Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พจนานุกรม พุทธศาสตร ฉบับประมวลธรรม ( PDFDrive )

พจนานุกรม พุทธศาสตร ฉบับประมวลธรรม ( PDFDrive )

Description: พจนานุกรม พุทธศาสตร ฉบับประมวลธรรม ( PDFDrive )

Search

Read the Text Version

หมวด 2 83 [65] [64] อัตถะ 2 (อรรถ, ความหมาย – Attha: meaning) พระสูตรทพี่ ระพทุ ธเจา ตรัส วา โดยการแปลความหมาย มี 2 ประเภท คือ 1. เนยยตั ถะ ([พระสตู ร]ซ่งึ มีความหมายทจ่ี ะตอ งไขความ, พุทธพจนท่ีตรสั ตามสมมติ อันจะ ตองเขาใจความจริงแทท ่ซี อนอยูอกี ชั้นหนึ่ง เชนท่ีตรสั เรื่องบคุ คล ตัวตน เรา–เขา วา บคุ คล 4 ประเภท, ตนเปน ที่พง่ึ ของตน เปนตน — Neyyattha: with indirect meaning; with meaning to be defined, elucidated or interpreted) 2. นตี ัตถะ ([พระสตู ร]ซ่งึ มคี วามหมายทแี่ สดงชัดโดยตรงแลว, พทุ ธพจนท ่ีตรัสโดยปรมัตถ ซงึ่ มีความหมายตรงไปตรงมาตามสภาวะ เชน ทีต่ รัสวา รูป เสียง กลิ่น รส เปน ตน — Nãtattha: with direct or manifest meaning; with defined or elucidated meaning) ผูใ ดแสดงพระสูตรท่เี ปน เนยยตั ถะ วาเปนนตี ัตถะ หรอื แสดงพระสูตรทเ่ี ปน นตี ตั ถะ วา เปน เนยยัตถะ ผนู ั้นชือ่ วากลา วตูพระตถาคต. A.I. 60 องฺ.ทุก.20/270/76 [65] อปุ ญญาตธรรม 2 (ธรรมทีพ่ ระพทุ ธเจาไดท รงปฏิบัติเหน็ คุณประจักษก บั พระองคเ อง คอื พระองคไ ดทรงอาศัยธรรม 2 อยา งนี้ดาํ เนนิ อริยมรรคาจนบรรลุจดุ หมายสูงสุด คอื สัมมา สมั โพธญิ าณ — Upa¤¤àta-dhamma: two virtues realized or ascertained by the Buddha himself) 1.อสนตฺ ฏุ  ิตา กสุ เลสุ ธมฺเมสุ (ความไมส นั โดษในกศุ ลธรรม, ความไมรอู ม่ิ ไมร พู อใน การสรา งความดีและส่ิงทด่ี ี — Asantuññhità kusalesu dhammesu: discontent in moral states; discontent with good achievements) 2.อปปฺ ฏิวาณิตา ปธานสฺมึ (ความไมระยอในการพากเพยี ร, การเพียรพยายามกา วหนา เรื่อยไปไมยอมถอยหลงั — Appañivàõità padhànasmi§: perseverance in exertion; unfaltering effort) D.III.214; A.I.50,95; Dhs.8,234. ที.ปา.11/227/227; อง.ฺ ทกุ .20/251/64; 422/119; อภ.ิ สํ.34/15/8; 875/339.

ตกิ ะ — หมวด 3 Groups of Three (including related groups) [66] กรรม 3 (การกระทํา, การกระทําที่ประกอบดว ยเจตนา ดกี ต็ าม ช่ัวกต็ าม — Kamma: action; deed) 1. กายกรรม (กรรมทําดว ยกาย, การกระทาํ ทางกาย — Kàya-kamma: bodily action) 2. วจกี รรม (กรรมทาํ ดว ยวาจา, การกระทาํ ทางวาจา — Vacã-kamma: verbal action) 3. มโนกรรม (กรรมทําดว ยใจ, การกระทาํ ทางใจ — Mano-kamma: mental action) M.I.373. ม.ม.13/64/56. [67] กุศลมูล 3 (รากเหงาของกุศล, ตน ตอของความดี — Kusala-måla: wholesome roots; roots of good actions) 1. อโลภะ (ความไมโ ลภ, ธรรมทเี่ ปน ปฏปิ ก ษก บั โลภะ, ความคดิ เผอ่ื แผ, จาคะ — Alobha: non- greed; generosity) 2. อโทสะ (ความไมค ดิ ประทษุ รา ย, ธรรมทเ่ี ปน ปฏปิ ก ษก บั โทสะ, เมตตา — Adosa: non- hatred; love) 3. อโมหะ (ความไมห ลง, ธรรมทเี่ ปน ปฏปิ ก ษก บั ความหลง, ปญ ญา — Amoha: non-delusion; wisdom) D.III.275. ท.ี ปา.11/394/292. [68] อกุศลมูล 3 (รากเหงาของอกุศล, ตนตอของความชั่ว — Akusala-måla: unwholesome roots; roots of bad actions) 1. โลภะ (ความอยากได — Lobha: greed) 2. โทสะ (ความคดิ ประทุษรา ย — Dosa: hatred) 3. โมหะ (ความหลง — Moha: delusion) D.III.275; It.45. ท.ี ปา.11/393/291; ข.ุ อิต.ิ 25/228/264. [69] กศุ ลวติ ก 3 (ความตรกึ ทเ่ี ปน กศุ ล, ความนกึ คดิ ทดี่ งี าม — Kusala-vitakka: wholesome thoughts) 1. เนกขมั มวิตก (ความตรกึ ปลอดจากกาม, ความนึกคดิ ในทางเสียสละ ไมตดิ ในการปรน ปรอื สนองความอยากของตน — Nekkhamma-vitakka: thought of renunciation; thought free from selfish desire)

หมวด 3 85 [72] 2. อพยาบาทวติ ก (ความตรึกปลอดจากพยาบาท, ความนึกคิดทป่ี ระกอบดว ยเมตตา ไมขดั เคืองหรอื เพงมองในแงร าย — Abyàpàda-vitakka: thought free from hatred) 3. อวหิ งิ สาวติ ก (ความตรกึ ปลอดจากการเบยี ดเบยี น, ความนกึ คดิ ทป่ี ระกอบดว ยกรณุ าไมค ดิ รา ย หรอื มงุ ทาํ ลาย — Avihi§sà-vitakka: thought of non-violence; thought free from cruelty) A.III.446. องฺ.ฉกกฺ .22/380/496. [70] อกุศลวติ ก 3 (ความตรึกทีเ่ ปน อกุศล, ความนกึ คิดทีไ่ มด ี — Akusala-vitakka: unwholesome thoughts) 1. กามวติ ก (ความตรกึ ในทางกาม, ความนึกคิดในทางแสห าหรอื พวั พนั ติดขอ งในสงิ่ สนอง ความอยาก — Kàma-vitakka: thought of sensual pleasures) 2. พยาบาทวติ ก (ความตรกึ ในทางพยาบาท, ความนกึ คดิ ทปี่ ระกอบดว ยความขดั เคอื งเพง มองใน แงร า ย — Byàpàda-vitakka: thought full of hatred or ill-will; malevolent thought) 3. วหิ งิ สาวิตก (ความตรึกในทางเบยี ดเบียน, ความนกึ คดิ ในทางทําลาย ทํารายหรือกอความ เดอื ดรอนแกผ อู น่ื — Vihi§sà-vitakka: thought of violence or cruelty; cruel thought) A.III.446. องฺ.ฉกกฺ .22/380/496. [71] โกศล 3 (ความฉลาด, ความเชี่ยวชาญ — Kosalla: skill; proficiency) 1. อายโกศล (ความฉลาดในความเจรญิ , รอบรทู างเจรญิ และเหตขุ องความเจรญิ — àya- kosalla: proficiency as to gain or progress) 2. อปายโกศล (ความฉลาดในความเสอื่ ม, รอบรทู างเสอื่ มและเหตขุ องความเสอื่ ม — Apàya- kosalla: proficiency as to loss or regress) 3. อุปายโกศล (ความฉลาดในอุบาย, รอบรูวธิ ีแกไ ขเหตุการณและวธิ ที ่จี ะทําใหสําเรจ็ — Upàyakosalla: proficiency as to means and methods) D.III.220; Vbh.325. ท.ี ปา.11/228/231; อภ.ิ ว.ิ 35/807/439. [72] ญาณ 31 (ความหย่งั รู, ปรชี าหยง่ั รู — ¥àõa: insight; knowledge) 1. อตีตังสญาณ (ญาณหย่งั รูสว นอดตี , รอู ดตี และสาวหาเหตปุ จจัยอนั ตอ เนอ่ื งมาได — Atãta§sa-¤àõa: insight into the past; knowledge of the past) 2. อนาคตังสญาณ (ญาณหย่งั รูสว นอนาคต, รูอนาคต หยัง่ ผลทจี่ ะเกดิ สบื ตอ ไปได — Anàgata§sa-¤àõa: insight into the future; knowledge of the future) 3. ปจจุปปนนังสญาณ (ญาณหยั่งรสู ว นปจ จบุ ัน, รูป จ จบุ นั กําหนดไดถึงองคประกอบและ เหตปุ จ จัยของเร่ืองทเี่ ปน ไปอยู — Paccuppanna§sa-¤àõa: insight into the present; knowledge of the present) D.III.275. ที.ปา.11/396/292.

[73] 86 พจนานุกรมพุทธศาสตร [73] ญาณ 32 (ความหยัง่ ร,ู ปรีชาหยง่ั รู — ¥àõa: insight; knowledge) 1. สัจจญาณ (หย่ังรสู จั จะ คือ ความหยง่ั รอู รยิ สจั จ 4 แตล ะอยางตามทีเ่ ปนๆ วา นีท้ ุกข นี้ ทกุ ขสมทุ ัย น้ที กุ ขนิโรธ นท้ี ุกขนโิ รธคามนิ ีปฏิปทา — Sacca-¤àõa: knowledge of the Truths as they are) 2. กิจจญาณ (หยัง่ รูก ิจ คือ ความหยัง่ รกู ิจอันจะตอ งทําในอรยิ สจั จ 4 แตล ะอยางวา ทกุ ขควร กาํ หนดรู ทกุ ขสมทุ ยั ควรละเสีย เปน ตน — Kicca-¤àõa: knowledge of the functions with regard to the respective Four Noble Truths) 3. กตญาณ (หย่ังรูก ารอันทําแลว คอื ความหย่ังรวู า กิจอนั จะตองทําในอรยิ สัจจ 4 แตล ะ อยา งนัน้ ไดทําเสร็จแลว — Kata-¤àõa: knowledge of what has been done with regard to the respective Four Noble Truths) ญาณ 3 ในหมวดน้ี เนอื่ งดว ยอริยสัจจ 4 โดยเฉพาะ เรยี กช่ือเต็มตามทมี่ าวา ญาณ- ทัสสนะ อนั มีปรวิ ฏั ฏ 3 (ญาณทัสสนะมรี อบ 3 หรือ ความหยัง่ รูห ย่งั เหน็ ครบ 3 รอบ — thrice-revolved knowledge and insight) หรือ ปริวฏั ฏ 3 แหงญาณทัสสนะ (the three aspects of intuitive knowledge regarding the Four Noble Truths) ปรวิ ฏั ฏ หรอื วนรอบ 3 น้ี เปน ไปในอรยิ สจั จท ง้ั 4 รวมเปน 12 ญาณทสั สนะนน้ั จงึ ไดช อื่ วา มี อาการ 12 (twelvefold intuitive insight หรอื knowing and seeing under twelve modes) พระผูมีพระภาคทรงมีญาณทสั สนะตามเปนจริงในอรยิ สัจจ 4 ครบวนรอบ 3 มอี าการ 12 (ตปิ รวิ ฏฏํ ทฺวาทสาการํ ยถาภูตํ าณทสฺสนํ ) อยา งนแี้ ลว จึงปฏญิ าณพระองคไ ดว าทรงบรรลุ อนตุ ตรสมั มาสัมโพธญิ าณแลว. ดู [205] กิจในอริยสจั จ 4. Vin.I.11; S.V.422. วินย.4/16/21; สํ.ม.19/1670/530; ส.ํ อ.3/409. [74] ตัณหา 3 (ความทะยานอยาก — Taõhà: craving) 1. กามตณั หา (ความทะยานอยากในกาม, ความอยากไดก ามคณุ คือสิ่งสนองความตองการ ทางประสาททั้งหา — Kàma-taõhà: craving for sensual pleasures; sensual craving) 2. ภวตัณหา (ความทะยานอยากในภพ, ความอยากในภาวะของตัวตนทจี่ ะได จะเปนอยางใด อยา งหนงึ่ อยากเปน อยากคงอยตู ลอดไป, ความใครอ ยากทปี่ ระกอบดว ยภวทฏิ ฐหิ รอื สสั สตทฏิ ฐิ — Bhava-taõhà: craving for existence) 3. วิภวตัณหา (ความทะยานอยากในวิภพ, ความอยากในความพรากพน ไปแหง ตัวตนจาก ความเปน อยางใดอยา งหน่งึ อนั ไมป รารถนา อยากทําลาย อยากใหดับสญู , ความใครอ ยากท่ี ประกอบดวยวิภวทฏิ ฐิหรอื อจุ เฉททฏิ ฐิ — Vibhava-taõhà: craving for non-existence; craving for self-annihilation) A.III.445; Vbh.365. อง.ฺ ฉกฺก.22/377/494; อภิ.ว.ิ 35/933/494.

หมวด 3 87 [75] [75] ไตรปฎ ก (ปฎก 3, กระจาด ตะกรา กระบงุ หรอื ตาํ รา 3, ประมวลแหงคัมภีรที่รวบ รวมพระธรรมวินยั 3 หมวด หรือ 3 ชดุ — Tipiñaka: the Three Baskets; the Pali Canon) จัดพมิ พด ว ยอักษรไทย มี 45 เลม 1. วินัยปฎก (หมวดพระวินัย, ประมวลสิกขาบท สําหรับภิกษุสงฆและภิกษุณีสงฆ — Vinaya-piñaka: the Basket of Discipline) แบง เปน 3 หมวด หรอื 5 คัมภีร จัดพมิ พอ กั ษร ไทยเปน 8 เลม คอื ก. วิภังค หรือ สตุ ตวภิ งั ค (Vibhaïga) วา ดว ยสกิ ขาบทในปาฏโิ มกข (ปาติโมกข ก็ใช) แบง เปน 2 คมั ภีร คือ 1. อาทิกัมมิกะ หรอื ปาราชกิ (อา) วาดวยสิกขาบททีเ่ ก่ยี วกบั อาบตั หิ นกั ตง้ั แตป าราชกิ ถึง อนยิ ต (Major Offences) จดั พิมพเ ปน 1 เลม 2. ปาจติ ตยิ ะ (ปา) วา ดว ยสกิ ขาบททเ่ี กยี่ วกบั อาบตั เิ บา ตงั้ แตน สิ สคั คยิ ปาจติ ตยี  ถงึ เสขยิ ะ และรวมเอาภกิ ขนุ ีวภิ ังคเ ขาไวดวย (Minor Offences) จดั เปน 2 เลม วิภังค น้ี แบง อกี อยางหนึ่งเปน 2 เหมือนกนั คอื 1. มหาวิภังค หรือ ภกิ ขวุ ิภงั ค วา ดวยสิกขาบทในปาฏโิ มกขฝ า ยภกิ ษสุ งฆ (Rules for Monks) จัดเปน 2 เลม 2. ภกิ ขนุ วี ภิ งั ค วา ดว ยสกิ ขาบทในปาฏโิ มกขฝ า ยภกิ ษณุ สี งฆ (Rules for Nuns) จดั เปน 1 เลม ข. ขนั ธกะ (Khandhaka) วา ดว ยสกิ ขาบทนอกปาฏโิ มกข รวมเปน บทๆ เรยี กวา ขนั ธกะ หนง่ึ ๆ ทั้งหมดมี 22 ขันธกะ ปนเปน 2 วรรค คอื 3. มหาวรรค (ม; วรรคใหญ — Greater Section) วา ดว ยสกิ ขาบทนอกปาฏิโมกขตอนตน มี 10 ขันธกะ จดั เปน 2 เลม 4. จลุ วรรค (จ;ุ วรรคเลก็ — Smaller Section) วา ดว ยสกิ ขาบทนอกปาฏโิ มขตอนปลาย มี 12 ขนั ธกะ จดั เปน 2 เลม ค. 5. ปรวิ าร (ป; หนงั สือประกอบ; คูมือ — Parivàra: Epitome of the Vinaya) คมั ภีร บรรจุคาํ ถามคาํ ตอบ ซอ มความรพู ระวนิ ัย จดั เปน 1 เลม 2. สตุ ตนั ตปฎก (หมวดพระสูตร, ประมวลพระธรรมเทศนา คําบรรยายธรรม และเร่ืองเลา ตางๆ อันยกั เยอ้ื งตามบุคคลและโอกาส — Sutta-piñaka: the Basket of Discourses) แบง เปน 5 นิกาย (แปลวา ประมวลหรอื ชมุ นุม) จดั พิมพเ ปน 25 เลม คือ 1. ทีฆนิกาย (ท)ี ชมุ นุมพระสตู รทมี่ ขี นาดยาว — Dãgha-nikàya: Collection of Long Discourses จดั เปน 3 วรรค 3 เลม มี 34 สูตร 2. มชั ฌมิ นิกาย (ม) ชมุ นุมพระสตู รทมี่ ีความยาวปานกลาง — Majjhima-nikàya: Col- lection of Middle-length Discourses จัดเปน 3 ปณณาสก 3 เลม มี 152 สูตร 3. สังยตุ ตนิกาย (สํ) ชุมนมุ พระสตู รท่ีรวมเขาไวเ ปน หมวดๆ เรยี กวา สงั ยตุ ต หนงึ่ ๆ ตาม

[75] 88 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร เรอ่ื งท่เี นือ่ งกนั — Sa§yutta-nikàya: Collection of Connected Discourses จดั เปน 56 สังยตุ ต แลวประมวลเขาอีกเปน 5 วรรค 5 เลม มี 7762 สูตร 4. อังคุตตรนกิ าย (อ)ํ ชุมนมุ พระสตู รท่รี วมเขา ไวเ ปน หมวดๆ เรยี กวา นิบาต หน่งึ ๆ ตาม ลําดับจํานวนหัวขอธรรม — Aïguttara-nikàya: Adding-One Collection; Collection of Numerical Sayings จัดเปน 11 นบิ าต (หมวด 1 ถึง หมวด 11) รวม เขาเปนคมั ภีร 5 เลม มี 9557 สูตร 5. ขุททกนกิ าย (ขุ) ชมุ นุมพระสูตร ขอธรรม คาํ อธบิ ายและเรื่องราวเบ็ดเตลด็ — Khuddaka-nikàya: Smaller Collection; Collection of Minor Works รวมคัมภีรที่ จดั เขา ไมไ ดใ นนกิ ายสขี่ า งตน มที งั้ หมด 15 คมั ภรี  จดั เปน 9 เลม คอื ขทุ ทกปาฐะ ธรรมบท อุทาน อติ วิ ุตตกะ สุตตนิบาต (1 เลม ) วิมานวัตถุ เปตวัตถุ เถรคาถา เถรคี าถา (1 เลม ) ชาดก (2 เลม) นทิ เทส (มหานิทเทส 1 เลม, จูฬนทิ เทส 1 เลม ) ปฏิสมั ภิทามัคค (1 เลม ) อปทาน (1 2/3 เลม) พุทธวงส จรยิ าปฎก (1/3 เลม) 3. อภิธรรมปฎก (หมวดอภธิ รรม, ประมวลหลกั ธรรมและคําอธบิ ายในรูปหลกั วชิ าลว นๆ ไม เกยี่ วดวยเหตกุ ารณแ ละบคุ คล — Abhidhamma-piñaka: the Basket of Sublime, Higher or Extra Doctrine) แบงเปน 7 คมั ภรี  จดั พิมพเปน 12 เลม คือ 1. ธมั มสงั คณี หรอื สังคณี (ส)ํ รวมขอ ธรรมเขา ไวเ ปน หมวดหมูแลว อธิบายเปน ประเภทๆ — Saïgaõã: Enumeration of the Dhammas (1 เลม ) 2. วภิ งั ค (วิ) อธิบายขอ ธรรมทร่ี วมเปน หมวดหมู (เรยี กวิภงั คหนงึ่ ๆ ) แยกแยะออกช้ีแจง วนิ ิจฉยั โดยละเอียด — Vibhaïga: Analysis of the Dhammas (1 เลม ) 3. ธาตกุ ถา (ธา) สงเคราะหข อ ธรรมตา งๆ เขา ในขนั ธ อายตนะ ธาตุ — Dhàtukathà: Discussion of Elements (ครึ่งเลม) 4. ปคุ คลบญั ญตั ิ (ปุ) บัญญัตคิ วามหมายบุคคลประเภทตางๆ ตามคณุ ธรรมทม่ี อี ยใู นบคุ คล น้นั ๆ — Puggalapa¤¤atti: Description of Individuals (คร่ึงเลม) 5. กถาวัตถุ (ก) แถลงวินจิ ฉัยทัศนะตา งๆ ท่ีขัดแยงกันระหวา งนิกายทงั้ หลายสมยั ตติย สังคายนา — Kathàvatthu: Subjects of Discussion (1 เลม) 6. ยมก (ย) ยกหัวขอธรรมขึน้ วนิ ิจฉัยดวยวธิ ีถามตอบโดยต้งั คําถามยอนกนั เปนคๆู — Yamaka: Book of Pairs (2 เลม) 7. ปฏ ฐาน (ป) หรือ มหาปกรณ อธิบายปจจยั 24 โดยพิสดาร — Paññhàna: Book of Relations (6 เลม ) อนงึ่ 3 ปฎกน้ี สงเคราะหเขา ใน [35] ปาพจน 2 คอื พระสตุ ตนั ตปฎกและพระอภธิ รรม ปฎ ก จดั เปน ธรรม พระวินยั ปฎ กจัดเปน วนิ ัย Vin.V.86. วินย.8/826/224.

หมวด 3 89 [78] [,,] ไตรรัตน ดู [100] รัตนตรัย. [76] ไตรลกั ษณ (ลกั ษณะ 3, อาการท่ีเปน เครอ่ื งกาํ หนดหมาย 3 อยาง อนั ใหร ูถงึ ความจรงิ ของสภาวธรรมทั้งหลาย ท่เี ปนอยางนน้ั ๆ ตามธรรมดาของมัน — Tilakkhaõa: the Three Characteristics) 1. อนิจจตา (ความเปน ของไมเทยี่ ง — Aniccatà: impermanence; transiency) 2. ทุกขตา (ความเปนทกุ ข — Dukkhatà: state of suffering or being oppressed) 3. อนัตตตา (ความเปนของไมใ ชตน — Anattatà: soullessness; state of being not self) • ลกั ษณะเหลา น้ี มี 3 อยาง จึงเรียกวา ไตรลกั ษณ • ลกั ษณะท้งั 3 เหลาน้ี มีแกธ รรมทเ่ี ปน สังขตะคอื สงั ขารทัง้ ปวง เปน สามัญเสมอกัน จึงเรียก วา สามญั ลกั ษณะ หรอื สามญั ลกั ษณ (Sàma¤¤a-lakkhaõa: the Common Characteristics) [ไมสามญั แกธ รรมท่ีเปนอสงั ขตะ อันไดแกวสิ งั ขาร ซงึ่ มีเฉพาะลักษณะท่ี 3 คอื อนัตตาอยาง เดยี ว ไมมีลกั ษณะ 2 อยางตน] • ลกั ษณะทงั้ 3 เหลา น้ี ปรากฏอยตู ามธรรมดาทแ่ี นน อน เปน ไปตามกฎธรรมชาติ คอื ธรรมนยิ าม • คาํ วา ไตรลกั ษณ กด็ ี สามญั ลกั ษณ ก็ดี เกิดข้ึนในยุคอรรถกถา สวนในพระไตรปฎ ก พระ พทุ ธเจาตรัสแสดงลกั ษณะ 3 อยางนีไ้ วใ นหลัก ธรรมนิยาม ดู [86] ธรรมนิยาม 3. S.IV.1; Dh.277–9. สํ.สฬ.18/1/1; ข.ุ ธ.25/30/51. [,,] ไตรสิกขา ดู [124] สิกขา 3. [77] ทวาร 3 (ทางทาํ กรรม — Dvàra: door; channel of action) 1. กายทวาร (ทวารคอื กาย — Kàya-dvàra: the body-door; channel of bodily action) 2. วจที วาร (ทวารคอื วาจา—Vacã-dvàra: the speech-door; speech as a door of action) 3. มโนทวาร (ทวารคือใจ — Mano-dvàra: the mind-door; mind as a door of action) Dh.234. นยั ข.ุ ธ.25/27/46; มงคฺ ล.1/252/243. [78] ทวาร 6 (ทางรับรูอารมณ ไดแกอายตนะภายใน 6 — Dvàra: sense-doors) 1. จักขทุ วาร (ทวารคอื ตา — Cakkhu-dvàra: eye-door) 2. โสตทวาร (ทวารคอื หู — Sota-dvàra: ear-door) 3. ฆานทวาร (ทวารคือจมกู — Ghàna-dvàra: nose-door) 4. ชิวหาทวาร (ทวารคอื ล้ิน — Jivhà-dvàra: tongue-door) 5. กายทวาร (ทวารคอื กาย — Kàya-dvàra: body-door)

[79] 90 พจนานกุ รมพุทธศาสตร 6. มโนทวาร (ทวารคอื ใจ — Mano-dvàra: mind-door) ดู [276] อายตนะภายใน 6. S.IV.194. ส.ํ สฬ.18/342/242. [,,] ทิฏฐิ 3 ดู [14] ทฏิ ฐิ 3. [79] ทกุ ขตา 3 (ความเปนทุกข, ภาวะแหง ทุกข, สภาพทกุ ข, ความเปนสภาพท่ที นไดย าก หรือ คงอยูในภาวะเดมิ ไมไ ด — Dukkhatà: state of suffering or being subject to suffering; conflict; unsatisfactoriness) 1. ทกุ ขทุกขตา (สภาพทกุ ขค ือทุกข หรอื ความเปนทุกขเ พราะทุกข ไดแ ก ทกุ ขเวทนาทางกาย กต็ าม ใจกต็ าม ซ่งึ เปนทุกขอยา งที่เขาใจสามัญ ตรงตามชอื่ ตามสภาพ — Dukkha- dukkhatà: painfulness as suffering) 2. วปิ ริณามทุกขตา (ความเปน ทุกขเพราะความแปรปรวน ไดแ กความสขุ ซึ่งเปนเหตุใหเกดิ ความทกุ ขเ มื่อตอ งเปล่ยี นแปลงแปรไปเปนอยา งอนื่ — Vipariõàma-dukkhatà: suffering in change) 3. สงั ขารทุกขตา (ความเปน ทกุ ขเ พราะเปน สังขาร ไดแกต วั สภาวะของสังขาร คอื สง่ิ ทั้งปวง ซ่ึงเกิดจากปจจัยปรุงแตง ท่ีถูกบีบคั้นดวยการเกิดขึ้นและสลายไป ทําใหคงสภาพอยูไมได พรอ งอยเู สมอ และใหเกิดทกุ ขแ กผ ยู ดึ ถอื ดว ยอปุ าทาน — Saïkhàra-dukkhatà: suffering due to formations; inherent liability to suffering) D.III.216; S.IV.259; V.56. ที.ปา.11/228/229; สํ.สฬ.18/510/318; ส.ํ ม.19/319/85. [80] ทจุ ริต 3 (ความประพฤตชิ ่วั , ประพฤติไมดี — Duccarita: evil conduct; misconduct) 1. กายทุจรติ (ความประพฤติชั่วดว ยกาย — Kàya-duccarita: evil conduct in act; misconduct by body) มี 3 คอื ปาณาตบิ าต อทินนาทาน และกาเมสมุ จิ ฉาจาร 2. วจที ุจริต (ความประพฤติชัว่ ดว ยวาจา — Vacã-duccarita: evil conduct in word; misconduct by speech) มี 4 คอื มุสาวาท ปสณุ าวาจา ผรสุ วาจา และสัมผัปปลาปะ 3. มโนทจุ รติ (ความประพฤตชิ ่ัวดว ยใจ — Mano-duccarita: evil conduct in thought; misconduct by mind) มี 3 คอื อภิชฌา พยาบาท และมิจฉาทิฏฐิ ดู รายละเอียดท่ี [321] อกศุ ลกรรมบถ 10. D.III.214; Dhs.1305. ท.ี ปา.11/228/227; อภิ.สํ.34/840/327. [81] สจุ ริต 3 (ความประพฤตดิ ี, ประพฤตชิ อบ — Sucarita: good conduct) 1. กายสุจรติ (ความประพฤติชอบดว ยกาย — Kàya-sucarita: good conduct in act) มี 3 คือ งดเวนและประพฤติตรงขา มกบั ปาณาติบาต อทินนาทาน และกาเมสุมิจฉาจาร

หมวด 3 91 [84] 2. วจสี จุ ริต (ความประพฤติชอบดว ยวาจา — Vacã-sucarita: good conduct in word) มี 4 คอื งดเวนและประพฤติตรงขามกบั มสุ าวาท ปสณุ าวาจา ผรุสวาจา และสัมผัปปลาปะ 3. มโนสุจรติ (ความประพฤติชอบดวยใจ — Mano-sucarita: good conduct in thought) มี 3 คือ อนภิชฌา อพยาบาท และสมั มาทิฏฐ.ิ ดู รายละเอียดที่ [320] กุศลกรรมบถ 10 2. D.III.215; Dhs.1306. ท.ี ปา.11/228/227; อภ.ิ สํ.34/840/327. [82] เทพ 3 (เทพเจา , เทวดา — Deva: gods; divine beings) 1. สมมติเทพ (เทวดาโดยสมมติ ไดแ ก พระราชา พระเทวี และพระราชกุมาร — Sammati- deva: gods by convention) 2. อปุ ปตติเทพ (เทวดาโดยกาํ เนิด ไดแก เทวดาในกามาวจรสวรรค และพรหมทง้ั หลาย เปนตน — Upapatti-deva: gods by rebirth) 3. วิสุทธเิ ทพ (เทวดาโดยความบรสิ ทุ ธ์ิ ไดแก พระพทุ ธเจา พระปจเจกพทุ ธเจา และพระ อรหนั ตท ั้งหลาย — Visuddhi-deva: gods by purification) Nd2173; KhA.123. ขุ.จู.30/214/112; ขทุ ฺทก.อ.135. [83] เทวทูต 3 (ทูตของยมเทพ, สื่อแจงขา วของมฤตยู, ส่งิ ท่เี ปนสัญญาณเตอื นใจใหร ะลึกถงึ คติธรรมดาของชีวิตอันมีความตายเปนท่ีสุด เพ่ือจะไดเกิดความสังเวชและเรงขวนขวายทํา ความดี ดว ยความไมประมาท — Devadåta: divine messengers; messengers of death) 1. ชิณณะ (คนแก — Jiõõa: old men) 2. พยาธติ ะ หรอื อาพาธกิ ะ (คนเจบ็ , ผูปว ย — Byàdhita, âbàdhika: sick men) 3. มตะ (คนตาย — Mata: dead men) A.I.138. อง.ฺ ติก.20/475/175. [,,] เทวทูต 4 ดู [150] นิมิต 4. [84] เทวทูต 5 (ทตู ของยมเทพ — Devadåta: divine messengers) 1. ทหระ หรือ มนั ทกุมาร (เดก็ ออ น — Dahara: a young baby) 2. ชณิ ณะ (คนแก — Jiõõa: an old man) 3. พยาธติ ะ หรอื อาพาธิกะ (คนเจบ็ — Byàdhita, âbàdhika: a sick man) 4. กรรมการณัปปตตะ (คนถูกลงโทษ, คนถกู จองจําลงอาญา — Kammakàraõappatta: a criminal subjected to punishment) 5. มตะ (คนตาย — Mata: a dead man) M.III.179. ม.อุ.14/507/335.

[85] 92 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร [85] ธรรม 3 (สภาวะ, สิ่ง, ปรากฏการณ — Dhamma: states; things; phenomena; ideas) 1. กุศลธรรม (ธรรมทีเ่ ปนกศุ ล, สภาวะทฉ่ี ลาด ดีงาม เอือ้ แกสขุ ภาพจิต เกือ้ กลู แกช ีวิตจิตใจ ไดแกกศุ ลมลู 3 กด็ ี นามขันธ 4 ทีส่ มั ปยุตดวยกศุ ลมูลนนั้ กด็ ี กายกรรม วจกี รรม มโนกรรม ท่ี มกี ศุ ลมูลเปน สมฏุ ฐาน ก็ดี กลาวสัน้ วา กุศลในภมู ิ 4 — Kusala-dhamma: skilful, wholesome, or profitable states; good things) 2. อกุศลธรรม (ธรรมทเี่ ปน อกศุ ล, สภาวะทตี่ รงขา มกบั กุศล ไดแ ก อกศุ ลมลู 3 และกเิ ลสอัน มฐี านเดียวกับอกศุ ลมลู น้ัน ก็ดี นามขนั ธ 4 ท่สี มั ปยุตดวยอกุศลมลู นั้น กด็ ี กายกรรม วจกี รรม มโนกรรมที่มีอกุศลมลู เปน สมุฏฐาน กด็ ี กลา วสัน้ วา อกุศลจิตตบุ าท 12 — Akusala- dhamma: unskilful, unwholesome or unprofitable states; bad things) 3. อพั ยากตธรรม (ธรรมทเี่ ปน อพั ยากฤต, สภาวะทีเ่ ปน กลางๆ ชข้ี าดลงมไิ ดว าเปน กุศลหรอื อกศุ ล ไดแ ก นามขันธ 4 ทเี่ ปน วิบากแหง กศุ ลและอกศุ ล เปน กามาวจรก็ตาม รูปาวจรก็ตาม อรปู าวจรก็ตาม โลกตุ ตระกต็ าม อยา งหน่ึง ธรรมทั้งหลายท่ีเปน กิริยา มิใชกศุ ล มใิ ชอ กุศล มิ ใชวบิ ากแหงกรรม อยา งหนง่ึ รูปท้ังปวง อยางหนงึ่ อสงั ขตธาตุ คอื นิพพาน อยา งหนง่ึ กลา ว ส้นั คอื วิบากในภมู ิ 4, กริ ิยาอพั ยากฤตในภูมิ 3, รปู และนิพพาน — Abyàkata-dhamma: the indeterminate; neither-good-nor-bad thing) Dhs.91,180,234. อภิ.สํ.34/1/1; 663/259; 878/340. [86] ธรรมนยิ าม 3 (กําหนดแหงธรรมดา, ความเปน ไปอันแนนอนโดยธรรมดา, กฎธรรม ชาติ — Dhamma-niyàma: orderliness of nature; natural law) 1. สพเฺ พ สงขฺ ารา อนิจจฺ า (สงั ขารคือสงั ขตธรรมทั้งปวงไมเที่ยง — Sabbe saïkhàrà aniccà: all conditioned states are impermanent) 2. สพฺเพ สงฺขารา ทุกฺขา (สงั ขารคอื สงั ขตธรรมท้งั ปวงเปนทุกข — Sabbe saïkhàrà dukkhà: all conditioned states are subject to oppression, conflict or suffering) 3. สพเฺ พ ธมฺมา อนตตฺ า (ธรรมคือสังขตธรรมและอสงั ขตธรรม หรอื สังขารและวิสังขารทงั้ ปวงไมใ ชต น — Sabbe dhammà anattà: all states are not-self or soulless) หลกั ความจรงิ น้ี แสดงใหเ หน็ ลกั ษณะ 3 อยา ง ทเ่ี รยี กวา ไตรลกั ษณ ของสภาวธรรมทง้ั หลาย (ดู [76] ไตรลกั ษณ ) พระพุทธเจาจะอบุ ัติหรือไมก็ตาม หลกั ทงั้ สามนี้ กค็ งมีอยูเปน ธรรมดา พระพทุ ธเจา เปน แตท รงคน พบ และนํามาเปดเผยแสดงแกเวไนย. ดู [223] นิยาม 5. A.I.285. องฺ.ตกิ .20/576/368. [87] นิมิต หรอื นิมิตต 3 (เครือ่ งหมายสําหรับใหจิตกําหนดในการเจรญิ กรรมฐาน, ภาพที่ เหน็ ในใจอนั เปนตวั แทนของสงิ่ ทใี่ ชเ ปนอารมณก รรมฐาน — Nimitta: sign; mental image)

หมวด 3 93 [89] 1. บริกรรมนมิ ติ (นมิ ิตแหง บริกรรม, นมิ ิตตระเตรียมหรือนมิ ติ แรกเร่ิม ไดแ ก สิ่งใดกต็ ามท่ี กาํ หนดเปนอารมณใ นการเจริญกรรมฐาน เชน ดวงกสณิ ทเี่ พงดู หรอื พุทธคณุ ทนี่ ึกเปนอารมณ วาอยูในใจเปน ตน — Parikamma-nimitta: preliminary sign) ไดใ นกรรมฐานท้งั 40 2. อคุ คหนิมติ (นมิ ิตทีใ่ จเรียน, นมิ ิตติดตา ไดแก บรกิ รรมนิมิตน้นั ท่ีเพงหรอื นกึ กําหนดจน เห็นแมนในใจ เชน ดวงกสิณท่ีเพงจนตดิ ตา หลับตามองเหน็ เปนตน — Uggaha-nimitta: learning sign; abstract sign; visualized image) ไดใ นกรรมฐานทง้ั 40 3. ปฏภิ าคนิมติ (นิมติ เสมอื น, นมิ ิตเทียบเคียง ไดแก นิมติ ท่ีเปน ภาพเหมอื นของอคุ คหนิมติ น้ัน แตเ ปนสงิ่ ที่เกดิ จากสัญญา เปน เพียงอาการปรากฏแกผไู ดสมาธิ จงึ บรสิ ทุ ธ์จิ นปราศจากสี เปน ตน และไมมมี ลทินใดๆ ทั้งสามารถนกึ ขยายหรือยอ สวนไดตามปรารถนา — Pañibhàga- nimitta: counterpart sign; conceptualized image) นมิ ติ นไี้ ดเฉพาะในกรรมฐาน 22 คอื กสิณ 10 อสุภะ 10 กายคตาสติ 1 และอานาปานสติ 1 เมอื่ เกิดปฏภิ าคนิมิตขน้ึ จิตยอมตั้งม่ันเปน อปุ จารสมาธิ จึงชื่อวาปฏภิ าคนิมติ เกดิ พรอมกบั อุปจารสมาธิ เม่ือเสพปฏิภาคนิมิตน้ันสม่ําเสมอดว ยอปุ จารสมาธกิ ็จะสาํ เร็จเปนอัปปนาสมาธิ ตอ ไป ปฏิภาคนิมติ จงึ ช่อื วาเปน อารมณแ กอปุ จารภาวนา และอัปปนาภาวนา. ดู [99] ภาวนา 3. Comp.203; Vism.125. สงฺคห.51; วสิ ทุ ฺธิ.1/159. [88] บุญกริ ิยาวตั ถุ 3 (ทต่ี ง้ั แหงการทําบญุ , เรอ่ื งทจี่ ัดเปน การทําความดี, หลักการทําความ ดี, ทางทําความดี — Pu¤¤akiriyà-vatthu: bases of meritorious action; grounds for accomplishing merit) 1. ทานมยั บญุ กริ ยิ าวตั ถุ (ทาํ บญุ ดว ยการใหป น สง่ิ ของ — Dànamaya pu¤¤akiriyà-vatthu: meritorious action consisting in giving or generosity) 2. สลี มยั บญุ กริ ยิ าวตั ถุ (ทาํ บญุ ดว ยการรกั ษาศลี หรอื ประพฤตดิ มี รี ะเบยี บวนิ ยั —Sãlamaya ~: meritorious action consisting in observing the precepts or moral behaviour) 3. ภาวนามัย บญุ กิริยาวตั ถุ (ทาํ บุญดวยการเจริญภาวนา คือฝกอบรมจติ ใจเจรญิ ปญญา — Bhàvanàmaya ~: meritorious action consisting in mental development) D.III.218; A.IV.239; It.51. ที.ปา.11/228/230; อง.ฺ อฏก.23/126/245; ขุ.อติ ิ.25/238/270. [89] บุญกริ ิยาวตั ถุ 10 (ทตี่ งั้ แหง การทําบุญ, ทางทาํ ความดี — Pu¤¤akiriyà-vatthu: bases of meritorious action) 1. ทานมยั (ทาํ บญุ ดวยการใหป นสง่ิ ของ — Dànamaya: meritorious action consisting in generosity; merit acquired by giving) 2. สลี มยั (ทาํ บญุ ดว ยการรกั ษาศลี หรอื ประพฤตดิ ี — Sãlamaya: by observing the precepts or moral behaviour)

[90] 94 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร 3. ภาวนามยั (ทําบญุ ดว ยการเจรญิ ภาวนา คอื ฝก อบรมจิตใจเจรญิ ปญญา — Bhàvanà- maya ~: by mental development) 4. อปจายนมัย (ทําบุญดวยการประพฤตอิ อ นนอ ม — Apacàyanamaya: by humility or reverence) 5. เวยยาวัจจมัย (ทําบุญดวยการชวยขวนขวายรับใช — Veyyàvaccamaya: by rendering services) 6. ปต ติทานมยั (ทาํ บุญดว ยการเฉลีย่ สว นแหง ความดใี หแ กผอู ่นื — Pattidànamaya: by sharing or giving out merit) 7. ปตตานโุ มทนามัย (ทําบุญดว ยการยนิ ดใี นความดีของผูอ ่ืน — Pattànumodanàmaya: by rejoicing in others’ merit) 8. ธัมมสั สวนมยั (ทาํ บุญดวยการฟงธรรมศึกษาหาความรู — Dhammassavanamaya: by listening to the Doctrine or right teaching) 9. ธัมมเทสนามัย (ทําบุญดวยการส่ังสอนธรรมใหความรู — Dhammadesanàmaya: by teaching the Doctrine or showing truth) 10. ทิฏุชุกัมม (ทําบุญดวยการทําความเห็นใหตรง — Diññhujukamma: by straightening one’s views or forming correct views) ขอ 4 และขอ 5 จัดเขา ในสลี มัย; 6 และ 7 ในทานมยั ; 8 และ 9 ในภาวนามยั ; ขอ 10 ได ทัง้ ทาน ศีล และภาวนา D.A.III.999; Comp.146. ที.อ.3/246; สังคหะ 29. [90] บตุ ร 3 (Putta: son; child; descendant) 1. อตชิ าตบุตร (บตุ รที่ยิ่งกวาบดิ ามารดา, ลกู ท่ีดกี วา เลิศกวาพอแม — Atijàta-putta: superior-born son) 2. อนชุ าตบตุ ร (บุตรท่ตี ามเยยี่ งบิดามารดา, ลูกทีเ่ สมอดว ยพอ แม — Anujàta-putta: like- born son) 3. อวชาตบตุ ร (บุตรท่ีตา่ํ ลงกวาบิดามารดา, ลกู ที่ทราม — Avajàta-putta: inferior-born son) บตุ รประเภทที่ 1 นั้น เรียกอีกอยา งวา อภิชาตบตุ ร It.62. ข.ุ อิติ.25/252/278. [91] ปปญจะ, ปปญ จธรรม 3 (กิเลสเครอื่ งเนนิ่ ชา, กเิ ลสท่เี ปน ตวั การทาํ ใหค ดิ ปรุงแตง ยดื เย้อื พสิ ดาร ทําใหเขวหา งออกไปจากความเปน จริงทง่ี า ยๆ เปดเผย กอ ใหเกดิ ปญ หาตางๆ และขัดขวางไมใหเขาถึงความจริงหรือทําใหไมอาจแกปญหาอยางถูกทางตรงไปตรงมา — Papa¤ca: proliferation; diversification; diffuseness; mental diffusion)

หมวด 3 95 [92] 1. ตณั หา (ความทะยานอยาก, ความปรารถนาทจ่ี ะบาํ รงุ บําเรอปรนเปรอตน, ความอยากได อยากเอา — Taõhà: craving; selfish desire) 2. ทิฏฐิ (ความคิดเห็น ความเช่ือถอื ลัทธิ ทฤษฎี อดุ มการณต างๆ ทีย่ ึดถอื ไวโ ดยงมงายหรอื โดยอาการเชิดชูวา อยางน้เี ทานน้ั จรงิ อยางอ่นื เทจ็ ทง้ั น้นั เปนตน ทาํ ใหปดตวั แคบ ไมยอมรับ ฟง ใคร ตัดโอกาสทจี่ ะเจริญปญ ญา หรือคดิ เตลดิ ไปขา งเดียว ตลอดจนเปนเหตุแหง การเบยี ด เบยี นบบี คนั้ ผูอืน่ ท่ไี มถืออยางตน, ความยดึ ติดในทฤษฎี ฯลฯ ถือความคดิ เหน็ เปนความจริง — Diññhi: view; dogma; speculation) 3. มานะ (ความถือตัว, ความสาํ คัญตนวา เปนน่ันเปนนี่ ถือสงู ถอื ตาํ่ ย่งิ ใหญเ ทา เทียม หรือ ดอยกวา ผูอ ่นื , ความอยากเดนอยากยกชตู นใหย งิ่ ใหญ — Màna: conceit) ในคมั ภีรว ิภังค เรยี กปปญจะ 3 นีเ้ ปน ฉนั ทะ (คอื ตัณหา) มานะ ทิฏฐิ Nd1 280; Vbh.393; Nett. 37–38. ข.ุ ม.29/505/337; อภิ.วิ.35/1034/530; เนตตฺ .ิ 56–57. [92] ปรญิ ญา 3 (การกาํ หนดร,ู การทําความรจู กั , การทาํ ความเขาใจโดยครบถวน — Pari¤¤à: full understanding; diagnosis) 1. ญาตปรญิ ญา (กาํ หนดรดู ว ยใหเ ปน สง่ิ อนั รแู ลว , กาํ หนดรขู นั้ รจู กั , กาํ หนดรตู ามสภาวลกั ษณะ คือ ทําความรจู กั จําเพาะตัวของส่งิ นัน้ โดยตรง พอใหชื่อวาไดเปนอนั รจู ักส่งิ น้นั แลว เชนรวู า น้ี คือเวทนา เวทนาคือส่ิงที่มีลักษณะเสวยอารมณ ดังนี้เปนตน — ¥àta-pari¤¤à: full knowledge as the known; diagnosis as knowledge) 2. ตรี ณปรญิ ญา (กาํ หนดรดู ว ยการพจิ ารณา, กาํ หนดรขู น้ั พจิ ารณา, กาํ หนดรโู ดยสามญั ลกั ษณะ คอื ทาํ ความรูจกั ส่ิงนัน้ พิจารณาเหน็ โดยความเปนของไมเ ที่ยง เปนทุกข เปน อนตั ตา เชนวา เวทนาไมเ ที่ยง มีความแปรปรวนไปเปน ธรรมดา ไมใชต วั ไมใชต น ดงั น้ีเปน ตน — Tãraõa- pari¤¤à: full knowledge as investigating; diagnosis as judgment) 3. ปหานปรญิ ญา (กาํ หนดรดู ว ยการละ, กาํ หนดรถู งึ ขน้ั ละได, กาํ หนดรโู ดยตดั ทางมใิ หฉ นั ทราคะ เกดิ มีในสิ่งนน้ั คอื รูว า ส่ิงนนั้ เปน อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาแลว ละนิจจสญั ญาเปนตน ในสิ่งน้นั เสยี ได — Pahàna-pari¤¤à: full knowledge as abandoning; diagnosis as abandoning) ปรญิ ญา 3 นี้ เปนโลกิยะ มีขันธ 5 เปน อารมณ เปน กจิ ในอริยสัจจข อท่ี 1 คอื ทกุ ข ในทาง ปฏิบัติ จดั เขาใน วิสทุ ธิ ขอ 3 ถึง 6 คอื ก. ตง้ั แตนามรูปปรเิ ฉท ถงึ ปจจยปรคิ คหะ เปน ภูมิแหง ญาตปรญิ ญา (= 3. ทฏิ ฐวิ ิสุทธิ และ 4. กงั ขาวติ รณวสิ ทุ ธ)ิ ข. ตั้งแตกลาปสมั มสนะ ถงึ อทุ ยพั พยานุปส สนา เปน ภมู ิแหง ตีรณปริญญา (= 5. มัคคามัคค- ญาณทสั สนวสิ ุทธ)ิ ค. ตั้งแตภงั คานุปสสนา ขึ้นไป เปน ภูมิแหงปหานปรญิ ญา (= 6. ปฏิปทาญาณทัสสนวสิ ทุ ธ)ิ ดู [205] กจิ ในอรยิ สัจจ 4; [285] วิสุทธิ 7; [311] วปิ ส สนาญาณ 9.

[93] 96 พจนานุกรมพทุ ธศาสตร Nd1 53; Vism.606. ขุ.ม.29/62/60; วิสุทธฺ ิ.3/230. [,,] ปหาน 3 (การละกเิ ลส — Pahàna: abandonment) คอื วกิ ขมั ภนปหาน ตทงั คปหาน และสมุจเฉทปหาน มีรวมอยูใน ปหาน 5. ดู [224] นโิ รธ 5. Vism.693. วสิ ุทธฺ ิ.3/349. [93] ปญ ญา 3 (ความรอบรู, รทู ว่ั , เขาใจ, รซู ้งึ — Pa¤¤à: wisdom; knowledge; understanding) 1. จินตามยปญญา (ปญญาเกิดแตการคิดพิจารณาหาเหตุผล — Cintàmaya-pa¤¤à: wisdom resulting from reflection; knowledge that is thought out) 2. สตุ มยปญญา (ปญญาเกดิ แตก ารสดบั การเลาเรียน — Sutamaya-pa¤¤à: wisdom resulting from study; knowledge that is learned from others) 3. ภาวนามยปญญา (ปญญาเกดิ แตก ารฝก อบรมลงมอื ปฏิบตั ิ — Bhàvanàmaya-pa¤¤à: wisdom resulting from mental development; knowledge that is gained by development or practice) D.III.219; Vbh.324. ที.ปา.11/228/231; อภิ.วิ.35/804/438. [94] ปาฏิหารยิ  3 (การกระทําทก่ี ําจัดหรอื ทําใหปฏิปกษย อมได, การกระทาํ ที่ใหเ ห็นเปน อศั จรรย, การกระทาํ ทีใ่ หบงั เกดิ ผลเปนอัศจรรย — Pàñihàriya: marvel; wonder; miracle) 1. อทิ ธปิ าฏิหารยิ  (ปาฏิหาริยค อื ฤทธ,ิ์ แสดงฤทธไิ์ ดเ ปนอัศจรรย — Iddhi-pàñihàriya: marvel of psychic power) 2. อาเทศนาปาฏหิ ารยิ  (ปาฏิหารยิ คอื การทายใจ, รอบรกู ระบวนของจิตจนสามารถกําหนด อาการทหี่ มายเลก็ นอ ยแลว บอกสภาพจติ ความคดิ อปุ นสิ ยั ไดถ กู ตอ งเปน อศั จรรย — âdesanà- pàñihàriya: marvel of mind-reading) 3. อนุสาสนีปาฏหิ ารยิ  (ปาฏิหาริยคอื อนศุ าสน,ี คําสอนเปน จริง สอนใหเห็นจรงิ นําไป ปฏิบตั ิไดผ ลสมจริง เปนอศั จรรย — Anusàsanã-pàñihàriya: marvel of teaching) ใน 3 อยางน้ี พระพุทธเจาทรงรงั เกยี จอิทธิปาฏิหาริยและอาเทศนาปาฏหิ ารยิ  แตท รง สรรเสริญอนุสาสนปี าฏิหารยิ วาเปน เยย่ี ม D.I.211; A.I.170; Ps.II.227. ท.ี ส.ี 9/339/273; อง.ฺ ตกิ .20/500/217; ข.ุ ปฏิ.31/718/616. [95] ปาปณกิ ธรรม 3 (ปาปณกิ งั คะ: หลกั พอคา, องคค ุณของพอคา — Pàpaõika- dhamma: qualities of a successful shopkeeper or businessman) 1. จักขุมา ตาดี (รจู ักสินคา ดูของเปน สามารถคาํ นวณราคา กะทนุ เกง็ กําไรแมนยํา — Cakkhumà: shrewd)

หมวด 3 97 [98] 2. วิธูโร จัดเจนธุรกิจ (รูแหลงซ้ือแหลงขาย รูความเคลื่อนไหวความตองการของตลาด สามารถในการจัดซ้ือจัดจําหนาย รูใจและรูจักเอาใจลกู คา — Vidhåro: capable of administering business) 3. นสิ สยสมั ปน โน พรอ มดว ยแหลง ทนุ เปน ทอี่ าศยั (เปน ทเี่ ชอื่ ถอื ไวว างใจในหมแู หลง ทนุ ใหญๆ หาเงนิ มาลงทนุ หรอื ดาํ เนนิ กจิ การโดยงา ย — Nissayasampanno: having a good credit rating) A.I.116. องฺ.ติก.20/459/146. [,,] ปฎ ก 3 ดู [75] ไตรปฎก. [,,] พุทธคุณ 3 ดู [305] พุทธคณุ 3. [96] พุทธจริยา 3 (พระจรยิ า หรือการทรงบาํ เพ็ญประโยชน ของพระพุทธเจา — Buddha- cariyà: the Buddha’s conduct, functions or services) 1. โลกัตถจรยิ า (พระพทุ ธจรยิ าเพอื่ ประโยชนแกโ ลก — Lokattha-cariyà: conduct for the well-being of the world) 2. ญาตตั ถจริยา (พระพทุ ธจริยาเพอ่ื ประโยชนแ กพ ระญาตติ ามฐานะ — ¥àtattha-cariyà: conduct for the benefit of his relatives) 3. พุทธัตถจริยา (พระพุทธจริยาท่ีทรงบําเพ็ญประโยชนตามหนาท่ีของพระพุทธเจา — Buddhattha-cariyà: beneficial conduct as functions of the Buddha) ใน 3 อยางน้ี โลกตั ถจริยามาในพระไตรปฎก (ขุ.จู.30/667/322; ข.ุ ปฏ.ิ 31/449/329; 715/615) สอง อยา งหลังมาในอรรถกถา. AA.I.98; DhA.III.441. องฺ.อ.1/104; ธ.อ.7/93. [97] พุทธโอวาท 3 (ประมวลคาํ สอนของพระพุทธเจา ทีเ่ ปนหลักใหญ 3 ขอ — Buddha- ovàda: the Three Admonitions or Exhortations of the Buddha) 1. สพฺพปาปสฺส อกรณํ (ไมทาํ ความช่ัวทงั้ ปวง — not to do any evil) 2. กสุ ลสฺสปู สมปฺ ทา (ทาํ แตความดี — to do good; to cultivate good) 3. สจิตฺตปริโยทปนํ (ทาํ ใจของตนใหสะอาดบรสิ ุทธ์ิ — to purify the mind) หลัก 3 ขอ น้ี รวมอยใู นโอวาทปาฏิโมกข ท่ีทรงแสดงในวนั เพ็ญ เดอื น 3 ทบ่ี ัดนีเ้ รียกวา วนั มาฆบชู า D.II.49; Dh.183. ที.ม.10/54/57; ข.ุ ธ.25/24/39. [98] ภพ 3 (ภาวะชวี ติ ของสตั ว, โลกเปน ทีอ่ ยูข องสัตว — Bhava: existence; sphere) 1. กามภพ (ภพท่เี ปนกามาวจร, ภพของสัตวผ ยู ังเสวยกามคุณคอื อารมณท างอนิ ทรียท งั้ 5 ได แก อบาย 4 มนุษยโลก และกามาวจรสวรรคทง้ั 6 — Kàma-bhava: the Sense-Sphere)

[99] 98 พจนานุกรมพุทธศาสตร 2. รูปภพ (ภพท่เี ปนรูปาวจร, ภพของสตั วผเู ขาถงึ รูปฌาน ไดแกรูปพรหมทัง้ 16 — Råpa- bhava: the Form-Sphere; Fine-Material Sphere) 3. อรปู ภพ (ภพทเี่ ปน อรปู าวจร, ภพของสตั วผ เู ขา ถงึ อรปู ฌาน ไดแ กอ รปู พรหม 4 — Aråpa- bhava: the Formless Sphere; Immaterial Sphere) D.III.215; M.I.294. ท.ี ปา.11/228/228; ม.ม.ู 12/498/539. [99] ภาวนา 3 (การเจรญิ หมายถงึ การเจรญิ กรรมฐานหรอื ฝก สมาธขิ นั้ ตา งๆ — Bhàvanà: stages of meditation) 1. บรกิ รรมภาวนา (ภาวนาข้นั บรกิ รรม, ฝก สมาธิขนั้ ตระเตรยี ม ไดแ กการถือเอานิมิตในสงิ่ ท่ี กาํ หนดเปน อารมณก รรมฐาน เชน เพง ดวงกสณิ หรอื นกึ ถงึ พทุ ธคณุ เปน อารมณว า อยใู นใจเปน ตน กลา วสนั้ ๆ คอื การกาํ หนดบรกิ รรมนมิ ติ นน่ั เอง — Parikamma-bhàvanà: preliminary stage of meditation) ไดใ นกรรมฐานทง้ั 40 2. อปุ จารภาวนา (ภาวนาขนั้ จวนเจยี น, ฝก สมาธขิ นั้ เปน อปุ จาร ไดแ ก เจรญิ กรรมฐานตอ ไป ถงึ ขณะทปี่ ฏภิ าคนมิ ติ เกดิ ขน้ึ ในกรรมฐานทเี่ พง วตั ถกุ ด็ ี นวิ รณส งบไปในกรรมฐานประเภทนกึ เปน อารมณก ด็ ี นบั แตข ณะนน้ั ไปจดั เปน อปุ จารภาวนา — Upacàra-bhàvanà: proximate stage of mediation) ขน้ั นเ้ี ปน กามาวจรสมาธิ ไดใ นกรรมฐานทง้ั 40; อปุ จารภาวนา สน้ิ สดุ แคโ คตรภู ขณะ ในฌานชวนะ 3. อปั ปนาภาวนา (ภาวนาขน้ั แนว แน, ฝกสมาธิขั้นเปนอปั ปนา ไดแ ก เสพปฏภิ าคนิมติ ท่ีเกดิ ข้ึนแลวน้ันสม่ําเสมอดวยอปุ จารสมาธิ จนบรรลปุ ฐมฌาน คือ ถดั จากโคตรภขู ณะในฌานชวนะ เปนตน ไป ตอแตน น้ั เปนอัปปนาภาวนา — Appanà-bhàvanà: concentrative or attain- ment stage of meditation) ขั้นน้เี ปน รปู าวจรสมาธิ ไดเ ฉพาะในกรรมฐาน 30 คอื หัก อนุสสติ 8 ขางตน ปฏิกลู สญั ญา 1 และ จตุธาตุววตั ถาน 1 ออกเสยี คงเหลือ อสุภะ 10 และ กายคตาสติ 1 (ไดถึงปฐมฌาน) อปั ปมัญญา 3 ขอ ตน (ไดถึงจตุตถฌาน) อัปปมัญญาขอทาย คืออุเบกขา 1 กสณิ 10 และอานาปานสติ 1 (ไดถึงปญจมฌาน) อรูป 4 (ไดอ รปู ฌาน) ดู [87] นิมติ 3. Comp.203. สงฺคห.51. [100] รตั นตรัย (รตั นะ 3, แกว อันประเสริฐ หรอื สง่ิ ลํา้ คา 3 ประการ, หลักท่ีเคารพบูชาสงู สดุ ของพุทธศาสนกิ ชน 3 อยา ง — Ratanattaya: the Triple Gem; Three Jewels) 1. พระพทุ ธเจา (พระผตู รัสรเู องและสอนผอู น่ื ใหรูตาม — Buddha: the Buddha; the Enlightened One) 2. พระธรรม (คําส่ังสอนของพระพุทธเจา ทั้งหลักความจริงและหลักความประพฤติ — Dhamma: the Dhamma; Dharma; the Doctrine) 3. พระสงฆ (หมูสาวกผูปฏิบตั ติ ามคําสงั่ สอนของพระพทุ ธเจา — Saïgha: the Sangha;

หมวด 3 99 [103] the Order) ในบาลีที่มา เรยี กวา สรณะ 3 Kh.1. ข.ุ ขุ.25/1/1. [101] ลทั ธนิ อกพระพทุ ธศาสนา 3 (บาลเี รยี กวา ติตถายตนะ แปลวา แดนเกิดลทั ธ,ิ ชุมนุมหรอื ประมวลแหงลทั ธิ — Titthàyatana: beliefs of other sects; grounds of sectarian tenets; spheres of wrong views; non-Buddhist beliefs) 1. ปพุ เพกตเหตวุ าท (ลทั ธกิ รรมเกา คอื พวกทถ่ี อื วา สง่ิ ใดกต็ ามทไี่ ดป ระสบ จะเปน สขุ กต็ าม ทกุ ขก ต็ าม มใิ ชส ขุ มใิ ชท กุ ขก ต็ าม ลว นเปน เพราะกรรมทไ่ี ดท าํ ไวใ นปางกอ น — Pubbekatavà da: a determinist theory that whatever is experienced is due to past actions; past- action determinism) เรยี กสั้นๆ วา ปุพเพกตวาท 2. อิสสรนมิ มานเหตุวาท (ลทั ธิพระเปน เจา คอื พวกท่ีถอื วา ส่ิงใดกต็ ามท่ไี ดป ระสบ จะเปน สขุ กต็ าม ทุกขก ต็ าม มิใชสขุ มิใชทกุ ขก ็ตาม ลวนเปน เพราะการบันดาลของเทพผูย ง่ิ ใหญ — Issarakaraõavàda: a determinist theory that whatever is experienced is due to the creation of a Supreme Being; theistic determinism) เรียกสั้นๆ วา อศิ วรกรณวาท หรอื อิศวรนิรมิตวาท 3. อเหตอุ ปจจยั วาท (ลัทธเิ สย่ี งโชค คอื พวกทถ่ี ือวา สง่ิ ใดกต็ ามทไี่ ดประสบ จะเปนสขุ ก็ ตาม ทกุ ขก ต็ าม มใิ ชสขุ มิใชท ุกขก็ตาม ลวนหาเหตุหาปจ จยั มิได คอื ถงึ คราวก็เปน ไปเอง — Ahetuvàda: an indeterminist theory that whatever is experienced is uncaused and unconditioned; accidentalism) เรยี กสน้ั ๆ วา อเหตวุ าท ท้งั สามลทั ธิน้ี ไมช อบดว ยเหตผุ ล ถกู ยันเขา ยอ มอา งการถือสืบๆ กนั มา เปนลัทธปิ ระเภท อกิริยา (traditional doctrines of inaction) หากยึดมน่ั ถือตามเขา แลว ยอ มใหเ กิดโทษ คอื ไมเกดิ ฉันทะ และความพยายาม ที่จะทําการท่ีควรทาํ และเวน การทไี่ มค วรทาํ A.I.173; Vbh.367. อง.ฺ ตกิ .20/501/222; อภิ.ว.ิ 35/940/496. [102] โลก 31 (ประดาสภาวธรรมหรอื หมูส ตั ว กําหนดโดยขอบเขตบาง ไมกาํ หนดบา ง — Loka: the world; the earth; sphere; universe) 1. สงั ขารโลก (โลกคอื สงั ขาร ไดแ กส ภาวธรรมทง้ั ปวงทม่ี กี ารปรงุ แตง ตามเหตปุ จ จยั — Saïkhàra- loka: the world of formations) 2. สตั วโลก (โลกคอื หมูส ัตว — Satta-loka: the world of beings) 3. โอกาสโลก (โลกอนั กําหนดดว ยโอกาส, โลกอนั มใี นอวกาศ, จักรวาล — Okàsa-loka: the world of location; the world in space; the universe) Vism.204; DA.I.173; MA.I.397. วสิ ุทธฺ .ิ 1/262; ท.ี อ.1/215; ม.อ.2/269. [103] โลก 32 (โลกคือหมูส ตั ว, สตั วโลก — Loka: the world of beings)

[104] 100 พจนานุกรมพทุ ธศาสตร 1. มนษุ ยโลก (โลกคือหมูมนุษย — Manussa-loka: the world of man) 2. เทวโลก (โลกคอื หมเู ทพ, สวรรคชน้ั กามาวจรท้งั 6 — Deva-loka: the heavenly world) 3. พรหมโลก (โลกคือหมูพ รหม, สวรรคช น้ั พรหม — Brahma-loka: the Brahma world) โลก 3 ในหมวดน้ี ทา นจาํ แนกออกมาจาก ขอ 2 คือสัตวโลก ในหมวดกอ น [102] DA.I.173; MA.I.397. ท.ี อ.1/215; ม.อ.2/269. [104] โลก 33 (โลกอันเปนทีอ่ ยูของสัตว — Loka: the world; sphere) คอื กามโลก — Kà maloka: the world of sense-desire; รปู โลก — Råpaloka: the world of form; อรปู โลก — Aråpaloka: the formless world; เปนชื่อท่บี างแหงใชเ รียก ภพ 3 แตไ มน ยิ ม ดู [98] ภพ 3. สงฺคห.ฏีกา18. [105] วฏั ฏะ 3 หรอื ไตรวัฏฏ (วน, วงเวียน, องคป ระกอบท่ีหมนุ เวยี นตอเนือ่ งกนั ของภว จกั ร หรือสังสารจกั ร — Vañña: the triple round; cycle) 1. กเิ ลสวฏั ฏ (วงจรกิเลส ประกอบดว ยอวชิ ชา ตัณหา และอุปาทาน — Kilesa-vañña: round of defilements) 2. กรรมวฏั ฏ (วงจรกรรม ประกอบดวยสงั ขารและกรรมภพ — Kamma-vañña: round of kamma) 3. วิปากวัฏฏ (วงจรวิบาก ประกอบดวย วญิ ญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ซง่ึ แสดงออกในรปู ปรากฏทีเ่ รียกวา อปุ ปตติภพ ชาติ ชรา มรณะ เปน ตน — Vipàka-vañña: round of results) สามอยา งนี้ ประกอบเขาเปนวงจรใหญแ หงปจ จยาการ เรยี กวา ภวจักร หรอื สังสารจักร ตามหลกั ปฏจิ จสมุปบาท Vism.581. วสิ ุทธฺ .ิ 3/198. [106] วิชชา 3 (ความรูแจง , ความรูว เิ ศษ — Vijjà: the Threefold Knowledge) 1. ปุพเพนิวาสานสุ สติญาณ (ญาณเปน เหตุระลึกขันธที่อาศยั อยูใ นกอ นได, ระลึกชาตไิ ด — Pubbenivàsànussati-¤àõa: reminiscence of past lives) 2. จตุ ูปปาตญาณ (ญาณกาํ หนดรูจตุ แิ ละอบุ ัติแหงสัตวท้ังหลาย อนั เปนไปตามกรรม, เหน็ การเวียนวายตายเกดิ ของสัตวทงั้ หลาย เรียกอีกอยางวา ทิพพจกั ขุญาณ — Cutåpapàta- ¤àõa: knowledge of the decease and rebirth of beings; clairvoyance) 3. อาสวกั ขยญาณ (ญาณหยงั่ รใู นธรรมเปน ทสี่ นิ้ ไปแหง อาสวะทงั้ หลาย, ความรทู ที่ าํ ใหส น้ิ อาสวะ, ความตรัสรู — âsavakkhaya-¤àõa: knowledge of the destruction of mental intoxi- cation)

หมวด 3 101 [108] วิชชา 3 นี้ เรยี กสนั้ ๆ วา ญาณ 3; ดู [297] วิชชา 8 ดว ย. D.III.220, 275; A.V.211. ท.ี ปา.11/228/232; 398/292; อง.ฺ ทสก.24/102/225. [,,,] วปิ ล ลาส 3 ระดบั ดู [178] วปิ ล ลาส 4. [107] วโิ มกข 3 (ความหลดุ พน , ประเภทของความหลดุ พน จดั ตามลกั ษณะการเหน็ ไตรลกั ษณ ขอ ทีใ่ หถงึ ความหลดุ พน — Vimokkha: liberation; aspects of liberation) 1. สญุ ญตวิโมกข (หลดุ พนดว ยเหน็ ความวา งหมดความยึดมั่น ไดแก ความหลดุ พนท่เี กิดจาก ปญ ญาพจิ ารณาเห็นนามรูป โดยความเปนอนตั ตา คอื หลุดพนดวยเห็นอนตั ตตา แลว ถอน ความยดึ มน่ั เสียได — Su¤¤ata-vimokkha: liberation through voidness; void liberation) = อาศยั อนัตตานุปสสนา ถอนอัตตาภนิ เิ วส. 2. อนิมิตตวิโมกข (หลดุ พนดว ยไมถอื นมิ ิต ไดแ ก ความหลุดพน ทเ่ี กิดจากปญ ญาพิจารณา เหน็ นามรูป โดยความเปน อนิจจงั คือ หลดุ พน ดว ยเห็นอนจิ จตา แลว ถอนนิมิตเสียได — Animitta-vimokkha: liberation through signlessness; signless liberation) = อาศัย อนิจจานุปสสนา ถอนวปิ ลลาสนมิ ิต. 3. อัปปณิหิตวิโมกข (หลุดพนดวยไมทําความปรารถนา ไดแก ความหลดุ พนที่เกดิ จาก ปญ ญาพจิ ารณาเห็นนามรปู โดยความเปน ทกุ ข คือ หลดุ พนดว ยเห็นทกุ ขตา แลวถอนความ ปรารถนาเสียได — Appaõihita-vimokkha: liberation through dispositionlessness; desireless liberation) = อาศัยทุกขานปุ สสนา ถอนตณั หาปณิธิ. ดู [47] สมาธิ 32. Ps.II.35; Vism.657; Comp.211. ข.ุ ปฏิ.31/469/353; วิสทุ ฺธ.ิ 3/299; สงั คห.55. [108] วิรัติ 3 (การเวน จากทจุ รติ , การเวนจากกรรมช่ัว — Virati: abstinence) 1. สมั ปตตวริ ตั ิ (เวนสง่ิ ประจวบเฉพาะหนา , เวน เมือ่ ประสบซ่ึงหนา หรอื เวน ไดทัง้ ทป่ี ระจวบ โอกาส คือ ไมไดตงั้ เจตนาไวก อน ไมไดสมาทานสกิ ขาบทไวเลย แตเ มอ่ื ประสบเหตทุ ี่จะทําชว่ั นกึ คดิ พจิ ารณาขึน้ ไดใ นขณะน้ันวา ตนมชี าติตระกลู วยั หรือคุณวุฒิอยา งน้ี ไมส มควรกระทํา กรรมเชน นน้ั แลวงดเวน เสียไดไมทําผิดศลี — Sampatta-virati: abstinence as occasion arises; abstinence in spite of opportunity) 2. สมาทานวริ ัติ (เวนดวยการสมาทาน คอื ตนไดตง้ั เจตนาไวกอ น โดยไดร บั ศีล คือ สมาทานสกิ ขาบทไวแ ลว ก็งดเวนตามที่ไดสมาทานนั้น — Samàdàna-virati: abstinence by undertaking; abstinence in accordance with one’s observances) 3. สมุจเฉทวิรตั ิ หรอื เสตุฆาตวริ ัติ (เวน ดว ยตัดขาด หรือดว ยชักสะพานตัดตอนเสียที เดยี ว, เวนไดเ ดด็ ขาด คือ การงดเวนความชวั่ ของพระอริยะท้ังหลาย อนั ประกอบดวย อริยมรรคซง่ึ ขจดั กเิ ลสท่ีเปน เหตแุ หงความชวั่ นัน้ ๆ เสร็จสิ้นแลว ไมเกิดมีแมแตความคิดทีจ่ ะ ประกอบกรรมช่วั น้ันเลย — Samuccheda-virati, Setughàta~: abstinence by rooting

[109] 102 พจนานุกรมพุทธศาสตร out) วริ ัติ 2 อยางแรก ยงั ไมอ าจวางใจไดแ นน อน วิรัตขิ อ ที่ 3 จึงจะแนนอนสนิ้ เชิง DA.I.305; KhA.142; DhsA.103. ท.ี อ.1/377; ขุทฺทก.อ.156; สงคฺ ณี.อ.188. [109] วเิ วก 3 (ความสงัด, ความปลกี ออก — Viveka: seclusion) 1. กายวิเวก (ความสงัดกาย ไดแ กอ ยใู นทสี่ งดั กด็ ี ดํารงอิริยาบถและเที่ยวไปผูเ ดยี วกด็ ี — Kàya-viveka: bodily seclusion i.e. solitude) 2. จติ ตวิเวก (ความสงดั ใจ ไดแกทาํ จติ ใหส งบผองใส สงัดจากนวิ รณ สังโยชน และอนุสัย เปนตน หมายเอาจิตแหงทานผูบรรลุฌาน และอรยิ มรรค อรยิ ผล — Citta-viveka: mental seclusion, i.e. the state of Jhàna and the Noble Paths and Fruitions) 3. อปุ ธวิ เิ วก (ความสงัดอปุ ธิ ไดแ กธ รรมเปนทีส่ งบระงบั สงั ขารทง้ั ปวง ปราศจากกเิ ลสก็ดี ขนั ธก ด็ ี อภิสังขารกด็ ี ท่ีเรียกวา อุปธิ หมายเอาพระนิพพาน — Upadhi-viveka: seclusion from the essentials of existence, i.e. Nibbàna) Nd1 26,140,157,341. ขุ.ม.29/33/29; 229/170. [110] เวทนา 2 (การเสวยอารมณ — Vedanà: feeling; sensation) 1. กายิกเวทนา (เวทนาทางกาย — Kàyika-vedanà: physical feeling) 2. เจตสิกเวทนา (เวทนาทางใจ — Cetasika-vedanà: mental feeling) S.IV.231. สํ.สฬ.18/431/287. [111] เวทนา 3 (การเสวยอารมณ, ความรสู กึ รสของอารมณ — Vedanà: feeling; sensation) 1. สุขเวทนา (ความรูสึกสขุ สบาย ทางกายกต็ าม ทางใจก็ตาม — Sukha-vedanà: pleasant feeling; pleasure) 2. ทุกขเวทนา (ความรูสึกทกุ ข ไมส บาย ทางกายกต็ าม ทางใจก็ตาม — Dukkha-vedanà: painful feeling; pain) 3. อทกุ ขมสขุ เวทนา (ความรสู กึ เฉยๆ จะสขุ กไ็ มใ ช ทกุ ขก็ไมใช เรยี กอีกอยางวา อเุ บกขา- เวทนา — Adukkhamasukha-vedanà, Upekkhà-vedanà: neither-pleasant-nor-painful feeling; indifferent feeling) D.III.216; 275; S.IV.331. ท.ี ปา.11/228/229; 391/291; สํ.สฬ.18/432/287. [112] เวทนา 5 (การเสวยอารมณ — Vedanà: feeling) 1. สุข (ความสขุ ความสบายทางกาย — Sukha: bodily pleasure or happiness) 2. ทุกข (ความทุกข ความไมสบาย เจบ็ ปวดทางกาย — Dukkha: bodily pain; discomfort) 3. โสมนสั (ความแชมชื่นสบายใจ, สุขใจ — Somanassa: mental happiness; joy)

หมวด 3 103 [115] 4. โทมนัส (ความเสียใจ, ทุกขใ จ — Domanassa: mental pain; displeasure; grief) 5. อเุ บกขา (ความรูส ึกเฉยๆ — Upekkhà: indifference) เวทนา 5 น้ี เรยี กเตม็ มี อนิ ทรีย ตอทายทกุ คาํ เปน สุขนิ ทรีย เปนตน . S.IV.232. ส.ํ สฬ.18/433/287. [113] เวทนา 6 (การเสวยอารมณ — Vedanà: feeling) 1. จกั ขสุ มั ผสั สชาเวทนา (เวทนาเกดิ จากสมั ผสั ทางตา — Cakkhusamphassajà-vedanà: feeling arisen from visual contact) 2. โสต~เวทนา (เวทนาเกดิ จากสมั ผสั ทางหู — Sota~: from auditory contact) 3. ฆาน~เวทนา (เวทนาเกดิ จากสัมผสั ทางจมูก — Ghàna~: from olfactory contact) 4. ชวิ หา~เวทนา (เวทนาเกิดจากสมั ผัสทางลิ้น — Jivhà~: from gustatory contact) 5. กาย~เวทนา (เวทนาเกดิ จากสมั ผสั ทางกาย — Kàya~: from bodily contact) 6. มโน~เวทนา (เวทนาเกิดจากสมั ผัสทางใจ — Mano~: from mental contact) S.IV.232. สํ.สฬ.18/434/287. [114] สมบัติ 31 (ความพรงั่ พรอมสมบรู ณแหงสิ่งอนั ใหสาํ เรจ็ ความปรารถนา, ผลสําเรจ็ ทีใ่ ห สมความปรารถนา — Sampatti: prosperity; success; excellence) 1. มนษุ ยสมบตั ิ (สมบตั ิในมนุษย, สมบตั ิชั้นมนุษย — Manussa-sampatti: human prosperity) 2. เทวสมบตั ิ (สมบัตใิ นสวรรค, สวรรคสมบตั ิ, ทพิ ยสมบตั ิ — Deva-sampatti: heavenly prosperity) 3. นพิ พานสมบตั ิ (สมบตั ิคอื พระนิพพาน — Nibbàna-sampatti: successful attainment of Nibbàna) Kh.7; DhA.III.183. ข.ุ ขุ.25/9/12; ธ.อ.6/48. [115] สมบัติ 32 หรือ ทานสมบตั ิ 3 (ความถึงพรอม, ความพรงั่ พรอ มสมบรู ณ ซง่ึ ทําให ทานทีไ่ ดบริจาคแลว เปนทานอนั ยอดเยีย่ ม มผี ลมาก — Sampatti: successful attainment; accomplishment; excellence) 1. เขตตสมบตั ิ (บญุ เขตถงึ พรอ ม คอื ปฏิคาหก หรอื ผรู บั ทาน เปน ผูประพฤติดี ปฏบิ ัตชิ อบ ประกอบดวยคุณธรรม — Khetta-sampatti: excellence of the field of merit) 2. ไทยธรรมสมบัติ (ไทยธรรมถึงพรอ ม คอื สิ่งท่ีใหเ ปนของบรสิ ุทธิ์ ไดม าโดยชอบธรรม และเหมาะสมเปน ประโยชนแกผ ูรับ — Deyyadhamma-sampatti: excellence of the gift) 3. จิตตสมบัติ (เจตนาถงึ พรอ ม คอื ใหด ว ยความต้งั ใจ คดิ จะใหเ ปนประโยชนแ กผ รู บั แทจ ริง มีเจตนาบริสทุ ธ์ิทง้ั 3 กาล คอื กอ นใหใจยนิ ดี ขณะใหจิตผอ งใส ใหแ ลว เบิกบานใจ — Citta-

[116] 104 พจนานุกรมพุทธศาสตร sampatti: excellence of motive or intention) UdA.199. อุ.อ.251. [,,,] สมาธิ 3 ดู [46–47] สมาธิ 3. [116] สรณะ 3 หรือ ไตรสรณะ (ทพ่ี ึ่ง, ท่ีระลึก — Saraõa, Tisaraõa: the Threefold Refuge; Three Refuges; Threefold Guide) หมายถึงพระรตั นตรัย คือ พระพทุ ธเจา พระ ธรรม และพระสงฆ ดู [100] รัตนตรยั การนอมใจระลกึ ถงึ คณุ ของพระรัตนตรยั น้นั เขา ใจความหมายอยา งถูกตอ ง และยดึ ถือ เปนหลกั แหง ความประพฤติปฏิบตั ิหรอื เปนเครื่องนําทางในการดาํ เนนิ ชวี ติ โดยยงั้ ใจจากอกศุ ล และนาํ จิตเขา สกู ศุ ล เรียกวา สรณคมน ไตรสรณคมน หรอื ไตรสรณาคมน. Kh.1. ข.ุ ขุ.25/1/1. [117] สังขตลกั ษณะ 3 (ลกั ษณะแหง สงั ขตธรรม คอื สง่ิ ทปี่ จ จยั ปรงุ แตง ขน้ึ — Saïkhata- lakkhaõa: characteristics of the conditioned; condition-marks of the conditioned) 1. อุปปฺ าโท ปฺ ายติ (ความเกิดข้นึ ปรากฏ — Uppàda: Its arising appears.) 2. วโย ปฺายติ (ความดับสลาย ปรากฏ — Vaya: Its passing away or subsidence appears.) 3. ิตสฺส อฺ ถตฺตํ ปฺายติ (เม่อื ตั้งอยู ความแปรปรากฏ — A¤¤athatta: It persisting, alteration or changeability appears.) A.I.152. อง.ฺ ตกิ .20/486/192. [118] อสังขตลักษณะ 3 (ลักษณะแหงอสังขตธรรม — Asaïkhata-lakkhaõa: characteristics of the Unconditioned) 1. น อุปปฺ าโท ปฺ ายติ (ไมป รากฏความเกิด — No arising appears.) 2. น วโย ปฺายติ (ไมปรากฏความสลาย — No passing away appears.) 3. น ิตสสฺ อฺถตตฺ ํ ปฺ ายติ (เมอื่ ต้งั อยู ไมปรากฏความแปร — It persisting, no alteration appears.) A.I.152. องฺ.ติก.20/487/192. [119] สงั ขาร 31 (สภาพทปี่ รงุ แตง — Saïkhàra: formation; determination; function) 1. กายสังขาร (สภาพทปี่ รุงแตงกาย ไดแก อัสสาสะ ปส สาสะ คือ ลมหายใจเขาออก — Kàya-saïkhàra: bodily formation; bodily function) 2. วจสี งั ขาร (สภาพที่ปรุงแตงวาจา ไดแก วติ กและวจิ าร — Vacã-saïkhàra: verbal formation; verbal function) 3. จติ ตสงั ขาร (สภาพทป่ี รงุ แตง ใจ ไดแก สญั ญาและเวทนา — Citta-saïkhàra: mental

หมวด 3 105 [122] formation; mental function) สงั ขาร 3 ในหมวดน้ี มักมาในเรื่องทเี่ กยี่ วกับสัญญาเวทยติ นโิ รธ วาผเู ขา นโิ รธสมาบตั นิ ้ี วจสี ังขาร กายสังขาร และจติ ตสังขาร ดับไปตามลําดบั . M.I.301; S.IV.293. ม.ม.ู 12/509/550; ส.ํ สฬ.18/561/361. [120] สงั ขาร 32 (สภาพท่ีปรุงแตง, ธรรมมเี จตนาเปนประธานอนั ปรงุ แตงการกระทํา, สัญเจตนา หรอื เจตนาทีแ่ ตงกรรม — Saïkhàra: formation; determination; volition) 1. กายสังขาร (สภาพที่ปรงุ แตงการกระทําทางกาย ไดแ ก กายสญั เจตนา คอื ความจงใจทาง กาย — Kàya-saïkhàra: bodily formation; bodily volition) 2. วจีสังขาร (สภาพทีป่ รุงแตงการกระทาํ ทางวาจา ไดแ ก วจสี ญั เจตนา คอื ความจงใจทาง วาจา — Vaci-saïkhàra: verbal formation; verbal volition) 3. จิตตสังขาร หรอื มโนสังขาร (สภาพที่ปรงุ แตง การกระทําทางใจ ไดแ ก มโนสญั เจตนา คอื ความจงใจทางใจ — Citta-saïkhàra: mental formation; mental volition) สงั ขาร 3 ในหมวดนี้ ไดในความหมายของคําวา สงั ขาร ในปฏิจจสมุปบาท. ดู [129] อภิสงั ขาร 3; ดู [185] สังขาร 4 ดวย. M.I.54; 390; S.II.4; Vbh.135. ม.มู.12/127/99; ม.ม.13/88/83; สํ.นิ.16/16/4; อภ.ิ วิ.35/257/181. [121] สทั ธรรม 3 (ธรรมอันดี, ธรรมท่ีแท, ธรรมของสตั บุรุษ, หลักหรือแกนศาสนา — Saddhamma: good law; true doctrine; doctrine of the good; essential doctrine) 1. ปรยิ ตั ตสิ ทั ธรรม (สทั ธรรมคอื คาํ สงั่ สอนอนั จะตอ งเลา เรยี น ไดแ ก พทุ ธพจน — Pariyatti- saddhamma: the true doctrine of study; textual aspect of the true doctrine; study of the Text or Scriptures) 2. ปฏปิ ต ตสิ ทั ธรรม (สทั ธรรมคอื ปฏปิ ทาอนั จะตอ งปฏบิ ตั ิ ไดแ ก อฏั ฐงั คกิ มรรค หรอื ไตรสกิ ขา คอื ศลี สมาธิ ปญ ญา — Pañipatti-saddhamma: the true doctrine of practice; practical aspect of the true doctrine) 3. ปฏเิ วธสทั ธรรม (สทั ธรรมคอื ผลอนั จะพงึ เขา ถงึ หรอื บรรลดุ ว ยการปฏบิ ตั ิ ไดแ ก มรรค ผล และนพิ พาน — Pañivedha-saddhamma: the true doctrine of penetration; realizable or attainable aspect of the true doctrine) ขอ 3 คือ ปฏเิ วธสทั ธรรม บางแหงเรียก อธิคมสัทธรรม มีความหมายอยา งเดียวกัน. VinA.225; AA.V.33. วนิ ย.อ.1/264; ม.อ.3/147,523; อง.ฺ อ.3/391. [122] สนั โดษ 3 และ 12 (ความยนิ ดี, ความพอใจ, ความยินดดี ว ยของของตนซงึ่ ไดม าดว ย เร่ียวแรงความเพียรโดยชอบธรรม, ความยนิ ดีดวยปจจัยสตี่ ามมีตามได, ความรจู ักอ่ิมรจู ักพอ — Santosa, Santuññhi: contentment; satisfaction with whatever is one’s own)

[123] 106 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร 1. ยถาลาภสันโดษ (ยินดตี ามทไ่ี ด, ยนิ ดีตามท่พี ึงได คือ ตนไดส่ิงใดมา หรอื เพยี รหาส่ิงใดมา ได เม่อื เปน สง่ิ ทีต่ นพึงได ไมวา จะหยาบหรอื ประณีตแคไหน ก็ยินดีพอใจดว ยสิง่ นน้ั ไมติดใจ อยากไดส ่งิ อ่นื ไมเดอื ดรอ นกระวนกระวายเพราะสงิ่ ท่ตี นไมได ไมปรารถนาสงิ่ ทีต่ นไมพ งึ ไดห รือ เกนิ ไปกวาท่ีตนพึงไดโดยถูกตองชอบธรรม ไมเ พงเล็งปรารถนาของท่ีคนอนื่ ได ไมริษยาเขา — Yathàlàbha-santosa: contentment with what one gets and deserves to get) 2. ยถาพลสันโดษ (ยินดีตามกาํ ลัง คือ ยินดีแตพอแกก ําลังรา งกายสุขภาพและวสิ ัยแหง การ ใชสอยของตน ไมย ินดีอยากไดเ กินกําลัง ตนมีหรือไดส่งิ ใดมาอนั ไมถ กู กบั กาํ ลังรางกายหรอื สุข ภาพ เชน ภกิ ษุไดอาหารบณิ ฑบาตท่แี สลงตอ โรคของตน หรอื เกนิ กําลงั การบริโภคใชสอย ก็ไม หวงแหนเสยี ดายเก็บไวใหเ สียเปลา หรอื ฝนใชใ หเปน โทษแกตน ยอมสละใหแ กผอู ืน่ ท่ีจะใชไ ด และรับหรือแลกเอาส่ิงที่ถูกโรคกับตนแตเพียงที่พอแกกําลังการบริโภคใชสอยของตน — Yathàbala-santosa: contentment with what is within one’s strength or capacity) 3. ยถาสารปุ ปสนั โดษ (ยนิ ดีตามสมควร คือ ยนิ ดีตามทเ่ี หมาะสมกับตน อันสมควรแกภ าวะ ฐานะ แนวทางชีวิต และจุดหมายแหงการบําเพญ็ กิจของตน เชน ภิกษไุ มป รารถนาสิ่งของอัน ไมส มควรแกส มณภาวะ หรอื ภกิ ษุบางรปู ไดป จจยั ส่ีทม่ี ีคามาก เห็นวาเปนสง่ิ สมควรแกท า นผู ทรงคณุ สมบัตนิ า นับถือ ก็นาํ ไปมอบใหแกทา นผนู ้นั ตนเองใชแ ตส ิง่ อนั พอประมาณ หรือภิกษุ บางรูปกําลังประพฤตวิ ตั รขดั เกลาตน ไดของประณีตมา กส็ ละใหแกเ พื่อนภิกษรุ ปู อื่นๆ ตนเอง เลอื กหาของปอนๆ มาใช หรือตนเองมีโอกาสจะไดลาภอยา งหนึง่ แตรวู า ส่งิ นัน้ เหมาะสมหรอื เปนประโยชนแกท านผูอ นื่ ทเ่ี ชี่ยวชาญถนดั สามารถดา นน้นั กส็ ละใหลาภถงึ แกท านผนู นั้ ตนรบั เอาแตส ง่ิ ทเี่ หมาะสมกับตน — Yathàsàruppa-santosa: contentment with what is befitting) สนั โดษ 3 น้ี เปน ไปในปจจัย 4 แตละอยา ง จงึ รวมเรียกวา สันโดษ 12 อนึ่ง สันโดษ 3 นี้ เปน คําอธบิ ายของพระอรรถกถาจารย ซง่ึ มงุ แสดงขอปฏิบัติของพระ ภกิ ษโุ ดยเฉพาะ ปรากฏในอรรถกถาและฎกี ามากมายไมน อ ยกวา 10 แหง คฤหัสถพงึ พจิ ารณา ประพฤตปิ ฏิบัตติ ามสมควร. AA.I.45; KhA.145; UdA.229; etc. ที.อ.1/253; ม.อ.2/188; อง.ฺ อ.1/81; ขทุ ฺทก.อ.159; อ.ุ อ.288; ฯลฯ. [123] สปั ปรุ ิสบญั ญตั ิ 3 (บญั ญัติของสัตบุรุษ, ขอ ปฏิบัตทิ ี่สัตบุรษุ วางเปนแบบไว หรอื กลา วสรรเสรญิ ไว, ความดที ี่คนดถี อื ลงกัน — Sappurisa-pa¤¤atti: things established by righteous people; recommendation of the good) 1. ทาน (การใหปน, สละของตนเพอื่ ประโยชนแกผ ูอน่ื — Dàna: giving; generosity; charity; benefaction) 2. ปพพัชชา (การถือบวช, เวนการเบียดเบียน ดาํ รงในธรรม คอื อหงิ สา สัญญมะ และทมะ อันเปน อุบายใหไมเ บียดเบียนกนั และอยูรว มกันดว ยความสุข — Pabbajjà: renunciation consisting in non-violence, restraint and self-control)

หมวด 3 107 [125] 3. มาตาปต อุ ปุ ฏฐาน (การบํารงุ มารดาบดิ า, ปฏิบตั มิ ารดาบิดาของตนใหเ ปนสขุ — Màtà- pitu-upaññhàna: support of mother and father) A.I.151. อง.ฺ ตกิ .20/484/191. [,,,] สามัญลกั ษณะ 3 ดู [76] ไตรลกั ษณ. [124] สกิ ขา 3 หรือ ไตรสกิ ขา (ขอ ทจ่ี ะตอ งศึกษา, ขอปฏบิ ัตทิ เี่ ปนหลักสาํ หรับศึกษา คือ ฝก หัดอบรม กาย วาจา จติ ใจ และปญญา ใหย ิ่งข้ึนไปจนบรรลจุ ุดหมายสูงสุดคอื พระนิพพาน — Sikkhà: the Threefold Learning; the Threefold Training) 1. อธสิ ลี สิกขา (สกิ ขาคอื ศลี อนั ย่งิ , ขอปฏิบตั สิ าํ หรับฝก อบรมในทางความประพฤติอยา งสูง — Adhisãla-sikkhà: training in higher morality) 2. อธจิ ิตตสกิ ขา (สกิ ขาคือจติ อนั ย่งิ , ขอ ปฏบิ ตั สิ าํ หรับฝกอบรมจติ เพ่อื ใหเกดิ คณุ ธรรมเชน สมาธอิ ยา งสูง — Adhicitta-sikkhà: training in higher mentality) 3. อธิปญญาสิกขา (สิกขาคือปญญาอันยิ่ง, ขอปฏิบัติสําหรับฝกอบรมปญญาเพื่อใหเกิด ความรแู จง อยางสูง — Adhipa¤¤à-sikkhà: training in higher wisdom) เรยี กงา ยๆ วา ศลี สมาธิ ปญ ญา (morality, concentration and wisdom) D.III.220; A.I.229. ท.ี ปา.11/228/231; องฺ.ตกิ .20/521/294. [,,,] สุจริต 3 ดู [81] สุจรติ 3. [,,,] โสดาบนั 3 ดู [58] โสดาบัน 3. [,,,] อกศุ ลมูล 3 ดู [68] อกศุ ลมูล 3. [,,,] อกศุ ลวติ ก 3 ดู [70] อกศุ ลวิตก 3. [125] อธปิ ไตย 3 (ความเปน ใหญ, ภาวะทถี่ อื เอาเปน ใหญ — Adhipateyya: dominant influence; supremacy) 1. อัตตาธิปไตย (ความมีตนเปนใหญ, ถือตนเปนใหญ, กระทําการดวยปรารภตนเปน ประมาณ — Attàdhipateyya: supremacy of self; self-dependence) 2. โลกาธปิ ไตย (ความมโี ลกเปนใหญ, ถอื โลกเปนใหญ, กระทาํ การดว ยปรารภนยิ มของโลก เปน ประมาณ — Lokàdhipateyya: supremacy of the world or public opinion) 3. ธัมมาธิปไตย (ความมีธรรมเปน ใหญ, ถือธรรมเปน ใหญ, กระทาํ การดวยปรารภความถูก ตอ ง เปน จรงิ สมควรตามธรรม เปนประมาณ — Dhammàdhipateyya: supremacy of the Dhamma or righteousness; rule of the Dhamma; rule of the true law) ผเู ปนอตั ตาธิปก พงึ ใชสติใหม าก; ผเู ปน โลกาธปิ ก พงึ มปี ญ ญาครองตน และรูพินิจ; ผเู ปน ธรรมาธิปก พึงประพฤติใหถูกหลักธรรม; ผูเปนหัวหนาหมูเปนนักปกครอง พึงถือ

[126] 108 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร ธรรมาธิปไตย. D.III.220; A.I.147. ท.ี ปา.11/228/231; อง.ฺ ตกิ .20/479/186. [126] อนตุ ตรยิ ะ 3 (ภาวะอันยอดเย่ียม, ส่ิงที่ยอดเย่ยี ม — Anuttariya: excellent states; highest ideal; greatest good; unsurpassable experiences) 1. ทสั สนานุตตริยะ (การเหน็ อนั เยย่ี ม ไดแก ปญญาอันเห็นธรรม หรอื อยา งสงู สุดคอื เห็น นิพพาน — Dassanànuttariya: ideal sight, supreme or unsurpassable vision) 2. ปฏิปทานุตตริยะ (การปฏิบัติอนั เยีย่ ม ไดแก การปฏบิ ัติธรรมทีเ่ ห็นแลว กลา วใหง าย หมายเอามรรคมีองค 8 — Pañipadànuttariya: ideal course; supreme way) 3. วมิ ุตตานุตตริยะ (การพน อันเย่ยี ม ไดแก ความหลดุ พน อันเปน ผลแหง การปฏิบัตนิ น้ั คอื ความหลดุ พนจากกเิ ลสและทุกขทัง้ ปวง หรือนิพพาน — Vimuttànuttariya: ideal freedom; supreme deliverance) D.III.219; M.I.235. ท.ี ปา.11/228/231; ม.มู.12/402/435. [127] อนุตตรยิ ะ 6 (ภาวะอนั ยอดเย่ยี ม, สงิ่ ทย่ี อดเย่ยี ม — Anuttariya: excellent, supreme or unsurpassable experiences) 1. ทสั สนานุตตริยะ (การเหน็ อนั เยยี่ ม ไดแ ก การเหน็ พระตถาคต และตถาคตสาวก รวมถงึ สง่ิ ทั้งหลายทีจ่ ะใหเ กดิ ความเจรญิ งอกงามแหง จิตใจ — Dassanànuttariya: supreme sight) 2. สวนานุตตรยิ ะ (การฟงอันเย่ยี ม ไดแก การสดับธรรมของพระตถาคต และตถาคตสาวก — Savanànuttariya: supreme hearing) 3. ลาภานตุ ตรยิ ะ (การไดอนั เยย่ี ม ไดแก การไดศ รัทธาในพระตถาคตและตถาคตสาวก หรอื การไดอริยทรัพย — Làbhànuttariya: supreme gain) 4. สิกขานุตตริยะ (การศกึ ษาอนั เยย่ี ม ไดแ ก การฝกอบรมในอธิศีล อธจิ ิตต และอธิปญญา — Sikkhànuttariya: supreme training) 5. ปาริจริยานตุ ตริยะ (การบาํ เรออนั เยยี่ ม ไดแ ก การบาํ รงุ รบั ใชพ ระตถาคต และตถาคตสาวก — Pàricariyànuttariya: supreme service or ministry) 6. อนุสสตานตุ ตริยะ (การระลึกอันเยยี่ ม ไดแก การระลึกถึงพระตถาคต และตถาคตสาวก — Anussatànuttariya: supreme memory) โดยสรปุ คอื การเหน็ การฟง การได การศึกษา การชว ยรับใช และการราํ ลกึ ทจ่ี ะเปน ไป เพ่ือความบริสทุ ธิ์ ลว งพนโสกะปรเิ ทวะ ดับสญู ทุกขโทมนสั เพือ่ การบรรลุญายธรรม ทําใหแจง ซึง่ นิพพาน D.III.250,281; A.III.284,325,452. ท.ี ปา.11/321/262; 430/307; อง.ฺ ฉกกฺ .22/279/316; 301/363. [128] อปณณกปฏิปทา 3 (ขอปฏิบตั ทิ ไี่ มผ ดิ , ปฏิปทาทเ่ี ปนสวนแกนสารเนื้อแท ซ่งึ จะนํา ผูปฏิบัติใหถึงความเจริญงอกงามในธรรม เปนผูดําเนินอยูในแนวทางแหงความปลอดพนจาก

หมวด 3 109 [130] ทกุ ขอ ยา งแนนอนไมผิดพลาด — Apaõõaka-pañipadà: sure course; sure practice; unimpeachable path) 1. อินทรียสังวร (การสํารวมอินทรีย คือระวังไมใหบาปอกุศลธรรมครอบงําใจ เมื่อรับรู อารมณด วยอินทรียทั้ง 6 — Indriya-sa§vara: control of the senses) 2. โภชเนมตั ตญั ุตา (ความรูจักประมาณในการบรโิ ภค คอื รูจักพิจารณารับประทานอาหาร เพอ่ื หลอ เลยี้ งรา งกายใชท าํ กจิ ใหช วี ติ ผาสกุ มใิ ชเ พอ่ื สนกุ สนานมวั เมา — Bhojane-matta¤¤utà: moderation in eating) 3. ชาครยิ านโุ ยค (การหมนั่ ประกอบความตืน่ ไมเหน็ แกนอน คอื ขยันหมั่นเพยี ร ตื่นตวั อยู เปนนิตย ชําระจิตมิใหมีนิวรณ พรอมเสมอทุกเวลาที่จะปฏิบัติกิจใหกาวหนาตอไป — Jàgariyànuyoga: practice of wakefulness) A.I.113. อง.ฺ ติก.20/455/142. [129] อภสิ งั ขาร 3 (สภาพทป่ี รงุ แตง , ธรรมมเี จตนาเปน ประธานอนั ปรงุ แตง ผลแหง การ กระทาํ , เจตนาทเี่ ปน ตวั การในการทาํ กรรม — Abhisaïkhàra: volitional formation; formation; activity) 1. ปุญญาภสิ ังขาร (อภสิ งั ขารที่เปน บญุ , สภาพที่ปรุงแตง กรรมฝายดี ไดแกกุศลเจตนาทีเ่ ปน กามาวจรและรปู าวจร — Pu¤¤àbhisaïkhàra: formation of merit; meritorious formation) 2. อปญุ ญาภสิ งั ขาร (อภสิ งั ขารทเ่ี ปน ปฏปิ ก ษต อ บญุ คอื เปน บาป, สภาพทปี่ รงุ แตง กรรมฝา ยชว่ั ไดแ กอ กศุ ลเจตนาทง้ั หลาย — Apu¤¤àbhisaïkhàra: formation of demerit; demeritorious formation) 3. อาเนญชาภิสังขาร (อภสิ ังขารท่ีเปน อาเนญชา, สภาพท่ปี รงุ แตงภพอนั มั่นคงไมห วน่ั ไหว ไดแกก ศุ ลเจตนาทเ่ี ปน อรปู าวจร 4 หมายเอาภาวะจติ ท่มี ัน่ คงแนวแนดวยสมาธแิ หงจตุตถฌาน — âne¤jàbhisaïkhàra: formation of the imperturbable; imperturbability-producing volition) อภิสงั ขาร 3 น้ี เปนความหมายของสังขารในหลกั ปฏิจจสมุปบาท ทานแสดงไวอ ีกนยั หนึง่ เพิม่ จากนัยวา สงั ขาร 3 ดู [119] สังขาร 3 2 Ps.II.206; Vbh.135. ขุ.ปฏ.ิ 31/280/181; อภ.ิ วิ.35/257/181. [130] อัคคิ 31 (ไฟ, กิเลสทเี่ ปรียบเหมือนไฟ เพราะเผาลนจิตใจใหเรา รอนและแสพ รานไป — Aggi: fires to be avoided or abandoned) 1. ราคคั คิ (ไฟคอื ราคะ ไดแกความตดิ ใจ กระสัน อยากได — Ràgaggi: fire of lust) 2. โทสคั คิ (ไฟคอื โทสะ ไดแ กค วามขดั เคอื ง ไมพ อใจ คดิ ประทษุ รา ย — Dosaggi: fire of hatred) 3. โมหัคคิ (ไฟคอื โมหะ ไดแกความหลง ไมรไู มเขาใจสภาวะของสง่ิ ทงั้ หลายตามเปนจริง — Mohaggi: fire of delusion)

[131] 110 พจนานุกรมพทุ ธศาสตร ไฟ 3 อยางน้ี ทานสอนใหล ะเสีย D.III.217; It.92. ท.ี ปา.11/228/229; ขุ.อติ ิ.25/273/301. [131] อัคคิ 32 หรือ อคั คปิ าริจรยิ า (ไฟทีค่ วรบํารงุ , บคุ คลที่ควรบชู าดว ยใสใจบํารงุ เลย้ี ง และใหความเคารพนับถือตามควรแกฐานะ ดุจไฟบูชาของผบู ูชาไฟ — Aggi: fires to be revered or worshipped) 1. อาหุไนยัคคิ (ไฟอันควรแกข องคาํ นับบูชา ไดแ กบดิ ามารดา — âhuneyyaggi: fire worthy of reverential gifts, i.e. mother and father) 2. คหปตัคคิ (ไฟของเจา บาน ไดแก บุตรภรรยา และคนในปกครอง — Gahapataggi: fire of the householder, i.e. children, wife and dependents) 3. ทักขไิ ณยัคคิ (ไฟอนั ควรแกทกั ษณิ า ไดแกส มณพราหมณ ทา นผทู าํ หนาทีส่ ง่ั สอนผดงุ ธรรม ผูประพฤตดิ ี ปฏิบัตชิ อบ — Dakkhiõeyyaggi: fire worthy of offerings, i.e. monks and other religious men) ไฟ 3 อยา งน้ี เลียนศพั ทมาจากไฟบชู าในศาสนาพราหมณ แตใชใ นความหมายใหม เพอ่ื ให เปนประโยชนแ กชีวติ และสงั คมอยางแทจ ริง. D.III.217; A.IV.44. ท.ี ปา.11/228/229; องฺ.สตฺตก.23/44/46. [132] อตั ถะ หรือ อรรถ 31 (ประโยชน, ผลทมี่ งุ หมาย, จุดหมาย, ความหมาย — Attha: benefit; advantage; welfare; aim; goal; meaning) 1. ทฏิ ฐธมั มกิ ัตถะ (ประโยชนปจ จุบนั , ประโยชนในโลกน้ี, ประโยชนขน้ั ตน — Diññha- dhammikattha: benefits obtainable here and now; the good to be won in this life; temporal welfare) 2. สัมปรายกิ ัตถะ (ประโยชนเ บือ้ งหนา, ประโยชนใ นภพหนา, ประโยชนข ัน้ สงู ข้ึนไป — Samparàyikattha: the good to be won in the life to come; spiritual welfare) 3. ปรมตั ถะ (ประโยชนส งู สดุ , จดุ หมายสูงสุด คอื พระนิพพาน — Paramattha: the highest good; final goal, i.e. Nibbàna) อัตถะ 3 หมวดนี้ ในพระสตู รทว่ั ไปมักแสดงเฉพาะขอ 1 และขอ 2 โดยใหขอ 2 มคี วาม หมายครอบคลุมถึงขอ 3 ดว ย (เชน ข.ุ อิติ.25/201/242; อธบิ ายใน อติ .ิ อ.92) บางแหงก็กลา ว ถงึ ปรมัตถะไวตางหากโดยเฉพาะ (เชน ขุ.ส.ุ 25/296/338; 313/366; ข.ุ อป.33/165/343) Nd1169, 178, 357; Nd226. ขุ.ม.29/292/205; 320/217; 727/432; ข.ุ จ.ู 30/673/333. [133] อตั ถะ หรือ อรรถ 32 (ประโยชน, ผลทมี่ ุงหมาย — Attha: benefit; advantage; gain; welfare) 1. อตั ตัตถะ (ประโยชนต น — Attattha: gain for oneself; one’s own welfare)

หมวด 3 111 [136] 2. ปรัตถะ (ประโยชนผอู ่ืน — Parattha: gain for others; others’ welfare) 3. อภุ ยตั ถะ (ประโยชนท งั้ สองฝา ย — Ubhayattha: gain both for oneself and for others; welfare both of oneself and of all others) S.II.29; S.V.121-5; A.I.9; A.III.64; Nd1168; Nd226. ส.ํ นิ.16/67/35; สํ.ม.19/603/167; อง.ฺ ทกุ .20/46/10; องฺ.ปฺจก.22/51/72 [134] อาการทพี่ ระพทุ ธเจา ทรงสงั่ สอน 3 (ลกั ษณะการสอนของพระพทุ ธเจา ที่ทาํ ให คําสอนของพระองคค วรแกก ารประพฤตปิ ฏิบตั ิตาม และทําใหเ หลาสาวกเกิดความมนั่ ใจเคารพ เลื่อมใสในพระองคอ ยางแทจ รงิ — Buddha-dhammadesanà: the three aspects of the Buddha’s teaching; the Buddha’s manners of teaching) 1. อภญิ ญายธมั มเทสนา (ทรงแสดงธรรมดว ยความรยู งิ่ , ทรงรยู งิ่ เหน็ จรงิ เองแลว จงึ ทรงสอนผู อน่ื เพอื่ ใหร ยู งิ่ เหน็ จรงิ ตาม ในธรรมทคี่ วรรยู ง่ิ เหน็ จรงิ — Abhi¤¤àya-dhammadesanà: Having himself fully comprehended, he teaches others for the full comprehending of what should be fully comprehended; teaching with full comprehension) 2. สนทิ านธมั มเทสนา (ทรงแสดงธรรมมเี หตผุ ล, ทรงสง่ั สอนชแี้ จงใหเ หน็ เหตผุ ลไมเ ลอื่ นลอย — Sanidàna-dhammadesanà: He teaches the doctrine that has a causal basis; teaching in terms of or with reference to causality) 3. สปั ปาฏหิ ารยิ ธมั มเทสนา (ทรงแสดงธรรมใหเ หน็ จรงิ ไดผ ลเปน อศั จรรย, ทรงสง่ั สอนใหม อง เหน็ ชดั เจนสมจรงิ จนตอ งยอมรบั และนาํ ไปปฏบิ ตั ไิ ดผ ลจรงิ เปน อศั จรรย — Sappàñihàriya- dhammadesanà: He teaches the doctrine that is wondrous as to its convincing power and practicality; teaching in such a way as to be convincing and practical) ขอ 1 บางทา นแปลวา “ทรงแสดงธรรมเพอ่ื ความรยู ง่ิ ” M.II.9; A.I.276. ม.ม.13/330/322; อง.ฺ ตกิ .20/565/356. [135] อาสวะ 3 (สภาวะอนั หมกั ดองสันดาน, สิง่ ท่ีมอมพ้นื จติ , กิเลสท่ไี หลซมึ ซานไปยอมใจ เม่ือประสบอารมณต า งๆ — âsava: mental intoxication; canker; bias; influx; taint) 1. กามาสวะ (อาสวะคอื กาม — Kàmàsava: canker of sense-desire) 2. ภวาสวะ (อาสวะคอื ภพ — Bhavàsava: canker of becoming) 3. อวิชชาสวะ (อาสวะคืออวชิ ชา — Avijjàsava: canker of ignorance) ดู [136] อาสวะ 4 ดวย. D.II.81; S.IV.256. ท.ี ม.10/76/96; ส.ํ สฬ.18/504/315. [136] อาสวะ 4 (âsava: mental intoxication; canker) 1. กามาสวะ (อาสวะคอื กาม — Kàmàsava: canker of sense-desire) 2. ภวาสวะ (อาสวะคอื ภพ — Bhavàsava: canker of becoming)

[136] 112 พจนานกุ รมพุทธศาสตร 3. ทฏิ ฐาสวะ (อาสวะคือทฏิ ฐิ — Diññhàsava: canker of views or speculation) 4. อวชิ ชาสวะ (อาสวะคอื อวิชชา — Avijjàsava: canker of ignorance) ในทีม่ าสวนมาก โดยเฉพาะในพระสตู ร แสดงอาสวะไว 3 อยา ง โดยสงเคราะหทิฏฐาสวะ เขาในภวาสวะ (ม.อ.1/93) Vbh.373. อภ.ิ วิ.35/961/504. [,,,] โอวาทของพระพทุ ธเจา 3 ดู [97] พทุ ธโอวาท 3.

จตกุ กะ — หมวด 4 Groups of Four (including related groups) [137] กรรมกิเลส 4 (กรรมเคร่อื งเศราหมอง, ขอ เสอื่ มเสียของความประพฤติ — Kamma- kilesa: defiling actions; contaminating acts; vices of conduct) 1. ปาณาตบิ าต (การตัดรอนชวี ติ — Pàõàtipàta: destruction of life) 2. อทนิ นาทาน (ถอื เอาของทเ่ี จา ของมไิ ดใ ห, ลกั ขโมย — Adinnàdàna: taking what is not given) 3. กาเมสมุ จิ ฉาจาร (ประพฤตผิ ิดในกาม — Kàmesumicchàcàra: sexual misconduct) 4. มุสาวาท (พูดเทจ็ — Musàvàda: false speech) D.III.181. ท.ี ปา.11/174/195. [,,,] กลั ยาณมติ ร 4 ในท่ีนี้ใชเ ปนคําเรียกมิตรแท ตามบาลีเรียกวา สุหทมติ ร ดู [169] สหุ ทมติ ร 4. [,,,] กจิ ในอริยสจั จ 4 ดู [205] กิจในอรยิ สัจจ 4. [138] กลุ จิรัฏฐิติธรรม 4 (ธรรมสําหรบั ดํารงความมั่งคัง่ ของตระกูลใหยง่ั ยืน, เหตุท่ีทาํ ให ตระกลู ม่ังคงั่ ตง้ั อยูไ ดนาน — Kula-ciraññhiti-dhamma: reasons for lastingness of a wealthy family) 1. นัฏฐคเวสนา (ของหายของหมด รจู กั หามาไว — Naññhagavesanà: seeking for what is lost) 2. ชณิ ณปฏสิ งั ขรณา (ของเกา ของชาํ รดุ รูจ กั บรู ณะซอมแซม — Jiõõapañisaïkharaõà: repairing what is worn out) 3. ปรมิ ติ ปานโภชนา (รจู กั ประมาณในการกนิ การใช — Parimitapànabhojanà: moderation in spending) 4. อธปิ จ จสลี วันตสถาปนา (ตง้ั ผมู ีศีลธรรมเปนพอ บา นแมเ รือน — Adhipaccasãlavanta- ñhàpanà: putting in authority a virtuous woman or man) เหตทุ ี่ตระกลู มง่ั ค่งั จะตั้งอยนู านไมไ ด พงึ ทราบโดยนัยตรงขา มจากน.้ี A.II.249. อง.ฺ จตกุ ฺก.21/258/333. [139] ฆราวาสธรรม 4 (ธรรมสาํ หรับฆราวาส, ธรรมสําหรับการครองเรือน, หลักการ ครองชีวติ ของคฤหสั ถ — Gharàvàsa-dhamma: virtues for a good household life;

[140] 114 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร virtues for lay people) 1. สจั จะ (ความจรงิ , ซอื่ ตรง ซอื่ สตั ย จรงิ ใจ พดู จรงิ ทาํ จรงิ — Sacca: truth and honesty) 2. ทมะ (การฝก ฝน, การขม ใจ ฝก นิสัย ปรบั ตวั , รจู กั ควบคมุ จิตใจ ฝกหดั ดัดนสิ ยั แกไ ขขอ บก พรอง ปรับปรุงตนใหเจรญิ กาวหนา ดวยสตปิ ญ ญา — Dama: taming and training oneself; adjustment; self-development) 3. ขนั ติ (ความอดทน, ตงั้ หนาทําหนาท่ีการงานดว ยความขยันหม่นั เพียร เขม แข็ง ทนทาน ไม หวน่ั ไหว ม่ันในจุดหมาย ไมทอ ถอย — Khanti: tolerance; forbearance; perseverance) 4. จาคะ (ความเสยี สละ, สละกิเลส สละความสุขสบายและผลประโยชนสวนตนได ใจกวาง พรอมทจี่ ะรบั ฟงความทุกข ความคดิ เหน็ และความตองการของผอู น่ื พรอ มทจ่ี ะรวมมอื ชวย เหลอื เออ้ื เฟอ เผอื่ แผ ไมค บั แคบเหน็ แกต นหรอื เอาแตใ จตวั — Càga: liberality; generosity) ในธรรมหมวดน้ี ทมะ ทา นมุงเอาดา นปญ ญา ขันติ ทานเนนแงวริ ิยะ. S.I.215; Sn.189. สํ.ส.15/845/316; ขุ.สุ.25/311/361. [140] จักร 4 (ธรรมนําชีวิตไปสคู วามเจริญรุง เรอื ง ดุจลอ นํารถไปสทู ห่ี มาย — Cakka: virtues wheeling one to prosperity) 1. ปฏริ ูปเทสวาสะ (อยใู นถน่ิ ท่ีดี มีส่งิ แวดลอมเหมาะสม — Pañiråpadesavàsa: living in a suitable region; good or favourable environment) 2. สปั ปรุ สิ ูปสสยะ (สมาคมกบั สตั บรุ ษุ — Sappurisåpassaya: association with good people) 3. อตั ตสมั มาปณิธิ (ต้งั ตนไวช อบ, ตง้ั จติ คดิ มุงหมายนําตนไปถูกทาง — Attasammà- paõidhi: setting oneself in the right course; aspiring and directing oneself in the right way) 4. ปุพเพกตปุญญตา (ความเปนผไู ดทําความดีไวกอ นแลว, มีพ้นื เดมิ ด,ี ไดสรา งสมคุณความ ดเี ตรยี มพรอมไวแ ตต น — Pubbekatapu¤¤atà: having formerly done meritorious deeds; to have prepared oneself with good background) ธรรม 4 ขอ นี้ เรยี กอกี อยา งหนง่ึ วา พหกุ ารธรรม คอื ธรรมมอี ปุ การะมาก (virtues of great assistance) เปน เครอ่ื งชว ยใหส ามารถสรา งสมความดอี น่ื ๆ ทกุ อยา ง และชว ยใหป ระสบความ เจรญิ กา วหนา ในชวี ติ บรรลคุ วามงอกงามไพบลู ย. A.II.32; D.III.276. องฺ.จตุกกฺ .21/31/41; ที.ปา.11/400/293. [141] เจดยี  4 (ส่ิงท่กี อข้นึ , ทีเ่ คารพบูชา, ส่ิงท่เี ตอื นใจใหระลกึ ถึง, ในท่นี ้ีหมายถงึ สถานที่หรอื สงิ่ ทเ่ี คารพบชู าเนอ่ื งดว ยพระพทุ ธเจา หรอื พระพทุ ธศาสนา เรยี กเตม็ วา สมั มาสมั พทุ ธเจดยี  หรือ พทุ ธเจดีย — Cetiya: shrine; Buddhist monument; objects of homage) 1. ธาตเุ จดยี  (เจดยี บ รรจพุ ระบรมสารรี กิ ธาตุ — Dhàtu-cetiya: a relic shrine; sepulchral

หมวด 4 115 [143] or reliquary monument; stupa enshrining the Buddha’s relics) 2. บรโิ ภคเจดีย (เจดยี คือส่งิ หรือสถานทีท่ พี่ ระพุทธเจา เคยทรงใชสอย อยางแคบหมายถงึ ตน โพธ์ิ อยา งกวา งหมายถงึ สงั เวชนียสถาน 4 ตลอดจนส่งิ ท้ังปวงทพี่ ระพุทธเจาเคยทรงบริโภค เชน บาตร จีวร และบรขิ ารอืน่ ๆ เปน ตน — Paribhoga-cetiya: a shrine by use or by association; things and places used by the Buddha, esp. the Bodhi tree) 3. ธรรมเจดยี  (เจดยี บ รรจพุ ระธรรม เชน บรรจใุ บลานจารกึ พทุ ธพจนแ สดงหลกั ปฏจิ จสมปุ บาท เปน ตน — Dhamma-cetiya: a doctrinal shrine; monument of the Teaching where inscribed palm-leaves or tablets or scriptures are housed) 4. อทุ เทสิกเจดีย (เจดยี สรางอทุ ิศพระพทุ ธเจา ไดแก พระพุทธรปู — Uddesika-cetiya: a shrine by dedication, i.e. a Buddha-image) เจดยี เ หลา น้ี ในทมี่ าแตล ะแหง ทา นแสดงไว 3 ประเภท นบั รวมทไี่ มซ า้ํ เขา ดว ยกนั จงึ เปน 4. KhA.222; J.IV.228. ขุททฺ ก.อ.247; ชา.อ.6/185; วินย.ฏีกา1/263. [,,,] ฌาน 4 ดู [9] ฌาน 4. [142] ถูปารหบุคคล 4 (บคุ คลผคู วรแกส ถปู , ผูมีคุณความดพี เิ ศษควรสรา งสถูปไวเ คารพ บูชา — Thåpàraha-puggala: persons worthy of a stupa or monument) 1. พระตถาคตอรหนั ตสัมมาสัมพทุ ธเจา (พระพทุ ธเจา — Buddha: the Buddha; Fully Enlightened One) 2. พระปจ เจกพุทธเจา (Paccekabuddha: Individually Enlightened One; private Buddha) 3. พระตถาคตสาวก (สาวกของพระพุทธเจา ปกติหมายเอาพระอรหันต — Tathàgata- sàvaka: a disciple of the Buddha; an Arahant) 4. พระเจาจักรพรรดิ (จอมราชผูทรงธรรม, พระเจา ธรรมกิ ราช — Cakkavatti: a righteous universal monarch; great righteous king or ruler) D.II.142. ที.ม.10/134/165. [143] ทักขณิ าวสิ ทุ ธิ 4 (ความบรสิ ทุ ธแิ์ หง ทกั ษิณา คอื ของทําบุญ — Dakkhiõà- visuddhi: purifications of offerings; purities in gifts) 1. ทกั ขิณาทบ่ี ริสุทธฝ์ิ า ยทายก ไมบ ริสุทธฝ์ิ า ยปฏิคาหก (คอื ทายกมศี ลี มกี ลั ยาณธรรม แต ปฏิคาหกทุศลี มบี าปธรรม — the offering purified on the part of the giver, not of the recipient) 2. ทักขิณาทีบ่ ริสทุ ธ์ิฝา ยปฏิคาหก ไมบ ริสทุ ธ์ิฝา ยทายก (คือ ทายกทุศีล มบี าปธรรม แต ปฏิคาหกมศี ีล มกี ลั ยาณธรรม — the offering purified on the part of the recipient, not of the giver)

[144] 116 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร 3. ทักขิณาทไ่ี มบ ริสุทธิท์ ง้ั ฝายทายก ทัง้ ฝายปฏิคาหก (คือ ทั้งสองฝา ยทศุ ีล มบี าปธรรม — the offering purified on neither side) 4. ทกั ขิณาทบี่ รสิ ุทธท์ิ ั้งฝา ยทายก ทง้ั ฝา ยปฏิคาหก (คอื ทง้ั สองฝา ยมศี ลี มกี ลั ยาณธรรม — the offering purified on both sides) D.III.231; M.III.256; A.II.80; Kvu.557. ท.ี ปา.11/266/243; ม.อุ.14/714/461; อง.ฺ จตกุ ฺก.21/78/104; อภิ.ก.37/1732/590. [,,,] ทรัพยจ ดั สรรเปน 4 สวน ดู [163] โภควิภาค 4. [144] ทฏิ ฐธมั มกิ ตั ถสงั วตั ตนกิ ธรรม 4 (ธรรมทเี่ ปน ไปเพอื่ ประโยชนใ นปจ จบุ นั , หลกั ธรรมอันอํานวยประโยชนสุขขั้นตน — Diññhadhammikattha-sa§vattanika-dhamma: virtues conducive to benefits in the present; virtues leading to temporal welfare) 1. อุฏฐานสัมปทา (ถึงพรอ มดว ยความหม่ัน คือ ขยันหม่ันเพียรในการปฏบิ ัติหนา ทกี่ ารงาน ประกอบอาชีพอันสุจริต มีความชํานาญ รูจักใชป ญ ญาสอดสอ ง ตรวจตรา หาอบุ ายวธิ ี สามารถจดั ดาํ เนินการใหไดผลดี — Uññhànasampadà: to be endowed with energy and industry; achievement of diligence) 2. อารกั ขสัมปทา (ถึงพรอมดวยการรักษา คือ รจู ักคุมครองเกบ็ รกั ษาโภคทรพั ย และผลงาน อันตนไดทําไวดวยความขยันหมั่นเพียร โดยชอบธรรม ดวยกําลังงานของตน ไมใหเปน อนั ตรายหรอื เสอ่ื มเสยี — ârakkhasampadà: to be endowed with watchfulness; achievement of protection) 3. กลั ยาณมติ ตตา (คบคนดีเปนมิตร คือ รจู กั กําหนดบคุ คลในถิน่ ท่ีอาศยั เลือกเสวนา สําเหนยี กศึกษาเย่ยี งอยา งทานผูทรงคณุ มีศรัทธา ศีล จาคะ ปญญา — Kalyàõamittatà: good company; association with good people) 4. สมชีวติ า (มีความเปน อยูเหมาะสม คือ รูจักกาํ หนดรายไดและรายจา ยเล้ียงชีวติ แตพอดี มิ ใหฝ ดเคอื งหรอื ฟูมฟาย ใหร ายไดเหนอื รายจา ย มปี ระหยดั เก็บไว — Samajãvità: balanced livelihood; living economically) ธรรมหมวดนเ้ี รยี กกนั สนั้ ๆ วา ทฏิ ฐธมั มกิ ตั ถะ หรอื เรยี กตดิ ปากอยา งไทยๆ วา ทฏิ ฐธมั มกิ ตั ถ- ประโยชน (อตั ถะ แปลวา ประโยชน จึงมีประโยชนซ ้ําซอ นกนั สองคาํ ) A.IV.281. อง.ฺ อฏก.23/144/289. [,,,] เทวทูต 4 ดู [150] นมิ ิต 4. [,,,] ธรรมมีอุปการะมาก 4 ดู [140] จกั ร 4. [,,,] ธรรมเปน เหตใุ หส มหมาย 4 ดู [191] สัมปรายิกตั ถสงั วัตตนกิ ธรรม 4. [145] ธรรมสมาทาน 4 (ขอทีย่ ึดถือเอาเปนหลักความประพฤตปิ ฏบิ ัติ, หลกั การทปี่ ระพฤต,ิ การทก่ี ระทาํ , การประกอบกรรม — Dhamma-samàdàna: religious undertakings;

หมวด 4 117 [147] undertaken courses of practices) 1. ธรรมสมาทานทใ่ี หท กุ ขใ นปจ จบุ นั และมีทกุ ขเปน วบิ ากตอ ไป (เชน การประพฤติวตั ร ทรมานตนของพวกอเจลก หรอื การประพฤติอกุศลกรรมบถดวยความยากลําบาก ทงั้ มคี วาม เดือดรอนใจ เปน ตน — the undertaking that gives suffering in the present and results in suffering in the future) 2. ธรรมสมาทานทใี่ หท กุ ขในปจ จบุ ัน แตม สี ขุ เปนวบิ ากตอไป (เชน ผทู ่ีกิเลสมกี ําลังแรงกลา ฝน ใจพยายามประพฤตพิ รหมจรรยใหบรสิ ุทธิ์บรบิ ูรณ หรอื ผทู ีป่ ระพฤตกิ ุศลกรรมบถดวยความ ยากลําบาก เปน ตน — the undertaking that gives suffering in the present but results in happiness in the future) 3. ธรรมสมาทานทใี่ หส ขุ ในปจ จบุ นั แตม ที กุ ขเ ปน วบิ ากตอ ไป (เชน การหลงมวั เมาหมกมนุ อยใู น กาม หรอื การประพฤตอิ กศุ ลกรรมบถดว ยความสนกุ สนานพอใจ เปน ตน — the undertaking that gives happiness in the present but results in suffering in the future) 4. ธรรมสมาทานท่ีใหส ขุ ในปจจุบนั และมีสขุ เปน วบิ ากตอไป (เชน ผทู ีก่ ิเลสมีกําลังนอ ย ประพฤตพิ รหมจรรยด ว ยความพอใจ ไดเ สวยเนกขัมมสขุ หรือผูที่ประพฤติกศุ ลกรรมบถดวย ความพอใจ ไดเสวยสขุ โสมนสั เปนตน — the undertaking that gives happiness in the present and results in happiness in the future) D.III.229; M.I.305–316. ท.ี ปา.11/251/241; ม.ม.ู 12/515–534/556–575. [146] ธาตุ 4 (สงิ่ ท่ีทรงสภาวะของตนอยเู อง คือมีอยูโดยธรรมดา เปน ไปตามเหตุปจจัย ไมม ผี ู สรา ง ไมม อี ตั ตา มใิ ชสัตว มใิ ชชีวะ — Dhàtu: elements) ไดแก ปฐวธี าตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ และ วาโยธาตุ คอื มหาภูต หรอื ภูตรปู 4 น่ันเอง. ดู [39] มหาภตู 4 และ [146] ธาตุกัมมัฏฐาน 4 [147] ธาตกุ ัมมัฏฐาน 4 (กรรมฐานคือธาต,ุ กรรมฐานท่พี จิ ารณาธาตเุ ปนอารมณ คอื กาํ หนดพิจารณากายน้แี ยกเปน สวนๆ ใหเห็นวา เปนเพียงธาตสุ ี่แตละอยา ง ไมใ ชข องเรา ไมใ ช เรา ไมใ ชต วั ตนของเรา — Dhàtu-kammaññhàna: meditation on the elements; meditation subject consisting of elements) 1. ปฐวธี าตุ (Pañhavã-dhàtu: the earth-element) คอื ธาตทุ ี่มีลักษณะแขนแข็ง ภายในตวั ก็ มี ภายนอกตัวก็มี กลาวเฉพาะทีเ่ ปนภายใน สาํ หรบั กาํ หนด พอใหส ําเร็จประโยชนเปนอารมณ ของกรรมฐาน ไดแก ผม ขน เล็บ ฟน หนงั เนือ้ เอ็น กระดกู เยอ่ื ในกระดูก มา ม หวั ใจ ตับ พงั ผืด ไต ปอด ไสใ หญ ไสนอ ย อาหารใหม อาหารเกา หรอื สิง่ อืน่ ใดกต็ ามในตัว ที่มลี กั ษณะ แขนแข็งเปน ตน อยา งเดียวกันนี้ 2. อาโปธาตุ (âpo-dhàtu: the water-element) คือ ธาตทุ ม่ี ีลักษณะเอบิ อาบ ภายในตัวกม็ ี ภายนอกตัวกม็ ี กลา วเฉพาะทีเ่ ปนภายใน สาํ หรับกาํ หนด พอใหส ําเรจ็ ประโยชนเปนอารมณ

[148] 118 พจนานกุ รมพุทธศาสตร ของกรรมฐาน ไดแก ดี เสลด หนอง เลือด เหง่อื มนั ขน นํา้ ตา เปลวมัน นํา้ ลาย น้ํามกู ไขขอ มตู ร หรือสิง่ อ่ืนใดกต็ ามในตัว ท่ีมลี กั ษณะเอบิ อาบเปน ตน อยางเดียวกันน้ี 3. เตโชธาตุ (Tejo-dhàtu: the fire-element) คอื ธาตทุ ่ีมลี กั ษณะรอน ภายในตัวกม็ ี ภาย นอกตัวกม็ ี กลา วเฉพาะทเี่ ปน ภายใน สําหรับกาํ หนด พอใหสาํ เรจ็ ประโยชนเ ปนอารมณข อง กรรมฐาน ไดแ ก ไฟทีย่ ังกายใหอบอนุ ไฟทย่ี งั กายใหทรุดโทรม ไฟท่ียงั กายใหก ระวนกระวาย ไฟที่ยงั อาหารใหยอย หรือสิ่งอืน่ ใดก็ตามในตัว ทมี่ ลี กั ษณะรอนเปน ตน อยา งเดียวกนั นี้ 4. วาโยธาตุ (Vàyo-dhàtu: the air-element) คือ ธาตทุ มี่ ีลักษณะพดั ผนั เครง ตึง ภายในตวั กม็ ี ภายนอกตัวกม็ ี กลาวเฉพาะทเ่ี ปน ภายใน สาํ หรับกาํ หนด พอใหส ําเร็จประโยชนเปน อารมณข องกรรมฐาน ไดแ ก ลมพดั ข้ึนเบ้ืองบน ลมพัดลงเบ้อื งตํ่า ลมในทอง ลมในไส ลมซา น ไปตามตวั ลมหายใจ หรอื สิ่งอื่นใดก็ตามในตวั ทีม่ ีลกั ษณะพดั ผันไปเปน ตน อยางเดียวกันนี้ ตวั อยา งธาตทุ แ่ี สดงขา งตน นี้ ในปฐวธี าตมุ ี 19 อยา ง ในอาโปธาตมุ ี 12 อยา ง เตมิ มตั ถลงุ ค คอื มนั สมอง เขา เปน ขอ สดุ ทา ยในปฐวธี าตุ รวมเปน 32 เรยี กวา อาการ 32 หรอื ทวตั ตงิ สาการ (มตั ถลงุ คไ มม ใี นปฐวธี าตุ 19 อยา ง เพราะรวมเขา ในอฏั ฐมิ ญิ ชะ คอื เยอื่ ในกระดกู ) ธาตกุ มั มฏั ฐานนี้ เรยี กอยา งอนื่ วา ธาตมุ นสกิ าร (การพจิ ารณาธาตุ — Dhàtu-manasikàra: contemplation on the elements) บา ง จตธุ าตวุ วฏั ฐาน (การกาํ หนดธาตสุ ี่ — Catudhàtu- vavaññhàna: determining of the four elements) บา ง เมอ่ื พจิ ารณากาํ หนดธาตุ 4 ดว ย สตสิ มั ปชญั ญะ มองเหน็ ความเกดิ ขนึ้ และความเสอื่ มสลายไปในกาย ตระหนกั วา กายนก้ี ส็ กั วา กาย มใิ ชส ตั ว บคุ คล ตวั ตน เราเขา ดงั น้ี จดั เปน กายานปุ ส สนาสตปิ ฏ ฐานสว นหนง่ึ (หมวดท่ี 5 คอื ธาตมุ นสกิ ารบรรพ). D.II.294; M.I.185; M.III.240; Vism.347. ที.ม.10/278/329; ม.ม.ู 12/342/350; ม.อุ.14/684–7/437; วสิ ทุ ธฺ .ิ 2/161. [148] ธาตุ 6 (Dhàtu: the six elements) ไดแ กธ าตุ 4 หรอื มหาภูต 4 คอื ปฐวธี าตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ และ วาโยธาตุ นนั้ กบั เพิ่มอีก 2 อยาง คือ 5. อากาสธาตุ (สภาวะท่วี าง โปรงไป เปน ชอง — âkàsa-dhàtu: the space-element) 6. วิญญาณธาตุ (สภาวะทีร่ ูแจงอารมณ ธาตุรู ไดแ กวิญญาณธาตุ 6 คือ จักขุวญิ ญาณธาตุ โสต~ ฆาน~ ชิวหา~ กาย~ มโนวิญญาณธาตุ — Vi¤¤àõa-dhàtu: element of consciousness; consciousness-element) ดู [39] มหาภูต 4 และ [146] ธาตุ 4. M.III.31; Vbh.82. ม.อุ.14/169/125; อภิ.วิ.35/114/101. [149] ธาตกุ มั มัฏฐาน 6 ไดแ ก ธาตุกมั มฏั ฐาน 4 นน้ั และเพิม่ อีก 2 อยา ง คอื 5. อากาสธาตุ (the space-element) คอื ธาตทุ มี่ ีลกั ษณะเปน ชองวาง ภายในตวั ก็มี ภาย นอกตัวก็มี กลาวเฉพาะภายใน สําหรับกําหนด พอใหสําเร็จประโยชน เปน อารมณข อง กรรมฐาน ไดแ ก ชองหู ชอ งจมูก ชอ งปาก ชอ งทวารหนัก ทวารเบา ชอ งแหงอวยั วะท้ังหลาย

หมวด 4 119 [152] หรือท่ีอื่นใดทมี่ ลี กั ษณะเปน ชองวางอยางเดียวกนั น้ี 6. วญิ ญาณธาตุ (the consciousness-element) คือ ธาตทุ มี่ ลี กั ษณะเปน เครอ่ื งรูแจง อารมณ กลา วคือ วญิ ญาณธาตุ 6. ดู [147] ธาตกุ ัมมฏั ฐาน 4; [148] ธาตุ 6. M.III.240. ม.อุ.14/684–9/437–440. [150] นมิ ติ 4 (เคร่ืองหมาย, เคร่ืองกาํ หนด, สงิ่ ที่พระโพธิสัตวทอดพระเนตรเห็น อนั เปน เหตุ ปรารภท่จี ะเสด็จออกบรรพชา — Nimitta: the Four Signs; the Four Sights on seeing which the Bodhisatta went forth in the Great Renunciation) 1. ชณิ ณะ (คนแก — Jiõõa: an old man) 2. พยาธิตะ หรือ อาพาธิกะ (คนเจ็บ — Byàdhita, âbàdhika: a sick man) 3. กาลกตะ (= มตะ, คนตาย — Mata: a dead man) 4. ปพพชิตะ (บรรพชิต, นกั บวช — Pabbajita: a religious; holy man; monk) สามอยางแรกมีช่ือเรยี กรวมวา เทวทูต 3 เปน เครือ่ งหมายหรือสญั ญาณเตือนใหร ะลึกถึง ความทุกขตามคตธิ รรมดาของชวี ติ และบังเกิดความสงั เวช อยา งทสี่ คี่ อื บรรพชติ เปนเครื่อง หมายใหมองเห็นทางออกท่ีจะพน ไปจากทุกข บางแหงทา นเรียกรวมๆ ไปวาเทวทตู 4 โดย อธบิ ายชัน้ หลงั วา เปนทตู ของวสิ ุทธเิ ทพ แตต ามบาลเี รยี กวา นิมิต 4. D.II.22; Bv.XVII.14. ท.ี ม.10/32–38/24–35; ขุ.พุทธ.33/26/544. [151] บริษัท 41 (ชมุ นมุ , ทป่ี ระชมุ , หมแู หงพุทธศาสนกิ , ชมุ ชนชาวพทุ ธ — Parisà: the Four Assemblies; companies) 1. ภกิ ษบุ รษิ ทั (Bhikkhu-parisà: assembly of monks; Bhikkhus) 2. ภิกษุณบี รษิ ัท (Bhikkhunã-parisà: assembly of nuns; Bhikkhunis) 3. อบุ าสกบรษิ ทั (Upàsaka-parisà: assembly of lay-followers) 4. อบุ าสิกาบรษิ ทั (Upàsikà-parisà: assembly of female lay-followers) A.II.132. องฺ.จตกุ กฺ .21/129/178. [152] บรษิ ทั 42 (ชมุ นมุ , ทป่ี ระชมุ , ชมุ ชนตามระบบสงั คม — Parisà: assembly; company) 1. ขตั ติยบริษัท (ชมุ นุมเจานาย — Khattiya-parisà: company of noblemen) 2. พราหมณบรษิ ทั (ชมุ นุมพราหมณ — Bràhmaõa-parisà: company of brahmins) 3. คหบดบี รษิ ัท (ชุมนมุ คฤหบดี — Gahapati-parisà: company of householders) 4. สมณบรษิ ทั (ชุมนมุ สมณะ — Samaõa-parisà: company of recluses) A.II.132. อง.ฺ จตุกฺก.21/130/179.

[153] 120 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร [153] บคุ คล 4 (ประเภทของบคุ คล — Puggala: four kinds of persons) 1. อุคฆฏิตญั ู (ผูท ีพ่ อยกหัวขอ กร็ ู, ผูรเู ขา ใจไดฉ บั พลัน แตพ อทานยกหัวขอ ข้นึ แสดง — Ugghañita¤¤å: a person of quick intuition; the genius; the intuitive) 2. วิปจิตญั ู (ผูร ตู อ เมื่อขยายความ, ผูร ูเขาใจได ตอเม่อื ทา นอธิบายความพสิ ดารออกไป — Vipacita¤¤å: a person who understands after a detailed treatment; the intellectual) 3. เนยยะ (ผทู พ่ี อจะแนะนาํ ได, ผทู พี่ อจะคอ ยชแี้ จงแนะนาํ ใหเ ขา ใจได ดว ยวธิ กี ารฝก สอนอบรม ตอ ไป — Neyya: a person who is guidable; the trainable) 4. ปทปรมะ (ผูมบี ทเปนอยา งยงิ่ , ผอู ับปญ ญา สอนใหรไู ดแ ตเพียงตัวบทคือพยญั ชนะ หรือ ถอยคาํ ไมอ าจเขา ใจอรรถคอื ความหมาย — Padaparama: a person who has just word of the text at most; an idiot) A.II.135; Pug 41; Nett.7,125. อง.ฺ จตกุ ฺก.21/133/183; อภิ.ปุ.36/108/185. [154] ปฏิปทา 4 (แนวปฏบิ ัต,ิ ทางดําเนิน, การปฏิบัติแบบทีเ่ ปน ทางดาํ เนนิ ใหถงึ จุดหมาย คอื ความหลดุ พน หรอื ความสน้ิ อาสวะ — Pañipadà: modes of practice; modes of progress to deliverance) 1. ทุกขฺ า ปฏปิ ทา ทนฺธาภิฺา (ปฏิบตั ิลาํ บาก ทงั้ รูไดชา เชน ผูป ฏบิ ตั ทิ ่มี ีราคะ โทสะ โมหะ แรงกลา ตองเสวยทุกขโทมนัสเน่ืองจากราคะ โทสะ โมหะนั้นอยูเนอื งๆ หรอื เจริญกรรมฐานที่ มีอารมณไ มน า ชนื่ ใจ เชน อสภุ ะ เปน ตน อกี ทง้ั อนิ ทรยี ก ็ออ น จงึ บรรลุโลกุตตรมรรคลาชา พระ จกั ขุบาลอาจเปน ตัวอยางในขอนีไ้ ด — Dukkhà pañipadà dandhàbhi¤¤à: painful progress with slow insight) 2. ทกุ ขฺ า ปฏปิ ทา ขปิ ปฺ าภิ ฺ า (ปฏบิ ตั ลิ าํ บาก แตร ไู ดเ รว็ เชน ผปู ฏบิ ตั ทิ ม่ี รี าคะ โทสะ โมหะ แรงกลา ตอ งเสวยทกุ ขโ ทมนสั เนอื่ งจากราคะ โทสะ โมหะนนั้ อยเู นอื งๆ หรอื เจรญิ กรรมฐานทมี่ ี อารมณไ มน า ชน่ื ใจ เชน อสภุ ะ เปน ตน แตม อี นิ ทรยี แ กก ลา จงึ บรรลโุ ลกตุ ตรมรรคเรว็ ไว บาลยี ก พระมหาโมคคลั ลานะเปน ตวั อยา ง — Dukkhà pañipadà khippàbhi¤¤à: painful progress with quick insight) 3. สุขา ปฏปิ ทา ทนฺธาภิฺา (ปฏิบัติสบาย แตรไู ดชา เชน ผูปฏบิ ัตทิ ่มี ีราคะ โทสะ โมหะ ไมแ รงกลา ไมตอ งเสวยทกุ ขโ ทมนัสเนื่องจากราคะ โทสะ โมหะน้นั เนอื งนิตย หรอื เจรญิ สมาธิ ไดฌ าน 4 อนั เปนสุขประณีต แตม อี นิ ทรียออ น จงึ บรรลุโลกตุ ตรมรรคลาชา — Sukhà pañi- padà dandhàbhi¤¤à: pleasant progress with slow insight) 4. สขุ า ปฏปิ ทา ขปิ ฺปาภิ ฺา (ปฏบิ ตั สิ บาย ทงั้ รไู ดไ ว เชน ผปู ฏบิ ตั ทิ ม่ี รี าคะ โทสะ โมหะไมแ รง กลา ไมต อ งเสวยทกุ ขโ ทมนสั เนอื่ งจากราคะ โทสะ โมหะนนั้ เนอื งนติ ย หรอื เจรญิ สมาธไิ ดฌ าน 4 อนั เปน สขุ ประณตี อกี ทง้ั มอี นิ ทรยี แ กก ลา จงึ บรรลโุ ลกตุ ตรมรรคเรว็ ไว บาลยี กพระสารบี ตุ รเปน ตวั อยา ง — Sukhà pañipadà khippàbhi¤¤à: pleasant progress with quick insight) A.II.149–152,154–5. อง.ฺ จตกุ ฺก.21/161–3/200–4; 167–8/207–9.

หมวด 4 121 [157] [155] ปฏสิ ัมภิทา 4 (ปญ ญาแตกฉาน — Pañisambhidà: analytic insight; penetrating insight; discrimination) 1. อตั ถปฏสิ ัมภทิ า (ปญ ญาแตกฉานในอรรถ, ปรีชาแจง ในความหมาย, เห็นขอ ธรรมหรือ ความยอ ก็สามารถแยกแยะอธิบายขยายออกไปไดโดยพสิ ดาร เหน็ เหตอุ ยางหน่งึ กส็ ามารถ คิดแยกแยะกระจายเช่ือมโยงตอออกไปไดจนลวงรูถึงผล — Attha-pañisambhidà: discrimination of meanings; analytic insight of consequence) 2. ธมั มปฏสิ มั ภทิ า (ปญ ญาแตกฉานในธรรม, ปรชี าแจง ในหลกั , เหน็ อรรถาธบิ ายพสิ ดาร ก็ สามารถจบั ใจความมาตงั้ เปน กระทหู รอื หวั ขอ ได เหน็ ผลอยา งหนงึ่ กส็ ามารถสบื สาวกลบั ไปหา เหตไุ ด — Dhamma-pañisambhidà: discrimination of ideas; analytic insight of origin) 3. นิรุตติปฏิสมั ภทิ า (ปญญาแตกฉานในนริ กุ ติ, ปรชี าแจง ในภาษา, รศู ัพท ถอ ยคําบญั ญตั ิ และภาษาตางๆ เขาใจใชค าํ พดู ชแ้ี จงใหผอู ืน่ เขาใจและเห็นตามได — Nirutti-pañisambhidà: discrimination of language; analytic insight of philology) 4. ปฏภิ าณปฏสิ มั ภทิ า (ปญ ญาแตกฉานในปฏภิ าณ, ปรชี าแจง ในความคดิ ทนั การ, มไี หวพรบิ ซมึ ซาบในความรทู ี่มีอยู เอามาเช่อื มโยงเขา สรา งความคดิ และเหตุผลขนึ้ ใหม ใชป ระโยชนได สบเหมาะ เขา กบั กรณีเขา กบั เหตกุ ารณ — Pañibhàõa-pañisambhidà: discrimination of sagacity; analytic insight of ready wit; initiative, creative and applicative insight) A.II.160; Ps.I.119; Vbh.294. องฺ.จตกุ ฺก.21/172/216; ข.ุ ปฏิ.31/268/175; อภ.ิ ว.ิ 35/784/400. [156] ปธาน 4 (ความเพียร — Padhàna: effort; exertion) 1. สงั วรปธาน (เพยี รระวงั หรอื เพยี รปด กน้ั คือ เพียรระวังยบั ยง้ั บาปอกุศลธรรมทีย่ งั ไมเ กดิ มใิ หเกดิ ขนึ้ — Sa§vara-padhàna: the effort to prevent; effort to avoid) 2. ปหานปธาน (เพยี รละหรอื เพียรกําจดั คอื เพียรละบาปอกศุ ลธรรมที่เกดิ ขึ้นแลว — Pahàna-padhàna: the effort to abandon; effort to overcome) 3. ภาวนาปธาน (เพยี รเจริญ หรอื เพยี รกอใหเกิด คอื เพยี รทํากศุ ลธรรมท่ยี ังไมเกิด ใหเกดิ มี ขน้ึ — Bhàvanà-padhàna: the effort to develop) 4. อนุรกั ขนาปธาน (เพียรรกั ษา คือ เพียรรักษากศุ ลธรรมทีเ่ กิดข้ึนแลวใหต้งั มัน่ และให เจรญิ ยิ่งข้ึนไปจนไพบูลย — Anurakkhanà-padhàna: the effort to maintain) ปธาน 4 นี้ เรียกอีกอยา งวา สมั มัปปธาน 4 (ความเพยี รชอบ, ความเพียรใหญ — Sammappadhàna: right exertions; great or perfect efforts) A.II.74,16,15. อง.ฺ จตกุ กฺ .21/69/96; 14/20; 13/19. [157] ปรมัตถธรรม 4 (สภาวะท่ีมีอยูโดยปรมัตถ, สิ่งที่เปนจริงโดยความหมายสูงสุด — Paramattha-dhamma: ultimate realities; abstract realities; realities in the

[158] 122 พจนานุกรมพทุ ธศาสตร ultimate sense) 1. จติ (สภาพทีค่ ดิ , ภาวะที่รแู จง อารมณ — Citta: consciousness; state of conscious- ness) 2. เจตสิก (สภาวะทปี่ ระกอบกับจิต, คณุ สมบตั แิ ละอาการของจติ — Cetasika: mental factors) 3. รูป (สภาวะที่เปนรา ง พรอ มทง้ั คณุ และอาการ — Råpa: matter; corporeality) 4. นพิ พาน (สภาวะทส่ี ้นิ กิเลสและทกุ ขท ง้ั ปวง, สภาวะทป่ี ราศจากตณั หา — Nibbàna) ดู รายละเอยี ดแตล ะอยา งใน [356] จติ 89; [355] เจตสกิ 52; [38] รปู 28; [27] นพิ พาน 2. Comp.81. สงคฺ ห.1. [158] ประมาณ หรอื ปมาณิก 4 (บุคคลท่ถี อื ประมาณตา งๆ กัน, คนในโลกผูถือเอาคุณ สมบตั ติ างๆ กัน เปน เครื่องวัดในการทจ่ี ะเกิดความเชอื่ ความเลอื่ มใส — Pamàõa,Pamàõika: those who measure, judge or take standard) 1. รปู ประมาณ (ผถู อื ประมาณในรูป, บุคคลท่ีมองเหน็ รูปรา งสวยงาม ทรวดทรงดี อวยั วะสม สวน ทาทางสงา สมบรู ณพ รอ ม จึงชอบใจเลือ่ มใสนอมใจท่ีจะเช่ือถือ — Råpa-pamàõa: one who measures by form or outward appearance; one whose faith depends on good appearance) 2. โฆษประมาณ (ผถู อื ประมาณในเสยี ง, บคุ คลที่ไดยนิ ไดฟงเสียงสรรเสรญิ เกียรตคิ ุณหรือ เสยี งพดู จาที่ไพเราะ จงึ ชอบใจเลอ่ื มใสนอมใจท่จี ะเชือ่ ถือ — Ghosa-pamàõa: one who measures by voice or reputation; one whose faith depends on sweet voice or good reputation) 3. ลูขประมาณ (ผูถ ือประมาณในความคราํ่ หรือเศราหมอง, บคุ คลทม่ี องเหน็ สิ่งของเครือ่ งใช ความเปนอยทู ี่เศรา หมอง เชน จีวรคร่ําๆ เปนตน หรือมองเห็นการกระทาํ คราํ่ เครียดเปน ทกุ รกิริยา ประพฤตเิ ครงครัดเขม งวดขูดเกลาตน จึงชอบใจเลื่อมใสนอ มใจทีจ่ ะเชือ่ ถอื — Låkha-pamàõa: one who measures or judges by shabbiness, mediocrity or hard life; one whose faith depends on shabbiness or ascetic or self-denying practices) 4. ธรรมประมาณ (ผูถอื ประมาณในธรรม, บคุ คลทีพ่ ิจารณาดว ยปญญาเหน็ สารธรรมหรอื การปฏิบัติดปี ฏบิ ตั ิชอบ คือ ศีล สมาธิ ปญ ญา จึงชอบใจเล่อื มใสนอ มใจท่ีจะเช่อื ถือ — Dhamma-pamàõa: one who measures or judges by the teaching or righteous behaviour; one whose faith depends on right teachings and practices) บุคคล 3 จาํ พวกตน ยังมที างพลาดไดม าก โดยอาจเกดิ ความตดิ ใคร ถูกครอบงําชกั พาไป ดว ยความหลง ถกู พัดวนเวียนหรอื ตดิ อยูแ คภ ายนอก ไมรูจ ักคนทีต่ นมองไดอยางแทจ รงิ และไม เขาถงึ สาระ สว นผถู ือธรรมเปน ประมาณ จึงจะรชู ัดคนท่ตี นมองอยา งแทจริง ไมถูกพดั พาไป

หมวด 4 123 [160] เขา ถึงธรรมทีป่ ราศจากสิง่ ครอบคลุม พระพทุ ธเจา ทรงมพี ระคณุ สมบัตสิ มกับทง้ั ส่ขี อ (เฉพาะขอ 3 ทรงถือแตพ อดี) จงึ ทรงครอง ใจคนทุกจาํ พวกไดทงั้ หมด คนที่เห็นพระพทุ ธเจา แลว ทจี่ ะไมเ ล่อื มใสน้นั หาไดย ากยิ่งนกั ในชั้นอรรถกถา นิยมเรียกบุคคล 4 ประเภทนี้วา รูปปปมาณิกา โฆสัปปมาณิกา ลูขปั ปมาณกิ า และ ธมั มปั ปมาณิกา ตามลาํ ดบั A.II.71; Pug.7,53; DhA.114; SnA.242. อง.ฺ จตกุ ฺก.21/65/93; อภ.ิ ป.ุ 36/10/135; 133/204; ธ.อ.5/100; สตุ ฺต.อ.1/329. [159] ปจ จัย 4 (สง่ิ คาํ้ จุนชีวติ , ส่ิงจําเปน เบือ้ งตนของชีวติ , ส่งิ ทต่ี อ งอาศัยเลยี้ งอตั ภาพ — Paccaya: the four necessities of life; requisites) 1. จีวร (ผา นุง หม — Cãvara: robes; clothing) 2. บณิ ฑบาต (อาหาร — Piõóapàta: almsfood; food) 3. เสนาสนะ (ที่อยอู าศยั , ท่ีน่ังทน่ี อน — Senàsana: lodging) 4. คลิ านปจ จยั เภสชั บรขิ าร หรอื เภสชั (ยาและอปุ กรณร กั ษาโรค — Bhesajja: medicine; medical equipment) สีอ่ ยา งนี้ สําหรับภกิ ษุ จํากัดเขาอีกเรยี กวา นสิ สัย 4 แปลวา เครอ่ื งอาศยั ของบรรพชติ (Nissaya: resources; means of support on which the monastic life depends) 1. ปณฑิยาโลปโภชนะ (โภชนะคือคําขาวที่ไดมาดวยกําลังปลีแขง — Piõóiyàlopa- bhojana: almsfood of scraps; food obtained by going on the alms-gathering) 2. บังสุกลุ จีวร (ผา ทเ่ี ขาทิ้งตามกองขยะหรือตามปา ชา — Pa§sukålacãvara: discarded cloth taken from the rubbish heap or the charnel ground; rag-robes) 3. รกุ ขมูลเสนาสนะ (อยอู าศยั โคนไม — Rukkhamålasenàsana: dwelling at the foot of a tree) 4. ปตู ิมุตตเภสัช (ยานํ้ามตู รเนา — Påtimuttabhesajja: medicines pickled in stale urine: ammonia as a medicine) สวนท่อี นุญาตนอกเหนอื จากน้เี ปน อดเิ รกลาภ (extra acquisitions; extra allowance) Vin.I.58. วินย.4/87/106. [,,,] ปญญาวุฒิธรรม 4 ดู [179] วฒุ ิธรรม 4 [160] ปาริสทุ ธศิ ลี 4 (ศีลคือความบรสิ ุทธ์,ิ ศลี เครื่องใหบ ริสทุ ธิ,์ ความประพฤติบริสุทธ์ทิ ่จี ดั เปน ศีล — Pàrisuddhi-sãla: morality consisting in purity; morality for purification; morality of pure conduct) 1. ปาฏิโมกขสังวรศลี (ศลี คอื ความสาํ รวมในพระปาฏโิ มกข เวนจากขอ หาม ทาํ ตามขอ อนุญาต ประพฤติเครงครดั ในสกิ ขาบทท้งั หลาย — Pàñimokkhasa§vara-sãla: restraint in

[161] 124 พจนานุกรมพทุ ธศาสตร accordance with the monastic disciplinary code) 2. อนิ ทรียสังวรศลี (ศลี คือความสาํ รวมอนิ ทรีย ระวังไมใ หบาปอกุศลธรรมครอบงาํ เม่ือรบั รู อารมณด ว ยอนิ ทรยี ท ง้ั 6 — Indriyasa§vara-sãla: restraint of the senses; sense-control) 3. อาชวี ปาริสทุ ธศิ ลี (ศลี คือความบริสุทธแิ์ หงอาชวี ะ เล้ียงชวี ิตโดยทางท่ชี อบ ไมประกอบ อเนสนา มหี ลอกลวงเขาเลีย้ งชพี เปน ตน — âjãvapàrisuddhi-sãla: purity of conduct as regards livelihood) 4. ปจ จยั สันนิสติ ศลี (ศีลทีเ่ กย่ี วกบั ปจ จยั 4 ไดแกปจ จัยปจ จเวกขณ คือพิจารณาใชสอย ปจจัยส่ี ใหเปนไปตามความหมายและประโยชนของส่ิงน้ัน ไมบริโภคดวยตัณหา — Paccayasannissita-sãla: pure conduct as regards the necessities of life) Vism.16; Comp.212. วสิ ทุ ธฺ .ิ 1/19; สงฺคห.55. [,,,] ผล 4 ดู [165] ผล 4. [,,,] พร 4 ดู [227] พร 5. [161] พรหมวหิ าร 4 (ธรรมเคร่ืองอยอู ยางประเสรฐิ , ธรรมประจําใจอันประเสริฐ, หลกั ความประพฤตทิ ี่ประเสรฐิ บริสทุ ธ,์ิ ธรรมทต่ี องมีไวเปนหลักใจและกาํ กบั ความประพฤติ จงึ จะ ช่อื วา ดําเนนิ ชีวติ หมดจด และปฏบิ ตั ติ นตอมนษุ ยสตั วทัง้ หลายโดยชอบ — Brahmavihàra: holy abidings; sublime states of mind) 1. เมตตา (ความรัก ปรารถนาดีอยากใหเขามคี วามสุข มีจติ อนั แผไ มตรแี ละคดิ ทําประโยชน แกม นษุ ยสตั วท ่วั หนา — Mettà: loving-kindness; friendliness; goodwill) 2. กรุณา (ความสงสาร คดิ ชวยใหพ นทกุ ข ใฝใ จในอนั จะปลดเปลื้องบําบดั ความทุกขย ากเดอื ด รอนของปวงสตั ว — Karuõà: compassion) 3. มทุ ติ า (ความยนิ ดี ในเมื่อผูอน่ื อยูดมี สี ุข มีจติ ผองใสบันเทงิ กอปรดวยอาการแชมช่ืนเบกิ บานอยเู สมอ ตอสตั วท้งั หลายผดู าํ รงในปกตสิ ขุ พลอยยินดดี วยเม่อื เขาไดด มี สี ขุ เจริญงอกงาม ยงิ่ ขนึ้ ไป — Mudità: sympathetic joy; altruistic joy) 4. อเุ บกขา (ความวางใจเปน กลาง อนั จะใหดาํ รงอยูใ นธรรมตามท่พี ิจารณาเห็นดว ยปญ ญา คอื มีจิตเรยี บตรงเท่ียงธรรมดุจตราชง่ั ไมเ อนเอยี งดว ยรักและชัง พจิ ารณาเหน็ กรรมทส่ี ตั วท ้ัง หลายกระทําแลว อันควรไดร บั ผลดหี รอื ชั่ว สมควรแกเ หตุอนั ตนประกอบ พรอมที่จะวินจิ ฉัย และปฏบิ ัตไิ ปตามธรรม รวมทั้งรจู กั วางเฉยสงบใจมองดู ในเม่อื ไมม กี ิจทีค่ วรทาํ เพราะเขารับ ผิดชอบตนไดดแี ลว เขาสมควรรับผดิ ชอบตนเอง หรอื เขาควรไดรบั ผลอันสมกับความรบั ผดิ ชอบของตน — Upekkhà: equanimity; neutrality; poise) ผูด าํ รงในพรหมวิหาร ยอ มชว ยเหลอื มนุษยส ัตวท ัง้ หลายดว ยเมตตากรณุ า และยอมรักษา ธรรมไวไดด วยอุเบกขา ดงั นัน้ แมจะมีกรณุ าทจ่ี ะชว ยเหลอื ปวงสตั วแตก ็ตองมีอเุ บกขาดว ยทีจ่ ะ มิใหเสียธรรม

หมวด 4 125 [161] พรหมวิหารนี้ บางทีแปลวา ธรรมเคร่อื งอยูของพรหม, ธรรมเครอ่ื งอยูอยา งพรหม, ธรรม ประจาํ ใจที่ทาํ ใหเปน พรหมหรอื ใหเสมอดวยพรหม, หรือธรรมเครอ่ื งอยูของทา นผมู คี ุณยง่ิ ใหญ — (abidings of the Great Ones) พรหมวหิ าร 4 เรียกอกี อยางวา อัปปมัญญา 4 (Appama¤¤à: unbounded states of mind; illimitables) เพราะแผสม่าํ เสมอโดยทวั่ ไปในมนุษยส ตั วท ง้ั หลาย ไมม ปี ระมาณ ไม จํากัดขอบเขต พรหมวหิ ารมใี นผใู ด ยอมทาํ ใหผูนนั้ ประพฤตปิ ฏิบตั เิ กือ้ กูลแกผูอ ่นื ดว ยสงั คหวตั ถุเปน ตน . อนง่ึ ในการที่จะเขา ใจและปฏบิ ัตพิ รหมวหิ าร 4 ใหถ ูกตอ ง พงึ ทราบรายละเอยี ดบางอยา ง โดยเฉพาะสมบตั ิ และวิบตั ิ ของธรรม 4 ประการนนั้ ดงั น้ี ก. ความหมายโดยวเิ คราะหศัพท 1. เมตตา = (มีนา้ํ ใจ)เย่ือใยใฝป ระโยชนส ขุ แกคนสัตวทง้ั หลาย หรือนํา้ ใจปรารถนาประโยชนสุข ท่ีเปน ไปตอมติ ร 2. กรุณา = ทําความสะเทอื นใจแกสาธุชน เม่อื คนอื่นประสบทกุ ข หรือถายถอนทําทกุ ขข องผู อ่ืนใหหมดไป หรอื แผใ จไปรับรูต อ คนสตั วท ง้ั หลายท่ปี ระสบทกุ ข 3. มุทติ า = โมทนายินดีตอ ผปู ระกอบดว ยสมบตั ิหรอื ผลดนี ้ันๆ 4. อุเบกขา = คอยมองดอู ยู โดยละความขวนขวายวา สตั วทัง้ หลายจงอยา ผกู เวรกัน เปน ตน และโดยเขา ถึงความเปนกลาง ข. ลกั ษณะ หนาทหี่ รือกจิ (รส) ผลปรากฏ (ปจจปุ ฏฐาน) และปทัสถาน (เหตุใกล) 1. เมตตา = (ในสถานการณท่ีคนอ่นื อยเู ปนปกต)ิ ลกั ษณะ = เปนไปโดยอาการเก้ือกลู แกคนสตั วท ัง้ หลาย หนา ท่ี = นอมนาํ ประโยชนเขา ไปใหแกเ ขา ผลปรากฏ = กําจดั ความอาฆาตแคนเคืองใหป ราศไป ปทสั ถาน = เห็นภาวะที่นาเจริญใจของคนสตั วท ง้ั หลาย 2. กรุณา = (ในสถานการณที่คนอืน่ ตกทกุ ขเดือดรอ น) ลักษณะ = เปน ไปโดยอาการปลดเปล้อื งทกุ ขแกค นสตั วทั้งหลาย หนาท่ี = ไมน ิง่ ดดู าย/ทนน่งิ อยูไมไดตอทกุ ขของคนสตั วทัง้ หลาย ผลปรากฏ = ไมเ บยี ดเบยี น/อวหิ ิงสา ปทัสถาน = เห็นภาวะไรท พ่ี ่ึง/สภาพนา อนาถของคนสัตวท ้ังหลายที่ถกู ทุกขค รอบงํา 3. มุทิตา = (ในสถานการณท่คี นอน่ื มีสุขสาํ เร็จหรือทําอะไรกาวไปดวยดี) ลักษณะ = พลอยยินดี/ยินดีดวย หนา ท่ี = ไมรษิ ยา/เปน ปฏปิ กษตอความรษิ ยา ผลปรากฏ = ขจัดความริษยา ความไมย ินดีหรือความทนไมไดตอความสุขสาํ เรจ็ ของผอู ่ืน

[161] 126 พจนานุกรมพุทธศาสตร ปทัสถาน = เห็นสมบัต/ิ ความสําเรจ็ ของคนสัตวท ้งั หลาย 4. อเุ บกขา = (ในสถานการณรกั ษาธรรมตามความรับผิดชอบตอกรรมท่ีเขาทํา) ลกั ษณะ = เปนไปโดยอาการเปนกลางตอคนสัตวท ้ังหลาย หนา ท่ี = มองเห็นความเสมอภาคกนั ในสตั วท ้งั หลาย ผลปรากฏ = ระงับความขัดเคอื งเสียใจและความคลอยตามดใี จ ปทัสถาน = มองเห็นภาวะทที่ ุกคนเปน เจาของกรรมของตน วาสตั วท ง้ั หลายจกั ไดส ขุ พน ทกุ ข ไมเ สอื่ มจากสมบตั ิทไ่ี ดท่ีถึง ตามใจชอบไดอ ยา งไร ค. สมบัติ (ความสมบรู ณหรือความสัมฤทธิ์ผล) และวิบัติ (ความลมเหลว หรอื การปฏบิ ัติผดิ พลาด ไมสาํ เรจ็ ผล) 1. เมตตา: สมบัติ = สงบหายไรความแคน เคืองไมพ อใจ วิบัติ = เกิดเสนห า 2. กรุณา: สมบตั ิ = สงบหายไรวิหิงสา วิบตั ิ = เกดิ ความโศกเศรา 3. มุทิตา: สมบัติ = สงบหายไรค วามริษยา วิบัติ = เกดิ ความสนุกสนาน 4. อุเบกขา: สมบัติ = สงบหายไมมคี วามยนิ ดยี นิ รา ย วิบตั ิ = เกดิ ความเฉยดว ยไมร ู (เฉยโง เฉยเมย เฉยเมนิ ) ง. ขา ศึก คอื อกศุ ลซึง่ เปนศตั รูคปู รบั ท่จี ะทําลายหรอื ทาํ ธรรมนน้ั ๆ ใหเสียไป 1. เมตตา: ขาศึกใกล = ราคะ ขา ศึกไกล = พยาบาท คือความขดั เคอื งไมพ อใจ 2. กรุณา: ขา ศึกใกล = โทมนสั คอื ความโศกเศรา เสียใจ ขา ศึกไกล = วิหิงสา 3. มุทติ า: ขา ศึกใกล = โสมนัส (เชน ดใี จวาตนจะพลอยไดร ับผลประโยชน) ขาศกึ ไกล = อรติ คือความไมยนิ ดี ไมใยดี ริษยา 4. อเุ บกขา: ขาศึกใกล = อญั ญาณุเบกขา (เฉยไมรูเรื่อง เฉยโง เฉยเมย) ขาศกึ ไกล = ราคะ (ความใคร) และปฏิฆะ (ความเคือง) หรอื ชอบใจและขัดใจ จ. ตัวอยางมาตรฐาน ท่แี สดงความหมายของพรหมวิหารไดชัด ซงึ่ คมั ภรี ท งั้ หลายมักยกข้ึนอา ง 1. เมอื่ ลูกยงั เล็กเปน เดก็ เยาวว ัย แม-เมตตา รกั ใครเอาใจใส ถนอมเลยี้ งใหเจรญิ เติบโต 2. เมอ่ื ลกู เจ็บไขเ กดิ มที ุกขภ ัย แม- กรณุ า หวงใยปกปกรักษา หาทางบาํ บัดแกไข

หมวด 4 127 [163] 3. เม่อื ลกู เจรญิ วยั เปนหนมุ สาวสวยสงา แม- มุทติ า พลอยปลาบปลมื้ ใจ หวงั ใหลูกงามสดใสอยูน านเทานาน 4. เมอ่ื ลกู รับผดิ ชอบกจิ หนา ทขี่ องตนขวนขวายอยูดว ยดี แม-อุเบกขา มีใจนงิ่ สงบเปนกลาง วางเฉยคอยดู พงึ ทราบดวยวา ฉนั ทะ คือ กตั ตุกัมยตาฉันทะ (ความอยากจะทําใหดี หรอื ความตองการที่ จะทําใหคนสัตวทั้งหลายดีงามสมบูรณปราศจากโทษขอบกพรอง เชน อยากใหเขาประสบ ประโยชนสขุ พน จากทุกขเ ปนตน ) เปน จดุ ต้ังตน (อาท)ิ ของพรหมวิหารทั้ง 4 น้ี การขม ระงับ กเิ ลส (เชนนวิ รณ) ได เปน ทามกลาง สมาธถิ งึ ขั้นอัปปนา (คอื ภาวะจิตทม่ี นั่ คงเรียบร่ืนสงบ สนทิ ดที ีส่ ดุ ) เปนที่จบ ของพรหมวิหารทง้ั 4 นัน้ AIII.226; Dhs.262; Vism.320. อง.ฺ ปฺจก 22/192/252; อภิ.ส.ํ 34/190/75; วสิ ุทธฺ ิ.2/124. [,,,] พละ ดู [229] พละ 4. [,,,] พุทธลลี าในการสอน 4 ดู [172] ลีลาการสอน 4. [,,,] ภาวนา 4 ดู [37] ภาวนา 4. [,,,] ภาวติ 4 ดู [37] ภาวนา 4. [162] ภมู ิ (ชัน้ แหงจิต, ระดับจติ ใจ, ระดบั ชวี ติ — Bhåmi: planes of consciousness; planes of existence; degrees of spiritual development) 1. กามาวจรภมู ิ (ชัน้ ทีท่ องเทย่ี วอยใู นกาม, ระดับจิตใจท่ยี ังปรารภกามเปน อารมณ คือยัง เกย่ี วขอ งกบั กามคณุ , ระดบั จติ ใจของสัตวใ นกามภพทง้ั 11 ช้นั — Kàmàvacara-bhåmi: Sensuous Plane) 2. รปู าวจรภมู ิ (ชน้ั ท่ีทอ งเทีย่ วอยูใ นรปู , ระดับจิตใจทป่ี รารภรูปธรรมเปน อารมณ, ระดบั จติ ใจ ของทา นผูไ ดฌานหรือผูอ ยูในรูปภพทัง้ 16 ชั้น — Råpàvacara-bhåmi: form-plane) 3. อรปู าวจรภูมิ (ชั้นทที่ องเท่ยี วอยูในอรูป, ระดบั จิตใจที่ปรารภอรูปธรรมเปน อารมณ, ระดบั จิตใจของทานผูไดอ รปู ฌาน หรือผอู ยูในอรปู ภพทงั้ 4 ช้นั — Aråpàvacara-bhåmi: Form- less Plane) 4. โลกตุ ตรภูมิ (ชน้ั ทพ่ี น จากโลก, ระดบั แหง โลกตุ ตรธรรม, ระดบั จติ ใจของพระอรยิ เจา อนั พน แลว จากโลกียภูมิ 3 ขา งตน — Lokuttara-bhåmi: supramundane plane) ขอนใี้ นบาลที ี่มา เรยี กวา อปริยาปน นภูมิ (ขน้ั ทีไ่ มน บั เน่ืองในวัฏฏะ, ระดบั ที่ไมถูกจํากดั — unbelonging or unlimited plane). ดู [98] ภพ 3 และ [351] ภูมิ 4, 31 ดวย. Ps.I.83. ข.ุ ปฏ.ิ 31/171/122. [163] โภควิภาค 4 (การแบง โภคะเปน 4 สว น, หลักการแบงทรพั ยโ ดยจัดสรรเปน 4 สวน

[164] 128 พจนานกุ รมพุทธศาสตร — Bhogavibhàga: fourfold division of money) 1. เอเกน โภเค ภุ เฺ ชยยฺ (1 สว น ใชจา ยเลย้ี งตน เล้ียงคนที่ควรบาํ รุง และทาํ ประโยชน — On one part he should live and do his duties towards others.) 2.–3. ทวฺ หี ิ กมมฺ ํ ปโยชเย (2 สวน ใชลงทนุ ประกอบการงาน — With two parts he should expand his business) 4. จตุตฺถฺจ นิธาเปยฺย (อีก 1 สว น เกบ็ ไวใชใ นคราวจาํ เปน — And he should save the fourth for a rainy day.) D.III.188. ท.ี ปา.11/197/202. [164] มรรค 4 (ทางเขาถงึ ความเปนอรยิ บุคคล, ญาณที่ทาํ ใหล ะสงั โยชนไ ดขาด — Magga: the path) 1. โสดาปตติมรรค (มรรคอันใหถงึ กระแสทีน่ ําไปสูพระนิพพานทแี รก, มรรคอนั ใหถ ึงความ เปน พระโสดาบนั เปน เหตุละสงั โยชนไ ด 3 คือ สกั กายทิฏฐิ วิจกิ ิจฉา สลี ัพพตปรามาส — Sotàpatti-magga: the Path of Stream-Entry) 2. สกทาคามิมรรค (มรรคอนั ใหถงึ ความเปนพระสกทาคามี เปนเหตลุ ะสงั โยชนได 3 ขอ ตน กับทําราคะ โทสะ โมหะ ใหเบาบางลง — Sakadàgàmi-magga: the Path of Once- Returning) 3. อนาคามิมรรค (มรรคอันใหถึงความเปนพระอนาคามี เปนเหตลุ ะสังโยชนเ บื้องตํา่ ไดท้ัง 5 — Anàgàmi-magga: the Path of Non-Returning) 4. อรหตั ตมรรค (มรรคอันใหถงึ ความเปน พระอรหนั ต เปน เหตุละสังโยชนไ ดหมดทัง้ 10 — Arahatta-magga: the Path of Arahantship) ดู [329] สงั โยชน 101. Vbh.335. อภิ.วิ.35/837/453. [165] ผล 4 (ผลทีเ่ กดิ สืบเนือ่ งจากการละกเิ ลสไดดวยมรรค, ธรรมารมณอันพระอรยิ ะพงึ เสวย ที่เปน ผลเกดิ เองในเมอ่ื กเิ ลสส้ินไปดว ยอํานาจมรรคนน้ั ๆ — Phala: fruition) 1. โสดาปต ตผิ ล (ผลแหง การเขา ถงึ กระแสทน่ี าํ ไปสพู ระนิพพาน, ผลอนั พระโสดาบันพึงเสวย — Sotàpatti-phala: the Fruition of Stream-Entry) 2. สกทาคามิผล (ผลอนั พระสกทาคามพี ึงเสวย — Sakadàgàmi-phala: the Fruition of Once-Returning) 3. อนาคามิผล (ผลอนั พระอนาคามพี ึงเสวย — Anàgàmi-phala: the Fruition of Non- Returning) 4. อรหัตตผล (ผลคือความเปนพระอรหันต, ผลอันพระอรหันตพ ึงเสวย — Arahatta-phala: the Fruition of Arahantship)

หมวด 4 129 [166] ผล 4 น้ี บางที่เรยี กวา สามัญญผล (ผลของความเปน สมณะ, ผลแหง การบําเพ็ญสมณ- ธรรม — Sàma¤¤a-phala: fruits of a monk’s life; fruits of the monkhood) D.III.227; Vbh.335. ที.ปา.11/242/240; อภ.ิ วิ.35/837/453. [166] มหาปเทส 41 (ที่อางอิงขอใหญ, หลักใหญสําหรับอางเพ่ือสอบสวนเทียบเคียง หมวดท่ี 1 วา ดว ยหลกั ทวั่ ไป — Mahàpadesa: great authorities; principal references or citations) 1. หากมีภิกษุกลาววา ขาพเจาไดสดับรับมาเฉพาะพระพักตรของพระผูมีพระภาควา น้เี ปน ธรรม น้ีเปนวนิ ยั นี้เปน สัตถสุ าสน (A monk might say: “Face to face with the Blessed One did I hear this; face to face with him did I receive this. This is the Doctrine, this is the Discipline, this is the Master’s teaching.”) 2. หากมภี กิ ษกุ ลา ววา ในอาวาสช่อื โนน มีสงฆอยู พรอ มดวยพระเถระ พรอมดวยปาโมกข ขาพเจา ไดส ดับรับมาเฉพาะหนา สงฆนนั้ วา นี้เปน ธรรม นี้เปน วินัย นี้เปนสัตถสุ าสน (A monk might say: “In such and such a monastery resides an Order together with an elder monk, together with a leader. Face to face with that Order did I hear this; ...) 3. หากมภี กิ ษกุ ลา ววา ในอาวาสชอ่ื โนน มภี กิ ษผุ เู ปน พระเถระอยจู าํ นวนมาก เปน พหสู ตู ถงึ อาคม (คอื ชาํ นาญในพทุ ธพจนท ง้ั 5 นกิ าย) ทรงธรรม ทรงวนิ ยั ทรงมาตกิ า ขา พเจา ไดส ดบั รบั มาเฉพาะ หนา พระเถระเหลา นน้ั วา นเี้ ปน ธรรม นเ้ี ปน วนิ ยั นเ้ี ปน สตั ถสุ าสน (A monk might say: “In such and such a monastery reside a great number of elder monks, widely learned, versed in the Collections, expert on the Doctrine, expert on the Discipline, expert on the Summaries. In the presence of those monks did I hear this; ...) 4. หากมภี กิ ษกุ ลา ววา ในอาวาสชอื่ โนน มภี ิกษผุ เู ปน พระเถระอยรู ูปหนึ่ง เปน พหสู ูต ถงึ อาคม ทรงธรรม ทรงวินยั ทรงมาติกา ขาพเจาไดสดับรบั มาเฉพาะหนา พระเถระรูปน้นั วา นี้เปน ธรรม นี้เปน วินยั นีเ้ ปน สตั ถสุ าสน (A monk might say: “In such and such a monastery resides an elder monk of wide learning ...) เธอท้งั หลาย ยังไมพ ึงชน่ื ชม ยังไมพ ึงคดั คานคาํ กลา วของผูนั้น พึงเรียนบทและพยัญชนะ (ทงั้ ขอความและถอยคํา) เหลานั้นใหด แี ลว พงึ สอบดูในสูตรเทยี บดูในวินัย (The words of that monk are neither to be welcomed nor scorned, the words and syllables thereof are to be studied thoroughly, laid beside the Discourses and compared with the Discipline.) ก. ถา บทและพยัญชนะเหลานน้ั สอบลงในสตู รกไ็ มได เทยี บเขา ในวนิ ยั กไ็ มได พงึ ลงสันนิษฐาน วา นม้ี ใิ ชด าํ รัสของพระผูมีพระภาคแนนอน ภกิ ษนุ ้ี (สงฆน ้ัน พระเถระเหลานัน้ พระเถระรูป น้นั ) ถือไวผดิ พงึ ทิง้ เสีย (If, when laid beside the Discourses and compared with the Discipline, these words and syllables lie not along with the Discourses and agree

[167] 130 พจนานุกรมพุทธศาสตร not with the Discipline then you may come to the conclusion: Surely this is not the word of the Blessed One, and it has been wrongly grasped by that monk. Then reject it. ข. ถา บทและพยัญชนะเหลานน้ั สอบลงในสตู รกไ็ ด เทียบเขา ในวินยั ก็ได พงึ ลงสนั นษิ ฐานวา น้ี เปน ดํารัสของพระผมู ีพระภาคแนแท ภิกษุนี้ (สงฆน ัน้ พระเถระเหลา นน้ั พระเถระรูปนัน้ ) รับ มาดวยดี (If, ... they lie along with the Discourses and agree with the Discipline... Surely this is the word of the Blessed One ...) โดยสรปุ คอื การยกขอ อา งหรอื หลกั ฐาน 4 (the four principal appeals to authority) คอื 1. พุทธาปเทส (ยกเอาพระพทุ ธเจาข้นึ อาง — Buddhàpadesa: the appeal to the Enlightened One as authority) 2. สงั ฆาปเทส (ยกเอาคณะสงฆข้ึนอาง — Saïghàpadesa: the appeal to a community of monks or an Order as authority) 3. สมั พหลุ ตั เถราปเทส (ยกเอาพระเถระจาํ นวนมากขนึ้ อา ง — Sambahulattheràpadesa: the appeal to a number of elders as authority) 4. เอกัตเถราปเทส (ยกเอาพระเถระรปู หนึง่ ข้นึ อา ง — Ekattheràpadesa: the appeal to a single elder as authority) ในคมั ภรี รุนฎกี า (เชน อง.ฺ ฏี. 2/443) เรียกขอที่ 3 วา คณาปเทส (Gaõàpadesa) และขอ ที่ 4 วา ปุคคลาปเทส (Puggalàpadesa) D.II.123; A.II.167. ท.ี ม.10/113/144; องฺ.จตกุ ฺก.21/180/227. [167] มหาปเทส 42 หมวดท่ี 2 เฉพาะในทางพระวินยั — Mahàpadesa: great authorities; principal references) 1. สงิ่ ใดไมไ ดท รงหา มไวว า ไมค วร แตเ ขา กนั กบั สง่ิ ทไี่ มค วร (อกปั ปย ะ) ขดั กบั สง่ิ ทคี่ วร (กปั ปย ะ) สง่ิ นน้ั ไมค วร (Whatever has not been objected to as not allowable, if it fits in with what is not allowable and goes against what is allowable, is not allowable.) 2. สงิ่ ใดไมไ ดท รงหา มไวว า ไมค วร แตเ ขา กนั กบั สง่ิ ทค่ี วร (กปั ปย ะ) ขดั กบั สง่ิ ทไ่ี มค วร (อกปั ปย ะ) สง่ิ นน้ั ควร (Whatever has not been objected to as not allowable, if it fits in with what is allowable and goes against what is not allowable, is allowable.) 3. สง่ิ ใดไมไ ดท รงอนญุ าตไวว า ควร แตเขากันกบั สงิ่ ท่ไี มควร (อกปั ปยะ) ขดั กับสิง่ ท่ีควร (กปั ปย ะ) สง่ิ นน้ั ไมค วร (Whatever has not been permitted as allowable, if it fits in with what is not

หมวด 4 131 [168] allowable and goes against what is allowable, is not allowable.) 4. สงิ่ ใดไมไ ดท รงอนญุ าตไวว า ควร แตเ ขา กนั กบั สงิ่ ทคี่ วร (กปั ปย ะ) ขดั กบั สง่ิ ทไี่ มค วร (อกปั ปย ะ) สงิ่ นนั้ ควร (Whatever has not been permitted as allowable, if it fits in with what is allowable and goes against what is not allowable, is allowable.) Vin.I.250. วนิ ย.5/92/131. [168] มติ รปฏริ ูปก หรือ มิตรเทียม 4 (คนเทยี มมิตร, คนที่พงึ ทราบวา เปน ศตั รผู ูม าใน รา งของมติ ร — Mittapañiråpaka: false friends; foes in the guise of friends) 1. คนปอกลอก คนขนเอาของเพอื่ นไปถายเดยี ว (อัญญทัตถุหร — A¤¤adatthuhara: the out-and-out robber) มลี ักษณะ 4 คอื 1) คดิ เอาแตไดฝา ยเดยี ว 2) ยอมเสยี นอย โดยหวังจะเอาใหม าก 3) ตัวมภี ยั จึงมาชว ยทาํ กจิ ของเพ่อื น 4) คบเพ่ือน เพราะเหน็ แกผ ลประโยชน a) He appropriates his friend’s possessions. b) Giving little, he expects a lot in return. c) He gives a helping hand only when he himself is in danger. d) He makes friends with others only for his own interests. 2. คนดแี ตพ ดู (วจบี รม — Vacãparama: the man who pays lip-service) มลี กั ษณะ 4 คอื 1) ดแี ตย กของหมดแลว มาปราศรัย 2) ดแี ตอ างของยังไมมีมาปราศรัย 3) สงเคราะหด ว ยสิง่ หาประโยชนมิได 4) เมื่อเพือ่ นมกี จิ อา งแตเหตุขัดขอ ง a) He speaks you fair about the past. b) He speaks you fair about the future. c) He tries to gain your favour by empty sayings. d) When help is needed he points to his own ill luck. 3. คนหวั ประจบ (อนปุ ปยภาณี — Anuppiyabhàõã: the flatterer) มลี ักษณะ 4 คือ 1) จะทาํ ช่ัวก็เออออ 2) จะทําดีกเ็ ออออ 3) ตอหนา สรรเสริญ

[169] 132 พจนานุกรมพุทธศาสตร 4) ลับหลงั นนิ ทา a) He consents to your doing wrong. b) He consents to your doing right. c) He sings your praises to your face. d) He runs you down behind your back. 4. คนชวนฉิบหาย (อปายสหาย — Apàyasahàya: the leader to destruction) มี ลักษณะ 4 คอื 1) คอยเปนเพือ่ นดม่ื นาํ้ เมา 2) คอยเปนเพือ่ นเท่ียวกลางคืน 3) คอยเปน เพ่อื นเทีย่ วดูการเลน 4) คอยเปน เพ่ือนไปเลนการพนัน a) He is your companion when you indulge in drinking. b) He is your companion when you roam the streets at unseemly hours. c) He is your companion when you frequent shows and fairs. d) He is your companion when you indulge in gambling. D.III.185. ท.ี ปา.11/186/199. [169] สุหทมติ ร หรอื มิตรแท 4 (มิตรมใี จด,ี มิตรทจี่ รงิ ใจ — Suhadamitta: true friends; true-hearted friends) 1. มติ รอุปการะ (อปุ การกะ — Upakàraka: the helper) มีลกั ษณะ 4 คือ 1) เพื่อนประมาท ชว ยรกั ษาเพ่ือน 2) เพ่ือนประมาท ชว ยรักษาทรัพยสินของเพอ่ื น 3) เมือ่ มีภัย เปนทพี่ ่งึ พาํ นักได 4) มีกิจจาํ เปน ชว ยออกทรัพยใหเกนิ กวา ท่อี อกปาก a) He guards you when you are off your guard. b) He guards your property when you are off your guard. c) He is a refuge to you when you are in danger. d) He provides a double supply of what you may ask in time of need. 2. มติ รรว มสขุ รว มทกุ ข (สมานสขุ ทุกข — Samànasukhadukkha: the man who is the same in weal and woe) มลี กั ษณะ 4 คอื 1) บอกความลบั แกเ พอ่ื น 2) ปดความลับของเพ่อื น