412 ประวัตกิ ำรบรู ณะ พ.ศ. ๒๔๕๐ สถำปัตยกรรม หอไตรชันเดียวใต้ถุนสูง ในผังส่ีเหลี่ยมจัตุรัส หลังคำทรงโรง ไม่เห็นคอสอง ชันล่ำงเป็นเสำก่ออิฐ ตัง บนฐำนเขียงตอนล่ำงและฐำนบัวคว่้ำ สูงรวมประมำณ ๔๐ ซม. ข้ำงในปูกระเบืองดินเผำแปดเหลี่ยมแบบ โบรำณ เสำปนู มีทังหมด ๑๖ ตน้ โดยวำงใหเ้ สำค่กู ลำงกว้ำงกวำ่ เสำคนู่ อก ชันบนเป็นเครื่องไม้ สร้ำงทึบ ไม่มีระเบียง ตัวอำคำรวำงบนคำนท่ีก่อเสำครอบไว้ มีประตูทำงเข้ำ ด้ำนหน้ำทำงทิศใต้ ผนังด้ำนอื่นเป็นหน้ำต่ำง ด้ำนละ ๑ ช่อง ผนังแต่งเป็นช่องลูกฟัก ประตูหน้ำต่ำงมีกรอบ ดำ้ นบนและด้ำนลำ่ งเปน็ ไมฉ้ ลรุ ูปวงโคง้ บำนประตหู น้ำตำ่ งเขยี นภำพเทวดำยืนพนมมือ คันทวยเป็นไม้ยำวตีขึน จำกสว่ นลำ่ งของตวั ห้องเก็บธรรม ขึนไปรับหลงั คำปีกนก โครงสร้ำงหลังคำเป็นไม้ ใช้วิธีเข้ำไม้แบบสอดไม้ทังหมด ทรงโรง มุงด้วยกระเบืองดินขอ ภำยในมีหีบ ธรรม ๑๓ หบี ธรรมใบลำนประมำณ ๔,๐๐๐ ผูก ศิลปกรรม แกะสลักไม้ คันทวย แบบหชู ำ้ ง กรอบประตู ด้ำนบนเป็นรูปโค้งปลำยแหลมคว่้ำลง ข้ำงในแกะเครือดอกทรงพุ่มข้ำวบิณฑ์คว่้ำหัวลง เชน่ กัน ตรงกนั ขำ้ มกบั ด้ำนล่ำงทเ่ี ป็นดอกทรงพมุ่ ข้ำวบณิ ฑ์หงำยขนึ หอไตรวดั นาปัง
413 ภาพลายเส้นหอไตรวดั นาปัง จงั หวดั นา่ น
414 ดำ้ นทศิ เหนอื ดำ้ นทิศตะวนั ออก ๕.๒.๖.๓ วัด พระเกดิ
415 ท่ตี ง้ั วัด ตังอยู่ทำงทิศตะวันตกของแม่น้ำน่ำน ภำยในเมืองน่ำน ห่ำงจำกศำลำกลำงจังหวัด ประมำณ ๓ กิโลเมตร เลขที่ ๒๑ ถนนสุมนเทวรำช อำ้ เภอเมือง จังหวดั น่ำน สงั กดั คณะสงฆ์มหำนิกำย ควำมสำคัญของวดั ๑. หอไตรฝมี ือช่ำงไทลอื ๒. มใี บลำนพนื เมอื งนำ่ น (ประวัตศิ ำสตรเ์ มืองนำ่ น) ฉบบั วดั พระเกดิ ประวัติวัด ประวตั วิ ัดทวั่ รำชอำณำจกั รระบุว่ำ วดั สร้ำงใน พ.ศ. ๒๓๗๐ ท่ีต้ังหอไตร ด้ำนทศิ เหนอื ของวหิ ำร ตดิ กำ้ แพงวัด ใกล้กบั หอระฆังทีส่ ร้ำงใหม่ ประวัตกิ ำรสรำ้ งหอไตร สร้ำงวนั ที่ ๒๓ พฤศจิกำยน พ.ศ. ๒๔๗๖ โดยแม่เจ้ำยอด มหำยศนัน เป็นศรทั ธำใหญ่ ประวัติกำรบรู ณะหอไตร พ.ศ. ๒๕๓๒ มีกำรย้ำยหีบพระธรรมพร้อมพระธรรมไปเก็บรักษำไว้ในพิพิธภัณฑ์วัด ซ่ึงเป็นกุฏิ (โฮง หลวง) ของครูบำอินผ่อง ส่วนหอไตรใช้ประโยชน์เป็นท่ีพักสงฆ์ หลังจำกนันจึงมีกำรเปลี่ยนตอม่อหอไตรใหม่ เป็นคอนกรีตทำสี เปล่ยี นช่อฟำ้ ใบระกำ หำงหงส์ ส่วนประดับรำวระเบียง โดยท้ำเลียนแบบของเดิม มีคุณพล ศักด์ิ วัฒนะสิทธิ เปน็ เจ้ำศรัทธำใหญ่
416 สถำปตั ยกรรม หอไตรไม้ชนั เดียว ยกพนื สงู ในผังส่ีเหลย่ี มจัตรุ ัส หลังคำทรงโรง มองเหน็ คอสอง และยกหลังคำจ่ัวเล็ก ในตอนกลำงอกี ชันหน่ึง ชันล่ำงเป็นเสำไม้วำงบนตอม่อคอนกรีต จ้ำนวน ๑๒ ต้น ด้ำนกว้ำงแบ่งเป็น ๓ ห้อง โดยห้องกลำงมี ขนำดใหญ่สุด ด้ำนยำวแบ่งเป็น ๒ ห้อง วำงคำนบนเสำโดยถำกเสำออกด้ำนหน่ึง ตีตงและพืนไม้ชันบนด้วย ตะปู มีฝำเพดำนปิด ดำ้ นทิศเหนอื บริเวณท่ีเป็นระเบียงมบี ันไดทำงขึนถำวร ชันบนเปน็ ห้องเก็บธรรมในตอนกลำง ลอ้ มรอบดว้ ยระเบียง มีประตทู ำงเขำ้ หอ้ งเก็บธรรมทำงทิศเหนือ ด้ำนอื่นเปน็ หนำ้ ต่ำง ด้ำนละ ๑ บำน เสำหอ้ งเก็บธรรมยกขึนเป็นเสำหลังคำจ่ัวในตอนกลำง ในส่วนระเบียงถูก คลมุ ไวด้ ว้ ยหลงั คำปกี นก ระเบียงเป็นไมฉ้ ลุ หลงั คำทรงโรง มองเหน็ คอสอง ช่อฟำ้ แบบปำกนกยอดชอ่ ฟ้ำแยกเป็นสองแฉกตำมแบบพนื เมืองน่ำน ศิลปกรรม แกะสลักไม้ หน้ำบนั เปน็ ภำพเทวดำครง่ึ ตนพนมมือ ล้อมด้วยดอกทรงพมุ่ ขำ้ วบิณฑ์ กนกใบเทศ คอสอง เป็นดอกประจำ้ ยำม กำรปกป้องคมุ้ ครอง ๑. ไดร้ ับรำงวลั สถำปตั ยกรรมควรคำ่ แก่กำรอนรุ กั ษ์ พ.ศ. ๒๕๕๗ โดยสมำคมสถำปนกิ ล้ำนนำ หอไตรวดั พระเกิด
417 ภาพลายเส้นหอไตรวดั พระเกดิ จงั หวดั นา่ น
418 ด้ำนทศิ ตะวนั ตก ด้ำนทิศเหนอื ๕.๒.๖.๔ วดั หวั ข่วง ทีต่ ง้ั วัด ตังอยู่ทำงทิศตะวันออกของแม่น้ำน่ำน ภำยในเมืองน่ำน ห่ำงจำกศำลำกลำงจังหวัด ประมำณ ๔๐๐ เมตร เลขที่ ๗๗ ถนนมหำพรหม อำ้ เภอเมือง จงั หวดั นำ่ น สังกดั คณะสงฆม์ หำนกิ ำย
419 ควำมสำคัญของวัด ๑. หอไตรฝมี ือช่ำงไทลือ ๒. วดั ท่ไี ด้รบั กำรอุปถัมภ์โดยเจำ้ เมืองน่ำน ประวตั ิวดั ประวตั ิวดั ทั่วรำชอำณำจักรระบุว่ำ วดั สร้ำงใน พ.ศ. ๒๔๒๕ ตอ่ มำใน พ.ศ. ๒๔๕๔ มีกำรบูรณะวัดโดย เจำ้ อนนั ตวรฤทธิเดช ผ้คู รองนครน่ำนเป็นประธำน บูรณะอกี ครังใน พ.ศ. ๒๔๗๐ สมัยพลตรีเจ้ำมหำสุรธำดำ ผู้ ครองนครน่ำนองค์สุดท้ำย วัดหวั ขว่ งได้รบั พระรำชทำนวิสงุ คำมสีมำ พ.ศ. ๒๕๐๕ ทีต่ ง้ั หอไตร ดำ้ นหลงั วหิ ำร แนวเดียวกบั เจดยี ์ ประวัตกิ ำรสรำ้ งหอไตร สร้ำง พ.ศ. ๒๔๗๓ โดยพลตรีเจ้ำมหำสุรธำดำ ผู้ครองนครน่ำนองค์สุดท้ำย เป็นประธำนกำรก่อสร้ำง ฝำ่ ยฆรำวำส และพระอโน เจ้ำอำวำสวัดหัวขว่ งขณะนันเป็นประธำนฝ่ำยสงฆ์ ประวตั กิ ำรบูรณะหอไตร พ.ศ. ๒๕๕๕ – ๒๕๕๗ โดยกรมศิลปำกร สมเดจ็ พระเทพรตั นรำชสุดำฯ เสด็จมำยกช่อฟ้ำ ในวันที่ ๑๘ กุมภำพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๘ สถำปตั ยกรรม หอไตร ๒ ชัน ในผังสี่เหลี่ยมจัตุรัส ชันล่ำงก่ออิฐ ชันบนเคร่ืองไม้ หลังคำทรงโรง มองเห็นคอสอง ชดั เจน ชันล่ำงก่ออิฐทึบ แต่งอำคำรส่วนล่ำงเป็นบัวคว้่ำและแต่งส่วนบนเป็นบัวหงำย แต่ละด้ำนแบ่งเป็น ๓ ห้อง ห้องกลำงด้ำนทิศตะวันออกเป็นประตูทำงเข้ำ ด้ำนอ่ืนเป็นหน้ำต่ำง โครงสร้ำงเสำปูนด้ำนละ ๔ ต้น ระหว่ำงเสำก่ออฐิ ทึบถงึ พืนดำ้ นบน ชันบนเป็นไม้ ตีไม้ตำมขวำงเป็นห้องทึบ หน้ำต่ำงอยู่ตอนกลำงของผนังในทุกด้ำน แต่งเป็นซุ้มปลำย แหลม ผนัง หวั เสำ บำนประตู แต่งด้วยไม้แกะสลกั ประดับกระจก หลังคำทรงโรง ส่วนปีกนกไม่คลุมลงมำต่้ำ เคร่อื งหลังคำเปน็ ช่อฟำ้ แบบพนื เมือง ลักษณะเป็นนำคมีปีก และยอดถกู แบง่ เป็นสองแฉก หนำ้ บันเปน็ งำนไมแ้ กะสลัก ศลิ ปกรรม
420 แกะสลักไม้ หน้ำบัน เป็นภำพเทวดำนั่งพนมมอื ลำยเครือเถำเทศ กรอบเปน็ ลำยพ่มุ ข้ำวบิณฑด์ อกลอย บำนประตูลำ่ ง เทวดำยนื บนช้ำงเอรำวัณ และเทวดำยืนบนดอกบัว เหนอื เทวดำเปน็ กนกเปลว หนำ้ ต่ำงล่ำง หน้ำต่ำงบน เป็นสัตวห์ มิ พำนต์ กำรปกปอ้ งค้มุ ครอง ๑. ประกำศขึนทะเบียนและก้ำหนดขอบเขตโบรำณสถำน ในรำชกิจจำนุเบกษำ เล่มที่ ๙๗ ตอนที่ ๑๒๓ ลงวันที่ ๑๒ สงิ หำคม พ.ศ. ๒๕๒๓ หอไตรวดั หวั ขว่ ง
421 ภาพลายเส้นหอไตรวดั หวั ขว่ ง จงั หวดั นา่ น ด้ำนทิศตะวนั ออก ดำ้ นทศิ เหนอื ๕.๒.๖.๕ วดั ดอนไชยพระบำท (หลังเดิม)
422 ที่ตั้งวัด ตังอยู่ทำงทิศใต้ นอกเมืองน่ำน ห่ำงจำกศำลำกลำงจังหวัด ประมำณ ๑๕ กิโลเมตร หมู่ ๗ ต้ำบลนำ เหลอื ง อ้ำเภอเวยี งสำ จงั หวดั นำ่ น สังกัดคณะสงฆ์มหำนกิ ำย ควำมสำคญั ของวดั ๑. ประดษิ ฐำนพระธำตเุ จดีย์ ประวัตวิ ัด ประวตั วิ ัดทว่ั รำชอำณำจักรระบวุ ำ่ วดั สรำ้ งใน พ.ศ. ๒๓๑๙ สมยั ครบู ำไชยพละเป็นเจ้ำอำวำส และพ่อ หม่นื จุ๋มป๋ำ กบั พอ่ ฮ้อย ตำมนั เป็นศรทั ธำใหญ่ ทวำ่ ในเอกสำรวัดระบุกำรสร้ำงวัดมำตังแต่ พ.ศ. ๑๘๙๗ สมัยท่ี น่ำนปกครองโดยพญำกำรเมือง และมีสัมพันธภำพอันดีกับสุโขทัย มีช่ือเรียกในอดีตว่ำ วัดหนองแหย่งบ้ำง วดั แอบ็ ปำ่ บำ้ ง วัดตำลเกิงบ้ำง ทีต่ ัง้ หอไตร ดำ้ นหนำ้ วดั ทำงทศิ ตะวนั ออกของวิหำร หรือทำงทศิ เหนอื ของหอไตรหลังใหม่ ประวัติกำรสรำ้ งหอไตร สร้ำงใน พ.ศ. ๒๔๕๕ โดยนำยสม ธรรมเรือง ผู้ใหญ่บ้ำนบ้ำนท่ำ ร่วมกับนำยคันธะ ก้อนสมบัติ และ นำยปัญญำ คำ้ มำตร ประวัติกำรบูรณะหอไตร พ.ศ. ๒๕๓๔ พระสมเจตน์ ฐำนิสฺสโร ได้ก่ออิฐโบกปูนทำ้ หอ้ งชนั ลำ่ ง และทำสีขำว สถำปัตยกรรม หอไตร ๒ ชัน ในผังส่ีเหลี่ยมจตั รุ ัส ชันล่ำงก่ออิฐ ชันบนเปน็ เครอื่ งไม้ หลังคำทรงโรง ชันล่ำงมีเสำ ๙ ต้น ก่ออิฐครอบทีหลังเป็นก้ำแพง โบกปูนทำสีขำว มีประตูทำงเข้ำด้ำนทิศใต้ และทิศ เหนือดำ้ นละ ๑ ประตู
423 ชันบน เป็นห้องเก็บธรรมในตอนกลำง มีระเบียงล้อมรอบ ห้องเก็บธรรมใช้ส้ำไม้ ๔ ต้น ตีเคร่ำและตี ฝำในแนวตงั มปี ระตทู ำงเขำ้ ดำ้ นทศิ ตะวันตกเพียงดำ้ นเดยี ว ด้ำนอ่นื ตไี ม้ปดิ ทึบ ระเบียงเป็นไมต้ ที แยงกำกบำท หลงั คำทรงโรง มงุ สังกะสี เครอ่ื งบนเป็นไม้ หนำ้ บันไม้ แกะสลกั ทำสีเหลือง ศลิ ปกรรม แกะสลักไม้ หนำ้ บนั กลุ่มดอกไม้ ๕ ดอก ทตี่ อนกลำงเปน็ กระจกสเ่ี หลี่ยม ฝำผนงั เปน็ ดอกลอย (ใหม)่ จติ รกรรมสนี ำ้ มัน บำนประตูด้ำนบน เป็นเทวดำยนื เท้ำสะเอว ถือพระขรรค์ในมอื ซ้ำย เป็นงำนพืนเมอื ง หอไตรวดั ดอนไชยพระบาท
424 ภาพลายเส้นหอไตรวดั ดอนไชยพระบาท จงั หวดั นา่ น
425 ด้ำนทศิ ตะวนั ตก ด้ำนทศิ เหนือ ๕.๒.๗.๑ วดั แม่นำเรอื ๕.๒.๗ จงั หวดั พะเยำ มจี ำนวน ๓ หลัง ที่ต้ังวัด ตังอยู่ทำงทิศใต้ของกว้ำนพะเยำ ห่ำงจำกศำลำกลำงจังหวัด ประมำณ ๑๕ กิโลเมตร หมู่ ๑๐ ต้ำบล แมน่ ำเรือ อ้ำเภอเมือง จงั หวัดพะเยำ สังกดั คณะสงฆม์ หำนิกำย ควำมสำคัญของวดั
426 ๑. เปน็ วัดท่ตี งั อยใู่ นพืนทเี่ มืองโบรำณ จงั หวดั พะเยำ ประวตั ิวดั ประวัติวัดทั่วรำชอำณำจักรระบุว่ำ วัดสร้ำงใน พ.ศ. ๒๒๐๐ รับพระรำชวิสุงคำมสีมำ วันท่ี ๑๘ มีนำคม พ.ศ. ๒๔๙๑ ทีต่ ้งั หอไตร ด้ำนหลังวิหำร ทำงทิศเหนือ ใกล้กับหอระฆัง ประวัติกำรสรำ้ งหอไตร พ.ศ. ๒๔๕๔ – ๒๔๙๔ ประวัตกิ ำรบรู ณะหอไตร พ.ศ. ๒๕๕๐ สถำปตั ยกรรม หอไตรก่ออฐิ ๒ ชนั ในผังส่ีเหลย่ี มผืนผ้ำ ทำสีขำว หลงั คำทรงคฤห์ ชนั ล่ำงก่ออิฐถือปนู มีประตทู ำงเข้ำด้ำนหน้ำ ๑ ประตู ด้ำนตรงข้ำมก่อผนังทึบไม่มีประตู ส่วนด้ำนทิศ เหนอื และทิศใต้มีหน้ำตำ่ งด้ำนละ ๒ ช่อง ภำยในเขียนภำพจิตรกรรมสนี ้ำมนั ชันบน ต่อระเบียงย่ืนออกมำจำกตัวอำคำรด้ำนละ ๓๐ ซม. มีช่องหน้ำต่ำงรอบ ด้ำนสกัดด้ำนละ ๑ ช่อง ส่วนด้ำนยำวด้ำนละ ๒ ช่อง ทังประตูหน้ำต่ำงด้ำนบนและล่ำงตกแต่งเป็นซุ้มโค้งปลำยแหลม บำนประตู หนำ้ ต่ำงแกะไม้ หลังคำทรงคฤห์ ที่มสี ่วนหลงั คำปีกนกซ้อนกัน ๒ ชัน เครื่องล้ำยองเปน็ ไม้แกะปิดทอง ศลิ ปกรรม แกะสลกั ไม้ หน้ำบัน ลำยเครือดอกบวั ปูนปั้น วงโคง้ ใตซ้ มุ้ ประตูเปน็ รปู นกยงู ส่วนวงโคง้ ใต้ซุ้มหน้ำต่ำงเปน็ ดอกพดุ ตำน
427 หอไตรวดั แมน่ าเรือ
428 ภาพลายเส้นหอไตรวดั แมน่ าเรือ จงั หวดั พะเยา
429 ๕.๒.๗.๒ วัดศรโี คมคำ ทีต่ ั้งวัด ตังอยู่ทำงทิศใต้ของจังหวัดพะเยำ ห่ำงจำกศำลำกลำงจังหวัด ประมำณ ๕.๖ กิโลเมตร เลขท่ี ๖๙๒ ถนนพหลโยธิน หมู่ ๑ ต้ำบลเวียง อ้ำเภอเมือง จังหวัดพะเยำ สังกัดคณะสงฆ์มหำนิกำย ได้รับกำรยกฐำนะขึน เป็นพระอำรำมหลวง ชันตรี ชนิดสำมัญ เม่อื วนั ที่ ๑๗ เมษำยน พ.ศ. ๒๕๒๓ ควำมสำคัญของวัด ๑. ประดิษฐำนพระธำตเุ จดยี ์ ๒. พระเจ้ำตนหลวง พระประธำนในวหิ ำรเป็นพระพทุ ธรปู โบรำณขนำดใหญ่ ๓. เกย่ี วข้องกับครูบำเจำ้ ศรวี ชิ ยั ประวัติวดั ประวตั วิ ัดทว่ั รำชอำณำจักรระบวุ ่ำ วัดสรำ้ งใน พ.ศ. ๒๐๖๗ ภำยหลงั จำกกำรกอ่ สร้ำงพระเจ้ำตนหลวง ก่อนถูกทงิ ร้ำงกระทั่งสมัยพระยำประเทศอุดรทิศ ผู้ครองเมืองพะเยำองค์สุดท้ำย จึงได้บูรณะวัดศรีโคมค้ำและ พระเจ้ำตนหลวงอีกครัง ตอ่ มำใน พ.ศ. ๒๔๖๕ – ๒๔๖๗ ครูบำเจ้ำศรวี ชิ ัยจงึ ไดม้ ำบูรณะวัดศรีโคมคำ้ วัดศรโี คมคำ้ ได้รับพระรำชวสิ ุงคำมสมี ำ วันที่ ๑๘ มีนำคม พ.ศ. ๒๔๙๑ บ้ำงก็เรียกวัดพระเจ้ำตนหลวง วัดนกเอยี ง และวดั หลวงนอก
430 ทตี่ ้ังหอไตร ดำ้ นทศิ เหนือของวหิ ำร ในเขตสังฆำวำส ประวัติกำรสรำ้ งหอไตร พ.ศ. ๒๔๘๕ สมยั พระอบุ ำลีคณุ ูปมำจำรย์ (ปวง ธมฺมปญฺโญ) เป็นเจำ้ อำวำสวัดศรีโคมค้ำ ประวตั ิกำรบรู ณะหอไตร พ.ศ. ๒๕๒๕ สถำปัตยกรรม หอไตรก่ออิฐ ๒ ชัน หลังคำทรงคฤห์ มองเห็นคอสองชัดเจน ต่อมุขยื่นออกมำตอนกลำงด้ำนหน้ำเพ่ือ คลุมประตดู ้ำนหนำ้ ชนั ล่ำงใช้โครงสรำ้ งเสำและผนังรองรบั นำ้ หนกั ด้ำนกว้ำงมีเสำ ๔ ต้น มีห้อง ๓ ช่วงเสำ ด้ำนยำวมีเสำ ๕ ต้น มีห้อง ๔ ช่วงเสำ ส่วนฐำนด้ำนล่ำงแต่งเป็นฐำนบัว ด้ำนหน้ำมีประตูทำงเข้ำ ๑ ประตู และหน้ำต่ำง ๒ ชอ่ ง สว่ นดำ้ นขำ้ งมีหน้ำต่ำง ๓ ช่อง ยกเว้นช่วงเสำหลงั สดุ ก่อผนงั ทบึ มีหลงั คำปกี นกรอบ ชันบนโครงสร้ำงเสำและผนังรับน้ำหนักเช่นกัน โดยตัวห้องเก็บธรรมมีขนำดเล็กกว่ำห้องด้ำนล่ำง มี ระเบียงรอบ โดยระเบยี งดำ้ นหน้ำมีควำมกวำ้ งกว่ำระเบียงดำ้ นหลงั ด้ำนหน้ำมีประตทู ำงเข้ำ ๑ ประตู หน้ำต่ำง ๒ ช่องล้อกับด้ำนลำ่ ง ด้ำนข้ำงมีชอ่ งหนำ้ ตำ่ ง ๒ ช่อง หลงั คำทรงคฤห์ ชอ่ ฟ้ำเป็นไมแ้ กะรูปทรงส่ีเหล่ียมข้ำวหลำมตัด ใบระกำตัดตรง และหำงหงส์แบบหำง วนั หน้ำบันเปน็ ไม้แกะสลักประดบั กระจก ศิลปกรรม แกะสลกั ไม้ หนำ้ บนั หม้อปรู ณะฆฏะ คอสอง เป็นลำยกรอบชอ่ งกระจกหกเหลีย่ ม ดำ้ นในลำยเครือเถำ ฉลลุ ำย บำนหนำ้ ต่ำง ลำยดอกประจำ้ ยำมในกรอบลำยกนก
431 กำรปกป้องคมุ้ ครอง ๑. ประกำศขึนทะเบียนเป็นโบรำณสถำนแห่งชำติ ในรำชกิจจำนุเบกษำ เล่ม ๕๒ ตอนท่ี ๗๕ วันที่ ๘ มีนำคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ๒. ประกำศก้ำหนดขอบเขตในรำชกิจจำนุเบกษำ เล่มท่ี ๙๗ ตอนท่ี ๔๑ ลงวันท่ี ๑๔ มีนำคม พ.ศ. ๒๕๒๓ หอไตรวดั ศรีโคมคา
432 ภาพลายเส้นหอไตรวดั ศรีโคมคา จงั หวดั พะเยา
433 ด้ำนทิศตะวนั ออก ดำ้ นทิศเหนอื ๕.๒.๗.๓ วดั หลวง ท่ีต้ังวดั
434 ตังอยู่ทำงทิศตะวันออกของเมืองพะเยำ ห่ำงจำกกว้ำนพะเยำประมำณ ๗๗ กม. ในเขตต้ำบลออย อำ้ เภอปง จงั หวดั พะเยำ สังกัดคณะสงฆ์มหำนกิ ำย ควำมสำคัญของวัด ๑. เปน็ วัดประจ้ำตำ้ บลออย ประวัติวัด ประวตั วิ ดั ทว่ั รำชอำณำจกั รระบวุ ่ำ วดั สรำ้ งใน พ.ศ. ๒๓๑๑ ทต่ี ้ังหอไตร ดำ้ นหน้ำ ทำงทศิ เหนอื ของวหิ ำร ประวตั กิ ำรสรำ้ งหอไตร สร้ำง พ.ศ. ๒๔๘๔ ประวัติกำรบรู ณะหอไตร พ.ศ. ๒๕๒๕ สถำปัตยกรรม หอไตรไม้ชันเดียว ใต้ถุนสูง ลักษณะคล้ำยยุ้งข้ำว มีเสำ ๔ ต้น ในผังสี่เหล่ียมจัตุรัส ด้ำนบนทึบ ไม่มี ระเบยี ง หลังคำมีจัว่ เลก็ ยก ๔ ด้ำนในตอนกลำง ชันล่ำงเป็นเสำไม้ซุง ๔ ต้น บนตอม่อปูน เทฐำนปูนสี่เหล่ียมยกสูงจำกพืนดินประมำณ ๑๐ ซม. สอด คำนทเี่ สำ ตไี มต้ งพำดขวำง เพ่อื ตีพนื ไม้ ดำ้ นบนเป็นห้องทึบ ประตูอยู่ด้ำนทิศใต้ ไม่มีบันไดทำงขึน ฝำผนังห้อง เกบ็ ธรรมด้ำนลำ่ งตไี ม้ตำมแนวขวำง ดำ้ นบนตีไมต้ งั ขนึ ไป หลังคำเปน็ จวั่ เล็กๆ ในตอนกลำงทัง ๔ ด้ำน มีปกี นอกรอบ มุงด้วยไม้แปน้ เกล็ด ยอดเป็นฉัตรไม้ หอไตรวดั หลวง
435 ภาพลายเส้นหอไตรวดั หลวง จงั หวดั พะเยา
436 ด้ำนทิศเหนือ ด้ำนทศิ ตะวนั ออก ผงั พืนอำคำร ๕.๓ กำรวิเครำะห์หอไตรทีไ่ ดร้ ับกำรคัดเลอื ก (๔๖ หลัง) หอไตรที่คัดเลือกโดยผู้เช่ียวชำญทัง ๔๖ แห่งนัน มีควำมหลำกหลำยทังด้ำนอำยุกำรก่อสร้ำง สถำปตั ยกรรม และศลิ ปกรรม ดังนี
437 ๕.๓.๑ ควำมหลำกหลำยทำงอำยุกำรกอ่ สร้ำง มีตงั แต่ต้นพทุ ธศตวรรษที่ ๒๓ กระท่ังหอไตรท่ีสร้ำงใหม่ในพุทธศตวรรษท่ี ๒๖ โดยหอไตรท่ีได้รับกำร คัดเลือกมำกทสี่ ุด คอื หอไตรในพุทธศตวรรษท่ี ๒๕ หอไตรที่เก่ำที่สุด ๓ อันดับ ได้แก่ หอไตรวัดพระธำตุล้ำปำงหลวง (ต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๓) จังหวัด ลำ้ ปำง หอไตรวดั พระสิงห์ (พ.ศ. ๒๓๕๘) จังหวัดเชยี งใหม่ หอไตรวัดพระธำตุหริภุญชัย (พ.ศ. ๒๓๖๐) จังหวัด ลำ้ พูน ส่วนหอไตรที่ใหม่ในพุทธศตวรรษที่ ๒๖ มี ๔ หลัง ได้แก่ หอไตรวัดศรีบุญโยง (พ.ศ. ๒๕๓๖) จังหวัด ล้ำปำง ซง่ึ สร้ำงเลียนแบบของเดมิ หอไตรวัดกำสำ (พ.ศ. ๒๕๔๕) จังหวัดเชียงรำย สร้ำงขึนใหม่ ลักษณะคล้ำย ยุ้งข้ำวโบรำณล้ำนนำ หอไตรวัดดอนแก้ว (พ.ศ. ๒๕๔๘) จังหวัดเชียงรำย สร้ำงเลียนแบบหอไตรวัดคร่ึงใต้ พรอ้ มฟืน้ ฟูประเพณโี บรำณเกยี่ วกบั พระไตรปิฎก เชน่ กำรเทศน์มหำชำติโดยให้สำมเณรขึนนั่งเทศน์บนหอไตร แทนทจ่ี ะน่งั บนธรรมมำส หรอื พิธตี ำกธรรม เป็นตน้ หอไตรวัดศรโี คมคำ้ (พ.ศ. ๒๕๕๓) จังหวัดพะเยำ สร้ำงขึน ใหมใ่ นรูปแบบล้ำนนำประยกุ ต์ ๕.๓.๒ ควำมหลำกหลำยทำงสถำปัตยกรรม ก. หอไตรไม้ จ้ำนวน ๑๙ หลงั แบง่ ได้เปน็ หอไตรในจังหวัดเชียงใหม่ ๓ หลงั ไดแ้ ก่ หอไตรวัดแสนฝำง (เดิม) วัดเชียงม่นั และวดั หลวงขนุ วนิ หอไตรในจังหวัดล้ำพูน ๘ หลัง ได้แก่ หอไตรวัดดงฤำษี วัดป่ำป๋วย วัดห้วยกำน วัดป่ำเหียง วัดสัน ก้ำแพง วดั ประตปู ำ่ วัดหมูเป้ิง และวดั ขุนคงหลวง หอไตรในจงั หวัดเชียงรำย มี ๓ หลงั ไดแ้ ก่ หอไตรวัดคร่งึ ใต้ วัดดอนแกว้ และวดั กำสำ หอไตรในจงั หวดั แพร่ มี ๓ หลงั ได้แก่ หอไตรวัดพระนอน วดั พระบำทมงิ่ เมอื ง และวัดหลวง หอไตรในจังหวดั นำ่ น มี ๑ หลัง ได้แก่ หอไตรวดั พระเกิด หอไตรในจังหวดั พะเยำมี ๑ หลัง คือ หอไตรวัดหลวง หอไตรท่ีสร้ำงด้วยไม้เหล่ำนี มีทังท่ีสร้ำงไว้เหนือพืนดิน และสร้ำงไว้กลำงสระน้ำ ส้ำหรับหอไตรวัด เชยี งมนั่ จังหวัดเชยี งใหม่นนั หอไตรหลังเดิมที่สร้ำงใน พ.ศ.๒๑๑๔ เป็นหอไตรกลำงน้ำ แต่เมื่อผุพังไป ทำงวัด จึงสร้ำงหอไตรใหม่ใน พ.ศ. ๒๔๘๓ เป็นหอไตรผสม ด้ำนล่ำงก่ออิฐด้ำนบนเป็นไม้ ต่อมำใน พ.ศ. ๒๕๕๓ ทำง วัดจึงได้ย้ำยหอไตรที่ตังอยู่บนพืนดินไปอยู่กลำงสระน้ำ โดยทุบส่วนก่ออิฐด้ำนล่ำงออก คงไว้เฉพำะส่วนที่เป็น
438 ไม้ด้ำนบน น้ำไปตังไว้บนเสำท่ีหล่อเตรียมไว้กลำงสระน้ำที่ขุดขึนมำใหม่ โดยให้เหตุผลกำรย้ำยว่ำ เพ่ือป้องกัน กำรกัดกนิ ใบลำนจำกสัตว์ตำ่ งๆ มีปลวกเป็นต้น ลักษณะร่วมของหอไตรไม้มีดังเช่น มักท้ำระเบียงล้อมรอบห้องเก็บธรรม มีผังอำคำรในรูป สี่เหล่ียมผืนผำ้ ยกเว้นหอไตรวัดครง่ึ ใต้กับวัดดอนแก้ว ในจังหวัดเชียงรำย ท่ีมีผังเป็นรูปส่ีเหลี่ยมจัตุรัสและไม่มี ระเบียงรอบห้องเก็บธรรม เพรำะตัวหอไตรมีขนำดเล็ก ส่วนหอไตรวัดพระเกิด จังหวัดน่ำน เป็นหอไตรขนำด ใหญ่ในผังสี่เหลี่ยมจตั รุ สั และมรี ะเบียงรอบห้องเก็บธรรม แต่ไม่มีหอไตรไม้หลังใดเลยที่มีผังอำคำรย่อเก็จ หรือ รูปตรีมขุ หรอื จัตรุ มุข ข. หอไตรก่ออฐิ ถอื ปนู มีจำ้ นวน ๖ หลัง แบง่ ได้เป็น หอไตรในจังหวัดเชยี งใหม่ มี ๒ หลงั ไดแ้ ก่ หอไตรวดั ช่ำงฆ้อง และวัดดวงดี หอไตรในจงั หวัดลำ้ พนู มี ๑ หลงั ได้แก่ หอไตรวดั ปำ่ ซำงงำม หอไตรในจังหวัดน่ำน มี ๑ หลัง ไดแ้ ก่ หอไตรวดั นำเตำ หอไตรในจงั หวัดพะยำ มี ๒ หลงั ไดแ้ ก่ หอไตรวดั แมน่ ำเรอื และวัดศรโี คมคำ้ หอไตรก่ออิฐถือปูนนีที่สร้ำงชันเดียวติดพืนดิน ได้แก่ หอไตรวัดดวงดี ท่ีสร้ำงชันเดียวทว่ำได้ยกส่วน ฐำนให้สูงเกือบพอๆ กับควำมสูงของตัวห้องเก็บธรรม แบบที่ทำงล้ำนนำเรียกหอสูง ได้แก่ หอไตรวัดนำเตำ ที่ เปน็ ตกึ สองชนั ได้แก่ หอไตรวัดชำ่ งฆ้อง วัดป่ำซำงงำม วัดแมน่ ำเรือ และวัดศรีโคมค้ำ แม้จะมีควำมหลำกหลำยทำงรูปแบบสถำปัตยกรรม แต่หอไตรก่ออิฐถือปูนเหล่ำนีก็มีลักษณะบำง ประกำรร่วมกนั อำทิ มกั ไม่มีระเบยี งรอบห้องเกบ็ ธรรม หำกผงั อำคำรเปน็ ส่ีเหล่ียมจัตุรัสก็จะท้ำหลังคำซ้อนชัน กนั ขึนไป แตห่ ำกมผี งั เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ำ ก็มักท้ำหลังคำทรงโรงที่ต่อส่วนหลังคำปีนนกด้ำนข้ำงเท่ำนัน และ หอไตรก่ออิฐถอื ปนู ท่ไี ดร้ ับอทิ ธพิ ลทำงสถำปัตยกรรมแบบพม่ำ กม็ หี อไตรวัดปำ่ ซำงงำม เปน็ ตน้ ค. หอไตรทมี่ ีกำรใช้วสั ดผุ สม มจี ้ำนวน ๑๙ หลัง แบง่ ไดเ้ ปน็ จงั หวัดเชียงใหม่ มี ๙ หลัง ได้แก่ หอไตรวัดเกตกำรำม วัดอู่ทรำยค้ำ วัดมหำวัน วัดหม่ืนล้ำน วัดพระ สงิ ห์ วดั ศรีสุพรรณ วดั สันป่ำเลียง วัดพระนอนขอนม่วง และวัดบวกครกใต้ จังหวัดล้ำพูน มี ๒ หลงั ไดแ้ ก่ หอไตรวดั ชำ้ งรอง กับวัดพระธำตุหริภุญชัย จงั หวดั ล้ำปำง มี ๓ หลัง ไดแ้ ก่ หอไตรวดั พระธำตลุ ำ้ ปำงหลวง วัดศรบี ญุ โยง และวดั พระเจ้ำทนั ใจ
439 จงั หวดั แพร่ มี ๒ หลัง ไดแ้ ก่ หอไตรวดั ชัยมงคล กับวัดศรีดอนค้ำ จังหวัดน่ำน มี ๓ หลงั ได้แก่ หอไตรวดั นำปัง วัดหวั ขว่ ง และวัดดอนไชยพระบำท (เดิม) ควำมหลำกหลำยทำงสถำปตั ยกรรมของหอไตรผสม ไดแ้ ก่ กลุ่มท่ีผังอำคำรเป็นรูปส่ีเหลี่ยมผืนผ้ำ ได้แก่ หอไตรวัดเกตกำรำม วัดมหำวัน วัดสันป่ำเลียง วัดบวก ครกใต้ วดั พระธำตุล้ำปำงหลวง พบวำ่ เป็นรปู แบบทั่วไปของหอไตรล้ำนนำ มักมีหลังคำทรงคฤห์ และมีระเบียง รอบหอ้ งเก็บธรรม ยกเว้นหอไตรวัดพระธำตุล้ำปำงหลวงที่มีอำยุเก่ำที่สุด ตีฝำทึบไม่มีระเบียง และกำรตีฝำก็ตี ให้บำนออกด้ำนข้ำงคลำ้ ยยงุ้ ข้ำวล้ำนนำโบรำณ กลุ่มท่ีมผี งั อำคำรรูปส่ีเหล่ียมจัตุรัส ได้แก่ หอไตรวัดหมื่นล้ำน วัดศรีสุพรรณ วัดศรีบุญโยง วัดพระเจ้ำ ทันใจ วัดนำปัง วดั หัวข่วง และวัดดอนไชยพระบำท (เดิม) กลมุ่ นแี บ่งไดเ้ ปน็ หอไตรทส่ี รำ้ งโดยช่ำงชำวพม่ำหรือ ไทใหญ่ คือ หอไตรวัดหมื่นล้ำน วัดศรีบุญโยง และวัดพระเจ้ำทันใจ สร้ำงโดยช่ำงชำวไทลือ คือ หอไตรวัดหัว ขว่ ง วัดนำปงั และวดั ดอนไชยพระบำท และสร้ำงโดยช่ำงชำวล้ำนนำ ได้แก่ หอไตรวัดศรีสพุ รรณ กล่มุ ทม่ี ผี งั ย่อเก็จในผงั อำคำรด้ำนล่ำงเพียงอย่ำงเดียวหรือด้ำนบนเพียงอย่ำงเดียวหรือทังด้ำนบนและ ด้ำนล่ำง เช่น หอไตรวัดพระสงิ ห์ วัดพระธำตุหรภิ ุญชัย วัดชำ้ งรอง วัดศรดี อนค้ำ เปน็ ต้น หอไตรกลุ่มนีมีหอไตร วดั พระสงิ ห์เปน็ ต้นแบบ มีควำมสัมพันธ์กับทรงหลังคำท่ีต้องเป็นทรงโรงเสมอ และอำจมีระเบียงห้องเก็บธรรม ในส่วนด้ำนหนำ้ หรือด้ำนหลงั หรือทังหนำ้ และหลงั ของสว่ นทีม่ กี ำรย่อเกจ็ กลุ่มที่มีผังอำคำรเป็นรูปตรีมุข ได้แก่ หอไตรวัดพระนอนขอนม่วง วัดชัยมงคล เป็นต้น กลุ่มนีในส่วน หลังคำจะเป็นทรงโรง โดยหลังคำหลักจะวำงยำวคลุมพืนท่ีรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ำ และต่อหลังคำออกมำในส่วน ตอนกลำงของหลังคำหลัก เป็นรูปตรีมุข ตัวห้องเก็บธรรมที่อยู่ในส่วนกลำงอำคำรเป็นรูปสี่หลียมจัตุรัส ที่มีมุข ย่ืนออกมำทงั สำมดำ้ นใชป้ ระโยชน์เป็นระเบียง ผงั อำคำรเป็นรูปจัตุรมุข ได้แก่ หอไตรวัดอู่ทรำยค้ำ หลังคำเป็นหลังคำเอนลำด บนสุดจะเป็นปลียอด คลำ้ ยปลียอดเจดีย์ ๕.๓.๓ ควำมหลำกหลำยทำงศิลปกรรม ก. ลำยดอกไม้ ใบไม้ ลวดลำยดอกไม้ที่แกะสลักบนหน้ำบันมักเป็น ลำยดอกสับปะรด ดอกพุดตำน ดอกบัว เป็นต้น ส่วน ลำยเครือเป็นลำยเครือแบบเดียวกับที่พบในศิลปะพม่ำ มักท้ำก้ำนให้กลม บิดพลิว ต่อเนื่องกันไป มีกำบซ้อน ลำยใบไม้เป็นลำยเครอื แบบใบไมฝ้ รง่ั หรือใบอะแคตัสที่พบในศิลปะพม่ำมำก่อนเช่นกัน ล้ำนนำเรียกใบผักกำด บำงครงั ปลำยเถำกม็ ว้ นเป็นเลข ๑ ไทย เรียกผักกดู เพรำะมองคลำ้ ยยอดผักกดู
440 ข. ลำยเมฆไหล ลวดลำยท่ีมีลักษณะพิเศษ คือ ลำยเมฆไหล เป็นลำยโบรำณล้ำนนำท่ีรับอิทธิพลจำกจีน พบไม่มำกนัก ได้แก่ หอไตรวัดเกตกำรำม วัดแสนฝำง (เดิม) และวัดไหล่หิน หมำยถึง ควำมอุดมสมบูรณ์ของธรรมชำติและ ชีวิต ลักษณะเป็นลำยที่ไหลต่อเน่ืองกันไปไม่ขำดสำย ตัวลำยแกะเว้ำเข้ำไปลึกมำก ก่อนม้วนหัวตวัดกลับมำ ขมวดเป็นปม คลำ้ ยกลมุ่ เมฆท่จี ับตัวมว้ นหัวเข้ำด้ำนในนน่ั เอง ค. ลำยเทวดำ ลวดลำยที่พบมำกอีกลวดลำยหน่ึง คือ ลำยเทวดำ พบมำกในหอไตรจังหวัดน่ำนและแพร่ ที่มีกำร ติดต่อกับทำงภำคกลำงมำเน่ินนำนแล้ว มีทังเทวดำน่ังพนมมือ ซึ่งปรำกฏอยู่วัดเดียว คือ วัดหัวข่วง เทวดำยืน พนมมอื บนดอกบัวบ้ำง ในกรอบวงโค้งบ้ำง ทงั หมดสร้ำงจำกช่ำงพืนถิ่นท่ีรับอิทธิพลรูปแบบและควำมคติควำม เชือ่ จำกทำงภำคกลำงของไทย ตงั แตพ่ ทุ ธศตวรรษท่ี ๒๕ เป็นต้นไป แม้ท่ำน่ังของเทวดำในลวดลำยท่ีวัดหัวข่วง ก็มีลักษณะแบบครุฑในศลิ ปะรตั นโกสินทร์ ลวดลำยเทวดำท่ีเก่ำที่สุด ซ่ึงยังแสดงควำมเป็นพืนเมืองอยู่มำก ได้แก่ เทวดำท่ีวัดพระนอน จังหวัด แพร่ ที่มีใบหน้ำวงรี เกล้ำมวยผมขึนไปสูงเป็นชันๆ สวมชฎำยอดแหลม ประดับกรรเจียก อินทรธนู สำยธุร้ำ ผ้ำนุ่งมีชำยไหวชำยเครง เชน่ เดียวกับเทวดำทว่ี ดั ดงฤๅษี จงั หวดั ล้ำพนู ส่วนลวดลำยเทวดำยนื ทสี่ ะท้อนงำนช่ำงรัตนโกสนิ ทร์ ได้แก่ เทวดำท่ีวัดมหำวัน จังหวัดเชียงใหม่ เป็น เทวดำยืนเทำ้ สะเอว ถือพระขรรค์ สวมชฎำทรงสูง ประดับกรรเจียก สวมกรองศอ สำยธุร้ำ ผ้ำนุ่งยำวเลยพระ ชงฆไ์ ปเล็กนอ้ ย สวมทองพระบำท และสวมพระบำทปลำยงอน ลวดลำยเทวดำอีกประเภทหนึ่งท่ีเกี่ยวข้องกับศิลปะรัตนโกสินทร์ คือ เทวดำพนมมือครึ่งตน หรือที่ เรียกว่ำ “เทพพนม” นั่นเอง ต้นแบบเป็นเทพนมในดอกทรงพุ่มข้ำวบิณฑ์ ท่ีพระเทวำภินิมิตรออกแบบไว้ใน สมุดต้ำรำลำยไทย เมื่อหลัง พ.ศ. ๒๔๘๑ โดยก่อนหน้ำนัน เทวดำพนมมือคร่ึงตนที่พบในจังหวัดแพร่และน่ำน มักโผลอ่ อกมำจำกดอกไม้เชน่ ดอกบัว เป็นตน้ ลำยเทวดำท่ีพบบนบำนประตู มีลักษณะต่ำงออกไป คือ มักเป็นเทวดำยืนบนดอกบัวบ้ำง บนสัตว์หิม พำนต์บำ้ ง หนั หน้ำเขำ้ หำกัน พนมมือกระทำ้ อัญชลีพร้อมช่อดอกไม้ เป็นตน้ เช่นเดียวกบั ท่พี บในรูปแบบเทวดำ ของรัตนโกสินทร์ ลำยเทวดำนี ยงั ปรำกฏในรูปแบบเทคนิคกำรปิดทองฉลุลำย และท่ีแตกต่ำงออกไป คือ กำรใช้เทคนิค ลำยรดน้ำที่บำนประตูหอไตรวัดพระสิงห์ ซึ่งเป็นงำนซ่อมในสมัยรัชกำลที่ ๗ ช่ำงซ่อมเป็นชำวพืนเมือง ที่วำด ด้วยสีน้ำมันก็มี เช่น เทวดำท่ีบำนประตูหอไตรวัดดอนไชยพระบำท และวัดนำปัง เป็นงำนฝีมือช่ำงพืนถิ่น เชน่ กัน
441 ง.ลำยหมอ้ ปรู ณฆฏะ หรอื ลำยหม้อดอก เป็นลวดลำยรูปแจกันใส่ดอกไม้ เป็นสัญลักษณ์ของควำมม่ัง ค่ัง สมบรู ณม์ ำแต่ยุคสมัยหรภิ ญุ ไชย ลำยหม้อปรู ณฆฏะ ท่โี ดดเด่น พบท่ีวิหำรจำมเทวี วัดปงยำงคก อ้ำเภอห้ำง ฉัตร จงั หวดั ลำ้ ปำง เปน็ ตน้ นยิ มกนั ในลำ้ นนำชว่ งพทุ ธศตวรรษที่ ๒๒ จ. ลำยรำชวตั ร มกั พบบนผนังหอ้ งเกบ็ ธรรม ได้รบั อทิ ธพิ ลจำกรัตนโกสินทร์ หมำยถงึ รัว ฉ.ลำยพุ่มข้ำวบิณฑ์ เป็นลำยสมัยอยุธยำตอนปลำย ต่อมำได้พัฒนำเป็นลำยส้ำคัญในสมัย รัตนโกสินทร์ แพรเ่ ข้ำมำลำ้ นนำในพทุ ธศตวรรษที่ ๒๔
446 บทที่ ๖ ชา่ งและงานช่างลา้ นนา ในบทนี้จะไดเ้ สนอองค์ความรู้เก่ียวกับงานช่างลา้ นนาทป่ี รากฏบนหอไตร ไดแ้ ก่ วิธกี ารสรา้ ง วัดสุ เครอ่ื งมือช่าง และประวตั ชิ ่าง โดยแตล่ ะส่วนแบ่งเปน็ ๒ สว่ นยอ่ ย คือ สว่ นงานสถาปัตยกรรม และงาน ศลิ ปกรรม ๖.๑ กระบวนการสรา้ งหอไตร ๖.๑.๑ งานสถาปตั ยกรรม ในส่วนนจี้ ะได้กล่าวถึงระบบโครงสร้างตัวอาคารหอไตร และระบบ โครงสรา้ งหลังคา ตลอดจนถึงวธิ กี ารสร้างในแตล่ ะส่วน ดังน้ี ก. ระบบโครงสรา้ งอาคาร เม่อื พิจารณาจากหอไตรทงั้ ๒๒๑ หลัง จะพบระบบโครงสร้างหอไตรอยู่ ๒ ลักษณะดว้ ยกัน คอื ระบบ โครงสรา้ งทใี่ ช้เสาและคานรับน้าหนกั และระบบกา้ แพงรับนา้ หนกั ระบบเสาและคานรบั นา้ หนกั พบในหอไตรไม้ช้นั เดยี วยกพ้ืนสูง และยังใชก้ บั โครงสรา้ งช้นั บนของหอ ไตรผสมท่ีเป็นเคร่ืองไม้ ระบบนเ้ี ป็นระบบท่ีมคี วามเปน็ อิสระและยดื หยนุ่ ในตัวสงู แตล่ ะสว่ นของโครงสรา้ งจะ ประกอบกันโดยไมต่ รึงแน่น ทว่ามคี วามแขง็ แรง อาทิ การวางเสาไมบ้ นตมมอ่ ปนู ในอาคารไมย้ กพน้ื ใต้ถนุ สงู ท่ี บางคร้งั ใช้เพยี งตะปู ๔ นว้ิ สองตวั ยดึ ไว้เทา่ น้ัน เพราะน้าหนักอาคารที่กดลงมาจากดา้ นบนจะท้าให้เสามคี วาม มน่ั คง ทั้งยังสะดวกในการร้ือถอนภายหลงั อีกด้วย ระบบโครงสร้างเสาและคาน รับน้าหนกั หอไตรไมใ้ ต้ถนุ สูง วดั พระนอน จงั หวัดน่าน
447 แผนผังหอไตร ตามระบบโครงสร้างเสาและคานรับนา้ หนกั หอไตรวดั พระนอน จังหวดั น่าน ส่วนระบบก้าแพงรับน้าหนกั พบในหอไตรกอ่ อิฐถือปูนชั้นเดียว หรอื ในโครงสรา้ งหอไตรผสมชัน้ ลา่ งที่ เปน็ เครื่องก่อ ใช้ก้าแพงเป็นตวั ถ่ายน้าหนกั ลงสู่พื้นดนิ ดว้ ยเหตุนี้ส่วนฐานของอาคารมกั จะแผข่ ยายกว้าง ออกไปในพนื้ ดิน บางครงั้ กย็ ึดไว้กบั สว่ นกา้ แพงแกว้ ท่ีลอ้ มรอบหอไตร เช่นการบูรณะซ่อมแซมหอไตรวดั พระ สงิ ห์ จังหวัดเชียงใหม่ ใน พ.ศ. ๒๔๗๑ ได้ผูกเหลก็ เปน็ โครงสรา้ งฐานท่ีเชื่อมกันระหวา่ งตวั หอไตรชน้ั ล่างกับ สว่ นกา้ แพงแกว้ ท่ลี อ้ มรอบ ดังทป่ี รากฏในเอกสารขอ้ บังคับแลอตั ตรารายการ ๆ ซอ่ มแลท้าหอไตรย์ วดั พระ สงิ ห์ นครเชยี งใหม่ วา่ “...แล้วหลอ่ เอ็นยึดตั้งแต่ในประทานออกไปจนถึงเสาก้าแพงแก้วที่หล่อใหม่ทงั้ สี่ดา้ น แล้วหล่อเอน็ ยดึ โดยรอบก้าแพงแก้ว ให้เช่ือมยึดเหนี่ยวกนั ไปกบั เอน็ ขวางในประทานด้วย แล้วจงึ กอ่ ผนัง ก้าแพงแกว้ ทบั บนเอ็นน้นั ขึน้ ไป...” ระบบโครงสร้างก้าแพงรบั นา้ หนัก หอไตรชั้นเดียวกอ่ อิฐถอื ปูน วดั ดวงดี จังหวดั เชยี งใหม่ แผนผงั หอไตร ระบบโครงสร้างก้าแพงรับน้าหนัก หอไตรวดั ดวงดี จงั หวัดเชยี งใหม่
448 ระบบโครงสรา้ งกา้ แพงรบั น้าหนักในส่วนเคร่ืองก่อช้นั ล่างหอไตร และระบบเสาและคานรบั นา้ หนักในส่วนเคร่อื งไม้ช้ันบน หอไตรผสม วดั สันป่าเลยี ง จังหวัดเชยี งใหม่ วธิ ีการสรา้ งโครงสร้างอาคารสว่ นล่างหอไตร ในส่วนโครงสร้างอาคารท่เี ปน็ เครอ่ื งกอ่ นนั้ เม่ือวางรากฐานอาคารโดยการผูกเหลก็ เทคานดนิ พรอ้ ม ตง้ั เสาขน้ึ แล้ว จึงวางโครงสรา้ งประตูหนา้ ต่าง จากนั้นก็กอ่ อิฐเปน็ ผนังด้วยการใช้ปูนซีเมนต์สอจนเตม็ ภายหลงั เมือ่ ก่อผนงั อาคารแลว้ จงึ ตกแตง่ สว่ นฐานอาคาร ชอ่ งประตู ช่องหนา้ ตา่ ง ก่อนทจี่ ะฉาบให้สวนงาม ในสมยั โบราณนน้ั ปูนทใ่ี ช้ก่อและฉาบเปน็ ปูนขาวหมกั ซง่ึ ปูนขาวได้มาจากการนา้ หนิ ปูนมาเผา เมือ่ น้ามาหมกั จะท้าปฏิกิรยิ ากบั น้า เกดิ ความรอ้ นและมีฤทธ์ิกัดผิวหนังอ่อนๆ โดยสูตรปนู ก่อและฉาบที่ช่างเสถียร นะวงศ์รักษ์ (สัมภาษณ์ ๒๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๘) เรียนรูส้ ืบต่อมาจากบรรพชน คือ การใช้ปนู ขาวหมกั ๓๐ วัน ๗ สว่ น ทรายหยาบ ๕ สว่ น น้าหนงั ควายเคี่ยว ๑ สว่ น น้าออ้ ยท่ีเคย่ี วรวมกับน้าหนังควาย และนา้ ยาง เปลอื กไมไ้ กห๋ รือไมเ้ มือก นา้ สว่ นผสมทง้ั หมด ใส่รวมกันแลว้ ในครกกระเดอ่ื ง แลว้ ต้าใหเ้ ข้ากนั คุณสมบตั ิของ ปูนกอ่ และฉาบแบบโบราณจะมีความเหนยี วนอ้ ยกวา่ ปนู ซเี มนต์และใชเ้ วลาแขง็ ตัวนานกว่า อาจนานถงึ ๓๐ วนั ในขณะที่ปนู ซเี มนต์ใชเ้ วลาเพียง ๑๕ วนั แตเ่ มอ่ื ประสานกันแล้วจะมีอายกุ ารใชง้ านยาวนานกวา่ ปูนซีเมนต์ นอกจากนี้จากการศึกษาของศรเี ลา เกษพรหม พบว่าปนู หมักทใี่ ช้กอ่ นน้ั ใหใ้ ช้ปูนขาว ๙ ส่วน ทราย ๕ ส่วน น้าต้มหนงั ควาย นา้ ต้มเปลอื กไม้ไก๋ น้าอ้อยท่เี คี่ยวแลว้ โดยมวี ธิ ีการทา้ คอื นา้ ปูนขาวไปหมัก โดยใส่ น้าตม้ เปลอื กไก๋ น้าตม้ หนังควายลงไปแล้วคนให้เข้ากัน โดยกะวา่ ใหเ้ หลวพอสมควรหรือใหน้ ้าท่วมปนู ท้งิ ไว้ ประมาณ ๑๕ วนั จงึ ใส่นา้ อ้อยแล้วคนใหท้ ัว่ จากน้ันต้องกวนทุก ๗ วัน ระยะเวลาในการแชห่ มัก อย่างนอ้ ย ต้อง ๑ เดือนขน้ึ ไปจึงจะใช้ได้ดี ย่ิงใช้เวลาในการหมกั นานก็ย่งิ ดี สูตรผสมปนู ส้าหรบั ฉาบ ปนู ท่หี มักกบั สว่ นผสมไวแ้ ลว้ ๗ สว่ น ทรายหยาบลา้ งน้า ๗ สว่ น น้าอ้อย ๑ สว่ น น้ามันยาง ๑ สว่ น น้าต้นเปลอื กไมไ้ ก๋ และนา้ ต้มไมป้ ระดตู่ ามสมควร โดยถา้ ต้องการให้เนื้อปูนมีสีดา้ ใหใ้ ส่ ผงมินหม้อ (เขมา่ กน้ หม้อ) ถ้าตอ้ งการจะให้มีสีแดงให้ใส่ดินแดง ถ้าต้องการใหเ้ ป็นสเี หลอื งให้ใส่หรดาล ถ้าให้ เปน็ สีเขยี วใหใ้ สข่ ี้สนิมทองเหลืองหรือทองแดง ถา้ ต้องการใหเ้ ป็นสีเทาใหใ้ ส่นา้ คราม
449 ส่วนโครงสร้างแบบใชเ้ สารบั น้าหนกั น้ัน ช่างจะวางเสาด้านลา่ งบนตอม่อปนู ทหี่ ล่อขึ้นจากพนื้ ดนิ อาจ ตกแต่งตอม่อให้กลมหรอื เปน็ บัวหรือลดหลน่ั กันข้นึ ไปก็ได้ หรอื ไม่ก็ใชว้ ธิ ีเทเสาปูนขึ้นจากการเทแบบก็ได้ พ้ืนไมช้ น้ั บน เสาไม้ช้นั บน ส่วนล่างหอไตรกอ่ อิฐถือปนู ปรับปรงุ จาก ประวฒุ ิ แย้มผลงาม (๒๕๓๑) การวางเสาไมบ้ นตอมอ่ ปูนกลม เสา ในสว่ นชั้นล่างของอาคาร ต ตอมอ่ การก่อเสาชัน้ ล่างด้วยการเทแบบหล่อเสา ต ปรบั ปรุงจาก ประวุฒิ แย้มผลงาม (๒๕๓๑) พืน้ ต ตง ต คานไม้ ต เสา ต
450 การเจาะเสาเป็นร่องแล้วสอดคานขนาดใหญ่ วิธกี ารสร้างโครงสรา้ งอาคารส่วนบนหอไตร ส้าหรับโครงสรา้ งอาคารสว่ นบน มักใช้ระบบเสาและคานในการรบั น้าหนักหลังคา โดยพนื้ ทตี่ อนกลาง ดา้ นบนจะเป็นส่วนของห้องเก็บธรรม มีขน้ั ตอนการก่อสร้างเรมิ่ จากการวางคานระหวา่ งเสาคู่ตรงขา้ มใน อาจ เป็นไปในลักษณะการเจาะเสาเป็นรอ่ งแล้วสอดคานขนาดใหญ่กไ็ ด้ หรือไมก่ ็ใช้วิธีบากเสาดา้ นใดด้านหนึ่ง สา้ หรับวางคาน หรอื ใชร้ ะบบคานคูต่ ขี นาบด้านข้างของเสากไ็ ด้ จากน้นั จึงตีไมต้ งขวางกบั การวางคาน ตีเปน็ ระยะๆ ห่างกันประมาณ ๕๐ ซม. เพ่ือใช้รบั ไมก้ ระดาน ดา้ นบน เมื่อตีไมก้ ระดานเต็มพ้นื ท่ีแล้วจะเกดิ การยึดโยงกนั ของระบบโครงสร้างตัวอาคาร ทา้ ใหเ้ กดิ ความ แขง็ แรงมากข้ึน แลว้ จึงยกเสาหอ้ งเกบ็ ธรรม โดยการฝงั เสาหรอื ตตี ะปูยึดกบั ส่วนพืน้ กระดาน แลว้ จงึ วางกรอบ ประตู หนา้ ต่าง จากนัน้ จึงตีไม้เครา่ สา้ หรับตีฝาผนังห้องเก็บธรรมตอ่ ไป เสา เจาะรใู สเ่ ตา้ ต ต พื้นไม้ ต ต รอด ระดับพื้นไม้กระดาน ฝกั มะขาม ต ต รา ในกรณีท่ชี ่วงเสากว้างมาก ต ต เจาะรใู สร่ อด ต พืน้ ดนิ เสาฝังลงดนิ ต ต การวางโครงสร้างอาคารช้ันบนของหอไตร ปรับปรุงจาก ประวฒุ ิ แยม้ ผลงาม (๒๕๓๑)
451 เสา เคร่าฝา โครงสร้างหอไตรช้นั บนเปน็ เครอ่ื งไม้ ปรบั ปรุงจาก ประวฒุ ิ แย้มผลงาม ต ต (๒๕๓๑) ฝาไม้ อาคารส่วนบน ต ต ต การต่อเสา ไม้พ้ืน อาคารก่ออิฐถือปูนในช้ันลา่ งต ต ต พรึง เทคนคิ การต่อเสาอาคา ต เสา เสา ต เสา กงพัด ต กงพัด ต ต เสาลงฐาน เสาด้ัง ต งวั ต ต งัว พื้นไม้ ต ต เสา ตง ต ต ต กงพัด เสา ต ต งวั ต เทคนิคการแตระ่อ(เรสะแานอง)าคารข้นึ จากสว่ นลา่ งที่เปน็ เครื่องไม ต
452 ข. ระบบโครงสรา้ งหลังคาหอไตร โครงสร้างหลงั คา เป็นโครงสร้างแบบมีกระดูก กล่าวคือ มีไม้ระแนง (ไม้กา้ น) ยดึ โครงสร้างหลักไดแ้ ก่ ไมอ้ กไก่ แป กลอน และจ่วั ไวต้ ลอดทง้ั แผง เพ่ือมุงกระเบ้ืองหลังคา โครงสร้างหลงั คาหอไตรลา้ นนามีด้วยกัน ๒ ลักษณะใหญ่ๆ ดว้ ยกัน คอื โครงสรา้ งจ่วั กบั โครงสร้างม้าตั่งไหม โครงสรา้ งจ่วั เปน็ โครงสร้างท่ีมใี บดัง้ ข่ือ จนั ทนั เปน็ โครงสร้างหลัก หากมีหลงั คาปีกนกรับด้าน ยาวทัง้ ๒ ด้าน เรียกว่า ทรงคฤห์ และหากมีหลังคาปีกนรอบตัวอาคาร เรยี ก ทรงโรง
453 แสดงโครงสร้างหลังคาจั่ว หอไตรวดั ดงฤๅษี จังหวดั ล้าพนู โครงสรา้ งหลังคาแบบม้าต่ังไหม เปน็ โครงสร้างอาคารลา้ นนาแบบโบราณ มีโครงสร้างหนาแน่นกวา่ หลังคาจวั่ ถา่ ยน้าหนกั มาจากหลังคาลงมาตามข่ือทม่ี จี ้านวนมากกว่า และลงสู่เสาและหลังคาปีกนกด้านลา่ ง ๒ ข้าง คลา้ ยการถา่ ยน้าหนกั ของการบรรทุกผ้าไหมบนหลงั ม้า จึงเรยี กโครงสรา้ งแบบมา้ ตั่งไหม เชน่ หอไตรวดั พระสิงห์ จังหวดั เชยี งใหม่ หอไตรวดั พระธาตุหริภญุ ชยั จงั หวดั ลา้ พูน เป็นต้น ม้าตงั่ ไหม ดโ แสดงโครงสร้างหลงั คามา้ ต่ังไหม หอไตรวดั พระสิงห์ จงั หวดั เชียงใหม่ ดโ
454 แสดงโครงสร้างหลงั คามา้ ตั่งไหม (จิรศักด์ิ เดชวงศ์ญาและคณะ, ๒๕๓๙) การอธิบายการสร้างหลังคาแบบขื่อม้าต่ังไหมนั้น ผู้วิจัยได้พบในต้าราการสร้างวิหารล้านนาแบบ โบราณฉบับหนึ่ง (อ้างใน พุทธศิลป์ล้านนา วัดร้่าเปิง, ๒๕๕๗, หน้า ๙๐ – ๙๗) ในต้าราได้บอกความยาวของ ไมท้ ีใ่ ช้ในขอื่ แตล่ ะชิน้ และระยะการวางไม้ไว้ โดยมีโครงสร้างหลัก คอื ขอ่ื กับแป ข่ือนั้น เป็นไม้เครื่องบนหลังคา พาดระหว่างหัวเสาตามแนวขวางของห้อง หรือตามแนวท่ีใช้วางโครง จั่ว ท้าหนา้ ทยี่ ดึ เสาให้แน่น แบ่งได้เป็น ข่ือหลวง เป็นข่ือท่รี ับนา้ หนกั ด้านลา่ งสดุ หน้าท่ีคล้ายคาน ข่ือย่ี เป็นข่ือ ตวั ที่ ๒ อยเู่ หนอื ขื่อหลวง และข่ือม้าสามอยเู่ หนือขื่อยี่ ทั้งหมดวางขนานกันไปตามขวางของหอ้ ง แป หรือแป๋ตามการออกเสียงของชาวพ้ืนถ่ิน เป็นไม้เครื่องบนหลังคาคู่กับขื่อ วางพาดโครงจั่วหรือ อกไก่ไปตามแนวนอน เพื่อรับกลอนและเครื่องมุง การวางแปจะวางไม่ห่างนัก ถ้าวางพาดหัวเสา เรียกแปหัว เสา สว่ นแปทย่ี ืน่ ออกไปจากแปหัวเสาเรียก แปลาน ในต้าราเรียกแปไมท้ ่ที า้ หนา้ ทรี่ ับกลอนว่าแปอา้ ย นอกจากน้ียังมี เสาสะโก๋นคือเสาขนาดเล็กใช้ค้าระหว่างข่ือหรือเสาด้ังนั้นเอง รายละเอียดในต้ารามี ดงั น้ี “...ตัดไม้วิหาร หื้อเอาข่ือหลวงเป็นนาย ห้ือเอาขื่อมาแทกหัวของมัน แล้วเหล่ียมแปมาต้ังแล้ว หัก กลางใจ๋ไว้แล้ว แทกข่ือหลวงมาหัก ๖ เสีย ๒ ยัง ๔ ส่วนเป็นข่ือย่ี ต้ังใหม่ท่าวลุกหัวข้ึนแถมนอกนั้นแล หัวขี้ แทกน้ันเหล่ียมเดียว เป็นนายอย่าหื้อมันทวากยาก เพ่ือข่ือม้าน้น หื้อเอาเก่ิงข่ือหวงแถมนอกม้ายื่นน้ัน ห้ือเอา ชอ่ื หลวงมาแปหลงั มา้ แตไ่ วเข้ามาปูนไหนหมายหัน้ เปน็ ข่อื มา้ ยีแ่ ล้ว ม้า ๓ ตัวน้ัน ก็เอาข่ือยี่มาตั้งปูนไหนหมายห้ัน เป็นม้า ๓ แล ในไม้อันหัก ๖ เสีย ๒ ส่วน เป็นสะโก๋น แกนนอกน้ันเป็นคอกีบเสีย ๑ ย้่าแป๋ในที่อันหัก ๒ อัน สุ่มน้ันม้า ๓ แป๋ หลังทังมาเข้าตีนต้ังใหม่ชุอันแล ในแป๋ อ้ายหลังชดน้ันเข้าสะโก๋นน้ันหือหักคอคบหลังเป็น ๘ ส่วน ไว้บน ๒ ส่วน แป๋อ้ายเข้าห้ันแล แทก คอกีบลงมา ปลงคอคีบหลังซด ในยางนาคชายบนนั้น ห้ือเอา ๘ หักแป๋แต่ก๊ีน้ันไว้ลุ่ม ๒ บน ๘ ย้่าแกนข้ียางขาวเท่าหัว แต่ ตีนตั้งใหม่ออกแกนในน้ันแล้ว ในยางชายสุ่มนั้นเป็นดั้ง ยางบนดังกล่าวในยางซ้อนแป๋ซดมาจับนั้น หื้อแทกแต่ ปายสะโกน๋ น้นั ลงมาถงึ ตนี ยาง แทกตีนยางลงรอดที่ใด ยางเข้าหน้ั ชุดหลังแลฯ เท่าว่าแป๋อ้าย หื้อเข้าเสาหลวง แป๋ยี่น้ันหื้อ ปลงตุ้มข่ือหลวง แป๋ ๓ ห้ือเข้าตื๋นแป คอคีบห้ือเข้าเสา หลวง ล้าน้ันก็หื้อล้าดับกันลงมาซุท่ี ในขื่อม้านั้น บ่เป็นซ่ือนัก เอา ๓ จัดใดจีดหื้อห้อยก็ปลงตามน้ัน จักจิ่มพ่อ หอื้ เป็นประตู ก็ปลงตามนน้ั เทอะฯ...” ค. รูปแบบหลงั คา
455 ในโครงสรา้ งหลังคาทั้ง ๒ แบบ เมอื่ นา้ มาจัดประเภทของรปู แบบหลังคาที่พบ ได้ ๗ รปู แบบด้วยกัน ได้แก่ หลังคาจว่ั หลังคาทรงคฤห์ หลงั คาทรงโรง หลงั คาผสมระหวา่ งทรงคฤหก์ บั ทรงโรง หลงั คาทรงปันหยา หลงั คาปราสาทหลังก๋าย และหลงั คาซอ้ นชนั้ ขึน้ ไป ตวั อยา่ งหอไตรที่มรี ูปแบบหลังคาแบบจัว่ ได้แก่ วดั ตาลชุม วัดชา่ งฆอ้ ง วดั ไหลห่ นิ วดั ประตปู อ๋ ง วดั ทา ปลาดกุ วดั ช้างเผือก เป็นตน้ เปน็ โครงสรา้ งหลังคาที่ไม่มีส่วนหลังคาปกี นก โดยมีวิธีการสร้างดังนี้ วางไม้ข่ือ พาดบนหวั เสาครบทุกคู่ ใสใ่ บดั้งตงั้ ข้นึ กลางขื่อ วางไม้จันทันจากส่วนยอดของใบดั้งเฉยี งลงมาทีห่ วั เสาแต่ละต้น เม่อื ครบทกุ คแู่ ล้ว จงึ ตไี ม้อกไก่ยาวตลอดด้านยาวอาคารในสว่ นยอดสุดของหลังคาก่อน แลว้ จึงตสี ว่ นแปขนาน ไปกับอกไก่ เวน้ ระยะห่างกนั ประมาณ ๕๐ ซม. ไม้อกไก่และแป จะรับสว่ นของไม้กลอนท่วี างพาดด้านบนอีก ครัง้ หน่ึง เหนือไมก้ ลอนจะพาดไมร้ ะแนงเพื่อใชร้ ับกระเบื้องมุงหลังคา องค์ประกอบสว่ นหลังคาจว่ั ตอนกลาง ปรับปรุงจาก ประวฒุ ิ แยม้ ผลงาม (๒๕๓๑) กลอน อกไก่ ด้ัง ต ตต วัสดุมุง กระเบ้ืองมงุ ไมร้ ะแนง ต ไมก้ ลอน แปลาน ข่ือ เสา แป จนั ทัน ต ต จนั ทัน ต แปหัวเสา เชงิ ชาย ต (อะเส) ต ต เต้า ต แสดงรูปแบบและผังหลงั คาทรงจวั่ วดั ช่างฆอ้ ง เชยี งใหม่ หลังคาทรงคฤห์ หมายถึง หลงั คาที่มโี ครงสรา้ งจ่วั ในตอนกลาง และมหี ลังคาสว่ นปีกนกต่อย่นื ออกมาด้านข้างทั้ง ๒ ข้าง เพ่ือป้องกนั แดดฝนสาดเข้าภายในตัวหอไตร โดย หลังคาจว่ั ในตอนกลางจะมีความลาดชนั มาก อาจมีการลดชั้นหรอื ซ้อนชัน้ ของหลังคาเพื่อแกป้ ัญหาเร่ือง
456 น้าหนักของหลงั คา และทา้ ให้เกิดคามรู้สึกเบาในด้านทัศนศิลป์ ทัง้ ยังเปน็ การตกแตง่ ไปในตวั อีกดว้ ย เชน่ หอ ไตรวดั เชยี งม่ัน จังหวดั เชียงใหม่ เป็นต้น แสดงรปู แบบหลงั คาทรงคฤห์ หอไตรวดั เชยี งมน่ั จังหวดั เชยี งใหม่ หลงั คาทรงโรง หมายถงึ หลังคาจ่ัวในตอนกลาง มหี ลังคาปกี นกโดยรอบ เชน่ หอไตรวัดเกตการาม จังหวดั เชียงใหม่ เป็นต้น
457 ไมเ่ หน็ คอสอง แสดงรูปแบบหลังคาทรงโรง หอไตรวัดเกตการาม จังหวัดเชยี งใหม่ แสดงรปู แบบและผงั หลงั คาทรงโรง หลังคาทรงโรงนี้ บางคร้ังยกส่วนหลังคาจ่ัวขึ้นสูง ท้า ใ ห้ มองเห็น ส่ว นคอ
458 สองชดั เจน รูปแบบหลงั คานี้มักมผี ังเป็นรูปสเ่ี หลย่ี มจตั รุ สั เช่น วัดพระเกิด วดั หวั ข่วง วัดนาปัง จังหวัดน่าน วัด ดอยนอ้ ย จังหวดั ลา้ ปาง เปน็ ต้น และมกั พบในหอไตรท่จี ังหวดั นา่ นและแพร่ คอสอง หอไตรวดั พระเกดิ จังหวดั เชียงใหม่ หลงั คาทรงปนั หยา เป็นหลังคาทท่ี กุ ด้านลาดไหลลงสูผ่ นงั โดยมีความลาดช้ันไหลเอียงเทา่ กนั บางหลัง มีจั่วเล็กๆ บนส่วนหลังคาลาดเอียงทั้งสี่ด้าน หลังคาประเภทนี้มักมีผังอาคารด้านล่างเป็นรูปสี่เหล่ียมจัตุรัส ไดแ้ ก่ หอไตรวัดอุปคตุ จังหวดั เชียงใหม่ วัดพันตน จงั หวดั เชียงใหม่ และวัดอุมลอง จังหวัดล้าปาง เปน็ ตน้ แสดงรปู แบบหลังคาทรงปนั หยา จงั หวัดวดั อปุ คุต เชยี งใหม่ และวดั อุมลอง จงั หวดั ล้าปาง (ภาพจากวดั อมุ ลอง) หลงั คาผสมระหวา่ งหลังคาทรงโรง กับทรงคฤห์ ได้แก่ หอไตรวัดมหาวัน วดั ศรีมุง เมอื ง เปน็ ต้น
459 หอไตรวดั มหาวนั จังหวดั เชียงใหม่ หลงั คาทรงคฤห์ หลังคาปกี นกรอบ หลังคาปราสาทหลังกา๋ ย เป็นหลงั คาช้นั ช้อน ท่มี กี าร ซ้อนชั้นของหลงั คาเอนลาด รับส่วนยอดคล้ายยอดเจดีย์ ได้แก่ หอไตรวดั อทู่ รายค้า จังหวัดเชียงใหม่ เปน็ ตน้ แสดงรปู แบบหลงั คาทรงปราสาทหลังกา๋ ย วดั อู่ทรายคา้ จังหวัดเชียงใหม่ หลงั คายกเป็นชั้นซ้อนกนั ขึ้นไป แบ่งได้เปน็ ยกเปน็ จั่วเลก็ ๆ ๔ ด้าน ในตอนกลางบนหโลคังรคางเอสนรลา้าดงหลงั คา ปันหยา ระหว่างชัน้ หลงั คาท้ังสองมองเห็นคอสอง บางครั้งกลางหลงั คาจ่ัวเล็กๆ ท้ัง ๔ รับสว่ นยอดคลา้ ยยอด เจดีย์ อาทิ หอไตรวัดแม่แก้ดหลวง วดั ศิริมงั คราราม วดั ดอกแดง วัดทา่ โปง่ วดั สนั โคง้ วัดเมอื งวะ วัดทงุ่ ม่านใต้ วัดหมน่ื ลา้ น วดั หลวง วดั ปา่ บงหลวง วดั ขนั แก้ว วัดทุ่งโฮ้งใต้ วัดทา่ คราวนอ้ ย วัดสบสาย วัดกาซ้อง วดั ร่องกาศ ใต้ วัดพระเนตร เปน็ ต้น และยกเป็น ชน้ั ซ้อนขนึ้ ไปหลายช้นั ไดแ้ ก่ หอไตร วดั ศรบี ญุ โยง วัดพระเจา้ ทนั ใจ วดั หม่นื ลา้ น เปน็ ต้น
460 แสดงรปู แบบหลังคายกจวั่ ๔ ดา้ นใน ตอนกลางของหลงั คาทรงปันหยา วดั แม่เก็ดหลวง จงั หวัดเชยี งใหม่ (ซ้าย) วัดเมอื งวะ จังหวัดเชยี งใหม่ (ขวา) แสดงรูปแบบหลังคายกช้นั ซอ้ นหลายชน้ั วัดศรบี ญุ โยง จังหวดั ลา้ ปาง ง. วัสดุมุงหลงั คา วัสดุมุงหลังคาท่ีพบในอาคารล้านนาโบราณรวมถึงหอไตร มีทั้งวัสดุท่ีเป็นไม้ ดินเผา ซีเมนต์ หินกาบ และแผ่นดีบุก เป็นต้น โครงสร้างหลังคาท่ีใช้วัสดุเหล่าน้ีมุงน้ันต้องมีความลาดชันค่อนข้างมาก เพ่ือป้องกันน้า รว่ั ที่เปน็ ไม้ ทา้ ด้วยไม้สัก ตัดเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีทั้งปลายมน ปลายแหลม และตัดตรง เรียก แป้น เกล็ด เม่อื ใช้มงุ กต็ อกติดไปกับไมร้ ะแนง เรียงซ้อนเหลือ่ มกัน ๒ ช้ัน วัสดุมุงหลังคาที่เป็นดินเผา ลักษณะเป็นสี่เหลี่ยม ปลายด้านหน่ึงตัดตรงหรือแหลม ส่วนอีกด้านหน่ึง ท้าขอตั้งฉากกับแผ่นกระเบ้ือง กว้างเท่ากับแผ่นกระเบ้ือง ใช้ส้าหรับเก่ียวเข้ากับไม้ระแนง บางคร้ังที่ตัว กระเบือ้ งจะพบลวดลายรูปสตั ว์บา้ ง ตัวอกั ษรบา้ ง เกดิ จากการขีดเขียนของผปู้ ้นั ก่อนทีจ่ ะเผา
461 วัสดมุ งุ หลังคาทีเ่ ป็นซเี มนต์ ลักษณะเปน็ แผน่ สีเ่ หลีย่ ม ตัดปลายตรง นอกจากจะมีขอกระเบ้ืองแล้ว ตัว กระเบื้องดา้ นหนึ่งยงั มรี ่อง เพือ่ ใช้ในการซ้อนทับกนั และป้องกันการเคลือ่ นของแผ่นกระเบอ้ื ง วสั ดมุ ุงหลงั คาที่พิเศษ ไม่ค่อยพบ คือ หินกาบ และแผ่นดีบุก ท่ีเป็นหินกาบน้ัน พบว่าเคยใช้มุงหลังคา หอไตรวัดนาเตา จ.น่าน ส่วนทเี่ ป็นแผ่นดบี กุ พบว่าเคยใช้มุงหลังคาหอไตรวัดพระธาตุหริภุญชัย วัดป่าเหียง จ. ลา้ พนู เป็นต้น หินกาบ เป็นหนิ ชัน้ หรือหินดินดาน แข็งแต่เปราะ เกิดจากการอัดตัวแน่นของเน้ือหินเรียงตัวเป็นชั้นๆ มีสดี ้า สีนา้ ตาล และสเี ทา มีท้งั หนิ กาบภูเขาและหนิ กาบทะเล โดยหินกาบทะเลจะมีความแข็งและผิวเรียบกว่า ทง้ั ยังมีเส้นสีเขียวเปน็ ลายแทรกอยู่ หนิ กาบท่มี งุ หอไตรวดั นาเตาน้ัน สดี ้า-เขียว เป็นแผน่ สีเ่ หลยี่ มผืนผ้า ปลายดา้ นล่างตัดมน ด้านบนเจาะ เป็นรู เพื่อยึดกบั ไมร้ ะแนง ปจั จบุ ันเปลี่ยนเปน็ กระเบ้อื งเคลอื บสมยั ใหมแ่ ลว้ แปน้ เกล็ด
462 ซเี มนต์ ดนิ ขอ หินกาบเคยเปน็ วสั ดมุ ุงหลงั คา หอไตรวดั นาเตา จ.นา่ น จ. องคป์ ระกอบทางสถาปัตยกรรมหอไตรล้านนา ในพ้ืนที่สามเหลี่ยมขนาดใหญ่ใต้หลังคาจ่ัวตอนกลางน้ัน สามารถแบ่งได้เป็น ส่วนหน้าบัน คือ สามเหลยี่ มทเี่ ป็นจ่ัวยอดสุด ใต้หนา้ บันเปน็ คอกีด ถดั ลงไปเปน็ โก่งคิ้ว อาจมีลักษณะเป็นส่ีเหลี่ยมผืนผ้าแบบหัม ยนตภ์ าคเหนอื หรือโค้งเว้าแบบสาหร่ายรวงผ้ึงของภาคกลางก็ได้ สามเหลี่ยมด้านข้างในส่วนของหลังคาปีกนก เรยี กอุดปกี นก มรี ายละเอยี ดดังน้ี หนา้ บัน ทางล้านนาเรียก “หน้าแหนบ” ศัพทานุกรมโบราณคดี (๒๕๕๐, หน้า ๕๒๕) ให้ความหมาย ของหน้าบันว่า เป็นแผงไม้หรือปูนรูปสามเหลี่ยม ท้าหน้าที่ปิดโครงสร้างหลังคาด้านสกัดหน้าและหลังของ อาคารเนื่องในศาสนาและพระมหากษัตริย์ ส่วนเรือนทั่วไปเรียกว่าหน้าจ่ัว หรือหมายถึงส่วนประกอบของ ปราสาทแบบขอม ต้งั อย่เู หนือทับหลงั มีรปู ทรงสามเหลีย่ ม ท้ังนี้จากการศกึ ษาพบวา่ หน้าบนั หอไตรลา้ นนามี ๒ ลักษณะใหญ่ ไดแ้ ก่ ๑. หน้าบันที่แสดงโครงสร้างม้าต่างไหม เป็นแบบล้านนาโบราณ โดยใช้แผ่นไม้สี่เหลี่ยมเล็กๆ ปิดก้ัน ระหว่างเสาโครงสรา้ งหลังคาท่ีตง้ั รับข่อื และซ้อนลดหลั่นกนั สามชัน้ ๒. หน้าบนั แบบผนังหุม้ กลอง ที่ใช้แผ่นไมส้ ามเหลี่ยมปิดโครงสรา้ งดา้ นในท้ังหมด ประหนึ่งการขึงหนัง หน้ากลองให้มีความเรียบร้อยเป็นผืนเดียวกัน นักวิชาการบางท่านเชื่อว่าหน้าบันแบบผนังหุ้มกลองนี้ได้รับ อิทธิพลจากงานสถาปัตยกรรมภาคกลาง
463 ส้าหรับหน้าบันแบบผนังหุ้มกลองที่มีส่วนคอกีด (ส่วนท่ีอยู่ด้านล่างหน้าบัน มีลักษณะเป็น สี่เหล่ียมผืนผ้า) กว้างมากกว่าปกติ โดยส่วนของโก่งค้ิวใต้หน้าบันที่เดิมแยกออกจากกันได้ถูกรวมกันเป็นผืน เดยี ว เชือ่ กนั ว่าหนา้ บนั ลักษณะน้ีไดร้ บั อทิ ธิพลของศิลปะพม่า ทั้งน้ีการตกแต่งส่วนโครงสร้างหลังคาที่พบเฉพาะอาคารล้านนา คือ แผงแล มีลักษณะเป็นไม้ท่ีกรุ ระหว่างแปรับกลอนหลังคากับคอสองรบั ปกี นกด้านใน ส่วนต้าแหน่งยื่นพ้นตัวอาคารออกมารับผืนไขราหลังคา โดยจะติดตั้งขนาดกันท้ัง ๒ ข้างวิหาร ในส่วนหน้าของแผงแลจะมีปากแล เป็นเสารูปจะงอยปากคล้าย ปากนกแก้ว ส้าหรับเครือ่ งยอดท่ีประดับหลังคาหอไตร ไดแ้ ก่ ชอ่ ฟา้ ใบระกา หางหงส์ และปราสาทเฟื้อง ช่อฟ้า โบราณเขียน “ฉ้อฟ้า” เป็นองค์ประกอบส้าคัญ และวางอยู่เหนือสุดของสถาปัตยกรรมไทย รวมท้ังหอไตรด้วย ทั้งเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงความเป็นวิหาร อุโบสถ หรือหอไตร หากแม้นอาคารเหล่านี้ไม่มี การประดับตกแต่งในส่วนใดเลย มีแต่ช่อฟ้าชูยอดตระหง่านอยู่ ก็ยังเข้าใจได้ว่าเป็นอาคารในพุทธศาสนา แต่ หากไมม่ ีช่อฟา้ แม้จะมสี ่วนประดบั อื่นเตม็ ไปหมด กไ็ มอ่ าจเปน็ อาคารที่สมบูรณ์ตามคติพทุ ธศาสนา ชอ่ ฟ้าโบราณทพ่ี บในลา้ นนากม็ หี ลายรปู แบบ อาทิ ชอ่ ฟา้ เซรามกิ ในพพิ ิธภัณฑว์ ดั พระธาตลุ ้าปางหลวง จังหวัดล้าปาง มีอายุในพุทธศตวรรษท่ี ๒๑ ลักษณะเป็นช่อฟ้ารูปคล้ายปราสาทครึ่งหลัง มีรูปบุคคลน่ังอยู่ ภายใน ช่อฟ้าที่พบในวดั พระธาตุหรภิ ุญชัยอนั หนึ่ง ท้าเป็นรูปเศียรนาคท่ีมีเทวดาท้าท่าอัญชลี ช่อฟ้าที่วิหารน้า แต้ม วัดพระธาตุล้าปางหลวง ของเดิมเป็นดินเผา ลักษณะตั้งข้ึนตรงปลายเรียวแหลม แต่งด้วยลวดลายพันธุ์ พฤกษา ลายหลักอยู่ตรงอกไก่ เป็นลายดอกไม้ในกรอบสี่เหล่ียมขนมเปียกปูนโค้งไปตามรูปทรงช่อฟ้า มี ลักษณะเดียวกับช่อฟา้ ทวี่ หิ ารโคมค้าวัดพระธาตุเสด็จ จังหวัดล้าปาง ซึ่งสร้างใหม่เลียนแบบของเดิมแต่เปลี่ยน วัสดุเป็นปูน และช่อฟ้าประดับหอน่ังของเจ้าพรหมาภิพงษธาดา เจ้าผู้ครองนครล้าปางท่ี ๗ ก็มีลักษณะ คลา้ ยกนั คอื เปน็ ช่อชขู น้ึ ฟ้า ใบระกา ศัพทานุกรมโบราณคดี (๒๕๕๐, หน้า ๓๓๓) ให้ความหมายว่า แผ่นไม้ท่ีประกอบเข้ากับแป ปดิ ตามแนวลาดของหวั – ทา้ ย เครื่องมงุ หลังคาเรอื นไทย ท้าหน้าท่ปี อ้ งกันลมมิให้พดั เครือ่ งมุงหลังคาหลุดปลิว ไป ในบางคร้งั เรียกปัน้ ลม ป้านลมของวิหารหรือโบสถ์มักท้าเป็นรูปล้าตัวนาค เรียกนาคล้ายองหรือตัวล้ายอง เหนือนาคล้ายอง จะมีครีบนาคทแ่ี ตง่ เป็นรปู ส่ีเหล่ยี มแนวตงั้ ตดั ปลายใหแ้ หลม เรียงตอ่ กนั ไปตลอดแนวกรอบป้านลม ครีบนี้เองท่ี เรียกว่าใบระกา ต่อมาจึงเรียกป้านลมรวมกับใบระกาว่า ใบระกา หางหงส์ ส่วนของป้านลมที่ติดอยู่เป็นกรอบหน้าบัน ตัวหางหงส์ต้ังอยู่ระหว่างแปหัวเสากับหัวไม้เชิง กลอน ศพั ทานกุ รมโบราณคดี (๒๕๕๐, หนา้ ๕๓๘) ใหค้ วามหมายว่า ส่วนประกอบของป้านลมแบบที่ประดิษฐ์ เป็นรูปนาค โดยหางหงส์อยู่ที่ปลายล่างสุดและมักท้าเป็นรูปหัวนาค นอกจากรูปหัวนาคแล้ว ยังท้าเป็นรูปตัว เหงา ทางเหนือเรยี ก “หางวนั ”
464 ปราสาทเฟ้ือง วางอยู่กลางสันหลังคา ชาวลาวเรียกช่อฟ้า ชาวล้านนาเรียกช่อฟ้ายองปลี เป็นรูป จา้ ลองปราสาทขนาดเลก็ องค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่ง คือ คันทวย ศัพทานุกรมโบราณคดี (๒๕๕๐, หน้า ๒๓๓) ให้ความหมายว่า ไม้ค้ายันในแนวเฉียงระหว่างเสากับปลายเต้าเพ่ือรองรับชายคาปรกติจะมีใช้ใน อาคารท่ีเกี่ยวข้องกับศาสนาและพระมหากษัตริย์ นิยมท้าเป็นรูปนาค ส้าหรับคันทวยล้านนามีลักษณะต่าง ออกไป คือ ท้าเป็นแผ่นสามเหลี่ยมหรือส่ีเหลี่ยมคางหมู สลักลวดลายรูปนาคบ้าง ครุฑบ้าง สัตว์หิมพานต์บ้าง ผสมดอกไม้ ใบไม้ และลายเครือเถา เรียก “นาคตัน” หรอื “หชู า้ ง” แบ่งได้เป็น ๓ สว่ นใหญ่ คือ ส่วนบนมักท้า เป็นลายแถวหน้ากระดานแนวนอน ส่วนกลางมีพ้ืนที่มากที่สุดใช้ตกแต่งเป็นลวดลายต่าง ๆ ส่วนล่างสุดเป็น สว่ นทเ่ี ล็กและอยปู่ ลายมกั เปน็ รูปสามเหล่ียม คันทวยล้านนาที่น่าสนใจ คือ คันทวยรูปตัวลวง คือ มังกรมี ๕ เล็บ มีปีก ประกอบลายพันธ์พฤกษา พบมากในชว่ งกอ่ นพุทธศตวรรษที่ ๒๔ และหายไปเมอ่ื เขา้ สู่พุทธศตวรรษท่ี ๒๔ ปรากฏเป็นรูปอื่น เช่น รูปกินรี ครฑุ ยดึ นาค นาคเกย้ี ว เปน็ ต้น เมื่อเข้าสกู่ ลางพุทธศตวรรษท่ี ๒๔ คันทวยล้านนาก็นิยมแบบคันทวยภาคกลาง ทเี่ ปน็ นาค ปรากฏในงานล้านนาครั้งแรกทีว่ ิหารโคมคา้ วัดพระธาตุเสดจ็ จงั หวดั ล้าปาง ใบระกา ปราสาทเฟอื้ ง ชอ่ ฟ้า หลังคาจั่ว หน้าบัน หางหงส์ หลงั คาปกี นก อดุ ปกี นก คอกดี สาหร่าย ชื่อเรียกสว่ นประกอบทางสถาปัตยกรรมหอไตรล้านนา
465 ๖.๑.๒ งานศลิ ปกรรม จากการส้ารวจหอไตรล้านนาทง้ั ๒๒๑ หลัง พบงานศิลปกรรมที่ใชใ้ นการประดับตกแต่งสว่ น โครงสรา้ งสถาปตั ยกรรมบ่อยๆ ไดแ้ ก่ งานปูนป้นั งานแกะสลักไม้ และงานลงรกั ปิดทองลายฉลุ โดยงาน แกะสลักไม้พบในส่วนหนา้ บันและประตหู อไตร งานลงรักปิดทองฉลุลายพบเปน็ การตกแตง่ ส่วนผนงั ห้องเก็บ ธรรมหรือประตหู น้าตา่ งหอไตร บางครง้ั ก็พบรว่ มกับงานปดิ ทองขูดลาย สว่ นงานปูนป้นั พบในส่วนหนา้ บนั เช่นกัน ก. งานลงรักปิดทอง งานลงรกั ปิดทองในสมยั โบราณน้ัน เป็นการน้าทองค้ามาตีแผ่เป็นแผ่นบาง แล้วหุ้มวัตถุที่ต้องการให้ดู เป็นทองท้ังหมด ซ่ึงต้องใช้ทองเป็นจ้านวนมาก จึงเกิดการตีทองให้บางยิ่งขึ้น จนเป็นทองค้าเปลว แล้วปิดทับ ผิววสั ดุที่ตอ้ งการให้เป็นทอง วสั ดุ วสั ดสุ ้าคัญในกระบวนการลงรักปิดทอง คอื ยางรัก (Lacquer varnish) ซง่ึ เป็นวัสดปุ ระสานระหว่าง ผิววัสดุกับทองคา้ เปลวที่ใชต้ ิด ชาวล้านนาออกเสียง “ยางฮัก” น้ายางท่ไี ดจ้ ากการเจาะต้นรักที่นยิ มน้ามาใช้ เปน็ ไมร้ กั ใหญ่ หรอื ฮกั หลวงในช่ือพ้นื ถน่ิ ลา้ นนา ฮักหมู หรอื ฮักขีห้ มูก็เรยี ก เปน็ ไมผ้ ลดั ใบขนาดใหญ่ ล้าตน้ ตรง เปลือกบาง ดา้ นนอกสเี ทาแก่ แตกสะเก็ดเป็นแว่น เล็กๆ เปลือกดา้ นในสีแดงคล้า เนือ้ เปน็ สเี ข้ม ความสูง ๑๕ – ๒๐ เมตร สมยั โบราณมชี าวบา้ นนา้ ยางรกั ป่ามา ขาย แตป่ ัจจบุ ันเปน็ รักทีน่ า้ เข้าจากประเทศพมา่ ต้นรกั และยางรกั สา้ เรจ็ รูปท่ีขายตาม ท้องตลาดปจั จุบนั
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 549
Pages: