327 2.3 ตวั อยา่ งการวิจยั ทางการแนะแนวทใ่ี ช้การวจิ ัยกึง่ ทดลอง เชน่ ผลการใช้ชุดกิจกรรม แนะแนวเพ่ือพัฒนาจติ วิทยาเชิงบวกของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนผดุงปัญญา จังหวัด ตาก (จารุวรรณ แสงด้วง, 2557) โดยผู้วิจัยต้องการศึกษาเปรียบเทียบผลของการพัฒนาจิตวิทยา เชิงบวกของกลุ่มทดลองก่อนและหลังการใช้ชุดกิจกรรมแนะแนว และเพ่ือเปรียบเทียบจิตวิทยา เชิงบวกของนักเรียนกลุ่มทดลองที่ใช้ชุดกิจกรรมแนะแนวเพ่ือพัฒนาจิตวิทยาเชิงบวก และกลุ่ม ควบคุมท่ีใชช้ ุดกิจกรรมแนะแนวตามปกติ ผลการวิจยั พบว่า นักเรยี นกลุ่มทดลองท่ีได้ใชช้ ุดกิจกรรม แนะแนวเพื่อพัฒนาจิตวิทยาเชิงบวก มีจิตวิทยาเชิงบวกสูงขึ้นอย่างมีนัยทางสถิติที่ระดับ .01 และ มีจิตวทิ ยาเชงิ บวกสูงข้นึ กว่ากลุ่มควบคุมที่ใช้ชดุ กจิ กรรมแนะแนวตามปกติ 3. การวิจยั เชงิ คณุ ภาพ (Qualitative Research) สุภางค์ จันทวานิช (2536, น. 185-189) กล่าวว่า การวิจัยเชิงคุณภาพคือ การศึกษา ปรากฎการณ์สังคม จากสภาพแวดล้อมตามความเป็นจริงในทุกมิติ เพ่ือพิจารณาความสัมพันธ์ของ ปรากฎการณ์กับสภาพแวดล้อมน้ัน การวจิ ัยชนิดน้ีเป็นการแสวงหาความรู้ โดยเนน้ ความสาคญั ของ ข้อมลู ด้านความร้สู ึกนกึ คดิ การให้ความหมายหรอื คณุ คา่ แก่สง่ิ ตา่ งๆ ตลอดจนค่านิยมและอุดมการณ์ ของบุคคลท่ีเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์หรือปรากฎการณ์นั้นๆ การวิจัยเชิงคุณภาพมักเป็นการศึกษา ติดตามระยะยาว และใช้วิธวี ิเคราะห์ขอ้ มูลแบบการตคี วาม สร้างข้อสรปุ แบบอปุ นยั (Induction) เปน็ หลัก ท้ังนี้เพราะวา่ ขอ้ มูลของการวิจัยเชิงคณุ ภาพเป็นขอ้ มูลเก่ียวกบั ความหมายซึ่งซ่อนอยู่เบ้ืองหลัง พฤติกรรมท่ีปรากฏหรือแสดงออกมา การวิเคราะห์ข้อมูลดังกล่าว จึงไม่อาจใช้การแจงนับจานวน แต่เป็นการทาความเข้าใจความหมาย และเชอ่ื มโยงความหมายเข้ากบั พฤติกรรม กระบวนการน้ีใช้ การตีความ และการสรา้ งข้อสรปุ จากข้อมูลเชิงรูปธรรมของพฤตกิ รรมน้ันๆ สาหรับวิธีการวจิ ัยชงิ คณุ ภาพ สว่ นมากจะใช้วิธกี ารสังเกตและวิธีการสมั ภาษณ์เพ่อื เก็บ รวบรวมข้อมูลท่สี าคัญ เพ่อื นาขอ้ มลู นั้นๆ ไปวเิ คราะห์ และสรา้ งขอ้ สรุป ตลอดทงั้ ทาบทสรปุ ต่อไป ตวั อย่าง การวจิ ัยทางการแนะแนวท่ีใช้การวิจัยเชิงคุณภาพ เช่น การศึกษาพฤติกรรม การใช้และผลท่ีได้รับต่อชีวิตและจิตใจจากแอพพลิเคชันไลน์ของกลุ่มผู้สูงอายุสมาคมบ้านปันรัก (วรรณพร อนิ ทมสุ ิก, 2560) โดยผู้วจิ ยั ศึกษาพฤตกิ รรมการใช้ รปู แบบเน้ือหาทีเ่ ปิดรับ และความรู้สึก ทีม่ ตี ่อเน้ือหา รวมทัง้ การใชป้ ระโยชนแ์ ละความพึงพอใจจากการใช้แอพพลิเคชนั ไลนข์ องกลมุ่ ผูส้ ูงอายุ ผลการวจิ ัยพบวา่ ผู้สูงอายุมีการใช้แอพพลิเคชันไลน์เปน็ ประจาทุกวนั เฉลี่ย 1-4 ชั่วโมงต่อวัน ไดร้ ับ เน้ือหาหลายรูปแบบ คือ 1) ภาพเคลื่อนไหว/วิดีโอ 2) ภาพน่ิง กราฟฟิค 3) สติ๊กเกอร์ 4) บทความ ข้อมูลต่างๆ และได้รับเนื้อหาหลายประเภท ดังนี้ 1) ข้อมูลความรู้เร่ืองสุขภาพ การดูแลตัวเอง 2) เกี่ยวกับธรรมะ 3) How To ต่างๆ 4) การทักทาย 5) การใหก้ าลงั ใจ แรงบนั ดาลใจ คาคม 6) การ เตือนภัย 7) เรื่องทะล่ึง 8) เรื่องตลกขบขัน โดยความรู้สึกต่อเน้ือหาน้ันจะแตกต่างกั น และมี ผลกระทบถึงความรูส้ ึกต่อผู้ส่งเนือ้ หานัน้ ๆ ด้วย ผู้สงู อายุเห็นว่าแอพพลิเคชันไลน์เหมาะสมกับกลุ่ม
328 ของตน และคิดวา่ มปี ระโยชน์ทง้ั ทางด้านการให้เนื้อหาข่าวสารท่ีมีประโยชน์และรวดเร็วทาให้เป็นคน ทนั สมยั และเปน็ เคร่อื งมอื ชว่ ยแก้เหงาได้เปน็ อยา่ งดี จากการศึกษาประเภทของการวิจัยทางการแนะแนว สรุปได้ว่า การวิจัยทางการแนะแนว จาแนกเปน็ ประเภทใหม่ๆ ดงั นคี้ อื การวิจยั เชิงพรรณนา การวิจยั เชงิ ทดลอง และการวิจัยเชงิ คุณภาพ โดยการวิจยั แต่ละประเภทต่างมีลักษณะสาคัญ ความม่งุ หมาย ตลอดทั้งระเบียบวิธวี ิจยั ของการวิจัย แต่ละประเภทแตกต่างกัน และจากตัวอย่างการวิจัยทางการแนะแนวท่ีใช้การวิจัยแต่ละประเภทที่ นาเสนอจะช่วยใหผ้ ู้ศึกษาเขา้ ใจการวจิ ยั ทางการแนะแนวแต่ละประเภทมากย่งิ ขน้ึ ขัน้ ตอนการวจิ ยั ทางการแนะแนว การกาหนดขั้นตอนการวิจัยทางการแนะแนว เป็นการกาหนดขั้นตอนที่สอดคล้องกับ ขน้ั ตอนทางวิทยาศาสตร์โดยเรยี งลาดบั ข้ันตอนดังน้ี (นิรนั ดร์ จุลทรพั ย,์ 2554, น. 274-277) 1. ขั้นกาหนดปญั หาในการวิจัย (Project Title) ผวู้ จิ ัยจะต้องเรมิ่ จากการกาหนดปญั หา ใหช้ ดั เจนเสียกอ่ น โดยท่มี าของปัญหาอาจจะได้มาจากเหตปุ ัจจยั ต่างๆ ดังนี้ 1.1 ความสนไจของตนเอง อาจเปน็ ปญั หาทางวิชาการท่ีตนเองประสบอยู่ หรอื ปญั หาท่ี เกิดขนึ้ ในสังคมทวั่ ไป 1.2 จากประสบการณส์ ่วนตวั ของผูว้ ิจัยเอง 1.3 จากการศึกษาทฤษฎหี รอื เอกสารทางวชิ าการตา่ งๆ 1.4 จากการติดต่อกบั ผรู้ ู้ผ้เู ช่ียวชาญหรอื จากองคก์ ารต่างๆ ทต่ี อ้ งการใชผ้ ลการวิจยั 1.5 ข้อเสนอแนะจากงานวิจยั ในงานวจิ ัยท่ีเสร็จเรยี บร้อยแล้ว จะมอี ยูต่ อนหนึ่งทผ่ี วู้ จิ ัย เสนอแนะปัญหาบางประการไว้ ส่วนใหญ่จะอยู่ตอนท้ายของงานวิจัยการเสนอแนะทิ้งท้ายไว้ ย่อมแสดงให้เห็นวา่ แต่ละปัญหาย่อมจะเป็นหนทางที่ดใี นการคดิ ปัญหาใหม่ ไดง้ ่ายขึน้ เมื่อได้ปญั หามาแล้วจะต้องประเมินปัญหาเสยี ก่อนว่า เป็นปญั หาท่ีจะทาวิจัยได้หรอื ไม่ มงี บประมาณ บุคลากรเพยี งพอที่จะทา มีเวลาพอให้กับการวิจัยในปญั หานี้หรือไม่ และตัวผู้วิจัยเองมี ความสามารถในการทาการวจิ ัยในปญั หาน้ันได้เพียงใด เมื่อผู้วิจัยได้พิจารณาความพรอ้ มและมคี วาม ม่ันใจแล้ว ให้พิจารณาต้ังช่ือปัญหา โดยจะต้องระมัดระวังการซ้าซ้อนกับผู้ท่ีเคยทาวิจัยมาแล้ว นอกจากนก้ี ารต้งั ชือ่ จะตอ้ งคานงึ ถงึ สง่ิ ต่างๆ ดงั ตอ่ ไปนีด้ ว้ ย - ชื่อปัญหาจะต้องตรงเฉพาะกบั เรือ่ งทจี่ ะศึกษาไมค่ วรใหย้ ืดยาวโดยไม่จาเป็น - ชื่อปัญหาต้องกะทดั รดั และมคี วามชัดเจนในตัวของมนั เอง - ภาษาท่ีใช้ต้องเป็นภาษาที่เช่ือถือได้ในวงวิชาการแนะแนวหรือจิตวิทยาจะเป็น ศัพท์เทคนิคหรือศัพท์เฉพาะใดๆ ก็ได้แต่ต้องเป็นคาศัพท์ที่อธิบายธรรมชาติของวิชาแนะแนวหรือ จติ วิทยา
329 - เป็นความสัมพนั ธข์ องความคดิ รวบยอดหรอื ตวั แปรต่างๆ ในปญั หาน้นั ๆ ตวั อยา่ งการกาหนดชือ่ ปญั หาทีด่ ี เชน่ - ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งความขัดแยง้ กบั พอ่ แมแ่ ละการปรับตวั ของวยั รนุ่ - สุขภาพจิตของเยาวชนในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม ในจังหวัดชายแดน ภาคใต้ - สภาพและปัญหาการจัดบริการแนะแนวในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามใน จังหวดั ชายแดนภาคใต้ 2. ขั้นตอนกาหนดสมมุติฐาน (Hypothesis) สมมุติฐานการวิจัยเป็นข้อความท่ีกาหนด ข้นึ เพื่อคาดคะเนคาตอบที่คาดหวังจากการวิจัย โดยอาศยั หลักเหตผุ ล ความรู้ หรือผลการวจิ ัยที่มมี า กอ่ น หรอื จากประสบการณ์ จากสามญั สานกึ เป็นต้น การกาหนดสมมุติฐานจะชว่ ยใหผ้ ูว้ ิจยั สามารถ วางแผนในการเก็บรวมรวมขอ้ มูลวา่ จะใช้เคร่อื งมอื ชนิดใด และเกบ็ ข้อมลู จากใครจะสมุ่ ตัวอยา่ งเท่าไร จึงจะเป็นตัวแทนที่ดี ตลอดจนชว่ ยในการวางแผนวิเคราะห์ขอ้ มูลว่าควรใช้ค่าสถิติชนิดใด กล่าวโดย สรปุ สมมุตฐิ านทดี่ ีควรมคี ณุ ลักษณะดงั นี้ 2.1 เป็นการคาดคะเนความเกี่ยวพันระหว่างตวั แปรต้งั แต่ 2 ตวั ขน้ึ ไป 2.2 มีความชัดเจนไม่กากวมและเป็นประโยคธรรมดาอา่ นเข้าใจง่าย 2.3 สามารถใหค้ าตอบปัญหาทเ่ี ราศึกษานัน้ ไดค้ รอบคลุม 2.4 ไมค่ วรขดั กับหลักความจริง 2.5 ควรมีเหตุผลเพยี งพอและเป็นไปตามหลักเหตผุ ลทางตรรกวทิ ยา 2.6 สามารถทดสอบได้ ตวั อย่างการต้งั สมมตุ ฐิ านทีด่ ี เชน่ - ผู้ได้รับบริการสนเทศท่ีสถานศึกษาจัดให้ จะสามารถเลือกแผนการเรียนที่เหมาะสม กับตวั เองได้ดกี วา่ ผทู้ ี่ไมไ่ ดร้ ับบริการสนเทศ - คะแนนเฉลี่ยสะสมและเชาวนป์ ัญญามีความสัมพันธส์ ูงต่อเด็กชายมากกว่เด็กหญงิ 3. ข้ันการเก็บรวบรวมข้อมูล (Data Gathering) ก่อนที่จะทาการเก็บรวบรวมข้อมูล ผวู้ ิจัยจะตอ้ งทราบกอ่ นว่าจะเก็บขอ้ มูลอะไรบ้างและเกบ็ อย่างไร จะเกบ็ จากกลุ่มตวั อย่างเทา่ ไร และ เป็นใครบ้าง หลังจากนั้นจึงเร่มิ สร้างหรือพัฒนาเคร่ืองมือเก็บข้อมูล เคร่ืองมือท่ีจะนามาใช้จะต้องมี คณุ ภาพผ่านการตรวจสอบโดยผูเ้ ช่ยี วชาญ และผา่ นการหาความเชื่อม่นั แลว้ สาหรบั เครอื่ งมอื สาคัญๆ ท่ีใช้เก็บข้อมูลในการวิจัยเพ่ือการแนะแนว ได้แก่ การสังเกต (Observation) การสัมภาษณ์ (Interview) แบบสอบถาม (Questionnaire) แบบสารวจต่างๆ (Checklist Inventory) และ แบบทดสอบต่างๆ เช่น แบบทดสอบวัดบุคลิกภาพ (Personality Test) แบบทดสอบวัดเจตคคิ (Atitude Test) แบบทดสอบวดั ความถนัด (Aptitude Test) เป็นต้น
330 4. ขั้นการวเิ คราะหข์ ้อมลู (Analysis of Data) หลังจากผู้วิจยั เก็บรวบรวมขอ้ มูลได้แล้ว จะต้องแบ่งแยกข้อมูลตามลักษณะของการจัดเก็บขัอมูล ซ่ึงถ้าขอ้ มูลได้มาโดยการใช้แบบสอบถาม แบสารวจหรอื แบบทดสอบบางชนดิ เรียกวา่ ข้อมูลเชิงปรมิ าณ (Quantitative Data) จะต้องทาการ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์สถิติเชิงบรรยายและเชิงอนุมาน แต่ถ้าเป็นข้อมูลที่ได้มาโดยการ สงั เกต การสัมภาษณ์ ซ่ึงเรียกว่า ข้อมูลเชิงคุณภาพ (Qualitative) ผวู้ จิ ัยต้องใช้เทคนคิ การวเิ คราะห์ เนื้อเรื่อง (Content Analysis) 5. ข้ันสรุปการวิจัยและเขียนรายงานผลการวิจัย (Conclusion and Report) หลังจากวิเคราะห์ขอ้ มลู เรียบรอ้ ยแลว้ ผูว้ จิ ัยจะต้องสรปุ ผลการวจิ ยั โดยอาศยั ข้อมลู เป็นหลักและลาดบั ตอ่ ไปจึงเขียนรายงานการวิจัยฉบับสมบรูณ์ ซ่ึงโดยท่ัวไปรายงานผลการวิจัยประกอบด้วยส่วนตา่ งๆ 3 ส่วน คือ ส่วนนาหรือส่วนประกอบตอนต้น ส่วนเนื้อเร่ือง และส่วนอ้างอิง (ล้วน สายยศ และ องั คณา สายยศ, 2543, น. 241-22) 5.1 สว่ นนาประกอบด้วย 5.1.1 ปก 5.1.2 หน้าปกในหรอื หน้าชอ่ื เร่ือง 5.1.3 ประกาศคณุ ูปการ 5.1.4 บทคัดย่อ 5.1.5 สารบญั 5.1.6 บญั ชีตาราง 5.1.7 บัญชภี าพประกอบ (ถ้ามี) 5.2 สว่ นเนื้อเรือ่ งประกอบด้วย 5.2.1 บทนา จะกลา่ วถึงหวั ขอ้ ต่าง ๆ ดงั น้ี - ภมู ิหลัง - วัตถปุ ระสงคข์ องการวจิ ยั - สมมตุ ิฐาน - ความสาคญั ของการศึกษา - ขอ้ ตกลงเบ้ืองดนั - ขอบเขตของการศกึ ษาคน้ คว้า - คานิยามศัพทเ์ ฉพาะ 5.2.2 เอกสารและงานวจิ ยั ที่เกย่ี วขอ้ ง 5.2.3 วธิ กี ารดาเนนิ การวจิ ัยจะกล่าวถึงหัวข้อตา่ งๆ ดังนี้ - ระเบียบวธิ ีทใ่ี ชใ้ นการวิจยั
331 - แหลง่ ขอ้ มลู - การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู - เครอ่ื งมือท่ีใชใ้ นการเก็บรวบรวมข้อมูล - การวเิ คราะหข์ ้อมลู 5.2.4 ผลการวิเคราะข้อมลู 5.2.5 สรปุ ผลการวิจยั และขอ้ เสนอแนะ 5.3 ส่วนอา้ งอิง ประกอบด้วย 5.3.1 บรรณานกุ รม 5.3.2 ภาคผนวก 5.3.3 ประวตั ผิ วู้ ิจัย สาหรับการเขียนรายงานการวิจัยฉบับย่อ เพ่ือตีพิมพ์ลงในวารสารหรอื เอกสาร รวบรวม ผลงานวิจยั นิยมแบง่ ส่วนประกอบดังน้ี ความนาหรอื ภมู หิ ลัง วัตถปุ ระสงค์ของการวิจัย วธิ ีดาเนินงาน การวจิ ยั ผลการวจิ ยั สรปุ และอภปิ รายผลการวิจัย บทสรปุ บริการติดตามผล เป็นบริการท่ีจัดข้ึนเพ่ือศึกษาผลของการจัดบริการแนะแนวให้แก่ ผู้รับบริการทุกบริการ ว่าประสบผลสาเร็จหรือไม่อย่างไร และมีคุณภาพอย่างไร โดยใช้วิธีการท่ี หลากหลาย อันจะเป็นแนวทางในการพัฒนากระบวนการให้บริการแนะแนวได้เหมาะสม และ สอดคลอ้ งกบั ความตอ้ งการของผู้บริการไดม้ ากข้ึน โดยมจี ดุ มุ่งหมายเพ่อื ประเมนิ ปัจจยั ที่เกี่ยวขอ้ งกับ การแนะแนวและกระบวนการดาเนินงาน ซงึ่ จะทาให้ทราบข้อดี ข้อท่ีควรพัฒนา ปัญหาอุปสรรคใน การดาเนินงาน ลักษณะของการติดตามผล แบ่งเป็น 2 ลักษณะ คือ การติดตามผลตามโอกาสที่ อานวยให้ และการติดตามผลอย่างมีระบบ โดยกลุ่มผู้เรียนที่ควรได้รับการติดตามผล ได้แก่ ผู้เรียน ท่ัวไป ผู้เรียนที่ได้รับบริการแนะแนวไปแล้ว ผู้เรียนท่ีได้ศึกษาเป็นรายกรณี และผู้เรียนท่ีสาเร็จ การศึกษาจากสถานศกึ ษาไปแล้ว สาหรับการดาเนินการติดตามผลบริการแนะแนว สามารถใช้กระบวนการคุณภาพ PDCA มาใช้กบั การจดั บริการแนะแนวได้ ซ่ึงประกอบด้วย วางแผนการให้บรกิ ารเพือ่ กาหนดปฏิทินกจิ กรรม ล่วงหน้าในการติดตามผล การลงมือปฏิบัติตามแผนท่ีกาหนดไว้ และการติดตามประเมินผลการ ปฏิบัติงาน ส่วนวิธีการและเทคนิคท่ีใช้ในการติดตามผล เช่น การติดตามเป็นเอกสารถึงตัวบุคคล การตดิ ต่อเป็นการส่วนตัวโดยตรง และการติดตอ่ กับบุคคลทีเ่ กี่ยวขอ้ งกับบุคคลท่ีได้รับการติดตามผล
332 โดยเครื่องมือที่ใช้ในการติดตามผลมีอยู่หลากหลาย ข้ึนอยู่กับการตัดสินใจเลือกใช้เคร่ืองมือให้ เหมาะสมกบั สถานการณต์ า่ งๆ เช่น แบบสังเกต แบบสัมภาษณ์ แบบสารวจ แบบสอบถาม เปน็ ตน้ ส่วนการวิจัยทางการแนะแนว เป็นกระบวนการศึกษาค้นคว้า แสวงหาความรู้ใหม่ๆ เกย่ี วกบั การจัดบริการและโครงการต่างๆ ทางการแนะแนว ที่มีระบบแบบแผน เชอื่ ถอื ได้ เพือ่ ใหไ้ ดม้ า ซึง่ ความรหู้ รือแนวทางในการปฏบิ ัติ ในการแก้ไขปญั หา การป้องกันปญั หา และการพฒั นาพฤติกรรม ที่พงึ ประสงค์ และการนาผลการวิจัยไปใช้ โดยประเภทของการวิจยั ทางการแนะแนว ได้แก่ การวจิ ัย เชิงพรรณนา การวิจัยเชิงทดลอง และการวิจัยเชิงคุณภาพ ซ่ึงมีขั้นตอนการวิจัยทางการแนะแนว ประกอบด้วย ข้ันกาหนดปัญหาในการวิจัย ขั้นตอนกาหนดสมมุติฐาน ขั้นการเก็บรวบรวมข้อมูล ขนั้ การวเิ คราะหข์ ้อมูล และขน้ั สรุปการวิจัยและเขยี นรายงานผลการวจิ ยั
333 ใบกิจกรรมที่ 6.1 การตดิ ตามผลโครงการแนะแนวในสถานศึกษา (สะทอ้ นความรสู้ กึ ต่อการจัดโครงการ) จุดเด่นของโครงการ และจดุ ทค่ี วรปรบั ปรุงและพฒั นา .................................................................................................................... .................................................................................................................... .................................................................................................................... .................................................................................................................... .................................................................................................................... อปุ สรรคปัญหาท่พี บ และแนวทางแก้ไขปญั หา .................................................................................................................... .................................................................................................................... .................................................................................................................... .................................................................................................................... .................................................................................................................... สิง่ ท่ไี ดเ้ รียนรู้ หรือแง่คดิ ทไี่ ด้จากการทาโครงการคร้งั นี้ .................................................................................................................... .................................................................................................................... .................................................................................................................... .................................................................................................................... .................................................................................................................... ความประทับใจ .................................................................................................................... .................................................................................................................... .................................................................................................................... .................................................................................................................... ....................................................................................................................
334 ใบกิจกรรมท่ี 6.2 แบบฝึกเขียนสรปุ ประเดน็ เนอื้ หา ผลงานวจิ ยั ทางการแนะแนว ชอ่ื งานวจิ ยั .................................................................................................................................... ชื่อผวู้ จิ ัย........................................................................................................................................ หน่วยงาน...................................................................................................................................... ความเปน็ มาและความสาคญั ของงานและปญั หาในการศกึ ษา/วจิ ยั .............................................. ...................................................................................................................................................... วตั ถุประสงค์ของการศกึ ษา/วิจยั ................................................................................................... ...................................................................................................................................................... วธิ กี ารศึกษา/วจิ ัย แบบการวจิ ัย.......................................................................................................................... ประชากร คอื ........................................................................ จานวน ................................. กลุ่มตวั อยา่ ง จานวน ............................... คดั เลือกโดย ....................................................... Intervention/วิธีการแกไ้ ข/วิธีดาเนนิ การ ทใี่ ชใ้ นการวจิ ยั คอื ............................................ ............................................................................................................................................... เครอ่ื งมอื ทีใ่ ช้ในการวจิ ยั มี....... ชิ้น คือ ................................................................................ การทดสอบคุณภาพของเครอื่ งมอื ดาเนินการ ดังน้ี .............................................................. การเก็บข้อมลู การวิจยั ดาเนินการ ดังนี้ ................................................................................ การวเิ คราะห์ขอ้ มลู การวิจัย ดาเนินการ ดงั น้ี ........................................................................ สถิตทิ ใ่ี ช้ ................................................................................................................................ ผลการศกึ ษา/วจิ ยั พบว่า..................................................................................................................................... ............................................................................................................................................... การนาสง่ิ ทีไ่ ดจ้ ากการศกึ ษา/วจิ ัย ครงั้ นี้ ไปใช้ประโยชน์ สาหรบั พ้ืนทวี่ ิจยั และหน่วยงานท่เี กย่ี วข้อง ควร.................................................................... .............................................................................................................................................. สาหรบั การทาวจิ ัยต่อไป คือ ................................................................................................ ..............................................................................................................................................
335 คาถามทา้ ยบท จงตอบคาถามตอ่ ไปน้ี โดยอธบิ ายพรอ้ มยกตวั อย่างประกอบ 1. จงอธบิ ายความหมาย และความสาคัญของบรกิ ารติดตามผลทีส่ ง่ ผลต่อผู้เรยี น และ งานแนะแนว 2. ทา่ นเหน็ ด้วยกบั คากลา่ วที่วา่ บริการตดิ ตามผลในงานแนะแนวเปรียบเสมอื นเป็น จุดเรมิ่ ตน้ ของการพฒั นางานแนะแนวหรอื ไม่ เพราะเหตุใด 3. จงระบจุ ุดมงุ่ หมายสาคญั ของบริการติดตามผลมา 3 ขอ้ 4. บรกิ ารติดตามผลในงานแนะแนวของสถานศกึ ษาแต่ละประเภทมจี ดุ เดน่ อยา่ งไร 5. วงจร PDCA เก่ยี วขอ้ งกบั บริการตดิ ตามผลอย่างไร 6. หากท่านได้รบั มอบหมายให้ติดตามผลผู้เรียนทสี่ าเร็จการศึกษาระดับชั้นมัธยมศึกษา ปที ่ี 6 ไปแล้ว ท่านจะมหี ลกั การดาเนินงานอย่างไร 7. จากคาตอบข้อ 6 ท่านจะเลอื กใช้เทคนคิ และเครอื่ งมอื ทใ่ี ชใ้ นการติดตามผลผเู้ รียน อยา่ งไร 8. ถ้าท่านเป็นคณะกรรมการแนะแนวในสถานศกึ ษา ตอ้ งการทราบวา่ การจดั บรกิ าร แนะแนวที่ทางสถานศกึ ษาจดั ใหแ้ กน่ กั เรียนประสบผลสาเรจ็ มากนอ้ ยเพียงใด ทา่ นควรดาเนนิ การ อยา่ งไร 9. จงอธบิ ายความหมาย และจุดมงุ่ หมายของการวจิ ยั ทางการแนะแนวมาพอสงั เขป 10. การวิจัยทางการแนะแนวมีความสาคญั กบั งานแนะแนวอย่างไร
336 เอกสารอา้ งอิง จริยกลุ ตรสี วุ รรณ. (2542). การศึกษาเอกลักษณ์แหง่ ตนของนักเรียนวยั รุ่นตอนปลาย โรงเรียน มัธยมศกึ ษาสังกดั กรมสามญั ศึกษา กรุงเทพมหานคร. ปรญิ ญานพิ นธ์การศึกษา มหาบณั ฑิต. กรงุ เทพฯ: มหาวทิ ยาลัยศรีนครทิ รวโิ รฒ. จารุวรรณ แสงด้วง. (2557). ผลการใช้ชดุ กจิ กรรมแนะแนวเพอ่ื พฒั นาจติ วิทยาเชิงบวกของนักเรยี น ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรยี นผดงุ ปญั ญา จังหวดั ตาก. วิทยานพิ นธ์ศึกษาศาสตร มหาบัณฑติ (สาขาการแนะแนวและการปรกึ ษาเชิงจิตวทิ ยา). นนทบุรี: มหาวิทยาลยั สุโขทัยธรรมาธริ าช. จิตตินันท์ บุญสถริ กลุ . (2549). หลกั การแนะแนว. กรงุ เทพฯ: คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์. เจษฎา บุญมาโฮม. (2558). หลักการแนะแนวและการพฒั นาผเู้ รยี น. พิมพค์ รง้ั ที่ 4. นครปฐม: สไมล์ พริ้นต้งิ & กราฟกิ ดไี ซน.์ นภาพร ปรีชามารถ. (2544). หลกั การแนะแนว. กรงุ เทพฯ: คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์. นริ นั ดร์ จลุ ทรพั ย์. (2554). การแนะแนวเบอื้ งตน้ . พมิ พค์ ร้งั ที่ 4. สงขลา : บรษิ ัทนาศลิ ปโ์ ฆษณา. ปนดั ดา กรีมละ. (2547). การศึกษารายกรณีนักเรียนทีม่ ีพฤตกิ รรมกอ่ กวนในช้นั เรียน. สารนิพนธ์ การศึกษามหาบัณฑิต (จิตวทิ ยาการแนะแนว). กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยศรีนครทิ รวโิ รฒ. ปรีชา เนาวเ์ ยน็ ผล. (2536). การวิจัยเชงิ ทดลอง ในประมวลสาระชุดวิชา การวจิ ยั หลกั สตู รและ กระบวนการเรยี นการสอน. นนทบุรี: มหาวทิ ยาลัยสโุ ขทัยธรรมาธริ าช. ผ่องพรรณ เกดิ พทิ กั ษ์ และคมเพชร ฉัตรศุภกุล. (2543). “ยุทธวธิ กี ารเรียนและการศึกษาของนักเรยี น วยั รุ่น”. รายงานการวิจยั . กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยศรนี คริทรวิโรฒ ประสานมิตร. พนม ลม้ิ อารีย์. (2548). การแนะแนวเบอื้ งตน้ . พมิ พ์คร้ังท่ี 2. กรุงเทพฯ: โอเดียนสโตร์. พวงรัตน์ ทวรี ัตน.์ (2550). วธิ ีการวิจยั ทางพฤตกิ รรมศาสตรแ์ ละสงั คมศาสตร์. กรงุ เทพฯ: มหาวิทยาลัยศรีนคริทรวิโรฒ ประสานมติ ร. มลู นธิ ิสถาบนั วจิ ัยและพัฒนาการเรยี นร.ู้ (2551). หลักสตู รพฒั นาครูจติ วิทยาแนะแนว โมดลู 4 บรกิ ารแนะแนวและเคร่ืองมอื ทางจติ วทิ ยา. กรงุ เทพฯ: เจเอน็ ท.ี รัตนาภรณ์ รยิ ะป่า. (2550). การศึกษาเจตคตติ อ่ การเรยี นกลุ่มสาระการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตรข์ อง นักเรียนช้นั ประถมศกึ ษาปที ่ี 2 ท่มี รี ะดับผลการเรียนต่างกัน. ลาพนู : โรงเรียนเทศบาล จามเทวี สังกดั กองการศกึ ษา เทศบาลเมืองลาพนู .
337 เรยี ม ศรที อง. (2559). หลกั การบรกิ ารแนะแนวและการปรึกษาเชิงจติ วทิ ยาเบือ้ งตน้ สาหรับครูและ ผ้บู ริหารการศกึ ษา. กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พ์ชุมนมุ สหกรณก์ ารเกษตรแหง่ ประเทศไทย จากดั . ลักขณา สรวิ ัฒน์. (2551). การแนะแนวเบือ้ งต้น. พมิ พค์ ร้งั ท่ี 2. กรุงเทพฯ: โอเดยี นสโตร.์ วรรณพร อนิ ทมสุ กิ . (2560). การศึกษาพฤติกรรมการใชแ้ ละผลท่ไี ด้รบั ตอ่ ชีวติ และจติ ใจจาก แอพพลเิ คชนั ไลน์ของกลุม่ ผู้สงู อายสุ มาคมบา้ นปันรกั . ปริญญานเิ ทศศาสตรมหาบัณฑิต กรงุ เทพฯ: มหาวทิ ยาลยั กรงุ เทพ. ศาลนิ า บุญเกื้อ. (2539). การศกึ ษาปฏิสมั พันธ์ระหวา่ งครู เด็กเร่ร่อน และเด็กปกตใิ นโรงเรยี น ประถมศึกษา. วิทยานิพนธค์ รุศาสตรมหาบัณฑติ (ประถมศกึ ษา). กรงุ เทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย. สมศกั ดิ์ สนิ ชรุ ะเวชญ์. (2542). มงุ่ สูค่ ณุ ภาพการศกึ ษา. กรงุ เทพฯ: วัฒนาพานิช. สมาคมแนะแนวแห่งประเทศไทย. (2557). ระบบการแนะแนวในโรงเรียน. กรงุ เทพฯ: สมาคม แนะแนวแห่งประเทศไทย. สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพืน้ ฐาน. (2547). คมู่ อื วทิ ยากรเครอื ข่ายระบบการดูแล ชว่ ยเหลอื นกั เรียน. กรุงเทพฯ: กระทรวงศึกษาธิการ. สานกั วชิ าการและมาตรฐานการศึกษา สานักงานคณะกรรมการการศกึ ษาข้ันพ้ืนฐาน. (2554). แนวทางการจัดกจิ กรรมแนะแนว ระดบั ประถมศกึ ษา. กรงุ เทพฯ: โรงพิมพ์ชมุ นมุ สหกรณ์ การเกษตรแหง่ ประเทศไทย. สภุ างค์ จนั ทวานิช. (2536). การวจิ ัยเชงิ คณุ ภาพ ในประมวลสาระชดุ วชิ าการวิจัยหลกั สูตรและ กระบวนการเรยี นการสอน. นนทบรุ ี: มหาวทิ ยาลัยสโุ ขทัยธรรมาธริ าช. อุษณีย์ เยน็ สบาย. (2548). จิตวทิ ยาแนะแนว. กรุงเทพฯ: โอเดยี นสโตร์. Ary, D., Jacobs, L.C., Razavich, A. (1985). Introduction to Research in Education. New York: Holt Rinehart and Winston. Downing, Lester N. (1968). Guidance and Counseling Services : An Introduction. New York: McGraw-Hill Book Co. English, Horace B. and English, Ava Freedman, Marcia. (1996). “Self-Efficacy and Learning Strategy Use in A Computer – Based Instructional Setting.” Dissertation Abstracts International. 57(01) : p. 99. Gay, L.R. (1987). Educational Research: Competencies for Analysis and Application. Ohio: Merrill Publishing Company. Hardley, Robert G. and Mitchell, Lynda K. (1995). Counseling Research and Program Evaluation. New York: Brooks/ Cole Publishing Company.
338 Pearson, Judy C. (1989). Communication in the Family: Seeking Satisfaction in Changing Times. New York: Harper and Row. Roces Montero, Cristina. “Learning Strategies and Motivation in the University,” Dissertation Abstracts International. 58 (02), Summer. Sandra Lee, Frucht. “Family Interaction, Ethnic Identity and Ego Identity: A Study of Mexican – American Adolescent,” Dissertation Abstracts International. 56 (6): 3343.
แผนบริหารการสอนประจาบทที่ 7 การบริหารงานแนะแนวในสถานศกึ ษา วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม เม่อื ศึกษาบทเรียนนี้จบแล้ว นกั ศึกษาควรมพี ฤตกิ รรมดังน้ี 1. อธบิ ายความหมาย และความสาคญั ของการบรหิ ารงานแนะแนวได้ 2. อธิบายหลักการของการบรหิ ารงานแนะแนวได้ 3. ระบุองคป์ ระกอบของการบริหารงานแนะแนวได้ 4. อธบิ ายแนวทาง และระบบการบริหารงานแนะแนวได้ 5. อธิบายและยกตัวอย่างบทบาทของบุคลากรที่เกีย่ วข้องกบั การแนะแนวได้ 6. บอกคณุ สมบตั แิ ละจรรยาบรรณของนกั แนะแนวได้ 7. อธบิ ายและยกตวั อยา่ งโครงการและแผนปฏบิ ัติงานแนะแนวได้ 8. อธิบายการประเมินผลการปฏบิ ตั ิงานแนะแนวได้ 9. บอกปัญหาและอุปสรรคในการบรหิ ารงานแนะแนว เนอ้ื หาสาระ เนือ้ หาสาระในบทนป้ี ระกอบดว้ ย 1. ความหมายของการบรหิ ารงานแนะแนว 2. ความสาคัญของการบริหารงานแนะแนว 3. หลักการบริหารงานแนะแนว 4. องค์ประกอบของการบริหารงานแนะแนว 5. แนวทางการบรหิ ารงานแนะแนว 6. ระบบการบริหารงานแนะแนว 7. บทบาทของบคุ ลากรทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั การแนะแนว 8. คณุ สมบัติและจรรยาบรรณของนกั แนะแนว 9. โครงการและแผนปฏิบัตงิ านแนะแนว 10. การประเมินผลการปฏิบตั งิ านแนะแนว 11. ปัญหาและอปุ สรรคในการบรหิ ารงานแนะแนว
340 กิจกรรมการเรียนการสอน กจิ กรรมการเรียนการสอนเร่อื งการบรหิ ารงานแนะแนวในสถานศึกษา มดี งั น้ี สปั ดาหท์ ี่ 14 (3 ชว่ั โมง) 1. ผู้สอนทบทวนเนื้อหาบทที่ 6 พร้อมช้ีแจงวัตถุประสงค์ และเนื้อหาประจาบทเรียน บทที่ 7 เพอื่ ให้ผู้เรียนรับรู้ภาพรวมของเน้อื หาสาระในบทเรยี นนี้ 2. ผสู้ อนบรรยายเนื้อหาเกยี่ วกบั การบรหิ ารงานแนะแนวในสถานศึกษาทุกหัวขอ้ 3. ผู้เรียนรับฟังบรรยายสรุปเนื้อหาสาระ ร่วมกับศึกษาเนื้อหาเรื่อง “การบริหารงาน แนะแนวในสถานศึกษา” จากเอกสารคาสอน พร้อมทั้งซักถามและตอบคาถามระหว่างการฟัง บรรยาย 4. ผู้สอนให้ผู้เรียนชมคลิปวิดีโอเก่ียวกับ “หลักและระบบงานแนะแนวในสถานศึกษา” ของมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 30 นาที แล้วร่วมกนั สรุปสาระสาคัญทไี่ ด้รบั 5. ผู้สอนให้ผู้เรียนแบ่งกลุ่มทาใบกิจกรรม 7.1 ในหัวข้อเกี่ยวกับ “ปัจจัยที่ส่งผลให้การ บริหารงานแนะแนวในสถานศึกษามีประสทิ ธิภาพ” และ “แนวทางการแก้ไขปัญหาและอุปสรรคใน การบริหารงานแนะแนว” โดยให้ระดมสมองช่วยกันคิดหาคาตอบและอภิปรายร่วมกันภายในกลุ่ม เสรจ็ แล้วใหแ้ ตล่ ะกลุม่ นาเสนอหนา้ ชัน้ เรียนต่อกล่มุ ใหญ่ 6. ผู้สอนให้ผู้เรียนร่วมกันวิเคราะห์ อภิปราย สรุปเน้ือหาการบริหารงานแนะแนวใน สถานศึกษา และแนวทางการนาไปประยกุ ต์ใช้ รวมทั้งเปิดโอกาสใหผ้ ้เู รยี นซักถามในหวั ข้อ / ประเด็น ทส่ี งสัย 7. ผสู้ อนมอบหมายให้ผู้เรยี นทาคาถามท้ายบท และกาหนดวนั ส่ง 8. ผู้สอนช้แี จงหัวขอ้ ทีจ่ ะเรียนในครงั้ ตอ่ ไป เพือ่ ให้ผู้เรยี นไปศึกษากอ่ นลว่ งหนา้ 9. ผู้สอนเสริมสร้างคุณธรรมและจรยิ ธรรมใหก้ บั นกั ศึกษาก่อนเลกิ เรยี น สอื่ การเรียนการสอน 1. เอกสารคาสอน จติ วทิ ยาแนะแนวและการให้คาปรึกษา 2. เอกสาร ตารา หนังสือ และงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้องกับจิตวิทยาแนะแนวและการให้ คาปรึกษา 3. สไลดน์ าเสนอความรู้ประเด็นสาคัญทุกหัวข้อเร่อื ง ด้วยสื่อทางคอมพิวเตอร์ Microsoft Power Point
341 4. วิดที ัศน์เก่ียวกบั “หลักและระบบงานแนะแนวในสถานศึกษา” 5. ใบกจิ กรรม 6. คาถามท้ายบท การวัดผลและการประเมินผล วัตถุประสงค์ วิธกี าร/เคร่อื งมอื การวดั ผลและการประเมนิ ผล 1. อธบิ ายความหมายและความสาคัญ 1. ซักถาม-ตอบคาถาม 1. นักศึกษาตอบคาถาม และ ของการบรหิ ารงานแนะแนวได้ อภปิ ราย แลกเปลย่ี น อภิปรายได้ถูกตอ้ ง ร้อยละ 80 2. อธิบายหลักการของการบรหิ ารงาน และการสนทนาร่วมกัน 2. นกั ศึกษามีความสนใจ/ แนะแนวได้ 2. สังเกตพฤตกิ รรม ความรว่ มมือ และความ 3. ระบุองคป์ ระกอบของการ การร่วมกจิ กรรม กระตอื รนื ร้นในการร่วม บรหิ ารงานแนะแนวได้ 3. สงั เกตการนาเสนอผล กิจกรรมอย่ใู นระดบั ดี 4. อธิบายแนวทาง และระบบการ การทางานหน้าชั้นเรียน 3. นักศกึ ษามีความพรอ้ ม/ บรหิ ารงานแนะแนวได้ 4. ใบกิจกรรม ความต้งั ใจและความกล้า 5. อธิบายและยกตัวอยา่ งบทบาทของ 5. คาถามท้ายบท แสดงออกในการนาเสนอผล บุคลากรท่ีเก่ียวขอ้ งกบั การแนะแนวได้ การทางานหน้าชั้นเรียนอยู่ใน 6. บอกคณุ สมบตั ิและจรรยาบรรณ ระดับดี ของนกั แนะแนวได้ 4. นกั ศกึ ษาทาใบกิจกรรมได้ 7. อธิบายและยกตวั อย่างโครงการ ถูกต้อง ครบสมบรู ณ์ และเสรจ็ และแผนปฏิบัตงิ านแนะแนวได้ ตามเวลาทกี่ าหนด รอ้ ยละ 80 8. อธิบายการประเมินผลการ 5. นกั ศึกษาตอบคาถามทา้ ย ปฏิบตั ิงานแนะแนวได้ บทเรียนได้ ร้อยละ 80 9. บอกปญั หาและอุปสรรคในการ บรหิ ารงานแนะแนว
342
343 บทที่ 7 การบริหารงานแนะแนวในสถานศึกษา การบรหิ ารงานแนะแนวเปน็ ส่ิงสาคัญยิง่ สาหรับการจดั บริการแนะแนว เพราะงานแนะแนว เป็นงานที่เกี่ยวขอ้ งกบั บคุ ลากรหลายฝา่ ย ท้ังภายในสถานศกึ ษาและนอกสถานศึกษา ดงั น้นั หลักการ บริหารงานแนะแนวที่สาคัญ คือ ผู้บริหารจะต้องเข้าใจขอบข่ายของงานแนะแนวเป็นอย่างดี มกี ารกาหนดโครงสร้างการบรหิ ารอย่างชัดเจน บุคลากรท่ีจะรบั ผิดชอบงานแนะแนวควรเป็นผู้ที่มี คุณสมบัติเหมาะสม การกาหนดจุดมุ่งหมายควรให้ครอบคลุมทั้งการป้องกันปัญหา การแก้ปัญหา และการส่งเสริมพัฒนา การจัดบริการแนะแนวจะต้องให้ครอบคลุมท้ังด้านการศึกษา อาชีพ ส่วนตัวและสังคม และมีการประชาสมั พันธ์งานแนะแนวท่ดี จี ะชว่ ยให้บคุ ลากรทั้งภายในและภายนอก ได้รับรู้และเข้าใจงานแนะแนวได้เป็นอย่างดี ซึ่งจะมีผลต่อการได้รับความร่วมมือในโอกาสต่างๆ เพราะงานทุกอย่างในสถานศึกษาจะเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่กาหนดไว้ได้ต้องขึ้นอยู่กับการ บรหิ ารงานอยา่ งเป็นระบบและมีประสทิ ธิภาพ ความหมายของการบริหารงานแนะแนว สาหรบั ความหมายของการบริหารงานแนะแนว ได้มีนักจิตวิทยาและนักวิชาการกล่าวไว้ ดังนี้ กรมวิชาการ กระทรวงศกึ ษาธิการ. (2532, น. 37) ให้ความหมายการบริหารงานแนะแนว หมายถึง การดาเนนิ งานแนะแนวในโรงเรยี นให้เปน็ ไปตามวตั ถุประสงค์ท่กี าหนดไว้ คือการจัดบริการ และกิจกรรมต่างๆ เพ่อื ใหผ้ เู้ รยี นตัดสนิ ใจอย่างฉลาด ปรบั ตัวไดด้ ี และมีชีวิตท่ีราบรน่ื เปน็ ประโยชนต์ ่อ สังคม นอกจากนีก้ ารบริหารงานแนะแนวจะตอ้ งคานงึ ถงึ ความสอดคล้องกับหลักสตู รของสถานศึกษา อีกดว้ ย ลักขณา สริวัฒน์ (2551, น. 322) ให้ความหมายของการบริหารงานแนะแนว หมายถึง กระบวนการดาเนนิ งานแนะแนวในสถานศึกษาให้เป็นไปตามจดุ มงุ่ หมายทต่ี ้งั เอาไว้ เชน่ อาจจะมีการ วางแผนงานจัดต้งั บุคลากรรบั ผดิ ชอบงานแต่ละหน้าที่ มีการควบคมุ การดาเนนิ งาน เปน็ ต้น นภิ า พงศ์วิรัตน์ (2552, น. 163) ให้ความหมายการบริหารงานแนะแนววา่ ความพยายาม ในการทางานและควบคุมการทางานแนะแนวของบุคคลให้บรรลุผลสาเร็จ รวมถึงการดาเนินงาน
344 การรับผิดชอบหรือการปฏิบัตงิ านแนะแนวท่ีมกี ารช่วยเหลอื และการนิเทศติดตามผลการปฏิบัติงาน แนะแนวรวมอยู่ด้วย ซ่ึงจุดมุ่งหมายหลักของการบริหารงานแนะแนวก็คือ ประสิทธิภาพและ ประสทิ ธิผลของงาน หรือความสาเรจ็ นั่นเอง นิรันดร์ จุลทรัพย์ (2554, น. 281) ให้ความหมายว่า การดาเนินการแนะแนวใน สถานศึกษาให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่กาหนดไว้ คือ การจัดบริการและกิจกรรมต่างๆ เพื่อให้ นกั เรียน นิสติ นกั ศกึ ษาตัดสินใจอย่างฉลาด ปรบั ตัวไดด้ ี และมชี วี ิตทร่ี าบรนื่ เป็นประโยชนต์ ่อสังคม คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (2555, น. 21) กล่าวถึง ความหมายการ บริหารงานแนะแนวว่า หมายถึง การจัดการเพื่อให้การจดั กิจกรรมแนะแนว การจัดบริการแนะแนว และการพัฒนาวิชาการแนะแนวดาเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้เรียน การบรหิ ารงานแนะแนวยึดขอบขา่ ยการดารงชวี ิตดา้ นการศกึ ษา อาชพี สว่ นตวั และสงั คม จากความหมายของการบริหารงานแนะแนวข้างต้น สามารถสรุปได้ว่า การบริหารงาน แนะแนว หมายถึง การจัดการเพ่ือให้การจัดกิจกรรมแนะแนว บรกิ ารแนะแนว ดาเนนิ ไปได้อย่างมี ประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้เรยี น ในการดารงชีวิตด้านการศึกษา อาชีพ ส่วนตัวและ สังคม และเปน็ ไปตามวตั ถปุ ระสงค์ท่ีสถานศกึ ษากาหนดไว้ ความสาคัญของการบรหิ ารงานแนะแนว ในการดาเนินงานแนะแนว ถ้าหากการดาเนินงานเป็นไปตามใจชอบของผู้ให้บริการและ ผรู้ ับบริการ จะทาให้งานเกิดความสับสน การดาเนินงานแตล่ ะคร้งั ไมแ่ น่นอน ขาดมาตรฐานในการ ดาเนินงาน ดังน้ัน การจัดบริการแนะแนวต่างๆ จะทาได้ไม่สะดวก โดยเฉพาะอย่างย่ิงบริการท่ีจะ ใหก้ ับผ้เู รียน บรกิ ารที่เกีย่ วข้องกับอนาคตของผขู้ อรับบริการ ถ้าหากเปน็ ดงั น้ันแลว้ จะเกิดผลเสียหาย เป็นอย่างมาก ดังน้ัน การจัดงานแนะแนวจึงควรจัดทาอย่างมีระเบียบและขั้นตอนที่เกี่ยวเนื่องกัน เรียกว่า การจัดระบบงานแนะแนว ซ่ึงการจัดบริการท่ีดีควรจะดาเนินอย่างเป็นข้ันตอน มีการแบ่ง ความรับผิดชอบที่ชัดเจน มีเปา้ หมายท่ีกาหนดไว้ งานก็จะดาเนินไปดว้ ยดี ผู้รับบริการจะได้รับบรกิ าร ท่ีดีมีมาตรฐาน ผู้ให้บริการก็สบายใจสามารถให้บริการตามเจตนารมณ์ขององค์การได้ การทางาน อยา่ งเปน็ ระบบนน้ั ได้แก่ การทางานทม่ี ลี ักษณะดงั นี้ 1. มีการกาหนดเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ของงานอย่างชัดเจน เป้าหมายหรือ วัตถุประสงค์ของงานเปรียบเสมือนจุดหมายปลายทางว่าผู้ดาเนินงานต้องการจะไปให้ถึง ณ จุดใด การกาหนดเป้าหมายของงานหรือของหน่วยงานก็เท่ากับเป็นการกาหนดจุดหมายของหน่วยงาน ทง้ั ในด้านปริมาณและคณุ ภาพของหน่วยงานไวน้ ่ันเอง ในบริการแนะแนวของสถานศกึ ษาการกาหนด
345 เปา้ หมายหรือวัตถุประสงค์ อาจจะกาหนดในรปู ของปริมาณงานผทู้ จี่ ะมารับบรกิ ร หรือการกาหนดวา่ เม่อื ผ้มู ารบั บริการแล้วจะประสบความสาเรจ็ มากน้อยเพียงใดหรอื ระดบั ใด 2. การวิเคราะห์งาน กิจกรรมของงานจะต้องชัดเจนทั้งในด้านของตัวกิจกรรม ลาดับ ขัน้ ตอนของกจิ กรรม โดยชดั เจนวา่ ควรจะเริ่มจากกจิ กรรมใดก่อนกจิ กรรมใดหลงั 3. การแบ่งความรับผิดชอบของงานชัดเจน ว่าใครรับผิดชอบงานหรือกิจกรรมใด และมี จุดประสานกัน ณ จดุ ใด เป็นต้น 4. การกาหนดทรัพยากรที่จะใชใ้ นกิจกรรมแต่ละกิจกรรมอย่างชัดเจนวา่ จะใช้ทรัพยากร อะไร และทรัยากรนนั้ ไดม้ าจากไหน ตลอดจนการบริหารทรัพยากร 5. การจัดลาดับขั้นในการดาเนินงานเป็นการพิจารณากาหนดว่างานจะเริ่มต้น ณ จุดใด แล้วดาเนินไปอย่างไร กิจกรรมใดควรจะทาพร้อมกนั ได้ 6. การดาเนินงาน เป็นการนากิจกรรมท่ีผ่านการวิเคราะห์และจัดลาดับมาปฏิบัติตาม ขนั้ ตอนท่ีกาหนดไวข้ า้ งต้น 7. มีการประเมินการดาเนินกิจกรรม เมื่อดาเนินกิจกรรมแตล่ ะกิจกรรมแล้ว ควรจะมีการ ประเมนิ กจิ กรรมเปน็ ระยะๆ ท้ังนเี้ พอ่ื การปรบั ปรุงกจิ กรรมให้ดขี ึน้ นอกจากนี้ การจดั ระบบงานแนะแนวในสถานศึกษามคี วามสาคญั หลายประการ เช่น 1. เพ่ือสะดวกในการจดั บริการแนะแนวให้แกผ่ ู้เรยี นได้ตามความต้องการ ดังได้ทราบแล้ว วา่ บริการแนะแนวมีหลายบริการและผู้เรียนมีความต้องการและปัญหาท่ีแตกต่างกันออกไป ดังน้ัน ถา้ หากทางสถานศึกษาสามารถจดั บรกิ ารแนะแนวทเี่ ป็นระบบระเบียบแล้ว การให้และรับบรกิ ารก็จะ ทาได้สะดวกและมีขั้นตอนที่แนน่ อนชัดเจน ไมส่ ับสนทั้งในการให้และรบั บริการ 2. เพ่อื ให้สามารถจัดบริการให้แกผ่ ู้เรยี นไดอ้ ยา่ งครบถ้วน ถ้าหากจดั ระบบงานแนะแนวดี แล้วการจัดบริการจะไม่สับสน ผู้รับบริการก็สามารถจะรับบริการได้ทุกบริการท่ีต้องการและครบ ทุกคน และการบริการนนั้ จะเปน็ ไปอยา่ งถกู ต้องตามหลักของการแนะแนวท่ีดี 3. เพอ่ื เป็นการใช้ทรัพยากรของหนว่ ยงานไดอ้ ย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ ดังได้กลา่ วแลว้ ว่าบริการ แนะแนวมีหลายบริการ และผู้รับบริการมีจานวนมาก ประกอบกบั การจดั บริการแตล่ ะบรกิ ารจาเป็น จะต้องมกี ารลงทุนหรือใช้ทรัพยากรในขณะที่ทรัพยากรของสถานศึกษามีจากัด การใช้ทรัพยากรท่ีมี ประสิทธิภาพยอ่ มจะทาใหก้ ารบรกิ ารมีประสทิ ธิภาพ และประสิทธิผลด้วย 4. เพ่ือทาให้สะดวกในการตดิ ตามและประเมินผลโครงการในหน่วยงาน ถ้าหากหน่วยงาน จัดดาเนินงานอย่างเป็นระบบจะทาให้ทราบได้ว่าขณะนี้งานใดดาเนินไปในขั้นใด และสามารถจะ ประเมินได้ท้ังในด้านของประสิทธิภาพและประสิทธผิ ลของงานแตล่ ะอย่าง
346 หลกั การบริหารงานแนะแนว การบริหารงานแนะแนวในสถานศกึ ษา นอกจากจะตอ้ งมกี ารจดั ระบบอยา่ งมปี ระสิทธิภาพ แล้วจาเปน็ จะต้องศึกษาหลักการเพ่ือเป็นแนวปฏิบัติในการบรหิ ารงานแนะแนว หลักการดังกล่าวมี 5 ประการ ดงั นี้ (ลักขณา สริวัฒน์, 2551, น. 338-339) 1. การจัดโครงการแนะแนวเป็นการให้บริการต่างๆ แก่ผู้เรยี นโดยมจี ุดมงุ่ หมายเบ้ืองต้นที่ จะช่วยเหลอื ผู้เรียนแตล่ ะคนใหม้ กี ารปรบั ปรุงตวั เองให้ดีขน้ึ ในการจัดบริการแนะแนวในสถานศึกษา น้ันควรจะมีการจัดบริการหลายบริการ เพราะผู้เรียนแต่ละคนนั้นมีความต้องการจะได้รับความ ช่วยเหลือท่ีแตกต่างกันไป เช่น บางคนต้องการเฉพาะข้อสนเทศแต่ในขณะที่บางคนอาจต้องการ ได้รับบริการจัดวางตัวบุคคล ดังน้ันถ้าจะให้บริการแนะแนวมีความสมบูรณ์แล้วควรจะให้มีการจัด กจิ กรรมต่างๆ ให้สอดคล้องกบั ความต้องการของผู้เรียนทกุ คนในสถานศกึ ษา ซงึ่ สถานศึกษาสามารถ ทาได้โดยการสารวจปัญหา ท้ังน้ีจะเป็นการช่วยส่งเสริมการจัดบริการแนะแนวให้เป็นไปตาม จดุ ม่งุ หมายท่ีไดต้ ัง้ เอาไว้ 2. การจัดโครงการแนะแนวควรมกี ารวางขอบข่ายใหแ้ น่นอน ท้ังนี้เพื่อเปน็ ประโยชน์ต่อการ ดาเนินงาน การบริหาร การนิเทศ การทางาน ตลอดจนการประเมินผลโครงการแนะแนว โดยปกติ แล้วกิจกรรมทางการแนะแนวน้ันกว้างขวางมาก แต่อย่างไรก็ตาม กิจกรรมบางอย่างก็ไม่ใช่เป็นงาน แนะแนวโดยตรง แต่เป็นงานที่มีส่วนช่วยเหลือผู้เรียน จึงอาจจะทาให้เกิดความเข้าใจที่สับสนว่า งานน้ันเป็นงานแนะแนวหรือไม่ ดังนั้นจึงมีความจาเป็นที่ต้องวางขอบข่ายท่ีแน่นอน เม่ือมีการ พฒั นาการทางานก็ต้องพจิ ารณาความสาเรจ็ ของการปฏบิ ัตงิ านทไี่ ดก้ าหนดเอง ถ้าสามารถจะทาได้ก็ จะทาให้การดาเนินงานไมป่ ระสบความยงุ่ ยาก 3. การกาหนดบคุ ลากรรับผิดชอบการดาเนินงานแนะแนวจะต้องพิจารณาบคุ คลที่มคี วาม เหมาะสม ในระยะแรกของการดาเนินงานแนะแนวมักจะมีผู้สงสัยว่าใครคือผ้ทู ี่จะรับผิดชอบต่องาน แนะแนวของสถานศึกษา ครูประจาช้ันมีหน้าที่ในงานแนะแนวหรือไม่ ผู้เช่ียวชาญจะปฏิบัติหน้าท่ี อะไรบา้ ง การถามคาถามเหล่านี้มีสิ่งท่ีจะต้องพิจารณาสาเหตุของการต้ังคาถามดังกล่าว 2 ประการ คือ ประการแรก การถามคาถามดังกล่าวอาจเกิดจากความไม่รู้ เน่ืองจากไม่เคยเรียน วิชาทางการแนะแนว ทาให้ไม่มีความคิดรวบยอดเกี่ยวกับงานแนะแนวจึงทาให้เกิดความสับสนใน บทบาทของบคุ ลากรในสถานศกึ ษา ประการท่ีสอง การถามคาถามนัน้ จะเปน็ การเตือนให้รูว้ ่าทุกคนทางานหนกั เม่ือเรมิ่ งาน โครงการแนะแนวสถานศึกษา ซึ่งเป็นการเพิ่มภาระรับผิดชอบอย่างแน่นอน ดังน้ัน ควรจะมีการทา ความเขา้ ใจว่าใครบา้ งควรจะรบั ผิดชอบรว่ มกัน และจัดแบง่ การรับผดิ ชอบอย่างเหมาะสม นอกจากน้ี
347 ควรจะให้ทุกคนมีความเข้าใจย่างถูกต้องว่า บุคลากรทุกคนในสถานศึกษามีส่วนให้บริการแนะแนว แตกต่างกนั ไปตามหน้าทขี่ องตนเอง 4. การจัดการแนะแนวจะต้องให้ครอบคลุมการแนะแนวทุกด้าน คือ ด้านการศึกษา ด้านอาชพี ดา้ นส่วนตัวและสงั คม แม้วา่ ตามประวตั กิ ารแนะแนวในสหรฐั อเมรกิ านัน้ จะเรมิ่ ตน้ ดว้ ยการ แนะแนวอาชีพก็ตาม แต่ในความเป็นจริงแล้วงานแนะแนวจะต้องให้ความช่วยเหลือผู้เรียนในทุกๆ ด้านตามความตอ้ งการของผู้เรียน การจัดกจิ กรรมทางการแนะแนวใหแ้ ก่ผู้เรยี นก็ตอ้ งพยายามใหเ้ กิด การสมดุลระหว่างการแนะแนวทั้ง 3 ประเภท ซึ่งจะทาให้ผู้เรียนไดร้ ับโอกาสในการปรบั ปรงุ ตนเอง ครบทุกด้าน เป็นที่น่าสังเกตอย่างหนึ่งว่าสถานศึกษาทั่วไปในประเทศไทยมีแนวโน้มในการจัดการ แนะแนวด้านการศึกษามากกว่าด้านอื่นๆ ทั้งนี้อาจเป็นเพราะผู้เรียนมีความต้องการในด้านน้ีสูงก็ได้ ผแู้ นะแนวจึงควรระมัดระวงั ดว้ ย 5. เนื่องจากงานแนะแนวเป็นงานท่ีมีกจิ กรรมมากมาย ดังนั้น การจัดทางานให้ได้สมบูรณ์ ทุกอย่างนั้นย่อมเป็นไปได้ยาก วิธีการท่ีจะช่วยให้ผู้แนะแนวทางานได้ดีขึ้น คือ การเน้นการจัด กิจกรรมบางอย่าง ในขณะเดียวกนั ไม่ทางานหลายโปรแกรม เพราะจะทาใหไ้ ม่สามารถดาเนนิ กจิ กรรม บางอย่างได้อย่างเต็มที่ งานแต่ละโปรแกรมอาจจะเสียไป ในบางกรณียังมีข้อเสนอแนะว่า ควรจะ พัฒนางานบรกิ ารบางอย่างใหไ้ ด้ผลดีเสียก่อนจึงเริ่มพัฒนางานบริการอนื่ ๆ ต่อไป ดังนัน้ หลักในการ จัดท่ีสาคัญอีกประการหนึ่งก็คือ การเริ่มจัดบริการบางบริการท่ีจะทาได้ดีท่ีสุดก่อนแล้วจึงดาเนิน โครงการใหส้ มบรู ณ์ในภายหลงั นอกจากนี้ การบริหารงานแนะแนวในสถานศึกษาเป็นสิ่งสาคัญที่จะทาให้งานแนะแนว ลุล่วงไปด้วยดีฉะนั้น จึงมีความจาเป็นต้องวางระบบบริหารงานน้ีอย่างรอบคอบ โดยมีหลักการ บริหารงานแนะแนวในสถานศึกษา ดงั น้ี (ศรวี รรณ จันทรวงศ์, 2548, น. 294) 1. จะต้องวางจุดประสงค์ของบริการแนะแนวให้สอดคล้องกับแผนการศึกษาของ สถานศึกษา ดังที่กล่าวมาแล้วว่าบริการแนะแนวเป็นส่วนหน่ึงของการศึกษา ถ้าแยกจากกันอาจจะ ประสบความลม้ เหลวในการดาเนนิ งานแนะแนว 2. บรกิ ารงานแนะแนวตอ้ งมีโครงการ และสายงานที่ชดั เจน เพราะตอ้ งได้รับความรว่ มมือ จากบุคลากรในสถานศึกษาทุกคน จึงจาเปน็ ต้องให้ทุกคนเขา้ ใจสายงานและประสานงานกนั ได้ 3. จะต้องกาหนดจุดมุ่งหมายของบริการแนะแนวให้ชัดเจน และครอบคลุมหน้าที่สาคัญ ทั้ง 3 ดา้ น ไดแ้ ก่ การปอ้ งกนั ปญั หาท่อี าจเกดิ ข้ึน การแก้ปัญหา และการสง่ เสรมิ พัฒนาการ 4. จะตอ้ งกาหนดบุคลากรท่ีจะมาดาเนินงานแนะแนว โดยเลือกจากบุคคลที่มีวุฒิภาวะสูง พอสมควร ความรู้และประสบการณ์ทางการแนะแนว และมีบุคลิกภาพท่ีเหมาะสมเพื่อให้การ ดาเนินงานได้ผล 5. การจดั บรกิ ารแนะแนวจะตอ้ งจดั อยา่ งกวา้ งขวาง เพอ่ื ผู้เรียนทุกคน ทกุ ระดบั
348 6. มีการประชาสัมพนั ธใ์ ห้ผู้เรยี น ไมใ่ ห้ครูในสถานศึกษาเข้าใจผิดวา่ เปน็ การเพม่ิ ภาระหนัก ให้แก่เขาหรือแบ่งหน้าที่เขา บุคลากรในสถานศึกษาตลอดจนผู้ปกครองรู้จัก เห็นคุณค่าบริการ แนะแนวในสถานศกึ ษา 7. กาหนดบทบาท หน้าท่ีความรับผิดชอบของบุคลากรท่ีเกี่ยวข้องกับการแนะแนวใน สถานศึกษาเพ่ือปอ้ งกันไมใ่ หม้ ีปัญหาเกิดข้ึน และไดร้ บั ความร่วมมอื จากบุคลากรทกุ ฝายเป็นอยา่ งดี 8. กาหนดขอบข่าย งานของโครงการแนะแนวให้แน่นอนเพื่อประโยชน์ในการดาเนินงาน และการวัดผลประเมนิ ผล เพอ่ื หาข้อบกพร่องและปรบั ปรุงงานใหด้ ขี ึ้น จากหลกั การบรหิ ารงานแนะแนวดงั กล่าว จะเหน็ ได้ว่างานแนะแนวเปน็ งานท่มี กี ระบวนการ ทางานอย่างเป็นระบบและต่อเน่ือง และมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับงานและบุคคลอื่นๆ ท้ังภายใน และภายนอกสถานศึกษา โดยมเี ป้าหมายสาคัญในการป้องกัน ส่งเสริม แก้ไข และช่วยเหลือผู้เรียน ปัจจัยสาคัญท่ีจะทาให้การทางานแนะแนวสามารถประสานเชื่อมโยงกับงานอื่นๆ ในสถานศึกษาได้ อย่างสอดคล้องกลมกลืน และช่วยให้การทางานแนะแนวประสบความสาเร็จเป็นรูปธรรม คือการ กาหนดขอบข่ายงานแนะแนวให้ชัดเจนและทาความเข้าใจเนื้อแท้ในการทางานตามขอบข่าย ซึ่งจะ เปน็ ประโยชน์อย่างย่ิงตอ่ การบริหารจัดการงานแนะแนว ทาให้ครแู นะแนวมที ศิ ทางในการดาเนนิ งาน และสามารถประสานการทางานแนะแนวเข้ากับงานและบุคคลต่างๆ ในสถานศึกษาไดอ้ ย่างกลมกลืน ซึ่งการกาหนดขอบข่ายของงานแนะแนวในปัจจุบันจาเป็นต้องคานึงถึงองค์ประกอบต่างๆ ได้แก่ ศาสตร์ของการแนะแนว กรอบแนวคิดในการพัฒนาผู้เรียนตามหลักสูตรแกนกลาง การศึกษาข้ัน พน้ื ฐาน พุทธศักราช 2551 รวมถึงนโยบายจดุ เน้นเรอื่ งท่ีเก่ยี วข้องกับการดูแลช่วยเหลือนักเรียนตาม นโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ ซ่ึงงานแต่ละด้านมีภารกิจตามลักษณะงาน และมีความเชือ่ มโยง เกี่ยวพันกันอย่างกลมกลืน ซึ่งสามารถเสนอแผนภูมิแสดงการประสานงานระหว่างบุคลากรต่างๆ เกย่ี วกบั การดาเนนิ งานแนะแนวในสถานศึกษา และขอบขา่ ยงานแนะแนวไดด้ งั น้ี ผูบ้ รหิ ารสถานศึกษา ครู นกั แนะแนว ผปู้ กครอง บุคลากรอ่ืน บคุ ลากรและ ในสถานศกึ ษา สถาบันในชุมชน นกั เรียน ภาพท่ี 7.1 แผนภมู ิแสดงการประสานงานระหว่างบุคลากรในการบริหารงานแนะแนว ท่มี า: คณะครุศาสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลัย, 2555, น. 16
349 ขอบขา่ ยงานแนะแนว งานบรกิ ารแนะแนว งานจดั กจิ กรรมแนะแนว งานประสานระบบดแู ล ชว่ ยเหลือผเู้ รียน บรกิ ารศกึ ษารวบรวมข้อมูล ดา้ น ดา้ น ดา้ น ผู้เรยี น การศกึ ษา อาชีพ สว่ นตัว ประสาน ชว่ ยเหลอื ครทู ี่ปรกึ ษา และสงั คม ในการรจู้ กั ผเู้ รียนเปน็ รายบคุ คล บริการสนเทศ ประสาน ช่วยเหลือครทู ปี่ รกึ ษา บรกิ ารจดั วางตวั บคุ คล ในการคัดกรองผู้เรียน บริการการให้คาปรึกษา ประสาน ชว่ ยเหลือครทู ่ีปรกึ ษา เชงิ จิตวิทยา ในการสง่ เสริม/พัฒนาผู้เรียน บรกิ ารตดิ ตามผล ประสาน ชว่ ยเหลือครทู ป่ี รกึ ษา ในการชว่ ยเหลือ/แก้ไขผู้เรียน กลุ่มเสยี่ ง/มีปัญหา/รบั การส่งตอ่ ประสานเครือขา่ ย ผปู้ กครอง นกั เรียน ภาพที่ 7.2 แผนภมู แิ สดงขอบขา่ ยงานแนะแนว ท่มี า: คณะครศุ าสตร์ จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย, 2555, น. 16 องคป์ ระกอบของการบริหารงานแนะแนว ในการบริหารงานแนะแนวให้มีประสิทธิภาพและประสทิ ธิผลตามวตั ถุประสงค์ที่ต้องไว้ ควรคานงึ ถึงองคป์ ระกอบต่อไปน้ี 1. ปจั จัยสนบั สนนุ การบรหิ ารงานแนะแนว 1.1 โครงสรา้ งการบรหิ ารงานแนะแนว ประกอบดว้ ย คณะกรรมการการแนะแนวท่ีมี ผู้บริหารเป็นประธาน ครู ผู้เรียน และเครือข่าย ผู้รับผิดชอบควรเป็นผู้ท่ีมีความรู้ด้านจิตวิทยาการ แนะแนว เป็นเลขานกุ ารหรือผปู้ ระสานงาน 1.2 บุคลากรทีเ่ กยี่ วขอ้ ง การดาเนนิ งานแนะแนวจาเป็นตอ้ งทางานเป็นคณะกรรมการ แต่งตงั้ คณะทางาน ควรคานึงถงึ ความรคู้ วามสามารถด้านจติ วิทยาการแนะแนว ความพรอ้ มทางจิตใจ
350 ท่ีจะทางานและความสามารถในการทางานเป็นกลุ่ม บุคลากรท่ีควรมีส่วนร่วมในงานแนะแนว คือ คณะผู้บริหาร ครูประจาช้ัน ครูที่ปรึกษา ผู้ปกครอง ชุมชน และผู้เรียน และควรได้รับการพัฒนา ความรตู้ ามบทบาทหนา้ ทเี่ พ่ือให้การดาเนนิ งานแนะแนวไดอ้ ย่างมีประสิทธิภาพ อกี ทัง้ การสร้างขวัญ กาลังใจให้แก่ผู้ปฏบิ ัติงาน เชน่ การยกย่อง ชมเชย การฝึกอบรม ศึกษาดงู าน เปน็ ตน้ 1.3 วสั ดุ อปุ กรณ์ เครือ่ งใช้สานักงาน เชน่ โต๊ะทางาน ตูเ้ อกสาร คอมพิวเตอร์ เปน็ ต้น 1.4 สถานท่ีมีห้องแนะแนวและห้องให้คาปรึกษา รวมท้ังเครื่องมือ ระเบียนสะสม แบบทดสอบ แบบวัดต่างๆ เป็นตน้ 1.5 งบประมาณ สนับสนนุ การจดั โครงการ กจิ กรรมงานแนะแนว ซื้อวสั ดคุ รุภัณฑ์ 1.6 การประสานสัมพันธ์ การดาเนินงานแนะแนวต้องเก่ียวข้องสัมพันธ์กับบุคลากร หลายฝ่าย เช่น ฝ่ายวิชาการ ฝ่ายกิจการนักเรียน ฝ่ายบริหาร รวมท้ังครูประจาชั้น ครูที่ปรึกษา ครูแนะแนว ผู้ปกครอง ชุมชนผ้เู รียน และบุคลากรนอกสถานศึกษา ซึ่งครูแนะแนวจะต้องเป็นผู้ท่ีมี มนษุ ยสัมพันธ์ทด่ี ี 1.7 การจดั บรรยากาศและสภาพแวดลอ้ มในการแนะแนว เพ่อื ใหผ้ ู้เรียนเกดิ ความรสู้ ึก ทด่ี ี เรียนรผู้ ่านกิจกรรมได้อย่างมีคณุ ภาพ สถานศกึ ษาต้องพัฒนาบรรยากาศ สภาพแวดล้อม แหล่ง การเรยี นรู้ การส่อื สารกับผเู้ รียนทง้ั ในระหว่างจดั กจิ กรรมแนะแนวและนอกห้องเรยี น เพ่อื เสรมิ สรา้ ง ความรู้ความเข้าใจ และเสริมแรงให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ รวมทั้งการสร้างเจตคติ ค่านิยมท่ีดีงาม ตลอดจนคุณลกั ษณะที่พงึ ประสงคใ์ หเ้ กดิ แกผ่ ู้เรยี น 1.8 เครือข่ายการแนะแนว เป็นการผสมผสานความรู้และประสบการณ์ของบุคคล ทง้ั ภายในและภายนอกสถานศึกษา เพ่ือช่วยเหลือซ่ึงกันและกัน ตามบทบาทหน้าท่ีทรี่ ับผิดชอบของ เครือขา่ ยน้ันๆ ให้การบรหิ ารงานแนะแนว บรรลุตามวตั ถุประสงค์ 2. กระบวนการงานแนะแนว ประกอบด้วย 2.1 การจัดกิจกรรมแนะแนวเพ่ือป้องกันปัญหา แก้ไขปัญหา และพัฒนาศักยภาพ ผู้เรียน 2.2 การจัดบริการแนะแนวทั้ง 5 บรกิ าร 2.3 การสง่ ตอ่ ผู้เรยี นไปยังเครอื ขา่ ยที่ให้การช่วยเหลอื และสนับสนนุ 3. ผลผลิตทเี่ กิดจากการบริหารงานแนะแนว เพื่อใหก้ ารบริหารงานแนะแนวจากการจัด กิจกรรมแนะแนว และการจัดบริการแนะแนว เกิดประโยชน์แก่ผู้เรียนสอดดคล้องกับหลักสูตร แกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 คือ สมรรถนะสาคัญ คุณลักษณะอันพึงประสงค์ รวมทั้งวัตถุประสงค์ของการแนะแนวและคุณภาพของผู้เรียนต ามท่ีสถานศึกษากาหนด การบริหารงานแนะแนวสถานศึกษาสมควรกาหนดวัตถุประสงค์ของการจัดกิจกรรมแนะแนว การจัดบริการแนะแนว เพอ่ื การประเมนิ ผลและนาไปพัฒนาปรบั ปรงุ
351 แนวทางการบรหิ ารงานแนะแนว เพื่อให้การบริหารงานแนะแนวในสถานศึกษา มีแนวทางในการดาเนินงาน จึงได้กาหนด กระบวนการทค่ี รอบคลมุ ทั้งด้านปัจจัยและกระบวนการตามข้ันตอนต่อไปน้ี 1. การกาหนดเปา้ หมาย กลยุทธ์ และแผนพัฒนาระบบงานแนะแนวในสถานศึกษา 1.1 ผู้บริหาร ครู และคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพ้ืนฐานร่วมกันศึกษาวิเคราะห์ นโยบาย มาตรฐานการศึกษาข้ันพ้ืฐาน หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน ข้อมูลพื้นฐานของ ผู้เรียน บริบทของสถานศึกษา นามากาหนดเป็นเป้าหมายและยุทธศาสตร์ของระบบงานแนะแนว ใหเ้ ปน็ สว่ นหนงึ่ ของแผนพฒั นาคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษา 1.2 จัดทามาตรฐานคุณภาพผเู้ รียนที่เกดิ จากระบบงานแนะแนวในสถานศกึ ษา 1.3 จัดทามาตรฐานการปฏิบัติงานตามระบบงานแนะแนว โดยการมีส่วนร่วมของ ผู้บรหิ าร ครูแนะแนว ครูท่ีปรกึ ษา ครู และบุคลากรอนื่ ๆ ในสถานศึกษา นักเรยี น ผปู้ กครอง ชมุ ชน และคณะกรรมการสถานศึกษาขน้ั พน้ื ฐาน 1.4 จัดทาแผนงาน/โครงการ/กิจกรรมท่ีสอดคล้องกับเป้าหมายตามแผนยุทธศาสตร์ ของระบบงานแนะแนวในสถานศึกษา 2. การจดั ระบบบรหิ ารและระบบข้อมูลสารสนเทศเพือ่ ระบบงานแนะแนวในสถานศึกษา 2.1 จัดทาโครงสร้างการบริหารระบบงานแนะแนวในสถานศึกษาอย่างเป็นระบบ ครบ วงจรให้บรรลเุ ปา้ หมายตามแผนยทุ ธศาสตรก์ ารแนะแนวที่มีความคลอ่ งตวั สามารถปรบั เปลย่ี นไดต้ าม ความหมาะสม บริหารงานเชิงกลยทุ ธ์ ใช้หลักการมีสว่ นรว่ ม มีการตรวจสอบ 2.2 แต่งต้งั คณะกรรมการดาเนนิ งานแนะแนวและกาหนดบทบาทหน้าท่ี ซ่ึงอาจจัดทา เป็นคณะเดียวหรือหลายคณะข้ึนอยกู่ ับบรบิ ทของสถานศึกษา ในทน่ี ี้ขอนาเสนอตัวอย่างเป็น 2 คณะ ซึง่ สถานศึกษาสามารถปรับเป็นคณะเดียวกันหรอื แบง่ มากกว่าน้ันใหเ้ หมาะกับบรบิ ทของสถานศกึ ษา ดังตัวอยา่ งต่อไปนี้ 2.2.1 คณะกรรมการอานวยการ ประกอบด้วย ผูอ้ านวยการโรงเรยี นเปน็ ประธาน กรรมการ รองผู้อานวยการทุกฝ่าย หัวหน้างานท่ีเกี่ยวข้อง ผู้แทนครู ผู้แทนผู้ปกครอง กรรมการ สถานศกึ ษา ผู้แทนชมุ ชน และหัวหน้างานแนะแนว เป็นกรรมการและเลขานุการ บทบาทหน้าที่ - ส่งเสริม สนับสนุนการบริหารงานแนะแนวตามระบบงานแนะแนวใน สถานศกึ ษา - บูรณาการภารกิจงานแนะแนวในแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาของ สถานศกึ ษา
352 - ประสานสัมพันธ์ สร้างความเข้มแข็ง สร้างขวัญกาลังใจ และ พฒั นาบคุ ลากร - นเิ ทศ กากบั ตดิ ตาม และประเมินผล 2.2.2 คณะกรรมการดาเนินงาน ประกอบด้วย รองผู้อานวยการที่ผู้บริหาร มอบหมาย เป็นประธานกรรมการ ครูแนะแนวทุกคน ครูอ่ืนๆ ตามท่ีสถานศึกษาพจิ ารณาตามความ เหมาะสมเปน็ กรรมการ โดยมีหัวหน้างานแนะแนว เป็นกรรมการและเลขานุการ มีคนอื่นๆ ที่ได้รับ มอบหมายให้ เป็นผู้ช่วยเลขานุการ บทบาทหนา้ ที่ี - จัดกจิ กรรมแนะแนวตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขั้นพน้ื ฐาน - จัดอบรม ทาเครื่องมือ สื่ออุปกรณ์ทจ่ี าเปน็ เพ่ือการดาเนินงานแนะแนว และสนบั สนนุ ระบบการดูแลช่วยเหลอื นกั เรียนให้แก่ครทู ป่ี รกึ ษา และบุคลากรทเี่ กย่ี วข้อง - จัดกิจกรรม/โครงการ เพ่ือพัฒนา ป้องกัน และแก้ไขปัญหาผู้เรียน กลุ่มต่างๆ รวมทั้งรบั ผู้เรียนจากการส่งต่อในระบบการดูแลช่วยเหลอื นักเรียน - ร่วมมือกับนักจิตวิทยาสถานศึกษา ในการพัฒนา ป้องกันและแก้ไข ปัญหานักเรียน - จัดบริการแนะแนวท้ัง 5 บริการ - จัดกจิ กรรม/โครงการทส่ี นบั สนนุ การแนะแนวในสถานศกึ ษา - ประสานงานกบั บุคลากรหรอื หน่วยงานทเ่ี กย่ี วขอ้ งในการพฒั นางาน - สรปุ รายงานผลการดาเนินงาน 2.3 จัดทาระบบข้อมลู สารสนเทศเพ่ือการแนะแนว เพ่ือรวบรวมข้อมูลที่เก่ียวข้องให้ ถูกต้อง ครอบคลุม และเป็นปัจจุบัน โดยใช้กระบวนการวิเคราะห์ ประมวลผลท่ีเป็นวิทยาศาสตร์ สามารถนาไปใช้ในการวางแผน ประกอบการตดั สินใจ ซึง่ เปน็ การสรา้ งทางเลือกใหมใ่ นการดาเนนิ งาน แนะแนว โดยมแี นวทางในการดาเนินการ ดังต่อไปนี้ 2.3.1 ข้อมูลสารสนเทศของสถานศึกษา ได้แก่ ข้อมูลพ้ืนฐานต่างๆ ท่ีเกี่ยวข้อง กับสถานศึกษา บุคลากร และผู้เรียนโดยรวม เช่น สภาพเศรษฐกิจของชุมชน สภาพแวดล้อม สถานศึกษา ความตอ้ งการผ้ปู กครอง และชมุ ชน ฯลฯ 2.3.2 ขอ้ มลู สารสนเทศของผู้เรยี น ไดแ้ ก่ 1) ข้อมูลสารสนเทศด้านครอบครัว เช่น สถานภาพของบิดามารดา เศรษฐกจิ อาชพี เปน็ ต้น
353 2) ข้อมูลสารสนเทศด้านส่วนตัวของผู้เรียน เช่น ความสนใจ ความถนัด ความสามารถ พฤติกรรมการแสดงออก สุขภาพ ผลการเย่ียมบ้าน ผลการสารวจคุณลักษณะต่างๆ การรับบริการต่างๆ จากสถานศกึ ษา รายงานผลความก้าวหนา้ ของผู้เรยี น เปน็ ต้น 3) ข้อมูลสารสนเทศด้านการเรียน ได้แก่ ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน วิชา ทเี่ รียน การเข้าร่วมกจิ กรรมต่างๆ รวมท้ังผลงาน รางวลั เปน็ ต้น 2.3.3 ข้อมูลสารสนเทศเพื่อการรายงาน เป็นการรายงานภาพรวมของผู้เรียน ด้านต่างๆ เช่น ความสนใจ ความถนัด ความสามารถ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ความก้าวหน้าของ ผู้เรียน คุณลักษณะอันพึงประสงค์ รวมท้ังสภาพเศรษฐกิของผู้ปกครอง ผลการเย่ียมบ้าน สภาพแวดล้อมสถานศึกษา ความต้องการ ผู้ปกครองและชุมชน ฯลฯ เป็นข้อมูลสารสนเทศเพื่อให้ ผบู้ รหิ ารนาไปประกอบการพจิ ารณากาหนดนโยบาย วางแผนพฒั นาคุณภาพการศกึ ษา 2.4 จัดทาระบบข้อมูลสารสนเทศของเครื่องมือการแนะแนว สื่อนวัตกรรมการ แนะแนวและภาคีเครือข่ายการแนะแนว เพ่ือเปน็ การอานวยความสะดวกในการใช้สือ่ นวัตกรรม และ ภาคีเครือข่ายการแนะแนวจะช่วยให้การจัดกิจกรรมแนะแนว การบริการแนะแนว และการจัด กิจกรรมโครงการพัฒนาผู้เรียนให้มีประสทิ ธิภาพมากขน้ึ 3. การดาเนินงานแนะแนวและแผนงานโครงการ/กิจกรรมแนะแนว การดาเนินงานแนะแนวในสถานศึกษา ผเู้ ก่ยี วข้องทกุ ฝ่ายตอ้ งดาเนินการ ดงั ตอ่ ไปนี้ 3.1 สร้างความรู้ ความตระหนัก ให้แก่บุคลากรในสถานศึกษาและเครือข่าย เช่น ผู้บรหิ าร ครทู ป่ี รึกษา นักเรยี น ผปู้ กครอง ชมุ ชน และคณะกรรมการสถานศกึ ษาขนั้ พ้นื ฐาน 3.2 จัดกจิ กรรมแนะแนวตามหลกั สตู รการศกึ ษาข้ันพื้นฐาน 3.3 จัดบริการแนะแนวตามมาตรฐานการปฏบิ ัติ 3.4 ดาเนนิ งานแนะแนวให้สัมพันธ์เช่ือมโยงกับบุคลากรและงานตา่ งๆ ในสถานศึกษา เช่น 3.4.1 บุคลากรที่เก่ียวข้องกบั งานแนะแนว ได้แก่ ผ้บู ริหาร ครูท่ีปรษึ า ครู นักเรยี น ผูป้ กครอง ชุนชน ฯลฯ เปน็ การประสานความรว่ มมือในการสง่ เสริมสนับสนุนงานแนะแนวให้บรรลุ เป้าหมาย 3.4.2 ระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน ได้แก่ การประสานความร่วมมือในการ รวบรวมขอ้ มูลนักเรียนเปน็ รายบุคคล การรับนกั เรียนที่จาเปน็ ต้องได้รบั การพัฒนาเป็นพเิ ศษจากครูท่ี ปรึกษา การสนับสนนุ การจัดกิจกรรมโฮมรูม การประชมุ ผู้ปกครองระดับช้นั เรียน และกิจกรรมเพื่อน ท่ปี รกึ ษา (Youth Counsetlor) 3.4.3 นักจิตวทิ ยาโรงเรียน ได้แก่ การประสานความร่วมมือในการดูแลชว่ ยเหลือ ผู้เรยี นที่จาเป็นต้องไดร้ ับการพัฒนาเปน็ พิเศษ ทั้งเปน็ รายบคุ คลและเป็นกลุ่ม
354 3.4.4 กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน โดยการสง่ เสรมิ สนับสนุนให้ผู้เรียนใช้ผลการสารวจ ตนเองด้านความสามารถ ความถนัด ความสนใจ ไปพจิ ารณาการเข้าร่วมกจิ กรรมชุมนมุ และกิจกรรม เพือ่ สงั คมและสาธารณประโยชน์ 3.4.5 การจัดการเรียนรู้ในรายวิชาต่างๆ โดยการสนับสนุนส่งเสริมให้ครูมีข้อมูล ต่างๆ ของผูเ้ รียน เพ่ือให้เข้าใจความแตกต่างระหวา่ งบุคคลและนาไปใช้ในการจดั การเรยี นการสอน ด้วยการศึกษา วิเคราะห์ผู้เรยี นเปน็ รายบคุ คล ออกแบบและจดั การเรยี นรู้ให้สอดคลอ้ งกบั ธรรมชาติ รูปแบบการเรียนรู้ และศักยภาพของผู้เรียน รวมท้ังคานึงถึงความสามารถ ความถนัด ความ สนใจ ฯลฯ ของผู้รียน 3.5 จดั กิจกรรม / โครงการ ทส่ี ง่ เสรมิ ให้ผู้เรียนบรรลุเป้าหมายการแนะแนว 4. การนเิ ทศ ตดิ ตาม และประเมินผลการแนะแนว 4.1 แต่งต้ังคณะกรรมการนเิ ทศ ติดตาม และประเมินผลการดาเนินงานตามระบบการ แนะแนวในสถานศึกษา 4.2 วางแผนการนิเทศ ตดิ ตาม และประเมนิ ผลการแนะแนวในสถานศกึ ษา 4.3 นิเทศ ติดตามผลการดาเนินงานตามระบบการแนะแนวในสถานศึกษา รวมทั้งให้ ขวัญและกาลังใจ 4.4 ประเมินผลการดาเนินงานตามระบบการแนะแนวในสถานศึกษาตามตัวช้ีวัด ความสาเร็จ และประเมินความพึงพอใจของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับระบบการแนะแนวในสถานศึกษา ชมุ ชน 4.5 ประเมนิ ผลความพึงพอใจของผู้เรียน ผ้ปู กครอง 5. การรายงานผลการดาเนนิ งานของระบบงานแนะแนว 5.1 จัดทารายงานผลการดาเนินงานตามระบบงานแนะแนวในสถานศึกษาใหเ้ หน็ ถึงผล ของการบรรลุเป้าหมาย และตัวช้ีวัดความสาเร็จของการบริหารระบบงานแนะแนวในสถานศึกษา รวมทงั้ ความพึงพอใจของผเู้ กยี่ วขอ้ งกบั ระบบงานแนะแนวในสถานศกึ ษา 5.2 จัดทาสารสนเทศท่ีแสดงถึงผลการบริหารจัดการในภาพรวมของระบบงาน แนะแนวในสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการพัฒนาคณุ ภาพของผู้เรียนและสถานศกึ ษา 5.3 จัดทาวารสาร จุลสาร หรือส่ืออื่นๆ เพื่อส่ือสาร ประชาสัมพันธ์การดาเนินงาน ระบบงานแนะเนวในสถานศกึ ษาไปสู่ผเู้ ก่ียวข้อง 6. การดาเนินงานแนะแนวใหเ้ กิดความต่อเนอ่ื งและย่ังยืน กลไกทีจ่ ะทาให้ระบบงานแนะแนวในสถานศกึ ษา มคี วามตอ่ เน่ืองและยั่งยนื เกิดผลต่อ คณุ ภาพของผู้เรยี น และเกดิ การเปลีย่ นแปลงต่อคณุ ภาพของการศกึ ษา ได้แก่
355 6.1 การจัดให้มีการจัดการความรู้ (KM) และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ถึงการดาเนินงาน แนะแนวในสถานศกึ ษา ของบคุ คลผู้เกีย่ วข้องทั้งภายในและภายนอกสถานศึกษา 6.2 การมสี ่วนร่วมในการวางแผนพัฒนาคณุ ภาพระบบการแนะแนวของสถานศกึ ษา 6.3 การดาเนินงานแนะแนวดว้ ยระบบคุณภาพ (PDCA) 6.4 การนิเทศการดาเนินงานอยา่ งต่อเนือ่ ง 6.5 การส่งเสริมสนับสนุนใหค้ รูแนะแนวและผู้เกี่ยวข้องได้รบั การพัฒนาทางวิชาการ ดา้ นการแนะแนว จิตวิทยา สุขภาพจติ ฯลฯ ระบบการบรหิ ารงานแนะแนว จากองค์ประกอบของการบริหารงานแนะแนว จะเห็นได้ว่า การบริหารงานแนะแนว ในสถานศกึ ษาจะเกย่ี วข้องกับบคุ ลากรในฝ่ายต่างๆ และการดาเนนิ งานจะเปน็ ระบบ ซ่งึ ประกอบด้วย องค์ประกอบย่อยๆ ที่สัมพันธ์กัน เพื่อสู่เป้าหมายเดียวกัน (Goal) ซ่ึงมีองค์ประกอบหลัก คือ ด้าน ปัจจัย (Input) ด้านกระบวนการ (Process) ด้านผลผลิต (Output) / ผลลัพธ์ (Outcome) และมี การควบคุม (Control) หรือติดตามตรวจสอบการดาเนินงาน มีการให้ข้อมูลย้อนกลับ (Feedback) เพือ่ การปรับปรุงพฒั นากระบวนการดาเนนิ งานหรอื ปจั จยั ท่เี กย่ี วข้อง อันจะส่งผลต่อประสิทธภิ าพการ ดาเนินงานและคุณภาพของผลผลิตที่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ อีกท้ังส่งผลกระทบ (Impact) ท่ีดีต่อ สว่ นรวมได้ดว้ ย ระบบท่มี คี ุณภาพ กระบวนการดาเนินงานตอ้ งมีการควบคุมคุณภาพอย่างเป็นระบบ ซ่ึงมี หลายรูปแบบ แตท่ ี่นยิ มและสะดวกต่อการนาไปปฏบิ ัติ คือ ระบบคณุ ภาพตามวงจรเดมมงิ่ (Deming Cycle) ที่มีขั้นตอนการดาเนนิ งาน 4 ขัน้ ตอน ไดแ้ ก่ PDCA ประกอบดว้ ย 1. การวางแผน (Plan) คอื การเตรียมการและวางแผนการดาเนนิ งานแนะแนว เป็นการ วิเคราะหส์ ภาพปัจจุบนั ของสถานศึกษา ความต้องการของผ้เู รยี น เพอ่ื กาหนดวิสยั ทัศน์ วตั ถปุ ระสงค์ เป้าหมาย กาหนดแผนการปฏิบัติงานแนะแนว และคาสั่งแต่งต้ังอนุกรรมการ และคณะทางาน แนะแนว 2. การปฏิบัติตามแผน (Do) คือ การดาเนินงานแนะแนวตามแผน เป็นการชี้แจง วัตถุประสงค์ สร้างความตระหนัก และความเข้าใจกับบุคลากรผู้เกี่ยวข้อง เพื่อให้การแนะแนว ดาเนนิ งานเป็นไปตามแผนปฏิบัตกิ ารท่กี าหนดไว้รวมทั้งการดาเนนิ งานตามแผนปฏิบัตกิ าร 3. การกากับติดตามและประเมินผล (Check) คือ การตรวจสอบ ติดตาม ประเมินผล และรายงานผลการดาเนินงานแนะแนวตามแผนปฏิบตั ิการ ควรมีการตรวจสอบ ทบทวนว่าสามารถ ดาเนินการเป็นไปตามแผนที่กาหนดไว้หรือไม่ ตลอดจนการบันทึกผลการดาเนินงาน ความก้าวหน้า
356 ปัญหาอปุ สรรคทพ่ี บจากการปฏบิ ตั งิ าน การนาผลการตรวจสอบและการทบทวนผลมาจัดระบบข้อมลู วเิ คราะห์ สรปุ รายงานผล และประชาสัมพันธ์ 4. การนาผลการประเมินไปปรับปรุงพัฒนางาน (Act) คือ การปรับปรุงและพัฒนา เปน็ การนาผลการประเมินไปใชเ้ ป็นแนวทางในการปรบั ปรุงการจดั กิจกรรมแนะแนว และการบริการ แนะแนว นอกจากนี้ ตามแนวคิดการดาเนินงานอย่างมีคุณภาพของวงจรเดมมงิ่ (Deming Cycle) ที่มีการติดตามประเมินผลการดาเนินงานน้ันจาเป็นต้องมีตัวช้ีวัดความสาเร็จของงาน ซึ่งอาจใช้ เคร่ืองมือการประเมินผลท่ีมีคุณภาพ หรือมีเกณฑ์มาตรฐาน เพื่อใช้ในการตรวจสอบ ประเมินผล อันจะแสดงถงึ คุณภาพหรือผลสาเร็จของผลงานท่ีปรากฎ ทัง้ น้ี สถานศกึ ษาสามารถพิจารณารายการท่ี นามาใช้ประเมินและกาหนดเกณฑ์การประเมิน ผ่าน ไม่ผ่าน หรือระดับความพึงพอใจของผลการ ประเมนิ ตามความเหมาะสม แต่ควรมีความสอดคลอ้ งกับมาตรฐานการศึษาขน้ั พ้ืนฐาน รวมทัง้ ระบบ ประกนั คุณภาพทั้งภายในและภายนอกดังมีแนวทางในการประเมนิ ผล ถอื เป็นตัวชีว้ ัดความสาเร็จของ การบรหิ ารงานแนะแนวในสถานศึกษา ต่อไปน้ี 1. การกาหนดเป้าหมาย กลยทุ ธ์และแผนพัฒนาคุณภาพงานแนะแนว อยา่ งมีส่วนร่วม การพิจารณา 1.1 มีการกาหนดเป้าหมาย กลยุทธ์การแนะแนวให้เป็นส่วนหนึ่งของแผนพัฒนา คณุ ภาพการศึกษาของสถานศกึ ษาแบบมีส่วนรว่ ม 1.2 มีมาตรฐานคณุ ภาพของผู้เรยี นทผี่ ่านระบบการแนะแนวในสถานศกึ ษา 1.3 มีมาตรฐานการปฏิบัติของบริการแนะแนวที่สอดคล้องกบั ระบบการแนะแนวใน สถานศึกษา 1.4 มีแผนงาน/โครงการ/กิจกรรมแนะแนว ท่ีสง่ เสรมิ สนับสนุนการแนะแนวใหบ้ รรลุ เปา้ หมายและสอดคล้องกับกลยุทธ์ 2. ระบบบรหิ ารและระบบข้อมูลสารสนเทศเพื่อการแนะแนว การพจิ ารณา 2.1 มีโครงสร้างการบริหารงานแนะแนว 2.2 มคี ณะกรรมการดาเนนิ งานและผรู้ ับผิดชอบงานแนะเนว 2.3 มขี อ้ มลู สารสนเทศของผู้เรยี น 2.4 มขี ้อมลู สารสนเทศของเครอื่ งมอื การแนะแนว 2.5 มขี ้อมลู สารสนเทศของสอ่ื นวตั กรรมการแนะแนว 2.6 มีข้อมลู สารสนเทศของภาคีเครอื ข่ายการแนะแนว
357 3. การดาเนินงานตามระบบการแนะแนวและแผนงาน/โครงการ/กจิ กรรมแนะแนว การพจิ ารณา 3.1 มกี ารสร้างความรู้ ความตระหนัก ใหแ้ ก่บุคลากรท่ีเกีย่ วขอ้ ง 3.2 มกี ารจดั กิจกรรมแนะแนวตามหลกั สูตรการศึกษาขนั้ พนื้ ฐาน 3.3 มีการจดั บริการแนะแนวตามมาตรฐานการปฏิบัติ 3.4 มีการดาเนินงานแนะแนวท่ีมีการประสานความร่วมมือกับผบู้ ริหาร ครูท่ีปรึกษา ครู นกั เรยี น ผ้ปู กครอง ชมุ ชน 3.5 มีการดาเนินงานแนะแนวท่ีมีความสัมพันธ์เช่ือมโยงกับงานระบบการดูแล ชว่ ยเหลอื นกั เรยี น 3.6 มกี ารดาเนินงานแนะแนวทมี่ ีความสมั พนั ธ์เช่อื มโยงกับงานนกั จิตวทิ ยาโรงเรยี น 3.7 มีการดาเนินงานแนะแนวที่มีความสมั พันธ์เชอื่ มโยงกบั งานกจิ กรรมพฒั นาผู้เรยี น 3.8 มกี ารดาเนินงานแนะแนวที่มคี วามสมั พันธ์เชือ่ มโยงกับการจัดการเรยี นการสอน 3.9 มีการจัดกจิ กรรม/โครงการ ทส่ี ง่ เสรมิ ให้ผู้เรียนบรรลเุ ปา้ หมายการแนะแนว 4. การนิเทศ ติดตาม และประเมินผลการแนะแนว การพิจารณา 4.1 มีคณะกรรมการนิเทศ ติดตาม และประเมินผลการดาเนินงานตามระบบงาน แนะแนวในสถานศึกษา 4.2 มแี ผนการนิเทศ ตดิ ตาม และประเมนิ ผลการแนะแนวในสถานศึกษา 4.3 มีการนิเทศ ติดตามผลการดาเนินงานตามระบบการแนะแนวในสถานศึกษา รวมทั้งใหข้ วญั กาลงั ใจและสะท้อนผลการนิเทศ 4.4 มีการประเมนิ ผลการดาเนนิ งานตามระบบงานแนะแนวในสถานศกึ ษาตามตัวชว้ี ัด ความสาเร็จ และประเมนิ ความพงึ พอใจของผู้มสี ่วนเกี่ยวขอ้ งกับระบบการแนะแนวในสถานศึกษา 5. การรายงานผลการดานนิ งนของระบบการแนะแนว การพจิ ารณา 5.1 มรี ายงานผลการดาเนินงานแนะแนวภายในสถานศึกษาและสาธารณชน 5.2 มีรายงานความพึงพอใจของผ้เู กย่ี วขอ้ งกบั ระบบการแนะแนวในสถานศึกษา 5.3 มีรายงานที่สะท้อนให้เห็นถึงผลการบรรลุเป้าหมายและตัวช้ีวัดความสาเร็จของ การบริหารระบบงานแนะเนวในสถานศกึ ษา 5.4 มสี ารสนเทศทแ่ี สดงถึงผลการบริหารจัดการในภาพรวมของระบบงานแนะแนวใน สถานศึกษา
358 5.5 มีวารสาร/จุลสาร หรือส่ืออ่ืนๆ เพ่ือส่ือสาร ประชาสัมพันธ์การดาเนินงาน ระบบงานแนะแนวในสถานศกึ ษาไปสู่ผ้เู ก่ียวข้อง 6. การดาเนินงานแนะแนวให้เกดิ ความต่อเนอื่ งและยง่ั ยนื การพิจารณา 6.1 มีการแลกเปล่ียนเรียนรู้ถึงการดาเนินงานระบบงานแนะเนวในสถานศึกษา ของ บุคลากรผู้เกยี่ วขอ้ งทั้งภายในและภายนอกสถานศึกษา 6.2 มีการดาเนินงานแนะแนวแบบมีส่วนร่วม เช่น การวางแผนพัฒนาคุณภาพ ระบบงานแนะแนวของสถานศึกษา 6.3 มกี ารดาเนินงานแนะแนวด้วยระบบคณุ ภาพ (PDCA) 6.4 มีการนเิ ทศการดาเนินงานอย่างต่อเนอ่ื ง 6.5 มกี ารสง่ เสริมสนับสนุนใหค้ รูแนะแนวและผูเ้ กี่ยวข้องได้รับการพัฒนาทางวิชาการ ดา้ นการแนะแนว จติ วิทยา สขุ ภาพจติ ฯลฯ 6.6 มีการจัดทาวิจัยเพือ่ การพัฒนา ในส่วนตวั ช้ีวัดคุณภาพผู้เรียน สามารถพิจารณาจากวัตถุประสงค์กิจกรรมแนะแนวตาม หลักสูตรการศึกษาข้ันพื้นฐาน การพัฒนาทักษะชีวิตในระบบการศึกษาขั้นพื้นฐาน ตัวบ่งชี้คุณภาพ ผเู้ รียนในการประกันคณุ ภาพภายในสถานศึกษา และการประเมินคุณภาพภายนอกระดับการศึกษา ขนั้ พ้นื ฐาน รวมท้ังเป้าหมายการพัฒนาผู้เรียนของสถานศกึ ษา สภาพปญั หาของผู้เรยี น นามากาหนด เป็นตัวชี้วัดคุณภาพของผู้เรียนในแต่ละชั้นปี โดยคานึงถึงพัฒนาการของผู้เรียน และบริบทของ สถานศึกษา บทบาทของบุคลากรทเี่ ก่ียวข้องกบั การแนะแนว การจัดบริการแนะแนวใหป้ ระสบความสาเรจ็ และเป็นไปอย่างมปี ระสิทธิภาพจาเป็นต้อง ได้รับความช่วยเหลือร่วมมือจากบุคลากรทุกฝ่ายในสถานศึกษาต้ังแต่ผู้บริหาร ครูอาจารย์ไปจนถึง ผู้รับรกิ ารคอื ผู้เรียน โดยทแี่ ต่ละคนจะมีสว่ นร่วมรับภาระหนา้ ทแี่ ตกตา่ งกันไปตามตาแหนง่ หน้าท่ีและ สายงานของตน ดังนั้น จึงมคี วามจาเป็นที่จะต้องให้แต่ละคนเข้าใจถึงบทบาทหน้าท่ีของตนเองและ เพอื่ นร่วมงานให้ชดั เจน ซงึ่ บุคลากรทีเ่ กี่ยวขอ้ งกับการแนะแนวมหี นา้ ทแี่ ละความรับผิดชอบดังนี้ บทบาทของผู้บริหาร ผู้บริหารสถานศึกษาเป็นผู้ที่มีบทบาทสาคัญต่อความสาเร็จของการจัดการแนะแนวใน สถานศึกษา โดยเฉพาะด้านการวางนโยบาย วางแผน จัดดาเนินการ ประสานงาน และให้ความ สนบั สนุน โดยผู้บริหารมบี ทบาทตอ่ บรกิ ารแนะแนว ดงั น้ี
359 1. เป็นผู้นาการในการริเร่ิมงานแนะแนวในสถานศึกษา เร่ิมตั้งแต่ประชุมชี้แจงทาความ เขา้ ใจแก่คณะครู อาจารยใ์ นสถานศกึ ษา ตลอดจนผู้ปกครองใหย้ อมรบั ถึงความจาเปน็ ทีค่ วรจะจดั ใหม้ ี บรกิ ารแนะแนวข้นึ ในสถานศกึ ษา 2. กาหนดนโยบาย และวัตถุประสงค์ในการจัดบริการแนะแนว และแถลงแกท่ ่ีประชมุ ครู เพื่อรับทราบและขอความคิดเห็น ตลอดจนร่วมกันปรึกษาหารือในการวางแนวปฏิบัติงานแนะแนว และการให้ความร่วมมอื แกบ่ คุ ลากรที่จะมารบั ผิดชอบงานแนะแนวตอ่ ไป 3. คัดเลือกบุคลากรให้มารับผิดชอบงานแนะแนวหรือเสนอขอต้ังอัตราบรรจุผู้ท่ีมีวุฒิ ทางการแนะแนวโดยตรง 4. เป็นผู้แต่งตั้งคณะกรรมการแนะแนว และเป็นผู้ประสานงานเกี่ยวกับการแบ่งความ รับผดิ ชอบของคณะกรรมการแนะแนวแต่ละบุคคล เพอ่ื ใหผ้ รู้ ว่ มงานมีความรว่ มมือกนั 5. จดั หางบประมาณสนับสนนุ การดาเนินงานแนะแนวเป็นประจาตามปีงบประมาณ 6. จดั หาสถานที่ วสั ดุ ครภุ ัณฑแ์ ละเคร่ืองมอื อุปกรณท์ างการแนะแนว 7. ทาหนา้ ท่ปี ระสานงานความช่วยเหลือจากผู้เชีย่ วชาญภายนอกกบั บคุ ลากรผูร้ ับผดิ ชอบ งานแนะแนว ตลอดจนทาหน้าที่ประสานความเข้าใจอันดีแก่บุคลากรในสถานศึกษาผู้ปกครองและ ชมุ ชนในทอ้ งถ่ินเกยี่ วกับงานแนะแนว 8. จัดให้มีการประชุมเชิงปฏิบัติการ ฝึกอบรม หรือสัมมนาทางการแนะแนวขึ้น ใน สถานศึกษาเปน็ ระยะๆ และส่งบคุ ลากรเข้าร่วมประชมุ อบรม หรือ สมั มนาทางการแนะแนวที่จดั ข้ึน โดยหน่วยงานภายนอก 9. นิเทศงานแนะแนวของสถานศึกษาอย่างสม่าเสมอเพื่อให้งานดาเนินไปได้ด้วยดีและ มีประสิทธภิ าพ 10. ประเมินผลการปฏิบัติงานแนะแนวว่า ประสบความสาเร็จมากน้อยเพียงใด การ ปฏิบตั ิงานเป็นไปตามวตั ถปุ ระสงค์และเปา้ หมายทไี่ ดก้ าหนดไวห้ รอื ไม่ 11. เปน็ ท่ีปรกึ ษาการปฏิบัตงิ านของบคุ ลากรหรอื คณะกรรมการแนะแนว 12. เพื่อให้บุคลากรผู้รับผิดชอบงานแนะแนวของสถานศึกษาได้ปฏิบัติงานอย่างเต็มที่ สถานศึกษาจึงไมค่ วรมอบหมายงานด้านอนื่ ๆ ให้มากเกนิ ไป 13. เป็นผู้จัดให้มกี ารอบรมใหค้ วามรู้เกี่ยวกับบริการแนะแนวแก่บคุ ลากรแนะแนว เพื่อให้ เกิดความกระตอื รือร้น ทกั ษะ และความเชื่อมนั่ ในงานแนะแนว โดยการเชญิ วิทยากร ผเู้ ชย่ี วชาญและ มีชอื่ เสยี งทางการแนะแนว 14. เป็นผู้ประชาสัมพันธ์โครงการบริการแนะแนวแก่กลุ่มประชาชนประเภทต่างๆ เพ่ือ สรา้ งเจตคตทิ ่ดี ี และได้รบั การสนับสนนุ ชว่ ยเหลือ
360 บทบาทของผู้แนะแนว ผู้แนะแนว ได้แก่ ครูอาจารย์แนะแนว และนักแนะแนวการศึกษาและอาชีพ ถือว่าเป็น ตัวจักรสาคัญจะทาให้การจัดบริการแนะแนวดาเนินไปได้ด้วยดี และมีประสิทธิภาพ บทบาทของ ผู้แนะแนวทม่ี ีตอ่ การแนะแนว มดี ังน้ี 1. เป็นผูน้ าในการดาเนินงานบริการแนะแนวในสถานศึกษา โดยการจัดให้มบี ริการหลักท่ี สาคญั ของโครงการบริการแนะแนว ทั้ง 5 บริการ 2. ประสานงาน และมีบทบาทรว่ มกับผู้บริหารในด้านการกาหนดนโยบายและวางแผนการ ปฏิบัติงานด้านงบประมาณ ด้านการพัฒนาบุคลากรทางการแนะแนวและด้านการประเมินผล การปฏิบตั ิ 3. ประสานงานกับครูอาจารย์และบุคลากรอนื่ ๆ ในสถานศกึ ษาเก่ียวกับการทาความเข้าใจ และสร้างเจตคติที่ดีต่องานแนะแนวและการให้ความช่วยเหลือผู้เรยี นในด้านต่างๆ เป็นเบื้องต้น เช่น การรวบรวมข้อมูลเก่ียวกับตัวผู้เรียนการให้ขัอสนเทศแก่ผู้เรียน การจัดทาระเบียนสะสม การจัด กจิ กรรมโฮมรูมและการใหค้ าปรึกษาหารือแก่ผู้เรียน เป็นต้น 4. ดาเนินงานร่วมกับผู้บริหารสถานศึกษา ในการจัดให้มีการอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับการ แนะแนวแกบ่ คุ ลากรในสถานศึกษา 5. ทาหน้าที่ช้ีแจง ทาความเข้าใจ ให้ความรู้แก่คณะครูและบุคลากรฝ่ายต่างๆ ของ สถานศึกษาเกี่ยวกับ ความมุ่งหมายขอบข่าย งานและประโยชน์ของบริการแนะแนว เพ่ือชว่ ยให้ครู และบุคลากรฝ่ายต่างๆ มีเจตคติที่ดีต่อการแนะแนว มองเห็นความสาคัญ และยินดีให้ความร่วมมือ ในการทางานแนะแนว 6. ประสานงานกับผปู้ กครอง เกี่ยวกับการสร้างความเข้าใจกับผูป้ กครองถึงวัตถปุ ระสงค์ และลักษณะงานบริการแนะแนว การขอความร่วมมือในการให้ความช่วยเหลือ ผู้เรียน การให้ ข้อสนเทศด้านการศึกษาและอาชีพแก่ผู้ปกครองและการเชิญผู้ปกครองมาร่วมให้ความรู้แก่ผู้เรยี น เป็นต้น 7. ประสานงานกับสถาบัน หน่วยงาน และบุคคลในชุมชนเก่ียวกับการติดต่อแหล่ง ขอ้ สนเทศให้ชมุ ชนและท้องถิน่ และเพ่ือส่งผู้เรียนไปขอความช่วยเหลือจากผู้เช่ยี วชาญเฉพาะด้านใน ชุมชน เช่น แพทย์ จิตแพทย์ เปน็ ต้น และเพอื่ เชิญวิทยากรในชมุ ชนและท้องถิน่ ใหค้ วามร้แู ก่ผู้เรียน 8. ประชาสัมพันธเ์ ผยแพร่งานแนะแนวให้ผู้เรยี น บุคลากรทกุ คนในสถานศกึ ษา ผปู้ กครอง และบุคคลในชุมชนได้รับทราบถึงผลการปฏิบัติงานแนะแนวและเป็นการเผยแพร่ความรู้ท่ีเป็น ประโยชน์ โดยวิธีเขียนบทความเผยแพร่ จัดทาแผ่นพับแผ่นปลิว จัดนิทรรศการ จัดทาวารสารหรือ จุลสาร และอาศัยสื่อทางวทิ ยุ โทรทศั น์
361 9. วจิ ยั และประเมินผลการปฏิบัตงิ านแนะแนวเพือ่ ปรบั ปรุงแก้ไขนาผลมาใชแ้ ก้ปัญหาและ พัฒนางานแนะแนว และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ยั เพือ่ ประโยชน์แก่วงการแนะแนว นอกจากบทบาทของผแู้ นะแนวตามทกี่ ลา่ วมาขา้ งตน้ ศิริบรู ณ์ สายโกสุม (2533, น. 21-28) ได้กลา่ วถึงบทบาทของนักแนะแนวของสังคมไทยในอนาคตไว้ 3 ประการ ดังน้ี 1. นักแนะแนวจะต้องมีบทบาทในการวางแผนทางด้านอาชีพ (Career Planning) ให้ บุคคลเข้าสู่โลกของงานอย่างมีประสิพธิภาพ การจัดเตรียมกาลังคนให้เหมาะสมกับภาวะที่เป็นอยู่ จะต้องมีการประสานงานกบั หนว่ ยงานอ่ืนๆ 2. นักแนะแนวใน อนาค ตจะต้องดาเนินเกี่ยวกับความสัมพั นธ์ระหว่างบุคคล (Interpersonal) เพราะว่าสังคมในอนาคตจะเกิดความว่างเปล่าทางดา้ นจิตใจ ขาดที่ยึดเหนีย่ วทาง จติ ใจ เพราะฉะน้ันการเนน้ ความสัมพันธร์ ะหว่างบุคคลจะเป็นการสร้างค่านิยมเกี่ยวกับการอยู่ร่วม (Public Spirit) คือมีอุดมการณ์เสียสละ มีความผูกพัน และอุทิศตนให้กับชุมชน องค์กร รักษา ชื่อเสียงของบริษทั และเหน็ แกส่ ว่ นรวม 3. นักแนะแนวในอนาคตจะต้องมีบทบาทด้านส่วนตัว (Personal) ในการต้ังจิตสานึกให้ เกิดขึน้ เกี่ยวกับคุณค่าความดีงาม ความหมายในชีวิตสามารถที่จะเป็นอสิ ระแก่ตนพ่ึงตนเองได้ และ มคี วามมน่ั คงทางดา้ นจิตใจ บทบาทของครูประจาชั้นหรอื อาจารย์ท่ปี รกึ ษา ครูประจาช้ันหรอื อาจารย์ท่ีปรึกษาเป็นผู้ท่ีมีบทบาทสาคัญท่ีสุด ในการจัดสง่ิ แวดล้อมให้ เปน็ ประโยชนใ์ นการปรบั ตวั ของผเู้ รียน ครปู ระจาชนั้ หรอื อาจารย์ท่ปี รกึ ษาทาหน้าทที่ ้ังอบรม ส่ังสอน ปกครอง และให้การแนะแนวผู้เรียนของตน เพ่ือช่วยให้ผู้เรียนได้รับการส่งเสริมพัฒนาทุกๆ ทาง ตลอดทั้งช่วยป้องกันและแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับผู้เรียน ฉะนั้นครูประจาชั้นหรืออาจารย์ ทีป่ รกึ ษา จึงเป็นผู้ทีม่ คี วามสาคญั มากตอ่ การจดั บรกิ ารแนะแนวในสถานศึกษา บทบาทหนา้ ท่ีของครู ประจาชน้ั หรืออาจารย์ท่ีปรกึ ษาทม่ี ีต่อบรกิ ารแนะแนวมดี งั ต่อไปนี้ 1. ศึกษาและทาความเข้าใจวตั ถปุ ระสงค์และขอบข่ายของโครงการแนะแนว 2. ใหค้ วามร่วมมือและประสานงานกบั ฝ่ายแนะแนวในการวบรวมข้อมลู เกย่ี วกบั ตัวผู้เรยี น เป็นรายบุคคล เพือ่ บันทกึ ลงระเบยี นสะสม 3. ให้ความรว่ มมือกับฝา่ ยแนะแนวในการประชมุ รายกรณี เพอ่ื ใหก้ ารชว่ ยเหลอื ผู้เรียนเป็น รายบคุ คล และประสานกบั ฝา่ ยปกครองเกีย่ วกบั ด้านความประพฤติของผู้เรยี น 4. ช่วยประสานงานและประชาสัมพันธ์ให้ผู้เรียนรู้จัก เข้าใจ และมีเจตคติที่ดีต่อบริการ แนะแนว และสนับสนุนให้ผู้เรยี นได้ใชบ้ รกิ ารแนะแนว
362 5. ให้ความร่วมมือกับฝ่ายแนะแนวในการจัดกิจกรรมโฮมรูม โดยการให้ข้อสนเทศแก่ ผู้เรียนเกย่ี วกับการศกึ ษา อาชพี การคบเพื่อน มารยาทสงั คม และการใชเ้ วลาวา่ ง เปน็ ต้น 6. เข้าร่วมโครงการปฐมนิเทศผู้เรยี นใหม่ โดยการช่วยชี้แจงให้ผู้เรยี นได้ทราบถึงระเบียบ กฎเกณฑ์ ข้อบังคบั ตา่ งๆ ลักษณะวิชา กิจกรรมเสรมิ หลักสูตร บคุ ลากรในสถานศึกษา ประเพณีของ สถานศึกษา ฯลฯ 7. ใช้เคร่ืองมอื และเทคนคิ ต่างๆ ของการแนะแนว ศกึ ษาและทาความเข้าใจพฤติกรรมของ ผู้เรียน เพอื่ ให้การช่วยเหลอื ป้องกนั แก้ไข และสง่ เสริมพฒั นาผู้เรยี นทกุ คน 8. ให้คาปรึกษา ปัญหาด้านต่างๆ เป็นเบ้ืองต้นก่อนที่จะจัดส่งผู้เรียนที่สมควรได้รบั การให้ คาปรึกษาไปยังฝ่ายแนะแนว 9. ชว่ ยเปน็ ส่ือกลางติดต่อระหว่างบา้ นกับสถานศึกษา เพ่ือส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือใน การให้ความช่วยเหลอื แก้ไขปญั หาของผู้เรยี น 10. ติดตอ่ ประสานงานกับผู้ปกครองอย่างใกล้ชิด และไปเย่ียมบ้านผู้เรียนตามโอกาสอัน สมควร บทบาทของครปู ระจาวิชา ครูประจาวชิ าเป็นผรู้ บั ผิดชอบสอนวชิ าใดวชิ าหนงึ่ หรือหลายวชิ า เปน็ ผู้ท่ีมโี อกาสพบปะกับ ผู้เรียนหลายชั้นเรียน จึงรู้จักเด็กมาก แต่ความใกล้ชิดสนิทสนมกับผู้เรียนอาจจะไม่มากเท่ากับ ครูประจาชนั้ แต่ครูประจาวิชาก็มีบทบาท และหน้าที่ต่อบริการแนะแนวคล้ายคลึงกับครปู ระจาชั้น ซง่ึ มดี ังต่อไปน้ี 1. มีหน้าที่รับผิดชอบในการจดั สถานการณท์ ่ีจะชว่ ยสง่ เสรมิ ให้ผเู้ รยี นเกดิ การเรยี นรู้ดยี ิง่ ขึ้น ดังนัน้ ครูประจาวชิ าจึงควรมีความรู้ความเข้าใจในเร่อื งจิตวิทยาเด็กและวัยรนุ่ เพ่ือนาความรู้นัน้ มาใช้ ในการดาเนนิ การสอน และรู้จกั ท่ีจะทาให้บรรยากาศของการเรียนดขี ้ึน 2. ครูประจาวิชาทาหน้าที่สาคัญในร่ืองของการศึกษาและอาชีพ โดยพยายามช้ีแจง ให้ผู้เรียนเห็นความสาคัญของวิชาที่เรียนและอาชีพที่มีความสัมพันธ์กับวิชาที่เรียน ในระหว่าง ดาเนนิ การสอน 3. ครูประจาวิชาทาหน้าท่ีเป็นผู้ช่วยของครูแนะแนวในการทางานต่างๆ เช่น การเก็บ รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับตวั ผู้เรยี นแตล่ ะคน การจัดกิจกรรมแนะแนว การปฐมนิเทศกับผู้เรยี น และการ ปัจฉมิ นิเทศผู้เรียน เป็นต้น 4. สังเกตพฤติกรรมของผเู้ รยี นในขณะทเ่ี รยี นเพือ่ จะไดร้ ับทราบว่าผเู้ รียนคนใดสนใจในวชิ า ที่เรียนมากน้อยเพียงใด และบันทึกผลการสอบในวิชาน้ันๆ เก็บไว้เป็นข้อมูลเก่ียวกับผลสัมฤทธิ์ ทางการเรยี น
363 5. ทาหน้าท่เี ปน็ ผู้ชว่ ยเหลอื ใหค้ าปรึกษาและเป็นแหล่งข้อมูลใหก้ บั ผู้เรียนในบางกรณี 6. ช่วยติดต่อประสานงานกับผู้ปกครองของผู้เรียน และสนับสนุนให้ผู้เรียนได้ใช้บริการ แนะแนวของสถานศึกษา 7. เป็นทีป่ รกึ ษาของผู้เรียนในการจัดกิจกรรมต่างๆ บทบาทของพยาบาลประจาสถานศกึ ษา พยาบาลประจาสถานศึกษาจะเป็นผู้ให้ความช่วยเหลือและร่วมมือกับบริการแนะแนวได้ เป็นอย่างดี ในเร่อื งเกี่ยวกบั สุขภาพกาย สุขภาพจติ และพัฒนาการโดยท่ัวไปของผู้เรียน เพือ่ ป้องกัน ปญั หาทางด้านสขุ ภาพกาย สุขภาพจติ ไวใ้ นชั้นต้นไม่ให้เกิดปัญหากระทบกระเทอื นตอ่ พฒั นาการด้าน ตา่ งๆ ของผู้เรียนอยา่ งรนุ แรง จึงให้ความร่วมมอื ในการทางานแนะแนวได้เป็นอยา่ งมาก ซึง่ บทบาท ของพยาบาลประจาสถานศกึ ษาทีเ่ กี่ยวขอ้ งกับงานแนะแนวโดยทัว่ ไป มดี งั นี้ 1. ตรวจสุขภาพร่างกายของผู้เรียนเป็นระยะๆ ตลอดจนระบบความเจริญเติบโตและ พัฒนาการของผู้เรียนในดา้ นต่างๆ และจดบันทึกไว้ในระเบยี บสุขภาพหรอื ระเบียนสะสม 2. ให้ข้อสนเทศด้วยวิธีการต่างๆ แก่ผู้เรียนในด้านการรักษาสุขภาพอนามัย และ ใหค้ าปรึกษาเกีย่ วกบั ปญั หาสขุ ภาพอนามัยแก่ผู้เรยี น 3. ให้ความสนใจผู้เรียนเป็นรายบุคคล ในกรณีที่ผู้เรียนมีปัญหาทางร่างกายหรือจิตใจ โดยบันทึกข้อมูลเก่ียวกับอาการและความเจริญเติบโตของผู้เรียนและหาทางให้การช่วยเหลือเป็น เบอ้ื งต้น และในรายท่ีเกนิ ความสามารถก็จัดส่งผู้เรียนไปยงั แพทย์ 4. จัดนิทรรศการเก่ียวกับการให้ความรู้เกี่ยวกับการรักษาสุขภาพร่างกายและจิตใจ การออกกาลงั กาย และการพกั ผอ่ น เป็นตน้ 5. เข้าร่วมประชุมรายกรณีจัดขึ้นโดยงานแนะแนว และกระตุ้นให้คณะครูสนใจสังเกต สุขภาพของผู้เรียน เพื่อค้นหาความผิดปกติหรือข้อบกพร่องท้ังทางร่างกายและจิตใจของผู้เรียน อันจะเป็นอปุ สรรคตอ่ การเรยี นของผูเ้ รียน เพอ่ื จะได้ใหก้ ารชว่ ยเหลือตงั้ แตร่ ะยะเร่มิ แรก 6. ใหค้ วามรว่ มมือกบั ฝ่ายแนะแนวในการแนะแนวสขุ ภาพผู้เรยี นทงั้ ทางรา่ งกายและจิตใจ และรว่ มโครงการทางดา้ นโภชนาการของผู้เรยี น เชน่ โครงการอาหารกลางวัน การจดั จาหน่ายอาหาร ภายในบริเวณสถานศกึ ษา เป็นต้น 7. ติดต่อประสานงานกับวิทยากรภายนอกทางด้านสุขภาพอนามัยให้เข้ามามีส่วน ช่วยเหลือและบริการผู้เรียนในสถานศึกษา เช่น การตรวจสุขภาพ การปลูกฝีฉีดวัคซีน การสาธิต วธิ รี กั ษาสขุ ภาพ การบรรยายเรอ่ื งอนามยั สว่ นบคุ คลและการป้องกนั มลพษิ ต่างๆ เป็นต้น 8. ส่งเสริมให้คณะครูใช้ประโยชน์จากฝ่ายพยาบาลของสถานศึกษา ในการขอคาปรึกษา เกีย่ วกบั การรกั ษาสขุ ภาพอนามัย
364 บทบาทของบรรณารักษ์ประจาสถานศกึ ษา บรรณารักษ์ประจาสถานศึกษา นับว่าเป็นบุคคลท่ีมีความสาคัญต่องานแนะแนวมาก เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะงานด้านบริการสนเทศ บรรณารกั ษ์สามารถให้ความร่วมมือและช่วยเหลือ บรกิ ารแนะแนวไดโ้ ดยจัดและใหบ้ รกิ ารสิง่ ตา่ งๆ ดงั นี้ 1. จัดหาคมู่ อื นักเรยี น นสิ ติ นักศกึ ษาของสถาบนั ต่างๆ ไวใ้ นห้องสมุดเพ่อื ให้ผู้เรียนสามารถ ใชป้ ระโยชนไ์ ด้ และจะเป็นการใหข้ อ้ สนเทศทางดา้ นการศึกษาต่อแก่ผู้เรยี นด้วย 2. จดั หาเอกสารทางด้านอาชพี เชน่ วารสารทางด้านอาชีพ รายช่อื สถาบันทเ่ี ปิดสอนหรือ ฝกึ อบรมด้านอาชพี เพ่อื เป็นการใหข้ อ้ สนเทศทางดา้ นอาชพี แก่ผู้เรียน 3. จัดป้ายนิเทศหรือนิทรรศการเก่ียวกับเหตุการณ์น่าสนใจทางด้านการศึกษา อาชีพ สว่ นตวั และสงั คม 4. แนะแนวหนังสือวารสารใหมๆ่ ทนั ต่อเหตกุ ารณ์ให้กับผู้เรียน และรวบรวมรายการวทิ ยุ โทรทศั น์ หรอื ภาพยนตรท์ เี่ ปน็ ประโยชน์แกก่ ารแนะแนว และนามาให้บรกิ ารแก่ผเู้ รยี น 5. บรกิ ารให้คาปรกึ ษาเกี่ยวกบั วิธีเลือกหนงั สอื อา่ น วธิ กี ารค้นหาหนังสอื ในหอ้ งสมุด การใช้ หอ้ งสมดุ การจดั ทารายงานประกอบการเรยี น และทักษะการอา่ นและการจดคาบรรยาย บทบาทของผูเ้ รียน บทบาทของผู้เรียนท่ีมีตอ่ การบรกิ ารแนะแนวในสถานศึกษา คือการใช้บริการแนะแนวทุก บริการที่จัดขึ้นในสถานศึกษาในลักษณะการใช้บริการน้ัน นอกจากผู้เรียนจะนาประโยชน์ท่ีได้รบั ไป ปรับปรุงแก้ไข ส่งเสรมิ และพฒั นาด้านต่างๆ แล้วผู้เรียนควรให้ความร่วมมือกบั ครูแนะแนวในการให้ ข้อมูลทัว่ ไป ขอ้ มูลสว่ นตวั ของผู้เรียนหรือเพือ่ นผู้เรียนด้วยกนั ที่จะเปน็ ประโยชน์ต่อจดั การจัดบรกิ าร แนะแนวของสถานศึกษาดว้ ย รวมทง้ั รบั ผิดชอบในการตัดสนิ ใจสง่ิ ตา่ งๆ ด้วยตนเอง และพฒั นาตนเอง และยอมรบั ตนเอง พร้อมทีจ่ ะปรบั ปรุงแกไ้ ขขอ้ บกพร่องต่างๆ ของตน บทบาทของผปู้ กครอง ผู้ปกครองของผู้เรยี นอาจเปน็ บิดามารดา ญาติพี่นอ้ งหรอื ผู้อุปการะนักเรียนเป็นบคุ คสาคัญ ท่ีใกล้ชิดกับผู้เรยี นมากที่สุด ผปู้ กครองกับสถานศกึ ษาควรมกี ารติดต่อร่วมมือกนั อยา่ งใกล้ชิด เพ่ือผล ในการพฒั นาเด็กให้เกดิ ความเจรญิ งอกงามในทกุ ๆ ดา้ น ซงึ่ มีบทบาทที่เก่ยี วขอ้ งกบั งานแนะแนว ดังน้ี 1. ให้ความร่วมมือแก่งานแนะแนวในการให้ข้อมูลต่างๆ เก่ียวกับผู้เรียนในความปกครอง เพอ่ื ใหค้ วามชว่ ยเหลอื ผู้เรียนตอ่ ไป 2. สนับสนุนให้ผู้เรียนมารับบริการแนะแนว และสนับสนุนกิจกรรมการเรียนการสอน ของเดก็ อย่างเต็มท่ี
365 3. นาข้อสนเทศท่ีได้รับจากงานแนะแนวมาประกอบการตัดสินในการวางแผนการศึกษา และอาชีพแก่ผู้เรียน 4. ให้ความรัก ความสนใจ และใกล้ชิดผู้เรียนให้มากท่ีสุดเพ่ือความอบอุ่นม่ันใจและ กอ่ ให้เกดิ ความเข้าใจซงึ่ กันและกันระหว่างผู้เรยี นกับผูป้ กครอง 5. พยายามปรับปรงุ สภาพแวดล้อมทางบ้านให้ผู้เรยี นเกิดความรสู้ ึกเป็นอิสระอบอุ่นและ เอื้อต่อการเรียนรขู้ องผู้เรียน 6. เข้าร่วมกิจกรรมท่ีจัดขึ้นโดยงานแนะแนวหรือทางสถานศึกษา เมื่อมีปัญหาหรือข้อ ขัดแยง้ ก็จะติดตอ่ แจ้งให้ทางสถานศึกษาทราบอยู่เสมอ บทบาทของนักจิตวิทยา ในเมืองไทยนักจิตวิทยาส่วนใหญ่จะประจาอยู่ในโรงพยาบาล หรือศูนย์สุขภาพจิต มี บทบาทสาคัญในการใชว้ ิธีการทางคลินิคศึกษาพฤติกรรมของบคุ คล โดยใช้แบบทดสอบทางจิตวิทยา เป็นเครื่องมือในการศึกษาและให้ความช่วยเหลือบาบัดแก้ไขอาการผิดปกติทางจิต บทบาทของ นกั จิตวิทยาเก่ียวขอ้ งกบั การแนะแนว ดังน้ี 1. ศกึ ษาและบาบัดแก้ไขอาการทางจิตของผู้เรียนทีถ่ กู ส่งตวั มาโดยครแู นะแนว 2. เป็นวิทยากรให้ความรทู้ างด้านสุขภาพจิตแก่ผู้เรยี นและบคุ ลากรในสถานศึกษา 3. ใหบ้ รกิ ารด้านสุขภาพจติ แกช่ ุมชน บทบาทของจติ แพทย์ จิ ต แ พ ท ย์ มี บ ท บ าท ห น้ าที่ ใน ก า ร บ า บั ด รั ก ษ า ผู้ มี ค วา ม ผิ ด ป ก ติ ท า ง จิ ต ป ระ จ า อ ยู่ ใ น สถานพยาบาลทางจิตประสาทและศูนย์สุขภาพจิต ในกรณีท่ีครูแนะแนวพบว่าผู้เรียนบางคนมี แนวโน้มห รือมี อาก ารทางจิตสามารถขอรับคาปรึกษาห รือ พา ผู้เรียนเข้ารับการบ าบั ดรัก ษาจาก จิตแพทย์ และอาจเรียนเชิญจิตแพทย์มาเป็นวิทยากรให้ความรู้แก่บุคลากรและผู้เรียนทางด้าน สุขภาพ จิตห รือเป็นป ร ะธานก าร ป ระชุม รายก รณี เก่ียวกับ ปั ญ ห าท าง จิตของ ผู้เรียน ท่ี จัดข้ึนใน สถานศกึ ษา นอกจากบทบาทของบุคลากรภายนอกสถานศึกษาตามท่ีกล่าวมาแล้ว บุคลากรอื่นๆ ใน นามส่วนบคุ คลหรือองค์กรทางสังคม อกี หลายฝ่ายก็มีบทบาทเกี่ยวข้องกับการแนะแนวเช่นเดียวกัน เช่น ผ้บู รหิ าร หรือเจา้ ของสถานประกอบการ ผู้นาชมุ ชนสมาคมหรอื ชมรมทางวิชาชพี สภาหอการค้า จงั หวดั เปน็ ต้น บุคคลหรือองค์กรเหลา่ นมี้ บี ทบาทในการใหข้ อ้ สนเทศทางด้านอาชพี แก่ผู้เรียน และให้ ความช่วยเหลอื รว่ มมือกบั ครแู นะแนวและสถานศกึ ษา เพื่อพฒั นาคุณภาพของเด็กและเยาวชนให้เปน็ พลเมอื งทมี่ ีคุณภาพของประเทศชาติต่อไป
366 คณะกรรมการ ผู้อานวยการและ คณะกรรมการสมาคมผปู้ กครอง สถานศึกษาขั้นพ้ืนฐาน คณะกรรมการบรหิ ารสถานศกึ ษา คณะกรรมการสมาคมศษิ ยเ์ ก่า คณะกรรมการเครือขา่ ยผปู้ กครอง ครูทีป่ รึกษา ครูแนะแนว นกั จิตวทิ ยาในสถานศกึ ษา ดาเนนิ งานตามภารกิจ ของการแนะแนว การจัดบรกิ ารแนะแนว การจัดกิจกรรมแนะแนว การประสานงานเครอื ข่ายแนะแนว 5 บรกิ าร ในชน้ั เรยี น และจดั โครงการ/กิจกรรม สนบั สนุนการแนะแนวและ ระบบการดูแลชว่ ยเหลอื ผู้เรยี น ไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ ประเมนิ ผล เป็นไปตามวัตถปุ ระสงค์ การดาเนินงาน หาสาเหตุ/แก้ไข/ปรับปรงุ พัฒนางาน/ต่อยอด สรุปผล จัดทา รายงาน ภาพที่ 7.3 แสดงการดาเนนิ งานแนะแนวในสถานศกึ ษา ทม่ี า: สมาคมแนะแนวแหง่ ประเทศไทย, 2557, น. 21
367 คณุ สมบตั ิและจรรยาบรรณของนกั แนะแนว เน่อื งจากนกั แนะแนวมหี น้าทีใ่ ห้ความชว่ ยเหลือผู้เรียนในเรอื่ งตา่ งๆ และการทางานจะต้อง ประสานงานกับบุคลากรอื่นๆ รวมถึงงานแนะแนวเป็นวิชาชีพ ดังน้ัน นักแนะแนวจึงต้องได้รับ การศึกษาโดยเฉพาะ หรือผ่านการอบรม ได้ประกาศนียบัตรหรือวุฒิบัตรทางการแนะแนว หรือมี ความรู้ความเข้าใจดา้ นจิตวิทยา นอกจากน้นี ักแนะแนวควรเป็นบุคคลท่ีมีบคุ ลิกภาพทเี่ หมาะกบั งาน ซึง่ ประมวลบคุ ลกิ ภาพท่ีเหมาะสมของนกั แนะแนวไดด้ งั น้ี คอื 1. มีความจริงใจไม่เสแสร้ง เคารพในสิทธิส่วนบุคคล และยอมรับว่าทุกคนมีค่า ซ่ึงสิ่ง เหลา่ นี้สาคญั มากในการก่อให้เกดิ สัมพันธภาพทด่ี ีกับผู้รับบริการและบุคคลอื่นๆ 2. มีสุขภาพจิตดี คือ ปรับตัวได้ดี มีอารมณ์ม่ันคง ยอมรับตนเองและพร้อมที่จะแก้ไข ปรับปรุงส่งิ บกพร่อง และสามารถเผชิญปัญหาต่างๆ อย่างฉลาด 3. มีมนุษยสัมพันธ์ท่ีดี ปรับตัวเข้ากับผู้อื่นได้ง่าย ไม่ว่าผู้น้ันจะมีสถานะเศรษฐกิจสังคม อยา่ งใด 4. มีความเสียสละ ให้ความเป็นกันเองกับคนทุกคน และมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี สามารถ ทางานร่วมกบั ผอู้ ืน่ ได้อย่างมปี ระสิทธภิ าพ ไม่เหน็ แกป่ ระโยชน์ส่วนตนย่งิ กวา่ ผู้อ่ืน 5. มีความเมตตา ชอบช่วยเหลือผู้อื่น มีความกระตือรือร้นในการทางาน และมีความ เช่อื มน่ั ในตนเอง 6. เป็นผู้ที่ไวต่อความตอ้ งการและความรู้สึกของผู้อื่น สามารถเข้าใจความรู้สึกนึกคิดของ ผูอ้ ื่น 7. มเี หตุผลและมีประสบการณก์ ว้างขวางพอท่ีจะเข้าใจปญั หาผู้เรยี น 8. มคี วามสขุ ุม พจิ ารณาส่ิงตา่ งๆ อย่างรอบคอบ 9. ใจกว้างยอมรับฟังความคดิ เหน็ ของผู้อื่น โดยเฉพาะความคดิ เหน็ ของผู้ขอการปรึกษา 10. หม่ันศึกษาหาความรู้อยู่เสมอ ท้ังความรู้เกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์ และความรู้ ท่วั ไปเช่น สนใจพฤติกรรมผู้เรียน และติดตามหาความรู้เกี่ยวกับอาชพี ประเภทต่างๆ คุณสมบัติของ ผู้ทีจ่ ะประกอบอาชีพน้นั ๆ ความตอ้ งการของตลาดเกยี่ วกับอาชีพตา่ งๆ 11. มีความสามารถในการปรับตนให้สมกับวุฒิภาวะของตน และมีจิตใจกว้างขวาง สามารถยอมรบั ตนเองและพรอ้ มทีจ่ ะแก้ไขตนเอง 12. มที ัศนคตทิ ่ีดแี ละถกู ตอ้ งตอ่ คนทุกคน มองคนในแงด่ มี ากกวา่ ในแง่ร้าย มีการตัดสินใจที่ น่าเชอ่ื ถอื และไวว้ างใจได้ 13. มีความรบั ผิดชอบสูง มีความสนใจ กว้างขวาง พยายามปรับปรุงงานในหน้าที่ของตน ให้ดียิ่งๆ ขน้ึ อยเู่ สมอ
368 14. สามารถรกั ษาความลับได้เป็นอย่างดี ซึ่งจะทาให้ผู้รบั บริการแนะแนวเกิดความไว้ใจ นักแนะแนว พรอ้ มท่จี ะใหข้ ้อมูลต่างๆ เกีย่ วกับตวั เขาแก่นักแนะแนว จรรยาบรรณของนักแนะแนวสหรัฐอเมริกา เนอื่ งจากวิชาการแนะแนวเป็นวชิ าชีพ (Profession) ท่ีไดร้ ับการยอมรับวา่ มีความสาคัญใน การป้องกันปัญหา แก้ปัญหา และส่งเสริมพัฒนาการแก่ผู้เรียน โดยที่นักแนะแนวมีหน้าท่ีให้ความ ช่วยเหลือนักเรียนโดยตรง วิชาชีพแนะแนวและให้คาปรกึ ษา ถอื เปน็ วิชาชีพท่ีมีบทบาทสาคัญยงิ่ ต่อ การพัฒนาคนและไดร้ บั การยอมรบั ว่าเปน็ ทงั้ ศาสตรแ์ ละศลิ ป์ จึงจาเปน็ อย่างย่ิงที่ผูป้ ระกอบวชิ าชพี นี้ จะต้องมีจรรยาบรรณสาหรับเป็นเคร่ืองยึดเหน่ียวในการปฏิบัติงานเพ่ือจะได้ใช้วิชาชีพให้ถูกต้อง เหมาะสมจรรยาบรรณของนักแนะแนวซ่งึ สมาคมแนะแนวแห่งสหรฐั อเมรกิ า (American Personnel and Guidance Association) กาหนดขน้ึ มดี ังนี้ (วัชรี ทรัพยม์ ี, 2531, น. 130) 1. นักแนะแนวจะต้องคานึงถึงสวัสดิภาพของผู้รับริการ โดยจะไม่กระทาการใดๆ ท่ีจะ กอ่ ใหเ้ กดิ อนั ตรายแก่ผรู้ บั บริการ 2. นักแนะแนวจะต้องรักษาข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับผู้รับบริการไว้เป็นความลับ ในกรณีที่ นักแนะแนวต้องการปรกึ ษากับเพ่อื นรว่ มงานเพอ่ื หาทางชว่ ยเหลือผ้รู บั บรกิ าร จะตอ้ งปกปิดหลกั ฐาน แสดงตัวผ้รู บั บริการนน้ั เช่น ช่ือ สกุล ทีอ่ ยู่ ชอื่ บดิ า มารดา 3. ถ้านักแนะแนวต้องการนาข้อมูลเก่ียวกับผู้รับบริการไปเผยแพร่ เช่น นาไปยกตัวอย่าง ประกอบการอบรม การแนะแนวแก่บุคลากรในสถานศึกษาหรือนาไปประกอบการสอน การเขียน บทความจะตอ้ งตัดหลกั ฐานแสดงตัวผู้เรยี นผนู้ ้นั ออก 4. ถ้าปัญหาของผู้รับบริการอยู่นอกขอบข่ายบริการแนะแนว นักแนะแนวควรจะส่งตัว ผู้เรียนผนู้ ัน้ ไปรับบรกิ ารจากบคุ ลากรอนื่ เชน่ แพทย์ จิดแพทย์ นกั กฎหมาย แตก่ ่อนจะส่งตวั ผู้เรยี นไป จะต้องให้เจ้าตัวยินยอม และจะต้องชี้แจงให้ผู้เรียนผู้นั้นทราบขอบข่ายที่บุคลากรเหล่าน้ันจะช่วย เขาได้ 5. เคารพในสทิ ธิสว่ นบุคคลของผู้รบั บริการ ในการทจี่ ะเลือกตดั สินใจดาเนินชวี ิตของตนเอง นักแนะแนวจะเป็นผู้ชว่ ยให้บุคคลรจู้ กั ตนเองและสิ่งแวดล้อมดขี ึ้น เพอื่ ผรู้ ับบริการจะได้ตัดสนิ ใจเลือก การดาเนนิ ชวี ิตได้อยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ โดยผู้แนะแนวจะไม่เปน็ ผทู้ าหนา้ ที่ตัดสินใจให้แกผ่ รู้ ับบรกิ าร 6. นักแนะแนวจะต้องช่วยเหลือผู้รับบริการให้พัฒนาจนถึงขีดสุดตามศักยภาพของ แต่ละบุคคล 7. นักแนะแนวพึงสละเวลาให้แก่งานแนะแนวอย่างเต็มที่ แม้ว่าบางครั้งจะต้องใช้เวลา นอกเหนอื เวลาปฏิบัตงิ านตามปกติ เช่น การสละเวลาไปเยี่ยมบ้านผู้เรียน สมั ภาษณผ์ ้ปู กครอง
369 8. นักแนะแนวจะต้องมีความประพฤติที่เหมาะสมตามขอบข่ายศีลธรรมจรรยาอันดีงาม เพอื่ เปน็ ตัวอย่างทีด่ ีแก่ผู้เรยี น จรรยาบรรณเหล่าน้เี ป็นส่ิงท่นี ักแนะแนวควรยึดเป็นหลกั ปฏิบตั ิในการดาเนินงานแนะแนว และให้การปรกึ ษาแกผ่ รู้ บั บรกิ าร จรรยาบรรณของนกั แนะแนวไทย เน่ืองจากประเทศไทยมีนักแนะแนวซ่ึงมีคุณสมบัติและประส บการณ์ของการฝึกอบรมท่ี แตกต่างกัน ทางานอย่ใู นสถาบนั จรรยาบรรณสาหรับนกั แนะแนวกจ็ าเป็นและควรจะกาหนดไว้อย่าง กวา้ งๆ สน้ั และชดั เจน เพอื่ ผปู้ ระกอบวิชาชีพนจี้ ะไดเ้ กิดความเขา้ ใจ ยอมรับและนาเป็นเครื่องนาทาง ในการปฏิบัติ (จาเนยี ร ชว่ งโชติ, 2547, น. 206) ไดเ้ สนอจรรยาบรรณของนักแนะแนวไทยไว้ดังนี้ 1. นักแนะแนวจะตอ้ งยอมรับ เคารพในหน้าทีแ่ ละความรบั ผดิ ชอบ เพ่อื รักษาและส่งเสริม สวัสดิภาพ และผลประโยชน์ของผู้มารับบริการ ไม่ว่าเขาจะได้รับความช่วยเหลือเป็นรายบุคคลหรือ เป็นกลุ่ม 2. นักแนะแนวจะตอ้ งเก็บรักษาข้อมูลส่วนตัว ตลอดจนสัมพนั ธภาพทางการใหค้ าปรกึ ษาท่ี เกี่ยวกบั ผ้มู ารบั บริการไว้เปน็ ความลับ และมวี ิจารณญาณอนั ดใี นการท่ีจะถ่ายทอดเรอ่ื งราวเหลา่ นนั้ 3. นักแนะแนวจะตอ้ งเคารพในสทิ ธิสว่ นบุคคลของผู้มารบั บริการในการท่จี ะเลือกตดั สนิ ใจ แก้ปญั หาและดาเนนิ ชวี ิตของตนเอง 4. นักแนะแนวจะต้องประพฤติตนในกรอบของวฒั นธรรม และเหมาะสมตามขอบขา่ ยของ ศลี ธรรมจรรยาอันดงี าม 5. นักแนะแนวควรตระหนักในหน้าที่และขอบขา่ ยของความสามารถของตนท่ีมีอยู่ในการ ปฏิบัติงาน ถ้านอกเหนือความสามารถของตน ควรส่งผู้มารับบริการไปรับบริการจากผู้เชยี่ วชาญที่ เกี่ยวขอ้ ง 6. นกั แนะแนวจะตอ้ งปฏบิ ัติหนา้ ทีด่ ้วยความชื่อสตั ยส์ ุจรติ ใจ เสยี สละกอปรประโยชน์ด้วย คณุ ธรรมตอ่ การชว่ ยเหลอื เพือ่ มนษุ ย์ 7. นักแนะแนวจะต้องยืดม่ันในหลักวิชาการ เพิ่มพูนความรู้และทักษะ รักษามาตรฐาน การประกอบอาชีพแนะแนวให้เจริญก้าวหนา้ อยู่เสมอ จรรยาบรรณของสมาคมแนะแนวแหง่ ประเทศไทย เม่ือวนั ท่ี 24 มกราคม พ.ศ.2524 สมาคมแนะแนวแห่งประเทศไทย ได้ประกาศไว้ในการ ประชุมของสมาคมฯ ว่าจรรยาบรรณของนกั แนะแนวมี 5 ประการ ดงั นี้
370 1. ตอ้ งรักษาความลับและรักษาประโยชนข์ องผูม้ ารบั บรกิ าร 2. ต้องมีศรัทธาต่องานช่วยเหลือเพ่ือนมนุษย์ รับผิดชอบต่อหน้าที่อย่างเคร่งครัดและ มวี จิ ารณญาณอันดี 3. ต้องให้บริการในขอบเขตความสามารถของตน ไม่หลอกลวงผู้มารับบริการเพื่อหา ประโยชนส์ ่วนตวั 4. ต้องประพฤติตนอยู่ในขอบข่ายศีลธรรมอันดีงาม เป็นผู้ทรงคุณธรรม มีความเมตตา การุณย์แก่ผ้มู ารับบรกิ าร 5. ต้องยืดมนั่ ในหลกั วิชาชพี เคารพสทิ ธขิ องผูม้ ารับบรกิ าร และไม่มอี คติในการให้บริการ โครงการและแผนปฏิบตั ิงานแนะแนว งานแนะแนวเป็นงานในด้านการให้บริการแก่ทั้งผู้เรียน ผู้ปกครอง และคณะบุคลากรใน สถานศึกษา เป็นงานท่ีจาเป็นต้องอาศัยเทคนิคและวิธีการ สถานที่ อุปกรณ์ และบุคลากรทุกฝ่าย เพื่อให้ดาเนินไปอย่างราบรื่น มีระบบสอดคล้องเก่ียวเนื่องกันไป จึงจาเป็นจะต้องมีการจัดและ การบริหารโครงการแนะแนวที่ดีอันจะส่งผลให้โครงการแนะแนวบรรลุความมุ่งหมายตามท่ีทาง สถานศกึ ษาไดต้ ั้งเป้าหมายไว้ ดงั นนั้ การทางานแนะแนวทม่ี ีประสิทธิภาพจะต้องมีการวางแผนปฏบิ ตั ิงานล่วงหนา้ ตลอดปี อย่างเป็นระบบและครอบคลุม ว่าจะมีโครงการเก่ียวกับเร่ืองใด ใครรับผิดชอบ วิธีการดาเนินการ งบประมาณ และวิธีประเมินผล และจากแผนที่กาหนดข้ึนก็จะสามารถทาเป็นปฏิทินงานแนะแนว แจกจ่ายแก่คณะครูเพ่ือการประชาสัมพันธ์และขอความร่วมมือได้อย่างดี ซ่ึงต้องมีการวางแผน โครงการงานแนะแนวในสถานศึกษาก่อนการริเริ่ม โครงการแนะแนวในสถานศึกษาแต่ละแห่ง ไมเ่ หมือนกันอาจจะแตกตา่ งกันในเรอื่ งระดับการศกึ ษาหรอื ขนาดหรอื การบริหาร ฉะนน้ั วธิ ีการเริ่มต้น โครงการแนะแนวกส็ มควรแลว้ แตค่ วามเหมาะสมของสถานศกึ ษา หลกั การของการจัดและการบริหารโครงการแนะแนว 1. ผู้บริหารของสถานศึกษาจะต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ ความเข้าใจในเร่ืองการแนะแนวและ มองเห็นสาคัญของการแนะแนวอย่างแท้จริง เน่ืองจากผู้บริหารเป็นบุคคลสาคัญในการกาหนด นโยบายของแนะแนว และยงั ทาหนา้ ทเี่ ป็นผนู้ เิ ทศเรอื่ งการแนะแนวให้กับคณะครูของตน 2. การท่ีผู้บริหารสถานศึกษามองเห็นความสาคัญของงานแนะแนว ก็จะช่วยให้การ ดาเนนิ งานแนะแนวเป็นไปด้วยความราบรื่น เน่ืองจากจะได้รับการสนับสนุนจากผู้บรหิ าร ท้งั ในดา้ น งบประมาณ สถานที่ กาลงั คน เวลา ตลอดจนวสั ดอุ ปุ กรณ์ต่างๆ
371 3. งานแนะแนวเป็นงานทเ่ี ก่ยี วข้องกับบคุ ลากรหลายฝา่ ย ท้งั ภายในและภายนอกโรงเรยี น ในการจัดและการบริหารโครงการแนะแนวของสถานศึกษา จาเป็นจะต้องได้รับความร่วมมือจาก กรรมการทุกฝ่าย จึงจะชว่ ยให้งานแนะแนวประสบความสาเร็จ 4. เทคนิคสาคัญที่จะช่วยให้บุคลากรทุกฝ่ายให้ความร่วมมือกับงานแนะแนวของสถาบัน กก็ ารประชาสมั พนั ธ์ ท้งั โดยทางวาจาและโดยทางลายลักษณ์อักษร 5. ในการกาหนดนโยบายของโครงการแนะแนว จะตอ้ งกาหนดเพอื่ ผู้เรียนทกุ คน คอื จะต้อง มีเป้าหมายอยู่ท่ีการป้องกันปัญหา การแก้ไขปัญหาและการส่งเสริมพัฒนานักเรียน ควบคู่กันไป พรอ้ มๆ ทัง้ น้เี น่ืองจากผู้เรยี นทกุ คนย่อมต้องการไดร้ ับความชว่ ยเหลอื และไดร้ บั การสง่ เสรมิ พัฒนาจาก แนะแนวเท่าเทียมกนั 6. ขอบข่ายของงานแนะแนวท่ีจัดให้กับผู้เรียนจะต้องจัดให้ครอบคลุมการแนะแนว ทั้ง 3 ดา้ น คือ ด้านการศึกษา ด้านอาชีพ ด้านส่วนตัวและสงั คม เพราะการใหก้ ารแนะแนวแก่ผู้เรียน เพยี งดา้ นหนง่ึ ไม่ชว่ ยให้ผู้เรยี นสามารถนาตนเองไดอ้ ย่างแท้จริง หรอื ไมช่ ว่ ยให้ผู้เรยี นสามารถปรับตน อยา่ งเหมาะสม 7. การกาหนดบุคลากรในโครงการแนะแนว ควรคัดเลือกบุคคลทีม่ ีความรแู้ ละมีความสนใจ ดา้ นการแนะแนวอย่างแท้จริง เพือ่ ช่วยให้การดาเนินงานแนะแนวประสบความสาเร็จและบังเกิดผลดี แก่ผู้เรยี น การกาหนดหน้าทีค่ วามรบั ผดิ ชอบของบคุ ลากรตา่ งๆ ไว้อยา่ งชดั เจน 8. การจัดหาสถานท่ีต้ังสานักงานแนะแนว ควรเลือกสถานที่ที่มีความเหมาะสมและเป็น สัดส่วน เน่ืองจากงานแนะแนวเป็นงานท่ีเก่ียวข้องกับผู้เรียนทุกคน และเป็นบริการท่ีให้ความ ชว่ ยเหลอื ผู้เรยี นทุกคนอีกดว้ ย ดังนั้น สานักงานแนะแนวจึงควรอยู่ในที่ที่สามารถเข้าไปรับบริการได้ สะดวก มีคนพลกุ พล่าน ปราศจากเสียงรบกวน และมบี รรยากาศทีด่ ี 9. บรรดาวัสดุ ครุภัณฑ์ และอุปกรณ์ต่างๆ สาหรับงานแนะแนวควรจัดหาให้เพียงพอ กับความจาเป็นและจานวนนักเรียน เช่น โต๊ะ เก้าอ้ี ตู้เก็บเอกสาร ระเบียนและแบบทดสอบต่างๆ เปน็ ตน้ 10. มีการติดต่อประสานงานกับหนว่ ยงานต่างๆ ที่อยู่ภายนอกสถาบันเพือ่ ขอรบั ความชว่ ย หรือความรว่ มมอื ในการให้บริการแนะแนวแก่นกั เรยี น กระบวนการจดั โครงการแนะแนว/กจิ กรรมแนะแนว ในการจัดโครงการแนะแนว/กิจกรรมแนะแนว มีกระบวนการดังต่อไปน้ี (กรมวิชาการ, 2546) 1. สารวจสภาพปัญหา ความต้องการและความสนใจของผู้เรียน เพ่ือใช้เป็นข้อมูลในการ กาหนดแนวทางและแผนการจัดกจิ กรรมแนะแนว
372 2. ศกึ ษาวสิ ัยทัศน์ของสถานศกึ ษาและวเิ คราะห์ขอ้ มูลของผู้เรียนที่ได้จากการสารวจ เพ่ือ ทราบปญั หา ความต้องการและความสนใจ นาไปกาหนดสาระและรายละเอยี ดของกจิ กรรมแนะแนว 3. กาหนดสัดส่วนสาระของกจิ กรรมในแต่ละด้าน ครอบคลุมด้านการศึกษา การงานและ อาชีพ ชีวิตและสังคม ให้ได้สัดส่วนท่ีเหมาะสม โดยยึดสภาพปัญหา ความต้องการและความสนใจ ตลอดจนธรรมชาตแิ ละผู้เรียนเปน็ หลกั ทั้งน้ี ครูและผู้เรยี นมีส่วนร่วมในการจดั สาระของกจิ กรรม 4. กาหนดแผนการจดั กิจกรรมแนะแนว เมอื่ กาหนดสดั ส่วนสาระของกจิ กรรมในแต่ละด้าน แล้วว่าแต่ละภาคเรียนจะต้องจัดกิจกรรมแนะแนวในสาระด้านใด จานวนกี่ชั่วโมง ต่อมาจะต้อง กาหนดรายละเอียดของแต่ละดา้ นไว้ให้ชัดเจนวา่ ควรมีเร่อื งอะไรบ้าง เพ่ือจะไดจ้ ัดทาเป็นรายละเอยี ด ในแต่ละกจิ กรรมย่อยตอ่ ไป 5. การจัดทารายละเอียดของแต่ละกิจกรรม เร่ิมตั้งแต่กาหนดช่ือกิจกรรม จุดประสงค์ เวลา เนื้อหา/สาระ วิธีดาเนินกจิ กรรม สื่อ/อปุ กรณ์ และการประเมนิ ผล 6. ปฏิบตั ิตามแผน วดั ประเมินผล สรุปรายงาน แผนปฏิบตั ิงานแนะแนว และปฏทิ ินปฏิบตั งิ านแนะแนว งานแนะแนวต้องปฏิบัตกิ นั ตลอดทง้ั ปี ซ่งึ ลกั ษณะงานมีหลายด้าน หลายเร่ืองและเกย่ี วข้อง กับบคุ คลทกุ ฝา่ ย การปฏิบัติงานจะเกดิ ผลดแี ละมีประสทิ ธภิ าพจะตอ้ งมีการกาหนดเวลาการทางาน ออกมาชัดเจนในรปู แบบของแผนการปฏบิ ัตงิ านแนะแนว และปฏิทนิ งานแนะแนวตลอดปี ต่อไปนี้ขอเสนอตัวอย่างแผนการปฏิบัติงานแนะแนวของฝ่ายต่างๆ ในคณะกรรมการ ปฏิบัติงานแนะแนวของโรงเรียนประถมศึกษาขนาดกลางและขนาดเล็ก และปฏิทินการปฏิบัติงาน แนะแนว ดงั นี้ ตวั อยา่ งแผนการปฏิบัติงานแนะแนว ประจาปีการศึกษา............................ โรงเรยี น............................................... อาเภอ................................ จงั หวดั .................................. สงั กัด........................................................ เขต................................................. 1. ฝ่ายรวบรวมขอ้ มลู และติดตามผล งาน วิธกี าร ระยะเวลา 1. สารวจขอ้ มลู นักเรยี น สาหรับนักเรยี นช้นั ประถมศกึ ษาปที ี่ 1 - 2 พฤษภาคม เป็นรายบคุ คล (ทาในวัน 1. ผปู้ กครองกรอกประวตั ิของนกั เรียนลงในแบบกรอก แรกท่เี ปดิ เรียนหรอื วันที่ ประวัติ
373 งาน วธิ ีการ ระยะเวลา ผปู้ กครองนานกั เรียน 2. หากผ้ปู กครองเขียนหนังสือไม่ไดใ้ หค้ รปู ระจาชัน้ มามอบตวั ) สัมภาษณผ์ ปู้ กครองนักเรยี นแล้วบนั ทึกลงในแบบ กรอกประวตั ิ 3. ให้นกั เรียนเป็นผู้กรอกในแบบกรอกประวัตขิ องตนเอง 2. บนั ทกึ ขอ้ มลู ลงใน ครูประจาชัน้ ศึกษาและบันทึกขอ้ มูล จากแบบกรอกประวตั ิ พฤษภาคม ระเบียนสะสม ลงในระเบยี นสะสมของนกั เรียนแต่ละคน ในกรณีท่ีเคย กรอกประวตั ขิ องนักเรยี นลงในทะเบียนสะสมมาแล้วให้ บนั ทึกเฉพาะขอ้ มลู ทเ่ี พ่มิ เติมขนึ้ หรอื เปลยี่ นแปลง 3. วิเคราะห์ 1. ครปู ระจาช้นั วิเคราะห์ขอ้ มูลท่ไี ดจ้ ากแบบกรอกประวัติ มถิ นุ ายน รายละเอยี ดของขอ้ มลู นักเรยี นในชัน้ ของตน ท่ไี ดจ้ ากแบบกรอก 2. ผลการวเิ คราะห์ข้อมลู ควรทาไว้ 2 ชดุ ชดุ หนึง่ ครู ประวัตนิ ักเรยี น ประจาชั้นเกบ็ ไวเ้ องเพือ่ ใชป้ รบั ปรงุ ช่วยเหลอื และ พฒั นานกั เรียนของตนในโอกาสตอ่ ไป อีกชดุ หนงึ่ มอบ ใหฝ้ า่ ยรวบรวมข้อมลู และตดิ ตามผล เพือ่ นาไปใช้ ประกอบการวางแผนจดั บรกิ ารแนะแนวดา้ นตา่ งๆ ใหแ้ กน่ ักเรียน 3. ข้อมลู ท่วี ิเคราะหแ์ ลว้ และควรแก่การบนั ทกึ ลงใน ระเบยี นสะสมให้ครูประจาช้นั บนั ทึกเกบ็ ไวด้ ว้ ย 4. สารวจและวิเคราะห์ ใช้แบบสอบถามปญั หาทัว่ ไปใหน้ กั เรยี นกรอก กรกฎาคม ปัญหาของนกั เรยี น 1. ในกรณที น่ี กั เรยี นกรอกแบบสอบถามดว้ ยตนเองไม่ได้ ให้ครปู ระจาช้นั สมั ภาษณน์ กั เรียนทีละคน แลว้ บนั ทกึ ข้อมลู ลงในแบบสอบถามถามปญั หาทัว่ ไป ครูอาจนดั สมั ภาษณ์ในช่วงเช้ากอ่ นเข้าเรยี น ระหวา่ งพกั กลางวนั หรือหลงั เลกิ เรียน ช่วงเวลาละ 1 - 2 คน 2. สาหรบั นกั เรียนช้นั ป.3 - ป.6 ให้ครูประจาชน้ั แจก แบบสอบถามปญั หาทั่วไปให้นกั เรียนตอบดว้ ยตนเอง แต่ครูไม่ควรเร่งรัดเวลาตอบและไม่ควรให้นกั เรียน ปรกึ ษากนั ในขณะตอบแบบสอบถาม 3. ครปู ระจาชน้ั นาขอ้ มลู จากแบบสอบถามมาวิเคราะห์
374 งาน วิธีการ ระยะเวลา 4. ข้อมลู ทว่ี เิ คราะห์แล้วให้ครปู ระจาชั้นเกบ็ ไว้ 1 ชุดอีก ชดุ หนึง่ เกบ็ ไว้ท่ฝี ่ายรวบรวมขอ้ มลู และติดตามผล 5. หากพบวา่ นักเรียนคนใดมีปญั หาเฉพาะในดา้ นใดด้าน หนึง่ ใหห้ าขอ้ มูลเพ่มิ เติมใหล้ ะเอยี ดโดยการสมั ภาษณ์ นักเรยี นเปน็ รายบุคคล 6. หากพบว่านักเรยี นมปี ัญหาเฉพาะตวั ในด้านทเ่ี กี่ยวข้อง กับฝา่ ยอื่นให้แจ้งผเู้ ก่ียวขอ้ งดาเนนิ การแก้ปญั หา เช่น ถ้ามปี ัญหาการเงินให้สง่ ฝ่ายใหค้ าปรกึ ษาและจดั วาง ตวั บคุ คล เป็นต้น 5. ตดิ ตามผลนกั เรยี นที่ 1. สง่ แบบตดิ ตามผลไปใหน้ กั เรยี นทจี่ บ ป.6 ทุกคน มนี าคม สาเร็จการศึกษา 2. กาหนดระยะเวลาเพือ่ ใหเ้ จ้าหน้าทรี่ วบรวมและ ตรวจสอบจานวนแบบการตดิ ตามผลทส่ี ่งกลบั คนื มา 3. ตดิ ตามทวงถามแบบการติดตามผลทยี่ งั ไมไ่ ด้รบั กลบั คนื มาภายในเวลาท่ีกาหนด 4. วิเคราะห์ข้อมลู จากแบบการตดิ ตามผลทงั้ หมดแล้ว เขยี นรายงานสรปุ ชุดหนึ่ง รายงานใหผ้ บู้ ริหารทราบเพอื่ นาไปวางแผนจดั การเรยี นการสอนและปรับปรงุ การ เรียนการสอนตอ่ ไป จดั ทาแผนภูมหิ รอื สอื่ อปุ กรณอ์ ่นื ๆ สาหรบั บรกิ ารสนเทศดา้ นการศกึ ษาแกน่ กั เรียนและ ประกอบการปจั ฉิมนเิ ทศนกั เรยี นท่ีกาลังจะจบ การศึกษาหรือประชมุ ผปู้ กครองนกั เรยี นเพือ่ จะได้เหน็ สถติ ขิ องนกั เรียนทจี่ บการศึกษาและไดศ้ ึกษาต่อหรือ ประกอบอาชพี ต่างๆ อย่างไร หากโรงเรียนไมส่ ามารถ ตดิ ตอ่ นกั เรียนท่ีจบไปแลว้ โดยตรงได้ โรงเรียนอาจใช้ วธิ กี ารอ่ืนๆ รวบรวมข้อมูล เชน่ การถามนกั เรยี นรุ่น นอ้ ง หรือเพอ่ื นบ้านหรอื ผปู้ กครองของนกั เรียน เป็นต้น 6. ประเมนิ ผลการ ใหต้ ัวแทนของแตล่ ะฝ่ายรายงานผลการปฏิบตั งิ าน ปลายปี จัดบรกิ ารแนะแนว การศึกษา ตลอดปีของโรงเรียน
375 งาน วิธกี าร ระยะเวลา 7. เยี่ยมบ้านนักเรียน 1. ใหฝ้ ่ายรวบรวมข้อมลู และติดตามผลจัดครูทีม่ ีคุณสมบตั ิ ตลอดปี การศึกษา เหมาะสมออกไปเย่ยี มบา้ นนกั เรยี น 2. กรณสี ารวจพบนกั เรียนมีปญั หาใหฝ้ ่ายรวบรวมขอ้ มูล และตดิ ตามผลการจัดครอู อกไปเยีย่ มบา้ นนักเรยี น คนนนั้ 2. ฝ่ายบริการสนเทศ งาน วิธีการ ระยะเวลา 1. แนะนาการใช้ของ 1. จดั ทาปา้ ยสนเทศ 1. เปิดเทอม สว่ นรวม เช่น ส้วม 2. สาธิต ใหม่ โรงอาหาร น้าดืม่ ท้งั น้ีอาจใหน้ ักเรยี นและครูทกุ คนได้มสี ่วนรว่ มในการจัดทา 2. ทุกโอกาส เป็นต้น สงั เกต และตรวจดนู ักเรยี นก็ได้ และเวลา ทเ่ี หน็ ว่า เหมาะสม หรือทกุ เดอื น อย่างนอ้ ย เดอื นละ หน่งึ เร่ือง 2. แนะนาการคบเพอื่ น 1. จดั ทาปา้ ยสนเทศ 1. เปิดเทอม หรือการปรบั ตัว เชน่ 2. รวบรวมเอกสารและอนญุ าตให้นักเรยี นอา่ นได้ ใหม่ มารยาท การทาให้พอ่ 3. สาธิต 2. ทกุ โอกาส แมแ่ ละเพ่ือนรกั ฯลฯ และเวลา ท่เี ห็นว่า เหมาะสม หรือทกุ เดือน อยา่ งนอ้ ย
376 งาน วธิ ีการ ระยะเวลา เดือนละ 3. การเลอื กวชิ าเรียน 1. ชแี้ จงเรื่องหลักสูตรแกน่ กั เรยี นและผูป้ กครอง หนงึ่ เร่อื ง ในช้นั ป.5 - ป.6 2. จดั ทาปา้ ยนเิ ทศ กุมภาพันธ์ 4. ประชุมผปู้ กครอง ช้ีแจงและขอความร่วมมือในเรอ่ื งท่ีเกี่ยวกับการเรียนของ 5. แนะนาอาชีพใน บุตรและการทากจิ กรรมของโรงเรยี น เปิดเทอม ท้องถิ่น 1. จัดทาปา้ ยสนเทศ ใหม่ 2. รวบรวมเอกสาร ตุลาคม - 6. แนะแนวการศกึ ษา 3. เชญิ วทิ ยากร ธนั วาคม ตอ่ 4. จัดทศั นศึกษา 5. จัดฉายภาพนงิ่ หรือภาพยนตร์ มกราคม - 1. จดั ทาปา้ ยสนเทศ กุมภาพนั ธ์ 2. รวบรวมเอกสารและอนุญาตให้นกั เรยี นอา่ นได้ 3. เชิญวิทยากร 3. ฝา่ ยให้คาปรกึ ษาและจดั วางตวั บคุ คล งาน วธิ ีการ ระยะเวลา 1. สารวจปญั หาเฉพาะ 1. รวบรวมขอ้ มลู ของนกั เรียนท่ีมปี ญั หาใหส้ มบรู ณ์ โดยใช้ ตน้ ปี ด้านของนักเรยี นเปน็ การศึกษา รายบุคคล วิธกี ารและเครอื่ งมือต่างๆ รวมทง้ั ศึกษาข้อมูลทฝ่ี า่ ย รวบรวมข้อมลู เกบ็ รวบรวมไว้ สปั ดาหล์ ะ 2. ให้คาปรกึ ษา 2. วเิ คราะหส์ าเหตขุ องปญั หาของนกั เรยี น เพ่ือให้ความ 1 ครัง้ เป็น ช่วยเหลือท่ีเหมาสม อย่างนอ้ ย 3. จัดหาทนุ ใหแ้ ก่ 1. ใหค้ าปรึกษา จนกว่าจะ นักเรียนทขี่ ดั สน 2. หากปญั หาใดเกินกว่าความสามารถของตนเองให้ แกป้ ัญหาได้ ปรกึ ษาผรู้ หู้ รอื สง่ ตอ่ ไปยงั ผเู้ ชย่ี วชาญ เช่น นักแนะแนว ตลอดปี หรือจิตแทพย์ 1. รวบรวมขอ้ มลู เกยี่ วกบั นกั เรยี นขดั สนท่ีต้องการรับทุน 2. จัดหาทนุ จากแหลง่ ตา่ งๆ ทัง้ ในและนอกชุมชน
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 472
Pages: