466 ปัจจุบันในจงั หวดั เชยี งใหม่ มีการทดลองปลูกตน้ รักในบรเิ วณอทุ ยานแหง่ ชาตดิ งลาน อา้ เภอสัน กา้ แพง เน่อื งในโครงการอนุรกั ษ์ต้นรกั และภูมปิ ญั ญาการเจาะเก็บยางรัก ตามพระราชดา้ รสิ มเด็จพระเทพ รตั นราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี โดยมนี ายภูมนิ พงศ์ บญุ บนั ดาร เจ้าพนักงานป่าไม้อาวโุ ส เปน็ หวั หน้า โครงการ รักที่ไดจ้ ากการกรีดตน้ รักนนั้ เรยี กวา่ “รักดบิ ” เมื่อน้ามากรองและผสมกับผงถา่ นใบตอง ผงถ่าน กะลามะพร้าว หรือผงถ่านใบหญ้าคาอย่างใดอย่างหน่งึ เพื่อให้เน้ือรักแน่นขึน้ สามารถเข้าไปอุดในร่องทใี่ หญ่ได้ ท้าให้พนื้ ผิวเรียบ เรียก “รักสมุก” มีรกั อีกชนิดหนง่ึ เรยี กว่า “รักน้าเกลยี้ ง” ได้มาจากการนา้ รกั ดบิ มากรองด้วยผา้ ขาวบาง พบั ซอ้ นกนั ๒ ช้นั โดยใชส้ า้ ลีแผ่นบางๆ วางไว้ตรงกลาง เพ่ือดักเศษผงและฝนุ่ ท่ผี สมอยู่ในรักดบิ เพ่ิมความเงา วธิ กี ารกรอง ใหเ้ ทรักน้าดบิ ท้ิงไวใ้ นภาชนะกรองกลางแดด ความร้อนจากแสงแดดจะท้าให้ยางรกั ละลาย ผ่านเครอ่ื งกรอง วัสดอุ ีกอย่างหนงึ่ ในงานลงรักปิดทอง คอื ชาด หรือ หาง (Cinnabar) เปน็ ผงแร่สแี ดงผสม รักจะให้สี ด้า สว่ นชาดน้ันให้สีแดง การกรองรกั ดบิ ท้ารักเกลย้ี ง ชาดผง และชาดทผี่ สมน้ามันแล้ว เพอื่ ใชเ้ ป็นวัสดใุ นการผลติ เครือ่ งเขิน นอกจากยางรักแลว้ วสั ดสุ ้าคญั อีกอยา่ งหนึ่งส้าหรบั งานปิดทอง คือ ทองคา้ เปลว โดยปกติในประเทศ ไทยจะมมี าตรฐานอยู่ที่ ๙๖.๕ เปอร์เซ็นต์ อีก ๓.๕ เปอร์เซ็นต์ เป็นวัสดอุ ่ืน มีทัง้ เงินและทองแดง โดยเม่อื แยก ตามสขี องทองคา้ เปลวที่มาขายอยู่ในท้องตลาดแลว้ พบว่า ทองค้าเปลวท่ีออกสีแดง จะมีเน้ือทองคา้ สูง เนื้อ
467 ทองนิม่ เรียกทองกมิ ซวั ทองสีเหลอื ง มสี ่วนผสมของเงินมากขน้ึ ทองสีเขยี ว มสี ่วนผสมของเงนิ มากขึ้นไปอีก ทองที่มเี งินผสมอยูน่ ้นั จะมอี ายกุ ารใช้งานส้ัน อยู่ไม่นานสีจะเปลย่ี นเปน็ สีดา้ หมองคล้า เพราะเงินทผี่ สมท้า ปฏกิ ิริยากับอากาศ ทงั้ นที้ องค้าเปลวท่เี ปน็ เน้ือเดียวกนั ทงั้ แผน่ มสี สี มา้่ เสมอ เวลาปิดทองบนพ้นื ผวิ ท่ีเรยี บจะมีสีเสมอกนั ไมม่ ีตา้ หนิ เรียกวา่ ทองคัด สว่ นทองท่ีเหลือจากการคัดแลว้ จะเรยี กทองต่อ ซึ่งมสี ีไม่สม่า้ เสมอกัน นอกจากน้ีทองค้าเปลวยังมีหลายขนาด ทพี่ บเหน็ อยู่บ่อยเปน็ ขนาด ๑ x ๑ เซนตเิ มตร ใส่ในกระดาษ สาที่มีขนาดใหญ่กว่า เช่นทองคา้ เปลวทีใ่ ชป้ ดิ พระพุทธรูป ทองชนดิ นเี้ รียกว่าทองจ้มิ สว่ นทองทที่ ีขนาดอน่ื ๆ ตามความต้องการใชท้ องค้าเปลว เช่น ขนาด ๓.๗ x ๓.๕ เซนติเมตร ขนาด ๔ x ๔ เซนตเิ มตร หรือขนาด ๔.๒ x ๔.๒ เซนตเิ มตร เรยี กทองเตม็ แผน่ ช่างทองนั้นนิยมทองเตม็ แผน่ ขนาด ๔ x ๔ เซนติเมตร แผ่นทองคา้ เปลว ประเภทงานลงรกั ปิดทอง แบง่ ได้เป็น งานลงรักปิดทองทึบ เป็นการปิดทองค้าเปลวลงบนตัวงานทั้งชิ้น เช่น การปิดทองพระพุทธรูป บางครัง้ ช่างอาจขูดขดี ลวดลายลงบนพื้นที่ปิดทองทึบโดยใช้เหล็กแหลมกรีดให้เป็นเส้นลวดลายต่าง ๆ เพ่ิมเติม ด้วย เรียกกรรมวิธีสรา้ งลายแบบนี้วา่ “ฮายลาย” งานลงรักปิดทองร่องชาด คือ การปิดทองในส่วนตัวลาย ส่วนท่ีเป็นร่องระหว่างลายใช้ชาดทา เพื่อใช้ ขับลายทองให้เด่นชดั
468 งานลงรักปิดทองร่องกระจก คือ การปิดทองในส่วนตัวลาย ส่วนท่ีเป็นร่องได้ทาชาดและปิดด้วย กระจกชนิ้ เล็ก ๆ งานลงรกั ปดิ ทองลายฉลุ คือ การปดิ ทองในส่วนตวั ลาย โดยตัวลายเกดิ จากการฉลบุ นกระดาษหรอื หนงั แพะหรอื แผ่นพลาสติกใส เม่ือจะทา้ ลายก็ทารักใหท้ ั่วพ้นื ตรงทีจ่ ะทา้ ลวดลาย จากน้นั กแ็ ปะลายฉลุเขา้ กบั พ้ืน จึงเอาทองค้าเปลวปิดลงตรงช่องท่เี จาะ ภาษาถน่ิ ภาคเหนือเรียกงานลงรักปิดทองลายฉลนุ วี้ ่า “ลายค้า” เป็นทน่ี ยิ มใช้ตกแตง่ สว่ นประกอบสถาปตั ยกรรมล้านนามาก กระบวนการทางาน ในงานลงรักปิดทองของลา้ นนานั้น งานท่พี บบ่อยได้แก่ งานลายคา้ และงานขูดลายหรือฮายลาย จะ ไดอ้ ธบิ ายกระบวนการท้างานของแต่ละขนั้ ตอนดังนี้ งานลงรักปิดทองลายฉลุ หรอื งานลายค้า เป็นงานทต่ี ้องอาศยั ช่างฉลุลาย และช่างปิดทองคา้ เปลว กระบวนการท้างานเร่มิ จากการฉลุลายใช้กระดาษสาเปน็ แม่พิมพล์ ายฉลุ โดยรา่ งลวดลายทตี่ ้องการ บนกระดาษแล้ว นา้ มาวางทบั บนกระดาษสา แลว้ ฉลดุ ้วยส่วิ ใหเ้ ป็นรูปตามแบบทีร่ ่างไว้ ปัจจุบันใชแ้ ผ่น พลาสตกิ แทนกระดาษสา เพราะมคี วามแขง็ แรง และสามารถนา้ กลบั มาใช้งานไดห้ ลายคร้ัง สล่าประสทิ ธิ์ - อา้ พร สุวรรณตระกลู ใช้ฟลิ ์มกรองแสงท่ีติดรถยนต์แทน เมอื่ จะนา้ ไปทา้ ลวดลาย ต้องเตรยี มพน้ื ผิววสั ดทุ เี่ ราต้องการท้าลวดลายให้เรยี บรอ้ ยด้วยการทารกั น้า เกล้ียงทับ ๔ – ๔ ชน้ั แต่ละช้ันตอ้ งทง้ิ ใหร้ กั แห้งตวั ประมาณ ๕ - ๗ วนั ท้าให้ขั้นตอนการเตรยี มพ้ืนแบบ โบราณต้องใช้เวลานานมาก ชา่ งปัจจบุ นั จึงเปลี่ยนจากยางรักเปน็ สีนา้ มัน ทาทบั ซา้ หลายครงั้ จนพื้นเรยี บ เม่อื จะปดิ ลาย ต้องเช็ดพ้ืนก่อน คือ การทารักบางๆ หรอื สีน้ามันบางๆ กอ่ นจะน้ากระดาษท่ีฉลุไว้มา ทาบลงบนพื้น น้าทองค้าเปลวไล่ติดใหเ้ ตม็ ชอ่ งทีฉ่ ลุไว้ เมอื่ ลอกเอากระดาษออก ก็จะได้ลายคา้ ตามท่ีต้องการ อาจใช้น้าสม้ ป่อยในกรณีท่ีลอกกระดาษสาออกไมห่ มด ทัง้ นหี้ ากทารักหรือสนี ้ามันหนาเกนิ ไป รกั หรือสนี ้ามัน จะดดู ทองค้าเปลวจมหายไป ทา้ ให้ไมม่ คี วามแวววาว การเชด็ รกั หรอื สนี า้ มันจงึ ต้องอาศัยประสบการณ์ วธิ กี าร ลงรกั ปดิ ทองฉลุลายหรอื ลายค้าน้ี จะได้ภาพที่มขี อบนอกไม่ชัดมากนัก และเปน็ งานซ้ากันหลายๆ ช้ิน
469 แผ่นพลาสติกฉลุลายตน้ แบบ ขณะก้าลงั ปดิ ทองกรอบประตู เม่อื ปดิ ทองแลว้ ลายคา้ ใน กรอบประตวู ิหารวดั พระธาตุ วิหารวัดพระธาตุชอ่ แฮ วิหารวัดพระธาตุจอมทอง จังหวัดแพร่ ชอ่ แฮ จังหวัดแพร่ จงั หวดั เชียงใหม่ งานขดู ลาย หรือ ฮายลาย เป็นงานทต่ี อ้ งอาศยั ช่างปดิ ทองคา้ เปลว และช่างขูด การขดู ลายเปน็ การท้าลวดลายดว้ ยการใชเ้ หล็กแหลมขดู ให้เป็นรปู รา่ งต่างๆ เสน้ รอบนอกของลวดลาย เกดิ จากการขูดผวิ ทองด้านบนออก จะเกดิ เปน็ เส้นลวดลายสีเขม้ หรือสีแดงของชาดบนพนื้ ทอง ลวดลายท่ี ปรากฏจึงเหมอื นกับการเขียนภาพลายเส้นบนพื้นสีทอง วิธีการนจี้ ะท้าใหไ้ ด้ภาพท่ีมเี สน้ รอบนอกคมชัด และมี เอกลักษณ์มากกว่างานลายค้า การเตรยี มพ้ืนผวิ เชน่ เดียวกับการเตรยี มพ้นื ลงรกั ปิดทองลายฉลุ เทคนคิ การขดู ลายนี้ เป็นเทคนิคที่ใช้ท้าเคร่อื งเขินของเชยี งใหม่ ดว้ ยวิธขี ูดลาย หรอื ท่ีเรียกวา่ “ฮาย ลาย” หรือ “ฮายดอก” ในงานชา่ งลา้ นนา บางครง้ั ก็พบว่ามกี ารใชท้ ง้ั สองเทคนคิ ผสมกนั งานปดิ ทองลายรดน้า เปน็ งานทต่ี ้องอาศัยชา่ งปิดทอง และช่างเขียนลาย เทคนิคการปิดทองรดน้าเปน็ เทคนคิ ที่ปรากฏบนฝาผนงั หอไตรวัดสันกา้ แพง จังหวดั เชยี งใหม่ และวัด หลวง จงั หวดั แพร่ สมัยกอ่ นใช้น้ายาหรดาน เขยี นลากเส้นเป็นลวดลายหรอื รปู ภาพ และระบายปดิ ถมพืน้ บรเิ วณทีไ่ ม้ต้องการให้ทองคา้ เปลวตดิ บนพนื้ ที่เตรยี มไวเ้ รียบร้อยแลว้ จากนนั้ จึงปดิ ทองค้าเปลวเตม็ พ้นื ที่ แลว้ เสาวิหารวัดพระธาตุจอมทอง จงั หวดั เชยี งใหม่ ใช้ ขั้นตอนการขูดลาย เทคนคิ ลายคา้ ผสมการขูดลาย
470 ใชก้ ระดาษสาชบุ น้าลอกเอาทองท่ปี ิดไวบ้ นนา้ ยาหรดานทีเ่ ขียนและถมไว้ จงึ เกดิ เปน็ ภาพเขียนลายเสน้ สดี ้า หรอื แดงบน ตวั ลายเป็นสที อง ทง้ั น้หี รดานเป็นแรส่ เี หลอื ง ทง้ั นีง้ านลงรักปิดทองในปัจจุบัน ไดเ้ ปล่ยี นจากวสั ดุรกั ที่ใช้รองพนื้ เปน็ สีนา้ มัน แม้คณุ ภาพจะไม่ เทียบเทา่ กับรักแต่เปน็ วัสดทุ ่หี าซ้อื ไดง้ า่ ยในปจั จุบัน มีขั้นตอนการท้าไมย่ งุ่ ยาก และราคาถกู กวา่ รักมาก แม้แต่ งานท่ซี ่อมโดยกรมศลิ ปกร เช่น กรอบประตวู ิหารวัดพระธาตุชอ่ แฮ จังหวัดแพร่ ใน พ.ศ. ๒๕๕๓ ก็ใช้สนี ้ามัน แทนรักเช่นกัน ทวา่ การใชร้ ักนน้ั ได้ไปปรากฏในงานท้าเครื่องเขินอยู่มากพอสมควร ข. งานปนู ปนั้ วัสดุ วัสดุที่ส้าคัญในการท้างาน คือ ปูนปั้น บางคร้ังเรียกปูนหมัก ปูนต้า ปูนโขลก ปูนทิ่ม ปูนสด หรือปูน ปั้นสตายจนิ (สะทายจิ๋น) ก็เรียก โดยเจ้าบุญประเสริฐ ณ เชียงใหม่ (อ้างในพัชรี จันทร์ทิพย์, ๒๕๔๕. หน้า ๙) อธบิ ายค้าว่า สตาย หมายถงึ ปูน จินคือป้นั ไม่ได้หมายถงึ ปนู แบบจีน การท้าปูนปั้น เป็นการน้าปูนขาวมาหมักไว้เป็นเวลา ๑ เดือน เพื่อให้ความร้อนจากปูนระเหยออกจน หมด ผสมเข้ากบั ทราย กาว และเสน้ ใยประเภทกระดาษฟางเปือ่ ย โขลกให้เข้ากัน ทั้งนี้ในการท้าปูนป้ันโบราณ นัน้ นอกจากจะใช้กระดาษฟางแลว้ ทางล้านนายังใช้เส้นใยประเภทอื่นด้วย อาทิ เปลือกต้นสา เปลือกต้นข่อย เปลอื กเถาวัลย์ และเปลอื กพืชท่มี เี สน้ หรือเสีย้ นใยเหนยี วละเอยี ด กระดาษรม่ ไพ่ กระดาษว่าว สมุดข่อย เชือก กล้วย ขนสัตว์ ฟางขา้ ว เปลือกปอ ผา้ ฝ้าย เส้นด้าย เชอื กจากพชื เศษผา้ ฝ้าย เป็นต้น บางครง้ั ใช้น้ามนั ต้นทั้ง หรอื ท่ีคนไทยเรยี กนา้ มันตังอิ้ว หรือน้ามันยาง น้ามันสน ยางต้นรัก น้ามันแก้ว เป็นส่วนผสมแทนกาวกไ็ ด้ (จารวุ รรณ ขา้ เพชร และคณะ, ๒๕๔๘, หนา้ ๕๒) วัสดุสา้ คัญทัง้ ๔ ส่วนในการทา้ ปูนปั้นโบราณ คอื ปนู ขาว ทราย กาว และเสน้ ใย มีความส้าคญั ดงั นี้ ๑. ปนู ขาว มหี น้าทแี่ ละประโยชน์ในฐานะเป็นวสั ดุหลกั ท่จี ะรวมวัสดุอื่นให้เข้ามาอยู่ด้วยกัน ปูนขาวก็ คือตัวแคลเซียม ซึ่งสามารถจะเป็นตัวยึดให้แข็งเป็นก้อนใหญ่ หรือสามารถยึดโยงโครงสร้างและห่อหุ้มพวก ทรายไฟเบอร์ไว้ได้ และจะท้าให้โครงสรา้ งแขง็ ตัวมากยิ่งขึ้น เมื่อเวลาผ่านไปนานเพราะอณูของแคลเซียมในตัว ปูนขาวจะจับยึดกนั เองอย่างท่ัวถงึ ท้าใหแ้ ขง็ มาก
471 ๒. ทรายมีหนา้ ท่ีและประโยชน์ คอื ท้าให้ได้เน้ือปูนในมวลรวม ซ่ึงเม็ดทรายที่แทรกอยู่ในปูนต้านั้นจะ ทา้ ใหเ้ กิดความแข็งแรงแน่นตวั อีกทง้ั ทา้ ให้เกิดการทรงตัวไดด้ ี ในขณะท่ปี นู ยังเปียกเพื่อใช้ป้ัน และหลังจากปั้น เสรจ็ แขง็ ตวั แลว้ ๓. เส้นใย ท้าหน้าที่เหนี่ยวรั้งกลุ่มอณูที่อยู่ภายในของก้อนปูนน้ันให้ติดกัน และเป็นตัวประสานมิให้ เกิดการแตกร้าวร่วงได้ เส้นใยจึงมีบทบาทส้าคัญตั้งแต่ปูนยังเปียก ธรรมชาติของเส้นใยส่วนใหญ่จะมีอายุสั้น สลายตัวได้ง่าย แต่ก็มีสิ่งทดแทน คือ เวลาผ่านพ้นไปนานๆ พวกแคลเซียมในปูนจะจับตัวเป็นก้อนเดียวกัน ตอ่ ไป แม้เส้นใยจะสลายตัวไปกย็ ังมคี วามแข็งแรงคงรปู ลกั ษณะไปได้อกี นานมาก ๔. กาวหรอื ตวั ยดึ จะท้าหน้าที่ในการรดั ตวั ยึดเหน่ียว แทรกระหว่างอณูของวัสดุ เช่ือมต่อเม็ดปูน เม็ด ทราย และเส้นใยให้เข้ากัน แต่กาวก็เป็นวัสดุที่ไม่อาจคงสภาพได้นาน เพราะส่วนใหญ่แล้วมักเป็นพวกโปรตีน (หนงั สตั ว์) เปน็ แปง้ (ข้าวเหนยี ว ข้าวเจ้า) และเป็นพวกน้ามัน (ตังอิ้ว, น้ามันยาง) พวกน้าตาล น้าอ้อย เป็นต้น คร้ันเมอื่ ไดร้ ับตวั ทา้ ลาย เชน่ แดด ฝน กจ็ ะสลายไปในไมช่ า้ จงึ มีอายนุ ้อย ทง้ั น้ี สันติ เลก็ สุขุม (ศิลปวัฒนธรรม, ฉบบั ท่ี ๒๖๘, ๑ ก.พ. ๒๕๔๕) พบวา่ ปนู ป้ันแบบโบราณน้ีนิยม แพรห่ ลายในหม่ชู ่างลา้ นนาอยา่ งน้อยต้งั แต่พุทธศตวรรษที่ ๒๓ เปน็ ตน้ มา และจากการศกึ ษาของอ้าพล สัมมา วฒุ ธิ (ศลิ ปากร, ปที ่ี ๔๔ ฉบบั ที่ ๕ กย. – ธค. ๒๕๔๔) พบว่าปนู ชนิดน้ี ไมท่ นแดดทนฝน จึงควรใช้ภายใน อาคารมากกว่า เน่อื งจากเปน็ สูตรผสมน้ามันยอ่ มยึดเกาะกับวตั ถทุ ีแ่ ห้งไดด้ ีกว่าวัตถุทีม่ คี วามชื้น ถา้ ใช้ภายนอก อาคารอัตราการยดื หดของวสั ดุพน้ื ผิวจะมีมากกว่า ก่อให้เกดิ รอยร้าวบริเวณรอยตอ่ ของปูนปั้นได้ นานวันเมื่อ ฝนเซาะเข้าไปในรอยต่อ ปนู กจ็ ะกะเทาะหลุดออกมา ข้อจา้ กัดอีกอย่างของปนู สตายจิน คอื เกบ็ ไวน้ านไม่ได้ ตอ้ งรบี ใชง้ านหลงั จากต้าเสรจ็ ดังน้ันจึงต้องกะปริมาณให้พอดกี บั การใช้งานในแตล่ ะคร้ัง สว่ นผสมของปนู ป้นั ทัง้ นที้ ัง้ นน้ั จากการศึกษา พบว่าสตู รที่ใช้ในการท้างานปนู ปัน้ ของสล่าหรอื ช่างล้านนาแต่ละคน มีความ แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ ความถนัดของเนื้อปูนท่ีช่างแต่ละคนชอบ เช่น สล่าธวัช ธวัชชื่นสนิท จังหวดั เชยี งใหม่ (มงคล กลิ่นบบุ ผา, ๒๕๓๘) นิยมปนู ปั้นส้าเรจ็ รูป สว่ นทรายต้องน้ามาร่อนเอง เพราะต้องการ ความละเอียดของเม็ดทราย เม่ือจะใช้ก็น้ามาต้าผสมกับทราย และต้าเพียงท่ีใช้เท่านั้น มักป้ันลายสัตว์ใน ธรรมชาติ เทวดา เป็นตน้ พ่อหนานพรหมมินทร์ หรือนายเบญจิมิน สุตา (พัชรี จันทร์ทิพย์, ๒๕๔๕) ช่างป้ันปูนจากอ้าเภอ จอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ โดยใช้ ปูนขาว : ทราย : น้ามันละหุ่ง ในอัตราส่วน ๘ : ๑ : ๑ ซึ่งบางท่ีอาจมีการ ผสมกาวลาเทกซ์ลงไปด้วย เพื่อให้เนื้อปูนมีความเหนียว หรือทารองพ้ืนบริเวณที่จะป้ันปูนเพื่อการยึดติดที่ดี ยิ่งข้ึน โดยน้ามาคลุกเคล้ากันจนเข้ากันประมาณ ๑๕ นาที น้ามาโขลกตนเป็นก้อนได้เวลาประมาณ ๔๕-๖๐ นาที
472 พ่อครปู ระดษิ ฐ์ สวนพุฒ (สมเจตน์ วิมลเกษม สราวุธ รปู ิน, ๒๕๕๑) ใช้สูตรจากต้าราครูบาอินผ่อง วัด พระเกิด อ้าเภอเมอื ง จังหวดั นา่ น คือ ปนู ขาว ทราย นา้ อ้อย น้ายางเปลอื กไม้ไก๋หรือไม้เมือก และน้าหลังควาย เค่ียว สงวน รอดบุญ เช่ือว่าปูนปั้นโบราณมีส่วนผสมของ ปูนขาว ทราย น้าอ้อย ยางบง และกล้วย และใน บางคร้งั กใ็ ชป้ ยุ นนุ่ หรือปยุ งิ้วผสมลงไปดว้ ยเพื่อให้เกิดการยึดเหน่ยี วกัน ศรีเลา เกษพรหม ได้ศกึ ษาและรวบรวมสตู รปูนปั้นลา้ นนาโบราณจากแหล่งขอ้ มูล ๓ แหลง่ ด้วยกนั คือ จากค้าบอกเลา่ ของ พ่อหนานคา้ สมสขุ และพอ่ หนานจัน พรชยั อดีตเจา้ อาวาสวดั ศรสี องเมือง ต้าบลไชย สถาน อ้าเภอสารภี จังหวดั เชยี งใหม่ และจากบทความของพระครูวจิ ติ รการโกศล ได้ขอ้ สรุปดังน้ี สูตรท่ี ๑ ปนู ขาวหมกั ๔ สว่ น ทรายร่อนละเอียด ๑ ส่วน กระดาษสาแช่น้าใหเ้ ปอื่ ย และนา้ อ้อย สูตรที่ ๒ ปูนหมัก ๙ ส่วน มนั ละหงุ่ หรอื นา้ มันตงั อว้ิ ๑ ส่วน ผงอิฐบดละเอียด ๕ สว่ น ทรายละเอยี ด ๐.๕ สว่ น สตู รที่ ๓ ปูนหมัก ๔ ส่วน ทรายละเอยี ด ๔ ส่วน นา้ อ้อย ๑ ส่วน น้ามนั ยาง ๑ สว่ น น้ามันละหุง่ ๓ ส่วน กลว้ ยตบี ค้าตามสมควร สูตรที่ ๔ ปนู หมกั ๓ สว่ น ทรายละเอยี ด ๓ สว่ น น้าออ้ ย ๒ สว่ น นา้ ต้มเปลือกไม้ไก๋ ๕ ส่วน นา้ ต้ม หนังคาย ๗ สว่ น น้าท่ีได้จากการแชล่ กู สมอ ๓ ส่วน นา้ ตม้ ผลมะตูม ๓ สา้ หรับสูตรของ เสถียร นะวงศร์ ักษ์ ได้แก่ ปูนขาวหมัก ๙ สว่ น ทรายละเอียด ๕ ส่วน น้ามนั ตงั อวิ้ (น้ายางมะม้ือ) ๑ สว่ น โดยเม่ือเทยี บกนั สูตรของพ่อหนานพรหมมนิ ทร์ หรือนายเบญจิมิน สตุ า ที่ใช้ ปนู ขาว : ทราย : น้ามันละหุง่ ในอตั ราสว่ น ๘ : ๑ : ๑ พบวา่ สูตรของ เสถยี ร นะวงศ์รักษ์ ใช้ทรายละเอยี ดในอัตรา ส่วนผสมท่ีมากกว่า ท้ังนกี้ ็เพราะตอ้ งการให้มีการยดึ เกาะที่แนน่ กว่า ส่วนพอ่ หนานพรหมมนิ ทร์ เห็นวา่ การใส่ ทรายละเอยี ดทม่ี ากเกินไปจะท้าให้เปน็ เม็ด แมว้ า่ จะร่อนแลว้ ก็ตามทา้ ใหล้ วดลายไมล่ ืน่ ทัง้ นท้ี ง้ั นน้ั มีข้อสังเกตอยา่ งหนึ่งเกีย่ วกับส่วนผสมปนู ปนั้ คือ ไม่ควรใส่น้ามนั มากเกนิ ไป เพราะจ้าท้า ให้ปูนแหง้ ช้า สิ้นเปลือง กระบวนการทางานของสล่าเสถีร นะวงศ์รักษ์ เมื่อจะทา้ ปูนปั้น เสถยี ร นะวงศร์ ักษ์ จะน้าปูนขาวหมักทร่ี อ่ นเรยี บร้อยแลว้ ไปหมกั แช่ในภาชนะ ประมาณ ๑๕ วัน เพ่ือให้คลายความรอ้ นและลดความเคม็ ของปนู เมอ่ื ครบกา้ หนดให้รินนา้ ใสๆ ดา้ นบนออก ตกั ปนู ขาวทห่ี มักแล้วมาผึ่งลมให้หมาด จึงนา้ ไปใช้ สว่ นทรายละเอยี ดควรลา้ งเอาฝนุ่ และสง่ิ สกปรกออกให้หมด เสียก่อน และตากแห้ง แล้วผา่ นตะแกรงตาถ่ี นา้ ปนู ขาวหมกั กับทรายละเอียดใสล่ งในครกกระเดื่องหรือครกมอง จากน้นั จึงเติมน้ามันตังอิ้ว พรอ้ ม โขลกไปเรื่อยๆ กระท่ังส่วนผสมเขา้ กันดี อาจใชเ้ วลาถงึ ๓-๔ ชั่วโมง อณุ หภมู ทิ เ่ี กิดจากการโขลกปนู ด้วยครก
473 จะทา้ ให้ส่วนผสมของปูนขาว ทราย และน้ามันตังอ้ิวผสานกัน ท้ังนี้ตามความเช่อื ล้านนา ครกกระเดื่องหรอื ครกมองน้ัน จะถกู วางไวท้ างทศิ เหนอื ส่วนกระเคร่ืองครกวางไวใ้ นทิศใต้ ทัง้ น้หี ากนา้ มันตังอิว้ มากเกนิ ไป จะ ทา้ ใหป้ ูนแฉะ มีความอ่อนนุ่มมากเกินไป การตรวจดปู ูนป้ันว่าสามารถใช้งานไดห้ รอื ยัง ใหล้ องป้นั และบีบดู หากยังเห็นเปน็ รอยแตก กแ็ สดงวา่ ยงั ใชง้ านไม่ได้ ต้องโขลกต่อไป กระท่งั ปนู น่ิมเหมือนดินน้ามนั ปั้นแลว้ ไม่มี รอยแตก ปัน้ ลายแลว้ ทรงตัวอยู่ได้ การตาปนู แบบโบราณโดยใช้ครกตา และการตาปนู แบบใช้มอเตอร์ ลกั ษณะปนู ตาพร้อมใช้งาน วธิ ปี ั้นและวธิ ีเก็บปนู ท่ีเหลือ ก่อนป้นั ใหล้ ะลายปูนด้วยน้าใหเ้ หลวพอสมควร ทาลงบนพน้ื ทีจ่ ะป้นั ดอกหรือลวดลายเพ่ือใหป้ ูนท่ีปนั้ ติดแนน่ หรือใชป้ ูนปน้ั ละลายด้วยนา้ มนั ละหุ่งหรือตังอว้ิ ใหเ้ หลวพอสมควร ทาลงบนพื้นที่จะทา้ การติดดอกให้ ทัว่ จากนน้ั จึงท้าการป้นั ลวดลาย การปั้นปูนนั้น ต้องใช้ทักษะความช้านาญเฉพาะตัวอย่างมาก เร่ิมจากการปั้นในส่วนโครงร่างก่อน เพราะจะตอ้ งมีความถูกตอ้ งของสดั ส่วนตามทีก่ ้าหนดไว้ หลงั จากป้นั ส่วนโครงรา่ งเสรจ็ แลว้ ก็จะรอให้ปูนแข็งตัว แลว้ จงึ จะท้าการป้นั ส่วนผิว และรายละเอยี ดตอ่ ไป โดยใช้วธิ กี ารกรีดเนื้อปูนด้วยมือขณะท่ีปูนยังไม่แห้ง เมื่อจะ กรดี เส้น ชา่ งล้านนามกั ใชไ้ ม้ไผ่เหลาปลายแหลมหรือปลายตดั มน ซึ่งเป็นอปุ กรณท์ ที่ ้าข้นึ เอง ทงั้ น้ปี นู ที่เหลือจากการปน้ั ให้ห่อเก็บไว้ในภาชนะมิดชดิ อยา่ ให้ถูกอากาศได้ เพราะจะท้าให้ปนู แข็งตัว กอ่ นทจ่ี ะปดิ ฝาให้เอาผ้าชบุ น้ามนั ละหุ่งหรือตังอิ้วให้เปียกชุ่ม คลมุ ปนู ในภาชนะอกี ชนั้ หน่ึงกไ็ ด้ แล้วจงึ ปิดฝาให้
474 แน่น เก็บไว้ในรม่ อย่าให้ถูกแดดหรอื ความร้อนเม่ือจะน้ามาใชใ้ หม่ ใหน้ ้าปูนไปโขลกซา้ และเพ่ิมน้ามันตังอ้ิวลง ไปอีกเล็กน้อย เพ่ือเพ่ิมความเหนยี ว เม่อื จะปิดทองบนงานปนู ปน้ั ก็ต้องทารักให้ทั่วเสียก่อน แล้วใช้แผน่ ทองคา้ เปลวปิดจนเตม็ พื้นท่ี จากน้ันจงึ วางทองคา้ เปลวไปตามซอกมุมท่ไี ม่สามารถปดิ ทองได้ แลว้ ใชพ้ ู่กนั หรือแปรงขนาดเลก็ กระทุ้งแผ่น ทองให้ลงไปตามพนื้ ทท่ี ต่ี ้องการ แล้วใช้แปรงขนอ่อนปัดฝุ่นทองออกให้หมด แสดงขนั้ ตอนการปัน้ ปนู โดยชา่ งล้านนา เป็ นหางนาคซ้มุ ประดบั โขงประตทู ่วี ดั กคู่ า อ.เมือง จ.เชียงใหม่ โดยสรปุ แล้ว ปนู หมักปนู ต้าแบบประเพณโี บราณลา้ นนาท่ียังคงสืบมาถึงปจั จุบัน มีวสั ดทุ ี่ใชห้ ลกั คือ ปูนขาว (แคลเซียมคารบ์ อเนต) ทไ่ี ด้จากหินปนู เผาสุกและบดร่อนจนไดป้ นู ผง หมักไว้ราวหนง่ึ ปี และทราย แม่น้า ทั้งน้ีมักใชป้ นู ขาวมากกว่าทราย สว่ นผสมอื่นๆ ทต่ี ่างกันไป เชน่ นา้ มันตงั อื้ว น้ามนั พืช หรือเส้นใยจาก พืช รายละเอยี ดของสว่ นผสมทต่ี า่ งกนั เหลา่ นี้ เปน็ เทคนิควิธกี ารทา้ ให้เน้ือปูนเหนยี ว เหมาะสมกบั ความถนัด ของชา่ งแตล่ ะคน ส้าหรับช่างในปัจจุบัน มีการใช้ปูนซีเมนต์ผสมกับเคมีท่ีใช้แทนปูนขาว และทราย เป็นส่วนผสมแทน ปูนปั้นแบบโบราณ เรียกปูนปั้นซีเมนต์ และใช้กาววิทยาศาสตร์ (Epoxy) แทนรักในการประสาน เช่น สล่าสม เพชร และกลุ่มสล่าวัดร่องขุ่น จังหวัดเชียงราย (วันชัย พุทธวารินทร์, ๒๕๔๕) ใช้ปูนซีเมนต์ผสมกับเคมีที่ใช้ แทนปนู ขาว และทราย เป็นส่วนผสมหลักในการสร้างงานปนู ป้ัน (ซีเมนต์) ในการประดับลวดลายปูนป้ันนผนัง
475 อาคาร สล่าสมเพชร และกลุ่มสล่าวดั รอ่ งขนุ่ จังหวดั เชยี งราย ใชก้ าววทิ ยาศาสตร์ (Epoxy) แทนรัก แต่อย่างไร ก็ตาม ปูนซีเมนต์มีความหนาแน่นสูง มีความพรุนน้อย แข็งตัวในเวลาอันรวดเร็ว จึงไม่เหมาะกับงานตกแต่งที่ ต้องใชค้ วามประณตี และใช้เวลานาน ค. ชา่ งแกะสลักไม้ การสลัก เกิดจากการใช้เครื่องมือท่ีเป็นโลหะแข็ง คม ในการแกะหรือจ้าหลักลงในวัตถุอย่างใดอย่าง หน่ึง เช่น หิน ไม้ หนัง โลหะ งา กระดาษ กระดูก เขาสัตว์ หรือสลักของสด เช่น พืช ผัก ผลไม้ ส้าหรับ ถ่ายทอดความคิด ความเชื่อ ความงาม และความสามารถของช่างฝีมือให้ปรากฏ (จุลทัศน์ พยาฆรานนท์, ๒๕๕๔, หน้า ๒๑) การแกะสลักภาพลายเส้น เป็นการเซาะร่องตามลวดลายของเส้นให้มีความหนักเบาเท่ากันตลอดทั้ง แผ่น การแกะสลักภาพนูนต่้า เป็นการแกะสลักภาพให้นูนขึ้นสูงจากพ้ืนแผ่นของไม้เพียงเล็กน้อยไม่แบนราบ เหมือนภาพลายเส้น และการแกะสลักภาพนูนสูง เป็นการแกะสลักภาพให้ลอยสูงข้ึนมาเกือบสมบูรณ์เต็มตัว ความละเอียดของภาพมีมากกว่าภาพนูนต้่า ท้ังหมดเป็นเทคนิคที่ใช้แกะสลักไม้เป็นเครื่องประดับศาสนสถาน ทั้งวหิ าร โบสถ์ หอไตรหรอื อน่ื ๆ เช่น หน้าบนั คนั ทวย สาหร่าย หรอื แปน้ น้ายอ้ ย เปน็ ต้น ตัวอย่างช่างสลักไม้ ที่ยังคงท้างานและยึดเป็นอาชีพอยู่ในปัจจุบัน อาทิ ช่างสลักที่หมู่บ้านถวาย อ้าเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ ผลิตงานไม้แกะสลักประเภทเครื่องประดับตกแต่งศาสนสถานและบ้านเรือน ท่ัวไป อาทิ นายบุญส่ง รังทะษี สลักครุฑ นายสมบัติ บุตรเทพ สลักสิงห์ นายจรัส สุสามปัน สลักพระพุทธรูป หรือนายอทุ ิศ อินทรว์ นิ สลักลวดลายประดบั สถาปตั ยกรรม เป็นต้น ดูรายละเอียดงานสลักของช่างแต่ละคนได้ ในหนงั สือ หางดงถ่นิ หัตถกรรม (ศุภฤกษ์ กุลสุ (บรรณาธิการ), ๒๕๕๔, หน้า ๖๕ – ๘๓) หรือช่างสลักไม้ที่บ้าน รอ้ งตน้ ขาม อา้ เภอดอยสะเกด็ จงั หวดั เชียงใหม่ ซึง่ เปน็ ชมุ ชนหนง่ึ ท่ีแกะสลักไมส้ ง่ ไปขายยงั บ้านถวาย วัสดุ วัสดุส้าคัญในการแกะสลัก คือ ไม้สัก (Teak) เพราะเนื้อ ไมม้ ีความสวยงาม เปน็ สีเหลอื งทองถึงสนี ้าตาลแก่ มลี ายเป็นเส้นสี น้าตาลแก่แทรก เส้ียนตรง เนื้อหยาบ แข็งปานกลาง เล่ือยใสกบ ตบแต่งง่าย และมีความทนทานต่อแมลงจ้าพวกปลวกและมอด เนื่องจากในเน้ือไม้สักมีสารเคมีพิเศษอยู่ชนิดหนึ่ง ช่ือ O- cresyl methyl ether และมีความทนทานตามธรรมชาติ ต้นสักนั้นเป็นต้นไม้ผลัดใบ ขนาดใหญ่ มีช่ือทางวิทยาศาสตร์ว่า Tectona grandis อยู่ใน วงค์ Verbenaceae มีถ่ินก้าเนิดอยู่ในตอนใต้ของประเทศอินเดีย พม่า ไทย อินโดนีเซีย และหมู่เกาะอินเดีย ตะวันออก ในประเทศไทยพบข้ึนเป็นกลุ่มในป่าเบญจพรรณทางภาคเหนือ และบางส่วนของภาคกลางและ ตะวันตก คือ ในท้องที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ ส้าพูน เชียงราย ส้าปาง แพร่ น่าน ตาก ก้าแพงเพชร
476 อุตรดิตถ์ พิษณุโลก สุโขทัยเพชรบูรณ์ และพิจิตรและมีบ้างเล็กน้อยในจังหวัด นครสวรรค์ อุทัยธานี และ กาญจนบรุ ี ล้าต้นสกั เป็นเปลา มกั มีพพู อน ตอนโคนต้นเรือนยอดกลม สงู เกินกวา่ ๒๐ เมตร เปลอื ก หนา๐.๓๐ – ๑.๗๐ เมตร สีเทาหรือสีน้าตาลอ่อนแกมเทา แตกเป็นร่องต้ืน ๆ ไปตามทางยาวและหลุดออกเป็นแผ่นบาง ๆ เล็ก ๆ ใบ ใหญ่ รูปใบรมี น หรอื รปู ไขก่ ลับ แตกจากกิ่งเปน็ คู่ ๆ ท้องใบสากหลังใบสีเขียว แกมเทา เป็นขน ดอก เล็กสีขาวนวล ออกเป็นชอ่ ใหญ่ ๆ ตามปลายก่ิงเร่มิ ออกดอกเดือน มถิ นุ ายน ส่วนผลค่อนข้างกลม เปลือกแข็งมี ขนส้นั ๆ นุม่ ๆ สนี ้าตาลหุ้มอยู่ ภายในมเี มล็ด ไม้สกั ทัง้ นีท้ ัง้ น้ี ปจั จุบนั ไมส้ ักมีราคาสูงและมีปริมาณลดน้อยลงมากแล้ว ท้าให้ชาวบ้านนิยมน้าไม้ฉ้าฉาหรือ ไม้จามจรุ มี าใชแ้ ทนไม้สัก เนื่องจากมีราคาถูก สามารถหาได้ง่ายกว่าไม้สัก เน้ือไม้จามจุรีนั้น จะมีแก่นสีด้าคล้า สวยงาม เม่ือขัดตกแต่งจะข้ึนเงาแวววาว สวยงาม ทว่าเน่ืองจากความช้ืนในไม้จามจุรีน้ันมีมาก จึงท้าให้เกิด ปัญหาไม้แตกในระหว่างการแกะสลัก วิธีแก้ไข คือ การอบไม้โดยค่อยๆ เพ่ิมอุณหภูมิจนกระท่ังไม่มีความชื้น หรอื ใกลเ้ คียงกบั บรรยากาศทวั่ ไป และเมอื่ ถูกแสงแดดนานเข้าจะทา้ ให้ไมง้ อ จามจรุ ี (Rain tree) เปน็ พืชตระกลู ถวั่ (Family Leguminosae) อนุวงศ์สะตอ (Sub-Family Mimosaceae) มชี ่อื ทางพฤกษศาสตร์ว่า Samanea saman Jacq Merr. ส่วนชื่อท่เี ป็นทรี่ ู้จกั ในประเทศไทย ไดแ้ ก่ ก้ามกราม จามจรุ แี ดง กา้ มปู กา้ มกุง้ สารสา ส้าลา ตุด๊ ตู่ ลัง เปน็ ไม้ผลัดใบ ทโ่ี ตเรว็ เรอื นยอดแผ่กวา้ งคล้ายรูปรม่ เรือนยอดสงู ประมาณ ๒๐ – ๓๐ เมตร เปลือกสี ดา้ แตกและร่อน มคี วามแขง็ แรงเทา่ เทยี มไม้สมพง แต่มีลักษณะพิเศษ คอื มีกา้ ลงั ดัดงอ (bending strenght) สูงมาก ทั้งความชื้นในเนือ้ ไม้ก็สูง นยิ มใชเ้ ปน็ ต้นไมเ้ ล้ียงครัง่ ต่อเมื่อไม้จามจุรีหรอื ฉา้ ฉามีจ้านวนนอ้ ยและราคาแพงมากขึน้ จึงมกี ารหนั มาใช้กระดาษอัดหรือที่ เรียกวา่ ฮาร์ดบอร์ดแทน เปน็ ผลติ ภณั ฑท์ ่ไี ดจ้ ากการน้าไม้มาบดเป็นเยือ่ แล้วท้าการอดั ด้วยแรงดันสูง อาจใช้ กาวเปน็ ตวั ประสานหรือไมใ่ ช้กไ็ ด้ นอกจากงานแกะสลักโดยท่วั ไปแลว้ การใชก้ ระดาษอัดแทนไม้จริง ท้าในกรณที ่ีเป็นงานประดับ ชั่วคราว เช่น งานประดบั ปราสาทศพพระสงฆ์ ทตี่ ้องเผาไปพรอ้ มกบั ศพ
477 กระบวนการทางานแกะสลักไม้ของสล่าแกะสลักไมบ้ ้านรอ้ งต้นขาม การแกะสลักไม้ในหมู่บ้านรอ้ งตน้ ขา้ ม มกี ระบวนการท้างาน ๖ ขน้ั ตอนใหญ่ๆ แตล่ ะข้ันตอนมีคนใน หมบู่ ้านรับงานไปทา้ กระบวนการผลติ ไม่ได้ทา้ เสรจ็ ในคนเพียงคนเดียว ได้แก่ ๑. การชือ้ ไม้และติดกระดาษลายบนไม้ โดยโรงงานขนาดเล็ก ๒. การฉลชุ ่องไฟลวดลายที่ไม่ตอ้ งการออก โดยชา่ งฉลุ ๓. การแกะสลกั โดยชา่ งแกะสลัก ๔. การตกแต่ง ดว้ ยการขัดกระดาษทราย โดยโรงงานขนาดเลก็ ๕. ท้าสี โดยช่างสใี นร้านจ้าหน่ายสนิ ค้า ๖. จา้ หนา่ ยหนา้ รา้ น โรงงานขนาดเล็กในหมบู่ า้ นที่รบั ทา้ ไม้แกะสลัก มี ๑ โรงงาน ตงั้ อยบู่ ้านเลขที่ ๔๘ หมู่ ๑ ต้าบลส้าราญ ราษฎร์ อา้ เภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชยี งใหม่ เปดิ มาต้ังแต่ พ.ศ. ๒๕๔๘ มนี ายศรธี น และนางวฒั นา อปุ นั โน เป็นเจา้ ของ ทางโรงงานจะเป็นผหู้ าซ้อื ไม้ และกา้ หนดลวดลายตามความต้องการลูกค้า เมอ่ื ไดไ้ มต้ ามขนาดท่ตี ้องการแล้ว จงึ น้ามาไสให้เรียบ และตดิ กระดาษลายที่จะแกะสลักดว้ ยกาวลา เท็กซ์ เสรจ็ แล้วจงึ กระจายงานไปใหช้ า่ งฉลไุ ม้ในหมบู่ ้าน ทว่าเม่ืองานมีปริมาณมาก นางวฒั นา อุปันโน ก็ไดท้ ้า การฉลไุ ม้เองด้วย ทั้งนงี้ านสา้ คญั อีกอยา่ งหนึ่งของโรงงาน คอื การออกแบบลวดลาย ชา่ งฉลุไมใ้ นหมู่บา้ น ได้แก่ นายวัชรินทร์ บัวค้า อายุ ๔๒ ปี อยบู่ ้านเลข ๓๙ หมู่ ๑ ตา้ บลสา้ ราญ ราษฎร์ อา้ เภอดอยสะเกด็ จังหวดั เชียงใหม่ ทา้ การฉลุไม้ดว้ ยเคร่อื งฉลุไฟฟ้าโดยมีใบเล่ือย ก่อนหนา้ นัน้ ใน พ.ศ. ๒๕๓๘ – ๒๕๔๘ ได้ใช้เคร่ืองฉลแุ บบเท้าเหยยี บ ปจั จุบนั นอกจากฉลุลายแล้วยงั ฉลุตวั อกั ษรด้วย ไม้ฉ้าฉาทีใ่ ชแ้ กะในปัจจุบัน นางวฒั นา อปุ นั โน เจา้ ของโรงงานขนาดเล็กในหมบู่ า้ น
478 ข้ันตอนการฉลไุ มด้ ว้ ยเครอื่ งฉลุ โดยนายวชั รินทร์ บวั ค้า ขนั้ ตอนนี้ เป็นการตัดทอนเน้ือไมส้ ว่ นที่ไม่ต้องการออก ให้ไมน้ น้ั มีลักษณะรปู ร่างท่ีใกล้เคียงกับแบบ เพอ่ื ใหเ้ กดิ รปู ทรงตามต้องการ มีความชัดเจนตามลา้ ดบั เพื่อจะน้าไปแกะสลกั ลวดลายในข้นั ตอ่ ไป สมัยโบราณใช้การตอกส่ิวเดินเสน้ ไปตามเส้นรอบนอกของตัวลายกอ่ นขดุ พน้ื ที่ซึ่งไม่ใชต่ วั ลายออก ขุด ช้นั แรกขดุ ตืน้ ๆ ก่อน ถ้าพนื้ ยังไม่ลึกพอกต็ อกซา้ อกี แล้วจงึ ขดุ ตอ่ ไปเพื่อให้ได้ช่องไฟที่โปรง่ ถา้ ต้องการนา้ ลวดลายแกะสลักนนั้ ไปประดับในท่ีสูงก็ต้องขุดพื้นใหล้ กึ พอประมาณ เพราะมองไกล ๆ จะได้เห็นการแกะ ยกขน้ึ เรียกการขุดพ้นื เมือ่ ฉลุแลว้ จึงสง่ ไปยังช่างแกะสลกั โดยงานของช่างแกะสลกั จะเป็นการแกะลวดลาย และการปาดแร ลาย การแกะยกช้นั เปน็ การจดั ตัวลายท่ีซอ้ นชน้ั กันเพ่อื ให้เหน็ ตวั ลายชัดเจน สว่ นการปาดแตง่ แรลาย คอื การ ปาดเนอ้ื ไม้ออกให้เกิดความสูงต่้าไมเ่ สมอกนั เพือ่ ท้าใหเ้ กิดแสงเงาในตัวลายและมองเห็นใหช้ ัดเจนตามรปู แบบ ทต่ี อ้ งการ ข้อสังเกต ในการปาดแรตัวลาย ชา่ งจา้ เปน็ ตอ้ งดูทางของเนือ้ ไม้หรือเส้ยี นไม้ เม่ือเวลาใชส้ ่ิวกต็ ้องปาด ไปตามทางของเน้ือไม้ คอื ไม่ยอ้ นเสยี้ นไมห้ รือสวนทางเดินของเน้ือไม้ เพราะจะทา้ ให้ไม้น้นั หลดุ และบิ่นได้งา่ ย ผ่านจากการแกะสลกั แลว้ ทางโรงงานจงึ นา้ มาขัดผวิ หนา้ ไม้ให้เรียบอกี ครั้งหนงึ่ ใส่กรอบ จากนั้นจงึ สง่ ไปทร่ี า้ น ขายส่งไม้แกะสลกั ในอา้ เภอหางดง จังหวัดเชยี งใหม่ และอ้าเภอแม่ทา จงั หวัดล้าพนู ทางร้านจะเป็นผูท้ ้าสเี อง โดยใช้แลกเกอร์ แชลแลก ทนิ เนอร์ หรือสที าไม้ ทั้งนีง้ านแกะสลักไม้ส่วนใหญ่เป็นการแกะสลกั ปา้ ย และแผงไม้ ประดับ เม่อื จะปิดทองค้าเปลว ก็ตอ้ งขัดเสย้ี นไม้หมดแล้วจึงทายางรักรองพืน้ ทาทับหลาย ๆ คร้งั แตล่ ะครง้ั ต้องรอให้รักที่ทาแหง้ เสยี ก่อน ทาจนวัสดอุ ิ่มตวั คอื ไมห่ ลงเหลอื เส้ียนไม้และมีความเปน็ มันเงาแลว้ จงึ ทารักน้า เกล้ยี งเพื่อปิดทอง รอใหร้ กั แห้งหมาดๆ สมั ผสั แล้วไม่ตดิ มือ แต่ยังมีความเหนยี วทีพ่ อจะปดิ ทองได้ จงึ ทา้ การ ปิดทองต่อไป
479 สลา่ เพญ็ ศรี จันทร์พลอย ใชส้ ว่ิ ปลายโคง้ ขดุ พื้น สล่ายุพา คา้ ราพศิ ใช้สิว่ หตาัวงอปยล่าางตงาอนกไเมดแ้ินกเสะน้สแลลักะทขห่ี ดุ มพ่บู น้ื ้านร้องต้นขาม ท้ังน้สี ามารถสรปุ วธิ กี ารแกะสลักเปน็ ขั้นตอนใหญ่ๆ ได้ ๔ ขั้นตอน ดงั นี้ ๑. การแกะขอบ เพ่ือยกตัวลายให้เหน็ ชดั เปน็ การแกะไปเส้นรอบนอกลวดลายให้ลึกลงไป ๒. การแกะตัดขอบลาย คอื การตดั สว่ นท่ีเป็นขอบลวดลายให้คมและลึกลงไปเท่าที่ตอ้ งการ ๓. การแกะพ้ืน คือ การขุดพื้นรอบนอกลวดลายให้ลึกลงไป เป็นการแกะเน้ือไม้รอบลวดลายออก ปรากฏเป็นลายนนู ขึ้นมา แตย่ ังไมม่ ีรายละเอยี ดภายในลวดลาย ๔. การตกแต่ง การท้าให้ตัวลายมีความนูนแตกต่างกัน โดยใช้สิ่วแกะส่วนบนเฉียงเข้าด้านในของลาย และแกะไปในแนวยาว ไม่ย้อนเนื้อไม้
480 ๖.๒ เครื่องมือชา่ ง ๖.๒.๑ งานสถาปัตยกรรม เครื่องมอื ช่างที่พบท่วั ไป ได้แก่ ขวาน เล่ือย ค้อน มดี กบไสไม้ ลกู ดิ่ง และระดบั น้า เปน็ ตน้
481 สว่ นประกอบของกบไสไม้ ท้ายกบ ล่ิม เหล็กประกบั ใบคม ใบคม สกูร มอื จับ ข่ือกบ ตัวกบ ๖.๒.๒ งานศลิ ปกรรม ก. งานปูนปนั้ ล้านนา เครอ่ื งมอื ท่ีใช้ในการปน้ั ปูนแบบโบราณนั้น ชา่ งมกั ท้ากนั ขึ้นเอง แบง่ ไดเ้ ปน็ ๑. ไมไ้ ผเ่ หลาใหบ้ างและปลายแหลมดา้ นหนง่ึ นิยมใชไ้ ผ่เฮียะ (Schizostachyum virgatum) ซง่ึ เปน็ ไผ่พนื้ เมืองท่ีมผี ิวบาง ชาวบ้านนิยมนา้ มาจกั สาน หรือใช้ไม้ไผช่ นดิ อนื่ และไม้อยา่ งอน่ื ก็ได้ ๒. เครือ่ งมือทมี่ ีลักษณะคลา้ ยเกรยี งปูนในปัจจุบนั แต่มีขนาดเลก็ กวา่ มาก ชา่ งตขี น้ึ เองจากเหล็กกลม ตีให้แบนแบบรูปใบโพธิ์ เครื่องมือชา่ งปนู ปัน้ ไม้ไผเ่ หลา เกรียงขนาดเลก็
482 ไผเ่ ฮียะ ข.งานแกะสลักไม้ เครือ่ งมือท่ีใช้ในการแกะสลักไมท้ ส่ี ้าคญั คือ ส่วิ เป็นเคร่ืองมือที่มสี ว่ นปลายเปน็ เหลก็ คมและด้ามทา้ ดว้ ยไม้ คมสว่ นใหญ่เปน็ แนวโคง้ เพื่อใหแ้ ซะเน้ือไม้ออกไดง้ ่าย ไมท่ า้ ใหเ้ นือ้ ไม้แตก แบง่ เป็นสวิ่ ปากเส้ยี วหรอื ส่ิว ปากรปู ตัววี ส่วิ หน้าตรง และสว่ิ หนา้ โค้ง นอกจากสิ่วแล้ว ในการท้างานแกะสลกั ยังต้องมีเคร่อื งมอื ต่อไปน้ี ก. ค้อนไม้ เป็นคอ้ นทมี่ ีลักษณะคลา้ ยตะลมุ พกุ เล็กๆ ท้าจากไม้เนอ้ื แข็งเช่น ไม้แดง ไมช้ ิงชนั มีนา้ หนกั เบา และไม่กนิ แรงเวลาใช้งานและช่วยรกั ษาด้ามส่ิวใหใ้ ช้งานไดน้ านอีกด้วย ข. มดี เปน็ มีดเลก็ ๆ ปลายแหลม ใชแ้ กะลายเล็กๆ หรอื แกะรอ่ ง ค. เลอ่ื ย ใช้ในการเล่ือยไม้สว่ นที่ไม่ต้องการออกไป เพ่ือขึน้ รปู หรือขึ้นโครงของงาน ง. บงุ้ หรือตะไบ ใช้ถตู กแตง่ ชิ้นงานในขน้ั ตอนหลังจากแกะสลกั แล้ว จ. กระดาษทราย ใช้ขดั ตกแต่งชนิ้ งานหลังจากแกะสลกั แลว้ ฉ. กบไสไม้ ใชไ้ สไมใ้ ห้เรียบก่อนลงมือแกะหรือตกแต่ง อื่นๆภายหลงั ช. สว่าน ใช้เจาะรไู ม้เพอ่ื แกะหรือฉลไุ ม้ ซ. แท่นยึดหรือปากากาจบั ไม้ ใชย้ ดึ จับไม้ สิว่ แบบตา่ งๆ ทีใ่ ช้สา้ หรับการแกะสลักไม้ ของสล่าเพญ็ ศรี จันทรพ์ ลอย
สว่ิ ปากเสยี้ วหรือสิ่วปากรปู ตวั วี 483 สว่ิ หนา้ ตรง สิว่ หนา้ โค้ง ค. งานลงรกั ปดิ ทอง มอี ุปกรณ์ที่สา้ คัญ คอื พูก่ นั ซึ่งควรเลือกใชพ้ ู่กนั อยา่ งดี แบ่งได้ ๒ ประเภท คือ พู่กันส้าหรบั ทารัก ทาสี และพู่กนั ส้าหรบั กระทุ้งแผน่ ทองค้าเปลวใหล้ งไปตามลวดลาย และใช้ปดั เศษทองค้าเปลวสว่ นเกนิ ออก และใชแ้ ปรงในกรณีการกระทุ้งแผ่นทองในพ้นื ท่ที ี่กว้างและลึกกวา่ เฉพาะในงานปิดทองขูดลายนั้น เครื่องมือท่ใี ชเ้ ป็นเหล็กแหลม ลักษณะคล้ายแท่งดนิ สอ มีความยาว และขนาดพอดีมือจบั เคร่ืองมือสาหรับใช้ในการขดู ลาย ของชา่ งเสถียร นะวงษ์รัตน์ ส่วนเครื่องมือในการปิดทองลายฉลุนั้น ใชส้ ิ่วเป็นเครอ่ื งมือในการตอกลวดลายลงบนกระดาษสา หรือ แผน่ พลาสติก หรือฟลิ ์มกรองแสงติดรถยนต์ ลักษณะส่วิ เปน็ เชน่ เดียวกบั ส่ิวในการแกะสลกั ไม้ สว่ นในการปดิ ทองนั้นใช้มือลูบเกลีย่ ให้ทองเสมอกัน จงึ เปน็ ความชา้ นาญเฉพาะตวั ที่เกดิ จากประสบการณใ์ นการท้างาน ๖.๓ ข้อมูลของช่างล้านนา ผู้วิจัยจะศึกษาการทา้ งานของชา่ งช่างปนู ป้นั ไดแ้ ก่ ชา่ งเสถยี ร นะวงศ์รกั ษ์ ชา่ งแกะสลักไม้ ได้ช่าง ยพุ า ค้าราพิศ และชา่ งในชุมชนบา้ นรอ้ งต้นขาม อ้าเภอดอยสะเก็ด จงั หวัดเชยี งใหม่ และชา่ งปดิ ทองได้นาง อัมพร และนายประสิทธ์ิ สวุ รรณตระกลู มีรายละเอยี ดดังนี้ สลา่ เสถยี ร นะวงศ์รกั ษ์ (เสถียร ณ วงศ์รักษ์)
484 เปน็ ชาวจงั หวัดเชียงใหมโ่ ดยก้าเนดิ ตน้ ตระกูลมีเชื้อสายเจ้าปกครองเมืองแสนหวี อพยพเข้ามาอยู่ใน จงั หวัดเชียงใหม่รุน่ ปู่ทวด เมือ่ สมยั ท่ีพม่ามีอ้านาจปกครองเหนือรฐั แสนหวี มาอาศยั อยู่บริเวณวดั เกตการาม อ้าเภอเมือง จงั หวดั เชียงใหม่ ตามหลักฐานทป่ี รากฏในใบรายชื่อผู้บรจิ าคเงนิ ในการบูรณะวหิ ารวัดเกตการาม ซึง่ เก็บรกั ษาไวใ้ นพิพิธภัณฑว์ ัดเกตการาม เมื่ออพยพจากแสนหวีมดี ้วยกัน ๓ พนี่ อ้ ง ไดแ้ ก่ ขุนหลวงอภริ กั ษ์เกษตรเกต พญาจ่าบา้ นเกต และเจ้า แสนสิรชิ ยั (นายแก้ว สริ ชิ ัย) ซ่งึ เป็นปทู่ วดของนายเสถียร นะวงศ์รกั ษ์ ตอ่ มาเจ้าแสนได้แต่งงานกับนางอสุ า มี ลูกสองคน คือ นายเผอื ก กบั นายบุญทา ตอ่ มานายบญุ ทาได้แตง่ งานกับนางบัวเงา มลี กู ๙ คน คนที่ ๓ คือ นายเสถยี ร นะวงศ์รักษ์ นายเสถียร นะวงศร์ ักษ์ เกิดวนั ท่ี ๑๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๙๕ ทบี่ ้านเกตการาม ปัจจุบันอยบู่ า้ นเลขท่ี ๕๗/๑๔ รัตนโกสนิ ทรซ์ อย ๑ ต้าบลวัดเกต อา้ เภอเมือง จังหวดั เชียงใหม่ มีธิดา ๑ คน ได้แก่ นางสาวจนั ทร์ทิ มา นะวงศ์รักษ์ นายบุญทา – นางบวั เงา ณ วงศร์ ักษ์ มีฐานะยากจน จึงไม่สามารถส่งบตุ รเข้าเรยี นในโรงเรยี นไดค้ รบ ทุกคน นายเสถียร นะวงศ์รกั ษ์ ได้เขา้ เรยี นชัน้ อนุบาลทโ่ี รงเรียนบา้ นครบู ัวเขียว เซน็ ทน์ นั ท์ จากน้นั ได้ไปศกึ ษา ท่ีโรงเรยี นวัดเกตการาม จนจบชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี ๔ และเขา้ เรียนตอ่ ชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี ๕ ที่โรงเรียนธรรม ราช จนจบชนั้ มธั ยมศึกษาปที ี่ ๑ จงึ ต่อท่ีโรงเรียนวิสุทธศิ กึ ษา จงั หวัดนครสวรรคใ์ นชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี ๒ แลว้ จงึ กลับมาเรียนต่อทโ่ี รงเรียนบรู ณวทิ ยา จงั หวดั เชียงใหม่ จนจบชัน้ มัธยมศกึ ษาปีที่ ๓ (เทียบเทา่ ช้นั มัธยมศึกษา ปีท่ี ๖) และออกทา้ งานชา่ งท้ังในเชียงใหมแ่ ละกรุงเทพฯ ต่อมา พ.ศ. ๒๕๕๓ จงึ ได้กลับเข้าสรู่ ะบบการศึกษา ระดับปริญญาตรี ทม่ี หาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วทิ ยาเขตสวนดอก จังหวัดเชียงใหม่ การสืบทอดงานช่างลา้ นนาของนายเสถยี ร นะวงศร์ กั ษ์ เป็นไปนอกระบบการศึกษาของรฐั เร่มิ ตั้งแต่ ในวัยประถมท่ีได้ไปชว่ ยท้างานที่วดั ฟ้าฮ่าม ซึง่ อยรู่ ะหว่างเสน้ ทางเดนิ จากบา้ นในยา่ นวดั เกตการามไปโรงเรยี น ธรรมราช เขาได้มโี อกาสเรียนงานศลิ ปะกับครูน้อยหล้า จา่ ประค่ัง และเจ้าบญุ ประเสรฐิ ณ เชยี งใหม่ ท่ีมา บูรณะวัดฟ้าฮา่ มในช่วงเวลาน้นั ไดเ้ รียนงานศลิ ปะล้านนาหลายหลายประเภท ทงั้ งานตัดกระดาษ แกะสลักไม้ เครอื่ งเขิน ลงรกั ปิดทอง งานปูนป้ันสด เปน็ ต้น โดยเขาเร่มิ เข้าท้างานช่างต้ังแต่อายุ ๑๔ ปี ด้วยการรบั จ้าง แกะสลกั ไม้และเขยี นลายเส้ือผ้า เพ่ือนา้ รายได้เปน็ ค่าใชจ้ า่ ยในการเรียน
485 อยา่ งไรกต็ ามเมอ่ื จบชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี ๓ แลว้ ก็ได้เข้าท้างานในโรงงานใบยาสบู ไทยจ้ากัด อา้ เภอ พรา้ ว จังหวดั เชยี งใหม่ ในต้าแหนง่ พนกั งานพัสดุ เปน็ เวลา ๑ ปี กอ่ นทีจ่ ะมีเหตกุ ารณช์ กั นา้ ใหไ้ ปทา้ งานสาย ชา่ งลา้ นนา ดว้ ยเพราะมีความสามารถในการออกแบบลวดลาย จงึ มีคนชักชวนใหไ้ ปท้างานกับหม่อมเจ้าไกรสิงห์ วุฒิชยั ชา่ งออกแบบฉลองพระองค์และเครอื่ งประดับประจ้าพระราชสา้ นัก ทก่ี รงุ เทพมหานคร เขาท้างาน ออกแบบลวดลายเคร่ืองประดับอยู่ ๕ ปี เปน็ ทีพ่ ึงพอใจของหมอ่ มเจา้ ไกรสงิ ห์ วฒุ ชิ ยั อย่างมาก ตอ่ มาเมื่อท่าน ประชวร จงึ ไดก้ ลบั เชียงใหม่ เมอ่ื กลับมาอยู่เชยี งใหม่ ได้ท้างานเป็นช่างปัน้ ทโี่ รงงานเชยี งใหม่ศลิ าดล เปน็ เวลา ๑ ปี กับ ๖ เดือน และได้ลาออกมาทา้ งานเป็นช่างซ่อมโบราณวัตถุ พร้อมแสดงรา่ ยรา้ ดาบท่รี า้ นรัตนา ในศนู ยว์ ัฒนธรรม เชียงใหม่ เปน็ เวลา ๑๓ ปี จงึ ออกมาทา้ งานอิสระ เป็นช่างซอ่ มโบราณวตั ถุ พรอ้ มออกแบบบา้ นโบราณ ออกแบบลวดลายเคร่ืองประดับ บรู ณะวัดโบราณ และเปน็ นักแสดงศิลปะล้านนาตามงามแสดงตา่ งๆ ต่อมาไดร้ บั การชักชวนจากอาจารย์วิถี พานิชพนั ธ์ เข้าทา้ งานเป็นวทิ ยากร อาจารย์พเิ ศษ คณะวจิ ติ ร ศลิ ป์ มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม่ พ.ศ. ๒๕๔๙ เปน็ วิทยากรฝกึ อบรมช่างพน้ื ถ่ินน่าน ภายใตโ้ ครงการอนุรกั ษ์และฟื้นฟูศิลปกรรมด้งั เดิม ในพทุ ธศาสนสถานจังหวดั น่าน ขององค์การยเู นสโก รว่ มกับคณะสงฆ์จังหวดั นา่ น ศูนย์การศกึ ษานอกโรงเรียน จงั หวดั น่าน พิพธิ ภณั ฑสถานแห่งชาตินา่ น วิทยาลยั ในวงั และคณะวิจิตรศิลป์ มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม่ ในการเป็นครชู ่างท่ีน่านนั้น เสถยี ร ณ วงศ์รักษ์เปน็ กา้ ลังสา้ คัญในการก่อเกิดกลุ่มพระสงฆ์รุน่ ใหม่ที่ ทา้ งานเชิงชา่ ง เรียก กลมุ่ พระชา่ ง ปัจจบุ ันมีสมาชิกหลายท่าน แต่ละท่านถนดั ในงานที่ต่างกัน ได้แก่ ๑. พระธนพล ธรรมพโล วดั แสงดาว ถนดั งานปูนป้นั ออกแบบลวดลายพน้ื เมอื งน่านโบราณ ๒. พระใบฎกี าสลาวุธ สุขวฒั โน วัดสวนหอม ถนดั งานแกะสลกั ไม้ การตกี ลองปูจา (บชู า) ๓. พระปลัดพิษณุ ญาณเมธี วัดเจดีย์ ถนดั งานเขียนลาย ๔. พระอธกิ ารอุดร ชนิ วังโส วดั ศรพี นั ต้น ถนัดงานจารธรรม และปรวิ รรตคัมภีร์โบราณ ๕. พระอธิการพนัส ทพิ เมธี วดั น้าลัด ถนัดงานตดั กระดาษ ฉลุลาย ๖. พระอธิการอนรุ ักษ์ วดั ก็อดสวรรค์ ถนดั งานประเพณี พิธีกรรมโบราณ ๗. พระใบฎกี าขวญั ชัย สริ วิ ฒั โน วัดกคู่ ้า ถนดั งานประเพณี พิธกี รรมโบราณ ๘. พระมหาณรงค์ศักด์ิ สุวรรณกิติ วัดพญาวดั ถนัดงานประดับตกแตง่ สถานที่ พิธกี รรมโบราณ
486 ๙. นายมิตรนิยม เจดีย์วง ช่างผชู้ ว่ ย ๑๐. นายไตรรัตน์ ประทิ เลขากลุ่ม ปัจจุบนั เสถยี ร นะวงศ์รกั ษ์ นอกจากเป็นอาจารยพ์ ิเศษแล้ว ยงั ทา้ งานศิลปะล้านนาทุกชนิด และรับ เป็นวิทยากรให้กบั สถาบนั การศึกษาตา่ งๆ ผลงานทโ่ี ดดเดน่ ๑. ออกแบบและบูรณะวหิ าร กฏุ ิเจ้าอาวาส วดั ปา่ เป้า อ้าเภอเมือง จงั หวัดเชยี งใหม่ ซึ่งเป็นวัดไทใหญ่ และ บรู ณะวิหารวดั เหลา่ เป้า อ้าเภอสันปา่ ตอง จังหวดั เชยี งใหม่ ตามแบบศิลปะลา้ นนา และศาลา ๙ หอ้ ง วัด พระธาตดุ อยม่อนจิง่ อา้ เภอเชียงดาว จงั หวดั เชยี งใหม่ ตามแบบศลิ ปะไทใหญ่ บูรณะหอไตรปิฎก วัดเกตกา ราม จังหวดั เชียงใหม่ ๒. ออกแบบสร้อยพระศอและต้มุ พระกรรณ สมเดจ็ พระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ๓. ออกแบบเครื่องทรงพระหยกเชยี งราย “พระพุทธรตั นกร นวุ ตวิ ัสสานสุ รณ์มงคล” วัดพระแก้ว จังหวดั เชยี งราย ๔. ในสว่ นงานตดั กระดาษ ไดอ้ อกแบบและสรา้ งจองปิ๊กต่านบรรจุศพพระครูสงิ หวิชยั ศริ วิ ิชยั โย วัด ฟา้ ฮ่าม จองเม็งใสศ่ พนายบุญทา ณ วงศ์รักษ์ เปน็ ต้น รางวลั ทีไ่ ด้รบั ๑. สา้ นักงานเลขาธิการสภาการศกึ ษา เชดิ ชูเกยี รติเป็นครูภูมิปัญญารนุ่ ท่ี ๗ ดา้ นศลิ ปกรรม (วจิ ิตร ศิลป์) พ.ศ. ๒๕๕๔ ๒. มหาวทิ ยาลยั ราชภัฎเชยี งใหม่ มอบรางวัลเพชรราชภัฎ-เพชรล้านนา สาขาศลิ ปกรรม ด้านวจิ ิตร ศลิ ป์ พ.ศ. ๒๕๕๓
487 สลา่ ยพุ า คาราพศิ เปน็ ชาวเชยี งใหม่ อยบู่ ้านเลขที่ ๓๑ หมู่ ๑ ตา้ บลสา้ ราญราษฎร์ อ้าเภอดอยสะเกด็ จังหวัดเชียงใหม่ เกิดวันท่ี ๒๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๐๐ ขาพกิ ารมาแตก่ า้ เนิด จบชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรยี นวดั สนั ต้นมว่ ง เหนือ อ้าเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ ใน พ.ศ. ๒๕๑๑ พ่อแม่ (เสยี ชวี ติ แล้ว) มีอาชีพทา้ นา เลยี้ งผึ้ง ปัจจบุ ัน อายุ ๕๘ ปี เมอื่ ออกจากโรงเรยี นจึงไปฝึกแกะสลกั ไม้พร้อมกบั ญาตริ ุ่นราวคราวเดียวกนั ทบ่ี า้ นลงุ ใส ใจมา (บิดา ของนายพรชยั ใจมา ศลิ ปนิ รางวัลศิลปาธร สาขาทศั นศลิ ป์ ประจ้าปี พ.ศ. ๒๕๔๘ และครภู มู ปิ ญั ญารุ่นที่ ๗ ด้านจติ รกรรม พ.ศ. ๒๕๕๔) ซ่งึ อยู่ติดกบั วดั สนั ตน้ มว่ งเหนือ โดยขณะนั้นท่บี ้านลุงใส ใจมา เปน็ แหล่งผลิตงาน ไม้แกะสลัก งานเคร่อื งเขนิ เขียนลายทอง ที่ส่งไปขายในตัวเมอื งเชียงใหม่ ยพุ า คา้ ราพศิ หดั แกะไม้อยูป่ ระมาณ ๑ – ๒ อาทติ ย์ โดยเร่ิมจากการหัดใช้สิ่วเซาะชอ่ งไฟของตวั ลาย และเซาะรอ่ งดว้ ยสวิ่ ขนาดเลก็ หรือทเี่ รยี กว่าการตอกสิ่วเดนิ เสน้ เมื่อคล่องแล้วจึงให้เร่มิ แกะลาย มรี ายไดเ้ ป็น รายวนั ได้วันละ ๑.๕๐ บาท แกะไม้ทบ่ี า้ นลงุ ใส ใจมา อยู่ประมาณครึ่งปี จงึ รบั งานมาแกะทบี่ า้ นเม่ืออายุ ๑๓ ปี ด้วยเพราะมีขาพิการมาแต่ก้าเนดิ ยพุ า คา้ ราพิศจึงยึดเอางานแกะสลกั ไม้เพยี งอยา่ งเดียว มากระท่ัง ปัจจบุ นั งานท่แี กะในปจั จุบนั สว่ นมากเป็นปา้ ยรา้ นค้า แผงไม้แกะสลักโชว์ มีหน้าบันวัดบ้างเปน็ บางครัง้
488 สลา่ เพ็ญศรี จันทร์พลอย เป็นชาวเชียงใหม่โดยกา้ เนดิ อยบู่ ้านเลขท่ี ๕๒ หมู่ ๑ ตา้ บลส้าราญราษฎร์ อา้ เภอดอยสะเก็ด จงั หวัด เชียงใหม่ เกิดวันท่ี ๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๐๐ จบช้นั ประถมศึกษาท่ี ๖ ที่โรงเรยี นวัดสันตน้ มว่ งเหนอื ใน พ.ศ. ๒๕๑๑ พ่อแมม่ ีอาชีพทา้ นา ปจั จุบัน อายุ ๕๘ ปี เมือ่ ออกจากโรงเรียนมาฝึกแกะสลกั กบั ลุงฉลวย คา้ ดวงดาว ในบริเวณใกลบ้ า้ น โดยทบี่ ้านลงุ ฉลวยน้ัน เป็นแหลง่ แกะไมส้ ง่ ขายในต้าบลบ่อสรา้ ง อา้ เภอสนั กา้ แพง จังหวัดเชียงใหม่ เริ่มฝึกจากการตอกช่องไฟและเซาะรอ่ งเดินเส้นเช่นกัน ใช้เวลาประมาณ ๒ เดือน ได้เงินเดือนๆ ละ ๗ บาท เม่ือเป็นงานแลว้ จึงรับงานมาแกะทบ่ี า้ น ไดเ้ งินเดอื นๆ ละ ๔๐ – ๕๐ บาท สว่ นใหญ่ท่แี กะเปน็ ชุดรับแขก และมา่ นบงั ตา ภายหลังเม่ืองานแกะสลักไม้ในเชียงใหม่ซบเซา จงึ ได้เดินทางไปรบั จา้ งแกะสลักไม้ในต่างจังหวดั เชน่ นครศรีธรรมราช ตาก สโุ ขทยั สมทุ รสาคร และอุบลราชธานี สว่ นใหญเ่ ป็นงานแกะบานประตหู นา้ ตา่ ง ผลงานที่ส้าคัญ คือ การแกะหน้าบนั วิหารวัดนางสาว จงั หวดั สมุทรสาคร เมื่อสามีที่เดินทางไปรบั จา้ งแกะสลกั ไมด้ ้วยกนั เสยี ชวี ติ จึงกลบั มาอยู่บ้านกบั ลกู สาว รบั จา้ งแกะสลกั ไม้ จา้ พวกป้ายรา้ นคา้ และแผงโชว์
489 สลา่ สายพิน คาใสใย เป็นชาวเชยี งใหม่โดยก้าเนิด อยู่บา้ นเลขท่ี ๓๓ หมู่ ๑ ต้าบลสา้ ราญราษฎร์ อา้ เภอดอยสะเกด็ จังหวัด เชียงใหม่ เกดิ วนั ท่ี ๕ มกราคม พ.ศ. ๒๔๙๔ จบช้นั ประถม ๔ ใน พ.ศ. ๒๕๐๙ ที่โรงเรยี นวดั สนั ตน้ มว่ งเหนอื พอ่ แม่มีอาชพี ท้านา ปจั จุบนั อายุ ๖๓ ปี เมอื่ จบแลว้ จึงไปฝึกแกะสลกั ไมท้ ่ีบ้านพ่อน้อยนวล ค้าใสใย ซงึ่ เปน็ ญาตกิ นั ทีบ่ า้ นพอ่ น้อยนวล เป็น แหล่งแกะสลกั ไม้ประเภทโคมไฟ ตระกลา้ หีบ ด้ามจับมีดและดาบ ส่งขายในตวั เมืองเชยี งใหม่ ขณะฝกึ แกะสลกั ได้เงนิ วันละ ๕๐ สตางค์ เมื่อแกะไดแ้ ลว้ จึงได้เงนิ วันละ ๑๕ บาท ต้งั แต่เริ่มท้างานแกะสลกั ไม้มากระทั่งปจั จุบนั สลา่ สายพนิ ค้าใสใย ได้ทา้ งานแกะสลกั ในพ้นื ทีเ่ พยี ง อยา่ งเดียว ประวตั ชิ า่ งแกะสลกั ในหมู่บ้านทย่ี งั คงท้างานสบื มากระทง่ั ทุกวนั นี้ สว่ นใหญเ่ รม่ิ มาต้ังแต่ พ.ศ. ๒๕๑๑ ปัจจุบันชา่ งเหล่านี้มอี ายุราว ๕๕ – ๖๕ ปี และเรม่ิ ฝกึ ฝนการแกะสลกั ไมภ้ ายหลังทจ่ี บช้ันประถม ๔ โดยเข้าไป ฝึกท้างานกบั ช่างในหมู่บ้าน ใช้เวลาฝกึ ประมาณ ๒ – ๓ เดอื น จึงเรมิ่ รับจา้ งแกะไม้ และยดึ อาชีพแกะสลกั ไม้ กระทั่งปจั จุบนั สลา่ ประสิทธ์ิ - อาพร สุวรรณตระกูล
490 นางอ้าพร สุวรรณตระกลู เป็นคนเชยี งใหม่โดยก้าเนิด เกดิ พ.ศ. ๒๔๙๑ ปจั จุบนั อายุ ๕๗ ปี เม่อื จบ โรงเรยี นชัน้ ประถม ๔ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๗ อายุ ๑๖ ปี จึงออกมารับจา้ งทา้ เคร่ืองเขนิ ในหมู่บา้ นท่งุ โฮเต็ล โดยไป ฝกึ ที่บา้ นชา่ งสมวงศ์ พโลประการ เรมิ่ จากการขัดพน้ื จากน้ันจึงลงรัก และเขยี นลาย ชว่ งเวลาท่ีฝึกได้เงนิ วันละ ๓ บาท เมือ่ ชา้ นาญแล้วได้เงินวันละ ๖ บาท ตอ่ มาจึงได้ไปท้างานในบริษทั โฮยามา่ ซ่ึงทา้ เครื่องเขนิ สง่ ญ่ปี ุ่น ตงั้ อยบู่ ริเวณประตเู ชียงใหม่ ท้างานเป็นเวลา ๕ – ๖ ปี จึงแตง่ งานกับนายประสิทธ์ิ ซ่งึ เปน็ ช่างเขียนโปสเตอร์ หนัง ก่อนออกมารับท้างานท่ีบา้ น และส่งขายยงั ร้านนารายณพ์ รรณ ราวปี พ.ศ. ๒๕๕๓ จึงได้ออกมาท้างานลงรกั ปดิ ทอง เขยี นลายรดน้า ตามวดั ต่างๆ ในเชียงใหม่ อาทิ วดั ปา่ ดาราภิรมย์ (พ.ศ. ๒๕๕๔ – ๒๕๕๕) วดั พระธาตสุ ุนนั ทา อา้ เภอแมแ่ ตง (พ.ศ. ๒๕๕๖) วดั ลวงเหนือ (พ.ศ. ๒๕๕๗) เป็นตน้ ท้งั นี้เม่อื จะทา้ ลวดลายรดน้าจะใชส้ โี ปสเตอร์แทนน้ายาหรดาน เพราะเป็นสีท่ีไม่ติดกบั พน้ื ทเี่ ตรียมไว้ด้วยการทาสนี ้ามนั หลายๆ ชั้น ปจั จบุ ันทง้ั คู่มบี ุตรสาว ๑ คน ได้แก่ นางภาณรุ ตั น์ วงศห์ งษ์ อยู่บา้ นเลขท่ี ๒๑ ถนนทงุ่ โฮเตล ซอย ๒ ตา้ บลวดั เกต อา้ เภอเมือง จังหวัดเชยี งใหม่
491 ลายรดนา้ ท่ปี ระตวู ิหารหลวง วดั พระสงิ ห์ จงั หวดั เชียงใหม่ ฝีมอื สลา่ ประสทิ ธิ์ - อา้ พร สวุ รรณตระกลู ๖.๔ ผ้เู ก็บข้อมูลหอไตร จัดเก็บ วนั เวลาการจดั เก็บ ข้อมูลหอไตร ธ.ค. ๒๕๕๖ – มี.ค. ๒๕๕๗ รายช่ือผจู้ ัดเก็บข้อมลู ข้อมูลชา่ ง ม.ค. – ม.ี ค. ๒๕๕๘ นายศิรศิ ักดิ์ อภิศักด์ิมนตรี ขอ้ มูลหอไตร จ. เชยี งใหม่ ธ.ค. ๒๕๕๖ – ม.ี ค. ๒๕๕๗ ข้อมลู หอไตร จ. เชียงใหม่ ธ.ค. ๒๕๕๖ – ม.ี ค. ๒๕๕๗ นายสถาพร จนั ทรเ์ ทศ ขอ้ มลู หอไตร จ.ล้าพนู ม.ค. ๒๕๕๗ นางสาวเมธนิ ี ผมขาว ขอ้ มลู หอไตร จ.ล้าปาง ธ.ค. ๒๕๕๖ – ม.ค. ๒๕๕๗ นายลักษมณ์ บุญเรือง ขอ้ มลู หอไตร จ. แพร่ ม.ี ค. ๒๕๕๗ พระน้อย นรุตตโม ขอ้ มลู หอไตร จ. น่าน ม.ี ค. ๒๕๕๗ พระครูวิบลู ยสรภัญ ข้อมูลหอไตร จ. พะเยา ธ.ค. ๒๕๕๖ พระธนพล ธรรมพโล ข้อมูลหอไตร จ. เชยี งราย ก.พ. ๒๕๕๗ พระธรรมสรณ์ พระครูปลดั สมบรู ณ์ ปุณสิริ ตารางรายชือ่ ผ้จู ัดเก็บข้อมูล สรุปองค์ความรูใ้ หมท่ ่ีได้จากการศึกษาวจิ ัยหอไตรล้านนา เร่อื ง องค์ความรู้ท่ีได้จากการวจิ ัย อานสิ งส์สรา้ งหอไตร การใช้ประโยชน์ เทียบเทา่ กับการสรา้ งสมบุญบารมขี องพระโพธิสัตว์ (ฉบบั วดั พระหลวง จังหวัดแพร่) รูปแบบ การสร้างหอไตรมจี ดุ ประสงค์เพอื่ การเคารพบชู าเช่นเดียวกับเจดีย์ มากกว่าการใชง้ าน เอกลักษณ์ทาง อย่างห้องสมดุ ตามความเขา้ ใจในปัจจบุ นั สถาปัตยกรรม หอไตรกลางนา้ หอไตรบนพนื้ ดนิ และหอไตรท่ีสรา้ งอยบู่ นดาดฟ้าอาคารหลังอน่ื ๑. หลงั คามีโครงสรา้ งจ่วั เปน็ หลกั ๒. ผงั อาคารเปน็ ส่ีเหลย่ี มผืนผา้ ๓. มีขนาดไม่ใหญม่ ากนัก ๔. ไม่มีบันไดทางขนึ้ ถาวร ๕. หอ้ งเก็บธรรมมีขนาดเลก็
492 เอกลกั ษณ์ทาง ๖. แตกหลังคาเป็นสว่ นๆ เพื่อให้เกิดความรูส้ ึกเบา ศิลปกรรม ๗. เปิดเผยโครงสร้างอาคาร ชนชาตกิ ับงาน หอ้ งเก็บธรรม สถาปัตยกรรม ๑. ตกแต่งลวดลายบนผนังหอ้ งเกบ็ ธรรมด้านนอก ๒. มีทั้งที่เปน็ จิตกรรมสีฝุ่น เร่ือง ชาดก และลายค้ารปู ราชวตั ร และเทวดา หน้าบัน ๑. ลวดลายหนา้ บันทพ่ี บมากท่ีสดุ ๓ อนั ดบั ไดแ้ ก่ ลายดอกสบั ปะรด ลายเทวดา และ ลายดอกบัว ๒. หน้าบนั ในจงั หวัดเชยี งใหมก่ บั ลา้ พูน นิยมลายดอกสบั ปะรดกับดอกพุดตานมากที่สุด ส่วนในจังหวัดแพรแ่ ละน่านนิยมหน้าบันลายเทวดาพนมมือ บานประตู ๑. นิยมมากทส่ี ดุ คือ ลายเทวดา รองลงมาเปน็ ลายดอกไม้ แบง่ เป็น ลายดอกพดุ ตาน ลายดอกสับปะรด และลายประจา้ ยาม ๒. ลายบานประตทู ่ีน่าสนใจ คือ ลายประแจจีนของวัดดวงดี จังหวัดเชียงใหม่ ลายสานขดั ของวดั บา้ นก้อง และลายขดี ของวดั บา้ นหลุก จงั หวัดล้าพนู คันทวย ที่น่าสนใจ คือ ลานสัตว์หมิ พานต์ ไทยวน ๑. หลงั คาทรงคฤห์หรือทรงโรง ๒. ผังอาคารรูปสี่เหลยี่ มผืนผ้าท่ีมรี ะเบยี งรอบห้องเก็บธรรม ๓. ผังอาคารยอ่ เก็จ มี ระเบียงรอบห้องเกบ็ ธรรมด้านหนา้ หรือดา้ นหลังหรอื ทั้งสองด้าน ชนชาติกบั การงาน ชาวไทใหญ่และชาวพมา่ ศลิ ปกรรม ๑. ผงั อาคารเป็นรูปสีเหล่ียมจัตรุ สั หรอื จัตุรมขุ ๒. หลงั คาเอนลาด หรอื ยกจว่ั ๔ ดา้ น ในตอนกลางของหลงั คาปนั หยาทีร่ ับด้านลา่ ง กลาง หลังคาประดบั ยอดเจดีย์ ชาวไทยอง ๑. หอไตรไมช้ ั้นเดียว ยกพ้นื สูง มที ั้งทต่ี ั้งอยู่กลางนา้ และบนพ้นื ดิน ชาวไทลอื้ ๑. หอไตรครึ่งไมค้ รงึ่ ปูน ๒. ผังอาคารรูปส่ีเหล่ยี มจัตุรัส ๓. หลงั คาทรงโรง มองเห็นสว่ นคอสองของอาคารชดั เจน ไทยวน ๑. ลวดลายเมฆไหลท่เี ป็นลายเก่าแก่ของลา้ นนา ท่รี ับอิทธิพลศลิ ปะจีน ๒. มีการผสมสานระหวา่ งศลิ ปะพม่า และศลิ ปะรตั นโกสนิ ทร์ ชาวไทใหญ่ ๑. นิยมเครือดอกสบั ปะรด โดยเครอื มีลักษณะกลมมน บิดพล้วิ ส่วนใบไม้เหมือนใบไม้ จริง มกี ายซ้อนหลายชั้น ๒. นยิ มแกะรปู เทวดา
493 ๓. สตั วห์ ิมพานต์ สอดรอ้ ยไปกับเครือเถา ๔. ทาสีเหลอื ง แดง ชาวไทยอง ๑. ลวดลายไมแ้ กะสลกั มักแกะให้มีปรมิ าตรใหญ่ ดูเทอะทะ ๒. นิยมแกะลวดลายหนมุ าน นิยมทาสเี หลือง แดง ๓. มีอทิ ธพิ ลศลิ ปะพม่าอยู่มาก ชาวไทล้ือ ๑. มกั แกะลวดลายเป็นชนิ้ ๆ แล้วนา้ มาเรยี งตอ่ กนั โดยมรี ะยะห่างระหวา่ งตวั ลายแต่ละ ตัวมาก ๒. มีอิทธพิ ลของศิลปะรัตนโกสินทรอ์ ยมู่ าก งานปนู ปัน้ ๑. ปูนหมัก มวี ัสดุทีใ่ ช้หลกั คือ ปูนขาว (แคลเซียมคารบ์ อเนต) ท่ีไดจ้ ากหินปูนเผาสุกและ บดร่อนจนได้ปูนผง หมักไวร้ าวหนง่ึ ปี และทรายแมน่ ้า ๒. ใชป้ ูนขาวมากกวา่ ทรายในการผสมท้าปนู หมัก ๓. ส่วนผสมอื่นๆ ทตี่ ่างกันไป เช่น น้ามันตงั อ้ืว น้ามันพืช หรือเส้นใยจากพืช ๔. สตู รปนู ป้ันของครูบาเถ้มิ วดั แสนฝาง ได้แก่ ปูนขาวหมกั ๙ ส่วน ทรายละเอียด ๕ ส่วน น้ามนั ตงั อิ้ว (น้ายางมะม้ือ) ๑ ส่วน งานแกะสลักไม้ ๑. มีการเปลีย่ นวสั ดจุ ากไม้สัก เปน็ กระดาษอดั ๒. นิยมลายมังกร ๓. ลักษณะลวดลายมปี รมิ าณใหญ่ แกะหยาบ เป็นลายเครือง่ายๆ งานลงรกั ปิดทอง ๑. มกี ารเปลย่ี นจากการใชร้ ัก เปน็ สีนา้ มัน และเปลีย่ นวัสดุจากกระดาษสาในการแกะลาย เปน็ แผน่ ฟิลม์ ติดรถยนต์ ๒. เทคนคิ การปิดทองตอ้ งทาสีนา้ มันรองพืน้ ก่อนปิดทองให้บางทส่ี ุด หากหนาจะทา้ ให้ ทองจม ต้องปิดทบั ลงไปอกี คร้งั หน่งึ ตารางองค์ความรู้ใหม่ท่ไี ดจ้ ากการศกึ ษาวจิ ัยหอไตรล้านนา
500 บทท่ี ๗ กระบวนการจัดการหอไตรลา้ นนา ๗.๑ การจดั การองค์ความรู้ ในหัวขอ้ นจ้ี ะได้กลา่ วถึง องค์ความรู้ที่ไดจ้ ากการศกึ ษาหอไตรในครั้งนพี้ อสังเขปเป็นเรม่ิ แรก และจะได้ อธบิ ายถงึ การจัดการองค์ความรเู้ ก่ยี วกบั หอไตรทผี่ ่านมาในอดตี และในอนาคตต่อไป ก. องค์ความร้เู กย่ี วกับหอไตร ๑. องคค์ วามรู้ทเี่ ป็นมรดกภูมิปญั ญาท่จี บั ต้องได้ เร่ือง องค์ความรู้ทไ่ี ด้จากการวิจัย รปู แบบ เอกลกั ษณ์ทาง หอไตรกลางน้า หอไตรบนพน้ื ดนิ และหอไตรที่สรา้ งอยู่บนดาดฟ้าอาคารหลังอืน่ สถาปตั ยกรรม ๑. หลังคามโี ครงสรา้ งจ่วั เปน็ หลกั เอกลกั ษณ์ทาง ๒. ผังอาคารเป็นส่เี หลีย่ มผืนผ้า ศิลปกรรม ๓. มขี นาดไมใ่ หญ่มากนกั ๔. ไม่มบี นั ไดทางขนึ้ ถาวร ชนชาติกบั งาน ๕. ห้องเก็บธรรมมีขนาดเลก็ สถาปตั ยกรรม ๖. แตกหลงั คาเป็นส่วนๆ เพ่ือใหเ้ กดิ ความรู้สึกเบา ๗. เปิดเผยโครงสรา้ งอาคาร ห้องเก็บธรรม ๑. ตกแต่งลวดลายบนผนงั ห้องเก็บธรรมดา้ นนอก ๒. มที ง้ั ที่เป็นจิตกรรมสีฝุ่น เร่ือง ชาดก และลายค้ารปู ราชวตั ร และเทวดา หน้าบนั ๑. ลวดลายหน้าบนั ที่พบมากท่ีสุด ๓ อันดบั ไดแ้ ก่ ลายดอกสบั ปะรด ลายเทวดา และ ลายดอกบัว ๒. หน้าบนั ในจงั หวดั เชยี งใหมก่ บั ล้าพนู นิยมลายดอกสับปะรดกับดอกพุดตานมากทสี่ ดุ ส่วนในจังหวัดแพรแ่ ละนา่ นนิยมหน้าบันลายเทวดาพนมมือ บานประตู ๑. นิยมมากท่สี ุด คือ ลายเทวดา รองลงมาเปน็ ลายดอกไม้ แบง่ เปน็ ลายดอกพดุ ตาน ลายดอกสบั ปะรด และลายประจา้ ยาม ๒. ลายบานประตทู ีน่ ่าสนใจ คอื ลายประแจจีนของวัดดวงดี จังหวดั เชียงใหม่ ลายสานขดั ของวัดบ้านกอ้ ง และลายขีดของวดั บ้านหลกุ จงั หวัดลา้ พนู คนั ทวย ท่ีนา่ สนใจ คือ ลานสตั วห์ ิมพานต์ ไทยวน ๑. หลังคาทรงคฤหห์ รอื ทรงโรง ๒. ผังอาคารรูปสเี่ หลี่ยมผนื ผา้ ทม่ี ีระเบียงรอบห้องเก็บธรรม ๓. ผงั อาคารยอ่ เก็จ มี
501 ชนชาตกิ บั การงาน ระเบียงรอบห้องเก็บธรรมดา้ นหน้าหรือด้านหลงั หรอื ทัง้ สองดา้ น ศิลปกรรม ชาวไทใหญ่และชาวพม่า งานปนู ปน้ั ๑. ผงั อาคารเปน็ รปู สีเหล่ียมจัตุรัส หรือจัตุรมุข งานแกะสลักไม้ ๒. หลงั คาเอนลาด หรือยกจว่ั ๔ ดา้ น ในตอนกลางของหลงั คาปนั หยาทร่ี บั ด้านล่าง กลาง งานลงรักปิดทอง หลงั คาประดบั ยอดเจดยี ์ ชาวไทยอง ๑. หอไตรไมช้ ้นั เดียว ยกพน้ื สูง มีท้งั ท่ีต้ังอยู่กลางนา้ และบนพ้นื ดิน ชาวไทลอื้ ๑. หอไตรครงึ่ ไมค้ รงึ่ ปูน ๒. ผังอาคารรูปสเ่ี หลี่ยมจตั ุรัส ๓. หลังคาทรงโรง มองเห็นส่วนคอสองของอาคารชัดเจน ไทยวน ๑. ลวดลายเมฆไหลท่เี ปน็ ลายเกา่ แก่ของลา้ นนา ท่รี ับอิทธพิ ลศิลปะจนี ๒. มกี ารผสมสานระหวา่ งศิลปะพมา่ และศิลปะรัตนโกสินทร์ ชาวไทใหญ่ ๑. นิยมเครอื ดอกสับปะรด โดยเครือมีลักษณะกลมมน บิดพลิว้ สว่ นใบไมเ้ หมือนใบไม้ จรงิ มกี ายซ้อนหลายชั้น ๒. นยิ มแกะรูปเทวดา ๓. สตั ว์หิมพานต์ สอดร้อยไปกับเครือเถา ๔. ทาสีเหลือง แดง ชาวไทยอง ๑. ลวดลายไมแ้ กะสลกั มักแกะให้มีปริมาตรใหญ่ ดูเทอะทะ ๒. นยิ มแกะลวดลายหนุมาน นิยมทาสีเหลือง แดง ๓. มอี ิทธิพลศลิ ปะพม่าอยู่มาก ชาวไทล้อื ๑. มักแกะลวดลายเป็นช้นิ ๆ แลว้ น้ามาเรียงต่อกัน โดยมีระยะหา่ งระหว่างตัวลายแตล่ ะ ตัวมาก ๒. มอี ิทธิพลของศลิ ปะรตั นโกสินทรอ์ ยูม่ าก ๑. ปูนหมัก มีวสั ดุทใ่ี ชห้ ลักคือ ปนู ขาว (แคลเซยี มคารบ์ อเนต) ท่ีไดจ้ ากหนิ ปนู เผาสุกและ บดร่อนจนได้ปนู ผง หมักไว้ราวหน่งึ ปี และทรายแมน่ ้า ๒. ใช้ปนู ขาวมากกวา่ ทรายในการผสมทา้ ปูนหมัก ๓. สว่ นผสมอ่ืนๆ ท่ตี า่ งกนั ไป เชน่ นา้ มนั ตังอืว้ น้ามนั พืช หรือเส้นใยจากพชื ๔. สตู รปูนปนั้ ของครบู าเถิม้ วัดแสนฝาง ได้แก่ ปนู ขาวหมกั ๙ ส่วน ทรายละเอียด ๕ ส่วน น้ามันตังอิว้ (น้ายางมะมื้อ) ๑ สว่ น ๑. มกี ารเปลยี่ นวัสดจุ ากไมส้ กั เป็นกระดาษอดั ๒. นิยมลายมงั กร ๓. ลักษณะลวดลายมปี รมิ าณใหญ่ แกะหยาบ เปน็ ลายเครือง่ายๆ ๑. มกี ารเปลี่ยนจากการใชร้ ัก เปน็ สนี า้ มัน และเปลยี่ นวสั ดจุ ากกระดาษสาในการแกะลาย
502 เป็นแผน่ ฟลิ ์มตดิ รถยนต์ ๒. เทคนคิ การปดิ ทองต้องทาสีนา้ มนั รองพื้นก่อนปิดทองให้บางทีส่ ดุ หากหนาจะทา้ ให้ ทองจม ต้องปิดทับลงไปอกี ครง้ั หนงึ่ ตารางแสดงองคค์ วามรู้ที่เปน็ มรดกภูมปิ ัญญาทจ่ี ับตอ้ งได้ ๒. องค์ความรทู้ ี่เป็นมรดกภูมิปัญญาท่ีจับตอ้ งไมไ่ ด้ เรอ่ื ง องคค์ วามรู้ทไี่ ด้จากการวจิ ัย ความส้าคญั ของ ๑.หอไตรเป็นธรรมเจดยี ์ หอไตร ๒.หอไตรเปน็ ทีส่ ถติ ของไตรสรณคมน์ จุดประสงค์การสรา้ ง ๑. เป็นตัวแทนของพระธรรม คือตวั แทนของพระพุทธศาสนา หอไตร ๒. เป็นท่ีประดษิ ฐานพระธรรมโดยเฉพาะ การใชป้ ระโยชน์ การสร้างหอไตรมจี ดุ ประสงค์เพอ่ื การเคารพบชู าเช่นเดียวกับเจดยี ์ มากกวา่ การใชง้ าน อยา่ งห้องสมุดตามความเขา้ ใจในปจั จุบัน คตคิ วามเชอ่ื ท่ี ๑. การเวนทาน เกยี่ วข้องกับหอไตร ๒. หอไตรกลางนา้ กับระบบภมู ิจกั รวาลของฮนิ ดู ๓. หอไตรกลางน้ากบั พทุ ธปรัชญา อานิสงส์สร้างหอไตร เทยี บเท่ากับการสร้างสมบุญบารมีของพระโพธิสตั ว์ (ฉบบั วดั พระหลวง จงั หวดั แพร่) ประเพณีทีเ่ กย่ี วกบั ๑. ประเพณีพธิ ตี ากธรรม เป็นการน้าคัมภีร์ใบลานท่ีเก็บไว้ในหอไตร ออกมาผ่ึงลมหรือตา หอไตร กลม นิยมท้ากันในชว่ งเดอื น ๙ เหนอื หรอื เดอื นมิถนุ ายน กรกฎาคม กอ่ นเข้าเขา้ พรรษา ๒. ประเพณีการเทศน์มหาชาติหรือพิธีต้ังธรรมหลวง เป็นประเพณีการฟังเทศน์ใหญ่ของ ชุมชน จัดขึน้ ในราวเดอื นยเี่ หนือหรือเดือนพฤศจกิ ายนของทกุ ปี หลังออกพรรษา ตารางแสดงองค์ความรู้ทเ่ี ปน็ มรดกภมู ปิ ัญญาทจี่ ับต้องไมไ่ ด้ ข. การจัดการองคค์ วามรเู้ กี่ยวกับหอไตร องค์ความรู้ที่ได้จากการท้าวิจัยมีหลายส่วนด้วยกัน ทว่าส่วนท่ีช่วยกระตุ้นให้มีการอนุรักษ์มากที่สุด เป็นส่วนท่ีเกีย่ วกบั คติความเช่อื ทางพระพทุ ธศาสนา ซึ่งจะสง่ ผลตอ่ จติ ใจโดยตรง ๑. องค์ความร้เู กีย่ วกบั อานิสงสก์ ารสร้างหอไตร สามารถน้าไปใช้เป็นแนวคิดจัดกิจกรรมเพ่ือสร้างแรง กระตุ้นให้มกี ารซอ่ มและสรา้ งหอไตรได้ องคค์ วามรเู้ ร่อื งอานิสงสน์ ้ี เป็นองค์ความรู้เก่าแก่ ท่ีปรากฏในพระไตรปิฎกและคัมภีร์ช้ันหลังทั้งที่แต่ง ในสยามประเทศและต่างประเทศ เป็นแบบแผนให้นักปราชญ์ชาวล้านนาใช้อธิบายผลแห่งการประกอบบุญ กศุ ล เช่น อานิสงส์การรกั ษาศีล ผูร้ กั ษาศลี ไวไ้ ด้จะได้รับบุญกุศลคือความสุข ตายไปก็ขึ้นสวรรค์ช้ันพรหม มีสุข ย่ิงกว่าสวรรค์ แมจ้ ตุ ิลงมาเกดิ เปน็ มนุษย์ก็จะมีปญั ญา เป็นตน้
503 คัมภีร์อานิสงส์ที่พบในล้านนาในปัจจุบันมีจ้านวนมาก ล้วนมีเนื้อหาไปในทางเดียวกันท่ีสนับสนุน หลักการส้าคัญของพระพุทธศาสนา คือ การท้าดีได้ดี นอกจากจุดประสงค์ของการคัมภีร์อานิสงส์ล้านนาจะ อธบิ ายผลแห่งบุญกุศลในเรื่องต่างๆ แล้ว ยังมีจุดหมายเพ่ือชักชวนผู้คนในสังคมให้มีส่วนร่วมในการทะนุบ้ารุง รักษาพระพุทธศาสนา เพ่ือความรุ่งเรืองด้ารงตั้งม่ันแห่งพระสัทธรรม เพ่ือสนับสนุนประเพณีความเช่ือพ้ืนถ่ิน อันมีพระพุทธศาสนาเป็นรากฐาน เป็นต้น ด้วยเหตุนี้จึงมีผลต่อโลกทัศน์ ค่านิยม วิถีชีวิต ขนบประเพณี ของ ชาวล้านนาอยู่มาก ท้ังในเร่ืองการสร้างบุญกุศล ตลอดจนถึงการสร้างพุทธศิลปะถวายในพุทธศาสนา ไม่ว่าจะ เปน็ งานสถาปัตยกรรม หรืองานศลิ ปกรรม เมื่อพูดถึงอานิสงส์การสร้างหอไตรในห้วงเวลาที่ผ่านมา พบว่าไม่มีการระบุโดยตรง แต่เทียบเคียงกับ อานิสงส์การเขียนธรรม เช่น “...ทายกผู้ใดได้เขียนตัวอักษรในพระไตรปิฎกด้วยตนหรือว่าจ้างให้ผู้อ่ืนเขียนก็ดี เมื่อตายไปแล้วย่อมจะไม่ไปเกิดในที่ร้าย ย่อมไปเกิดในตระกูลอันอุดมบริบูรณ์ด้วยข้าวของทรัพย์สมบัติเคร่ือง บรโิ ภคตา่ ง ๆ จะไดอ้ ยเู่ ฉพาะแต่กบั สัปปุรุษ ไม่ได้อยู่กับคนไม่ดีแม้แต่ครั้งเดียว เป็นบุคคลอันอุดม เป็นสัปปุรุษ ยอ่ มไม่เปน็ ผู้อัปลักษณ์ มีลักษณะของสัปปุรุษทุกชาติ เป็นผู้ไม่กล่าวค้าหยาบช้า มีวาจาไพเราะ รูปโฉมวรรณะ งดงาม เปน็ ผูไ้ ดล้ าภสกั การะอันประเสรฐิ กว่าคนท้งั หลาย...”(อานสิ งสไ์ ตรปฎิ ก ฉบบั วัดเมืองลัง ต้าบลช้างเผือก อ้าเภอเมอื ง จงั หวดั เชียงใหม่) หรอื เทยี บกับอานิสงส์การสรา้ งหีบใส่พระธรรม เพราะเปน็ ทเี่ ก็บพระไตรปิฎกเชน่ กัน หรือเทยี บเคยี งกับอานิสงสก์ ารสรา้ งวิหาร เพราะเป็นศาสนสถานในพระพุทธศาสนาเช่นเดียวกัน เช่น “...เป็นผู้รักษาอายุ ให้ความสุขก้าจัดเสียซึ่งทุกข์ท้ังหลายแห่งสงฆ์ กุศลที่ได้จากการสร้างวิหารถวายเป็นทาน นั้น มีผลทา้ ใหไ้ ด้พบสขุ ท้ังในโลกน้ีและโลกภายหน้า สุดท้ายคือพระนิพพาน...” (อานิสงส์การสร้างวิหาร ฉบับ วัดนันทาราม จังหวัดเชียงใหม่) หรือได้ปราสาทท่ีประดับด้วยรัตนชาติ ๗ ประการ (ฉบับวัดทุงยู จังหวัด เชยี งใหม่) สาเหตุท่ีไม่มีการกล่าวถึงอานิสงส์การสร้างหอไตรโดยตรงนั้น ก็เพราะนักวิชาการในปัจจุบันยังคงค้น ไมพ่ บน่นั เอง ส้าหรับการวิจัยคร้ังนี้ ได้พบ “คัมภีร์ใบลานอานิสงส์การสร้างหอไตร” ที่วัดสูงเม่น จังหวัดน่าน ๑ ฉบบั จากการลงพน้ื ทภี่ าคสนาม ซึ่งผู้วิจัยได้ขอร้องให้ นายจ้านงค์ แม่นย้า ประธานโครงการวัฒนธรรมไทยสายใยชุมชน ต้าบลพระ หลวง อา้ เภอสูงเมน่ จังหวดั แพร่ ผรู้ ว่ มส้ารวจเปน็ ผู้ปรวิ รรตให้ นายจา้ นง แมน่ ยา้ ไดม้ อบหมายใหน้ ายแน่น รส ปิตุพงศ์ ชาวบ้านพระหลวงชว่ ยปรวิ รรตให้อีกคร้ังหน่ึงเพราะเป็นผู้เชี่ยวชาญทางอักษรโบราณล้านนา และเมื่อ ผวู้ จิ ยั ได้กลบั มาเชยี งใหมจ่ ึงให้สถาบนั วิจยั สงั คม มหาวทิ ยาลัยเชียงใหม่ปริวรรตควบคกู่ นั ไปด้วย โดยคัมภีร์ใบลานอานิสงส์การสร้างหอธรรมท่ีพบ เป็นใบลานขนาด ๘ พับ ๑๖ หน้า จารด้วยอักษร ธรรมพ้ืนเมือง จารขึ้นเม่ือวันที่ ๑๘ กันยายน พ.ศ. ๒๔๖๗ ผู้เขียนคือ ค้าอ้ายภิกษุ จากการสืบค้นของนาย
504 จ้านงค์ แม่นย้า พบว่าภิกษุค้าอ้ายเป็นช่ือท่ีชาวบ้านเรียกพระครูปัญญาภิชัย เจ้าอาวาสวัดพระหลวง ในช่วง พ.ศ. ๒๔๗๖-๒๕๓๔ ท่านเกิดวันที่ ๑๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๔๓ ชื่อเดิมคือ ค้าอ้าย ก้อนอาทร บรรพชาเป็นสามา เณร ใน พ.ศ. ๒๔๖๐ และบรรพชาเป็นพระภิกษุท่ีวัดพระหลวง ใน พ.ศ. ๒๔๖๔ โดยมีพระชัยลังการ์เป็นพระ อปุ ชั ฌาย์ ทา่ นไดเ้ ลือ่ นสมณะศักด์ิเป็นพระครูสัญญาบัตรช้ันตรี พ.ศ. ๒๔๙๒ ชั้นโท พ.ศ. ๒๔๙๒ ช้ันเอก พ.ศ. ๒๕๐๗ และชัน้ พเิ ศษ พ.ศ. ๒๕๑๖ ชาวบ้านในพน้ื ที่ ตา้ บล พระหลวง มีความเช่ือกันว่า พระครูปัญญาภิชัยน้ัน มคี วามสามารถพเิ ศษท้านายดนิ ฟา้ อากาศได้แม่นย้า ท่านเขียนหนังสือเกี่ยวกับการท้านายประจ้าปี แจกให้กับ คณะศรทั ธาในวนั สงกรานต์ เรยี กหนงั สอื ปีใหม่ มีใจความส้าคัญว่า ผู้ใดสร้างเรือนธรรม (หอไตร) ธรรมมาสน์ หีบธรรม ร้าน (เก็บธรรม) บันไดแก้ว เล่มธรรม หรอื หอมงุ (เกบ็ ธรรม) ก็ดี ได้อานิสงส์เปรียบเสมือนพระพุทธเจ้าสร้างสมโพธิสมภารเป็นโพธิสัตว์ใน อดีตชาติ “....เอตัง อันวา่ บุคคลนนั้ หากกระทา้ ไวด้ ัง่ อ้ัน มะหาคุณัง มีคุณอันมาก มะหาผะละ มีผละอันมาก ตะ ถาหะเยวะ เปน็ ดงั่ ตถาคตเมื่อกอ่ นอันยงั ผง้ สร้างโพธิสมภารเปน็ โพธสิ ตั วว์ นั นนั้ แล....” ด้วยเหตุน้ี จงึ พบว่าอย่างช้าใน พ.ศ. ๒๔๖๗ ได้เกิดมีคัมภีร์อานิสงส์การสร้างหอไตรขึ้นในล้านนาแล้ว โดยระบุถงึ ผลบญุ ในการสรา้ งหอไตรว่า เทยี บได้ดังการส่งั สมบารมีของพระโพธิสัตว์ เร่ืองการสั่งสมบารมีน้ีเป็น เร่ืองส้าคัญมากในคติความเชื่อทางพระพุทธศาสนา เพราะการที่จะบุคคลใดจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านั้น จะตอ้ งสัง่ สมบารมีหรือกระท้าความดใี นเร่อื งต่างๆ มาหลายรอ้ ยหลายพันเร่ือง ท่ีเป็นที่รู้จักกันดี คือ บารมี ๑๐ ประการท่ีพระพทุ ธเจา้ บ้าเพญ็ ใน ๑๐ ชาติหลังสุด กอ่ นท่ีจะไดต้ รัสรูเ้ ปน็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ดัง้ น้นั บญุ จากการได้สร้างหอไตรสักหลังหนึ่ง จึงเป็นบุญใหญ่บุญหลวงส้าหรับชาวล้านนา การน้าองค์ ความรทู้ ไ่ี ด้นไี้ ปเผยแพร่ในวงกวา้ งจึงมผี ลต่อการซ่อมสร้างหอไตรในล้านนาอย่างมากทเี ดยี ว ในส่วนวิธีการเผยแพร่องค์ความรู้น้ีให้กับชุมชนอย่างมีประสิทธิภาพอย่างหนึ่ง คือ การเทศนาของ พระภกิ ษุสงฆใ์ นเทศกาลเขา้ พรรษา และประเพณตี ง้ั ธรรมหลวง ซ่ึงทั้งสองเป็นประเพณีส้าคัญท่ีกระท้าขึ้นทุกปี อยแู่ ลว้ โดยในช่วงก่อนพรรษาของทกุ ปี ชว่ งเดือน ๙ เหนือ หรือเดือนมถิ นุ ายน - กรกฎาคม จะมีการน้าคัมภีร์ ใบลานท่ีเก็บไว้ในหอไตรออกมาผ่ึงลมหรือตากลม และเป็นเวลาท่ีภิกษุสามเณรจะได้ช่วยกันคัดเลือกคัมภีร์ ธรรมชาดกต่างๆ มาเทศน์ในชว่ งเข้าพรรษา การน้าคมั ภรี ใ์ บลานมาตากลมผ่งึ แดด เรียกพิธีตากธรรม กระท้ากันเป็นปกติในสมัยล้านนาโบราณ ต่อเมื่อไม่มี การอา่ นธรรมใบลานแลว้ พิธตี ากธรรมกห็ ายไป ปจั จุบันพิธีตากธรรมน้ีก้าลังได้รับการฟื้นฟูใหม่ ในจังหวัดแพร่ มวี ัดสูงเมน่ ในจังหวัดเชยี งใหมม่ ีวดั นา้ บอ่ หลวง ในจังหวัดเชยี งรายมีวัดดอนแกว้ เปน็ ตน้ กระบวนการในพธิ ี เริ่มท่พี ระสงฆ์จะเป็นผู้ก้าหนดวันแล้วจึงบอกแก่มัคทายกหรือกรรมการวัด ให้ช่วย บอกชาวบ้านมารวมกัน จากนั้นจึงได้น้าคัมภีร์ออกมาจากหอไตรมากองรวมกันในศาลาบาตร ชาวบ้านจะนั่ง
505 รวมกันเป็นกลุ่มเพื่อน้าผ้าชุบน้าเช็ดคัมภีร์ใบลานทุกหน้า เม่ือพบที่ช้ารุดก็ซ่อมแซม เสร็จแล้วจึงช่วยกันเก็บ คมั ภรี ไ์ ว้ในหอไตรเช่นเดมิ อาจมีพธิ ที า้ บุญอุทิศให้ผู้เขียนผู้จารและเจ้าภาพสร้างคัมภีรธ์ รรมก็ได้ ส่วนประเพณีตั้งธรรมหลวง จะจัดข้ึนในช่วงยี่เป็ง หรือเดือนพฤษภาคม ตรงกับประเพณีการเทศ มหาชาติของทางภาคกลาง ซึ่งในล้านนานั้นไม่จ้าเป็นต้องเทศน์มหาชาติหรือเวสสันดรชาดกเพียงเร่ืองเดียว อาจเปน็ คมั ภรี ใ์ ดกไ็ ด้ทมี่ ีขนาดยาว ซ่งึ เป็นเรอื่ งทที่ างคณะกรรมการวัดแตล่ ะวัดเป็นผู้จดั การ ทั้งน้ีประเพณีต้ังธรรมหลวง เป็นประเพณีที่ชุมชนจะได้มาร่วมกันฟังธรรมเทศนาเร่ืองใหญ่หรือเรื่อง ส้าคัญด้วยกัน มิเพียงเท่าน้ัน ยังเป็นงานที่สะท้อนถึงความร่วมมือกันของวัดและชุมชน ในการเตรียมงาน ลว่ งหนา้ นับเดอื น มีการไปนมิ นตพ์ ระเสยี งดีมาเทศน์ การตกแต่งสถานที่ การท้ารั้วราชวัตร และประตูป่า ส่วน สถานท่ีใช้ในการต้ังธรรมหลวงจะนิยมใช้วิหาร ภายในจะต้องตกแต่งไปด้วยเคร่ืองบูชาต่างๆ ได้แก่ ดอกบัว ดอกพ้าน (บัวสาย) ช่อสามเหล่ียม ติดกระดาษต้อง (กระดาษฉลุ) รูปช้าง ม้า วัว ควาย ทาสหญิง ทาสชาย แก้ว แหวน เงิน ทอง อย่างละ ๑๐๐ รูป ประดับโคมผัดท่ีเล่าเร่ืองเวสสันดรชาดก มีการท้าค้างโคมแขวนบูชา มีเชือกสา้ หรับดึงขนึ้ ลงได้ สว่ นธรรมมาสน์ส้าหรบั เป็นท่ีนัง่ เทศน์ของพระสงฆ์กจ็ ะประดบั ตกแตง่ ดว้ ยม่าน และห้อยดอกพัน ที่อยู่ ใน หับดอก ทสี่ านโดยแตะไม้ไผ่ประกบกัน ดอกไม้พันดอก หรือ สหสสฺปุปฺผานิ เป็นเครื่องบูชาพระธรรม บูชา พระคาถาจ้านวน ๑,๐๐๐ พระคาถา ที่เรียกว่า สหสฺสคาถา ดอกไม้ที่นิยมได้แก่ดอกกาสะลอง ดอกจีหุบ (มณฑา) ดอกสารภี เป็นต้น ดอกไม้เหลา่ น้เี ปน็ ดอกไม้หอมทา้ ชว่ ยให้บรรยากาศเหมือนอยู่ในป่าหิมพานต์ท่ีพระ เวสสันดรบ้าเพ็ญบารมีอยู่ท่ีนั่น ส่วนด้านข้างก็จะมีการจ้าลองเป็นป่าหิมพานต์ ปัจจุบันมีการตกแต่งด้วยซุ้ม ต้นไม้ดอกไม้ใส่กระถางไปประดับตกแต่งให้งดงามด้านข้างพระประธานในวิหารก็จะมีการอ่างน้ามนต์ โดยใช้ น้ามันงา หรือน้ามันมะพร้าว ใส่ลงไป โยงสายสิญจน์จากพระประธาน ไปยังธรรมมาสน์ โยงมาพันท่ีอ่าง น้ามนตส์ ามรอบ แลว้ โยงกลบั ไปยงั ธรรมมาสน์ให้พระถือไวข้ ณะเทศน์กัณฑต์ ่างๆ เชื่อว่าอานุภาพของการเทศน์ ต้ังธรรมหลวงจะท้าให้น้ามนต์นี้ศักดิ์สิทธิ์ ใช้ทาแผล แก้ปวดเคล็ดขัดยอก แก้ผื่นคัน และเช่ือว่าจะท้าให้อยู่ยง คงกระพนั ปัจจุบันประเพณีตั้งธรรมหลวงน้ียังปรากฏในล้านนา และได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานรัฐ ท้ัง สถาบันการศกึ ษาเป็นอยา่ งดี การสนบั สนนุ ใหม้ ีการเทศน์เร่ืองอานิสงส์การสร้างหอไตรแทนการเทศน์มหาชาติ อาจเร่ิมในวดั ท่ีตอ้ งการสร้างหอไตรหรอื ซ่อมหอไตรกไ็ ดเ้ ชน่ กัน
506 ประเพณีต้ังธรรมหลวง ท่วี ดั ศรีโคมคา้ จงั หวัดพะเยา ประเพณตี ้งั ธรรมหลวง ที่วัดเจด็ รนิ จงั หวดั เชยี งใหม่ วนั ท่ี ๖ พฤศจกิ ายน พ.ศ. ๒๕๕๗ วนั ท่ี ๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๗ (ภาพจากวัดศรโี คมค้า) (ภาพจากวดั เจด็ รนิ ) ท้ังนี้พธิ ีตั้งธรรมหลวงในเขตอ้าเภอเทิง จังหวัดน่านนั้นมีความพิเศษ เพราะก้าหนดให้สามเณรผู้เทศน์ มหาชาติข้ึนเทศน์บนหอไตรเลย ไม่ได้เทศน์บนธรรมมาสน์ในวิหาร ด้วยเหตุนี้จึงมีค้าเรียกหอไตรในพื้นท่ีนี้ว่า ธรรมมาสน์ ทั้งนี้หอไตรที่เคยมีประวัติว่าถูกใช้แทนธรรมมาสน์ได้แก่ หอไตรวัดคร่ึงใต้ และหอไตรท่ีสร้าง เลียนแบบวัดครึง่ ใต้ คอื หอไตรวัดดอนแก้ว ซ่ึงปจั จุบันได้พยายามฟืน้ ฟูการเทศนบ์ นหอไตร หอไตรท้ังสองมีลักษณะพิเศษ กล่าวคือ เป็นหอไตรไม้ ช้ันเดียว ต้ังอยู่บนเสาไม้ซุงต้นเดียว กลางสระ น้า แสดงโครงสร้างท่ีหนักแน่น ไม่เน้นรายละเอียดในการตกแต่ง มีบันไดทอดจากฝั่งขึ้นสู่ตัวห้องเก็บธรรมที่มี ขนาดเล็ก อยู่ในผังสี่เหลี่ยมจัตุรัส กว้างยาวด้านละ ๑.๘ เมตร ด้านหน้ามีประตู ด้านที่เหลือเป็นหน้าต่าง หลังคาทรงโรง มองเห็นคอสองชดั เจน ส่วนหลงั คาปกี นกคลมุ ลงมาต่้ามาก ทั้งยกจ่ัวเล็กๆ ในตอนกลางซ้อนข้ึน ไปอกี ๒ ชั้น ๒. องค์ความรู้เรื่องการใช้ประโยชน์ของหอไตรและรูปแบบหอไตรที่ค้นพบ คือ การที่หอไตรถูกสร้าง ข้นึ มาเพอื่ ให้เป็นสถานที่เคารพบูชามากกว่าการถูกใช้งานอย่างห้องสมุด สามารถใช้เป็นแรงกระตุ้นให้เกิดการ อนรุ กั ษ์หอไตรท่ีถกู ปล่อยท้ิงร้างหรือไม่ได้ใชป้ ระโยชน์ในปัจจบุ นั ได้ จากการศึกษาพบว่าองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมของหอไตรล้านนา ล้วนถูก ออกแบบมาให้หอไตรเป็นสถานที่ควรเคารพ มากกว่าการเป็นสถานท่ีใช้งานจริงอย่างห้องสมุด กล่าวคือ ทาง สถาปัตยกรรมจะเป็นอาคารที่มีขนาดไม่ใหญ่มากนัก ไม่มีบันไดทางข้ึนถาวร ห้องเก็บธรรมมีขนาดเล็ก แม้มี ระเบียงรอบห้องเก็บธรรม แต่การใช้ประโยชน์เป็นท่ีน่ังอ่านธรรมก็ล้าบาก เพราะท่ีคับแคบ การออกแบบ ท้ังหมดไม่เอื้ออ้านวยในการเข้าไปใช้หอไตร เช่นเดียวกับงานศิลปกรรม ท่ีมักตกแต่งลวดลายบนผนังห้องเก็บ ธรรมดา้ นนอก ไม่ใช่ดา้ นในอยา่ งที่ตกแตง่ ในวิหาร หรอื อโุ บสถ การตกแต่งมีทั้งที่เป็นลายค้า และจิตกรรมสีฝุ่น ลายค้าเปน็ ลายราชวตั รทมี่ ีความหมายถึงรัว้ ลอ้ มรอบ ด้านในห้องเก็บธรรมจึงเป็นเสมือนสถานที่ศักด์ิสิทธิ์ หรือ ลวดลายหนา้ บนั ท่ีเป็นลายเทวดา ชาวล้านนาก็เชื่อว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งการปกป้องรักษาหอไตร เช่นเดียวกับ ลายเครอื สับปะรดทพี่ บมาก ซ่ึงเปรียบเสมอื นดวงตาที่คอยปกป้องหอไตรเช่นกนั ทา้ ให้หอไตรกลายเป็นสถานท่ี ศักดส์ิ ทิ ธอิ์ ย่างแท้จริง การออกแบบดังกลา่ วได้สะทอ้ นออกมาในรูปแบบประเพณลี ้านนาทหี่ ้ามไม่ใช้ผู้หญิงข้ึนหอไตรเด็ดขาด ไมเ่ พียงเทา่ น้ันผชู้ ายทไี่ ม่มีสว่ นเกีย่ วข้องกบั กิจกรรมใดๆ ของหอไตรก็มีความยุ่งยากในการใช้ประโยชน์จากหอ
507 ไตรเชน่ กนั ผลจากขอ้ ห้ามทางประเพณีทา้ ใหไ้ ม่มีการใช้ประโยชน์หอไตร และเม่ือไม่มีความเข้าใจว่าหอไตรถูก ออกแบบมาเพอ่ื เป็นสถานท่เี คารพบูชา เชน่ เดียวกับเจดีย์ พระพุทธรูป จึงไม่ได้รักษาให้อยู่ในสภาพที่น่าเคารพ บูชาอย่างเช่นเจดีย์หรือพระพุทธรูป ท้าให้หลายๆ วัดในปัจจุบันได้ทอดท้ิงหอไตรให้เป็นสถานที่อยู่อาศัยของ นกพิราบ หนู และเป็นท่เี กบ็ ของทไ่ี ม่ไดใ้ ช้งานแล้วของวัด การท้าความเข้าใจและเผยแพร่องค์ความรู้เร่ืองนี้ จะท้าให้ชุมชนหันกลับมามองหอไตรใหม่ ใน ลักษณะเป็นส่ิงเคารพบูชา แม้จะไม่มีใครสามารถอ่านธรรมคัมภีร์ได้แล้ว แต่การได้บูชาหอไตรก็มีอานิสงส์อยู่ มากทีเดียว อาจท้าให้เกิดการช่วยกันอนุรักษ์หอไตรมากขึ้น หอไตรจะถูกฟื้นฟูกลับมาเป็นองค์ประกอบท้ัง ๓ ของพระพุทธศาสนาทป่ี รากฏอยู่ในวัดอย่างแท้จริง คือ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ เม่ือมีความเข้าใจใน จดุ ประสงค์การสร้างศาสนสถานแตล่ ะแห่งแล้ว ในอนาคตอาจจัดให้มีการท่องเที่ยวไหว้พระพุทธรูป พระธรรม (หอไตร) และพระสงฆ์ในวัดท่มี อี งค์ประกอบทัง้ สามครบแล้วกไ็ ด้ ๓. องค์ความรู้เรื่องรูปแบบหอไตร รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างชนชาติกับหอไตรท่ีค้นพบ สามารถ พน้ื ฐานในการสรา้ งหอไตรขึ้นมาใหม่ หรือสร้างโมเดลหอไตรได้ การสร้างหอไตรขึ้นมาใหม่น้ัน ควรต้ังอยู่บนความรู้เร่ืองรูปแบบหอไตรแต่ละประเภท และรูปแบบท่ี เหมาะสมของแต่ละชนชาติในล้านนา แม้การสร้างโมเดลหอไตรให้ถูกต้องตามองค์ความรู้ดังกล่าวก็มีความ จา้ เป็น เพราะดา้ นหน่งึ จะเปน็ การกระตุ้นใหเ้ ยาชนร่นุ ตอ่ ไปได้เรยี นรู้ทา้ ความเข้าใจกับองคค์ วามรูโ้ บราณได้ การน้าองค์ความรู้เร่ืองนี้ไปใช้ ผู้วิจัยได้เสนอไว้ในโครงการพิพิธภัณฑ์หอไตรสัญจรในแผนการสงวน รักษา (บทที่ ๑๐ หวั ขอ้ ๑๐.๓) โดยเริม่ จากการทา้ โมเดลหอไตรทถี่ ูกคดั เลือกแลว้ โดยคณะสงฆ์และผู้เช่ียวชาญ จา้ นวน ๗ หลงั พร้อมท้าเอกสารประกอบเก่ียวกับข้อมูลทางประวัติศาสตร์ แบบแปลน ผัง รูปแบบศิลปกรรม สถาปตั ยกรรมของหอไตรแต่ละหลงั และจดั ท้าหนังสอื หอไตรลา้ นนา ท้งั ภาษาไทยและภาษาองั กฤษ จัดแสดงหอไตรหมุนเวียนไปในแต่ละวัด เริ่มจากวัดส้าคัญท่ีเป็นแหล่งท่องเท่ียวภายในอ้าเภอเมือง ของแต่ละจังหวัด เป็นเวลาวัดละ ๑ เดือน ระหว่างการจัดแสดงก็มีการแจกเอกสารหอไตรแต่ละหลัง พร้อม จ้าหน่ายหนังสือหอไตรล้านนา การแจกเอกสารเพ่ือเป็นการกระตุ้นให้ชุมชนและนักท่องเท่ียวสนใจในหอไตร ลา้ นนา ส่วนหนงั สอื นน้ั เพื่อตอ้ งการระดมทนุ ในการจัดพพิ ธิ ภัณฑ์เคลอื่ นที่ในอนาคตต่อไป ระหว่างการจัดพิพิธภัณฑ์ จะมีการประสานงานระหว่างวัด ชุมชน กับหน่วยงานอนุรักษ์ท้ังภาครัฐ เอกชน และสถาบันการศึกษา ในเรอ่ื งการบูรณะหอไตร การสรา้ งหอไตรใหมเ่ ปน็ ตน้ ๔. องค์ความรู้เรื่องงานช่าง จากการวิจัยท้าให้ได้เห็นทั้งกระบวนการท้างานของช่างโบราณและช่าง สมยั ใหม่ ที่มกี ารใช้วสั ดุปัจจุบันเพื่อทดแทนของเดิมที่หายาก องค์ความรู้นี้เม่ือน้าไปเผยแพร่ก็จะเป็นการฟื้นฟู กระบวนการทา้ งานของชา่ งแบบโบราณขึ้นไดใ้ หม่ โดยไม่จ้าเป็นต้องใช้วัสดุที่หายาก มีราคาสูง ท้าให้ผลผลิตที่
508 ไดม้ รี าคาเป็นจรงิ ตามทอ้ งตลาดในปัจจบุ นั อาทิ การใช้แผ่นฟิล์มรถยนต์แทนกระดาษสาในการท้าต้นแบบลาย ฉลุลายค้า หรือการใช้สีน้ามันแทนรัก หรือการใช้กระดาษอัดแทนการใช้ไม้จริงที่หาได้ยากแล้วในปัจจุบันเป็น ต้น กระนั้นก็ตาม การสนับสนุนให้ใช้วัสดุใหม่ ก็ควรท้าร่วมกับการส่งเสริมให้มีพื้นที่ในการสร้างวัสดุแบบ ดังเดิมขึ้นมาใหม่เช่นกัน อาทิ การสนับสนุนให้ปลูกต้นรักมากข้ึนในพื้นที่เหมาะสม เช่นการทดลองปลูกต้นรัก ในบริเวณอุทยานแห่งชาติดงลาน อ้าเภอสันก้าแพง จังหวัดเชียงใหม่ เน่ืองในโครงการอนุรักษ์ต้นรักและภูมิ ปัญญาการเจาะเก็บยางรัก ตามพระราชด้าริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โดยมีนายภูมิ นพศ์ บญุ บันดาร เจ้าพนกั งานป่าไม้อาวุโส เป็นหัวหน้าโครงการ ทั้งยังต้องส่งเสริมช่างในปัจจุบันท่ีท้างานตาม แบบแผนประเพณีโบราณลา้ นนาด้วย ๗.๒ การจัดการของแหลง่ ผลติ แหล่งผลติ ทส่ี า้ คัญในบริบทการศกึ ษาหอไตรคร้งั นี้ คือ วัดทมี่ หี อไตร ในหวั ข้อน้จี ะได้กลา่ วถึงวธิ ีการ จดั การกบั หอไตรของวดั ตั้งแต่อดตี ปัจจุบนั และแนวโน้มที่มีในอนาคต ในอดีต หอไตรเปน็ อาคารในพระพุทธศาสนาท่มี คี วามส้าคัญอย่างมากภายในวัด จะเห็นไดจ้ ากการท่ี ผสู้ รา้ งหอไตรโบราณ มกั เป็นกษัตริย์หรือชนชั้นปกครองท่ีมีอ้านาจทางการเมืองและศาสนา ผู้สรา้ งจะเป็นผู้ ถวายหอไตรใหว้ ดั พร้อมทง้ั ถวายบุคคลทีจ่ ะมาเฝ้ารักษาหอไตร ท่ีดนิ เรือกสวนไร่นา หรืออืน่ ๆ ไว้ให้กบั วัด เพือ่ ให้เปน็ ผลประโยชนข์ องวัดโดยตรง เรยี กการถวายบคุ คลหรือสิง่ อ่ืนๆ ให้เปน็ สมบัติของวัดว่า “การเวน ทาน” ช่วงเวลาดงั กลา่ วน้ี วดั ท่ีได้รับการเวนทานจงึ เกดิ มผี ลประโยชนใ์ นลักษณะต่าง ๆ เป็นต้นว่า อาณาเขต ของวดั ซ่ึงอาจครอบคลมุ เขตชุมชน สวน ไร่ นา ซ่ึงในกรณีน้ี แม้ชุมชนท่ีอยู่ในเขตวัดจะไม่ถูกจัดเป็นแรงงานวัด แต่ก็มีหน้าที่อยู่ในค้าสั่งของเจ้าวัดและต้องช่วยงานวัด ส่วนท่ีดินที่เป็นของวัด วัดก็จะมอบให้แรงงานวัดใน สังกัดท้าการเพาะปลูก ผลผลิตท่ีได้เป็นของวัด หรือวัดอาจอนุญาตให้แรงงานท่ีมิได้เก่ียวข้องกับวัด เข้ามา ด้าเนินการเพาะปลูกและแบ่งผลประโยชน์ให้แก่วัดเป็นการตอบแทนก็ได้ การจัดการของวัดระยะน้ี จึง เกี่ยวข้องกบั ผลประโยชน์โดยตรงท่ีวดั ไดร้ ับจากการสร้างหอไตร เรอื่ งการถวายหอไตร ผ้คู น และอ่นื ๆ ปรากฏในจารึกโบราณลา้ นนาต่างๆ เชน่ จารกึ วดั พระธาตุหริ ภุญไชย ในพ.ศ. ๒๐๕๓ ทพ่ี ญาแกว้ กษัตริยเ์ ชียงใหม่ และพระราชมารดาสรา้ งหอไตร พระไตรปิฎก และ พระพุทธรปู ทองคา้ ประดษิ ฐานในหอไตร พระราชทานภาชนะทองค้า ภาชนะเงนิ เพอ่ื บชู าพระธรรม ทรงให้ เงนิ ทนุ เพ่ือนา้ ดอกผลเปน็ ค่าใช้จ่ายซอ้ื หมากเมี่ยงและขา้ ว บชู าพระธรรม ทรงให้ภาษีนาปลี ะ ๒,๐๐๐,๐๐๐ เบี้ย เพ่อื เป็นค่าตอบแทนแก่ผู้ดูแลหอไตร และพนักงานคนอ่ืนๆ และทรงถวายข้าคน ๑๒ ครอบครวั เพอ่ื ปฏิบตั ิ รักษาหอไตร และพระไตรปิฎก ทรงหา้ มใชค้ นเหล่าน้ีท้างานอน่ื ทา้ ยจารึกเปน็ ค้าปรารถนาและคา้ อุทิศสว่ น กศุ ล
509 จารึกวัดวิสุทธาราม ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเชียงแสน จังหวัดเชียงราย จารึกใน พ.ศ. ๒๐๔๙ (กรมศิลปากร, ๒๕๕๑, หน้า ๓๒๐-๓๒๔) กล่าวถงึ สมเดจ็ มหาสวามศี รีวิมลโพธิญาณเจ้าอาวาสวัดป่าแดงหลวง จงั หวัดพะเยา สงั่ มหาเถรชยบานรัตนปัญญา ไปขอพระราชานุญาตจากพญาแก้ว กษัตริย์เชียงใหม่ เพื่อตั้งศิลา จารึกทวี่ ัดวิสุทธอาราม จัดคน ๑๐ ครอบครัวถวายแด่หอพระไตรปิฎก พร้อมท้ังญาติของพระภิกษุรูปหนึ่ง ช่ือ มหาเถรสินผญา ๔ ครอบครัว ดังว่า “...แสนญาณตนกินเมิงพยาวห้ือเอาคนไว้กับปิฎก ๑๐ ครัวกับญาติมหา เถรสินผญาเจ้า ๔ ครวั ...” และ “...คนอันเฝ้าปิฎกกด็ ี ญาตตเิ ถระเจา้ ก็ดี ไผอยา่ ใชก้ ารบ้านการเมิงไว้รักษามหา เถรเจา้ กบั ปฎิ กตามอาชญา..” เปน็ ตน้ จารึกวดั พันตอ้ งแตม้ หรอื วัดพวกพันตอง จงั หวัดเชยี งราย (พ.ศ. ๒๐๓๑) ได้ระบุว่าพระเป็นเจ้าแม่ลูกก็ ยินดดี ้วยบุญ ห้ือไวน้ า ๖๐๐,๐๐๐ เบ้ีย และคน ๑๕ ครวั ห้ือไม้สกั แปลงวหิ าร ทง้ั หอปิฎกวัดพนั ต้องแต้ม จารึกวัดสาลกัลป์ญาณมหันตาราม จังหวัดเชียงใหม่ (พ.ศ. ๒๐๓๑) ระบุว่าพญายอดเชียงรายทรง ถวายที่ดินใน พ.ศ. ๒๐๓๑ และพ.ศ. ๒๐๓๔ พระองค์ได้ถวายเงินอีก ๔๘๐,๐๐๐ เบี้ย และหม่ืนดาบเรือน ผู้สร้างวดั สาลกลั ญาณมหันตาราม ไดซ้ ื้อทาสถวายเปน็ เลขวดั จา้ นวน ๒๕ ครวั มจี า้ นวน ๓๘ คน เป็นตน้ สมัยพญาเมืองแก้ว (พ.ศ. ๒๐๓๘ – ๒๐๖๘) มีจารึกวัดป่าใหม่ จังหวัดพะเยา (๒๐๔๐) ท่ีระบุถึงการ ถวายที่นากับข้าวัดของพระองค์ โดยทรงแบ่งคนไว้ ๓ ส่วน ให้อุปัฏฐากพระพุทธเจ้าในวิหารส่วนหนึ่ง ให้ อปุ ัฏฐากอุโบสถสว่ นหนง่ึ และใหอ้ ปุ ฏั ฐากหอปิฎกอีกส่วนหนง่ึ จารึกมหาสามีเจ้าญาณเทพคุณ วัดบ้านดอน จังหวัดพะเยา (พ.ศ. ๒๐๔๖) ระบุว่า มหาสามีเจ้าญาณ เทพคณุ วัดบา้ นดอน ได้ถวายเงนิ และข้าไวก้ ับวดั บา้ นหนอง ส่วนหน่ึงไว้กบั หอพระไตรปฎิ ก จารึกพญาเมืองแก้วและพระราชมารดาสร้างหอไตรที่วัดพระธาตุหริภุญชัย จังหวัดล้าพูน (๒๐๕๒) ระบุวา่ ทง้ั สองพระองค์ได้พระราชทานภาชนะทองค้า ภาชนะเงิน บูชาพระธรรม และทรงให้เงินทุนเพ่ือน้าดอก ผลเป็นค่าใช้จ่ายซ้ือหมากเมี่ยงและข้าว บูชาพระธรรม ทรงให้ภาษีนาปีละ ๒,๐๐๐,๐๐๐ เบี้ย เพื่อเป็น คา่ ตอบแทนแก่ผูด้ แู ลหอไตร และพนกั งานคนอ่นื ๆ และทรงถวายขา้ คน ๑๒ ครอบครัวเพอื่ ปฏบิ ตั ริ ักษาหอไตร อย่างไรก็ตาม หอไตรก็ถูกสร้างข้ึนด้วยจุดประสงค์เพื่อให้เป็นที่เก็บและที่บูชาพระธรรมภายในวัด จึง ท้าให้ในแต่ละปี ไม่ปรากฏการข้ึนไปใช้ประโยชน์บนหอไตรมากคร้ังนัก อย่างมากมี ๒ ช่วงเวลาที่พบว่ามีการ ขึ้นไปบนหอไตรเพื่อร้ือคัมภีร์มาท้าความสะอาดและคัดเลือกไว้เทศน์ในช่วงเข้าพรรษา และพิธีต้ังธรรมหลวง การจดั การของวดั กับหอไตรในชว่ งน้ี จึงเปน็ การรกั ษาไว้ซึง่ อาคารทางพุทธศาสนาท่ีควรแก่การบูชามากกวา่ สมัยปัจจุบันท่ีผู้คนไม่เข้าใจในจุดประสงค์การสร้างหอไตรของช่างโบราณแล้ว กลับคิดว่าหอไตรถูก สร้างและใช้งานในลักษณะห้องสมุด จึงท้าให้เมื่อไม่มีการอ่านอักษรธรรมล้านนาได้แล้ว และมีการจัดพิมพ์ พระไตรปิฎกในลักษณะกระดาษมากข้ึน ท้ังยังพิมพ์เป็นตัวอักษรไทยภาคกลาง จึงท้าให้หอไตรถูกละเลย เพราะไม่มีการใช้งานใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับตัวหอไตรแล้ว ทางวัดจึงได้ใช้หอไตรเป็นที่เก็บของ เช่นเดียวกับหอ
510 ระฆังท่ีถูกทิ้งร้างก็ถูกใช้เป็นที่เก็บของเช่นกัน ปรากฏการณ์น้ีเกิดข้ึนทั่วไปกับหอไตรล้านนา ยกเว้นบางวัดท่ีมี ได้รับการขึ้นทะเบยี นจากกรมศลิ ปากรเป็นต้น นอกจากทิง้ ให้ร้างแลว้ เม่ือพิจารณาจากหอไตรทีส่ รา้ งข้นึ ใหมใ่ นชว่ งพุทธศตวรรษท่ี ๒๖ ก็จะพบการ จดั การของวดั ต่อหอไตรอีกรูปแบบหน่งึ คอื สรา้ งขึ้นเพ่อื ใช้ประโยชนอ์ ย่างอ่นื ร่วมด้วย ไมไ่ ดม้ จี ดุ ประสงค์ที่จะ ใชเ้ ป็นสถานท่ีเกบ็ คัมภรี ใ์ บลานเปน็ หลกั แล้ว อาทิ เปน็ หอ้ งสมุด ท่ีทา้ การชมุ ชน สมาคม ร้านค้า กุฏิ หอฉนั หอกลอง หอระฆงั หรือท่รี ับรองพระอาคันตุกะ เปน็ ตน้ ปรากฏชัดในหอไตรทสี่ รา้ งเป็นอาคารสงู ขึน้ ไป ๓ – ๔ ชน้ั ในผงั รปู สีเ่ หลยี่ มจัตรุ ัส ลกั ษณะคลา้ ยหอระฆังหรอื หอกลองในอดีต ได้แก่ หอไตรวัดทา่ คร่าวนอ้ ย จังหวดั ลา้ ปาง (พ.ศ. ๒๕๒๕) สร้างเป็น ๓ ช้ัน โดยช้นั ลา่ งสดุ เปน็ หอกลอง ช้ันท่ี ๒ เป็นหอธรรม และช้นั ท่ี ๓ เป็นหอ ระฆงั หรอื หอไตรวดั ส้าน จังหวัดเชียงราย (พ.ศ. ๒๕๕๗) สร้าง ๔ ชัน้ โดยช้นั ล่างสดุ เปน็ หอ้ งเกบ็ ของ ชั้น ๒ แขวนฆ้อง ชัน้ ๓ แขวนระฆัง และชัน้ บนสดุ เป็นหอธรรม เป็นต้น รปู แบบเชน่ นี้ พบในจงั หวดั แพร่มากทส่ี ดุ จา้ นวน ๓ หลัง จงั หวดั ล้าปางและจังหวดั เชียงรายอย่างละ ๑ หลัง รูปแบบหอไตรดงั กล่าวก็เป็นการรวมเข้ากนั ของอาคารท่ีไม่ค่อยได้ใช้ประโยชน์ แต่มีความส้าคัญใน อดตี เชน่ หอไตร หอกลอง และหอระฆัง เป็นต้น สอดคล้องกับผลส้ารวจการใช้งานหอไตรของวัดต่างๆ ในปัจจุบัน พบว่า ประโยชนก์ ารใช้งานของหอ ไตรท่ีพบมากท่สี ุด คือ ใชเ้ ป็นหอ้ งเกบ็ ธรรม มีจา้ นวน ๑๙๐ หลัง (แต่ไมไ่ ด้ดแู ลรกั ษาเท่าทคี่ วร) ใช้เปน็ หอ้ งเกบ็ ของ จา้ นวน ๑๐๐ หลงั และใชเ้ ปน็ กฏุ ิ จ้านวน ๒๑ หลัง โดยแตล่ ะหลังนัน้ ไม่ไดใ้ ชป้ ระโยชน์เพียงด้านใดด้าน หนงึ่ เช่น ด้านล่างไวเ้ ก็บของหรอื เปน็ กฏุ ิ ส่วนด้านบนใช้เก็บธรรมคมั ภรี ์ การเก็บธรรมนั้น พบท้ังที่เกบ็ บนช้นั กระสอบ ลังกระดาษ และเก็บไวใ้ นหีบธรรม จงั ประโยชน์ หวดั ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ ๑๐ ๑๑ ๑๒ ๑๓ ๑๔ ๑๕ ๑๖ ๑๗ ๑๘ ๑๙ ๒๐ ๑ ชม ๙๐ ๗ ๑๑ ๖ ๑ ๔ ๗ ๕๔ ๒ ๑ ๑ ๑ ๒ ๒ ลพ ๔๕ ๔ ๕ ๑ ๒ ๑ ๓๕ ๕ ๓ ลป ๑๑ ๑๕๑ ๔๑ ๑ ๑ ๔ ชร ๔ ๑ ๑๑ ๑๑ ๑ ๕ พ ๑๙ ๑ ๓ ๒ ๒๕ ๓ ๔ ๑๒ ๖ น ๑๕ ๑ ๑ ๑ ๑ ๒ ๑๐ ๗ พย ๖ ๑ ๑๑ รวม ๑๙๐ ๑๔ ๒๑ ๑๒ ๕ ๗ ๑๓ ๑๑๐ ๗ ๒ ๒ ๑ ๑๐ ๑ ๑ ๑ ๔ ๑ ตารางการใช้ประโยชน์หอไตรล้านนา สญั ลกั ษณ์ในตาราง
511 ๑.เก็บธรรม ๒.พระพทุ ธรปู ๓.กฏุ ิ ๔.พพิ ิธภณั ฑ์ ๕.หอ้ งสมุด ๖.ศาลาการเปรยี ญ ๗.สมาคม ๘. เก็บ ของ ๙. หอระฆัง ๑๐ หอฉนั ๑๑ อุโบสถ ๑๒ เกบ็ อฐั ิ ๑๓ เกบ็ กลอง ๑๔ เก็บฆ้อง ๑๕ เทศนธ์ รรม ๑๖ จัด นทิ รรศการ ๑๗ ทีน่ ัง่ พกั ๑๘ ก้าลงั สรา้ ง นอกจากนยี้ งั พบอกี ว่า พระสงฆม์ คี วามคาดหวังในการใชป้ ระโยชนจ์ ากหอไตรในรูปแบบต่างๆ มากขึ้น โดยทุกฝ่ายปรารถนาให้หอไตรกลับมาเป็นสถานท่ีเก็บรักษาคัมภีร์เช่นในอดีต ทว่าได้เพ่ิมการเข้าไปใช้ ประโยชนใ์ นตวั อาคารหอไตรมากขึ้น เช่น มีเคร่ืองอ้านวยความสะดวกเรื่องเทคโนโลยีในการค้นคว้าพระธรรม มีสื่อท่ีทนั สมัยสา้ หรบั การเรยี นรู้ จัดทา้ หอไตรใหเ้ ปน็ ลกั ษณะเหมอื นพิพิธภัณฑ์ คอื เป็นสถานท่ีจัดแสดงพระธรรม พระพุทธรูป ของล้า คา่ ของวดั และเปดิ หอไตรเปน็ แหลง่ ทอ่ งเท่ียว โดยมีมัคคุเทศกน์ ้อยคอยแนะนา้ หอไตร จดั ท้าหอไตรใหม้ ีลกั ษณะเหมือนห้องสมุด คอื เป็นแหล่งค้นควา้ ท่ีมพี ระสงฆ์ผู้เชี่ยวชาญในธรรมไว้คอย สั่งสอนใหค้ ้าปรกึ ษาเรอื่ งพระธรรมในลกั ษณะเดยี วกับบรรณารักษ์หอ้ งสมุด จัดท้าเป็นที่ท้างานของชุมชนในลักษณะต่างๆ เช่น สืบสานงานช่างแกะสลัก ช่างปิดทอง ช่างฉลุลาย เป็นตน้ หรอื ท่ีประชมุ กองทนุ หมู่บ้าน หรือทีข่ ายสินค้าของหมู่บ้าน เปน็ ต้น จัดเปน็ สถานท่ปี ฏิบัติธรรม ความคาดหวังในการใช้ประโยชน์ของหอไตรของพระสงฆ์และผู้สนใจในสมัยปัจจุบันมีความ หลากหลายมากข้ึน ต่างออกไปจากอดตี ที่การออกแบบทางสถาปัตยกรรมเป็นไปเพื่อการเป็นสถานท่ีเก็บรักษา ธรรมเพยี งอยา่ งเดยี ว ใชเ้ ป็นสัญลักษณ์แทนพระธรรม ความสัมพนั ธข์ องหอไตรกับผมู้ าใช้งานเป็นไปในลักษณะ การบชู ามากกวา่ การเขา้ ไปใชง้ านจรงิ ทง้ั นจี้ ึงสามารถสรปุ รูปแบบการจดั การของวดั ทม่ี ีตอ่ หอไตรได้ดงั ตอ่ ไปนี้ ๑. พุทธศตวรรษที่ ๒๑ – ๒๓ วัดมีการจัดการกับหอไตรในฐานะเป็นผลประโยชน์โดยตรงท่ีวัดได้รับ ท้งั เงินทอง ผคู้ น ทีด่ นิ ข้าวของทีผ่ ู้สร้างจะถวายไว้กบั หอไตร ๒. พุทธศตวรรษท่ี ๒๔ วัดมีการจัดการหอไตรในฐานะเป็นสถานท่ีเคารพบูชา แต่ละปีมีการข้ึนไปบน หอไตร ๒ ครง้ั ในชว่ งกอ่ นเขา้ พรรษา และในพิธีต้งั ธรรมหลวง ๓. พุทธศตวรรษที่ ๒๕ – ๒๖ วัดมีการจัดการกับหอไตรในลักษณะเป็นอาคารที่จ้าเป็นต้องมีอยู่ แต่ ไม่ได้ใช้ประโยชน์ จึงปล่อยท้ิงร้างไว้ ใช้เป็นที่เก็บของที่ไม่ได้ใช้งานแล้วของวัด บางวัดสร้างหอไตรรวมไว้กับ อาคารทางพทุ ธศาสนาอยา่ งอื่นที่ไม่ได้ใชง้ านแล้วเชน่ กนั ๔. อนาคต วัดปรารถนาจะใช้ประโยชน์จากหอไตรหลากหลายรูปแบบมากข้ึน ทั้งเป็นพิพิธภัณฑ์ ท่ี ทอ่ งเทย่ี ว หอ้ งสมุด ทช่ี ุมชน หรือทปี่ ฏิบตั ธิ รรม เป็นต้น
512 ๗.๓ การถา่ ยทอดและการสืบทอด ในหวั ข้อน้ีจะได้กล่าวถึงรูปแบบการถ่ายทอดองค์ความรู้ทางช่างของกลุ่มช่างในอดีต และที่ปรากฏใน ปจั จบุ นั จากการศึกษาพบว่า ช่างล้านนาส่วนใหญ่ เรียนรู้งานช่างจากการเข้าไปท้างานจริง อาทิ สล่าเสถียร นะวงศร์ กั ษท์ เี่ ร่มิ รู้จากการไปชว่ ยท้างานกบั ครูนอ้ ยหล้า จ่าประคั่ง และเจ้าบุญประเสริฐ ณ เชียงใหม่ ช่างที่มา บูรณะวัดฟ้าฮ่าม ซึ่งอยู่ระหว่างเส้นทางเดินจากบ้านในย่านวัดเกตการามไปโรงเรียนธรรมราชที่เขาศึกษาอยู่ ได้เรียนงานศิลปะล้านนาหลายหลายประเภท ท้งั งานตดั กระดาษ แกะสลักไม้ เครื่องเขิน ลงรักปิดทอง งานปูน ปัน้ สด เป็นตน้ โดยเขาเร่ิมเข้าทา้ งานชา่ งตั้งแต่อายุ ๑๔ ปี ด้วยการรบั จ้างแกะสลักไมแ้ ละเขียนลายเสื้อผ้า เพื่อ น้ารายได้เป็นค่าใช้จา่ ยในการเรยี น หรือช่างแกะสลักไม้ท่ีบ้านร้องต้นขาม เม่ือจบช้ันประถมแล้ว ต่างก็เข้าไปเรียนรู้งานแกะสลักไม้จาก ช่างในหมบู่ า้ นซ่ึงรบั จ้างแกะสลักไมส้ ่งไปขายยังรา้ นคา้ ในตวั เมอื งเชียงใหม่ ช่างในหมู่บ้านร้องต้นขามส่วนหนึ่ง ให้สัมภาษณ์ว่า เพราะไม่อยากช่วยพ่อแม่ท้านา จึงไปเรียนแกะสลัก และยึดเป็นอาชีพหลัก แต่ก็ยังช่วย ครอบครัวทา้ นาอยใู่ นบางครั้ง เช่นท่ยี ุพา คา้ ราพิศ เล่าให้ฟังวา่ เมอ่ื ออกจากโรงเรยี นแล้ว จึงไปฝกึ แกะสลักไม้พร้อมกับญาติรนุ่ ราว คราวเดยี วกัน ทีบ่ า้ นลุงใส ใจมา ซงึ่ ปน็ แหล่งผลติ งานไม้แกะสลัก งานเคร่ืองเขนิ เขียนลายทอง ท่ีส่งไปขายใน ตัวเมืองเชียงใหม่ หัดแกะไม้อย่ปู ระมาณ ๑ – ๒ อาทติ ย์ โดยเริ่มจากการหดั ใช้ส่วิ เซาะช่องไฟของตวั ลาย และ เซาะร่องด้วยส่วิ ขนาดเล็กหรือที่เรยี กวา่ การตอกส่ิวเดินเส้น เมอื่ คล่องแลว้ จึงใหเ้ ร่ิมแกะลาย มรี ายได้เปน็ รายวนั ได้วนั ละ ๑.๕๐ บาท แกะไม้ท่บี ้านลงุ ใส ใจมา อยูป่ ระมาณครง่ึ ปี จึงรับงานมาแกะทีบ่ า้ นเม่ืออายุ ๑๓ ปี เช่นเดยี วกับทเ่ี พ็ญศรี จันพลอย เลา่ วา่ เมื่อออกจากโรงเรียนมาฝกึ แกะสลักกบั ลงุ ฉลวย ค้าดวงดาว ในบรเิ วณ ใกลบ้ า้ น โดยที่บ้านลงุ ฉลวยน้ันเป็นแหล่งแกะไม้สง่ ขายในตา้ บลบ่อสร้าง อา้ เภอสนั กา้ แพง จงั หวัดเชยี งใหม่ เป็นตน้ หรอื ในกรณีของช่างประสิทธ์ิ และชา่ งอ้าพร สวุ รรณตระกูล ก็เกิดจากการเรียนรูผ้ ่านประสบการณ์ การทา้ งานลงรักปดิ ทองด้วยเช่นกัน นางอา้ พร สุวรรณตระกลู เล่าวา่ เม่อื จบโรงเรียนช้ันประถม ๔ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๗ อายุ ๑๖ ปี จึงออกมารับจา้ งทา้ เคร่ืองเขนิ ในหม่บู ้านทุ่งโฮเต็ล โดยไปฝึกทบ่ี ้านช่างสมวงศ์ พโลประการ เร่มิ จากการขัดพน้ื จากนั้นจึงลงรัก และเขียนลาย ชว่ งเวลาท่ีฝกึ ได้เงนิ วันละ ๓ บาท เม่ือช้านาญแลว้ ได้เงนิ วัน ละ ๖ บาท ต่อมาจงึ ได้ไปทา้ งานในบริษทั โฮยามา่ ซง่ึ ท้าเคร่ืองเขินส่งญี่ปนุ่ ตง้ั อยู่บริเวณประตูเชียงใหม่ ทา้ งาน เปน็ เวลา ๕ – ๖ ปี จงึ แตง่ งานกบั นายประสิทธิ์ ซง่ึ เปน็ ช่างเขียนโปสเตอร์หนงั ก่อนออกมารับท้างานท่ีบ้าน และส่งขายยังร้านนารายณ์พรรณ เป็นตน้
513 การถ่ายทอดและการสืบทอดองคค์ วามรใู้ นลกั ษณะข้างต้น เป็นไปตามวิถีแบบโบราณ ปัจจุบันการสืบ ทอดความร้งู านไมแ้ กะสลกั ท่บี ้านร้องต้นขามไปสูร่ ่นุ ลกู หลาน ก็เปน็ ไปในลกั ษณะเชน่ เดยี วกบั เมื่อก่อน ไม่มีการ ตั้งโรงเรยี นหรือสถานทเ่ี รียนอย่างจริงจัง ประกอบด้วยค่าจ้างในการแกะสลักไม้มีราคาถูกกว่าเมื่อก่อนมาก จึง ทา้ ให้ไมม่ ีเด็กร่นุ ใหมน่ ิยมแกะสลกั ไมแ้ ลว้ ไม่เพยี งการแกะสลกั ไมเ้ ทา่ นน้ั การสืบทอดงานปนู ปน้ั หรืองานลงรักปิดทองในปัจจุบัน ก็ยังเป็นเช่นใน สมัยโบราณอยู่ เสถียร นะวงศ์รักษ์ได้เล่าให้ฟังว่า ลูกศิษย์ท่ีอยู่ประจ้าน้ันทุกวันนี้ เกิดจากความสนใจของตัว เด็กเอง ทีม่ าขอฝึกหดั งาน ไม่ได้มีการเปดิ เปน็ โรงเรียนสอนแตอ่ ย่างใด อยา่ งไรก็ดี เรากย็ งั สามารถมองเห็นการจัดต้งั องคก์ รในปัจจุบันเพื่อการเรียนรู้งานช่างและสืบสานงาน ช่างให้คงอยตู่ อ่ ไปในอนาคตได้ในลา้ นนาด้วยเชน่ กนั อาทิ โฮงเฮียน (โรงเรียน) สืบสานภูมิปัญญาล้านนา, ศูนย์ การเรยี นรู้ศิลปวฒั นธรรม พ้ืนบ้านล้านนา บ้านพ่อครูมานพ ยาระนะ, ศูนย์การเรียนรู้พ่อครูดิเรก สิทธิการ, ศูนย์การเรียนรู้ศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านล้านนาสลีปิงจัยแก้วกว้าง (วัดสันทรายต้นกอก) หรือโฮงเฮียนอุ้ยสอน หลานสืบสานภูมิปัญญาทอ้ งถ่ินแม่วาง แตล่ ะแหง่ เน้นไปในงานช่างท่ีแตกต่างกันไป บางแห่งก็เน้นไปในเรื่องวิถี ชีวติ ปฏิบตั ิ เป็นตน้ แหลง่ เรียนรู้ ทต่ี ง้ั เรอ่ื งท่สี อน โฮงเฮยี นสบื สานภูมิ ต.วดั เกต ประวตั ศิ าสตร์ลา้ นนา, ภาษาลา้ นนา, ดนตรีพ้ืนเมอื ง, จกั สาน, ฟ้อน ปัญญาลา้ นนา อ.เมือง พน้ื เมือง, วาดรปู ล้านนา ,การท้าตงุ -โคม, ฟอ้ นดาบ-ฟอ้ นเชิง, ของ จ.เชยี งใหม่ เลน่ พ้ืนเมือง, การทอผ้า, การปนั้ , เครอื่ งสักการะล้านนา, กลอง ศนู ย์การเรียนรู้ ล้านนา,วชิ าด้านสล่าพน้ื เมือง และเครื่องเขนิ ศิลปวฒั นธรรม พนื้ บ้าน ต.วดั เกต ฟ้อนดาบ-ฟ้อนเจิง, ฟอ้ นผางประทีป, ศลิ ปะการตีกลองสะบดั ชัย ล้านนา บา้ นพอ่ ครู อ.เมอื ง โบราณ, ศลิ ปะการตีกลองมองเซงิ , ศิลปะการตกี ลองปู่เจ่, เจิงหอก มานพ ยาระนะ จ.เชยี งใหม่ ศนู ย์การเรียนรู้พอ่ ครู ศลิ ปะ “การดุนโลหะ” ดเิ รก สทิ ธิการ ต.หายยา อ.เมือง ประเพณีวถิ ชี วี ติ ศนู ยก์ ารเรยี นรู้ จ.เชียงใหม่ ศลิ ปวฒั นธรรมพืน้ บา้ น ต.ฟ้าฮา่ ม อ. ในเรือ่ งของการปฏิบตั ติ ัว การรว่ มกลุม่ ทา้ กจิ กรรมของเยาวชน ลา้ นนาสลปี งิ จยั แกว้ เมือง จ. กว้าง (วดั สนั ทรายต้น เชียงใหม่ กอก) โฮงเฮียนอ้ยุ สอนหลาน ต.บา้ นกาด สบื สานภมู ปิ ัญญา อ.เมือง จ. ท้องถน่ิ แม่วาง เชียงใหม่
514 ศูนยศ์ กึ ษาศลิ ปะไทย ต.หายยา งานชา่ งล้านนา โบราณสลา่ สบิ หมู่ อ.เมือง ล้านนาวดั ศรีสุพรรณ จ.เชยี งใหม่ ตารางสถานทเี่ รียนรเู้ รอื่ งชา่ งในลา้ นนา สถานท่ีเรียนรู้เรื่องช่างที่น่าสนใจในปัจจุบัน คือ โฮงเฮียนสืบสานภูมิปัญญาล้านนา และศูนย์ศึกษา ศลิ ปะไทยโบราณสลา่ สิบหมู่ลา้ นนาวดั ศรสี พุ รรณ ส้าหรับโฮงเฮียนสืบสานภูมิปัญญาล้านนา เกิดจากความร่วมมือของพ่อครู แม่ครูภูมิปัญญา กลุ่ม ศิลปวฒั นธรรมพ้นื บา้ น องคก์ รพัฒนาเอกชน สถาบันวชิ าการ และองค์กรชมุ ชน ที่ไดเ้ ขา้ มามสี ่วนร่วมในการจัด “งานสืบสานล้านนา” ร่วมกันปีละคร้ังๆ ละ ๔ วันในช่วงต้นเดือนเมษายน นับต้ังแต่ปี ๒๕๓๙–๒๕๔๓ เป็น ระยะเวลา ๕ ปีติดตอ่ กันโดยมีเป้าหมายร่วมส้าคัญคือ การเผยแพร่องค์ความรู้และภูมิปัญญาในด้านต่างๆ ของ ล้านนาที่ได้มีการปรับตัวเพ่ือตอบสนองต่อการแก้ไขปัญหาในปัจจุบัน และเป็นการน้าเสนอกระบวนการสืบ ทอดองคค์ วามรแู้ ละภูมปิ ัญญาลา้ นนาในดา้ นต่างๆ ในปี ๒๕๔๓ หลงั จากการจดั งานสบื สานล้านนาครงั้ ท่ี ๓ ไดม้ คี ้าถามจากเดก็ ท่ีมาร่วมงานว่า “ถ้าสนใจ จะเรียนร้ภู ูมิปญั ญาลา้ นนาจะไปเรียนได้ทีไ่ หน” คณะกรรมการจดั งานจึงน้าเร่ืองน้ีไปปรึกษากับพ่อครูแม่ครูภูมิ ปญั ญา ทุกท่านมคี วามพร้อมทีจ่ ะสบื สานภูมิปญั ญาล้านนา และไปขอค้าแนะนา้ จากหลวงพ่อพระพุทธพจนวรา ภรณ์ วัดเจดีย์หลวง จ.เชียงใหม่ คณะกรรมการท่ีปรึกษาโครงการสืบสานล้านนา ท่านให้แง่คิดว่าการสืบสาน ภูมิปัญญาน้ันไม่ใช่ท้าแค่ปีละครั้งๆ ละ ๔ วันแต่ต้องท้าตลอดเวลา ต้องท้าทุกลมหายใจ ท่านเปรียบการสืบ สานภมู ปิ ญั ญาเสมือนสายน้าไหล หากน้าเก่าไหลไปนา้ ใหม่ไม่ไหลมากเ็ ปน็ น้าห่างสายน้าแห้ง หากน้าเก่าไม่ไหล ไปน้าใหมไ่ ม่ไหลมาก็เป็นน้าเนา่ แม่นา้ จะยงั คงเปน็ แม่น้า เมือ่ น้าเก่าไหลไปนา้ ใหม่ไหลมาทดแทนสืบเนื่องกันไป จงึ ส่งผลใหเ้ กดิ การจัดตั้งโฮงเฮยี นสบื สานภูมิปัญญาล้านนาขน้ึ ในเวลาต่อมา สว่ นศนู ยศ์ กึ ษาศิลปะไทยโบราณสล่าสิบหมลู่ ้านนาวัดศรีสุพรรณ เกิดข้ึนในวโรกาสมหามงคลที่สมเด็จ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จโรงเรียนพระปริยัติธรรมวัดนิโครธาราม แผนกสามัญศึกษา โครงการตามพระราชด้ารสิ มเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี อ้าเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน เมื่อ วนั พฤหสั บดที ่ี ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐ และวัดศรีสุพรรณก้าลังบูรณปฏิสังขรณ์อุโบสถเงินด้วยงานช่างฝีมือภูมิ ปัญญาชาวบ้านศิลปหัตถกรรมเคร่ืองเงิน ท่านพระครูพิทักษ์สุทธิคุณ เจ้าอาวาสวัดศรีสุพรรณ พร้อมคณะ บุคคล ไดข้ อพระราชวโรกาสกราบทูลงานสร้างอุโบสถเงินวัดศรีสุพรรณ โดยช่างภูมิปัญญาชาวบ้านหัตถกรรม เคร่ืองเงินทสี่ ืบทอดมาจากบรรพบุรุษ เลือกใช้เงินผสมดีบุกอลูมิเนียม เป็นวัสดุแทนเงินและเงินบริสุทธ์ิประดับ ส่วนส้าคัญอุโบสถทั้งหลัง ทรงมีรับส่ังว่า “วัวลายมีมานานแล้ว” และทรงเจิม “ใบโพธ์ิเงิน” ถวายแด่พระครู พทิ ักษส์ ทุ ธิคุณ
515 พร้อมกันน้นั คณะเฝา้ รบั เสด็จฯ ได้ประชุมมีข้อตกลงให้ความร่วมมืองานช่างสิบหมู่ข้ึน โดยมีนางจุฬา รัตน์ บุณยากร ผู้อ้านวยการส้านักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และหม่อมราชวงศ์ภิญโญสวัสด์ิ ศุขสวัสด์ิ ผอู้ ้านวยการศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนกาญจนาภเิ ษก (วิทยาลัยในวงั ) เปน็ ประธานที่ประชุม พร้อมคณะสงฆ์ ผู้บรหิ าร ประธานกลุ่มโรงเรยี นพระปรยิ ตั ธิ รรม แผนกสามัญศึกษากลมุ่ ๔, ๕, ๖ ครูใหญ่โรงเรียนวัดดอนมงคล สนั ตสิ ุขวิทยาฯ, โรงเรียนพระปรยิ ัติธรรมวัดนิโครธารามฯ และพระครพู ทิ ักษ์สุทธิคุณ มีนายโชคนิธิไท ฐิตนิธิไท เป็นผู้ประสานและเลขานุการ ท่ีประชุมมีมติขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากส้านักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และศูนย์ การศกึ ษานอกโรงเรีนกาญจนาภิเษก (วิทยาลัยในวัง) สนับสนุนหลักสูตรช่างสิบหมู่ การจัดการเรียนรู้เพ่ือการ อนุรักษ์และสืบทอดงานศิลปหัตถกรรมเคร่ืองเงิน จึงก่อให้เกิดศูนย์การเรียนรู้งานช่างสิบหมู่ล้านนา ณ วัดศรี สพุ รรณ ถนนววั ลาย อ้าเภอเมือง จังหวดั เชียงใหมข่ ึน้ บทท่ี ๘ คณุ คา่ ของหอไตรล้านนา จากการวิเคราะห์หอไตรทั้ง ๒๒๑ แหล่ง โดยเจาะลึกในรายละเอียดของหอไตรท่ีได้รับการคัดเลือก จากคณะสงฆ์และผู้เชี่ยวชาญ ให้เป็นตัวแทนของหอไตรแต่ละจังหวัดรวม ๔๖ หลัง ตามเกณฑ์การคัดเลือกท่ี ก้าหนดไว้ เช่นเป็นหอไตรท่ีมีความโดดเด่นทางด้านสถาปัตยกรรมและศิลปกรรม มีประวัติความเป็นมาที่ ชัดเจน สะทอ้ นรปู แบบและช่วงอายุสมัยการกอ่ สร้างท่ีอันหลากหลายได้ เปน็ ต้น พบว่า หอไตรล้านนามีคุณค่า
516 ท้ังทางด้านประวัติศาสตร์ การสืบทอด ศิลปสถาปัตยกรรม คติความเช่ือในพุทธศาสนา ขนบธรรมเนียม ประเพณี รวมถงึ งานช่างพืน้ ถน่ิ ดงั น้ี ๘.๑ คณุ ค่าทางประวัตศิ าสตร์ หอไตรลา้ นนามปี ระวัตศิ าสตรก์ ารก่อสร้างมายาวนาน อย่างน้อยต้ังแต่พุทธศตวรรษที่ ๒๑ เป็นตน้ มา ทีป่ รากฏเปน็ หลักฐานทางประวัตศิ าสตร์ ทง้ั ศิลาจารึกและเอกสารทางพุทธศาสนา ปัจจุบันหอไตรเหลา่ นี้บา้ งก็ ไมป่ รากฏในปัจจบุ ัน บา้ งกเ็ ปล่ียนรูปทรงไปเพราะการบรู ณะในครง้ั หลงั มีรายละเอยี ดดงั นี้ สมัยพญาตโิ ลกราช วดั สวนดอก จงั หวัดเชยี งใหม่ ๒๐๑๑ (พ.ศ. ๑๙๘๔ – ๒๐๓๐) วัดเจ็ดยอด จังหวดั เชียงใหม่ ๒๐๒๐ ๒๐๓๑ สมัยพญายอดเชียงราย วดั พนั ตอ้ งแตม้ จงั หวดั เชียงราย (พ.ศ. ๒๐๓๑ – ๒๐๓๘) วดั สาลกลั ญาณมหนั ตาราม จงั หวดั เชยี งใหม่ พ.ศ. ๒๐๔๐ พ.ศ. ๒๐๔๔ สมยั พญาเมืองแกว้ วดั ปา่ ใหม่ จังหวดั พะเยา พ.ศ. ๒๐๔๖ (พ.ศ. ๒๐๓๘ – ๒๐๖๘) วดั ปุพพาราม จังหวดั เชยี งใหม่ พ.ศ. ๒๐๕๒ วัดบา้ นดอน จงั หวดั พะเยา พ.ศ. ๒๐๕๙ วัดพระธาตุหริภญุ ชยั จงั หวัดล้าพูน พ.ศ. ๒๐๖๔ - วัดปา่ แดงหลวง เชยี งแสน จังหวดั เชียงราย พ.ศ. ๒๐๖๖ วัดป่าแดงหลวง จงั หวัดเชยี งใหม่ ตารางการสรา้ งหอไตรลา้ นนาทปี่ รากฏในจารึกโบราณลา้ นนา หลักฐานที่แสดงถึงการมีอยู่จริงของหอไตรในประวัติศาสตร์ปรากฏในต้านานมูลศาสนา และชินกาล มาลีปกรณ์ และจารกึ ล้านนา ต้านานมูลศาสนาน้ัน เป็นหนังสือที่รจนาข้ึนในพุทธศาสนาเถรวาท โดยพระพุทธพุกามและพระพุทธ ญาณเจา้ ตง้ั แต่พทุ ธศตวรรษท่ี ๒๐ – ๒๑ กรมศิลปากรมอบให้ สุด ศรสี มวงศ์ พรหม ขมาลา เปน็ ผแู้ ปล ส่วนชินกาลมาลีปกรณ์เป็นหนังสือที่รจนาในพระพุทธศาสนาเถรวาท โดยพระรัตนปัญญาเถร มา ต้ังแต่พุทธศตวรรษท่ี ๒๑ กรมศิลปากรให้ ร.ต.ท. แสง มนวิทูร แปล ทั้งนี้พบว่าส่วนหน่ึงของข้อความใน ตา้ นานมลู ศาสนา และชนิ กาลมาลปี กรณ์ไดซ้ า้ กบั ข้อความในศลิ าจารึกท่ีกลา่ วข้างต้น ในตา้ นานมูลศาสนา พบขอ้ ความทีเ่ กี่ยวกับการสรา้ งหอไตรเพยี งแห่งเดยี วเท่านั้น คือ ใน พ.ศ. ๒๐๑๑ สมยั พญาติโลกราช (พ.ศ. ๑๙๘๔ – ๒๐๓๐) พระองค์ทรงให้หม่ืนด้งนครสร้างวิหารหลวง อุโบสถ และหอไตร ในวัดสวนดอก สมัยพระมหาญาณสาครเป็นเจ้าอาวาส ดังว่า “...มหาพุทธรักขิตเจ้าอยู่รักษาวัดสวนดอกไม้ได้
517 ๑๒ วัสสา อายไุ ด้ ๓๗ กม็ าส้นิ อายุ ศกั ราชได้ ๘๓๐ ตัวนั้นแล มหาญาณสาครเจ้าเกิดมานปีรวงไส้ อุบาสิกาแม่ ออกไปยอพระยาใหเ้ อามาแทนในปีนนั้ แล คร้งั นั้นหมื่นด้งให้คนมาแต่เชียงชื่นมาแปลงวิหารหลวงและสร้างโรง อุโบสถ และสร้างหอปิฎกก็ในปีท่ีเจ้าไทมาอู่น้ันแล มหาสาครเจ้ารับผ้ากฐินบ่หลอคือรับในอารามย่อมไปสวด ในพัทธสีมาในนทีก็มี แล้วจึงเข้ามาสู่อารามถือเอาวัสสาแลบ่ห่อนสวดในท่ีอยู่เลย แต่นั้นมาชาวเจ้าท้ังหลาย ย่อมถือเอาจารตี แตน่ ้นั มา...” (ต้านานมลู ศาสนา, ๒๕๑๘ หน้า ๒๑๘) ส่วนในชินกาลมาลีปกรณ์ พบร่องรอยการเขียนถึงการสร้างและบูรณะหอไตรสมัยพญาเมืองแก้ว (พ.ศ. ๒๐๓๘ – ๒๐๖๘) ดังน้ี ๑. “...ฉลองพระไตรปฎิ กฉบบั ลงทองและหอพระมณเทียรธรรมที่พระองค์โปรดให้สร้างไว้ในวัดปุพพา ราม...” (ชนิ กาลมาลีปกรณ์, ๒๕๐๑, หนา้ ๑๒๐) ๒. เมอื่ ครั้งท่ีพระองค์ฉลองหอไตรวัดเจ็ดยอดท่ีสร้างมาตั้งแต่สมัยพญาติโลกราช ดังมีเนื้อหาว่า “เม่ือ ครงั้ เดมิ พระเจ้าสริ ธิ รรมจกั รพรรดิพลิ กราชาธริ าชทรงคัดเลอื กพระมหาเถรผ้ทู รงพระไตรปฎิ กแล้วโปรดให้ช้าระ อักษรพระไตรปิฎก พระมหากษัตริย์ลกปนัดดาธิราชทรงอบรมสมโภชหอไตรในวัดมหาโพธารามเป็นการใหญ่ เพอ่ื ให้เปน็ ทไ่ี ว้พระไตรปฎิ กฉบบั ช้าระแล้ว คร้ังพระเจ้าพิลกนั้นต่อมา หอไตรนั้นเก่าไป พระราชาโปรดให้เอาปราสาทยอดเมืองซึ่งเป็นของเก่าท่ี พระราชปัยกาสิริธรรมจักรพรรดิและพระราชาบิดาของพระองค์ทรงสืบ ๆ กันมาน้ัน ดัดแปลงให้เป็นหอไตร เมื่อดัดแปลงปราสาทยอดเมืองเป็นหอไตรเสร็จแล้ว จึงอาราธนาพระมหาเถรผู้ทรงพระไตรปิฎกจ้านวน ๔๐ รปู มพี ระเถระผ้เู ป็นใหญใ่ นวัดมหาโพธารามเป็นประมุข ใหส้ วดพระไตรปฎิ กแลว้ ทรงสมโภชฉลองเป็นการใหญ่ ต้ังแต่ข้นึ ๘ ค้่าถึงวนั ศุกรเ์ ดือนอ้าย (จ.ศ. ๘๗๖)....” (ชนิ กาลมาลปี กรณ์, ๒๕๐๑, หนา้ ๑๓๒-๑๓๓) ๓. เมอ่ื ครั้งท่พี ระองคเ์ สดจ็ ไปกระท้าความสามัคคีในหมู่สงฆ์ทั้ง ๓ ที่เมืองเชียงแสน เม่ือเรียบร้อยแล้ว พระองค์ยกพลับพลาที่ประทับให้เป็นหอไตรของวัดป่าแดงหลวง เชียงแสน ดังมีเน้ือหาว่า “...ฝ่ายพระราชา โปรดให้ประดิษฐานพลบั พลาที่ประทับของพระองคย์ กให้เปน็ หอไตรไว้วัดป่าแดงหลวง...” (ชินกาลมาลีปกรณ์, ๒๕๐๑, หนา้ ๑๒๔-๑๒๕) ๔. เม่ือครั้งท่ีพระองค์ให้ยกฉัตรเจดีย์วัดทีฆาชีวิตสาราม พระองค์ให้หาไม้จัดเตรียมไว้สร้างหอไตรวัด ป่าแดงหลวง เชียงใหม่ ดังมีเนื้อความว่า “...โปรดให้ช้าระตัวไม้เคร่ืองปรุงหอพระมณเฑียรธรรมในวัดป่าแดง มหาวิหาร เม่ือวนั อาทติ ย์ ขนึ้ ๑๐ ค่้า (เดือน ๘ ปีมะโรง) และโปรดให้ลงมือตกแต่งพระปฏิมาองค์ใหญ่ท้าด้วย แกน่ จนั ทน์ เมื่อวันอังคาร แรม ๑๑ ค่้า...” (ชินกาลมาลีปกรณ์, ๒๕๐๑, หนา้ ๑๔๒-๑๔๓) ๕. ภายหลังจากงานพระราชพิธีถวายเพลิงศพพระราชกุมารี จึงให้สร้างหอไตรวัดป่าแดงหลวง ดังมี เนื้อความว่า “...พระองค์โปรดให้ยกพระมณเฑียรธรรมวัดป่าแดง เม่ือวันพุธข้ึน ๔ ค้่า เดือน ๑๒ และเมื่อวัน พุธตน้ เดอื นอ้ายไดเ้ กิดแผน่ ดนิ ไหว...” (ชินกาลมาลีปกรณ์, ๒๕๐๑, หน้า ๑๔๘)
518 ส้าหรับหลักฐานที่เป็นจารึก ได้แก่ จารึกวัดพันต้องแต้ม จารข้ึนใน พ.ศ. ๒๐๓๑ สมัยพญายอด เชียงราย (พ.ศ. ๒๐๓๑ – ๒๐๓๘) ใจความส้าคัญของจารึกวัดพันต้องแต้ม ระบุว่า พ.ศ. ๒๐๓๐ บุตรพันต้อง แต้ม คือ พันญากิตติและแม่เจ้าสาวค้าร้อยถวายวัดนี้แด่พญายอดเชียงรายและพระราชมารดา พร้อมสร้างหอ ไตร ดังว่า “...พระเป็นเจ้าแม่ลูกก็ยินดีด้วยบุญ ห้ือไว้นา ๖๐๐,๐๐๐ เบ้ีย และคน ๑๕ ครัว หื้อไม้สักแปลง วหิ าร ทงั้ หอปิฎก...” จารึกวัดสาลกัลญาณมหันตาราม ใน พ.ศ. ๒๐๓๑ มีใจความส้าคัญดังนี้ ในจุลศักราช ๘๕๐ (พ.ศ. ๒๐๓๑) หมื่นดาบเรือนสร้างพระวิหาร พระเจดีย์ และหอพระไตรปิฎก เมื่อเสร็จแล้วขนานนามว่าสาลกัล ญาณมหนั ตาราม พญายอดเชียงรายถวายท่ดี ิน ดังว่า “...สร้างวิหาร ๑๑,๗๐๐ สร้างหอปิฎก ๑๑,๐๐๐ สร้าง ...”(กรมศิลปากร, ๒๕๕๑, หน้า ๘๒ – ๘๘) จารกึ วัดปา่ ใหม่ (พย.๘) ใน พ.ศ. ๒๐๔๐ ปจั จุบนั เก็บรักษาไว้ที่วัดป่าใหม่ จังหวัดพะเยา ระบุเร่ืองราว ของเจ้าหมื่นลอเทพศรีจุฬาได้อาราธนามหาเถรมธุรสเจ้าสร้างวัดป่าใหม่ ถวายเป็นวัดพระเป็นเจ้าท้ังสอง พระองค์ (พญาเมืองแก้ว (พ.ศ. ๒๐๓๘ – ๒๐๖๘) กบั พระมหาเทวี) พญาเมอื งแก้วถวายที่นากับข้าวัด โดยนามี สี่แสนเบ้ ไว้เป็นข้าวพระพุทธเจ้าสองแสนเบ้ ไว้เป็นจังหันพระสงฆ์สองแสนเบ้ คนสามสิบครัว ไว้อุปัฏฐาก พระพุทธเจ้าในวิหารย่ีสิบครัว ไว้กับอุโบสถห้าครัว และไว้กับหอปิฎกห้าครัว ดังที่ปรากฏในจารึกว่า “...ไว้กับ หอปิฎกหา้ ครวั ไว้ที่หนวันออกฝง่ั น้าเป็นแดน...” (กรมศิลปากร, ๒๕๕๑, หนา้ ๑๑๘-๑๒๑) จารึกมหาสามีเจ้าญาณเทพคุณ วัดบ้านดอน (พย.๑๐) จารึกใน พ.ศ. ๒๐๔๖ สมัยพญาเมืองแก้ว (พ.ศ. ๒๐๓๘ – ๒๐๖๘) ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ที่วัดบ้านดอน จังหวัดพะเยา มีเนื้อหาโดยสรุปว่า พ.ศ. ๒๐๔๖ มหาสามีเจ้าญาณเทพคุณ วัดบ้านดอน ถวายเงินและข้าไว้กับวัดบ้านหนอง ส่วนหน่ึงไว้กับหอพระไตรปิฎก ดงั ท่ปี รากฏในจารึกว่า “...สามีเจ้าชื้อกลางกว้านจ่า ๕๕๐ เงินไว้กับหอปิฎก นังเอ้ยร่หนึ่ง ลูก ๑ ชาย เงินสามี เจ้า ๗๐๐ เงิน ไว้กับหอปิฎก อ้ามลานร่หน่ึง...” และ “...เขาฝูงนี้ไว้ห้ือรักษาพระพุทธเจ้ากับห้ือรักษาหอปิฎก ...” และ “...ผวิ า่ ผู้ใดสอู้ ยู่รักษาพระเจา้ บส่ ูอ้ ยู่รกั ษาหอปฎิ กอั้น ห้ือเอาค่าคิงมันผู้น้ันออกมาไถ่คนไว้แทนมันดัง เกา่ ...” (กรมศิลปากร, ๒๕๕๑, หนา้ ๑๒๔-๑๒๖) จารึกพญาเมืองแก้วและพระราชมารดา สร้างหอไตรทีว่ ัดพระธาตหุ รภิ ญุ ชยั พ.ศ. ๒๐๕๒ จารึกเป็นแผน่ หนิ สีเทา / นา้ ตาล หักเป็น ๔ ท่อน พบทมี่ ุมตะวันออกเฉียงใต้ของวัดพระธาตุหริภุญชัย (ทะเบียน ลพ.๑๕) ใจความส้าคัญของจารึกระบุเหตุการณ์ใน พ.ศ. ๒๐๕๓ ท่ีพญาเมืองแก้ว และพระราช มารดาสร้างหอไตร พระไตรปิฎก และพระพุทธรปู ทองค้าประดิษฐานในหอไตร ทั้งพระราชทานภาชนะทองค้า ภาชนะเงนิ บชู าพระธรรม และทรงใหเ้ งนิ ทนุ เพือ่ นา้ ดอกผลเป็นคา่ ใช้จา่ ยซ้อื หมากเม่ียงและข้าว บูชาพระธรรม ทรงให้ภาษีนาปีละ ๒,๐๐๐,๐๐๐ เบี้ย เพ่ือเป็นค่าตอบแทนแก่ผู้ดูแลหอไตร และพนักงานคนอื่น ๆ และทรง ถวายข้าคน ๑๒ ครอบครัวเพ่ือปฏิบัติรักษาหอไตร และพระไตรปิฎก ทรงห้ามใช้คนเหล่าน้ีท้างานอ่ืน ท้าย จารึกเป็นคา้ ปรารถนาและคา้ อุทศิ สว่ นกศุ ล ดงั ท่ีปรากฏในจารึกว่า “...สมเด็จพระองค์มหาราชเจ้าทั้ง ๒ ตรอง ตรัสอรรถธรรมอันอุดมดี มีพระราชหฤทัยบ่อิ่มในอปนาเพ่งสภาวะอันย่ิง จ่ิงให้สร้างพระธรรมมณเฑียร อัน
519 อาเกยี รณเ์ ดยี รดาษมาศด้วยสพุ รรณบษุ บาผกาวลั ลเี ป็นอศั จรรย์อดิเรก...” และ “...นาและคนทั้งมวลฝูงนี้จุ่งไว้ ให้เป็นอุปการรักษาพระธรรมมณเฑียรให้เสถียรสืบสายไป ใครอย่ากลั้วเกล้า...” (คลังข้อมูลจารึกล้านนา สถาบนั วจิ ัยสงั คม มหาวทิ ยาลัยเชียงใหม่, ๒๕๔๒, หน้า ๑๑๙-๑๓๔) ส่วนหอไตรท่ีพบประวัติการก่อสร้างในพุทธศตวรรษที่ ๒๒ คือ หอไตรวัดเชียงใหม่ มีประวัติการ ก่อสร้างในจารึกวัดเชียงมั่น (ทะเบียน ชม. ๑) ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ที่วัดเชียงมั่น อ้าเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นจารึกท่ีระบุดวงชาตาการต้ังเมืองเชียงใหม่ เน้ือความโดยสรุประบุประวัติการบูรณะวัดและศาสนสถานใน วัดเชยี งมั่น โดยภายหลังการสรา้ งเมอื งเชียงใหม่ พญามังรายไดถ้ วายหอนอน ท่บี า้ นเชียงมัน่ ให้เป็นวัด ทานแก่ พระพทุ ธศาสนา พ.ศ. ๒๐๑๔ พญาติโลกราช (พ.ศ. ๑๙๘๔ – ๒๐๓๐) กอ่ พระเจดยี ด์ ว้ ยศลิ าแลง พ.ศ. ๒๑๐๑ เจา้ ฟา้ มังทรา โอรสพระเจ้าบุเรงนอง ให้พญาหลวงสามล้านค้าสร้างวัดเชียงมั่น ต่อมาได้ เปน็ พญาแสนหลวง พ.ศ. ๒๑๑๔ สร้างเจดีย์ วิหาร อุโบสถ หอไตร พระไตรปิฎก เสนาสนะ ก้าแพง และประตูโขง พร้อม ทั้งระบุขา้ วัด ในสมยั พระมหามหนิ ทาทิจจวังสมหาสมเดจ็ เป็นเจา้ อาวาสวัดเชียงมัน่ ดังข้อความในจารกึ ว่า “...ศักราชได้ ๙๒๐ (พ.ศ. ๒๑๐๑) เมอื งเชียงใหม่เป็นขัณฑสีมาสมเด็จพระมหา ธรรมิกราชาธิราชเจ้าแล้ว พระมหาธรรมิกราชาธิราชเจ้ามีราชศรัทธา ปลงราชทานอ่างอาบเงินลูกหนึ่งหนักสี่ พันน้าไว้ห้ือพญาหลวงสามล้านค้าราชทานสร้างวัดเชียงม่ันฉันนี้ ในปีดับเปล้า ศักราช ๙๒๗ (พ.ศ. ๒๑๐๘) พระราชอาชญาหื้อเป็นพญาแสนหลวงในปีรวงเมด็ ศกั ราช ๙๓๓ (พ.ศ. ๒๑๑๔) ได้ก่อเจดีย์กวมทีหนึ่งเป็นถ้วน สามที พญาแสนหลวงค้าราชทานสร้างแปลงก่อเจดีย์ วิหารอุโบสถ ปีฎกฆระ สร้างธรรม เสนาสนะก้าแพง ประตขู รง ในอารามชอู่ นั เถิง...” (กรมศลิ ปากร, ๒๕๕๑, หน้า ๑-๑๐) ทั้งน้ีแม้ในจารึกสร้างหอไตรวัดพระธาตุหริภุญชัยจะระบุการสร้างหอไตรเก่าไปถึง พ.ศ. ๒๐๕๒ และ ระบุอายุหอไตรวัดเชียงมั่นเก่าไปถึง พ.ศ. ๒๑๐๑ ทว่ารูปแบบท่ีปรากฏในปัจจุบันเป็นการสร้างขึ้นใหม่แล้ว พุทธศตวรรษที่ ๒๔ โดยหอไตรทยี่ ังคงปรากฏอยู่ในปัจจุบัน สามารถสืบกลับไปได้ในในต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๓ คือ หอไตร วัดพระธาตุล้าปางหลวง จังหวัดล้าปาง นับเป็นหอไตรที่เก่าท่ีสุด รองลงมาเป็นหอไตรที่สร้างในปลายพุทธ ศตวรรษที่ ๒๔ มีจ้านวน ๔ หลัง อยู่ในจังหวัดเชียงใหม่ ๓ หลัง ได้แก่ หอไตรวัดพระสิงห์ (พ.ศ. ๒๓๕๕) วัด ดวงดี (พ.ศ. ๒๓๗๒) และวัดบวกค้าง (พ.ศ. ๒๓๕๖) จังหวัดล้าพูน ๑ หลัง ได้แก่ หอไตรวัดพระธาตุหริภุญชัย (พ.ศ. ๒๓๖๐)
520 หอไตรเหล่าน้มี หี ลักฐานปรากฏในศิลาจารึก ยกเว้นหอไตรวัดพระธาตุล้าปางหลวง ที่ไม่มีจารึก แต่ใช้ การเทียบเคียงรูปแบบสถาปัตยกรรมและศิลปกรรม ตลอดจนถึงประวัติวัดพระธาตุล้าปางหลวงและ ประวตั ิศาสตร์ล้านนากา้ หนดอายุ และหอไตรวัดดวงดีกับวดั บวกค้างกไ็ มป่ รากฏในจารกึ เชน่ กัน จารึกที่พบในวัดพระสิงห์ จารึกหลักนี้ในอดีต ถูกฝังในพื้นซีเมนต์ระเบียงอุโบสถด้านทิศใต้ ต่อมาใน พ.ศ. ๒๕๒๘ จารกึ เกดิ หักและแตก หน่วยงานศิลปากรที่ ๔ (ส้านักศิลปากรที่ ๘ เชียงใหม่) ได้ท้าการซ่อมและ น้าไปเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เชียงใหม่ ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ที่วัดพระสิงห์ ลักษณะเป็นจารึก แผ่นหินสีน้าตาลแดง จารึกด้วยอักษรฝักขาม ใจความส้าคัญมีว่า ใน พ.ศ. ๒๓๕๕ พระเจ้ากาวิละ พระราชครู สังฆราช ร่วมกันเป็นประธานสร้างศาสนสถานในวัดพระสิงห์ มีอุโบสถ ปราสาท หอไตร หีบธรรม และเตียง พระพทุ ธรปู พรอ้ มท้ังแจ้งคา่ ใช้จา่ ยในการสรา้ งไวพ้ ร้อมสรรพ ดังขอ้ ความที่ปรากฏในจารึกว่า “...ได้จ่ายยังเงิน หอื้ เป็นคา่ รกั หาง ค้าปลวิ แก้วกระจก หรดาล น้าอ้อย ปูน เหล็ก ดินขอ ดินจี่ เดงอันห้อยแขวน ตั้งขันแก่ช่าง ทั้งมวลพร่องเงิน ๑๐๗,๓๐๐ สร้างหอธรรมปิฎก และหีบทรงธรรม ชองค้า เส้ียงเงิน ๖๑,๖๔๐” (คลังข้อมูล จารกึ ลา้ นนา สถาบนั วจิ ัยสังคม มหาวทิ ยาลัยเชียงใหม่, ๒๕๔๑, หน้า ๑๘๕-๑๙๔ และคลังข้อมูลจารึกล้านนา สถาบันวจิ ัยสงั คม มหาวิทยาลยั เชยี งใหม่, ๒๕๔๓, หน้า ๑๕๙-๑๖๗) ดว้ ยเหตุนี้ หอไตรล้านนามีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ล้านนา ด้วยมีหลักฐานทั้งท่ีเป็นจารึกและหนังสือ ในพทุ ธศาสนา วา่ มีการสรา้ งหอไตรมาอย่างชา้ แล้วในพทุ ธศตวรรษท่ี ๒๑ ๘.๒ คุณค่าดา้ นการสบื ทอด จากหอไตรท่ีส้ารวจท้ังหมด มี ๒๒๑ หลัง พบว่ามีการสร้างต้ังแต่พุทธศตวรรษที่ ๒๓ กระท่ังปัจจุบัน โดยหอไตรส่วนใหญ่สร้างขึ้นในปลายพุทธศตวรรษท่ี ๒๕ มีจ้านวน ๑๑๑ หลัง รองลงมาเป็นหอไตรที่สร้างขึ้น ในช่วงตน้ พุทธศตวรรษท่ี ๒๖ และสรา้ งขึน้ ในตน้ พทุ ธศตวรรษที่ ๒๕ หอไตรท่ีมีอายุเก่าท่ีสุด สร้างในต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๓ มีจ้านวน ๑ หลัง ได้แก่ หอไตรวัดพระธาตุ ล้าปางหลวง จังหวัดล้าปาง รองลงมาเป็นหอไตรที่สร้างในปลายพุทธศตวรรษท่ี ๒๔ มีจ้านวน ๖ หลัง อยู่ใน จังหวัดเชียงใหม่ ๔ หลัง ได้แก่ หอไตรวัดพระสิงห์ (พ.ศ. ๒๓๕๕) วัดดวงดี (พ.ศ. ๒๓๗๒) วัดบวกค้าง (พ.ศ. ๒๓๕๖) และหอไตรวัดมหาวัน (พ.ศ. ๒๓๘๙) จังหวัดล้าพูน ๑ หลัง ได้แก่ หอไตรวัดพระธาตุหริภุญชัย (พ.ศ. ๒๓๖๐) จงั หวดั แพร่ ๑ หลงั ไดแ้ ก่ หอไตรวดั พระบาทมงิ่ เมอื ง (กอ่ น พ.ศ. ๒๓๙๒) หอไตรที่สร้างขึ้นใหม่ในปลายพุทธศตวรรษท่ี ๒๖ มีจ้านวน ๑๘ หลัง ที่ใหม่ท่ีสุด ได้แก่ หอไตรวัดแม่ ค้า จังหวัดเชียงราย (ก้าลังอยู่ระหว่างการด้าเนินการก่อสร้าง พ.ศ. ๒๕๕๗) วัดศรีเมืองยู้ จังหวัดล้าพูน (พ.ศ. ๒๕๕๗) วดั ส้าน จังหวดั เชียงราย (พ.ศ. ๒๕๕๗) เปน็ ต้น
521 ๘.๓ คุณค่าทางศิลปสถาปตั กรรม ก. เปน็ อาคารทางพระพุทธศาสนา เช่นเดยี วกบั วิหาร และโบสถ์ทป่ี ระดับเครอ่ื งยอดหลังคาหรือเครื่อง ล้ายอง คอื ช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ อนั แสดงถึงฐานานุศักด์ิอาคารสถาปัตยกรรมไทยอย่างหนึ่ง โดยทว่ั ไป อาคารทีม่ ีฐานานุศักดิ์สงู จะตกแตง่ ดว้ ยความประณตี โดยมีการใช้องค์ประกอบที่มีลวดลายที่ เรียกว่า “เคร่ืองล้ายอง” แปลว่า เครื่องประดับท่ีท้าให้งดงาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เห็นได้ชัดคือ ส่วนของ หลังคา สถาปัตยกรรมทรงเคร่ืองล้ายองจะไม่น้าไปใช้กับประชาชนธรรมดา แต่จะใช้กับอาคารที่สร้างข้ึนเพื่อ เปน็ ท่ีประทับของเทพเจา้ พระมหากษตั รยิ ์ หรือเปน็ อเุ ทสิกเจดยี ์เท่านนั้ ช่อฟ้า คือ ส่วนขององค์ประกอบที่อยู่บนหลังคาในต้าแหน่งท่ีสูงท่ีสุดของหลังคา มีความส้าคัญเพราะ เป็นสญั ลักษณท์ ่แี สดงความเปน็ อาคารทางพุทธศาสนา หากแม้นอาคารเหล่านีไ้ ม่มีการประดับตกแต่งในส่วนใด เลย มีแต่ช่อฟ้าชูยอดตระหง่านอยู่ ก็ยังเข้าใจได้ว่าเป็นอาคารในพุทธศาสนา แต่หากไม่มีช่อฟ้าแม้จะมีส่วน ประดับอื่นเตม็ ไปหมด ก็ไมอ่ าจเป็นอาคารท่ีสมบูรณ์ตามคตพิ ุทธศาสนา ช่อฟ้าโบราณท่พี บในลา้ นนาก็มีหลายรูปแบบ อาทิ ช่อฟ้าเซรามกิ ในพิพิธภัณฑว์ ดั พระธาตลุ ้าปางหลวง จังหวัดล้าปาง มีอายุในพุทธศตวรรษที่ ๒๑ ลักษณะเป็นช่อฟ้ารูปคล้ายปราสาทครึ่งหลัง มีรูปบุคคลน่ังอยู่ ภายใน ชอ่ ฟ้าทีพ่ บในวัดพระธาตหุ ริภญุ ชยั อันหน่ึง ท้าเป็นรูปเศียรนาคที่มีเทวดาท้าท่าอัญชลี ช่อฟ้าที่วิหารน้า แต้ม วัดพระธาตุล้าปางหลวง ของเดิมเป็นดินเผา ลักษณะตั้งขึ้นตรงปลายเรียวแหลม แต่งด้วยลวดลายพันธุ์ พฤกษา ลายหลักอยู่ตรงอกไก่ เป็นลายดอกไม้ในกรอบสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนโค้งไปตามรูปทรงช่อฟ้า มี ลกั ษณะเดียวกบั ชอ่ ฟ้าทีว่ ิหารโคมค้าวัดพระธาตุเสด็จ จังหวัดล้าปาง ซ่ึงสร้างใหม่เลียนแบบของเดิมแต่เปลี่ยน วัสดุเป็นปูน และช่อฟ้าประดับหอน่ังของเจ้าพรหมาภิพงษธาดา เจ้าผู้ครองนครล้าปางท่ี ๗ ก็มีลักษณะ คล้ายกัน คอื เปน็ ช่อชขู ้นึ ฟ้า ใบระกา คือแผน่ ไม้ทปี่ ระกอบเขา้ กบั แป ปดิ ตามแนวลาดของหัว – ท้าย เครื่องมุงหลงั คาเรือนไทย ท้า หนา้ ทป่ี อ้ งกนั ลมมใิ หพ้ ัดเคร่อื งมงุ หลงั คาหลดุ ปลวิ ไป ในบางครัง้ เรยี กปน้ั ลม ป้านลมของวิหารหรือโบสถ์มักท้าเป็นรูปล้าตัวนาค เรียกนาคล้ายองหรือตัวล้ายอง เหนือนาคล้ายอง จะมีครบี นาคทแี่ ตง่ เปน็ รปู สเ่ี หลีย่ มแนวตง้ั ตัดปลายใหแ้ หลม เรียงตอ่ กนั ไปตลอดแนวกรอบป้านลม ครีบน้ีเองที่ เรียกวา่ ใบระกา ต่อมาจึงเรียกป้านลมรวมกับใบระกาว่า ใบระกา
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 549
Pages: