หมวด 2 83 [65] [64] อัตถะ 2 (อรรถ, ความหมาย – Attha: meaning) พระสูตรทพี่ ระพทุ ธเจา ตรัส วา โดยการแปลความหมาย มี 2 ประเภท คือ 1. เนยยตั ถะ ([พระสตู ร]ซ่งึ มีความหมายทจ่ี ะตอ งไขความ, พุทธพจนท่ีตรสั ตามสมมติ อันจะ ตองเขาใจความจริงแทท ่ซี อนอยูอกี ชั้นหนึ่ง เชนท่ีตรสั เรื่องบคุ คล ตัวตน เรา–เขา วา บคุ คล 4 ประเภท, ตนเปน ที่พง่ึ ของตน เปนตน — Neyyattha: with indirect meaning; with meaning to be defined, elucidated or interpreted) 2. นตี ัตถะ ([พระสตู ร]ซ่งึ มคี วามหมายทแี่ สดงชัดโดยตรงแลว, พทุ ธพจนท ่ีตรัสโดยปรมัตถ ซงึ่ มีความหมายตรงไปตรงมาตามสภาวะ เชน ทีต่ รัสวา รูป เสียง กลิ่น รส เปน ตน — Nãtattha: with direct or manifest meaning; with defined or elucidated meaning) ผูใ ดแสดงพระสูตรท่เี ปน เนยยตั ถะ วาเปนนตี ัตถะ หรอื แสดงพระสูตรทเ่ี ปน นตี ตั ถะ วา เปน เนยยัตถะ ผนู ั้นชือ่ วากลา วตูพระตถาคต. A.I. 60 องฺ.ทุก.20/270/76 [65] อปุ ญญาตธรรม 2 (ธรรมทีพ่ ระพทุ ธเจาไดท รงปฏิบัติเหน็ คุณประจักษก บั พระองคเ อง คอื พระองคไ ดทรงอาศัยธรรม 2 อยา งนี้ดาํ เนนิ อริยมรรคาจนบรรลุจดุ หมายสูงสุด คอื สัมมา สมั โพธญิ าณ — Upa¤¤àta-dhamma: two virtues realized or ascertained by the Buddha himself) 1.อสนตฺ ฏุ ิตา กสุ เลสุ ธมฺเมสุ (ความไมส นั โดษในกศุ ลธรรม, ความไมรอู ม่ิ ไมร พู อใน การสรา งความดีและส่ิงทด่ี ี — Asantuññhità kusalesu dhammesu: discontent in moral states; discontent with good achievements) 2.อปปฺ ฏิวาณิตา ปธานสฺมึ (ความไมระยอในการพากเพยี ร, การเพียรพยายามกา วหนา เรื่อยไปไมยอมถอยหลงั — Appañivàõità padhànasmi§: perseverance in exertion; unfaltering effort) D.III.214; A.I.50,95; Dhs.8,234. ที.ปา.11/227/227; อง.ฺ ทกุ .20/251/64; 422/119; อภ.ิ สํ.34/15/8; 875/339.
ตกิ ะ — หมวด 3 Groups of Three (including related groups) [66] กรรม 3 (การกระทํา, การกระทําที่ประกอบดว ยเจตนา ดกี ต็ าม ช่ัวกต็ าม — Kamma: action; deed) 1. กายกรรม (กรรมทําดว ยกาย, การกระทาํ ทางกาย — Kàya-kamma: bodily action) 2. วจกี รรม (กรรมทาํ ดว ยวาจา, การกระทาํ ทางวาจา — Vacã-kamma: verbal action) 3. มโนกรรม (กรรมทําดว ยใจ, การกระทาํ ทางใจ — Mano-kamma: mental action) M.I.373. ม.ม.13/64/56. [67] กุศลมูล 3 (รากเหงาของกุศล, ตน ตอของความดี — Kusala-måla: wholesome roots; roots of good actions) 1. อโลภะ (ความไมโ ลภ, ธรรมทเี่ ปน ปฏปิ ก ษก บั โลภะ, ความคดิ เผอ่ื แผ, จาคะ — Alobha: non- greed; generosity) 2. อโทสะ (ความไมค ดิ ประทษุ รา ย, ธรรมทเ่ี ปน ปฏปิ ก ษก บั โทสะ, เมตตา — Adosa: non- hatred; love) 3. อโมหะ (ความไมห ลง, ธรรมทเี่ ปน ปฏปิ ก ษก บั ความหลง, ปญ ญา — Amoha: non-delusion; wisdom) D.III.275. ท.ี ปา.11/394/292. [68] อกุศลมูล 3 (รากเหงาของอกุศล, ตนตอของความชั่ว — Akusala-måla: unwholesome roots; roots of bad actions) 1. โลภะ (ความอยากได — Lobha: greed) 2. โทสะ (ความคดิ ประทุษรา ย — Dosa: hatred) 3. โมหะ (ความหลง — Moha: delusion) D.III.275; It.45. ท.ี ปา.11/393/291; ข.ุ อิต.ิ 25/228/264. [69] กศุ ลวติ ก 3 (ความตรกึ ทเ่ี ปน กศุ ล, ความนกึ คดิ ทดี่ งี าม — Kusala-vitakka: wholesome thoughts) 1. เนกขมั มวิตก (ความตรกึ ปลอดจากกาม, ความนึกคดิ ในทางเสียสละ ไมตดิ ในการปรน ปรอื สนองความอยากของตน — Nekkhamma-vitakka: thought of renunciation; thought free from selfish desire)
หมวด 3 85 [72] 2. อพยาบาทวติ ก (ความตรึกปลอดจากพยาบาท, ความนึกคิดทป่ี ระกอบดว ยเมตตา ไมขดั เคืองหรอื เพงมองในแงร าย — Abyàpàda-vitakka: thought free from hatred) 3. อวหิ งิ สาวติ ก (ความตรกึ ปลอดจากการเบยี ดเบยี น, ความนกึ คดิ ทป่ี ระกอบดว ยกรณุ าไมค ดิ รา ย หรอื มงุ ทาํ ลาย — Avihi§sà-vitakka: thought of non-violence; thought free from cruelty) A.III.446. องฺ.ฉกกฺ .22/380/496. [70] อกุศลวติ ก 3 (ความตรึกทีเ่ ปน อกุศล, ความนกึ คิดทีไ่ มด ี — Akusala-vitakka: unwholesome thoughts) 1. กามวติ ก (ความตรกึ ในทางกาม, ความนึกคิดในทางแสห าหรอื พวั พนั ติดขอ งในสงิ่ สนอง ความอยาก — Kàma-vitakka: thought of sensual pleasures) 2. พยาบาทวติ ก (ความตรกึ ในทางพยาบาท, ความนกึ คดิ ทปี่ ระกอบดว ยความขดั เคอื งเพง มองใน แงร า ย — Byàpàda-vitakka: thought full of hatred or ill-will; malevolent thought) 3. วหิ งิ สาวิตก (ความตรึกในทางเบยี ดเบียน, ความนกึ คดิ ในทางทําลาย ทํารายหรือกอความ เดอื ดรอนแกผ อู น่ื — Vihi§sà-vitakka: thought of violence or cruelty; cruel thought) A.III.446. องฺ.ฉกกฺ .22/380/496. [71] โกศล 3 (ความฉลาด, ความเชี่ยวชาญ — Kosalla: skill; proficiency) 1. อายโกศล (ความฉลาดในความเจรญิ , รอบรทู างเจรญิ และเหตขุ องความเจรญิ — àya- kosalla: proficiency as to gain or progress) 2. อปายโกศล (ความฉลาดในความเสอื่ ม, รอบรทู างเสอื่ มและเหตขุ องความเสอื่ ม — Apàya- kosalla: proficiency as to loss or regress) 3. อุปายโกศล (ความฉลาดในอุบาย, รอบรูวธิ ีแกไ ขเหตุการณและวธิ ที ่จี ะทําใหสําเรจ็ — Upàyakosalla: proficiency as to means and methods) D.III.220; Vbh.325. ท.ี ปา.11/228/231; อภ.ิ ว.ิ 35/807/439. [72] ญาณ 31 (ความหย่งั รู, ปรชี าหยง่ั รู — ¥àõa: insight; knowledge) 1. อตีตังสญาณ (ญาณหย่งั รูสว นอดตี , รอู ดตี และสาวหาเหตปุ จจัยอนั ตอ เนอ่ื งมาได — Atãta§sa-¤àõa: insight into the past; knowledge of the past) 2. อนาคตังสญาณ (ญาณหย่งั รูสว นอนาคต, รูอนาคต หยัง่ ผลทจี่ ะเกดิ สบื ตอ ไปได — Anàgata§sa-¤àõa: insight into the future; knowledge of the future) 3. ปจจุปปนนังสญาณ (ญาณหยั่งรสู ว นปจ จบุ ัน, รูป จ จบุ นั กําหนดไดถึงองคประกอบและ เหตปุ จ จัยของเร่ืองทเี่ ปน ไปอยู — Paccuppanna§sa-¤àõa: insight into the present; knowledge of the present) D.III.275. ที.ปา.11/396/292.
[73] 86 พจนานุกรมพุทธศาสตร [73] ญาณ 32 (ความหยัง่ ร,ู ปรีชาหยง่ั รู — ¥àõa: insight; knowledge) 1. สัจจญาณ (หย่ังรสู จั จะ คือ ความหยง่ั รอู รยิ สจั จ 4 แตล ะอยางตามทีเ่ ปนๆ วา นีท้ ุกข นี้ ทกุ ขสมทุ ัย น้ที กุ ขนิโรธ นท้ี ุกขนโิ รธคามนิ ีปฏิปทา — Sacca-¤àõa: knowledge of the Truths as they are) 2. กิจจญาณ (หยัง่ รูก ิจ คือ ความหยัง่ รกู ิจอันจะตอ งทําในอรยิ สจั จ 4 แตล ะอยางวา ทกุ ขควร กาํ หนดรู ทกุ ขสมทุ ยั ควรละเสีย เปน ตน — Kicca-¤àõa: knowledge of the functions with regard to the respective Four Noble Truths) 3. กตญาณ (หย่ังรูก ารอันทําแลว คอื ความหย่ังรวู า กิจอนั จะตองทําในอรยิ สัจจ 4 แตล ะ อยา งนัน้ ไดทําเสร็จแลว — Kata-¤àõa: knowledge of what has been done with regard to the respective Four Noble Truths) ญาณ 3 ในหมวดน้ี เนอื่ งดว ยอริยสัจจ 4 โดยเฉพาะ เรยี กช่ือเต็มตามทมี่ าวา ญาณ- ทัสสนะ อนั มีปรวิ ฏั ฏ 3 (ญาณทัสสนะมรี อบ 3 หรือ ความหยัง่ รูห ย่งั เหน็ ครบ 3 รอบ — thrice-revolved knowledge and insight) หรือ ปริวฏั ฏ 3 แหงญาณทัสสนะ (the three aspects of intuitive knowledge regarding the Four Noble Truths) ปรวิ ฏั ฏ หรอื วนรอบ 3 น้ี เปน ไปในอรยิ สจั จท ง้ั 4 รวมเปน 12 ญาณทสั สนะนน้ั จงึ ไดช อื่ วา มี อาการ 12 (twelvefold intuitive insight หรอื knowing and seeing under twelve modes) พระผูมีพระภาคทรงมีญาณทสั สนะตามเปนจริงในอรยิ สัจจ 4 ครบวนรอบ 3 มอี าการ 12 (ตปิ รวิ ฏฏํ ทฺวาทสาการํ ยถาภูตํ าณทสฺสนํ ) อยา งนแี้ ลว จึงปฏญิ าณพระองคไ ดว าทรงบรรลุ อนตุ ตรสมั มาสัมโพธญิ าณแลว. ดู [205] กิจในอริยสจั จ 4. Vin.I.11; S.V.422. วินย.4/16/21; สํ.ม.19/1670/530; ส.ํ อ.3/409. [74] ตัณหา 3 (ความทะยานอยาก — Taõhà: craving) 1. กามตณั หา (ความทะยานอยากในกาม, ความอยากไดก ามคณุ คือสิ่งสนองความตองการ ทางประสาททั้งหา — Kàma-taõhà: craving for sensual pleasures; sensual craving) 2. ภวตัณหา (ความทะยานอยากในภพ, ความอยากในภาวะของตัวตนทจี่ ะได จะเปนอยางใด อยา งหนงึ่ อยากเปน อยากคงอยตู ลอดไป, ความใครอ ยากทปี่ ระกอบดว ยภวทฏิ ฐหิ รอื สสั สตทฏิ ฐิ — Bhava-taõhà: craving for existence) 3. วิภวตัณหา (ความทะยานอยากในวิภพ, ความอยากในความพรากพน ไปแหง ตัวตนจาก ความเปน อยางใดอยา งหน่งึ อนั ไมป รารถนา อยากทําลาย อยากใหดับสญู , ความใครอ ยากท่ี ประกอบดวยวิภวทฏิ ฐิหรอื อจุ เฉททฏิ ฐิ — Vibhava-taõhà: craving for non-existence; craving for self-annihilation) A.III.445; Vbh.365. อง.ฺ ฉกฺก.22/377/494; อภิ.ว.ิ 35/933/494.
หมวด 3 87 [75] [75] ไตรปฎ ก (ปฎก 3, กระจาด ตะกรา กระบงุ หรอื ตาํ รา 3, ประมวลแหงคัมภีรที่รวบ รวมพระธรรมวินยั 3 หมวด หรือ 3 ชดุ — Tipiñaka: the Three Baskets; the Pali Canon) จัดพมิ พด ว ยอักษรไทย มี 45 เลม 1. วินัยปฎก (หมวดพระวินัย, ประมวลสิกขาบท สําหรับภิกษุสงฆและภิกษุณีสงฆ — Vinaya-piñaka: the Basket of Discipline) แบง เปน 3 หมวด หรอื 5 คัมภีร จัดพมิ พอ กั ษร ไทยเปน 8 เลม คอื ก. วิภังค หรือ สตุ ตวภิ งั ค (Vibhaïga) วา ดว ยสกิ ขาบทในปาฏโิ มกข (ปาติโมกข ก็ใช) แบง เปน 2 คมั ภีร คือ 1. อาทิกัมมิกะ หรอื ปาราชกิ (อา) วาดวยสิกขาบททีเ่ ก่ยี วกบั อาบตั หิ นกั ตง้ั แตป าราชกิ ถึง อนยิ ต (Major Offences) จดั พิมพเ ปน 1 เลม 2. ปาจติ ตยิ ะ (ปา) วา ดว ยสกิ ขาบททเ่ี กยี่ วกบั อาบตั เิ บา ตงั้ แตน สิ สคั คยิ ปาจติ ตยี ถงึ เสขยิ ะ และรวมเอาภกิ ขนุ ีวภิ ังคเ ขาไวดวย (Minor Offences) จดั เปน 2 เลม วิภังค น้ี แบง อกี อยางหนึ่งเปน 2 เหมือนกนั คอื 1. มหาวิภังค หรือ ภกิ ขวุ ิภงั ค วา ดวยสิกขาบทในปาฏโิ มกขฝ า ยภกิ ษสุ งฆ (Rules for Monks) จัดเปน 2 เลม 2. ภกิ ขนุ วี ภิ งั ค วา ดว ยสกิ ขาบทในปาฏโิ มกขฝ า ยภกิ ษณุ สี งฆ (Rules for Nuns) จดั เปน 1 เลม ข. ขนั ธกะ (Khandhaka) วา ดว ยสกิ ขาบทนอกปาฏโิ มกข รวมเปน บทๆ เรยี กวา ขนั ธกะ หนง่ึ ๆ ทั้งหมดมี 22 ขันธกะ ปนเปน 2 วรรค คอื 3. มหาวรรค (ม; วรรคใหญ — Greater Section) วา ดว ยสกิ ขาบทนอกปาฏิโมกขตอนตน มี 10 ขันธกะ จดั เปน 2 เลม 4. จลุ วรรค (จ;ุ วรรคเลก็ — Smaller Section) วา ดว ยสกิ ขาบทนอกปาฏโิ มขตอนปลาย มี 12 ขนั ธกะ จดั เปน 2 เลม ค. 5. ปรวิ าร (ป; หนงั สือประกอบ; คูมือ — Parivàra: Epitome of the Vinaya) คมั ภีร บรรจุคาํ ถามคาํ ตอบ ซอ มความรพู ระวนิ ัย จดั เปน 1 เลม 2. สตุ ตนั ตปฎก (หมวดพระสูตร, ประมวลพระธรรมเทศนา คําบรรยายธรรม และเร่ืองเลา ตางๆ อันยกั เยอ้ื งตามบุคคลและโอกาส — Sutta-piñaka: the Basket of Discourses) แบง เปน 5 นิกาย (แปลวา ประมวลหรอื ชมุ นุม) จดั พิมพเ ปน 25 เลม คือ 1. ทีฆนิกาย (ท)ี ชมุ นุมพระสตู รทมี่ ขี นาดยาว — Dãgha-nikàya: Collection of Long Discourses จดั เปน 3 วรรค 3 เลม มี 34 สูตร 2. มชั ฌมิ นิกาย (ม) ชมุ นุมพระสตู รทมี่ ีความยาวปานกลาง — Majjhima-nikàya: Col- lection of Middle-length Discourses จัดเปน 3 ปณณาสก 3 เลม มี 152 สูตร 3. สังยตุ ตนิกาย (สํ) ชุมนมุ พระสตู รท่ีรวมเขาไวเ ปน หมวดๆ เรยี กวา สงั ยตุ ต หนงึ่ ๆ ตาม
[75] 88 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร เรอ่ื งท่เี นือ่ งกนั — Sa§yutta-nikàya: Collection of Connected Discourses จดั เปน 56 สังยตุ ต แลวประมวลเขาอีกเปน 5 วรรค 5 เลม มี 7762 สูตร 4. อังคุตตรนกิ าย (อ)ํ ชุมนมุ พระสตู รท่รี วมเขา ไวเ ปน หมวดๆ เรยี กวา นิบาต หน่งึ ๆ ตาม ลําดับจํานวนหัวขอธรรม — Aïguttara-nikàya: Adding-One Collection; Collection of Numerical Sayings จัดเปน 11 นบิ าต (หมวด 1 ถึง หมวด 11) รวม เขาเปนคมั ภีร 5 เลม มี 9557 สูตร 5. ขุททกนกิ าย (ขุ) ชมุ นุมพระสูตร ขอธรรม คาํ อธบิ ายและเรื่องราวเบ็ดเตลด็ — Khuddaka-nikàya: Smaller Collection; Collection of Minor Works รวมคัมภีรที่ จดั เขา ไมไ ดใ นนกิ ายสขี่ า งตน มที งั้ หมด 15 คมั ภรี จดั เปน 9 เลม คอื ขทุ ทกปาฐะ ธรรมบท อุทาน อติ วิ ุตตกะ สุตตนิบาต (1 เลม ) วิมานวัตถุ เปตวัตถุ เถรคาถา เถรคี าถา (1 เลม ) ชาดก (2 เลม) นทิ เทส (มหานิทเทส 1 เลม, จูฬนทิ เทส 1 เลม ) ปฏิสมั ภิทามัคค (1 เลม ) อปทาน (1 2/3 เลม) พุทธวงส จรยิ าปฎก (1/3 เลม) 3. อภิธรรมปฎก (หมวดอภธิ รรม, ประมวลหลกั ธรรมและคําอธบิ ายในรูปหลกั วชิ าลว นๆ ไม เกยี่ วดวยเหตกุ ารณแ ละบคุ คล — Abhidhamma-piñaka: the Basket of Sublime, Higher or Extra Doctrine) แบงเปน 7 คมั ภรี จดั พิมพเปน 12 เลม คือ 1. ธมั มสงั คณี หรอื สังคณี (ส)ํ รวมขอ ธรรมเขา ไวเ ปน หมวดหมูแลว อธิบายเปน ประเภทๆ — Saïgaõã: Enumeration of the Dhammas (1 เลม ) 2. วภิ งั ค (วิ) อธิบายขอ ธรรมทร่ี วมเปน หมวดหมู (เรยี กวิภงั คหนงึ่ ๆ ) แยกแยะออกช้ีแจง วนิ ิจฉยั โดยละเอียด — Vibhaïga: Analysis of the Dhammas (1 เลม ) 3. ธาตกุ ถา (ธา) สงเคราะหข อ ธรรมตา งๆ เขา ในขนั ธ อายตนะ ธาตุ — Dhàtukathà: Discussion of Elements (ครึ่งเลม) 4. ปคุ คลบญั ญตั ิ (ปุ) บัญญัตคิ วามหมายบุคคลประเภทตางๆ ตามคณุ ธรรมทม่ี อี ยใู นบคุ คล น้นั ๆ — Puggalapa¤¤atti: Description of Individuals (คร่ึงเลม) 5. กถาวัตถุ (ก) แถลงวินจิ ฉัยทัศนะตา งๆ ท่ีขัดแยงกันระหวา งนิกายทงั้ หลายสมยั ตติย สังคายนา — Kathàvatthu: Subjects of Discussion (1 เลม) 6. ยมก (ย) ยกหัวขอธรรมขึน้ วนิ ิจฉัยดวยวธิ ีถามตอบโดยต้งั คําถามยอนกนั เปนคๆู — Yamaka: Book of Pairs (2 เลม) 7. ปฏ ฐาน (ป) หรือ มหาปกรณ อธิบายปจจยั 24 โดยพิสดาร — Paññhàna: Book of Relations (6 เลม ) อนงึ่ 3 ปฎกน้ี สงเคราะหเขา ใน [35] ปาพจน 2 คอื พระสตุ ตนั ตปฎกและพระอภธิ รรม ปฎ ก จดั เปน ธรรม พระวินยั ปฎ กจัดเปน วนิ ัย Vin.V.86. วินย.8/826/224.
หมวด 3 89 [78] [,,] ไตรรัตน ดู [100] รัตนตรัย. [76] ไตรลกั ษณ (ลกั ษณะ 3, อาการท่ีเปน เครอ่ื งกาํ หนดหมาย 3 อยาง อนั ใหร ูถงึ ความจรงิ ของสภาวธรรมทั้งหลาย ท่เี ปนอยางนน้ั ๆ ตามธรรมดาของมัน — Tilakkhaõa: the Three Characteristics) 1. อนิจจตา (ความเปน ของไมเทยี่ ง — Aniccatà: impermanence; transiency) 2. ทุกขตา (ความเปนทกุ ข — Dukkhatà: state of suffering or being oppressed) 3. อนัตตตา (ความเปนของไมใ ชตน — Anattatà: soullessness; state of being not self) • ลกั ษณะเหลา น้ี มี 3 อยาง จึงเรียกวา ไตรลกั ษณ • ลกั ษณะท้งั 3 เหลาน้ี มีแกธ รรมทเ่ี ปน สังขตะคอื สงั ขารทัง้ ปวง เปน สามัญเสมอกัน จึงเรียก วา สามญั ลกั ษณะ หรอื สามญั ลกั ษณ (Sàma¤¤a-lakkhaõa: the Common Characteristics) [ไมสามญั แกธ รรมท่ีเปนอสงั ขตะ อันไดแกวสิ งั ขาร ซงึ่ มีเฉพาะลักษณะท่ี 3 คอื อนัตตาอยาง เดยี ว ไมมีลกั ษณะ 2 อยางตน] • ลกั ษณะทงั้ 3 เหลา น้ี ปรากฏอยตู ามธรรมดาทแ่ี นน อน เปน ไปตามกฎธรรมชาติ คอื ธรรมนยิ าม • คาํ วา ไตรลกั ษณ กด็ ี สามญั ลกั ษณ ก็ดี เกิดข้ึนในยุคอรรถกถา สวนในพระไตรปฎ ก พระ พทุ ธเจาตรัสแสดงลกั ษณะ 3 อยางนีไ้ วใ นหลัก ธรรมนิยาม ดู [86] ธรรมนิยาม 3. S.IV.1; Dh.277–9. สํ.สฬ.18/1/1; ข.ุ ธ.25/30/51. [,,] ไตรสิกขา ดู [124] สิกขา 3. [77] ทวาร 3 (ทางทาํ กรรม — Dvàra: door; channel of action) 1. กายทวาร (ทวารคอื กาย — Kàya-dvàra: the body-door; channel of bodily action) 2. วจที วาร (ทวารคอื วาจา—Vacã-dvàra: the speech-door; speech as a door of action) 3. มโนทวาร (ทวารคือใจ — Mano-dvàra: the mind-door; mind as a door of action) Dh.234. นยั ข.ุ ธ.25/27/46; มงคฺ ล.1/252/243. [78] ทวาร 6 (ทางรับรูอารมณ ไดแกอายตนะภายใน 6 — Dvàra: sense-doors) 1. จักขทุ วาร (ทวารคอื ตา — Cakkhu-dvàra: eye-door) 2. โสตทวาร (ทวารคอื หู — Sota-dvàra: ear-door) 3. ฆานทวาร (ทวารคือจมกู — Ghàna-dvàra: nose-door) 4. ชิวหาทวาร (ทวารคอื ล้ิน — Jivhà-dvàra: tongue-door) 5. กายทวาร (ทวารคอื กาย — Kàya-dvàra: body-door)
[79] 90 พจนานกุ รมพุทธศาสตร 6. มโนทวาร (ทวารคอื ใจ — Mano-dvàra: mind-door) ดู [276] อายตนะภายใน 6. S.IV.194. ส.ํ สฬ.18/342/242. [,,] ทิฏฐิ 3 ดู [14] ทฏิ ฐิ 3. [79] ทกุ ขตา 3 (ความเปนทุกข, ภาวะแหง ทุกข, สภาพทกุ ข, ความเปนสภาพท่ที นไดย าก หรือ คงอยูในภาวะเดมิ ไมไ ด — Dukkhatà: state of suffering or being subject to suffering; conflict; unsatisfactoriness) 1. ทกุ ขทุกขตา (สภาพทกุ ขค ือทุกข หรอื ความเปนทุกขเ พราะทุกข ไดแ ก ทกุ ขเวทนาทางกาย กต็ าม ใจกต็ าม ซ่งึ เปนทุกขอยา งที่เขาใจสามัญ ตรงตามชอื่ ตามสภาพ — Dukkha- dukkhatà: painfulness as suffering) 2. วปิ ริณามทุกขตา (ความเปน ทุกขเพราะความแปรปรวน ไดแ กความสขุ ซึ่งเปนเหตุใหเกดิ ความทกุ ขเ มื่อตอ งเปล่ยี นแปลงแปรไปเปนอยา งอนื่ — Vipariõàma-dukkhatà: suffering in change) 3. สงั ขารทุกขตา (ความเปน ทกุ ขเ พราะเปน สังขาร ไดแกต วั สภาวะของสังขาร คอื สง่ิ ทั้งปวง ซ่ึงเกิดจากปจจัยปรุงแตง ท่ีถูกบีบคั้นดวยการเกิดขึ้นและสลายไป ทําใหคงสภาพอยูไมได พรอ งอยเู สมอ และใหเกิดทกุ ขแ กผ ยู ดึ ถอื ดว ยอปุ าทาน — Saïkhàra-dukkhatà: suffering due to formations; inherent liability to suffering) D.III.216; S.IV.259; V.56. ที.ปา.11/228/229; สํ.สฬ.18/510/318; ส.ํ ม.19/319/85. [80] ทจุ ริต 3 (ความประพฤตชิ ่วั , ประพฤติไมดี — Duccarita: evil conduct; misconduct) 1. กายทุจรติ (ความประพฤติชั่วดว ยกาย — Kàya-duccarita: evil conduct in act; misconduct by body) มี 3 คอื ปาณาตบิ าต อทินนาทาน และกาเมสมุ จิ ฉาจาร 2. วจที ุจริต (ความประพฤติชัว่ ดว ยวาจา — Vacã-duccarita: evil conduct in word; misconduct by speech) มี 4 คอื มุสาวาท ปสณุ าวาจา ผรสุ วาจา และสัมผัปปลาปะ 3. มโนทจุ รติ (ความประพฤตชิ ่ัวดว ยใจ — Mano-duccarita: evil conduct in thought; misconduct by mind) มี 3 คอื อภิชฌา พยาบาท และมิจฉาทิฏฐิ ดู รายละเอียดท่ี [321] อกศุ ลกรรมบถ 10. D.III.214; Dhs.1305. ท.ี ปา.11/228/227; อภิ.สํ.34/840/327. [81] สจุ ริต 3 (ความประพฤตดิ ี, ประพฤตชิ อบ — Sucarita: good conduct) 1. กายสุจรติ (ความประพฤติชอบดว ยกาย — Kàya-sucarita: good conduct in act) มี 3 คือ งดเวนและประพฤติตรงขา มกบั ปาณาติบาต อทินนาทาน และกาเมสุมิจฉาจาร
หมวด 3 91 [84] 2. วจสี จุ ริต (ความประพฤติชอบดว ยวาจา — Vacã-sucarita: good conduct in word) มี 4 คอื งดเวนและประพฤติตรงขามกบั มสุ าวาท ปสณุ าวาจา ผรุสวาจา และสัมผัปปลาปะ 3. มโนสุจรติ (ความประพฤติชอบดวยใจ — Mano-sucarita: good conduct in thought) มี 3 คือ อนภิชฌา อพยาบาท และสมั มาทิฏฐ.ิ ดู รายละเอียดที่ [320] กุศลกรรมบถ 10 2. D.III.215; Dhs.1306. ท.ี ปา.11/228/227; อภ.ิ สํ.34/840/327. [82] เทพ 3 (เทพเจา , เทวดา — Deva: gods; divine beings) 1. สมมติเทพ (เทวดาโดยสมมติ ไดแ ก พระราชา พระเทวี และพระราชกุมาร — Sammati- deva: gods by convention) 2. อปุ ปตติเทพ (เทวดาโดยกาํ เนิด ไดแก เทวดาในกามาวจรสวรรค และพรหมทง้ั หลาย เปนตน — Upapatti-deva: gods by rebirth) 3. วิสุทธเิ ทพ (เทวดาโดยความบรสิ ทุ ธ์ิ ไดแก พระพทุ ธเจา พระปจเจกพทุ ธเจา และพระ อรหนั ตท ั้งหลาย — Visuddhi-deva: gods by purification) Nd2173; KhA.123. ขุ.จู.30/214/112; ขทุ ฺทก.อ.135. [83] เทวทูต 3 (ทูตของยมเทพ, สื่อแจงขา วของมฤตยู, ส่งิ ท่เี ปนสัญญาณเตอื นใจใหร ะลึกถงึ คติธรรมดาของชีวิตอันมีความตายเปนท่ีสุด เพ่ือจะไดเกิดความสังเวชและเรงขวนขวายทํา ความดี ดว ยความไมประมาท — Devadåta: divine messengers; messengers of death) 1. ชิณณะ (คนแก — Jiõõa: old men) 2. พยาธติ ะ หรอื อาพาธกิ ะ (คนเจบ็ , ผูปว ย — Byàdhita, âbàdhika: sick men) 3. มตะ (คนตาย — Mata: dead men) A.I.138. อง.ฺ ติก.20/475/175. [,,] เทวทูต 4 ดู [150] นิมิต 4. [84] เทวทูต 5 (ทตู ของยมเทพ — Devadåta: divine messengers) 1. ทหระ หรือ มนั ทกุมาร (เดก็ ออ น — Dahara: a young baby) 2. ชณิ ณะ (คนแก — Jiõõa: an old man) 3. พยาธติ ะ หรอื อาพาธิกะ (คนเจบ็ — Byàdhita, âbàdhika: a sick man) 4. กรรมการณัปปตตะ (คนถูกลงโทษ, คนถกู จองจําลงอาญา — Kammakàraõappatta: a criminal subjected to punishment) 5. มตะ (คนตาย — Mata: a dead man) M.III.179. ม.อุ.14/507/335.
[85] 92 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร [85] ธรรม 3 (สภาวะ, สิ่ง, ปรากฏการณ — Dhamma: states; things; phenomena; ideas) 1. กุศลธรรม (ธรรมทีเ่ ปนกศุ ล, สภาวะทฉ่ี ลาด ดีงาม เอือ้ แกสขุ ภาพจิต เกือ้ กลู แกช ีวิตจิตใจ ไดแกกศุ ลมลู 3 กด็ ี นามขันธ 4 ทีส่ มั ปยุตดวยกศุ ลมูลนนั้ กด็ ี กายกรรม วจกี รรม มโนกรรม ท่ี มกี ศุ ลมูลเปน สมฏุ ฐาน ก็ดี กลาวสัน้ วา กุศลในภมู ิ 4 — Kusala-dhamma: skilful, wholesome, or profitable states; good things) 2. อกุศลธรรม (ธรรมทเี่ ปน อกศุ ล, สภาวะทตี่ รงขา มกบั กุศล ไดแ ก อกศุ ลมลู 3 และกเิ ลสอัน มฐี านเดียวกับอกศุ ลมลู น้ัน ก็ดี นามขนั ธ 4 ท่สี มั ปยุตดวยอกุศลมลู นั้น กด็ ี กายกรรม วจกี รรม มโนกรรมที่มีอกุศลมลู เปน สมุฏฐาน กด็ ี กลา วสัน้ วา อกุศลจิตตบุ าท 12 — Akusala- dhamma: unskilful, unwholesome or unprofitable states; bad things) 3. อพั ยากตธรรม (ธรรมทเี่ ปน อพั ยากฤต, สภาวะทีเ่ ปน กลางๆ ชข้ี าดลงมไิ ดว าเปน กุศลหรอื อกศุ ล ไดแ ก นามขันธ 4 ทเี่ ปน วิบากแหง กศุ ลและอกศุ ล เปน กามาวจรก็ตาม รูปาวจรก็ตาม อรปู าวจรก็ตาม โลกตุ ตระกต็ าม อยา งหน่ึง ธรรมทั้งหลายท่ีเปน กิริยา มิใชกศุ ล มใิ ชอ กุศล มิ ใชวบิ ากแหงกรรม อยา งหนง่ึ รูปท้ังปวง อยางหนงึ่ อสงั ขตธาตุ คอื นิพพาน อยา งหนง่ึ กลา ว ส้นั คอื วิบากในภมู ิ 4, กริ ิยาอพั ยากฤตในภูมิ 3, รปู และนิพพาน — Abyàkata-dhamma: the indeterminate; neither-good-nor-bad thing) Dhs.91,180,234. อภิ.สํ.34/1/1; 663/259; 878/340. [86] ธรรมนยิ าม 3 (กําหนดแหงธรรมดา, ความเปน ไปอันแนนอนโดยธรรมดา, กฎธรรม ชาติ — Dhamma-niyàma: orderliness of nature; natural law) 1. สพเฺ พ สงขฺ ารา อนิจจฺ า (สงั ขารคือสงั ขตธรรมทั้งปวงไมเที่ยง — Sabbe saïkhàrà aniccà: all conditioned states are impermanent) 2. สพฺเพ สงฺขารา ทุกฺขา (สงั ขารคอื สงั ขตธรรมท้งั ปวงเปนทุกข — Sabbe saïkhàrà dukkhà: all conditioned states are subject to oppression, conflict or suffering) 3. สพเฺ พ ธมฺมา อนตตฺ า (ธรรมคือสังขตธรรมและอสงั ขตธรรม หรอื สังขารและวิสังขารทงั้ ปวงไมใ ชต น — Sabbe dhammà anattà: all states are not-self or soulless) หลกั ความจรงิ น้ี แสดงใหเ หน็ ลกั ษณะ 3 อยา ง ทเ่ี รยี กวา ไตรลกั ษณ ของสภาวธรรมทง้ั หลาย (ดู [76] ไตรลกั ษณ ) พระพุทธเจาจะอบุ ัติหรือไมก็ตาม หลกั ทงั้ สามนี้ กค็ งมีอยูเปน ธรรมดา พระพทุ ธเจา เปน แตท รงคน พบ และนํามาเปดเผยแสดงแกเวไนย. ดู [223] นิยาม 5. A.I.285. องฺ.ตกิ .20/576/368. [87] นิมิต หรอื นิมิตต 3 (เครือ่ งหมายสําหรับใหจิตกําหนดในการเจรญิ กรรมฐาน, ภาพที่ เหน็ ในใจอนั เปนตวั แทนของสงิ่ ทใี่ ชเ ปนอารมณก รรมฐาน — Nimitta: sign; mental image)
หมวด 3 93 [89] 1. บริกรรมนมิ ติ (นมิ ิตแหง บริกรรม, นมิ ิตตระเตรียมหรือนมิ ติ แรกเร่ิม ไดแ ก สิ่งใดกต็ ามท่ี กาํ หนดเปนอารมณใ นการเจริญกรรมฐาน เชน ดวงกสณิ ทเี่ พงดู หรอื พุทธคณุ ทนี่ ึกเปนอารมณ วาอยูในใจเปน ตน — Parikamma-nimitta: preliminary sign) ไดใ นกรรมฐานท้งั 40 2. อคุ คหนิมติ (นมิ ิตทีใ่ จเรียน, นมิ ิตติดตา ไดแก บรกิ รรมนิมิตน้นั ท่ีเพงหรอื นกึ กําหนดจน เห็นแมนในใจ เชน ดวงกสิณท่ีเพงจนตดิ ตา หลับตามองเหน็ เปนตน — Uggaha-nimitta: learning sign; abstract sign; visualized image) ไดใ นกรรมฐานทง้ั 40 3. ปฏภิ าคนิมติ (นิมติ เสมอื น, นมิ ิตเทียบเคียง ไดแก นิมติ ท่ีเปน ภาพเหมอื นของอคุ คหนิมติ น้ัน แตเ ปนสงิ่ ที่เกดิ จากสัญญา เปน เพียงอาการปรากฏแกผไู ดสมาธิ จงึ บรสิ ทุ ธ์จิ นปราศจากสี เปน ตน และไมมมี ลทินใดๆ ทั้งสามารถนกึ ขยายหรือยอ สวนไดตามปรารถนา — Pañibhàga- nimitta: counterpart sign; conceptualized image) นมิ ติ นไี้ ดเฉพาะในกรรมฐาน 22 คอื กสิณ 10 อสุภะ 10 กายคตาสติ 1 และอานาปานสติ 1 เมอื่ เกิดปฏภิ าคนิมิตขน้ึ จิตยอมตั้งม่ันเปน อปุ จารสมาธิ จึงชื่อวาปฏภิ าคนิมติ เกดิ พรอมกบั อุปจารสมาธิ เม่ือเสพปฏิภาคนิมิตน้ันสม่ําเสมอดว ยอปุ จารสมาธกิ ็จะสาํ เร็จเปนอัปปนาสมาธิ ตอ ไป ปฏิภาคนิมติ จงึ ช่อื วาเปน อารมณแ กอปุ จารภาวนา และอัปปนาภาวนา. ดู [99] ภาวนา 3. Comp.203; Vism.125. สงฺคห.51; วสิ ทุ ฺธิ.1/159. [88] บุญกริ ิยาวตั ถุ 3 (ทต่ี ง้ั แหงการทําบญุ , เรอ่ื งทจี่ ัดเปน การทําความดี, หลักการทําความ ดี, ทางทําความดี — Pu¤¤akiriyà-vatthu: bases of meritorious action; grounds for accomplishing merit) 1. ทานมยั บญุ กริ ยิ าวตั ถุ (ทาํ บญุ ดว ยการใหป น สง่ิ ของ — Dànamaya pu¤¤akiriyà-vatthu: meritorious action consisting in giving or generosity) 2. สลี มยั บญุ กริ ยิ าวตั ถุ (ทาํ บญุ ดว ยการรกั ษาศลี หรอื ประพฤตดิ มี รี ะเบยี บวนิ ยั —Sãlamaya ~: meritorious action consisting in observing the precepts or moral behaviour) 3. ภาวนามัย บญุ กิริยาวตั ถุ (ทาํ บุญดวยการเจริญภาวนา คือฝกอบรมจติ ใจเจรญิ ปญญา — Bhàvanàmaya ~: meritorious action consisting in mental development) D.III.218; A.IV.239; It.51. ที.ปา.11/228/230; อง.ฺ อฏก.23/126/245; ขุ.อติ ิ.25/238/270. [89] บุญกริ ิยาวตั ถุ 10 (ทตี่ งั้ แหง การทําบุญ, ทางทาํ ความดี — Pu¤¤akiriyà-vatthu: bases of meritorious action) 1. ทานมยั (ทาํ บญุ ดวยการใหป นสง่ิ ของ — Dànamaya: meritorious action consisting in generosity; merit acquired by giving) 2. สลี มยั (ทาํ บญุ ดว ยการรกั ษาศลี หรอื ประพฤตดิ ี — Sãlamaya: by observing the precepts or moral behaviour)
[90] 94 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร 3. ภาวนามยั (ทําบญุ ดว ยการเจรญิ ภาวนา คอื ฝก อบรมจิตใจเจรญิ ปญญา — Bhàvanà- maya ~: by mental development) 4. อปจายนมัย (ทําบุญดวยการประพฤตอิ อ นนอ ม — Apacàyanamaya: by humility or reverence) 5. เวยยาวัจจมัย (ทําบุญดวยการชวยขวนขวายรับใช — Veyyàvaccamaya: by rendering services) 6. ปต ติทานมยั (ทาํ บุญดว ยการเฉลีย่ สว นแหง ความดใี หแ กผอู ่นื — Pattidànamaya: by sharing or giving out merit) 7. ปตตานโุ มทนามัย (ทําบุญดว ยการยนิ ดใี นความดีของผูอ ่ืน — Pattànumodanàmaya: by rejoicing in others’ merit) 8. ธัมมสั สวนมยั (ทาํ บุญดวยการฟงธรรมศึกษาหาความรู — Dhammassavanamaya: by listening to the Doctrine or right teaching) 9. ธัมมเทสนามัย (ทําบุญดวยการส่ังสอนธรรมใหความรู — Dhammadesanàmaya: by teaching the Doctrine or showing truth) 10. ทิฏุชุกัมม (ทําบุญดวยการทําความเห็นใหตรง — Diññhujukamma: by straightening one’s views or forming correct views) ขอ 4 และขอ 5 จัดเขา ในสลี มัย; 6 และ 7 ในทานมยั ; 8 และ 9 ในภาวนามยั ; ขอ 10 ได ทัง้ ทาน ศีล และภาวนา D.A.III.999; Comp.146. ที.อ.3/246; สังคหะ 29. [90] บตุ ร 3 (Putta: son; child; descendant) 1. อตชิ าตบุตร (บตุ รที่ยิ่งกวาบดิ ามารดา, ลกู ท่ีดกี วา เลิศกวาพอแม — Atijàta-putta: superior-born son) 2. อนชุ าตบตุ ร (บุตรท่ตี ามเยยี่ งบิดามารดา, ลูกทีเ่ สมอดว ยพอ แม — Anujàta-putta: like- born son) 3. อวชาตบตุ ร (บุตรท่ีตา่ํ ลงกวาบิดามารดา, ลกู ที่ทราม — Avajàta-putta: inferior-born son) บตุ รประเภทที่ 1 นั้น เรียกอีกอยา งวา อภิชาตบตุ ร It.62. ข.ุ อิติ.25/252/278. [91] ปปญจะ, ปปญ จธรรม 3 (กิเลสเครอื่ งเนนิ่ ชา, กเิ ลสท่เี ปน ตวั การทาํ ใหค ดิ ปรุงแตง ยดื เย้อื พสิ ดาร ทําใหเขวหา งออกไปจากความเปน จริงทง่ี า ยๆ เปดเผย กอ ใหเกดิ ปญ หาตางๆ และขัดขวางไมใหเขาถึงความจริงหรือทําใหไมอาจแกปญหาอยางถูกทางตรงไปตรงมา — Papa¤ca: proliferation; diversification; diffuseness; mental diffusion)
หมวด 3 95 [92] 1. ตณั หา (ความทะยานอยาก, ความปรารถนาทจ่ี ะบาํ รงุ บําเรอปรนเปรอตน, ความอยากได อยากเอา — Taõhà: craving; selfish desire) 2. ทิฏฐิ (ความคิดเห็น ความเช่ือถอื ลัทธิ ทฤษฎี อดุ มการณต างๆ ทีย่ ึดถอื ไวโ ดยงมงายหรอื โดยอาการเชิดชูวา อยางน้เี ทานน้ั จรงิ อยางอ่นื เทจ็ ทง้ั น้นั เปนตน ทาํ ใหปดตวั แคบ ไมยอมรับ ฟง ใคร ตัดโอกาสทจี่ ะเจริญปญ ญา หรือคดิ เตลดิ ไปขา งเดียว ตลอดจนเปนเหตุแหง การเบยี ด เบยี นบบี คนั้ ผูอืน่ ท่ไี มถืออยางตน, ความยดึ ติดในทฤษฎี ฯลฯ ถือความคดิ เหน็ เปนความจริง — Diññhi: view; dogma; speculation) 3. มานะ (ความถือตัว, ความสาํ คัญตนวา เปนน่ันเปนนี่ ถือสงู ถอื ตาํ่ ย่งิ ใหญเ ทา เทียม หรือ ดอยกวา ผูอ ่นื , ความอยากเดนอยากยกชตู นใหย งิ่ ใหญ — Màna: conceit) ในคมั ภีรว ิภังค เรยี กปปญจะ 3 นีเ้ ปน ฉนั ทะ (คอื ตัณหา) มานะ ทิฏฐิ Nd1 280; Vbh.393; Nett. 37–38. ข.ุ ม.29/505/337; อภิ.วิ.35/1034/530; เนตตฺ .ิ 56–57. [92] ปรญิ ญา 3 (การกาํ หนดร,ู การทําความรจู กั , การทาํ ความเขาใจโดยครบถวน — Pari¤¤à: full understanding; diagnosis) 1. ญาตปรญิ ญา (กาํ หนดรดู ว ยใหเ ปน สง่ิ อนั รแู ลว , กาํ หนดรขู นั้ รจู กั , กาํ หนดรตู ามสภาวลกั ษณะ คือ ทําความรจู กั จําเพาะตัวของส่งิ นัน้ โดยตรง พอใหชื่อวาไดเปนอนั รจู ักส่งิ น้นั แลว เชนรวู า น้ี คือเวทนา เวทนาคือส่ิงที่มีลักษณะเสวยอารมณ ดังนี้เปนตน — ¥àta-pari¤¤à: full knowledge as the known; diagnosis as knowledge) 2. ตรี ณปรญิ ญา (กาํ หนดรดู ว ยการพจิ ารณา, กาํ หนดรขู น้ั พจิ ารณา, กาํ หนดรโู ดยสามญั ลกั ษณะ คอื ทาํ ความรูจกั ส่ิงนัน้ พิจารณาเหน็ โดยความเปนของไมเ ที่ยง เปนทุกข เปน อนตั ตา เชนวา เวทนาไมเ ที่ยง มีความแปรปรวนไปเปน ธรรมดา ไมใชต วั ไมใชต น ดงั น้ีเปน ตน — Tãraõa- pari¤¤à: full knowledge as investigating; diagnosis as judgment) 3. ปหานปรญิ ญา (กาํ หนดรดู ว ยการละ, กาํ หนดรถู งึ ขน้ั ละได, กาํ หนดรโู ดยตดั ทางมใิ หฉ นั ทราคะ เกดิ มีในสิ่งนน้ั คอื รูว า ส่ิงนนั้ เปน อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาแลว ละนิจจสญั ญาเปนตน ในสิ่งน้นั เสยี ได — Pahàna-pari¤¤à: full knowledge as abandoning; diagnosis as abandoning) ปรญิ ญา 3 นี้ เปนโลกิยะ มีขันธ 5 เปน อารมณ เปน กจิ ในอริยสัจจข อท่ี 1 คอื ทกุ ข ในทาง ปฏิบัติ จดั เขาใน วิสทุ ธิ ขอ 3 ถึง 6 คอื ก. ตง้ั แตนามรูปปรเิ ฉท ถงึ ปจจยปรคิ คหะ เปน ภูมิแหง ญาตปรญิ ญา (= 3. ทฏิ ฐวิ ิสุทธิ และ 4. กงั ขาวติ รณวสิ ทุ ธ)ิ ข. ตั้งแตกลาปสมั มสนะ ถงึ อทุ ยพั พยานุปส สนา เปน ภมู ิแหง ตีรณปริญญา (= 5. มัคคามัคค- ญาณทสั สนวสิ ุทธ)ิ ค. ตั้งแตภงั คานุปสสนา ขึ้นไป เปน ภูมิแหงปหานปรญิ ญา (= 6. ปฏิปทาญาณทัสสนวสิ ทุ ธ)ิ ดู [205] กจิ ในอรยิ สัจจ 4; [285] วิสุทธิ 7; [311] วปิ ส สนาญาณ 9.
[93] 96 พจนานุกรมพทุ ธศาสตร Nd1 53; Vism.606. ขุ.ม.29/62/60; วิสุทธฺ ิ.3/230. [,,] ปหาน 3 (การละกเิ ลส — Pahàna: abandonment) คอื วกิ ขมั ภนปหาน ตทงั คปหาน และสมุจเฉทปหาน มีรวมอยูใน ปหาน 5. ดู [224] นโิ รธ 5. Vism.693. วสิ ุทธฺ ิ.3/349. [93] ปญ ญา 3 (ความรอบรู, รทู ว่ั , เขาใจ, รซู ้งึ — Pa¤¤à: wisdom; knowledge; understanding) 1. จินตามยปญญา (ปญญาเกิดแตการคิดพิจารณาหาเหตุผล — Cintàmaya-pa¤¤à: wisdom resulting from reflection; knowledge that is thought out) 2. สตุ มยปญญา (ปญญาเกดิ แตก ารสดบั การเลาเรียน — Sutamaya-pa¤¤à: wisdom resulting from study; knowledge that is learned from others) 3. ภาวนามยปญญา (ปญญาเกดิ แตก ารฝก อบรมลงมอื ปฏิบตั ิ — Bhàvanàmaya-pa¤¤à: wisdom resulting from mental development; knowledge that is gained by development or practice) D.III.219; Vbh.324. ที.ปา.11/228/231; อภิ.วิ.35/804/438. [94] ปาฏิหารยิ 3 (การกระทําทก่ี ําจัดหรอื ทําใหปฏิปกษย อมได, การกระทาํ ที่ใหเ ห็นเปน อศั จรรย, การกระทาํ ทีใ่ หบงั เกดิ ผลเปนอัศจรรย — Pàñihàriya: marvel; wonder; miracle) 1. อทิ ธปิ าฏิหารยิ (ปาฏิหาริยค อื ฤทธ,ิ์ แสดงฤทธไิ์ ดเ ปนอัศจรรย — Iddhi-pàñihàriya: marvel of psychic power) 2. อาเทศนาปาฏหิ ารยิ (ปาฏิหารยิ คอื การทายใจ, รอบรกู ระบวนของจิตจนสามารถกําหนด อาการทหี่ มายเลก็ นอ ยแลว บอกสภาพจติ ความคดิ อปุ นสิ ยั ไดถ กู ตอ งเปน อศั จรรย — âdesanà- pàñihàriya: marvel of mind-reading) 3. อนุสาสนีปาฏหิ ารยิ (ปาฏิหาริยคอื อนศุ าสน,ี คําสอนเปน จริง สอนใหเห็นจรงิ นําไป ปฏิบตั ิไดผ ลสมจริง เปนอศั จรรย — Anusàsanã-pàñihàriya: marvel of teaching) ใน 3 อยางน้ี พระพุทธเจาทรงรงั เกยี จอิทธิปาฏิหาริยและอาเทศนาปาฏหิ ารยิ แตท รง สรรเสริญอนุสาสนปี าฏิหารยิ วาเปน เยย่ี ม D.I.211; A.I.170; Ps.II.227. ท.ี ส.ี 9/339/273; อง.ฺ ตกิ .20/500/217; ข.ุ ปฏิ.31/718/616. [95] ปาปณกิ ธรรม 3 (ปาปณกิ งั คะ: หลกั พอคา, องคค ุณของพอคา — Pàpaõika- dhamma: qualities of a successful shopkeeper or businessman) 1. จักขุมา ตาดี (รจู ักสินคา ดูของเปน สามารถคาํ นวณราคา กะทนุ เกง็ กําไรแมนยํา — Cakkhumà: shrewd)
หมวด 3 97 [98] 2. วิธูโร จัดเจนธุรกิจ (รูแหลงซ้ือแหลงขาย รูความเคลื่อนไหวความตองการของตลาด สามารถในการจัดซ้ือจัดจําหนาย รูใจและรูจักเอาใจลกู คา — Vidhåro: capable of administering business) 3. นสิ สยสมั ปน โน พรอ มดว ยแหลง ทนุ เปน ทอี่ าศยั (เปน ทเี่ ชอื่ ถอื ไวว างใจในหมแู หลง ทนุ ใหญๆ หาเงนิ มาลงทนุ หรอื ดาํ เนนิ กจิ การโดยงา ย — Nissayasampanno: having a good credit rating) A.I.116. องฺ.ติก.20/459/146. [,,] ปฎ ก 3 ดู [75] ไตรปฎก. [,,] พุทธคุณ 3 ดู [305] พุทธคณุ 3. [96] พุทธจริยา 3 (พระจรยิ า หรือการทรงบาํ เพ็ญประโยชน ของพระพุทธเจา — Buddha- cariyà: the Buddha’s conduct, functions or services) 1. โลกัตถจรยิ า (พระพทุ ธจรยิ าเพอื่ ประโยชนแกโ ลก — Lokattha-cariyà: conduct for the well-being of the world) 2. ญาตตั ถจริยา (พระพทุ ธจริยาเพอ่ื ประโยชนแ กพ ระญาตติ ามฐานะ — ¥àtattha-cariyà: conduct for the benefit of his relatives) 3. พุทธัตถจริยา (พระพุทธจริยาท่ีทรงบําเพ็ญประโยชนตามหนาท่ีของพระพุทธเจา — Buddhattha-cariyà: beneficial conduct as functions of the Buddha) ใน 3 อยางน้ี โลกตั ถจริยามาในพระไตรปฎก (ขุ.จู.30/667/322; ข.ุ ปฏ.ิ 31/449/329; 715/615) สอง อยา งหลังมาในอรรถกถา. AA.I.98; DhA.III.441. องฺ.อ.1/104; ธ.อ.7/93. [97] พุทธโอวาท 3 (ประมวลคาํ สอนของพระพุทธเจา ทีเ่ ปนหลักใหญ 3 ขอ — Buddha- ovàda: the Three Admonitions or Exhortations of the Buddha) 1. สพฺพปาปสฺส อกรณํ (ไมทาํ ความช่ัวทงั้ ปวง — not to do any evil) 2. กสุ ลสฺสปู สมปฺ ทา (ทาํ แตความดี — to do good; to cultivate good) 3. สจิตฺตปริโยทปนํ (ทาํ ใจของตนใหสะอาดบรสิ ุทธ์ิ — to purify the mind) หลัก 3 ขอ น้ี รวมอยใู นโอวาทปาฏิโมกข ท่ีทรงแสดงในวนั เพ็ญ เดอื น 3 ทบ่ี ัดนีเ้ รียกวา วนั มาฆบชู า D.II.49; Dh.183. ที.ม.10/54/57; ข.ุ ธ.25/24/39. [98] ภพ 3 (ภาวะชวี ติ ของสตั ว, โลกเปน ทีอ่ ยูข องสัตว — Bhava: existence; sphere) 1. กามภพ (ภพท่เี ปนกามาวจร, ภพของสัตวผ ยู ังเสวยกามคุณคอื อารมณท างอนิ ทรียท งั้ 5 ได แก อบาย 4 มนุษยโลก และกามาวจรสวรรคทง้ั 6 — Kàma-bhava: the Sense-Sphere)
[99] 98 พจนานุกรมพุทธศาสตร 2. รูปภพ (ภพท่เี ปนรูปาวจร, ภพของสตั วผเู ขาถงึ รูปฌาน ไดแกรูปพรหมทัง้ 16 — Råpa- bhava: the Form-Sphere; Fine-Material Sphere) 3. อรปู ภพ (ภพทเี่ ปน อรปู าวจร, ภพของสตั วผ เู ขา ถงึ อรปู ฌาน ไดแ กอ รปู พรหม 4 — Aråpa- bhava: the Formless Sphere; Immaterial Sphere) D.III.215; M.I.294. ท.ี ปา.11/228/228; ม.ม.ู 12/498/539. [99] ภาวนา 3 (การเจรญิ หมายถงึ การเจรญิ กรรมฐานหรอื ฝก สมาธขิ นั้ ตา งๆ — Bhàvanà: stages of meditation) 1. บรกิ รรมภาวนา (ภาวนาข้นั บรกิ รรม, ฝก สมาธิขนั้ ตระเตรยี ม ไดแ กการถือเอานิมิตในสงิ่ ท่ี กาํ หนดเปน อารมณก รรมฐาน เชน เพง ดวงกสณิ หรอื นกึ ถงึ พทุ ธคณุ เปน อารมณว า อยใู นใจเปน ตน กลา วสนั้ ๆ คอื การกาํ หนดบรกิ รรมนมิ ติ นน่ั เอง — Parikamma-bhàvanà: preliminary stage of meditation) ไดใ นกรรมฐานทง้ั 40 2. อปุ จารภาวนา (ภาวนาขนั้ จวนเจยี น, ฝก สมาธขิ นั้ เปน อปุ จาร ไดแ ก เจรญิ กรรมฐานตอ ไป ถงึ ขณะทปี่ ฏภิ าคนมิ ติ เกดิ ขน้ึ ในกรรมฐานทเี่ พง วตั ถกุ ด็ ี นวิ รณส งบไปในกรรมฐานประเภทนกึ เปน อารมณก ด็ ี นบั แตข ณะนน้ั ไปจดั เปน อปุ จารภาวนา — Upacàra-bhàvanà: proximate stage of mediation) ขน้ั นเ้ี ปน กามาวจรสมาธิ ไดใ นกรรมฐานทง้ั 40; อปุ จารภาวนา สน้ิ สดุ แคโ คตรภู ขณะ ในฌานชวนะ 3. อปั ปนาภาวนา (ภาวนาขน้ั แนว แน, ฝกสมาธิขั้นเปนอปั ปนา ไดแ ก เสพปฏภิ าคนิมติ ท่ีเกดิ ข้ึนแลวน้ันสม่ําเสมอดวยอปุ จารสมาธิ จนบรรลปุ ฐมฌาน คือ ถดั จากโคตรภขู ณะในฌานชวนะ เปนตน ไป ตอแตน น้ั เปนอัปปนาภาวนา — Appanà-bhàvanà: concentrative or attain- ment stage of meditation) ขั้นน้เี ปน รปู าวจรสมาธิ ไดเ ฉพาะในกรรมฐาน 30 คอื หัก อนุสสติ 8 ขางตน ปฏิกลู สญั ญา 1 และ จตุธาตุววตั ถาน 1 ออกเสยี คงเหลือ อสุภะ 10 และ กายคตาสติ 1 (ไดถึงปฐมฌาน) อปั ปมัญญา 3 ขอ ตน (ไดถึงจตุตถฌาน) อัปปมัญญาขอทาย คืออุเบกขา 1 กสณิ 10 และอานาปานสติ 1 (ไดถึงปญจมฌาน) อรูป 4 (ไดอ รปู ฌาน) ดู [87] นิมติ 3. Comp.203. สงฺคห.51. [100] รตั นตรัย (รตั นะ 3, แกว อันประเสริฐ หรอื สง่ิ ลํา้ คา 3 ประการ, หลักท่ีเคารพบูชาสงู สดุ ของพุทธศาสนกิ ชน 3 อยา ง — Ratanattaya: the Triple Gem; Three Jewels) 1. พระพทุ ธเจา (พระผตู รัสรเู องและสอนผอู น่ื ใหรูตาม — Buddha: the Buddha; the Enlightened One) 2. พระธรรม (คําส่ังสอนของพระพุทธเจา ทั้งหลักความจริงและหลักความประพฤติ — Dhamma: the Dhamma; Dharma; the Doctrine) 3. พระสงฆ (หมูสาวกผูปฏิบตั ติ ามคําสงั่ สอนของพระพทุ ธเจา — Saïgha: the Sangha;
หมวด 3 99 [103] the Order) ในบาลีที่มา เรยี กวา สรณะ 3 Kh.1. ข.ุ ขุ.25/1/1. [101] ลทั ธนิ อกพระพทุ ธศาสนา 3 (บาลเี รยี กวา ติตถายตนะ แปลวา แดนเกิดลทั ธ,ิ ชุมนุมหรอื ประมวลแหงลทั ธิ — Titthàyatana: beliefs of other sects; grounds of sectarian tenets; spheres of wrong views; non-Buddhist beliefs) 1. ปพุ เพกตเหตวุ าท (ลทั ธกิ รรมเกา คอื พวกทถ่ี อื วา สง่ิ ใดกต็ ามทไี่ ดป ระสบ จะเปน สขุ กต็ าม ทกุ ขก ต็ าม มใิ ชส ขุ มใิ ชท กุ ขก ต็ าม ลว นเปน เพราะกรรมทไ่ี ดท าํ ไวใ นปางกอ น — Pubbekatavà da: a determinist theory that whatever is experienced is due to past actions; past- action determinism) เรยี กสั้นๆ วา ปุพเพกตวาท 2. อิสสรนมิ มานเหตุวาท (ลทั ธิพระเปน เจา คอื พวกท่ีถอื วา ส่ิงใดกต็ ามท่ไี ดป ระสบ จะเปน สขุ กต็ าม ทุกขก ต็ าม มิใชสขุ มิใชทกุ ขก ็ตาม ลวนเปน เพราะการบันดาลของเทพผูย ง่ิ ใหญ — Issarakaraõavàda: a determinist theory that whatever is experienced is due to the creation of a Supreme Being; theistic determinism) เรียกสั้นๆ วา อศิ วรกรณวาท หรอื อิศวรนิรมิตวาท 3. อเหตอุ ปจจยั วาท (ลัทธเิ สย่ี งโชค คอื พวกทถ่ี ือวา สง่ิ ใดกต็ ามทไี่ ดประสบ จะเปนสขุ ก็ ตาม ทกุ ขก ต็ าม มใิ ชสขุ มิใชท ุกขก็ตาม ลวนหาเหตุหาปจ จยั มิได คอื ถงึ คราวก็เปน ไปเอง — Ahetuvàda: an indeterminist theory that whatever is experienced is uncaused and unconditioned; accidentalism) เรยี กสน้ั ๆ วา อเหตวุ าท ท้งั สามลทั ธิน้ี ไมช อบดว ยเหตผุ ล ถกู ยันเขา ยอ มอา งการถือสืบๆ กนั มา เปนลัทธปิ ระเภท อกิริยา (traditional doctrines of inaction) หากยึดมน่ั ถือตามเขา แลว ยอ มใหเ กิดโทษ คอื ไมเกดิ ฉันทะ และความพยายาม ที่จะทําการท่ีควรทาํ และเวน การทไี่ มค วรทาํ A.I.173; Vbh.367. อง.ฺ ตกิ .20/501/222; อภิ.ว.ิ 35/940/496. [102] โลก 31 (ประดาสภาวธรรมหรอื หมูส ตั ว กําหนดโดยขอบเขตบาง ไมกาํ หนดบา ง — Loka: the world; the earth; sphere; universe) 1. สงั ขารโลก (โลกคอื สงั ขาร ไดแ กส ภาวธรรมทง้ั ปวงทม่ี กี ารปรงุ แตง ตามเหตปุ จ จยั — Saïkhàra- loka: the world of formations) 2. สตั วโลก (โลกคอื หมูส ัตว — Satta-loka: the world of beings) 3. โอกาสโลก (โลกอนั กําหนดดว ยโอกาส, โลกอนั มใี นอวกาศ, จักรวาล — Okàsa-loka: the world of location; the world in space; the universe) Vism.204; DA.I.173; MA.I.397. วสิ ุทธฺ .ิ 1/262; ท.ี อ.1/215; ม.อ.2/269. [103] โลก 32 (โลกคือหมูส ตั ว, สตั วโลก — Loka: the world of beings)
[104] 100 พจนานุกรมพทุ ธศาสตร 1. มนษุ ยโลก (โลกคือหมูมนุษย — Manussa-loka: the world of man) 2. เทวโลก (โลกคอื หมเู ทพ, สวรรคชน้ั กามาวจรท้งั 6 — Deva-loka: the heavenly world) 3. พรหมโลก (โลกคือหมูพ รหม, สวรรคช น้ั พรหม — Brahma-loka: the Brahma world) โลก 3 ในหมวดน้ี ทา นจาํ แนกออกมาจาก ขอ 2 คือสัตวโลก ในหมวดกอ น [102] DA.I.173; MA.I.397. ท.ี อ.1/215; ม.อ.2/269. [104] โลก 33 (โลกอันเปนทีอ่ ยูของสัตว — Loka: the world; sphere) คอื กามโลก — Kà maloka: the world of sense-desire; รปู โลก — Råpaloka: the world of form; อรปู โลก — Aråpaloka: the formless world; เปนชื่อท่บี างแหงใชเ รียก ภพ 3 แตไ มน ยิ ม ดู [98] ภพ 3. สงฺคห.ฏีกา18. [105] วฏั ฏะ 3 หรอื ไตรวัฏฏ (วน, วงเวียน, องคป ระกอบท่ีหมนุ เวยี นตอเนือ่ งกนั ของภว จกั ร หรือสังสารจกั ร — Vañña: the triple round; cycle) 1. กเิ ลสวฏั ฏ (วงจรกิเลส ประกอบดว ยอวชิ ชา ตัณหา และอุปาทาน — Kilesa-vañña: round of defilements) 2. กรรมวฏั ฏ (วงจรกรรม ประกอบดวยสงั ขารและกรรมภพ — Kamma-vañña: round of kamma) 3. วิปากวัฏฏ (วงจรวิบาก ประกอบดวย วญิ ญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ซง่ึ แสดงออกในรปู ปรากฏทีเ่ รียกวา อปุ ปตติภพ ชาติ ชรา มรณะ เปน ตน — Vipàka-vañña: round of results) สามอยา งนี้ ประกอบเขาเปนวงจรใหญแ หงปจ จยาการ เรยี กวา ภวจักร หรอื สังสารจักร ตามหลกั ปฏจิ จสมุปบาท Vism.581. วสิ ุทธฺ .ิ 3/198. [106] วิชชา 3 (ความรูแจง , ความรูว เิ ศษ — Vijjà: the Threefold Knowledge) 1. ปุพเพนิวาสานสุ สติญาณ (ญาณเปน เหตุระลึกขันธที่อาศยั อยูใ นกอ นได, ระลึกชาตไิ ด — Pubbenivàsànussati-¤àõa: reminiscence of past lives) 2. จตุ ูปปาตญาณ (ญาณกาํ หนดรูจตุ แิ ละอบุ ัติแหงสัตวท้ังหลาย อนั เปนไปตามกรรม, เหน็ การเวียนวายตายเกดิ ของสัตวทงั้ หลาย เรียกอีกอยางวา ทิพพจกั ขุญาณ — Cutåpapàta- ¤àõa: knowledge of the decease and rebirth of beings; clairvoyance) 3. อาสวกั ขยญาณ (ญาณหยงั่ รใู นธรรมเปน ทสี่ นิ้ ไปแหง อาสวะทงั้ หลาย, ความรทู ที่ าํ ใหส น้ิ อาสวะ, ความตรัสรู — âsavakkhaya-¤àõa: knowledge of the destruction of mental intoxi- cation)
หมวด 3 101 [108] วิชชา 3 นี้ เรยี กสนั้ ๆ วา ญาณ 3; ดู [297] วิชชา 8 ดว ย. D.III.220, 275; A.V.211. ท.ี ปา.11/228/232; 398/292; อง.ฺ ทสก.24/102/225. [,,,] วปิ ล ลาส 3 ระดบั ดู [178] วปิ ล ลาส 4. [107] วโิ มกข 3 (ความหลดุ พน , ประเภทของความหลดุ พน จดั ตามลกั ษณะการเหน็ ไตรลกั ษณ ขอ ทีใ่ หถงึ ความหลดุ พน — Vimokkha: liberation; aspects of liberation) 1. สญุ ญตวิโมกข (หลดุ พนดว ยเหน็ ความวา งหมดความยึดมั่น ไดแก ความหลดุ พนท่เี กิดจาก ปญ ญาพจิ ารณาเห็นนามรูป โดยความเปนอนตั ตา คอื หลุดพนดวยเห็นอนตั ตตา แลว ถอน ความยดึ มน่ั เสียได — Su¤¤ata-vimokkha: liberation through voidness; void liberation) = อาศยั อนัตตานุปสสนา ถอนอัตตาภนิ เิ วส. 2. อนิมิตตวิโมกข (หลดุ พนดว ยไมถอื นมิ ิต ไดแ ก ความหลุดพน ทเ่ี กิดจากปญ ญาพิจารณา เหน็ นามรูป โดยความเปน อนิจจงั คือ หลดุ พน ดว ยเห็นอนจิ จตา แลว ถอนนิมิตเสียได — Animitta-vimokkha: liberation through signlessness; signless liberation) = อาศัย อนิจจานุปสสนา ถอนวปิ ลลาสนมิ ิต. 3. อัปปณิหิตวิโมกข (หลุดพนดวยไมทําความปรารถนา ไดแก ความหลดุ พนที่เกดิ จาก ปญ ญาพจิ ารณาเห็นนามรปู โดยความเปน ทกุ ข คือ หลดุ พนดว ยเห็นทกุ ขตา แลวถอนความ ปรารถนาเสียได — Appaõihita-vimokkha: liberation through dispositionlessness; desireless liberation) = อาศัยทุกขานปุ สสนา ถอนตณั หาปณิธิ. ดู [47] สมาธิ 32. Ps.II.35; Vism.657; Comp.211. ข.ุ ปฏิ.31/469/353; วิสทุ ฺธ.ิ 3/299; สงั คห.55. [108] วิรัติ 3 (การเวน จากทจุ รติ , การเวนจากกรรมช่ัว — Virati: abstinence) 1. สมั ปตตวริ ตั ิ (เวนสง่ิ ประจวบเฉพาะหนา , เวน เมือ่ ประสบซ่ึงหนา หรอื เวน ไดทัง้ ทป่ี ระจวบ โอกาส คือ ไมไดตงั้ เจตนาไวก อน ไมไดสมาทานสกิ ขาบทไวเลย แตเ มอ่ื ประสบเหตทุ ี่จะทําชว่ั นกึ คดิ พจิ ารณาขึน้ ไดใ นขณะน้ันวา ตนมชี าติตระกลู วยั หรือคุณวุฒิอยา งน้ี ไมส มควรกระทํา กรรมเชน นน้ั แลวงดเวน เสียไดไมทําผิดศลี — Sampatta-virati: abstinence as occasion arises; abstinence in spite of opportunity) 2. สมาทานวริ ัติ (เวนดวยการสมาทาน คอื ตนไดตง้ั เจตนาไวกอ น โดยไดร บั ศีล คือ สมาทานสกิ ขาบทไวแ ลว ก็งดเวนตามที่ไดสมาทานนั้น — Samàdàna-virati: abstinence by undertaking; abstinence in accordance with one’s observances) 3. สมุจเฉทวิรตั ิ หรอื เสตุฆาตวริ ัติ (เวน ดว ยตัดขาด หรือดว ยชักสะพานตัดตอนเสียที เดยี ว, เวนไดเ ดด็ ขาด คือ การงดเวนความชวั่ ของพระอริยะท้ังหลาย อนั ประกอบดวย อริยมรรคซง่ึ ขจดั กเิ ลสท่ีเปน เหตแุ หงความชวั่ นัน้ ๆ เสร็จสิ้นแลว ไมเกิดมีแมแตความคิดทีจ่ ะ ประกอบกรรมช่วั น้ันเลย — Samuccheda-virati, Setughàta~: abstinence by rooting
[109] 102 พจนานุกรมพุทธศาสตร out) วริ ัติ 2 อยางแรก ยงั ไมอ าจวางใจไดแ นน อน วิรัตขิ อ ที่ 3 จึงจะแนนอนสนิ้ เชิง DA.I.305; KhA.142; DhsA.103. ท.ี อ.1/377; ขุทฺทก.อ.156; สงคฺ ณี.อ.188. [109] วเิ วก 3 (ความสงัด, ความปลกี ออก — Viveka: seclusion) 1. กายวิเวก (ความสงัดกาย ไดแ กอ ยใู นทสี่ งดั กด็ ี ดํารงอิริยาบถและเที่ยวไปผูเ ดยี วกด็ ี — Kàya-viveka: bodily seclusion i.e. solitude) 2. จติ ตวิเวก (ความสงดั ใจ ไดแกทาํ จติ ใหส งบผองใส สงัดจากนวิ รณ สังโยชน และอนุสัย เปนตน หมายเอาจิตแหงทานผูบรรลุฌาน และอรยิ มรรค อรยิ ผล — Citta-viveka: mental seclusion, i.e. the state of Jhàna and the Noble Paths and Fruitions) 3. อปุ ธวิ เิ วก (ความสงัดอปุ ธิ ไดแ กธ รรมเปนทีส่ งบระงบั สงั ขารทง้ั ปวง ปราศจากกเิ ลสก็ดี ขนั ธก ด็ ี อภิสังขารกด็ ี ท่ีเรียกวา อุปธิ หมายเอาพระนิพพาน — Upadhi-viveka: seclusion from the essentials of existence, i.e. Nibbàna) Nd1 26,140,157,341. ขุ.ม.29/33/29; 229/170. [110] เวทนา 2 (การเสวยอารมณ — Vedanà: feeling; sensation) 1. กายิกเวทนา (เวทนาทางกาย — Kàyika-vedanà: physical feeling) 2. เจตสิกเวทนา (เวทนาทางใจ — Cetasika-vedanà: mental feeling) S.IV.231. สํ.สฬ.18/431/287. [111] เวทนา 3 (การเสวยอารมณ, ความรสู กึ รสของอารมณ — Vedanà: feeling; sensation) 1. สุขเวทนา (ความรูสึกสขุ สบาย ทางกายกต็ าม ทางใจก็ตาม — Sukha-vedanà: pleasant feeling; pleasure) 2. ทุกขเวทนา (ความรูสึกทกุ ข ไมส บาย ทางกายกต็ าม ทางใจก็ตาม — Dukkha-vedanà: painful feeling; pain) 3. อทกุ ขมสขุ เวทนา (ความรสู กึ เฉยๆ จะสขุ กไ็ มใ ช ทกุ ขก็ไมใช เรยี กอีกอยางวา อเุ บกขา- เวทนา — Adukkhamasukha-vedanà, Upekkhà-vedanà: neither-pleasant-nor-painful feeling; indifferent feeling) D.III.216; 275; S.IV.331. ท.ี ปา.11/228/229; 391/291; สํ.สฬ.18/432/287. [112] เวทนา 5 (การเสวยอารมณ — Vedanà: feeling) 1. สุข (ความสขุ ความสบายทางกาย — Sukha: bodily pleasure or happiness) 2. ทุกข (ความทุกข ความไมสบาย เจบ็ ปวดทางกาย — Dukkha: bodily pain; discomfort) 3. โสมนสั (ความแชมชื่นสบายใจ, สุขใจ — Somanassa: mental happiness; joy)
หมวด 3 103 [115] 4. โทมนัส (ความเสียใจ, ทุกขใ จ — Domanassa: mental pain; displeasure; grief) 5. อเุ บกขา (ความรูส ึกเฉยๆ — Upekkhà: indifference) เวทนา 5 น้ี เรยี กเตม็ มี อนิ ทรีย ตอทายทกุ คาํ เปน สุขนิ ทรีย เปนตน . S.IV.232. ส.ํ สฬ.18/433/287. [113] เวทนา 6 (การเสวยอารมณ — Vedanà: feeling) 1. จกั ขสุ มั ผสั สชาเวทนา (เวทนาเกดิ จากสมั ผสั ทางตา — Cakkhusamphassajà-vedanà: feeling arisen from visual contact) 2. โสต~เวทนา (เวทนาเกดิ จากสมั ผสั ทางหู — Sota~: from auditory contact) 3. ฆาน~เวทนา (เวทนาเกดิ จากสัมผสั ทางจมูก — Ghàna~: from olfactory contact) 4. ชวิ หา~เวทนา (เวทนาเกิดจากสมั ผัสทางลิ้น — Jivhà~: from gustatory contact) 5. กาย~เวทนา (เวทนาเกดิ จากสมั ผสั ทางกาย — Kàya~: from bodily contact) 6. มโน~เวทนา (เวทนาเกิดจากสมั ผัสทางใจ — Mano~: from mental contact) S.IV.232. สํ.สฬ.18/434/287. [114] สมบัติ 31 (ความพรงั่ พรอมสมบรู ณแหงสิ่งอนั ใหสาํ เรจ็ ความปรารถนา, ผลสําเรจ็ ทีใ่ ห สมความปรารถนา — Sampatti: prosperity; success; excellence) 1. มนษุ ยสมบตั ิ (สมบตั ิในมนุษย, สมบตั ิชั้นมนุษย — Manussa-sampatti: human prosperity) 2. เทวสมบตั ิ (สมบัตใิ นสวรรค, สวรรคสมบตั ิ, ทพิ ยสมบตั ิ — Deva-sampatti: heavenly prosperity) 3. นพิ พานสมบตั ิ (สมบตั ิคอื พระนิพพาน — Nibbàna-sampatti: successful attainment of Nibbàna) Kh.7; DhA.III.183. ข.ุ ขุ.25/9/12; ธ.อ.6/48. [115] สมบัติ 32 หรือ ทานสมบตั ิ 3 (ความถึงพรอม, ความพรงั่ พรอ มสมบรู ณ ซง่ึ ทําให ทานทีไ่ ดบริจาคแลว เปนทานอนั ยอดเยีย่ ม มผี ลมาก — Sampatti: successful attainment; accomplishment; excellence) 1. เขตตสมบตั ิ (บญุ เขตถงึ พรอ ม คอื ปฏิคาหก หรอื ผรู บั ทาน เปน ผูประพฤติดี ปฏบิ ัตชิ อบ ประกอบดวยคุณธรรม — Khetta-sampatti: excellence of the field of merit) 2. ไทยธรรมสมบัติ (ไทยธรรมถึงพรอ ม คอื สิ่งท่ีใหเ ปนของบรสิ ุทธิ์ ไดม าโดยชอบธรรม และเหมาะสมเปน ประโยชนแกผ ูรับ — Deyyadhamma-sampatti: excellence of the gift) 3. จิตตสมบัติ (เจตนาถงึ พรอ ม คอื ใหด ว ยความต้งั ใจ คดิ จะใหเ ปนประโยชนแ กผ รู บั แทจ ริง มีเจตนาบริสทุ ธ์ิทง้ั 3 กาล คอื กอ นใหใจยนิ ดี ขณะใหจิตผอ งใส ใหแ ลว เบิกบานใจ — Citta-
[116] 104 พจนานุกรมพุทธศาสตร sampatti: excellence of motive or intention) UdA.199. อุ.อ.251. [,,,] สมาธิ 3 ดู [46–47] สมาธิ 3. [116] สรณะ 3 หรือ ไตรสรณะ (ทพ่ี ึ่ง, ท่ีระลึก — Saraõa, Tisaraõa: the Threefold Refuge; Three Refuges; Threefold Guide) หมายถึงพระรตั นตรัย คือ พระพทุ ธเจา พระ ธรรม และพระสงฆ ดู [100] รัตนตรยั การนอมใจระลกึ ถงึ คณุ ของพระรัตนตรยั น้นั เขา ใจความหมายอยา งถูกตอ ง และยดึ ถือ เปนหลกั แหง ความประพฤติปฏิบตั ิหรอื เปนเครื่องนําทางในการดาํ เนนิ ชวี ติ โดยยงั้ ใจจากอกศุ ล และนาํ จิตเขา สกู ศุ ล เรียกวา สรณคมน ไตรสรณคมน หรอื ไตรสรณาคมน. Kh.1. ข.ุ ขุ.25/1/1. [117] สังขตลกั ษณะ 3 (ลกั ษณะแหง สงั ขตธรรม คอื สง่ิ ทปี่ จ จยั ปรงุ แตง ขน้ึ — Saïkhata- lakkhaõa: characteristics of the conditioned; condition-marks of the conditioned) 1. อุปปฺ าโท ปฺ ายติ (ความเกิดข้นึ ปรากฏ — Uppàda: Its arising appears.) 2. วโย ปฺายติ (ความดับสลาย ปรากฏ — Vaya: Its passing away or subsidence appears.) 3. ิตสฺส อฺ ถตฺตํ ปฺายติ (เม่อื ตั้งอยู ความแปรปรากฏ — A¤¤athatta: It persisting, alteration or changeability appears.) A.I.152. อง.ฺ ตกิ .20/486/192. [118] อสังขตลักษณะ 3 (ลักษณะแหงอสังขตธรรม — Asaïkhata-lakkhaõa: characteristics of the Unconditioned) 1. น อุปปฺ าโท ปฺ ายติ (ไมป รากฏความเกิด — No arising appears.) 2. น วโย ปฺายติ (ไมปรากฏความสลาย — No passing away appears.) 3. น ิตสสฺ อฺถตตฺ ํ ปฺ ายติ (เมอื่ ต้งั อยู ไมปรากฏความแปร — It persisting, no alteration appears.) A.I.152. องฺ.ติก.20/487/192. [119] สงั ขาร 31 (สภาพทปี่ รงุ แตง — Saïkhàra: formation; determination; function) 1. กายสังขาร (สภาพทปี่ รุงแตงกาย ไดแก อัสสาสะ ปส สาสะ คือ ลมหายใจเขาออก — Kàya-saïkhàra: bodily formation; bodily function) 2. วจสี งั ขาร (สภาพที่ปรุงแตงวาจา ไดแก วติ กและวจิ าร — Vacã-saïkhàra: verbal formation; verbal function) 3. จติ ตสงั ขาร (สภาพทป่ี รงุ แตง ใจ ไดแก สญั ญาและเวทนา — Citta-saïkhàra: mental
หมวด 3 105 [122] formation; mental function) สงั ขาร 3 ในหมวดน้ี มักมาในเรื่องทเี่ กยี่ วกับสัญญาเวทยติ นโิ รธ วาผเู ขา นโิ รธสมาบตั นิ ้ี วจสี ังขาร กายสังขาร และจติ ตสังขาร ดับไปตามลําดบั . M.I.301; S.IV.293. ม.ม.ู 12/509/550; ส.ํ สฬ.18/561/361. [120] สงั ขาร 32 (สภาพท่ีปรุงแตง, ธรรมมเี จตนาเปนประธานอนั ปรงุ แตงการกระทํา, สัญเจตนา หรอื เจตนาทีแ่ ตงกรรม — Saïkhàra: formation; determination; volition) 1. กายสังขาร (สภาพที่ปรงุ แตงการกระทําทางกาย ไดแ ก กายสญั เจตนา คอื ความจงใจทาง กาย — Kàya-saïkhàra: bodily formation; bodily volition) 2. วจีสังขาร (สภาพทีป่ รุงแตงการกระทาํ ทางวาจา ไดแ ก วจสี ญั เจตนา คอื ความจงใจทาง วาจา — Vaci-saïkhàra: verbal formation; verbal volition) 3. จิตตสังขาร หรอื มโนสังขาร (สภาพที่ปรงุ แตง การกระทําทางใจ ไดแ ก มโนสญั เจตนา คอื ความจงใจทางใจ — Citta-saïkhàra: mental formation; mental volition) สงั ขาร 3 ในหมวดนี้ ไดในความหมายของคําวา สงั ขาร ในปฏิจจสมุปบาท. ดู [129] อภิสงั ขาร 3; ดู [185] สังขาร 4 ดวย. M.I.54; 390; S.II.4; Vbh.135. ม.มู.12/127/99; ม.ม.13/88/83; สํ.นิ.16/16/4; อภ.ิ วิ.35/257/181. [121] สทั ธรรม 3 (ธรรมอันดี, ธรรมท่ีแท, ธรรมของสตั บุรุษ, หลักหรือแกนศาสนา — Saddhamma: good law; true doctrine; doctrine of the good; essential doctrine) 1. ปรยิ ตั ตสิ ทั ธรรม (สทั ธรรมคอื คาํ สงั่ สอนอนั จะตอ งเลา เรยี น ไดแ ก พทุ ธพจน — Pariyatti- saddhamma: the true doctrine of study; textual aspect of the true doctrine; study of the Text or Scriptures) 2. ปฏปิ ต ตสิ ทั ธรรม (สทั ธรรมคอื ปฏปิ ทาอนั จะตอ งปฏบิ ตั ิ ไดแ ก อฏั ฐงั คกิ มรรค หรอื ไตรสกิ ขา คอื ศลี สมาธิ ปญ ญา — Pañipatti-saddhamma: the true doctrine of practice; practical aspect of the true doctrine) 3. ปฏเิ วธสทั ธรรม (สทั ธรรมคอื ผลอนั จะพงึ เขา ถงึ หรอื บรรลดุ ว ยการปฏบิ ตั ิ ไดแ ก มรรค ผล และนพิ พาน — Pañivedha-saddhamma: the true doctrine of penetration; realizable or attainable aspect of the true doctrine) ขอ 3 คือ ปฏเิ วธสทั ธรรม บางแหงเรียก อธิคมสัทธรรม มีความหมายอยา งเดียวกัน. VinA.225; AA.V.33. วนิ ย.อ.1/264; ม.อ.3/147,523; อง.ฺ อ.3/391. [122] สนั โดษ 3 และ 12 (ความยนิ ดี, ความพอใจ, ความยินดดี ว ยของของตนซงึ่ ไดม าดว ย เร่ียวแรงความเพียรโดยชอบธรรม, ความยนิ ดีดวยปจจัยสตี่ ามมีตามได, ความรจู ักอ่ิมรจู ักพอ — Santosa, Santuññhi: contentment; satisfaction with whatever is one’s own)
[123] 106 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร 1. ยถาลาภสันโดษ (ยินดตี ามทไ่ี ด, ยนิ ดีตามท่พี ึงได คือ ตนไดส่ิงใดมา หรอื เพยี รหาส่ิงใดมา ได เม่อื เปน สง่ิ ทีต่ นพึงได ไมวา จะหยาบหรอื ประณีตแคไหน ก็ยินดีพอใจดว ยสิง่ นน้ั ไมติดใจ อยากไดส ่งิ อ่นื ไมเดอื ดรอ นกระวนกระวายเพราะสงิ่ ท่ตี นไมได ไมปรารถนาสงิ่ ทีต่ นไมพ งึ ไดห รือ เกนิ ไปกวาท่ีตนพึงไดโดยถูกตองชอบธรรม ไมเ พงเล็งปรารถนาของท่ีคนอนื่ ได ไมริษยาเขา — Yathàlàbha-santosa: contentment with what one gets and deserves to get) 2. ยถาพลสันโดษ (ยินดีตามกาํ ลัง คือ ยินดีแตพอแกก ําลังรา งกายสุขภาพและวสิ ัยแหง การ ใชสอยของตน ไมย ินดีอยากไดเ กินกําลัง ตนมีหรือไดส่งิ ใดมาอนั ไมถ กู กบั กาํ ลังรางกายหรอื สุข ภาพ เชน ภกิ ษุไดอาหารบณิ ฑบาตท่แี สลงตอ โรคของตน หรอื เกนิ กําลงั การบริโภคใชสอย ก็ไม หวงแหนเสยี ดายเก็บไวใหเ สียเปลา หรอื ฝนใชใ หเปน โทษแกตน ยอมสละใหแ กผอู ืน่ ท่ีจะใชไ ด และรับหรือแลกเอาส่ิงที่ถูกโรคกับตนแตเพียงที่พอแกกําลังการบริโภคใชสอยของตน — Yathàbala-santosa: contentment with what is within one’s strength or capacity) 3. ยถาสารปุ ปสนั โดษ (ยนิ ดีตามสมควร คือ ยนิ ดีตามทเ่ี หมาะสมกับตน อันสมควรแกภ าวะ ฐานะ แนวทางชีวิต และจุดหมายแหงการบําเพญ็ กิจของตน เชน ภิกษไุ มป รารถนาสิ่งของอัน ไมส มควรแกส มณภาวะ หรอื ภกิ ษุบางรปู ไดป จจยั ส่ีทม่ี ีคามาก เห็นวาเปนสง่ิ สมควรแกท า นผู ทรงคณุ สมบัตนิ า นับถือ ก็นาํ ไปมอบใหแกทา นผนู ้นั ตนเองใชแ ตส ิง่ อนั พอประมาณ หรือภิกษุ บางรูปกําลังประพฤตวิ ตั รขดั เกลาตน ไดของประณีตมา กส็ ละใหแกเ พื่อนภิกษรุ ปู อื่นๆ ตนเอง เลอื กหาของปอนๆ มาใช หรือตนเองมีโอกาสจะไดลาภอยา งหนึง่ แตรวู า ส่งิ นัน้ เหมาะสมหรอื เปนประโยชนแกท านผูอ นื่ ทเ่ี ชี่ยวชาญถนดั สามารถดา นน้นั กส็ ละใหลาภถงึ แกท านผนู นั้ ตนรบั เอาแตส ง่ิ ทเี่ หมาะสมกับตน — Yathàsàruppa-santosa: contentment with what is befitting) สนั โดษ 3 น้ี เปน ไปในปจจัย 4 แตละอยา ง จงึ รวมเรียกวา สันโดษ 12 อนึ่ง สันโดษ 3 นี้ เปน คําอธบิ ายของพระอรรถกถาจารย ซง่ึ มงุ แสดงขอปฏิบัติของพระ ภกิ ษโุ ดยเฉพาะ ปรากฏในอรรถกถาและฎกี ามากมายไมน อ ยกวา 10 แหง คฤหัสถพงึ พจิ ารณา ประพฤตปิ ฏิบัตติ ามสมควร. AA.I.45; KhA.145; UdA.229; etc. ที.อ.1/253; ม.อ.2/188; อง.ฺ อ.1/81; ขทุ ฺทก.อ.159; อ.ุ อ.288; ฯลฯ. [123] สปั ปรุ ิสบญั ญตั ิ 3 (บญั ญัติของสัตบุรุษ, ขอ ปฏิบัตทิ ี่สัตบุรษุ วางเปนแบบไว หรอื กลา วสรรเสรญิ ไว, ความดที ี่คนดถี อื ลงกัน — Sappurisa-pa¤¤atti: things established by righteous people; recommendation of the good) 1. ทาน (การใหปน, สละของตนเพอื่ ประโยชนแกผ ูอน่ื — Dàna: giving; generosity; charity; benefaction) 2. ปพพัชชา (การถือบวช, เวนการเบียดเบียน ดาํ รงในธรรม คอื อหงิ สา สัญญมะ และทมะ อันเปน อุบายใหไมเ บียดเบียนกนั และอยูรว มกันดว ยความสุข — Pabbajjà: renunciation consisting in non-violence, restraint and self-control)
หมวด 3 107 [125] 3. มาตาปต อุ ปุ ฏฐาน (การบํารงุ มารดาบดิ า, ปฏิบตั มิ ารดาบิดาของตนใหเ ปนสขุ — Màtà- pitu-upaññhàna: support of mother and father) A.I.151. อง.ฺ ตกิ .20/484/191. [,,,] สามัญลกั ษณะ 3 ดู [76] ไตรลกั ษณ. [124] สกิ ขา 3 หรือ ไตรสกิ ขา (ขอ ทจ่ี ะตอ งศึกษา, ขอปฏบิ ัตทิ เี่ ปนหลักสาํ หรับศึกษา คือ ฝก หัดอบรม กาย วาจา จติ ใจ และปญญา ใหย ิ่งข้ึนไปจนบรรลจุ ุดหมายสูงสุดคอื พระนิพพาน — Sikkhà: the Threefold Learning; the Threefold Training) 1. อธสิ ลี สิกขา (สกิ ขาคอื ศลี อนั ย่งิ , ขอปฏิบตั สิ าํ หรับฝก อบรมในทางความประพฤติอยา งสูง — Adhisãla-sikkhà: training in higher morality) 2. อธจิ ิตตสกิ ขา (สกิ ขาคือจติ อนั ย่งิ , ขอ ปฏบิ ตั สิ าํ หรับฝกอบรมจติ เพ่อื ใหเกดิ คณุ ธรรมเชน สมาธอิ ยา งสูง — Adhicitta-sikkhà: training in higher mentality) 3. อธิปญญาสิกขา (สิกขาคือปญญาอันยิ่ง, ขอปฏิบัติสําหรับฝกอบรมปญญาเพื่อใหเกิด ความรแู จง อยางสูง — Adhipa¤¤à-sikkhà: training in higher wisdom) เรยี กงา ยๆ วา ศลี สมาธิ ปญ ญา (morality, concentration and wisdom) D.III.220; A.I.229. ท.ี ปา.11/228/231; องฺ.ตกิ .20/521/294. [,,,] สุจริต 3 ดู [81] สุจรติ 3. [,,,] โสดาบนั 3 ดู [58] โสดาบัน 3. [,,,] อกศุ ลมูล 3 ดู [68] อกศุ ลมูล 3. [,,,] อกศุ ลวติ ก 3 ดู [70] อกศุ ลวิตก 3. [125] อธปิ ไตย 3 (ความเปน ใหญ, ภาวะทถี่ อื เอาเปน ใหญ — Adhipateyya: dominant influence; supremacy) 1. อัตตาธิปไตย (ความมีตนเปนใหญ, ถือตนเปนใหญ, กระทําการดวยปรารภตนเปน ประมาณ — Attàdhipateyya: supremacy of self; self-dependence) 2. โลกาธปิ ไตย (ความมโี ลกเปนใหญ, ถอื โลกเปนใหญ, กระทาํ การดว ยปรารภนยิ มของโลก เปน ประมาณ — Lokàdhipateyya: supremacy of the world or public opinion) 3. ธัมมาธิปไตย (ความมีธรรมเปน ใหญ, ถือธรรมเปน ใหญ, กระทาํ การดวยปรารภความถูก ตอ ง เปน จรงิ สมควรตามธรรม เปนประมาณ — Dhammàdhipateyya: supremacy of the Dhamma or righteousness; rule of the Dhamma; rule of the true law) ผเู ปนอตั ตาธิปก พงึ ใชสติใหม าก; ผเู ปน โลกาธปิ ก พงึ มปี ญ ญาครองตน และรูพินิจ; ผเู ปน ธรรมาธิปก พึงประพฤติใหถูกหลักธรรม; ผูเปนหัวหนาหมูเปนนักปกครอง พึงถือ
[126] 108 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร ธรรมาธิปไตย. D.III.220; A.I.147. ท.ี ปา.11/228/231; อง.ฺ ตกิ .20/479/186. [126] อนตุ ตรยิ ะ 3 (ภาวะอันยอดเย่ียม, ส่ิงที่ยอดเย่ยี ม — Anuttariya: excellent states; highest ideal; greatest good; unsurpassable experiences) 1. ทสั สนานุตตริยะ (การเหน็ อนั เยย่ี ม ไดแก ปญญาอันเห็นธรรม หรอื อยา งสงู สุดคอื เห็น นิพพาน — Dassanànuttariya: ideal sight, supreme or unsurpassable vision) 2. ปฏิปทานุตตริยะ (การปฏิบัติอนั เยีย่ ม ไดแก การปฏบิ ัติธรรมทีเ่ ห็นแลว กลา วใหง าย หมายเอามรรคมีองค 8 — Pañipadànuttariya: ideal course; supreme way) 3. วมิ ุตตานุตตริยะ (การพน อันเย่ยี ม ไดแก ความหลดุ พน อันเปน ผลแหง การปฏิบัตนิ น้ั คอื ความหลดุ พนจากกเิ ลสและทุกขทัง้ ปวง หรือนิพพาน — Vimuttànuttariya: ideal freedom; supreme deliverance) D.III.219; M.I.235. ท.ี ปา.11/228/231; ม.มู.12/402/435. [127] อนุตตรยิ ะ 6 (ภาวะอนั ยอดเย่ยี ม, สงิ่ ทย่ี อดเย่ยี ม — Anuttariya: excellent, supreme or unsurpassable experiences) 1. ทสั สนานุตตริยะ (การเหน็ อนั เยยี่ ม ไดแ ก การเหน็ พระตถาคต และตถาคตสาวก รวมถงึ สง่ิ ทั้งหลายทีจ่ ะใหเ กดิ ความเจรญิ งอกงามแหง จิตใจ — Dassanànuttariya: supreme sight) 2. สวนานุตตรยิ ะ (การฟงอันเย่ยี ม ไดแก การสดับธรรมของพระตถาคต และตถาคตสาวก — Savanànuttariya: supreme hearing) 3. ลาภานตุ ตรยิ ะ (การไดอนั เยย่ี ม ไดแก การไดศ รัทธาในพระตถาคตและตถาคตสาวก หรอื การไดอริยทรัพย — Làbhànuttariya: supreme gain) 4. สิกขานุตตริยะ (การศกึ ษาอนั เยย่ี ม ไดแ ก การฝกอบรมในอธิศีล อธจิ ิตต และอธิปญญา — Sikkhànuttariya: supreme training) 5. ปาริจริยานตุ ตริยะ (การบาํ เรออนั เยยี่ ม ไดแ ก การบาํ รงุ รบั ใชพ ระตถาคต และตถาคตสาวก — Pàricariyànuttariya: supreme service or ministry) 6. อนุสสตานตุ ตริยะ (การระลึกอันเยยี่ ม ไดแก การระลึกถึงพระตถาคต และตถาคตสาวก — Anussatànuttariya: supreme memory) โดยสรปุ คอื การเหน็ การฟง การได การศึกษา การชว ยรับใช และการราํ ลกึ ทจ่ี ะเปน ไป เพ่ือความบริสทุ ธิ์ ลว งพนโสกะปรเิ ทวะ ดับสญู ทุกขโทมนสั เพือ่ การบรรลุญายธรรม ทําใหแจง ซึง่ นิพพาน D.III.250,281; A.III.284,325,452. ท.ี ปา.11/321/262; 430/307; อง.ฺ ฉกกฺ .22/279/316; 301/363. [128] อปณณกปฏิปทา 3 (ขอปฏิบตั ทิ ไี่ มผ ดิ , ปฏิปทาทเ่ี ปนสวนแกนสารเนื้อแท ซ่งึ จะนํา ผูปฏิบัติใหถึงความเจริญงอกงามในธรรม เปนผูดําเนินอยูในแนวทางแหงความปลอดพนจาก
หมวด 3 109 [130] ทกุ ขอ ยา งแนนอนไมผิดพลาด — Apaõõaka-pañipadà: sure course; sure practice; unimpeachable path) 1. อินทรียสังวร (การสํารวมอินทรีย คือระวังไมใหบาปอกุศลธรรมครอบงําใจ เมื่อรับรู อารมณด วยอินทรียทั้ง 6 — Indriya-sa§vara: control of the senses) 2. โภชเนมตั ตญั ุตา (ความรูจักประมาณในการบรโิ ภค คอื รูจักพิจารณารับประทานอาหาร เพอ่ื หลอ เลยี้ งรา งกายใชท าํ กจิ ใหช วี ติ ผาสกุ มใิ ชเ พอ่ื สนกุ สนานมวั เมา — Bhojane-matta¤¤utà: moderation in eating) 3. ชาครยิ านโุ ยค (การหมนั่ ประกอบความตืน่ ไมเหน็ แกนอน คอื ขยันหมั่นเพยี ร ตื่นตวั อยู เปนนิตย ชําระจิตมิใหมีนิวรณ พรอมเสมอทุกเวลาที่จะปฏิบัติกิจใหกาวหนาตอไป — Jàgariyànuyoga: practice of wakefulness) A.I.113. อง.ฺ ติก.20/455/142. [129] อภสิ งั ขาร 3 (สภาพทป่ี รงุ แตง , ธรรมมเี จตนาเปน ประธานอนั ปรงุ แตง ผลแหง การ กระทาํ , เจตนาทเี่ ปน ตวั การในการทาํ กรรม — Abhisaïkhàra: volitional formation; formation; activity) 1. ปุญญาภสิ ังขาร (อภสิ งั ขารที่เปน บญุ , สภาพที่ปรุงแตง กรรมฝายดี ไดแกกุศลเจตนาทีเ่ ปน กามาวจรและรปู าวจร — Pu¤¤àbhisaïkhàra: formation of merit; meritorious formation) 2. อปญุ ญาภสิ งั ขาร (อภสิ งั ขารทเ่ี ปน ปฏปิ ก ษต อ บญุ คอื เปน บาป, สภาพทปี่ รงุ แตง กรรมฝา ยชว่ั ไดแ กอ กศุ ลเจตนาทง้ั หลาย — Apu¤¤àbhisaïkhàra: formation of demerit; demeritorious formation) 3. อาเนญชาภิสังขาร (อภสิ ังขารท่ีเปน อาเนญชา, สภาพท่ปี รงุ แตงภพอนั มั่นคงไมห วน่ั ไหว ไดแกก ศุ ลเจตนาทเ่ี ปน อรปู าวจร 4 หมายเอาภาวะจติ ท่มี ัน่ คงแนวแนดวยสมาธแิ หงจตุตถฌาน — âne¤jàbhisaïkhàra: formation of the imperturbable; imperturbability-producing volition) อภิสงั ขาร 3 น้ี เปนความหมายของสังขารในหลกั ปฏิจจสมุปบาท ทานแสดงไวอ ีกนยั หนึง่ เพิม่ จากนัยวา สงั ขาร 3 ดู [119] สังขาร 3 2 Ps.II.206; Vbh.135. ขุ.ปฏ.ิ 31/280/181; อภ.ิ วิ.35/257/181. [130] อัคคิ 31 (ไฟ, กิเลสทเี่ ปรียบเหมือนไฟ เพราะเผาลนจิตใจใหเรา รอนและแสพ รานไป — Aggi: fires to be avoided or abandoned) 1. ราคคั คิ (ไฟคอื ราคะ ไดแกความตดิ ใจ กระสัน อยากได — Ràgaggi: fire of lust) 2. โทสคั คิ (ไฟคอื โทสะ ไดแ กค วามขดั เคอื ง ไมพ อใจ คดิ ประทษุ รา ย — Dosaggi: fire of hatred) 3. โมหัคคิ (ไฟคอื โมหะ ไดแกความหลง ไมรไู มเขาใจสภาวะของสง่ิ ทงั้ หลายตามเปนจริง — Mohaggi: fire of delusion)
[131] 110 พจนานุกรมพทุ ธศาสตร ไฟ 3 อยางน้ี ทานสอนใหล ะเสีย D.III.217; It.92. ท.ี ปา.11/228/229; ขุ.อติ ิ.25/273/301. [131] อัคคิ 32 หรือ อคั คปิ าริจรยิ า (ไฟทีค่ วรบํารงุ , บคุ คลที่ควรบชู าดว ยใสใจบํารงุ เลย้ี ง และใหความเคารพนับถือตามควรแกฐานะ ดุจไฟบูชาของผบู ูชาไฟ — Aggi: fires to be revered or worshipped) 1. อาหุไนยัคคิ (ไฟอันควรแกข องคาํ นับบูชา ไดแ กบดิ ามารดา — âhuneyyaggi: fire worthy of reverential gifts, i.e. mother and father) 2. คหปตัคคิ (ไฟของเจา บาน ไดแก บุตรภรรยา และคนในปกครอง — Gahapataggi: fire of the householder, i.e. children, wife and dependents) 3. ทักขไิ ณยัคคิ (ไฟอนั ควรแกทกั ษณิ า ไดแกส มณพราหมณ ทา นผทู าํ หนาทีส่ ง่ั สอนผดงุ ธรรม ผูประพฤตดิ ี ปฏิบัตชิ อบ — Dakkhiõeyyaggi: fire worthy of offerings, i.e. monks and other religious men) ไฟ 3 อยา งน้ี เลียนศพั ทมาจากไฟบชู าในศาสนาพราหมณ แตใชใ นความหมายใหม เพอ่ื ให เปนประโยชนแ กชีวติ และสงั คมอยางแทจ ริง. D.III.217; A.IV.44. ท.ี ปา.11/228/229; องฺ.สตฺตก.23/44/46. [132] อตั ถะ หรือ อรรถ 31 (ประโยชน, ผลทมี่ งุ หมาย, จุดหมาย, ความหมาย — Attha: benefit; advantage; welfare; aim; goal; meaning) 1. ทฏิ ฐธมั มกิ ัตถะ (ประโยชนปจ จุบนั , ประโยชนในโลกน้ี, ประโยชนขน้ั ตน — Diññha- dhammikattha: benefits obtainable here and now; the good to be won in this life; temporal welfare) 2. สัมปรายกิ ัตถะ (ประโยชนเ บือ้ งหนา, ประโยชนใ นภพหนา, ประโยชนข ัน้ สงู ข้ึนไป — Samparàyikattha: the good to be won in the life to come; spiritual welfare) 3. ปรมตั ถะ (ประโยชนส งู สดุ , จดุ หมายสูงสุด คอื พระนิพพาน — Paramattha: the highest good; final goal, i.e. Nibbàna) อัตถะ 3 หมวดนี้ ในพระสตู รทว่ั ไปมักแสดงเฉพาะขอ 1 และขอ 2 โดยใหขอ 2 มคี วาม หมายครอบคลุมถึงขอ 3 ดว ย (เชน ข.ุ อิติ.25/201/242; อธบิ ายใน อติ .ิ อ.92) บางแหงก็กลา ว ถงึ ปรมัตถะไวตางหากโดยเฉพาะ (เชน ขุ.ส.ุ 25/296/338; 313/366; ข.ุ อป.33/165/343) Nd1169, 178, 357; Nd226. ขุ.ม.29/292/205; 320/217; 727/432; ข.ุ จ.ู 30/673/333. [133] อตั ถะ หรือ อรรถ 32 (ประโยชน, ผลทมี่ ุงหมาย — Attha: benefit; advantage; gain; welfare) 1. อตั ตัตถะ (ประโยชนต น — Attattha: gain for oneself; one’s own welfare)
หมวด 3 111 [136] 2. ปรัตถะ (ประโยชนผอู ่ืน — Parattha: gain for others; others’ welfare) 3. อภุ ยตั ถะ (ประโยชนท งั้ สองฝา ย — Ubhayattha: gain both for oneself and for others; welfare both of oneself and of all others) S.II.29; S.V.121-5; A.I.9; A.III.64; Nd1168; Nd226. ส.ํ นิ.16/67/35; สํ.ม.19/603/167; อง.ฺ ทกุ .20/46/10; องฺ.ปฺจก.22/51/72 [134] อาการทพี่ ระพทุ ธเจา ทรงสงั่ สอน 3 (ลกั ษณะการสอนของพระพทุ ธเจา ที่ทาํ ให คําสอนของพระองคค วรแกก ารประพฤตปิ ฏิบตั ิตาม และทําใหเ หลาสาวกเกิดความมนั่ ใจเคารพ เลื่อมใสในพระองคอ ยางแทจ รงิ — Buddha-dhammadesanà: the three aspects of the Buddha’s teaching; the Buddha’s manners of teaching) 1. อภญิ ญายธมั มเทสนา (ทรงแสดงธรรมดว ยความรยู งิ่ , ทรงรยู งิ่ เหน็ จรงิ เองแลว จงึ ทรงสอนผู อน่ื เพอื่ ใหร ยู งิ่ เหน็ จรงิ ตาม ในธรรมทคี่ วรรยู ง่ิ เหน็ จรงิ — Abhi¤¤àya-dhammadesanà: Having himself fully comprehended, he teaches others for the full comprehending of what should be fully comprehended; teaching with full comprehension) 2. สนทิ านธมั มเทสนา (ทรงแสดงธรรมมเี หตผุ ล, ทรงสง่ั สอนชแี้ จงใหเ หน็ เหตผุ ลไมเ ลอื่ นลอย — Sanidàna-dhammadesanà: He teaches the doctrine that has a causal basis; teaching in terms of or with reference to causality) 3. สปั ปาฏหิ ารยิ ธมั มเทสนา (ทรงแสดงธรรมใหเ หน็ จรงิ ไดผ ลเปน อศั จรรย, ทรงสง่ั สอนใหม อง เหน็ ชดั เจนสมจรงิ จนตอ งยอมรบั และนาํ ไปปฏบิ ตั ไิ ดผ ลจรงิ เปน อศั จรรย — Sappàñihàriya- dhammadesanà: He teaches the doctrine that is wondrous as to its convincing power and practicality; teaching in such a way as to be convincing and practical) ขอ 1 บางทา นแปลวา “ทรงแสดงธรรมเพอ่ื ความรยู ง่ิ ” M.II.9; A.I.276. ม.ม.13/330/322; อง.ฺ ตกิ .20/565/356. [135] อาสวะ 3 (สภาวะอนั หมกั ดองสันดาน, สิง่ ท่ีมอมพ้นื จติ , กิเลสท่ไี หลซมึ ซานไปยอมใจ เม่ือประสบอารมณต า งๆ — âsava: mental intoxication; canker; bias; influx; taint) 1. กามาสวะ (อาสวะคอื กาม — Kàmàsava: canker of sense-desire) 2. ภวาสวะ (อาสวะคอื ภพ — Bhavàsava: canker of becoming) 3. อวิชชาสวะ (อาสวะคืออวชิ ชา — Avijjàsava: canker of ignorance) ดู [136] อาสวะ 4 ดวย. D.II.81; S.IV.256. ท.ี ม.10/76/96; ส.ํ สฬ.18/504/315. [136] อาสวะ 4 (âsava: mental intoxication; canker) 1. กามาสวะ (อาสวะคอื กาม — Kàmàsava: canker of sense-desire) 2. ภวาสวะ (อาสวะคอื ภพ — Bhavàsava: canker of becoming)
[136] 112 พจนานกุ รมพุทธศาสตร 3. ทฏิ ฐาสวะ (อาสวะคือทฏิ ฐิ — Diññhàsava: canker of views or speculation) 4. อวชิ ชาสวะ (อาสวะคอื อวิชชา — Avijjàsava: canker of ignorance) ในทีม่ าสวนมาก โดยเฉพาะในพระสตู ร แสดงอาสวะไว 3 อยา ง โดยสงเคราะหทิฏฐาสวะ เขาในภวาสวะ (ม.อ.1/93) Vbh.373. อภ.ิ วิ.35/961/504. [,,,] โอวาทของพระพทุ ธเจา 3 ดู [97] พทุ ธโอวาท 3.
จตกุ กะ — หมวด 4 Groups of Four (including related groups) [137] กรรมกิเลส 4 (กรรมเคร่อื งเศราหมอง, ขอ เสอื่ มเสียของความประพฤติ — Kamma- kilesa: defiling actions; contaminating acts; vices of conduct) 1. ปาณาตบิ าต (การตัดรอนชวี ติ — Pàõàtipàta: destruction of life) 2. อทนิ นาทาน (ถอื เอาของทเ่ี จา ของมไิ ดใ ห, ลกั ขโมย — Adinnàdàna: taking what is not given) 3. กาเมสมุ จิ ฉาจาร (ประพฤตผิ ิดในกาม — Kàmesumicchàcàra: sexual misconduct) 4. มุสาวาท (พูดเทจ็ — Musàvàda: false speech) D.III.181. ท.ี ปา.11/174/195. [,,,] กลั ยาณมติ ร 4 ในท่ีนี้ใชเ ปนคําเรียกมิตรแท ตามบาลีเรียกวา สุหทมติ ร ดู [169] สหุ ทมติ ร 4. [,,,] กจิ ในอริยสจั จ 4 ดู [205] กิจในอรยิ สัจจ 4. [138] กลุ จิรัฏฐิติธรรม 4 (ธรรมสําหรบั ดํารงความมั่งคัง่ ของตระกูลใหยง่ั ยืน, เหตุท่ีทาํ ให ตระกลู ม่ังคงั่ ตง้ั อยูไ ดนาน — Kula-ciraññhiti-dhamma: reasons for lastingness of a wealthy family) 1. นัฏฐคเวสนา (ของหายของหมด รจู กั หามาไว — Naññhagavesanà: seeking for what is lost) 2. ชณิ ณปฏสิ งั ขรณา (ของเกา ของชาํ รดุ รูจ กั บรู ณะซอมแซม — Jiõõapañisaïkharaõà: repairing what is worn out) 3. ปรมิ ติ ปานโภชนา (รจู กั ประมาณในการกนิ การใช — Parimitapànabhojanà: moderation in spending) 4. อธปิ จ จสลี วันตสถาปนา (ตง้ั ผมู ีศีลธรรมเปนพอ บา นแมเ รือน — Adhipaccasãlavanta- ñhàpanà: putting in authority a virtuous woman or man) เหตทุ ี่ตระกลู มง่ั ค่งั จะตั้งอยนู านไมไ ด พงึ ทราบโดยนัยตรงขา มจากน.้ี A.II.249. อง.ฺ จตกุ ฺก.21/258/333. [139] ฆราวาสธรรม 4 (ธรรมสาํ หรับฆราวาส, ธรรมสําหรับการครองเรือน, หลักการ ครองชีวติ ของคฤหสั ถ — Gharàvàsa-dhamma: virtues for a good household life;
[140] 114 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร virtues for lay people) 1. สจั จะ (ความจรงิ , ซอื่ ตรง ซอื่ สตั ย จรงิ ใจ พดู จรงิ ทาํ จรงิ — Sacca: truth and honesty) 2. ทมะ (การฝก ฝน, การขม ใจ ฝก นิสัย ปรบั ตวั , รจู กั ควบคมุ จิตใจ ฝกหดั ดัดนสิ ยั แกไ ขขอ บก พรอง ปรับปรุงตนใหเจรญิ กาวหนา ดวยสตปิ ญ ญา — Dama: taming and training oneself; adjustment; self-development) 3. ขนั ติ (ความอดทน, ตงั้ หนาทําหนาท่ีการงานดว ยความขยันหม่นั เพียร เขม แข็ง ทนทาน ไม หวน่ั ไหว ม่ันในจุดหมาย ไมทอ ถอย — Khanti: tolerance; forbearance; perseverance) 4. จาคะ (ความเสยี สละ, สละกิเลส สละความสุขสบายและผลประโยชนสวนตนได ใจกวาง พรอมทจี่ ะรบั ฟงความทุกข ความคดิ เหน็ และความตองการของผอู น่ื พรอ มทจ่ี ะรวมมอื ชวย เหลอื เออ้ื เฟอ เผอื่ แผ ไมค บั แคบเหน็ แกต นหรอื เอาแตใ จตวั — Càga: liberality; generosity) ในธรรมหมวดน้ี ทมะ ทา นมุงเอาดา นปญ ญา ขันติ ทานเนนแงวริ ิยะ. S.I.215; Sn.189. สํ.ส.15/845/316; ขุ.สุ.25/311/361. [140] จักร 4 (ธรรมนําชีวิตไปสคู วามเจริญรุง เรอื ง ดุจลอ นํารถไปสทู ห่ี มาย — Cakka: virtues wheeling one to prosperity) 1. ปฏริ ูปเทสวาสะ (อยใู นถน่ิ ท่ีดี มีส่งิ แวดลอมเหมาะสม — Pañiråpadesavàsa: living in a suitable region; good or favourable environment) 2. สปั ปรุ สิ ูปสสยะ (สมาคมกบั สตั บรุ ษุ — Sappurisåpassaya: association with good people) 3. อตั ตสมั มาปณิธิ (ต้งั ตนไวช อบ, ตง้ั จติ คดิ มุงหมายนําตนไปถูกทาง — Attasammà- paõidhi: setting oneself in the right course; aspiring and directing oneself in the right way) 4. ปุพเพกตปุญญตา (ความเปนผไู ดทําความดีไวกอ นแลว, มีพ้นื เดมิ ด,ี ไดสรา งสมคุณความ ดเี ตรยี มพรอมไวแ ตต น — Pubbekatapu¤¤atà: having formerly done meritorious deeds; to have prepared oneself with good background) ธรรม 4 ขอ นี้ เรยี กอกี อยา งหนง่ึ วา พหกุ ารธรรม คอื ธรรมมอี ปุ การะมาก (virtues of great assistance) เปน เครอ่ื งชว ยใหส ามารถสรา งสมความดอี น่ื ๆ ทกุ อยา ง และชว ยใหป ระสบความ เจรญิ กา วหนา ในชวี ติ บรรลคุ วามงอกงามไพบลู ย. A.II.32; D.III.276. องฺ.จตุกกฺ .21/31/41; ที.ปา.11/400/293. [141] เจดยี 4 (ส่ิงท่กี อข้นึ , ทีเ่ คารพบูชา, ส่ิงท่เี ตอื นใจใหระลกึ ถึง, ในท่นี ้ีหมายถงึ สถานที่หรอื สงิ่ ทเ่ี คารพบชู าเนอ่ื งดว ยพระพทุ ธเจา หรอื พระพทุ ธศาสนา เรยี กเตม็ วา สมั มาสมั พทุ ธเจดยี หรือ พทุ ธเจดีย — Cetiya: shrine; Buddhist monument; objects of homage) 1. ธาตเุ จดยี (เจดยี บ รรจพุ ระบรมสารรี กิ ธาตุ — Dhàtu-cetiya: a relic shrine; sepulchral
หมวด 4 115 [143] or reliquary monument; stupa enshrining the Buddha’s relics) 2. บรโิ ภคเจดีย (เจดยี คือส่งิ หรือสถานทีท่ พี่ ระพุทธเจา เคยทรงใชสอย อยางแคบหมายถงึ ตน โพธ์ิ อยา งกวา งหมายถงึ สงั เวชนียสถาน 4 ตลอดจนส่งิ ท้ังปวงทพี่ ระพุทธเจาเคยทรงบริโภค เชน บาตร จีวร และบรขิ ารอืน่ ๆ เปน ตน — Paribhoga-cetiya: a shrine by use or by association; things and places used by the Buddha, esp. the Bodhi tree) 3. ธรรมเจดยี (เจดยี บ รรจพุ ระธรรม เชน บรรจใุ บลานจารกึ พทุ ธพจนแ สดงหลกั ปฏจิ จสมปุ บาท เปน ตน — Dhamma-cetiya: a doctrinal shrine; monument of the Teaching where inscribed palm-leaves or tablets or scriptures are housed) 4. อทุ เทสิกเจดีย (เจดยี สรางอทุ ิศพระพทุ ธเจา ไดแก พระพุทธรปู — Uddesika-cetiya: a shrine by dedication, i.e. a Buddha-image) เจดยี เ หลา น้ี ในทมี่ าแตล ะแหง ทา นแสดงไว 3 ประเภท นบั รวมทไี่ มซ า้ํ เขา ดว ยกนั จงึ เปน 4. KhA.222; J.IV.228. ขุททฺ ก.อ.247; ชา.อ.6/185; วินย.ฏีกา1/263. [,,,] ฌาน 4 ดู [9] ฌาน 4. [142] ถูปารหบุคคล 4 (บคุ คลผคู วรแกส ถปู , ผูมีคุณความดพี เิ ศษควรสรา งสถูปไวเ คารพ บูชา — Thåpàraha-puggala: persons worthy of a stupa or monument) 1. พระตถาคตอรหนั ตสัมมาสัมพทุ ธเจา (พระพทุ ธเจา — Buddha: the Buddha; Fully Enlightened One) 2. พระปจ เจกพุทธเจา (Paccekabuddha: Individually Enlightened One; private Buddha) 3. พระตถาคตสาวก (สาวกของพระพุทธเจา ปกติหมายเอาพระอรหันต — Tathàgata- sàvaka: a disciple of the Buddha; an Arahant) 4. พระเจาจักรพรรดิ (จอมราชผูทรงธรรม, พระเจา ธรรมกิ ราช — Cakkavatti: a righteous universal monarch; great righteous king or ruler) D.II.142. ที.ม.10/134/165. [143] ทักขณิ าวสิ ทุ ธิ 4 (ความบรสิ ทุ ธแิ์ หง ทกั ษิณา คอื ของทําบุญ — Dakkhiõà- visuddhi: purifications of offerings; purities in gifts) 1. ทกั ขิณาทบ่ี ริสุทธฝ์ิ า ยทายก ไมบ ริสุทธฝ์ิ า ยปฏิคาหก (คอื ทายกมศี ลี มกี ลั ยาณธรรม แต ปฏิคาหกทุศลี มบี าปธรรม — the offering purified on the part of the giver, not of the recipient) 2. ทักขิณาทีบ่ ริสทุ ธ์ิฝา ยปฏิคาหก ไมบ ริสทุ ธ์ิฝา ยทายก (คือ ทายกทุศีล มบี าปธรรม แต ปฏิคาหกมศี ีล มกี ลั ยาณธรรม — the offering purified on the part of the recipient, not of the giver)
[144] 116 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร 3. ทักขิณาทไ่ี มบ ริสุทธิท์ ง้ั ฝายทายก ทัง้ ฝายปฏิคาหก (คือ ทั้งสองฝา ยทศุ ีล มบี าปธรรม — the offering purified on neither side) 4. ทกั ขิณาทบี่ รสิ ุทธท์ิ ั้งฝา ยทายก ทง้ั ฝา ยปฏิคาหก (คอื ทง้ั สองฝา ยมศี ลี มกี ลั ยาณธรรม — the offering purified on both sides) D.III.231; M.III.256; A.II.80; Kvu.557. ท.ี ปา.11/266/243; ม.อุ.14/714/461; อง.ฺ จตกุ ฺก.21/78/104; อภิ.ก.37/1732/590. [,,,] ทรัพยจ ดั สรรเปน 4 สวน ดู [163] โภควิภาค 4. [144] ทฏิ ฐธมั มกิ ตั ถสงั วตั ตนกิ ธรรม 4 (ธรรมทเี่ ปน ไปเพอื่ ประโยชนใ นปจ จบุ นั , หลกั ธรรมอันอํานวยประโยชนสุขขั้นตน — Diññhadhammikattha-sa§vattanika-dhamma: virtues conducive to benefits in the present; virtues leading to temporal welfare) 1. อุฏฐานสัมปทา (ถึงพรอ มดว ยความหม่ัน คือ ขยันหม่ันเพียรในการปฏบิ ัติหนา ทกี่ ารงาน ประกอบอาชีพอันสุจริต มีความชํานาญ รูจักใชป ญ ญาสอดสอ ง ตรวจตรา หาอบุ ายวธิ ี สามารถจดั ดาํ เนินการใหไดผลดี — Uññhànasampadà: to be endowed with energy and industry; achievement of diligence) 2. อารกั ขสัมปทา (ถึงพรอมดวยการรักษา คือ รจู ักคุมครองเกบ็ รกั ษาโภคทรพั ย และผลงาน อันตนไดทําไวดวยความขยันหมั่นเพียร โดยชอบธรรม ดวยกําลังงานของตน ไมใหเปน อนั ตรายหรอื เสอ่ื มเสยี — ârakkhasampadà: to be endowed with watchfulness; achievement of protection) 3. กลั ยาณมติ ตตา (คบคนดีเปนมิตร คือ รจู กั กําหนดบคุ คลในถิน่ ท่ีอาศยั เลือกเสวนา สําเหนยี กศึกษาเย่ยี งอยา งทานผูทรงคณุ มีศรัทธา ศีล จาคะ ปญญา — Kalyàõamittatà: good company; association with good people) 4. สมชีวติ า (มีความเปน อยูเหมาะสม คือ รูจักกาํ หนดรายไดและรายจา ยเล้ียงชีวติ แตพอดี มิ ใหฝ ดเคอื งหรอื ฟูมฟาย ใหร ายไดเหนอื รายจา ย มปี ระหยดั เก็บไว — Samajãvità: balanced livelihood; living economically) ธรรมหมวดนเ้ี รยี กกนั สนั้ ๆ วา ทฏิ ฐธมั มกิ ตั ถะ หรอื เรยี กตดิ ปากอยา งไทยๆ วา ทฏิ ฐธมั มกิ ตั ถ- ประโยชน (อตั ถะ แปลวา ประโยชน จึงมีประโยชนซ ้ําซอ นกนั สองคาํ ) A.IV.281. อง.ฺ อฏก.23/144/289. [,,,] เทวทูต 4 ดู [150] นมิ ิต 4. [,,,] ธรรมมีอุปการะมาก 4 ดู [140] จกั ร 4. [,,,] ธรรมเปน เหตใุ หส มหมาย 4 ดู [191] สัมปรายิกตั ถสงั วัตตนกิ ธรรม 4. [145] ธรรมสมาทาน 4 (ขอทีย่ ึดถือเอาเปนหลักความประพฤตปิ ฏบิ ัติ, หลกั การทปี่ ระพฤต,ิ การทก่ี ระทาํ , การประกอบกรรม — Dhamma-samàdàna: religious undertakings;
หมวด 4 117 [147] undertaken courses of practices) 1. ธรรมสมาทานทใ่ี หท กุ ขใ นปจ จบุ นั และมีทกุ ขเปน วบิ ากตอ ไป (เชน การประพฤติวตั ร ทรมานตนของพวกอเจลก หรอื การประพฤติอกุศลกรรมบถดวยความยากลําบาก ทงั้ มคี วาม เดือดรอนใจ เปน ตน — the undertaking that gives suffering in the present and results in suffering in the future) 2. ธรรมสมาทานทใี่ หท กุ ขในปจ จบุ ัน แตม สี ขุ เปนวบิ ากตอไป (เชน ผทู ่ีกิเลสมกี ําลังแรงกลา ฝน ใจพยายามประพฤตพิ รหมจรรยใหบรสิ ุทธิ์บรบิ ูรณ หรอื ผทู ีป่ ระพฤตกิ ุศลกรรมบถดวยความ ยากลําบาก เปน ตน — the undertaking that gives suffering in the present but results in happiness in the future) 3. ธรรมสมาทานทใี่ หส ขุ ในปจ จบุ นั แตม ที กุ ขเ ปน วบิ ากตอ ไป (เชน การหลงมวั เมาหมกมนุ อยใู น กาม หรอื การประพฤตอิ กศุ ลกรรมบถดว ยความสนกุ สนานพอใจ เปน ตน — the undertaking that gives happiness in the present but results in suffering in the future) 4. ธรรมสมาทานท่ีใหส ขุ ในปจจุบนั และมีสขุ เปน วบิ ากตอไป (เชน ผทู ีก่ ิเลสมีกําลังนอ ย ประพฤตพิ รหมจรรยด ว ยความพอใจ ไดเ สวยเนกขัมมสขุ หรือผูที่ประพฤติกศุ ลกรรมบถดวย ความพอใจ ไดเสวยสขุ โสมนสั เปนตน — the undertaking that gives happiness in the present and results in happiness in the future) D.III.229; M.I.305–316. ท.ี ปา.11/251/241; ม.ม.ู 12/515–534/556–575. [146] ธาตุ 4 (สงิ่ ท่ีทรงสภาวะของตนอยเู อง คือมีอยูโดยธรรมดา เปน ไปตามเหตุปจจัย ไมม ผี ู สรา ง ไมม อี ตั ตา มใิ ชสัตว มใิ ชชีวะ — Dhàtu: elements) ไดแก ปฐวธี าตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ และ วาโยธาตุ คอื มหาภูต หรอื ภูตรปู 4 น่ันเอง. ดู [39] มหาภตู 4 และ [146] ธาตุกัมมัฏฐาน 4 [147] ธาตกุ ัมมัฏฐาน 4 (กรรมฐานคือธาต,ุ กรรมฐานท่พี จิ ารณาธาตเุ ปนอารมณ คอื กาํ หนดพิจารณากายน้แี ยกเปน สวนๆ ใหเห็นวา เปนเพียงธาตสุ ี่แตละอยา ง ไมใ ชข องเรา ไมใ ช เรา ไมใ ชต วั ตนของเรา — Dhàtu-kammaññhàna: meditation on the elements; meditation subject consisting of elements) 1. ปฐวธี าตุ (Pañhavã-dhàtu: the earth-element) คอื ธาตทุ ี่มีลักษณะแขนแข็ง ภายในตวั ก็ มี ภายนอกตัวก็มี กลาวเฉพาะทีเ่ ปนภายใน สาํ หรบั กาํ หนด พอใหส ําเร็จประโยชนเปนอารมณ ของกรรมฐาน ไดแก ผม ขน เล็บ ฟน หนงั เนือ้ เอ็น กระดกู เยอ่ื ในกระดูก มา ม หวั ใจ ตับ พงั ผืด ไต ปอด ไสใ หญ ไสนอ ย อาหารใหม อาหารเกา หรอื สิง่ อืน่ ใดกต็ ามในตัว ที่มลี กั ษณะ แขนแข็งเปน ตน อยา งเดียวกันนี้ 2. อาโปธาตุ (âpo-dhàtu: the water-element) คือ ธาตทุ ม่ี ีลักษณะเอบิ อาบ ภายในตัวกม็ ี ภายนอกตัวกม็ ี กลา วเฉพาะทีเ่ ปนภายใน สาํ หรับกาํ หนด พอใหส ําเรจ็ ประโยชนเปนอารมณ
[148] 118 พจนานกุ รมพุทธศาสตร ของกรรมฐาน ไดแก ดี เสลด หนอง เลือด เหง่อื มนั ขน นํา้ ตา เปลวมัน นํา้ ลาย น้ํามกู ไขขอ มตู ร หรือสิง่ อ่ืนใดกต็ ามในตัว ท่ีมลี กั ษณะเอบิ อาบเปน ตน อยางเดียวกันน้ี 3. เตโชธาตุ (Tejo-dhàtu: the fire-element) คอื ธาตทุ ่ีมลี กั ษณะรอน ภายในตัวกม็ ี ภาย นอกตัวกม็ ี กลา วเฉพาะทเี่ ปน ภายใน สําหรับกาํ หนด พอใหสาํ เรจ็ ประโยชนเ ปนอารมณข อง กรรมฐาน ไดแ ก ไฟทีย่ ังกายใหอบอนุ ไฟทย่ี งั กายใหทรุดโทรม ไฟท่ียงั กายใหก ระวนกระวาย ไฟที่ยงั อาหารใหยอย หรือสิ่งอืน่ ใดก็ตามในตัว ทมี่ ลี กั ษณะรอนเปน ตน อยา งเดียวกนั นี้ 4. วาโยธาตุ (Vàyo-dhàtu: the air-element) คือ ธาตทุ มี่ ีลักษณะพดั ผนั เครง ตึง ภายในตวั กม็ ี ภายนอกตัวกม็ ี กลาวเฉพาะทเ่ี ปน ภายใน สาํ หรับกาํ หนด พอใหส ําเร็จประโยชนเปน อารมณข องกรรมฐาน ไดแ ก ลมพดั ข้ึนเบ้ืองบน ลมพัดลงเบ้อื งตํ่า ลมในทอง ลมในไส ลมซา น ไปตามตวั ลมหายใจ หรอื สิ่งอื่นใดก็ตามในตวั ทีม่ ีลกั ษณะพดั ผันไปเปน ตน อยางเดียวกันนี้ ตวั อยา งธาตทุ แ่ี สดงขา งตน นี้ ในปฐวธี าตมุ ี 19 อยา ง ในอาโปธาตมุ ี 12 อยา ง เตมิ มตั ถลงุ ค คอื มนั สมอง เขา เปน ขอ สดุ ทา ยในปฐวธี าตุ รวมเปน 32 เรยี กวา อาการ 32 หรอื ทวตั ตงิ สาการ (มตั ถลงุ คไ มม ใี นปฐวธี าตุ 19 อยา ง เพราะรวมเขา ในอฏั ฐมิ ญิ ชะ คอื เยอื่ ในกระดกู ) ธาตกุ มั มฏั ฐานนี้ เรยี กอยา งอนื่ วา ธาตมุ นสกิ าร (การพจิ ารณาธาตุ — Dhàtu-manasikàra: contemplation on the elements) บา ง จตธุ าตวุ วฏั ฐาน (การกาํ หนดธาตสุ ี่ — Catudhàtu- vavaññhàna: determining of the four elements) บา ง เมอ่ื พจิ ารณากาํ หนดธาตุ 4 ดว ย สตสิ มั ปชญั ญะ มองเหน็ ความเกดิ ขนึ้ และความเสอื่ มสลายไปในกาย ตระหนกั วา กายนก้ี ส็ กั วา กาย มใิ ชส ตั ว บคุ คล ตวั ตน เราเขา ดงั น้ี จดั เปน กายานปุ ส สนาสตปิ ฏ ฐานสว นหนง่ึ (หมวดท่ี 5 คอื ธาตมุ นสกิ ารบรรพ). D.II.294; M.I.185; M.III.240; Vism.347. ที.ม.10/278/329; ม.ม.ู 12/342/350; ม.อุ.14/684–7/437; วสิ ทุ ธฺ .ิ 2/161. [148] ธาตุ 6 (Dhàtu: the six elements) ไดแ กธ าตุ 4 หรอื มหาภูต 4 คอื ปฐวธี าตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ และ วาโยธาตุ นนั้ กบั เพิ่มอีก 2 อยาง คือ 5. อากาสธาตุ (สภาวะท่วี าง โปรงไป เปน ชอง — âkàsa-dhàtu: the space-element) 6. วิญญาณธาตุ (สภาวะทีร่ ูแจงอารมณ ธาตุรู ไดแ กวิญญาณธาตุ 6 คือ จักขุวญิ ญาณธาตุ โสต~ ฆาน~ ชิวหา~ กาย~ มโนวิญญาณธาตุ — Vi¤¤àõa-dhàtu: element of consciousness; consciousness-element) ดู [39] มหาภูต 4 และ [146] ธาตุ 4. M.III.31; Vbh.82. ม.อุ.14/169/125; อภิ.วิ.35/114/101. [149] ธาตกุ มั มัฏฐาน 6 ไดแ ก ธาตุกมั มฏั ฐาน 4 นน้ั และเพิม่ อีก 2 อยา ง คอื 5. อากาสธาตุ (the space-element) คอื ธาตทุ มี่ ีลกั ษณะเปน ชองวาง ภายในตวั ก็มี ภาย นอกตัวก็มี กลาวเฉพาะภายใน สําหรับกําหนด พอใหสําเร็จประโยชน เปน อารมณข อง กรรมฐาน ไดแ ก ชองหู ชอ งจมูก ชอ งปาก ชอ งทวารหนัก ทวารเบา ชอ งแหงอวยั วะท้ังหลาย
หมวด 4 119 [152] หรือท่ีอื่นใดทมี่ ลี กั ษณะเปน ชองวางอยางเดียวกนั น้ี 6. วญิ ญาณธาตุ (the consciousness-element) คือ ธาตทุ มี่ ลี กั ษณะเปน เครอ่ื งรูแจง อารมณ กลา วคือ วญิ ญาณธาตุ 6. ดู [147] ธาตกุ ัมมฏั ฐาน 4; [148] ธาตุ 6. M.III.240. ม.อุ.14/684–9/437–440. [150] นมิ ติ 4 (เคร่ืองหมาย, เคร่ืองกาํ หนด, สงิ่ ที่พระโพธิสัตวทอดพระเนตรเห็น อนั เปน เหตุ ปรารภท่จี ะเสด็จออกบรรพชา — Nimitta: the Four Signs; the Four Sights on seeing which the Bodhisatta went forth in the Great Renunciation) 1. ชณิ ณะ (คนแก — Jiõõa: an old man) 2. พยาธิตะ หรือ อาพาธิกะ (คนเจ็บ — Byàdhita, âbàdhika: a sick man) 3. กาลกตะ (= มตะ, คนตาย — Mata: a dead man) 4. ปพพชิตะ (บรรพชิต, นกั บวช — Pabbajita: a religious; holy man; monk) สามอยางแรกมีช่ือเรยี กรวมวา เทวทูต 3 เปน เครือ่ งหมายหรือสญั ญาณเตือนใหร ะลึกถึง ความทุกขตามคตธิ รรมดาของชวี ติ และบังเกิดความสงั เวช อยา งทสี่ คี่ อื บรรพชติ เปนเครื่อง หมายใหมองเห็นทางออกท่ีจะพน ไปจากทุกข บางแหงทา นเรียกรวมๆ ไปวาเทวทตู 4 โดย อธบิ ายชัน้ หลงั วา เปนทตู ของวสิ ุทธเิ ทพ แตต ามบาลเี รยี กวา นิมิต 4. D.II.22; Bv.XVII.14. ท.ี ม.10/32–38/24–35; ขุ.พุทธ.33/26/544. [151] บริษัท 41 (ชมุ นมุ , ทป่ี ระชมุ , หมแู หงพุทธศาสนกิ , ชมุ ชนชาวพทุ ธ — Parisà: the Four Assemblies; companies) 1. ภกิ ษบุ รษิ ทั (Bhikkhu-parisà: assembly of monks; Bhikkhus) 2. ภิกษุณบี รษิ ัท (Bhikkhunã-parisà: assembly of nuns; Bhikkhunis) 3. อบุ าสกบรษิ ทั (Upàsaka-parisà: assembly of lay-followers) 4. อบุ าสิกาบรษิ ทั (Upàsikà-parisà: assembly of female lay-followers) A.II.132. องฺ.จตกุ กฺ .21/129/178. [152] บรษิ ทั 42 (ชมุ นมุ , ทป่ี ระชมุ , ชมุ ชนตามระบบสงั คม — Parisà: assembly; company) 1. ขตั ติยบริษัท (ชมุ นุมเจานาย — Khattiya-parisà: company of noblemen) 2. พราหมณบรษิ ทั (ชมุ นุมพราหมณ — Bràhmaõa-parisà: company of brahmins) 3. คหบดบี รษิ ัท (ชุมนมุ คฤหบดี — Gahapati-parisà: company of householders) 4. สมณบรษิ ทั (ชุมนมุ สมณะ — Samaõa-parisà: company of recluses) A.II.132. อง.ฺ จตุกฺก.21/130/179.
[153] 120 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร [153] บคุ คล 4 (ประเภทของบคุ คล — Puggala: four kinds of persons) 1. อุคฆฏิตญั ู (ผูท ีพ่ อยกหัวขอ กร็ ู, ผูรเู ขา ใจไดฉ บั พลัน แตพ อทานยกหัวขอ ข้นึ แสดง — Ugghañita¤¤å: a person of quick intuition; the genius; the intuitive) 2. วิปจิตญั ู (ผูร ตู อ เมื่อขยายความ, ผูร ูเขาใจได ตอเม่อื ทา นอธิบายความพสิ ดารออกไป — Vipacita¤¤å: a person who understands after a detailed treatment; the intellectual) 3. เนยยะ (ผทู พ่ี อจะแนะนาํ ได, ผทู พี่ อจะคอ ยชแี้ จงแนะนาํ ใหเ ขา ใจได ดว ยวธิ กี ารฝก สอนอบรม ตอ ไป — Neyya: a person who is guidable; the trainable) 4. ปทปรมะ (ผูมบี ทเปนอยา งยงิ่ , ผอู ับปญ ญา สอนใหรไู ดแ ตเพียงตัวบทคือพยญั ชนะ หรือ ถอยคาํ ไมอ าจเขา ใจอรรถคอื ความหมาย — Padaparama: a person who has just word of the text at most; an idiot) A.II.135; Pug 41; Nett.7,125. อง.ฺ จตกุ ฺก.21/133/183; อภิ.ปุ.36/108/185. [154] ปฏิปทา 4 (แนวปฏบิ ัต,ิ ทางดําเนิน, การปฏิบัติแบบทีเ่ ปน ทางดาํ เนนิ ใหถงึ จุดหมาย คอื ความหลดุ พน หรอื ความสน้ิ อาสวะ — Pañipadà: modes of practice; modes of progress to deliverance) 1. ทุกขฺ า ปฏปิ ทา ทนฺธาภิฺา (ปฏิบตั ิลาํ บาก ทงั้ รูไดชา เชน ผูป ฏบิ ตั ทิ ่มี ีราคะ โทสะ โมหะ แรงกลา ตองเสวยทุกขโทมนัสเน่ืองจากราคะ โทสะ โมหะนั้นอยูเนอื งๆ หรอื เจริญกรรมฐานที่ มีอารมณไ มน า ชนื่ ใจ เชน อสภุ ะ เปน ตน อกี ทง้ั อนิ ทรยี ก ็ออ น จงึ บรรลุโลกุตตรมรรคลาชา พระ จกั ขุบาลอาจเปน ตัวอยางในขอนีไ้ ด — Dukkhà pañipadà dandhàbhi¤¤à: painful progress with slow insight) 2. ทกุ ขฺ า ปฏปิ ทา ขปิ ปฺ าภิ ฺ า (ปฏบิ ตั ลิ าํ บาก แตร ไู ดเ รว็ เชน ผปู ฏบิ ตั ทิ ม่ี รี าคะ โทสะ โมหะ แรงกลา ตอ งเสวยทกุ ขโ ทมนสั เนอื่ งจากราคะ โทสะ โมหะนนั้ อยเู นอื งๆ หรอื เจรญิ กรรมฐานทมี่ ี อารมณไ มน า ชน่ื ใจ เชน อสภุ ะ เปน ตน แตม อี นิ ทรยี แ กก ลา จงึ บรรลโุ ลกตุ ตรมรรคเรว็ ไว บาลยี ก พระมหาโมคคลั ลานะเปน ตวั อยา ง — Dukkhà pañipadà khippàbhi¤¤à: painful progress with quick insight) 3. สุขา ปฏปิ ทา ทนฺธาภิฺา (ปฏิบัติสบาย แตรไู ดชา เชน ผูปฏบิ ัตทิ ่มี ีราคะ โทสะ โมหะ ไมแ รงกลา ไมตอ งเสวยทกุ ขโ ทมนัสเนื่องจากราคะ โทสะ โมหะน้นั เนอื งนิตย หรอื เจรญิ สมาธิ ไดฌ าน 4 อนั เปนสุขประณีต แตม อี นิ ทรียออ น จงึ บรรลุโลกตุ ตรมรรคลาชา — Sukhà pañi- padà dandhàbhi¤¤à: pleasant progress with slow insight) 4. สขุ า ปฏปิ ทา ขปิ ฺปาภิ ฺา (ปฏบิ ตั สิ บาย ทงั้ รไู ดไ ว เชน ผปู ฏบิ ตั ทิ ม่ี รี าคะ โทสะ โมหะไมแ รง กลา ไมต อ งเสวยทกุ ขโ ทมนสั เนอื่ งจากราคะ โทสะ โมหะนนั้ เนอื งนติ ย หรอื เจรญิ สมาธไิ ดฌ าน 4 อนั เปน สขุ ประณตี อกี ทง้ั มอี นิ ทรยี แ กก ลา จงึ บรรลโุ ลกตุ ตรมรรคเรว็ ไว บาลยี กพระสารบี ตุ รเปน ตวั อยา ง — Sukhà pañipadà khippàbhi¤¤à: pleasant progress with quick insight) A.II.149–152,154–5. อง.ฺ จตกุ ฺก.21/161–3/200–4; 167–8/207–9.
หมวด 4 121 [157] [155] ปฏสิ ัมภิทา 4 (ปญ ญาแตกฉาน — Pañisambhidà: analytic insight; penetrating insight; discrimination) 1. อตั ถปฏสิ ัมภทิ า (ปญ ญาแตกฉานในอรรถ, ปรีชาแจง ในความหมาย, เห็นขอ ธรรมหรือ ความยอ ก็สามารถแยกแยะอธิบายขยายออกไปไดโดยพสิ ดาร เหน็ เหตอุ ยางหน่งึ กส็ ามารถ คิดแยกแยะกระจายเช่ือมโยงตอออกไปไดจนลวงรูถึงผล — Attha-pañisambhidà: discrimination of meanings; analytic insight of consequence) 2. ธมั มปฏสิ มั ภทิ า (ปญ ญาแตกฉานในธรรม, ปรชี าแจง ในหลกั , เหน็ อรรถาธบิ ายพสิ ดาร ก็ สามารถจบั ใจความมาตงั้ เปน กระทหู รอื หวั ขอ ได เหน็ ผลอยา งหนงึ่ กส็ ามารถสบื สาวกลบั ไปหา เหตไุ ด — Dhamma-pañisambhidà: discrimination of ideas; analytic insight of origin) 3. นิรุตติปฏิสมั ภทิ า (ปญญาแตกฉานในนริ กุ ติ, ปรชี าแจง ในภาษา, รศู ัพท ถอ ยคําบญั ญตั ิ และภาษาตางๆ เขาใจใชค าํ พดู ชแ้ี จงใหผอู ืน่ เขาใจและเห็นตามได — Nirutti-pañisambhidà: discrimination of language; analytic insight of philology) 4. ปฏภิ าณปฏสิ มั ภทิ า (ปญ ญาแตกฉานในปฏภิ าณ, ปรชี าแจง ในความคดิ ทนั การ, มไี หวพรบิ ซมึ ซาบในความรทู ี่มีอยู เอามาเช่อื มโยงเขา สรา งความคดิ และเหตุผลขนึ้ ใหม ใชป ระโยชนได สบเหมาะ เขา กบั กรณีเขา กบั เหตกุ ารณ — Pañibhàõa-pañisambhidà: discrimination of sagacity; analytic insight of ready wit; initiative, creative and applicative insight) A.II.160; Ps.I.119; Vbh.294. องฺ.จตกุ ฺก.21/172/216; ข.ุ ปฏิ.31/268/175; อภ.ิ ว.ิ 35/784/400. [156] ปธาน 4 (ความเพียร — Padhàna: effort; exertion) 1. สงั วรปธาน (เพยี รระวงั หรอื เพยี รปด กน้ั คือ เพียรระวังยบั ยง้ั บาปอกุศลธรรมทีย่ งั ไมเ กดิ มใิ หเกดิ ขนึ้ — Sa§vara-padhàna: the effort to prevent; effort to avoid) 2. ปหานปธาน (เพยี รละหรอื เพียรกําจดั คอื เพียรละบาปอกศุ ลธรรมที่เกดิ ขึ้นแลว — Pahàna-padhàna: the effort to abandon; effort to overcome) 3. ภาวนาปธาน (เพยี รเจริญ หรอื เพยี รกอใหเกิด คอื เพยี รทํากศุ ลธรรมท่ยี ังไมเกิด ใหเกดิ มี ขน้ึ — Bhàvanà-padhàna: the effort to develop) 4. อนุรกั ขนาปธาน (เพียรรกั ษา คือ เพียรรักษากศุ ลธรรมทีเ่ กิดข้ึนแลวใหต้งั มัน่ และให เจรญิ ยิ่งข้ึนไปจนไพบูลย — Anurakkhanà-padhàna: the effort to maintain) ปธาน 4 นี้ เรียกอีกอยา งวา สมั มัปปธาน 4 (ความเพยี รชอบ, ความเพียรใหญ — Sammappadhàna: right exertions; great or perfect efforts) A.II.74,16,15. อง.ฺ จตกุ กฺ .21/69/96; 14/20; 13/19. [157] ปรมัตถธรรม 4 (สภาวะท่ีมีอยูโดยปรมัตถ, สิ่งที่เปนจริงโดยความหมายสูงสุด — Paramattha-dhamma: ultimate realities; abstract realities; realities in the
[158] 122 พจนานุกรมพทุ ธศาสตร ultimate sense) 1. จติ (สภาพทีค่ ดิ , ภาวะที่รแู จง อารมณ — Citta: consciousness; state of conscious- ness) 2. เจตสิก (สภาวะทปี่ ระกอบกับจิต, คณุ สมบตั แิ ละอาการของจติ — Cetasika: mental factors) 3. รูป (สภาวะที่เปนรา ง พรอ มทง้ั คณุ และอาการ — Råpa: matter; corporeality) 4. นพิ พาน (สภาวะทส่ี ้นิ กิเลสและทกุ ขท ง้ั ปวง, สภาวะทป่ี ราศจากตณั หา — Nibbàna) ดู รายละเอยี ดแตล ะอยา งใน [356] จติ 89; [355] เจตสกิ 52; [38] รปู 28; [27] นพิ พาน 2. Comp.81. สงคฺ ห.1. [158] ประมาณ หรอื ปมาณิก 4 (บุคคลท่ถี อื ประมาณตา งๆ กัน, คนในโลกผูถือเอาคุณ สมบตั ติ างๆ กัน เปน เครื่องวัดในการทจ่ี ะเกิดความเชอื่ ความเลอื่ มใส — Pamàõa,Pamàõika: those who measure, judge or take standard) 1. รปู ประมาณ (ผถู อื ประมาณในรูป, บุคคลท่ีมองเหน็ รูปรา งสวยงาม ทรวดทรงดี อวยั วะสม สวน ทาทางสงา สมบรู ณพ รอ ม จึงชอบใจเลือ่ มใสนอมใจท่ีจะเช่ือถือ — Råpa-pamàõa: one who measures by form or outward appearance; one whose faith depends on good appearance) 2. โฆษประมาณ (ผถู อื ประมาณในเสยี ง, บคุ คลที่ไดยนิ ไดฟงเสียงสรรเสรญิ เกียรตคิ ุณหรือ เสยี งพดู จาที่ไพเราะ จงึ ชอบใจเลอ่ื มใสนอมใจท่จี ะเชือ่ ถือ — Ghosa-pamàõa: one who measures by voice or reputation; one whose faith depends on sweet voice or good reputation) 3. ลูขประมาณ (ผูถ ือประมาณในความคราํ่ หรือเศราหมอง, บคุ คลทม่ี องเหน็ สิ่งของเครือ่ งใช ความเปนอยทู ี่เศรา หมอง เชน จีวรคร่ําๆ เปนตน หรือมองเห็นการกระทาํ คราํ่ เครียดเปน ทกุ รกิริยา ประพฤตเิ ครงครัดเขม งวดขูดเกลาตน จึงชอบใจเลื่อมใสนอ มใจทีจ่ ะเชือ่ ถอื — Låkha-pamàõa: one who measures or judges by shabbiness, mediocrity or hard life; one whose faith depends on shabbiness or ascetic or self-denying practices) 4. ธรรมประมาณ (ผูถอื ประมาณในธรรม, บคุ คลทีพ่ ิจารณาดว ยปญญาเหน็ สารธรรมหรอื การปฏิบัติดปี ฏบิ ตั ิชอบ คือ ศีล สมาธิ ปญ ญา จึงชอบใจเล่อื มใสนอ มใจท่ีจะเช่อื ถือ — Dhamma-pamàõa: one who measures or judges by the teaching or righteous behaviour; one whose faith depends on right teachings and practices) บุคคล 3 จาํ พวกตน ยังมที างพลาดไดม าก โดยอาจเกดิ ความตดิ ใคร ถูกครอบงําชกั พาไป ดว ยความหลง ถกู พัดวนเวียนหรอื ตดิ อยูแ คภ ายนอก ไมรูจ ักคนทีต่ นมองไดอยางแทจ รงิ และไม เขาถงึ สาระ สว นผถู ือธรรมเปน ประมาณ จึงจะรชู ัดคนท่ตี นมองอยา งแทจริง ไมถูกพดั พาไป
หมวด 4 123 [160] เขา ถึงธรรมทีป่ ราศจากสิง่ ครอบคลุม พระพทุ ธเจา ทรงมพี ระคณุ สมบัตสิ มกับทง้ั ส่ขี อ (เฉพาะขอ 3 ทรงถือแตพ อดี) จงึ ทรงครอง ใจคนทุกจาํ พวกไดทงั้ หมด คนที่เห็นพระพทุ ธเจา แลว ทจี่ ะไมเ ล่อื มใสน้นั หาไดย ากยิ่งนกั ในชั้นอรรถกถา นิยมเรียกบุคคล 4 ประเภทนี้วา รูปปปมาณิกา โฆสัปปมาณิกา ลูขปั ปมาณกิ า และ ธมั มปั ปมาณิกา ตามลาํ ดบั A.II.71; Pug.7,53; DhA.114; SnA.242. อง.ฺ จตกุ ฺก.21/65/93; อภ.ิ ป.ุ 36/10/135; 133/204; ธ.อ.5/100; สตุ ฺต.อ.1/329. [159] ปจ จัย 4 (สง่ิ คาํ้ จุนชีวติ , ส่ิงจําเปน เบือ้ งตนของชีวติ , ส่งิ ทต่ี อ งอาศัยเลยี้ งอตั ภาพ — Paccaya: the four necessities of life; requisites) 1. จีวร (ผา นุง หม — Cãvara: robes; clothing) 2. บณิ ฑบาต (อาหาร — Piõóapàta: almsfood; food) 3. เสนาสนะ (ที่อยอู าศยั , ท่ีน่ังทน่ี อน — Senàsana: lodging) 4. คลิ านปจ จยั เภสชั บรขิ าร หรอื เภสชั (ยาและอปุ กรณร กั ษาโรค — Bhesajja: medicine; medical equipment) สีอ่ ยา งนี้ สําหรับภกิ ษุ จํากัดเขาอีกเรยี กวา นสิ สัย 4 แปลวา เครอ่ื งอาศยั ของบรรพชติ (Nissaya: resources; means of support on which the monastic life depends) 1. ปณฑิยาโลปโภชนะ (โภชนะคือคําขาวที่ไดมาดวยกําลังปลีแขง — Piõóiyàlopa- bhojana: almsfood of scraps; food obtained by going on the alms-gathering) 2. บังสุกลุ จีวร (ผา ทเ่ี ขาทิ้งตามกองขยะหรือตามปา ชา — Pa§sukålacãvara: discarded cloth taken from the rubbish heap or the charnel ground; rag-robes) 3. รกุ ขมูลเสนาสนะ (อยอู าศยั โคนไม — Rukkhamålasenàsana: dwelling at the foot of a tree) 4. ปตู ิมุตตเภสัช (ยานํ้ามตู รเนา — Påtimuttabhesajja: medicines pickled in stale urine: ammonia as a medicine) สวนท่อี นุญาตนอกเหนอื จากน้เี ปน อดเิ รกลาภ (extra acquisitions; extra allowance) Vin.I.58. วินย.4/87/106. [,,,] ปญญาวุฒิธรรม 4 ดู [179] วฒุ ิธรรม 4 [160] ปาริสทุ ธศิ ลี 4 (ศีลคือความบรสิ ุทธ์,ิ ศลี เครื่องใหบ ริสทุ ธิ,์ ความประพฤติบริสุทธ์ทิ ่จี ดั เปน ศีล — Pàrisuddhi-sãla: morality consisting in purity; morality for purification; morality of pure conduct) 1. ปาฏิโมกขสังวรศลี (ศลี คอื ความสาํ รวมในพระปาฏโิ มกข เวนจากขอ หาม ทาํ ตามขอ อนุญาต ประพฤติเครงครดั ในสกิ ขาบทท้งั หลาย — Pàñimokkhasa§vara-sãla: restraint in
[161] 124 พจนานุกรมพทุ ธศาสตร accordance with the monastic disciplinary code) 2. อนิ ทรียสังวรศลี (ศลี คือความสาํ รวมอนิ ทรีย ระวังไมใ หบาปอกุศลธรรมครอบงาํ เม่ือรบั รู อารมณด ว ยอนิ ทรยี ท ง้ั 6 — Indriyasa§vara-sãla: restraint of the senses; sense-control) 3. อาชวี ปาริสทุ ธศิ ลี (ศลี คือความบริสุทธแิ์ หงอาชวี ะ เล้ียงชวี ิตโดยทางท่ชี อบ ไมประกอบ อเนสนา มหี ลอกลวงเขาเลีย้ งชพี เปน ตน — âjãvapàrisuddhi-sãla: purity of conduct as regards livelihood) 4. ปจ จยั สันนิสติ ศลี (ศีลทีเ่ กย่ี วกบั ปจ จยั 4 ไดแกปจ จัยปจ จเวกขณ คือพิจารณาใชสอย ปจจัยส่ี ใหเปนไปตามความหมายและประโยชนของส่ิงน้ัน ไมบริโภคดวยตัณหา — Paccayasannissita-sãla: pure conduct as regards the necessities of life) Vism.16; Comp.212. วสิ ทุ ธฺ .ิ 1/19; สงฺคห.55. [,,,] ผล 4 ดู [165] ผล 4. [,,,] พร 4 ดู [227] พร 5. [161] พรหมวหิ าร 4 (ธรรมเคร่ืองอยอู ยางประเสรฐิ , ธรรมประจําใจอันประเสริฐ, หลกั ความประพฤตทิ ี่ประเสรฐิ บริสทุ ธ,์ิ ธรรมทต่ี องมีไวเปนหลักใจและกาํ กบั ความประพฤติ จงึ จะ ช่อื วา ดําเนนิ ชีวติ หมดจด และปฏบิ ตั ติ นตอมนษุ ยสตั วทัง้ หลายโดยชอบ — Brahmavihàra: holy abidings; sublime states of mind) 1. เมตตา (ความรัก ปรารถนาดีอยากใหเขามคี วามสุข มีจติ อนั แผไ มตรแี ละคดิ ทําประโยชน แกม นษุ ยสตั วท ่วั หนา — Mettà: loving-kindness; friendliness; goodwill) 2. กรุณา (ความสงสาร คดิ ชวยใหพ นทกุ ข ใฝใ จในอนั จะปลดเปลื้องบําบดั ความทุกขย ากเดอื ด รอนของปวงสตั ว — Karuõà: compassion) 3. มทุ ติ า (ความยนิ ดี ในเมื่อผูอน่ื อยูดมี สี ุข มีจติ ผองใสบันเทงิ กอปรดวยอาการแชมช่ืนเบกิ บานอยเู สมอ ตอสตั วท้งั หลายผดู าํ รงในปกตสิ ขุ พลอยยินดดี วยเม่อื เขาไดด มี สี ขุ เจริญงอกงาม ยงิ่ ขนึ้ ไป — Mudità: sympathetic joy; altruistic joy) 4. อเุ บกขา (ความวางใจเปน กลาง อนั จะใหดาํ รงอยูใ นธรรมตามท่พี ิจารณาเห็นดว ยปญ ญา คอื มีจิตเรยี บตรงเท่ียงธรรมดุจตราชง่ั ไมเ อนเอยี งดว ยรักและชัง พจิ ารณาเหน็ กรรมทส่ี ตั วท ้ัง หลายกระทําแลว อันควรไดร บั ผลดหี รอื ชั่ว สมควรแกเ หตุอนั ตนประกอบ พรอมที่จะวินจิ ฉัย และปฏบิ ัตไิ ปตามธรรม รวมทั้งรจู กั วางเฉยสงบใจมองดู ในเม่อื ไมม กี ิจทีค่ วรทาํ เพราะเขารับ ผิดชอบตนไดดแี ลว เขาสมควรรับผดิ ชอบตนเอง หรอื เขาควรไดรบั ผลอันสมกับความรบั ผดิ ชอบของตน — Upekkhà: equanimity; neutrality; poise) ผูด าํ รงในพรหมวิหาร ยอ มชว ยเหลอื มนุษยส ัตวท ัง้ หลายดว ยเมตตากรณุ า และยอมรักษา ธรรมไวไดด วยอุเบกขา ดงั นัน้ แมจะมีกรณุ าทจ่ี ะชว ยเหลอื ปวงสตั วแตก ็ตองมีอเุ บกขาดว ยทีจ่ ะ มิใหเสียธรรม
หมวด 4 125 [161] พรหมวิหารนี้ บางทีแปลวา ธรรมเคร่อื งอยูของพรหม, ธรรมเครอ่ื งอยูอยา งพรหม, ธรรม ประจาํ ใจที่ทาํ ใหเปน พรหมหรอื ใหเสมอดวยพรหม, หรือธรรมเครอ่ื งอยูของทา นผมู คี ุณยง่ิ ใหญ — (abidings of the Great Ones) พรหมวหิ าร 4 เรียกอกี อยางวา อัปปมัญญา 4 (Appama¤¤à: unbounded states of mind; illimitables) เพราะแผสม่าํ เสมอโดยทวั่ ไปในมนุษยส ตั วท ง้ั หลาย ไมม ปี ระมาณ ไม จํากัดขอบเขต พรหมวหิ ารมใี นผใู ด ยอมทาํ ใหผูนนั้ ประพฤตปิ ฏิบตั เิ กือ้ กูลแกผูอ ่นื ดว ยสงั คหวตั ถุเปน ตน . อนง่ึ ในการที่จะเขา ใจและปฏบิ ัตพิ รหมวหิ าร 4 ใหถ ูกตอ ง พงึ ทราบรายละเอยี ดบางอยา ง โดยเฉพาะสมบตั ิ และวิบตั ิ ของธรรม 4 ประการนนั้ ดงั น้ี ก. ความหมายโดยวเิ คราะหศัพท 1. เมตตา = (มีนา้ํ ใจ)เย่ือใยใฝป ระโยชนส ขุ แกคนสัตวทง้ั หลาย หรือนํา้ ใจปรารถนาประโยชนสุข ท่ีเปน ไปตอมติ ร 2. กรุณา = ทําความสะเทอื นใจแกสาธุชน เม่อื คนอื่นประสบทกุ ข หรือถายถอนทําทกุ ขข องผู อ่ืนใหหมดไป หรอื แผใ จไปรับรูต อ คนสตั วท ง้ั หลายท่ปี ระสบทกุ ข 3. มุทติ า = โมทนายินดีตอ ผปู ระกอบดว ยสมบตั ิหรอื ผลดนี ้ันๆ 4. อุเบกขา = คอยมองดอู ยู โดยละความขวนขวายวา สตั วทัง้ หลายจงอยา ผกู เวรกัน เปน ตน และโดยเขา ถึงความเปนกลาง ข. ลกั ษณะ หนาทหี่ รือกจิ (รส) ผลปรากฏ (ปจจปุ ฏฐาน) และปทัสถาน (เหตุใกล) 1. เมตตา = (ในสถานการณท่ีคนอ่นื อยเู ปนปกต)ิ ลกั ษณะ = เปนไปโดยอาการเก้ือกลู แกคนสตั วท ัง้ หลาย หนา ท่ี = นอมนาํ ประโยชนเขา ไปใหแกเ ขา ผลปรากฏ = กําจดั ความอาฆาตแคนเคืองใหป ราศไป ปทสั ถาน = เห็นภาวะที่นาเจริญใจของคนสตั วท ง้ั หลาย 2. กรุณา = (ในสถานการณที่คนอืน่ ตกทกุ ขเดือดรอ น) ลักษณะ = เปน ไปโดยอาการปลดเปล้อื งทกุ ขแกค นสตั วทั้งหลาย หนาท่ี = ไมน ิง่ ดดู าย/ทนน่งิ อยูไมไดตอทกุ ขของคนสตั วทัง้ หลาย ผลปรากฏ = ไมเ บยี ดเบยี น/อวหิ ิงสา ปทัสถาน = เห็นภาวะไรท พ่ี ่ึง/สภาพนา อนาถของคนสัตวท ้ังหลายที่ถกู ทุกขค รอบงํา 3. มุทิตา = (ในสถานการณท่คี นอน่ื มีสุขสาํ เร็จหรือทําอะไรกาวไปดวยดี) ลักษณะ = พลอยยินดี/ยินดีดวย หนา ท่ี = ไมรษิ ยา/เปน ปฏปิ กษตอความรษิ ยา ผลปรากฏ = ขจัดความริษยา ความไมย ินดีหรือความทนไมไดตอความสุขสาํ เรจ็ ของผอู ่ืน
[161] 126 พจนานุกรมพุทธศาสตร ปทัสถาน = เห็นสมบัต/ิ ความสําเรจ็ ของคนสัตวท ้งั หลาย 4. อเุ บกขา = (ในสถานการณรกั ษาธรรมตามความรับผิดชอบตอกรรมท่ีเขาทํา) ลกั ษณะ = เปนไปโดยอาการเปนกลางตอคนสัตวท ้ังหลาย หนา ท่ี = มองเห็นความเสมอภาคกนั ในสตั วท ้งั หลาย ผลปรากฏ = ระงับความขัดเคอื งเสียใจและความคลอยตามดใี จ ปทัสถาน = มองเห็นภาวะทที่ ุกคนเปน เจาของกรรมของตน วาสตั วท ง้ั หลายจกั ไดส ขุ พน ทกุ ข ไมเ สอื่ มจากสมบตั ิทไ่ี ดท่ีถึง ตามใจชอบไดอ ยา งไร ค. สมบัติ (ความสมบรู ณหรือความสัมฤทธิ์ผล) และวิบัติ (ความลมเหลว หรอื การปฏบิ ัติผดิ พลาด ไมสาํ เรจ็ ผล) 1. เมตตา: สมบัติ = สงบหายไรความแคน เคืองไมพ อใจ วิบัติ = เกิดเสนห า 2. กรุณา: สมบตั ิ = สงบหายไรวิหิงสา วิบตั ิ = เกดิ ความโศกเศรา 3. มุทิตา: สมบัติ = สงบหายไรค วามริษยา วิบัติ = เกดิ ความสนุกสนาน 4. อุเบกขา: สมบัติ = สงบหายไมมคี วามยนิ ดยี นิ รา ย วิบตั ิ = เกดิ ความเฉยดว ยไมร ู (เฉยโง เฉยเมย เฉยเมนิ ) ง. ขา ศึก คอื อกศุ ลซึง่ เปนศตั รูคปู รบั ท่จี ะทําลายหรอื ทาํ ธรรมนน้ั ๆ ใหเสียไป 1. เมตตา: ขาศึกใกล = ราคะ ขา ศึกไกล = พยาบาท คือความขดั เคอื งไมพ อใจ 2. กรุณา: ขา ศึกใกล = โทมนสั คอื ความโศกเศรา เสียใจ ขา ศึกไกล = วิหิงสา 3. มุทติ า: ขา ศึกใกล = โสมนัส (เชน ดใี จวาตนจะพลอยไดร ับผลประโยชน) ขาศกึ ไกล = อรติ คือความไมยนิ ดี ไมใยดี ริษยา 4. อเุ บกขา: ขาศึกใกล = อญั ญาณุเบกขา (เฉยไมรูเรื่อง เฉยโง เฉยเมย) ขาศกึ ไกล = ราคะ (ความใคร) และปฏิฆะ (ความเคือง) หรอื ชอบใจและขัดใจ จ. ตัวอยางมาตรฐาน ท่แี สดงความหมายของพรหมวิหารไดชัด ซงึ่ คมั ภรี ท งั้ หลายมักยกข้ึนอา ง 1. เมอื่ ลูกยงั เล็กเปน เดก็ เยาวว ัย แม-เมตตา รกั ใครเอาใจใส ถนอมเลยี้ งใหเจรญิ เติบโต 2. เมอ่ื ลกู เจ็บไขเ กดิ มที ุกขภ ัย แม- กรณุ า หวงใยปกปกรักษา หาทางบาํ บัดแกไข
หมวด 4 127 [163] 3. เม่อื ลกู เจรญิ วยั เปนหนมุ สาวสวยสงา แม- มุทติ า พลอยปลาบปลมื้ ใจ หวงั ใหลูกงามสดใสอยูน านเทานาน 4. เมอ่ื ลกู รับผดิ ชอบกจิ หนา ทขี่ องตนขวนขวายอยูดว ยดี แม-อุเบกขา มีใจนงิ่ สงบเปนกลาง วางเฉยคอยดู พงึ ทราบดวยวา ฉนั ทะ คือ กตั ตุกัมยตาฉันทะ (ความอยากจะทําใหดี หรอื ความตองการที่ จะทําใหคนสัตวทั้งหลายดีงามสมบูรณปราศจากโทษขอบกพรอง เชน อยากใหเขาประสบ ประโยชนสขุ พน จากทุกขเ ปนตน ) เปน จดุ ต้ังตน (อาท)ิ ของพรหมวิหารทั้ง 4 น้ี การขม ระงับ กเิ ลส (เชนนวิ รณ) ได เปน ทามกลาง สมาธถิ งึ ขั้นอัปปนา (คอื ภาวะจิตทม่ี นั่ คงเรียบร่ืนสงบ สนทิ ดที ีส่ ดุ ) เปนที่จบ ของพรหมวิหารทง้ั 4 นัน้ AIII.226; Dhs.262; Vism.320. อง.ฺ ปฺจก 22/192/252; อภิ.ส.ํ 34/190/75; วสิ ุทธฺ ิ.2/124. [,,,] พละ ดู [229] พละ 4. [,,,] พุทธลลี าในการสอน 4 ดู [172] ลีลาการสอน 4. [,,,] ภาวนา 4 ดู [37] ภาวนา 4. [,,,] ภาวติ 4 ดู [37] ภาวนา 4. [162] ภมู ิ (ชัน้ แหงจิต, ระดับจติ ใจ, ระดบั ชวี ติ — Bhåmi: planes of consciousness; planes of existence; degrees of spiritual development) 1. กามาวจรภมู ิ (ชัน้ ทีท่ องเทย่ี วอยใู นกาม, ระดับจิตใจท่ยี ังปรารภกามเปน อารมณ คือยัง เกย่ี วขอ งกบั กามคณุ , ระดบั จติ ใจของสัตวใ นกามภพทง้ั 11 ช้นั — Kàmàvacara-bhåmi: Sensuous Plane) 2. รปู าวจรภมู ิ (ชน้ั ท่ีทอ งเทีย่ วอยูใ นรปู , ระดับจิตใจทป่ี รารภรูปธรรมเปน อารมณ, ระดบั จติ ใจ ของทา นผูไ ดฌานหรือผูอ ยูในรูปภพทัง้ 16 ชั้น — Råpàvacara-bhåmi: form-plane) 3. อรปู าวจรภูมิ (ชั้นทที่ องเท่ยี วอยูในอรูป, ระดบั จิตใจที่ปรารภอรูปธรรมเปน อารมณ, ระดบั จิตใจของทานผูไดอ รปู ฌาน หรือผอู ยูในอรปู ภพทงั้ 4 ช้นั — Aråpàvacara-bhåmi: Form- less Plane) 4. โลกตุ ตรภูมิ (ชน้ั ทพ่ี น จากโลก, ระดบั แหง โลกตุ ตรธรรม, ระดบั จติ ใจของพระอรยิ เจา อนั พน แลว จากโลกียภูมิ 3 ขา งตน — Lokuttara-bhåmi: supramundane plane) ขอนใี้ นบาลที ี่มา เรยี กวา อปริยาปน นภูมิ (ขน้ั ทีไ่ มน บั เน่ืองในวัฏฏะ, ระดบั ที่ไมถูกจํากดั — unbelonging or unlimited plane). ดู [98] ภพ 3 และ [351] ภูมิ 4, 31 ดวย. Ps.I.83. ข.ุ ปฏ.ิ 31/171/122. [163] โภควิภาค 4 (การแบง โภคะเปน 4 สว น, หลักการแบงทรพั ยโ ดยจัดสรรเปน 4 สวน
[164] 128 พจนานกุ รมพุทธศาสตร — Bhogavibhàga: fourfold division of money) 1. เอเกน โภเค ภุ เฺ ชยยฺ (1 สว น ใชจา ยเลย้ี งตน เล้ียงคนที่ควรบาํ รุง และทาํ ประโยชน — On one part he should live and do his duties towards others.) 2.–3. ทวฺ หี ิ กมมฺ ํ ปโยชเย (2 สวน ใชลงทนุ ประกอบการงาน — With two parts he should expand his business) 4. จตุตฺถฺจ นิธาเปยฺย (อีก 1 สว น เกบ็ ไวใชใ นคราวจาํ เปน — And he should save the fourth for a rainy day.) D.III.188. ท.ี ปา.11/197/202. [164] มรรค 4 (ทางเขาถงึ ความเปนอรยิ บุคคล, ญาณที่ทาํ ใหล ะสงั โยชนไ ดขาด — Magga: the path) 1. โสดาปตติมรรค (มรรคอันใหถงึ กระแสทีน่ ําไปสูพระนิพพานทแี รก, มรรคอนั ใหถ ึงความ เปน พระโสดาบนั เปน เหตุละสงั โยชนไ ด 3 คือ สกั กายทิฏฐิ วิจกิ ิจฉา สลี ัพพตปรามาส — Sotàpatti-magga: the Path of Stream-Entry) 2. สกทาคามิมรรค (มรรคอนั ใหถงึ ความเปนพระสกทาคามี เปนเหตลุ ะสงั โยชนได 3 ขอ ตน กับทําราคะ โทสะ โมหะ ใหเบาบางลง — Sakadàgàmi-magga: the Path of Once- Returning) 3. อนาคามิมรรค (มรรคอันใหถึงความเปนพระอนาคามี เปนเหตลุ ะสังโยชนเ บื้องตํา่ ไดท้ัง 5 — Anàgàmi-magga: the Path of Non-Returning) 4. อรหตั ตมรรค (มรรคอันใหถงึ ความเปน พระอรหนั ต เปน เหตุละสังโยชนไ ดหมดทัง้ 10 — Arahatta-magga: the Path of Arahantship) ดู [329] สงั โยชน 101. Vbh.335. อภิ.วิ.35/837/453. [165] ผล 4 (ผลทีเ่ กดิ สืบเนือ่ งจากการละกเิ ลสไดดวยมรรค, ธรรมารมณอันพระอรยิ ะพงึ เสวย ที่เปน ผลเกดิ เองในเมอ่ื กเิ ลสส้ินไปดว ยอํานาจมรรคนน้ั ๆ — Phala: fruition) 1. โสดาปต ตผิ ล (ผลแหง การเขา ถงึ กระแสทน่ี าํ ไปสพู ระนิพพาน, ผลอนั พระโสดาบันพึงเสวย — Sotàpatti-phala: the Fruition of Stream-Entry) 2. สกทาคามิผล (ผลอนั พระสกทาคามพี ึงเสวย — Sakadàgàmi-phala: the Fruition of Once-Returning) 3. อนาคามิผล (ผลอนั พระอนาคามพี ึงเสวย — Anàgàmi-phala: the Fruition of Non- Returning) 4. อรหัตตผล (ผลคือความเปนพระอรหันต, ผลอันพระอรหันตพ ึงเสวย — Arahatta-phala: the Fruition of Arahantship)
หมวด 4 129 [166] ผล 4 น้ี บางที่เรยี กวา สามัญญผล (ผลของความเปน สมณะ, ผลแหง การบําเพ็ญสมณ- ธรรม — Sàma¤¤a-phala: fruits of a monk’s life; fruits of the monkhood) D.III.227; Vbh.335. ที.ปา.11/242/240; อภ.ิ วิ.35/837/453. [166] มหาปเทส 41 (ที่อางอิงขอใหญ, หลักใหญสําหรับอางเพ่ือสอบสวนเทียบเคียง หมวดท่ี 1 วา ดว ยหลกั ทวั่ ไป — Mahàpadesa: great authorities; principal references or citations) 1. หากมีภิกษุกลาววา ขาพเจาไดสดับรับมาเฉพาะพระพักตรของพระผูมีพระภาควา น้เี ปน ธรรม น้ีเปนวนิ ยั นี้เปน สัตถสุ าสน (A monk might say: “Face to face with the Blessed One did I hear this; face to face with him did I receive this. This is the Doctrine, this is the Discipline, this is the Master’s teaching.”) 2. หากมภี กิ ษกุ ลา ววา ในอาวาสช่อื โนน มีสงฆอยู พรอ มดวยพระเถระ พรอมดวยปาโมกข ขาพเจา ไดส ดับรับมาเฉพาะหนา สงฆนนั้ วา นี้เปน ธรรม นี้เปน วินัย นี้เปนสัตถสุ าสน (A monk might say: “In such and such a monastery resides an Order together with an elder monk, together with a leader. Face to face with that Order did I hear this; ...) 3. หากมภี กิ ษกุ ลา ววา ในอาวาสชอ่ื โนน มภี กิ ษผุ เู ปน พระเถระอยจู าํ นวนมาก เปน พหสู ตู ถงึ อาคม (คอื ชาํ นาญในพทุ ธพจนท ง้ั 5 นกิ าย) ทรงธรรม ทรงวนิ ยั ทรงมาตกิ า ขา พเจา ไดส ดบั รบั มาเฉพาะ หนา พระเถระเหลา นน้ั วา นเี้ ปน ธรรม นเ้ี ปน วนิ ยั นเ้ี ปน สตั ถสุ าสน (A monk might say: “In such and such a monastery reside a great number of elder monks, widely learned, versed in the Collections, expert on the Doctrine, expert on the Discipline, expert on the Summaries. In the presence of those monks did I hear this; ...) 4. หากมภี กิ ษกุ ลา ววา ในอาวาสชอื่ โนน มภี ิกษผุ เู ปน พระเถระอยรู ูปหนึ่ง เปน พหสู ูต ถงึ อาคม ทรงธรรม ทรงวินยั ทรงมาติกา ขาพเจาไดสดับรบั มาเฉพาะหนา พระเถระรูปน้นั วา นี้เปน ธรรม นี้เปน วินยั นีเ้ ปน สตั ถสุ าสน (A monk might say: “In such and such a monastery resides an elder monk of wide learning ...) เธอท้งั หลาย ยังไมพ ึงชน่ื ชม ยังไมพ ึงคดั คานคาํ กลา วของผูนั้น พึงเรียนบทและพยัญชนะ (ทงั้ ขอความและถอยคํา) เหลานั้นใหด แี ลว พงึ สอบดูในสูตรเทยี บดูในวินัย (The words of that monk are neither to be welcomed nor scorned, the words and syllables thereof are to be studied thoroughly, laid beside the Discourses and compared with the Discipline.) ก. ถา บทและพยัญชนะเหลานน้ั สอบลงในสตู รกไ็ มได เทยี บเขา ในวนิ ยั กไ็ มได พงึ ลงสันนิษฐาน วา นม้ี ใิ ชด าํ รัสของพระผูมีพระภาคแนนอน ภกิ ษนุ ้ี (สงฆน ้ัน พระเถระเหลานัน้ พระเถระรูป น้นั ) ถือไวผดิ พงึ ทิง้ เสีย (If, when laid beside the Discourses and compared with the Discipline, these words and syllables lie not along with the Discourses and agree
[167] 130 พจนานุกรมพุทธศาสตร not with the Discipline then you may come to the conclusion: Surely this is not the word of the Blessed One, and it has been wrongly grasped by that monk. Then reject it. ข. ถา บทและพยัญชนะเหลานน้ั สอบลงในสตู รกไ็ ด เทียบเขา ในวินยั ก็ได พงึ ลงสนั นษิ ฐานวา น้ี เปน ดํารัสของพระผมู ีพระภาคแนแท ภิกษุนี้ (สงฆน ัน้ พระเถระเหลา นน้ั พระเถระรูปนัน้ ) รับ มาดวยดี (If, ... they lie along with the Discourses and agree with the Discipline... Surely this is the word of the Blessed One ...) โดยสรปุ คอื การยกขอ อา งหรอื หลกั ฐาน 4 (the four principal appeals to authority) คอื 1. พุทธาปเทส (ยกเอาพระพทุ ธเจาข้นึ อาง — Buddhàpadesa: the appeal to the Enlightened One as authority) 2. สงั ฆาปเทส (ยกเอาคณะสงฆข้ึนอาง — Saïghàpadesa: the appeal to a community of monks or an Order as authority) 3. สมั พหลุ ตั เถราปเทส (ยกเอาพระเถระจาํ นวนมากขนึ้ อา ง — Sambahulattheràpadesa: the appeal to a number of elders as authority) 4. เอกัตเถราปเทส (ยกเอาพระเถระรปู หนึง่ ข้นึ อา ง — Ekattheràpadesa: the appeal to a single elder as authority) ในคมั ภรี รุนฎกี า (เชน อง.ฺ ฏี. 2/443) เรียกขอที่ 3 วา คณาปเทส (Gaõàpadesa) และขอ ที่ 4 วา ปุคคลาปเทส (Puggalàpadesa) D.II.123; A.II.167. ท.ี ม.10/113/144; องฺ.จตกุ ฺก.21/180/227. [167] มหาปเทส 42 หมวดท่ี 2 เฉพาะในทางพระวินยั — Mahàpadesa: great authorities; principal references) 1. สงิ่ ใดไมไ ดท รงหา มไวว า ไมค วร แตเ ขา กนั กบั สง่ิ ทไี่ มค วร (อกปั ปย ะ) ขดั กบั สง่ิ ทคี่ วร (กปั ปย ะ) สง่ิ นน้ั ไมค วร (Whatever has not been objected to as not allowable, if it fits in with what is not allowable and goes against what is allowable, is not allowable.) 2. สงิ่ ใดไมไ ดท รงหา มไวว า ไมค วร แตเ ขา กนั กบั สง่ิ ทค่ี วร (กปั ปย ะ) ขดั กบั สง่ิ ทไ่ี มค วร (อกปั ปย ะ) สง่ิ นน้ั ควร (Whatever has not been objected to as not allowable, if it fits in with what is allowable and goes against what is not allowable, is allowable.) 3. สง่ิ ใดไมไ ดท รงอนญุ าตไวว า ควร แตเขากันกบั สงิ่ ท่ไี มควร (อกปั ปยะ) ขดั กับสิง่ ท่ีควร (กปั ปย ะ) สง่ิ นน้ั ไมค วร (Whatever has not been permitted as allowable, if it fits in with what is not
หมวด 4 131 [168] allowable and goes against what is allowable, is not allowable.) 4. สงิ่ ใดไมไ ดท รงอนญุ าตไวว า ควร แตเ ขา กนั กบั สงิ่ ทคี่ วร (กปั ปย ะ) ขดั กบั สง่ิ ทไี่ มค วร (อกปั ปย ะ) สงิ่ นนั้ ควร (Whatever has not been permitted as allowable, if it fits in with what is allowable and goes against what is not allowable, is allowable.) Vin.I.250. วนิ ย.5/92/131. [168] มติ รปฏริ ูปก หรือ มิตรเทียม 4 (คนเทยี มมิตร, คนที่พงึ ทราบวา เปน ศตั รผู ูม าใน รา งของมติ ร — Mittapañiråpaka: false friends; foes in the guise of friends) 1. คนปอกลอก คนขนเอาของเพอื่ นไปถายเดยี ว (อัญญทัตถุหร — A¤¤adatthuhara: the out-and-out robber) มลี ักษณะ 4 คอื 1) คดิ เอาแตไดฝา ยเดยี ว 2) ยอมเสยี นอย โดยหวังจะเอาใหม าก 3) ตัวมภี ยั จึงมาชว ยทาํ กจิ ของเพ่อื น 4) คบเพ่ือน เพราะเหน็ แกผ ลประโยชน a) He appropriates his friend’s possessions. b) Giving little, he expects a lot in return. c) He gives a helping hand only when he himself is in danger. d) He makes friends with others only for his own interests. 2. คนดแี ตพ ดู (วจบี รม — Vacãparama: the man who pays lip-service) มลี กั ษณะ 4 คอื 1) ดแี ตย กของหมดแลว มาปราศรัย 2) ดแี ตอ างของยังไมมีมาปราศรัย 3) สงเคราะหด ว ยสิง่ หาประโยชนมิได 4) เมื่อเพือ่ นมกี จิ อา งแตเหตุขัดขอ ง a) He speaks you fair about the past. b) He speaks you fair about the future. c) He tries to gain your favour by empty sayings. d) When help is needed he points to his own ill luck. 3. คนหวั ประจบ (อนปุ ปยภาณี — Anuppiyabhàõã: the flatterer) มลี ักษณะ 4 คือ 1) จะทาํ ช่ัวก็เออออ 2) จะทําดีกเ็ ออออ 3) ตอหนา สรรเสริญ
[169] 132 พจนานุกรมพุทธศาสตร 4) ลับหลงั นนิ ทา a) He consents to your doing wrong. b) He consents to your doing right. c) He sings your praises to your face. d) He runs you down behind your back. 4. คนชวนฉิบหาย (อปายสหาย — Apàyasahàya: the leader to destruction) มี ลักษณะ 4 คอื 1) คอยเปนเพือ่ นดม่ื นาํ้ เมา 2) คอยเปนเพือ่ นเท่ียวกลางคืน 3) คอยเปน เพ่อื นเทีย่ วดูการเลน 4) คอยเปน เพ่ือนไปเลนการพนัน a) He is your companion when you indulge in drinking. b) He is your companion when you roam the streets at unseemly hours. c) He is your companion when you frequent shows and fairs. d) He is your companion when you indulge in gambling. D.III.185. ท.ี ปา.11/186/199. [169] สุหทมติ ร หรอื มิตรแท 4 (มิตรมใี จด,ี มิตรทจี่ รงิ ใจ — Suhadamitta: true friends; true-hearted friends) 1. มติ รอุปการะ (อปุ การกะ — Upakàraka: the helper) มีลกั ษณะ 4 คือ 1) เพื่อนประมาท ชว ยรกั ษาเพ่ือน 2) เพ่ือนประมาท ชว ยรักษาทรัพยสินของเพอ่ื น 3) เมือ่ มีภัย เปนทพี่ ่งึ พาํ นักได 4) มีกิจจาํ เปน ชว ยออกทรัพยใหเกนิ กวา ท่อี อกปาก a) He guards you when you are off your guard. b) He guards your property when you are off your guard. c) He is a refuge to you when you are in danger. d) He provides a double supply of what you may ask in time of need. 2. มติ รรว มสขุ รว มทกุ ข (สมานสขุ ทุกข — Samànasukhadukkha: the man who is the same in weal and woe) มลี กั ษณะ 4 คอื 1) บอกความลบั แกเ พอ่ื น 2) ปดความลับของเพ่อื น
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411