Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore จิตวิทยาแนะแนวและการให้คำปรึกษา

จิตวิทยาแนะแนวและการให้คำปรึกษา

Description: จิตวิทยาแนะแนวและการให้คำปรึกษา

Search

Read the Text Version

377 งาน วิธีการ ระยะเวลา อาจเปน็ เงนิ หรือเส้อื ผา้ 3. คัดเลือกนกั เรียนทเ่ี หมาะสมจะได้รับทนุ หรอื อปุ กรณ์การเรียน 4. ติดตามผลการใชเ้ งินทนุ การศึกษา 4. จดั หางานให้ 1. ติดต่อแหล่งงาน ตลอดปี นักเรยี นทา 2. ประกาศและคัดเลอื กนกั เรยี นท่เี หมาะสมกบั งานแตล่ ะ ประเภท 3. ปฐมนเิ ทศนกั เรียนท่ีจะออกไปปฏบิ ตั ิงาน 5. จัดอาหารกลางวนั 1. สารวจปญั หาเกย่ี วกบั การรับประทานอาหารกลางวนั ตลอดปี ใหน้ เั รียน ของนักเรียน 2. จัดอาหารกลางวันตามความจาเป็นและความเหมาะสม 3. ติดตามผลและประเมนิ ผล 6. จัดกลมุ่ หรอื ชุมชน 1. สารวจปญั หาและความต้องการพเิ ศษของนกั เรียน ตน้ ปี เพอ่ื สง่ เสรมิ บคุ ลิกภาพ 2. จดั กลุม่ กิจกรรมตา่ งๆ เพือ่ ส่งเสรมิ บคุ ลกิ ภาพหรือสนอง การศกึ ษา หรือตอบสนองความ ความสนใจท่แี ตกต่างกนั สนใจพเิ ศษของ 3. จัดครูทป่ี รกึ ษาและจัดนกั เรยี นเข้ากลมุ่ ตามความ นักเรียน เหมาะสม 4. ติดตามผลและประเมนิ ผลเปน็ ระยะๆ ตวั อยา่ งปฏทิ ินการปฏิบัติงานแนะแนว ประจาปีการศึกษา............................ โรงเรียน............................................... อาเภอ................................ จังหวดั .................................. สังกัด........................................................ เขต................................................. วัน/เดอื น/ปี โครงการ วตั ถปุ ระสงค์ กิจกรรม 16 - 20 พ.ค. โครงการปรับปรงุ เพอื่ ปรับปรงุ และพฒั นา 1. ทาแผนการสอนกอ่ น และพฒั นางาน งานแนะแนวให้มเี นอื้ หา แนะแนว สาระมากขน้ึ ล่วงหน้า 2. หาเกมและการแสดง ตา่ งๆ มาให้นักเรียนได้ รว่ มกนั ทาบทบาทสมมติ 3. จดั ป้ายสนเทศดงึ ดูด ความสนใจของนักเรียน

378 วัน/เดือน/ปี โครงการ วตั ถปุ ระสงค์ กิจกรรม 23 - 27 พ.ค. การสารวจปัญหา นักเรียน เพ่ือรบั 1. เพอ่ื ทราบปญั หาของ 1. ออกแบบสอบถามแจก 30 พ.ค. - ทุนการศึกษา 3 มิ.ย. ทุนการศึกษา นกั เรียน ใหก้ บั นกั เรียนทุกคน 6 - 17 ม.ิ ย. สารวจและจัดเกบ็ 2. เพื่อทาความเข้าใจ 2. ใหแ้ สดงความคิดเห็นใน ระเบียนสะสม 20 - 30 ม.ิ ย. เก่ยี วกับกิจกรรม ช่วั โมงกิจกรรมคาบ จัดปา้ ยสนเทศ 1 - 15 ก.ค. คาบแนะแนว แนะแนว บรกิ ารใหค้ าปรกึ ษา 1. เพอื่ แนะนาเรอ่ื งของ 1. ประกาศหนา้ เสาธง ทนุ การศึกษาที่ภาครฐั 2. ติดป้ายประกาศ และเอกชนให้ทนุ 3. แนะนาเรื่อง 2. เพือ่ ช่วยเหลอื เรอื่ งคา่ ทนุ การศึกษาในชวั่ โมง เลา่ เรียนของทาง สอนและโฮมรมู ผ้ปู กครอง 1. เพ่อื ทราบประวัติการ 1. ให้กรอกแบบสารวจ เรยี นและประวัตทิ าง ระเบยี นสะสมของ บ้านของนักเรยี น นักเรยี น 2. เพ่ือรจู้ กั และเข้าใจใน 2. สารวจดเู อกสารต่างๆ ตัวของนกั เรยี นมากข้นึ ในห้องแนะแนวว่ามี อะไรบ้าง 1. เพอ่ื ใหน้ ักเรยี นรบั ทราบ 1. แจกเอกสาร ข้อมูลขา่ วสาร 2. จัดปา้ ยสนเทศ 2. เพื่อให้นกั เรยี นรบั ทราบ - ข้อมูลขา่ วสาร วธิ เี รียนในรูปแบบตา่ งๆ - วิธีเรียนในรูปแบบ ต่างๆ 1. เพื่อใหน้ กั เรียนสามารถ 1. จดั หอ้ งใหค้ าปรกึ ษาเปน็ ท่จี ะนาปัญหาของตนเอง ส่วนตวั ในหอ้ งแนะแนว มาขอรบั คาปรกึ ษาได้ 2. สร้างบรรยากาศให้ 2. เพื่อใหน้ กั เรยี นรับรู้ว่าครู เหมือนบา้ นของนักเรยี น แนะแนวเปน็ ทป่ี รกึ ษา เอง เรอื่ งตา่ งๆ ของนักเรียน 3. ใหค้ าปรึกษาแกน่ กั เรียน ได้ ทกุ ๆ เร่อื ง

379 วัน/เดือน/ปี โครงการ วัตถุประสงค์ กจิ กรรม 18 - 22 ก.ค. ติดตามผลการเรียน 1. ทราบผลการเรียนของ 1. ขอดผู ลการเรียนจาก 25 - 31 ก.ค. รวบรวมขอ้ มูลอาชพี นักเรยี น ครปู ระจาชนั้ 1 - 5 ส.ค. ต่างๆ 2. เพ่ือทราบว่าขณะนี้ 2. ตรวจดูผลการเรียนแต่ 8 - 19 ส.ค. การเรยี นต่อของ นกั เรียนมผี ลการเรียน ละคนว่าดีข้ึนหรือตา่ ลง สถาบันการศึกษา เป็นอยา่ งไรบ้าง 3. สังเกตพฤตกิ รรมในช้ัน ต่างๆ 1. เพื่อให้นกั เรยี นทราบ เรียนวชิ าตา่ งๆ แนะแนวการเตรียม ขอ้ มูลเกยี่ วกบั อาชพี 1. จดั ป้ายสนเทศ ตัวสอบในภาคเรยี น ต่างๆ ได้ 2. สอนเรอื่ งอาชพี ต่างๆ ใน ที่ 1 2. เพอ่ื ใหน้ กั เรียนทราบว่า หลายๆ แงม่ ุมในคาบ ตนเองควรจะไป แนะแนว ประกอบอาชีพใดเม่อื จบ 3. ใหน้ กั เรียนแสดงความ การศกึ ษาไปแล้ว คิดเห็นในอาชพี ต่างๆ ที่ นักเรียนอยากจะเปน็ ใน 1. เพื่อให้นกั เรียนรบั ทราบ อนาคต ข้อมูลข่าวสารจาก 1. แจกเอกสาร สถาบันต่างๆ ท่นี กั เรยี น 2. จดั ปา้ ยสนเทศ อยากจะไปเรยี นตอ่ - ขอ้ มลู ข่าวสาร 3. ค้นคว้าหาขอ้ มลู จากห้อง 2. เพอื่ ใหน้ กั เรยี นสามารถ แนะแนวในเร่อื งสถาบนั ตดั สนิ ใจวา่ จะเรียนตอ่ ท่ี ทต่ี นเองอยากจะไปเรียน ไหนดี ต่อ 1. ตดิ ปา้ ยประกาศตาราง 1. เพอ่ื ใหน้ ักเรยี นเตรยี มตัว สอบปลายภาคเรียนท่ี 1 สอบภาคเรียนที่ 1 2. แนะแนวเรือ่ งการเตรยี ม สอบในคาบแนะแนว 2. เพือ่ เตอื นให้นักเรียนรู้วา่ 3. หาข้อมูลเกีย่ วกบั การ ถงึ กาหนดสอบแล้ว เตรียมตัวสอบมาเล่าให้ นักเรียนฟงั

380 วนั /เดอื น/ปี โครงการ วัตถปุ ระสงค์ กจิ กรรม 22 ส.ค. - โครงการเยยี่ มบา้ น 16 ก.ย. นักเรียน 1. เพื่อทราบข้อมลู ทางบ้าน 1. นดั หมายเวลาให้ 19 - 30 ก.ย. โครงการจัด ของตวั นักเรียน เรียบร้อยจะไดไ้ ปพบ 1 – 31 ต.ค. นิทรรศการอาชีพ และหนงั สือ 2. เพื่อครูจะได้รู้จกั ผปู้ กครองนักเรยี นได้ 1 - 30 พ.ย. แนะแนวการเตรียม ผู้ปกครองของนกั เรียน ถูกต้อง ตัวสอบในภาคเรยี น ท่ี 2 2. ทาหนงั สือแจง้ ให้ ดาเนินการเกย่ี วกบั ผปู้ กครองทราบล่วงหน้า การทดสอบ ความสามารถ 1. เพอ่ื ให้นักเรียนรบั ทราบ 1. แจกเอกสาร ทางวิชาการ ขอ้ มลู ข่าวสารเรอ่ื งอาชพี 2. จัดปา้ ยสนเทศ และหนงั สอื ต่างๆ ท่ีเป็น 3. คน้ คว้าหาข้อมูลจากหอ้ ง ประโยชนต์ ่อตัวนกั เรียน แนะแนวในเรอ่ื งอาชีพ เอง และหนังสอื ที่จะเปน็ 2. เพ่ือใหน้ กั เรียนสามารถ ประโยชน์ตอ่ นักเรยี นเอง ตดั สนิ ใจวา่ จะเลอื ก ทหี่ ้องแนะแนวและ อาชีพใดดี หอ้ งสมดุ 1. เพ่อื ให้นกั เรียนเตรยี มตัว 1. ตดิ ป้ายประกาศตาราง สอบภาคเรยี นที่ 2 สอบปลายภาคเรียนที่ 2 2. เพ่ือเตอื นให้นักเรียนรวู้ ่า 2. แนะแนวเรอ่ื งการเตรียม ถงึ กาหนดสอบแลว้ สอบในคาบแนะแนว 3. หาขอ้ มลู เกี่ยวกับการ เตรียมตวั สอบมาเล่าให้ นกั เรยี นฟงั 1. เพื่อทราบวา่ นักเรียนมี 1. ให้นักเรยี นทดสอบ ความรทู้ างวชิ าการมาก ความรทู้ างวิชาการท่ี นอ้ ยเพียงใด ครแู นะแนวไดเ้ ตรยี มมา 2. เพ่ือครูจะไดน้ า ไวใ้ หท้ าการทดสอบ ข้อบกพร่องในการทา 2. แจ้งคะแนนทนี่ กั เรียน ขอ้ สอบมาหาทางแกไ้ ข ทดสอบได้ว่าไดเ้ ทา่ ไร ชว่ ยนักเรยี นใหท้ า 3. เสนอแนะแนวทางแก้ไข ขอ้ สอบได้มากข้นึ ในการทดสอบใหไ้ ด้ คะแนนดีข้นึ กว่าเดิม

381 วนั /เดอื น/ปี โครงการ วตั ถปุ ระสงค์ กิจกรรม 1 - 31 ม.ค. โครงการแนะแนว 1. เพือ่ ใหน้ ักเรียนรบั ทราบ 1. แจกเอกสาร การศึกษาต่อท้งั ใน 2. จัดปา้ ยสนเทศ เชน่ 1 – 28 ก.พ. สายสามญั และสาย ขอ้ มูลข่าวสารเรอื่ ง อาชพี การศึกษาตอ่ ท่ีเป็น - ขอ้ มูลข่าวสาร 1 - 15 มี.ค. ประโยชน์ต่อนกั เรยี น 3. ค้นคว้าหาข้อมลู จากห้อง ประชาสมั พันธ์ 2. เพือ่ เตือนให้นักเรยี นรู้ว่า เก่ียวกับการรบั สมัคร ถึงวนั สมัครสอบและวนั แนะแนวในเร่อื ง นักเรียนเพ่อื เข้า สอบของโรงเรียนที่ การศกึ ษาต่อและอาชีพ ศกึ ษาตอ่ ใน นกั เรยี นไปสมคั รสอบ ตา่ งๆ ทน่ี ักเรยี นสนใจท่ี สถานศึกษาตา่ งๆ หอ้ งแนะแนวและ 1. เพอ่ื ใหน้ กั เรยี นเตรียมตวั หอ้ งสมดุ ประเมนิ ผลการ สอบแข่งขนั เขา้ โรงเรียน 1. ติดปา้ ยประกาศตาม ปฏิบตั ิงานแนะแนว ที่นกั เรยี นไดต้ ้งั ใจเอาไว้ บอรด์ ในบรเิ วณโรงเรยี น ในปกี ารศึกษานนั้ และห้องแนะแนว 2. เพื่อเตือนใหน้ ักเรียนร้วู ่า 2. แนะนาเรื่องการเตรียม ถงึ วันสมัครสอบและวัน สอบในคาบแนะแนว สอบของโรงเรยี นที่ 3. หาขอ้ มลู เกี่ยวกับการ นกั เรียนไปสมคั รสอบ เตรยี มตัวสอบมาติดไวท้ ่ี ห้องแนะแนว 1. เพ่ือประเมนิ ผลการ ฝ่ายบรหิ ารและฝา่ ย ปฏบิ ัติงานของฝา่ ย วชิ าการทาการประเมนิ ผล แนะแนวว่าปกี ารศึกษาน้ี การปฏิบตั งิ านของฝา่ ยแนะ ได้ปฏิบัติงานอะไรบ้าง แนว และประเมินผลการ แล้วควรจะทาสิง่ ใด สอนของครูแนะแนวตลอด เพมิ่ เติมในปีการศึกษา ท้ังปี ถดั ไป 2. เพอื่ ประเมนิ ผลการสอน ของครแู นะแนว

382 การประเมนิ ผลการปฏิบตั ิงานแนะแนว หลังจากปฏิบัติงานตามแผน หรือโครงการปฏิบัติงานแนะแนวท่ีวางไว้แล้ว จะต้องมีการ ตดิ ตามและประเมินผลงาน ทัง้ นีเ้ พื่อทราบผลการดาเนนิ งาน ปัญหาหรืออุปสรรค ข้อดีขอ้ บกพรอ่ งที่ จะต้องแก้ไขเพ่ือจะได้ใช้เป็นแนวทางปรับปรุงการให้บริการแนะแนวในปีต่อไป การติดตามและ ประเมินผลการปฏิบัติงานและแนวอาจทาได้ 2 ประการ คือ ติดตามและประเมินผลงานในแต่ละ โครงการหลังจากโครงการสิ้นสุดลงแล้วโดยให้ผู้ปฏิบัติงานในโครงการน้ันๆ เป็นผู้ประเมินผล และ รายงานและติดตามประเมินผลงานรวมทุกงาน หรือทุกโครงการโดยให้คณะกรรมการปฏิบัติงาน แนะแนวหรือคณะกรรมการทไ่ี ดร้ ับแตง่ ต้ังเป็นผปู้ ระเมนิ ผลงานและรายงานผบู้ รหิ าร การประเมินผลการปฏิบัติงานแนะแนว ถือเป็นการตัดสินอย่างมีระบบระเบียบว่าการ ดาเนินงานแนะแนวสนองวัตถุประสงค์ตามที่ได้วางมาตรฐานไวห้ รือไม่ ดังนั้น การท่ีจะประเมนิ การ ปฏบิ ัติงานแนะแนวได้ ผปู้ ระเมนิ จะตอ้ งรถู้ ึงลกั ษณะหรอื หลกั เกณฑ์ของงานแนะแนวท่มี ปี ระสิทธภิ าพ ซง่ึ หลกั เกณฑ์ในการประเมนิ ผลการปฏบิ ตั ิงานแนะแนว มดี ังนี้ (วัชรี ทรัพยม์ ี, 2531, น. 131-132) 1. อัตราส่วนระหว่างนักแนะแนวกับผู้เรียนควรเป็น 1 ต่อ 250 หรือ 300 เพื่อให้ปริมาณ งานของนกั แนะแนวไม่มากเกินกาลังทจี่ ะปฏบิ ัตงิ านได้อย่างมีประสทิ ธภิ าพ 2. นักแนะแนวจะต้องมีคุณสมบัติครบถ้วน ท้ังด้านวุฒิและประสบการณ์ บุคลิกภาพ ตลอดจนจรรยาบรรณ 3. มีระเบยี นสะสมทดี่ ี สาหรับรวบรวมข้อมลู ตา่ งๆ เกีย่ วกับผู้เรียน โดยมีจุดประสงค์เพื่อ 3.1 ช่วยใหผ้ เู้ รียนเข้าใจตนเอง จะไดต้ ดั สินใจสงิ่ ตา่ งๆ ไดอ้ ยา่ งถูกต้อง 3.2 ช่วยให้ครู ผ้ปู กครอง และนักแนะแนวได้เข้าใจผู้เรยี น 4. มีเคร่ืองมือท่ีใช้สารวจผู้เรียนเป็นรายบุคคลท่ีเชื่อถือได้ และได้นาไปใช้ประโยชน์ ท้ั ง กลวิธีทใ่ี ช้แบบทดสอบและไมใ่ ช้แบบทดสอบ 5. การจัดบริการให้คาปรกึ ษาท้งั แบบเดยี่ วและแบบกลมุ่ นั้น จะตอ้ งมกี ารประชาสมั พนั ธ์ให้ ผู้เรียนและบุคลากรอ่ืนได้ร้ลู ักษณะและจุดมุ่งหมายของบรกิ ารนี้ จัดเวลาให้บริการอย่างเหมาะสม ตลอดจนสภาพของหอ้ งท่ีจะใหบ้ รกิ ารน้จี ะต้องเงียบสงบและเป็นสดั สว่ น 6. จดั บริการสนเทศท่ีมปี ระสทิ ธภิ าพ คือ มีขอ้ มลู ทท่ี นั สมยั นักแนะแนวจะต้องรูแ้ หล่งท่จี ะ ไปหาข้อมูลเหล่าน้ันอย่างกว้างขวาง ผู้เรียนสนใจมาหาข้อมูล มีการจัดป้ายประกาศเพื่อให้ข้อมูล เหล่านี้ ไปถึงผ้เู รยี นและดึงดดู ความสนใจจากผเู้ รยี น มกี ารจัดการแนะแนวหมูใ่ นลักษณะของกจิ กรรม ต่างๆ เช่น กิจกรรมประจาห้องเรียน กิจกรรมสารวจ จัดสัปดาห์แนะแนวการศึกษา หรือประกอบ อาชีพ จดั งานวนั อาชพี จัดทศั นศกึ ษาตามสถาบนั การศึกษาหรือหน่วยงานต่างๆ

383 7. ดาเนินบริการจัดวางตัวบุคคลอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น จัดให้ผู้เรียนได้เรียนตาม หลักสูตรทเ่ี หมาะกบั ผูเ้ รยี นเปน็ รายบคุ คล จดั การสอนซ่อมเสรมิ จัดใหผ้ เู้ รียนไดเ้ ขา้ ร่วมกิจกรรมเสรมิ หลักสูตรท่ีผู้เรียนถนัดและสนใจ จัดหางานให้ผู้เรียนทาทั้งงานนอกเวลาและเต็มเวลา หลังจากจบ การศึกษาแลว้ 8. จัดบริการติดตามผลผู้เรียนหลังจากได้รับบริการแนะแนว และการให้คาปรึกษา ตลอดจนผูเ้ รยี นท่เี รียนสาเรจ็ หลักสตู รของสถานศึกษาแลว้ หรอื ผู้เรียนท่อี อกจากสถานศกึ ษากลางคนั ก่อนจบการศกึ ษา 9. มกี ารประเมนิ ผลบรกิ ารนีโ้ ดยบคุ ลากรท่ที าหน้าท่ีแนะแนว จะตอ้ งสารวจการทางานของ ตนเองเพ่อื ปรับปรุงการใหบ้ รกิ ารต่างๆ 10. บริการแนะแนวท่ีมีประสิทธิภาพจะต้องจัดให้ผู้เรียนทุกระดับชั้น ไม่ใช่ชั้นใดช้ันหนึ่ง โดยเฉพาะ เพราะเปน็ บรกิ ารตอ่ เนอ่ื ง 11. มีอุปกรณ์และสถานท่ีอย่างพร้อมเพรียง เช่น ห้องแนะแนว เอกสาร วารสาร แบบสอบถาม แบบทดสอบท่ใี ชใ้ นการแนะแนว เป็นตน้ 12. งบประมาณควรจะพอเพียงในการจัดซ้ืออุปกรณ์ และเป็นทนุ หมุนเวียนใหแ้ ก่ผู้เรียน ตลอดจนทุนทาวิจยั 13. จัดโครงการแนะแนวให้ครอบคลุมทั้งการป้องกันปัญหา การแก้ปัญหา และการ ส่งเสรมิ พฒั นาการของผ้เู รยี น 14. บริการต่างๆ ในการแนะแนวควรจะมคี วามสาคัญเทา่ ๆ กนั ไม่ใช่เน้นด้านใดดา้ นหน่ึง โดยเฉพาะ 15. มีความยืดหยุ่นของบริการต่างๆ เป็นต้นว่า การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงโครงการของ บริการต่างๆ ปรับปรุงขอบขา่ ยและลักษณะของบริการต่างๆ ให้ดขี ึน้ 16. การร่วมมือกนั ระหวา่ งบุคลากรแนะแนวและบคุ ลากรอน่ื ๆ ในสถานศกึ ษา 17. การติดต่อกับบุคลากรอ่ืนๆ นอกสถานศึกษา เพ่ือเป็นแหล่งทจี่ ะส่งผู้เรยี นไปขอความ ชว่ ยเหลือ ถา้ บริการนัน้ อยูน่ อกขอบขา่ ยงานของนักแนะแนว 18. บริการแนะแนวท่มี ีประสิทธิภาพจะต้องสนองความต้องการของผเู้ รยี นแตล่ ะคน เช่น ความตอ้ งการเข้าใจตนเอง รู้จักบุคลิกภาพของตน การปรับปรุงตนเอง การพัฒนาศักยภาพของตน ต้องการที่จะตัดสินใจหรือแก้ปัญหาต่างๆ ตลอดจนความต้องการที่จะมีความรู้เก่ียวกับสิ่งแวดล้อม เป็นตน้ วา่ การได้รบั ขอ้ มูลเก่ยี วกับตลาดแรงงานในปัจจบุ ันและแนวโนม้ ในอนาคต 19. จัดการประชาสัมพันธ์บริการแนะแนวด้วยวิธีการต่างๆ เช่น ประชาสัมพันธ์บริการ แนะแนวเมื่อมกี ารจดั กิจกรรมปฐมนเิ ทศ การประชุมครผู ปู้ กครอง หรือประชาสัมพนั ธ์โดยใชเ้ อกสาร ข่าวสารการแนะแนว การออกรายการวิทยโุ ทรทศั น์

384 20. ความร่วมมือของบุคลากรอ่ืนๆ ท่ีมีต่อบริการแนะแนว เช่น ผู้บริหารสถานศึกษา ครู ผู้เรียน บรรณารกั ษ์ ผู้ปกครอง ตลอดจนบคุ ลากร และสถาบนั ตา่ งๆ ในชุมชน นอกจากนี้ ในการประเมินผลการปฏิบัตงิ านแนะแนว สามารถพิจารณาจากเกณฑ์ตวั บ่งชี้ ในมาตรฐานการแนะแนวได้ ซง่ึ มีท้ังมาตรฐานและตวั บง่ ชดี้ า้ นผ้รู บั บรกิ าร ด้านกระบวนการ และดา้ น ปจั จัย ตวั อย่างตัวชว้ี ดั ความสาเร็จในการดาเนนิ งานแนะแนว มีดงั น้ี 1. ดา้ นผลผลิต 1.1 ผู้เรยี นมีความรู้ ความสนใจ ความถนัด ความสามารถของตนเอง 1.2 ผเู้ รยี นรักและเห็นคุณค่า ภูมิใจตนเอง และผอู้ ่ืน 1.3 ผู้เรียนรู้จักแสวงหาข้อมูลสารสนเทศในการพัฒนาตนเองด้านการศึกษา การงาน อาชีพ ชวี ิตและสว่ นตวั 1.4 ผู้เรียนสามารถใช้ข้อมูลสารสนเทศในการพัฒนาตนเองด้านการศึกษา การงาน อาชีพ ชวี ติ และสว่ นตัว 1.5 ผ้เู รียนมีเป้าหมายชีวติ รู้จกั วางแผนชวี ติ ด้านการศึกษา การงานและอาชพี ไดอ้ ย่าง เหมาะสม สอดคล้องกับศกั ยภาพของตนเองได้ 1.6 ผเู้ รียนสามารถตดั สินใจและแกป้ ัญหาของตนเอง 1.7 ผู้เรียนรจู้ ักหลีกเลีย่ งจากอบายมุขทุกประเภทหรอื สงิ่ ทเ่ี ปน็ ภยั ต่อชวี ิต 1.8 ผู้เรียนมวี ฒุ ภิ าวะทางอารมณ์ 1.9 ผเู้ รียนสามารถปรบั ตัวเขา้ กับสภาพแวดลอ้ ม 1.10 ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อตนเอง ครอบครัว สังคม และ ประเทศชาติ 2. ดา้ นกระบวนการ 2.1 มีการดาเนินการสารวจข้อมูลเกี่ยวกับตัวผู้เรียนและจัดทาข้อมูลอย่างเป็นระบบ ทนั สมยั อยู่เสมอ 2.2 มกี ารจัดโปรแกรมชุดกิจกรรมพฒั นาผเู้ รยี นด้านต่างๆ ทีส่ อดคล้องกับสภาพปญั หา และความต้องการ ความสนใจของผู้เรียน เช่น ชุดกิจกรรมรักและเห็นคุณค่าในตนเอง ชุดกิจกรรม สร้างประสิทธิภาพการเรียน ชุดกจิ กรรมพัฒนาบุคลกิ ภาพ ชดุ กิจกรรมพัฒนาทกั ษะการดาเนินชีวิต ชุดกิจกรรมพฒั นาวุฒภิ าวะทางอารมณ์ 2.3 มีการใหผ้ ู้เรียนมีส่วนรว่ มในการวางแผนการจัดกิจกรรมและเสนอแนะวิธกี ารจัด กิจกรรมท่ีจะช่วยผู้เรียนสนุกสนาน แปลกใหม่และน่าสนใจ นาไปสู่การพัฒนาการด้านต่างๆ และ สามารถแก้ไขปัญหาผูเ้ รยี นได้

385 2.4 มีการให้ข้อมูลสารสนเทศท่ีทันสมัยเป็นประโยชน์ต่อผู้เรียนด้วยวิธีการท่ี หลากหลาย 2.5 มีการประสานสัมพันธ์กับผู้ปกครองอย่างสม่าเสมอ ต่อเน่ืองและหลากหลาย รูปแบบ เนน้ การร่วมกนั พฒั นาผเู้ รียน 2.6 มีการจัดโครงการ/กิจกรรมพัฒนาผู้เรียนอย่างหลักหลายตามสภาพปัญหาและ ความต้องการของผู้เรยี น 2.7 มีการจัดกิจกรรมที่อาศัยกระบวนการกลุ่มทางจิตวิทยาและการแนะแนวในการ พัฒนาผเู้ รยี น 2.8 มีการจัดกิจกรรมทั้งในและนอกเวลาเรียน ให้ครูและผู้เรียนได้คุ้นเคยใกล้ชิดกัน เชน่ กิจกรรมวันพบครอบครัว เป็นตน้ 3. ดา้ นปัจจยั 3.1 ผบู้ ริหารมีภาวะผ้นู าและเหน็ ความสาคญั ของการจดั กิจกรรมแนะแนว 3.2 ครทู กุ คนตระหนักและเห็นความสาคัญของการจัดกิจกรรมแนะแนว และมีความรู้ ความเขา้ ใจพ้นื ฐานด้านจติ วทิ ยาและการแนะแนว 3.3 ครทู ุกคนมีบทบาทในการดาเนินการจัดกจิ กรรมแนะแนว 3.4 ผู้ปกครองรับรูแ้ ละมีส่วนร่วมในการสนบั สนนุ ในการจัดกิจกรรมแนะแนว 3.5 มีคณะทางานท่ีรับผดิ ชอบการจดั กจิ กรรมแนะแนวโดยตรง 3.6 มีแผนการดาเนินการจัดกจิ กรรมแนะแนวท่ีชัดเจนเป็นรปู ธรรม 3.7 มีโครงการ/กจิ กรรมแนะแนวทส่ี อดคล้องกับสภาพปัญหาและความต้องการ ความ สนใจของผเู้ รยี นทุกกลมุ่ เปา้ หมาย และชุมชน 3.8 มีแนวปฏิบตั ิในการจัดกจิ กรรมแนะแนว และมีการปฏบิ ตั อิ ยา่ งจรงิ จงั 3.9 มเี ครอ่ื งมือการร้จู ักและเข้าใจผเู้ รยี นท่หี ลากหลาย ทจ่ี ะนาไปใชก้ ับผเู้ รียน วธิ ีการประเมินผลการปฏบิ ัตงิ านแนะแนว วิธีการประเมนิ ทใี่ ช้ในการประเมนิ ผลการปฏิบัติงานแนะแนว แบง่ ได้ 3 วธิ ี ไดแ้ ก่ 1. วิธีการสารวจ (Survey Method) วิธีนี้เป็นการสารวจเพื่อประเมินผลการจัดบริการ แนะแนว เช่น สารวจว่าบรกิ ารต่างๆ ที่หนว่ ยแนะแนวจดั ข้นึ มีบริการใดบ้าง และบรกิ ารเหล่านนั้ มกี าร จัดกิจกรรมอย่างไร จานวนบุคลากรที่ทาหน้าท่ีแนะแนว คุณสมบัติของนักแนะแนว เวลาในการ ให้บริการ อุปกรณ์และสถานทท่ี ่ีใชใ้ นการแนะแนว ตลอดจนความคดิ เหน็ ของผรู้ ับรกิ าร และบุคลากร ในสถานศกึ ษาทีม่ ตี อ่ การจดั บริการแนะแนว

386 2. วิธกี ารทดลอง (Experimental Approach) การทดลองเปน็ วธิ ีการที่มรี ะบบระเบียบใน เชงิ วทิ ยาศาสตร์ โดย 2.1 กาหนดวัตถุประสงคข์ องเร่ืองที่จะทดลองและวิธกี ารจะสนองวตั ถุประสงค์น้ัน 2.2 กาหนดวิธีวัดผลการทดลองเปน็ ขนั้ ๆ เพื่อใหส้ นองวตั ถบุ ระสงคน์ ั้น 2.3 มีการเลือกกลุ่มตัวอย่างและควบคุมตัวแปร 2.4 กลุ่มตัวอย่างท่ีเป็นกลุ่มทดลองนนั้ เป็นกลุ่มที่ผู้ทดลองจะใช้วิธตี ่างๆ เพ่อื พิจารณา การเปลี่ยนแปลงหรือไมเ่ ปลี่ยนแปลงพฤตกิ รรมหลังจากการทดลองน้นั ๆ เปน็ ต้นว่า การประเมนิ ผล การให้การปรึกษาแก่ผู้เรียน โดยผู้ทดลองจะพจิ ารณาว่าผู้เรียนมผี ลสมั ฤทธทิ างการเรียนสูงขึน้ หรอื ไม่ หลังจากไดร้ ับการปรกึ ษาเปรยี บเทียบกบั ผู้เรียนที่ไมไ่ ด้รับบรกิ าร 3. วิธีการศึกษาผู้เรียนที่ได้รับบริการแนะแนวเป็นรายบุคคล (Case Study Approach) การศึกษาผู้เรียนที่ได้รับบริการแนะแนวเป็นรายบุคคล โดยเน้นการติดตามผลผู้เรียนเป็นรายบุคคล เพอ่ื พจิ ารณาวา่ ผู้เรียนผนู้ ้ันมีการเปลย่ี นแปลงพฤติกรรมหรือไม่เพียงใด หลังจากไดร้ ับบรกิ ารแนะแนว การใช้วิธสี ิ้นเปลืองเวลามาก แตใ่ ห้ประโยชนม์ าก เปน็ การเนน้ ท่ีตัวบุคคลและพัฒนาการของเขา สรุปได้ว่า การประเมินผลบริการแนะแนวเปน็ สิ่งท่ีมีความจาเป็นมาก แต่มักจะถูกละเลย การประเมินผลบริการแนะแนวเป็นการตัดสินอย่างมีระบบระเบียบว่า การดาเนินการให้บริการ แนะแนวสนองวตั ถุประสงค์ตามท่ไี ดว้ างมาตรฐานไวห้ รอื ไม่ ถ้าไมม่ ีการประเมินผล บริการแนะแนวจะ ไม่ไดร้ ับการปรบั ปรุงอย่างถูกตอ้ ง ปญั หาและอปุ สรรคในการบริหารงานแนะแนว จากอดีตท่ีผา่ นมาจะพบว่าการพฒั นางานแนะแนวในประเทศไทยเป็นไปอยา่ งลา่ ช้า ซ่งึ มา จากสาเหตหุ ลายประการ เชน่ ผปู้ กครองและผู้เรยี นใหค้ วามสาคัญตอ่ งานแนะแนวน้อย อาจมีผลมา จากขาดการประชาสัมพันธท์ ี่ดี ผู้บริหารในระดับสถานศึกษาหรือระดับที่สูงขึ้นไปไม่มีความรู้ความ เขา้ ใจถงึ ลกั ษณะของงานแนะแนวอย่างแทจ้ รงิ ทาใหไ้ ม่ไดร้ บั ความสนบั สนุนอยา่ งเตม็ ที่และบคุ ลากรท่ี รับผดิ ชอบงานแนะแนวเองบางคน ไม่ได้รบั ปฏบิ ตั ิงานแนะแนวด้วยใจรักอยา่ งแท้จริงจงึ ขาดความเอา ใจใส่และท่มุ เททจ่ี ะม่งุ พัฒนางานแนะแนวอย่างเตม็ ความสามารถ ปัจจุบันบทบาทของงานแนะแนวเป็นท่ียอมรับมากขึ้น จากบุคลากรท่ีอยู่ภายใน สถานศึกษาและบุคคลทว่ั ไป แต่กม็ ีปัญหาและอุปสรรคในแงข่ องการบริหารบางประการท่ียงั เปน็ สิ่ง ขัดขวางการพฒั นางานแนะแนวอยูบ่ ้างขอท่ีจะสรปุ ไดด้ ังน้ี 1. ปัญหาด้านบุคลากร โดยเฉพาะครูแนะแนวเองมีกาลังไม่เพียงพอต่อการให้บริการ ผู้เรียนตามสดั สว่ นที่เหมาะสมของครแู นะแนว 1 คนต่อจานวนผู้เรียน 250 คน ซงึ่ ในความเป็นจรงิ มี

387 ไม่กี่สถานศึกษาที่เป็นไปตามสัดส่วนน้ี ในทางปฏิบัติครูแนะแนวต้องรับภาระงานส่วนคาบกิจกรรม แนะแนว1 คาบต่อสัปดาหท์ ุกหอ้ งเรยี นตง้ั แต่ระดบั มัธยมศึกษาปีท่ี1 ถงึ ช้ันมัธยมศกึ ษาปีท่ี 6 และสว่ น หนึ่งตอ้ งช่วยเหลอื งานส่วนกลางของสถานศกึ ษาจึงมีเวลาให้แก่ผู้เรียนได้ไม่เต็มท่ี 2. ปัญหาเก่ียวกับผู้เรียน ผู้เรียนให้ความสาคัญต่อการเรียนคาบกิจกรรมแนะแนวน้อย เพราะถอื ว่าไมม่ กี ารนับหนว่ ยการเรยี น ไมม่ ีการวัดและการประเมนิ ผลการเรียนออกมาเปน็ เกรดหรือ คะแนน และไมค่ อ่ ยสนใจเนอ้ื หาวิชา เกี่ยวกับการขอให้ใชบ้ ริการแนะแนว ผู้เรียนบางคนไม่เข้าใจและ ไมก่ ลา้ มาพบครทู าใหบ้ รกิ ารทฝ่ี ่ายแนะแนวจดั ข้ึนไดผ้ ลไม่เตม็ ท่ี 3. ปญั หาดา้ นการจัดการ แบ่งออกเปน็ 3 ประการ 3.1 ปัญหาการจัดสายงานการบริหารงานแนะแนวบางสถานศกึ ษาเขียนไว้ไม่ชัดเจน ไม่มีการกาหนดวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายของงาน ไม่มีการมอบหมายงาน ขาดการติดตามและ ประเมนิ ผลการดาเนนิ งาน 3.2 ปัญหาการประสานงาน และการทางานร่วมกนั เป็นกลุ่มบุคลากรในสถานศึกษา บางคนไม่ให้ความร่วมมือต่องานแนะแนวเท่าที่ควร เกิดความขัดแย้งระหว่างครูอาจารย์ด้วยกัน ครอู าจารย์บางคนรู้สึกวา่ เป็นการเพ่มิ ภาระงานใหแ้ ก่ตนเอง 3.3 ผู้บริหารสถานศึกษาบางสถานศึกษาไม่ให้การสนับสนุนงานแนะแนวเท่าที่ควร ทาให้ครแู นะแนวขาดขวัญกาลังใจในการปฏบิ ัติงาน 4. ปัญหาด้านงบประมาณ เนอ่ื งจากจัดกจิ กรรมทางการแนะแนวส่วนใหญ่จาเป็นต้องใช้ งบประมาณ เช่น การจัดโครงการปฐมนเิ ทศ ปัจฉมิ นิเทศ การเชิญวทิ ยากรมาบรรยายหรืออภิปราย การจัดนิทรรศการ การจัดป้ายนิเทศ การจัดทาแบบสารวจหรือแบบสอบถามต่างๆ งบประมาณ สว่ นใหญ่เป็นหมวดค่าวัสดุ ค่าตอบแทนและใช้สอย ซง่ึ ถา้ ไม่ได้รบั การจัดสรรอย่างเพยี งพอก็จะมีผล ตอ่ การปฎิบตั งิ านแนะแนวให้บรรลุวัตถปุ ระสงคอ์ ยา่ งแท้จริง 5. ปญั หาด้านสถานทแี่ ละอุปกรณ์ต่างๆ หลายสถานศกึ ษาไมม่ ีหอ้ งแนะแนวท่เี ป็นสดั ส่วน เฉพาะ ทาให้ไมส่ ะดวกต่อการเข้ามาใช้บริการของผู้เรียน และต่อการปฏบิ ัติงานครูแนะแนว เกี่ยวกับ อุปกรณ์ท่ีจาเป็น เช่น ตู้เก็บเอกสาร โต๊ะเก้าอี้ ป้ายประกาศ เคร่ืองพิมพ์ดีดหรือคอมพิวเตอร์และ แบบทดสอบชนิดต่างๆ บางสถานศึกษาไม่เพียงพอหรืออาจจะไม่มีเลยทาให้เป็นอุปสรรคต่อการ ใหบ้ รกิ ารแก่ผู้เรยี นเปน็ อย่างมาก

388 บทสรปุ การบริหารงานแนะแนว เป็นการจัดการเพือ่ ให้การจัดกิจกรรมแนะแนว บริการแนะแนว ดาเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้เรียน ในการดารงชีวิตด้านการศึกษา อาชีพ ส่วนตัวและสังคม และเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่สถานศึกษากาหนดไว้ ดังนั้นการจัด งานแนะแนวจึงควรจัดทาอย่างมีระเบียบและขั้นตอนที่เกี่ยวเนื่องกันเรียกว่า การจัดระบบ งานแนะแนว ซ่งึ การจัดบรกิ ารที่ดีควรจะดาเนนิ อยา่ งเปน็ ขั้นตอน มีการแบง่ ความรับผิดชอบท่ชี ดั เจน มีเปา้ หมายทก่ี าหนดไว้ งานก็จะดาเนนิ ไปดว้ ยดี โดยมีองค์ประกอบของการบรหิ ารงานแนะแนว ได้แก่ ปัจจัยสนับสนุนการบริหารงานแนะแนว กระบวนการงานแนะแนว และผลผลิตท่ีเกิดจากการ บรหิ ารงานแนะแนว สาหรับแนวทางการบริหารงานแนะแนว สามารถปฏิบัติได้โดยการกาหนดเป้าหมาย กลยุทธ์ และแผนพัฒนาระบบงานแนะแนว การจัดระบบบริหารและระบบข้อมูลสารสนเทศ การดาเนินงานแนะแนวและแผนงานโครงการ/กิจกรรมแนะแนว การนิเทศ ติดตาม และประเมินผล การแนะแนว การรายงานผลการดาเนินงานของระบบงานแนะแนว และการดาเนินงานแนะแนวให้ เกิดความต่อเน่ืองและยั่งยืน ภายใต้ระบบการบริหารงานแนะแนว ซึ่งมีข้ันตอนการดาเนินงาน 4 ขั้นตอน ได้แก่ การวางแผน (Plan) การปฏิบัติตามแผน (Do) การกากับติดตามและประเมินผล (Check) และการนาผลการประเมนิ ไปปรับปรงุ พฒั นางาน (Act) บุคลากรทเ่ี กย่ี วข้องกบั การแนะแนว ได้แก่ บุคลากรภายในสถานศึกษา เช่น ผู้บริหาร ครู แนะแนว ครูที่ปรกึ ษา ครูผู้สอน ผู้เรยี น และบคุ ลากรภายนอกสถานศกึ ษา เช่น ผปู้ กครอง ผ้นู าชุมชน แพทย์ นักจิตวิทยา จิตแพทย์ เปน็ ต้น เน่ืองจากงานแนะแนวเป็นวิชาชีพ ดังนั้น นักแนะแนวจงึ ตอ้ งมี ความรู้ความเข้าใจด้านจติ วิทยา และมีบุคลิกภาพที่เหมาะกับงาน รวมถึงยึดม่ันในจรรยาบรรณของ นักแนะแนว การปฏิบัติงานแนะแนวท่มี ีประสทิ ธิภาพจะต้องมีการวางแผนปฏิบัติงานลว่ งหน้าตลอดปี อย่างเป็นระบบและครอบคลุม โดยมีการกาหนดเวลาการทางานออกมาชัดเจนในรูปแบบของแผนการ ปฏิบัตงิ านแนะแนว และปฏทิ นิ งานแนะแนวตลอดปี รวมทั้งมีการประเมินผลการปฏิบัติงานแนะแนว ดว้ ย สาหรบั ปญั หาและอปุ สรรคในการบริหารงานแนะแนว ไดแ้ ก่ ปัญหาดา้ นบุคลากร ปญั หาเกี่ยวกบั ผู้เรยี น ปญั หาด้านการจดั การ ปญั หาด้านงบประมาณ และปญั หาด้านสถานท่แี ละอปุ กรณ์ต่างๆ

389 ใบกจิ กรรมที่ 7.1 คาชี้แจง ให้นักศึกษาแบ่งกลุ่ม แล้วร่วมอภิปรายในหัวข้อ “ปัจจัยที่ส่งผลให้การ บริหารงานแนะแนวในสถานศึกษามีประสิทธิภาพ” และ “แนวทางการแกไ้ ขปัญหาและอุปสรรคใน การบริหารงานแนะแนว” เสร็จแล้วให้แต่ละกลุ่มสรุปลงบนกระดานฟลิปชาร์ทท่ีแจกให้ พร้อมส่ง ตัวแทนมานาเสนอหน้าชน้ั เรียนตอ่ กลมุ่ ใหญ่ “ปจั จยั ทส่ี ง่ ผลให้การบริหารงานแนะแนวในสถานศกึ ษามีประสิทธิภาพ” ………………………………………………………………………………………………………………..……………………………. ………………………………………………………………………………………………………………..……………………………. ………………………………………………………………………………………………………………..……………………………. ………………………………………………………………………………………………………………..……………………………. ………………………………………………………………………………………………………………..……………………………. ………………………………………………………………………………………………………………..……………………………. ………………………………………………………………………………………………………………..……………………………. ………………………………………………………………………………………………………………..……………………………. ………………………………………………………………………………………………………………..……………………………. ………………………………………………………………………………………………………………..……………………………. ………………………………………………………………………………………………………………..……………………………. ………………………………………………………………………………………………………………..……………………………. ………………………………………………………………………………………………………………..……………………………. ………………………………………………………………………………………………………………..……………………………. ………………………………………………………………………………………………………………..…………………………….

390 “แนวทางการแกไ้ ขปัญหาและอุปสรรคในการบริหารงานแนะแนว” ………………………………………………………………………………………………………………..……………………………. ………………………………………………………………………………………………………………..……………………………. ………………………………………………………………………………………………………………..……………………………. ………………………………………………………………………………………………………………..……………………………. ………………………………………………………………………………………………………………..……………………………. ………………………………………………………………………………………………………………..……………………………. ………………………………………………………………………………………………………………..……………………………. ………………………………………………………………………………………………………………..……………………………. ………………………………………………………………………………………………………………..……………………………. ………………………………………………………………………………………………………………..……………………………. ………………………………………………………………………………………………………………..……………………………. ………………………………………………………………………………………………………………..……………………………. ………………………………………………………………………………………………………………..……………………………. ………………………………………………………………………………………………………………..……………………………. ………………………………………………………………………………………………………………..……………………………. ………………………………………………………………………………………………………………..……………………………. ………………………………………………………………………………………………………………..……………………………. ………………………………………………………………………………………………………………..…………………………….

391 คาถามท้ายบท จงตอบคาถามตอ่ ไปน้ี โดยอธบิ ายพรอ้ มยกตวั อยา่ งประกอบ 1. จงอธบิ ายความหมายของการบรหิ ารงานแนะแนวตามทศั นะของทา่ น 2. การบรหิ ารงานแนะแนวมคี วามสาคัญต่อผู้เรยี นและสถานศึกษาอย่างไร 3. การบรหิ ารงานแนะแนวมหี ลกั การดาเนินการอยา่ งไร 4. ในการบรหิ ารงานแนะแนวใหม้ ีประสทิ ธิภาพและประสทิ ธิผลตามวตั ถปุ ระสงค์ที่ต้อง ไวค้ วรคานงึ ถึงองค์ประกอบใดบา้ ง 5. เพราะเหตุใด การบริหารงานแนะแนวจงึ ตอ้ งทาเป็นระบบ 6. การบรหิ ารงานแนะแนวในสถานศกึ ษา มแี นวทางในการดาเนนิ งานอยา่ งไร 7. จงอธิบายบทบาทและหน้าที่ของบุคลากรท่ีเกย่ี วขอ้ งกบั การแนะแนว 8. ท่านคดิ ว่าครแู นะแนวท่มี มี าตรฐานควรมีคณุ สมบัติและจรรยาบรรณอยา่ งไร 9. หากทา่ นไดร้ ับมอบหมายใหท้ างานแนะแนว โดยเฉพาะการจัดแนะแนวทางด้านอาชพี ทา่ นจะดาเนนิ การอยา่ งไร โดยเขียนโครงการมาอยา่ งละเอียด 10. ใหท้ า่ นทาปฏิทินการปฏบิ ตั ิงานแนะแนว ตลอดทั้งปกี ารศกึ ษา

392 เอกสารอา้ งองิ กรมวิชาการ กระทรวงศกึ ษาธิการ. (2532). คูม่ ือปฏบิ ัติงานแนะแนวในโรงเรียนประถมศึกษา. กรงุ เทพฯ: กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. ________. (2546). แนวทางการจัดกจิ กรรมพัฒนาผเู้ รียน ตามหลักสตู รการศกึ ษาข้นั พืน้ ฐาน พุทธศักราช 2544. กรุงเทพฯ: โรงพมิ พค์ รุ ุสภาลาดพร้าว. คณะครศุ าสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย. (2555). ชดุ ฝึกอบรมแนะแนว. กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พ์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั . จาเนียร ช่วงโชต.ิ (2547). เทคนิคการแนะแนว. พมิ พค์ ร้งั ท่ี 7. กรงุ เทพฯ: สานกั พิมพ์มหาวทิ ยาลัย รามคาแหง. นภิ า พงศ์วิรตั น.์ (2552). “การจดั ระบบบริหารและการวางแผนงานแนะแนว” ใน เอกสารการสอน ชดุ วชิ าประสบการณว์ ิชาชพี การแนะแนว หน่วยท่ี 8 – 15. พิมพค์ รั้งที่ 4. นนทบรุ ี: สานกั พิมพม์ หาวทิ ยาลยั สุโขทยั ธรรมาธิราช. นิรนั ดร์ จุลทรัพย์. (2554). การแนะแนวเบ้อื งตน้ . พมิ พ์ครงั้ ที่ 4. สงขลา : บรษิ ทั นาศลิ ป์โฆษณา. ลกั ขณา สริวัฒน์. (2551). การแนะแนวเบื้องตน้ . พิมพ์ครง้ั ที่ 2. กรุงเทพฯ: โอเดยี นสโตร.์ วชั รี ทรพั ยม์ ี. (2531). การแนะแนวในโรงเรยี น. พิมพ์ครั้งท่ี 3. กรุงเทพฯ: บริษทั สานักพมิ พ์ ไทยวฒั นาพานิช จากัด. ศรวี รรณ จนั ทรวงศ.์ (2548). จิตวิทยาและการแนะแนวเดก็ วยั รุน่ . อุดรธานี: คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยราชภัฏอดุ รธาน.ี ศิริบรู ณ์ สายโกสุม. (2533). บทบาทและคุณลักษณะนักแนะแนวยคุ ไฮเทค. กรุงเทพฯ: ทบวงมหาวิทยาลยั . สมาคมแนะแนวแห่งประเทศไทย. (2557). ระบบการแนะแนวในโรงเรียน. กรุงเทพฯ: สมาคม แนะแนวแหง่ ประเทศไทย.

แผนบริหารการสอนประจาบทท่ี 8 ระบบการดแู ลช่วยเหลอื นักเรียน วตั ถปุ ระสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรม เมือ่ ศกึ ษาบทเรียนนี้จบแล้ว นักศึกษาควรมีพฤตกิ รรมดงั น้ี 1. อธิบายความหมายของระบบการดูแลชว่ ยเหลือนกั เรียนได้ 2. อธิบายความสาคัญและความจาเป็นของระบบการดูแลช่วยเหลอื นกั เรียนได้ 3. อธบิ ายจุดมงุ่ หมาย และหลกั การของระบบการดแู ลช่วยเหลอื นักเรียนได้ 4. บอกกฎหมายท่ีเกี่ยวข้องกับระบบการดูแลช่วยเหลือนกั เรยี นได้ 5. อธบิ ายกระบวนการและขั้นตอนของระบบการดแู ลช่วยเหลือนักเรยี นได้ 6. อธิบายและยกตัวอยา่ งบทบาทหน้าที่ของหน่วยงานและบุคลากรที่เกี่ยวข้องในระบบ การดแู ลช่วยเหลอื นกั เรียนได้ 7. อธิบายปจั จัยสาคัญตอ่ ประสิทธภิ าพของระบบการดูแลช่วยเหลอื นักเรียนได้ 8. บอกประโยชนแ์ ละคณุ คา่ ของระบบการดูแลชว่ ยเหลอื นกั เรียนได้ เนอื้ หาสาระ เนื้อหาสาระในบทน้ปี ระกอบด้วย 1. ความหมายของระบบการดูแลชว่ ยเหลอื นกั เรียน 2. ความสาคญั และความจาเปน็ ของระบบการดูแลชว่ ยเหลอื นกั เรยี น 3. จุดมุ่งหมายของระบบการดูแลช่วยเหลือนกั เรียน 4. หลกั การของระบบการดแู ลช่วยเหลอื นักเรยี น 5. กฎหมายทเ่ี กีย่ วข้องกบั ระบบการดูแลช่วยเหลอื นักเรียน 6. กระบวนการและข้นั ตอนของระบบการดูแลชว่ ยเหลือนกั เรยี น 7. บทบาทหน้าที่ของหน่วยงานและบุคลากรท่ีเก่ียวข้องในระบบการดูแลช่วยเหลือ นักเรียน 8. ปัจจยั สาคัญตอ่ ประสิทธิภาพของระบบการดูแลช่วยเหลอื นักเรยี น 9. ประโยชนแ์ ละคุณค่าของระบบการดูแลชว่ ยเหลือนกั เรยี น

394 กิจกรรมการเรยี นการสอน กิจกรรมการเรียนการสอนเรือ่ งระบบการดูแลชว่ ยเหลอื นกั เรยี น มดี งั น้ี สัปดาห์ท่ี 15 (3 ช่วั โมง) 1. ผู้สอนทบทวนเน้ือหาบทท่ี 7 พร้อมชี้แจงวัตถุประสงค์ และเน้ือหาประจาบทเรียน บทท่ี 8 เพือ่ ใหผ้ เู้ รยี นรบั รูภ้ าพรวมของเน้อื หาสาระในบทเรยี นนี้ 2. ผ้สู อนบรรยายเน้อื หาเกยี่ วกับระบบการดูแลช่วยเหลอื นักเรียนทุกหวั ขอ้ 3. ผู้เรียนรับฟังบรรยายสรุปเนื้อหาสาระ ร่วมกับศึกษาเน้ือหาเร่ือง “ระบบการดูแล ชว่ ยเหลอื นกั เรยี น” จากเอกสารคาสอน พรอ้ มทัง้ ซกั ถามและตอบคาถามระหว่างการฟังบรรยาย 4. ผู้สอนใหผ้ เู้ รยี นชมคลปิ วิดีโอกรณศี กึ ษา “เดก็ หญิงเรยา” แล้วร่วมกนั สรุปสาระสาคัญที่ ไดร้ บั 5. ผู้สอนให้ผเู้ รียนแบ่งกลุ่มทาใบกิจกรรม 8.1 ในหัวข้อเก่ียวกับ “แนวทางการชว่ ยเหลือ และแก้ไขปัญหาเด็กหญิงเรยา” โดยให้ระดมสมองชว่ ยกันคิดหาคาตอบและอภปิ รายรว่ มกนั ภายใน กลุม่ เสร็จแลว้ ใหแ้ ตล่ ะกลุม่ นาเสนอหน้าชนั้ เรยี นตอ่ กลุ่มใหญ่ 6. ผู้สอนให้ผู้เรียนร่วมกนั วิเคราะห์ อภปิ ราย สรุปเนอื้ หาระบบการดแู ลชว่ ยเหลือนักเรยี น และแนวทางการนาไปประยกุ ต์ใช้ รวมทั้งเปดิ โอกาสให้ผู้เรียนซกั ถามในหวั ข้อ / ประเดน็ ทสี่ งสัย 7. ผสู้ อนมอบหมายให้ผเู้ รยี นทาคาถามท้ายบท และกาหนดวนั ส่ง โดยสง่ ท่ีต้รู บั งาน 8. ผู้สอนสรปุ เน้อื หาในภาพรวมของรายวิชาน้ี พรอ้ มแนวทางการนาไปประยุกต์ใช้ 9. ผู้สอนเสรมิ สรา้ งคุณธรรมและจริยธรรมใหก้ ับนักศกึ ษากอ่ นปิดคอรส์ รายวิชานี้ สือ่ การเรยี นการสอน 1. เอกสารคาสอน จติ วิทยาแนะแนวและการใหค้ าปรึกษา 2. เอกสาร ตารา หนังสือ และงานวิจัยท่ีเก่ียวข้องกับจิตวิทยาแนะแนวและการให้ คาปรึกษา 3. สไลด์นาเสนอความรู้ประเด็นสาคญั ทุกหัวขอ้ เร่อื ง ด้วยส่ือทางคอมพิวเตอร์ Microsoft Power Point 4. คลิปวดิ ีโอกรณศี ึกษา “เดก็ หญงิ เรยา” 5. ใบกิจกรรม 6. คาถามท้ายบท

395 การวดั ผลและการประเมนิ ผล วตั ถุประสงค์ วธิ ีการ/เครอื่ งมือ การวดั ผลและการประเมนิ ผล 1. อธิบายความหมายของระบบการ 1. ซกั ถาม-ตอบคาถาม 1. นักศกึ ษาตอบคาถาม และ ดูแลชว่ ยเหลอื นักเรยี นได้ อภิปราย แลกเปลีย่ น อภปิ รายไดถ้ กู ต้อง รอ้ ยละ 80 2. อธิบายความสาคญั และความ และการสนทนารว่ มกนั 2. นักศกึ ษามีความสนใจ/ จาเป็นของระบบการดูแลช่วยเหลือ 2. สังเกตพฤตกิ รรม ความรว่ มมือ และความ นกั เรียนได้ การรว่ มกิจกรรม กระตอื รืนรน้ ในการรว่ ม 3. อธบิ ายจดุ มงุ่ หมาย และหลักการ 3. สงั เกตการนาเสนอผล กิจกรรมอยูใ่ นระดบั ดี ของระบบการดแู ลช่วยเหลือนกั เรียน การทางานหนา้ ช้นั เรยี น 3. นกั ศึกษามีความพรอ้ ม/ ได้ 4. ใบกิจกรรม ความตงั้ ใจและความกล้า 4. บอกกฎหมายทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั ระบบ 5. คาถามท้ายบท แสดงออกในการนาเสนอผล การดูแลช่วยเหลอื นกั เรยี นได้ การทางานหน้าชนั้ เรียนอยู่ใน 5. อธิบายกระบวนการและขน้ั ตอน ระดบั ดี ของระบบการดูแลช่วยเหลือนกั เรียน 4. นกั ศกึ ษาทาใบกิจกรรมได้ ได้ ถกู ตอ้ ง ครบสมบรู ณ์ และเสรจ็ 6. อธบิ ายและยกตวั อยา่ งบทบาท ตามเวลาทกี่ าหนด ร้อยละ 80 หน้าทขี่ องหนว่ ยงานและบคุ ลากรที่ 5. นกั ศึกษาตอบคาถามทา้ ย เก่ยี วขอ้ งในระบบการดแู ลชว่ ยเหลอื บทเรยี นได้ รอ้ ยละ 80 นักเรียนได้ 7. อธิบายปจั จัยสาคัญตอ่ ประสิทธิภาพของระบบการดูแล ชว่ ยเหลือนักเรียนได้ 8. บอกประโยชนแ์ ละคุณค่าของ ระบบการดแู ลช่วยเหลอื นักเรยี นได้

396

397 บทที่ 8 ระบบการดูแลช่วยเหลอื นักเรียน ระบบการดูแลชว่ ยเหลือนักเรียน เปน็ การสง่ เสรมิ พัฒนา การป้องกนั และการแกไ้ ขปัญหา ให้แก่นักเรียน เพื่อให้นักเรียนมีคุณลักษณะที่พึงประสงค์ มีภูมคิ ุ้มกันทางจิตใจที่เข้มแข็ง มีคุณภาพ ชีวิตที่ดี มีทักษะการดารงชีวิต และรอดพ้นจากวิกฤตท้ังปวง ซ่ึงมีกระบวนการดาเนินงานอย่าง มขี ้นั ตอน พร้อมด้วยวิธีการ กจิ กรรม และเครือ่ งมือการทางานทชี่ ดั เจนในการดแู ลช่วยเหลือนกั เรียน โดยมีครทู ี่ปรึกษาเปน็ บุคลากรหลักในการดาเนินการดงั กลา่ ว และมีการประสานความร่วมมืออย่าง ใกล้ชดิ กบั ครูทีเ่ กี่ยวขอ้ งหรอื บุคลากรภายนอก รวมทงั้ การสนับสนนุ ส่งเสรมิ จากสถานศึกษา ความหมายของระบบการดูแลชว่ ยเหลอื นกั เรียน นกั วิชาการรวมถึงผู้เชี่ยวชาญทางการศึกษาหลายท่านได้ให้ความหมายของระบบการดแู ล ช่วยเหลือนกั เรียนไวห้ ลายประการดังนี้ กรมสุขภาพจิต (2546, น. 4) ได้ให้ความหมายว่า ระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนเป็น กระบวนการดาเนินงานดูแลช่วยเหลือนักเรียนอย่างมีข้ันตอนพร้อมด้วยวิธีการและเครื่องมือการ ทางานที่ชัดเจน โดยมีครูที่ปรึกษาเป็นบุคลากรในการดาเนินการดังกล่าวและมีการประสานความ ร่วมมอื อย่างใกล้ชิดกับครูท่ีเก่ยี วข้อง หรอื บุคคลภายนอก รวมท้งั การสนับสนุนสง่ เสริมจากผู้บริหาร สถานศกึ ษา หมายรวมถงึ การสง่ เสริม การป้องกัน และการช่วยเหลือแก้ไขปัญหา โดยมีวธิ ีการและ เครื่องมือสาหรับครูที่ปรึกษาและบุคลากรท่เี กีย่ วขอ้ งเพอ่ื ใช้ในการดาเนินงานพัฒนานักเรียนให้เป็น คนดี คนเกง่ ปลอดภัยจากสารเสพตดิ และมคี วามสขุ ในการดารงชวี ิตอยใู่ นสงั คม สานักงานคณะกรรมการการศกึ ษาข้ันพื้นฐาน (2547, น. 4) ไดใ้ ห้ความหมายว่า ระบบการ ดแู ลช่วยเหลือนักเรียน เปน็ กระบวนการดาเนนิ งานดูแลชว่ ยเหลอื นักเรียนและเคร่อื งมือท่มี ีมาตรฐาน คณุ ภาพ และมีหลักฐานการทางานท่ตี รวงสอบได้โดยครูทป่ี รึกษาเปน็ บคุ ลากรหลักในการดาเนินงาน และบุคคลากรสถานศึกษา ได้แก่ คณะกรรมการสถานศึกษา ผู้ปกครอง ชมุ ชน ผู้บริหารมีสว่ นรว่ ม กระทรวงศึกษาธิการ (2553, น.7) ได้ให้ความหมายของระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนว่า การดูแลช่วยเหลือนกั รียนนั้น หมายถึง กระบวนการท่ีจะทาให้ผู้เรียนไดร้ จู้ ักและเข้าใจตนเอง มีแผน

398 ในการปรับปรุงและพฒั นาตน รวมท้ังครูได้รจู้ ักนักเรียนมากข้ึน สามารถส่งเสรมิ และปอ้ งกันนักเรยี น กลุ่มปกติหรอื กลุ่มพิเศษ มธุริน แผลงจันทึก (2554, น. 9) ได้ให้ความหมายของระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน ไวว้ ่า กระบวนการดาเนินงานดูแลชว่ ยเหลอื นกั เรยี น โดยมคี รปู ระจาชั้น และครทู ่ีปรกึ ษาเปน็ บคุ ลากร หลักในการดาเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน ประกอบด้วย การรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล การคัดกรองนักเรียน การส่งเสริมนักเรียน การป้องกันและแก้ไข และการส่งต่อ อย่างมีขั้นตอน มีวิธีการและเครืองมือ โดยประสานความร่วมมือกับผู้เก่ียวข้องเพื่อดูแลช่วยเหลือนักเรียนให้มี พัฒนาการ และสามารถดารงชวี ติ ได้อยา่ งมคี วามสขุ ประนอม แก้วสวัสด์ิ (2556, น.11) กล่าววา่ ระบบการดูแลชว่ ยเหลอื หมายถงึ การสง่ เสริม การป้องกัน การแก้ไขปัญหา และพัฒนา เพื่อให้นักเรียนได้พัฒนาเต็มตามศักขภาพมีคุณลักษณะ ท่ีพึงประสงค์ มีภูมิค้มุ กนั ทางจติ ใจที่เข้มแข็ง คุณภาพชวี ิตท่ีดี มีทกั ษะการดารงชีวิต และรอดพ้นจาก วิกฤติทั้งปวง โดยมีวิธีการและเครื่องมือที่ชัดเจน มีมาตรฐาน คุณภาพ มีหลักฐานการทางานที่ ตรวจสอบได้ โดยมีครูท่ีปรึกษาและบุคลากรที่เกี่ยวข้อง ทั้งภายในและกายนอกสถานศึกษา โดยดาเนนิ การไปในทิศทางเดียวกันเพ่อื การดูแลช่วยเหลอื นักรียนอย่างใกลช้ ิดด้วยความรักและเมตตา ท่มี ีต่อศษิ ย์ และภาคภูมิใจในบทบาทท่ีมีส่วนสาคัญต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิดของเยาวชนให้เติบโต งอกงาม และเป็นบคุ คลทม่ี คี ณุ คา่ ของสังคมตอ่ ไป จุติกรณ์ นิสสัย (2558, น. 11) กล่าวว่า ระบบการดูแลช่วยหลือนักเรียน หมายถึง การ ดาเนินงานดูแลช่วยเหลือนักรียนอย่างมีองค์ประกอบ มีการประสานความร่วมมือกับผู้เก่ียวข้องใน การดแู ลช่วยเหลือนกั เรียน เพ่ือการดาเนนิ งานพฒั นาและการแก้ไขปญั หานกั เรียน กล่าวโดยสรุป ระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน หมายถึง กระบวนการดูแลช่วยเหลือ นักเรียนอย่างเป็นขั้นตอนในด้านการส่งเสริม ป้องกัน และแก้ไขปัญหา โดยการมีส่วนร่วมจาก บุคลากรทเ่ี กีย่ วข้องทกุ ฝา่ ยใหเ้ ป็นไปในทิศทางเดียวกัน เพือ่ ให้ผู้เรียนเป็นคนดี คนเก่ง และมีความสุข ตลอดจนอยใู่ นสังคมไดอ้ ยา่ งเข้มแขง็ และปลอดภัย ความสาคญั และความจาเปน็ ของระบบการดแู ลช่วยเหลอื นักเรียน การพฒั นานกั เรียนใหเ้ ป็นบุคคลที่มีคุณภาพท้ังด้านรา่ งกาย จติ ใจ สติปัญญา ความสามารถ มีคณุ ธรรม จรยิ ธรรมและมีวิถชี วี ิตทเ่ี ปน็ สุขตามที่สังคมมุ่งหวัง โดยผ่านกระบวนการทางการศึกษาน้ัน นอกจากจะดาเนินการด้วยการส่งเสริมสนับสนุนนักเรียนแล้ว การป้องกันและการช่วยเหลือแก้ไข ปัญหาต่างๆ ที่เกิดข้ึนกับนักเรียนก็เป็นสิ่งสาคัญประการหนึ่งของการพัฒนา เน่ืองจากสังคมที่ เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากท้ังดา้ นการสอื่ สารเทคโนโลยีสารสนเทศต่างๆ ซงึ่ นอกจากจะส่งผลกระทบ

399 ตอ่ ผู้คนในสงั คมแล้ว ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาการระบาดของยาเสพติด ปัญหาการแขง่ ขนั ในรูปแบบ ต่างๆ ในสังคมโลกปัจจุบัน ปัญหาครอบครัว การพัฒนานักเรียนให้เป็นไปตามความมุ่งหวังของ พระราชบัญญตั กิ ารศกึ ษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542 (ฉบับปรับปรุงพุทธศักราช 2545) ทเ่ี น้นผู้เรยี น เป็นสาคัญ จึงต้องอาศัยความรว่ มมอื จากผ้เู กยี่ วข้องทุกฝา่ ย โดยเฉพาะบุคลากรในสถานศกึ ษา ซ่ึงมี ครูทป่ี รึกษาเป็นหลักสาคญั ในการดาเนินการต่างๆ เพื่อการดูแลชว่ ยเหลือนักเรียนอย่างใกล้ชิดด้วย ความรัก และเมตตาท่ีมีต่อศิษย์ และภูมิใจในบทบาทท่ีมีส่วนสาคัญต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของ เยาวชนใหเ้ ตบิ โตงอกงาม เปน็ บคุ คลท่มี ีคุณค่าของสังคม การดาเนินงานเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของนักเรียนดังกล่าวมีหลากหลายรูปแบบ วิธีการ รปู แบบหนึ่งท่ีมีประสิทธิภาพและเป็นนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ คือ การจัดระบบการดูแล ชว่ ยเหลือนกั เรียนในสถานศกึ ษา ซง่ึ ระบบการดแู ลช่วยเหลอื นกั เรยี น เป็นกระบวนการดาเนนิ งานการ ดแู ลช่วยเหลือนักเรยี นอย่างมีขั้นตอน พร้อมด้วยวิธีการและเครอ่ื งมือการทางานทชี่ ัดเจน โดยมกี าร ประสานงานให้ความร่วมมืออย่างใกล้ชิดด้วยกันทุกฝ่าย ทั้งครู ผู้ปกครอง หรือบุคคลภายนอกท่ี เก่ียวข้องการดูแลช่วยเหลือ หมายรวมถึง การส่งเสริม การป้องกันและการช่วยเหลือแก้ไขปัญหา โดยมวี ธิ ีการ และเคร่ืองมือสาหรับครูท่ีปรกึ ษาและบคุ ลากรท่ีเกี่ยวข้องเพ่ือใช้ในการดาเนินงานพฒั นา นักเรยี นให้มคี ุณลกั ษณะทพ่ี ึงประสงค์และปลอดภยั จากสารเสพตดิ นอกจากนี้ สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน (2552, น. 3-7) ได้ให้ แนวความคิดเกี่ยวกับความสาคัญและความจาเป็นของระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนไว้ว่า เด็กและ เยาวชนยังมีพฤติกรรมเส่ียงต่อการเกิดปัญหาสังคม เช่น ติดการพนัน นิยมเสียงโชค การมั่วสุมใน หอพัก ไม่ชอบไปโรงเรียน หนีเรียน ทาร้ายรังแกกันเอง หมกมุ่นกับสื่อท่ีไม่สรา้ งสรรค์ นิยมบริโภค อาหารกรุบกรอบ อาหารที่ไม่เป็นผลดีต่อสขุ ภาพ เครียด ซึมเศร้า มองโลกในแงร่ า้ ย ไม่สนใจตอ่ ปญั หา สังคม อย่างไรก็ตามสาเหตุท่ีทาให้เด็กและเยาวชนมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เป็นผลมาจาก ปจั จยั เสี่ยงตา่ งๆ ดงั นี้ 1. ปจั จัยเสี่ยงต่อสภาพครอบครวั สภาพครอบครัวเปน็ สภาพที่มอี ิทธิพลตอ่ บคุ ลิกภาพและพฤตกิ รรมของเดก็ และเยาวชน พฤติกรรมที่เป็นปัญหาของเด็กและเยาวชนเป็นผลมาจากการเล้ียงดูด้วยวิธีการที่ไม่เหมาะสม สง่ เสรมิ ให้แสดงออกในทางทีไม่ถกู ต้อง ปลอ่ ยปละละเลย เรียนรู้การใช้ความรุนแรงจากสมาชิกในครอบครัว ครอบครัวแตกแยก ผู้ปกครองบีบบังคับ กดดัน และคาดหวังในตัวเด็กเกินกว่าความเป็นจริง ไม่มี บรรยากาศท่ีสร้างความรัก ความอบอุ่น ความสมัครสมาน สามัคคี เติบโตในท่ามกลางความสบั สน ไม่คาดหวัง ขาดการอบรมบ่มนสิ ัยและไมม่ ีจดุ หมายปลายทางในชวี ติ

400 2. ปัจจยั เสี่ยงจากสถานศกึ ษา สถานศึกษาเป็นบ้านหลังท่ีสองของเด็ก เป็นบอ่ เกิดของคณุ งามความดี โดยเฉพาะการ พัฒนาศักยภาพ ความรู้ ความสามารถของเด็กและเยาวชนให้เปน็ ทรพั ยากรมนษุ ยท์ ี่มีคุณคา่ ของสงั คม แตส่ ถานศึกษาจานวนไมน่ อ้ ยยงั ขาดความพรอ้ มท่ีจะทาให้เด็กและเยาวชนเปน็ คนท่ีสมบูรณต์ ามความ มุ่งหวังของสังคม จากการติดตามพบว่า สถานศึกษาขาดการดูแล เอาใจใส่นักเรียนอย่างจริงจัง ขาดการจดั การท่ีเหมาะสมต่อการพทิ ักษ์ ปกป้อง คุ้มครอง และให้การดูแลช่วยเหลือนักเรยี นได้อยา่ ง เท่าทันทั่วถงึ ถูกต้อง และเป็นธรรม จัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยไม่คานึงความแตกตา่ งระหว่างบคุ คล ให้ความสาคัญกฎระเบียบมากกว่าชีวิตของนักเรยี น พัฒนาผู้เรียนโดยไม่คานึงถึงองค์รวม ตลอดถึง การจัดการกับปัญหาของนักเรียนโดยขาดการมีส่วนร่วมและยังเลือกใช้ความรุนแรงในการแก้ไข พฤติกรรมนักเรียน 3. ปัจจยั เส่ียงจากชมุ ชนและสังคม ความล้มเหลวในชีวิตเด็กและเยาวชน เปน็ ความสูญเสียทางเศรษฐกิจ และต้นทุนทาง ความรู้สึกของผู้ปกครองอย่างประเมินค่าไม่ได้ สังคมไทยยังละเลยต่อการจัดระเบียบแบบแผนใน ชมุ ชน ชมุ ชนอ่อนแอขาดสัมพันธภาพท่ีดรี ะหว่างสมาชิกในสังคม ต่างคนต่างอยู่ เอาหูไปนา เอาตา ไปไร่ ปล่อยให้มีการแสวงหาผลประโยชน์จากเด็กและเยาวชน ยอมรับการเติบโตและขยายตัว ทางเศรษฐกิจที่ไม่สร้างสรรค์ ละเลยต่อปัญหาของเด็กและเยาวชน ไม่ให้ความสาคัญต่อท่าทีของ เด็กและเยาวชน มองเด็กและเยาวชนท่ีประสบปัญหาด้วยทัศนะและท่าทีท่ีตอกยา้ ซ้าเตมิ 4. ปจั จยั เส่ียงจากเพื่อน เพื่อนเป็นปจั จัยที่สาคญั ต่อชวี ติ เดก็ และเยาวชน เปน็ ธรรมชาติที่เดก็ และเยาวชนทกุ คน ต้องมี แต่เพื่อนก็เป็นดาบสองคมที่อาจทาให้เดก็ และเยาวชนจานวนไม่นอ้ ยก้าวพลาด เช่น เพ่ือนที่มี นสิ ัยเกเร เปน็ อันธพาล เสเพล สามะเลเทเมา การคบเพื่อนที่มีพฤติกรรมโน้มเอียงไปในทางก้าวร้าว เสียงภัย ม่ัวสุม เบี่ยงเบน หรือการได้รับแรงบีบคั่น กดดัน ข่มขู่ หรือการไม่ได้รับการยอมรับจาก กลุ่มเพื่อน ซ่ึงสภาพการดังกล่าวล้วนส่งผลตอ่ พฤตกิ รรมของเดก็ และเยาวชนท้ังสิ้น 5. ปัจจยั เสี่ยงต่อบุคลกิ ภาพหรอื ตวั นกั เรียน เด็กและเยาวชนแต่ละคนมีภาวะด้านพัฒนาการแตกต่างกัน มีบุคลิกภาพภายในและ ภายนอกตามสภาพความเป็นตัวตนท่ีมีลักษณะเฉพาะ เช่น มีข้อจากัดเก่ียวกับพัฒนาการทางสมอง และการรับรู้ มีความตระหนักในคณุ ค่าความสาคัญของตนเอง ขาดทักษะในการคิด บกพร่องทางการ เรียนรู้ ปฏิเสธค่านิยมหรือหลักศาสนาที่คนส่วนใหญ่นับถือ ไม่มีทักษะในการสื่อสาร ปฏิเสธไม่เป็น ควบคุมอารมณ์และความเครียดไม่ได้ รวมท้ังการมปี ญั หาทางดา้ นสุขภาพกายและสุขภาพจิต

401 สรปุ ไดว้ า่ ระบบการดแู ลช่วยเหลอื นกั เรียน มีความสาคญั และความจาเป็น คอื 1. นักเรียนได้รับการส่งเสรมิ และพฒั นาในด้านการเรียน ดา้ นสขุ ภาพ และดา้ นพฤตกิ รรม ใหม้ ีคณุ ภาพ 2. ครใู ชร้ ะบบดูแลชว่ ยเหลือนกั เรียนทาให้ทราบขอ้ มลู เก่ียวกับความสามารถทางการเรยี น ขอ้ มลู สขุ ภาพของนักเรยี น และขอ้ มูลเกี่ยวกับพฤติกรรมของนักเรียน 3. ผู้ปกครองมกี ารความรว่ มมอื กบั ทางสถานศกึ ษา หรือผเู้ กี่ยวขอ้ งในการดาเนนิ งานระบบ ดูแลช่วยเหลอื นักเรียน 4. ผูบ้ ริหารวางแผนในการจัดกิจกรรม หรือโครงการเพื่อสง่ เสริมพัฒนา ป้องกันและแกไ้ ข ปญั หานักเรียนได้อย่างเหมาะสม จดุ มงุ่ หมายของระบบการดแู ลช่วยเหลือนกั เรยี น กรมสุขภาพจิต (2544) ได้กาหนดจุดมุ่งหมายของระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนไว้ 2 ประการ ดังนี้ 1. เพื่อให้การดาเนินงานดแู ลชว่ ยเหลอื นักเรียนของสถานศกึ ษาเปน็ ไปอย่างมีระบบและมี ประสทิ ธิภาพ 2. เพ่ือให้สถานศึกษา ผู้ปกครอง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหรือชุมชน มีการทางานร่วมกัน โดยผ่านกระบวนการทางานท่ีมีระบบชัดเจน พร้อมด้วยเอกสารหลักฐานการปฏิบัติงาน สามารถ ตรวจสอบหรอื รบั การประเมินได้ รวมทัง้ สานักงานคณะกรรมการคณะกรรมการศึกษาขั้นพื้นฐาน (2547, น. 4) ได้กาหนด วัตถุประสงค์ของระบบการดแู ลช่วยเหลอื นักเรยี นไว้ดงั น้ี 1. ให้นักเรียนมีระบบดูแลช่วยหลือนักเรยี นโดยมีกระบวนการ วิธกี าร และเคร่ืองมือที่มี คณุ ภาพและมีมาตรฐานสามารถตรวจสอบได้ 2. เพ่ือส่งเสริมให้ครูประจาชั้น/ครูท่ีปรึกษา บุคลากรในสถานศึกษา ผู้ปกครอง ชุมชน หนว่ ยงาน และองคก์ รภายนอกมสี ่วนรว่ มในการดูแลชว่ ยเหลอื นักเรียน 3. เพ่ือให้นักเรียนได้รับการดูแลช่วยหลือและส่งเสริมพัฒนาเต็มตามศักยภาพ เป็นคนที่ สมบรูณท์ ัง้ ด้านรง่ กาย อารมณ์ สงั คม และสตปิ ัญญา สรปุ ได้วา่ วตั ถปุ ระสงค์ของระบบการดูแลชว่ ยเหลือนกั รียน หมายถึง การดาเนนิ การระบบ ดูแลชว่ ยเหลอื นักเรยี น โดยมบี ุคลากรท่ีเกย่ี วขอ้ งเข้ามาวางแผนการดาเนนิ งาน ข้นั ตอนอย่างมีระบบ สามารถบรรลวุ ัตถุประสงคไ์ ด้ตรงตามเปา้ หมายท่ีกาหนดไว้

402 หลกั การของระบบการดูแลชว่ ยเหลอื นกั เรยี น กรมสุขภาพจิต (2546ข, น. 3) กล่าวถึงหลักการในการดาเนินงานของระบบการดูแล ชว่ ยเหลือนักเรียน ดังน้ี 1. มนษุ ยท์ ุกคนมีศกั ยภาพที่จะเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ตลอดชีวิต เพียงแต่ใชเ้ วลาและ วิธกี ารที่แตกตา่ งกัน เน่อื งจากแต่ละคนมีความเป็นปัจเจกบุคคล ดังน้ัน การยึดนักเรียนเปน็ สาคัญใน การพฒั นาเพื่อดแู ลช่วยเหลือทง้ั ด้านการปอ้ งกนั แก้ไขปญั หา หรือการส่งเสริม จึงจาเป็นอย่างยงิ่ 2. ความสาเรจ็ ของงาน ต้องอาศัยการมีส่วนรว่ ม ทง้ั การร่วมใจ ร่วมคดิ รว่ มทาของทกุ คนท่ี มีสว่ นเกี่ยวขอ้ ง ไม่วา่ จะเปน็ บคุ ลากรสถานศกึ ษาในทุกระดบั ผู้ปกครอง หรอื ชมุ ชน รวมท้ัง พิชญ์มณฑน์ ลกี าเนิดไทย (2544, น. 45-40) ไดก้ ล่าวถึง หลักการของระบบการ ดแู ลช่วยเหลอื นักเรียนไว้วา่ ในการจัดทาระบบการดูแลชว่ ยเหลือนักเรียนควรนาแนวคดิ การบริหาร เชิงระบบ ซึ่งประกอบด้วยโครงสร้างสาคัญ 3 ประการคือ ปัจจัยนาเข้า กระบวนการ และผลผลิต เป็ น แ น วท าง ใน ก าร จัด ท าร ะบ บ ก าร ดู แ ล ช่ วย ห ลื อ นั ก เรีย น แ ล ะ ติ ด ตาม ป ร ะ เมิ น ผ ล ร ะ ห ว่า ง การดาเนินงาน จัดประชุมเพื่อนิเทศ ติดตาม ประเมินผลอย่างต่อเนื่องเป็นระยะ ตามแนวคิดการ ประเมินแบบซิปโมเดล (Zipp Mode) นอกจากนี้ยังได้นาหลักการแนะแนวและหลักจิตวิทยาตาม แนวทางทฤษฎมี นุษยนิยมทตี่ ระหนกั ถึงคณุ ค่าของความเปน็ มนุษยแ์ ละเช่อื ว่าทุกคนตอ้ งการเป็นคนดี และพัฒนาตนให้สงู ขึน้ เปน็ แนวทางการจัดกระบวนการดูแลช่วยเหลือนักเรียน ดังน้ันองคป์ ระกอบ หลกั ทสี่ าคญั ของระบบการดูแลนกั เรียนมี 3 องค์ประกอบ คอื ปัจจัย กระบวนการ และผลผลิต ในการดาเนินงานระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนมีกระบวนการดาเนินงานที่เป็นระบบ และมีขั้นตอน โดยมีการประสานงานหรือรับการสนับสนุนจากผู้บริหารและครูที่เกี่ยวข้อง รวมทงั้ ผู้ปกครองทั้ งนีเ้ พอ่ื เปน็ การดาเนินงานรว่ มมือกนั แก้ไขปญั หาตา่ งๆ ของนกั เรียนทเ่ี ร่มิ ทวีความ รนุ แรงข้ึนเรื่อยๆ ไมว่ า่ จะเปน็ ปญั หาเร่อื งการเรยี น ครอบครวั สังคม พฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ ปญั หา ยาเสพติด และปัญหาอ่ืนๆ อีกมากมาย การที่จะแก้ปัญหาต่างๆ เหล่าน้ีไดจ้ ึงจาเป็นต้องดาเนนิ งาน ตามวธิ กี ารและองค์ประกอบของกระบวนการดูแลช่วยเหลือนักเรยี น ซึ่งต้องปฏิบตั ิตอ่ เนือ่ งเปน็ เวลา 1 ปีการศึกษามีการดาเนินงานโดยหลักการบริหารเชิงระบบ เพื่อให้การดาเนินงานระบบการดูแล ช่ วย เ ห ลื อ นั ก เรี ย น ป ร ะ ส บ ผ ล ส า เร็ จ แ ล ะ ส อ ด ค ล้ อ ง กั บ ก า ร ป ร ะ กั น คุ ณ ภ า พ ก าร ศึ ก ษ า ต า ม พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 น้ัน สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน (2547, น. 9-12) ได้กาหนดกลยุทธ์การดาเนินงาน โดยมีหลักการดงั นี้

403 1. การบริหารเชิงระบบ การดาเนินการช่วยเหลอื นักเรียนในสถานศึกษา สังกัดสานักคณะกรรมการการศึกษา ขน้ั พ้ืนฐานน้นั เป็นการบริหารคณุ ภาพเชงิ ระบบตามแนวคดิ ของเดมมง่ิ (PDCA) โดยมขี ั้นตอนในการ ดาเนินการดังตอ่ ไปนี้ 1.1 การวางแผน (Planning) เป็นการวางระบบซึ่งเปน็ องคป์ ระกอบแรกท่ีสาคัญที่สุด จะต้องกาหนดขั้นตอนการทางานเป็นกระบวนการ แต่ละขั้นตอนมีวิธีการปฏบิ ัติเป็นมาตรฐานและ การบนั ทึกการทางานเป็นปจั จบุ ัน ขอ้ มูลจากบันทึกนี้จะนาไปสูก่ ารตรวจสอบประเมินตนเองและให้ ผอู้ ื่นตรวจสอบได้ และเป็นสารสนเทศที่สะท้อนใหเ้ ห็นคุณภาพตามมาตรฐานและตัวช้ีวัดของระบบ ย่อยที่ส่งผลถงึ คุณภาพของสถานศกึ ษาท้ังระบบ 1.2 การดาเนินงาน (Doing) เป็นการปฏิบัติร่วมกันของทุกคนโดยใช้กระบวนการ วิธกี าร และบันทึก บุคคลภายในองค์กรที่รบั ผดิ ชอบในระบบย่อยต่างๆ จะปฏบิ ัตแิ ละบันทกึ ตอ่ เนอ่ื ง และเปน็ ปจั จุบนั 1.3 การตรวจสอบและประเมินผล (Checking) เป็นการประเมินตนเองโดยร่วมกัน ประเมนิ หรือผลัดเปล่ยี นกันประเมนิ ภายใน ระหวา่ งบุคคล ระหวา่ งทีมย่อยในสถานศกึ ษา 1.4 การปรับปรงุ พฒั นา (Action) เป็นการนาผลการประเมินมาแกไ้ ข พฒั นาซึง่ อาจจะ แก้ไขพัฒนาในส่วนท่ีเป็นกระบวนการ วิธีการ ปัจจัย หรือการบันทึกให้ดีข้ึนจนระบบคุณภาพหรือ วงจรคุณภาพเป็นวัฒนธรรมการทางานขององค์กรอย่างย่งั ยืน 2. การทางานเป็นทมี การทางานในระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนในสถานศึกษาน้ัน การดาเนินงานต้องมี การกระทาเป็นทมี จะทาตามลาพังไม่ได้ ดังนน้ั จึงแบง่ ทมี ดาเนนิ การดังน้ี 2.1 ทีมนา ได้แก่ คณะผู้บริหารสถานศึกษาและคณะกรรมการสถานศึกษาซึ่งจะเป็น ผวู้ เิ คราะห์จดุ อ่อนจุดแข็ง จดั ทาแผนกลยทุ ธค์ วบคมุ กากบั ติดตาม และสนบั สนนุ เสริมสรา้ งพลังร่วม เพอ่ื ให้การดาเนนิ งานเป็นไปอย่างมีประสทิ ธิภาพ 2.2 ทมี สนับสนุน เป็นทีมหลักในการสนับสนุนด้านวิชาการและอื่นๆ ให้เกิดการสร้าง ระบบคุณภาพขึ้น ทมี สนับสนุนจะเปน็ ใครข้นึ กับการพัฒนาระบบว่ามจี ดุ เน้นทรี่ ะบบใด เช่น ทีมระบบ การดแู ลชว่ ยเหลอื นกั เรยี น หวั หน้าทีม คอื รองผูบ้ รหิ ารสถานศึกษาที่ได้รับมอบหมาย 2.3 ทีมทา เปน็ ทมี ท่ีสมาชกิ รบั ผิดชอบการทางานโดยตรง เชน่ ระบบการดูแลชว่ ยเหลือ นักเรียน คือทีมระดับชั้น ครูประจาช้ัน ครูท่ีปรึกษา มีบทบาทหน้าที่ในการพัฒนาคุณภาพกิจกรรม ต่างๆ ให้มคี ณุ ภาพ

404 3. การแลกเปลีย่ นเรยี นรู้ การแลกเปลย่ี นเรียนรู้จะทาใหไ้ ดร้ ับทราบจุดออ่ นในการดาเนนิ งานของตน เพอ่ื ให้เกิด แนวทางท่จี ะพัฒนาใหม้ ีคณุ ภาพสงู ข้ึน การแลกเปลย่ี นเรยี นรทู้ าไดท้ งั้ ภายในสถานศึกษาและระหวา่ ง สถานศึกษา โดยมีบรรยากาศการทางานที่เป็นกันเอง ไม่ใช่การสั่งการหรือบังคับบัญชา ทาให้ ผูป้ ฏบิ ตั งิ านในแต่ละสว่ นเกิดความรสู้ ึกที่ดี ไมต่ อ้ งกังวลเรือ่ งการตรวจสอบจากผู้บงั คับบัญชา 4. การนิเทศ ติดตาม และประเมนิ ผล การนิเทศ ติดตาม และประเมินผล เป็นกระบวนการสาคัญในการพัฒนางาน ช่วยสง่ เสริมสนับสนุนและให้ข้อมูลย้อนกลับที่จะนาไปใช้ปรับปรงุ งานต่อไป สาหรับการดาเนนิ งาน ระบบการช่วยเหลือนักเรียนให้บรรลุเป้าหมายอย่างมีคณุ ภาพ ควรดาเนินการในระบบตามแผนภูมิ ดงั น้ี ขนั้ ตอน แนวปฏบิ ัติ 1. การวางแผน (P) 1. แตง่ ตัง้ คณะกรรมการ 2. กาหนดวัตถุประสงค์ เป้าหมาย ตัวช้ีวดั 2. การดาเนนิ งาน (D) 3. การตรวจสอบ (C) ความสาเรจ็ เครือ่ งมอื วธิ ีการ 4. การปรบั ปรงุ และพฒั นางาน (A) 3. กาหนดแผนงาน/ปฏิทิน ดาเนินการตามแผนทกี่ าหนดไว้ดว้ ยวิธีการ หลากหลายตามสภาพจรงิ 1. ตรวจสอบตดิ ตาม 2. ประเมินวเิ คราะห์ นาผลการประเมินมาปรบั ปรงุ และดาเนินการ ตามแผนใหมอ่ ยา่ งตอ่ เนอื่ ง ภาพที่ 8.1 แผนภมู ขิ น้ั ตอนการนิเทศ ตดิ ตาม และประเมินผล ทมี่ า : สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาขน้ั พื้นฐาน (2547, น. 12)

405 นอกจากน้ี กระบวนการบริหารจัดการระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนให้เป็นระบบ ควรมี ยุทธศาสตรใ์ นการดาเนินงานดังนี้ 1. กาหนดทิศทางและกลยุทธ์ มีการวิเคราะหป์ ัญหาและความต้องการของผู้เรียน ชุมชน สังคม และผู้ท่ีเกี่ยวขอ้ ง ศึกษานโยบายมาตรฐานต้นสังกัดและหน่วยงานที่เกย่ี วข้อง ศกึ ษาศักยภาพ ของสถานศกึ ษา และกาหนดเป็นแผนกลยุทธ์ของสถานศึกษาเพื่อให้การพัฒนาตรงตอ่ ความต้องการ ของผเู้ รียน ชมุ ชน สังคม และผูท้ ี่เก่ียวขอ้ ง อย่างแทจ้ รงิ 2. กาหนดมาตรฐานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนให้สอดคล้องเช่ือมโยงกับระบบต่างๆ ท่ีเก่ียวข้อง เพ่ือเป็นการร้อยรัดผูกมัดการดาเนินงานในสถานศึกษาให้เป็นหน่ึงเดียวกบั กระบวนการ ทางานตา่ งๆ ไม่ให้บคุ ลากรครรู ู้สึกว่ามีภาระงานที่เพ่ิมมากขึน้ จนแบกรับภาระไมไ่ หว ใหก้ ารทางาน ระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนเป็นไปด้วยความสุข ท้ังผู้ปฏิบัติและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย โดยอาจ เชอ่ื มโยงในการดาเนินงานระบบการแนะแนว ระบบป้องกันสารเสพติด ระบบกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ระบบความปลอดภัยของสภาพสงิ่ แวดลอ้ ม และการค้มุ ครองสทิ ธิเดก็ และเยาวชน 3. พจิ ารณามาตรฐานและตัวชี้วัดโดยผูเ้ กี่ยวข้อง เพ่ือให้เกิดการยอมรับการวางมาตรการ และแนวปฏิบัติให้การปฏิบัติงานเป็นไปในทิศทางเดียวกันท้ังระบบ เช่น มีการทบทวนให้ความรู้แก่ บุคลากรครู และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนเพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจที่ ตรงกนั ในการปฏิบตั ิงาน มีการคัดกรองและช่วยเหลือผู้ประสบปัญหา วางแนวทางการค้มุ ครองสิทธิ เดก็ และเยาวชน มมี าตรการช่วยเหลอื นกั เรียน เปน็ ต้น 4. วางแผนการดาเนินงาน โดยการกาหนดเป้าหมายและลาดับความสาคัญ กาหนด มาตรฐานการปฏบิ ตั งิ าน กาหนดกิจกรรม/โครงการ และมอบหมายหนา้ ทีก่ ารดาเนนิ งานตามแผนงาน ทีไ่ ดก้ าหนดไว้ 5. ดาเนินงานตามแผน โดยเร่ิมตั้งแต่ การรู้จักผู้เรียนเป็นรายบุคคล การคัดกรอง การ ส่งเสรมิ พัฒนา การปอ้ งกัน แกไ้ ข ช่วยเหลือ และการส่งต่อนักเรียนในรายท่ีมีปัญหารา้ ยแรง 6. นิเทศ กากบั ติดตาม งานทมี่ อบหมาย กาหนดให้มกี ารประสานสมั พันธ์กับผู้เก่ียวข้อง เสริมสรา้ งขวญั และกาลงั ใจใหแ้ กผ่ ูเ้ รยี นและผู้ปฏบิ ตั งิ าน มกี ารพฒั นาบุคลากรให้ความรู้อยา่ งตอ่ เนือ่ ง 7. ประเมินผลและสรุปเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ โดยการแต่งต้ังคณะกรรมการประเมิน วางแผนการประเมิน ประเมินตามมาตรฐานและแผนการประเมิน จัดทารายงานและเผยแพร่ ประชาสมั พนั ธใ์ ห้เกดิ ขวญั และกาลงั ใจในการปฏบิ ตั งิ านระบบดูแลชว่ ยเหลือนกั เรียน

406 กฎหมายท่เี กย่ี วขอ้ งกบั ระบบการดแู ลช่วยเหลือนักเรยี น กฎหมายทเี่ ก่ียวข้องกับระบบการดูแลชว่ ยเหลอื นกั เรยี น มดี งั นี้ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แก้ไขเพ่ิมเติม (ฉบับท่ี 2) พ.ศ. 2545 และ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2553 หมวด 1 มาตรา 6 การจัดการศกึ ษาต้องเป็นไปเพ่ือพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ท่ีสมบูรณ์ ทั้งร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้ และคุณธรรม มีจริยธรรมและวัฒนธรรมในการดา รงชีวิต สามารถอยู่ร่วมกับผอู้ น่ื ไดอ้ ย่างมีความสุข หมวด 4 มาตรา 22 การจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่า ผู้เรยี นทุกคนมคี วามสามารถเรียนรู้ และพัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนมีความสาคัญที่สุด กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ ผเู้ รยี นสามารถพฒั นาตามธรรมชาตแิ ละเต็มตามศักยภาพ มาตรา 26 ให้สถานศึกษาจัดการประเมินผู้เรียน โดยพิจารณาจากพัฒนาการของผู้เรียน ความประพฤติ การสังเกต พฤติกรรมการเรียน การร่วมกิจกรรม และการทดสอบควบคู่ไปกับ กระบวนการเรยี นการสอนตามความเหมาะสมของแตล่ ะระดับและรปู แบบการศึกษา พระราชบญั ญัตคิ มุ้ ครองเดก็ พ.ศ. 2546 มเี จตนาใหร้ ฐั มหี นา้ ทใี่ นการดูแลชว่ ยเหลือเด็กและครอบครัวใหอ้ ยู่ในสภาพท่ีมมี าตรฐานใน การดารงชีวิตที่ดี ได้รับการดูแลให้มีพัฒนาการตามวัย และเด็กทุกคนต้องมีหลักประกันความ ปลอดภัย ได้รับความคุ้มครองจากผู้เก่ียวข้อง ท้ังเด็กท่ีประสบปัญหาและเด็กท่ีไม่ประสบปัญหา ซึง่ ระบไุ ว้ ดงั น้ี หมวด 2 มาตรา 22 การปฏิบัติต่อเด็กไม่ว่ากรณีใดให้คานึงถึงประโยชน์สูงสุดของเด็ก เปน็ สาคญั และไมใ่ ห้มีการเลอื กปฏิบัติโดยไม่เปน็ ธรรม พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 แก้ไข เพิ่มเตมิ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 และ (ฉบับท่ี 3) พ.ศ. 2553 ตามมาตรา 42 กาหนดให้ ก.ค.ศ. กาหนดมาตรฐานตาแหน่งครู สายงานการสอน การปฏิบัติหน้าที่หลักเก่ียวกับการจัดการเรียนการสอน การส่งเสริมการเรียนรู้ พัฒนาผู้เรียน ปฏิบัติงานทางวิชาการ ของสถานศึกษา พัฒนาตนเอง และพฒั นาวิชาชพี โดยกาหนดให้ลักษณะงาน เกย่ี วกบั การจัดระบบการดแู ลช่วยเหลอื นกั เรียนเป็นภาระงานหนึง่ ในมาตรฐานตาแหน่งครู

407 พระราชบญั ญัติการปอ้ งกันและแกไ้ ขปัญหาการตงั้ ครรภใ์ นวยั รุ่น พ.ศ. 2559 การตัง้ ครรภใ์ นวยั ร่นุ ของประเทศมจี านวนเพมิ่ ขึน้ อยา่ งต่อเน่อื ง ซึ่งส่งผลกระทบตอ่ สุขภาพ ของบุคคล ครอบครัว ชุมชน สังคม และเศรษฐกิจในภาพรวมและปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นของ ประเทศ มีความซับซ้อนและไมอ่ าจแก้ไขได้ด้วยอานาจหน้าที่ของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง ดังน้ัน สมควรสร้างกลไกในการกาหนดนโยบาย ยุทธศาสตร์ และการดาเนินการร่วมกันของหน่วยงานที่ เกี่ยวข้องทงั้ หน่วยงานของรัฐ หน่วยงานของเอกชน และประชาสังคม เพือ่ บูรณาการให้การป้องกัน และแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น เป็นรูปธรรม มีความเป็นเอกภาพ และมีประสิทธิภาพย่ิงขึ้น โดยมีมาตราที่เกยี่ วขอ้ งกบั สถานศกึ ษา ซ่ึงระบไุ ว้ดังนี้ มาตรา 6 ให้สถานศึกษาดาเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาการต้ังครรภ์ในวัยรุ่น ดงั ต่อไปนี้ 1. จัดให้มีการเรียนการสอนเร่ืองเพศวิถีศึกษาให้เหมาะสมกับช่วงวัยของนักเรียนหรือ นักศึกษา 2. จัดหาและพัฒนาผู้สอนใหส้ ามารถสอนเพศวถิ ศี กึ ษาและให้คาปรกึ ษาในเรอ่ื งการปอ้ งกนั และแกไ้ ขปัญหาการตัง้ ครรภ์ในวัยรุ่นแก่นักเรียนหรอื นกั ศกึ ษา 3. จดั ให้มีระบบการดูแล ช่วยเหลือ และคมุ้ ครองนักเรียนหรอื นักศึกษาซ่งึ ตง้ั ครรภ์ให้ไดร้ บั การศึกษาด้วยรูปแบบทเ่ี หมาะสมและตอ่ เน่อื ง รวมทัง้ จัดให้มรี ะบบการส่งต่อใหไ้ ดร้ บั บริการอนามัย การเจรญิ พันธุ์และการจัดสวสั ดิการสงั คมอย่างเหมาะสม การกาหนดประเภทของสถานศึกษาและการดาเนินการของสถานศึกษาแต่ละประเภท ให้เปน็ ไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเง่อื นไขทก่ี าหนดในกฎกระทรวง กระบวนการและข้ันตอนของระบบการดูแลชว่ ยเหลอื นกั เรยี น สานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพนื้ ฐาน (2547, น. 37) กล่าวว่า การดแู ลชว่ ยเหลือ นกั เรียนหมายรวมถึง การส่งเสริม การป้องกันและการแกไ้ ขปัญหา โดยมวี ธิ ีการและเครือ่ งมอื สาหรับ ครูท่ีปรึกษาและบุคลากรที่เก่ียวข้อง เพื่อใช้ในการดาเนินงานพัฒนานักเรียนให้มีคุณลักษณะ ที่พึงประสงค์และปลอดภัยจากสารเสพติด ระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน เป็นระบบการดาเนินงาน ดแู ลนักเรียนอย่างมีขั้นตอน พร้อมด้วยวิธกี าร และเคร่ืองมือการทางานท่ีชดั เจน โดยมีครูท่ีปรึกษา เป็นบุคลากรหลักในการดาเนินการดังกล่าว และมีการประสานความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับ ครทู ีเ่ กีย่ วข้องหรอื บคุ ลากรภายนอก รวมท้งั การสนบั สนนุ ส่งเสริมจากสถานศึกษา โดยการดาเนินการ ตามกระบวนการและขนั้ ตอนของระบบดแู ลช่วยเหลอื นกั เรียน มีองคป์ ระกอบ 5 ประการ คอื

408 1. การรู้จักนกั เรยี นเปน็ รายบคุ คล 2. การคดั กรองนกั เรยี น 3. การส่งเสริมและพฒั นานกั เรยี น 4. การปอ้ งกันและแกไ้ ขปญั หานกั เรยี น 5. การสง่ ตอ่ นโยบาย/กฎหมาย กาหนดทิศทาง/กลยทุ ธ์ - วเิ คราะห์สภาพปญั หา ทเ่ี ก่ียวขอ้ ง - ศกั ยภาพของสถานศึกษา - บริบทชมุ ชน การวางระบบและ คณะกรรมการดาเนนิ งาน แผนการดาเนินงาน - ทมี นา - ทีมประสาน/สนบั สนุน - ทมี ทา ข้นั ตอนการดาเนินงาน 1. การรู้จักนกั เรียนเปน็ รายบุคคล 2. การคัดกรองนกั เรียน 3. การสง่ เสริมและพฒั นานกั เรยี น 4. การป้องกนั และแก้ไขปญั หานกั เรยี น 5. การสง่ ต่อ นิเทศ กากบั ตดิ ตามและประเมินผล ปรับปรงุ /พฒั นาเปน็ นวัตกรรม การดแู ลชว่ ยเหลอื นกั เรียนของสถานศกึ ษา ภาพท่ี 8.2 แผนภูมิการบรหิ ารจดั การระบบการดูแลช่วยเหลือนกั เรียนในสถานศึกษา ท่มี า : สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพืน้ ฐาน (2547, น. 37)

409 คณะกรรมการอานวยการ (ทีมนา) คณะกรรมการประสานงาน (ทมี ประสาน) คณะกรรมการดาเนนิ งาน (ทมี ทา) ดาเนินงาน (ครูทปี่ รกึ ษา) 1. การรจู้ กั นกั เรยี นเป็นรายบุคคล 2. การคัดกรองนักเรียน กลุม่ พเิ ศษ กลมุ่ ปกติ กลมุ่ เสี่ยง กลุ่มมปี ัญหา (กลมุ่ ช่วยเหลอื ) 3. การสง่ เสรมิ และพฒั นา ได้ 4. การปอ้ งกนั ไม่ได้ 4. การชว่ ยเหลอื ได้ ได้ ไม่ได้ ครแู นะแนว/ผู้ปกครองให้ความช่วยเหลอื ผู้เรียนได้รับการพฒั นาให้ ไม่ได้ เป็นคนดี มีปญั ญา มสี ขุ ภาพ 5. การส่งตอ่ ผเู้ ชยี่ วชาญ และดารงความเป็นไทย ได้ ภาพท่ี 8.3 แผนภมู ิแสดงกระบวนการและขน้ั ตอนของระบบการดูแลช่วยเหลอื ผเู้ รยี น ท่มี า : สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขนั้ พน้ื ฐาน (2547, น. 38)

410 แต่ละองค์ประกอบของระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนดังกล่าว มีความสาคัญ มีวิธกี าร และเคร่อื งมือท่ีแตกต่างกันไป แต่มีความสัมพันธ์เก่ียวเน่ืองกันซึ่งเอ้ือให้การดูแลช่วยเหลือนักเรียน ในสถานศึกษาเปน็ ระบบท่มี ปี ระสิทธิภาพ ดังมรี ายละเอยี ดตอ่ ไปน้ี 1. การรู้จักนักเรยี นเป็นรายบุคคล 1.1 ความหมายของการรจู้ กั นกั เรียนเป็นรายบุคคล การร้จู ักนักเรียนเป็นรายบุคคล หมายถึง การศกึ ษาและรวบรวมข้อมลู พ้ืนฐานที่ จาเป็นเกี่ยวกับตัวนักเรียน เพื่อให้ได้ข้อมูลที่แท้จริงเก่ียวกับตัวนักเรียน โดยใช้วธิ ีการและเครอื่ งมือ ที่หลากหลายเพ่ือให้ไดข้ ้อมูลทแี่ ท้จริง เชน่ ระเบียนสะสม อนั จะนาไปส่กู ารส่งเสริม การป้องกันและ แกไ้ ขปญั หานักเรียนได้อยา่ งถกู ตอ้ งเหมาะสมตอ่ ไป 1.2 ความสาคญั ของการรจู้ ักนักเรยี นเปน็ รายบุคคล ด้วยความแตกต่างของนักเรียนแต่ละคนที่มีพ้ื นฐานความ เป็นมาของชีวิ ตที่ไม่ เหมอื นกนั หล่อหลอมใหเ้ กดิ พฤตกิ รรมหลากหลายรปู แบบ ทัง้ ดา้ นบวกและด้านลบ ดังนัน้ การร้ขู อ้ มูล ที่จาเป็นเก่ียวกับตัวนักเรียนจึงมีความสาคัญ ที่จะช่วยให้ครูที่ปรึกษามีความเข้าใจนักเรียนมากขึ้น สามารถนาข้อมูลมาวิเคราะห์เพ่ือการคัดกรองนกั เรยี น เป็นประโยชน์ในการสง่ เสริมการปอ้ งกนั และ การแก้ปัญหาของนักเรียนไดอ้ ย่างถูกทาง ซ่ึงเป็นข้อมูลเชงิ ประจักษ์ท่ีได้จากเคร่ืองมือและวิธีการท่ี หลากหลายตามหลกั วิชาการ มิใชก่ ารใช้ความรูส้ ึก หรอื การคาดเดา โดยเฉพาะการแก้ปญั หานกั เรยี น ซ่ึงจะทาใหไ้ มเ่ กดิ ขอ้ ผิดพลาดต่อการชว่ ยเหลือนักเรยี นหรือเกดิ ไดน้ ้อยทส่ี ุด 1.3 ขอ้ มูลพ้นื ฐานนกั เรยี น ครทู ่ีปรกึ ษาควรมีข้อมลู เก่ยี วกบั นักเรียนอยา่ งนอ้ ย 3 ด้านใหญ่ๆ คือ 1.3.1 ด้านความสามารถ แยกเป็น 1) ด้านการเรียน 2) ดา้ นความสามารถอื่นๆ 1.3.2 ด้านสขุ ภาพ แยกเปน็ 1) ดา้ นร่างกาย 2) ด้านจติ ใจ - พฤติกรรม 1.3.3 ดา้ นครอบครัว แยกเปน็ 1) ด้านเศรษฐกิจ 2) ด้านการคุม้ ครองนกั เรยี น 1.3.4 ด้านอื่นๆ ท่ีครูพบเพ่ิมเติมซึ่งมีความสาคัญหรือเกี่ยวข้องกับการดูแล ชว่ ยเหลือนกั เรียน

411 1.4 วิธกี ารและเคร่ืองมือในการรจู้ กั นกั เรียนเป็นรายบคุ คล ครูท่ีปรึกษาควรใช้วิธีการและเครื่องมือท่ีหลากหลาย เพ่ือให้ได้ข้อมูลนักเรียนท่ี ครอบคลุมท้ังด้านความสามารถ ด้านสุขภาพ และด้านครอบครัว ที่สาคัญ คือ ระเบียนสะสม แบบประเมินพฤติกรรมเด็ก (The Strength and Difficulties Questionnaire: SDQ) วิธีการและ เครือ่ งมืออื่นๆ เช่น การสมั ภาษณน์ กั เรยี น การศกึ ษาจากแฟ้มสะสมผลงาน การเย่ียมบ้าน การศกึ ษา ข้อมูลจากแบบบันทกึ การตรวจสขุ ภาพด้วยตนเองซ่ึงจัดทาโดยกรมอนามยั เปน็ ต้น 1.4.1 ระเบียนสะสม ระเบียนสะสม เป็นเครื่องมือในรูปแบบของเอกสารเพ่ือการเก็บรวบรวม ขอ้ มูลที่เกี่ยวกับตัวนกั เรียน โดยนกั เรยี นเป็นผกู้ รอกขอ้ มูล และครูทีป่ รึกษานาข้อมูลเหลา่ นน้ั มาศึกษา พจิ ารณาทาความรู้จักนักเรียนเบื้องต้น หากข้อมูลไม่เพียงพอ หรอื มีข้อสงสัยบางประการ ก็ควรหา ข้อมูลเพ่ิมเติมด้วยวิธีการต่างๆ เช่น การสอบถามจากนักเรียนโดยตรง สอบถามจากครูอื่นๆ หรือ เพื่อนๆ ของนักเรียน เป็นต้น รวมท้ังการใช้เครื่องมือทดสอบต่างๆ หากครูท่ีปรึกษาดาเนินการได้ รปู แบบและรายละเอียดในระเบยี นสะสมของแตล่ ะสถานศึกษา มคี วามแตกตา่ งกนั ได้ขนึ้ อย่กู ับความ ต้องการของแต่ละสถานศึกษา แต่อย่างนอ้ ยควรครอบคลุมข้อมูลทั้งด้านการเรยี น ด้านสุขภาพและ ด้านครอบครวั ระเบียนสะสม เป็นข้อมลู ส่วนตัวนกั เรียน จงึ ตอ้ งเป็นความลบั และเกบ็ ไวอ้ ยา่ งดีมใิ ห้ผทู้ ่ี ไม่เกี่ยวข้องหรือเด็กอื่นๆ มารื้อค้นได้ หากเป็นไปได้ควรเก็บไว้กับครูที่ปรึกษาและมีตู้เก็บระเบียน สะสมใหเ้ รยี บร้อย ควรเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลอยา่ งต่อเนื่อง อยา่ งน้อย 3 ปีการศึกษา หรอื 6 ปกี ารศกึ ษา และส่งต่อระเบียนไปยังครูท่ีปรึกษาคนใหม่ในปีการศึกษาต่อไป หรืออาจจัดครูท่ีปรึกษาตามดูแล นกั เรยี นอยา่ งต่อเน่ือง จนจบมธั ยมศกึ ษาในแตล่ ะตอนหรอื จนจบ 6 ปีการศกึ ษากไ็ ด้ 1.4.2 แบบประเมนิ พฤติกรรมเด็ก (SDQ) แบบประเมินพฤติกรรมเด็ก (สถานศึกษาอาจนาเคร่ืองมืออ่ืนมาใช้แทนก็ ได้) มิไดเ้ ป็นแบบวัดหรือแบบทดสอบ แต่เป็นเครื่องมือสาหรับการคัดกรองนักเรยี นด้านพฤติกรรม การปรับตวั ที่มีผลเก่ียวเนือ่ งกับสภาพจิตใจ ซ่งึ จะชว่ ยใหค้ รูท่ปี รึกษามแี นวทางการพิจารณานักเรยี น ด้านสุขภาพจิตมากขึ้น แบบประเมินพฤติกรรมเด็ก เป็นเคร่ืองมือท่ีกรมสุขภาพเป็นผู้จัดทาข้ึน โดยพฒั นาจาก The Strength and Difficulties Questionnaire (SDQ) ประเทศเยอรมนี ซึ่งใช้กัน โดยแพร่หลายในประเทศแถบยุโรป เพราะมีความเชื่อมั่นและความเท่ียงตรง จานวนข้อไม่มากนัก คณะผูจ้ ัดทาของกรมสุขภาพจิต โดยแพทย์หญงิ พรรณพิมล หลอ่ ตระกูล เป็นหัวหนา้ คณะได้ทาการ วิจัยเพ่ือวิเคราะห์ค่าความเชื่อม่ันและความเท่ียงตรงของแบบประเมิน และหาค่าเกณฑ์มาตรฐาน (Norm) ของเด็กไทย แบบประเมินพฤติกรรมเด็กมี 3 ชุด คือ 1) ชุดท่ีครูเป็นผปู้ ระเมินเด็ก 2) ชุดท่ี พอ่ แม่ ผู้ปกครอง เป็นผู้ประเมนิ เด็ก และ 3) ชุดที่เดก็ ประเมินตนเอง ทั้ง 3 ชุด มเี น้ือหาและจานวน ข้อ 25 ข้อ เท่ากัน ทางสถานศึกษาอาจเลือกใช้ชุดที่นักเรยี นประเมินตนเองชดุ เดียว หรอื ใช้ควบคกู่ ับ

412 ชดุ ที่ครูเป็นผปู้ ระเมินเพื่อความแมน่ ยาข้ึน โดยระยะเวลาที่ประเมินไม่ควรห่างจากนักเรยี นประเมิน ตนเองเกิน 1 เดือน ซ่ึงหากเป็นไปได้ควรใช้แบบประเมินท้ัง 3 ชุด พร้อมกัน เพ่ือตรวจสอบความ ถูกต้องของผลที่ออกมา 1.4.3 วิธีการและเคร่ืองมอื อ่ืนๆ ในกรณที ีข่ ้อมูลของนกั เรยี นจากระเบยี นสะสมและแบบประเมินพฤติกรรม เดก็ ไมพ่ อเพยี งหรือเกดิ กรณที ่ีจาเป็นตอ้ งมีขอ้ มลู เพม่ิ เติม ครทู ป่ี รกึ ษาอาจใชว้ ิธกี ารและเครอ่ื งมอื อ่นื ๆ เพ่ิมเติม เช่น การสังเกตพฤติกรรมอื่นๆ ให้ห้องเรียน การสัมภาษณ์ และการเย่ียมบ้านนักเรียน เป็นตน้ จะเห็นได้ว่า การรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคลเป็นข้ันตอนแรกที่ครูที่ปรึกษาควรจัดทา ข้อมูลพ้นื ฐานทเ่ี กย่ี วขอ้ งกับนักเรียนในดา้ นตา่ งๆ เพื่อใหไ้ ดข้ อ้ มูลทคี่ รอบคลมุ นกั เรียนใหม้ ากทสี่ ุดและ จาเป็นต้องมีความรู้ในเร่ืองการใช้เครอ่ื งมือตา่ งๆ ในการรู้จกั นักเรียนเป็นรายบุคคล เพ่ือให้ได้ข้อมูล ที่ครอบคลุมในด้านความสามารถ ด้านสุขภาพ ด้านครอบครัวและด้านอื่นๆ เพื่อทาการคัดกรอง นักเรยี นในความรับผดิ ชอบในขน้ั ตอ่ ไป 2. การคัดกรองนกั เรยี น 2.1 ความหมายของการคัดกรองนักเรยี น การคัดกรองนักเรียน หมายถึง การวิเคราะห์ข้อมูลท้ังหมดท่ีได้จากการรู้จัก นักเรียนเป็นรายบุคคล แล้วนาผลที่ได้มาจาแนกตามเกณฑ์การคัดกรองที่สถานศึกษาได้จัดขึ้น ซ่ึงการกาหนดเกณฑ์การจัดกลุ่มนักเรียนนั้น ทางคณะครูควรมีการประชุมทาข้อตกลงเกี่ยวกับ การจัดกลุม่ ให้ชัดเจนและเป็นทย่ี อมรับของคณะครู เพื่อให้คาปรึกษาและช่วยเหลือนกั เรียนได้อย่าง ตรงเปา้ หมาย และเป็นประโยชนต์ อ่ การหาวิธกี ารเพอื่ ดูแลชว่ ยเหลอื นักเรียนได้อยา่ งถูกตอ้ ง 2.2 ความสาคญั ของการคดั กรองนักเรยี น การคัดกรองนักเรียนเป็นการพิจารณาข้อมูลเก่ียวกับนักเรียนเพื่อการจัดกลุ่ม นกั เรียน ซงึ่ จะเปน็ ประโยชน์อยา่ งยง่ิ ในการหาวธิ กี ารทเ่ี หมาะสมในการดแู ลชว่ ยเหลอื นกั เรยี น ใหต้ รง กบั สภาพปญั หาและความต้องการจาเปน็ ดว้ ยความรวดเรว็ และถูกต้องแมน่ ยา การจดั กลุ่มนกั เรยี นน้ี มีประโยชน์ต่อครูทีป่ รกึ ษาในการหาวิธีการเพ่ือดูแลช่วยเหลือนักเรียนไดอ้ ย่างถูกตอ้ ง โดยเฉพาะการ แก้ปญั หาใหต้ รงกบั ปญั หาของนักเรยี นยิ่งขน้ึ และมีความรวดเร็วในการแกไ้ ขปัญหา เพราะมขี ้อมลู ของ นกั เรียนในด้านต่างๆ ซึ่งหากครูที่ปรึกษาไม่ได้คัดกรองนักเรียนเพอ่ื การจัดกลุ่มแล้ว ความชัดเจนใน เป้าหมายเพื่อการแก้ปัญหานักเรียนจะมีน้อยลง มีผลต่อความรวดเร็วในการช่วยเหลือ ซ่ึงบางกรณี จาเป็นตอ้ งแก้ไขโดยเร่งด่วน ครูที่ปรกึ ษาจาเปน็ ตอ้ งระมัดระวงั อยา่ งย่ิงท่ีจะไม่ทาใหน้ ักเรียนรับรู้ได้ว่า ตนถูกจดั อยูใ่ นกลุม่ เสี่ยง/ปญั หา ซงึ่ มีความแตกต่างจากกลุม่ ปกติ โดยเฉพาะนกั เรยี นวัยรนุ่ ทีม่ ีความไว

413 ต่อการรับรู้ (Sensitive) แม้ว่านักเรียนจะรู้ตัวดีว่า ขณะน้ีตนมีพฤติกรรมอย่างไร หรือประสบกับ ปัญหาใดก็ตามและเพื่อป้องกันการล้อเลียนในหมู่เพื่อนอีกด้วย ดังนั้น ครูที่ปรึกษาต้องเก็บผลการ คดั กรองเป็นความลับ นอกจากนค้ี รูทีป่ รึกษาต้องมีการประสานงานกับผู้ปกครองเพื่อการช่วยเหลือ นกั เรียน ก็ควรระมดั ระวังการส่ือสารท่ที าให้ผปู้ กครองเกิดความร้สู กึ วา่ บุตรหลานของตนถกู จดั อยใู่ น กลุม่ ที่ผิดปกติแตกตา่ งจากเพ่ือนนักเรยี นอ่นื ๆ ซง่ึ อาจมีผลเสยี ตอ่ นักเรยี นในภายหลังได้ 2.3 การจัดกลมุ่ นักเรยี น ระบบการดูแลช่วยเหลือผู้เรียนอาจจัดกลุ่มผู้เรียนตามผลการคัดกรองเป็น 2, 3 หรือ 4 กล่มุ ก็ได้ ตามขอบข่ายและเกณฑก์ ารคดั กรองท่สี ถานศึกษากาหนด เช่น ในกรณีทแี่ บ่งผูเ้ รยี น เปน็ 4 กลุ่มอาจมีนิยามกลุ่มได้ ดงั นี้ 2.3.1 กลุ่มปกติ คือ นักเรียนที่ได้รับการวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ ตามเกณฑ์การคัด กรองของสถานศึกษาแล้ว อยู่ในเกณฑ์ของกลุ่มปกติ ซ่ึงควรได้รับการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันและการ ส่งเสริมพัฒนา 2.3.2 กลุ่มเสีย่ ง คือ นักเรยี นทจ่ี ดั อย่ใู นเกณฑ์ของกลมุ่ เสย่ี งตามเกณฑ์การคดั กรอง ของสถานศึกษา ซงึ่ สถานศกึ ษาต้องให้การปอ้ งกนั หรอื แก้ไขปญั หาตามแต่กรณี 2.3.3 กลมุ่ มปี ัญหา คือ นักเรยี นที่จัดอยู่ในเกณฑ์ของกลมุ่ มปี ัญหาตามเกณฑ์การ คัดกรองของสถานศกึ ษา ซ่ึงสถานศึกษาต้องชว่ ยเหลอื และแก้ปญั หาโดยเร่งด่วน 2.3.4 กลุ่มพิเศษ คือ นักเรียนที่มีความสามารถพิเศษ มีความเป็นอัจฉริยะ แสดงออกซึ่งความสามารถอนั โดดเดน่ ด้านใดด้านหน่ึงหรือหลายด้าน อย่างเป็นท่ีประจักษ์เม่ือเทียบ กบั ผมู้ ีอายุในระดบั เดยี วกนั ภายใต้สภาพแวดล้อมเดยี วกัน ซ่ึงสถานศึกษาตอ้ งให้การส่งเสริมผ้เู รยี นได้ พฒั นาศักยภาพความสามารถพิเศษน้นั จนถงึ ขนั้ สูงสุด 2.4 แนวทางการวเิ คราะห์ข้อมลู เพอ่ื การคดั กรองนกั เรียน การวิเคราะห์ขอ้ มูลเพ่ือการคัดกรองนักเรียนนั้นให้อยู่ในดุลพินิจของครูท่ีปรึกษา ครปู ระจาชนั้ ผู้ทเ่ี กี่ยวข้อง และยดึ ถือเกณฑ์การคัดกรองนักเรียนของสถานศึกษาเป็นหลักด้วย ดังน้ัน สถานศกึ ษาควรมกี ารประชุมครูเพอ่ื การพจิ ารณาเกณฑ์การจัดกลุ่มนกั เรียนร่วมกัน เพอื่ ให้มีมาตรฐาน หรอื แนวทางการคดั กรองนกั เรยี นทเี่ หมือนกัน เปน็ ทย่ี อมรับของครใู นโรงเรยี น รวมท้ังใหม้ ีการกาหนด เกณฑ์วา่ ความรุนแรงหรือความถี่ของพฤติกรรมเท่าใดจงึ จัดอยู่ในกลุ่มเส่ียง/มปี ัญหา ส่วนเครื่องมือ และเกณฑ์ในการคัดกรองผเู้ รยี นสามารถพจิ ารณาได้จากขอ้ มลู พื้นฐานของผู้เรยี นแต่ละคน และการใช้ แบบทดสอบ แบบสารวจ และแบบประเมนิ พฤตกิ รรมผเู้ รียน จะเห็นได้ว่าข้ันตอนของการคัดกรองนักเรียน เป็นขั้นตอนท่ีสาคัญ เพราะถ้า ครูท่ีปรึกษาคัดกรองผิด ไม่อาศัยข้อมูลและเกณฑท์ ่ีสถานศึกษากาหนด หรือสถานศกึ ษาไม่ตัง้ เกณฑ์ การคัดกรองให้ชัดเจน ก็จะทาให้ผลการคดั กรองนักเรยี นคลาคเคลื่อน เป็นผลเสียตอ่ ตัวนักเรียนและ

414 อาจเป็นปมด้อยในการรสู้ ึกของผู้เรยี นได้ ขนั้ ตอนของการคัดกรองนกั รียนจะช่วยให้จัดกลุม่ ผู้เรียนได้ เป็นอย่างดี และสามารถทาการส่งเสริมหรอื พัฒนาหรอื แก้ไขปัญหาท่ีเกิดขน้ึ กับผู้เรียนได้อย่างตรง เปา้ หมาย 3. การสง่ เสรมิ และพฒั นานกั เรียน 3.1 ความหมายของการสง่ เสรมิ และพฒั นานักเรยี น การส่งเสริมและพัฒนานักเรียน หมายถึง การจัดกิจกรรมโดยครูประจาช้ันหรือ ครูที่ปรกึ ษาให้มีความสอดคล้องกับพฤติกรรมของนกั เรยี นและนโยบายของสถานศึกษา โดยวธิ ีการ และเคร่อื งมอื ทหี่ ลากหลายมคี วามต่อเน่อื งในการดาเนินกจิ กรรม เพื่อสนับสนุนให้นกั เรยี นได้รับการ พัฒนาให้เป็นบคุ คลที่มคี ณุ ภาพสามารถพัฒนาตนเองได้เตม็ ตามศักยภาพ 3.2 ความสาคัญของการสง่ เสรมิ และพัฒนานักเรียน การส่งเสรมิ และพัฒนานักเรียน เป็นการสนับสนุน กระตุ้น จูงใจให้ผู้เรียนทุกคน ไมว่ ่าจะเป็นผเู้ รยี นกลมุ่ ปกติ กลมุ่ เสีย่ ง กลมุ่ มีปญั หา กลมุ่ ความสามารถพิเศษ ให้มคี ณุ ภาพมากขึ้น ได้ พฒั นาเต็มศักยภาพ มีความภาคภมู ิใจในตนเองในด้านตา่ งๆ ซ่ึงจะช่วยปอ้ งกนั มใิ หผ้ ้เู รียนทอี่ ยู่ในกลุ่ม ปกติและกลุ่มพิเศษกลายเป็นผู้เรียนกลุ่มเส่ียงหรือกลุ่มมีปัญหา และเปน็ การช่วยให้ผ้เู รยี นกลุ่มเสยี่ ง หรอื กลุ่มมีปัญหากลับมาเป็นผู้เรียนกลุ่มปกติและมีคุณภาพตามมาตรฐานที่สถานศึกษาหรือชุมชน คาดหวังตอ่ ไป 3.3 วิธกี ารและเคร่อื งมอื เพ่ือการสง่ เสริมและพฒั นานกั เรยี น การส่ งเส ริม แล ะ พัฒ น านั กเรียน มี ห ล ายวิธีที่ ส ถาน ศึกษ าส าม าร ถพิ จ าร ณ า ดาเนนิ การให้ แต่มกี จิ กรรมหลกั สาคญั ทสี่ ถานศกึ ษาต้องดาเนินการ คือ 3.3.1 การจัดกิจกรรมโฮมรูม (Home room) เป็นกิจกรรมหลักท่ีจัดขึ้นเพื่อ ส่งเสริมนกั เรียนเป็นรายบคุ คลหรอื เปน็ กลมุ่ ก็ได้ สถานท่ีที่ใชจ้ ัดกิจกรรมโฮมรมู อาจเปน็ หอ้ งเรยี นหรอื นอกห้องเรยี น โดยจัดให้มีบรรยากาศเหมือนบ้านท่ีมีครูที่ปรึกษา และนักเรยี นเสมือนดังสมาชิกใน ครอบครัวเดยี วกันและมีการจดั กิจกรรมท่ีเป็นประโยชน์ในดา้ นต่างๆ ร่วมกัน เชน่ การรูจ้ ักตนเองของ นกั เรียน การรู้จกั ผ้อู ่ืน และส่ิงแวดล้อม มีทักษะการตดั สนิ ใจ ทกั ษะการปรับตวั และการวางแผนชวี ิต เป็นต้น กิจกรรมเหลา่ น้ี ครูและนกั เรียนควรมีส่วนรว่ มในการจดั กจิ กรรมรว่ มกนั ประโยชน์ของการจัด กจิ กรรมโฮมรมู จะช่วยให้ครทู ่ีปรกึ ษารจู้ ักนักเรียนมากขึ้น สามารถสง่ เสริมความสามารถและป้องกัน ปัญหาของนกั เรียนได้อกี ด้วย แนวทางการดาเนนิ การจัดกิจกรรมโฮมรมู ทาได้ 4 วิธี ดังน้ี 1) กาหนดกจิ กรรมโฮมรูม โดยยดึ ความตอ้ งการของนกั เรยี น ให้นักเรยี นมี สว่ นร่วมในการจดั กจิ กรรมโฮมรูม ดงั นี้

415 1.1) สารวจความตอ้ งการของนักเรยี นในการจดั กิจกรรมโฮมรมู 1.2) พิจารณาเลือกหัวข้อ และวิธีการจัดกิจกรรมให้สอดคล้องความ ตอ้ งการของนกั เรยี นหรอื ให้เหมาะสมกบั สถานการณใ์ นขณะน้ัน เปน็ เรื่องที่ทันสมยั 1.3) การจัดกิจกรรมโฮมรูมในแต่ละคร้ัง ควรมีการดาเนินการเป็น หลักฐาน ทั้งก่อนและหลังดาเนินการ ซ่ึงอาจเขยี นเป็นรปู แบบของบนั ทึกการทากิจกรรม หรอื อ่ืนๆ รวมทั้งให้มีการสรุปผลท่ีเกิดขึ้นกับนักเรียนหลังจัดกิจกรรมทุกครั้ง ซ่ึงการบันทึกอาจบันทึกใน แผนการจัดกจิ กรรมหรอื ในแบบฟอร์มบันทึกที่แยกออกมาตา่ งหากก็ได้ 1.4) ประเมินผลการจดั กจิ กรรมและจัดทารายงาน 2) สถานศึกษากาหนดการจัดแนวทางการจัดกิจกรรมโฮมรูมหรือมีคู่มือ การจดั กจิ กรรมแตล่ ะครงั้ โดยมจี ุดมุง่ หมายและมีเน้ือหาสาระที่สอดคล้องกับนโยบายของสถานศกึ ษา ในการพัฒนา 3) วิธีผสมผสาน โดยยึดความต้องการของนักเรียนและนโยบายของ สถานศกึ ษาในการพัฒนานักเรียนในการจดั กิจกรรมโฮมรมู 4) วิธีการอน่ื ๆ ตามความเหมาะสม 3.3.2 การจัดกิจกรรมประชุมผู้ปกครองชั้นเรียน (Classroom meeting) การ ประชมุ ผปู้ กครองช้ันเรยี นเป็นการพบปะกนั ระหว่างครทู ่ีปรึกษากับผู้ปกครองนกั เรียนท่ีครทู ี่ปรกึ ษา ดแู ลอยู่เพ่ือสรา้ งความสมั พันธ์อันดีตอ่ กัน และเสริมสร้างความร่วมมอื ดแู ลช่วยเหลือนกั เรยี นระหว่าง บ้าน โรงเรียน และผู้ปกครองด้วยกัน การประชุมผู้ปกครองจะทาให้นักเรยี นได้รับการดูแลเอาใจใส่ มากขน้ึ ทั้งการสง่ เสริมใหน้ ักเรียนมีความสามารถยิ่งข้ึน หรอื ร่วมมอื กับทางสถานศึกษาในการปอ้ งกัน หรือแก้ปญั หาของนกั เรียน โดยมแี นวทางการดาเนนิ การ ดังน้ี 1) ครูท่ีปรึกษาควรจัดการประชุมอย่างน้อยภาคเรียนละ 1 ครั้ง การ ประชุมนี้มิใช่การรายงานสิ่งต่างๆ ที่เกียวข้องกับตัวนักเรียนให้ผู้ปกครองทราบแต่เพียงอย่างเดียว แต่เป็นการจัดกิจกรรมต่างๆ ท่ีจะทาให้ผู้ปกครองมีส่วนร่วมในการดูแลช่วยเหลือนักเรียนมากข้ึน ส่ิงสาคญั ที่ควรตระหนักในการจัดการประชมุ คือ การเตรียมการ ครทู ี่ปรึกษาควรเตรียมความพรอ้ ม ก่อนการประชุมในด้านต่างๆ โดยเฉพาะข้อมูลนักเรียนแต่ละคนและกิจกรรมที่จะดาเนินการ โดยกาหนดวตั ถปุ ระสงคใ์ นการจัดกิจกรรมที่ชดั เจน 2) การส่ือสาร ครทู ี่ปรึกษาควรระมัดระวังคาพดู ท่ีกอ่ ให้เกดิ ความรู้สึกทาง ลบหรือตอ่ ตา้ นจากผปู้ กครอง เช่น การตาหนินกั เรยี นหรอื ผู้ปกครอง การแจ้งขอ้ บกพรอ่ งของนกั เรยี น ในท่ีประชุม ควรใชค้ าพูดท่ีแสดงออกถงึ ความเข้าใจในตัวนักเรียน แสดงถงึ ความหว่ งใย ใส่ใจของครูท่ี มีตอ่ นกั เรียนทุกคน และอาศัยกจิ กรรมนี้ที่จะทาใหผ้ ู้ปกครองตระหนกั ในความรับผิดชอบและต้องการ ปรับปรงุ หรือแกไ้ ขสว่ นท่ีบกพรอ่ งของนักเรยี น

416 3) การจัดกิจกรรมในการประชุม การที่จะทาให้ผู้ปกครองมีส่วนร่วมใน การประชมุ นั้น จาเป็นตอ้ งใชก้ จิ กรรมต่างๆ โดยเริ่มดว้ ยการสร้างความคุ้นเคยกนั กอ่ นจงึ จะมกี ิจกรรม อื่นๆ ใหผ้ ปู้ กครองได้แสดงความคิดเห็น ซ่ึงเปน็ สาระท่ีเป็นประโยชนต์ ่อการดูแลชว่ ยเหลือนกั เรียน 4) การสรุปและบันทึกหลักฐานการประชุมผู้ปกครอง ในการประชุมแต่ ละครั้ง ครูที่ปรกึ ษาควรมกี ารสรุปผลและจดั เกบ็ เอกสารเปน็ หลกั ฐาน เพ่ือประโยชน์ คือ เป็นหลกั ฐาน ในการจัดประชุมในครั้งตอ่ ไป 3.3.4 การจัดกิจกรรมเย่ียมบ้าน เป็นกิจกรรมที่ครไู ปเยี่ยมพบปะกับผู้ปกครอง และนักเรยี นที่บ้านของเขา อันจะช่วยใหเ้ กิดความสมั พันธ์ที่ดีระหวา่ งบ้านกบั สถานศึกษาและทาใหค้ รู ไดร้ ู้ได้เหน็ ขอ้ เทจ็ จรงิ เกี่ยวกบั สภาพแวดลอ้ มตา่ งๆ ทางบ้านของนักเรยี น 3.3.5 การจัดกิจกรรมอื่นๆ เป็นกิจกรรมท่ีส่งเสริมนักเรียนให้มีความภูมิใจใน ตนเองในดา้ นตา่ งๆ เช่น กิจกรรมกลมุ่ ผูบ้ าเพ็ญประโยชน์ 4. การป้องกันและแกไ้ ขปัญหานกั เรยี น 4.1 ความหมายของการปอ้ งกันและแกไ้ ขปัญหานักเรียน การป้องกันและแก้ไขปญั หานกั เรียน หมายถึง การดูแลชว่ ยเหลอื นักเรียนในกลุ่ม เส่ยี งและกลุ่มมปี ัญหาอยา่ งใกล้ชดิ โดยครูประจาช้ันหรือครูทปี่ รึกษามคี วามเขา้ ใจปญั หาของนักเรียน อย่างแท้จริง ตระหนัก และเห็นคุณค่าในการป้องกันและแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับนักเรียน ดว้ ยวธิ กี ารทีเ่ หมาะสมและสอดคล้องกับลักษณะของสภาพปญั หาของนักเรียนเปน็ รายบคุ คล 4.2 ความสาคัญของการป้องกนั และแก้ไขปัญหานักเรยี น ในการดูแลชว่ ยเหลือนักเรียน ครูทปี่ รึกษาควรใหค้ วามเอาใจใสก่ บั นักเรยี นทุกคน อยา่ งเท่าเทียมกนั แตส่ าหรับนักเรยี นกล่มุ เสย่ี ง/มีปญั หานั้น จาเป็นอยา่ งมากทีต่ อ้ งให้ความดแู ลใส่ใจ อย่างใกล้ชิดและหาวิธีการช่วยเหลือ ท้ังการป้องกันและการแก้ไขปัญหา โดยไม่ปล่อยปละละเลย นักเรียนจนกลายเป็นปัญหาของสังคม การป้องกันและแก้ไขปัญหาของนักเรียนจึงเป็นภาระงานท่ี ยิ่งใหญ่และมีคณุ ค่าอย่างมาก ในการพฒั นาให้นักเรยี นเติบโตเป็นบุคคลท่ีมีคุณภาพของสังคมต่อไป นอกจากนท้ี กุ คร้งั ของการชว่ ยเหลือนักเรียน ควรมกี ารบันทกึ ไว้เป็นหลักฐานด้วย 4.3 วธิ กี ารและเครื่องมอื เพื่อป้องกันและการแก้ไขปญั หา การป้องกันและการแก้ไขปัญหาให้กบั นักเรยี นนั้นมหี ลายเทคนคิ วธิ ีการ แต่ส่ิงที่ ครทู ปี่ รกึ ษาจาเป็นตอ้ งดาเนินการ มี 2 ประการคอื 4.3.1 การให้คาปรึกษาเบื้องต้น เป็นการชว่ ยเหลือนักเรยี นและผอ่ นคลายปัญหา ให้ลดน้อยลง ท้ังในด้านความรู้สึก ความคิด และการปฏิบัติตนของนักเรียนในทางที่ไม่ถูกต้อง โดยม่งุ หวังให้นักเรียนมีการเปล่ียนเปลงพฤติกรรมไปในทางที่ดงี ามหรือพึงประสงค์ ปัจจยั ทสี่ าคัญที่

417 ช่วยให้การปรึกษาเบ้ืองต้นมีประสิทธิภาพในการช่วยเหลือนักเรียน ครูท่ีปรึกษาควรมีความรู้และ ทกั ษะพ้ืนฐาน ดังน้ี จิตวิทยาวยั รุ่น ความต้องการพนื้ ฐานของมนุษย์ทง้ั รา่ งกายและจิตใจ กระบวนการ และทักษะการใหค้ าปรกึ ษาเบอื้ งตน้ ท่ีสาคัญๆ คอื การสร้างสมั พนั ธภาพ การใช้คาถาม และการรบั ฟงั ปญั หาท้งั เน้ือหาและความรสู้ ึก แนวทางในการแกไ้ ขปัญหาของนักเรยี นในแต่ละลักษณะปัญหา เช่น ด้านการเรียน สุขภาพ ครอบครัว หรือการใช้สารเสพติด การพนัน หนีเรียน เป็นต้น ซึ่งควรศึกษา คน้ คว้าจากเอกสารของหน่วยงานต่างๆ ส่วนแนวทางดาเนินการนน้ั ครทู ่ีปรึกษาควรมคี วามพรอ้ มใน การให้คาปรึกษาช่วยเหลือนักเรียนด้วยความรู้สึกท่ีดีต่อนักเรียนต้ังแต่เร่ิมจนจบการปรึกมา โดยมี กระบวนการในการให้คาปรึกษาคือ สร้างสัมพันธภาพ พิจารณาทาความเข้าใจปญั หา กาหนดวิธีการ และดาเนินการแก้ไขปัญหา และการยุติปัญหา การที่จะเป็นผู้ให้คาปรึกษาท่ีดีมีคุณภาพนั้น ครูท่ีปรึกษาควรได้รับการอบรมเกี่ยวกับการให้คาปรกึ ษาหรือวิธีการดูแลช่วยเหลือนักเรียนในด้าน ต่างๆ ซ่ึงอาจรับการอบรมจากหน่วยงานภายนอก หรอื สถานศกึ ษาจดั อบรมให้ หมนั่ ฝึกฝนทักษะการ ให้คาปรึกษาและพัฒนาตนอย่างสม่าเสมอ และศึกษาค้นคว้าเพ่ิมเติมเก่ียวกับจิตวิทยา พัฒนาการ เรยี น หรือความร้ทู เี่ กยี่ วข้องกบั การใหค้ าปรึกษา การดแู ลช่วยเหลือนกั เรียน 4.3.2 การจัดกจิ กรรมเพอื่ ปอ้ งกนั และแก้ไขปัญหา ในการป้องกนั และแก้ไขปัญหา ของนักเรียน นอกจากจะให้คาปรึกษาเบ้อื งต้นแลว้ การจดั กิจกรรมต่างๆ เพอื่ การชว่ ยเหลือนักเรยี นก็ เป็นสิ่งสาคัญเพราะจะทาใหก้ ารชว่ ยเหลอื มีประสทิ ธิภาพ ก่อให้เกิดความรว่ มมือรว่ มใจของครูทุกคน และผปู้ กครอง แนวทางในการดาเนนิ การนนั้ ครูทป่ี รกึ ษาสามารถพิจารณากจิ กรรมเพอื่ แก้ไขปัญหา ของนกั เรยี นได้หลายแนวทาง ซ่งึ ในทน่ี ี้สรุปไว้ 5 แนวทางท่จี าเป็น คือ 1) การใช้กิจกรรมเสริมหลักสตู ร เป็นการจัดกิจกรรมนอกเวลาเรียน ไม่ใช่ ในคาบรียน โดยส่วนใหญ่จึงเป็นก่อนเข้าแถวหรือเวลาเย็นหลังสถานศึกษาเลิกแล้ว การจัดกิจกรรม อาจเป็นชมรม เป็นโครงการ หรือเปน็ งานของสถานศึกษา โดยมีครูที่ปรึกษากบั รว่ มกบั นักเรยี น และ ตรงตามความต้องการของนักเรียน สถานศึกษาควรมีกิจกรรมให้นักเรียนได้เลือกอย่างหลาก ซ่ึงนักเรียนทากจิ กรรมในฐานะสมาชกิ หรอื เป็นผรู้ ว่ มจดั กจิ กรรม หรอื เปน็ ผู้รบั ผดิ ชอบจดั กจิ กรรมเอง โดยมีครูเป็นท่ีปรึกษา การที่สถานศึกษามีแหลง่ เรียนรอู้ ย่างเพยี งพอกบั เรยี นร้ดู ว้ ยตนเอง ก็จะอานวย ใหก้ ารจดั กิจกรรมเสรมิ หลักสตู รดยี ิง่ ขึ้น และหากสถานศึกษามเี ทคโนโลยีทนั สมยั กจ็ ะจงู ใจใหน้ ักเรียน มาร่วมกิจกรรมมากขึ้นด้วย วัตถุประสงค์ของกิกรรมเสริมหลักสูตรคือ นักเรียนเกิดประโยชน์ต่อ ตนเองและส่วนรวม นักเรียนเห็นคุณค่า ภาคภูมิใจในตนเอง จากการแสดงออกถึงความสามารถที่ ตนมี รวมทั้งช่วยส่งเสริมใหน้ กั เรียนมีทกั ษะตา่ งๆ ด้วย 2) การใช้กิจกรรมในห้องเรียน ซ่ึงส่วนใหญ่เป็นกิจกรรมกลุ่ม ท่ีช่วยให้ นกั เรยี นทกุ คนมสี ว่ นรว่ ม มีบทบาทในกลมุ่ และได้เรียนรมู้ ากกว่าเน้ือหาวิชา การจัดการเรียนการสอน ที่ผู้เรียนเป็นสาคัญ (Child Center) หรือการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม (Participatory Learning)

418 จึงเป็นส่วนสาคัญของการจัดกิจกรรมในห้องรียน วตั ถุประสงค์ของกิจกรรมในห้องเรียนคอื ชว่ ยให้ นักเรียนเกดิ การเรียนรู้ร่วมกัน ทาใหม้ ีการเรียนร้ทู ี่เร็วข้นึ จากการได้ทากิจกรรมกลมุ่ หรือได้ช่วยงาน ครใู นหอ้ งเรียน 3) การใชก้ ิจกรรมเพ่อื นช่วยเพ่ือน เป็นกิจกรรมที่ครูทป่ี รึกษาต้องพิจารณา จับคู่ความสามารถ บุคลิกภาพ เพื่อให้สามารถช่วยเหลือกนั ได้จริงและไมม่ ีการถูกขม่ ขู่ ถูกแกล้งจาก เพ่ือนท่ีตนดูแล นักเรยี นทง้ั คู่ตอ้ งสมัครใจท่ีจะจับคู่กันและยินดีหารือรับการดูช่วยหลือจากเพ่ือนอีก คนหน่ึง ครูท่ีปรึกษาต้องสังเกตพฤติกรรมของท้ังสองคนว่าช่วยเหลือกันได้หรือไม่มีปญั หาอุปสรรค อย่างไร รวมท้ังควรมีการสอบถามหรือให้คาแนะนา การจับคู่การช่วยเหลือกันอย่างสม่าเสมอ วตั ถปุ ระสงค์ของกิจกรรมเพื่อนช่วยเพอ่ื น คือ เพื่อให้นักเรยี นที่มีจุดเด่นจุดแข็งในด้านต่างๆ ไดด้ ูแล ช่วยหลือเพื่อนที่ด้อยกว่า และนักเรียนได้เรียนรู้ เอื้อเฟื้อต่อกันและกัน รู้จักการให้และการรับ ดว้ ยไมตรี 4) การใช้กิจกรรมซ่อมเสริม เป็นการแก้ปัญหาด้านการเรียนของนักเรียน ซึ่งครูในระ ดับชั้ นเดียวกันร่วมมื อร่วมใจกันวางแผน การสอนซ่อม สริมให้แก่ นักเรียนที่ เรียนรู้ช้ า เรียนรู้ไมท่ ันเพ่ือน ครทู ี่ปรึกษาควรมกี ารประสานงานขอความรว่ มมือจากครปู ระจาช้ัน เพ่ือขอเรยี น ซ่อมเสริม วัตถุประสงค์ของกิจกรรมซ่อมเสริมคือ เพ่อื ช่วยใหน้ ักเรียนได้เรียนเพ่ิมเติมจากครูประจา วิชาทตี่ นเรียนอ่อน เรียนไม่ทันเพ่ือน เพ่ือใหน้ กั เรียนรู้ตนเองในเร่ืองการเรียน และเพื่อให้นกั เรียนได้ ใสใ่ จการเรียนของตนเองมากขน้ึ 5) การใช้กจิ กรรมสื่อสารกับผู้ปกครอง เปน็ การชว่ ยหลอื นกั เรยี นโดยอาศัย ความร่วมมอื จากผู้ปกครอง ซงึ่ ครทู ปี่ รกึ ษาไดใ้ ช้ทักษะการส่ือสารและควรบอกถงึ ความรู้สกึ ห่วงใยของ ครทู มี่ ีจากพฤตกิ รรมทส่ี ังเกตเหน็ แทนการแจง้ ว่านกั รียนมปี ญั หาในเรื่องใด เพ่ือมิใหผ้ ู้ปกครองเกิดการ ต่อต้าน ไม่พอใจสถานศึกษา ครูท่ีปรึกษาหรือแม้แต่ตัวนักเรียนเอง วัตถุประสงค์ของกิจกรรมการ ส่ือสารกับผู้ปกครอง คือเพ่ือให้ผู้ปกครองได้ตระหนักและมีความใส่ใจดแู ลช่วยเหลือนักรียนมากข้ึน และรับทราบปญั หาของนักเรียนท่ีสถานศึกษา 4.4 ข้อท่ีพงึ ตระหนกั ในการปอ้ งกนั และแกป้ ญั หาของนกั เรยี น 4.3.1 การรกั ษาความลับ 1) เรื่องราวข้อมูลของนักเรียนที่ให้การช่วยเหลือแก้ไข ตอ้ งไม่นาไปเปิดเผย ยกเวน้ เพ่ือขอความร่วมมือในการช่วยเหลือนักเรยี นกับบคุ คลที่เก่ยี วข้อง โดยไม่ระบชุ ่ือสกุลจริงของ นักเรียน และการเปดิ เผยควรเปน็ ไปในลกั ษณะที่เกียรตินักเรียน 2) บันทึกข้อมูลการช่วยเหลือนักเรยี น ควรเก็บไว้ทเี่ หมาะสมและสะดวกใน การเรียกใช้

419 3) การรายงานการช่วยเหลือนักเรียน ควรรายงานส่วนท่ีเปิดเผยได้โดยให้ เกยี รตแิ ละคานงึ ถงึ ประโยชนข์ องนกั เรียนเปน็ สาคญั 4.3.2 การแกไ้ ขปญั หา 1) การช่วยเหลือแก้ไขปัญหาของนกั เรียน ตอ้ งพจิ ารณาสาเหตขุ องปัญหาให้ ครบถ้วนและหาวธิ ีการช่วยเหลือให้เหมาะสมกับสาเหตุนั้นๆ เพราะปัญหามิได้เกิดจากสาเหตุเพียง สาเหตเุ ดียว แตอ่ าจจะเกิดจากหลายสาเหตทุ เ่ี ก่ียวเนื่องสมั พนั ธก์ ัน 2) ปัญหาที่เหมือนกันของนักเรียนแต่ละคน ไม่จาเป็นต้องเกิดจากสาเหตุที่ เหมอื นกันและวิธกี ารท่ชี ่วยเหลอื ท่ีประสบความสาเรจ็ กบั นกั เรียนคนหนง่ึ ก็อาจไม่เหมาะกบั นกั เรียน อกี คนหนงึ่ เน่ืองจากความแตกตา่ งของบุคคล ดงั น้ัน การช่วยเหลอื นักเรยี นโดยเฉพาะการให้คาปรกึ ษาจึงไม่มสี ตู รการช่วยเหลอื สาเรจ็ ตายตวั เพียงแต่มีแนวทาง กระบวนการหรือทักษะการชว่ ยเหลอื ท่ีครแู ต่ละคนสามารถเรียนรู้ ฝึกฝน เพื่อการนาไปใชเ้ หมาะสมกบั แตล่ ะปญั หาในนักเรยี นแตล่ ะคน 5. การส่งตอ่ 5.1 ความหมายของการสง่ ตอ่ การส่งต่อ หมายถึง การดาเนินการส่งต่อนักเรียนท่ีมีปัญหาบางประการท่ี ครูประจาช้ัน ครูที่ปรึกษา หรือสถานศึกษาไม่สามารถแก้ไขปัญหาหรือให้ความช่วยเหลือท่ีถูกต้อง เหมาะสมได้ไปยงั ผเู้ ชีย่ วชาญเฉพาะด้าน เพื่อให้ปัญหาของนักเรยี นไดร้ ับการชว่ ยเหลือที่ถูกต้องและ รวดเร็ว โดยมีการบันทึกผลการช่วยเหลือ การส่งต่อนักเรียนภายในและภายนอก สถานศึกษา การติดตามผลการส่งต่อนักเรียน และสรุปผลการส่งต่อนักเรียนไว้เป็นหลักฐานตามระบบการดูแล ช่วยเหลอื นกั เรียน 5.2 ความสาคญั ของการส่งต่อ ในการป้องกันและแก้ปัญหาของนักเรียน โดยครูประจาชั้นและครูที่ปรึกษาตาม กระบวนการป้องกนั และช่วยเหลือนักเรียนนั้น อาจมีกรณีทป่ี ัญหามีความยากต่อการชว่ ยเหลอื หรือ ช่วยเหลือแล้วนักเรียนมีพฤติกรรมไม่ดีขึ้น ก็ควรดาเนินการส่งต่อไปยังผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านหรือ หนว่ ยงานท่ีเกี่ยวขอ้ งต่อไป เพ่อื ให้ปญั หาของนักเรียนได้รับการช่วยเหลืออย่างถกู ทางและรวดเร็วขึ้น หากปล่อยให้เป็นบทบาทหนา้ ที่ของครทู ีป่ รึกษาหรอื ครูคนใดคนหน่ึงเท่านั้น ความยุง่ ยากของปญั หา อาจมีมากขึ้น หรือลุกลามกลายเป็นปญั หาใหญ่โตจนยากต่อการแกไ้ ขชว่ ยเหลือ

420 5.3 ลักษณะของการสง่ ตอ่ การสง่ ต่อ แบง่ เป็น 2 ลักษณะ คอื 5.3.1 การสง่ ต่อภายใน โดยครูท่ีปรกึ ษาส่งตอ่ ไปยังครูท่ีสามารถให้การชว่ ยเหลือ ผู้เรียนได้ ทงั้ น้ขี ้ึนอยู่กับลักษณะปัญหาของผเู้ รียน เช่น สง่ ต่อครูแนะแนว ครพู ยาบาล ครูประจาวิชา หรือฝา่ ยปกครอง เป็นตน้ 5.3.2 การส่งต่อภายนอก โดยครูแนะแนวหรือฝ่ายปกครองเป็นผู้ดาเนินการ สง่ ต่อไปยังผู้เชี่ยวชาญภายนอก หากพิจารณาเหน็ ว่าเป็นกรณีปัญหาที่มคี วามยากเกินกว่าศกั ยภาพ ของสถานศึกษาจะดูแลช่วยเหลือได้ เช่น นักจิตวิทยา แพทย์ ศูนย์บาบัดทางกายหรือทางจิต ศูนยบ์ าบัดยาเสพตดิ เป็นต้น สาหรับการสง่ ตอ่ ภายใน หากสง่ ตอ่ ไปยังครูแนะแนวหรอื ฝา่ ยปกครองจะเป็นการ แก้ไขปัญหาท่ียากต่อการช่วยเหลือของครูที่ปรึกษา เช่น ปัญหาเกี่ยวกับจิตใจ ความรู้สึก ปัญหา พฤตกิ รรมที่ซับซ้อนหรอื รุนแรง เป็นตน้ ครูที่รบั ต่อตอ้ งมกี ารชว่ ยเหลืออยา่ งเป็นระบบ และประสาน การทางานกับผ้เู กี่ยวขอ้ ง เพ่ือการชว่ ยเหลอื ท่มี ปี ระสทิ ธภิ าพ แตห่ ากเกดิ กรณียากต่อการชว่ ยเหลืออกี ก็ตอ้ งส่งตอ่ ผู้เช่ียวชาญภายนอกเช่นกนั 5.4 แนวทางการพจิ ารณาในการสง่ ต่อโดยครทู ป่ี รกึ ษา การสง่ นักเรยี นไปพบครอู ื่นๆ เพอื่ ใหก้ ารชว่ ยเหลือต่อไป มแี นวทางการพจิ ารณาใน การสง่ ต่อสาหรบั ครูทีป่ รึกษาดังน้ี 5.4.1 นักเรียนมีพฤติกรรมคงเดิมหรือไม่ดีขึ้น หรือแย่ลง แม้ว่าครูที่ปรึกษาจะ ดาเนนิ การชว่ ยเหลือด้วยวธิ กี ารใดๆ 5.4.2 นักเรียนไม่ให้ความรว่ มมือในการช่วยเหลือของครูที่ปรึกษา เช่น นัดให้มา พบแลว้ ไมม่ าตามนัดอยู่เสมอ ใหท้ ากิจกรรมเพ่อื การช่วยเหลอื ก็ไมย่ นิ ดีร่วมกจิ กรรมใดๆ ท้งั ส้นิ 5.4.3 ปัญหาของนักเรียนที่เป็นเรื่องเฉพาะด้าน เช่น เกี่ยวข้องกับความรู้สึก ความซับซ้อนของสภาพจิตใจท่ีจาเป็นต้องให้การช่วยเหลืออย่างใกล้ชิด และได้รับการบาบัดทาง จติ วิทยาควรพจิ ารณาสง่ ตอ่ ให้ผู้มีความรู้เฉพาะทางเพือ่ ดาเนนิ การใหค้ วามช่วยเหลือตอ่ ไป 5.5 แนวทางดาเนินการสง่ ต่อนกั เรยี น 5.5.1 ครูที่ปรึกษาประสานงานกับครูที่จะช่วยเหลือนักเรียนต่อ เพ่ือให้ทราบ ล่วงหนา้ 5.5.2 สรุปข้อมูลส่วนตัวของนักเรียนท่ีเกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือและวิธีการ ช่วยเหลอื ทผ่ี า่ นมา รวมทั้งผลทเ่ี กดิ ขึ้นจากการช่วยเหลอื นัน้ ใหผ้ ทู้ ี่รบั การชว่ ยเหลอื นกั เรียนทราบโดยมี แบบบนั ทกึ สง่ ต่อหรอื แบบประสานงานขอความร่วมมือจากผ้เู ก่ียวข้อง

421 5.5.3 ครูท่ีปรกึ ษาควรชีแ้ จงให้นักเรยี นเข้าใจถึงความจาเป็นในการส่งต่อ โดยใช้ คาพดู ที่สร้างสรรค์ ระมดั ระวงั มใิ หน้ ักเรียนเกิดความรสู้ ึกผิด กังวล หรือโกรธ เป็นต้น แต่ให้นักเรยี นมี ความรู้สึกที่ดีจากการส่งต่อและยินดีไปพบครูท่ีช่วยเหลือตามแต่กรณีที่ครูท่ีปรึกษาพิจารณาว่า เหมาะสม 5.5.4 ครทู ี่ปรึกษานัดวัน เวลา สถานที่นัดพบกับครูที่รับชว่ ยเหลอื นักเรยี นและส่ง ต่อให้เรียบรอ้ ย 5.5.5 ติดตามผลการช่วยเหลืออย่างสม่าเสมอ บทบาทหนา้ ทขี่ องหนว่ ยงานและบคุ ลากรท่ีเกย่ี วข้องในระบบการดูแลชว่ ยเหลอื นักเรียน การดูแลช่วยเหลือนักเรียนมีความสาคัญตอ่ การพัฒนาคุณภาพชีวิตของนกั เรียนทุกคนให้ เติบโตอยา่ งมีคุณภาพ สามารถดารงชีวติ อยา่ งเป็นสขุ ในสังคม การดูแลชว่ ยเหลือนักเรยี นเป็นระบบท่ี มีกระบวนการดาเนินงานที่ชัดเจน ประกอบด้วยการรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล การคัดกรอง นักเรยี น การส่งเสรมิ พัฒนานักเรียน การปอ้ งกันและแกไ้ ขปัญหา และการส่งตอ่ ดงั นั้นจงึ ต้องอาศยั ความรว่ มมือจากบคุ คลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดาเนนิ งาน ดงั น้ี 1. บทบาทหน้าทขี่ องสานักงานคณะกรรมการการศึกษาขัน้ พ้ืนฐาน (สพฐ.) สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน เป็นหน่วยงานกลางท่ีมีบทบาทหน้าที่ ในการกาหนดนโยบายการดาเนินงานไปยังสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาในการสง่ เสริม สนบั สนุนให้ ผ้ปู ฏบิ ัติ คอื สถานศึกษาสามารถดาเนินงานระบบการดูแลชว่ ยเหลอื นกั เรียน ไดอ้ ย่างมีประสิทธิภาพ และประสานงานกบั หน่วยงานท่ีเกย่ี วข้อง จงึ มีบทบาทหนา้ ที่และแนวทางดาเนนิ งานดังนี้ บทบาทหนา้ ที่ แนวทางการดาเนินงาน 1. กาหนดนโยบายและหนว่ ยงานท่ี - กาหนดยุทธศาสตร์ เป้าหมาย และจดุ เนน้ ด้านการดแู ล รับผิดชอบใน สพฐ. ดา้ นการดแู ล ช่วยเหลือนกั เรียน ชว่ ยเหลอื นกั เรียน - มอบหมายหนว่ ยงานท่รี บั ผดิ ชอบใน สพฐ. อย่างชัดเจน 2. ประสานงานกบั หน่วยงานที่ - เชญิ ประชมุ หนว่ ยงานท่เี กี่ยวข้อง เชน่ กระทรวง เก่ียวข้องเปน็ เครือข่ายการ สาธารณสุข สถาบันส่งเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ์ ละ ดาเนนิ งานดแู ลชว่ ยเหลือนกั เรียน เทคโนโลยี กระทรวงวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยี กระทรวงมหาดไทย สานกั งานตารวจ แห่งชาติ กระทรวงกลาโหม ฯลฯ เพ่ือวางแนวปฏบิ ตั ิ รว่ มมอื

422 บทบาทหนา้ ท่ี แนวทางการดาเนนิ งาน 3. ส่งเสรมิ สนบั สนนุ ให้สานกั งาน - พัฒนาบคุ ลากรในสานักงานเขตพ้ืนทก่ี ารศกึ ษา ให้มี เขตพน้ื ท่ีการศกึ ษาเกดิ การพฒั นา ความเขม้ แขง็ ดา้ นองคค์ วามรู้และการปฏบิ ตั ิ ด้านการดูแล องคก์ ารความรสู้ ูก่ ารปฏิบัติ ดา้ น ชว่ ยเหลือนกั เรียนดว้ ยวิธกี ารทหี่ ลากหลาย การดูแลช่วยเหลอื นกั เรียน - สง่ เสรมิ สานักงานเขตพ้นื ท่กี ารศึกษา ใหม้ ีการศึกษา วจิ ัย เพื่อการพฒั นาด้านการดแู ลช่วยเหลอื นกั เรยี น 4. สนับสนุนช่วยเหลอื ใหส้ านกั งาน - ชว่ ยเหลอื แกไ้ ขปญั หาอุปสรรคของสานักงานเขตพ้นื ที่ เขตพน้ื ที่การศกึ ษา สถานศึกษา การศกึ ษา และสถานศึกษา อนั เปน็ เหตใุ ห้การปฏิบตั งิ าน สามารถดาเนนิ งานการดูแล ไมป่ ระสบความสาเร็จ ชว่ ยเหลือนกั เรยี นไดอ้ ยา่ งมี ประสทิ ธภิ าพ 5. สง่ เสรมิ ให้สานักงานเขตพื้นท่ี - กากับ ตดิ ตาม และตรวจสอบการดาเนนิ งานดา้ นการ การศึกษา มีระบบติดตามประเมนิ ผล ดูแลชว่ ยเหลอื นกั เรียน ของสานกั งานเขตพนื้ ท่กี ารศกึ ษา และรายงานความกา้ วหนา้ อยา่ ง ตอ่ เน่ือง 2. บทบาทหน้าท่ีของสานกั งานเขตพืน้ ที่การศึกษา สานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษา เป็นหน่วยงานท่ีสนับสนุนและส่งเสริมระบบการดูแล ช่วยเหลือ นกั เรยี นของโรงเรยี นภายในสังกัด รวมทั้งการประสาน ตดิ ตาม ประเมินผล การปฏิบตั งิ าน จึงมบี ทบาทหนา้ ที่และแนวทางดาเนนิ งานดังน้ี บทบาทหนา้ ท่ี แนวทางการดาเนินงาน 1. นานโยบายการดแู ลชว่ ยเหลอื - จดั ทาระบบขอ้ มลู พื้นฐานเก่ียวกบั การดแู ลช่วยเหลือ นกั เรียน สกู่ ารปฏิบตั ิในสถานศกึ ษา และปญั หาพฤตกิ รรมนกั เรยี นของสถานศกึ ษา - จดั ทาระบบเทคโนโลยสี ารสนเทศเพ่ือใชเ้ ปน็ เครอื ข่ายให้ คาปรกึ ษาตามสภาพปัญหาและความต้องการของนักเรียน และบริการแก่ผสู้ นใจ - จดั ใหม้ แี ผนงาน โครงการ และกจิ กรรม การดูแล ช่วยเหลือนักเรยี นในระดบั พื้นท่ี - นิเทศ ตดิ ตามผล รายงานความกา้ วหนา้ การดาเนินงาน ดูแลชว่ ยเหลอื นักเรยี นของสถานศึกษา

423 บทบาทหนา้ ที่ แนวทางการดาเนินงาน 2. สง่ เสรมิ สนบั สนนุ ใหส้ ถานศึกษา - ฝกึ อบรมบุคลากรใหม้ ีความรู้ ความสามารถ เทคนิค เกดิ การพัฒนาองค์ความรแู้ ละ และทกั ษะในการดาเนินงานดูแลชว่ ยเหลือนักเรียนได้ ความสามารถในการปฏิบัติด้านการ - จดั ทามาตรฐานระบบการดแู ลชว่ ยเหลอื นักเรียนสาหรับ ดูแลช่วยเหลอื นักเรยี น เป็นแนวทางในการพฒั นาคณุ ภาพของสถานศึกษา - สนบั สนนุ ใหส้ ถานศึกษา ศึกษาวิจยั และพฒั นาเกีย่ วกบั ระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน เพื่อนาผลมาพฒั นางาน ใหม้ ีประสทิ ธภิ าพยิ่งขน้ึ - จดั ให้มเี ครอื ข่ายประสานงานและแลกเปล่ียนองคค์ วามรู้ ด้านการดแู ลช่วยเหลือนักเรยี น 3. สนับสนุน ชว่ ยเหลอื ให้ - ชว่ ยเหลือ แกไ้ ขปญั หา อุปสรรค ของสถานศึกษาให้ สถานศกึ ษา สามารถดาเนินงานการ ประสบความสาเรจ็ ดูแลชว่ ยเหลอื นักเรียนไดอ้ ยา่ งเปน็ - จัดกลมุ่ สถานศึกษาใหเ้ ป็นเครอื ข่ายพฒั นาคณุ ภาพ ระบบมีประสิทธภิ าพ ชว่ ยเหลอื ดแู ลซึ่งกนั และกนั จนสามารถดาเนนิ การระบบ การดูแลช่วยเหลอื นกั เรยี นได้ 4. ประสานงานกบั หนว่ ยงานที่ - เป็นหน่วยงานกลางในการประสาน การดาเนนิ งานกบั เกย่ี วขอ้ งเพอ่ื รว่ มมือกนั ดาเนนิ งาน หนว่ ยงานอน่ื ๆ การดูแลช่วยเหลือนกั เรียน - จัดประชุมสัมมนาหนว่ ยงานที่เกยี่ วข้องในพนื้ ทรี่ ว่ มกบั สถานศึกษา ใหร้ ับรบู้ ทบาทการปฏิบัตงิ านระบบการดแู ล ช่วยเหลือนักเรยี น - ร่วมเป็นคณะทางาน คณะกรรมการดาเนินงาน - ขอรบั ความรว่ มมือ ช่วยเหลอื สนบั สนนุ 5. ตดิ ตามประเมนิ ผลและรายงาน - ชแ้ี จงทาความเข้าใจกบั สถานศกึ ษาดว้ ยวิธีการต่างๆ ระบบการดูแลช่วยเหลือนกั เรยี นของ เพ่ือใหเ้ กดิ เจตคตทิ ี่ดีตอ่ ระบบการดแู ลช่วยเหลอื นกั เรียน สถานศกึ ษา และนาไปปฏิบัติไดจ้ รงิ - สร้างขวญั กาลังใจ และประชาสัมพนั ธ์ ระบบการดแู ล ชว่ ยเหลือนักเรยี นให้หนว่ ยงานทีเ่ ก่ียวข้องทราบอย่าง ต่อเน่อื ง - ติดตาม ประเมินผล และรายงาน การดาเนินงานระบบ การดแู ลช่วยเหลอื นกั เรยี นของสถานศกึ ษา

424 3. บทบาทหน้าทข่ี องสถานศึกษา สถานศึกษา เป็นสถาบนั ที่ประกอบดว้ ยบคุ คลตา่ งๆ ที่จะทาใหก้ ารดาเนินงานตามระบบ การดูแลช่วยเหลือนักเรียนที่ประสบผลสาเร็จ ซ่ึงประกอบด้วย ผู้บริหารสถานศึกษา ครู นักเรียน คณะกรรมการสถานศึกษาข้นั พ้นื ฐาน และบคุ ลากรอ่นื ๆ ดงั น้ี 3.1 ผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษา ในฐานะท่ผี ู้บริหารสถานศกึ ษาเปน็ ผนู้ าสงู สดุ ในสถานศกึ ษา สามารถบริหารจดั การ และให้ความสาคัญในการดาเนินงานระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนให้ประสบผลสาเรจ็ จงึ ควรมี บทบาทหน้าท่แี ละแนวทางดาเนนิ งานดังน้ี บทบาทหนา้ ที่ แนวทางการดาเนินงาน 1. บริหารจดั การใหม้ ีระบบการดูแล - กาหนดนโยบาย วตั ถุประสงค์ การดาเนินงานตาม ชว่ ยเหลือนักเรียนของสถานศึกษาให้ ระบบการดแู ลชว่ ยเหลือนักเรียน ชดั เจนและมปี ระสทิ ธิภาพ - สรา้ งความตะหนักใหค้ รูทกุ คนและบคุ คลทเ่ี ก่ยี วขอ้ งเหน็ คุณคา่ และความจาเปน็ ของระบบการดแู ลช่วยเหลอื 2. ประสานงานระหว่างสถานศกึ ษา นกั เรียน กาหนดโครงสรา้ งการบริหารระบบการดูแล กับหนว่ ยงานและบคุ คลภายนอก ชว่ ยเหลอื นกั เรยี นให้เหมาะสมกบั สถานศึกษา เช่น ผปู้ กครอง เครอื ข่ายผปู้ กครอง - แต่งต้งั คณะกรรมการดาเนนิ งานตามความเหมาะสม องคก์ รตา่ งๆ สาธารณสขุ - ประชุมคณะกรรมการและกาหนดเกณฑจ์ าแนกกลมุ่ โรงพยาบาล สถานตี ารวจ ฯลฯ นกั เรียน 3. ดแู ล กากับ ตดิ ตาม ประเมนิ ผล - ส่งเสริมใหค้ รูทกุ คนและบุคคลทเ่ี กย่ี วข้องได้รบั ความรู้ สนับสนุนและใหข้ วัญกาลงั ใจในการ เพม่ิ เตมิ มีทักษะเก่ยี วกับระบบการดแู ลช่วยเหลอื นกั เรยี น ดาเนินงาน อย่างต่อเนื่อง - เชญิ ร่วมเปน็ กรรมการและเครือข่ายในการช่วยเหลอื นกั เรียน - ประชมุ ปรกึ ษาหารอื และขอความร่วมมอื - กาหนดปฏทิ ินการดาเนนิ งาน - นิเทศ กากบั ตดิ ตาม ประเมินผล - ยกยอ่ งให้รางวลั เผยแพรผ่ ลงานการดาเนินงานในโอกาส ตา่ งๆ

425 3.2 ครปู ระจาช้ัน/ครูที่ปรกึ ษา ครูประจาช้ัน/ครูท่ีปรึกษา เป็นผู้ท่ีอยู่ใกล้ชิดกับนักเรียนมากที่สุด และเป็น บุคลากรหลักในการดูแลช่วยเหลอื นักเรยี น จึงควรมีบทบาทหนา้ ท่แี ละแนวทางดาเนนิ งานดงั นี้ บทบาทหน้าท่ี แนวทางการดาเนินงาน 1. รจู้ ักนกั เรยี นเปน็ รายบคุ คล - ศกึ ษาและรวบรวมขอ้ มลู พ้ืนฐานของนักเรียนเปน็ ราย บคุ คล จัดเตรยี มเครอ่ื งมอื เกบ็ ขอ้ มลู นักเรยี นรายบคุ คล 2. คดั กรอง จาแนกกลุ่มนกั เรยี น - หาข้อมลู เพม่ิ เติมโดยนาเคร่อื งไปใชใ้ นการเก็ขอ้ มลู และ 3. จดั กจิ กรรมต่างๆ เพอ่ื สง่ เสรมิ ปรบั ปรงุ ขอ้ มลู ใหเ้ ปน็ ปจั จบุ นั พฒั นา - เก็บรวบรวมขอ้ มลู อยา่ งเปน็ ระบบ - วิเคราะหข์ ้อมูล 4. จดั กจิ กรรมป้องกนั แกไ้ ข - ดาเนินการคดั กรองนกั เรยี นตามเกณฑ์ทกี่ าหนด ชว่ ยเหลือ - สรปุ ผลการจาแนกนกั เรยี นเปน็ กลุ่ม - จดั กิจกรรมเพ่อื ส่งเสรมิ โดย 5. สง่ ต่อ 6. รายงานผล  เยีย่ มบา้ น  จัดกจิ กรรมโฮมรมู  สร้างความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งบา้ นกบั โรงเรียน  ประชมุ ผปู้ กครอง / จดหมายข่าว / อนื่ ๆ - จดั กจิ กรรมพฒั นาใหเ้ หมาะสมกบั กลมุ่ นักเรยี น - ใหค้ าปรึกษา - ให้ความชว่ ยเหลอื เบอื้ งตน้ - ประสานความรว่ มมือกบั ผปู้ กครอง ในการช่วยเหลอื แก้ไข - ดาเนินการส่งต่อภายในไปยงั บุคคลหรอื ฝา่ ยทเี่ กย่ี วข้อง - รายงานผลระหวา่ งดาเนินการ - รายงานผลเมอ่ื สิ้นสุด หมายเหต:ุ การดาเนนิ งานระบบการดแู ลช่วยเหลอื นักเรยี นทุกข้นั ตอน ครูประจาชั้น/ครูทป่ี รกึ ษา ควรรายงานผลการปฏิบตั งิ านทุกขั้นตอนการดาเนนิ งาน เพื่อการตรวจสอบปรบั ปรงุ พฒั นา

426 3.3 ครปู ระจาวชิ า/ครูท่วั ไป ครูทุกคนเป็นผมู้ ีบทบาทสาคัญในการพัฒนาผู้เรียนให้บรรลุตามจดุ มุ่งหมายของ หลักสูตร มีหน้าที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้และดูแลช่วยเหลือนักเรียน จึงควรมีบทบาทหน้าที่และ แนวทางดาเนินงานดังน้ี บทบาทหน้าท่ี แนวทางการดาเนินงาน ดูแลนักเรยี นและใหค้ าปรกึ ษา - ศกึ ษา สงั เกต ดูแล รวบรวมขอ้ มูล เบื้องต้นแกน่ ักเรียน - ประสานงานกับครปู ระจาชั้น/ครทู ป่ี รกึ ษา เพอ่ื สง่ เสรมิ ป้องกนั แก้ไขพฤตกิ รรมนกั เรียน - จัดกิจกรรมส่งเสรมิ ปอ้ งกนั แกไ้ ขเพือ่ พัฒนานกั เรยี น หมายเหต:ุ โรงเรียนใดไมม่ ีครปู ระจาวชิ าให้ครทู ที่ าหน้าที่ครปู ระจาช้ัน/ครทู ป่ี รกึ ษาปฏิบตั ิตามบทบาท หน้าทีค่ รูประจาวิชา 3.4 ครแู นะแนว ครูแนะแนว เป็นบุคคลที่มีความรับผิดชอบต่อการจัดระบบงานแนะแนว ซึ่งมี ความสมั พันธ์กับระบบการดูแลช่วยเหลือนกั เรยี น จงึ ควรมีบทบาทหน้าทแ่ี ละแนวทางดาเนินงานดังน้ี บทบาทหนา้ ท่ี แนวทางการดาเนนิ งาน 1. สนับสนุนครูประจาช้ัน/ครทู ่ี - ใหค้ าปรกึ ษาชว่ ยเหลอื แกค่ รปู ระจาชน้ั ครทู ป่ี รกึ ษา ปรึกษา ในการดแู ชว่ ยเหลอื นกั เรยี น - ให้ความมน่ั ใจ กาลงั ใจกับผู้ร่วมงานในการปฏิบตั ิงาน - ใหค้ าปรกึ ษาครอบคลุมทงั้ ดา้ นกาเรียน อาชพี ชวี ติ 2. จดั กจิ กรรมสง่ เสรมิ และพฒั นา และสงั คม ทั้งรายกลมุ่ และรายบคุ คล - จัดทาการศกึ ษารายกรณี (Case Study) - เตรยี มเครอื่ งมอื สนบั สนนุ ระบบการดูแลชว่ ยเหลอื นกั เรียนอย่างครอบคลมุ ตอ่ เนื่อง และเปน็ ปจั จบุ นั - ใหค้ าปรึกษาในการจดั ทาขอ้ มลู นกั เรยี น ประกอบกบั ผลสัมฤทธิท์ างการเรยี น ในกรณีนักเรียนยา้ ยทเี่ รยี น - จดั กจิ กรรมปอ้ งกันชว่ ยเหลอื แกไ้ ขพฤติกรรมนกั เรียน - ใหน้ กั เรยี นจัดกจิ กรรมสง่ เสรมิ พฒั นาเตม็ ศักยภาพของ แต่ละบคุ คล