษา อาชีพ ส่วนตัวและสงั คม โดยอาศยั เครอ่ื งมือและ วธิ กี ารต่างๆ แล้วนาข้อมูลเหล่านน้ั มาวิเคราะห์แจกแจง เพื่อใหเ้ ป็นข้อสนเทศและพรอ้ มท่ีจะนาเสนอ

124 ให้แก่ผู้เรียนหรือผู้รับบริการด้วยเทคนิคและวิธีการต่างๆ ตามความเหมาะสม เพื่อที่ผู้เรียนหรือ ผู้รับบรกิ ารสามารถทีจ่ ะนามาประกอบการตัดสนิ ใจได้ดว้ ยตนเองตอ่ ไป ดาวน่ิง (Downing, 1968, p. 304) ได้อธิบายความหมายของบริการสนเทศ ว่า เป็นองคป์ ระกอบท่ีสาคญั ในโครงการแนะแนวซึง่ สามารถชว่ ยผู้เรยี นไดห้ ลายทาง บรกิ ารน้จี ะรวบรวม ข้อสนเทศทางด้านการศกึ ษา และอาชีพ มีการจัดแสดงขอ้ สนเทศ และนาเอาข้อสนเทศมาใช้ใหเ้ ป็น ประโยชนไ์ ด้ โดยมจี ุดประสงค์ท่จี ะชว่ ยผู้เรียนในการเลอื กหลักสตู รท่เี หมาะสม และวางแผนทางด้าน อาชีพอยา่ งฉลาด กิบสันแเละมิตเชลล์ (Gibson & Michell, 2008, p. 31) อธิบายความหมายของบริการ สนเทศว่า เป็นการเตรียมข้อมูลด้านอาชีพ สงั คม และการศึกษาให้แก่ผู้เรยี น โดยมวี ัตถุประสงค์เพื่อ พัฒนาประสบการณ์ดา้ นอาชีพ ทาให้ผู้เรียนสามารถวางแผนตดั สนิ ใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ จากความหมายของบริการสนเทศขา้ งต้น สามารถสรปุ ความหมายของบรกิ ารสนเทศได้ว่า บริการสนเทศเป็นบริการท่ีจัดหา รวบรวมข้อมูลข่าวสารต่างๆ และให้บริการข้อมูลท้ังทางด้าน การศึกษา ดา้ นอาชีพ และด้านส่วนตัวและสงั คม อย่างเป็นระบบ เพ่ือใหผ้ เู้ รียนนาไปใชป้ ระกอบการ ตดั สินใจ วางแผนชีวิตและพัฒนาตนได้อย่างเหมาะสม ความสาคญั ของบริการสนเทศ การดาเนินชีวิตท่ีมีประสิทธิภาพของมนุษย์นั้นเช่ือว่าเกิดจากการมีปัญญาไตร่ตรอง คิดวิเคราะห์ แก้ไขปญั หา นาพาชีวิตของตนเองให้เจรญิ งอกงามได้ ดังนัน้ ปัญญาจึงมีความสาคัญต่อ ชีวิตมนุษย์เป็นอย่างยิ่ง กระบวนการทางปัญญาตามแนวคิดพุทธจิตวิทยามีองค์ประกอบสาคัญคือ ปรโตโฆสะ หมาถึง การได้รับข้อมลู ทีด่ ี ถูกตอ้ งจากกัลยาณมิตร และโยนโิ สมนสิการ หมายถงึ วิธีการ คดิ ทแี่ ยบคาย เมอื่ บุคคลมีองคป์ ระกอบท้งั สองประการแลว้ ก็จะเกดิ ปัญญานาทางชีวิตตนใหง้ อกงาม ได้ เมื่อเปรียบเทียบปรโตโฆสะกับหลักการแนะแนวจะพบว่า ปรโตโฆสะ ก็คือข้อสนเทศน่ันเอง ข้อสนเทศท่ีมีคุณค่าจะเป็นแหลง่ ข้อมูลให้ผู้เรยี นสามารถคิดวเิ คราะห์และนาไปใช้ในการตัดสนิ ใจได้ โดยเฉพาะโลกยุคโลกาภิวัตน์ท่ีมีความเปล่ียนแปลงอย่างพลวัต มนุษย์ไดร้ ับข้อมลู ข่าวสารต่างๆ อยู่ ตลอด ความทันสมัยและล้าสมัย ข้อมูลเหล่าน้ันมีท้ังคุณและโทษ บุคคลที่มีวิจารณญาณและ ความสามารถในการแสวงหาและจัดการความรู้สารสนเทศจึงจะสามารถประมวลข้อสนเทศมาใช้ ประโชน์ต่อการดาเนินชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งการดาเนินการดังกล่าวน้ันไม่ใช่เร่ืองง่าย โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนท่ียังอ่อนดอ้ ยและไม่เข้มแขง็ ทางปัญญา ด้วยเหตุนค้ี รูหรือผู้แนะแนวจึงมี บทบาทหน้าที่ประมวลและสังเคราะห์ขอ้ มูลต่างๆ เป็นข้อสนเทศท่ีมีประโขชนแ์ ละเหมาะสมสาหรับ ผู้เรียน ท้ังนาเสนอข้อสนเทศนั้นด้วยวิธกี ารท่ีสอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียน เพ่ือให้ผู้เรียน

125 ได้รับข้อสนเทศท่ีมีคุณค่า สามารถนามาประกอบการตัดสินใจ วางแผนชีวิตตนเอง เพื่อให้มีชีวิตท่ี เจริญงอกงามต่อไปได้ ดังนั้น จึงสรปุ ได้ว่าบรกิ ารสนเทศเป็นบริการที่มีความสาคัญยิ่งต่อผู้เรียนอีก ดา้ นหนง่ึ นอกจากนี้ เชอร์ทเซอร์ และสโตน (Shertzer and Stone, 1980, p. 282) ได้ชี้ให้เหน็ ถึง ความสาคญั ของบรกิ ารสนเทศท่ีมตี ่อโครงการบรกิ ารแนะแนวในสถานศกึ ษา 3 ประการ คือ 1. บริการสนเทศ เป็นพ้ืนฐานสาคัญที่จะช่วยให้ผู้เรียนให้มีความรู้ที่จาเป็น เพ่ือนาไปใช้ คิดแก้ปัญหาส่วนตัวท่ีสาคัญของผู้เรียน เช่น การศึกษาต่อ การเลือกอาชีพ การรักษาความเป็น เอกัตบุคคล 2. บรกิ ารสนเทศ เป็นพืน้ ฐานสาคญั ที่จะช่วยให้ผู้เรียนได้กลายเป็นหรือเปน็ ผู้ทีม่ ีระเบียบ วินัย (Self-Regulatory) 3. บริการสนเทศ เป็นพ้ืนฐานสาคัญท่ีชว่ ยให้ผู้เรยี นได้สารวจและเข้าใจการเปล่ียนแปลงท่ี สาคัญในพฒั นาการของตน จุดมุ่งหมายของบรกิ ารสนเทศ การจัดบรกิ ารสนเทศดาเนนิ การโดยมีจุดมงุ่ หมายสาคัญ สรุปได้ดงั น้ี (สมาคมแนะแนวแห่ง ประเทศไทย, 2557, น. 24-25) 1. เพ่อื ให้ผู้เรยี นไดร้ บั ข่าวสาร เรื่องราวตา่ งๆ ทมี่ คี ุณภาพเปน็ ประโยชน์ต่อตนเอง 2. เพ่ือเป็นแหล่งความรู้และแหล่งค้นคว้าข้อสนทศ เพ่ือเป็นข้อมูลในการตัดสินใจด้าน ตา่ งๆ 3. เพอื่ ให้ข้อสนเทศที่ถกู ต้องและทนั ตอ่ เหตุการณต์ อ่ ผู้เรยี นและผทู้ เ่ี กย่ี วชอ้ ง 4. เพ่ือกระตุ้นเละส่งเสริมให้ผู้เรียนได้พิจารณาโอกาสและทางเลือกต่างๆ ทางการศึกษา และอาชพี 5. เพ่อื ปลูกฝงั ใหผ้ เู้ รยี นมีเจตคติทีด่ ตี อ่ การศึกษา อาชพี และมีมนุยษสมั พนั ธ์ มคี ณุ ลกั ษณะ พืน้ ฐานทีส่ อดคล้องกับการดาเนินชีวติ 6. เพื่อปลกู ฝังให้ผู้เรียนมนี ิสัยในการทางานที่ดี นอกจากนี้ นอรีสและคณะ (Norrir and Other, 1972, p. 22-32) ได้ให้ความมุ่งหมาย ของบรกิ ารสนทศไวด้ ังน้ี 1. เพื่อพัฒนาการเข้าใจและการยอมรบั ตนเองของผู้เรียน 2. เพ่ือพัฒนาในผู้เรียนเกดิ ความตระหนักถึงผลทีจ่ ะตามมาจากการตดั สนิ ใจของตน

126 3. เพื่อแสดงให้เห็นว่าบุคคลทุกคนต้องการให้ตนเป็นท่ียอมรับว่าเป็นผู้มีศักดิ์ศรีและมี คุณค่า 4. เพ่ือเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้รู้ว่าบุคคลแต่ละคนมีความแตกต่างกันในเรื่องความสนใจ ความสามารถ เจตคติ และค่านยิ ม 5. เพ่อื ชว่ ยใหผ้ เู้ รียนไดเ้ รียนรูว้ ่าอาชพี เฉพาะ กอ่ ให้เกิดการพง่ึ พาอาศยั ซงึ่ กันและกัน 6. เพอื่ ช่วยให้ผู้เรียนได้ตระหนกั ว่า ปฏิสัมพนั ธร์ ะหว่างสง่ิ แวดล้อม กบั ศักยภาพของบคุ คล มอี ทิ ธิพลตอ่ พัฒนาการดา้ นอาชพี 7. เพ่ือพัฒนาทัศนะที่เป็นจริงและกว้างขวาง เก่ียวกับปัญหาและโอกาสของชีวิตในทุกๆ ระดบั ของการฝึกฝนอบรม 8. เพื่อช่วยให้ผู้เรียนได้ตระหนักถึงความจาเป็นท่ีจะต้องได้รับข้อสนเทศด้านอาชีพ การศกึ ษา สว่ นตัวและสงั คม ท่ถี ูกต้องและเทีย่ งตรง 9. เพ่ือช่วยให้ผู้เรียนได้มีความเข้าใจถึงขอบเขตของกิจกรรมทางการศึกษา อาชีพ และ สังคมอยา่ งกว้างขวาง รวมท้ังความสมั พนั ธ์เกี่ยวข้องกนั ของกจิ กรรมเหล่านัน้ 10. เพื่อช่วยให้ผู้เรียนได้มีความสามารถในการใช้เทคนิคแสวงหาและตีความหมาย ขอ้ สนเทศ เพอ่ื ช่วยให้เกิดความกา้ วหน้าในการนาตนเอง 11. เพ่ือส่งเสริมเจตคติและนิสัยซึ่งจะช่วยให้การเลือกและการปรับตัวที่นามาซ่ึงความ พึงพอใจและประสิทธิภาพ 12. เพ่ือจากัดขอบเขตของการตัดสินใจให้แคบลง และมีความเหมาะสมกับความถนัด ความสามารถ และความสนใจ 13. เพอ่ื พฒั นาให้ผู้เรียนเกดิ ความตระหนกั ถึงการแสวงหาอาชพี ท่ีเปน็ ไปได้ จากที่กล่าวมาข้างต้น สรุปได้วา่ บริการสนเทศมีความสาคญั สาหรับผู้เรียน ดังนั้นครูหรือ ผู้แนะแนว รวมถึงผู้รับผิดชอบในการให้บริการสนเทศจึงควรมีความเข้าใจ และต ระหนักใน ความสาคญั ของบริการสนเทศ และจุดมุ่งหมายของบริการสนเทศ เพื่อเปน็ รากฐานในการจดั บริการ สนเทศใหแ้ ก่ผเู้ รียนไดอ้ ยา่ งเหมาะสมต่อไป หลักการของบรกิ ารสนเทศ การจดั บริการสนเทศใหป้ ระสบความสาเร็จนน้ั ผ้จู ดั บริการสนเทศควรยึดหลักการสาคัญ 10 ประการ สรุปได้ดังน้ี (เจยี รนัย ทรงชยั กุล, 2544, น. 73-76) 1. ต้องมุ่งช่วยให้ผู้เรียนได้รับข้อสนเทศที่มีคุณภาพตามความต้องการและความจาเป็น อย่างเพียงพอ และช่วยผเู้ รียนให้สามารถนาขอ้ สนเทศท่ไี ด้รับไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเหมาะสมในการ