177 เบอร์กส และสเตฟเฟิล (Blocher, 1966; Brammer and Shostrom, 1877; Burks and Steffre, 1979 อ้างอิงจาก วัชรี ทรัพยม์ ี, 2556, น. 5) อธบิ ายไว้ดังนี้ ตารางท่ี 4.1 ความแตกต่างระหว่างการใหค้ าปรึกษา (Counseling) กบั จติ บาบดั (Psychotherapy) การให้คาปรกึ ษา จติ บาบัด 1. ปญั หาของผรู้ บั คาปรกึ ษาเป็นปญั หาเก่ียวกับ 1. ปัญหาของผรู้ ับการบริการจิตบาบดั เป็น การเลอื กสาขาการเรยี น เลอื กอาชีพ การ ปญั หาทางอารมณท์ ี่ลกึ ซ้ึงกว่าปญั หาของ ปรับตวั กับบคุ คลแวดลอ้ มหรอื กบั การงาน ผูร้ บั คาปรึกษา เช่น ไดร้ ับความกระทบ กระเทอื นใจอยา่ งรุนแรง มคี วามท้อแท้ สิน้ หวงั อย่างหนกั บางรายคิดอยากฆา่ ตัว ตาย มคี วามระแวงอย่างไรเ้ หตุผล เป็นตน้ 2. ผูร้ บั คาปรกึ ษาเป็นบุคคลท่ตี อ้ งการความ 2. ผู้รับบรกิ ารจติ บาบัด เปน็ ผมู้ คี วามผดิ ปกติ ชว่ ยเหลอื ในการตัดสินใจ หรอื แก้ปญั หา ดา้ นจิตใจ ดังน้นั จดุ ประสงค์คอื การ ตลอดจนการเปลีย่ นพฤตกิ รรม ดงั นัน้ การ ปรับปรงุ โครงสร้างบคุ ลกิ ภาพของผมู้ ารับ ให้คาปรึกษาจงึ มจี ดุ ประสงคใ์ นการชว่ ยให้ บรกิ าร ผบู้ ริการใหด้ าเนินบทบาทในชีวติ อย่าง มีประสิทธภิ าพ สามารถตดั สินใจไดอ้ ย่าง เหมาะสม มพี ฒั นาการอย่างสมวยั กบั ท้ัง เปน็ การป้องกันมิใหส้ ขุ ภาพจิตของบคุ คล เส่อื มโทรม 3. ระยะเวลาในการใหค้ าปรึกษาจะส้ันกว่า 3. ระยะเวลาในการใหบ้ รกิ ารจติ บาบัดจะใช้ 4. สถานที่ให้บรกิ ารใหค้ าปรกึ ษา มกั ดาเนนิ การ ระยะเวลายาวนาน อยใู่ นสถาบนั การศกึ ษา เชน่ โรงเรียน 4. สถานทใี่ ห้บรกิ ารจิตบาบัดจะอยใู่ น วิทยาลัย มหาวิทยาลยั หรอื อยู่ในหนว่ ยงาน โรงพยาบาลหรอื สถานบาบัดทางจิตเวช ช่วยเหลอื ชุมชนตา่ งๆ เชน่ สถานสังคม สงเคราะห์ สถานดแู ลเยาวชนท่ปี ระพฤตผิ ิด หรือฝ่ายสวสั ดกิ ารของบรษิ ทั หรอื โรงงาน อตุ สาหกรรม
178 ความสาคญั ของบรกิ ารใหค้ าปรกึ ษา สภาพวถิ ีชีวิตของคนในปัจบุ ันเต็มไปดว้ ยความยุง่ ยาก ซึ่งเป็นผลมาจากค่านยิ ม วฒั นธรรม ทเี่ ปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วตามกระแสของสังคม นาไปสกู่ ารมีปญั หาทางพฤติกรรม การศึกษาต่อและ ประกอบอาชีพ ปัญหาทางอารมณ์และสังคม ปัญหาบุคลิกภาพ หากไม่ได้รับการป้องกันช่วยเหลือ อาจลุกลามกลายเป็นปัญหาทีร่ ุนแรงยากจะแก้ไขได้ โดยเฉพาะในช่วงวัยรนุ่ ซึ่งกาลังอยูใ่ นระยะของ การเปล่ียนแปลงทงั้ ทางด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และบทบาททางสงั คม เป็นวัยท่ีตอ้ งการแสวงหา เอกลกั ษณข์ องตน อยากรู้ อยากเหน็ อยากลอง ตอ้ งการอิสระจากผใู้ หญ่ ตอ้ งการการยอมรบั จากกลมุ่ เพ่อื น จนบางครง้ั ดูเหมอื นใหค้ วามสาคัญตอ่ เพอื่ นมากกวา่ พ่อแม่ สิง่ เหล่านี้เป็นธรรมชาติของวยั รุ่นท่ี เป็นสาเหตุให้เสี่ยงต่อการเกิดปัญหาด้านสุขภาพจิตและพฤติกรรม ดังน้ัน การให้ความช่วยเหลือให้ การปรึกษาโดยครูและผทู้ ีม่ ีสว่ นเกี่ยวขอ้ งจะช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจตนองเเละสงิ่ แวดล้อมมากข้นึ สามารถ คิดพิจารณาและตัดสินใจหาทางออกเพื่อแก้ไขความคบั ข้องใจ ความวิตกกงั วล เป็นการลดความเสีย่ ง ต่อการสูญเสียที่อาจเกิดกับผู้เรียนได้ สถานศึกษาจึงมีบทบาทสาคัญในการป้องกัน แก้ไขปัญหา พัฒนาพฤตกิ รรผู้เรียนให้เกดิ ความเหมาะสม และเปน็ ผปู้ ระสานงานระหว่างบ้านกบั สถานศึกษา ท้งั น้ี เพอื่ ให้การช่วยเหลือผู้เรียนทุกคนในสถานศึกษา นอกจากน้ี หากผู้เรียนได้รบั ความช่วยเหลือโดยรับ บริการให้คาปรึกษา จะเกดิ ประโยชน์และมคี วามสาคัญสาหรับผเู้ รียนหลายประการ ซงึ่ พอจะประมวล สาระสาคัญได้จากผลการศึกษาวิจัยต่างๆ เช่น ผู้เรียนมีความเข้าใจตนเอง และสิ่งแวดล้อมดีข้ึน ผู้เรียนยอมรบั และเข้าใจผู้อื่นมากข้ึน ความวติ กกังวลของผู้เรียนลดลง ผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี นสงู ขึ้น พฤติกรรมของผู้เรียนเปล่ียนแปลงไปในทางท่ีพึงประสงค์มากข้ึน และผู้เรียนสามารถตัดสินใจได้ เหมาะสมขึ้น จดุ มุ่งหมายของบรกิ ารใหค้ าปรกึ ษา โดยท่วั ไป การให้คาปรกึ ษาแก่ผเู้ รียนมจี ดุ มงุ่ หมายเพือ่ ช่วยให้ผ้เู รยี นได้สารวจและทาความ เข้าใจกับตนเองเพ่ือที่จะได้สามารถนาทางตนเองได้ โดยมีความเช่ือว่าความสัมพันธ์ที่อบอุ่นและ ปลอดภยั ในขณะใหค้ าปรึกษาจะเป็นบรรยากาศที่ชว่ ยทาใหผ้ ู้เรียนสามารถสารวจความสับสนที่อบอนุ่ และปลอดภัยในขณะใหค้ าปรึกษาจะเป็นบรรยากาศทช่ี ่วยทาให้ผู้เรียนสามารถสารวจความสับสนท่ี เกดิ ขึ้นในความรู้สึกของตนเอง ไดส้ ารวจคา่ นยิ ม การมองผู้อื่น ความสัมพันธร์ ะหว่างบคุ คล ความกลัว และทางเลือกต่างๆ ในชีวิดของเขาได้กระจ่างชัดขึ้น ซ่ึงการสารวจนี้จะทาให้เกิดการหย่ังเห็น เกิดความเข้าใจในตนเอง และเกิดความกระจ่างในบทบาทของตนเอง รวมท้ังเกิดการวางแผนและ การเปล่ยี นแปลงพฤตกิ รรมในทสี่ ดุ ทั้งหมดนีเ้ ป็นเป้าหมายทตี่ ้องการใหเ้ กดิ ขนึ้ หลังจากทีผ่ เู้ รียนไดร้ ับ
179 คาปรึกษาไปแล้ว น่ันคือ ต้องการให้ผู้เรียนเกิดการประจักษ์ในตนเอง (Self-Realisation) และ สามารถนาทางตนเอง (Self-Direction) ได้ การให้คาปรกึ ษามักจะเน้นทก่ี ารทาให้ผู้รบั คาปรกึ ษาสามารถวางแผนและตัดสินใจไดด้ ้วย ตนเอง โดยท่ีผู้ให้คาปรึกษาจะช่วยทาให้ผู้รับคาปรึกษามีข้อมูลเพียงพอท่ีจะนาไปใช้ประกอบการ พจิ ารณาตัดสินใจแกป้ ัญหาของตนเอง ดังนั้นการให้คาปรึกษาจงึ ไม่ใช่การที่ผใู้ หค้ าปรึกษาแกป้ ัญหา ให้กับผู้รบั คาปรึษา ไมใช่การบอกว่าอะไรผิด อะไรถูก หรืออะไรที่ผรู้ ับคาปรึกษาสมควรทา รวมท้ัง ไม่ใช่เพียงการแก้ปัญหาสังคมโดยไม่คานึงถึงผู้รับคาปรึษา แต่เป็นการท่ีผู้รับคาปรึกษาได้รับการ ช่วยเหลือ หรือผลักดันให้หาหนทางต่างๆ เพ่ือแก้ปัญหาของตนเองโดยมีข้อมูลท่ีเพียงพอสาหรับ การแก้ปัญหาน้ันๆ และในขณะเดียวกันบุคคลก็จะได้นาความสามารถในการแก้ปัญหาที่มีอยู่ไปใช้ แกไ้ ขความย่งุ ยากต่างๆ ทจ่ี ะเกิดขนึ้ ในอนาคตได้อย่างมีประสิทธภิ าพโดยไม่ต้องพึ่งพาผ้อู นื่ จุดมุ่งหมายของการให้คาปรึกษาสามารถกล่าวโดยสรุปได้ ดังนี้ (นุชลี อุปภัย, 2543, น. 100) 1. เพื่อให้ผู้รับคาปรึกษาตระหนักในความเป็นตัวตนของตนเองเพ่ือท่ีจะได้เกิดความ รับผดิ ชอบในตนเอง 2. เพ่ือช่วยให้ผู้รับคาปรึกษาเผชิญกับปัญหาท่ีประสบดว้ ยมุมมองท่ีกวา้ งขนึ้ โดยสามารถ พิจารณาถงึ ผลกระทบตอ่ ตนเอง และผู้อืน่ รวมทง้ั สิ่งแวดลอ้ มรอบขา้ งได้ 3. เพ่ือช่วยใหผ้ ู้รบั คาปรึกษาได้บรรลุเปา้ หมายทตี่ นเองได้ตั้งไว้ ขอบข่ายของบริการใหค้ าปรกึ ษา ขอบข่ายของบริการให้คาปรึกษาสาหรับผู้เรียนซึง่ ตอ้ งการความช่วยเหลือนัน้ สามารถแบ่ง ออกได้เปน็ 3 ดา้ นทีส่ าคัญ ดงั น้ี 1. การให้คาปรกึ ษาดา้ นการศกึ ษา ผู้เรียนประสบปัญหาทางการศึกษาหลายด้าน เพราะหลักสูตรเปลี่ยนแปลงไป การแข่งขนั ในการเรียนมีสงู ขึ้น และสง่ิ แวดล้อมท่เี ป็นอุปสรรคต่อการศกึ ษา มมี ากข้ึน เป็นต้น ดังน้ัน การให้คาปรกึ ษาด้านการศึกษาจงึ ควรจะครอบคลุมถงึ ความชว่ ยเหลอื ดงั ตอ่ ไปนี้ 1.1 การวางแผนการเรียนและการเลอื กวิชาเรยี น ตัวอยา่ งเชน่ ผู้เรียนบางคนมีปัญหาใน การตัดสินใจเลือกว่าเขาเหมาะที่จะศึกษาต่อในระดับท่ีสูงขึ้น หรือออกไปประกอบอาชีพเมื่อสาเร็จ การศึกษาแล้ว ผู้เรียนบางคนต้องการสารวจตนเองเพือ่ ให้เกิดความกระจา่ งถึงความถนัดความสนใจ
180 และระดับสติปญั ญาความสามารถของตนวา่ ควรจะเลอื กเรยี นอะไรจงึ จะเหมาะสมกับเขา และอาชพี ท่ี เขาสนใจทีจ่ ะดาเนนิ ตอ่ ไปได้ดว้ ยความสาเรจ็ 1.2 การเรยี นอย่างมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างเช่น ผู้เรียนบางคนมีปัญหาการเรยี นเพราะ เพ่ิงย้ายมาเข้าสถานศึกษาใหม่ ผู้เรียนอาจจะไม่ชอบสถานศึกษา จึงกระทาผิดวินัย หรือฝ่าฝืนกฎ ข้อบังคับของสถานศึกษา หรือผู้เรียนเพิ่งเปล่ียนช้ันใหม่ จึงยังปรับตัวไม่ได้ดี ผู้เรียนบางคนไม่รู้จัก วิธีการเรียนทด่ี ี เกดิ ความเบื่อหน่ายในการเรียน เรียนอ่อน ผลการเรียนต่า เพราะไมเ่ ขา้ ใจสง่ิ ท่ีเรียน อ่านหนังสือเรียนแล้วจับสาระสาคัญไม่ได้ เรียนแล้วไม่เกิดความรู้ หรือไม่สามารถนาความรู้ไปใช้ ประโยชน์ได้ เป็นต้น 1.3 การเตรียมตัวสอบ ในสังคมซงึ่ ใชร้ ะบบการแข่งขันแบบแพ้คัดออกเช่นนี้ คือสาเหตุ สาคัญประการหนึ่งซ่ึงทาให้ผู้เรียนเป็นจานวนมากต้องเผชิญกับความเครียด และความวิตกกังวล เก่ียวกับการเตรียมตวั สอบ เพื่อแข่งขนั เขา้ ศกึ ษาตอ่ ขั้นสูง ชิงทนุ การศึกษา หรือเขา้ สู่อาชพี ตามที่ตน ตอ้ งการหรอื ตงั้ เปา้ หมายไว้ ผู้เรยี นบางคนมปี ญั หาว่าจะเตรียมตัวสอบอย่างไร จงึ จะสามารถสอบผ่าน ไดแ้ ละเป็นผทู้ สี่ มหวงั ในทีส่ ดุ 2. การให้คาปรึกษาด้านอาชพี การเข้าสู่อาชีพของผู้เรียนในปัจจุบันมีความสลับซับซ้อน และมีการแข่งขันสูง อีกท้ัง ผู้เรียนเปน็ จานวนมากขาดข้อมลู ขอ้ เท็จจริง เพ่อื ประกอบในการตัดสนิ ใจเกี่ยวกับการประกอบอาชีพ ดังนน้ั การให้คาปรกึ ษาดา้ นอาชีพจึงควรจะครอบคลุมถึงความชว่ ยเหลือ ดังต่อไปนี้ 2.1 การวางแผนเพอื่ ประกอบอาชีพ ผู้เรียนจานวนมากอาจจะมีปัญหาว่า ถ้าไมเ่ รยี นต่อ เขาจะประกอบอาชีพอะไรต่อไปจึงจะเหมาะสม เพราะการตัดสินใจเลือกอาชีพที่ผิดพลาดย่อมจะ นามาซึ่งปัญหาและอุปสรรคอีกมาก ดังนัน้ เพื่อปอ้ งกันความผิดพลาด ผู้เรียนควรทจี่ ะมีการวางแผน เลือกอาชีพและการเตรยี มตวั เขา้ ส่อู าชีพลว่ งหน้า เพือ่ จะไดพ้ บกบั ความสมหวงั และความสาเรจ็ ตามที่ ตงั้ ใจไว้ 2.2 การหาแหล่งงานและการสารวจอาชีพในท้องถ่ิน เม่ือสาเร็จการศึกษาแล้วทุกคน ควรจะประกอบอาชพี แต่สภาพการณ์ในปัจจุบัน การหาแหล่งงานและการเข้าสูอ่ าชพี มีความลาบาก ยากยิ่งกว่าแต่กอ่ นมาก เพราะความต้องการแรงงานในบางสาขาอาชีพอยู่ในภาวะอิ่มตัวและมีความ จากัด ผู้เรียนจานวนมากจึงมีปัญหาวา่ ควรจะทาอย่างไรท่จี ะหลีกเสี่ยงกับสภาพคนตกงานได้หรือมี แนวทางใดบ้างที่ผู้เรยี นควรจะเตรียมตัวเพ่ือรับสภาพการวา่ งงานหรอื การรองาน ดังนั้น ผู้เรียนควร ไดร้ ับความช่วยเหลือลว่ งหน้าเกี่ยวกับการหาแหล่งงานและการสารวจอาชพี ในทอ้ งถนิ่ โอกาสในการ ฝึกฝนอาชีพ และแนวทางการประกอบอาชีพอิสระที่เหมาะสม เป็นต้น โดยที่ไม่มุ่งหวังแต่เพียงการ รบั ราชการหรือการทางานกับภาคเอกชน หรือรฐั วสิ าหกิจ หรอื การเข้าไปหางานในเมอื งใหญเ่ ท่านน้ั
181 2.3 การเตรียมตัวเพื่อเข้าสู่งาน การมีอาชีพท่ีตนถนัดและสนใจเปน็ เป้าหมายทสี่ าคัญ อย่างหนึ่งของชีวิต บุคคลท่ีมีการเตรียมตัวเพ่ือเข้าสู่อาชีพ มีการฝึกทักษะท่ีจาเป็นสาหรับงานและ มีคุณสมบัติส่วนตัวซ่ึงเป็นท่ีต้องการของอาชีพ จึงเป็นผู้ท่ีมีโอกาสที่จะได้รับเลือกให้เข้าสู่งานตาม เป้าหมายของตนสงู กว่าผู้ท่ขี าดการเตรียมตวั ดังน้ัน ผู้เรยี นบางคนจงึ ตอ้ งการความชว่ ยเหลอื เกยี่ วกับ การเขียนจดหมายสมัครงาน การเตรียมตัวสอบแข่งขันและการสัมภาษณ์ การสร้างนิสัยที่ดีใน การทางาน การฝึกทักษะท่ีจาเป็นสาหรับงาน การค้นหาข้อมูลเก่ียวกับสถานที่ฝึกงานและแหล่ง ของงาน เปน็ ตน้ 3. การให้คาปรกึ ษาด้านส่วนตัวและสงั คม การให้คาปรึกษาด้านส่วนตัวและสังคมสาหรับผู้เรียนจึงเป็นสิ่งจาเป็น และควรจะ ครอบคลมุ ถงึ ความช่วยเหลอื ดงั ต่อไปนี้ 3.1 การรู้จักและเข้าใจตนเอง การรจู้ กั และเขา้ ใจตนเองมีความสาคัญเพราะช่วยในการ วางแผนชวี ิตของบุคคล เพ่อื การดารงชีวติ ทีจ่ ะพบความสขุ ความสาเรจ็ ตอ่ ไป ปัญหาของผู้เรยี นบางคน มสี าเหตุจากการไม่รู้จักตนเองตามความเป็นจริง ตัวอย่างเช่น ไม่รู้วา่ ตนเองมีความถนัดหรือมคี วาม สนใจอะไรบ้าง ขีดความสามารถทางสติปัญญา กาลังทุนทรัพย์ สุขภาพ และลักษณะนิสัยของตน เหมาะสมที่จะเรยี นอะไร หรือประกอบอาชพี อะไร จุดเด่น จุดดอ้ ยของตนคืออะไร และควรจะไดร้ ับ การพัฒนาอย่างไรบ้าง เป็นตน้ 3.2 การพัฒนาแผนการดาเนินชีวิต ผู้เรียนบางคนต้องการปรึกษาเกี่ยวกับแผนการ ดาเนนิ ชวี ติ ทเี่ หมาะสมและมปี ระโยชนต์ อ่ ตนเองและต่อสงั คม ผู้เรยี นซง่ึ อย่ใู นวัยรุ่นยุคนี้ บางคนตกอยู่ ในสภาพที่สับสนวุ่นวาย บางคนตกอยู่ในสภาพอ้างว้างว้าเหว่ หลายคนตกอยู่ในสภาพการมีชวี ิตที่ไร้ เปา้ หมาย ไร้ทศิ ทาง ไม่สามารถปรับตัวให้เขา้ กับบุคคลแวดล้อมและสงิ่ แวดลอ้ มได้ การให้คาปรึกษา เก่ยี วกับการพัฒนาแผนการดาเนินชีวิตท่ีผู้เรียนต้องการ ตัวอย่างเช่น การวางแผนหารายไดแ้ ละการ ใช้จ่าย วธิ ีการใช้เวลาว่างใหเ้ กิดประโยชน์ การวางแผนครอบครัว การเลอื กคบเพื่อน การปรับตัวเข้า กบั ผู้อนื่ การแบง่ เวลา เปน็ ต้น 3.3 การพัฒนาบุคลิกภาพและอุปนิสัย ผู้เรียนบางคนมีปญั หาเกี่ยวกับบุคลิกภาพและ อุปนิสัยของตน และต้องการปรึกษาเพื่อการปรับปรุงและพัฒนาตนเอง ตัวอย่างความช่วยเหลือท่ี ผู้เรียนต้องการ ได้แก่ การบารุงรักษาสุขภาพ การมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี วิธีสร้างความม่ันใจในตนเอง ทักษะและมารยาทในการสังคม การขจัดความวิตกกังวลที่ไม่เหมาะสม การปรับตัวเข้ากับเพ่ือน และครู การมีความสมั พนั ธ์ทด่ี กี ับสมาชกิ ในครอบครวั เปน็ ต้น
182 รูปแบบของการให้คาปรึกษา สาหรับรูปแบบของการให้คาปรึกษา โดยทั่วไปนักจิตวิทยานิยมแบ่งรูปแบบของการให้ คาปรึกษา ออกเป็น 2 รูปแบบ คอื (เจยี รนัย ทรงชยั กลุ , 2553, น. 267-272) 1. การให้คาปรกึ ษาเป็นรายบคุ คล 1.1 ความหมายของการให้คาปรึกษาเป็นรายบคุ คล การให้คาปรึกษาเป็นรายบุคคล (Individual Counseling) คอื กระบวนการที่ผูใ้ ห้ คาปรึกษาท่ีมีความรู้ ความสามารถ และมีประสบการณ์ในการให้คาปรึกษาได้อย่างเหมาะสม ให้คาปรึกษาแกผ่ ู้รบั คาปรกึ ษาเพยี งรายเดยี วในแต่ละครง้ั เพื่อชว่ ยให้ผู้รับคาปรึกษาเขา้ ใจตนเองและ สง่ิ แวดล้อมอยา่ งถูกตอ้ ง สามารถตัดสนิ ใจ แกไ้ ขปัญหา และพฒั นาตนดว้ ยตนเองได้อยา่ งเหมาะสม 1.2 จดุ มุ่งหมายของการให้คาปรกึ ษาเป็นรายบคุ คล จุดมุ่งหมายท่ัวไป ของการให้คาปรึกษาเป็นรายบุคคล คือ เพื่อช่วยให้ผู้รับ คาปรึกษารู้จักตนเองและเข้าใจตนเองอย่างถูกต้อง ยอมรับความจริงเก่ียวกับตนเอง สามารถ แก้ปัญหาและพฒั นาตนเองไดอ้ ยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ จดุ มุ่งหมายเฉพาะ ของการให้คาปรึกษาเป็นรายบคุ คล ขึ้นอยกู่ บั ปัญหา และความ ต้องการรับความช่วยเหลือของผู้รับคาปรึกษาแต่ละราย โดยท่ัวไป จุดมุ่งหมายเฉพาะของการให้ คาปรกึ ษาเป็นรายบุคคล มกั จะครอบคลุมการช่วยให้ผ้รู ับบรกิ ารมีความสามารถ หรือมีทกั ษะในการ แก้ไขปัญหาที่เผชิญอยู่ด้วยตนเองได้อย่างเหมาะสม ตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง และการช่วยให้ ผรู้ บั บริการเรียนรู้การเปล่ยี นแปลงพฤติกรรมไปในทางท่พี ึงประสงค์ 1.3 ข้อควรพิจารณาในการให้คาปรกึ ษาเป็นรายบุคคล การจะให้คาปรกึ ษาเป็นรายบุคคลแก่ผู้รบั คาปรึกษารายใดนั้น มีขอ้ ควรพิจารณาท่ี สาคัญพอสรุปได้ 4 ประการดังน้ี 1.3.1 ลักษณะปัญหา ลักษณะปัญหาของผู้รับคาปรึกษาซ่ึงควรจะได้รับความ ช่วยเหลือเป็นการเฉพาะรายบุคคล ได้แก่ ปัญหาซึ่งมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างจากผู้รับคาปรึกษา รายอื่นมาก และจาเป็นตอ้ งเก็บไวเ้ ปน็ ความลับส่วนตวั ระหว่างผู้ให้คาปรกึ ษากับผู้รบั คาปรึกษา หรือ ผู้ท่ีจาเปน็ ต้องเกี่ยวขอ้ งเท่านั้น อาทิ ปัญหาการปรับตัวทีย่ ุ่งยากซบั ซ้อน ปัญหาที่เก่ียวข้องกับความ ขัดแย้งของบุคคล หรอื ปัญหาเฉพาะซึ่งเกิดขึ้นกับผู้รับคาปรึกษาบางราย เชน่ ปัญหาผู้เรียนมีครรภ์ ระหว่างเรียน ปัญหาการปรบั ตัวของผู้เรียนท่ีสูญเสียพ่อหรือแม่โดยฉับพลัน ปัญหาเร่ืองความพกิ าร หรือปมด้อยทางสุขภาพบางอยา่ งของผู้เรยี น ปญั หาเร่ืองความรัก ปัญหาการเงิน เปน็ ต้น
183 1.3.2 ลักษณะของผู้รับคาปรึกษา ลักษณะของผู้รับคาปรึกษาที่น่าจะได้รับความ ช่วยเหลือเป็นรายบุคคลได้แก่ ผู้ท่ีไม่เหมาะท่ีจะเข้ารับการให้ปรึกษาเป็นกลุ่ม เช่น ผู้ที่มีความวิตก กังวลหรือประหม่าในการพดู ถึงปัญหาของตนตอ่ หน้าสมาชิกหลายคน ผ้ทู ่ีขอี้ ายมาก ผูท้ ี่กา้ วร้าวมาก ผูท้ ่ีขาดทักษะในเร่ืองมนุษสัมพันธ์ ผู้ท่ีมีความหวาดระแวงสูงและยากท่ีจะยอมรับหรือไว้วางใจผู้อื่น เปน็ ต้น 1.3.3 ระยะเวลาการให้คาปรึกษา ระยะเวลาของการให้คาปรึกษาเป็นรายบุคคล ข้ึนอยู่กับระดับความรุนแรงและความซับซ้อนของปัญหา ความจาเปน็ รบี ด่วนที่ต้องดาเนนิ การแกไ้ ข และความพรอ้ มของท้งั ตวั ผ้ใู ห้คาปรึกษาและผู้รบั คาปรกึ ษา ดังนั้นผู้รบั คาปรกึ ษาแต่ละรายจะใช้เวลา ในการใหค้ าปรึกษาแตกต่างกันไป แต่การยตุ ิการให้คาปรึกษาควรจะส้ินสุดลงในลักษณะทีค่ ล้ายคลึง กันสาหรับผู้รับคาปรึกษาทุกคน คือ ผู้รับคาปรึกษามีความเปลี่ยนแปลงท้ังทางด้านเจตคติ และ พฤตกิ รรมในทางท่ดี ีขึน้ 1.3.4 ผู้ให้คาปรึกษา การให้คาปรึกษาเป็นรายบุคคลนี้ ผู้ให้คาปรึกษาจะให้ความ สนใจและให้ความร่วมมอื ช่วยเหลอื แก่ผรู้ ับคาปรกึ ษาของเขาคร้งั ละราย ผู้ให้คาปรกึ ษาอยใู่ นฐานะเปน็ ผู้ท่ีต้องมีความรับผิดชอบโดยตรง ที่จะดาเนินการให้คาปรึกษาบรรลุผลตามที่ต้องการร่วมกับผู้รับ คาปรึกษาเฉพาะเป็นรายๆ ไป ดังนั้นผู้ให้คาปรึกษาจึงต้องเป็นผู้ท่ีผ่านการฝึกอบรม มีความรู้ ความสามารถ มปี ระสบการณ์ในวชิ าชีพ และร้จู กั นามาใชป้ ระโยชนไ์ ดอ้ ย่างเหมาะสม ภาพที่ 4.1 การใหค้ าปรึกษาเปน็ รายบคุ คล ทม่ี า: https://campus.campus-star.com/variety/49945.html
184 2. การใหค้ าปรึกษาเปน็ กลมุ่ 2.1 ความหมายของการใหค้ าปรกึ ษาเปน็ กลมุ่ การใหค้ าปรึกษาเป็นกลุ่ม (Group Counseling) คือ กระบวนการท่ีผ้ใู ห้คาปรกึ ษา ท่มี ีความรู้ ความสามารถ และมีประสบการณ์ในการให้คาปรกึ ษาได้อย่างเหมาะสม ให้คาปรกึ ษาแก่ ผูร้ ับคาปรึกษาต้งั แตส่ องคนข้ึนไป ท่ีตอ้ งการรบั ความช่วยเหลอื ในการแกไ้ ขปัญหา หรือพัฒนาตนเอง ในเรอ่ื งใดเรื่องหน่งึ ตรงกนั และในช่วงเวลาเดียวกัน 2.2 วัตถปุ ระสงค์ของการให้คาปรึกษาเป็นกลมุ่ วตั ถุประสงค์ทวั่ ไปของการให้บริการปรึกษาเป็นกลมุ่ จากข้อเสนอแนะของคอเรย์ (Corey, 1986, p. 8) ดงิ คเ์ มเยอร์และเมอร์โร (Dinkmeyer and Muro, 1971, p. 9-10) สรุปได้ดังนี้ 2.2.1 เพ่อื เรยี นรู้การไวว้ างใจตนเองและผู้อื่น 2.2.2 เพือ่ รู้จักตนเองและค้นหาเอกลักษณ์ของตน 2.2.3 เพื่อรับรู้ว่าผู้อ่ืนก็มคี วามต้องการและมีปญั หา และบางปญั หาคล้ายคลึงกับ ปัญหาของเรา 2.2.4 เพื่อเพ่ิมการยอมรับตนเอง การเคารพตนเอง ความม่ันใจในตนเอง ซึ่งจะ นาไปสู่การมที ศั นะใหม่ตอ่ ตนเอง 2.2.5 เพื่อเพมิ่ ประสทิ ธิภาพในการแสวงหาแนวทางในการแกไ้ ขปัญหาของตนเอง และมองเห็นวิธีการลดความขัดแย้งภายในตนเอง 2.2.6 เพอ่ื เพ่ิมความสามารถในการนาตนเอง การพึง่ พาตนเอง ความรบั ผิดชอบตอ่ ตนเองและสังคม 2.2.7 เพ่ือรบั รู้การตัดสินใจเลือกของตนเอง และสามารถตัดสินใจเลือกได้อย่างมี ประสทิ ธภิ าพ 2.2.8 เพื่อวางแผนการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่ต้องการเปล่ียนแปลง และ รับผิดชอบท่จี ะปฏิบัตติ ามแผนทไ่ี ดว้ างไว้ 2.2.9 เพอื่ เรียนรู้ทักษะทางสังคมอย่างมปี ระสิทธิภาพ 2.2.10 เพื่อเพิ่มความไวในการรับรูความรูส้ ึกและความต้องการของผู้อื่น 2.2.11 เพื่อเรียนรู้วิธีการโต้แย้งหรือเผชิญหน้ากับผู้อื่นอย่างตรงไปตรงมา ด้วย ท่าทีเอ้ืออาทร หว่ งใย และจริงใจ 2.2.12 เพื่อเรยี นรู้การดาเนนิ ชีวิตท่เี ป็นไปตามความมงุ่ หวงั ของตนเอง 2.2.13 เพ่อื ชว่ ยให้คา่ นยิ มของตนชัดเจนขึน้ และเรียนรทู้ จ่ี ะปรบั พฤตกิ รรมของตน ไปตามครรลองของค่านยิ มน้ัน
185 2.3 ข้อควรพจิ ารณาในการให้บรกิ ารปรึกษาเป็นกลมุ่ การจะให้คาปรกึ ษาเป็นกลมุ่ แก่ผู้รับบรกิ ารรายใดนั้น มขี อ้ ควรพิจารณาทสี่ าคญั พอ สรุปได้ 5 ประการ ดงั นี้ 2.3.1 ลักษณะปัญหาของสมาชิกในกลุม่ การให้คาปรึกษาเปน็ กลุ่มอาจจะล้มเหลว ได้ เพราะมีสาเหตุมาจากการจัดผู้รบั คาปรึกษาซ่ึงมีปัญหา หรือความต้องการแตกต่างกันไว้ในกลุ่ม เดียวกัน ดังน้ัน ผู้ให้คาปรึกษาควรจะเลือกสมาชิกของกลุ่มที่มีปัญหา หรือมีความต้องการพัฒนา ตนเองที่คล้ายคลึงกันและควรจะเป็นปัญหาหรือการพัฒนาท่มี ีความหมายต่อตัวผู้รับคาปรึกษาโดย สว่ นรวมด้วย ท้ังน้เี พราะสมาชกิ ของกลมุ่ ทุกคนจะไดม้ สี ่วนรว่ มในการแก้ไขปัญหา และหาแนวทางใน การพัฒนาตนในสิ่งที่มีความหมายสาหรับสมาชิกของกลุ่มทุกคนไปตามหิตทางเดียวกัน ตัวอย่าง ลกั ษณะปัญหาของผู้เรียนซ่ึงควรให้บรกิ ารปรกึ ษาเปน็ กลุ่ม เชน่ ปัญหาเก่ียวกบั การคบเพื่อน ปัญหา เกี่ยวกับการเลือกวิชาเรียน หรือเลือกกิจกรรมเสริมหลักสูตร ปัญหาพฤติกรรมที่เป็นอุปสรรคต่อ การเรียน การสรา้ งความสัมพันธ์ที่ดีกับสมาชิกในครอบครัว เป็นต้น สาหรับปญั หาทคี่ วรหลกี เลย่ี งใน การให้คาปรึกษาเป็นกลุ่ม ได้แก่ ปัญหาที่ผู้รับคาปรึกษาไม่ต้องการให้เปิดเผยหรือปัญหาที่ซับซ้อน เช่น การมีครรภ์ระหว่างเรียน ปัญหาเกี่ยวกับความพิการหรือปมด้อยทางสุขภาพ และปัญหา ครอบครัว เปน็ ต้น 2.3.2 ลักษณะสมาชิกของกลุ่ม การให้คาปรึกษาเป็นกลุ่มแก่ผู้เรียนที่จะเกิดผลดี ควรประกอบดว้ ยสมาชิกของกลมุ่ ทม่ี ลี กั ษณะคล้ายคลึงกัน เชน่ วยั ไลเ่ ล่ียกนั ระดับการศึกษาใกล้เคยี ง กัน ระดับความสามารถและความสนใจไมแ่ ตกต่างกนั มากนัก เป็นต้น เพราะจะลดอปุ สรรคเกี่ยวกับ การสื่อสารและการสรา้ งความเข้าใจซ่ึงกนั และกนั ไปได้มาก อกี ท้ังควรจะหลีกเลี่ยงบุคคลทีม่ ลี ักษณะ บางประการซึ่งเป็นอุปสรรค เช่น ผู้ท่ีมีปัญหาทางอารมณ์อย่างรุนแรง ผู้ท่ีข้ีอายมาก ผู้ท่ีไม่กล้ า แสดงออก ผู้ท่มี ลี ักษณะก้าวรา้ วหรือขม่ ขู่ผอู้ นื่ เสมอๆ ผู้ท่มี ีความแปรปรวนของอารมณ์และพฤติกรรม มาก ญาติพ่นี อ้ งหรอื เพ่ือนสนิท และผู้ทไี่ มย่ อมรบั ความจรงิ เปน็ ต้น ท้งั น้ีเพราะสมาชกิ ของกลุม่ ทุกคน มีหนา้ ท่เี ปน็ ทงั้ ผ้ใู ห้และผรู้ บั คาปรึกษาซึ่งกันและกนั 2.3.3 ขนาดของกลุ่ม ขนาดของกลุ่มซงึ่ เหมาะสาหรบั การให้คาปรึกษาเป็นกล่มุ แก่ ผู้เรียน ควรเปน็ กลุ่มขนาดกลางซงึ่ ประกอบด้วยสมาชิกจานวนประมาณ 6-8 คน เพราะเป็นขนาดท่ีไม่ เล็กหรือใหญ่จนเกินไป สมาชิกทุกคนจะมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันได้โดยง่าย สามารถสื่อความและ เข้าใจกันได้ดี รวมทั้งผู้ให้คาปรึกษาสามารถสังเกต และรู้จักผู้รับคาปรึกษาได้อย่างใกล้ชิดและ ทั่วถงึ ดว้ ย 2.3.4 ระยะเวลาการปรึกษา การให้คาปรึกษาเป็นกลุ่มแก่ผู้เรียนควรจะจัดให้มี สัปดาห์ละ 1 ครั้ง ครั้งละประมาณ 1 ชั่วโมง สาหรับจานวนครั้งในการให้คาปรึกษาเป็นกลุ่มนั้น ขน้ึ อยู่กับลักษณะของปัญหา และความเห็นชอบของสมาชิกในกลุ่ม โดยทว่ั ไปการให้คาปรึกษาเป็น
186 กลุ่ม ควรจะจัดประมาณ 10-15 คร้ัง และผู้ให้คาปรึกษาอาจจะกาหนดการสิ้นสุดการให้คาปรึกษา ตามความเหมาะสม 2.3.5 ผู้ให้คาปรึกษา ในการให้คาปรึกษาเป็นกลุ่ม ผู้ให้คาปรึกษาอยู่ในฐานะเป็น สมาชิกผ้หู นึ่งของกลุ่มและทาหน้าที่หลายอย่ง เช่น กระตุ้นให้สมาชิกกลุ่มไดแ้ สดงความคิดเห็น และ ความรู้สึก ชว่ ยให้ขอ้ มลู หรอื ใหค้ วามกระจ่างแกส่ มาชิก ชว่ ยให้กาลังใจ และผลักดนั ใหส้ มาชิกรว่ มมือ ชว่ ยเหลือกันเพ่ือหาทางแก้ไขปัญหา ช่วยทาหน้าท่ีเป็นผู้รบั ฟังและผู้สรุปสาระสาคญั และทาหน้าท่ี เป็นผูป้ ระสานงานให้การดาเนินงานของกลุ่มไปสู่เป้าหมาย เปน็ ต้น เนื่องจากผู้ให้คาปรกึ ษาตอ้ งทา หนา้ ท่ีหลายอย่าง และต้องให้บริการกบั สมาชกิ หลายคนพร้อมกันในเวลาเดียวกนั จึงต้องอาศัยความ วอ่ งไวในการสังเกตสหี นา้ อากัปกริ ิยา คาพดู และความเคลอื่ นไหวตา่ งๆ ของสมาชกิ ในกลุ่มทกุ คนโดย ทว่ั ถงึ รวมทั้งมีการโต้ตอบและช่วยเหลอื กันกับสมาชกิ ของกลมุ่ ดังน้ันผู้ให้คาปรึกษาจึงควรผ่านการ ฝึกอบรมเป็นอย่างดี มีความชานาญเพียงพอในวิชาชีพ และสามารถท่ีจะเข้าใจและใช้ทฤษฎี และ เทคนิคการใหบ้ รกิ ารปรึกษาต่างๆ ไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ ภาพท่ี 4.2 การให้คาปรึกษาเปน็ กลมุ่ ทมี่ า: https://www.spu.ac.th/department/center-for-wellness/service/
187 ประเภทของการใหค้ าปรึกษา การจาแนกประเภทของการให้คาปรึกษานั้นขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์หรือหลักเกณฑ์ การจาแนกประเภทการให้คาปรึกษา โดยทั่วไปนิยมแบ่งประเภทของการให้คาปรึกษาตาม นกั จิตวทิ ยาการให้คาปรึกษาได้ 4 ประเภท ดงั น้ี 1. การให้คาปรึกษาในภาวะวิกฤติ (Crisis Counseling) วิกฤตการณ์เป็นภาวะของการท่ีผู้รบั คาปรกึ ษาพบกับความคับข้องใจอย่างรนุ แรงในชวี ติ และว้าวุ่นใจอย่างหนักในความพยายามที่จะแก้ปัญหานั้น เช่น การสูญเสียคนที่ตนรัก ไม่สามารถ จัดการกับสภาพการณ์ต่างๆ ในชีวิต บริการให้คาปรึกษาในกรณีน้ีจะช่วยให้ผู้รับคาปรึกษายอมรับ สถานการณ์ สามารถควบคุมพฤตกิ รรมทไ่ี ม่เหมาะสม รวมท้ังสามารถลดความวิตกกังวลอนั ท่วมท้น ขณะนนั้ เพื่อพัฒนาความรู้สึกใหด้ ีข้นึ 2. การให้คาปรกึ ษาเพื่อช่วยเหลอื เออ้ื อานวย (Facilitative Counseling) การให้คาปรกึ ษาประเภทน้ีเปน็ การช่วยเหลอื ให้ผู้รับคาปรึกษากระจ่างในปัญหาของตน เข้าใจตน และยอมรับตน สามารถวางแผนจัดการปัญหาตน และรับผิดชอบจดั การปัญหาของตนได้ ซ่ึงยังไม่มุ่งปรับเปล่ียนพฤติกรรม เพียงเพื่อดาเนินการเบื้องต้นให้ผู้รับคาปรึกษาเข้าสู่กระบวนการ สารวจทาความเข้าใจและลงมือแก้ไขปัญหา การบริการให้คาปรึกษาเชิงจิตวิทยาประเภทน้ีมัก เก่ียวข้องกับปัญหาการเลือกวิชาเรียน การวางแผนชีวิตและอาชีพ การปรับตัวเข้ากับสมาชิก ครอบครวั หรือการปรบั ตวั ในการทางาน เปน็ ต้น 3. การให้คาปรึกษาเพ่ือปอ้ งกันปัญหา (Preventive Counseling) การให้คาปรึกษาประเภทน้ี เป็นการให้คาปรึกษาที่มีโครงการเฉพาะเจาะจง เช่น ฝึกทักษะในการสร้างสัมพันธภาพระหว่างบุคคล จัดโครงการให้ผู้รับคาปรึกษารู้จักตนเองเพ่ือผลดี ต่อไปในอนาคต เป็นการเออ้ื อานวยต่อการเลอื กสาขาการเรยี นและอาชีพท่ีเหมาะสม เปน็ ต้น 4. การให้คาปรึกษาเพอ่ื สง่ เสริมพัฒนาการ (Developmental Counseling) การให้คาปรึกษาเพ่ือสง่ เสริมพฒั นาการเปน็ การช่วยเหลือให้ผรู้ บั คาปรกึ ษามีพฒั นาการ ท่ดี ีในแต่ละขั้นของพัฒนาการในชีวติ ช่วยให้ผู้รบั คาปรึกษามีความรสู้ ึกนึกคดิ ต่อตนเองอยา่ งถูกต้อง เรียนรทู้ กั ษะในการตัดสินใจ สารวจค่านยิ มและความสนใจของตน เขา้ ใจและยอมรบั การเปลย่ี นแปลง ของสภาพการณต์ ่างๆ รวมท้ังการใช้เวลว่างให้เป็นประโยชน์ เช่น การแสวงหาแบบชีวติ (Life-style) ในการทางาน การเรียนที่มีประสิทธิภาพ การประเมินค่านิยม หรือการพัฒนาอัตมโนทัศน์ (Self-concept) เพ่ือมงุ่ ให้ผู้รบั คาปรึกษาสามารถตดั สินใจและปรบั เปล่ียนพฤติกรรมไปสูพ่ ฤติกรรมที่ พึงประสงค์ เป็นต้น
188 หลักการของบรกิ ารใหค้ าปรึกษา หลกั สาคญั ทเี่ ก่ยี วกับบรกิ ารให้คาปรึกษา มีดงั น้ี 1. บริการให้คาปรึกษามไิ ดม้ ุ่งใหผ้ ูร้ บั คาปรึกษาแก้ปญั หาอันหนง่ึ ทีก่ าลงั เผชญิ อยู่ไปได้อยา่ ง เรยี บร้อย แต่จะมงุ่ ใหเ้ กดิ การเปล่ียนแแปลงบคุ ลกิ ลกั ษณะหรือการเปลยี่ นแปลงพฤตกิ รรมชนิดถาวร เพ่ือจะไดร้ ู้จักแก้ปัญหาท่ีอาจจะเกิดข้ึนอกี ในเวลาต่อไป 2. ผ้รู ับคาปรึกษาจะเปลยี่ นพฤตกิ รรม เมือ่ ไดค้ ดิ พิจารณาปญั หาของตนด้วยตัวเองมากกว่า ที่ผู้ให้คาปรึกษาจะหาวิธีแก้ปัญหาให้ หน้าท่ีของผู้ให้คาปรึกษาก็คือ ช่วยทาให้ผู้รับคาปรึกษาหันมา พิจารณาปัญหาทเี่ กดิ ขนึ้ กับตนเอง 3. การให้คาปรึกษามุ่งที่จะทาให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเจตคติมากกว่าการเปล่ียนแปลง พฤติกรรมหรือการกระทา เพราะการกระทาจะเปลี่ยนแปลงมากอย่างแทจ้ ริงไม่ได้ ตราบใดท่ีเจตคติ ยงั ไม่เปล่ยี นแปลง เช่น ถ้าจะทาให้นกั เรียนทไ่ี ม่ชอบมเี พ่อื นกลายเป็นคนชอบคบเพ่ือน เราจะแกโ้ ดย วิธีจัดให้อยู่ในหมู่เพื่อนมากๆ ไม่เป็นผลสาเรจ็ เพราะถ้านักเรียนไม่เปลี่ยนความรู้สึกว่าการคบเพื่อน เป็นสิ่งที่ดี ตนจะได้รับประโยชน์จากเพอื่ น นักเรยี นน้นั ก็อาจจะน่ังอย่ใู นหมคู่ นกล่มุ ใหญ่ โดยไม่พูดไม่ เกย่ี วข้องกับใครเลยก็ได้ 4. ปัญหาที่ผู้เรียนมักนามาขอรับคาปรกึ ษามักไม่ใชเ่ ร่อื งท่ลี กึ ซ้ึงสลบั ชับซ้อนมากนกั แตจ่ ะ เป็นเรื่องท่ีเก่ียวข้องกับอารมณ์ผูกพนั จนทาให้ไม่สามารถพิจารณาปัญหานั้นด้วยเหตุผล หน้าท่ีของ ผใู้ หค้ าปรกึ ษา คือ พยายามชว่ ยให้ผรู้ ับคาปรึกษาปัดอารมณ์ออกไปเสยี จากการพิจารณาปัญหา นอกจากนี้ ไทเลอร์ (Tyler, 1969, p. 13-15) ได้พูดถงึ กระบวนการใหค้ าปรึกษาวา่ มีหลัก สาคญั อยู่ 3 ประการ คือ 1. ผู้ให้คาปรึกษาจะต้องเป็นผู้ท่ีมีความซ่ือสัตย์ต่อผู้รับคาปรึกษา และมีความสนใจผู้รับ คาปรกึ ษาด้วยความจริงใจและยอมรับผูร้ ับคาปรึกษาตามที่เขาเปน็ อย่ขู ณะน้นั 2. ผ้รู ับคาปรกึ ษาจะต้องสามารถไวว้ างใจตวั ผู้ให้คาปรกึ ษาได้ ผู้รบั คาปรกึ ษาจะมีความรสู้ กึ ไว้วางใจตัวผู้ให้คาปรึกษา ซึ่งลักษณะเช่นน้ีเรียกว่า การรักษาความลับ (Confidentiality) ของผู้ให้ คาปรกึ ษา ซงึ่ เป็นส่ิงสาคญั เพราะจะทาใหผ้ ู้รบั คาปรกึ ษากล้าพดู กลา้ แสดงออก 3. ในกระบวนการใหค้ าปรึกษาน้ัน จะตอ้ งมขี อ้ จากัดบางประการ คอื 3.1 ขอ้ จากดั เกี่ยวกบั เวลา (Time) นัน่ คอื ในการใหค้ าปรึกษาทุกครง้ั จะตอ้ งมกี ารตกลง เกย่ี วกบั เวลาท่ใี ช้ในการใหค้ าปรึกษาแต่ละครัง้ ว่ามีเวลามากนอ้ ยเท่าไร เมอ่ื หมดเวลาทีต่ กลงแล้วผใู้ ห้ คาปรึษาจะต้องยุติการให้คาปรึกษาทันที จะต้องไม่ปล่อยให้ผู้รับคาปรึกษาอยู่ต่อไปอีก ถ้าการให้ คาปรึกษายังไม่ประสบความสาเร็จก็ควรจะนัดหมายเป็นคร้ังต่อไป จะต้องไม่ปล่อยให้การให้ คาปรกึ ษาเกิดการยืดเยอ้ื ได้
189 3.2 การให้คาปรกึ ษาจะตอ้ งเกดิ จากการนดั หมาย (Appointment) มิใชเ่ ปน็ การพบกนั โดยบงั เอญิ 3.3 การให้ความช่วยเหลือจะต้องอยู่ในขอบเขตจากัดของการสนทนากันเท่าน้ัน ผู้ให้ คาปรึกษาจะตอ้ งไม่ไปปฏิบัตหิ นา้ ทหี่ รอื ขอร้องหน่วยงานอื่นๆ เพ่อื ให้ความชว่ ยเหลือผู้รบั คาปรกึ ษา 3.4 สัมพันธภาพที่เกิดข้ึนระหว่างผู้ให้คาปรึกษา กับผู้รับคาปรึกษา จะต้องอยู่ใน ขอบเขตจากัดในฐานะผู้ให้ความช่วยเหลือกับผู้มาขอรับความช่วยเหลือเท่านั้น จะต้องไม่มี ความสัมพันธ์ฉันท์ชู้สาวหรอื ความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดอื่นๆ เช่น พ่อ-ลูก พี่-น้อง หรือ เพื่อน-เพื่อน เป็นต้น คณุ สมบตั ิและจรรยาบรรณของผใู้ หค้ าปรกึ ษา ความสาเร็จของการให้คาปรึกษาอย่างมีประสิทธิภาพนั้น มิใช่ขึ้นอยู่กับการท่ีผู้ให้ คาปรึกษารู้จักใช้ทฤษฎี เทคนิค และมีทักษะอย่างเหมาะสมเท่าน้ัน แต่ยังข้ึนอยู่กับคุณสมบัติและ จรรยาบรรณของผู้ให้คาปรึกษาอีกส่วนหนึ่งด้วย ซ่ึงคุณสมบัติและจรรยาบรรณของผู้ให้คาปรึกษา สามารถสรปุ ไดด้ ังน้ี 1. คณุ สมบตั ิของผู้ให้คาปรกึ ษา ผู้ให้คาปรกึ ษาที่มีประสิทธภิ าพควรประกอบด้วยคณุ สมบัติทีส่ าคญั 2 ประการดงั นี้ 1.1 คุณสมบัติด้านบุคลิกภาพ ผู้ให้คาปรึกษาควรมีคุณสมบัติด้านบุคลิกภาพใน ประเดน็ สาคัญ ดังตอ่ ไปน้ี 1.1.1 มสี ุขภาพกาย สุขภาพจติ ดี และมีวฒุ ิภาวะสมวยั 1.1.2 มีเมตตา และศรัทธาในการชว่ ยเหลือผ้อู ่นื ให้พ้นทกุ ข์ 1.1.3 มคี วามเปน็ ตัวของตัวเอง และเช่อื มัน่ ในตนเอง 1.1.4 ตระหนกั ในคา่ นิยมและความเชื่อของตน 1.1.5 สามารถสรา้ งเสรมิ และรักษาสัมพนั ธภาพทดี่ ีกับผูอ้ ื่นได้ 1.1.6 เข้าใจตนเองและยอมรับในขอ้ จากัดของตน 1.1.7 มีความคาดหวงั หรือเป้าหมายที่ใกล้เคยี งกบั ความน่าจะเปน็ ไปไดจ้ ริง 1.1.8 เข้าใจผู้อนื่ และให้เกยี รตบิ ุคคลอื่นว่ามคี ณุ ค่า มีศักดิ์ศรี 1.1.9 มีความเปน็ มิตร จริงใจ และใจกวา้ ง 1.1.10 มชี วี ติ ชีวา คล่องแคลว่ และทนั สมยั 1.1.11 มคี วามสภุ าพ สขุ มุ และรอบคอบ
190 1.1.12 มคี วามรับผดิ ชอบ 1.1.13 มีความนา่ เชอื่ ถือ และเป็นที่นา่ ไวว้ างใจ 1.1.14 มคี วามเฉลยี วฉลาด และมคี วามคิดสรา้ งสรรค์ 1.1.15 มีหลกั การและเหตผุ ล 1.1.16 มีความเพยี ร และอดทน 1.1.17 รกั ษาความลบั ไดด้ ี 1.1.18 มคี ุณธรรม และจรยิ ธรรม 1.1.19 มจี รรยาบรรณในการประกอบวชิ าชีพ 1.2 คุณสมบัติด้านความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์ในวิชาชีพ ผู้ให้ คาปรึกษาควรมีคุณสมบัติด้านความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์ในวิชาชีพในประเด็นสาคัญ ดังต่อไปนี้ 1.2.1 ผ่านการศกึ ษา และอบรมทางวิชาชพี ในการให้คาปรกึ ษาอย่างเพยี งพอ 1.2.2 มคี วามรู้ ความสามารถ และมที ักษะในการนาทฤษฎี และเทคนคิ ต่างๆ ไปใช้ ประโยชนใ์ นการให้คาปรึกษา 1.2.3 มีความใฝ่รู้อยู่เสมอ และมีทักษะในการค้นคว้าหาข้อมูล ข่าวสาร ความรู้ ต่างๆ เพ่ือนาไปใช้ประโยชน์ในการให้คาปรกึ ษา 1.2.4 มีความรอบรู้ในศาสตร์ต่างๆ ซึ่งสัมพันธ์กับการปฏิบัติงานในวิชาชีพการให้ คาปรึกษา และสามารถนาไปประยกุ ตใ์ ชไ้ ดอ้ ยา่ งเหมาะสม 1.2.5 มีศิลปะในการนาความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์ในวชิ าชีพไปใช้ให้ เกิดประโยชน์แกผ่ รู้ บั คาปรกึ ษา บคุ ลากร และหนว่ ยงานทเ่ี กย่ี วขอ้ ง 1.2.6 สามารถปฏิบัติงานในบทบาทหน้าที่ซ่ึงต้องรับผิดชอบให้สาเร็จได้อย่างมี ประสิทธิภาพ 1.2.7 มีความสนใจ และสามารถพัฒนาตนเองอย่างต่อเน่ือง เพ่ือการเป็นผู้ให้ คาปรกึ ษาทีม่ ปี ระสิทธภิ าพ และทันสมัยอยเู่ สมอ 2. จรรยาบรรณของผใู้ ห้คาปรึกษา ผู้ให้คาปรึกษาทางานเก่ียวกับการให้ความช่วยเหลือแก่บุคคลที่ยังไม่พร้อมท่ีจะ ชว่ ยเหลือตนเองโดยลาพงั ได้ และหลายภารกิจท่ตี ้องดาเนินการยังเกี่ยวขอ้ งโดยตรงกับความไว้วางใจ และความเชอื่ ถอื ของผู้อ่นื ดังนนั้ องค์กรทางวิชาชีพจึงไดก้ าหนดแนวทางประพฤติปฏิบตั ิท่ีเหมาะสม สาหรบั ผู้ให้คาปรกึ ษาใชใ้ นการปฏบิ ตั หิ น้าท่ี ซึ่งเรียกว่า “จรรยาบรรณของผู้ให้คาปรกึ ษา”
191 จรรยาบรรณของผู้ให้คาปรึกษาซ่งึ กาหนดขน้ึ โดยสมาคมแนะแนวและบคุ ลากรอเมริกัน (American Personnel and Guidance Association หรือ APGA ) มีสาระสาคัญสามารถสรุปได้ 9 ประการ ดังนี้ 1) ผู้ให้คาปรึกษาต้องเคารพในศักด์ิศรี และสวัสดิภาพของผู้รับคาปรกึ ษา ขณะท่ีกาลัง ให้คาปรึกษา 2) ผู้ให้คาปรึกษาควรจะเก็บรักษาความสัมพันธ์ระหว่างการให้คาปรึกษา และ รายละเอยี ดต่างๆ ทีไ่ ด้จากการใหค้ าปรึกษาไว้เปน็ ความลบั 3) ผู้ให้คาปรึกษาจะต้องถือว่าระเบียนต่างๆ ซึ่งเป็นข้อมูลท่ีเก่ียวข้องสาหรับการให้ คาปรึกษา รวมทัง้ ผลการทดสอบ บนั ทึก นดั หมาย หรือเอกสารอื่นๆ และแถบบนั ทึกเสยี ง จะต้องถือ ว่าเป็นเอกสารและสาระทางวิชาชีพ ซ่ึงจะนาไปใช้ได้เฉพาะในการให้ คาปรึกษา การวิจัย หรือ การเรยี นการสอนเท่านน้ั และไมบ่ ังควรท่ีจะเปิดเผยนามของผรู้ บั คาปรกึ ษา 4) ผู้รับคาปรึกษาจะต้องรับทราบเง่ือนไขต่างๆ ที่เก่ียวข้องกับบริการให้คาปรึกษา ลว่ งหนา้ กอ่ นเริม่ บริการให้คาปรกึ ษา 5) ผู้ให้คาปรึกษามีสิทธิท่ีจะปรึกษากับผู้เช่ียวชาญเฉพาะทางในเรื่องที่เก่ียวกับผู้รับ คาปรึกษาของเขาได้ แต่ต้องพยายามหลกี เลี่ยงขอ้ ขดั แยง้ ทางผลประโยชนท์ ี่อาจจะเกิดขึ้นได้ ด้วยการ พยายามเลือกผ้เู ชย่ี วชาญเฉพาะทางที่ไมม่ ีอะไรเก่ียวข้องกบั ผูร้ บั คาปรึกษาผ้นู ี้มากอ่ น 6) ผู้ให้คาปรึกษาต้องยุตกิ ารให้คาปรึกษาทันที เม่อื รู้วา่ ตนไม่มคี วามสามารถเพยี งพอ หรอื มขี อ้ จากัดส่วนตัวบางอยา่ ง ซ่ึงไมเ่ หมาะสมทีจ่ ะให้ความช่วยเหลอื แก่ผรู้ ับคาปรึกษาผนู้ ้นั ต่อไปได้ 7) ผ้ใู ห้คาปรึกษาตอ้ งรายงานให้ผทู้ ่ีรับผิดชอบโดยตรงไดท้ ราบทันที เมอื่ มีสภาพการณ์ บางอย่างเกิดขน้ึ ซ่งึ อาจจะกอ่ ใหเ้ กิดความเสยี หายต่อบคุ ลากรอ่นื ในหน่วยงาน ท้งั นี้โดยต้องไม่เปิดเผย นามของผู้รับคาปรกึ ษาใหผ้ ้อู ื่นล่วงรู้ 8) ในกรณีท่ีสภาพการณ์ของผู้รับคาปรึกษาจาเป็นต้องได้รับการดูแลจากผเู้ ชี่ยวชาญ เฉพาะทางหรอื เม่ือมีเหตกุ ารณ์ซ่งึ จะเปน็ อันตรายอยา่ งฉบั พลนั ตอ่ ผู้รับคาปรกึ ษาหรือบุคคลอืน่ เกดิ ขึ้น ผูใ้ ห้คาปรึกษาจะตอ้ งรายงานข้อเท็จจริงใหก้ บั ผูร้ ับผดิ ชอบโดยตรงได้ทราบทนั ที หรอื ดาเนินการอยา่ ง หนึ่งอย่างใดทีเ่ หมาะสมกับสถานการณ์โดยเร่งด่วน 9) ผใู้ ห้คาปรึกษาจะตอ้ งแจ้งใหผ้ ู้เก่ียวข้องกับการให้คาปรึกษาทเี่ ขารับผิดชอบอยู่น้ันได้ ทราบทั่วกัน หากว่ามีความจาเป็นท่ีเขาต้องเปล่ียนแปลงหรือไม่ดาเนินการตามข้อกาหนดดังกล่าว ขา้ งตน้ ท้ังนี้ผใู้ ห้คาปรกึ ษาต้องมนั่ ใจว่าการเปลี่ยนแปลงน้ันมเี หตุผลอนั สมควร นอกจากน้ี สมาคมแนะแนวแห่งประเทศไทย ได้กาหนดจรรยาบรรณของนักแนะแนว ผู้ทาหน้าทีใ่ ห้คาปรกึ ษา ซึง่ มสี าระสาคัญสรุปได้ 5 ประการ ดังน้ี
192 1) ตอ้ งรกั ษาความลับ และรักษาประโยชนข์ องผู้รับคาปรึกษา 2) ตอ้ งมีศรัทธาตอ่ งานชว่ ยเหลือเพอ่ื นมนษุ ย์ รบั ผดิ ชอบตอ่ หนา้ ท่ีอยา่ งเคร่งครดั และมี วิจารณญาณอันดี 3) ต้องให้บริการในขอบเขตความสามารถของตน ไม่หลอกลวงผู้รับคาปรกึ ษาเพ่ือหา ประโยชน์สว่ นตัว 4) ต้องประพฤตติ นอยูใ่ นขอบข่ายศีลธรรมจรรยาอันดีงาม เป็นผู้ทรงคณุ ธรรม มีความ เมตตาการณุ ยแ์ ก่ผรู้ ับคาปรึกษา 5) ต้องยึดมั่นในหลักวิชาชีพ เคารพสิทธิของผู้รับคาปรึกษา และไม่มีอคติในการ ให้บริการ สรุปได้ว่า ผู้ให้คาปรึกษาที่มีคุณสมบัติเหมาะสมและปฏิบัติหน้าที่อย่างสอดคล้องกับ จรรยาบรรณของผูใ้ ห้คาปรึกษา มผี ลสาคัญต่อการให้คาปรกึ ษาอย่างมีประสิทธภิ าพ วธิ กี ารให้คาปรกึ ษา นักแนะแนวแต่ละกลุ่มมแี นวคดิ เกี่ยวกบั วิธีการให้คาปรกึ ษาต่างทัศนะและยดึ ถือเป็นแนว ปฏบิ ัติต่างกนั แต่ละกล่มุ ต่างก็มีเหตผุ ลวา่ ทัศนะของตนดีและถูกต้อง ซ่ึงแท้จรงิ แล้วเปน็ การยากทีจ่ ะ สรุปได้ว่าแนวความคิดของกลุ่มใดดีที่สุด เพราะแต่ละวิธีการต่างก็เหมาะสมกับลักษณะของ ผู้รับคาปรึกษาและลักษณะของปัญหาแต่ละชนิดซึ่งแตกต่างกัน เพ่ือเป็นแนวทางสาหรับการให้ คาป รึกษาอย่างเห มาะสมจึงนาแนวคิดวิธีการให้คาป รึกษาของแ ต่ล ะกลุ่มมาพิจ ารณ าเลือกใช้ โดยสามารถจัดเป็นกลุ่มแนวทางใหญ่ๆ ได้ 3 แนวทาง ดังต่อไปนี้ (พนม ล้ิมอารีย,์ 2548: 181-182; ศรีวรรณ จันทรวงศ์, 2548, น. 262-265; นิรันดร์ จุลทรัพย์, 2554, น. 237-241 และสมาคม แนะแนวแหง่ ประเทศไทย, 2557, น. 33-34 ) 1. การให้คาปรึกษาแบบนาทาง การให้คาปรึกษาแบบนาทาง (Directive Counseling) มีชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า “การให้ คาปรึกษาแบบยึดผู้ให้คาปรึกษาเป็นศูนย์กลาง” (Counselor-Centered Counseling) เป็นวิธีที่ ผู้ให้คาปรกึ ษามีบทบาทมากกว่าผู้รับคาปรึกษา โดยผู้ให้คาปรึกษาจะเปน็ ผรู้ วบรวมข้อมูล วิเคราะห์ ความหมาย เพื่อทาความเข้าใจพฤติกรรมหรือภูมิหลังของผู้รับคาปรึกษามากข้ึน แล้วให้คาแนะนา หรือชี้แนวทางในการแก้ปัญหาให้กับผู้รับคาปรึกษา ทฤษฎีการให้คาปรึกษาท่ีนามาใช้ในการให้ คาปรึกษาตามวิธีนี้ได้แก่ ทฤษฎีการให้คาปรึกษาแบบวิเคราะห์คุณลักษณะและองค์ประกอบ (Trait-Factor Counseling)
193 การให้คาปรึกษาโดยวิธกี ารน้ี เกิดจากแนวความคิดของ วิลเลียมสันน์ (Williamson) แห่งมหาวิทยาลัยมินเนโซตา สหรัฐอเมริกา เสนอว่า การให้คาปรกึ ษาน้ีมีวธิ ีการเชน่ เดียวกับวิธีการ ของนักจิตวิทยา ของแพทย์รักษาคนไข้ ซึ่งจาเป็นจะต้องทราบสาเหตุหรืออาการของโรคเสียก่อน จึงจะทาการรักษา วธิ กี ารรักษาจะมีการตดิ ตามผลด้วย ซง่ึ กระบวนการใหค้ าปรึกษามี 5 ข้ัน คือ 1) การสร้างความสนิทสนมคุ้นเคยกับผู้รบั คาปรึกษา โดยผู้ให้คาปรึกษาจะต้องสร้าง ความสนิทสนม (Establish Rapport) กับผู้รับคาปรึกษาให้เกิดขึ้นเสียก่อนที่จะให้คาปรึกษา ทั้งน้ี เพ่อื ให้เกิดความค้มุ เคยเปน็ กันเองและเกิดความสบายใจ ทาใหผ้ ู้รบั คาปรกึ ษาเกดิ ความม่นั ใจทีจ่ ะเล่า หรือระบายความคับข้องใจหรือเล่าปัญหาของตน วิธีการสร้างความสนิทสนม อาจทาได้โดยผู้ให้ คาปรึกษาแสดงอาการหรอื ใช้คาพูด เช่น การให้คาพดู ทกั ทาย กล่าวต้อนรบั การสนทนาเร่ืองราวท่ีคิด ว่าผ้รู บั คาปรึกษาสนใจหรอื ไม่ลาบากใจที่จะคยุ ดว้ ย 2) การหาทางให้ผู้รับคาปรึกษาเกิดความเข้าใจตนเอง จากการวิเคราะห์หรือวินิจฉัย ปญั หาและทานายปัญหา การท่ีจะทาให้ผูร้ ับคาปรึกษาเกดิ ความเขา้ ใจตนเอง ยอมรับ และพิจารณา ปัญหาของตนอย่างถ่องแท้ ผู้ให้คาปรึกษาอาจจะเสนอข้อเท็จจริง เสนอข้อมูลต่างๆ ท่ีเก่ียวกับ ปญั หานั้น และใชเ้ ทคนิควธิ กี ารเพอื่ ให้ผู้รับคาปรกึ ษาเกดิ ความเข้าใจปญั หา 3) การวางแผนการปฏิบัติการแก้ไขปัญหาร่วมกันระหว่างผู้ให้คาปรึกษาและผู้รับ คาปรึกษา เม่ือผู้รับคาปรึกษาเข้าใจปญั หาแล้ว ข้ันต่อไปก็คือ วางแผนการแก้ปัญหา ผู้รับคาปรกึ ษา จะมีบทบาทสาคัญในขั้นน้ี หากผู้รับคาปรึกษาไม่สามารถวางแผนการแก้ปัญหาของตนได้ ผ้ใู ห้คาปรึกษาจะต้องเปน็ ฝา่ ยริเร่ิมวางแผนให้ หรือช่วยวางแผน เพ่ือเป็นการกระตนุ้ ให้ผู้รบั คาปรึกษา เกดิ ความมนั่ ใจและรจู้ ักเลอื กตัดสินใจแกป้ ัญหาของตน 4) การกระตุ้นและให้กาลังใจแก่ผู้รับคาปรึกษาให้ปฏิบัติตามแผนและติดตามผล เมอื่ ได้วางแผนแก้ปัญหาแลว้ ผู้รบั คาปรึกษาจะปฏิบัติตามแผนท่วี างไว้ ผูใ้ ห้คาปรกึ ษาจะกระต้นุ และ ช่วยให้ผู้รับคาปรึกษาใช้ความรู้ ความสามารถอย่างเตม็ ท่ี และคอยให้ความชว่ ยเหลือ ให้ขอ้ เสนอแนะ อยูเ่ สมอ 5) การส่งตัวผู้รับคาปรึกษาไปขอความช่วยเหลือจากแหล่งอ่ืนๆเมื่อปัญหาเกิน ความสามารถของผู้ให้คาปรึกษาทีจ่ ะช่วยแก้ไขได้ ในการสง่ ผู้รับคาปรึกษาไปขอความช่วยเหลือจาก บุคลากรอื่น ไม่ได้หมายความว่าเปน็ การสิน้ สดุ ของการให้คาปรึกษา ผู้ให้คาปรกึ ษายงั จะต้องตดิ ตาม ผลการให้คาปรกึ ษาอยตู่ ่อไป ขอ้ สังเกตในการใหค้ าปรกึ ษาแบบนาทาง 1) ผู้ให้คาปรึกษาเป็นศนู ย์กลาง ทงั้ นีเ้ พราะผู้ให้คาปรกึ ษาเป็นผู้ท่ไี ด้รบั การฝึกฝนอบรม มาเป็นอย่างดี เป็นผู้มีความรู้ลึกซึ้ง และกว้างขวาง เป็นผู้ที่มีทักษะและมีประสบการณ์ในการให้ คาปรกึ ษา
194 2) ผู้ให้คาปรึกษาจะตอ้ งมคี วามสามารถในการวินิจฉัยปัญหา กลา่ วคือ “ถา้ ปราศจาก การวินิจฉัยปัญหาเสียแล้ว การให้คาปรึกษาก็เป็นแต่เพียงการฟังและการให้คาแนะนาธรรมดา เทา่ นั้น” 3) ผู้ให้คาปรึกษาจะรวบรวมข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับผู้รับคาปรึกษา ศึกษาให้รู้จักและ เข้าใจผู้รับคาปรกึ ษาเปน็ อยา่ งดี วิธกี ารศึกษาใหร้ จู้ ักและเข้าใจผู้รบั คาปรึกษา จะใช้เทคนคิ วธิ ีการและ ใช้เคร่อื งมือต่างๆ เชน่ ศกึ ษาจากระเบียนสะสม 4) กระบวนการให้คาปรกึ ษาแบบนาทางประกอบด้วย 6 ขนั้ ตอน ดงั น้ี 4.1) การวิเคราะห์ (Analysis) เปน็ ขน้ั การรวบรวมขอ้ มูลเก่ยี วกบั ผ้รู บั คาปรึกษาเพ่อื จะชว่ ยใหเ้ ขา้ ใจผูร้ ับคาปรึกษาทัง้ ปจั จบุ นั และอนาคตไดด้ ขี ้ึน เช่น ข้อมลู เกี่ยวกับครอบครัว การศึกษา สุขภาพ เจตคติ เชาวน์ปญั ญา ความถนัด ความสามารถ เป็นต้น โดยใช้การสัมภาษณ์ แบบสอบถาม ระเบยี นสะสม การทดสอบทางจติ วิทยา เปน็ ตน้ 4.2) สังเคราะห์ (Synthesis) เป็นการจัดระบบข้อมูลและสรปุ ผลข้อมูลที่รวบรวม มาได้ เพื่อให้ทราบถึงผลที่เด่นชดั ของสภาพปัญหาต่างๆ 4.3) การวินิจฉัย (Diagnosis) เป็นการค้นหาสาเหตุต่างๆ ของปัญหา โดยแปล ความหมายของข้อมูลจากท่ีได้จัดไว้เป็นหมวดหมู่แล้ว ว่าอะไรคือปัญหา ปัญหาใดเกิดจากสาเหตุ ใดบา้ ง 4.4) การทานาย หรือ การพยากรณ์ หรือการคาดคะเน (Prognosis) เป็นการ คาดคะเนวา่ ปญั หานั้น ถา้ แก้ไขอย่างน้ีจะได้ผลอย่งไร อาการท่ีเกิดข้ึนจะคลี่คลาย หรือหมดสิ้นไปใน อนาคตหรือไมอ่ ย่างไร 4.5) การให้คาปรึกษา (Counseling) ช้ันนี้ถือว่าเป็นขั้นที่สาคัญท่ีสุด โดยผู้ให้ คาปรึกษาจะชว่ ยใหผ้ ู้รับคาปรกึ ษาเขา้ ใจตนอง สามารถทจี่ ะปรับตวั ไดแ้ ละตดั สนิ ใจได้อย่างถูกตอ้ ง 4.6) การติดตามผล (Follow Up) หลังจากการให้คาปรึกษาไปแล้วต้องติดตามผล ดวู ่า ผูข้ อรับคาปรึกษาได้มกี ารปรับปรงุ เปล่ียนแปลงตัวเขาเองหรือไมเ่ พียงใด การปรับตัวเปน็ อย่างไร ประสบผลสาเร็จมากน้อยเพียงใด มีอะไรเป็นผลท่ีติดตามมาจากปัญหาเดิม หรือบางรายจะต้อง หาทางช่วยเหลอื ใหม่หรือจาเปน็ ตอ้ งสง่ ต่อ (Refer) ไปยังผ้เู ช่ยี วชาญโดยเฉพาะ การให้คาปรึกษาแบบนาทาง เป็นท่ีนิยมใช้มากในสถานศึกษา เนื่องจากใช้ได้ผลดีกับ การช่วยเหลือผู้เรียนทม่ี ีปัญหาดา้ นการเรียน และการปรบั ตัว ซึ่งผู้เรียนส่วนใหญ่เมือ่ ประสบปัญหา มักจะไม่สามารถแกไ้ ขปญั หาด้วยตนเองได้ ต้องอาศยั ครซู ึง่ ทาหนา้ ทีเ่ ปน็ ผู้ใหค้ าปรึกษา เป็นผรู้ วบรวม ข้อมูล วินิจฉัยปัญหา เสนอแนะแนวทางแก้ไข รวมท้ังการวางแผนแก้ไขปัญหา กระตุ้นให้ ผู้เรียน ปฏิบัติตามแผนและติดตามผล อย่างไรก็ดีการให้คาปรึกษาแบบนาทางก็นับว่ามีประโยชน์และ
195 สามารถช่วยเหลอื แก้ไขปัญหาได้อยา่ งดวี ธิ ีหน่ึง แม้ว่าจะถูกวิจารณ์วา่ เปน็ การให้คาปรกึ ษาท่ชี ้นี ากินไป เพราะผู้ให้คาปรึกษมักจะเปน็ ผู้วนิ ิจฉัยปญั หาในขัน้ สดุ ท้ายและเลอื กวิธแี กไ้ ขปัญหาเองก็ตาม ดังนั้น ผูใ้ หค้ าปรกึ ษาแบบนาทางจะตอ้ งเปน็ ผูท้ ่ไี ด้รับการศึกษาดา้ นการใหค้ าปรึกษามา อยา่ งดี มีทักษะอยูใ่ นขั้นสงู และพร้อมท่ีจะใหค้ าปรึษาไดอ้ ย่างมปี ระสทิ ธิภาพ มีความสนใจใฝ่หาความ รู้อยเู่ สมอ มองปญั หาไดอ้ ย่างทะลปุ รุโปร่ง 2. การให้คาปรึกษาแบบไม่นาทาง การใหค้ าปรึกษาแบบไมน่ าทาง (Nondirective Counseling) หรอื วธิ กี ารใหค้ าปรกึ ษา แบบยดึ ผู้รบั คาปรกึ ษาเป็นศูนย์กลาง (Client-Centered Counseling) หรือวิธีการให้คาปรึกษาแบบ โรเจอร์ (Rogerian Counseling) การให้คาปรึกษาแบบนี้ ผู้ให้คาปรึกษาพยายามกระตุ้นให้ผู้รับ คาปรึกษาได้เปิดเผยความรู้สึกท่ีแท้จริงหรือซ่อนเร้นของตนออกมา แล้วพยายามสะท้อนกลับ ส่ิงเหล่านั้นให้ผู้รับคาปรึกษาได้ตระหนัก เพื่อช่วยให้ผู้รับคาปรึกษาได้เกิดความเข้าใจตนเองอย่าง ถ่องแท้ และสามารถตดั สนิ ใจแก้ปัญหาเหล่าน้ันได้ด้วยตนเอง ทฤษฎีการใหค้ าปรึกษาทย่ี ดึ ถอื วธิ ีการ ให้คาปรึกษาแบบนี้ ได้แก่ ทฤษฎีการให้คาปรกึ ษาแบบจิตวิเคราะห์ (Psychoanalytic Approach to Counseling) ทฤษฎีการให้คาปรกึ ษาแบบเกสตัลท์ (Gestalt Counseling) ทฤษฎีการให้คาปรกึ ษา แบบยึดผรู้ ับคาปรกึ ษาเป็นศนู ยก์ ลาง เป็นตน้ ที่มาของการให้คาปรึกษาแบบไม่นาทาง เกิดจากความคิดของคาร์ล โรเจอร์ (Carl Rogers) ศาสตราจารย์ทางจิตวิทยา มหาวทิ ยาลยั วสิ คอนชิน โรเจอร์ไม่เห็นด้วยกับการให้คาปรึกษา แบบนาทาง ทถ่ี ือเอาตัวผู้ใหค้ าปรึกษาเป็นกระบวนการ ซึ่งผู้รับคาปรึกษาได้รับการช่วยเหลอื ให้รู้จัก และเข้าใจตนเอง การตัดสินใจใดๆ เป็นหน้าที่ของผู้รับคาปรึกษาท่ีจะวินิจฉัย จะตัดสินด้วยตนเอง โรเจอร์ มคี วามเช่อื ต่อการให้คาปรกึ ษา ดังน้ี 1) ในการให้คาปรึกษา ผู้ให้คาปรึกษาไม่ควรวินิจฉัยปัญหา เพราะการวินิจฉัยปัญหา หรอื การทานาย ซ่ึงเป็นการคาดกรณ์ล่วงหนา้ น้นั เป็นเร่ืองที่ไม่แน่นอนวา่ จะถูกตอ้ งเสมอไป หากการ วินจิ ฉยั หรือทานายปัญหาผดิ ผลเสยี จะเกดิ ข้นึ ผู้รับคาปรึกษา 2) ควรถือผู้รับคาปรึกษาเป็นศนู ย์กลาง โรเจอร์มีความเช่ือว่าคนทุกคนมแี นวโนม้ ท่ีจะ เจริญขน้ึ มีความสามารถทีจ่ ะแกป้ ัญหาของตนองได้ หากไม่ตดิ ขดั ท่คี วามรู้สกึ บางอย่าง อันทาให้เกิด ความเข้าใจสภาพที่แท้จริงมืดมัวไป เช่น เรื่องที่ง่ายๆ แต่ถ้าตกอยู่ในสภาพอารมณ์เครียด อารมณ์ ขุ่นมัว ก็อาจทาให้เป็นเรื่องยาก แก้ปัญหาได้อย่างลาบาก แต่ถ้าหากคนเราได้มีทางระบายอารมณ์ ความคับข้องใจ หรือความทุกข์ออกไปบ้าง ให้แก่ผู้ท่ีเราเช่ือถือหรือไว้ใจได้ฟัง ประกอบกับผู้ฟังมี เทคนิควธิ ีการท่ีจะช่วยให้เข้าใจปัญหา จะชว่ ยให้ผู้รับคาปรึกษาเข้าใจปัญหาและสามารถแก้ปัญหา ของตนได้
196 โรเจอร์ เชื่อว่า ผู้รับคาปรึกษาแต่ละคนย่อมมีศักดิ์ศรี และมีบูรณภาพของตนเอง ยอ่ มจะต้องมีสมรรถภาพในการตดั สนิ ในแกป้ ญั หาของตน ผู้ให้คาปรกึ ษาไมค่ วรไปยงุ่ จัดการกบั วิถชี ีวติ ของผู้รับคาปรึกษา แต่จะคอยให้ความช่วยเหลือให้ผู้รับคาปรึกษาเข้าใจตนเอง ยอมรับความเป็น ตวั ของตวั เอง การใหค้ าปรึกษาแบบไมน่ าทางมกี ระบวนการทีส่ าคัญ 3 ข้ัน คือ 1) การใหผ้ รู้ บั คาปรึกษาระบายความในใจ ระบายอารมณ์และผอ่ นคลายความตงึ เครยี ด เพื่อทาให้จิตใจอยใู่ นสภาพปกติ ผู้รบั คาปรึกษาจะได้รบั การสนับสนุนให้พูดหรือเลา่ ออกมาอย่างเสรี โดยผู้ให้คาปรึกษาจะไม่ออกความเห็นหรือเสนอในการแก้ปัญหาใดๆ และจะไม่แสดงอาการตกใจ หรือเศรา้ เสียใจไปตามผู้รบั คาปรกึ ษา แต่จะเป็นผู้ฟงั อย่างตง้ั ใจ พร้อมกับใช้เทคนิควธิ กี ารของการให้ คาปรกึ ษา 2) การใช้เทคนคิ และวิธีการของการให้คาปรึกษาแบบไม่นาทาง ชว่ ยให้ผู้รับคาปรกึ ษา เขา้ ใจกับปัญหา เกดิ ความเข้าใจตนเอง และมองเหน็ ทางแก้ปญั หาอยา่ งแทจ้ ริง 3) การช่วยให้ผู้รับคาปรีกษาต้ังจุดมุ่งหมาย และได้ปฏิบัติทุกข้ันตอน ผู้รับคาปรึกษา เปน็ ผู้มบี ทบาทตอ่ การตดั สนิ ใจ และต่อผลท่ีเกิดขน้ึ กล่าวโดยสรุป การให้คาปรึกษาแบบไม่นาทางใชไ้ ด้ผลดีกับปญั หาท่ีเก่ยี วพันกบั อารมณ์ เน่ืองจากเป็นแนวทางการให้คาปรึกษาท่ีให้โอกาสแก่ผู้รับคาปรึกษาได้เล่าระบายเร่ืองราวต่างๆ ได้ อย่างอิสระ จนผู้รับคาปรึกษาเกิดความเข้าใจในปัญหาของตนอย่างแท้จรงิ อันจะนามาซ่งึ แนวทางใน การแก้ไขปัญหาในที่สุด โดยผู้ให้คาปรึกษาแบบไม่นาทางควรเป็นผู้ท่ีมีความรู้ ความข้าใจในชีวิต พูดคุยอย่างเป็นกนั เองกับผู้รับคาปรึกษาเสมือนหนึ่งเป็นเพ่ือนสนทิ ทค่ี อยกระตุน้ และจงู ใจให้เขาพูด ระบายความรู้สึกออกมาและช่วยสะท้อนความคิดเห็นในแง่มุมต่างๆ เพื่อให้เกิดการรับรู้ เข้าใจใน ตัวเอง และพรอ้ มทีจ่ ะแกไ้ ขปัญหาด้วยตวั เองได้ในท่สี ดุ 3. การให้คาปรกึ ษาแบบผสมหรือแบบสายกลาง การให้คาปรึกษาแบบผสมหรือแบบสายกลาง (Eclectic Counseling) วิธีการให้ คาปรกึ ษาแบบน้ี ผู้ให้คาปรึกษาจะไม่ยดึ ถือวิธกี ารใดวิธีการหนึ่งเป็นการเฉพาะเจาะจงลงไปในการให้ คาปรึกษา แต่จะขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของผู้ให้คาปรึกษาว่าควรจะใช้วิธีการใดจึงจะเหมาะสมกับ ผู้รับคาปรึกษา เหมาะกับปัญหา และเหมาะกับสถานการณ์ เน่ืองจากมนุษย์มคี วามแตกต่างระหวา่ ง บคุ คล ดงั นน้ั วิธกี ารให้คาปรึกษาก็ควรจะไดเ้ ลือกใช้ให้เหมาะสมกบั ผู้รบั คาปรึกษาเปน็ รายๆ ไป และ ในการให้คาปรึกษาแต่ละครัง้ ก็ควรจะได้ใช้วิธกี ารหลายๆ วธิ ีผสมผสานกนั เพ่ือให้การให้คาปรึกษา สัมฤทธิผล
197 ผรู้ ิเร่ิมการใหค้ าปรึกษาวธิ กี ารน้คี ือ เฟรดเดอรคิ ซี ธอร์น (Frederick C. Thorne) เป็น วิธีการให้คาปรึกษาท่ีนาวิธีการให้คาปรึกษาแบบนาทางและไม่นาทางมาผสมกัน เพื่อให้เกิดความ เหมาะสมกับผรู้ ับคาปรึกษา และลกั ษณะของปัญหา ดังน้นั ผูใ้ หค้ าปรกึ ษาจะตอ้ งมีความรูค้ วามเขา้ ใจ ในทฤษฎกี ารใหค้ าปรึกษา ตลอดจนปรัชญาของการให้คาปรึกษาในทฤษฎีต่างๆ จนกระทั่งสามารถใช้ ความรเู้ ลือกสรรเอาเทคนิควิธีการทีด่ แี ละเหมาะสมมาใชก้ ับสถานการณไ์ ด้เป็นอยา่ งดี ลกั ษณะสาคญั ของการใหค้ าปรึกษาแบบผสมหรอื แบบสายกลาง มีดงั น้ี 1) ผู้ให้คาปรึกษาจะพิจารณาถึงความเหมาะสมของการนาวิธีการต่างๆ มาใช้โดย คานึงถึงผ้รู ับคาปรึกษา และสภาพของปญั หาเป็นสาคญั 2) ผู้ใหค้ าปรึกษาจะใช้ความยดื หยนุ่ ในการใหค้ าปรึกษาและสามารถท่ีจะเปล่ยี นแปลง ได้เสมอ 3) ผู้ให้คาปรกึ ษาและผรู้ ับคาปรึกษามเี สรีภาพในการเลือกและการแสดงออกเพื่อขจัด ความรู้สึกที่ไมด่ ใี หห้ มดไป 4) ผู้ใหค้ าปรึกษาและผู้รบั คาปรึกษาจะต้องมคี วามรูส้ ึกสบายใจและมีความร้สู ึกดตี อ่ สิ่ง ที่เขากาลงั ทา มคี วามมน่ั ใจร่วมกันและมีความซ่อื สัตย์ในสัมพนั ธภาพทด่ี ตี ่อกัน 5) ผู้รับคาปรึกษาจะต้องปรับระดับความคิดและอารมณ์ของตนเอง ซ่ึงถือว่าเป็น สิ่งสาคัญท่ีจะทาให้เกิดความพยายามในการแก้ปัญหา และปรับปรุงพฤติกรรมของตนเอง สาหรับ ผู้ให้คาปรึกษาก็จะต้องปรับตนเองให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมไปพร้อมๆ กันระหว่างการให้ คาปรกึ ษาด้วย 6) จุดมุ่งหมายสาคัญของการให้คาปรึกษาคือ รว่ มกันหาวธิ ีการเพ่ือให้ผ้รู ับคาปรึกษา สามารถตัดสินใจและแกป้ ญั หาได้ดว้ ยตนเอง สาหรบั ขั้นตอนการให้คาปรึกษาแบบผสมหรอื แบบสายกลาง ประกอบด้วย 5 ขนั้ ตอน ตามท่ี เฟรดเดอริค ซี ธอรน์ (Frederick C. Thome,1949, p. 380) กลา่ วไว้ดงั น้ี 1) เปิดโอกาสให้ผรู้ ับคาปรึกษาระบายความรู้สกึ และพยายามทาความเข้าใจความรู้สึก ของตนเอง 2) ท้ังผู้ให้คาปรึกษาและผู้รับคาปรึกษาร่วมปรึกษากันถึงเจตคติท่ีไม่ถูกต้องของ ผรู้ บั คาปรึกษา 3) ท้ังผู้ให้คาปรึกษา และผู้รับคาปรึกษาต่างเสนอวิธีการแก้ปัญหาของตนและผู้รับ คาปรกึ ษาจะเป็นผพู้ ิจารณาตดั สนิ ใจเลือกเองวา่ จะใช้วธิ ีใด 4) ผใู้ ห้คาปรึกษากาหนดงาน (Taks) บางอย่างให้ผูข้ อรบั คาปรึกษานาไปปฏิบัติเพื่อให้ เข้าใจตนเอง หรอื พฒั นาตนเอง
198 5) ผู้ให้คาปรึกษาและผู้รับคาปรึกษาอภิปรายร่วมกันถึงวิธีท่ีจะเผชิญกับปัญหาอย่าง แทจ้ ริง กล่าวโดยสรุป การให้คาปรกึ ษาแบบผสมหรือแบบสายกลาง เป็นการนาเอาวิธกี ารให้ คาปรกึ ษาทั้งแบบนาทางและไม่นาทางมาผสมผสานกัน โดยเลือกกลวิธีที่เหน็ ว่าดีและเหมาะสมกับ ปัญหาของผู้รับคาปรึกษา มาใช้ในการแก้ไขปัญหา ซึ่งถือว่าผู้รับคาปรึกษามีความสามารถท่ีจะ แก้ปญั หาของตนได้ ถา้ ไดร้ ับการให้คาปรึกษาทถี่ กู ต้อง ทฤษฎีการใหค้ าปรึกษา ทฤษฎกี ารใหค้ าปรึกษา (Theories of Counseling) มีความสาคญั อย่างย่ิงต่อความสาเร็จ ของการให้คาปรึกษา เพราะทฤษฎีการให้คาปรึกษาจะช่วยให้ผู้ให้คาปรึกษาเข้าใจระบบและ กระบวนการใหค้ าปรกึ ษาอย่างแทจ้ ริง และยังเป็นกรอบหรือหลักสาหรับผู้ให้คาปรึกษาได้ยึดถือเป็น แนวทางในการปฏบิ ัตขิ ณะใหค้ าปรกึ ษาอีกดว้ ย ปัจจุบันมีทฤษฎีการให้คาปรึกษาเป็นจานวนมาก สาหรับทฤษฎีที่สาคัญ ใช้กันอย่าง แพรห่ ลาย และยดึ ถอื เป็นแนวทางในการให้คาปรกึ ษา สามารถจาแนกเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ได้ 2 กล่มุ คือ 1. ทฤษฎีทเี่ น้นดา้ นความรสู้ ึกและอารมณ์ (Affective Counseling Approaches) ไดแ้ ก่ 1.1 ทฤษฎผี รู้ ับคาปรึกษาเปน็ ศนู ยก์ ลาง (Person Centered Counseling) 1.2 ทฤษฎจี ิตวเิ คราะห์ (Psychoanalytic Counseling) 1.3 ทฤษฎีเกสตอลท์ (Gestalt Counseling) 2. ทฤษฎที ่เี นน้ ดา้ นความคิดและเหตุผล (Cognitive Counseling Approaches) ได้แก่ 2.1 ทฤษฎีการพิจารณาอารมณ์ เหตผุ ล และพฤติกรรม (Rational Emotion Behavior Therapy) 2.2 ทฤษฎกี ารวเิ คราะห์การตดิ ตอ่ สัมพนั ธ์ (Transactional Counseling) 2.3 ทฤษฎีพฤติกรรมนยิ ม (Behavioral Counseling) ซ่ึงแต่ละทฤษฎีมีรายละเอียด ดังต่อไปน้ี (อาภา จันทรสกุล, 2545, น. 15-93; คมเพชร ฉตั รศภุ กุล, 2547, น. 15-137 และศภุ ลักษณ์ สัตยเ์ พรศิ พลาย, 2550, น. 245-310) 1. ทฤษฎีที่เนน้ ดา้ นความรสู้ กึ และอารมณ์ 1.1 ทฤษฎีผ้รู ับคาปรกึ ษาเป็นศูนยก์ ลาง 1.1.1 ผ้ใู หก้ าเนิดทฤษฎี บุคคลผู้ให้กาเนิดทฤษฎนี ้ีคอื คารล์ อาร์ โรเจอร์ (Carl R. Roger) โรเจอร์ทางานในฐานะนักจิตวิทยาคลินิก งานที่ทาส่วนใหญ่เก่ียวกับปัญหาของเด็ก
199 ค.ศ.1940-1950 ดารงตาแหน่งศาสตราจารย์ทางด้านจิตวิทยาคลนิ ิก ณ มหาวิทยาลัย แห่งรฐั โอไอโอ เขาพัฒนาทฤษฎีและวิธีการให้คาปรึกษาของตนเองข้ึน โดยให้ความสาคัญหรือศูนย์กลางอยู่ท่ี ผู้รบั คาปรึกษา เน้นวธิ ีการสร้างสัมพันธภาพทดี่ ีระหวา่ งผูใ้ ห้และผู้รบั คาปรึกษา ค.ศ.1945-1957 เป็น ชว่ งเวลาท่ีโรเจอร์สร้างผลงานออกมาอย่างมีประสิทธิภาพ ได้พัฒนาโครงสร้างอยา่ งมีระบบระเบยี บ และเรม่ิ ทาการศึกษาวิจัยผลของการให้คาปรึกษาแบบผ้มู ารบั คาปรกึ ษาเปน็ ศนู ยก์ ลาง 1.1.2 ความเชื่อเก่ยี วกับธรรมชาติของมนุษย์ ทฤษฎีน้ีเชื่อว่า มนษุ ย์มีธรรมชาติที่ดี มีแรงจูงใจไปทางด้านบวก เป็นผ้มู ีเหตุผล (Rational) เป็นผูไ้ ดร้ บั การขัดเกลา (Socialized) และเป็น ผู้สามารถตดั สนิ เลอื กทางชวี ิตของตนเองได้ ถา้ มีอสิ ระเพยี งพอ และในสภาพการณ์ทเี่ อื้ออานวยมนุษย์ จะพัฒนาไปได้เต็มศกั ยภาพ (Full Potential) ฉะน้ันมนษุ ย์จึงเป็นผ้นู าตนเอง (Self-Directing) และ ภายใต้สภาพการณ์ที่มีเง่ือนไขอันเหมาะสม มนุษย์จะพัฒนาตนเองไปในทิศทางท่ีหมาะสมกับ ความสามารถของแต่ละบคุ คลไปสกู่ ารร้จู กั ตนเองอย่างแทจ้ รงิ (Self-Actualizations) นอกจากนี้ โรเจอร์ยังเช่ือว่าบุคลิกภาพของมนุษย์เกิดขึ้นจากความคิด ความรู้สึกของบุคคลต่อตนเองท่ีเราเรียกว่า อัตมโนทัศน์ (Self Concept) ซ่ึงอัตมโนทัศน์นี้จะ ประกอบไปด้วย ตัวตนในสภาพที่เป็นจริง (Real Self) ตัวตนที่เราคิดว่าเราเป็น (Perceived Self) และตัวตนในอุดมคติ (Idel Self) ด้วยเหตุนี้จึงเชือ่ ว่าปัญหาท่ีสรา้ งความทุกข์ของบุคคลเกิดความไม่ สอดคล้องกันระหวา่ งส่ิงที่บคุ คลต้องการกับสงิ่ ทบ่ี ุคคลเป็นอยู่ 1.1.3 เป้าหมายของการให้คาปรึกษา คือ การช่วยให้ผู้รับคาปรึกษารู้จักและ ยอมรบั ตนเองตามความเป็นจริง เข้าใจตนเอง สามารถตัดสนิ ใจเร่อื งต่างๆ เลอื กเป้าหมายในชวี ิตและ รบั ผิดชอบตอ่ ตนเองได้ ผู้ตัง้ เปา้ หมายในการให้คาปรึกษาวีธนี ีค้ อื ผรู้ บั คาปรึกษา เพราะโรเจอรเ์ ช่ือว่า ทุกคนมีพลังมงุ่ ไปสู่การรูจ้ ักตนเองอย่างแท้จริง ในสภาพการณ์ท่ีเหมาะสมบคุ คลสามารถตดั สินใจว่า เขาตอ้ งการอะไร การให้คาปรกึ ษาคือการช่วยใหผ้ รู้ บั คาปรกึ ษาสามารถตัดสินใจเลือกและรับผดิ ชอบ ชวี ิตของตนเองได้ จุดม่งุ หมายจึงอยู่ท่ีการช่วยให้ผรู้ ับคาปรึกษาค้นพบคาตอบของคาถามของตนเอง ดว้ ยตนเอง โดยการสร้างบรรยากาศของการยอมรับ อบอนุ่ ปลอดภัย ทาให้ผรู้ ับคาปรกึ ษากล้าท่ีจะ เปิดเผยตนเอง ยอมรับตนเอง และตัดสินใจเลือกแนวทางในการดาเนินชีวิตต่อไปได้ ก็คือผู้รับ คาปรึกษามพี ฤตกิ รรมมุ่งไปสูก่ ารรู้จกั ตนเองอยา่ งแทจ้ ริง สว่ นเป้าหมายเฉพาะในการขอรบั คาปรึกษา น้นั ผูร้ ับคาปรกึ ษาต้องวางเป้าหมายเอง กระบวนการให้คาปรึกษาจะสิ้นสุดเมื่อผู้ให้คาปรึกษาประเมินแล้วพบว่า พฤติกรรมของผรู้ ับคาปรึกษาเปล่ยี นไปตามแบบแผน ผู้รบั คาปรกึ ษาสามารถนาแบบแผนการเรียนรู้ ดังกล่าวไปใช้แก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะเห็นได้จากผลของพฤติกรรมท่ีผู้รับคาปรึกษา แสดงในสภาพแวดลอ้ มทเ่ี ป็นจรงิ ของเขาภายหลังการใหค้ าปรกึ ษา
200 1.2 ทฤษฎีจิตวเิ คราะห์ 1.2.1 ผู้ให้กาเนิดทฤษฎี บุคคลผู้ให้กาเนิดทฤษฎีนี้คือ ซิกมันด์ ฟรอยด์ เป็นชาว ออสเตรียเช้ือสายยิว ฟรอยด์ได้รับปริญญาสาขาแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเวียนนาและทางานท่ี โรงพยาบาลกลางของกรุงเวียนนา โดยมุ่งความสนใจไปทางด้านประสาทกายวิภาคและประสาท พยาธิวิทยา ค.ศ.1885 ฟรอยด์ ได้ทางานกับผู้มีชื่อเสียงด้านการรักษาโรคประสาทท่ีปารีสจึงสนใจ เร่ืองการสะกดจิตและรักษาโรคฮีสทีเรีย โดยฟรอยด์ เชื่อว่าสาเหตุเบื้องต้นของโรคฮีสทีเรีย คือ ความขัดแย้งทางเพศ เขาจงึ เรม่ิ ศึกษาจนพฒั นาเปน็ ทฤษฎจี ิตวิเคราะห์ 1.2.2 ความเช่อื เกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์ ทฤษฎนี ้ีเช่ือว่ามนุษยเ์ กิดมาพร้อมกับ แรงขับทางสัญชาตญาณ (Instinctual Drives) แรงขบั ดงั กลา่ วเปน็ พลงั งานทีเ่ ปลี่ยนแปลงเคลอ่ื นที่ได้ มนุมย์มีสัญชาตญาณพืน้ ฐานท่ีสาคัญคือ สัญชาตญาณแห่งชีวิต (Eros or Life Force) แสดงออกมา ในรูปแบบของสัญชาตญาณทางเพศ (Sexual Instinct) และสัญชาตญาณในการป้องกันตนเองเป็น สัญชาตญาณที่ทาให้มนุษย์แสวงหาความพึงพอใจ ส่วนสัญชาตญาณแห่งความตาย (Thanatos or Death Wish) แสดงออกมาในรปู ของสัญชาตญาณการทาลายหรอื ก้าวร้าว (Destructive Instinct or Aggresive Instinct) สญั ชาตญาณพ้ืนฐานของมนุษย์แสดงออกมาในรูปของพลังจติ เหมือนพลังงาน ทว่ั ไปทไี่ ม่สามารถทาใหส้ ูญหายไปหรือสรา้ งขึ้นใหม่ได้ แต่สามารถเคลอ่ื นที่เปล่ยี นรปู ได้ตามระยะเวลา ของพัฒนาการจากข้ันหนึ่งไปสู่อีกขั้นหนึ่ง เมื่อพลังลิบิโด (Libido) รวมอยู่บริเวณใดของร่างกาย สว่ นน้ันจะเกิดความตึงเครยี ด วิธลี ดคือเรา้ หรือทาให้พลงั ลบิ ิโดสว่ นน้ันถ่ายเทออกไปอย่างเหมาะสม ลิบิโดสามารถเคลื่อนไปยังวัตถุ บุคคลนอกตัวเราไดด้ ้วย คือสัญชาตญาณเกี่ยวกับบุคคลและส่ิงของ (Object Instinct) และเม่ือบุคคลเกดิ ความคบั ขอ้ งใจ กังวลใจ หรือขัดแยัง ระหว่าง ซูเปอร์อโี ก้ และ อดิ ทาให้เสียสมดุลทางจิตใจ ส่วนของอีโก้จะทาหน้าท่ีลดความวิตกกังวลโดยใช้กลวิธานป้องกันตัว (Defense Mechanism) 1.2.3 เป้าหมายของการให้คาปรึกษา คือ การแก้ไขและสร้างโครงสร้างของ บุคลิกภาพใหม่ให้กับผรู้ ับคาปรึกษา โดยการวิเคราะห์เรื่องราวท่ีบุคคลกดทับไว้ในระดับจิตไร้สานึก ให้เกดิ การรบั รใู้ นระดบั จติ สานึก โดยเน้นที่ประสบการณ์ในวยั เดก็ รอ้ื ฟน้ื ประสบการณ์ในอดีตข้ึนมา วิเคราะหแ์ ละตีความ เพ่ือให้ผรู้ บั คาปรึกษารบั รู้ถงึ ต้นตอของพฤตกิ รรมอปกติของตัวเอง การหยงั่ เห็น (Insight) ด้วยสติปัญญาในระดับจิตสานึก ทาให้ผู้รับคาปรึกษาเกิดความเข้าใจในบุคลิกภาพของ ตนเอง ส่งผลให้เกิดการแก้ไขและเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ผู้ให้คาปรึกษาทาหน้าท่ีช่วยให้ผู้รับ คาปรึกษาถา่ ยทอดความวิตกกังวลออกมาได้อย่างอสิ ระด้วยการสร้างสัมพันธภาพที่ดี โดยวิธกี ารฟัง และแปลความหมาย ให้ความสนใจต่ออาการต่อต้าน ใช้วจิ ารณญาณว่าเม่ือใดควรแปลความหมาย เพอื่ ให้ผู้รบั คาปรึกษาเกิดความเขา้ ใจเรื่องราวในระดับจติ ไร้สานึก ซ่ึงจะเป็นข้อมูลที่นาไปสู่การแปล ความหมาย ก่อใหเ้ กิดความเขา้ ใจเกี่ยวกบั โครงสร้างของบคุ ลิกภาพ และการเคลอื่ นทข่ี องพลังทางจิต
201 1.3 ทฤษฎีเกสตอลท์ 1.3.1 ผู้ให้กาเนิดทฤษฎี บุคคลผู้ให้กาเนิดทฤษฎีนี้คือ เฟรดริค โซโลมอน เพิรลส์ (Frederick Solomon Perls) จิตแพทย์ชาวอเมริกัน เชื้อสายยิว เกิดท่ีกรุงเบอร์ลิน รับปริญญา แพทยศาสตร์ ในปี ค.ศ.1920 เคยผ่านการฝึกจิตบาบัดแบบวิเคราะห์จากสถาบันจิตวิเคราะห์ที่ เบอรล์ นิ แฟรงค์เฟิรท์ และเวยี นนา ไปทางานท่อี มั สเตอร์ดัม 2 ปี คอื ในปี ค.ศ. 1933 และย้ายไปอยู่ ที่แอฟริกาใต้ ในปี ค.ศ.1946 เพิรลส์ย้ายไปตั้งรกรากในสหรัฐอมริกา ได้เขียนหนังสือเสนอ แนวความคิดกี่ยวกับการบาบัดแบบเกสตอลทใ์ นประมาณกลางศตวรรษที่ 20 ในช่วงปี ค.ศ.1967 - 1969 เขาทุ่มเทเวลาให้กับการฝึกอบรมการบาบัดแบบเกสตอลท์ โดยมีสถาบันฝึกอบรมเกิดขึ้นตาม เมืองใหญ่ๆ ในสหรัฐอเมริกา ในปี ค.ศ.1970 เพิรลส์ได้ก่อต้ังสถาบันเกสตอลท์บาบัดขึ้นที่เมือง แวนคูเวอร์ บรติ ิชโคลมั เบยี ในประเทศเคนนคา และเขาได้เสียชวี ิตทเี่ มอื งน้ี 1.3.2 ความเชื่อเก่ียวกับธรรมชาติของมนุษย์ ความเชอื่ ของทฤษฎนี ้ีคล้ายกบั ความ เช่ือของจิตวิทยามนุษยนิยมและกลุ่มอัตถิภาวะนิยม คือ บุคคลมีความสามารถในการเลือกตัดสนิ ใจ สิ่งต่างๆ ด้วยตนเองได้ สามารถรับผิดชอบการกระทาของตน บุคคลที่อยู่อย่างเต็มประสิทธิภาพ (A Fully Functioning Person) คือบุคคลท่ีใช้การรับรู้อย่างมีประสิทธิภาพ ท้ังการตระหนักรู้ใน ตนเองและการรับรู้ต่อสภาพแวดล้อม บุคคลจะพัฒนาไปได้เต็มศักยภาพ โดยเพิรลส์สรุปไว้ 7 ประการคือ 1) มนุษย์เป็นส่วนเต็มที่ประกอบข้ึนด้วยส่วนต่างๆ ท่ีทางานประสานกัน (องค์รวม) คอื ร่างกาย ความคดิ ความร้สู ึก การรบั รู้ ซงึ่ ส่วนต่างๆ เหล่าน้จี ะเข้าใจในแตล่ ะสว่ นเฉพาะ ไม่ได้ ตอ้ งเขา้ ใจในลกั ษณะของสว่ นเตม็ ทั้งตวั บคุ คล 2) มนุษย์เป็นส่วนหน่ึงของสภาพแวดล้อม การจะเข้าใจบุคคลใดโดย ปราศจากการเข้าใจสภาพแวดลอ้ มของเขาไม่ได้ 3) มนษุ ย์เป็นผู้เลือกวา่ เขาจะตอบสนองต่อส่ิงเร้าภายนอกและสิง่ เร้าภายใน ตัวเขาอย่างไร มนุษยเ์ ปน็ ผ้แู สดงพฤตกิ รรม 4) มนุษย์มีศักยภาพที่จะรบั รู้ สัมผัสในตัวเองได้เก่ียวกับความคิด ความรู้สึก และอารมณ์ของตนเอง 5) มนุษยส์ ามารถตัดสนิ ใจไดเ้ พราะเขาเกดิ การรับรู้ 6) มนุษยส์ ามารถรบั ผดิ ชอบตอ่ ชวี ติ ของตนเองไดอ้ ย่างมปี ระสิทธภิ าพ 7) มนุษย์ไม่สามารถนาตนเองกลับไปสู่อดีตหรืออนาคตได้ เขาสามารถรับรู้ เหตุการณ์ต่างๆ ได้ในสภาวะปัจจุบันเทา่ นั้น 1.3.3 เป้าหมายของการให้คาปรึกษา เปา้ หมายโดยทั่วไปของการให้คาปรกึ ษาแบบ เกสตอลท์ คอื การใหผ้ ้รู ับคาปรกึ ษาเปลยี่ นพฤตกิ รรมจากการพ่พึ าสภาพแวดล้อม หรือพง่ึ พาผอู้ น่ื ไปสู่
202 การพงึ่ พาคตนเอง ช่วยให้ผู้รับคาปรึกษาค้นพบว่าตัวเขาสามารถทาอะไรไดห้ ลายๆ อย่างด้วยตนเอง มากกวา่ ทเ่ี ขาคิด และเลิกจานนต่อสภาพแวดลอ้ ม เป้าหมายสาคัญของการให้การปรึกษแบบเกสตอลท์ คือ การช่วยให้ผู้รับ คาปรกึ ษาใช้ชีวติ ให้เต็มศกั ยภาพกว่าท่ีเคยเปน็ อยู่ ไมใ่ ห้ผรู้ ับคาปรกึ ษาปรบั ตวั คล้อยตามสงั คม แต่ควร รับรู้ความรู้สึกของตนเอง การช่วยให้บุคคลกค้นพบตัวเองและกล้าพัฒนาตัวเองให้เต็มศักย ภาพ เป็นแนวทางทจี่ ะช่วยให้บคุ คลปรับตัวได้ เข้าใจตนเอง และมีสุขภาพจติ ที่ดี 2. ทฤษฎที ่ีเนน้ ด้านความคิดและเหตุผล 2.1 ทฤษฎีการพิจารณาอารมณ์ เหตุผล และพฤติกรรม 2.1.1 ผู้ให้กาเนิดทฤษฎี บุคคลผู้ให้กาเนิดทฤษฎีนี้คือ อัลเบิร์ต เอลลิส (Albert Ellis) เกิดในปี ค.ศ.1913 ทเี่ มอื งพทิ สเบิรก์ รัฐเพนซิลวาเนีย ปี ค.ศ. 1940 เขาสาเร็จการศกึ ษาระดับ ปรญิ ญาโทและปรญิ ญาเอกจากมหาวทิ ยาลัยโคลัมเบยี เอลลิสเปิดคลนิ ิกส่วนตัวให้การปรึกษาปัญหา โดยนิยมใช้การบาบัดแบบจิตวเิ คราะห์ แต่เขาก็ไม่คอ่ ยประทับใจกับประสิทธิผลของการบาบัด และ เห็นว่าวิธีการบาบัดของจิตวิเคราะห์น้ันไม่เป็นระบบวิทยาศาสตร์ เขาจึงหันมาพิจารณาวิธีการให้ ผู้รับคาปรึกษาเผชิญหน้ากับปัญหาของตน โดยผู้ให้คาปรึกษาอธิบายช้ีแจงถึงสาเหตุของปัญหา วิเคราะหค์ วามคดิ และอารมณ์ท่ีเป็นสาเหตขุ องปัญหา เนื่องจากเอลลิสเชื่อวา่ ปัญหาทางอารมณข์ อง บุคคลเกิดจากความคิด ความเชื่อที่บุคคลมีต่อตนเองและเหตุการณ์น้ันๆ ซ่ึงความเชื่อดังกล่าวเป็น ความเช่อื ด้านลบคอื ความเชื่อท่ีไร้เหตุผล เชื่อในความไมม่ ีคุณค่าของตัวเอง และคนเหล่าน้ันบอกย้า กบั ตนเองถึงขอ้ หา้ มต่างๆ และความเช่ือท่ีผิดๆ ทเี่ กบ็ สะสมจากอดตี ซึ่งเอลลสิ เชอ่ื ว่าวธิ กี ารแก้ไขคือ การเปล่ียนแปลงความคิดของบุคคลเสียใหม่ จากการศึกษาปรัชญากรีกและปรัชญาเอเชียทาให้ เอลลิสเกิดแรงบนั ดาลใจท่ีจะช่วยเหลือผู้ทม่ี ีปัญหา โดยให้ความสาคัญกบั ความคดิ เขาเรม่ิ คิดทฤษฎี ของตนเองและนามาใช้ครั้งแรก ในปี ค.ศ.1955 ชื่อทฤษฎี Rational Therapy (RT) ชอ่ื น้ีทาให้เกิด ความเข้าใจว่าเอลลสิ ไม่ใหค้ วามสาคญั กบั การสารวจอารมณข์ องผูร้ บั คาปรกึ ษา ในปี ค.ศ.1961 เขาได้ เพิ่มคาว่า Emotion เป็น Rational Emotion Therpy (RET) เพื่อแสดงถึงความสาคัญของท้ัง ความคดิ และอารมณ์ในกระบวนการเปล่ียนแปลง แต่ยงั ขาดบทบาทของการแสดงพฤติกรรม ดงั นั้น ในปี ค.ศ.1993 จึงเปล่ียนเปน็ Rational Emotion Behavior Therapy (REBT) 2.1.2 ความเช่ือเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุมย์ ทฤษฎีนี้เช่ือว่ามนุษย์เป็นท้ังผู้ท่ีมี เหตุผลและไม่มีเหตุผล มีทั้งส่วนที่เปน็ ความสุข การคิด การบอกตวั เองถึงสงิ่ ที่ดีงามเก่ียวกับตนเอง และผู้อ่ืน เป็นส่วนท่ีชว่ ยพัฒนาไปส่กู ารรู้จักตนเองอย่างเตม็ ศกั ยภาพ ในอีกสว่ นหนึง่ มนุษยม์ ีลักษณะ ความคิดในด้านการทาลายตนเอง ทาผิดซ้าๆ ซากๆ ลงโทษตนเอง ต้องการเป็นบุคคลสมบูรณ์แบบ ไมย่ อมรับตนเองในด้านลบ เป็นสว่ นท่ีขดั ขวางการพัฒนาไปสู่การรจู้ กั ตนเองอยา่ งแท้จรงิ และเชอื่ ว่า
203 มนุษย์เกิดมาพร้อมกบั แนวโนม้ ที่จะต่อสู้ให้ได้มาซึ่งสิ่งทเี่ ขาต้องการ ปรารถนาตอ่ ความสาเร็จในชีวิต ถ้าไม่ได้ตามท่ีต้องการมนุษย์จะลงโทษทัง้ ตนเองและผ้อู ่ืน เอลลิสยืนยันวา่ มนษุ ย์คิด เกดิ อารมณ์ และ แสดงพฤติกรรมเป็นกระบวนการที่เกิดข้ึนอย่างต่อเนื่องกัน เพราะความรู้สึกเกิดจากการรับรู้ต่อ สภาพการณ์เฉพาะสภาพการณ์ใดสภาพการณ์หนึ่ง ฉะนั้นเพื่อแก้ไขพฤติกรรมลงโทษตนเอง (Self-Defeating Behavior) บุคคลต้องเข้าใจถึงแบบแผนในส่วนของสติปัญญาท่ีใช้ในด้านการรับรู้ (Perceptual Cognitive) ส่วนของอารมณ์ท่ีเกิดข้ึน และการเรียนรู้ใหม่ในการแสดงพฤติกรรม (Behavioristic Reductive Method) 2.1.3 เป้าหมายของการให้คาปรึกษา เป้าหมายหลกั ของ REBT คือ การลดเจตคติ ท่ีมีผลเสียต่อตน ลดการโทษตนเอง และพยายามใช้ความสามารถของตนเองพัฒนาไปสู่เป้าหมาย ในชีวติ ที่เป็นไปได้ตามสภาพความเป็นจรงิ ผรู้ ับคาปรึกษาตอ้ งเรยี นรู้ท่ีจะควบคุมตนเอง ระงบั อารมณ์ รุนแรงทางด้านลบดว้ ยความคิดท่ีมีเหตุผล เปล่ียนเจตคติ ความเชื่อเกี่ยวกับสภาพการณ์ท่ีก่อใหเ้ กิด อารมณ์ด้านลบ ประการถัดมาคือลดความรู้สึกเป็นปฏิปักษ์ หรือลดการตาหนิผู้อ่ืน การมองโลกใน แง่ร้าย ร้จู ักตรวจสอบและโต้แยง้ ความคิดความเช่ือทไ่ี ร้เหตผุ ลของตนเอง สาหรับเปา้ หมายระยะยาว คือ การช่วยให้ผู้รับคาปรึกษารู้จักเข้าร่วมกิจกรรม หรอื มีพฤติกรรมใหม่ที่สามารถทาจนกลายเป็น นิสัยใหม่ และจดั การกับอุปสรรคท่ีขัดขวางการดาเนนิ ชีวิตทีม่ คี วามสขุ ได้ 2.2 ทฤษฎกี ารวเิ คราะหก์ ารติดตอ่ สัมพันธ์ 2.2.1 ผู้ให้กาเนิดทฤษฎี บุคคลผู้ให้กาเนิดทฤษฎีน้ีคือ อีริก เบิร์น (Eric Berne) เกิดในปี ค.ศ.1910 ท่ีเมืองมอนทริออล ประเทศแคนนาคา บิดาเป็นแพทย์ มารดาเป็นนักเขียนและ บรรณาธิการหนังสือ เบิร์นได้รับปริญญาแพทยศาสตร์บัณฑิต ปี ค.ศ.1935 ปริญญาเอกสาขา แพทยศาสตร์จากมหาวิทยาลยั เมคกิล ในปี ค.ศ. 1955 เลือกเรียนตอ่ จิตเวชศาสตรท์ ี่มหาวิทยาลัยเยล และทางานเปน็ จติ แพทยป์ ระจาบ้านท่ีคณะแพทยศาสตร์ และเปิดคลินิกส่วนตัวที่รฐั คอนเนคติกตั และ นิวยอร์ก การทางานด้านจิตบาบัดช่วง 20 ปีแรกเขาใชว้ ิธีการบาบดั รกั ษาตามแบบจติ วเิ คราะห์ ต่อมาเบิร์นสังเกตพฤติกรรมของผู้ป่วยจึงมีความคิดเห็นว่าประสบการณ์ ต่างๆ ท่ีเกิดขึ้นในชวี ติ ของบุคคลนั้นไมไ่ ด้เลือนหายไปไหน บคุ คลจะบันทึกประสบการณ์เหลา่ นั้นไวใ้ น ความทรงจา และจะนาส่ิงต่างๆ เหล่าน้ันกลับมาแสดงอีก นอกจากน้ี เบิร์นพบว่าบุคลิกภาพของ บคุ คล บางคร้ังจะถกู ควบคมุ ด้วยส่วนของสภาวะความเป็นพ่อแม่ ไมจ่ ะเป็นคาพูด การแสดงออกหรือ การติดต่อสื่อสารกับบุคคล บางคร้ังก็ถูกควบคุมด้วยส่วนของสภาวะความเป็นผู้ใหญ่ท่ีพิจารณา ส่ิงต่างๆ ตามข้อมูลที่เป็นจริงโดยไม่มีอารมณ์ความรู้สึก และบางครั้งก็ถูกควบคุมด้วยสภาวะความ เป็นเด็ก บุคลิกภาพทั้ง 3 ส่วนที่มีอยู่ภายในบุคคลสามารถวิเคราะห์ได้จากการสื่อสารสัมพันธ์กับ บุคคลอื่น นอกจากนี้ เขายังวิเคราะห์ได้ถึงแรงจูงใจ บทบาทชีวิต ตาแหน่งชีวิต และเกมที่ขาเล่น
204 จากข้อสังเกตดังกล่าว เบิร์นจึงได้พัฒนาทฤษฎีการให้คาปรึกษาแบบวิเคราะห์การส่ือสารสัมพันธ์ ระหว่างบคุ คลขึน้ อย่างมีระบบ 2.2.2 ความเชื่อเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์ ทฤษฎีนี้เชื่อว่าบุคคลสามารถที่จะ เข้าใจบุคลิกภาพที่เป็นผลมาจากประสบการณ์ในอดีดของตนได้ และบุคคลสามารถตัดสินใจเลือก แนวทางในการดาเนินชีวิตใหม่ได้ ถ้าเขากล้าที่จะเปลี่ยนแปลงตนเอง โดยการเปล่ียนบทบาทและ ตาแหน่งชีวิตของตนเองเสียใหม่ วางเป้าหมายที่จะนาไปสู่พฤตกิ รรมใหม่ๆ ในอนาคต บุคคลเกิดมา อยา่ งอิสระ มีเสรีภาพ แตบ่ ุคคลกไ็ ดร้ ับอทิ ธิพลจากความคาคหวงั ความต้องการท่ีบคุ คลอื่นรอบตัวมี ตอ่ เขา ตั้งแต่ยงั เป็นเดก็ เนือ่ งจากเขาต้องพึง่ พาและทาตามผู้ทีม่ ีอิทธิพลเหนอื กว่า ฉะนั้นถา้ บุคคลไดม้ ี การสารวจและเข้าใจบคุ ลิกภาพของตนเองได้อยา่ งมีเหตผุ ล และพรอ้ มที่จะเปลยี่ นแปลงบทบาทชวี ิต ตาแหน่งชีวิต และแบบแผนในการดาเนินชีวิตโดยกลา้ ท่ีจะสลดั วิธกี ารใชช้ วี ิตแบบเดิมๆ กลา้ หลุดพ้น จากอิทธิพลการใช้ชวี ิตท่ีสืบเน่ืองมาจากเจตคติท่ีพ่อแมถ่ ่ายทอดให้บุคคลก็จะสามารถเปล่ียนแปลง ตนเอง เป็นตัวของตัวเองได้อย่างเต็มท่ี กล้าตัดสินใจเลือก โดยเช่ือม่ันในความสามารถที่จะพ่ึงพา ตนเองใหเ้ ตม็ ศักยภาพ 2.2.3 เป้าหมายของการให้คาปรึกษา เบิร์นได้กล่าวถึงเป้าหมายของการให้ คาปรึกษาแบบการวิเคราะห์การสือ่ สารสัมพนั ธร์ ะหว่างบุคคลไว้ 4 ประการ สรปุ ไดด้ ังนี้ 1) ชว่ ยใหผ้ ูร้ บั คาปรึกษาหลุดพ้นจากอาการผดิ ปกตทิ างบุคลิกภาพที่เกดิ ขึ้น จากความเลอะเลือนของลักษณะท่ีเป็นผู้ใหญ่ เพราะเม่ือหลุดพ้น ผู้รับคาปรึกษาก็สามารถใช้ วิจารณญาณ เหตุผลข้อมูลต่างๆ วิเคราะห์หาแนวทางในการแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ การรับรู้จะถกู ต้องเหมาะสมตามสภาพความเป็นจริง สามารถใช้โครงสร้างบคุ ลิกภาพ ท้ัง 3 ส่วนได้ อยา่ งเต็มทแ่ี ละสอดคล้องกบั กาลเทศะ 2) ช่วยให้ผรู้ บั คาปรึกษาหลุดพ้นจากการถูกปดิ กน้ั ของโครงสรา้ งบุคลิกภาพ 3) ช่วยให้ผู้รับคาปรึกษาหลุดพ้นจากการเปลี่ยนแปลงที่เร็วเกินไปของ โครงสร้างบุคลิกภาพและชว่ ยใหผ้ ู้รบั คาปรึกษารู้จักและเข้าใจตนเองในแง่มุมตา่ งๆ ท้งั ส่วนดีและสว่ น ทต่ี ้องเปลยี่ นแปลงเเกไ้ ข 4) ช่วยให้ผู้รับคาปรึกษาหลุดพ้นจากตาแหน่งของชีวิตที่ไม่เหมาะสม รับผิดชอบที่จะเปลี่ยนแปลงตนเองไปสู่ตาแหน่งชีวิตแบบ “I am O.K. - You are O.K.” สามารถ ผูกพันและสร้างสมั พันธภาพท่ใี กล้ชิด จรงิ ใจกับบคุ คลอ่นื ได้ 2.3 ทฤษฎีพฤติกรรมนยิ ม 2.3.1 ผู้ให้กาเนิดทฤษฎี บคุ คลสาคัญท่ีเกี่ยวข้องในการให้กาเนดิ ทฤษฎีและวิธกี าร ใหค้ าปรึกษาแบบพฤติกรรมนิยม โดยพฒั นาพื้นฐานมาจากทฤษฎกี ารเรียนรูท้ เ่ี น้นความสาคัญของการ จัดสภาพการณ์เพื่อให้บุคคลเกิดการเรียนรู้ใหม่ท่ีเหมาะสม คาว่า “Behavioral Counseling” นั้น
205 ครูมโบลตซ์ (Krumboltz) เปน็ ผ้รู ิเริ่มใช้คานเ้ี มื่อปี ค.ศ.1964 ในรายงานประจาปีของสมาคมจิตวทิ ยา แหง่ สหรฐั อเมรกิ า อย่างไรก็ตาม วิธีการเปล่ียนแปลงพฤติกรรมโดยเน้นความสาคัญท่ีการจัด สภาพแวดล้อมเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ใหม่น้ี เกิดขนึ้ จากหลักการวางเง่อื นไขของ พาฟลอฟ (Pavlov) และ สกินเนอร์ (Skinner) ซ่ึงต่อมา โวเป้ (Wolpe) ได้นาหลักการวางเง่ือนไขดังกล่าวมาใช้ในการ รักษาอาการป่วยทางจิต และในหนังสือบางเล่มได้กล่าวว่า ผู้ก่อต้ังทฤษฎีนี้คือ สกินเนอร์ โดยเขา เชอื่ ว่าพฤตกิ รรมและบุคลกิ ภาพถกู กาหนดโดยเหตุการณ์ในอดีตและปัจจุบันท่ีวัดได้ หรอื พฤตกิ รรมที่ สังเกตได้เท่าน้ัน 2.3.2 ความเชื่อเก่ียวกับธรรมชาติของมนุษย์ ทฤษฎีน้ีเชื่อว่ามนุษย์เกิดมามีทั้งดี และเลว มนษุ ยต์ กอยู่ภายใต้อทิ ธพิ ลของสิ่งแวดล้อม พฤตกิ รรมท้งั ปกติเละอปกติของมนุษยเ์ ป็นผลมา จากการรยี นรู้ ซงึ่ การเรียนร้นู ี้สามารถทาให้เกิดขน้ึ ไดโ้ ดยการจดั สภาพสิ่งแวดล้อม ภายใต้เง่ือนไขแบบ ต่างๆ และการเรียนรู้เก่าสามารถเปลี่ยนแปลงได้ และมนุษย์สามารถสร้างความรู้ใหม่ได้ มนุษย์มี ความสามารถที่จะควบคุมเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของตนเองได้ แม้จะตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของ สง่ิ แวดลอ้ มก็ตาม 2.3.3 เป้าหมายของการให้คาปรึกษา การให้คาปรึกษาแบบพฤติกรรมนิยมน้ัน ผู้รับคาปรึกษาเป็นผู้เลือกเป้าหมาย จากเป้าหมายจะนาไปสู่การพิจารณาถึงวิธีการให้คาปรึกษา เป้าหมายโดยทั่วไป คอื การสร้างสภาพการณ์เพ่อื ให้เกดิ การเรียนรู้ใหม่ ขจัดพฤตกิ รรมทไี่ ม่เหมาะสม และจดั ประสบการณ์เพ่ือใหเ้ กิดการเรียนรู้พฤติกรรมใหม่ที่พึงประสงค์ ท่ตี ั้งอยู่พ้ืนฐานของความจริง ผู้ให้คาปรกึ ษาต้องร่วมมอื กบั ผ้รู บั คาปรึกษาในการวางเปา้ หมาย ซง่ึ เป้าหมายท่ีกาหนดขึ้นต้องมีความ ชัดเจน เป็นรูปธรรม และผู้รับคาปรึกษาต้องให้ความร่วมมือในการปฏิบัติตามขั้นตอนและวิธีการ ซ่ึงควรดาเนินการตกลงร่วมกันเป็นสัญญาเพื่อช้ีนาการปรึกษา และควรเป็นเป้าหมายท่ีสามารถ ประเมนิ ได้ ผู้ให้คาปรึกษาต้องให้ความสนใจ เข้าใจ โดยการรับฟังสิ่งท่ีผู้รับคาปรึกษา สื่อมา แล้วสะทอ้ นกลบั ไปใหผ้ ู้รับคาปรึกษาเข้าใจว่า ตัวเขามีความคิด ความรสู้ ึกอย่างไร ตอ้ งการจะมี พฤติกรรมอย่างไร และปัจจุบันเขามีพฤติกรรมอปกติท่ีต้องการเปล่ียนแปลงอย่างไร และช่วยให้ ผรู้ บั คาปรกึ ษาสามารถวางเป้าหมายในลักษณะรปู ธรรมและเปน็ พฤติกรรมที่สามารถประเมนิ ผลของ การเปลย่ี นแปลงได้ การนาเสนอสาระในประเด็นข้างต้นน้ันคงพอทาให้ผู้อ่านมีความรู้เก่ียวกับทฤษฎีการให้ คาปรึกษาเป็นเบื้องต้น ทั้งนี้ การให้คาปรึกษาตามแนวคิดทฤษฎีต่างๆ มีความละเอียดอ่อนลึกซ้ึง มีเทคนิควิธีการเฉพาะแต่ละทฤษฎี ผู้อ่านควรศึกษาเน้ือหาเกี่ยวกับทฤษฎีการให้คาปรึกษาอย่าง ละเอียดเพอื่ ใหส้ ามารถนาความรไู้ ปดแู ลชว่ ยหลอื ผู้เรียนไดอ้ ย่างมปี ระสิทธิภาพ
206 กระบวนการใหค้ าปรึกษา ข้ันตอนของกระบวนการให้คาปรึกษา เป็นตัวกาหนดแนวทางปฏิบัติท่ีทาให้การให้ คาปรกึ ษาดาเนนิ ไปอย่างมีระบบและมที ิศทางท่ีชัดเจน ประกอบด้วย 5 ขัน้ ตอน ตามแนวคดิ ของจีน แบรี่ (2549, น. 74) ดังน้ี ภาพท่ี 4.3 ขน้ั ตอนการให้คาปรึกษารปู ตวั วี ทมี่ า: จนี แบร,ี่ 2549, น. 74 1. ขน้ั สรา้ งสมั พันธภาพและตกลงบริการ การสรา้ งสมั พนั ธภาพและตกลงบริการ เป็นขั้นตอนแรกของกระบวนการให้คาปรึกษา โดยมีจดุ มงุ่ หมายสาคัญเพ่ือสรา้ งความคนุ้ เคย ความไว้วางใจระหวา่ งผู้รบั คาปรึกษากับผ้ใู ห้คาปรึกษา เนื่องจากในระยะเริ่มกระบวนการให้คาปรึกษา ผู้รับคาปรึกษายังมีความไม่แน่ใจ อาจตื่นเต้นหรือ ลาบากใจท่ีจะเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับปัญหาของตน นอกจากน้ี ในระยะเรมิ่ ตน้ ของกระบวนการ ให้คาปรึกษา ผู้รับคาปรึกษาและผู้ให้คาปรึกษายังไม่คุ้นเคยต่อกัน ผู้ให้คาปรึกษาจะต้องสร้าง สัมพันธภาพท่ีดีกับผู้รับคาปรึกษา โดยอาศัยเทคนิคและทักษะต่างๆ เช่น การทักทายสั้นๆ การพูด
207 เรือ่ งท่ัวไป การใส่ใจหรือแสดงพฤติกรรมการใส่ใจ และการเปิดประเด็นแลว้ นาเขา้ สู่การตกลงบรกิ าร เปน็ ตน้ เพ่ือใหผ้ ใู้ ห้คาปรกึ ษาและผูร้ บั คาปรกึ ษามีความเขา้ ใจที่ตรงกันในองค์ประกอบต่างๆ ของการ ใหค้ าปรกึ ษา ได้แก่ การแนะนาตัว การช้ีแจงบทบาทของผู้ให้และผรู้ ับคาปรึกษา การรักษาความลับ ระยะเวลาที่ใช้ในการให้คาปรึกษา ประเด็นในการขอรับบริการอันจะนาไปสู่ความไว้วางใ จและ สัมพันธภาพที่ดีระหว่างผใู้ ห้และผูร้ ับคาปรึกษา 2. ขัน้ สารวจปญั หา ผ้ใู ห้คาปรึกษาจะต้องใช้ทกั ษะต่างๆ เพือ่ เปิดโอกาสและกระต้นุ ให้ผู้รับคาปรกึ ษาเลา่ ถึง ปัญหาต่างๆ เพ่ือสารวจปัญหาและความต้องการของผู้รับคาปรึกษา ตลอดจนได้เรียนรู้ความคิด ความรู้สึกและพฤติกรรมของตนเอง จนได้พบปัญหาและรับรู้ความต้องการหรือท่าทีที่ตนเองมีต่อ ปัญหาซ่ึงในข้ันการสารวจปัญหานี้จะใช้ระยะเวลามากนอนเพียงใดข้ึนอยู่กับพ้ืนฐานสติปัญญา ความสามารถลกั ษณะนิสยั ของผู้รบั คาปรกึ ษา และความชานาญในการใชท้ กั ษะของผู้ให้คาปรึกษา 3. ขนั้ เขา้ ใจปญั หา สาเหตุ และความต้องการของผ้รู บั คาปรกึ ษา ขนั้ ตอนนีส้ าคญั ท่สี ดุ ถือเปน็ หวั ใจของกระบวนการใหค้ าปรกึ ษา ซ่งึ ผูใ้ ห้คาปรกึ ษาตอ้ งใช้ ทักษะเพ่ือให้ผูร้ บั คาปรึกษาเกดิ ความกระจ่างชัดในสาเหตุของปัญหา ได้สารวจความคดิ และความรูส้ ึก ท่ีตนเองมีตอ่ ประสบการณ์ บุคคล หรอื ปัญหาทีเ่ กดิ ขึ้น สามารถแยกแยะปญั หานาและปัญหาท่ีแท้จริง ได้สรุปประเด็นปัญหาที่ผู้รับคาปรึกษาต้องการแก้ไข ตลอดจนนาปัญหาที่ค้นพบมาจัดลาดับ ความสาคัญความเร่งด่วน รวมทัง้ ผลกระทบที่จะเกิดข้นึ จากการแก้ไขและไม่แก้ไขปัญหาดังกล่าวได้ บอ่ ยครั้งท่ผี ู้รบั คาปรกึ ษาระบุปญั หาในขั้นตกลงบริการอย่างหนึ่งแตใ่ นขนั้ เขา้ ใจปัญหาสาเหตเุ ป็นอีก ปัญหาหีน่ึง ผู้ให้คาปรึกษาจะต้องช่วยให้ผู้รับคาปรึกษามองเห็นแนวทางที่จะแก้ไขปัญหานั้นตาม ศักยภาพของผ้รู ับคาปรกึ ษา โดยใชท้ กั ษะต่างๆ เพ่ือเอ้อื อานวยให้ผ้รู บั คาปรกึ ษาคิด สารวจความรสู้ ึก และความต้องการของตนเอง มองเห็นปัญหา เข้าใจสาเหตุ และทราบถึงความต้องการท่ชี ัดเจนของ ตนเอง และมีพลังใจท่ีจะตัดสินและคิดวิธีการแก้ไข ตลอดจนสามารถที่จะยอมรับความรู้สึกเสียใจ หรือเจ็บปวดจากผลของการตดั สินใจของตน 4. ขน้ั วางแผนแก้ไขปญั หา ข้ันวางแผนและแก้ไขปัญหา เป็นข้ันตอนที่ผู้ให้คาปรึกษาช่วยให้ผู้รับคาปรึกษาได้ใช้ ศักยภาพของตนเท่าท่ีมีอยู่ ค้นหาวิธีการแก้ปัญหาโดยใช้วิธีการท่ีหลากหลาย วางแผนแก้ไขปัญหา อย่างเป็นขนั้ ตอน และตดั สินใจเลือกทางแก้ปัญหาที่เหมาะสม สอดคล้องกับความตอ้ งการ ศกั ยภาพ และสภาพแวดล้อมของผู้รับคาปรึกษามากที่สุด โดยผู้ให้คาปรึกษาไม่ควรเร่งรีบและด่วนตัดสินใจ จัดการปัญหาของผู้รับคาปรึกษา แต่จะคอยให้กาลังใจแก่ผู้รับคาปรึกษาในการวางแผนปฏิบัติ เพอื่ แก้ไขปัญหาดว้ ยตนเองก่อน หากผู้รับการปรกึ ษาหมดหนทางจึงจะเสนอแนะ และเปิดโอกาสให้ ผู้รับคาปรึกษาได้แสดงความคิดเห็นในขอ้ เสนอแนะนั้นๆ เพื่อให้ผู้รับคาปรึกษาได้มีส่วนร่วมในการ
208 คน้ หาวธิ กี ารพจิ ารณาความเหมาะสม และเลอื กทางแกไ้ ขปญั หาท่เี หมาะสมกับตนเองท่สี ุด ตลอดจน กระตนุ้ ให้ผรู้ ับคาปรึกษาคาดคะเนถึงโอกาสประสบความสาเร็จ และความเปน็ ไปได้ในการใชว้ ิธแี กไ้ ข ปัญหาทเ่ี ลือก สร้างความตระหนกั ในการรบั ผิดชอบต่อการตัดสินใจและยอมรับผลท่ีเกิดข้ึนจากการ เลือกของตนเอง ไม่ใช่เป็นการบังคับให้ปฏิบัติ ซ่ึงในข้ันน้ีผู้ให้คาปรึกษาอาจสร้างบรรยากาศที่ เอ้ืออานวยใหผ้ ้รู บั คาปรึกษามีกาลังใจอบอนุ่ ใจ ไมโ่ ดดเด่ียว ด้วยวิธีการ ดังนี้ 4.1 การประคับประคอง เป็นการสนับสนุน ให้กาลงั ใจ ใส่ใจกบั ความรู้สกึ โดยไม่เน้น วิธีการแก้ไขปัญหา แต่ทั้งนี้การให้กาลังใจต้องให้เป็นข้อมูลท่ีเป็นไปได้จริง และไม่ใช่ข้อมูลหรือให้ กาลงั ใจที่มงุ่ กลบเกล่ือนความรสู้ ึก 4.2 การให้ข้อมูล ควรให้ข้อมูลเก่ียวกับเรื่องราวที่แน่ใจว่าผู้รับคาปรึกษายังไม่รู้ และ เป็นข้อมลู สาคัญทต่ี ้องนามาประกอบการตดั สินใจและการสร้างพฤติกรรมใหม่ 4.3 การเสนอวิธีการต่างๆ ในกรณีผู้รับคาปรึกษาไม่พร้อมนาศักยภาพมาใช้ในการ คน้ พบวธิ ีการแก้ไขปัญหา ผ้ใู ห้คาปรกึ ษาอาจต้องเสนอวธิ ีการแก้ไขปัญหาแบบต่างๆ และกระตุน้ ให้ ผ้รู บั คาปรึกษาได้มีส่วนรว่ มในการคิด และเลอื กวธิ กี ารแกไ้ ขปัญหาด้วยตนเอง 4.4 การคาดการณ์ด้วยเหตุผล เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้รับคาปรึกษาใช้ศักยภาพของ ตนเองใหม้ ากที่สุดในการสารวจปัจจัยทเ่ี กี่ยวข้อง และผลที่อาจเกดิ ข้ึนในเหตุการณต์ ่างๆ หรือวิธีการ แก้ปญั หาแบบตา่ งๆ หรอื การแสดงพฤติกรรมใหม่ การแก้ปัญหาใดๆ ก็ตามจะไม่เกิดผลดีตามความคาดหมายหากผู้รับคาปรึกษาไม่นา พฤติกรรมใหม่ไปปฏิบัติจริง ส่วนใหญ่การให้คาปรึกษาจะไม่สนิ้ สุดตรงที่มีการตดั สินใจเลือกวิธีการ แกป้ ัญหา แต่จะต่อเนือ่ งกนั ไปจนให้ผู้รับคาปรึกษาไปทดลองแกป้ ัญหาแล้วกลบั มาพูดคยุ สนทนากับ ผู้ให้คาปรึกษา เพ่ือการปรับวิธีการจนกระท่ังสามารถแก้ไขปัญหานั้นเสร็จสิ้น หรือผู้รับคาปรึกษา สามารถปรับตัวใชช้ ีวติ ในสงั คมได้ 5. ขั้นยตุ กิ ารปรกึ ษา การให้คาปรึกษาอาจเกิดข้ึนเพียงคร้ังเดียว หรือหลายๆ ครั้งต่อเน่ืองไปจนปัญหา คลค่ี ลายแล้วแต่กรณี ผใู้ ห้คาปรกึ ษาควรจะให้สญั ญาณแกผ่ รู้ ับคาปรกึ ษาให้รตู้ วั ก่อนหมดเวลาของการ ให้คาปรึกษา เช่น มองนาฬิกา หรือพูด “เราเหลือเวลาอีก 2-3 นาที” แล้วเปิดโอกาสให้ผู้รับ คาปรึกษาได้สรุปในส่ิงต่างๆ ท่ีได้จากการสนทนาในแต่ละคร้ัง โดยผู้ให้คาปรึกษาสรุปเพ่ิมเติมใน ประเด็นที่ขาดหายไป ส่งเสริมให้ผู้รับคาปรึกษาได้เห็นคุณค่าของตนเอง มีความรู้สึกด้านบวกต่อ ตนเอง ผู้อ่ืน และสิ่งแวดล้อม ในบางครั้งผู้ให้คาปรึกษาอาจมอบหมายการบ้านให้ผู้รับคาปรึกษา กลับไปปฏิบตั ิ เชน่ การเปลีย่ นการสื่อสาร การฝกึ การหายใจคลายเครยี ด ฝกึ การใชจ้ ินตนาการบาบัด เปน็ ตน้
209 ในกรณีท่ีผู้ให้คาปรึกษาไม่สามารถช่วยเหลือผู้รับคาปรึกษาได้ หรือประเมินว่าผู้รับ คาปรึกษาควรได้รับการช่วยเหลือจากผู้เชย่ี วชาญเฉพาะด้าน หรอื สัมพันธภาพระหว่างผู้ให้และผู้รับ คาปรกึ ษาเป็นไปในทางลบซึ่งไม่เอื้อตอ่ การให้คาปรึกษา จาเป็นตอ้ งสง่ ต่อให้พบกับผู้เชี่ยวชาญหรือ ผู้ให้คาปรึกษาท่านอ่ืน ผู้ให้คาปรึกษาจะต้องให้ข้อมูลและทาความเข้าใจกับผู้รับคาปรึกษาอย่าง ชัดเจน ผู้รับคาปรึกษาสามารถเลือกที่จะให้ส่งต่อหรือไม่ก็ได้ และถ้าไม่มีการส่งต่อผู้รับคาปรึกษา สามารถขอพบผู้ให้คาปรึกษาได้ต่อไป หากผู้รับคาปรึกษายงั ต้องการขอรบั คาปรึกษา นอกจากการ สรุปประเดน็ ท่ไี ด้พดู คุยกนั กอ่ นยตุ ิการปรกึ ษาแลว้ อาจตกลงหัวขอ้ การใหค้ าปรึกษา วัน เวลา สถานท่ี ในการขอรับคาปรึกษาครั้งต่อไป พร้อมท้ังให้กาลังใจแก่ผู้รับคาปรึกษาในการปฏิบั ติตามท่ีเขาได้ ตดั สนิ ใจระหวา่ ง รอการนดั พบในครั้งต่อไป แลว้ จงึ กลา่ วอาลา จะเห็นว่าการให้คาปรึกษามีขั้นตอน และต้องใช้หลักวิชาการ ดังนั้นจึงจาเป็นที่ผู้ให้ คาปรกึ ษาต้องมคี วามรแู้ ละความสามารถในการใช้ทักษะต่างๆ อยา่ งมีประสิทธิภาพ เพ่ือเอื้ออานวย ให้ผ้รู ับคาปรกึ ษาได้ใชศ้ ักยภาพของตนในการแกไ้ ขปัญหาไดอ้ ย่างเหมาะสม กล่าวโดยสรปุ ความสาคญั และความจาเปน็ ของการให้คาปรึกษาอยา่ งเป็นขนั้ ตอน มดี งั น้ี 1. ชว่ ยในการตรวจสอบการดาเนินการใหค้ าปรกึ ษาง่ายขึ้น ซ่ึงในกระบวนการให้คาปรกึ ษา ทเี่ ป็นไปอย่างมีขั้นตอน จะช่วยให้ทง้ั ผู้ให้คาปรึกษาและผู้รบั คาปรึกษาสามารถดาเนินการพร้อมกัน ไปได้ หากไม่มีขั้นตอนแล้วจะไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าในขณะน้ีต่างฝ่ายกาลังทาอะไรกันอยู่ หากฝา่ ยใดฝ่ายหนึ่งไม่ใด้อย่ใู นข้นั ตอนเดยี วกนั ผู้ให้คาปรกึ ษจะสามารถช่วยปรบั ให้ทัง้ สองฝ่ายดาเนิน อยใู่ นขั้นตอนเดยี วกันได้ ทาให้ไม่เกิดการวกวน หรือสบั สน 2. ช่วยให้ผู้รับคาปรึกษาได้เรียนรู้ง่ายข้ึนต่อการเข้าใจตนเอง เข้าใจปัญหาและการหา แนวทางในการแกไ้ ขปัญหาของตนเองได้ด้วยการเรียนรู้จากขน้ั ตอนไนกระบวนการให้คาปรกึ ษา 3. ช่วยให้กระบวนการให้คาปรึกษาดาเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากในแต่ละ ขั้นตอนของการให้คาปรึกษามีเป้าหมายเฉพาะในตัวของมันเองท่ีชัดเจนและยังเชื่อมโยงตอ่ เนื่องกัน กับข้ันตอนอื่นเป็นลาดับ ดังน้ันขั้นตอนต่างๆ จะช่วยให้การดาเนินการกระทาได้ผลรวดเร็ว ประหยัดเวลาและมุ่งสู่เป้าหมายได้ตรงที่สุด โดยอาศัยทักษะต่างๆ ในการช่วยให้กระบวนการใน ขั้นตอนต่างๆ ดาเนินไปไดอ้ ย่างราบร่นื ข้ึน 4. ช่วยให้กระบวนการให้คาปรึกษาดาเนินไปอย่างมีประสิทธิผล จะพบว่า ในผู้ให้ คาปรึกษาท่ีฝึกใหม่ มักจะดาเนินการในกระบวนการให้คาปรึกษข้ามขั้นตอนไป เช่น เม่ือผ่านพ้น ขั้นตอนการสร้างสัมพันธภาพและตกลงบริการแล้ว ก็อาจทาการวางแผนแก้ไขปัญหาตามปัญหาที่ นามา ซึ่งมักจะพบว่า การวางแผนแก้ไขปัญหาดังกล่าว เมื่อผู้รับคาปรึกษนาไปปฏิบัติมักไม่ได้ผล เนอ่ื งจากข้ามขน้ั ตอนการสารวจทาความเข้าใจปัญหา สาเหตแุ ละความต้องการไป ซึ่งเป็นขั้นตอนที่
210 สาคัญในการท่จี ะค้นหาปัญหาและทาความเขา้ ใจปัญหาให้ถ่องแท้เสียกอ่ น จงึ เปรียบเสมือนเกาไมถ่ ูก ท่คี ัน ทาให้การแกไ้ ขปญั หาไมไ่ ด้ผล หรือประสบความล้มเหลวได้ ทกั ษะและเทคนิคการใหค้ าปรึกษา ในการให้คาปรึกษาแก่ผู้รับคาปรึกษาน้ัน ผู้ให้คาปรึกษามีความจาเป็นที่จะต้องรู้จักใช้ ทกั ษะและเทคนคิ การให้คาปรกึ ษา (Counseling Techniques) ซึ่งมอี ยู่มากมายน้ัน ใหเ้ หมาะสมกับ สถานการณ์ ถ้าผู้ให้คาปรึกษาใช้ได้อย่างถูกต้องเหมาะสม ก็จะช่วยให้ผู้รับคาปรึกษาเกิดความรู้สึก อบอุ่นใจ ปลอดภัย ไว้วางใจ ทาให้กล้าพูด เล่าเร่ืองราวที่ไม่สบายใจออกมาอย่างเต็มท่ี อันจะเป็น ประโยชน์ต่อการให้ความชว่ ยเหลอื และยังช่วยให้ผู้รบั คาปรึกษาเกดิ ความเข้าใจตนอง ทาให้มองเห็น ลู่ทางทจี่ ะจดั การกับความยงุ่ ยากต่างๆ ไดด้ ้วยตนเองอยา่ งมปี ระสิทธิภาพ ทักษะและเทคนิคในการให้คาปรึกษาที่ผู้ศึกษาด้านจิตวิทยาการให้คาปรึกษาควรจะได้รู้ และฝึกหัดใช้ใหเ้ กิดความชานาญ มดี ังนี้ 1. ทักษะการใส่ใจ 1.1 ความหมายของทักษะการใสใ่ จ ทักษะการใส่ใจ (Attending Skill) เป็นพฤติกรรมของผู้ให้คาปรึกษาท่ีแสดงออก ดว้ ยภาษาพูดหรือภาษาท่าทาง ซึ่งบอกถึงความกระตือรือรน้ ท่ีจะช่วยเหลือผู้รบั คาปรึกษา โดยการ แสดงความสนใจ การเห็นความสาคญั และการใหเ้ กยี รติ เพอ่ื ช่วยให้ผู้รบั คาปรึกษาเกดิ ความอบอุ่นใจ และไมร่ สู้ ึกหา่ งเหนิ 1.2 จดุ มุ่งหมายของการใช้ทักษะการใส่ใจ 1.2.1 เป็นการแสดงความสนใจ เหน็ ความสาคัญ และใหเ้ กียรติผรู้ ับคาปรกึ ษา 1.2.2 เปน็ การแสดงความกระตือรอื ร้นทจี่ ะใหค้ วามช่วยเหลือ และเป็นการกระตุ้น ให้ผูร้ บั คาปรึกษาพดู ต่อไป 1.2.3 เพอ่ื ช่วยเพมิ่ พูนความอบอ่นุ ใจใหผ้ รู้ บั คาปรกึ ษา 1.3 ลกั ษณะของการใสใ่ จ การใส่ใจสามารถแบ่งออกเปน็ 2 ประเภท คือ 1.3.1 การใส่ใจโดยการแสดงออกดว้ ยภาษาพดู เปน็ การพดู ต่อเนอ่ื งในเร่ืองเดยี วกัน กับท่ีผู้รับคาปรึกษาได้พูดให้ฟังในขณะน้ัน แสดงการรับรู้และเข้าใจในทัศนะและแนวคิดของ ผรู้ ับคาปรกึ ษา
211 1.3.2 การใส่ใจโดยการแสดงออกด้วยภาษาท่าทาง เปน็ การแสดงพฤติกรรมต่างๆ ท่ีไม่ใช่คาพูด แต่มีความหมายซึ่งสื่อถึงความเข้าใจและการยอมรับความคิดและความรู้สึกของผู้รับ คาปรกึ ษา ภาษาทา่ ทางมีความหมายและนา้ หนักมากกว่าภาษาพดู ภาษาท่าทางท่ีผู้ให้คาปรกึ ษาควร แสดงออกขณะใหค้ าปรกึ ษาประกอบด้วย 1) การประสานสายตากับผู้รับคาปรึกษา เป็นการแสดงความสนใจในสิ่งท่ี ผ้รู ับคาปรึกษากาลังพดู อยู่ แตไ่ ม่ควรจอ้ งมองมากเกินไปเพราะจะทาใหผ้ ู้รบั คาปรึกษารสู้ ึกอึดอดั ได้ 2) การแสดงออกทางสีหน้า ท่าทาง การเคลือ่ นไหวและระยะหา่ ง เชน่ 2.1) การแสดงออกทางสีหน้าที่อบอุ่น เป็นมิตรและสอดรับกับเรื่องราว ของผรู้ บั คาปรกึ ษา 2.2) การวางตัวท่ีโน้มตัวเข้าหาผู้รับคาปรกึ ษา เป็นการแสดงความตั้งใจ และใส่ใจ 2.3) การแสดงออกทางสหี น้าและทา่ ทางควรมคี วามสอดคลอ้ ง 2.4) การน่ังหรือยืนให้มีระยะห่างระหว่างผู้ให้คาปรึกษาและผู้รับ คาปรึกษา ระยะที่พอเหมาะ คือ ประมาณ 3 – 5 ฟุต 3) น้าเสียงการพูด จังหวะการพูด ความดังหรือเบาของเสียง ระดับเสียง ความมชี วี ติ ชวี าของนา้ เสยี ง การเนน้ คาตอ้ งมคี วามสัมพนั ธต์ อ่ ส่ิงทีผ่ ูร้ ับคาปรกึ ษาได้พูดออกมาแลว้ 2. ทักษะการนา 2.1 ความหมายของทักษะการนา ทักษะการนา (Leading Skill) เป็นการที่ผู้ให้คาปรึษาพูดนาผู้รับคาปรึกษาไปใน ทิศทางท่ผี ูใ้ หค้ าปรึกษาคดิ วา่ จะทาให้ผรู้ ับคาปรกึ ษาได้ประโยชน์สงู สุดในการมาขอรับคาปรึกษา 2.2 จุดมุ่งหมายของการใช้ทักษะการนา 2.2.1 เพอ่ื กระตนุ้ ใหผ้ ู้รบั คาปรึกษากลท้ จ่ี ะพดู คยุ มากขนึ้ 2.2.2 เพื่อเปิดประเดน็ ปัญหาของผูร้ ับคาปรกึ ษา 2.2.3 เพื่อให้ผรู้ บั คาปรึกษาเลือกประเด็นปญั หาทต่ี อ้ งการปรกึ ษา 2.2.3 เพอ่ื กระต้นุ ใหผ้ ู้รับคาปรึษาสารจปัญหาและนาสอดวามรสู้ ขึ องตวั เองมากขึน้ 2.3 ตัวอยา่ งของการใช้ทักษะการนา การนาด้วยการใช้ประโยคบอกเล่า “หนูจะเรม่ิ ต้นเลา่ สาเหตขุ องการท่หี นูมาพบครูในตอนน้ไี ด้เลยนะ” “ขอรายละเอียดเกย่ี วกบั เรอ่ื ง..เพิม่ เตมิ อีกสักหน่อยซ”ิ
212 “ลองบอกความรู้สึกของเธอที่มตี ่อแมข่ องเธอใหค้ รูฟงั ซิ” “เมอ่ื ก้ีหนพู ดู ว่า....” “ลองยกตัวอยา่ งการกระทาของแมท่ ่ีทาให้เธอรู้สึกเสยี ใจ สกั 1-2 ตัวอย่างซคิ รับ” การนาดว้ ยการถาม “วันนีห้ นอู ยากคุยเร่ืองอะไรคะ” “เราจะเรมิ่ ท่เี รอื่ งไหนก่อนดี” “มีอะไรอีกไหมทคี่ ุณอยากพูดถงึ ” “เธอกาลงั รสู้ กึ อย่างไร ในตอนน้ี” “คุณคดิ ว่าที่เขาพูดอยา่ งน้ัน หมายความวา่ อย่างไร” “คณุ บอกว่ามีเรอ่ื งกังวลอยู่หลายเรื่อง แล้วเร่อื งไหนที่คณุ กังวลมากท่สี ดุ และอยาก พดู ถึงก่อนเป็นอนั ดับแรก” 3. ทักษะการฟัง 3.1 ความหมายของทักษะการฟงั ทักษะการฟัง (Listening Skill) เป็นการให้ความใส่ใจต่อเนื้อหาสาระที่ผู้รับ คาปรึกษาสื่อสารมาทั้งวัจนภาษาและอวัจนภาษา ทาให้ผู้ให้คาปรึกษาเข้าใจพฤติกรรม ความคิด ความรู้สึก และวิธมี องโลกและชีวติ ของผรู้ บั คาปรกึ ษา 3.2 จุดมงุ่ หมายของการใช้ทักษะการฟงั 3.2.1 เพือ่ ให้ผู้ให้คาปรึกษาไดเ้ ข้าใจเน้ือหา และความรูส้ กึ ของผูร้ บั คาปรึกษา 3.2.2 เพื่อแสดงให้ผู้รับคาปรึกษารูส้ กึ วา่ ผ้ใู หค้ าปรกึ ษาสนใจ และกาลงั ตั้งใจฟังใน สงิ่ ทผี่ ้รู บั คาปรกึ ษาพูด การฟังนับว่าเป็นสิ่งสาคัญสาหรับผู้ให้คาปรึกษา การฟังเป็นเทคนิคที่คืออาศัยความ อดทน และใช้สมาธเิ ปน็ อย่างมาก เพราะในระหว่างการให้คาปรกึ ษานั้น ผ้ใู ห้คาปรึกษามิใช่จะรบั ฟัง แต่เร่ืองราวท่ีผู้รับคาปรึกษาเล่าออกมาเท่านั้น แต่จะต้องทาความเข้าใจ ถึงความรู้สึกของผู้รับ คาปรึกษาในขณะน้ัน พรอ้ มทั้งร่วมรบั อารมณ์ (Empathy) ของผู้รับคาปรกึ ษาไปด้วย ในขณะที่ผ้ใู ห้ คาปรกึ ษกาลงั รับฟงั ผู้รบั คาปรึกษาอยู่นั้น ผใู้ หค้ าปรึกษาจาเปน็ ต้องแสดงความเอาใจใส่ (Attending) ต่อผู้รับคาปรึกษา ซึ่งอาจแสดงออกโดยการสบตา หรือพยักหน้าเล็กน้อย ในขณะท่ี รับฟัง หรือ พูดเสริมข้ึนภายหลังจากที่ผรู้ ับคาปรึกษพดู จบ เช่น “อืม ครูเข้าใจว่าเธอร้สู ึกอย่างไรเก่ียวกับเรื่องน้ี” เปน็ ต้น
213 4. ทักษะการถาม 4.1 ความหมายของทกั ษะการถาม ทักษะการถาม (Questioning Skill) เป็นการท่ีผู้ให้คาปรึกษาซักถามผู้รับ คาปรึกษาในระหว่างการให้คาปรึกษา โดยผู้รับคาปรึกษาได้เล่าเร่ืองราวที่ต้องการปรึกษา รวมท้ัง ความร้สู ึกนกึ คดิ ตลอดจนความเชือ่ ของผรู้ บั คาปรกึ ษา 4.2 จุดมุง่ หมายของการใช้ทกั ษะการถาม 4.2.1 เพ่ือให้โอกาสผู้รับคาปรึกษาได้บอกถึงความรู้สึกและเรื่องราวต่างๆ ท่ี ต้องการจะปรึกษา 4.2.2 เพ่ือให้ผู้รับคาปรึกษาได้สารวจและคิดถึงเรื่องราวของตนเองเพ่ือเข้าใจ ตนเองมากขนึ้ 4.2.3 เพ่ือให้ได้ข้อมูล แนวทางแก้ไขปัญหา และแผนการปฏิบัติตามแนวทาง ดังกลา่ ว 4.3 ลักษณะของการต้ังคาถาม การตั้งคาถาม แบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ คาถามปลาย ปิด และคาถามปลายเปดิ สามารถนาเสนอรายละเอียดดังน้ี 4.3.1 คาถามปลายปิด เป็นการตั้งคาถามท่ีต้องการคาตอบเฉพาะเจาะจง เช่น ถามวา่ “ร้สู ึกไม่สบายใจในเรือ่ งน้ีใช่ไหม” “ในหอ้ งเรยี นสนิทกับใครมากท่สี ดุ ” “ชอบวิชาใด” เป็นต้น สามารถนาคาตอบท่ีได้มาใช้ในการรวบรวมข้อมูล ทาความกระจ่าง การเพ่งประเด็น และชว่ ยกาจัด ขอบเขตของเรือ่ งราวในการพดู คุย หรอื อาจหยุดการสนทนาในบางประเด็นท่ีผู้รับคาปรกึ ษาเกิดความ สบั สนหรอื หลงประเดน็ ตัวอย่าง ผูใ้ ห้คาปรึกษา : วรารตั น์ไมช่ อบให้คณุ แมก่ ลบั บา้ นหลังเท่ยี งคืนใชไ่ หม ผู้รับคาปรกึ ษา : ใช่ค่ะ หนอู ยากใหค้ ุณแมม่ เี วลาใหห้ นบู า้ ง ผใู้ ห้คาปรกึ ษา : หนูคิดจะพดู เร่อื งนี้กบั แม่ไหม ผรู้ บั คาปรึกษา : ไม่แนใ่ จคะ่ 4.3.2 คาถามปลายเปิด เป็นการตง้ั คาถามเพ่ือเปิดโอกาสให้ผรู้ ับบรกิ ารได้ระบาย ความรู้สึกนึกคิดและเล่ารายละเอยี ดของปญั หา หรือแสดงความคิดเห็นของตนออกมา เช่น ถามว่า “คุณรู้สึกอย่างไรบ้างเก่ียวกับเร่อื งนี้” “ที่คุณเล่าว่า เพือ่ นดูถูกคุณ เขาทาอย่างไรบ้าง” เพ่ือเป็นการ สารวจตนเองและปัญหาของตนเองตลอดจนช่วยใหผ้ ู้รับการปรึกษา และเข้าใจถึงความคิดความรูส้ ึก และพฤติกรรมของตนเอง
214 ตัวอยา่ ง ผใู้ ห้คาปรึกษา : วรารัตนม์ ีความคิดอยา่ งไรทคี่ ณุ แมก่ ลับบา้ นหลงั เทยี่ งคนื ทกุ วนั ผู้รับคาปรึกษา : หนูไมช่ อบ ไม่อยากให้คุณแมก่ ลับดกึ และสงสยั ว่างานของ คุณแม่มีอะไรหนักหนาถงึ ต้องกลบั ดกึ ทกุ วนั ผู้ใหค้ าปรกึ ษา : แล้ววรารตั น์คดิ จะทาอยา่ งไรต่อไป ผู้รบั คาปรึกษา : หนคู ิดหลายอยา่ งค่ะ บางทกี ็อยากพดู กับคณุ แม่ไปตรงๆ บางทีก็ จะขอตามคุณแมไ่ ปทางานดว้ ย และไม่แน่หนอู าจจะสะกดรอย ตามไปดู เพราะหนูคดิ วา่ คณุ แมค่ งไม่พูดความจรงิ แน่ๆ 5. ทักษะการเงยี บ 5.1 ความหมายของทักษะการเงียบ ทักษะการเงียบ (Silent Skill) เป็นการที่ผู้ให้คาปรึกษาปล่อยให้มีความเงียบใน กระบวนการใหค้ าปรึกษา กลา่ วคอื ไม่มีการสอ่ื สารดว้ ยวาจาระหว่างผใู้ หค้ าปรกึ ษากับผู้รบั คาปรึกษา แตย่ งั คงมีการส่อื สารทางอารมณแ์ ละความรสู้ ึก 5.2 จดุ มงุ่ หมายของการใชท้ ักษะการเงียบ 5.2.1 เพื่อให้ผู้รบั คาปรึกษาได้คิดทบทวนเรื่องราวของตวั เอง และทาความเขา้ ใจ ในสงิ่ ทเ่ี ขาพดู หรือร้สู ึก 5.2.2 เพื่อให้ผู้รับคาปรึกษาได้หยุดพักหลังจากพูดจบ หรือหลังจากได้แสดง อารมณโ์ กรธ เสียใจ เช่น บน่ ร้องไห้ 5.2.3 เพ่ือแสดงความใส่ใจและร่วมรับรู้ รวมถึงเข้าใจในอารมณแ์ ละความรสู้ ึกของ ผู้รบั คาปรกึ ษาท่ีเกิดข้นึ ในขณะนนั้ 5.3 ตวั อยา่ งของการใช้ทกั ษะการเงียบ ผ้รู ับคาปรึกษา : ผมไมแ่ นใ่ จว่า ผมจะมโี อกาสตอบแทนบญุ คณุ ของแมไ่ หม.... เพราะ.... ผู้ให้คาปรกึ ษา : (เงยี บ).... ผรู้ ับคาปรึกษา : ...หมอบอกว่า..แม่..แม่..อาจจะ...(นา้ ตาไหล) ผู้ให้คาปรกึ ษา : (เงยี บ)....(ส่งกระดาษซบั น้าตาให้).. ผู้รบั คาปรึกษา : แม่ แมอ่ าจจะ...อยกู่ บั พวกเรา...ได้ไม่นาน...(รอ้ งไห)้ ผูใ้ หค้ าปรึกษา : (เงียบ)...ครูเขา้ ใจความรสู้ กึ ของคุณค่ะ...ในเมื่อตอนนแ้ี ม่ของคุณ ยงั อยู่ คณุ คดิ วา่ คณุ จะทาอะไรใหแ้ ม่ช่ืนใจได้บ้างละ
215 6. ทักษะการสะทอ้ นกลบั 6.1 ความหมายของทกั ษะการสะท้อนกลับ ทักษะการสะท้อนกลับ (Reflection Skill) เป็นการบอกความเข้าใจของผู้ให้ คาปรึกษาที่มตี ่อสิง่ ที่ผูร้ บั คาปรึกษารู้สึก รับรู้ หรอื สนใจท่ีเป็นปัจจุบันขณะใหค้ าปรึกษา การสะท้อน จะรวมความรู้สึกของผู้รับคาปรึกษา และเนื้อหาที่ผู้รับคาปรึกษาพูดถึง หรือสิ่งท่ีผู้ให้คาปรึกษา สังเกตเห็นจากกริยาท่าทางของผู้รับคาปรึกษา และเน้ือหาที่ผู้รับคาปรึกษาให้ความสาคัญ โดยใช้ คาพูดของผใู้ ห้คาปรึกษาและทีช่ ัดเจนเขา้ ใจไดง้ า่ ยขน้ึ 6.2 จดุ ม่งุ หมายของการใช้ทกั ษะการสะทอ้ นกลับ 6.2.1 เพื่อกระตนุ้ ให้ผู้รับคาปรกึ ษาแสดงความรสู้ กึ และเปิดเผยเรอื่ งราวของตนเอง ให้มากขึน้ หรือชัดเจนขึ้น 6.2.2 เพ่ือให้ผู้รับคาปรึกษาเข้าใจปัญหา รวมทั้งสาเหตุและผลกระทบที่เกิดข้ึน ตลอดจนเกดิ ความเข้าใจ ความร้สู กึ ของตัวเองมากขน้ึ 6.2.3 เพ่อื แสดงความสนใจและเขา้ ใจความรสู้ กึ และเร่อื งราวของผ้รู ับคาปรกึ ษา 6.3 ลกั ษณะของการสะทอ้ นกลับ การสะทอ้ นแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ 6.3.1 การสะท้อนความรู้สึก (Reflecting of Feeling) เป็นการช่วยให้ผู้รับ คาปรกึ ษาตระหนกั ในความรู้สกึ ของตนเอง 6.3.2 การสะท้อนเน้ือห า (Reflecting of Content) เป็น การช่วยให้ ผู้รับ คาปรึกษาเข้าใจเรื่องราวของตนเอง 6.4 ตัวอย่างของการใช้ทกั ษะการสะท้อนกลับ ผรู้ ับคาปรึกษา : พอ่ กับแม่ทะเลาะกนั ตลอด ผมไม่รวู้ ่าเมอื่ ไหรค่ รอบครัวของผม จะอยู่กนั อย่างสงบสขุ แบบครอบครวั อื่นเขาบา้ ง ผู้ใหค้ าปรึกษา 1 : เธอไม่มีความสุขทตี่ อ้ งอยูใ่ นท่ามกลางความขัดแยง้ ของพ่อแม่ (สะท้อนความรสู้ กึ ) ผู้ใหค้ าปรึกษา 2 : การทพ่ี ่อแมไ่ มป่ รองดองกนั ทาให้เธอไม่มคี วามสุข (สะท้อนเนอื้ หา) 7. ทกั ษะการซ้าความ/การทวนความ 7.1 ความหมายของทักษะการซา้ ความ/การทวนความ ทกั ษะการซา้ ความ/การทวนความ (Paraphrasing Skill) เป็นการท่ีผู้ให้คาปรึกษา พูดซ้าในเรื่องท่ีผู้รับคาปรึกษาบอกอีกครั้งหนึ่ง โดยคงสาระสาคัญของเน้ือหา หรือความรู้สึกไว้ ตามเดมิ อาจเปน็ การทวนซา้ ทง้ั ประโยค หรือทวนซ้าบางส่วนโดยทาขอ้ ความใหก้ ะทัดรดั ข้นึ
216 7.2 จดุ มุ่งหมายของการใช้ทกั ษะการซ้าความ/การทวนความ 7.2.1 เพอ่ื แสดงถึงความใส่ใจ ความเข้าใจของผใู้ ห้คาปรึกษาทีม่ ีต่อผูร้ ับคาปรึกษา 7.2.2 เพอ่ื ใหผ้ ้รู ับคาปรึกษาเปิดเผยตวั เองมากขึน้ 7.2.3 เพื่อย้าใหผ้ ู้รับคาปรกึ ษาเข้าใจในส่ิงท่ีตวั เองพูดได้ชัดเจนย่งิ ข้ึน จากการฟัง สิ่งทีต่ ัวเองพดู อกี ครงั้ 7.2.4 เพ่ือชว่ ยให้ผู้รับคาปรกึ ษาชดั เจนและตรงประเด็นในสิ่งท่ีเขาต้องการพูด 7.2.5 เพ่ือตรวจสอบความเข้าให้ตรงกันของผู้ให้และผู้รับคาปรึกษาในสิ่งที่ผู้รับ คาปรึกษากาลงั พูดถงึ 7.3 ตวั อยา่ งของการใชท้ ักษะการซา้ ความ/การทวนความ ผรู้ ับคาปรกึ ษา : ผมไม่ร้วู ่าจะจดั การกับชีวิตของผมต่อไปอย่างไรดี บางครงั้ อยากจะออกไปหางานทาให้ได้ประสบการณ์ก่อน ขณะเดียวกัน ก็คิดว่า..นา่ จะเรียนใหจ้ บๆ ไป แต.่ .ก็ไมแ่ น่ใจว่าจะเรียนจบไหม ผู้ใหค้ าปรึกษา 1 : เธอไม่รู้วา่ จะตัดสินใจอยา่ งไรดรี ะหว่างออกไปทางานเพ่ือหา ประสบการณก์ บั เรียนตอ่ จนจบ แต่กไ็ ม่แนใ่ จว่าจะเรียนจบไหม (ซ้า/ทวนทัง้ หมด เปล่ยี นเฉพาะสรรพนาม) ผ้ใู ห้คาปรึกษา 2 : เธอทง้ั อยากออกไปทางานและเรียนต่อไปจนจบ (ซา้ /ทวน เฉพาะประเด็นสาคัญ) ผู้ใหค้ าปรึกษา 3 : เธอตดั สินใจไมไ่ ด้วา่ ทางเลือก 2 ทางนัน้ ทางไหนเหมาะกับ ตัวเธอ (ซา้ /ทวน โดยสรุปแต่คงสาระสาคัญไว้) 8. ทกั ษะการใหก้ าลงั ใจ 8.1 ความหมายของทักษะการใหก้ าลงั ใจ ทักษะการใหก้ าลงั ใจ (Encouragement Skill) เป็นการแสดงความสนใจ เข้าใจใน ส่ิงท่ีผู้รับคาปรึกษาพูด และสนับสนุนให้กาลังใจ เพ่ือให้ผู้รับคาปรึกษาเกิดความเช่ือม่ันในการ แกป้ ญั หาหรือตัดสินใจ โดยผใู้ ห้คาปรึกษาใช้การใหก้ าลงั ใจทง้ั การใชค้ าพดู และภาษาทา่ ทาง 8.2 จุดมงุ่ หมายของการใช้ทกั ษะการใหก้ าลังใจ 8.2.1 เพ่ือกระตุ้นให้ผู้รับคาปรึกษากระตือรือร้น และมั่นใจในตนเอง รวมท้ัง ตระหนักใน ความสามารถและคุณค่าในตวั เอง 8.2.2 เพื่อกระตุ้นให้ผู้รับคาปรึกษากล้าที่จะคิดและทาในส่ิงท่ีไม่เคยคิด หรือทา มาก่อน 8.2.3 เพอื่ ชว่ ยให้ผรู้ บั คาปรึกษาไดค้ ลายเครียด
217 8.3 ตวั อย่างของการใช้ทักษะการให้กาลังใจ “น่นั เปน็ ความคดิ ทดี่ ีทเี ดียว” “คณุ มคี วามทกุ ข์โศกมากทีพ่ ่อตาย แต่ในทีส่ ดุ คุณกจ็ ะปรับตวั และแก้ไขปญั หาได้” “น้อยคนนักจะคิดได้อย่างเธอครู เชื่อว่าเธอจะสามารถจัดการกับเร่ืองยุ่งๆ น้ีได้ อย่างแน่นอน” “ทาตอ่ ไปเถอะ แม้ผลจะออกมาไม่ดีอย่างที่หวังท้ังหมด แต่ทกุ อย่างก็คลี่คลายไป มากแลว้ ” 9. ทักษะการสรปุ ความ 9.1 ความหมายของทักษะการสรปุ ความ ทักษะการสรุปความ (Summarizing Skill) เปน็ การรวบรวมใจความสาคัญทัง้ หมด ของความคิด อารมณ์ ความรู้สึกของผรู้ ับคาปรึกษาทเี่ กิดขึ้นในระหวา่ งใหค้ าปรกึ ษาหรือในแต่ละคร้ัง แล้วสื่อกลับไปโดยใชค้ าพูดสั้นๆ ใหไ้ ด้ใจความสาคญั ทงั้ หมด ผ้ใู ห้การปรึกษาควรใช้ทกั ษะน้ีเมอื่ จะเริ่ม ประเด็นใหม่ เม่ือพูดหรือเล่าเร่ืองหน่ึงๆ มานาน หรือยาวๆ อาจดูซับซ้อนจึงควรสรุปเสียครั้งหน่ึง กอ่ นจบการให้คาปรกึ ษาในแต่ละครัง้ 9.2 จดุ มุ่งหมายของการใช้ทกั ษะการสรุปความ 9.2.1 เพ่ือย้าประเด็นสาคัญให้มีความชัดเจนในกรณีที่มีการพูดคุยกันหลาย ประเด็น 9.2.2 เพ่อื ให้ผ้รู บั คาปรึกษาเข้าใจเรอ่ื งราวและความรสู้ กึ ของตัวเอง 9.2.3 เพ่ือให้การใหค้ าปรกึ ษาแต่ละคร้ังมีความต่อเน่อื งกัน 9.2.4 เพอ่ื ช่วยให้ผรู้ ับคาปรกึ ษาและผู้ใหค้ าปรึกษาเข้าใจเรอื่ งราวที่กาลงั สนทนาได้ อยา่ งถูกตอ้ งตรงกนั และได้ใจความทช่ี ดั เจน 9.3 ตวั อย่างของการใช้ทกั ษะการสรปุ ความ ตวั อย่างท่ี 1 ผู้ให้คาปรกึ ษาสรปุ : จากทเ่ี ราคยุ กนั มาประมาณ 40 นที เธอกงั วลเร่ือง...เพราะ... และเธออยาก (ต้องการ) ให้...เรากาลังช่วยกันคดิ วิธีการ เพอ่ื ให้เป็นไปอย่างที่เธอต้องการ เพ่ิงจะคิดไดว้ ธิ เี ดียว คอื ... แตเ่ วลาทเ่ี ราจะพูดคุยกันหมดลงเสียก่อน เพราะฉะนน้ั ครูจะขอให้เธอมาพบครู อีกในวัน.. เวลา.. เพ่อื เราจะได้มา ชว่ ยกนั คดิ หาวธิ กี ารอ่ืนๆ ตอ่ ไป
218 ตัวอยา่ งท่ี 2 ผใู้ หค้ าปรกึ ษาขอให้ผู้รบั คาปรกึ ษาสรปุ : ก่อนที่จะหมดเวลาคยุ กนั ในวันน้ี ครจู ะ ขอใหค้ ุณสรุปว่า เราคยุ อะไรกันไปบ้าง โดยครูจะช่วยเสริมในส่วนทีข่ าดให้ 10. ทกั ษะการทาให้กระจ่าง 10.1 ความหมายของทักษะการทาให้กระจา่ ง ทักษะการทาให้กระจ่าง (Clarifying Skill) เป็นการทผี่ ใู้ หค้ าปรึกษากลา่ วถงึ สิง่ ท่ี คดิ วา่ ผรู้ บั คาปรึกษาพยายามจะพูดถึง โดยไม่เปลี่ยนเน้ือหาของคาพูดนนั้ แตใ่ ช้ภาษาท่ีชัดเจนเพอื่ ให้ เข้าใจไดง้ า่ ยขึน้ 10.2 จดุ มงุ่ หมายของการใช้ทักษะการทาให้กระจา่ ง 10.2.1 เพื่อให้ผู้รับคาปรึกษาได้เข้าใจความคิด ความรู้สึกของตนเอง ซึ่งเป็น สาเหตขุ องปญั หาหรือสาระสาคญั ของประสบการณ์ในชวี ิต 10.2.2 เพื่อเอื้ออานวยให้ผู้รับคาปรึกษาให้ข้อมูลเพิ่มเติมหรือขยายความมาก ยิ่งขนึ้ 10.2.3 เพ่ือแสดงให้เห็นว่าผู้ให้คาปรึกษามีความเข้าใจท่ีถูกต้องในปัญหาของ ผ้รู บั คาปรึกษา 10.3 ตัวอยา่ งของการใช้ทักษะการทาใหก้ ระจา่ ง ผูร้ ับคาปรกึ ษา : อาจารย์กฤตยานะทา่ ทางจะไมช่ อบหนูเอาซะเลย เขาจะจกิ หนู โดยการแกล้งเรียกหนูให้ตอบตลอด..แทบจะทกุ ชั่วโมงทส่ี อน เลยคะ่ ผู้ใหค้ าปรกึ ษา : เธอกาลังพดู ว่า อาจารย์กฤตยาถามเธอ เพราะไม่ชอบเธอ อย่างนี้ใชไ่ หม? 11. ทกั ษะการตคี วาม 11.1 ความหมายของทกั ษะการตคี วาม ทักษะการตีความ (Interpretation Skill) เป็นการท่ีผู้ให้คาปรึกษาทาความ เข้าใจปญั หาของผู้รบั คาปรึกษาในประเด็นต่างๆ จากการสงั เกตและแปลความหมายท่ีผรู้ ับคาปรึษา มไิ ด้แสดงออกโดยตรง แล้วอธิบายพฤติกรรม ความรู้สึก และอารมณข์ องผรู้ ับคาปรกึ ษาเปน็ คาพูดของ ผ้รู บั คาปรกึ ษา
219 รับรู้เดิม 11.2 จุดมุ่งหมายของการใช้ทักษะการตีความ 11.2.1 เพ่ือขยายความให้ผู้รบั คาปรึกษามองปัญหาในแง่มุมใหม่ท่ีต่างจากการ 11.2.2 เพือ่ ชว่ ยให้ผูร้ ับคาปรกึ ษามองโลกกวา้ งขนึ้ 11.2.3 เพอ่ื ช่วยให้ผู้รบั คาปรึกษาเขา้ ใจตนเองในระดับทลี่ ึกและถูกต้องมากขนึ้ 11.2.4 เพอ่ื ใหผ้ รู้ บั คาปรึกษาเข้าใจปญั หาและสาเหตุของปัญหา 11.3 ตวั อยา่ งของการใช้ทกั ษะการตีความ ตวั อยา่ งท่ี 1 ผู้รบั คาปรกึ ษา : เขาหมดรกั หนแู ลว้ หนูตั้งใจว่าจะเลกิ กบั เขาให้หมดเร่ืองไป แต่หนู..ก็..ก็คงตอ้ งทาใจ หนจู ะทาไงดี บางที... หนูอดท่ีจะ นกึ ถึง...ความหลงั ท่ดี ีๆ ของเราสองคนไม่ได้ แลว้ กค็ ดิ ถึง... วนั หน่ึงทต่ี ้องอยคู่ นเดียว... ผ้ใู ห้คาปรึกษา : ดูเหมอื นว่าหนูยังรกั และผูกพันกับคนรกั คนนอ้ี ยู่ ตัวอย่างที่ 2 ผู้รบั คาปรกึ ษา : เกรดของทกุ วิชาเลขออกมาไมด่ เี ลย หนไู ม่รูว้ า่ ทาไม...ก็เลย ไม่อยากเรียนแผนนีแ้ ลว้ อยากเปลีย่ นแผน... หรอื ว่า...ผู้หญิง ไมเ่ หมาะกบั การเรียนวิชาเลข ผ้ใู หค้ าปรึกษา : เป็นไปไดไ้ หมทีห่ นูกาลังจะใช้เหตผุ ลความเป็นผูห้ ญงิ กบั ความ ถนัดในการเรียนวชิ าเลข เป็นเหตุผลทจ่ี ะเปลย่ี นแผนการเรยี น 12. ทกั ษะการเผชญิ หนา้ 12.1 ความหมายของทักษะการเผชิญหน้า ทักษะการเผชิญหน้า (Confrontation Skill) เปน็ การท่ีผ้ใู หค้ าปรึกษาแสดงออก ด้วยวาจาถงึ ความขัดแย้ง ความไม่สอดคล้อง ความสับสนระหวา่ งพฤติกรรม ความคดิ ความรสู้ ึกและ การรบั รขู้ องผรู้ บั คาปรกึ ษา 12.2 จุดมุง่ หมายของการใช้ทักษะการเผชิญหน้า 12.2.1 เพอ่ื ให้ผรู้ บั คาปรึกษาเขา้ ใจตนเองมากยิ่งข้นึ 12.2.2 เพือ่ ช่วยใหผ้ ูร้ ับคาปรึกษาเข้าใจถึงปัญหาสาคัญๆ ของตนเองได้เร็วข้นึ 12.2.3 เพ่ือเป็นการสนับสนุนและให้กาลังใจผู้รับคาปรึกษาในการเผชิญกับ ปญั หาและความจริงเก่ียวกบั ตนเอง 12.2.4 เพ่ือกระตุ้นใหผ้ ้รู บั คาปรกึ ษาเปดิ เผยตนเองมากข้นึ
220 12.2.5 เพื่อให้ผู้รับคาปรึกษายอมรับความจริง สามารถจัดการให้เกิดความ สอดคลอ้ งในตนเอง ซึง่ จะนาไปสู่ชีวติ ทม่ี ศี กั ยภาพมากขนึ้ 12.3 ตวั อยา่ งของการใช้ทกั ษะการเผชญิ หนา้ ผู้รับคาปรกึ ษา : หนคู ิดว่า... ไม่โกรธเพือ่ น ไม่เคยโกรธใครเลย (หลบสายตและกามอื แนน่ ) ผใู้ ห้คาปรกึ ษา : หนบู อกว่าไมโ่ กรธเพอ่ื น แต่หนูกามอื แนน่ หนลู องทบทวน ความรู้สกึ ของหนใู หมอ่ กี ทซี ิ 13. ทกั ษะการใหข้ อ้ มูล 13.1 ความหมายของทกั ษะการให้ขอ้ มูล ทักษะการให้ข้อมูล (Giving Information Skill) เป็นการส่ือสารทางวาจาโดย อาศัยข้อมลู เปน็ แนวทาง เพ่อื ให้ผรู้ ับการปรกึ ษาได้รับรู้ขอ้ มูล วธิ ีการ หรือรายละเอยี ดของเรอ่ื งตา่ งๆ อย่างตรงไปตรงมา ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการเขา้ ใจและการตัดสินใจ เพ่อื ใหผ้ รู้ ับการปรกึ ษามีทางเลือก มากขึน้ ส่วนการใหค้ าแนะนา เปน็ การชแ้ี นะแนวทางปฏิบตั ิในการแกไ้ ขปัญหาใหแ้ กผ่ ู้รบั คาปรกึ ษา 13.2 จดุ ม่งุ หมายของการใช้ทักษะการให้ข้อมูล 13.2.1 เพอ่ื ใหค้ วามรู้ ขอ้ มลู และรายละเอยี ดตา่ งๆ ทจ่ี าเป็นแกผ่ รู้ ับคาปรึกษา 13.2.2 เพือ่ ให้ผู้รับคาปรึกษาเข้าใจปัญหาของตนเอง และใชข้ ้อมลู ประกอบการ ตัดสินใจ 13.2.3 เพ่อื ให้ผ้รู ับคาปรึกษามีทางเลือกและแนวทางปฏิบตั ิท่ีเขาอาจจะนกึ ไมถ่ งึ 13.3 ตัวอยา่ งของการใช้ทกั ษะการให้ขอ้ มลู “ก่อนที่ครูจะให้รายละเอียดเก่ียวกับเร่ือง...ครูอยากทราบว่านักเรียนรู้/เข้าใจ เกี่ยวกบั เรื่องนวี้ ่าอย่างไรบา้ งครับ” “ในสว่ นไหนของเร่อื ง...ท่ีหนคู ดิ ว่ายงั ไม่รแู้ ละต้องการรายละเอียดเพิ่ม” “สาหรับแนวทางทีจ่ ะจัดการเรอ่ื ง...ครูคิดว่าควรจะ...หนคู ิดวา่ อย่างไรคะ” “เท่าท่ีครูนึกออกในตอนนี้นะ ครูว่า นักเรียนน่าจะ...นักเรียนคิดอย่างไรกับ ข้อเสนอแนะของครู” ขอ้ ควรระวัง การใหค้ าแนะนามขี ้อเสยี อยู่หลายประการ เช่น หากผรู้ บั คาปรึกษาไม่ชอบก็จะปฏเิ สธ และมีทัศนคติทางลบต่อการให้คาปรึกษาและผู้ให้คาปรกึ ษา หรือถ้าผู้รับคาปรึกษาได้รับคาแนะนา แล้วนาไปปฏบิ ัติและไม่ได้รับผลก็จะโทษผู้ใหค้ าปรึกษา หากได้รบั ผลดีผรู้ ับคาปรึกษาก็จะมาใหม่อีก เป็นการสร้างความรู้สึกผูกพันและพ่ึงพิง นอกจากน้ีการให้คาแนะนามีโอกาสที่จะเกิดความเข้าใจไม่
221 ตรงกนั ได้ แม้ผูใ้ ห้คาปรึกษาจะเป็นผ้มู ีบทบาทมากในการแนะนา ผู้ใหค้ าปรึกษาต้องตระหนักไว้เสมอ ว่าในทส่ี ุดแลว้ ผู้รับคาปรึกษาจะตอ้ งเปน็ ผู้ตดั สนิ ใจเลือกเอง 14. ทกั ษะการชผ้ี ลทต่ี ามมา 14.1 ความหมายของทกั ษะทักษะการช้ีผลที่ตามมา ทกั ษะการชี้ผลท่ีตามมา (Pointing Outcome Skill) เปน็ การชี้ใหผ้ ้รู ับคาปรกึ ษา ได้เหน็ ผลท่อี าจตามมาจากการคดิ การตดั สนิ ใจ การวางแผน และการปฏิบตั ขิ องเขาเอง ท้ังในทางลบ และทางบวก ผลทต่ี ามมานอ้ี าจเป็นได้ทั้งเหตกุ ารณ์ทเี่ กิดขนึ้ ในใจเขาหรอื เหตกุ ารณ์ภายนอก ซงึ่ ทาให้ พฤติกรรมทีเ่ ปน็ ปญั หาคงอยู่รนุ แรงขนึ้ หรอื ลดลง เช่น - ด้านอารมณ์ความรู้สึก เช่น รู้สึกดี ไมด่ ี กลมุ้ ใจ สับสน ไมม่ น่ั ใจ - ด้านร่างกาย เช่น ใจเตน้ ปวดศีรษะ ทอ้ งผกู เจ็บปว่ ย - ดา้ นพฤติกรรม การปฏบิ ตั ติ ัว กจิ กรรมทีท่ า - ดา้ นความคดิ ทศั นคติ ความเชื่อ - ด้านสง่ิ แวดลอ้ ม เชน่ เวลา เหตุการณ์ สถานท่ี เงนิ ทรพั ยส์ นิ - ด้านความสัมพันธ์กับผู้อื่น เช่น ทาให้มีปัญหากับเพ่ือน ญาติ เพื่อนร่วมงาน เปน็ ต้น 14.2 จุดมงุ่ หมายของการใช้ทักษะการชผี้ ลที่ตามมา 14.2.1 เพ่ือให้ผู้รับคาปรึกษารับรู้ถึงผลดีและผลเสียของการคิด การตัดสินใจ การวางแผนและการปฏบิ ตั ขิ องเขาเองทัง้ ในทางลบและทางบวก 14.2.2 เพือ่ ให้ผู้รบั คาปรกึ ษาตัดสินใจได้อย่างมปี ระสิทธิภาพมากขน้ึ 14.3 ลักษณะของการชี้ผลทต่ี ามมา ซง่ึ การชี้ผลท่ีตามมาอาจทาได้ 2 ทาง คอื 14.3.1 การชี้ผลที่ตามมาในทางบวก เป็นการช้ีให้ผู้รับคาปรึกษา เห็นข้อดีและ ประโยชน์ท่ี จะที่จะได้รับ เปน็ การสนับสนนุ ให้ผู้รับคาปรึกษากล้าตัดสินใจหรอื ปฏิบัติตามแผนท่ไี ด้ วางไว้ 14.3.2 การช้ีผลท่ีตามมาในทางลบ เป็นการบอกถึงผลท่ีไม่ดีหรือโทษท่ีอาจจะ ตามมาจากการตัดสินใจหรอื การปฏบิ ัติ 14.4 ตัวอยา่ งของการใช้ทกั ษะการชผ้ี ลท่ีตามมา ผรู้ บั คาปรกึ ษา : “ผมไม่เรยี นแลว้ ผมเบอื่ ... เบ่ือทุกอย่างเลย... ผมจะไปจาก ทุกคน ไปตามทางของผม แลว้ ผมกจ็ ะไมต่ ิดต่อกบั ใครเลย... และกไ็ ม่ไปที่บ้านด้วย อาจารยค์ อยดนู ะ”
222 ผใู้ ห้คาปรึกษา 1 : “ถา้ เธอทาอย่างท่บี อก ลองคิดซิว่า พ่อกบั แม่เธอจะเปน็ อย่างไร” (ใหผ้ ้รู ับคาปรึกษา ชี้ผลที่ตามมา) ผู้ใหค้ าปรึกษา 2 : “ถา้ เธอทาอยา่ งทีบ่ อก พอ่ กบั แมเ่ ธอคงจะผิดหวังและเสียใจ มาก” (ผูใ้ ห้คาปรกึ ษา ชผ้ี ลทตี่ ามมา) 15. ทกั ษะการจดั การ 15.1 ความหมายของทักษะการจดั การ ทักษะการจัดการ (Verbal Setting Operation Skill) เป็นคาอธิบายเกี่ยวกับ ลกั ษณะ ขอบข่าย กระบวนการ หรอื กลวิธีในการให้คาปรึกษาที่ผู้ให้คาปรึกษาอธบิ ายหรือชี้แจงให้ ผ้รู บั คาปรกึ ษา เกดิ ความเขา้ ใจเก่ยี วกบั บริการใหค้ าปรึกษา 15.2 จุดมุ่งหมายของการใช้ทักษะการจดั การ 15.2.1 เพื่อช่วยให้ผู้รับคาปรึกษาเกิดความเข้าใจเก่ียวกับกระบวนการและ องคป์ ระกอบท่ีสาคญั ของการให้คาปรกึ ษามากขึ้น 15.2.2 เพ่ือให้ผู้รับคาปรึกษาเข้าใจบทบาทหน้าที่ของผู้ให้คาปรึกษาและ ตัวเขาเอง 15.2.3 เพ่อื ให้ผรู้ ับคาปรึกษาแสดงบทบาทไดเ้ หมาะสมขึน้ 15.2.4 เพื่อจูงใจใหผ้ ู้รับคาปรึกษาเกิดความไว้วางใจ และมั่นใจในการใช้บริการ ใหค้ าปรึกษา 15.3 ตัวอย่างของการใช้ทักษะการจดั การ “การพูดคุยกันของเราในวันนี้ ก็เพ่ือช่วยให้เธอสบายใจข้ึน ที่ได้เล่า ได้ระบาย ความรู้สึกตา่ งๆ ออกมา แลว้ ยังช่วยให้เธอเขา้ ใจตวั เองมากข้นึ ” “เราอาจต้องคุยกันหลายคร้ัง เพ่ือทาความเข้าใจปัญหาและความต้องการท่ี แทจ้ รงิ ของหนู เพอ่ื ชว่ ยกนั หาแนวทางให้ได้ในส่งิ ทห่ี นตู ้องการ คณุ มคี วามเหน็ ว่าอย่างไรบ้าง\" “ในการปรึกษากันนี้ ครูมีหนา้ ที่ช่วยวิเคราะห์เพ่ือให้หนูเขา้ ใจตนเองมากขึ้น การ ตัดสนิ ใจว่าจะแก้ไข/ปรับปรงุ ตัวเองหรือไม่น้นั เปน็ การตัดสินใจของหนูเอง” “แม้เธอตัดสินใจว่าจะทาตามแนวทางที่เราช่วยกันคิดไว้ แต่ถ้าเธอไม่ลงมือทา อยา่ งจรงิ จงั มันก็คงไมเ่ กดิ ผลอะไร เพราะฉะน้ันถ้าได้แนวทางแก้ไขแล้วเธอต้องลงมือทา การปรึกษา จึงจะเป็นประโยชน์ตอ่ ตัวเธอ ไดข้ ้อมูลแบบนีแ้ ลว้ ร้สู กึ อยา่ งไรบ้าง”
223 บทสรปุ การให้คาปรึกษาเป็นกระบวนการให้ความช่วยเหลือ โดยมีผู้ให้คาปรกึ ษาซึ่งเป็นบุคคลที่ ได้รับการฝึกฝนอบรมทางด้านการให้ความช่วยเหลอื ทางจิตวิทยาโดยเฉพาะ ให้แก่ผู้รับคาปรึกษาซึ่ง เป็นผู้ท่ีประสบปัญหาที่มาขอรับการช่วยเหลือ เพ่ือให้ผู้รับคาปรึกษาได้สารวจ และทาความเข้าใจ ปัญหา ตลอดจนสามารถแสวงหาวิธกี ารแกไ้ ขปญั หา และตัดสนิ ใจเลอื กไดด้ ้วยตนเอง บริการให้คาปรึกษาเปรียบเสมือนหัวใจของบริการแนะแนว เน่ืองจากมีความสาคัญต่อ ผู้รับบริการ ท้ังในด้านการป้องกันปัญหา การแก้ไขปัญหา และการส่งเสริมพัฒนาผู้รับบริการ ซึง่ จดุ มุ่งหมายของการให้คาปรึกษาระยะสน้ั เป็นลักษณะการแก้ไขปัญหาเบ้ืองต้น และจุดมุ่งหมาย ของการให้คาปรึกษาระยะยาว เป็นลักษณะการช่วยเหลือและพัฒนาพฤติกรรมอย่างเป็นรูปธรรม ทาให้ผู้รับคาปรึกษาสามารถใช้ศักยภาพของตนเองได้อย่างเต็มที่ สาหรับขอบข่ายของบริการ ให้คาปรกึ ษามี 3 ด้าน ได้แก่ ด้านการศึกษา ด้านอาชีพ และด้านส่วนตัวและสังคม ซึ่งมรี ูปแบบของ การให้คาปรึกษา มี 2 รูปแบบ คือ การให้คาปรึกษาเป็นรายบุคคล และการให้คาปรึกษาแบบกลุ่ม โดยประเภทของการให้คาปรึกษา ประกอบด้วย 4 ประเภท คือ การให้คาปรึกษาในภาวะวกิ ฤติ การ ให้คาปรึกษาเพ่ือช่วยเหลือเอื้ออานวย การให้คาปรึกษาเพ่ือป้องกนั ปัญหา และการให้คาปรึกษาเพ่ือ สง่ เสริมพฒั นาการ ในส่วนคณุ สมบตั ขิ องผใู้ หค้ าปรกึ ษาควรประกอบด้วยคณุ สมบตั ิท่สี าคญั 2 ประการ คือ คุณสมบัติด้านบคุ ลกิ ภาพ และคณุ สมบัติดา้ นความรู้ ความสามารถ และประสบการณใ์ นวิชาชีพ รวมถึงการมีจรรยาบรรณของการให้คาปรึกษา สาหรับวิธีการให้คาปรึกษา จาแนกได้ 3 วิธี คือ วิธีการให้คาปรึกษาแบบนาทาง วิธกี ารให้คาปรกึ ษาแบบไม่นาทาง และวิธีการให้คาปรึกษาแบบผสม หรือแบบสายกลาง ทฤษฎีการให้คาปรึกษาสามารถจาแนกเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ได้ 2 กลุ่ม คือ ทฤษฎีที่เน้นด้าน ความรสู้ กึ และอารมณ์ ไดแ้ ก่ ทฤษฎผี ูร้ ับคาปรึกษาเปน็ ศูนยก์ ลาง ทฤษฎีจติ วิเคราะห์ ทฤษฎเี กสตอลท์ และทฤษฎีที่เน้นด้านความคิดและเหตุผล ได้แก่ ทฤษฎีการพิจารณาอารมณ์ เหตผุ ล และพฤติกรรม ทฤษฎีการวเิ คราะห์การติดต่อสัมพันธ์ และทฤษฎีพฤติกรรมนิยม สาหรับกระบวนการให้คาปรึกษา ตามแนวคิดของจีน แบร่ี ประกอบด้วย 5 ขั้นตอน ได้แก่ ข้ันสร้างสัมพันธภาพ และตกลงบริการ ขนั้ สารวจปญั หา ขั้นเขา้ ใจปัญหา สาเหตุ และความต้องการของผู้รับคาปรกึ ษา ขน้ั วางแผนและแก้ไข ปัญหา และขั้นยุติการปรึกษา ส่วนทักษะการให้คาปรึกษาที่เป็นทักษะพื้นฐานเบื้องต้น ได้แก่ ทักษะการใสใ่ จ ทักษะการนา ทักษะการฟัง ทักษะการถาม ทกั ษะการเงียบ ทักษะการสะทอ้ น ทกั ษะ การซ้าความ/การทวนความ ทักษะการให้กาลังใจ ทักษะการสรุปความ ทักษะการทาให้กระจ่าง ทกั ษะการตีความ ทักษะการเผชิญหน้า ทกั ษะการให้ข้อมูล ทักษะการชี้ผลที่ตามมา และทักษะการ จัดการ
224 ใบกิจกรรมที่ 4.1 คาช้ีแจง ให้นักศึกษาดูวิดีทัศน์ “การให้คาปรึกษา กรณีศึกษาเด็กชายวีระ” จากนั้น นกั ศึกษาแบ่งกล่มุ และร่วมกนั วิพากษ์ อภิปราย แลกเปล่ียนแสดงความคดิ เห็น เกีย่ วกบั ความถกู ตอ้ ง เหมาะสม และการนาไปใช้ ในประเดน็ ดังต่อไปน้ี 1. คณุ สมบัติของผใู้ หค้ าปรึกษา 2. กระบวนการให้คาปรึกษา 3. ทักษะและเทคนคิ การให้คาปรกึ ษา
225 ใบกิจกรรมท่ี 4.2 คาช้ีแจง ให้นักศึกษาจับกลุ่ม ฝึกปฏิบัติการให้คาปรึกษาเชิงจิตวิทยา โดยมีผู้ให้ คาปรึกษา และผู้รับคาปรึกษา ซึ่งนักศึกษาจะต้องกาหนดปัญหาสถานการณ์ในการให้คาปรึกษาท่ี เกิดข้ึนเอง (ด้านการศึกษา / ด้านอาชีพ / ด้านส่วนตัวและสังคม) โดยใช้กระบวนการการให้ คาปรึกษาเชิงจิตวิทยาให้ครบทั้ง 5 ขน้ั ตอน คอื 1. ขน้ั สร้างสัมพันธภาพ 2. ขน้ั สารวจปัญหา 3. ข้นั เข้าใจสาเหตุและความตอ้ งการ 4. ขั้นวางแผน 5. ขน้ั ยตุ ิการให้คาปรกึ ษา จากน้ันแสดงบทบาทสมมติในการให้คาปรึกษาเชิงจิตวิทยา โดยจัดทาเป็นวิดีทัศน์เพ่ือ นาเสนอเพื่อนในชั้นเรยี น และเพ่ือนในชน้ั เรียนจะได้ทาใบบันทึกของผสู้ งั เกตการณ์
226 ใบบนั ทึกของผูส้ ังเกตการณ์ ชื่อผสู้ งั เกตการณ์ 1. ......................................................................... 2. ...................................................................... ขั้นตอน บันทึกการสังเกต คะแนน ขัน้ ตอนที่ 1 “ขั้นสรา้ งสมั พนั ธภาพ” ขน้ั ตอนที่ 2 “ขั้นสารวจปัญหา” ขน้ั ตอนที่ 3 “ขั้นเขา้ ใจสาเหตุและ ความตอ้ งการ” ขั้นตอนที่ 4 “ขน้ั วางแผน” ขั้นตอนที่ 5 “ขัน้ ยตุ ิการใหค้ าปรึกษา”
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 472
Pages: