127 ตดั สนิ ใจ การวางแผน การป้องกันปัญหาและการพัฒนาตน ท้ังในด้านการศึกษา อาชีพ ส่วนตัวเเละ สังคม 2. ต้องให้ความสาคัญกับข้อสนเทศที่มีคุณภาพที่จะให้แก่ผู้เรียน การได้รับข้อสนเทศท่ี ผิดพลาดหรอื ไร้คณุ ภาพ อาจกอ่ ให้เกิดอันตรายต่อผรู้ ียนมากยง่ิ กว่าการไม่ได้รบั ข้อสนเทศเลย ครูหรือ ผู้แนะแนวตอ้ งตระหนักและให้ความสาคญั กับข้อสนเทศที่รวบรวมมาให้แกผ่ ู้เรยี นวา่ เป็นขอ้ สนเทศท่ี จาป็น ถูกต้องเปน็ ปัจจบุ นั ปริมาณพียงพอ นา่ เชอ่ื ถอื และสอดคล้องกับพฒั นาการของผู้เรียน 3. การจดั บริการสนเทศต้องให้ผู้เรยี นทกุ คนไดร้ บั สิทธแิ ละโอกาสไดร้ ับบรกิ ารสนเทศทีจ่ ัด ให้อย่างเสมอกนั หนว่ ยงานซงึ่ จดั บรกิ ารสนเทศจะตอ้ งมุง่ ใหเ้ กดิ ประโยชน์แกผ่ ู้เรยี นเปน็ สาคญั ครูหรือ ผู้แนะแนวจึงต้องให้ผู้เรียนกลุ่มเป้าหมายทุกคน ได้รับสิทธิเละมีโอกาสได้รับบริการสนเทศที่จัดให้ อย่างเสมอภาคกัน เพราะการปิดก้ันสิทธิและโอกาสของผู้เรียนบางราย ในช่วงเวลาจาเป็นท่ีเขา ตอ้ งการได้รับข้อสนเทศเพอื่ การตดั สนิ ใจในเรอ่ื งสาคัญของชวี ติ อาจเกดิ ผลเสยี หรอื เปน็ ปญั หาตอ่ เนอ่ื ง อีกมาก 4. ต้องจัดให้สอดคล้องกับพัฒนาการผู้เรียนด้านสังคม และด้านสติปัญญาท่ีมีแบบแผน คล้ายคลึงกันหลายประการ ส่วนผู้เรียนต่างวัยกัน เช่น เดก็ วัยรนุ่ กจ็ ะมพี ัฒนาการที่มลี ักษณะเฉพาะ วยั แตกต่างกันไป เช่น เด็กปฐมวัย ประถมศึกษา จะมีความสามารถคิดและแก้ไขปัญหาด้วยเหตุผล เชิงรูปธรรมได้ ส่วนวัยรุ่นจะสามารถคิดและแก้ไขปัญหาด้วยเหตุผลต่างๆ ทั้งเชิงรูปธรรมและ นามธรรมไดด้ ี เปน็ ต้น ครูหรือผู้แนะแนวจะต้องมคี วามรู้ความเขา้ ใจเกย่ี วกบั พัฒนาการของมนุษยแ์ ละ ตอ้ งสามารถจัดบริการสนเทสใหส้ อดคลอ้ งกับพฒั นการของผู้เรียนกลุ่มเปา้ หมาย 5. ต้องจัดอย่างต่อเนื่องและตามขั้นตอนของพัฒนาการของมนุษย์และพัฒนาการทาง อาชีพ ครูหรือผู้แนะแนวตอ้ งจดั บรกิ ารสนเทศอย่างตอ่ เน่ืองและตามขนั้ ตอนของพฒั นาการของมนษุ ย์ เช่น ผู้เรียนที่เป็นเด็กควรเร่ิมได้รับข้อสนเทศอย่างกว้างๆ ท่ัวไปก่อน และควรจะได้รับข้อสนเทศ อย่างต่อเนื่องเรื่อยไป แต่ข้อสนเทศจะมีความเฉพาะเจาะจง มีรายละเอียด มีความลุ่มลึกซับช้อน เพมิ่ ขนึ้ ตามวัยท่สี งู ขนึ้ ของผู้เรียน เปน็ ต้น 6. ต้องคานึงถึงความแตกต่างของผู้เรียน ผู้เรียนที่อยู่ในช่วงวัยเดียวกัน โดยทั่วไปจะมี พฒั นาการหลายดา้ นทคี่ ลา้ ยคลงึ กัน อยา่ งไรกต็ าม ผู้เรยี นในวัยเดยี วกัน เพศเดียวกนั แตล่ ะบุคคลก็ยัง มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน ครูหรือผู้แนะแนวจึงต้องคานึงถึงความ แตกต่างของผู้เรียนกลุ่มเป้าหมายด้วย จึงจะสามารถจัดบริการสนเทศให้ตอบสนองความสนใจ ความตอ้ งการ ความจาเป็น และศักยภาพของผู้เรียนแตล่ ะรายได้อย่างเหมาะสม 7. ต้องคานึงถึงปัจจัยด้านส่ิงแวดล้อมท่ีมีอิทธิพลต่อผู้เรียน ในการจัดบริการสนเทศน้ัน ครูหรอื ผู้แนะแนวต้องคานึงถึงปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมต่างๆ ทีม่ ีอิทธิพลต่อผู้เรยี นกลุ่มเป้าหมาย เช่น ความคาดหวังของบิดามารดาที่มีอิทธิพลในการเลือกสาขาการเรียนและการเลือกอาชีพของลูก
128 กลุม่ เพื่อนทม่ี ีอิทธิพลต่อค่านิยมดา้ นอาชีพและการครองตนในสังคมของวยั รุน่ สื่อมวลชนท่ีมีอิทธพิ ล ตอ่ การเรียนรู้อยา่ งกว้างไกล ทั้งในด้านบวกและด้านลบของเด็กและเยาวชน และการเปล่ียนแปลง ของตลาดแรงงานท่ีมีอิทธิพลต่อการประกอบอาชีพของผู้ใหญ่ เป็นต้น การคานึงถึงปัจจัยด้าน สิง่ แวดลอ้ มที่มีอทิ ธพิ ลต่อผู้เรยี นกลุม่ เปา้ หมายด้วยนัน้ จะช่วยใหค้ รูหรือผู้แนะแนวสามารถจัดบริการ สนเทศให้แก่ผู้เรียนไดอ้ ย่างถูกต้อง 8. ต้องเคารพในสิทธิ เสรีภาพ และความสามารถในการตัดสินใจของผู้เรียน ครูหรือ ผู้แนะแนวจะทาหน้าท่ีให้ความช่วยเหลือและเอื้ออานวยให้ผู้เรียน ได้รับข้อสนเทศที่มีประโยชน์ อย่างเพียงพอตามความจาเป็นและความต้องการของผู้เรียน เพ่ือให้ผู้เรียนใช้ข้อสนเทศประกอบ การตัดสนิ ใจด้วยตนเองได้อย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ ครูหรอื ผูแ้ นะแนวจะไมท่ าหนา้ ท่ีเป็นผู้ตดั สนิ ใจใหแ้ ก่ ผู้เรียน อีกท้ังจะไม่โน้มน้าวใจหรือกดดันให้ผู้เรียนรีบเร่งตัดสินใจตามความเห็นชอบของครูหรือ ผู้แนะเนว 9. ควรใช้ทรัพยากรในการบรหิ ารจัดบริการสนเทศทีม่ ีอยจู่ ากดั ให้เกิดประโยชน์ได้สงู สุด ต่อผู้เรียนและสถานศึกษา รวมทั้งสอดคล้องกับนโยบายและเป้าหมายของหน่วยงาน ทรพั ยากรใน การบรหิ ารการจัดบริการสนเทศที่สาคญั ได้แก่ 4 M’s สรปุ อย่างสนั้ ๆ ไดด้ ังนี้ 9.1 Man หมายถึง ครูแนะแนว ครูที่ปรกึ ษา และบุคลากรที่เก่ียวข้องให้ความร่วมมือ ในการจดั บริการสนเทศ 9.2 Money หมายถงึ งบประมาณสาหรบั ใช้จ่ายในการจัดบรกิ ารสนเทศ 9.3 Management หมายถงึ การจดั การที่ใชใ้ นการจัดบริการสนเทศ 9.4 Materials หมายถึง ขอ้ สนเทศ วสั ดอุ ุปกรณ์ ครุภัณฑ์ และสถานที่สาหรับใชใ้ นการ จดั บรกิ ารสนเทศ ครูหรือผู้แนะแนวจึงตอ้ งเปน็ ผูท้ ่ีมีความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์ที่จะบริหาร ทรัพยากร 4 M’s ท่ีมีอยู่จากัดได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้เกิดประโยชน์ได้สูงสุดต่อผู้รับบริการ รวมทั้งสอดคลอ้ งกับนโยบายและเป้าหมายของหน่วยงานด้วย 10. ควรให้ความสาคัญต่อการวางแผน การจัดการภายในองค์กร การประสานงาน การ ประชาสัมพันธ์ และการประเมินผลงาน ครูหรือผู้แนะแนวควรมีการวางแผน กาหนดเป้าหมาย วัตถุประสงค์ของการจัดบริการสนเทศสาหรับผู้เรียนกลุ่มเป้าหมายที่ต้องรับผิดชอบ ควรมีการจัด องค์กรให้หมาะสมที่จะปฏิบตั ิงานได้อย่างสะดวกและมีประสิทธิภาพ ควรมีการประสานงานให้เกิด ความร่วมมือรว่ มใจจากบคุ ลากรทกุ ฝ่ายทเี่ กี่ยวขอ้ ง เพ่ือให้การดาเนนงานเป็นไปด้วยความราบร่ืนและ สาเร็จตามเป้าหมาย ควรมีการประชาสัมพันธ์เพ่ือให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องและผู้สนใจได้ทราบข้อมูล ขา่ วสาร เกี่ยวกับการจัดบริการสนเทศทเ่ี ชื่อถือได้ในโอกาสท่ีเหมาะสม และควรมีการประเมนิ ผลการ
129 จดั บริการสนเทศ เพ่ือนาไปใช้ในการแก้ไขและพัฒนาการจัดบริการสนเทศให้มีประสิทชิภาพย่ิงขึ้น ตอ่ ไป จากการนาเสนอหลักการจัดบริการสนเทศข้างต้น สรุปได้ว่า การจัดบริการสนเทศที่ดีมี ประสิทธิภาพมีหลักการสาคัญ คือ จัดบริการสนเทศใหส้ อดคล้องกับความต้องการและความจาเป็น ของผู้เรียน โดยดาเนินการอย่างเป็นระบบ ผ่านวิธีการที่หลากหลาย โดยเน้นให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมใน การจัดบรกิ าร ประเภทของบรกิ ารสนเทศ โดยท่ัวไปการให้บริการสนเทศแกผ่ ู้เรยี น มักแบ่งประเภทของขอ้ สนเทศ เป็น 3 ประเภท คือ 1. ข้อสนเทศด้านการศกึ ษา (Educational Information) 2. ขอ้ สนเทศดา้ นอาชพี (Occupational Information) 3. ข้อสนเทศด้านส่วนตัวและสังคม (Personal – Social Information) ในการแบ่งข้อสนเทศออกเปน็ 3 ประเภทน้ัน จะเห็นวา่ สอดคลอ้ งกับการจดั แบ่งประเภท ของบริการแนะแนวในปัจจุบัน ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ประเภทเช่นเดียวกัน แต่ในทางปฏิบัติน้ัน การจดั บรกิ ารแนะแนวท้ัง 3 ประเภทนั้น จะมีความสัมพันธ์และเก่ียวข้องกันอย่างใกล้ชิดเช่นเดยี วกับ การจัดนาเสนอขอ้ สนเทศเพราะโดยปกตแิ ล้ว ครูหรอื ผู้แนะแนวจะใหค้ วามช่วยเหลือผู้เรยี นนนั้ จะตอ้ ง ทาความรู้จักกับผู้เรียนในทุกๆ ด้าน เช่น ในการท่ีจะให้ความช่วยเหลือผู้เรียนวางแผนทางด้าน การศกึ ษา และการประกอบอาชีพก็มคี วามจาเปน็ ท่ีจะตอ้ งทราบรายละเอยี ดเกย่ี วกับทางด้านสว่ นตัว และสงิ่ แวดล้อมทางสังคมที่มีอทิ ธิพลต่อผู้เรียนด้วย กจ็ ะสามารถให้ความช่วยเหลือผู้เรียนในปัญหา ดังกล่าวได้อยา่ งมปี ระสิทธิภาพ สาหรับสาเหตุท่ีมีการแบ่งข้อสนเทศออกเป็นประเภทต่างๆ น้ัน คมเพชร ฉัตรศุภกุล (2521, น. 6) ไดใ้ ห้ทัศนะไว้ สรุปไดด้ งั นี้ 1. เพอื่ เนน้ ให้ขอ้ มลู แตล่ ะประเภทมีความเด่นชดั ขึ้นมา ซ่ึงจะเป็นผลทาใหผ้ ู้แนะแนวสนใจ ในขอ้ มูลมากขน้ึ และสามารถจดั หาขอ้ มูลไดเ้ ป็นอย่างดี 2. การแบ่งขอ้ สนเทศดังกล่าวแลว้ จะทาใหผ้ ู้แนะแนวมีความม่นั ใจว่าข้อมลู ท้ังหลายไม่ถูก ละเลย เพราะขอ้ มูลแตล่ ะด้านนัน้ มีความสาคญั พอๆ กัน 3. การแบง่ ข้อมูลจะช่วยให้ผแู้ นะแนวได้ทราบว่า ข้อมูลอะไรบ้างท่ีผู้เรียนยังไมไ่ ด้รบั อยา่ ง สมบรู ณ์ และควรจะใหข้ ้อมูลอะไรเพ่มิ เติมอีกบา้ งในแตล่ ะด้าน ประเภทของข้อสนเทศ ท้ัง 3 ประเภท มรี ายละเอยี ดดงั ต่อไปนี้
130 1. ขอ้ สนเทศด้านการศกึ ษา การให้ข้อสนเทศด้านการศึกษาเป็นการให้ข้อมูลข่าวสาร ความรู้ ประสบการณ์และ รายละเอียดต่างๆ ด้านการศึกษาในช่วงปัจจุบันและอนาคตแก่ผู้เรียน เพ่ือให้ผู้เรียนได้รับข้อมูล ข่าวสารที่ถูกต้อง เช่ือถือได้และนาไปใช้ประโยชน์ต่อการเลือก การวางแผนการศึกษา และการ ตัดสินใจซ่ึงเก่ียวข้องกับการศึกษาของผู้เรียน รวมท้ังวิธีการศึกษาเล่าเรียนให้ประสบผลสาเร็จ ทุนการศึกษา หลักสูตร สาขาวิชา และกิจกรรมเสริมประสบการณ์ต่างๆแนวทางการศึกษาต่อ การฝกึ อบรมท้ังในปจั จุบนั และอนาคต แนวทางการลงทะเบียนการถอนหรอื ยกเลิกรายวิชา ข้อดีและ ขอ้ เสยี ในการศกึ ษาเล่าเรยี นในแต่ละสาขาอาชีพ เปน็ ต้น ข้อสนเทศด้านการศึกษาทคี่ วรจดั ใหแ้ ก่ผ้เู รยี นประกอบด้วย 1.1 ระเบียบกฎระเบียบ ขอ้ บังคบั และแนวปฏบิ ัติตา่ งๆ ของสถานศึกษา 1.2 หลักสูตรของสถานศึกษา ซ่ึงประกอบด้วยหลักการ จุดมุ่งหมาย โครงสร้างของ หลักสูตร รายวิชา แผนการเรียน การวัดและการประเมนิ ผล การสาเร็จการศกึ ษา 1.3 บริการต่างๆ ท่ีสถานศึกษาจัดให้ เช่น หอพัก บริการอนามัย บริการสานักวิทย บริการ แหล่งการเรียนรู้ บริการโสตทัศนูปกรณ์ บริการซ่อมเสริม บริการกู้ยืมเงินเพ่ือการศึกษา บรกิ ารอาหารกลางวนั บรกิ ารแนะแนว เปน็ ตน้ 1.4 กิจกรรมต่างๆ ทีส่ ถานศกึ ษาจดั ให้แกผ่ ู้เรยี น ไดแ้ ก่ กจิ กรรมเสรมิ หลกั สตู ร กิจกรรม ทางสังคม กจิ กรรมรว่ มหลกั สูตร กจิ กรรมเสริมประสบการณ์ชวี ติ ชุมนมุ ชมรม เป็นต้น 1.5 ลักษณะของสถานศึกษา ข้อกาหนด กฎเกณฑ์ และคุณสมบัติในการศึกษาต่อใน สถาบนั ต่างๆ เชน่ สถานท่ีตงั้ สาขาทเ่ี ปิดสอน วิธีการเข้าศกึ ษา ค่าใชจ้ า่ ย เป็นตน้ 1.6 องค์ประกอบในการตัดสินใจเลือกแนวทางการศึกษาต่อ ได้แก่ ความสามารถ ทางการเรียน ความถนัด นิสัย ความสนใจ ทิศทางและแนวโน้มการประกอบอาชพี รายได้ของอาชีพ เปน็ ต้น 1.7 วิธีการเรยี นอย่างมปี ระสทิ ธิภาพ ได้แก่ การบริหารตนเอง เทคนิคการอ่านหนังสือ และการจดบันทึก การค้นหารูปแบบการเรียนรู้ การควบคุมตนเอง การแสวงหาแหล่งการเรียนรู้ เปน็ ตน้ 1.8 ค่าใช้จ่ายตลอดระยะเวลาท่ีศึกษา เช่น ค่าเทอม ค่าหน่วยกิต ค่าบารุงสถาบัน ค่าบารุงกิจกรรม ค่าบารงุ หอสมุด และหอ้ งพยาบาล เป็นตน้ รวมทั้งทุนอุดหนุนพิเศษที่อาจจะได้รับ ความช่วยเหลือ ถ้ามปี ัญหาการเงนิ เช่น ทนุ กู้ยมื ทนุ อุดหนนุ การศึกษา ทนุ อาหารกลางวนั เปน็ ต้น 1.9 โอกาสก้าวหน้าเม่ือสาเร็จการศึกษาและโอกาสในการประกอบอาชีพในสาขาวชิ าที่ สาเร็จจากการศึกษา ตลอดจนความตอ้ งการของตลาดแรงงานและแนวทางทีจ่ ะประกอบอาชีพอิสระ ในอนาคต
131 2. ข้อสนเทศดา้ นอาชีพ การใหข้ ้อสนเทศดา้ นอาชพี เปน็ การใหข้ ้อมูลขา่ วสาร ความร้เู กีย่ วกบั อาชพี ทีม่ อี ยใู่ นโลก ของงาน หรือทม่ี ีอยู่ในชมุ ชนแก่ผู้เรยี น ตลอดจนอาชีพท่ีอยู่ในความสนใจของผ้เู รียน เพื่อใหผ้ ู้เรยี นมี ความรู้ความเข้าใจเร่ืองอาชีพ สามารถใช้ข้อสนเทศซ่ึงเช่ือถือได้และทันต่อเหตุการณ์ประกอบการ พิจารณาวางแผนเลือก และตัดสินใจท่ีถูกต้องเกี่ยวกับการเลือกแผนการเรียนซึ่งสัมพันธ์กับ การวางแผนอาชีพ และการเตรยี มตัวก้าวเข้าสโู่ ลกของการทางานตอ่ ไปในอนาคต รวมทั้งมีเจตคตทิ ่ีดี ต่อการประกอบอาชพี สจุ ริตท้ังหลายอีกดว้ ย ข้อสนเทศด้านอาชพี ทคี่ วรจดั ให้แก่ผเู้ รยี นประกอบด้วย 2.1 ความจาเป็นของการมีอาชีพ เช่น เพื่อให้ได้มาซ่ึงปัจจัย 4 ซ่ึง ได้แก่ อาหาร ท่ีอยู่ อาศยั เครอื่ งนงุ่ หม่ และยารักษาโรค และยังเปน็ ท่มี าของสถานภาพทางสังคม ช่อื เสียง เกยี รติยศ และ ความภาคภูมิใจในตนอีกดว้ ย 2.2 ความรูเ้ กย่ี วกบั ตนเองในดา้ นต่างๆ ที่มีความเกย่ี วข้องกับการประกอบอาชพี ไดแ้ ก่ ความรู้ในเรื่องต่อไปนี้ สภาพร่างกาย สติปัญญา ความสามารถ ความถนัด ความสนใจ การควบคุม อารมณ์ การปรับตวั ทางสังคม อุปนิสยั ใจคอ คา่ นยิ ม ความเชือ่ ฯลฯ 2.3 ความรเู้ ก่ยี วกับงานอาชพี และส่งิ แวดล้อม ซ่ึงประกอบดว้ ยรายละเอยี ดต่อไปนี้ 2.3.1 ความต้องการของตลาดแรงงานเก่ยี วกบั อาชีพตา่ งๆ ในปัจจุบันและแนวโน้ม ความตอ้ งการในอนาคต 2.3.2 หน้าท่ีและลัษณะของงาน ได้แก่ ข้อมูลเก่ียวกับหน้าท่ีที่จะต้องทาว่ามี อะไรบ้าง ลักษณะของงานเป็นเชน่ ใด ช่วงเวลาในการทางานทาช่วงเวลาใด และมรี ะยะกาหนดเวลา เท่าใด เปน็ งานที่ทาใหเ้ กิดความเพลิดเพลนิ หรือน่าเบ่ือหน่าย เป็นงานท่ใี ช้กาลังหรอื สมอง เปน็ ต้น 2.3.3 สภาพแวดล้อมของงาน ได้แก่ ข้อมลู เกยี่ วกับสิ่งแวดลอ้ ม และบรรยากาศของ งาน เชน่ เยน็ ชื้น เปียก ฝนุ่ ละออง เสยี งดัง ในอาคาร กลางแจ้ง ฯลฯ 2.3.4 คุณสมบัติของผู้ประกอบอาชีพ ได้แก่ ข้อมูลเก่ียวกับเงื่อนไขในการเข้า สู่อาชีพ เช่น เพศ ส่วนสูงและน้าหนัก คุณสมบัติของร่างกายด้านอ่ืนๆ เช่น สายตา การได้ยินเสียง ความถนัด ความสนใจ ลักษณะนิสัย บุคลิกภาพ สุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจ และการเข้าสังคม เชือ้ ชาติ สญั ชาติ ฯลฯ 2.3.5 คุณสมบตั ิทไี่ ด้รบั จากการศึกษาอบรม ได้แก่ ขอั มูลเกี่ยวกับการศึกษาสามัญ การศกึ ษาอบรมในด้านอาชีพ และประสบการณใ์ นการทางาน 2.3.6 การเข้าสู่งานหรือการเข้าประกอบอาชีพ ได้แก่ ข้อมูลเก่ียวกับวิธีการเข้า ทางานวา่ จะต้องทาอยา่ งไรบา้ ง เช่น การสมัคร การสอบแข่งขนั การคดั เลือก การสมคั รด้วยตนเอง การกรอกใบสมัคร ฯลฯ
132 2.3.7 รายได้ ได้แก่ ขอ้ มูลเกี่ยวกับค่าตอบแทนท่ีได้รับจากการประกอบอาชีพน้นั ๆ วา่ ไดอ้ ยา่ งไร เชน่ เปน็ วนั เปน็ เดอื น หรือเปน็ ปี มกี ารขึน้ เงนิ เดือนหรอื ไม่ และรายไดเ้ หมาะสมกับงาน ทร่ี ับผดิ ชอบมากนอ้ ยเพียงใด เปน็ ต้น 2.3.8 สวัสดกิ าร ไดแ้ ก่ ข้อมลู เก่ียวกบั การให้ความชว่ ยเหลอื พเิ ศษอื่นๆ วา่ มหี รอื ไม่ เช่น ที่พัก ค่ารักษาพยาบาล คา่ เชา่ บ้าน ค่าเบ้ยี เลีย้ งทางานนอกเวลา ค่าพาหนะ ฯลฯ 2.3.9 ความก้าวหน้าในงานอาชีพ ได้แก่ ข้อมูลท่ีบอกให้รู้ว่าอาชีพนั้นๆ สามารถ ก้าวหน้าได้มากน้อยเพียงใด และก้าวหน้าไปในทางใดได้บ้าง การเล่ือนขั้นเลอื่ นตาแหน่งทาอย่างไร ต้องมกี ารศึกษาอบรมเพม่ิ เติมหรือไม่ หรอื ตอ้ งมีการสอบหรอื ไม่ 2.3.10 การกระจายของผู้ประกอบอาชีพ ได้แก่ ข้อมูลที่บอกให้รู้ว่าอาชีพน้ันๆ มผี ู้ประกอบอาชีพมากน้อยเพียงใด มีกระจายท่ัวประเทศหรือมีเพียงบางจังหวัด และเพราะเหตุใด จึงเปน็ เชน่ น้นั 2.3.11 ข้อดีและข้อเสีย ได้แก่ ข้อมูลที่บอกถึงจุดเด่นและจุดด้อยของอาชีพนั้นๆ เช่น การทางานล่วงเวลา หรือต้องทางานเวลากลางคืน การทางานท่ตี ้องเส่ียงอันตราย การมีโอกาส ไดัเล่อื นตาแหน่งและเงินเดือนไดร้ วดเร็ว หรอื การทางานท่ีต้องเดินทางบ่อยๆ เป็นต้น 2.4 ความรเู้ ก่ียวกบั การหางาน การสมคั รงาน การปรับตวั ใหเ้ ขา้ กบั งาน และการทาให้มี ความเจริญก้าวหน้าในการทางาน เพื่อช่วยให้ผู้เรียนได้ทราบว่าการหางานจะต้องทาอย่างไรบ้าง การสมคั รงานจะต้องปฏิบตั อิ ย่างไร เมื่อไดง้ านแล้วจะปรบั ตัวให้เข้ากับงานอย่างไร และทาอยา่ งไรจึง จะมคี วามกา้ วหนา้ ในการทางาน 3. ขอ้ สนเทศดา้ นสว่ นตวั และสังคม การให้ข้อสนเทศด้านสว่ นตัวและสังคมเปน็ การใหข้ ้อมลู ขา่ วสาร ความรู้ที่เป็นเรอ่ื งราว เกย่ี วกับสว่ นตัวและสังคมของผู้เรยี น เพ่ือให้ผเู้ รียนเกิดความเข้าใจในตนเองและบุคคลอ่ืนท่เี ก่ียวข้อง ตลอดจนการเข้าใจถึงความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างตนกับบุคคลอ่ืนในสังคม และรู้จักวิธีพัฒนาตนเอง เก่ยี วกบั การประพฤตปิ ฏบิ ัตติ นในด้านต่างๆ ไดอ้ ย่างเหมาะสม ขอ้ สนเทศดา้ นส่วนตวั และสงั คมทคี่ วรจัดให้แก่ผเู้ รียนประกอบด้วย 3.1 การรู้จักตนเองในด้านต่างๆ ได้แก่ ระดับเชาว์ปัญญา ความสามารถ ความสนใจ ความถนัด ความต้องการ ตลอดจนนิสัยใจคอ เปน็ ตน้ 3.2 การรู้จกั และเข้าใจผู้อนื่ การเข้าใจพฤติกรรม ลักษณะนิสัยใจคอ คุณลกั ษณะ และ ความต้องการของผอู้ ื่นตลอดจนความแตกต่างระหวา่ งบคุ คล 3.3 วธิ กี ารสรา้ งความสมั พันธ์กบั เพอ่ื นเพศเดยี วกนั และต่างเพศ เพศศกึ ษา 3.4 การเข้าใจในบทบาทของเพศชายและเพศหญงิ
133 3.5 การปรบั ตวั การยอมรับ และเข้าใจตนเอง สภาพแวดลอ้ ม ครอบครวั สถานศกึ ษา และสงั คม 3.6 การยอมรับตนเองและผ้อู ่ืน อันได้แก่ ความกดดนั ของกลุ่มเพื่อน ความคาดหวังของ บิดามารดา เป็นต้น 3.7 วางตนใหเ้ หมาะสมกับมารยาท กาลเทศะ การพัฒนาบคุ ลิกภาพ 3.8 การรเู้ ทา่ ทันตนเองและสงั คม ทกั ษะชีวติ 3.9 วิธกี ารเขา้ สังคม การวางแผนทางการเงนิ การใชเ้ วลาว่าง การใช้ชีวติ 3.10 กริ ิยามารยาทท่ีดงี าม ทกั ษะในการเข้าสงั คม การวางตวั ในสงั คม หลักการรวบรวมและคดั เลอื กขอ้ สนเทศ การรวบรวมขอ้ สนเทศจะต้องทาอยา่ งต่อเนื่อง และมีการวางแผนวางหน้า โดยมีข้อควร ปฏบิ ัตดิ ังน้ี 1. ควรเป็นขอ้ สนเทศที่ถกู ต้อง ตรงต่อความเปน็ จรงิ เชื่อถอื ได้ และทนั สมัย 2. ควรเปน็ ขอ้ สนเทศที่ครอบคลมุ ทงั้ ดา้ นการศึกษา อาชีพ ส่วนตวั และสงั คม 3. บคุ ลากรหลายๆ ฝา่ ยชว่ ยกันรวบรวม เชน่ ครแู นะแนว บรรณารกั ษ์ ครปู ระจาวชิ าและ ผู้เรียน และมคี วามเหมาะสมกับระดับและวยั ของผู้เรยี น และตรงตามความต้องการของผูเ้ รยี น 4. ควรรวบรวมข้อสนเทศตลอดปีการศึกษา รวมท้ังในโอกาสสาคัญๆ เช่น วันนัดพบ แรงงานงานศิลปหตั ถกรรม งานนิทรรศการการแนะแนว เปน็ ต้น และไดม้ าจากแหลง่ ท่ีเชอ่ื ถอื ได้ 5. วิธีรวบรวมอาจเป็นได้ทั้งการจัดซื้อ การขอยืม และการจัดข้ึน กรณีที่ใชว้ ิธีขอบริจาค อาจขอบรจิ าคจากหนว่ ยงานของราชการ เอกชน สถาบันการศึกษา และองคก์ ารตา่ งประเทศ เปน็ ต้น จะเห็นได้ว่า ข้อสนเทศในยุคโลกาภิวัฒน์มีจานวนมาก ซึ่งข้อสนเทศเหล่านั้นสามารถ ส่งผลต่อผู้เรียนและสังคมในทางสร้างสรรค์ แต่ก็ส่งผลกระทบต่อผู้เรียนในทางลบได้เช่นกัน ดังน้ัน ครูหรอื ผู้แนะแนวจึงควรคดั เลอื กขอ้ สนเทศทเ่ี หมาะสมกับผู้เรยี น การคัดเลือกขอ้ สนเทศท่ดี ีมีหลกั การ ดังนี้ 1. เปน็ ข้อสนเทศทส่ี อดคล้องกับความตอ้ งการ และเป็นท่สี นใจของผูเ้ รียน 2. เป็นขอ้ สนเทศที่เหมาะสมกบั วัย วฒุ ิภาวะและระดบั ความรขู้ องผูเ้ รียน 3. เปน็ ขอ้ สนเทศทีม่ คี วามเท่ียงตรง 4. เป็นขอ้ สนเทศท่ีมคี วามทันสมยั 5. เป็นข้อสนเทศที่คุ้มค่ากับราคา และความสามารถในการจัดหา 6. เปน็ ขอ้ สนเทศที่เกิดประโยชน์สูงสดุ ตอ่ ผเู้ รียน
134 รปู แบบการใหข้ อ้ สนเทศ การให้ข้อมูลอาจไม่ใช่เป้าหมายสาคัญของบริการสนเทศ แต่ส่ิงท่ีเน้นคือจะให้อย่างไร ผู้เรียนจึงจะสามารถนาข้อมูลนั้นไปใช้ประโยชนแ์ ก่ตนเองได้มากท่ีสดุ ซ่ึงการให้ขอ้ สนเทศลักษณะน้ี สามารถทาได้ 2 วิธคี อื 1. การใหข้ ้อสนเทศเป็นรายบคุ คล ผู้เรียนบางคนอาจมีการรับรู้ท่ีสับสน คลาดเคลอ่ื น และมีข้อมูลจากัดเกี่ยวกบั แนวทาง การศึกษาต่อและการประกอบอาชีพ รวมท้ังการแก้ปัญหาส่วนตัวและสังคม ซึ่งถ้าผู้เรียนเหล่าน้ัน มีข้อมูลที่เพียงพอในเรอื่ งต่างๆ ดังกล่าวก็อาจทาให้เขาเกิดความกระจ่างเก่ียวกับเป้าหมายในชีวิต แนวทางในการดาเนินชีวิต และสามารถหาหนทางท่ีจะแก้ปัญหาน้ันๆ ได้ การให้ข้อมูลแก่บุคคล เหล่าน้ีมักจะเกิดขึ้นในช่วงของการให้คาปรึษา กล่ าวคือในขณะท่ีพูดคุยให้คาปรึกษานั้น ผู้ใหค้ าปรึกษามักจะพบวา่ ผู้เรยี นบางคนเกิดปัญหาเพราะไม่รู้หรือไม่มขี ้อมูลท่เี พียงพอจึงทาให้เกิด ความสับสน และเกดิ ขอ้ จากัดในการตดั สินใจ ดงั น้นั ข้อมูลท่ีผู้ให้คาปรึกษาเสนอให้ จะช่วยให้ผเู้ รยี น ได้มีโอกาสสารวจและวิเคราะห์สภาพการณ์ต่างๆ ให้ครบทุกด้านก่อนที่จะตัดสินใจแก้ปัญหาหรือ วางแผนการในอนาคต อยา่ งไรกต็ าม การให้ข้อมูลในช่วงของการให้คาปรึกษานั้น ผู้ให้คาปรกึ ษาจะต้องแนใ่ จ ว่าขอ้ มลู ทีใ่ หม้ ีความจาเป็นจรงิ ๆ ทผี่ ้เู รียนจะตอ้ งรับทราบและขอ้ มูลนัน้ ต้องไมเ่ ป็นการชักนาใหผ้ ู้เรียน เกิดความไขว้เขวในจดุ ยืนที่เขาต้ังใจไวแ้ ลว้ วธิ ีการให้ข้อมูลท่ีดีที่สุดคอื การกระตนุ้ ให้ผเู้ รียนแสวงหา ขอ้ มูลจากแหล่งขอ้ มลู เบื้องต้น เช่น จากหนังสือ จากคมู่ ือ หรอื จากบคุ คลที่มีประสบการณด์ ้านนั้นๆ ซึ่งการได้ข้อมลู ด้วยวิธีนี้จะทาให้ข้อมูลนั้นมีความหมายและมีคุณค่าต่อผู้เรยี นมากกวา่ การให้ข้อมูล โดยตรง และถ้าจะให้ผลดียิ่งข้ึนก็ควรมีการนาข้อมูลมาถกปัญหาหรือนามาอภิปรายร่วมกับผู้ให้ คาปรกึ ษาเพือ่ จะได้เป็นการศกึ ษาและทาความรจู้ กั กบั ตัวเอง (นุชลี อุปภยั , 2543, น. 83) จะเห็นได้ว่า วธิ ีการนี้สามารถทาได้เมื่อผู้เรียนขาดความรู้เกี่ยวกับข้อสนเทศเรื่องใดเร่ือง หนึ่งโดยเฉพาะแลว้ มาขอความรจู้ ากผแู้ นะแนว ดงั น้นั การให้ขอ้ สนเทศแก่ผู้เรียนกจ็ ะผา่ นกระบวนการ ให้คาปรึกษา แต่ในการให้ข้อสนเทศน้ันผู้แนะแนวจะไม่ทาหน้าท่ีเป็นผู้ตดั สินใจให้ แตจ่ ะเป็นการให้ ข้อเทจ็ จริงต่างๆ เพ่ือที่ผู้เรยี นจะได้นาไปคิดทบทวนหรอื ศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติม แล้วจึงค่อยนาความรู้ เหล่าน้นั มาพิจารณาแก้ปัญหาของตน ซง่ึ สามารถเปรียบเทยี บข้อดีและข้อจากดั ของการให้ข้อสนเทศ เปน็ รายบุคคลได้ดงั น้ี
135 ตารางที่ 3.1 การเปรยี บเทยี บขอ้ ดีและขอ้ จากดั ของการให้ข้อสนเทศเปน็ รายบคุ คล ข้อดี ข้อจากดั 1. ทาให้ผูเ้ รียนไดร้ บั ขอ้ สนเทศทต่ี รงกบั ความ 1. ใช้ระยะเวลานาน ทาใหเ้ สยี เวลา หากผู้เรียน ตอ้ งการของตนเองมากทสี่ ุด มีจานวนมากอาจเกิดอุปสรรคในการ 2. เอื้อประโยชนใ์ หผ้ แู้ นะแนวได้รู้จักและสังเกต ดาเนนิ งาน พฤตกิ รรมของผเู้ รียน 2. ใชง้ บประมาณจานวนมาก 3. ขอ้ สนเทศทจ่ี ดั ให้แกผ่ ้เู รียนเปน็ รายบุคคลจะ 3. อาจจะไมส่ ามารถใหข้ อ้ สนเทศเปน็ มีเนือ้ หาสาระท่เี ฉพาะเจาะจง เชงิ ลกึ ซ่ึงมี รายบุคคลไดอ้ ยา่ งทว่ั ถึง และตรงความ ประโยชนต์ ่อผู้เรยี นแต่ละคนอย่างแท้จริง ต้องการที่แทจ้ รงิ ของผเู้ รยี น 2. การใหข้ อ้ สนเทศเป็นกลมุ่ วธิ ีการนีส้ ามารถทาได้เม่ือผูเ้ รยี นมคี วามตอ้ งการและปัญหารว่ มกนั โดยการท่ผี ู้แนะแนว จดั ให้ผู้เรยี นทมี่ ีปัญหาอยา่ งเดียวกันมารบั ร้ขู อ้ สนเทศในเรื่องนั้นๆ พร้อมกัน เพ่ือจะได้นาไปปรับปรุง แก้ไขตนเองต่อไป หรืออาจจะจดั ในโอกาสทที่ างสถานศึกษาต้องการให้ผู้เรียนได้รับรู้ข้อสนเทศหรือ ขา่ วสารบางประการพร้อมกันกไ็ ด้ ซึ่งสามารถเปรียบเทียบขอ้ ดีและขอ้ จากดั ของการใหข้ ้อสนเทศเป็น กลุ่มได้ดงั นี้ ตารางท่ี 3.2 การเปรียบเทียบข้อดีและขอ้ จากัดของการใหข้ ้อสนเทศเปน็ กลุ่ม ข้อดี ข้อจากัด 1. ประหยัดเวลา งบประมาณ และแรงงาน 1. ขอ้ สนเทศบางอย่างไมส่ ามารถจดั ใหเ้ ปน็ 2. บรกิ ารให้ผเู้ รยี นได้อยา่ งทั่วถึง ผเู้ รยี นมี กล่มุ ได้ เนอ่ื งจากเปน็ ความลบั เช่น ปญั หา โอกาสให้เข้ารบั ข้อมลู จานวนมาก ทางอารมณ์ ปญั หาครอบครัว เป็นตน้ 3. ดาเนินการได้อย่างรวดเร็ว ทันตอ่ เหตุการณ์ 2. อาจทาใหผ้ ูเ้ รียนได้รับขอ้ สนเทศไมท่ ัว่ ถงึ และความจาเป็นเร่งดว่ น และไมส่ อดคลอ้ งกับความต้องการทแ่ี ทจ้ รงิ 4. เป็นการสร้างความสมั พันธ์อนั ดตี ่อผเู้ รียนกับ 3. อาจดาเนนิ การไดย้ าก เนอ่ื งจากผเู้ รียนเป็น ผู้เรยี น และผเู้ รยี นกับครู กลมุ่ ใหญม่ คี วามแตกต่างกัน ลกั ษณะของ 5. โอกาสใหผ้ เู้ รยี นมสี ว่ นร่วมในการปฏบิ ตั ิ กจิ กรรมและสอื่ อาจไม่สามารถกระตนุ้ ให้ กจิ กรรม โดยเฉพาะการแลกเปล่ยี นเรียนรู้ ผู้เรียนสนใจ เกิดการเรยี นรไู้ ด้อย่างแทจ้ รงิ 6. ช่วยกระต้นุ และสง่ เสรมิ ใหผ้ เู้ รียนใช้บริการ อกี ท้งั เปน็ การยากทจี่ ะทาใหผ้ เู้ รียนเข้าร่วม แนะแนวมากขนึ้ กจิ กรรมไดพ้ ร้อมเพรยี งกนั
136 วธิ ีการและกิจกรรมในการจดั บริการสนเทศ การจัดบริการสนเทศในสถานศึกษาสามารถทาได้หลายวิธี หลายรูปแบบแตกต่างกันไป ตามวตั ถปุ ระสงคแ์ ละบริบทของสถานศึกษาน้ัน อย่างไรก็ตาม วิธีการและกิจกรรมในการจัดบริการ สนเทศโดยทัว่ ไปมลี กั ษณะคล้ายคลงึ กัน นาเสนอได้ดังน้ี 1. การปฐมนิเทศ การปฐมนเิ ทศ (Orientation) เปน็ กิจกรรมท่ีทกุ สถานศกึ ษาตอ้ งดาเนนิ การ เพราะเป็น กจิ กรรมสาคญั ทท่ี าใหผ้ เู้ รยี นและผูท้ เี่ กย่ี วขอ้ งได้รบั ทราบข้อมูลเกย่ี วกบั การศกึ ษาหรอื การจดั กจิ กรรม ตา่ งๆ ในภาพรวมอยา่ งละเอียด 1.1 ความหมายของการปฐมนิเทศ กิจกรรมปฐมนิเทศ หมายถึง กิจกรรมที่สถานศึกษาจัดขึ้นเพื่อให้ข้อสนเทศแก่ ผเู้ รียนท่เี ขา้ ศึกษาใหม่ หรอื ผู้เรยี นทเี่ ขา้ รว่ มกจิ กรรมโครงการตา่ งๆ เพอ่ื ชว่ ยให้ผู้เรียนไดม้ ีความรู้ความ เข้าใจและมีเจตคติท่ีดีต่อสถานศึกษาหรือกิจกรรมโครงการที่เข้าร่วม ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนสามารถ เตรยี มตัว ปรบั ตวั และวางแผนการอนาคตให้เขา้ กับบคุ คลและสง่ิ แวดล้อมใหม่ได้อยา่ งเหมาะสม โดย ที่กจิ กรรมน้ีจะดาเนินการก่อนทผ่ี เู้ รยี นจะเรมิ่ เขา้ ศึกษาหรือเขา้ รว่ มกจิ กรรม 1.2 จุดมุง่ หมายของการปฐมนิเทศ 1.2.1 เพอ่ื ให้ผู้เรียนใหม่ไดร้ บั ข้อสนเทศทีเ่ ปน็ ประโยชน์เกย่ี วกบั สถานศึกษาใหม่ใน ทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็น หลักสูดร การเรียนการสอน การวัดผล ระเบียบข้อบังคับ กฏเกณฑ์ต่างๆ อาคารสถานที่ และบริการต่างๆ รวมทัง้ ประสบการณ์ชีวติ อืน่ ๆ ที่จะได้พบในสถานศึกษาใหม่ ซ่ึงการ ให้ข้อมูลเหล่าน้ีนอกจากจะมุ่งให้เกิดประโยชน์แก่ผู้เรียนในแง่ของการปรับตัวให้เขา้ กับส่ิงแวดล้อม ในปัจจปุ นั แล้ว ยงั จะชว่ ยให้ผูเ้ รยี นจดั วางแผนการศึกษาใหก้ ับตนเองในอนาคตได้อย่างเหมาะสม 1.2.2 เพ่ือให้ผู้เรียนใหม่เกิดความคุ้นเคยซึ่งกันและกัน คุ้นเคยกับรุ่นพ่ี และครู อันเป็นการสร้างความรู้สึกอบอุ่นให้เกิดข้ึน และส่งผลให้เกิดความสมัครสมานสามัคคี คมเพชร ฉัดรศภุ กลุ (2521) กล่าวเสรมิ ว่า การปฐมนิเทศจะชว่ ยให้ผเู้ รยี นเกิดความรสู้ ึกเปน็ เจา้ ของใน สถานที่ใหม่ (Sense of bolongingness) และผลท่ีจะตามมา คือความต้องการที่จะปฏิบัติตนให้ดี เพื่อนาชอ่ื เสยี งมาสสู่ ถานศกึ ษาของตน 1.2.3 เพื่อรวบรวมข้อมลู บางด้านจากผู้เรยี นใหม่ เช่น ความสนใจในกจิ กรรมเสริม หลักสูตร ความต้องการบริการช่วยเหลือต่างๆ จากทางสถานศึกษา เป็นต้น ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะถูก นาไปพิจารณาหาทางชว่ ยเหลือผเู้ รียนให้ตรงกบั ความตอ้ งการต่อไป
137 1.2.4 เพ่ือช่วยชี้แนะให้ผู้เรียนได้มีการพิจารณาทบทวนถึงเป้าหมาย และ จดุ มงุ่ หมายของตนเอง เพ่ือชว่ ยใหผ้ ้เู รียนใหมแ่ ละเกดิ ความรู้เกย่ี วกับตนเองดีขน้ึ และโอกาสใหม่ๆท่ีมี ซ่ึงจะชว่ ยให้ผู้เรียนสามารถวางแผนการเลือกไดอ้ ย่างฉลาด 1.3 แนวทางการจดั กจิ กรรมปฐมนเิ ทศ เนื่องจากการปฐมนิเทศเป็นการจัดกิจกรรมเพื่อให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจและ มีเจตคติที่ดีต่อสถานศึกษาหรือโครงการทีจ่ ัดข้ึน ส่วนใหญ่สถานศึกษาจะนิยมจดั การปฐมนิเทศก่อน เร่มิ ศึกษาเล่าเรียนหรือกอ่ นเข้ารว่ มโครงการ ด้วยการประชมุ ชแี้ จงบางครงั้ อาจมกี ารแบง่ กลุ่มยอ่ ยเพอ่ื ฝกึ ปฏบิ ัตซิ ักซอ้ มความเข้าใจ ดังนั้นการจัดกจิ กรรมปฐมนเิ ทศจึงควรยึดหลกั การดังนี้ 1.3.1 ผเู้ รียนทุกคนต้องเขา้ รว่ มการปฐมนเิ ทศ หากไมส่ ามารถเข้าปฐมนิเทศได้ต้อง ดาเนินการปฐมนิเทศเปน็ รายบคุ คลภายหลัง นอกจากนย้ี งั ต้องกระตุ้นใหผ้ ้เู รยี นตระหนักวา่ การเขา้ รบั การปฐมนิเทศมปี ระโยชน์ เพราะเป็นการสรา้ งความรบั ผดิ ชอบต่อการปฏิบัตงิ าน 1.3.2 การนาเสนอข้อสนเทศในการประถมนิเทศน้นั ควรนาเสนอรายละเอียดให้ ครบถว้ นเปน็ รปู ธรรม สะดวกตอ่ ความเข้าใจ ไม่นานเกินไป และให้ผู้เรียนมีส่วนร่วม 1.3.3 การปฐมนิเทศมีความสาคัญต่อผู้เรียนมาก ดังน้ันผู้จัดการปฐมนิเทศต้อง เตรยี มการอยา่ งดี เพือ่ ใหก้ ารปฐมนเิ ทศเกดิ ประสทิ ธิภาพสูงสุด ภาพที่ 3.1 ตัวอย่างการปฐมนเิ ทศ ทีม่ า: https:// fkw.ac.th/fkwschool/newschool/pthmnitheswanpeidphakhreiyn
138 2. การปจั ฉิมนเิ ทศ การปัจฉิมนเิ ทศ (Last Orientation) เป็นกจิ กรรมที่ทางสถานศึกษาจัดใหก้ ับผู้เรยี นที่ จะสาเรจ็ การศึกษา เพื่อใหข้ อ้ สนเทศแกผ่ ้เู รยี นเปน็ กลมุ่ ซ่งึ จะเปน็ ประโยชนต์ ่อการปรับตัวของผ้เู รียน เมอ่ื ออกจากสถานศึกษาไปแลว้ ทาให้เกิดความม่นั ใจในตนเองมากย่งิ ข้นึ ในการออกไปเผชิญกบั สงั คม ภายนอก 2.1 ความหมายของการปจั ฉิมนเิ ทศ กิจกรรมปัจฉิมนิเทศ หมายถึง กิจกรรมที่จัดข้ึนก่อนผู้เรียนสาเร็จการศึกษาหรือ เสร็จส้ินกิจกรรมโครงการทีส่ ถานศึกษาจดั ขน้ึ เพื่อใหผ้ ู้เรยี นไดท้ บทวนรายละเอียดเกีย่ วกับกิจกรรม เนื้อหาท่เี รียนรู้ และเปน็ การเตรียมความพรอ้ มกอ่ นจะสาเร็จการศึกษา หรือเปน็ การสรุปบทเรียนจาก การจัดกจิ กรรมโครงการ 2.2 จดุ มงุ่ หมายของการปัจฉมิ นเิ ทศ 2.2.1 เพ่ือช่วยให้ผู้เรยี นทจ่ี ะสาเรจ็ การศึกษาเกิดความพร้อมท่ีจะออกไปเผชิญโลก ภายนอก 2.2.2 เพ่ือช่วยให้ผู้เรยี นที่จะสาเรจ็ การศึกษามองเหน็ ลู่ทางและโอกาสในการศึกษา ต่อของตน 2.2.3 เพื่อช่วยให้ผู้เรียนที่จะสาเร็จการศึกษามองเห็นลู่ทางและโอกาสในการ ประกอบอาชพี ของตน พร้อมทงั้ รวู้ ธิ ีการแสวงหางานและสมัครงาน 2.2.4 เพอ่ื ชว่ ยให้ผู้เรียนทจ่ี ะสาเรจ็ การศึกษาได้รับขอ้ สนเทศดา้ นสว่ นตัวและสงั คม ซงึ่ จะเป็นประโยชนต์ อ่ ผู้เรยี นในการปรบั ตวั ให้เขา้ กับสังคมภายนอกสถานศึกษา 2.2.5 เพื่อช่วยให้ผู้เรียนท่ีจะสาเร็จการศึกษาไดต้ ระหนักว่าทางสถานศึกษามีความ รกั และความหว่ งใยผู้เรียนอย่างแท้จรงิ 2.3 แนวทางการจัดกจิ กรรมปัจฉมิ นิเทศ 2.3.1 ส่วนใหญ่แล้วการจัดกิจกรรมปัจฉิมนิเทศมักดาเนินการในลักษณะของ โครงการ โดยความร่วมมือของคณะกรรมการแต่ละฝ่าย ดังน้ัน การจัดกิจกรรมปัจฉิมนิเทศควรมี การเตรียมความพร้อมและวางแผนการจัดงานอย่างเป็นระบบ เพ่ือให้ผ้เู รียนได้รับประโยชน์จากการ เขา้ รว่ มกิจกรรมมากที่สดุ 2.3.2 ลักษณะการจัดกิจกรรมที่นิยมใช้ในสถานศึกษา มักเป็นการเชิญศิษย์เก่าที่ ประสบความสาเร็จ วิทยากรจากหน่วยงานภายนอกและหน่วยงานภายในมาให้ข้อสนเทศท่ีเป็น ประโยชนต์ อ่ ผเู้ รียน บางครัง้ อาจมกี ารจดั นิทรรศการ และการจา่ ยเอกสารตา่ งๆ แกผ่ ู้เรียน 2.3.3 ข้อสนเทศท่ีควรนามาจัดกิจกรรมประชุมนิเทศให้แก่ผู้เรียน ได้แก่ ข้อคิด และโอวาทจากคณะครู แนวทางการศกึ ษาต่อ การประกอบอาชีพ วิธีการหางาน การสอบสัมภาษณ์
139 วิธีการปรบั ตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ๆ การดาเนินชีวิต มนุษยสัมพันธ์ การวางเป้าหมายชีวิต เป็นต้น ภาพที่ 3.2 ตวั อย่างการปจั ฉิมนเิ ทศ ที่มา: https:// fkw.ac.th/fkwschool/newschool/pacchimnithesnakreiyn2559 3. กจิ กรรมแนะแนวในชน้ั เรียน กิจกรรมแนะแนวในช้ันเรียน (Guidance Class) หรือกิจกรรมสารวจ เป็นวิธีการให้ ขอ้ สนเทศแก่ผเู้ รยี นเปน็ กลมุ่ โดยเนน้ ดา้ นการจัดกจิ กรรม เพ่ือให้ผูเ้ รยี นเกดิ ความเจริญงอกงามในชีวติ ซ่ึงเน้นการรู้จกั ตนเองและผอู้ ื่น รวมถึงให้ผู้เรียนเกิดความสนุกสนานและเกิดการเรียนรูด้ ้วย เพราะ กจิ กรรมแนะแนวไม่มหี น่วยการเรยี น ดังนั้น ครหู รือผ้แู นะแนวจะต้องใช้เทคนิคและศิลปะในการจัด กิจกรรมอย่างสงู และจะตอ้ งเตรยี มการล่วงหน้าเปน็ อย่างดี 3.1 ความหมายของกจิ กรรมแนะแนวในชั้นเรียน กิจกรรมแนะแนวในชั้นเรียน หมายถึง การจัดบริการสนเทศเป็นกลุ่มรูปแบบหน่ึง ซ่ึงจัดในคาบกิจกรรมแนะแนวที่กาหนดไว้ในหลักสูตร กิจกรรมแนะแนวในช้ันเรียนนอกจากจะ นาเสนอข้อสนเทศท้ังด้านการศึกษา อาชีพ ส่วนตัวและสังคมท่ีมีประโยชน์ต่อผู้เรียนซ่ึงเป็นบริการ สนเทศแลว้ ยงั เปน็ การจัดกิจกรรมแนะแนวต่างๆ ตามบริการท้ัง 5 บรกิ ารของการแนะแนวด้วย
140 3.2 จุดมุ่งหมายของการจดั กิจกรรมแนะแนวในช้ันเรียน 3.2.1 เพื่อช่วยให้ผู้เรียนได้รับข้อสนเทศด้านการศึกษา ซึ่งนอกจากจะช่วยให้ ผู้เรยี นมีความเข้าใจเกี่ยวกับการศึกษาปัจจุบันของตนแล้ว ยังจะช่วยให้ผู้เรียนทราบถึงช่องทางและ โอกาสในการศกึ ษาต่อในอนาคตอกี ด้วย 3.2.2 เพ่ือช่วยให้ผู้เรียนได้รับข้อสนเทศด้านอาชีพอย่างกว้างขวาง ซึ่งจะเป็น ประโยชน์ต่อการวางแผนการเลือกอาชีพในอนาคตของผู้เรียน 3.2.3 เพ่อื ช่วยให้ผู้เรยี นได้รับข้อสนเทศต้านส่วนตัวและสังคม ซึง่ นอกจากจะช่วย ให้ผู้เรยี นรู้จักและเขา้ ใจตนเองแล้ว ยังจะช่วยให้ผู้เรียนได้มีความรู้ความเขา้ ใจเกี่ยวกบั มารยาทสังคม การควบคุมอารมณ์ ทาใหส้ ามารถมีชวี ติ อยูใ่ นสงั คมได้อย่างมีความสุขอกี ด้วย 3.3 แนวทางการจัดกิจกรรมแนะแนวในชัน้ เรยี น 3.3.1 การจัดกจิ กรรมแนะแนวในช้นั เรียนมีประโยชน์ต่อผู้เรยี นเปน็ อย่างยง่ิ ดังนั้น จึงต้องมีผรู้ บั ผิดชอบชัดเจน จดั อยา่ งจรงิ จงั และต่อเนื่อง โดยใหป้ รากฏในตารางเรียน 3.3.2 กิจกรรมแนะแนวในชนั้ เรียนไมใ่ ช่การมุง่ เนน้ การสอนเนอื้ หาวิชาการ แตเ่ ปน็ การจัดกิจกรรมเพอ่ื ใหผ้ ู้เรียนได้รบั ข้อสนเทศและประสบการณ์ท่ีเป็นประโยชน์ ดังน้ัน ผู้รับผิดชอบ การจัดกิจกรรมแนะแนวในช้ันเรียน ควรมีความรู้ ความเข้าใจ มีความชานาญในการกิจกรรม รวมทั้งตระหนักถงึ ความสาคญั ของกิจกรรมแนะแนวในช้ันเรยี น 3.3.3 การจัดกิจกรรมแนะแนวในชั้นเรยี นต้องยดึ หลกั การจัดกิจกรรมที่เน้นผู้เรยี น เป็นสาคัญ สอดคล้องกับพัฒนาการความต้องการ และความจาเป็นของผู้เรียน มีขอบข่ายเน้ือหา ครอบคลุมด้านการศึกษา อาชพี ส่วนตัวและสังคม 3.3.4 การจัดกจิ กรรมแนะแนวในชนั้ เรียนควรมีการวางแผนการจัดกจิ กรรมอยา่ ง เปน็ รูปธรรม ในลักษณะแผนการจัดกิจกรรม โดยองิ หลักการเขียนแผนการจดั การเรยี นรู้ รวมทง้ั ตอ้ งมี การวางแผนการจดั กจิ กรรมแนะแนวในช้ันเรยี นระยะยาวเป็นภาคเรยี นและปีการศกึ ษาดว้ ย 3.3.5 การจัดกิจกรรมแนะแนวในชั้นเรียนควรหลีกเลี่ยงการสอนหรือบรรยาย แตค่ วรจดั กิจกรรมให้ผู้เรียนได้คิดวิเคราะห์ ตัดสนิ ใจ แสดงออก ฝกึ ปฏิบัติ และมีสว่ นร่วมในกิจกรรม ใหม้ ากที่สุด ทงั้ ยงั ต้องสร้างบรรยากาศอบอุ่นเปน็ กันเอง 3.3.6 การจัดกิจกรรมแนะแนวในช้ันเรียนควรกาหนดหัวข้อ วัตถุประสงค์ ความคดิ รวบยอด วิธีการจัดกิจกรรม ส่อื และการประเมนิ ผลใหส้ อดคลอ้ งสมั พันธ์กนั ท้ังน้ี เพื่อให้เกิดความเขา้ ใจเก่ียวกับการจัดกิจกรรมแนะแนวในช้ันเรยี นเพม่ิ ขึ้น จึงขอ นาเสนอแผนการจัดกิจกรรมแนะแนวในชนั้ เรียนระดบั ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 6 ของกระทรวงศึกษาธิการ ดงั นี้ (สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขัน้ พื้นฐาน, 2555, น. 9-15)
141 แผนการจดั กิจกรรมแนะแนว กิจกรรมที่ 4 ตัดสินใจและแกป้ ญั หา หน่วยการเรยี นรูท้ ี่ 2 พฒั นาสู่อาชีพ กิจกรรมเรื่อง พัฒนาสอู่ าชพี ระดบั ช้นั ม.6 จานวน 4 คาบ --------------------------------------------------------------------------------- 1. สาระสาคญั เมอื่ ตัดสนิ ใจเลือกเสน้ ทางเข้าสอู่ าชพี ทต่ี ้องการแล้ว กต็ ้องมีการเตรยี มความพรอ้ มเพื่อเดนิ ตามเสน้ ทางน้ันได้อยา่ งราบรื่นหรอื อุปสรรคนอ้ ยทีส่ ุด 2. จุดประสงค์ช้ันปี 2.1 กาหนดแนวทางการพฒั นาตนเองสอู่ าชพี ที่ตัดสนิ ใจ 3. จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ 3.1 ระบุวธิ พี ัฒนาตนเองตามเสน้ ทางเข้าสู่อาชพี ทต่ี ัดสินใจเลือก 3.2 ปฏิบัตกิ ารพัฒนาตนเองตามวิธีการทร่ี ะบุ 4. กิจกรรมการเรียนรู้ ชวั่ โมงที่ 1 4.1 ทบทวนการตดั สนิ ใจศกึ ษาตอ่ หรอื ประกอบอาชพี ในชั่วโมงก่อนหน้าน้ี 4.2 นักเรียนท่ีตัดสินใจเหมือนกัน เข้ากลุ่มดียวกัน (แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ ศึกษาต่อกับ ประกอบอาชีพ) ครูพจิ ารณาแบง่ ตอ่ โดยให้มีกลุ่มละ 5-6 คน 4.3 แต่ละกลุ่มอภิปรายเกี่ยวกับการพัฒนาตนองเพ่ือการเรยี นต่อหรือเพ่ือการประกอบ อาชีพ (ตามการตัดสินใจทีผ่ ่านมา) บนั ทึกในใบงาน เรอ่ื ง เตรยี มความพรอ้ ม ชว่ั โมงที่ 2 4.4 ทบทวนการปฏบิ ตั ิงนในใบงาน เรือ่ ง เตรียมความพรอ้ ม ตอนท่ี 1 4.5 แต่ละกลุ่มนาเสนอ โดยแยกสมาชกิ ในห้องเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มศึกษาต่อ และกลุ่ม ประกอบอาชพี แลว้ มอบหมายให้นักเรียนทาหน้ท่ีเป็นผดู้ าเนินการแทนครกู ล่มุ ละคน 4.6 ขณะที่มีการนาสนอ กลุ่มท่ีฟังบันทึกวธิ ีการที่น่าสนใจเพิ่มเติมในใงาน เรื่อง เตรียม ความพร้อมของกลุม่ ตอนท่ี 2 ชั่วโมงท่ี 3 4.7 ทบทวนการบันทึกขอ้ มลู ในใบงาน เร่อื ง เตรียมความพร้อม ของแตล่ ะกล่มุ
142 4.8 นักรียนแต่ละคนในกลุ่มนาข้อมูลผลงานของกลุ่มมาวิเคราะห์ แล้วระบุการพัฒนา ตนเองเพ่อื เข้าสู่อาชีพท่เี ลอื ก บนั ทึกในใบงาน รื่อง วธิ ีของฉนั 4.9 ให้นักเรียนแต่ละคนไปปฏิบัติตามวิธีการท่ีตนระบุเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อม ในช่วงท่ยี งั ไมจ่ บชนั้ มัธยมศกึ ษาปีที่ 6 ชว่ั โมงที่ 4 4.10 สอบถามการปฎิบัติเพื่อเตรียมความพรอ้ มของนักเรยี นแต่ละคนตามใบงาน เรอ่ื ง วธิ ีของฉัน ตอนที่ 2 4.11 แบง่ นกั เรียนเป็น 2 กลุม่ (เรยี นตอ่ -ประกอบอาชีพ) แบง่ เป็น 2 วง แตล่ ะวงเล่าส่กู ัน ฟังเกี่ยวกับการปฏิบัตพิ ่ือเตรียมความพร้อมสู่อาชีพของนักเรยี นแต่ละคน โดยมีนักเรียน 1 คน เปน็ ผู้ ดานินการ 412 รวมเป็นกลุ่มเดียว แลว้ ร่วมกันสรุปวา่ เมือ่ ตดั สนิ ใจเลือกเส้นทางสู่อาชีพท่ีสอดคลอ้ ง กับข้อมูลของตนแล้วก็ต้องมีการเตรียมความพร้อมเพื่อเดินตามเส้นทางน้ันได้อย่างราบรื่นหรือมี ปญั หาอุปสรรคน้อยทสี่ ุด 5. ส่ือ/อปุ กรณ/์ แหล่งเรียนรู้ 5.1 ใบงาน เรอ่ื ง เตรียมความพรอ้ ม 5.2 ใบงาน เรื่อง วิธขี องฉนั 5.3 สถานที่ตามวิธีการเตรยี มความพร้อมของนกั เรียน 6. การประเมินผล 6.1 วิธปี ระเมนิ 6.1.1 ตรวจใบงาน 6.1.2 สรปุ ระดับคณุ ภาพการปฏิบัติงานรายบคุ คล 6.2 เครอื่ งมือประเมนิ - แบบบันทกึ ระดบั คุณภาพการปฏบิ ตั งิ านรายบคุ คล 6.3 เกณฑ์การประเมนิ - ใบงาน เร่อื ง เตรียมความพรอ้ ม ระบไุ ด้ 2 ตอน ระดบั คุณภาพ ดี ระบุได้ 1 ตอน ระดบั คุณภาพ พอใช้ ระบไุ มไ่ ด้ ระดบั คณุ ภาพ ปรับปรงุ
143 - ใบงาน เร่อื ง วธิ ีของฉนั ระดับคุณภาพ ดี ระบุได้ 2 ตอน ระดบั คุณภาพ พอใช้ ระบไุ ด้ 1 ตอน ระดับคุณภาพ ปรบั ปรุง ระบไุ ม่ได้ 7. แหล่งศกึ ษาค้นคว้าเพม่ิ เติมสาหรบั ครู - แบบบันทกึ ระดับคณุ ภาพการปฏิบัติงานรายบุคคล คาชีแ้ จง บันทกึ ระดบั คุณภาพการปฏิบัตงิ าน และใบงานลงในชอ่ งแลว้ สรปุ ระดับคณุ ภาพตามเกณฑ์ เลขท่ี ชื่อ-สกุล ระดับคุณภาพการปฏิบตั ิงาน สรุประดับคุณภาพ เตรยี มความพร้อม วิธีของฉัน เกณฑ์การพจิ ารณา ระดับคุณภาพ ดี มี ดี 2 ใบงาน ระดับคณุ ภาพ พอใช้ มี ดแี ละพอใชเ้ ทา่ น้ัน ระดับคุณภาพ ปรับปรงุ มี ปรบั ปรุง
144 ใบงาน เรอื่ ง เตรียมความพรอ้ ม สมาชกิ กลมุ่ 1. ............................................................................................ ชน้ั .......................... 2. ............................................................................................ ชน้ั .......................... 3. ............................................................................................ ชน้ั .......................... 4. ............................................................................................ ชน้ั .......................... 5. ............................................................................................ ชั้น.......................... 6. ............................................................................................ ชน้ั .......................... กลุ่มนี้ตดั สนิ ใจเพอื่ ศกึ ษาตอ่ ประกอบอาชีพ ตอนท่ี 1 ใหส้ มาชกิ อภปิ รายหาวธิ /ี กิจกรรมการพัฒนาตนเองเพ่อื เข้าสเู่ สน้ ทางท่ตี ัดสินใจ แล้วบนั ทึกลงในกรอบขา้ งลา่ งน้ี วธิ ีการพัฒนาตนเอง 1. ............................................................................................................................ 2. ............................................................................................................................ 3. ............................................................................................................................ 4. ............................................................................................................................ 5. ............................................................................................................................ 6. ............................................................................................................................ ตอนท่ี 2 วิธีการพัฒนาส่อู าชีพเพิ่มเติม 1. ............................................................................................................................ 2. ............................................................................................................................ 3. ............................................................................................................................ 4. ............................................................................................................................ 5. ............................................................................................................................
145 ใบงาน เรอ่ื ง วิธขี องฉัน ชอ่ื -สกลุ .................................................................................................... ชนั้ .......................... ให้นักเรยี นบนั ทกึ วธิ ีการพัฒนาตนเองของกลุ่มในตอนที่ 1 แล้วเลือกวธิ ีการที่เลือกแลว้ ว่า เหมาะสมกับตวั นักเรียน บันทกึ ในตอนที่ 2 ตอนที่ 1 วธิ พี ฒั นาตนเองของกลุ่ม (จากใบงาน เร่ือง เตรียมความพรอ้ ม) ตอนที่ 2 วธิ ีพัฒนาตนเองของฉนั (เลือกจากตอนท่ี 1) ภาพท่ี 3.3 ตัวอย่างการจดั กิจกรรมแนะแนวในชน้ั เรยี น ท่ีมา: http://www.mattayom31.go.th
146 4. กจิ กรรมโฮมรมู กจิ กรรมโฮมรมู (Home Room Activities) เป็นกจิ กรรมทีส่ าคัญของโครงการแนะแนว ในสถานศกึ ษา เน่อื งจากเปน็ กิจกรรมที่เปิดโอกาสใหค้ รูโฮมรมู ไดม้ โี อกาสใกลช้ ิดกบั ผู้เรียนในกลมุ่ ท่ีตน เป็นผู้รับผิดชอบ ทาให้ครูมีโอกาสให้ข้อสนเทศด้านต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อพัฒนาการของผู้เรียน ทาให้ผ้เู รยี นสามารถปรับตวั ให้เขา้ กับสถานการณต์ ่างๆ ไดเ้ ป็นอยา่ งดี 4.1 ความหมายของกจิ กรรมโฮมรมู กิจกรรมโฮมรูม หมายถึง กิจกรรมที่จัดข้ึนเพ่ือพัฒนาผู้เรียนให้เกิดความเจริญ งอกงามตามคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของสังคม โดยมีพ้ืนฐานจากการสร้างสัมพันธภาพ ความปรารถนาดีที่มีต่อกัน การนาสารสนเทศที่มีประโยชน์มาให้ผู้เรียนได้รับรู้ ได้คิดวิเคราะห์ ตัดสนิ ใจ เพื่อใหเ้ ขา้ ใจตนเอง ผูอ้ น่ื และสังคม 4.2 จดุ ม่งุ หมายของกจิ กรรมโฮมรมู 4.2.1 เพื่อช่วยให้เกิดสัมพันธภาพที่ดีต่อกันระหว่างครูกับผู้เรียน ซ่ึงจะช่วยให้ ผเู้ รยี นเกิดความรู้สึกปลอดภยั และตระหนักวา่ ตนเป็นส่วนหนง่ึ ของสถานศกึ ษา 4.2.2 เพ่ือช่วยให้ผู้เรียนได้ทราบเรือ่ งราวและละเอียดรายละเอียดต่างๆ ท่ีผเู้ รยี น ควรจะทราบ เช่น โอกาสและแนวทางในการศึกษาต่อและการประกอบอาชีพ การสร้างเสริม ประสิทธิภาพในการเรยี น การคบเพื่อน และมารยาทสงั คม เป็นตน้ 4.2.3 เพ่ือช่วยให้ผู้เรียนได้รับการส่งเสริมและพัฒนาให้เกิดความเจริญงอกงาม อย่างมบี รู ณาการ (Integration) และส่งเสรมิ การทางานร่วมกนั เป็นกลุม่ การอยู่รว่ มกันเป็นหมคู่ ณะ 4.2.4 เพื่อชว่ ยให้ผู้เรียนไดม้ ีโอกาสปรกึ ษาปัญหาต่างๆ ทีเ่ กิดขึ้น และใหผ้ ู้เรยี นได้ แลกเปลยี่ นความคิดเห็นและประสบการณซ์ ่งึ กนั และกัน ทั้งยงั เปดิ โอกาสให้ผเู้ รยี นได้ชว่ ยกนั แกป้ ัญหา ของกันและกนั อีกด้วย 4.2.5 เพ่อื ช่วยให้ครูไดร้ ู้จกั และเขา้ ใจผเู้ รยี นดขี ึน้ รูถ้ ึงปัญหาและความต้องการของ ผเู้ รียน ทาให้สามารถให้การช่วยเหลอื และสนองตอบความต้องการของผู้เรียนได้อย่างเหมาะสม 4.3 แนวทางการจดั กจิ กรรมโฮมรูม สถานศึกษามกั จะกาหนดช่วงเวลาของการจดั ก็กิจกรรมโฮมรูมเปน็ 2 ลักษณะใหญ่ คอื การกาหนดชัว่ โมงการจัดกจิ กรรมโฮมรมู ชัดเจนในตารางเรียน ซึ่งบางครงั้ นยิ มเรียกว่าโฮมรูมยาว และการจดั กิจกรรมโฮมรูมตามความสะดวกของผู้เรียนและครทู ่ีปรึกษา/ครูประจาชั้น บางคร้ังนิยม เรยี กว่าโฮมรูมสน้ั ขั้นตอนการจัดกจิ กรรมโฮมรมู อาจแบ่งเป็นข้นั ตอน ดังน้ี
147 ขั้นที่1 การวิเคราะห์ผู้เรียน เป็นการวิคราะห์ผู้เรียนในลักษณะต่างๆ เช่น ธรรมชาติและพัฒนาการของผู้เรียน ความต้องการของผู้เรยี น คุณลักษณะต่างๆ ส่วนเด่น จุดด้อยท่ี ต้องปรับปรุงพฒั นา สภาพความตอ้ งการของครอบครัว ชุมชน และสงั คม ข้อมลู นจี้ ะทาให้ใด้แนวทาง ในการจดั กจิ กรรมโฮมรูม ขั้นที่ 2 การกาหนดจุดมุ่งหมายของการจัดกิจกรรมโฮมรูม ภายหลังจากการ วิเคราะหผ์ ู้เรยี นแล้ว ผู้จดั กิจกรรมโฮมรูมต้องกาหนดจุดมงุ่ หมายวา่ ต้องการใหผ้ ู้เรียนไดร้ บั ประโยชน์ อะไร หรอื ได้อะไรจากการเขา้ ร่วมกิจกรรมโฮมรูม ขัน้ ท่ี 3 การกาหนดเนอ้ื หาและสารสนเทศของการจัดกิจกรรมโฮมรูม ในข้ันนี้ผูจ้ ัด กิจกรรมต้องเวคิ ราะหค์ วามจาเป็นและความสาคญั ของเนอ้ื /สารสนเทศที่จะนาเสนอเพื่อให้ผเู้ รียนเกิด การรียนรู้ โดยคานึงว่าปัญหาหรือคุณลักษณะใดที่มีความจาเป็นเร่งด่วน หรือสาคัญมากเพียงใด เน้ือหาสารสนเทศมีความยากง่าย ความทันสมัย หรือตรงกับความต้องการ ความสนใจของผู้เรียน หรือไมอ่ ยา่ งไร ตรงตามจุดมุ่งหมายของการจัดกิจกรรมมากน้อยเพียงใด โดยเน้ือหาสารสนเทศต้อง ครอบคลุมหลกั การจัดการรยี นรทู้ ้ัง 3 ด้าน คอื พุทธพิ ิสยั ทกั ษะพิสยั และจิตพิสัย ขั้นท่ี 4 ข้ันวางแผนการจัดกิจกรรมโฮมรูม เป็นการนาเนื้อหามาวิเคราะห์ว่าควร นาเสนอประสบการณ์การเรียนรู้แก่ผู้เรียนในลักษณะใด ในข้ันนี้ผู้จัดกิจกรรมต้องมาวางแผน วิเคราะห์การจัด อันได้แก่ เทคนิควิธีการจัด กระบวนการต่างๆ สื่อการเรียนรู้ ตลอดจนการวัด ประเมินผล โดยดาเนินการในลักษณะการเขียนแผนการจัดกิจกรรมโฮมรูม โดยท่ัวไปแผนการจัด กิจกรรมโฮมรมู จะมีสว่ นประกอบสาคัญคอื 1. ช่อื แผน/กิจกรรม 2. ระยะเวลาการจัด/ช้นั เรียนทจี่ ดั /วนั เวลา/สถานท่ี 3. จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้/ผลการเรียนรทู้ คี่ าคหวัง 4. เน้ือหา/สาระสาคญั /ความคดิ รวบยอด 5. กจิ กรรม (ขน้ั นา ขน้ั ดาเนนิ การ ข้ันสรุป) 6. สอื่ อปุ กรณ์ต่างๆ 7. การประเมินผล 8. อน่ื ๆ ถ้ามี เชน่ บันทกึ หลงั การจดั กิจกกรม ขอ้ เสนอแนะต่างๆ เป็นต้น เม่ือดาเนินการเขียนแผนการจัดกิจกรรมเสร็จแล้ว ให้ตรวจสอบพิจารณาว่า แผนการจัดกิจกรรมน้ีมีความสมบูรณ์เหมาะสมมากน้อยเพียงใด จุดประสงค์ เนื้อหา กิจกรรม สื่อ และการวัดประเมินผลสอดคล้องกันหรือไม่ ระยะเวลาการจัดกิจกรรมเพยี งพอหรอื ไม่ เป็นตน้ จากนนั้ ดาเนนิ การปรับปรงุ แกไ้ ข
148 ขนั้ ที่ 5 ข้ันการเตรียมการจดั กิจกรรม ข้นั น้ีผจู้ ดั กิจกรรมจะดาเนนิ การ เตรียมการ จัดหาอปุ กรณ์ ส่อื ต่างๆ สร้างเคร่อื งมอื แบบวดั /ประเมินผล ซกั ซ้อมความเข้าใจจินตนาการถงึ การจัด กจิ กรรม คิดทบทวนแก้ไขข้อบกพร่องจุดอ่อนของแผนการจัดกิจกรรม วิเคราะห์ปัญหาอุปสรรคท่จี ะ เกดิ ขนึ้ โดยเตรยี มหาทางแกไ้ ขไว้ล่วงหนา้ ขน้ั ที่ 6 ขนั้ ดาเนินการจัดกิจกรรม เป็นการจัดกิจกรรมตามแผนที่วางไวอ้ ย่างเป็น ข้นั ตอน มีการจดบันทึก เก็บข้อมูลต่างๆ ขณะดาเนินการจัดกิกรรม ประเดน็ สาคัญอย่างหนึ่งที่ผู้จัด กิจกรรมโฮมรูมจะละเลยไม่ได้กค็ อื การจัดกกิ รรมโฮมรูมแต่ละครง้ั ผูจ้ ดั ต้องตระหนกั ถึงสมั พนั ธภาพท่ี ดรี ะหว่างครกู ับศิษย์ และเพื่อนนักรียนกับเพื่อนนักรยี นดว้ ยกัน ในขั้นนาหรือข้ันสรุปต้องมีการดูแล ผู้เรียนในเรอ่ื งตา่ งๆ เชน่ การแตง่ กาย พฤตกิ รรม มีการอบรมคุณรรมจรยิ ธรรม เสริมแทรกในการจัด กิจกรรมแต่ละคร้ัง อีกทั้งต้องแจ้งข่าวสารและสารสนเทศต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อผู้เรียน โดยไม่ จาเปน็ ต้องใช้วธิ บี อกล่าวทุกครงั้ ไป อาจนาเสนอเป็นปา้ ยนิเทศ ประชาสัมพนั ธ์ หรอื ฝากขอ้ ความใหแ้ ก่ หัวหนา้ ช้ันหรอื ตัวแทนไว้บอกต่อกันไปก็ได้ ช้ันท่ี 7 ข้ันประเมินผล ขั้นนี้เป็นข้ันของการพิจารณาว่าการจัดกิจกรรมมี ความสาเร็จและเกดิ ประโยชนต์ ่อผู้เรียนเพยี งใด โดยพิจารณาจากวธิ ีการวัดผลที่กาหนดไวใ้ นแผนการ จัดกจิ กรม ส่วนใหญ่มกั จะนิยมใช้การสงั เกตพฤตกิ รรมการมสี ว่ นรว่ ม การซักถาม การใช้แบบสอบถาม แบบทดสอบ การเขยี นรายงานการเรยี นรู้ เป็นต้น โดยวิเคราะห์เปรียบเทยี บกับจุดประสงค์การเรียนรู้ แลว้ สรุปรวบรวม เพอื่ นาข้อมูลดงั กล่าวมาพฒั นาปรับปรุงการจดั กิจกรรมตอ่ ไป ขั้นท่ี 8 ขั้นการให้ข้อมูลย้อนกลับแก่ผู้เรียน ภายหลังการประเมินผลการจัด กจิ กรรม ผู้จดั กิจกรรมต้องนาเสนอผลการจดั กิจกรรมและข้อมลู อันเปน็ ประโยชน์ต่อผ้เู รยี นวา่ การจัด กิจกรรมคร้ังนี้ ผู้เรียนบรรลุจุดประสงค์หรือไม่ ควรปรบั ปรงุ แก้ไข แลกเปลย่ี นเรียนรู้ เติมเต็มผู้เรียน พฒั นาให้เกดิ ความเจริญงอกงามอย่างไร การจัดกจิ กรรมโฮมรมู ให้มปี ระสิทธิภาพจะตอ้ งมีการเตรียมการหรือมีการวางแผน เป็นอย่างดี โดยผู้บริหารสถานศกึ ษาต้องเป็นผมู้ ีบทบาทและมสี ว่ นร่วมดว้ ยอย่างมากในการให้คณะครู ทาการวางแผน ช่วยกันร่างกิจกรรมร่วมกันระหว่างครู/อาจารย์โฮมรูม ซึ่งอาจจะเป็นคนเดียวกับ ครูประจาช้ันแล้วนาไปปฏิบัติเหมือนๆ กัน เม่ือถึงสิ้นปีก็นาผลมาอภิปรายและปรับปรุงแก้ไขให้ สมบูรณ์ขึ้นก็จะเป็นประโยชน์มาก ในการวางแผนที่จะร่างกจิ กรรมร่วมกันนั้น หากเป็นไปได้ควรจะ สารวจความต้องการของผู้เรียนก่อน โดยจัดทาแบบสอบถามสาหรับสารวจความตอ้ งการของผู้เรียน ทุกคนในระดับช้นั ต่างๆ เพ่ือรวบรวมความต้องการของผู้เรียนได้แล้วจึงวางแผนจัดกิจกรรมร่วมกัน นอกเหนือจากความตอ้ งการท่ีสารวจไดแ้ ลว้ ครูอาจเพม่ิ เติมหวั ข้อบางอยา่ งที่ครูเห็นว่าเป็นประโยชน์ แก่ผู้เรียนได้ การจัดกิจกรรมตามความต้องการของผู้เรียนจะได้รับความสนใจเป็นอย่างดีและได้รับ ประโยชนอ์ ย่างเตม็ ท่ี
149 ทง้ั น้ี เพ่ือให้เกิดความเข้าใจเกี่ยวกับการจัดกิจกรรมโฮมรูม จึงขอนาเสนอตัวอย่าง แผนการจัดกจิ กรรมโฮมรูม ดังนี้ (เจษฎา บุญมาโฮม, 2558, น.132-134) แผนการจัดกจิ กรรมโฮมรูม ชอื่ กจิ กรรม บนั ทึกความดี ช้ันมัธยมศึกษาปที ี่ 4/2 ระยะเวลา 50 นาที จานวน 1 คาบ โรงเรยี นหอวัง วันที่จัด 20 พฤษภาคม 2549 เวลา 13.00 – 13.50 น. --------------------------------------------------------------------- ความคิดรวบยอด การดาเนนิ ชวี ติ ท่ีมีคุณค่า บคุ คลต้องรจู้ ักการทาความดี รจู้ กั แบ่งปันใหค้ วามชว่ ยเหลือผอู้ ่ืน เพื่อให้อย่รู ว่ มกนั ในสังคมอยา่ งมีความสุข ดงั น้ัน การปลูกฝงั การทาความดี รู้จกั ใหก้ ารชว่ ยเหลอื ผู้อ่ืน จงึ เปน็ ส่ิงทีพ่ งึ มีแก่เยาวชน เพือ่ ให้เขาเหล่านต้ี ระหนกั ถงึ ความสาคัญและสามารถชว่ ยเหลืยผูอ้ ืน่ ได้ จุดประสงค์การเรยี นรู้ 1. เพ่ือให้ผู้เรียนตระหนกั ถงึ ความสาคัญของการช่วยเหลือผ้อู ื่น 2. เพือ่ ให้ผู้เรยี นไดส้ ารวจความตอ้ งการของตนเองในการช่วยเหลอื ผ้อู ื่น 3. เพื่อใหผ้ ู้เรยี นสามารถกาหนดแนวทางและดาเนินการชว่ ยเหลือผอู้ ่นื ได้ เนอ้ื หา การช่วยเหลือผู้อื่นสามารถกระทาได้หลายวิธี เช่น การให้ การเสียสละ การเผื่อแผ่ การอนุเคราะห์ การสงเคราะห์ และการตักเตือนด้วยความหวังดี การช่วยเหลือผู้อ่ืนมีคุณค่าท้ังผู้ให้ และผู้รับ การวางแนวทางปฏิบัติตนเพ่ือช่วยเหลือผู้อ่ืน จะช่วยให้เกิดความช่วยเหลือกันในการอยู่ ร่วมกนั ในสงั คมอย่างมคี วามสขุ การให้ความช่วยเหลอื ผู้อื่น นับว่าเป็นการทาความดีที่สาคัญเกิดประโยชน์ต่อตนเองและ สงั คม อีกทั้งปี พ.ศ. 2549 เป็นปีท่ีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี จึงควรทาความดีเพื่อถวายแด่พระองค์ท่าน การบันทึกและการติดตามการใหค้ วามช่วยเหลอื นั้นจะทา ให้ผู้ปฏบิ ัตเิ กิดความภมู ใิ จในตนเอง และจะสามารถดาเนินการชว่ ยเหลือไดถ้ ูกตอ้ งเหมาะสมต่อไป กิจกรรม ขนั้ นา 1. ครตู รวจสอบความเรยี บรอ้ ยของผ้เู รียน แลว้ แจ้งข่าวสารต่างๆ ใหผ้ ู้เรยี นทราบ
150 2. ครูสนทนากบั ผู้เรยี นถงึ ข่าวบุคคลที่ให้ความชว่ ยเหลือผอู้ ่นื เชน่ การให้ทุนการศกึ ษาแก่ เยาวชนผู้ยากไร้ เป็นต้น จากนน้ั สอบถามเกีย่ วกับความคิดเห็นและรสู้ กึ ของผ้เู รียนท่มี ตี ่อเหตกุ ารณ์ ข้ันดาเนินการ 1. ครูขออาสาสมัครผู้เรียน 3-4 คน นาเสนอความดีในรปู แบบตา่ งๆ ให้เพื่อนๆ ในห้องฟัง 2. ครสู นทนากับผู้เรียนถงึ ผลที่ได้รบั หรือสิ่งตอบแทนจากการทาความดี 3. ครูสนทนากับผู้เรียนโดยต้ังคาถามว่า ภายหลังจากการทาความดีช่วยเหลือผู้อืน่ แล้วมี ใครเคยไม่ไดร้ ับผลตอบแทน หรอื ไดร้ บั ผลตอบแทนไมต่ รงกับความตอ้ งการของตนเองหรอื ไม่ อยา่ งไร เพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นน้ัน 4. ครูนาบัตรคา “ทาดีไม่ต้องอาย” “สุขใจที่ได้ทาดี” ให้ผู้เรียนดู แล้วสอบถามความ คดิ เหน็ เกี่ยวกับบัตรคาดังกล่าว 5. ครูกล่าวให้กาลังใจแก่ผู้เรียน โดยชี้แจงว่า การทาดีช่วยเหลือผู้อื่น ไม่ควรหวังส่ิง ตอบแทน การทาดชี ่วยเหลือผู้อ่นื นน้ั ส่ิงตอบแทนคือทาให้เรามีความสขุ พร้อมยกตัวอย่างโฆษณาท่ี แพร่ภาพทางโทรทศั น์เกย่ี วกบั การรณรงค์การทาดีของวยั รนุ่ 6. ครแู บ่งผู้เรียนออกเป็น 6 กลุม่ พร้อมแจกใบงาน ให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มช่วยกันคิดว่าเรา สามารถทาดชี ว่ ยเหลอื ผู้อ่นื ด้วยวิธีการใดบง้ 7. ตัวแทนแต่ละกลุม่ ออกมานาเสนอผลการปฎิบัติกจิ กรรมตามใบงาน 8. ผู้เรียนและครชู ่วยกันสรปุ การนาเสนอและเพิ่มเตมิ ใหข้ ้อเสนอแนะ 9. ครูมอบบันทึกความดีแก่ผู้เรียนเพื่อให้ผู้เรียนบันทึกการช่วยเหลือผู้อื่นเม่ือมีโอกาส ในช่วง 1 สัปดาห์ แล้วนาสง่ ครูเป็นการบ้าน ข้ันสรปุ 1. ครูขออาสาสมคั รผู้เรยี น 1-2 คน ออกมาสรุปการเรียนร้ใู นคาบนี้ โดยมเี พอ่ื นผู้เรยี นและ ครชู ่วยร่วมเพิ่มเติม 2. ครูสรุปการเรียนรู้โดยนาเสนอ ข้อความปณิธานการดาเนินชวี ิตของ พระบรมราชชนก กรมหลวงสงขลานครินทร์ ทีว่ า่ “ขอใหถ้ อื ประโยชน์สว่ นตนเป็นท่สี อง ประโยชนข์ องเพ่อื นมนษุ ยเ์ ป็นกิจท่ีหนึง่ ลาภ ทรพั ย์ และเกียรตยิ ศ จะตกแก่ทา่ นเอง ถ้าท่านทรงธรรมะแหง่ อาชพี ไว้ให้บริสุทธ\"ิ์ การประเมินผล 1. การสังเกตพฤติกรรมขณะจดั กจิ กรรม และหลังการจัดกิจกรรม
151 2. การสอบถามประกอบการสนทนาและการสรุปการเรียนรู้ 3. การตรวจสอบการเขยี นบันทกึ ความดขี องผู้เรยี น สื่ออุปกรณ์ 1. บตั รคา 2. ข้อความปณธิ านการดาเนินชวี ิตของ พระบรมราชชนก กรมหลวงสงขลานครินทร์ 3. ใบงานการปฏิบัติกจิ กรรม บนั ทกึ ภายหลังการจัดกิจกรรม บันทกึ ความดี ชื่อ.................................................................................................................... ชัน้ .................... คาชแ้ี จง ใหผ้ เู้ รียนบันทกึ การทาความดี ให้ความชว่ ยเหลือผูอ้ ่นื เปน็ เวลา 1 สปั ดาห์ แล้วนาส่งครตู ามกาหนด วัน เดือน ปี ผรู้ บั ความช่วยเหลอื กิจกรรมท่ชี ว่ ยเหลอื ผลการช่วยเหลอื ภาพท่ี 3.4 ตัวอย่างการจัดกจิ กรรมโฮมรมู ทีม่ า: http:// www.sps-school.com/2017/
152 5. กจิ กรรมเสริมหลกั สตู ร กิจกรรมเสรมิ หลกั สตู ร (Extra-Curricular Activities) เป็นการจัดกิจกรรมเพ่มิ ขน้ึ จาก หลักสตู รกาหนดไว้ใหผ้ ูเ้ รียนเพอื่ สง่ เสรมิ พัฒนาการ เพมิ่ ประสบการณ์ให้กับผู้เรยี นยิ่งขึ้น 5.1 ความหมายของกิจกรรมเสรมิ หลักสตู ร กิจกรรมเสรมิ หลักสูตร หมายถึง กิจกรรมตา่ งๆ ทท่ี างสถานศกึ ษาจัดใหก้ ับผเู้ รยี น โดยกจิ กรรมทีจ่ ัดน้นั ไมไ่ ด้กาหนดไวใ้ นหลักสตู รและไม่ได้บังคับให้ผู้เรียนต้องเรยี นหรอื ปฏบิ ัตเิ พือ่ เป็น เง่ือนไขสาเรจ็ การศึกษา แต่เป็นกิจกรรมท่ีสถานศึกษาเห็นว่าจะช่วยสง่ เสริมพัฒนาการเรียนรู้ และ เพมิ่ เตมิ คุณลกั ษณะอันพึงประสงค์แก่ผู้เรยี นได้ 5.2 จดุ มุง่ หมายของกิจกรรมเสริมหลักสูตร 5.2.1 เป็นการจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์เพ่ิมขึ้น และเลือกเข้า ร่วมกับกิจกรรมใดกิจกรรมหน่ึงตามความสนใจ ความถนัด ความสามารถของแต่ละบุคคล เป็นการ เสริมสร้างประสบการณไ์ วเ้ ปน็ พนื้ ฐานของการดารงชีวติ ในโอกาสต่อไป 5.2.2 ทาให้ผู้เรียนไดป้ รับตวั เข้ากับเพ่ือนๆ ใหม่ นอกเหนอื จากเพื่อนท่เี รียนอยชู่ ้ัน เดียวกัน ทาให้มีเพื่อนเพ่ิมข้นึ เกิดการร่วมมือร่วมใจในการทากิจกรรม ก่อให้เกิดความสมัครสมาน สามคั คีในหมคู่ ณะ 5.2.3 สร้างความสัมพันธ์ระหว่างครูกับผู้เรียน ในบรรยากาศที่ไม่ใช่การเรียน การสอน ผู้เรียนมีโอกาสพูดคุยปรึกษาหารือปัญหาต่างๆ ซึ่งก่อให้เกิดการช่วยเหลือ ปรับทุกข์ แกป้ ญั หาร่วมกัน ทาใหม้ ีความเขา้ ใจอนั ดตี ่อกัน 5.2.4 สร้างความรับผิดชอบให้เกิดข้ึนในตัวผู้เรียนในสถานการณท์ ส่ี มคั รใจ ทาโดย มิต้องมีใครบังคับควบคุม ผู้เรียนจะได้ร่วมกิจกรรมตามความสนใจย่อมจะมีความรับผิดชอบใน กจิ กรรม ซ่ึงเป็นการฝกึ ความรับผิดชอบในกิจกรรมอืน่ ๆ ดว้ ย 5.2.5 เป็นการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์เพราะถ้าผู้เรียนมีเวลาว่างมาก ไม่ได้ กระทากิจกรรมใด เวลาก็ล่วงเลยไปโดยเปลา่ ประโยชน์ หรอื บางคนจับกลมุ่ กับเพ่ือนไปรว่ มกิจกรรม อย่างอ่นื ซ่ึงนาความหายนะมาส่ตู นเอง ช่ือเสยี ง วงศ์ตระกูลได้ เช่น มัว่ สมุ เล่นการพนัน ติดยาเสพติด เป็นต้น 5.3 แนวทางการจัดกิจกรรมเสรมิ หลกั สูตร 5.3.1 จัดให้มีชุมนุมต่างๆ เช่น ชุมนุมวิทยาศาสตร์ ชุมนุมภาษาอังกฤษ ชุมนุม นันทนาการ ชมุ นมุ ทางอาชพี ฯลฯ แลว้ ให้ผ้เู รยี นเลือกสมัครเปน็ สมาชิกตามความถนัดและสนใจ 5.3.2 ฝึกการเข้าร่วมกิจกรรมอย่างมีระเบียบแบบแผน เช่น มีการสมัครเป็น สมาชิกของชุมนมุ แล้วเลอื กประธาน รองประธาน เหรัญญกิ และเลขานกุ ารของชมุ นุม เพ่อื สะดวกใน การดาเนินงานและทางานอย่างมรี ะบบ
153 5.3.3 ร่วมกันร่างกฎเกณฑ์สาหรับสมาชิกปฏิบัติร่วมกัน โดยสมาชิกในชุมนุม รว่ มกันร่าง เปน็ การฝกึ การอยใู่ นสังคมอย่างมรี ะเบยี บแบบแผน 5.3.4 แต่งตั้งครู/อาจารย์ที่ปรึกษาข้ึนในแต่ละชุมนุม ซึ่งเป็นครู/อาจารย์ท่ีมี ความสนใจ มีความสามารถป็นพิเศษในดา้ นนนั้ ๆ คอยใหค้ าปรึกษาหารอื ในการดาเนนิ งาน 5.3.5 ประชาสัมพันธ์เก่ียวกบั การเข้าร่วมกิจกรรมของแต่ละชุมนุมเพื่อชักชวนให้ ผู้เรยี นสมัครเป็นสมาชกิ ในแต่ละชมุ นุม และเชญิ ชวนครู/อาจารย์ทกุ ท่านเข้ารว่ มกิจกรรมในชุมนมุ ใด ชมุ นุมหนึ่งตามความสนใจ 5.3.6 กาหนดจานวนสมาชิกในแต่ละชุมนุมไม่ควรมีสมาชิกเกิน 30 คน เพื่อให้ ทุกคนมีสว่ นร่วมในกิจกรรมโดยทัว่ ถึงกัน และเปดิ โอกาสใหก้ ระจายไปอยชู่ ุมนุมอ่นื บ้าง 5.3.7 จัดนิทรรศการในแต่ละชุมนุมเป็นการสรุปผลงานและประเมินผลงานท่ี กระทาภายในรอบปี พร้อมทงั้ ขอ้ เสนอแนะในการปรบั ปรุงสาหรบั ผมู้ ารับงานใหม่ในปตี ่อไป ภาพท่ี 3.5 ตวั อยา่ งการจัดกจิ กรรมเสริมหลกั สตู รประเภทโครงงานนทิ รรศการ และชุมนมุ ตา่ งๆ ทม่ี า: https:// a/petburi.go.th/watbandithong/moderate-class/loveculture
154 6. การจัดวันวทิ ยาลยั การจัดวันวิทยาลัย (College Day) หรือวันแนะแนวศึกษาต่อ เป็นกิจกรรมท่ีฝ่าย แนะแนวของสถานศกึ ษานิยมจัดขึ้น เพื่อให้ขอ้ สนเทศเก่ียวกับโอกาสและแนวทางในการศกึ ษาต่อแก่ ผเู้ รียนของตน เน่ืองจากเป็นการช่วยให้ผู้เรียนได้รับข้อสนเทศด้านการศึกษาอย่างกว้างขวาง ทาให้ ผูเ้ รยี นมองเหน็ แนวทางและสามารถวางแผนในการศึกษาต่อได้อยา่ งเหมาะสมยง่ิ ข้ึน 6.1 ความหมายของการจดั วนั วทิ ยาลยั วันวทิ ยาลยั หมายถงึ วนั ทท่ี างฝา่ ยแนะแนวของสถานศกึ ษาจัดขน้ึ เพ่ือให้ขอ้ สนเทศ ด้านการศึกษา เกี่ยวกับโอกาสและแนวทางในการศึกษาต่อหลังจากผู้เรียนสาเร็จการศึกษาจาก สถานศึกษาแลว้ โดยการเชญิ วทิ ยากรที่เป็นผแู้ ทนจากสถานศกึ ษาตา่ งๆ มาอภปิ รายใหค้ วามร้เู กย่ี วกบั สถานศึกษาน้ัน และอาจจะจดั ให้มกี ารอภปิ รายกลุม่ ใหญ่และประชมุ กลุ่มย่อยกไ็ ด้ 6.2 จดุ มุ่งหมายของการจดั วนั วทิ ยาลัย 6.2.1 เพ่ือช่วยให้ผู้เรียนได้รับข้อมูลเก่ียวกับช่องทางและโอกาสในการศึกษาต่อ สถาบันการศึกษาตา่ งๆ จากผูแ้ ทนของสถาบนั เหล่านนั้ โดยตรง 6.2.2 เพื่อช่วยให้ผู้เรียนได้ตระหนักว่าในการจะศึกษาต่อตามสถาบันการศึกษา ต่างๆ น้ัน จะต้องมีการวางแผนและเตรียมตวั อย่างไรบา้ ง เพื่อท่ผี ูเ้ รยี นจะไดป้ ฏิบัตไิ ดอ้ ย่างถูกต้อง 6.2.3 เพือ่ ชว่ ยใหผ้ ู้เรียนไดว้ เิ คราะห์ตนเองว่าตนมีความเหมาะสมมากน้อยเพยี งไร ในการทีจ่ ะไปศกึ ษาตอ่ ในสถาบนั ทต่ี นสนใจ 6.2.4 เพือ่ เปิดโอกาสใหผ้ เู้ รยี นไดซ้ ักถามขอ้ สงสยั ต่างๆ จากวทิ ยากรท่ีเชิญมาอยา่ ง ใกลช้ ดิ 6.3 แนวทางการจัดวันวิทยาลยั 6.3.1 ควรดาเนินการในรูปแบบคณะกรรมการ ซ่ึงประกอบด้วยบุคลากรทุกฝ่าย ของสถานศึกษา เชน่ ผู้บริหาร คณะครู และผเู้ รยี น เป็นตน้ เพอื่ ร่วมกนั กาหนดจดุ มงุ่ หมายของการจดั วนั วิทยาลัยใหช้ ดั เจน 6.3.2 จัดให้มีการสารวจความสนใจเก่ียวกับสถานศึกษาท่ีผู้เรียนสนใจจะไป ศึกษาต่อ เพ่อื ใชเ้ ป็นขอ้ มลู ในการเชญิ วทิ ยากร 6.3.3 การติดต่อเชิญผู้แทนจากสถาบันการศึกษาต่างๆ ท่ีอยู่ในความสนใจของ ผเู้ รียน ใหม้ าเปน็ วิทยากร เพอ่ื ให้ข้อสนเทศด้านการศกึ ษาเก่ียวกบั การรบั สมัคร คุณสมบัติท่ีจาเป็น จานวนที่รบั การสอบคัดเลือก หลักสูตรการเรียนการสอน ค่าใชจ้ ่าย ทุนการศึกษา เป้นต้น ควรเชิญ ลว่ งหน้าและใหร้ ายละเอยี ดต่างๆ ท่ีทางสถานศกึ ษาต้องการจะให้วทิ ยากรพูดให้ชัดเจน
155 6.3.4 ในการให้ข้อสนเทศแก่ผู้เรียน อาจจะจัดในลักษณะของการอภิปราย กลุ่มใหญ่ หรือแบบประชุมกลุ่มย่อย หรือมีท้งั สองแบบร่วมกนั เลยก็ได้ ข้ึนอยู่กับโครงการท่ีได้จัดทา เตรยี มไว้ 6.3.5 เม่ือติดต่อวิทยากรได้เรียบร้อยแล้ว ควรจะได้มีการประชาสัมพันธ์งาน ในรปู แบบต่างๆ เพ่ือเป็นการกระต้นุ ให้ผู้เรียนต่ืนตวั และสนใจ ซึง่ การจัดงานจะประสบความสาเร็จ มากนอ้ ยเพียงใดยอ่ มขน้ึ อยู่กับความรว่ มมือของคณะกรรมการและบุคลากรทกุ ฝ่ายของสถานศกึ ษา 6.3.6 ควรมกี ารประเมินผลการจัดกิจกรรมดว้ ย หลังจากได้มีกิจกรรมไปแล้ว เพ่ือ จะได้ทราบขอ้ บกพรอ่ งต่างๆ ซง่ึ จะได้นามาปรบั ปรุงแกไ้ ขในการจัดกจิ กรรมครง้ั ต่อไป ภาพท่ี 3.6 ตวั อย่างการจัดวันวิทยาลัย ทม่ี า: http://maejadee.ac.th/news-detail_1715_15832 7. การจัดวนั อาชพี การจัดวันอาชีพ (Career Day) เปน็ กจิ กรรมที่บรกิ ารแนะแนวจัดข้ึนเพ่ือให้ข้อสนเทศ ด้านอาชีพแก่ผู้เรียนเป็นกลุ่ม จะเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้รับข้อสนเทศด้านอาชีพอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาชีพท่ีอยู่ในความสนใจของผู้เรยี น เพือ่ ทผี่ ู้เรียนจะไดต้ รวจสอบและวเิ คราะห์ตน วา่ มีความเหมาะสมกับอาชีพที่สนใจหรือไม่ และมากน้อยเพียงใด สว่ นใหญ่นิยมจัดกิจกรรมนี้ให้แก่ ผูเ้ รียนในระดับมัธยมศกึ ษาและอดุ มศกึ ษา เพราะผ้เู รียนในช่วงวยั น้ีมีพฒั นาการทางอาชีพชัดเจนกว่า ผู้เรยี นระดับประถมศึกษา
156 7.1 ความหมายของการจดั วนั อาชีพ วนั อาชีพ หมายถงึ กิจกรรมทีจ่ ัดขึ้นเพ่ือเน้นการให้ข้อสนเทศด้านอาชีพแก่ผเู้ รียน กิจกรรมในวันงานอาชีพได้ออกแบบเพื่อช่วยให้ผู้เรียนได้คิดและได้รับประสบการณ์เกี่ยวกับความ สนใจและความสามารถของตนเองในด้านอาชีพ การจัดกิจกรรมมักนิยมจดั เป็นนิทรรศการ การเชิญ วิทยากร และการออกรา้ นงานอาชพี ต่างๆ 7.2 จดุ มุ่งหมายของการจดั วนั อาชีพ 7.2.1 เพ่ือช่วยให้ผู้เรียนได้รับข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับอาชีพจากผู้ที่ประสบความ สาเร็จในการประกอบอาชีพน้ันๆ โดยตรง 7.2.2 เพื่อช่วยให้ผู้เรียนได้ตระหนักว่าในการจะประกอบอาชีพใดอาชีพหน่ึง ยอ่ มต้องการบุคคลทีม่ คี ุณสมบตั แิ ละความสามารถพเิ ศษแตกต่างกัน 7.2.3 เพื่อช่วยให้ผู้เรียนได้วิเคราะห์ตนเองในเร่ืองความสามารถ ความถนัดและ ความสนใจ เพอ่ื นาไปใช้ในการตดั สนิ ใจเลอื กอาชพี อยา่ งฉลาด มีเหตผุ ลและเหมาะสมกบั ตนเอง 7.2.4 เพ่ือช่วยให้ผู้เรียนได้ตระหนักถึงความสาคัญของอาชีพ ได้ทราบถึงความ ตอ้ งการของผปู้ ระกอบอาชพี น้นั ๆ ในปจั จุบัน และแนวโนม้ ความต้องการในอนาคต 7.2.5 เพื่อเป็นการกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความสนใจที่จะแสวงหาความรู้เกี่ยวกับ อาชพี ท่ตี นสนใจให้มากยิง่ ข้ึน และเปิดโอกาสใหผ้ ูเ้ รียนไดซ้ กั ถามขอ้ สงสยั ตา่ งๆ จากวิทยากรทีเ่ ชิญมา อย่างใกล้ชดิ 7.3 แนวทางการจดั วนั อาชีพ 7.3.1 สารวจความตอ้ งการของผู้เรียนเพอื่ จดั หมวดหมู่ความต้องการเก่ียวกบั อาชพี 7.3.2 กาหนดแนวทางและประเดน็ หลักของการจัดวันงานอาชีพ เช่น สาระสาคัญ และแนวโนม้ การประกอบอาชีพ การกาหนดรูปแบบวิธีการ การกาหนดวันเวลาจดั กจิ กรรม เปน็ ตน้ 7.3.3 ควรดาเนินการในรูปแบบคณะกรรมการเพ่ือวางแผนและแบ่งภาระการ ปฏบิ ตั ิงาน 7.3.4 ดาเนินการจัดกิจกรรมต่างๆ โดยเน้นความหลากหลายของกิจกรรม เช่น การเชิญวิทยากรมาบรรยาย การอภิปรายเก่ียวกับอาชีพ การสนทนากลุ่มเกี่ยวกับอาชีพและ ผปู้ ระกอบการหรือผ้มู ีประสบการณ์ จัดนิทรรศการ จดั ฉายภาพยนตรห์ รือภาพนิง่ เก่ียวกับอาชีพ การ แจกเอกสาร การแสดงผลงานต่างๆ ของผู้เรียน การออกร้านด้านอาชีพ การสารวจความถนัดและ ความสามารถของผู้เรยี น เป็นตน้ ท้ังน้กี ารจัดกจิ กรรมทีก่ ลา่ วมาขา้ งตน้ ควรเน้นให้ผเู้ รยี นไดม้ สี ว่ นร่วม ในการปฏิบตั กิ จิ กรรมอย่างท่วั ถึง เพือ่ ใหผ้ เู้ รยี นได้รับประสบการณม์ ากท่ีสดุ
157 7.3.5 การประเมินผลการจัดกิจกรรมวันงานอาชีพว่าการดาเนินงานประสบ ความสาเรจ็ หรือไมม่ ากน้อยเพยี งใด เช่น การสอบถามความคิดเห็นเกี่ยวกับกจิ กรรมประโยชน์ทไ่ี ดร้ ับ หรืออาจให้ผูเ้ รยี นเขียนบนั ทึกการเรียนร้ทู ี่ไดเ้ ขา้ รว่ มกิจกรรม ภาพท่ี 3.7 ตวั อย่างการจดั วนั อาชพี ท่มี า: http://nonthaburi.sbac.ac.th/2016/?p=4681 8. การจดั ทศั นศกึ ษานอกสถานท่ี การจัดทัศนศึกษานอกสถานที่ (Field Trips) เป็นการจัดบริการสนเทศใหผ้ ู้เรียนได้รับ ประสบการณ์ตรง โดยการพาไปเยี่ยมชมสถานศึกษา โรงงาน บริษัทเพ่ือให้ผู้เรียนได้รับข้อมูลทาง การศกึ ษาและอาชพี เพมิ่ ขนึ้ ดังน้ันก่อนเดินทางไปทัศนศึกษานอกสถานที่ควรจะตั้งวัตถุประสงค์และ วางโครงการไวล้ ว่ งหน้าเสรจ็ กอ่ น 8.1 ความหมายของการทัศนศกึ ษานอกสถานที่ การทัศนศึกษานอกสถานที่ หมายถงึ การพาผู้เรียนไปเยี่ยมชนสถานศึกษา หรือ สถานประกอบการอาชพี ต่างๆ เพือ่ ช่วยให้ผูเ้ รยี นได้รับประสบการณ์ตรง อันจะเปน็ ประโยชน์ต่อการ วางแผนเก่ยี วกบั แนวทางศึกษาต่อ หรอื แนวทางในการประกอบอาชพี ของตนในอนาคต 8.2 จุดมุง่ หมายของการทัศนศกึ ษานอกสถานที่ 8.2.1 เพ่ือให้ผู้เรียนได้รับข้อมูลที่เป็นประสบการณ์ตรงในด้านการศึกษาและ ประกอบอาชพี 8.2.2 ทาใหเ้ กิดเจตคตใิ นหลายๆ ด้านตอ่ การศึกษาต่อและการประกอบอาชีพ
158 8.2.3 เปน็ แรงจงู ใจต่อการศึกษาในปัจจบุ ันเพ่ือตัดสินใจเลอื กศึกษาตอ่ หรือเลือก ประกอบอาชพี โดยพิจารณจากประสบการณ์ตรงท่ไี ด้รบั 8.2.4 เป็นการเปลี่ยนบรรยากาศจากการเรียนภายในห้องเรียน โดยเรียนรู้จาก ชวี ิตจรงิ ทาให้สนกุ สนานตนื่ เตน้ กบั บรรยากาศใหม่ 8.3 แนวทางการจดั ทศั นศกึ ษานอกสถานท่ี 8.3.1 ควรสารวจความต้องการ หรือความสนใจของผู้เรียนว่าผู้เรียนส่วนใหญ่ มคี วามประสงคจ์ ะไปเยยี่ มชมสถาบันการศึกษาใด หรือสถานประกอบการอาชีพอะไร 8.3.2 สถานศึกษาควรทาหนังสือราชการแจ้งไปยังสถานศึกษา หรือสถาน ประกอบการอาชีพท่ีจะพาผู้เรียนไปเยี่ยมชมเพื่อขออนุญาต พร้อมกับแจ้งกาหนดวัน เวลา จานวน ผ้เู รียน และส่งิ ท่ตี อ้ งการจะทราบไปดว้ ยเป็นการลว่ งหนา้ 8.3.3 ควรแจ้งให้ผู้เรียนไดท้ ราบถึงจุดมงุ่ หมายของการจัดทัศนศึกษานอกสถานที่ ให้ผเู้ รียนทราบทกุ ครง้ั เช่น เพือ่ ชว่ ยให้ผู้เรียนเกดิ ความรู้ความเข้าใจทีถ่ ูกตอ้ ง อนั จะเป็นประโยชนต์ ่อ การเลอื กแนวทางศกึ ษาต่อ หรอื แนวทางการประกอบอาชีพในอนาคต 8.3.4 ควรมกี ารประชมุ วางแผนรว่ มกบั ผูเ้ รียนถงึ รายละเอยี ดต่างๆ ของกจิ กรรมที่ มีในขณะเดินทางไปทัศนศึกษานอกสถานท่ี เช่น สิ่งที่ตอ้ งการให้ผู้เรียนดู การจดั ทารายงานหลงั จาก เยยี่ มชมเสรจ็ แล้ว มารยาทในการเดินทาง การปฏิบตั ิตนในสังคม การรักษาความปลอดภยั การกล่าว ขอบคุณเจา้ ของสถานทท่ี ีใ่ ห้การตอ้ นรับ การตรงตอ่ เวลา เป็นต้น 8.3.5 หลังจากกลับจากการทัศนศึกษานอกสถานท่ี ควรมีการประเมินผลการ ทศั นศึกษานอกสถานที่ ว่าไดผ้ ลตามจุดมุ่งหมายที่ตงั้ ไว้หรือไม่ มีปัญหาและอุปสรรคอะไรเกิดขึ้นบา้ ง จะได้ปรบั ปรุงแกไ้ ขในครง้ั ต่อไป ภาพที่ 3.8 ตัวอยา่ งการจดั ทศั นศึกษานอกสถานที่ ท่มี า: https://e-news.chaiyaphum3.go.th/news_view.php?ID_New=521
159 9. ศูนย์สนเทศ ศูนย์สนเทศ (Information Center) เป็นสถานท่ีที่เก็บข้อสนเทศท่ีทางสถานศึกษาได้ จัดบริการแก่ผ้เู รียน เพ่ือช่วยใหก้ ารจดั บริการสนเทศใหแ้ กผ่ เู้ รียนบังเกิดผลดีมปี ระสทิ ธภิ าพ ซง่ึ จะมี ช่ือเรยี กแตกตา่ งกันไป เชน่ ห้องสมุดแนะแนว หอ้ งแหลง่ การเรียนรู้ ห้องคลังปญั ญา ห้องสารสนเทศ ศูนยก์ ารเรยี นรู้ เปน็ ตน้ 9.1 ความหมายของศูนย์สนเทศ ศูนย์สนเทศ หมายถึง สถานท่ีท่ีจัดข้ึนโดยเฉพาะเพ่ือเก็บรักษาข้อสนเทศท่ีฝ่าย แนะแนวได้มา และเพ่ือให้ผู้เรียนได้เข้าไปศึกษาคันคว้าหารายละเอียดเกี่ยวกับเร่ืองราวต่างๆ ท่ีผู้เรยี นสนใจ 9.2 จุดมุ่งหมายของการจดั ศูนย์สนเทศ 9.2.1 เพ่ือช่วยให้ข้อสนเทศท่ีฝ่ายแนะแนวรวบรวมได้มา มีสถานท่ีจัดเก็บรักษา อย่างมรี ะบบ ซ่งึ จะทาให้เกดิ ความสะดวกในการคน้ หาและนาออกมาใช้ 9.2.2 เพอื่ เปน็ การอานวยความสะดวกให้ผู้เรยี นได้ใชป้ ระโยชนจ์ ากข้อสนเทศ 9.2.3 ทาให้สามารถให้การบริการสนเทศไดอ้ ย่างเต็มที่และมีประสทิ ธิภาพ 9.3 แนวทางการจัดศนู ยส์ นเทศ การจัดศูนย์สนเทศในสถานศึกษาอาจดาเนินการได้แตกต่างกันไปตามบรบิ ทของ สถานศกึ ษา เช่น อาจจัดเป็นมุมหนึ่งของห้องเรียนหรือหอ้ งปฏิบัติการ จัดเป็นส่วนหน่งึ ของหอ้ งสมุด หรือจัดเปน็ ห้องศนู ย์สนเทศโดยเฉพาะ ทงั้ นี้มีหลกั การเพอื่ ยึดเปน็ แนวทางดาเนินการดงั น้ี 9.3.1 ควรจะจัดอย่ใู กล้ห้องแนะแนว หรอื ห้องให้คาปรึกษา เพ่ือเป็นการให้ความ สะดวกแก่ผู้เรยี นมาใช้บริการ 9.3.2 ในกรณีทเ่ี ป็นสถานศึกษาขนาดเล็กไม่มีห้องเรยี นพอ อาจจะใช้มุมใดมุมหน่ึง ของหอ้ งแนะแนว หรือมุมใดมุมหนงึ่ ของห้องสมดุ เปน็ ศนู ย์สนเทศกไ็ ด้ 9.3.3 สถานที่ตั้งศูนย์สนเทศ ควรเป็นสถานท่ีเงียบ มีแสงสว่างเพียงพอ และมี อากาศถ่ายเทไดด้ ี 9.3.4 ควรจัดให้มีโต๊ะ เก้าอ้ี สาหรับผู้เรียนเข้าไปนั่งศึกษาค้นคว้าอย่างเพียงพอ และเหมะสมกับขนาดของห้อง 9.3.5 ควรมปี ้ายประกาศตดิ ข่าวหรือเรอื่ งน่ารูต้ ่างๆ 9.3.6 ควรจะได้มกี ารประชาสัมพันธ์ให้คณะครูและผู้เรียนได้ทราบโดยทวั่ กัน เพ่ือ ช่วยให้ศนู ย์สนเทศได้ใชป้ ระโยชนอ์ ย่างเต็มที่ 9.3.7 ข้อสนเทศท่ีรวบรวมไว้ควรจัดให้เป็นหมวดหมู่ และมีความกว้างขวาง ครอบคลุมทกุ ดา้ น
160 ภาพท่ี 3.9 ตวั อย่างศูนยส์ นเทศ ทม่ี า: http://waetklang19.blogspot.com/2015/08/blog-post.html 10. การจัดทาคู่มอื ผู้เรียน การจัดทาคู่มือผู้เรียน (Student Handbooks) เป็นเอกสารท่ีจะช่วยให้ข้อสนเทศท่ี สาคัญแก่ผู้เรียน เพื่อช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจสภาพแวดลอ้ มใหม่ และรู้ถึงแนวทางการปฏิบัติตนในเรื่อง ต่างๆ นอกจากน้ี ยังสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการพัฒนาจิตใจของผู้เรียน จูงใจให้ได้ประสบ ความสาเร็จและมีความร่วมมอื ต่างๆ ในสถานศึกษา และสร้างความรูส้ ึกท่เี ป็นมิตรและความรสู้ ึกนับ ถอื บุคลากรในสถานศกึ ษาอีกดว้ ย 10.1 ความหมายของคูม่ อื ผเู้ รยี น คู่มือผู้เรียน หมายถึง เอกสารสิ่งพิมพ์ประเภทหนึ่งท่ีสถานศึกษาจัดข้ึนเพ่ือ รวบรวมข้อสนเทศต่างๆ ท่ีมปี ระโยชน์ตอ่ ผู้เรยี นรวมถงึ บุคคลที่เก่ียวข้อง คู่มือผ้เู รียนจะประกอบดว้ ย เนื้อหาเก่ยี วกับประวัติความเป็นมาของสถานศึกษา ผู้บริหาร บุคลากรหลกั สตู ร การปฏบิ ัติตน แผนผงั กฎระเบียบต่างๆ ของสถานศึกษา สิทธิต่างๆ ของผู้เรยี น บริการต่างๆเช่น ห้องสมุด ห้องพยาบาล บริการแนะแนว บรกิ ารอาหารกลางวนั ทนุ การศกึ ษา เป็นตน้ 10.2 จุดม่งุ หมายของการจดั ทาคูม่ ือผู้เรียน 10.2.1 เพ่ือให้ข้อสนเทศแก่ผู้เรียนในเร่ืองที่เกี่ยวกับสถานศึกษา เช่น ประวัติ ความเป็นมา บคุ ลากรฝา่ ยต่างๆ หลักสูตร ระเบยี บและกฎเกณฑต์ ่างๆ ของสถานศึกษา เป็นตน้
161 10.2.2 เพื่อให้ผู้เรียนได้ใช้คู่มือผู้เรียนเป็นแหล่งข้อสนเทศด้านการศึกษาท่ี ผู้เรียนสามารถศึกษาทาความเข้าใจด้วยตนเองได้ เมื่อเกิดปัญหาหรือข้อข้องใจต่างๆ ที่เก่ียวกับ การศึกษาของตน 10.2.3 เพื่อให้ผู้ปกครองของผูเ้ รียนและผู้ทส่ี นใจไดใ้ ช้ศึกษาค้นคว้าเพ่ือทาความ เข้าใจสถานศกึ ษาทีบ่ ตุ รหลานของตนกาลังศกึ ษาอยู่ 10.3 แนวทางการจัดทาค่มู อื ผเู้ รยี น การจัดทาคู่มือผู้เรียนนั้นมีแนวทางสรุปไดด้ ังนี้ (พัชรินทร์ พนู เพ็ชรพันธ์ุ, 2545, น.173 และพนม ลิม้ อารยี ์, 2548, น. 165) 10.3.1 ค่มู ือผู้เรียนควรบรรจุรายละเอยี ดทเ่ี ปน็ ประโยชนส์ าหรับผูเ้ รยี นทีเ่ ขา้ ใหม่ และผ้เู รยี นปัจจบุ ัน อันได้แก่ ปฏทิ ินสถานศกึ ษา ระเบยี บขอ้ ปฏิบัติต่างๆ รายช่ือครอู าจารย์ หลักสตู ร บรกิ ารตา่ งๆ สถานที่ หมายเลขโทรศัพท์ เปน็ ตน้ 10.3.2 ขอ้ สนเทศภายในคู่มอื ผเู้ รียนควรนามาจากหน่วยงานตา่ งๆ ท่ีรับผดิ ชอบ เช่น ฝา่ ยวชิ าการ ฝา่ ยทะเบียนวัดผล ฝา่ ยธุรการ ฝ่ายกิจการนกั เรยี นนกั ศึกษา ฝ่ายสวัสดิการ เป็นต้น ดังน้ันจงึ ควรมผี ้รู บั ผดิ ชอบหลกั ส่วนใหญ่ผรู้ ับผดิ ชอบหลกั จะเปน็ ฝ่ายวิชาการหรือฝ่ายกิจการนกั เรยี น 10.3.3 คมู่ อื ผเู้ รียนควรมลี กั ษณะสีสนั สวยงาม ขนาดกะทดั รดั มกี ารจัดตกแตง่ ที่ ดงึ ดูดความสนใจผู้เรียน ทาให้การจัดทาคู่มือผู้เรียนต้องใชง้ บประมาณ จึงควรมีการจัดเตรียมงบไว้ ประมาณให้เพียงพอกบั การจดั ทาคมู่ ือ หรอื อาจจาหนา่ ยแก่ผเู้ รียนในราคาตน้ ทุนก็ได้ 10.3.4 สถานศึกษาควรแจกคู่มอื ผู้เรยี นให้แกผ่ ู้เรียนกอ่ นเปิดภาคเรียน หรอื ชว่ ง ต้นภาคเรยี นเพื่อใหผ้ ู้เรียนนาไปศกึ ษาและสามารถใชป้ ระโยชนไ์ ดอ้ ยา่ งเตม็ ที่ ภาพท่ี 3.10 ตัวอย่างคูม่ อื ผู้เรยี น ทมี่ า: http://www.debsirinphukhae.ac.th/datashow_210530
162 11. การจดั ป้ายนเิ ทศ การจดั ป้ายนิเทศ (Bullettin Board) เป็นการนาเสนอข้อมูลขา่ วสารท่ีนา่ สนใจเพ่อื ให้ ผู้เรยี นไดท้ ราบเร่ืองราวความเคลือ่ นไหวตา่ งๆ ภายในและภายนอกสถานศกึ ษา ทัง้ ทางดา้ นการศกึ ษา อาชีพ ส่วนตัวและสังคม โดยจัดเสนอบนบอร์ดข้อมูลข่าวสารในสถานที่ท่ีเหมาะสม รวมท้ังมีการ ตกแต่งให้เกิดแรงดึงดูดความสนใจแก่ผู้ท่ีผ่านไปมา นอกจากนี้ยังต้องมกี ารสับเปล่ียนข้อมูลเพ่ือให้มี ความทันสมยั อยู่เสมอ 11.1 ความหมายของปา้ ยนเิ ทศ ป้ายนิเทศ คือ แผ่นป้ายที่ใช้จัดแสดงทางการศึกษาหรือเป็นส่ือการเรียนการ สอนใช้ถ่ายทอดความรู้ เรื่องราว ความคิด ข่าวสาร โดยรูปภาพ แผนภาพ แผนภูมิสถิติ และอ่ืนๆ เสนอเร่ืองราวด้วยรูปแบบทน่ี ่าสนใจ ซึง่ ผ้เู รยี นสามารถเรียนรู้ไดต้ ามลาพัง และเรยี นรู้ ไดง้ า่ ย 11.2 จดุ มุง่ หมายของการจดั ป้ายนเิ ทศ 11.2.1 เพ่ือให้ผู้เรียนได้รับข้อมูลและมีประสบการณ์เพิ่มขึ้น ในด้านข่าวสาร การเรยี น การศึกษาต่อ การประกอบอาชีพ และการปรับตวั ในสงั คม 11.2.2 เพ่ือให้ผู้เรียนรู้จักเสาะแสวงหาแหล่งข่าวด้วยตนเอง ซึ่งจะเกิด ประโยชน์ต่อตนเองเปน็ อย่างยิ่ง เมื่อต้องการทราบข่าวสารในคร้ังต่อๆ ไป 11.2.3 ฝึกความรับผิดชอบต่อการทางานร่วมกับหมู่คณะ เพราะการจัดป้าย นเิ ทศมักจะต้องแบง่ กลมุ่ รบั ผิดชอบร่วมกนั 11.3 แนวทางการจดั ปา้ ยนเิ ทศ ป้ายนิเทศเปน็ สว่ นหน่ึงของการเรียนรู้ ดังน้ัน สถานศึกษาจึงควรใหค้ วามสาคัญ ตอ่ การจดั ปา้ ยนิเทศ ไม่ควรปลอ่ ยปะละเลยการจัดปา้ ยนิเทศ นอกจากนคี้ วรมกี ารวางแผนการจัดปา้ ย นิเทศอย่างเปน็ ระบบ มผี ูร้ ับผิดชอบการจดั ให้ชัดเจน อีกท้ังควรให้ผเู้ รยี นมีส่วนร่วมในการรับผิดชอบ ป้ายนิเทศในรูปแบบต่างๆ เช่น การจัดตกแต่ง การดูแลรักษา เป็นต้น โดยมีหลักการเพื่อยึดเป็น แนวทางปฏบิ ัตดิ งั นี้ 11.3.1 ครูและผู้เรียนวางโครงการร่วมกัน โดยเลือกว่าจะเลือกจัดป้ายนิเทศ เกี่ยวกับเร่ืองใดบ้าง เช่น วันสาคัญในประวัติศาสตร์ไทย แนะแนววิธีการเรียนให้เรียนเก่ง แนะแนวทางการศกึ ษาต่อ แนะแนวการเลอื กอาชีพ 11.3.2 อธิบายวิธีการจัดป้ายนิเทศ เก่ียวกับการเลือกเนื้อเร่ือง รูปภาพ เขียน ขอ้ ความบรรยายใหอ้ ยู่ในสภาพสมดลุ ดึงดูดให้บุคคลสนใจ 11.3.3 แบ่งกลุ่มรับผิดชอบในการทางานร่วมกัน เลือกเน้ือเร่ือง กาหนดแผ่น ปา้ ย กาหนดวนั ในการจัดปา้ ยและเก็บใหเ้ รียบร้อย
163 11.3.4 ป้ายสนเทศควรจัดให้ทันตอ่ เหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงในปัจจุบันและ เปน็ ทนี่ า่ สนใจ 11.3.5 ประชาสัมพันธ์ใหผ้ เู้ รียนสนใจอา่ น และชมป้ายนเิ ทศโดยทั่วถึงกนั 11.3.6 มีครู/อาจารย์รับผิดชอบในการให้คาปรึกษา ให้กาลังใจ ช่วยแก้ไข ปรับปรุงใหเ้ ป็นปา้ ยนเิ ทศท่ถี ูกตอ้ งและเหมาะสม ภาพท่ี 3.11 ตวั อย่างการจดั ป้ายนิเทศ ที่มา: http://sakaeoschool.ac.th/gallery-detail_48998_4 12. การจัดทากระดานสนทนาอเิ ล็กทรอนิกส์ กระดานสนทนาอิเล็กทรอนิกส์ หรือเว็บบอร์ด (web board) เป็นการจัดบริการ สนเทศแก่ผู้เรียนในลักษณะของสื่ออิเล็กทรอนิกส์ มีรายละเอียดดังนี้ (เจษฎา บุญมาโฮม, 2558, น. 150-151) 12.1 ความหมายของกระดานสนทนาอิเล็กทรอนิกส์ กระดานสนทนาอิเล็กทรอนิกส์ หมายถึง การส่ือสารของบุคคลผ่านทางระบบ อนิ เทอร์เน็ต โดยนาข้อมลู มารวบรวมต้ังประเด็นกระทู้ เพ่ือให้ผู้อ่านได้รับทราบ แสดงความคิดเห็น ตอบโต้ แนวความคดิ ระบายความรูส้ กึ เป็นตน้ 12.2 จดุ ม่งุ หมายของกระดานสนทนาอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ การจัดทากระดานสนทนาอิเล็กทรอนิกส์นั้นมีจุดมุ่งหมายเพ่ือแลกเปลี่ยน ติดต่อส่ือสารกันเป็นหลัก โดยดาเนินการในลักษณะของคนเฉพาะกลุ่ม ต่อมาได้ขยายแนวคิด
164 ไปสู่สากลเพ่ิมข้ึน สาหรับการจัดทากระดานสนทนาอิเล็กทรอนิกส์ทางการศึกษาน้ันมีจุดมุ่งหมาย สาคัญสรปุ ได้ดังน้ี 12.2.1 เพื่อให้ครูกบั ผู้เรียน ผู้เรยี นกับผ้เู รยี น ไดต้ ดิ ตอ่ แลกเปลยี่ นเรียนรกู้ นั 12.2.2 เพื่อให้ครูสามารถจัดบริการสนเทศด้วยเทคนิควิธีการท่ีสอดคล้องกับ ความตอ้ งการและพฒั นาการของผูเ้ รยี น ทาใหผ้ ูเ้ รยี นเกดิ ความสนใจในการศึกษาและรับบริการ 12.2.3 เพื่อใหผ้ ู้เรียนไดร้ บั ขอ้ สนเทศอยา่ งท่ัวถึง และมโี อกาสศกึ ษาดว้ ยตนเอง 12.3 แนวทางการจัดทากระดานสนทนาอิเล็กทรอนิกส์ การจัดทากระดานสนทนาอิเล็กทรอนิกส์มีข้อจากัดสาคัญคือ ต้องดาเนินการ ผ่านระบบสารสนเทศที่มีอุปกรณ์และความพร้อมด้านต่างๆ ดังน้ัน จึงควรศึกษาหลักการจัดทา กระดานสนทนาอิเล็กทรอนกิ ส์ดงั ต่อไปน้ี 12.3.1 ครูหรือผู้แนะแนวต้องพัฒนาตนเองให้มีความรู้และทักษะด้าน คอมพิวเตอร์ หากไม่มคี วามรู้ต้องขอความร่วมมอื จากผู้ทมี่ ีความรู้ เชน่ ครคู อมพิวเตอร์ ผู้ปกครอง 12.3.2 ออกแบบโครงสร้างเน้ือหาของข้อสนเทศที่จะจัดบริการให้ผู้เรียน รวมทงั้ ออกแบบลักษณะของกระดานสนทนาอิเลก็ ทรอนิกส์ 12.3.3 ดาเนินการจัดทากระดานสนทนาอิเล็กทรอนกิ ส์ 12.3.4 ช้แี จงใหผ้ ู้เรียนและผูเ้ กี่ยวขอ้ งทราบ เพ่อื ให้บคุ คลเหล่าน้ันไดม้ ีโอกาสใช้ และมสี ่วนร่วม ควรปลูกฝังนิสยั และมารยาทการใช้กระดานสนทนาอิเล็กทรอนิกส์ท่ีดีแกผ่ ู้เรียน เช่น การใชค้ าพดู ที่สุภาพ การใชภ้ าษาถกู ตอ้ งตามหลักการ เปน็ ตน้ 12.3.5 อานวยความสะดวกด้านคอมพิวเตอร์แก่ผู้เรียนที่ไม่มีความพร้อมด้าน ระบบสารสนเทศ รวมทง้ั ฝกึ หดั การใช้งานของกระดานสนทนาอิเลก็ ทรอนกิ ส์แกผ่ ู้เรยี นดว้ ย ภาพที่ 3.12 ตวั อย่างกระดานสนทนาอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ ที่มา: http://www.stou.ac.th/forum/page/Topic.aspx?idindex=5
165 ประโยชน์ของบรกิ ารสนเทศ การจัดหลกั สูตรเฉพาะความรู้ทางวิชาการอย่างเดียว จะไม่ช่วยให้ผู้เรยี นสามารถปรับตัว เข้ากับสภาพแวดล้อมที่ซับซ้อนของสังคมได้เป็นอย่างดี ฉะนั้นถ้าผู้เรียนได้รับบริการสนเทศอย่างมี ประสิทธิภาพแล้ว ผู้เรียนจะสามารถดาเนินชีวิตในด้านต่างๆ ได้ดีขึ้น สาหรับประโยชน์ของบริการ สนเทศนอกจากจะเกิดกับผู้เรียนแล้ว ยังก่อให้เกิดกับครูและผู้ปกครองอีกด้วย ดังน้ี (ศรีวรรณ จนั ทรวงศ์, 2548, น. 213-214) 1. ประโยชน์ของบรกิ ารสนเทศต่อผเู้ รียน 1.1 ช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจส่ิงแวดล้อมรอบตัวดีข้ึน ซึ่งการเข้าใจสิ่งแวดล้อมน้ีจะนาไปสู่ การกาหนดแนวทางในการดาเนนิ ชวี ิตของผู้เรยี นได้อยา่ งเหมาะสม และมีความสขุ ความสาเร็จ 1.2 ช่วยผู้เรียนเข้าใจตนเองได้อย่างถูกต้อง ซึ่งโดยปกติบุคคลมักจะเข้าใจตนเองได้ไม่ ถูกต้องทุกอย่าง การได้รับข้อสนเทศท่ีมีคุณค่า เช่น การท่ีนักเรียนได้รับการทดสอบเพ่ือค้นหา ความสามารถความถนัดทางการเรยี น ความถนดั ทางดา้ นอาชีพ ความสนใจในการอาชีพและอ่นื ๆ จะ ทาให้ผู้เรยี นเข้าใจและรจู้ กั ตนเองได้ดีข้ึน 1.3 ช่วยให้ผู้เรียนสามารถตดั สินใจทจี่ ะทากจิ กรรมตา่ งๆ หลงั จากเข้าใจสงิ่ แวดลอ้ มของ ตนเองเป็นอยา่ งดี ผเู้ รยี นจะมีความมัน่ ใจในตนเองมากขนึ้ ในการท่จี ะเลือกแนวทางในการดาเนินชวี ติ ซง่ึ โอกาสทีจ่ ะรบั ผลสาเรจ็ ยอ่ มมมี ากกว่าการไม่ได้รับข้อสนเทศใด 2. ประโยชน์ของบรกิ ารสนเทศตอ่ ครูหรอื ผู้แนะแนว 2.1 ช่วยให้ครูหรือผู้แนะแนวเข้าใจผู้เรียนในด้านต่างๆ ได้ถูกต้อง ซ่ึงจะนาไปสู่การ กาหนดแนวทางในการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ 2.2 ช่วยให้ครูหรือผู้แนะแนวสามารถชว่ ยเหลอื ผู้เรียนได้ดขี ึ้น เพราะครูหรอื ผู้แนะแนว ไดร้ ับขอ้ สนเทศท่ีทาให้เขา้ ใจผู้เรียน 3. ประโยชน์ของบริการสนเทศต่อผปู้ กครอง 3.1 ช่วยให้ผู้ปกครองเข้าใจผู้เรียนได้ดีขึ้น เพราะการท่ีผู้ปกครองได้รับข้อสนเทศด้าน ตา่ งๆ ท่ีเก่ียวกบั ขอ้ งกับผ้เู รียนจะชว่ ยให้เกิดความคิดอย่างกวา้ งขวาง สว่ นมากผู้ปกครองมกั รู้จกั เด็ก ของตนเองในสภาพแวดล้อมภายในบา้ น แท้จรงิ แล้วสิ่งแวดล้อมรอบตัวเด็กน้ันไม่ได้จากัดวงแคบอยู่ แต่ภายในบ้านเท่าน้ัน ส่ิงแวดล้อมนอกบ้านย่อมมีผลต่อการแสดงออกของเด็กแตกต่างกันไปด้วย ดังนัน้ การได้รับข้อสนเทศด้านตา่ งๆ จะช่วยให้ผู้ปกครองเขา้ ใจเดก็ ของตนไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ งข้ึน 3.2 ช่วยให้ผู้ครองได้มีส่วนร่วมในการวางแผนชีวิตให้กับผู้เรียนอย่างมีประสิทธิภาพ ข้อสนเทศทางด้านการศึกษา อาชีพ ส่วนตัวและสังคม ย่อมช่วยให้การวางแผนดีขึ้นอนั จะกอ่ ให้เกิด ประโยชน์ตอ่ ความสาเร็จในชวี ติ ของผู้เรียนเปน็ สาคัญ
166 บทสรุป บริการสนเทศเป็นบริการหนึ่งของงานแนะแนว ทจ่ี ดั หา รวบรวมข้อมูลข่าวสารต่างๆ และ ให้บรกิ ารขอ้ มลู ท้ังทางด้านการศึกษา ด้านอาชีพ และด้านส่วนตัวและสังคม อยา่ งเป็นระบบ เพื่อให้ ผู้เรียนนาไปใช้ประกอบการตดั สินใจ วางแผนชีวติ และพัฒนาตนได้อย่างเหมาะสม ซ่งึ บริการสนเทศ มีความสาคัญทั้งต่อตวั ผูเ้ รยี นเองและความสาเรจ็ ของงานแนะแนวด้วย โดยมจี ุดมุ่งหมายเพื่อใหผ้ เู้ รียน ได้รับข่าวสาร เรื่องราวต่างๆ ที่มีคุณภาพเป็นประโยชน์ต่อตนเอง สามารถนาข้อมูลไปใช้ในการ ตดั สนิ ใจดา้ นต่างๆ ได้ สาหรบั การจดั บริการสนเทศท่ดี มี ีประสทิ ธภิ าพมีหลกั การสาคญั คือ จัดบริการ สนเทศให้สอดคล้องกับความต้องการและความจาเป็นของผู้เรียน โดยดาเนินการอย่างเป็นระบบ ผา่ นวธิ กี ารท่หี ลากหลาย โดยเนน้ ใหผ้ เู้ รียนมีสว่ นร่วมในการจดั บรกิ าร สว่ นประเภทของบริการสนเทศ แบง่ ได้เป็น 3 ประเภท คอื ข้อสนเทศด้านการศึกษา ข้อสนเทศดา้ นอาชพี และข้อสนเทศดา้ นส่วนตัว และสังคม ทั้งนข้ี อ้ สนเทศท่นี ามาบริการควรเปน็ ข้อสนเทศท่ีถูกตอ้ ง เช่ือถอื ได้ และทนั สมยั รูปแบบการใหข้ ้อสนเทศทน่ี ิยมใชม้ ีอยู่ 2 วธิ ี คอื การใหข้ อ้ สนเทศเปน็ รายบคุ คล และการ ให้ข้อสนเทศเป็นกลุ่ม ซ่ึงท้ัง 2 วิธีก็มีทั้งข้อดีและข้อจากัดแตกต่างกันไป ครูหรือผู้แนะแนวควร เลือกใช้ให้เหมาะสมตามสถานการณ์ สาหรับวิธีการจัดบริการสนเทศประกอบด้วยกิจกรรมต่างๆ ได้แก่ การปฐมนิเทศ การปัจฉิมนิเทศ กิจกรรมแนะแนวในช้ันเรียน กิจกรรมโฮมรูม กิจกรรมเสริม หลักสูตร การจัดวันวิทยาลัย การจัดวนั อาชพี การจัดทัศนศึกษานอกสถานท่ี การจัดทาคู่มือผู้เรียน การจัดป้ายนิเทศ การจัดทากระดานสนทนาอิเล็กทรอนิกส์ และศูนย์สนเทศ ส่วนประโยชน์ของ บรกิ ารสนเทศนอกจากจะเกิดกบั ผเู้ รยี นแล้ว ยังก่อให้เกดิ กบั ครแู ละผปู้ กครองอกี ด้วย
167 ใบกิจกรรมท่ี 3.1 คาช้ีแจง ให้นักศึกษาแบ่งกลุ่ม แล้วร่วมอภิปรายในหัวข้อ “ข้อสนเทศที่ดีและมี ประสิทธิภาพสาหรับผู้เรียน” เสรจ็ แลว้ ใหแ้ ตล่ ะกล่มุ สรปุ ลงบนกระดานฟลิปชาร์ททแ่ี จกให้ พรอ้ มส่ง ตวั แทนมานาเสนอหนา้ ชนั้ เรยี นต่อกลมุ่ ใหญ่ “ขอ้ สนเทศท่ดี ีและมปี ระสทิ ธภิ าพสาหรบั ผ้เู รยี น” ………………………………………………………………………………………………………………..……………………………. ………………………………………………………………………………………………………………..……………………………. ………………………………………………………………………………………………………………..……………………………. ………………………………………………………………………………………………………………..……………………………. ………………………………………………………………………………………………………………..……………………………. ………………………………………………………………………………………………………………..……………………………. ………………………………………………………………………………………………………………..……………………………. ………………………………………………………………………………………………………………..……………………………. ………………………………………………………………………………………………………………..……………………………. ………………………………………………………………………………………………………………..……………………………. ………………………………………………………………………………………………………………..……………………………. ………………………………………………………………………………………………………………..……………………………. ………………………………………………………………………………………………………………..……………………………. ………………………………………………………………………………………………………………..……………………………. ………………………………………………………………………………………………………………..……………………………. ………………………………………………………………………………………………………………..…………………………….
168 ใบกิจกรรมท่ี 3.2 คาช้ีแจง ให้นักศึกษาแบ่งกลุ่ม แล้วร่วมกัน “ออกแบบปฏิทินการจัดบริการสนเทศ สาหรับผู้เรียนในระดับตา่ งๆ” โดยให้ระดมสมองช่วยกันคดิ วางแผน ออกแบบ และอภิปรายร่วมกัน ภายในกลุ่ม เสร็จแล้วให้แต่ละกลุ่มสรุปลงบนกระดานฟลิปชาร์ทที่แจกให้ พร้อมส่งตัวแทนมา นาเสนอหนา้ ชั้นเรียนต่อกลุ่มใหญ่ ปฏทิ ินการจดั บริการสนเทศ ปฏทิ ินการจัดบริการสนเทศ สาหรับผู้เรียนระดบั อนุบาล สาหรบั ผเู้ รียนระดบั ประถมศกึ ษา ปฏทิ ินการจดั บรกิ ารสนเทศ ปฏทิ ินการจัดบรกิ ารสนเทศ สาหรบั ผเู้ รียนระดับมัฐยมศึกษา สาหรบั ผู้เรียนระดบั อุดมศกึ ษา
169 คาถามท้ายบท จงตอบคาถามต่อไปนี้ โดยอธิบายพรอ้ มยกตัวอยา่ งประกอบ 1. จงอธบิ ายความหมาย และความสาคัญของบรกิ ารสนเทศที่ส่งผลต่อผเู้ รียน และ งานแนะแนว 2. จงระบจุ ดุ ม่งุ หมายสาคญั ของบริการสนเทศมา 3 ขอ้ 3. หลกั การสาคญั ของการจดั บรกิ ารสนเทศเปน็ อย่างไร และมีผู้เกีย่ วข้องในฝ่ายใดบ้าง 4. จงยกตวั อย่างหวั ขอ้ บรกิ ารสนเทศด้านการศกึ ษา บรกิ ารสนเทศด้านอาชพี บริการ สนเทศดา้ นสว่ นตวั และสงั คม ทค่ี วรจัดให้แก่ผเู้ รียน มาด้านละ 2 ขอ้ 5. แนวทางการหาแหลง่ ข้อสนเทศมปี ระเด็นสาคัญอะไรบ้าง ซ่งึ ครหู รอื ผู้แนะแนว และ ผู้รบั ผิดชอบในการรวบรวมข้อสนเทศควรพจิ ารณา 6. หากท่านได้รับมอบหมายให้จัดบริการสนเทศแก่ผู้เรียนชั้นประถมศึกษา ท่านจะมี หลกั การคดั เลอื กข้อสนเทศอย่างไร 7. ทา่ นคิดว่าการใหข้ ้อสนเทศเป็นรายบคุ คลและเป็นกลมุ่ แตกตา่ งกันทจี่ ดุ ใดบา้ ง 8. ท่านคดิ วา่ เพราะเหตุใดกิจกรรมทกุ กิจกรรมของการปฐมนิเทศ จึงต้องกระต้นุ ให้นักเรยี น ใหม่ได้มสี ่วนรว่ ม และควรมีการสร้างบรรยากาศของความเปน็ กันเองใหม้ ากทส่ี ดุ 9. หากสถานศึกษามกี ารใหข้ ้อมลู ดว้ ยการจดั ปา้ ยนเิ ทศ การจดั ทาจลุ สารแนะแนว และการ จัดใหบ้ ริการห้องสมดุ บรกิ ารเหลา่ นใ้ี หป้ ระโยชน์แกผ่ ู้เรยี นมากนอ้ ยเพงี ไร เพราะเหตุใด 10. ประโยชน์ของบริการสนเทศทม่ี ตี อ่ ผู้เรยี น ผปู้ กครอง ครูและสถานศกึ ษาอย่างไร
170 เอกสารอ้างองิ คมเพชร ฉัตรศุภกลุ . (2521). บริการสนเทศ. กรงุ เทพฯ: ภาควชิ าการแนะแนวและจิตวิทยาการศกึ ษา คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ศรีนครินทรวิโรฒ. เจษฎา บญุ มาโฮม. (2558). หลกั การแนะแนวและการพฒั นาผู้เรียน. พิมพ์ครงั้ ที่ 4. นครปฐม: สไมล์ พร้นิ ต้ิง & กราฟกิ ดไี ซน.์ เจียรนัย ทรงชยั กลุ . (2544). “หลกั การและแนวคดิ เกี่ยวกับบรกิ ารสนเทศ” ใน ประมวลสาระชุดวชิ า หลกั การและแนวคดิ ทางการแนะแนว หนว่ ยที่ 7 – 11. นนทบุร:ี สานกั พมิ พ์ มหาวทิ ยาลัยสุโขทยั ธรรมาธริ าช. นุชลี อปุ ภยั . (2543). การแนะแนวเบ้ืองตน้ . กรงุ เทพฯ: สานักพมิ พฟ์ ิสิกสเ์ ซน็ เตอร.์ นริ นั ดร์ จลุ ทรพั ย์. (2554). การแนะแนวเบ้อื งตน้ . พมิ พค์ รงั้ ท่ี 4. สงขลา : บรษิ ทั นาศลิ ปโ์ ฆษณา. พนม ล้มิ อารีย์. (2548). การแนะแนวเบอ้ื งตน้ . พิมพค์ รง้ั ที่ 2. กรงุ เทพฯ: โอเดยี นสโตร.์ พชั รนิ ทร์ พนู เพ็ชรพนั ธุ์. (2545). การแนะแนว. เพชรบุรี: สถาบันราชภฎั เพชรบุร.ี ศรีวรรณ จนั ทรวงศ์. (2548). จิตวิทยาและการแนะแนวเด็กวยั รนุ่ . อดุ รธาน:ี คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏอดุ รธาน.ี สมาคมแนะแนวแห่งประเทศไทย. (2557). ระบบการแนะแนวในโรงเรียน. กรงุ เทพฯ: สมาคม แนะแนวแห่งประเทศไทย. สานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขน้ั พืน้ ฐาน. (2555). แผนการจัดกจิ กรรมแนะแนวตามหลกั สตู ร แกนกลางการศกึ ษาขัน้ พนื้ ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 6. กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พช์ มุ นมุ สหกรณ์การเกษตรแหง่ ประเทศไทย จากดั . Downing, Lester N. (1968). Guidance and Counseling Services : An Introduction. New York: McGraw-Hill Book Co. English, Horace B. and English, Ava Gibson. L.R. & Mitchell, H.M. (2008). Introduction to Counseling and Guidance. (7th ed.). New Jersey: Merrill Prentice Hall. Norrir, Willa and Other. (1972). The Information Service in Guidance. 3 rd.ed. Chicago: Rang McNally College Publishing Company. Shertzer, Bruce and Stone, Shelley C. (1980). Fundamentals of Guidance. Third ed. Boston: Houghton Mifflin Co.
แผนบริหารการสอนประจาบทท่ี 4 บรกิ ารให้คาปรึกษา วัตถปุ ระสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม เมอื่ ศึกษาบทเรยี นนี้จบแลว้ นกั ศึกษาควรมพี ฤติกรรมดังน้ี 1. อธิบายความหมาย และความสาคัญของบรกิ ารให้คาปรึกษาได้ 2. อธิบายจดุ มุ่งหมาย และขอบข่ายของบรกิ ารให้คาปรึกษาได้ 3. ระบุรปู แบบของการให้คาปรกึ ษาได้ 4. จาแนกประเภทของการใหค้ าปรกึ ษาได้ 5. อธิบายหลักการของบริการให้คาปรึกษาได้ 6. บอกคณุ สมบัติและจรรยาบรรณของผใู้ ห้คาปรึกษาได้ 7. อธบิ ายวธิ ีการ ทฤษฎี และกระบวนการให้คาปรกึ ษาได้ 8. อธบิ ายทักษะและเทคนิคการใหค้ าปรึกษาได้ 9. แสดงการให้คาปรึกษาเชงิ จิตวิทยาได้ เน้ือหาสาระ เนือ้ หาสาระในบทน้ปี ระกอบด้วย 1. ความหมายของบริการใหค้ าปรึกษา 2. ความสาคัญของบรกิ ารใหค้ าปรึกษา 3. จดุ มุ่งหมายของบรกิ ารใหค้ าปรกึ ษา 4. ขอบข่ายของบริการให้คาปรกึ ษา 5. รปู แบบของการให้คาปรึกษา 6. ประเภทของการใหค้ าปรกึ ษา 7. หลักการของบรกิ ารใหค้ าปรกึ ษา 8. คุณสมบัติและจรรยาบรรณของผู้ให้คาปรึกษา 9. วิธกี ารใหค้ าปรกึ ษา 10. ทฤษฎกี ารให้คาปรึกษา 11. กระบวนการใหค้ าปรึกษา 12. ทักษะและเทคนิคการให้คาปรกึ ษา
172 กิจกรรมการเรียนการสอน กิจกรรมการเรยี นการสอนเรื่องบรกิ ารให้คาปรกึ ษา มดี ังนี้ สปั ดาหท์ ่ี 7 (3 ชัว่ โมง) 1. ผสู้ อนทบทวนเนอ้ื หาบทที่ 3 ท่ีเรยี นมาของสัปดาห์ก่อน พรอ้ มชแ้ี จงวัตถุประสงค์ และ เนอื้ หาประจาบทเรียนบทที่ 4 เพอ่ื ใหผ้ เู้ รยี นรับร้ภู าพรวมของเน้ือหาสาระในบทเรยี นน้ี 2. ผสู้ อนบรรยายเนอ้ื หาเกย่ี วกบั บรกิ ารให้คาปรกึ ษา ในทกุ หัวขอ้ 3. ผเู้ รียนรบั ฟังบรรยายสรุปเน้ือหาสาระ รว่ มกบั ศึกษาเนื้อหาเรอ่ื ง “บริการใหค้ าปรึกษา” จากเอกสารคาสอน พร้อมทง้ั ซักถามและตอบคาถามระหว่างการฟงั บรรยาย 4. ผู้สอนให้ผู้เรียนชมคลิปวิดีทัศน์เก่ียวกับ “การให้คาปรึกษา กรณีศึกษาเด็กชายวีระ” 25 นาที แล้วร่วมกนั สรปุ สาระสาคัญทไี่ ดร้ ับ 5. ผู้สอนให้ผู้เรียนแบ่งกลุ่มทาใบกิจกรรมที่ 4.1 ในหัวข้อเก่ียวกับ “การให้คาปรึกษา กรณีศึกษาเด็กชายวีระ” โดยให้ร่วมวพิ ากษ์ อภิปราย แลกเปล่ยี นแสดงความคดิ เหน็ เสรจ็ แลว้ ใหแ้ ต่ ละกล่มุ นาเสนอหน้าชน้ั เรียนต่อกลุม่ ใหญ่ 6. ผสู้ อนใหผ้ ู้เรยี นรว่ มกนั วเิ คราะห์ อภปิ ราย สรุปเน้ือหาและแนวทางการนาไปประยุกตใ์ ช้ รวมทั้งเปิดโอกาสใหผ้ เู้ รียนซักถามในหัวข้อ / ประเด็นทสี่ งสยั 7. ผู้สอนชี้แจงหัวข้อท่ีจะเรียนในครั้งต่อไป โดยมอบหมายงานกลุ่มในใบกิจกรรม 4.2 เพือ่ ให้ฝกึ ปฏบิ ตั กิ ารให้คาปรึกษาเชิงจติ วิทยาแล้วจดั ทาเป็นวิดที ศั น์เพือ่ นาเสนอในช้ันเรยี น 8. ผสู้ อนเสริมสรา้ งคณุ ธรรมและจรยิ ธรรมให้กบั นกั ศกึ ษาก่อนเลิกเรยี น สปั ดาห์ท่ี 8 (3 ช่วั โมง) 1. ผสู้ อนทบทวนเนื้อหาท่ีเรียนมาของสปั ดาห์กอ่ น 2. ผู้สอนให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มนาเสนอวีดิทัศนก์ ารฝึกปฏิบัติการให้คาปรึกษาเชิงจิตวิทยา ตามใบกิจกรรมท่ี 7.2 ภายหลังการนาเสนอวีดิทศั น์เสรจ็ สน้ิ ลงแตล่ ะกลุ่ม เพ่ือนในช้ันเรียนจะไดท้ าใบ บันทึกของผู้สังเกตการณ์ รวมท้ังผู้สอนและสมาชิกในห้องร่วมสะท้อนข้อมูลย้อนกลับจากการให้ คาปรึกษาในแตล่ ะกลมุ่ 3. ผู้สอนให้ผเู้ รยี นรว่ มกนั วิเคราะห์ อภปิ ราย สรุปเน้อื หาเกี่ยวกับบรกิ ารให้คาปรึกษา และ แนวทางการนาไปประยกุ ต์ใช้ รวมท้งั เปดิ โอกาสใหผ้ ู้เรยี นซักถามในหวั ขอ้ / ประเด็นท่สี งสยั 4. ผู้สอนมอบหมายให้ผู้เรียนทาคาถามทา้ ยบท และกาหนดวนั สง่ 5. ผ้สู อนชแ้ี จงหวั ขอ้ ทจี่ ะเรยี นในครง้ั ตอ่ ไป เพ่อื ให้ผ้เู รยี นไปศกึ ษาก่อนล่วงหนา้ 6. ผู้สอนเสรมิ สร้างคณุ ธรรมและจริยธรรมใหก้ บั นกั ศึกษาก่อนเลิกเรยี น
173 ส่อื การเรียนการสอน 1. เอกสารคาสอน จติ วทิ ยาแนะแนวและการให้คาปรึกษา 2. เอกสาร ตารา หนังสือ และงานวิจัยที่เก่ียวข้องกับจิตวิทยาแนะแนวและการให้ คาปรกึ ษา 3. สไลด์นาเสนอความรู้ประเด็นสาคญั ทุกหัวข้อเร่ือง ด้วยส่ือทางคอมพิวเตอร์ Microsoft Power Point 4. วดิ ที ศั นเ์ กีย่ วกบั “การให้คาปรกึ ษา กรณีศกึ ษาเดก็ ชายวรี ะ” 5. ใบกจิ กรรม 6. คาถามท้ายบท การวดั ผลและการประเมินผล วัตถุประสงค์ วธิ กี าร/เคร่ืองมือ การวดั ผลและการประเมินผล 1. อธิบายความหมายและความสาคัญ 1. ซักถาม-ตอบคาถาม 1. นกั ศกึ ษาตอบคาถาม และ ของบรกิ ารให้คาปรกึ ษาได้ อภิปราย แลกเปล่ียน อภิปรายไดถ้ ูกต้อง รอ้ ยละ 80 2. อธบิ ายจุดมุ่งหมาย และขอบขา่ ย และการสนทนารว่ มกนั 2. นกั ศึกษามีความสนใจ/ บริการใหค้ าปรกึ ษาได้ 2. สังเกตพฤตกิ รรม ความรว่ มมือ และความ 3. ระบุรปู แบบของการใหค้ าปรกึ ษาได้ การร่วมกจิ กรรม กระตือรนื รน้ ในการรว่ ม 4. จาแนกประเภทของการให้ 3. สังเกตการนาเสนอผล กจิ กรรมอยใู่ นระดบั ดี คาปรึกษาได้ การทางานหน้าชัน้ เรียน 3. นักศกึ ษามีความพรอ้ ม/ 5. อธบิ ายหลกั การของบรกิ ารให้ 4. ใบกิจกรรม ความตัง้ ใจและความกลา้ คาปรกึ ษาได้ 5. คาถามทา้ ยบท แสดงออกในการนาเสนอผล 6. บอกคุณสมบัตแิ ละจรรยาบรรณ การทางานหนา้ ช้นั เรียนอยใู่ น ของผใู้ ห้คาปรกึ ษาได้ ระดบั ดี 7. อธิบายวธิ ีการ ทฤษฎี และ 4. นกั ศกึ ษาทาใบกจิ กรรมได้ กระบวนการให้คาปรกึ ษาได้ ถกู ต้อง ครบสมบรู ณ์ และเสรจ็ 8. อธบิ ายทกั ษะและเทคนิคการให้ ตามเวลาทกี่ าหนด รอ้ ยละ 80 คาปรึกษาได้ 5. นักศึกษาฝกึ ปฏิบตั กิ ารให้ 9. แสดงการให้คาปรกึ ษาเชงิ จติ วทิ ยา คาปรึกษาเชิงจติ วิทยาไดอ้ ยู่ใน ได้ ระดบั ดี
174 วธิ ีการ/เคร่อื งมอื การวัดผลและการประเมินผล วตั ถปุ ระสงค์ 6. นกั ศึกษาตอบคาถามทา้ ย บทเรียนได้ รอ้ ยละ 80
175 บทท่ี 4 บรกิ ารให้คาปรึกษา บริการให้คาปรึกษา (Counseling Service) เป็นบริการท่ีมีความสาคัญมาก และ เปรียบเสมอื นหวั ใจของบรกิ ารแนะแนว ผรู้ บั ผดิ ชอบโดยตรง คือผู้ใหค้ าปรึกษา (Counselor) ซ่ึงได้รบั การฝกึ ฝนทางวชิ าชีพชน้ั สูงมาอย่างดี จึงจะสามารถให้บริการทางด้านน้ีได้ดี เพราะการให้คาปรึกษา เป็นศาสตรเ์ ฉพาะอย่างหน่ึง จาเปน็ ต้องมีการเรียนรทู้ ฤษฎี หลกั การ และเทคนคิ ตลอดจนใช้ลกั ษณะ เฉพาะตัวมาให้คาปรึกษาจึงจะได้ผล ซ่ึงการให้คาปรึกษาจะมีประสิทธิภาพเพียงใด ข้ึนอยู่กับ สมั พันธภาพไมตรี ความเป็นกันเอง ความรู้สึกปลอดภัย ความรกั นับถอื ความเคารพยกย่อง ท่ีเกดิ ขึ้น ระหว่างบุคคล 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายขอคาปรกึ ษา (Counselee หรือ Client) กบั ฝ่ายให้คาปรึกษาน่ันเอง ความหมายของบรกิ ารให้คาปรึกษา สาหรับความหมายของการให้คาปรึกษา (Counseling) ได้มีนักจิตวิทยาและนักวิชาการ กลา่ วถงึ ความหมายของการให้คาปรึกษาไว้ดงั นี้ พนม ล้ิมอารยี ์ (2548, น. 176) ไดใ้ ห้ความหมายของการให้คาปรกึ ษาวา่ เปน็ กระบวนการ ให้ความช่วยเหลือโดยบุคคลท่ีได้รับการฝึกฝนอบรมทางด้านการให้ความช่วยเหลือทางจิตวิทยา โดยเฉพาะให้แกผ่ ู้ท่ีมปี ญั หาซึ่งมาขอรับการชว่ ยเหลอื เพอ่ื ช่วยให้ผมู้ าขอรับคาปรึกษาเกิดความเข้าใจ ตนเองและสิ่งแวดล้อม รู้จักปรับปรุงแก้ไขตนเอง สามารถปรับตัวได้ดีขึ้น และสามารถนาตัวเองได้ ในทีส่ ดุ เจียรนัย ทรงชัยกุล (2553, น. 244) ได้ให้ความหมายของการให้คาปรึกษาว่า เป็น กระบวนการช่วยเหลอื ซึ่งเกดิ จากความรว่ มมอื กันเป็นอยา่ งดีระหวา่ งผู้คาให้ปรกึ ษาและผรู้ บั คาปรกึ ษา โดยผู้ให้คาปรึกษาซึ่งมีคุณสมบัติเหมาะสมทั้งด้านส่วนตัวและด้านวิชาชีพ ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้รับ คาปรกึ ษาซงึ่ เป็นผู้ทปี่ ระสบปญั หา หรอื ตอ้ งการป้องกนั ปัญหา หรอื ตอ้ งการพฒั นาและตอ้ งการความ ช่วยเหลอื เพ่อื ใหเ้ ขาเข้าใจตนเองและส่ิงแวดลอ้ มตามความเปน็ จรงิ สามารถตดั สินใจและแกไ้ ขปัญหา ดว้ ยตนเองได้อยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ สามารถพฒั นาตนเองได้อย่างเหมาะสม และดารงชวี ติ ดว้ ยความสขุ ตามอัตภาพ
176 นริ ันดร์ จุลทรัพย์ (2554, น. 232) กล่าวโดยสรปุ ว่า การให้คาปรึกษาเป็นกระบวนการให้ ความช่วยเหลือแก่ผู้ขอรับคาปรึกษาในปัญหาทางด้านการศึกษา อาชีพ ส่วนตัวและสังคม โดยผู้ให้ คาปรึกษาซ่ึงเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญจะใช้เทคนิควิธีการเพ่ือกระตุ้นและสะท้อนให้ผู้รับคาปรึกษา เข้าใจตน เข้าใจปัญหาที่เกิดขึ้น และสามารถตัดสินใจหรือวางแผน การแก้ปัญหาในอนาคตได้ด้วย ตนเอง สมาคมแนะแนวแหง่ ประเทศไทย (2557, น. 32) ไดส้ รุปความหมายของการให้คาปรึกษา วา่ เปน็ กระบวนการให้ความชว่ ยเหลอื บคุ คลดว้ ยการสนทนา หรอื การพูดคุยกนั อย่างมีเปา้ หมาย โดย ผูใ้ ห้คาปรกึ ษาเป็นผ้ชู ่วยสรา้ งบรรยากศของสมั พนั ธภาพที่ดี ตลอดจนใช้ทักษะ ข้ันตอนและทฤษฎขี อง การให้คาปรึกษา เพื่อให้ผู้มีปัญหาหรือผู้รับคาปรึษามีความรู้สึกอบอุ่นใจว่าได้รับการยอมรับและ เกิดความรู้สึกไว้วางใจ พร้อมที่จะเปิดเผยความรู้สึกหรือปัญหาของตน เกิดการเรียนรู้สาเหตุของ ปัญหาที่กาลงั เผชญิ อยู่ จนสามารถตัดสินใจและแก้ไขปัญหาในเรื่องตา่ งๆ ดว้ ยตนเองอยา่ งเหมาะสม เบิรค์ ส์ และ สเทฟเฟิลร์ (Burks and Stefflre, 1979, p. 14) อธิบายว่า การให้คาปรึกษา เปน็ สมั พนั ธภาพในวิชาพระหว่างผใู้ ห้คาปรกึ ษาที่ผ่านการฝกึ อบรมมาแลว้ กบั ผู้รับคาปรึกษา เพอื่ ช่วย ให้ผู้รับคาปรึกษาเข้าใจและมีความกระจ่างในแนวความคิดเกี่ยวกับชีวิตของตน และเรียนรู้ที่จะ พยายามก้าวไปให้ถึงเป้าหมายท่ตี ั้งไว้ด้วยทางเลือกและวิธีการอันเหมาะสม พีโทรฟซี า ฮอฟแมน และสพลีท (Pietrofesa, Hoff-man, and Splete, 1984, p. 6) ได้ ให้ความหมายของการให้คาปรึกษาไว้ว่า เป็นสัมพันธภาพระหว่างผู้ให้คาปรึกษาซ่ึงผ่านการฝึกฝน อบรมทางวิชาชีพและมีสมรรถภาพของวิชาชีพที่เหมาะสม กับบุคคลซึ่งแสวงหาความช่วยเหลือ เพ่ือทีจ่ ะช่วยใหบ้ ุคคลทแ่ี สวงหาความชว่ ยเหลอื เขา้ ใจตนเองได้ดีข้ึน มกี ารตัดสินใจท่ีดีขน้ึ มที ักษะใน การปรับเปลีย่ นพฤติกรรมเพ่ือการขจดั ปัญหา และเพ่ือให้เติบโตและเจริญงอกงามตามขน้ั พัฒนาการ อยา่ งสมวัย จากความหมายของการให้คาปรึกษาขา้ งต้น สามารถสรปุ ความหมายของการให้คาปรกึ ษา ได้ว่า การใหค้ าปรึกษาเป็นกระบวนการให้ความช่วยเหลือ โดยมีผู้ให้คาปรึกษาซึ่งเป็นบุคคลท่ีได้รับ การฝกึ ฝนอบรมทางดา้ นการใหค้ วามช่วยเหลือทางจติ วิทยาโดยเฉพาะ ให้แก่ผ้รู ับคาปรึกษาซ่ึงเปน็ ผทู้ ่ี ประสบปัญหาที่มาขอรับการช่วยเหลือ เพ่ือให้ผู้รับคาปรึกษาได้สารวจ และทาความเข้าใจปัญหา ตลอดจนสามารถแสวงหาวิธีการแก้ไขปัญหา และตดั สินใจเลือกไดด้ ว้ ยตนเอง นอกจากน้ี บคุ ลากรที่อยใู่ นวงการแนะแนวเอง และบุคคลทั่วไป อาจจะเกิดความสบั สนใน ความหมายของการให้คาปรกึ ษา (Counseling) กับจติ บาบัด (Psychotherapy) ว่าเป็นความหมาย เดียวกันหรือแตกต่างกัน ซ่ึงตามความเป็นจริงแล้วกระบวนการของทั้งสองชนิดน้ีมีเพียงแค่ ความสัมพนั ธ์กัน แต่มลี ักษณะพิเศษท่แี ตกต่างกันออกไปตามท่ี บลอดเคอร์เบรมเมอร์ และชอสตรอน
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 472
Pages: