หมวด 10 233 [319] [318] กิเลส 10 (สภาพที่ทาํ ใหจิตเศราหมอง — Kilesa: defilements) 1. โลภะ (ความอยากได — Lobha: greed) 2. โทสะ (ความคดิ ประทุษรา ย — Dosa: hatred) 3. โมหะ (ความหลง, ความไมรู, ความเขลา — Moha: delusion) 4. มานะ (ความถอื ตวั — Màna: conceit) 5. ทิฏฐิ (ความเหน็ ผดิ — Diññhi: wrong view) 6. วิจิกิจฉา (ความลงั เลสงสยั , ความเคลือบแคลง — Vicikicchà: doubt; uncertainty) 7. ถนี ะ (ความหดหู, ความทอแทถดถอย — Thãna: sloth) 8. อุทธจั จะ (ความฟุงซาน — Uddhacca: restlessness) 9. อหริ กิ ะ (ความไมล ะอายตอความชว่ั — Ahirika: shamelessness) 10. อโนตตัปปะ (ความไมเ กรงกลัวตอ ความชวั่ — Anottappa: lack of moral dread) สิบอยา งนี้ ในบาลีเดมิ เรยี กวา กเิ ลสวัตถุ (สง่ิ กอ ความเศราหมอง) 10 Vbh.391. อภ.ิ วิ.35/1026/528. [319] กศุ ลกรรมบถ 101 (ทางแหงกศุ ลกรรม, ทางทําความดี, กรรมดีอนั เปนทางนาํ ไปสู สคุ ติ — Kusala-kammapatha: wholesome course of action) วา โดยหวั ขอยอ ดังนี้ ก. กายกรรม 3 (การกระทาํ ทางกาย — Kàyakamma: bodily action) 1. ปาณาตปิ าตา เวรมณ*ี (เวนจากปลงชวี ติ — Pàõàtipàtà veramaõã: abstention from killing) 2. อทินฺนาทานา เวรมณี (เวน จากถอื เอาของที่เขามไิ ดใ หโ ดยอาการขโมย — Adinnàdànà ~: abstention from taking what is not given) 3. กาเมสุมจิ ฉฺ าจารา เวรมณี (เวน จากประพฤตผิ ิดในกาม — Kàmesumicchàcàrà ~: abstention from sexual misconduct) ข. วจกี รรม 4 (การกระทําทางวาจา — Vacãkamma: verbal action) 4. มุสาวาทา เวรมณี (เวน จากพดู เทจ็ — Musàvàdà ~: abstention from false speech) 5. ปส ุณาย วาจาย เวรมณี (เวน จากพูดสอเสยี ด — Pisuõàya vàcàya ~: abstention from tale-bearing) 6. ผรุสาย วาจาย เวรมณี (เวน จากพูดคาํ หยาบ — Pharusàya vàcàya ~: abstention from harsh speech) 7. สมฺผปฺปลาปา เวรมณี (เวนจากพูดเพอเจอ — Samphappalàpà ~: abstention from * เวรมณี แปลวา “เจตนาทีท่ าํ ใหเ วน” หรอื “เจตนาท่ีตรงขาม” เมือ่ จะแปลใหเ ตม็ ความ จึงควรแปลวา “การ กระทําทีว่ างจากการคิดเบยี ดเบยี น” หรือ “การทาํ ดที ี่ตรงขา มกับการเบยี ดเบยี นชวี ิต” ดงั นีเ้ ปน ตน
[320] 234 พจนานกุ รมพุทธศาสตร vain talk or gossip) ค. มโนกรรม 3 (การกระทาํ ทางใจ — Manokamma: mental action) 8. อนภชิ ฺฌา (ความไมคิดเพง เลง็ อยากไดของเขา — Anabhijjhà: non-covetousness) 9. อพยฺ าปาท (ความไมค ดิ รายตอ ผอู นื่ — Abyàpàda: non-illwill) 10. สมมฺ าทิฏ ิ (ความเหน็ ชอบ ถูกตอ งตามคลองธรรม — Sammàdiññhi: right view) D.III.269,290. ที.ปา.11/360/284; 471/337. [320] กศุ ลกรรมบถ 102 (ทางแหง กศุ ลกรรม, ทางทาํ ความดี, กรรมดอี ันเปน ทางนําไปสู ความสุขความเจรญิ หรอื สุคติ — Kusala-kammapatha: wholesome course of action) วา โดยขอธรรมสมบรู ณ (แปลตดั เอาแตใจความ) ดังนี้ ก. กายกรรม 3 (การกระทําทางกาย — bodily action) 1. ปาณาตปิ าตํ ปหาย ฯเปฯ สพพฺ ปาณภตู หิตานกุ มปฺ โหติ (ละการฆาการเบียดเบยี น มี เมตตากรุณาชวยเหลอื เก้อื กูลกนั — to avoid the destruction of life and be anxious for the welfare of all lives) 2. อทนิ ฺนาทานํ ปหาย ฯเปฯ อทินนฺ ํ เถยฺยสงขฺ าตํ อนาทาตา โหติ (ละอทินนาทาน เคารพกรรมสิทธใิ์ นทรพั ยสินของผอู ่ืน — to avoid stealing, not violating the right to private property of others) 3. กาเมสุมจิ ฉฺ าจารํ ปหาย ฯเปฯ น จาริตฺตํ อาปชชฺ ติ า โหติ (ละการประพฤตผิ ิดในกาม ไมล ว งละเมิดประเพณีทางเพศ — to avoid sexual misconduct, not transgressing sex morals) ข. วจกี รรม 4 (การกระทาํ ทางวาจา — verbal action) 4. มุสาวาทํ ปหาย ฯเปฯ น สมปฺ ชานมุสา ภาสติ า โหติ (ละการพูดเทจ็ ไมยอมกลา วเทจ็ เพราะเหตุตนเอง ผอู ่ืน หรือเพราะเหน็ แกผ ลประโยชนใ ดๆ — to avoid lying, not knowingly speaking a lie for the sake of any advantage) 5. ปส ณุ ํ วาจํ ปหาย ฯเปฯ สมคคฺ กรณึ วาจํ ภาสิตา โหติ (ละการพูดคําสอ เสียด ชวย สมานคนที่แตกราวกัน สงเสริมคนท่ีสมัครสมานกัน ชอบกลาวถอยคําที่สรางสามัคคี — to avoid malicious speech, unite the discordant, encourage the united and utter speech that makes for harmony) 6. ผรุสํ วาจํ ปหาย ฯเปฯ พหชุ นมนาปา ตถารูป วาจํ ภาสติ า โหติ (ละคาํ หยาบ พดู แต คําสุภาพออ นหวาน — to avoid harsh language and speak gentle, loving, courteous, dear and agreeable words) 7. สมผฺ ปปฺ ลาป ปหาย ฯเปฯ กาลวาที ภตู วาที อตถฺ วาที ธมมฺ วาที วนิ ยวาที นธิ านวตึ วาจํ ภาสิตา โหติ ฯเปฯ (ละการพดู เพอ เจอ พดู แตค าํ จรงิ มเี หตผุ ล มสี ารประโยชน ถูก
หมวด 10 235 [321] กาลเทศะ — to avoid frivolous talk; to speak at the right time, in accordance with facts, what is useful, moderate and full of sense) ค. มโนกรรม 3 (การกระทาํ ทางใจ — mental action) 8. อนภชิ ฺฌาลุ โหติ ฯเปฯ (ไมเพงเลง็ อยากไดข องผูอนื่ — to be without covetousness) 9. อพยฺ าปนนฺ จติ ฺโต โหติ ฯเปฯ สขุ ี อตตฺ านํ ปริหรนตฺ ูติ (ไมมจี ิตคดิ รา ย คดิ ปรารถนา แตว า ขอใหสตั วท้งั หลายไมมเี วร ไมเบยี ดเบียน ไมม ที ุกข ครองตนอยูเปนสุขเถิด — to be free from ill-will, thinking, ‘Oh, that these beings were free from hatred and ill- will, and would lead a happy life free from trouble.’) 10. สมมฺ าทฏิ โิ ก โหติ ฯเปฯ สยํ อภิ ฺ า สจฉฺ กิ ตวฺ า ปเวเทนตฺ ตี ิ (มคี วามเหน็ ชอบ เชน วา ทานมผี ล การบชู ามผี ล ผลวบิ ากของกรรมดกี รรมชวั่ มี เปน ตน — to possess right view such as that gifts, donations and offerings are not fruitless and that there are results of wholesome and unwholesome actions) กศุ ลกรรมบถหมวดน้ี ในบาลเี รยี กช่ือหลายอยา ง เชน วา ธรรมจริยา (ความประพฤตธิ รรม — righteous conduct) บา ง โสไจย (ความสะอาดหรอื เครอื่ งชาํ ระตวั — cleansing) บา ง อรยิ - ธรรม (อารยธรรม, ธรรมของผเู จรญิ — virtues of a noble or civilized man) บา ง อรยิ มรรค (มรรคาอนั ประเสรฐิ — the noble path) บา ง สทั ธรรม (ธรรมด,ี ธรรมแท — good law; true law) บา ง สปั ปรุ สิ ธรรม (ธรรมของสตั บรุ ษุ — qualities of a good man) บา ง ฯลฯ M.I.287; A.V.266,275–278. ม.มู.12/485/523; อง.ฺ ทสก.24/165/287; 168–181/296–300. [321] อกุศลกรรมบถ 10 (ทางแหง อกศุ ลกรรม, ทางทําความช่ัว, กรรมชว่ั อนั เปน ทางนาํ ไปสคู วามเสอื่ ม ความทกุ ข หรือทุคติ — Akusala-kammapatha: unwholesome course of action) ก. กายกรรม 3 (การกระทําทางกาย — Kàyakamma: bodily action) 1. ปาณาตบิ าต (การทาํ ชวี ติ ใหต กลว ง, ปลงชวี ติ — Pàõàtipàta: destruction of life; killing) 2. อทินนาทาน (การถอื เอาของท่ีเขามไิ ดใ ห โดยอาการขโมย, ลักทรัพย — Adinnàdàna: taking what is not given; stealing) 3. กาเมสุมิจฉาจาร (ความประพฤติผิดในกาม — Kàmesumicchàcàra: sexual misconduct) ข. วจกี รรม 4 (การกระทําทางวาจา — Vacãkamma: verbal action) 4. มสุ าวาท (การพูดเทจ็ — Musàvàda: false speech) 5. ปส ุณาวาจา (วาจาสอเสยี ด — Pisuõàvàcà: tale-bearing; malicious speech) 6. ผรุสวาจา (วาจาหยาบ — Pharusavàcà: harsh speech) 7. สัมผปั ปลาปะ (คาํ พดู เพอ เจอ — Samphappalàpa: frivolous talk; vain talk; gossip)
[322] 236 พจนานกุ รมพุทธศาสตร ค. มโนกรรม 3 (การกระทําทางใจ — Manokamma: mental action) 8. อภิชฌา (เพง เล็งอยากไดข องเขา — Abhijjhà: covetousness; avarice) 9. พยาบาท (คิดรายผอู ่ืน — Byàpàda: illwill) 10. มิจฉาทิฏฐิ (เหน็ ผิดจากคลองธรรม — Micchàdiññhi: false view; wrong view) D.III.269,290; A.V.264. ท.ี ปา.11/359/284; 470/337; อง.ฺ ทสก.24/165/285. [322] เถรธรรม 10 (คุณธรรมทที่ ําใหพ ระเถระอยสู ําราญในที่ทุกสถาน — Theradhamma: qualities which make for happy living of an elder monk) 1. เถโร รตตฺ ฺ ู (เปนผใู หญ บวชนาน รเู หน็ กจิ การ ทรงจาํ เรือ่ งราวไวไ ดม าก — Thero ratta¤¤å: to be an elder monk of long experience) 2. สลี วา (มีศีล เครง ครัดในสกิ ขาบททัง้ หลาย — Sãlavà: to be virtuous; to have good conduct) 3. พหุสฺสุโต (เปน พหสู ตู ทรงความรู — Bahussuto: to be much learned) 4. สฺวาคตปาฏโิ มกฺโข (ทรงปาฏิโมกข รูหลกั แหง วินัย แคลว คลอง ชาํ นิชํานาญ สามารถ วนิ จิ ฉัยไดด ว ยดี — Svàgatapàñimokkho: to be well versed in the codes of discipline) 5. อธิกรณสมปุ ปฺ าทวูปสมกสุ โล (ฉลาดในการระงับอธิกรณท ่เี กดิ ขนึ้ — Adhikaraõa- samuppàdavåpasamakusalo: to be skilled in settling a legal question that has arisen) 6. ธมมฺ กาโม (เปน ผใู ครธ รรม รักความรู รกั ความจริง รจู ักรบั ฟง และรจู กั พูด ทําใหเปนทช่ี นื่ ชมสนทิ สนมสบายใจ นาเขา ไปปรกึ ษาสนทนา และชอบศึกษา ยนิ ดีปรีดาในหลักธรรมหลกั วนิ ยั ทีย่ ่งิ ๆ ขึ้นไป — Dhammakàmo: to love the Dhamma, be pleasant to consult and converse with, and find joy in the advanced teaching of both the Doctrine and the Discipline) 7. สนตฺ ฏุ โ (เปนผูส นั โดษดว ยปจ จัยสต่ี ามมตี ามได — Santuññho: to be content with whatsoever supply of the four requisites he may get) 8. ปาสาทโิ ก (จะไปจะมา มอี าการกิรยิ านาเลอื่ มใส แมเ ขาไปในละแวกบา น กส็ ํารวมเปนอนั ดี — Pàsàdiko: to be charming and perfectly composed in his goings out and comings in and in sitting in the house) 9. ฌานลาภี (ไดแ คลวคลองในฌาน 4 ท่เี ปนเคร่อื งอยสู ขุ สบายในปจจบุ ัน — Jhànalàbhã: to be able to gain pleasure of the Four Absorptions) 10. วิมุตฺโต (บรรลเุ จโตวมิ ตุ ติปญญาวิมตุ ติ ส้ินอาสวะ — Vimutto: to have gained the Deliverance) A.V.201. องฺ.ทสก.24/98/215.
หมวด 10 237 [323] [323] ทศพลญาณ (บาลเี รยี ก ตถาคตพลญาณ 10 คอื พระญาณอนั เปน กําลังของพระ ตถาคต 10 ประการ ท่ีทาํ ใหพระองคส ามารถบนั ลือสีหนาท ประกาศพระศาสนาไดม น่ั คง — Dasa-bala¤àõa: the Ten Powers of the Perfect One) 1. ฐานาฐานญาณ (ปรชี าหย่งั รฐู านะและอฐานะ คอื รูกฎธรรมชาติเกี่ยวกับขอบเขตและขีด ข้นั ของสิง่ ทง้ั หลายวา อะไรเปน ไปได อะไรเปนไปไมได และแคไหนเพยี งไร โดยเฉพาะในแง ความสัมพนั ธร ะหวา งเหตุกับผล และกฎเกณฑทางจริยธรรม เก่ยี วกับสมรรถวสิ ัยของบคุ คล ซ่งึ จะไดรบั ผลกรรมทีด่ ีและชว่ั ตางๆ กัน — òhànàñhàna-¤àõa: knowledge of instance and no instance; knowledge of possibilities and impossibilities) 2. กรรมวปิ ากญาณ (ปรชี าหย่งั รผู ลของกรรม คือ สามารถกําหนดแยกการใหผ ลอยางสลับ ซบั ซอ น ระหวางกรรมดกี บั กรรมชวั่ ท่สี ัมพันธก บั ปจจัยแวดลอมตา งๆ มองเหน็ รายละเอียด และความสัมพันธภายในกระบวนการกอผลของกรรมอยา งชัดเจน — Kammavipàka-¤àõa: knowledge of the ripening of action; knowledge of the results of kamma) 3. สพั พัตถคามนิ ปี ฏปิ ทาญาณ (ปรีชาหยงั่ รูขอปฏบิ ตั ทิ ่ีจะนาํ ไปสคู ติท้ังปวง คือ สุคติ ทุคติ หรอื พน จากคติ หรอื ปรชี าหยงั่ รขู อ ปฏบิ ตั ทิ จี่ ะนาํ ไปสอู รรถประโยชนท งั้ ปวง กลา วคอื ทฏิ ฐธมั มกิ ตั ถะ สมั ปรายกิ ตั ถะ หรอื ปรมัตถะ คือรวู า เมื่อปรารถนาจะเขาถึงคตหิ รอื ประโยชนใ ด จะตองทํา อะไรบาง มรี ายละเอยี ดวิธีปฏบิ ตั ิอยางไร — Sabbatthagàminãpañipadà-¤àõa: knowledge of the way that leads anywhere; knowledge of the practices leading to all destinies and all goals) 4. นานาธาตญุ าณ (ปรีชาหย่ังรสู ภาวะของโลกอันประกอบดวยธาตตุ างๆ เปนอเนก คอื รู สภาวะของธรรมชาติ ท้ังฝา ยอปุ าทนิ นกสงั ขารและฝา ยอนุปาทินนกสังขาร เชน รจู ักสว น ประกอบตางๆ ของชีวติ สภาวะของสวนประกอบเหลา น้ัน พรอ มท้ังลักษณะและหนา ทีข่ องมนั แตละอยาง อาทิการปฏิบตั หิ นา ทขี่ องขันธ อายตนะ และธาตตุ างๆ ในกระบวนการรับรู เปนตน และรูเหตุแหงความแตกตางกันของสิ่งท้ังหลายเหลานั้น — Nànàdhàtu-¤àõa: knowledge of the world with its many different elements) 5. นานาธมิ ตุ ติกญาณ (ปรีชาหยง่ั รอู ธมิ ุติ คอื รูอ ัธยาศัย ความโนม เอยี ง ความเชอ่ื ถือ แนว ความสนใจ เปนตน ของสัตวทั้งหลายที่เปนไปตางๆ กัน — Nànàdhimuttika-¤àõa: knowledge of the different dispositions of beings) 6. อินทริยปโรปริยัตตญาณ (ปรีชาหย่ังรูความยิ่งและหยอ นแหงอินทรยี ของสัตวท ง้ั หลาย คอื รูวาสตั วน้นั ๆ มศี รัทธา วริ ยิ ะ สติ สมาธิ ปญญา แคไ หน เพียงใด มีกิเลสมาก กเิ ลสนอย มี อินทรียออน หรือแกกลา สอนงาย หรือสอนยาก มีความพรอมที่จะตรัสรูหรือไม — Indriyaparopariyatta-¤àõa: knowledge of the state of faculties of beings; knowledge of the inferiority and superiority of the controlling faculties of various beings; knowledge as regards maturity of persons)
[324] 238 พจนานุกรมพทุ ธศาสตร 7. ฌานาทสิ ังกิเลสาทญิ าณ (ปรีชาหย่ังรูความเศรา หมอง ความผองแผว การออกแหง ฌาน วโิ มกข สมาธิ และสมาบตั ทิ งั้ หลาย — Jhànàdisaïkilesàdi-¤àõa: knowledge of defilement, cleansing and emergence in the cases of the meditations, liberations, concen- trations and attainments) 8. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ (ปรีชาหย่ังรูอันทําใหระลึกภพที่เคยอยูในหนหลังได — Pubbenivàsànussati-¤àõa: knowledge of the remembrance of former existences) 9. จุตปู ปาตญาณ (ปรีชาหย่งั รจู ตุ ิและอบุ ตั ขิ องสัตวทัง้ หลายอนั เปนไปตามกรรม — Cutå- papàta-¤àõa: knowledge of the decease and rebirth of beings) 10. อาสวักขยญาณ (ปรีชาหย่งั รูค วามสนิ้ ไปแหง อาสวะทงั้ หลาย — âsavakkhaya-¤àõa: knowledge of the exhaustion of mental intoxicants) M.I.69; A.V.33; Vbh.336. ม.มู.12/166/140; องฺ.ทสก.24/21/35; อภิ.วิ.35/839/454. [,,,] ทศพธิ ราชธรรม ดู [326] ราชธรรม 10. [,,,] ธรรมจรยิ า 10 เปน อกี ช่อื หน่ึงของ [320] กศุ ลกรรมบถ 10 2. [,,,] ธรรมมอี ปุ การะมาก 10 ดู [324] นาถกรณธรรม 10. [324] นาถกรณธรรม 10 (ธรรมอันกระทาํ ทพ่ี ึ่ง, ธรรมสรางทพี่ ึง่ , คณุ ธรรมทท่ี ําใหต นเปน ที่พ่ึงของตนได — Nàthakaraõa-dhamma: virtues which make for protection) 1. สลี (ความประพฤตดิ งี ามสจุ รติ รกั ษาระเบยี บวนิ ยั มอี าชวี ะบรสิ ทุ ธิ์ — Sãla: good conduct; keeping moral habits) 2. พาหุสจฺจ (ความเปนผูไดศ กึ ษาเลาเรียนมาก มีความรคู วามเขาใจลกึ ซ้ึง — Bàhusacca: great learning) 3. กลยฺ าณมติ ตฺ ตา (ความมีกัลยาณมติ ร, การคบคนดี ไดที่ปรึกษา และผแู นะนาํ สง่ั สอนทดี่ ี — Kalyàõamittatà: good company; association with good people) 4. โสวจสสฺ ตา (ความเปนผูวางายสอนงาย รับฟงเหตผุ ล — Sovacassatà: amenability to correction; meekness; easy admonishability) 5. กิงกฺ รณีเยสุ ทกขฺ ตา (ความเอาใจใสชวยขวนขวายในกิจใหญน อ ยทุกอยางของเพื่อนรวม หมูคณะ รูจักพิจารณาไตรตรอง สามารถจัดทําใหสําเร็จเรียบรอย — Ki§karaõãyesu dakkhatà: willingness to give a helping hand; diligence and skill in managing all affairs of one’s fellows in the community) 6. ธมฺมกามตา (ความเปนผูใครธรรม คอื รักธรรม ใฝความรใู ฝความจรงิ รูจ กั พดู รูจกั รับฟง ทําใหเกดิ ความพอใจ นา รว มปรกึ ษาสนทนา ชอบศึกษา ยินดปี รดี าในหลักธรรมหลกั วนิ ยั ท่ี ละเอียดลึกซงึ้ ยิ่งๆ ขนึ้ ไป — Dhammakàmatà: love of truth; to love the Dhamma, be
หมวด 10 239 [325] pleasant to consult and converse with and rejoice in the advanced teaching of both the Doctrine and the Discipline) 7. วริ ยิ ารมภฺ (ความขยนั หมนั่ เพยี ร คอื เพยี รละความชว่ั ประกอบความดี มใี จแกลว กลา บาก บนั่ กา วหนา ไมย อ ทอ ไมท อดทงิ้ ธรุ ะ — Viriyàrambha: energy; effort; energetic exertion) 8. สนตฺ ุฏ ี (ความสนั โดษ คอื ยนิ ดี มคี วามสขุ ความพอใจดว ยปจ จยั สที่ หี่ ามาไดด ว ยความเพยี ร อนั ชอบธรรมของตน — Santuññhã: contentment) 9. สติ (ความมสี ติ รูจักกาํ หนดจดจํา ระลึกการท่ีทําคาํ ทพี่ ดู ไวไ ด เปน อยอู ยางไมประมาท — Sati: mindfulness; ability to remember what one has done and spoken) 10. ปฺ า (ความมปี ญ ญาหย่งั รเู หตุผล รูจกั คดิ พจิ ารณา เขาใจภาวะของสิ่งทั้งหลายตาม ความเปนจรงิ — Pa¤¤à: wisdom; insight) นาถกรณธรรมน้ี ทา นเรยี กวาเปน พหุการธรรม หรอื ธรรมมอี ปุ การะมาก เพราะเปน กําลังหนุนในการบําเพ็ญคุณความดีทั้งหลาย ยังประโยชนตนและประโยชนผูอ่ืนใหสําเร็จได อยางกวางขวางไพบลู ย D.III.266,290; A.V.23. ที.ปา.11/357/281; 466/334; องฺ.ทสก.24/17/25. [325] บารมี 10 หรอื ทศบารมี (ปฏปิ ทาอันยวดยง่ิ , คณุ ธรรมทีป่ ระพฤตปิ ฏิบัตอิ ยา งยง่ิ ยวด คอื ความดที บ่ี าํ เพญ็ อยา งพเิ ศษ เพอ่ื บรรลซุ งึ่ จดุ หมายอนั สงู เชน ความเปน พระพทุ ธเจา และความเปนมหาสาวก เปนตน — Pàramã: perfections) 1. ทาน (การให การเสียสละ — Dàna: giving; charity; generosity; liberality) 2. ศลี (การรกั ษากายวาจาใหอยใู นหลกั ความประพฤติท่ีเปน แบบแผนแหงภาวะของตน, ความ ประพฤติดีงามถกู ตองตามระเบยี บวินยั —Sãla: morality; good conduct) 3. เนกขมั มะ (การออกบวช, ความปลกี ตัวปลกี ใจจากกาม — Nekkhamma: renunciation) 4. ปญญา (ความรอบรู, ความหยงั่ รเู หตุผล เขาใจสภาวะของสิ่งทัง้ หลายตามความเปน จรงิ และรจู กั แกไขปฏบิ ตั จิ ัดการตางๆ — Pa¤¤à: wisdom; insight; understanding) 5. วริ ิยะ (ความเพยี ร, ความแกลวกลา ไมเกรงกลัวอปุ สรรค พยายามบากบ่นั อตุ สาหะ กาว หนา เรื่อยไป ไมทอดท้งิ ธุระหนาที่ — Viriya: energy; effort; endeavour) 6. ขนั ติ (ความอดทน, ความทนทานของจิตใจ สามารถใชส ติปญญาควบคุมตนใหอยใู นอาํ นาจ เหตผุ ล และแนวทางความประพฤติหรือการปฏิบตั ิ ทต่ี งั้ ไวเพ่อื จดุ หมายอนั ชอบ ไมลอุ าํ นาจ กเิ ลส — Khanti: forbearance; tolerance; endurance) 7. สัจจะ (ความจริง คือ พูดจริง ทาํ จริง และจริงใจ — Sacca: truthfulness) 8. อธษิ ฐาน (ความตง้ั ใจมัน่ , การตดั สนิ ใจเดด็ เดย่ี ว วางจดุ หมายแหง การกระทําของตนไวแ น นอน และดําเนินตามน้นั แนว แน — Adhiññhàna: resolution; self-determination) 9. เมตตา (ความรกั ใคร, ความปรารถนาดี มีไมตรี คิดเกอ้ื กูลใหผอู ืน่ และเพอ่ื นรว มโลกทง้ั ปวง
[326] 240 พจนานกุ รมพุทธศาสตร มีความสขุ ความเจรญิ — Mettà: loving-kindness; friendliness) 10.อเุ บกขา (ความวางใจเปน กลาง, ความวางใจสงบราบเรยี บสมา่ํ เสมอ เทยี่ งธรรม และดาํ รง อยูในธรรม ไมเอนเอยี งหรอื หว่ันไหวไปดว ยความยินดียนิ รายชอบชงั หรือแรงเยา ยวนยวั่ ยใุ ดๆ — Upekkhà: equanimity; indifference to praise and blame in the performance of duty) ทศบารมีนี้ เรียงตามทถ่ี อื วาไดบําเพญ็ ในทศชาติ (จดั แบบไทย) ดังน้ี 1. พระเตมีย — เนกขัมมะ (ขอ ท่ี 3) 2. พระมหาชนก — วิริยะ (5) 3. พระสุวรรณสาม — เมตตา (9) 4. พระเนมริ าช — อธษิ ฐาน (8) 5. พระมโหสถ — ปญญา (4) 6. พระภรู ิทัตต — ศีล (2) 7. พระจนั ทกุมาร — ขันติ (6) 8. พระนารทะ — อุเบกขา (10) 9. พระวิธุระ — สจั จะ (7) 10. พระเวสสนั ดร — ทาน (1) บารมนี ัน้ ทา นกลาววา จะบําเพญ็ ใหบรบิ ูรณ ตองครบ 3 ขั้น คอื 1. บารมี (ระดบั สามัญ เชน ทานบารมี ไดแ ก ใหทรัพยส นิ เงนิ ทอง สมบตั นิ อกกาย — Pàramã: ordinary perfections) 2. อุปบารมี (ระดับรองหรือจวนจะสูงสดุ เชน ทานอุปบารมี ไดแก การเสยี สละอวัยวะเปน ทาน — Upapàramã: superior perfections) 3. ปรมัตถบารมี (ระดับสูงสดุ เชน ทานปรมัตถบารมี ไดแก การสละชวี ติ เพ่อื ประโยชนแกผ ู อื่น — Paramatthapàramã: supreme perfections) บําเพ็ญทงั้ 10 บารมี ครบ 3 ขนั้ นี้ เรยี กวา สมตึสปารมี หรอื สมดึงสบารมี แปลวา “บารมี 30 ถวน”. Bv.6. ขุ.พุทธ.33/1/414; ข.ุ จริยา.33/36/596. [,,,] บญุ กิริยาวัตถุ 10 ดู [89] บุญกิรยิ าวตั ถุ 10. [,,,] ปพ พชติ อภณิ หปจ จเวกขณ 10 ดู [248] ปพ พชติ อภณิ หปจ จเวกขณ 10. [,,,] มจิ ฉตั ตะ ดู [334] มจิ ฉัตตะ 10. [,,,] มูลเหตกุ ารบัญญตั พิ ระวนิ ัย 10 ดู [327] วตั ถปุ ระสงคใ นการบญั ญตั พิ ระวินยั 10. [326] ราชธรรม 10 หรอื ทศพธิ ราชธรรม (ธรรมของพระราชา, กจิ วตั รทพ่ี ระเจา แผน ดนิ ควรประพฤต,ิ คณุ ธรรมของผปู กครองบา นเมอื ง, ธรรมของนกั ปกครอง — Ràjadhamma: virtues or duties of the king; royal virtues; virtues of a ruler) 1. ทาน (การให คอื สละทรพั ยส่งิ ของ บาํ รงุ เล้ียง ชว ยเหลอื ประชาราษฎร และบําเพญ็ สาธารณประโยชน — Dàna: charity; liberality; generosity)
หมวด 10 241 [326] 2. ศีล (ความประพฤตดิ งี าม คือ สํารวมกายและวจีทวาร ประกอบแตก ารสจุ ริต รักษากิตติคณุ ใหค วรเปน ตัวอยา ง และเปน ทีเ่ คารพนับถือของประชาราษฎร มิใหม ีขอท่ใี ครจะดแู คลน — Sãla: high moral character) 3. ปรจิ จาคะ (การบรจิ าค คอื เสยี สละความสขุ สาํ ราญ เปน ตน ตลอดจนชวี ติ ของตน เพอ่ื ประโยชนส ขุ ของประชาชน และความสงบเรยี บรอ ยของบา นเมอื ง — Pariccàga: self-sacrifice) 4. อาชชวะ (ความซอ่ื ตรง คอื ซื่อตรงทรงสตั ยไรม ารยา ปฏบิ ตั ภิ ารกจิ โดยสุจริต มคี วามจริง ใจ ไมหลอกลวงประชาชน — âjjava: honesty; integrity) 5. มัททวะ (ความออ นโยน คือ มอี ธั ยาศัย ไมเยอ หยง่ิ หยาบคายกระดา งถอื องค มีความงาม สงาเกิดแตทวงทีกิริยาสุภาพนุมนวล ละมุนละไม ใหไดความรักภักดี แตมิขาดยําเกรง — Maddava: kindness and gentleness) 6. ตปะ (ความทรงเดช คือ แผดเผากิเลสตัณหา มิใหเ ขา มาครอบงาํ ยาํ่ ยีจิต ระงบั ยับยงั้ ขมใจ ได ไมย อมใหห ลงใหลหมกมุนในความสุขสําราญและความปรนเปรอ มคี วามเปนอยสู มา่ํ เสมอ หรืออยางสามญั มงุ มั่นแตจะบาํ เพญ็ เพียร ทาํ กจิ ใหบ รบิ รู ณ — Tapa: austerity; self-control; non-indulgence) 7. อกั โกธะ (ความไมโกรธ คือ ไมก ร้วิ กราดลอุ ํานาจความโกรธ จนเปนเหตุใหว ินจิ ฉัยความ และกระทําการตางๆ ผดิ พลาดเสยี ธรรม มีเมตตาประจาํ ใจไวระงับความเคืองขนุ วนิ ิจฉยั ความ และกระทําการดว ยจติ อนั ราบเรยี บเปนตัวของตนเอง — Akkodha: non-anger; non-fury) 8. อวหิ งิ สา (ความไมเ บยี ดเบยี น คอื ไมบ บี คน้ั กดขี่ เชน เกบ็ ภาษขี ดู รดี หรอื เกณฑแ รงงานเกนิ ขนาด ไมห ลงระเรงิ อาํ นาจ ขาดความกรณุ า หาเหตเุ บยี ดเบยี นลงโทษอาชญาแกป ระชาราษฎรผ ู ใด เพราะอาศยั ความอาฆาตเกลยี ดชงั — Avihi§sà: non-violence; non-oppression) 9. ขันติ (ความอดทน คือ อดทนตอ งานทีต่ รากตราํ ถงึ จะลําบากกายนา เหน่อื ยหนายเพียงไร ก็ไมทอถอย ถงึ จะถูกย่วั ถูกหยันดวยคําเสียดสีถากถางอยางใด กไ็ มหมดกาํ ลังใจ ไมย อมละทิ้ง กรณียทบ่ี าํ เพญ็ โดยชอบธรรม — Khanti: patience; forbearance; tolerance) 10. อวโิ รธนะ (ความไมค ลาดธรรม คอื วางองคเ ปน หลกั หนกั แนน ในธรรม คงทไี่ มม คี วามเอน เอยี งหวนั่ ไหวเพราะถอ ยคาํ ทดี่ รี า ย ลาภสกั การะ หรอื อฏิ ฐารมณ อนฏิ ฐารมณใ ดๆ สถติ มนั่ ในธรรม ทง้ั สว นยตุ ธิ รรม คอื ความเทยี่ งธรรม กด็ ี นติ ธิ รรม คอื ระเบยี บแบบแผนหลกั การปกครอง ตลอด จนขนบธรรมเนยี มประเพณอี นั ดงี าม กด็ ี ไมป ระพฤตใิ หเ คลอื่ นคลาดวบิ ตั ไิ ป — Avirodhana: non- deviation from righteousness; conformity to the law) ราชธรรม 10 นี้ พึงจดจาํ งายๆ โดยคาถาในบาลี ดงั น้ี ทานํ สีลํ ปรจิ ฺจาคํ อาชชฺ วํ มทฺทวํ ตป อกฺโกธํ อวิหึสฺจ ขนฺติฺจ อวโิ รธนํ. J.V.378. ข.ุ ชา.28/240/86.
[327] 242 พจนานุกรมพุทธศาสตร [327] วตั ถุประสงคในการบัญญตั ิพระวินัย 10 (เหตผุ ลที่พระพทุ ธเจาทรงปรารภ หรือประโยชนท่ีทรงประสงค ในการทรงบัญญัติสิกขาบทแกพระสงฆสาวก — Sikkhàpada- pa¤¤atti atthavasa: reasons for laying down the course of training for monks; purposes of monastic legislation) ก. วาดว ยประโยชนแกสงฆห รอื สว นรวม 1. สงฺฆสฏุ ุตาย (เพือ่ ความรับวา ดีแหง สงฆ คอื เพื่อความเรียบรอยดงี ามแหงสงฆ ซึง่ ไดทรง ช้แี จงใหมองเห็นคณุ โทษแหง ความประพฤติน้นั ๆ ชัดเจนแลว จึงทรงบญั ญัติสกิ ขาบทขึน้ ไวโ ดย ความเห็นชอบรวมกัน — for the excellence of the unanimous Order) 2. สงฺฆผาสตุ าย (เพอื่ ความผาสุกแหง สงฆ — for the comfort of the Order) ข. วา ดว ยประโยชนแ กบ ุคคล 3. ทมุ มฺ งกฺ นู ํ ปคุ คฺ ลานํ นคิ คฺ หาย (เพอ่ื ขม บคุ คลผเู กอ ยาก คอื เพอ่ื กาํ ราบคนผดู า น ประพฤติ ทราม — for the control of shameless persons) 4. เปสลานํ ภกิ ขฺ ูนํ ผาสุวหิ าราย (เพ่อื ความอยูผ าสกุ แหง เหลาภกิ ษุผูมีศีลดงี าม — for the living in comfort of well-behaved monks) ค. วาดวยประโยชนแกความบริสทุ ธิ์ หรือแกช วี ิต ท้ังทางกายและทางใจ 5. ทฏิ ธมมฺ กิ านํ อาสวานํ สวํ ราย (เพอื่ ปด กน้ั อาสวะทง้ั หลายอนั จะบงั เกดิ ในปจ จบุ นั คอื เพอ่ื ระวงั ปด ทางความเสอ่ื มเสยี ความทกุ ข ความเดอื ดรอ น ทจ่ี ะมใี นปจ จบุ นั —for the restraint of the cankers in the present; for the prevention of temporal decay and troubles) 6. สมปฺ รายกิ านํ อาสวานํ ปฏฆิ าตาย (เพอ่ื บาํ บดั อาสวะทง้ั หลายอนั จะบงั เกดิ ในอนาคต คอื เพอื่ ปอ งกนั มใิ หเ กดิ ความเสอ่ื มเสยี ความทกุ ขค วามเดอื ดรอ น ทจ่ี ะมมี าในภายหนา หรอื ภพหนา — for warding off the cankers in the hereafter; for protection against spiritual decay and troubles) ง. วา ดวยประโยชนแกประชาชน 7. อปปฺ สนนฺ านํ ปสาทาย (เพอ่ื ความเลอื่ มใสของชมุ ชนทย่ี งั ไมเ ลอ่ื มใส — for the confidence of those who have not yet gained confidence) 8. ปสนฺนานํ ภิยฺโยภาวาย (เพอ่ื ความเล่ือมใสยงิ่ ขน้ึ ไปของชมุ ชนทเ่ี ล่ือมใสแลว — for the increase of the confidence of the confident) จ. วา ดว ยประโยชนแ กพ ระศาสนา 9. สทธฺ มมฺ ฏ ติ ยิ า (เพอื่ ความตง้ั มนั่ แหง สทั ธรรม — for the lastingness of the true doctrine) 10. วนิ ยานคุ คฺ หาย (เพอื่ อนเุ คราะหว นิ ยั คอื ทาํ ใหม บี ทบญั ญตั สิ าํ หรบั ใชเ ปน หลกั เกณฑจ ดั ระเบยี บ ของหมู สนบั สนนุ ความมวี นิ ยั ใหห นกั แนน มน่ั คงยงิ่ ขนึ้ — for the support of the discipline) Vin.III.20; A.V.70. วินย.1/20/37; องฺ.ทสก.24/31/74.
หมวด 10 243 [329] [,,,] วิปสสนาญาณ 10 ดู [311] วปิ ส สนาญาณ 9. [328] วปิ สสนูปกเิ ลส 10 (อุปกิเลสแหง วปิ สสนา, ธรรมารมณท ี่เกิดแกผไู ดตรุณ-วปิ ส สนา หรอื วปิ ส สนาออนๆ ทาํ ใหเ ขา ใจผดิ วาตนบรรลมุ รรคผลแลว เปน เหตขุ ัดขวางใหไมก าวหนาตอ ไปในวปิ สสนาญาณ — Vipassanåpakilesa: imperfections or defilements of insight) 1. โอภาส (แสงสวาง — Obhàsa: illumination; luminous aura) 2. ญาณ (ความหย่ังรู — ¤àõa: knowledge) 3. ปติ (ความอ่มิ ใจ — Pãti: rapture; unprecedented joy) 4. ปสสทั ธิ (ความสงบเยน็ — Passaddhi: tranquillity) 5. สขุ (ความสุขสบายใจ — Sukha: bliss; pleasure) 6. อธิโมกข (ความนอมใจเช่ือ, ศรทั ธาแกกลา , ความปลงใจ — Adhimokkha: fervour; assurance; resolution) 7. ปคคาหะ (ความเพียรท่พี อดี — Paggàha: exertion; well-exerted energy) 8. อุปฏ ฐาน (สติแกกลา, สตชิ ัด — Upaññhàna: established mindfulness) 9. อเุ บกขา (ความมีจิตเปนกลาง — Upekkhà: equanimity) 10. นกิ ันติ (ความพอใจ, ตดิ ใจ — Nikanti: delight) ดู [285] วสิ ทุ ธฺ ิ 7 โดยเฉพาะขอ 5 คือ มคั คามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ Vism.633. วิสุทฺธิ.3/267. [,,,] ศลี 10 ดู [242] ศีล 10. [329] สงั โยชน 101 (กิเลสอันผกู ใจสัตว, ธรรมทม่ี ัดสตั วไวก ับวัฏฏทกุ ข หรือผกู กรรมไวกบั ผล — Sa§yojana: fetters; bondage) ก. โอรมั ภาคยิ สังโยชน 5 (สังโยชนเ บือ้ งต่ํา เปนอยา งหยาบ เปน ไปในภพอันต่ํา — Oram- bhàgiya~: lower fetters) 1. สักกายทิฏฐิ (ความเหน็ วาเปน ตวั ของตน เชน เหน็ รูป เหน็ เวทนา เห็นวิญญาณ เปนตน เปน ตน — Sakkàyadiññhi: personality-view; false view of individuality) 2. วจิ กิ ิจฉา (ความสงสยั , ความลังเล ไมแนใ จ — Vicikicchà: doubt; uncertainty) 3. สลี พั พตปรามาส (ความถอื มน่ั ศลี พรต โดยสกั วา ทาํ ตามๆ กนั ไปอยา งงมงายเหน็ วา จะบรสิ ทุ ธิ์ หลดุ พน ไดเ พยี งดว ยศลี และวตั ร — Sãlabbataparàmàsa: adherence to rules and rituals) 4. กามราคะ (ความกําหนดั ในกาม, ความตดิ ใจในกามคุณ — Kàmaràga: sensual lust) 5. ปฏฆิ ะ (ความกระทบกระทง่ั ในใจ, ความหงดุ หงดิ ขดั เคอื ง — Pañigha: repulsion; irritation) ข. อุทธัมภาคิยสังโยชน 5 (สังโยชนเบือ้ งสงู เปนอยา งละเอียด เปน ไปแมใ นภพอันสงู — Uddhambhàgiya~: higher fetters)
[330] 244 พจนานุกรมพทุ ธศาสตร 6. รปู ราคะ (ความติดใจในอารมณแ หงรูปฌาน หรือในรปู ธรรมอันประณีต, ความปรารถนาใน รปู ภพ — Råparàga: greed for fine-material existence; attachment to realms of form) 7. อรปู ราคะ (ความตดิ ใจในอารมณแ หง อรปู ฌาน หรอื ในอรปู ธรรม, ความปรารถนาในอรปู ภพ — Aråparàga: greed for immaterial existence; attachment to formless realms) 8. มานะ (ความสาํ คญั ตน คอื ถือตนวา เปน นัน่ เปน นี่ — Màna: conceit; pride) 9. อทุ ธัจจะ (ความฟงุ ซา น — Uddhacca: restlessness; distraction) 10. อวชิ ชา (ความไมรูจ ริง, ความหลง — Avijjà: ignorance) สังโยชน 10 ในหมวดน้ี เปน แนวพระสูตร หรือ สตุ ตนั ตนัย แตในบาลีแหงพระสูตรนั้นๆ มี แปลกจากทนี่ ีเ้ ลก็ นอ ย คือ ขอ 4 เปน กามฉันท (ความพอใจในกาม — sensual desire) ขอ 5 เปน พยาบาท (ความขัดเคอื ง, ความคดิ ราย — ill-will) ใจความเหมอื นกนั ลําดับการละสังโยชน 10 น้ี ใหดู [164] มรรค 4. S.V.61; A.V.13; Vbh.377. ส.ํ ม.19/349/90; องฺ.ทสก.24/13/18; อภิ.วิ.35/976–7/509. [330] สังโยชน 102 (ธรรมทีม่ ัดสตั วไวกบั ทุกข — Sa§yojana: fetters; bondage) 1. กามราคะ 2. ปฏฆิ ะ 3. มานะ 4. ทฏิ ฐิ (ความเหน็ ผดิ — Diññhi: false views) 5. วจิ กิ จิ ฉา 6. สลี พั พตปรามาส 7. ภวราคะ (ความตดิ ใจปรารถนาในภพ — Bhavaràga: greed for existence) 8. อสิ สา (ความรษิ ยา — Issà: envy; jealousy) 9. มจั ฉรยิ ะ (ความตระหน่ี — Macchariya: meanness; stinginess) 10. อวชิ ชา สังโยชน 10 ในหมวดน้ี เปน แนวพระอภธิ รรม หรือ อภิธรรมนัย ไดแสดงความหมายไว เฉพาะขอทต่ี า งจากหมวดกอน Vbh.391. อภิ.ว.ิ 35/1029/528. [331] สญั ญา 10 (ความกําหนดหมาย, แนวความคิดความเขาใจ สําหรับใชก าํ หนดพจิ ารณา ในการเจริญกรรมฐาน — Sa¤¤à: perception; contemplation; ideas as objects of meditation) 1. อนจิ จฺ สฺ า (กําหนดหมายความไมเทีย่ งแหง สังขาร — Anicca-sa¤¤à: contemplation on impermanency) 2. อนตฺตสฺ า (กาํ หนดหมายความเปน อนตั ตาแหง ธรรมทงั้ ปวง — Anatta~: contemplation on impersonality) 3. อสภุ สฺา (กาํ หนดหมายความไมง ามแหง กาย — Asubha~: contemplation on foulness or loathsomeness) 4. อาทีนวสฺา (กําหนดหมายโทษทุกขของกายอันมีความเจ็บไขต า งๆ — âdãnava~: contemplation on the disadvantages of the body) 5. ปหานสฺา (กําหนดหมายเพื่อละอกุศลวิตกและบาปธรรมทั้งหลาย — Pahàna~:
หมวด 10 245 [333] contemplation on abandonment or overcoming) 6. วริ าคสฺ า (กาํ หนดหมายวริ าคะวา เปน ธรรมละเอยี ดประณตี — Viràga~: contemplation on detachment) 7. นิโรธสฺ า (กําหนดหมายนิโรธวาเปน ธรรมละเอียดประณตี — Nirodha~: contem- plation on cessation) 8. สพพฺ โลเก อนภริ ตสฺ า (กาํ หนดหมายความไมน า เพลดิ เพลนิ ในโลกทงั้ ปวง — Sabbaloke anabhirata~: contemplation on the non-delightfulness of the whole world) 9. สพพฺ สงขฺ าเรสุ อนฏิ สฺา (กาํ หนดหมายความไมน า ปรารถนาในสงั ขารทง้ั ปวง —Sabba- saïkhàresu aniññha~: contemplation on the non-pleasantness of the whole world) 10. อานาปานสติ (สตกิ ําหนดลมหายใจเขาออก — ànàpànasati: mindfulness of in- and out-breathing) ในขอ 9. อนฏิ สฺ า พระบาลีเดมิ เปน อนจิ จฺ สฺ า บา ง อนจิ ฉฺ าสฺ า บาง. D.III.291; A.V.109. ท.ี ปา.11/473/340; องฺ.ทสก.24/60/116. [332] สัทธรรม 10 (ธรรมอันด,ี ธรรมที่แท, ธรรมของสัตบุรษุ , หลักหรือแกนศาสนา — Saddhamma: true doctrine; essential Dharma) 1.–9. โลกุตตรธรรม 9 (มรรค 4 ผล 4 นพิ พาน 1 — Lokuttara-dhamma: the nine supermundane states, viz., the Four Paths, the Four Fruitions and Nibbàna) 10. ปริยตั ธิ รรม (ธรรมคอื คําส่งั สอนอนั จะตองเลาเรยี น กลา วคือ พทุ ธพจน — Pariyatti- dhamma: the text to be studied, i.e. the words of the Buddha) (ฉบบั อกั ษรโรมนั ยงั ไมไดพ ิมพ) สงฺคห.ฏีกา 65. [333] สมั มตั ตะ 10 (ภาวะทถ่ี กู , ความเปน สงิ่ ทถ่ี กู — Sammatta: rightness; right states) 8 ขอ ตน ตรงกบั องคม รรค 8 ขอ คอื สมั มาทฏิ ฐิ สมั มาสงั กปั ปะ สมั มาวาจา สมั มากมั มนั ตะ สมั มาอาชวี ะ สมั มาวายามะ สมั มาสติ สมั มาสมาธิ และเพม่ิ 2 ขอ คอื 9. สมั มาญาณ (รชู อบ ไดแ ก ผลญาณ และปจ จเวกขณญาณทง้ั 19 ประเภท — Sammà¤àõa: right knowledge; right insight) 10. สมั มาวมิ ตุ ติ (หลดุ พน ชอบ ไดแ ก อรหตั ตผลวมิ ตุ ติ — Sammàvimutti: right deliverance) ธรรมหมวดนี้ เรียกช่ืออีกอยางวา อเสขธรรม (ธรรมของพระอเสขะ — Asekha- dhamma: qualities of the adept) ดู [293] มรรคมีองค 8. D.III.271,292; M.I.42; A.V.212. ที.ปา.11/362/286; 475/342; ม.มู.12/104/75; อง.ฺ ทสก.24/104/226; ม.อ.1/260; อง.ฺ อ.2/319,474,481.
[334] 246 พจนานุกรมพทุ ธศาสตร [334] มจิ ฉตั ตะ 10 (ภาวะทผี่ ดิ , ความเปน สง่ิ ทผ่ี ดิ —Micchatta: wrongness; wrong states) 1. มิจฉาทิฏฐิ (เห็นผิด ไดแก ความเห็นผดิ จากคลองธรรมตามหลักกศุ ลกรรมบถ และความ เห็นทไ่ี มน าํ ไปสคู วามพนทกุ ข — Micchàdiññhi: wrong view) 2. มิจฉาสังกปั ปะ (ดํารผิ ดิ ไดแก ความดาํ รทิ เี่ ปนอกศุ ลทงั้ หลาย ตรงขามจากสัมมาสงั กัปปะ — Micchàsaïkappa: wrong thought) 3. มิจฉาวาจา (วาจาผิด ไดแ ก วจีทจุ รติ 4 — Micchàvàcà: wrong speech) 4. มิจฉากมั มันตะ (กระทาํ ผิด ไดแ ก กายทจุ ริต 3 — Micchàkammanta: wrong action) 5. มจิ ฉาอาชีวะ (เลี้ยงชพี ผิด ไดแ ก เลย้ี งชวี ิตในทางทุจริต — Micchà-àjãva: wrong livelihood) 6. มิจฉาวายามะ (พยายามผิด ไดแ ก ความเพียรตรงขา มกับสมั มาวายามะ — Micchà- vàyàma: wrong effort) 7. มิจฉาสติ (ระลกึ ผดิ ไดแ ก ความระลกึ ถงึ เรือ่ งราวท่ีลว งแลว เชน ระลึกถึงการไดท รพั ย การไดย ศ เปน ตน ในทางอกศุ ล อนั จดั เปนสตเิ ทียม เปน เหตุชักนาํ ใจใหเ กดิ กิเลสมโี ลภะ มานะ อสิ สา มจั ฉรยิ ะ เปน ตน — Micchàsati: wrong mindfulness) 8. มจิ ฉาสมาธิ (ต้งั จิตผดิ ไดแก ตัง้ จติ เพง เลง็ จดจอ ปกใจแนว แนในกามราคะ พยาบาท เปน ตน หรอื เจรญิ สมาธแิ ลว หลงเพลิน ตดิ หมกมนุ ตลอดจนนาํ ไปใชผิดทาง ไมเ ปน ไปเพือ่ ญาณทัสสนะ และความหลุดพน — Micchàsamàdhi: wrong concentration) 9. มจิ ฉาญาณ (รูผดิ ไดแ ก ความหลงผดิ ที่แสดงออกในการคดิ อุบายทาํ ความชวั่ และในการ พิจารณาทบทวนวาความชวั่ นั้นๆ ตนกระทาํ ไดอ ยางดีแลว เปน ตน — Micchà¤àõa: wrong knowledge) 10. มิจฉาวิมุตติ (หลดุ พน ผดิ ไดแก ยังไมถ งึ วิมุตติ สําคัญวาถงึ วิมตุ ติ หรอื สําคัญผิดในสิง่ ทมี่ ิ ใชว มิ ตุ ติวาเปนวมิ ตุ ติ — Micchàvimutti: wrong deliverance) D.III.290; M.I.42; A.V.212. ที.ปา.11/469/337; ม.ม.ู 12/104/76; อง.ฺ ทสก.24/103/226; ม.อ.1/259; วิภงฺค.อ.676. [,,,] อกศุ ลกรรมบถ 10 ดู [321] อกุศลกรรมบถ 10. [335] อนสุ ติ 10 (ความระลกึ ถงึ , อารมณอ นั ควรระลกึ ถงึ เนอื งๆ — Anussati: recollection; constant mindfulness) 1. พทุ ธานุสติ (ระลกึ ถงึ พระพุทธเจา คอื นอ มจติ ระลึกถงึ และพจิ ารณาคุณของพระองค — Buddhànussati: recollection of the Buddha; contemplation on the virtues of the Buddha) 2. ธัมมานุสติ (ระลึกถึงพระธรรม คือ นอมจิตระลึกถึงและพิจารณาคุณของพระธรรม — Dhammànussati: recollection of the Dhamma; contemplation on the virtues of the Doctrine)
หมวด 10 247 [336] 3. สังฆานุสติ (ระลึกถึงพระสงฆ คือ นอมจิตระลึกถึงและพิจารณาคุณของพระสงฆ — Saïghànussati: recollection of the Sangha; contemplation on the virtues of the Order) 4. สลี านสุ ติ (ระลกึ ถงึ ศลี คอื นอ มจติ ราํ ลกึ พจิ ารณาศลี ของตนทไี่ ดป ระพฤตปิ ฏบิ ตั ิ บรสิ ทุ ธิ์ ไม ดา งพรอ ย — Sãlànussati: recollection of morality; contemplation on one’s own morals) 5. จาคานุสติ (ระลึกถึงการบริจาค คอื นอมจติ ระลึกถึงทานทีต่ นไดบริจาคแลว และพิจารณา เห็นคุณธรรมคอื ความเผ่ือแผเสยี สละนี้ที่มใี นตน — Càgànussati: recollection of liberality; contemplation on one’s own liberality) 6. เทวตานุสติ (ระลึกถึงเทวดา คือ นอ มจิตระลกึ ถึงเทวดาท้งั หลายทต่ี นเคยรู และพิจารณา เหน็ คุณธรรมอันทาํ บุคคลใหเปนเทวดาน้นั ๆ ตามท่ีมีอยูในตน — Devatànussati: recollection of deities; contemplation on the virtues which make people become gods as can be found in oneself) 7. มรณสติ (ระลกึ ถงึ ความตายอันจะตอ งมีมาถงึ ตนเปนธรรมดา พิจารณาทจี่ ะใหเกิดความไม ประมาท — Maraõassati: mindfulness of death; contemplation on death) 8. กายคตาสติ (สติอันไปในกาย คอื กําหนดพิจารณากายนี้ ใหเห็นวาประกอบดว ยสว นตา งๆ อันไมสะอาด ไมง าม นารงั เกียจ เปน ทางรูเ ทา ทนั สภาวะของกายน้ี มิใหหลงใหลมวั เมา — Kàyagatà-sati: mindfulness occupied with the body; contemplation on the 32 impure parts of the body) 9. อานาปานสติ (สตกิ าํ หนดลมหายใจเขา ออก — ânàpànasati: mindfulness on breathing) 10. อปุ สมานสุ ติ (ระลกึ ถงึ ธรรมเปน ทส่ี งบ คอื ระลกึ ถงึ และพจิ ารณาคณุ ของพระนพิ พาน อนั เปน ทร่ี ะงบั กเิ ลสและความทกุ ข — Upasamànussati: recollection of peace; contemplation on the virtue of Nibbàna) ดู [354] กรรมฐาน 40. A.I.30,41; Vism.197. อง.ฺ เอก.20/179–180/39–40; 224/54; วิสุทธฺ .ิ 1/251. [,,,] อภิณหปจ จเวกขณ 10 ดู [248] ปพพชติ อภณิ หปจ จเวกขณ 10. [,,,] อเสขธรรม 10 ดู [333] สมั มตั ตะ 10. [336] อสภุ ะ 10 (สภาพอนั ไมง าม, ซากศพในสภาพตา งๆ ซง่ึ ใชเ ปน อารมณแ หง สมถกรรมฐาน — Asubha: ten kinds of foulness; corpses at different stages of decay) 1. อทุ ธมุ าตกะ (ซากศพทเี่ นา พองขน้ึ อดื — Uddhumàtaka: bloated corpse; swollen-up corpse) 2. วนิ ลี กะ (ซากศพทม่ี สี เี ขยี วคลาํ้ คละดว ยสตี า งๆ — Vinãlaka: bluish discoloured corpse; livid corpse) 3. วปิ พุ พกะ (ซากศพท่ีมนี า้ํ เหลอื งไหลเยิม้ อยตู ามท่ที ี่แตกปริออก — Vipubbaka: festering corpse)
[337] 248 พจนานกุ รมพุทธศาสตร 4. วิจฉิททกะ (ซากศพทีข่ าดจากกันเปน 2 ทอน — Vicchiddaka: split or cut up corpse; disjoint corpse) 5. วิกขายติ กะ (ซากศพทถี่ ูกสัตว เชน แรง กา สุนขั จกิ ทึง้ กัดกินแลว — Vikkhàyitaka: gnawed corpse) 6. วิกขิตตกะ (ซากศพที่กระจุยกระจาย มือเทาศีรษะหลุดออกไปขา งๆ — Vikkhittaka: scattered corpse; mangled corpse) 7. หตวิกขิตตกะ (ซากศพท่ีถูกสับฟนบ่ันเปนทอนๆ กระจายออกไป — Hatavikkhittaka: hacked and scattered corpse; mutilated and mangled corpse) 8. โลหติ กะ (ซากศพทีม่ โี ลหิตไหลอาบเร่ยี ราดอยู — Lohitaka: blood-stained corpse; bleeding corpse) 9. ปฬุ วุ กะ (ซากศพที่มหี นอนคลาคลํา่ เตม็ ไปหมด — Puëuvaka: worm-infested corpse) 10. อฏั ฐิกะ (ซากศพท่ียังเหลอื อยูแตร า งกระดกู หรือกระดกู ทอ น — Aññhika: skeleton) ดู [354] กรรมฐาน 40. Vism.178. วสิ ุทธฺ .ิ 1/226. [337] อันตคาหิกทิฏฐิ 10 (ความเห็นอันถอื เอาทส่ี ุด, ความเหน็ ผิดที่แลน ไปสุดโตง ขา งใด ขา งหนึง่ — Antagàhika-diññhi: the ten erroneous extremist views) คอื เหน็ วา 1. โลกเที่ยง (The world is eternal.) 2. โลกไมเ ทยี่ ง (The world is not eternal.) 3. โลกมีที่สุด (The world is finite.) 4. โลกไมมีทีส่ ดุ (The world is infinite.) 5. ชวี ะกอ็ นั นัน้ สรรี ะกอ็ นั น้นั (The soul and the body are identical.) 6. ชวี ะกอ็ ยางหนึ่ง สรีระก็อยางหนึง่ (The soul is one thing and the body is another.) 7. ตถาคตเบอื้ งหนา แตตาย ยอมเปน อกี (The Tathàgata is, after death.) 8. ตถาคตเบอ้ื งหนาแตตาย ยอมไมเ ปนอกี (The Tathàgata is not, after death.) 9. ตถาคตเบือ้ งหนา แตต าย ยอมเปน อีก กใ็ ช ไมเปน อีก ก็ใช (The Tathàgata both is and is not, after death.) 10. ตถาคตเบ้ืองหนา แตต าย ยอมเปน อกี ก็มิใช ยอ มไมเ ปนอกี ก็มิใช (The Tathàgata neither is nor is not, after death.) คําวา ตถาคต ในทนี่ ้ี อรรถกถาบางแหง วาหมายถึง “สตั ว” (เชน ม.อ.3/135; สงคฺ ณี.อ.528) บางแหงวา “อัตตา” หรอื “อาตมนั ” (อุ.อ.430) บางแหงวา “พระพทุ ธเจา ” (ส.ํ อ.3/192) M.I.426; S.IV.392; A.V.193; ม.ม.13/147/143; ส.ํ สฬ.18/788/476; องฺ.ทสก.24/193/206; Ps.I.151; Vbh.392. ขุ.ปฏิ.31/337/226; อภ.ิ ว.ิ 35/1032/529.
อตเิ รกทสกะ — หมวดเกนิ 10 Groups of More Than Ten [338] กรรม 12 (การกระทําที่ประกอบดวยเจตนา ดกี ็ตาม ชั่วก็ตาม, ในทน่ี หี้ มายถึงกรรม ประเภทตา งๆ พรอ มทง้ั หลกั เกณฑเ กยี่ วกบั การใหผ ลของกรรมเหลา นนั้ — Kamma: karma; kamma; action; volitional action) หมวดที่ 1 วาโดยปากกาล คอื จําแนกตามเวลาทใ่ี หผล (classification according to the time of ripening or taking effect) 1. ทฏิ ฐธรรมเวทนยี กรรม (กรรมใหผ ลในปจ จบุ นั คอื ในภพนี้ — Diññhadhamma-vedanãya- kamma: kamma to be experienced here and now; immediately effective kamma) 2. อปุ ปช ชเวทนยี กรรม (กรรมใหผ ลในภพทจี่ ะไปเกดิ คอื ในภพหนา — Upapajja-vedanãya- kamma: kamma to be experienced on rebirth; kamma ripening in the next life) 3. อปราปรยิ เวทนยี กรรม (กรรมใหผ ลในภพตอ ๆ ไป — Aparàpariya-vedanãya-kamma: kamma to be experienced in some subsequent lives; indefinitely effective kamma) 4. อโหสกิ รรม (กรรมเลกิ ใหผ ล ไมม ผี ลอกี — Ahosi-kamma: lapsed or defunct kamma) หมวดที่ 2 วาโดยกจิ คือ จาํ แนกการใหผลตามหนาที่ (classification according to function) 5. ชนกกรรม (กรรมแตงใหเ กดิ , กรรมที่เปน ตวั นําไปเกิด — Janaka-kamma: productive kamma; reproductive kamma) 6. อุปตถัมภกกรรม (กรรมสนบั สนุน, กรรมท่เี ขาชวยสนบั สนนุ หรอื ซาํ้ เตมิ ตอจากชนกกรรม — Upatthambhaka-kamma: supportive kamma; consolidating kamma) 7. อุปปฬกกรรม (กรรมบบี คัน้ , กรรมท่มี าใหผ ล บีบคน้ั ผลแหงชนกกรรมและอุปตถัมภกรรม น้ัน ใหแปรเปลี่ยนทุเลาลงไป บ่ันทอนวิบากมิใหเปนไปไดนาน — Upapãëaka-kamma: obstructive kamma; frustrating kamma) 8. อุปฆาตกรรม (กรรมตดั รอน, กรรมท่แี รง ฝายตรงขามกับชนกกรรมและอุปต ถัมภกกรรม เขาตัดรอนการใหผ ลของกรรมสองอยางน้ัน ใหข าดไปเสยี ทเี ดยี ว เชน เกดิ ในตระกูลสงู มง่ั ค่งั แตอ ายุสน้ั เปน ตน — Upaghàtaka-kamma: destructive kamma; supplanting kamma) หมวดท่ี 3 วาโดยปากทานปริยาย คือ จาํ แนกตามความยักเยื้องหรอื ลาํ ดับความแรงใน การใหผ ล (classification according to the order of ripening) 9. ครกุ กรรม (กรรมหนกั ใหผ ลกอ น ไดแ ก สมาบตั ิ 8 หรอื อนนั ตรยิ กรรม — Garuka-kamma: weighty kamma) 10. พหลุ กรรม หรอื อาจิณณกรรม (กรรมทํามากหรอื กรรมชิน ใหผ ลรองจากครกุ กรรม
[339] 250 พจนานุกรมพทุ ธศาสตร — Bahula-kamma, âciõõa~: habitual kamma) 11. อาสนั นกรรม (กรรมจวนเจียน หรอื กรรมใกลต าย คือกรรมทําเมอื่ จวนจะตายจบั ใจอยู ใหมๆ ถา ไมมี 2 ขอกอน กจ็ ะใหผ ลกอ นอน่ื — âsanna-kamma: death-threshold kamma; proximate kamma) 12. กตัตตากรรม หรือ กตตั ตาวาปนกรรม (กรรมสักวาทาํ , กรรมท่ที ําไวด วยเจตนาอนั ออ น หรือมใิ ชเ จตนาอยางน้นั โดยตรง ตอเมอ่ื ไมมกี รรมอ่ืนใหผลแลวกรรมนจ้ี งึ จะใหผ ล — Katattà-kamma: reserve kamma; casual act) กฏัตตากรรม กเ็ ขยี น กรรม 12 หรือ กรรมสี่ 3 หมวดนี้ มิไดมมี าในบาลีในรปู เชนนโ้ี ดยตรง พระอาจารยสมยั ตอ มา เชน พระพุทธโฆษาจารย เปนตน ไดรวบรวมมาจัดเรียงเปนแบบไวใ นภายหลัง. Vism.601; Comp.144. วิสุทฺธ.ิ 3/223; สงฺคห.28. [339] จกั รวรรดวิ ตั ร 5, 12 (วตั รของพระเจา จกั รพรรด,ิ พระจรยิ าทพี่ ระจกั รพรรดิพงึ ทรง บาํ เพญ็ สมา่ํ เสมอ, ธรรมเนียมการทรงบาํ เพญ็ พระราชกรณียข องพระเจา จกั รพรรดิ, หนาท่ขี อง นกั ปกครองผยู ง่ิ ใหญ — Cakkavatti-vatta: duties of a universal king or a great ruler) 1. ธรรมาธิปไตย (ถือธรรมเปน ใหญ เคารพนับถือบชู ายาํ เกรงธรรม ยึดธรรมเปนหลกั เปน ธงชัย เปนธรรมาธปิ ไตย — Dhammàdhipateyya: supremacy of the law of truth and righteousness; rule of the Dhamma; rule of the true law) (1) และ 2. ธรรมิการักขา (จัดการรักษาปองกันและคุมครองอันชอบธรรมและเปนธรรม — Dhammikàrakkhà: provision of the right watch, ward and protection) ก. อนั โตชน (แกชนภายใน ตัง้ แตพ ระมเหสี โอรส ธดิ า จนถึงผปู ฏิบตั ิราชการในพระองค ทงั้ หมด คอื คนในปกครองสว นตวั ตงั้ แตบ ตุ รธดิ าเปน ตน ไป ดว ยใหก ารบาํ รงุ เลยี้ งอบรม ส่งั สอนเปน ตน ใหอ ยูโดยเรียบรอยสงบสุข และมคี วามเคารพนบั ถือกัน — for one’s own folk) (2) ข. พลกาย (แกก องทัพ คือ ปวงเสนาขา ทหาร, ขา ราชการฝายทหาร — for the army; the armed forces; military personnel) (3) ค. ขัตติยะ (แกกษัตริยทั้งหลายผูอยูในพระบรมเดชานุภาพ, เจาเมืองข้ึน, ปจจุบัน สงเคราะหชนชั้นปกครองและนักบริหารชั้นผูใหญท้ังหลาย, ขาราชการฝายปกครอง — for colonial kings; administrative officers) (4) ง. อนยุ นต (แกผูตามเสดจ็ คือ ราชบรพิ ารทั้งหลาย, ปจ จุบนั ควรสงเคราะหขา ราชการ ฝา ยพลเรือนเขาทง้ั หมด — for the royal dependants; civil servants) (5) จ. พราหมณคฤหบดี (แกชนเจาพิธี เจา ตํารา พอคา เจา ไรเ จานา คอื ครูอาจารย นัก วชิ าการ หมอ พอคา ผปู ระกอบวชิ าชีพตา งๆ และเกษตรกร ดวยชวยจัดหาทุนและ อุปกรณเ ปนตน — for brahmins and householders; the professional, traders and the agricultural) (6)
หมวดเกิน 10 251 [339] ฉ. เนคมชานบท (แกช าวนิคมชนบท คอื ราษฎรทั้งปวงทกุ ทองถิน่ ตลอดถงึ ชายแดนทั่วไป ไมท อดทง้ิ — for town and country dwellers; townsmen and villagers; upcountry people) (7) ช. สมณพราหมณ (แกพ ระสงฆแ ละบรรพชติ ผทู รงศลี ทรงคณุ ธรรม — for the religious) (8) ญ.มคิ ปก ษี (แกมฤคและปกษี คือ สตั วอ ันควรสงวนท้งั หลาย — for beasts and birds) (9) 3. อธรรมการนเิ สธนา (หา มกนั้ มใิ หม กี ารอนั อธรรมเกดิ ขน้ึ ในพระราชอาณาเขต คอื จดั การ ปองกัน แกไข มิใหมีการกระทําความผิดความชั่วรายเดือดรอนเกิดขึ้นในบานเมือง — Adhammakàra-nisedhanà: to let no wrongdoing prevail in the kingdom) (10) 4. ธนานุประทาน (ปน ทรพั ยเ ฉล่ยี ใหแกชนผูไ รท รพั ย มิใหมีคนขัดสนยากไรในแวนแควน — Dhanànuppadàna: to let wealth be given or distributed to the poor) (11) 5. ปรปิ จุ ฉา (ปรกึ ษาสอบถามปญ หากับสมณพราหมณ ผูประพฤติดี ปฏบิ ัตชิ อบ ผไู มป ระมาท มัวเมา อยูเ สมอตามกาลอันควร เพอื่ ใหร ูชัดการอนั ดีช่ัว ควรประกอบหรอื ไม เปนไปเพื่อ ประโยชนสุขหรือไม แลวประพฤติปฏิบัติใหเปนไปโดยถูกตอง ขอนี้ปจจุบันสงเคราะหนัก ปราชญนักวชิ าการผูทรงคุณธรรมเขา ดวย — Paripucchà: to go from time to time to see and seek advice from the men of religious life who maintain high moral standards; to have virtuous counsellors and seek after greater virtue) (12) จักรวรรดิวตั รน้ี มาใน จักกวัตติสตู ร ตามท่มี าท่ีอา ง ในพระบาลี คอื พระไตรปฎก ทานไม ระบจุ าํ นวนขอไว แตน ับตามทีต่ รสั ไว เปนหลกั การทีย่ ึดถือหน่งึ ขอ และหลกั ปฏิบตั ิ 4 ขอ จงึ รวมเปน 5 ขอ อยางไรก็ดี ขอยอ ยทีแ่ ยกออกไปจากขอ 2 (ธรรมกิ ารกั ขา) แตละอยาง ในชัน้ อรรถกถาคงเห็นวา มีความสําคัญมาก และมีรายละเอียดวิธีปฏิบตั ิจาํ เพาะตางกันออกไป จึงจดั เปน วตั รแตล ะขอ เทากนั หมด นับได 12 ขอ ตามตัวเลขในวงเล็บขา งหลัง แตในอรรถกถาแหง พระสตู รน้เี อง (ที.อ.3/46) ทา นจัดตางออกไปดังน้ี 1. อนฺโตชนสฺมึ พลกายสฺมึ (สงเคราะหช นภายใน และพลกายกองทหาร) 2. ขตฺตเิ ยสุ (สงเคราะหก ษัตรยิ เมอื งข้นึ ท้ังหลาย) 3. อนุยนฺเตสุ (สงเคราะหเหลาเชื้อพระวงศ ผูตามเสดจ็ เปนราชบริพาร) 4. พฺราหฺมณคหปติเกสุ (คมุ ครองพราหมณแ ละคฤหบดที ง้ั หลาย) 5. เนคมชานปเทสุ (คมุ ครองชาวราษฎรพ้นื เมืองท้งั หลาย) 6. สมณพรฺ าหฺมเณสุ (คุมครองเหลาสมณพราหมณ) 7. มิคปกฺขสี ุ (คุมครองเน้อื นกทเ่ี อาไวส ืบพันธุ) 8. อธมฺมการปฏกิ เฺ ขโป (หา มปรามมใิ หมกี ารประพฤติการอันผิดธรรม)
[340] 252 พจนานกุ รมพุทธศาสตร 9. อธนานํ ธนานปุ ปฺ ทาน (ทํานบุ ํารงุ ผูข ดั สนไรทรัพย) 10. สมณพรฺ าหมฺ เณ อปุ สงกฺ มติ วฺ า ปหฺ าปจุ ฉฺ น (เขา ไปหาและสอบถามปญ หากะสมณพราหมณ) 11. อธมฺมราคสฺส ปหาน (เวนความกาํ หนัดในกามโดยอาการไมเปน ธรรม) 12. วิสมโลภสฺส ปหาน (เวน โลภกลา ไมเลอื กควรไมควร) ท่ีจํากันมาสวนมาก ก็ถือตามนัยอรรถกถานี้ อยางไรก็ดี ตามนัยนี้ ทานไมนับขอ ธรรมาธปิ ไตย เขา ในจาํ นวน 12 ขอ และเพมิ่ ขอ 11, 12 เขามาใหม ซึ่งไมม มี าในบาลีเดิม (ขอ 11, 12 นี้ โดยเหตผุ ลนา จะมอี ยูแลว ในหลักทศพิธราชธรรม) ดู [326] ราชธรรม 10 ดวย. D.III.61. ท.ี ปา.11/35/65. [340] ปฏิจจสมุปบาท มอี งคห รอื หวั ขอ 12 (การเกิดข้ึนพรอ มแหง ธรรมทั้งหลาย เพราะ อาศยั กัน, ธรรมทีอ่ าศัยกันเกิดข้ึนพรอ ม, การที่สง่ิ ท้งั หลายอาศัยกันๆ จึงเกดิ มีขน้ึ — Pañicca- samuppàda: the Dependent Origination; conditioned arising) 1.–2. อวชิ ฺชาปจจฺ ยา สงฺขารา เพราะ อวิชชา เปน ปจจยั สงั ขาร จึงมี (Dependent on Ignorance arise Kamma-Formations.) 3. สงขฺ ารปจจฺ ยา วิ ฺาณํ เพราะสงั ขารเปน ปจ จัย วญิ ญาณ จึงมี (Dependent on Kamma-Farmations arises Consciousness.) 4. วิฺ าณปจฺจยา นามรปู เพราะวิญญาณเปนปจ จยั นามรปู จงึ มี (Dependent on Consciousness arise Mind and Matter.) 5. นามรูปปจฺจยา สฬายตนํ เพราะนามรปู เปน ปจ จยั สฬายตนะ จงึ มี (Dependent on Mind and Matter arise the Six Sense-Bases.) 6. สฬายตนปจจฺ ยา ผสฺโส เพราะสฬายตนะเปน ปจจัย ผสั สะ จงึ มี (Dependent on the Six Sense-Bases arises Contact.) 7. ผสฺสปจฺจยา เวทนา เพราะผสั สะเปนปจจัย เวทนา จงึ มี (Dependent on Contact arises Feeling.) 8. เวทนาปจจฺ ยา ตณฺหา เพราะเวทนาเปนปจ จยั ตณั หา จงึ มี (Dependent on Feeling arises Craving.) 9. ตณฺหาปจจฺ ยา อปุ าทานํ เพราะตณั หาเปนปจจยั อุปาทาน จึงมี (Dependent on Craving arises Clinging.) 10. อปุ าทานปจฺจยา ภโว เพราะอปุ าทานเปน ปจ จยั ภพ จงึ มี (Dependent on Clinging arises Becoming.) 11. ภวปจจฺ ยา ชาติ เพราะภพเปนปจ จยั ชาติ จงึ มี (Dependent on Becoming arises Birth.)
หมวดเกนิ 10 253 [340] 12. ชาตปิ จจฺ ยา ชรามรณํ เพราะชาตเิ ปน ปจจัย ชรามรณะ จึงมี (Dependent on Birth arise Decay and Death.) โสกปริเทวทุกขฺ โทมนสสฺ ปุ ายาสา สมภฺ วนฺติ ความโศก ความครา่ํ ครวญ ทุกข โทมนสั และความคับแคนใจ กม็ พี รอ ม (There also arise sorrow, lamentation, pain, grief and despair.) เอวเมตสสฺ เกวลสฺส ทุกฺขกฺขนธฺ สสฺ สมทุ โย โหติ. ความเกดิ ขึ้นแหง กองทกุ ขท ั้งปวงน้ี จึงมีดวยประการฉะน้ี (Thus arises this whole mass of suffering.) แสดงตามลําดบั จากตนไปหาปลายอยางน้ี เรียกวา อนุโลมเทศนา (teaching in forward order) ถา แสดงยอ นกลับจากปลายมาหาตน วา ชรามรณะเปนตน มเี พราะชาติเปน ปจจัย ชาติมเี พราะภพเปน ปจจัย ฯลฯ สงั ขารมเี พราะอวชิ ชาเปน ปจ จยั เรียกวา ปฏิโลมเทศนา (teaching in backward order) องค (factors) หรอื หัวขอ 12 นั้น มคี วามหมายโดยสงั เขป ดงั น้ี 1. อวิชชา (Avijjà: ignorance) ความไมร ู คอื ไมร ใู นอรยิ สจั จ 4 หรือตามนัยอภธิ รรมวา อวิชชา 8 ดู [208] อวชิ ชา 4; [209] อวชิ ชา 8 2. สังขาร (Saïkhàra: kamma-formations) สภาพทป่ี รงุ แตง ไดแก [120] สงั ขาร 3 2 หรือ [129] อภสิ ังขาร 3 3. วญิ ญาณ (Vi¤¤àõa: consciousness) ความรูแจงอารมณ ไดแ ก [268] วญิ ญาณ 6 4. นามรปู (Nàma-råpa: mind and matter) นามและรูป ไดแก เวทนา สัญญา เจตนา ผสั สะ มนสิการ หรือตามนยั อภิธรรมวา นามขันธ 3 + รปู ดู [216] ขันธ 5 (ขอ 2, 3, 4) [38–41] รปู 2, 28 5. สฬายตนะ (Saëàyatana: six sense-bases) อายตนะ 6 ไดแก [276] อายตนะภายใน 6 6. ผสั สะ (Phassa: contact) ความกระทบ, ความประจวบ ไดแก [272] สัมผสั 6 7. เวทนา (Vedanà: feeling) ความเสวยอารมณ ไดแ ก [113] เวทนา 6 8. ตณั หา (Taõhà: craving) ความทะยานอยาก ไดแก ตัณหา 6 มีรูปตัณหา เปนตน (ตัณหา ในรูป ในเสียง ในกล่ิน ในรส ในสัมผัสทางกาย และในธรรมารมณ) ดู [74] ตณั หา 3 ดวย 9. อปุ าทาน (Upàdàna: clinging; attachment) ความยึดมั่น ไดแก [214] อปุ าทาน 4 10. ภพ (Bhava: becoming) ภาวะชวี ติ ไดแ ก [98] ภพ 3 อกี นยั หนงึ่ วา ไดแ ก กรรมภพ (ภพ คอื กรรม — active process of becoming ตรงกบั [129] อภสิ งั ขาร 3) กบั อปุ ปต ตภิ พ (ภพคอื ทอี่ บุ ตั ิ — rebirth-process of becoming ตรงกบั [98] ภพ 3) 11. ชาติ (Jàti: birth) ความเกดิ ไดแก ความปรากฏแหงขันธท ัง้ หลาย การไดอายตนะ 12. ชรามรณะ (Jarà-maraõa: decay and death) ความแกแ ละความตาย ไดแ ก ชรา (ความ
[340] 254 พจนานกุ รมพุทธศาสตร เสอื่ มอาย,ุ ความหงอ มอนิ ทรยี ) กบั มรณะ (ความสลายแหง ขนั ธ, ความขาดชวี ติ นิ ทรยี ) ทง้ั 12 ขอ เปน ปจ จยั ตอ เนอ่ื งกนั ไป หมนุ เวยี นเปน วงจร ไมม ตี น ไมม ปี ลาย เรยี กวา ภวจกั ร (วงลอ หรอื วงจรแหง ภพ — Bhava-cakka: wheel of existence) และมขี อ ควรทราบเกยี่ วกบั ภวจกั รอกี ดงั น้ี ก.อทั ธา 3 (Addhà: periods; times) คอื กาล 3 ไดแก 1) อดตี = อวชิ ชา สังขาร 2) ปจจุบัน = วญิ ญาณ นามรปู สฬายตนะ ผสั สะ เวทนา ตณั หา อปุ าทาน ภพ 3) อนาคต = ชาติ ชรา มรณะ (+ โสกะ ฯลฯ) ข. สังเขป หรอื สงั คหะ 4 (Saïkhepa, Saïgaha: sections; divisions) คอื ชว ง หมวด หรอื กลุม 4 ไดแ ก 1) อดีตเหตุ = อวิชชา สงั ขาร 2) ปจจบุ นั ผล = วญิ ญาณ นามรปู สฬายตนะ ผสั สะ เวทนา 3) ปจจบุ นั เหตุ = ตณั หา อุปาทาน ภพ 4) อนาคตผล = ชาติ ชรามรณะ (+ โสกะ ฯลฯ) ค. สนธิ 3 (Sandhi: links; connection) คือ ข้วั ตอ ระหวางสงั เขปหรอื ชว งท้งั 4 ไดแ ก 1) ระหวา ง อดีตเหตุ กบั ปจ จุบันผล 2) ระหวา ง ปจ จบุ ันผล กับ ปจจุบันเหตุ 3) ระหวาง ปจจุบันเหตุ กบั อนาคตผล ง. วัฏฏะ 3 ดู [105] วฏั ฏะ 3 จ. อาการ 20 (âkàra: modes; spokes; qualities) คือ องคประกอบแตล ะอยา ง อนั เปน ดุจ กาํ ของลอ จาํ แนกตามสว นเหตุ (causes) และสว นผล (effects) ไดแก 1) อดีตเหตุ 5 = อวชิ ชา สังขาร ตณั หา อปุ าทาน ภพ 2) ปจ จบุ ันผล 5 = วญิ ญาณ นามรูป สฬายตนะ ผสั สะ เวทนา 3) ปจจุบนั เหตุ 5 = อวิชชา สงั ขาร ตัณหา อุปาทาน ภพ 4) อนาคตผล 5 = วญิ ญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา อาการ 20 นี้ ก็คอื หวั ขอ ท่กี ระจายใหเ ตม็ ในทกุ ชวงของสงั เขป 4 นน่ั เอง ฉ. มลู 2 (Måla: roots) คอื กิเลสทเ่ี ปนตัวมูลเหตุ ซงึ่ กาํ หนดเปน จดุ เรม่ิ ตนในวงจรแตล ะชว ง ไดแ ก 1) อวิชชา เปน จดุ เริ่มตนในชว งอดตี สง ผลถึงเวทนาในชว งปจ จบุ ัน 2) ตณั หา เปน จดุ เริ่มตน ในชว งปจจบุ นั สง ผลถงึ ชรามรณะในชว งอนาคต พงึ สงั เกตดวยวา การกลาวถึงสวนประกอบของภวจกั รตามขอ ก. ถงึ ฉ. นี้ เปน คําอธบิ าย
หมวดเกนิ 10 255 [340] ในคัมภรี ร นุ หลัง เชน อภธิ มั มตั ถสังคหะ เปนตน การแสดงหลกั ปฏจิ จสมปุ บาท ใหเ หน็ ความเกดิ ขนึ้ แหง ธรรมตา งๆ โดยอาศยั ปจ จยั สบื ทอด กนั ไปอยา งนี้ เปน สมทุ ยวาร คอื ฝา ยสมทุ ยั ใชเ ปน คาํ อธบิ ายอรยิ สจั จข อ ที่ 2 (สมทุ ยั สจั จ) คอื แสดงใหเ หน็ ความเกดิ ขนึ้ แหง ทกุ ข ปฏจิ จสมปุ บาททแ่ี สดงแบบน้ี เรยี กวา อนโุ ลมปฏจิ จสมปุ บาท (direct Dependent Origination) การแสดงในทางตรงขามกับขางตนน้ี เปน นิโรธวาร คอื ฝายนิโรธ ใชอธบิ ายอริยสัจจขอท่ี 3 (นิโรธสัจจ) เรยี กวา ปฏิโลมปฏจิ จสมปุ บาท (reverse Dependent Origination ซ่ึงความ จริงก็คือ Dependent Extinction น่นั เอง) แสดงใหเ ห็นความดับไปแหงทกุ ข ดวยอาศัยความ ดับไปแหงปจ จยั ท้งั หลายสืบทอดกันไป ตัวบทของปฏจิ จสมปุ บาทแบบปฏโิ ลมน้ี พึงเทยี บจาก แบบอนุโลมน่นั เอง เชน 1.–2. อวิชชฺ าย เตวฺ ว อเสสวิราคนิโรธา สงขฺ ารนิโรโธ เพราะอวชิ ชาสาํ รอกดับไปไมเหลอื สังขารจึงดับ (Through the total fading away and cessation of ignorance, cease kamma- formations.) 3. สงขฺ ารนโิ รธา วิฺ าณนโิ รโธ เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดบั (Through the cessation of kamma-formations, ceases consciousness.) ฯลฯ 12. ชาตนิ ิโรธา ชรามรณํ เพราะชาติดบั ชรามรณะ (จงึ ดบั ) (Through the cessation of birth, cease decay and death.) โสกปรเิ ทวทุกขฺ โทมนสสฺ ปุ ายาสา นิรชุ ฺฌนตฺ ิ ความโศก ความครา่ํ ครวญ ทกุ ข โทมนัส ความคับแคนใจ กด็ ับ (Also cease sorrow, lamentation, pain, grief and despair.) เอวเมตสฺส เกวลสฺส ทกุ ขฺ กขฺ นฺธสสฺ นโิ รโธ โหต.ิ ความดับแหง กองทกุ ขทง้ั ปวงน้ี ยอ มมีดว ยประการฉะนี้ (Thus comes about the cessation of this whole mass of suffering.) นีเ้ ปน อนุโลมเทศนา ของปฏโิ ลมปฏจิ จสมุปบาท สว น ปฏิโลมเทศนา ก็พงึ แสดงยอนวา ชรามรณะ เปน ตน ดับ เพราะชาติดับ ชาติดบั เพราะภพดบั ฯลฯ สงั ขารดับเพราะอวิชชาดบั อยางเดียวกบั ในอนุโลมปฏิจจสมุปบาท ปฏจิ จสมปุ บาทน้ี มชี อ่ื เรยี กอยา งอนื่ อกี ทส่ี าํ คญั คอื อทิ ปั ปจ จยตา (ภาวะทมี่ อี นั นๆี้ เปน ปจ จยั — Idappaccayatà: specific conditionality) ธรรมนยิ าม (ความเปน ไปอนั แนน อนแหง ธรรมดา, กฎธรรมชาติ — Dhammaniyàma: orderliness of nature; natural law) และ ปจ จยาการ (อาการทสี่ ง่ิ ทงั้ หลายเปน ปจ จยั แกก นั — Paccayàkàra: mode of conditionality; structure
[341] 256 พจนานุกรมพุทธศาสตร of conditions) เฉพาะชอ่ื หลงั นเ้ี ปน คาํ ทนี่ ยิ มใชใ นคมั ภรี อ ภธิ รรม และคมั ภรี ร นุ อรรถกถา. Vin.I.1; S.II.1; Vbh.135; Vism.517; Comp.188 วินย.4/1/1; ส.ํ นิ.16/1/1; อภ.ิ ว.ิ 35/274/185; วสิ ุทฺธิ.3/107; สงฺคห.45. [,,,] ปจจยาการ 12 ดู [340] ปฏิจจสมุปบาท. [,,,] สนั โดษ 12 ดู [122] สนั โดษ 3, 12 [341] อายตนะ 12 (ส่งิ ท่ีเชอ่ื มตอ กันใหเกิดความรู, แดนตอหรอื แดนเกิดแหง ความรู — âyatana: sense-fields; sense-spheres) 1. อายตนะภายใน 6 ดู [276] อายตนะภายใน 6. 2. อายตนะภายนอก 6 ดู [277] อายตนะภายนอก 6. Vbh.70. อภ.ิ ว.ิ 35/99/85. [342] ธดุ งค 13 (องคค ณุ เครอ่ื งสลัดหรือกําจดั กเิ ลส, ขอปฏิบัติประเภทวตั รท่ีผูส มคั รใจจะพงึ สมาทานประพฤตไิ ด เพ่ือเปน อบุ ายขัดเกลากิเลส ชวยสงเสรมิ ความมักนอยและสนั โดษเปนตน — Dhutaïga: means of shaking off or removing defilements; austere practices; ascetic practices) หมวดที่ 1 จีวรปฏิสังยุตต (เกยี่ วกับจวี ร — connected with robes) 1. ปงสกุ ลู ิกงั คะ (องคแหงผถู ือทรงผาบงั สกุ ลุ เปนวัตร คําสมาทานโดยอธษิ ฐานใจหรือเปลง วาจาวา “คหปติจีวรํ ปฏิกฺขิปามิ, ปส ุกูลกิ งฺคํ สมาทิยามิ” แปลวา “เรางดคฤหบดีจีวร สมาทาน องคแหง ผู— ” — Pa§sukålikaïga: refuse-rag-wearer’s practice) 2. เตจวี รกิ งั คะ (องคแ หง ผถู อื ทรงเพยี งไตรจวี รเปน วตั ร คาํ สมาทานวา “จตตุ ถฺ จวี รํ ปฏกิ ขฺ ิปามิ, เตจวี รกิ งคฺ ํ สมาทยิ าม”ิ แปลวา “ขา พเจา งดจวี รผนื ที่ 4 สมาทานองคแ หง ผ—ู ” —Tecãvarikaïga: triple-robe-wearer’s practice) หมวดที่ 2 ปณฑปาตปฏิสงั ยุตต (เก่ยี วกับบณิ ฑบาต — connected with almsfood) 3. ปณฑปาติกังคะ (องคแหงผูถือเท่ียวบิณฑบาตเปนวัตร คําสมาทานวา “อติเรกลาภํ ปฏกิ ฺขปิ ามิ, ปณ ฑฺ ปาตกิ งคฺ ํ สมาทยิ าม”ิ แปลวา “ขาพเจา งดอติเรกลาภ สมาทานองคแ หง ผู—” — Piõóapàtikaïga: alms-food-eater’s practice) 4. สปทานจาริกังคะ (องคแหงผูถือเท่ียวบิณฑบาตไปตามลําดับเปนวัตร คําสมาทานวา “โลลปุ ปฺ จารํ ปฏิกฺขิปามิ, สปทานจารกิ งคฺ ํ สมาทิยาม”ิ แปลวา “ขา พเจา งดการเท่ียวตามใจ อยาก สมาทานองคแหงผู— ” — Sapadànacàrikaïga: house-to-house-seeker’s practice) 5. เอกาสนิกงั คะ (องคแ หง ผูถ ือนงั่ ฉัน ณ อาสนะเดยี วเปนวัตร คอื ฉนั วันละมื้อเดยี ว ลุกจาก ท่แี ลว ไมฉ ันอีก คาํ สมาทานวา “นานาสนโภชนํ ปฏกิ ขฺ ปิ ามิ, เอกาสนิกงคฺ ํ สมาทยิ ามิ” แปลวา “ขา พเจา งดการฉนั ณ ตา งอาสนะ สมาทานองคแ หง ผ—ู ” — Ekàsanikaïga: one-sessioner’s
หมวดเกนิ 10 257 [342] practice) 6. ปตตปณ ฑกิ ังคะ (องคแหง ผูถ ือฉนั เฉพาะในบาตรเปนวัตร คอื ไมใชภ าชนะใสอาหารเกนิ 1 อยางคอื บาตร คาํ สมาทานวา “ทุตยิ ภาชนํ ปฏกิ ขฺ ิปาม,ิ ปตฺตปณ ฺฑกิ งฺคํ สมาทยิ าม”ิ แปลวา “ขาพเจา งดภาชนะที่สอง สมาทานองคแ หง ผ—ู ” — Pattapiõóikaïga: bowl-food-eater’s practice) 7. ขลปุ จ ฉาภตั ตกิ งั คะ (องคแ หง ผถู อื หา มภตั ทถ่ี วายภายหลงั เปน วตั ร คอื เมอื่ ไดป ลงใจกาํ หนด อาหารทเ่ี ปน สว นของตน ซงึ่ เรยี กวา หา มภตั ดว ยการลงมอื ฉนั เปน ตน แลว ไมร บั อาหารทเี่ ขานาํ มาถวายอกี แมจ ะเปน ของประณตี คาํ สมาทานวา “อตริ ติ ตฺ โภชนํ ปฏกิ ขฺ ปิ าม,ิ ขลปุ จฉฺ าภตตฺ กิ งคฺ ํ สมาทยิ าม”ิ แปลวา “ขา พเจา งดโภชนะอนั เหลอื เฟอ สมาทานองคแ หง ผ—ู ” — Khalupacchà- bhattikaïga: later-food-refuser’s practice) หมวดท่ี 3 เสนาสนปฏสิ งั ยตุ ต (เกย่ี วกบั เสนาสนะ — connected with the resting place) 8. อารัญญกิ ังคะ (องคแหงผูถืออยปู าเปนวตั ร อยูหางบานคนอยางนอ ย 500 ช่ัวธนู คอื 25 เสน คําสมาทานวา “คามนตฺ เสนาสนํ ปฏกิ ฺขปิ ามิ, อารฺ ิกงฺคํ สมาทยิ าม”ิ แปลวา “ขาพเจา งดเสนาสนะชายบา น สมาทานองคแ หง ผ—ู ” — âra¤¤ikaïga: forest-dweller’s practice) 9. รกุ ขมลู กิ งั คะ (องคแ หง ผถู อื อยโู คนไมเ ปน วตั ร คาํ สมาทานวา “ฉนนฺ ํ ปฏกิ ขฺ ปิ าม,ิ รกุ ขฺ มลู กิ งคฺ ํ สมาทยิ าม”ิ แปลวา “ขา พเจา งดทมี่ งุ บงั สมาทานองคแ หง ผ—ู ” — Rukkhamålikaïga: tree- root-dweller’s practice) 10. อัพโภกาสิกงั คะ (องคแหงผถู ืออยทู แ่ี จงเปนวัตร คําสมาทานวา “ฉนฺนจฺ รุกฺขมลู ฺจ ปฏิกขฺ ิปามิ, อพโฺ ภกาสกิ งฺคํ สมาทิยาม”ิ แปลวา “ขาพเจางดทมี่ ุงบังและโคนไม สมาทานองค แหงผู—” — Abbhokàsikaïga: open-air-dweller’s practice) 11. โสสานิกังคะ (องคแหงผูถืออยูปาชาเปนวัตร คําสมาทานวา “อสุสานํ ปฏิกฺขิปามิ, โสสานิกงฺคํ สมาทยิ าม”ิ แปลวา “ขาพเจา งดที่มิใชป า ชา สมาทานองคแ หงผ—ู ” — Sosàni- kaïga: charnel-ground-dweller’s practice) 12. ยถาสนั ถตกิ งั คะ (องคแ หง ผถู อื อยใู นเสนาสนะแลว แตเ ขาจดั ให คาํ สมาทานวา “เสนา สน-โลลปุ ปฺ ปฏกิ ขฺ ปิ าม,ิ ยถาสนถฺ ตกิ งคฺ ํ สมาทยิ าม”ิ แปลวา “ขา พเจา งดความอยากเอาแตใ จใน เสนาสนะ สมาทานองคแ หงผ—ู ” — Yathàsanthatikaïga: any-bed-user’s practice) หมวดที่ 4 วริ ยิ ปฏสิ ังยุตต (เกย่ี วกบั ความเพียร — connected with energy) 13. เนสัชชิกังคะ (องคแหง ผูถอื การน่ังเปน วตั ร คอื เวนนอน อยูดวยเพียง 3 อิรยิ าบถ คํา สมาทานวา “เสยฺยํ ปฏกิ ฺขปิ าม,ิ เนสชฺชกิ งคฺ ํ สมาทยิ ามิ” แปลวา “ขาพเจางดการนอน สมาทาน องคแ หงผู—” — Nesajjikaïga: sitter’s practice) ขอ ควรทราบเพม่ิ เติมเก่ยี วกับธุดงค 13 ก. โดยยอ ธุดงคมี 8 ขอ เทา น้ัน คือ 1) องคห ลกั 3 (สีสงั คะ — principal practices) คอื สปทานจารกิ งั คะ (เทา กบั ไดรกั ษา
[343] 258 พจนานกุ รมพุทธศาสตร ปณ ฑปาตกิ งั คะดว ย) เอกาสนกิ งั คะ (เทา กบั ไดร กั ษาปต ตปณ ฑกิ งั คะ และขลปุ จ ฉาภตั ตกิ งั คะ ดวย) และอัพโภกาสิกังคะ (ทาํ ใหร ุกขมลู ิกงั คะ กับยถาสันถติกงั คะ หมดความจาํ เปน ) 2) องคเ ดย่ี วไมค าบเกยี่ วขอ อน่ื 5 (อสมั ภนิ นงั คะ — individual practices) คอื อารญั ญกิ งั คะ ปง สกุ ลู กิ งั คะ เตจวี รกิ งั คะ เนสชั ชกิ งั คะ และโสสานกิ งั คะ ข. โดยนสิ สยั คอื ทอ่ี าศยั (dependence) มี 2 คอื ปจ จยั นสิ ติ 12 (อาศยั ปจ จยั — dependent on requisites) กบั วิรยิ นสิ ติ 1 (อาศัยความเพียร — dependent on energy) ค. โดยบคุ คลผูถอื 1) ภกิ ษุ ถือไดท งั้ 13 ขอ 2) ภิกษณุ ี ถอื ได 8 ขอ (คือ ขอ 1, 2, 3, 4, 5, 6, 12, 13) 3) สามเณร ถอื ได 12 ขอ (คือเวนขอ 2 เตจวี ริกังคะ) 4) สิกขมานาและสามเณรี ถือได 7 ขอ (คอื ลดขอ 2 ออกจากทภี่ กิ ษุณีถอื ได) 5) อบุ าสกอบุ าสิกา ถือได 2 ขอ (คอื ขอ 5 และ 6) ง. โดยระดบั การถือ แตล ะขอ ถอื ได 3 ระดับ คอื 1) อยางอกุ ฤษฎ หรอื อยา งเครง เชน ผถู อื อยูปา ตองใหไดอ รุณในปา ตลอดไป 2) อยางมัธยม หรอื อยา งกลาง เชน ผถู อื อยปู า อยใู นเสนาสนะชายบา นตลอดฤดฝู น 4 เดอื น ท่เี หลอื อยปู า 3) อยา งออ น หรอื อยา งเพลา เชน ผถู อื อยปู า อยใู นเสนาสนะชายบา นตลอดฤดฝู นและหนาว รวม 8 เดือน จ. ขอ 9 และ 10 คอื รกุ ขมลู ิกงั คะ และอัพโภกาสกิ ังคะ ถอื ไดเฉพาะนอกพรรษา เพราะวินยั กําหนดใหตอ งถือเสนาสนะในพรรษา ฉ. ธดุ งคไ มใชบ ทบัญญตั ิทางวนิ ยั ขน้ึ กับความสมคั รใจ มหี ลกั ทัว่ ไปในการถือวา ถาถอื แลว ชว ย ใหกรรมฐานเจริญ หรอื ชวยใหกศุ ลธรรมเจรญิ อกศุ ลธรรมเสื่อม ควรถือ ถา ถอื แลว ทาํ ให กรรมฐานเสอื่ ม หรือทาํ ใหกุศลธรรมเส่อื ม อกศุ ลธรรมเจริญ ไมค วรถอื สวนผทู ่ถี อื หรือไม ถือ กไ็ มทาํ ใหกรรมฐานเจรญิ หรือเสอ่ื ม เชน เปนพระอรหนั ตแ ลว อยางพระมหากสั สปะ เปนตน หรอื คนอืน่ ๆ กต็ าม ควรถือได ฝา ยแรกควรถือในเม่ือคิดจะอนุเคราะหชมุ ชนในภาย หลัง ฝา ยหลงั เพอ่ื เปน วาสนาตอไป ช. ธุดงคทีม่ าในบาลีเดิม ไมพบครบจาํ นวนในท่เี ดียว (ที่พบจาํ นวนมาก คือ ม.อ.ุ 14/186/138; M.III.40 มีขอ 1, 3, 5, 8, 9, 10, 11, 12, 13; องฺ.ทสก.24/181/245; A.V.219 มีขอ 1, 5, 6, 7, 8, 9, 10, 11, 12, 13; ข.ุ ม.29/918/584; Nd1188 มีขอ 1, 2, 3, 4, 7, 8, 12, 13) นอกจากคัมภรี ป ริวาร (วินย.8/982/330; 1192/475; Vin.V.131,198) ซง่ึ มีหัวขอครบถว น สวนคําอธบิ ายทั้งหมดพึงดใู นคมั ภีรวิสทุ ธิมคั ค. Vism.59–83. วสิ ุทธฺ ิ.1/73–104. [343] กจิ หรอื วญิ ญาณกจิ 14 (กจิ ของวญิ ญาณ, หนา ทข่ี องจติ — Vi¤¤àõa-kicca:
หมวดเกิน 10 259 [344] functions of consciousness; psychic functions) 1. ปฏิสนธิ (หนาที่สืบตอภพใหม ไดแ กจ ิต 19 คือ อเุ บกขาสันตีรณะ 2 มหาวบิ าก 8 รูปวบิ าก 5 อรปู วิบาก 4 — Pañisandhi: re-linking; rebirth-linking) 2. ภวงั คะ (หนาที่เปน องคข องภพ ไดแกจ ิต 19 อยางเดียวกบั ปฏสิ นธิ — Bhavaïga: life- continuum; factor of being) 3. อาวชั ชนะ (หนา ที่คาํ นึงอารมณใ หม ไดแ ก จิต 2 คอื ปญจทวาราวชั ชนะ และมโนทวารา- วชั ชนะ — âvajjana: apprehending; adverting) 4. ทัสสนะ (หนา ทเ่ี ห็นรปู ไดแ ก จกั ขุวญิ ญาณ 2 — Dassana: seeing) 5. สวนะ (หนาทไ่ี ดยนิ เสยี ง ไดแก โสตวญิ ญาณ 2 — Savana: hearing) 6. ฆายนะ (หนา ท่ีรกู ล่นิ ไดแก ฆานวญิ ญาณ 2 — Ghàyana: smelling) 7. สายนะ (หนาทลี่ ้ิมรส ไดแ ก ชวิ หาวญิ ญาณ 2 — Sàyana: tasting) 8. ผสุ นะ (หนา ทถี่ กู ตอ งโผฏฐพั พะ ไดแ ก กายวญิ ญาณ 2 — Phusana: contacting; touching) 9. สมั ปฏจิ ฉนะ (หนา ทรี่ ับอารมณ ไดแ ก สมั ปฏจิ ฉนะ 2 — Sampañicchana: receiving) 10. สันตีรณะ (หนา ทพ่ี จิ ารณาอารมณ ไดแ ก สันตรี ณะ 3 — Santãraõa: investigating) 11. โวฏฐพั พนะ หรอื โวฏฐปนะ (หนา ทตี่ ดั สนิ อารมณ ไดแ ก มโนทวาราวชั ชนะ 1 — Voññhapana: determining) 12. ชวนะ (หนา ทแ่ี ลน เสพอารมณ อนั เปน ชว งทที่ าํ กรรม ไดแ ก จติ 55 คอื กศุ ลจติ 21, อกศุ ล จติ 12, กริ ยิ าจติ 18 คอื เวน อาวชั ชนะทงั้ สอง โลกตุ ตรผลจติ 4 — Javana: apperception; impulsion) 13. ตทาลัมพนะ (หนา ทร่ี บั อารมณต อจากชวนะกอนตกภวังค ไดแก จิต 11 คอื มหาวิบาก 8 สนั ตีรณะ 3 — Tadàlambana: retention; registration) 14. จตุ ิ (หนา ทเี่ คลอื่ นจากภพปจ จบุ นั ไดแ ก จติ 19 อยา งเดยี วกบั ในปฏสิ นธิ — Cuti: decease; death; shifting) จดั โดยฐานทจี่ ติ ทาํ กจิ 14 น้ี มี 10 คอื รวมขอ 4, 5, 6, 7, 8 เปน ขอ เดยี ว คอื ปญ จ- วญิ ญาณฐาน (fivefold sense-impressions) นอกนนั้ คงชอ่ื เดมิ กจิ 14 น้ี ในวสิ ุทธมิ คั คเ รียกวา วิญญาณปวัตติ หรอื วิญญาณปวตั ติอาการ (อาการท่ี วิญญาณเปน ไป — modes of occurrence of consciousness) ดู [356] จิต 89. Vism.457; Comp.114. วสิ ทุ ฺธ.ิ 3/29; สงคฺ ห.15 [344] จรณะ 15 (ความประพฤต,ิ ปฏปิ ทา, ขอปฏบิ ัติอันเปน ทางบรรลวุ ิชชา หรอื นิพพาน — Caraõa: conduct; course of practice) 1. สลี สัมปทา (ความถงึ พรอ มดว ยศลี คือ ประพฤตถิ ูกตองดงี าม สํารวมในพระปาฏโิ มกข มี
[345] 260 พจนานุกรมพุทธศาสตร มารยาทเรยี บรอ ย ประพฤตเิ ครง ครดั ในสกิ ขาบททงั้ หลาย — Sãla-sampadà: accomplishment of morals) 2. อปณ ณกปฏปิ ทา 3 ดู [128] อปณณกปฏปิ ทา 3 3. สัทธรรม 7 ดู [301] สัปปรุ ิสธรรม 8 ขอ 1. 4. ฌาน 4 ดู [9] ฌาน 4 ในบาลีท่ีมา ทานเรยี กวา เปน เสขปฏปิ ทา คอื ขอ ปฏบิ ัติอันเปนทางดาํ เนินของพระเสขะ (a learner’s course of practice) M.I.354. ม.ม.13/26/26. [345] ญาณ 16 หรอื โสฬสญาณ (ความหยัง่ รู ในทน่ี ี้หมายถึงญาณทีเ่ กิดขนึ้ แกผูเจริญ วิปสสนาตามลําดบั ตั้งแตต นจนถงึ ท่ีสดุ — Soëasa-¤àõa: insight; knowledge) 1. นามรปู ปรจิ เฉทญาณ (ญาณกาํ หนดจาํ แนกรนู ามและรปู คอื รวู า สง่ิ ทงั้ หลายมแี ตร ปู ธรรม และนามธรรม และกาํ หนดแยกไดว า อะไรเปน รปู ธรรม อะไรเปน นามธรรม —Nàmaråpa- pariccheda-¤àõa: knowledge of the delimitation of mentality–materiality) 2. ปจจยปริคคหญาณ (ญาณกําหนดรปู จ จัยของนามและรปู คอื รวู า รปู ธรรมและนามธรรม ท้ังหลายเกดิ จากเหตุปจจยั และเปนปจจยั แกกนั อาศัยกัน โดยรตู ามแนวปฏิจจสมปุ บาท กด็ ี ตามแนวกฎแหง กรรมก็ดี ตามแนววัฏฏะ 3 ก็ดี เปน ตน — Paccaya-pariggaha-¤àõa: knowledge of discerning the conditions of mentality–materiality) 3. สมั มสนญาณ (ญาณกาํ หนดรดู ว ยพิจารณาเห็นนามและรปู โดยไตรลกั ษณ คอื ยกรปู ธรรม และนามธรรมทัง้ หลายข้นึ พิจารณาโดยเหน็ ตามลักษณะท่เี ปนของไมเ ทย่ี ง เปนทุกข มใิ ชต วั ตน — Sammasana-¤àõa: knowledge of comprehending mentality–materiality as impermanent, unsatisfactory and not-self) 4.–12. ไดแ ก วิปสสนาญาณ 9 ดู [311] 13. โคตรภญู าณ (ญาณครอบโคตร คอื ความหยง่ั รทู ี่เปนหวั ตอแหงการขา มพนจากภาวะ ปุถุชนเขา สภู าวะอริยบุคคล — Gotrabhå-¤àõa: knowledge at the moment of the “Change-of-lineage”) 14. มัคคญาณ (ญาณในอริยมรรค คือ ความหยง่ั รูที่ใหส ําเรจ็ ภาวะอริยบุคคลแตล ะข้ัน — Magga-¤àõa: knowledge of the Path) 15. ผลญาณ (ญาณในอรยิ ผล คือ ความหยงั่ รทู ่เี ปนผลสาํ เรจ็ ของพระอริยบคุ คลช้ันน้นั ๆ — Phala-¤àõa: knowledge of Fruition) 16. ปจจเวกขณญาณ (ญาณหยงั่ รดู วยการพิจารณาทบทวน คอื สํารวจรูมรรคผล กเิ ลสที่ ละแลว กเิ ลสทเี่ หลอื อยู และนิพพาน เวน แตว า พระอรหันตไมม กี ารพิจารณากิเลสท่ยี งั เหลืออยู — Paccavekkhaõa-¤àõa: knowledge of reviewing)
หมวดเกิน 10 261 [346] ในญาณ 16 นี้ 14 อยา ง (ขอ 1–13 และ 16) เปน โลกยี ญาณ, 2 อยาง (ขอ 14 และ 15) เปน โลกุตตรญาณ ญาณ 16 (บางทเี รียกวา โสฬสญาณ ซงึ่ กแ็ ปลวา ญาณ 16 นน่ั เอง) ทจ่ี ัดลําดบั เปนชดุ และ เรียกชือ่ เฉพาะอยางนี้ มใิ ชม าในพระบาลีเดิมโดยตรง พระอาจารยใ นสายวงการวปิ สสนาธุระ ไดสอนสืบกันมา โดยประมวลจากคัมภีรป ฏิสัมภิทามัคค และวสิ ุทธิมัคค ในกาลตอมา (พงึ ดู ขุ.ปฏ.ิ 31/มาตกิ า/1–2 = Ps.1 และ วิสทุ ธฺ .ิ 3/206–328 = Vism.587–678) [,,,] รปู พรหม หรอื พรหมโลก 16 ดู [351] ภูมิ 4 หรอื 31. [,,,] โสฬสวตั ถกุ อานาปานสติ ดู [346] อานาปานสติ 16 ฐาน [,,,] อานาปานสติ 16 ข้นั ดู [346] อานาปานสติ 16 ฐาน [346] อานาปานสติ 16 ฐาน (สติกําหนดลมหายใจ, การเจรญิ อานาปานสติ คือใชสติ กําหนดลมหายใจเขา–ออก แบบที่เปนการเจริญสติปฏฐานไปดวยครบท้ัง 4 — Soëasa– vatthuka-ànàpànassati: mindfulness of breathing with sixteen bases) จตุกกะท่ี 1: กายานุปส สนา 1) ทีฆํ วา อสสฺ สนฺโต ‘ทฆี ํ อสสฺ สาม’ี ติ ปชานาต,ิ ทฆี ํ วา ปสสฺ สนโฺ ต ‘ทฆี ํ ปสสฺ สาม’ี ติ ปชานาต;ิ 2) รสสฺ ํ วา อสสฺ สนฺโต ‘รสฺสํ อสสฺ สาม’ี ติ ปชานาติ, รสฺสํ วา ปสสฺ สนโฺ ต ‘รสฺสํ ปสฺสสามี’ติ ปชานาติ; 3) ‘สพพฺ กายปฏิสํเวที อสสฺ สิสสฺ ามี’ติ สิกฺขติ, ‘สพพฺ กายปฏสิ ํเวที ปสฺสสิสสฺ ามี’ติ สิกขฺ ต;ิ 4) ‘ปสสฺ มภฺ ยํ กายสงขฺ ารํ อสสฺ สิสฺสามี’ติ สิกฺขติ, ‘ปสสฺ มภฺ ยํ กายสงฺขารํ ปสฺสสิสสฺ ามี’ติ สิกฺขต.ิ 1) เม่ือหายใจเขายาว เธอกร็ ูช ดั วา เราหายใจเขายาว หรอื เมอื่ หายใจออกยาว เธอก็รชู ดั วา เราหายใจออกยาว 2) เมือ่ หายใจเขา สัน้ เธอก็รชู ดั วา เราหายใจเขาสนั้ หรือเม่อื หายใจออกส้ัน เธอก็รชู ัดวา เราหายใจออกสนั้ 3) เธอสาํ เหนยี กวา เราจักรูท ัว่ กาย(กองลม)ทัง้ หมด หายใจเขา เธอสําเหนยี กวา เราจกั รูท ่ัวกาย(กองลม)ทงั้ หมด หายใจออก 4) เธอสําเหนยี กวา เราจกั ผอนระงับกายสังขาร หายใจเขา เธอสําเหนยี กวา เราจักผอนระงับกายสังขาร หายใจออก 1. Breathing in long, he knows: “I am breathing in long”;
[346] 262 พจนานุกรมพุทธศาสตร or breathing out long, he knows: “I am breathing out long”. 2. Breathing in short, he knows: “I am breathing in short”; or breathing out short, he knows: “I am breathing out short”. 3. He trains thus: “Experiencing the entire (breath-) body, I shall breathe in”; he trains thus: “Experiencing the entire (breath-) body, I shall breathe out”. 4. He trains thus: “Calming the bodily formation, I shall breathe in”; he trains thus: “Calming the bodily formation, I shall breathe out”. จตุกกะที่ 2: เวทนานุปส สนา 5) ‘ปตปิ ฏิสํเวที อสฺสสสิ ฺสามี’ติ สกิ ฺขต,ิ ‘ปตปิ ฏสิ เํ วที ปสฺสสิสฺสามี’ติ สกิ ฺขต;ิ 6) ‘สุขปฏสิ เํ วที อสฺสสิสฺสามี’ติ สิกฺขติ, ‘สุขปฏิสํเวที ปสฺสสสิ สฺ าม’ี ติ สิกฺขติ; 7) ‘จิตฺตสงขฺ ารปฏสิ ํเวที อสสฺ สสิ ฺสาม’ี ติ สกิ ขฺ ติ, ‘จิตตฺ สงขฺ ารปฏสิ เํ วที ปสสฺ สสิ ฺสาม’ี ติ สิกขฺ ต;ิ 8) ‘ปสสฺ มฺภยํ จติ ตฺ สงฺขารํ อสฺสสิสสฺ าม’ี ติ สกิ ขฺ ติ, ‘ปสฺสมภฺ ยํ จติ ฺตสงฺขารํ ปสสฺ สิสสฺ าม’ี ติ สกิ ขฺ ต.ิ 5) เธอสาํ เหนียกวา เราจกั เสวยรูปต ิ หายใจเขา เธอสําเหนียกวา เราจกั เสวยรปู ต ิ หายใจออก 6) เธอสําเหนียกวา เราจกั เสวยรูความสุข หายใจเขา เธอสาํ เหนยี กวา เราจักเสวยรคู วามสขุ หายใจออก 7) เธอสําเหนยี กวา เราจกั เสวยรูจติ สงั ขารหายใจเขา เธอสําเหนียกวา เราจกั เสวยรจู ติ สงั ขาร หายใจออก 8) เธอสําเหนยี กวา เราจกั ผอนระงบั จิตสังขาร หายใจเขา เธอสําเหนยี กวา เราจักผอ นระงับจติ สังขาร หายใจออก 5. He trains thus: “Experiencing rapture, I shall breathe in”; he trains thus: “Experiencing rapture, I shall breathe out”. 6. He trains thus: “Experiencing joy, I shall breathe in”; he trains thus: “Experiencing joy, I shall breathe out”. 7. He trains thus: “Experiencing the mental formation, I shall breathe in”; he trains thus: “Experiencing the mental formation, I shall breathe out”. 8. He trains thus: “Calming the mental formation, I shall breathe in”;
หมวดเกิน 10 263 [346] he trains thus: “Calming the mental formation, I shall breathe out”. จตุกกะท่ี 3: จติ ตานุปสสนา 9) ‘จิตตฺ ปฏิสํเวที อสฺสสสิ ฺสามี’ติ สิกฺขติ, ‘จติ ตฺ ปฏสิ ํเวที ปสฺสสสิ ฺสามี’ติ สิกขฺ ติ; 10) ‘อภปิ ฺปโมทยํ จติ ตฺ ํ อสสฺ สิสสฺ ามี’ติ สิกขฺ ต,ิ ‘อภิปฺปโมทยํ จติ ฺตํ ปสสฺ สสิ ฺสามี’ติ สิกขฺ ติ 11) ‘สมาทหํ จิตตฺ ํ อสฺสสิสฺสาม’ี ติ สิกขฺ ติ, ‘สมาทหํ จติ ตฺ ํ ปสสฺ สิสสฺ ามี’ติ สิกขฺ ติ; 12) ‘วโิ มจยํ จติ ฺตํ อสสฺ สิสฺสามี’ติ สกิ ขฺ ต,ิ ‘วิโมจยํ จิตฺตํ ปสสฺ สิสสฺ ามี’ติ สกิ ฺขติ. 9) เธอสําเหนยี กวา เราจักรทู ่ัวถึงจติ หายใจเขา เธอสาํ เหนียกวา เราจักรทู ่ัวถึงจติ หายใจออก 10) เธอสําเหนยี กวา เราจกั ทําจติ ใหรา เริง หายใจเขา เธอสําเหนียกวา เราจกั ทําจติ ใหราเริง หายใจออก 11) เธอสําเหนยี กวา เราจกั ทําจติ ใหตง้ั มนั่ หายใจเขา เธอสาํ เหนียกวา เราจักทําจติ ใหต งั้ มนั่ หายใจออก 12) เธอสําเหนยี กวา เราจักปลอยเปลื้องจติ หายใจเขา เธอสาํ เหนียกวา เราจกั ปลอ ยเปล้อื งจิต หายใจออก 9. He trains thus: “Experiencing the mind, I shall breathe in”; he trains thus: “Experiencing the mind, I shall breathe out”. 10. He trains thus: “Gladdening the mind, I shall breathe in”; he trains thus: “Gladdening the mind, I shall breathe out”. 11. He trains thus: “Concentrating the mind, I shall breathe in”; he trains thus: “Concentrating the mind, I shall breathe out”. 12. He trains thus: “Liberating the mind, I shall breathe in”; he trains thus: “Liberating the mind, I shall breathe out”. จตุกกะที่ 4: ธัมมานุปสสนา 13) ‘อนิจจฺ านปุ สฺสี อสฺสสิสสฺ ามี’ติ สิกฺขติ, ‘อนิจจฺ านปุ สสฺ ี ปสฺสสสิ ฺสามี’ติ สิกฺขต;ิ 14) ‘วิราคานุปสฺสี อสฺสสิสฺสามี’ติ สิกขฺ ต,ิ ‘วริ าคานปุ สฺสี ปสสฺ สสิ สฺ ามี’ติ สกิ ฺขติ;
[346] 264 พจนานกุ รมพุทธศาสตร 15) ‘นโิ รธานปุ สฺสี อสสฺ สสิ สฺ าม’ี ติ สกิ ฺขติ, ‘นโิ รธานุปสสฺ ี ปสสฺ สิสฺสาม’ี ติ สิกขฺ ติ; 16) ‘ปฏินสิ ฺสคฺคานุปสสฺ ี อสฺสสสิ สฺ าม’ี ติ สิกขฺ ติ, ‘ปฏนิ ิสฺสคฺคานุปสฺสี ปสสฺ สสิ สฺ ามี’ติ สิกขฺ ติ. 13) เธอสาํ เหนยี กวา เราจกั พจิ ารณาเห็นความไมเ ทีย่ ง หายใจเขา เธอสาํ เหนยี กวา เราจกั พิจารณาเห็นความไมเท่ียง หายใจออก 14) เธอสําเหนยี กวา เราจกั พิจารณาเห็นความคลายออกได หายใจเขา เธอสาํ เหนียกวา เราจักพจิ ารณาเหน็ ความคลายออกได หายใจออก 15) เธอสาํ เหนยี กวา เราจกั พิจารณาเหน็ ความดบั กิเลส หายใจเขา เธอสําเหนยี กวา เราจกั พิจารณาเหน็ ความดับกิเลส หายใจออก 16) เธอสําเหนียกวา เราจักพิจารณาเหน็ ความสลัดคนื ได หายใจเขา เธอสาํ เหนียกวา เราจกั พจิ ารณาเห็นความสลัดคนื ได หายใจออก 13. He trains thus: “Contemplating impermanence, I shall breathe in”; he trains thus: “Contemplating impermanence, I shall breathe out”. 14. He trains thus: “Contemplating fading away, I shall breathe in”; he trains thus: “Contemplating fading away, I shall breathe out”. 15. He trains thus: “Contemplating cessation, I shall breathe in”; he trains thus: “Contemplating cessation, I shall breathe out”. 16. He trains thus: “Contemplating relinquishment, I shall breathe in”; he trains thus: “Contemplating relinquishment, I shall breathe out”. ขอควรทราบ: ก) คาํ วา หายใจเขา และ หายใจออก นนั้ พงึ ทราบวา เปน คาํ ทมี่ กี ารแปลตา งกนั คอื อรรถกถา แหง พระวินัยแปล อสสฺ าส วา “หายใจออก” และ ปสฺสาส วา “หายใจเขา ” สวนอรรถกถาแหง พระสตู รแปลกลบั ตรงขา ม คอื แปล อสสฺ าส วา “หายใจเขา ” และ ปสสฺ าส วา “หายใจออก” ในที่น้ี ถือตามคําแปลของอรรถกถาแหง พระสตู ร ผศู กึ ษาทราบอยา งนแี้ ลว จะใชแ บบใดกไ็ ด พงึ เลอื ก ตามปรารถนา ข) “สาํ เหนยี กวา ” เปน คําแปลตามสาํ นวนเกา หมายถงึ คําบาลีวา สกิ ขฺ ติ จะแปลแบบทบั ศัพท เปน “ศกึ ษาวา ” ก็ได ค) ธรรมหมวดน้ี เรยี กตามบาลีแหง คัมภีรป ฏสิ มั ภิทามัคคว า โสฬสวตั ถุกอานาปานสติ (เชน ข.ุ ปฏิ.31/361/244; 386/260=Ps.I.162; 173 คาํ บาลเี ดมิ เปน โสฬสวตฺถกุ า อานาปานสสฺ ติ บาง โสฬสวตฺถโุ ก อานาปานสฺสติสมาธิ บาง บางทอี รรถกถากเ็ รียกยักเย้ืองไปวา โสฬสวตฺถกุ า อานาปานสฺสติสมาธภิ าวนา บา ง โสฬสวตถฺ กุ ํ อานาปานสสฺ ตกิ มฺมฏ านํ บา ง) แปลแบบรกั ษา
หมวดเกนิ 10 265 [347] ศพั ทวา “อานาปานสติมีวตั ถุ 16” แตในท่ีนี้เลือกแปลตามคาํ อธบิ ายในคมั ภีร ปรมตั ถมัญชสุ า มหาฎีกาแหง วสิ ทุ ธมิ คั ค (วิสุทธฺ .ิ ฏีกา2/34) วา “อานาปานสติ 16 ฐาน” เพราะในภาษาไทย คําวา ฐาน เปน คาํ ทค่ี นุ และชว ยสอ่ื ความหมายของคาํ วา วตั ถุ ในทนี่ ไ้ี ดด ี แตจ ะแปลวา “อานาปานสติ 16 หลัก” หรือ “อานาปานสติ 16 หัวขอ (หรือ 16 ขอ)” ก็ได บางทีก็เรียกใหฟงเปนลําดับวา “อานาปานสติ 16 ข้นั ” ง) 16 ฐาน หรอื 16 หลกั หรอื 16 หัวขอ หรือ 16 ขอ หรอื 16 ข้ันน้ัน ทา นจัดเปน 4 จตกุ กะ คอื เปนหมวดสี่ 4 หมวด ดงั น้ี 1. กายานุปสสนาจตุกกะ (หมวดส่ีแหงกายานปุ ส สนา) 2. เวทนานปุ สสนาจตกุ กะ (หมวดสแี่ หงเวทนานุปส สนา) 3. จติ ตานุปส สนาจตกุ กะ (หมวดสแี่ หงจิตตานปุ สสนา) 4. ธัมมานปุ ส สนาจตกุ กะ (หมวดสแ่ี หงธมั มานุปส สนา) เปนการระบุชัดวา สว นไหนเปน สติปฏ ฐานขอ ใด จ) วาโดยไตรสิกขา ระหวางปฏิบัติน้นั • ความมีกายวาจาตั้งอยูในความสงบสํารวม โดยมีเจตนาอันปลอดจากการละเมิดหรือ เบียดเบียน (กายกิ วาจสิกอวีตกิ กมะ) เปน ศลี • การมีสตกิ ําหนด ดว ยจติ ที่ตั้งมัน่ มีอารมณห นึ่งเดยี วตามทก่ี ําหนด (จติ ตสั เสกคั ตา) เปน สมาธิ • ความมีสัมปชญั ญะรูท่วั พรอม มองเหน็ ตามสภาวะ เปน ปญญา ฉ) ในการปฏิบัติน้ี ศีลเปนเพียงฐานท่ีรองรับอยู สวนธรรมที่ปฏิบัติซึ่งจะเจริญขึน้ ไป คือ สมาธิ และปญ ญา อันไดแก สมถะ และวปิ สสนา ในขอตอไป ช) ในการปฏิบัติทัง้ หมดน้ี สามจตุกกะแรก มที ้งั สมถะ และ วปิ สสนา แตจ ตกุ กะที่ ๔ เปน วิปส สนา ลว น ฌ) โสฬสวตั ถุกอานาปานสติ น้ี พระพทุ ธเจา ตรสั แสดงบอย พบไดหลายแหงในพระไตรปฎก แตท่ปี ระมวลเรื่องเกี่ยวขอ งและขอ ความแวดลอ มไวค รบถว น ซึง่ รจู กั กันดแี ละเปน ทอี่ างองิ กนั ทวั่ ไป คือ อานาปานสติสตู ร (ม.อ.ุ 14/282-291/190-202=MIII.78-88) นอกจากน้ันยงั มีคาํ อธิบายโดย พิสดารในพระไตรปฎ ก ปรากฏใน ปฏสิ ัมภิทามัคค (ข.ุ ปฏ.ิ 31/361-422/244-299; = Ps.I.162-196) สว นใน ชนั้ อรรถกถา กม็ อี ธบิ ายหลายแหง โดยเฉพาะทคี่ น ควา ไดส ะดวก คอื วสิ ทุ ธมิ คั ค (วิสทุ ธ .ิ 2/52-88= Vism.266-293) Vin.III.70; M.I.425; M.III.82; S.V.311; วินย.1/178/132; ม.ม.13/146/140; ม.อุ.14/287/193; A.V.111; Ps.I.162. ส.ํ ม.19/1305/394; อง.ทสก.24/60/119; ข.ุ ปฏ.ิ 31/361/244. [347] อปุ กเิ ลส หรอื จติ ตอปุ กิเลส 16 (ธรรมเคร่อื งเศราหมอง, สง่ิ ทที่ าํ ใหจติ ขนุ มัว รับ คุณธรรมไดยาก ดุจผาเปรอะเปอนสกปรก ยอมไมไดดี — Upakkilesa: mental
[348] 266 พจนานกุ รมพุทธศาสตร defilements) 1. อภชิ ฌาวสิ มโลภะ (คดิ เพง เลง็ อยากได โลภไมส มควร, โลภกลา จอ งจะเอา ไมเ ลอื กควรไม ควร — Abhijjhà-visamalobha: greed and covetousness; covetousness and unrighteous greed) 2. พยาบาท (คดิ รายเขา — Byàpàda: malevolence; illwill) 3. โกธะ (ความโกรธ — Kodha: anger) 4. อปุ นาหะ (ความผูกโกรธ — Upanàha: grudge; spite) 5. มักขะ (ความลบหลูคณุ ทา น, ความหลคู วามดขี องผอู ่นื , การลบลา งปด ซอ นคณุ คาความดี ของผอู น่ื — Makkha: detraction; depreciation; denigration) 6. ปลาสะ (ความตีเสมอ, ยกตัวเทียมทาน, เอาตวั ขน้ึ ตงั้ ขวางไว ไมย อมยกใหใครดกี วา ตน — Palàsa: domineering; rivalry; envious rivalry) 7. อิสสา (ความรษิ ยา — Issà: envy; jealousy) 8. มัจฉรยิ ะ (ความตระหนี่ — Macchariya: stinginess; meanness) 9. มายา (มารยา — Màyà: deceit) 10. สาเถยยะ (ความโออ วดหลอกเขา, หลอกดว ยคําโออวด — Sàñheyya: hypocrisy) 11. ถมั ภะ (ความหัวดื้อ, กระดาง — Thambha: obstinacy; rigidity) 12. สารมั ภะ (ความแขง ด,ี ไมย อมลดละ มงุ แตจ ะเอาชนะกนั — Sàrambha: presumption; competing contention; contentiousness; contentious rivalry; vying; strife) 13. มานะ (ความถอื ตวั , ทะนงตน — Màna: conceit) 14. อตมิ านะ (ความถือตวั วายิ่งกวาเขา, ดหู มิ่นเขา — Atimàna: excessive conceit; contempt) 15. มทะ (ความมัวเมา — Mada: vanity) 16. ปมาทะ (ความประมาท, ละเลย, เลนิ เลอ — Pamàda: heedlessness; negligence; indolence) ขอ 2 มตี างออกไป คอื ในธัมมทายาทสูตร เปน โทสะ (ความคิดประทษุ รา ยเขา — hatred) (ม.มู.12/26/26) M.I.36. ม.มู.12/93/65. [348] ธาตุ 18 (สิ่งท่ีทรงสภาวะของตนอยเู อง ตามที่เหตุปจ จยั ปรงุ แตง ขึน้ เปนไปตามธรรม นยิ ามคอื กําหนดแหงธรรมดา ไมม ีผสู รา งผบู ันดาล และมีรูปลักษณะกจิ อาการเปนแบบจาํ เพาะ ตัว อันพึงกําหนดเอาเปนหลักไดแตละอยา งๆ — Dhàtu: elements) 1. จักขธุ าตุ (ธาตคุ ือจักขปุ สาท — Cakkhu-dhàtu: eye element) 2. รูปธาตุ (ธาตุคือรูปารมณ — Råpa~: visible-data element)
หมวดเกนิ 10 267 [349] 3. จกั ขุวิญญาณธาตุ (ธาตคุ อื จักขวุ ญิ ญาณ — Cakkhuvi¤¤àõa~: eye-consciousness element) 4. โสตธาตุ (ธาตคุ ือโสตปสาท — Sota~: ear element) 5. สทั ทธาตุ (ธาตคุ อื สทั ทารมณ — Sadda~: sound element) 6. โสตวิญญาณธาตุ (ธาตุคือโสตวิญญาณ — Sotavi¤¤àõa~: ear-consciousness element) 7. ฆานธาตุ (ธาตุคือฆานปสาท — Ghàna~: nose element) 8. คนั ธธาตุ (ธาตุคือคันธารมณ — Gandha~: odour element) 9. ฆานวิญญาณธาตุ (ธาตุคอื ฆานวญิ ญาณ — Ghànavi¤¤àõa~: nose-consciousness element) 10. ชิวหาธาตุ (ธาตคุ อื ชวิ หาปสาท — Jivhà~: tongue element) 11. รสธาตุ (ธาตคุ ือรสารมณ — Rasa~: flavour element) 12. ชวิ หาวญิ ญาณธาตุ (ธาตคุ อื ชวิ หาวญิ ญาณ — Jivhàvi¤¤àõa~: tongue-consciousness element) 13. กายธาตุ (ธาตุคอื กายปสาท — Kàya~: body element) 14. โผฏฐพั พธาตุ (ธาตคุ อื โผฏฐัพพารมณ — Phoññhabba~: tangible-data element) 15. กายวิญญาณธาตุ (ธาตุคอื กายวญิ ญาณ — Kàyavi¤¤àõa~: body-consciousness element) 16. มโนธาตุ (ธาตุคอื มโน — Mano~: mind element) 17. ธรรมธาตุ (ธาตคุ อื ธรรมารมณ — Dhamma~: mental-data element) 18. มโนวญิ ญาณธาตุ (ธาตุคอื มโนวญิ ญาณ — Manovi¤¤àõa~: mind-consciousness element) ขอ ควรสังเกต ก. ขอ 3, 6, 9, 12, 15 ไดแ ก ทวิปญ จวิญญาณจิต รวมเปนจติ = 10 ข. ขอ 16 มโนธาตุ ไดแ ก สมั ปฏิจฉนะ 2 กับปญ จทวาราวชั ชนะ 1 รวมเปนจิต =3 ค. ขอ 18 มโนวิญญาณธาตุ ไดแ ก จิตนอกเหนือจากนน้ั อกี = 76 = 89 รวมเปน จติ ทงั้ สิ้น ดู [356] จติ 89 หรอื 121. Vbh.87; Vism.484; Comp.183. อภิ.วิ.35/124/108; วิสุทฺธิ.3/65; สงคฺ ห.44. [349] อินทรยี 22 (สิง่ ที่เปน ใหญในการทาํ กจิ ของตน คอื ทําใหธ รรมอื่นๆ ที่เกย่ี วขอ ง เปน ไป ตามตน ในกจิ นัน้ ๆ ในขณะทเ่ี ปน ไปอยูนนั้ — Indriya: faculties)
[349] 268 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร หมวดที่ 1 1. จักขนุ ทรยี (อนิ ทรยี คือ จักขปุ สาท — Cakkhundriya: eye-faculty) 2. โสตินทรีย (อนิ ทรยี คือ โสตปสาท — Sotindriya: ear-faculty) 3. ฆานินทรีย (อนิ ทรยี คือ ฆานปสาท — Ghànindriya: nose-faculty) 4. ชวิ หินทรยี (อินทรยี คือ ชวิ หาปสาท — Jivhindriya: tongue-faculty) 5. กายินทรีย (อนิ ทรยี คือ กายปสาท — Kàyindriya: body-faculty) 6. มนินทรีย (อินทรีย คือ ใจ ไดแ ก จิต ทจี่ าํ แนกเปน 89 หรอื 121 ก็ตาม — Manindriya: mind-faculty) หมวดที่ 2 7. อิตถินทรีย (อินทรยี คอื อิตถีภาวะ — Itthindriya: femininity faculty) 8. ปรุ สิ ินทรยี (อนิ ทรยี คอื ปุริสภาวะ — Purisindriya: masculinity faculty; virility) 9. ชีวติ นิ ทรีย (อินทรยี คือ ชีวติ — Jãvitindriya: life faculty; vitality) หมวดท่ี 3 10. สขุ นิ ทรยี (อนิ ทรยี คือ สขุ เวทนา — Sukhindriya: bodily-pleasure faculty) 11. ทกุ ขนิ ทรีย (อนิ ทรยี คอื ทุกขเวทนา — Dukkhindriya: bodily-pain faculty) 12. โสมนัสสินทรีย (อนิ ทรีย คอื โสมนสั สเวทนา — Somanassindriya: joy faculty) 13. โทมนสั สินทรีย (อินทรยี คือ โทมนัสสเวทนา — Domanassindriya: grief faculty) 14. อเุ ปกขนิ ทรีย (อินทรีย คือ อเุ บกขาเวทนา — Upekkhindriya: indifference faculty) หมวดท่ี 4 15. สทั ธนิ ทรยี (อินทรยี คือ ศรทั ธา — Saddhindriya: faith faculty) 16. วิริยนิ ทรีย (อนิ ทรีย คือ วริ ิยะ — Viriyindriya: energy faculty) 17. สตนิ ทรยี (อนิ ทรีย คอื สติ — Satindriya: mindfulness faculty) 18. สมาธนิ ทรยี (อินทรยี คอื สมาธิ ไดแ ก เอกคั คตา — Samàdhindriya: concentration faculty) 19. ปญญินทรีย (อนิ ทรยี คอื ปญญา — Pa¤¤indriya: wisdom faculty) หมวดท่ี 5 20. อนญั ญาตัญญสั สามตี นิ ทรีย (อนิ ทรยี แหงผูปฏบิ ัติดว ยมงุ วาเราจกั รูส ัจจธรรมทยี่ งั มิได รู ไดแก โสตาปต ติมคั คญาณ — Ana¤¤àta¤¤assàmãtindriya: ‘I shall come to know the unknown’ faculty, i.e. knowledge of the Stream-Entry Path.) 21. อญั ญินทรยี (อนิ ทรยี คอื อัญญา หรอื ปญ ญาอันรูทัว่ ถงึ ไดแ ก ญาณ 6 ในทา มกลาง คอื โสตาปต ติผลญาณ ถงึ อรหัตตมคั คญาณ — A¤¤indriya: perfect-knowledge faculty, i.e. knowledge of the six intermediate Paths and Fruitions)
หมวดเกนิ 10 269 [350] 22. อัญญาตาวินทรีย (อินทรียแหงทา นผูรูท ่ัวถงึ แลว กลาวคือ ปญ ญาของพระอรหนั ต ได แก อรหตั ตผลญาณ — A¤¤àtàvindriya: perfect-knower faculty, i.e. knowledge of the Fruition of Arahantship) อินทรีย 22 นี้ ทม่ี าในพระสูตร มีกระจายอยเู ปนหมวดๆ ในทีห่ ลายแหง ไมค รบทงั้ 22 ใน ทเ่ี ดยี วกนั เฉพาะท่ีมาสาํ คญั ไดแ ก อนิ ทรียสงั ยุตต (สํ.ม.19/843-1089/256-318; S.V.193-243) สวนที่ มาในพระอภิธรรม และปกรณพ ิเศษภายหลงั มี วิสทุ ธมิ คั ค และ อภธิ มั มตั ถสงั คหะ เปนตน มี คําอธบิ ายโดยพสิ ดาร Vbh.122; Vism.491; Comp.175. อภ.ิ ว.ิ 35/236/161; วสิ ุทฺธิ.3/72; สงคฺ ห.41. [350] ปจจัย 24 (ลักษณะหรืออาการแหง ความสมั พันธร ะหวางสง่ิ ท้ังหลาย ท่ีสิ่งหนึ่งหรอื สภาวธรรมอยา งหน่งึ เปน องคประกอบทีช่ วยเออ้ื เกื้อหนุน คํ้าจนุ เปน เหตุ หรือเปนเง่อื นไข ใหส ิ่งอ่นื หรอื สภาวธรรมอยา งอ่นื เกิดข้ึน คงอยู หรอื เปน ไปอยา งใดอยา งหนง่ึ — Paccaya: condition; mode of conditionality or relation) 1. เหตปุ จจัย (ปจจยั โดยเปน เหตุ — Hetu-paccaya: root condition) 2. อารัมมณปจ จัย (ปจ จยั โดยเปน อารมณ — ârammaõa-paccaya: object condition) 3. อธปิ ตปิ จ จยั (ปจ จยั โดยเปน เจา ใหญ — Adhipati-paccaya: predominance condition) 4. อนนั ตรปจ จยั (ปจ จัยโดยเปนภาวะตอเนอ่ื งไมม ีชอ งระหวา ง — Anantara-paccaya: immediacy condition) 5. สมนันตรปจจัย (ปจจัยโดยเปนภาวะตอเน่ืองทันที — Samanantara-paccaya: contiguity condition) 6. สหชาตปจ จัย (ปจ จยั โดยเกดิ รวมกนั — Sahajàta-paccaya: connascence condition) 7. อัญญมัญญปจจยั (ปจจัยโดยอาศัยซึ่งกันและกนั — A¤¤ama¤¤a-paccaya: mutuality condition) 8. นิสสยปจจัย (ปจจยั โดยเปนทอี่ าศัย — Nissaya-paccaya: dependence condition) 9. อุปนสิ สยปจจยั (ปจ จยั โดยเปนเครื่องหนนุ หรือกระตุน เรา — Upanissaya-paccaya: decisive-support condition; inducement condition) 10. ปเุ รชาตปจ จยั (ปจ จยั โดยเกิดกอน — Purejàta-paccaya: prenascence condition) 11. ปจ ฉาชาตปจ จยั (ปจ จยั โดยเกิดทหี ลงั — Pacchàjàta-paccaya: postnascence condition) 12. อาเสวนปจจัย (ปจจัยโดยการซ้ํ าบอยหรือทํ าใหชิน — âsevana-paccaya: repetition condition) 13. กรรมปจ จยั (ปจ จยั โดยเปน กรรมคอื เจตจาํ นง — Kamma-paccaya: kamma condition) 14. วปิ ากปจ จัย (ปจ จยั โดยเปนวิบาก — Vipàka-paccaya: kamma-result condition)
[351] 270 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร 15. อาหารปจจัย (ปจ จัยโดยเปน อาหาร คอื เปนเคร่อื งหลอเล้ยี ง — âhàra-paccaya: nutriment condition) 16. อินทรยี ปจจัย (ปจจัยโดยเปน เจาการ — Indriya-paccaya: faculty condition) 17. ฌานปจจัย (ปจจัยโดยภาวะจิตที่เปนฌาน — Jhàna-paccaya: condition) 18. มรรคปจจยั (ปจ จัยโดยเปนมรรค — Magga-paccaya: path condition) 19. สมั ปยตุ ตปจ จยั (ปจ จยั โดยประกอบกัน — Sampayutta-paccaya: association condition) 20. วปิ ปยตุ ตปจ จยั (ปจ จยั โดยแยกตา งหากกนั — Vippayutta-paccaya: dissociation condition) 21. อัตถปิ จ จัย (ปจจยั โดย[ตอ ง]มีอยู — Atthi-paccaya: presence condition) 22. นัตถิปจ จยั (ปจจยั โดย[ตอง]ไมม อี ยู — Natthi-paccaya: absence condition) 23. วิคตปจจัย (ปจจัยโดย[ตอง]ปราศไป — Vigata-paccaya: disappearance condition) 24. อวคิ ตปจ จยั (ปจ จยั โดย[ตอ ง]ไมปราศไป — Avigata-paccaya: non-disappearance condition) ปจ จัย 24 น้ี เปน สาระของคาํ อธบิ ายท้ังหมดในคัมภีรปฏ ฐานแหงพระอภิธรรมปฎ ก คอื พระไตรปฎ กบาลี 6 เลม ตงั้ แตเลม 40 ถงึ เลม 45 Pañ.1 อภิ.ป.40/1/1 [,,,] รูป 28 ดู [38] รูป 28; [39] มหาภตู 4; [40] อปุ าทารูป 24 [351] ภมู ิ 4 หรอื 31 (ชน้ั แหง จติ , ระดบั จติ ใจ, ระดบั ชวี ติ — Bhåmi: planes of existence; planes of life) 1. อบายภมู ิ 4 (ภูมทิ ่ีปราศจากความเจริญ — Apàya-bhåmi: planes of loss and woe; unhappy planes) 1) นริ ยะ (นรก — Niraya: woeful state; hell) 2) ตริ จั ฉานโยนิ (กาํ เนดิ ดริ จั ฉาน — Tiracchànayoni: animal kingdom) 3) ปต ติวสิ ยั (แดนเปรต — Pittivisaya: ghost-sphere) 4) อสุรกาย (พวกอสูร — Asurakàya: host of demons) 2. กามสคุ ตภิ มู ิ 7 (กามาวจรภมู ทิ เ่ี ปน สคุ ต,ิ ภมู ทิ เี่ ปน สคุ ตซิ ง่ึ ยงั เกย่ี วขอ งกบั กาม — Kàmasugati- bhåmi: sensuous blissful planes) 1) มนษุ ย (ชาวมนษุ ย — Manussà: human realm) 2) จาตมุ หาราชกิ า (สวรรคชั้นที่ทา วมหาราช 4 ปกครอง — Càtummahàràjikà: realm of the Four Great Kings)
หมวดเกิน 10 271 [351] 3) ดาวดึงส (แดนแหง เทพ 33 มีทา วสกั กะเปนใหญ — Tàvati§sà: realm of the Thirty-three Gods) 4) ยามา (แดนแหง เทพผูปราศจากความทกุ ข — Yàmà: realm of the Yàma gods) 5) ดสุ ติ (แดนแหงเทพผเู อบิ อ่ิมดว ยสริ สิ มบัติของตน — Tusità: realm of satisfied gods) 6) นมิ มานรดี (แดนแหง เทพผูยินดใี นการเนรมติ — Nimmànaratã: realm of the gods who rejoice in their own creations) 7) ปรนิมมิตวสวัตดี (แดนแหงเทพผูยังอํานาจใหเปนไปในสมบัติท่ีผูอ่ืนนิรมิตให — Paranimmitavasavattã: realm of gods who lord over the creation of others) ภมู ทิ ง้ั 11 ใน 2 หมวดนี้ รวมเปน กามาวจรภมู ิ 11 (ชน้ั ทท่ี อ งเทย่ี วอยใู นกาม — Kàmàvacara- bhåmi: Sensuous Planes) 3. รูปาวจรภมู ิ 16 (ช้ันที่ทอ งเทยี่ วอยูในรปู , ชัน้ รปู พรหม — Råpàvacara-bhåmi: Form Planes) ก. ปฐมฌานภูมิ 3 (ระดับปฐมฌาน — first-Jhàna planes) 1) พรหมปารสิ ัชชา (พวกบรษิ ัทบรวิ ารมหาพรหม — Brahmapàrisajjà: realm of great Brahmas’ attendants) 2) พรหมปโุ รหติ า (พวกปุโรหติ มหาพรหม — Brahmapurohità: realm of great Brahmas’ ministers) 3) มหาพรหมา (พวกทาวมหาพรหม — Mahàbrahmà: realm of great Brahmas) ข. ทตุ ิยฌานภูมิ 3 (ระดบั ทตุ ิยฌาน — second-Jhàna planes) 4) ปรติ ตาภา (พวกมรี ัศมนี อ ย — Parittàbhà: realm of Brahmas with limited lustre) 5) อัปปมาณาภา (พวกมรี ัศมปี ระมาณไมไ ด — Appamàõàbhà: realm of Brahmas with infinite lustre) 6) อาภสั สรา (พวกมรี ัศมีสุกปลงั่ ซานไป — âbhassarà: realm of Brahmas with radiant lustre) ค. ตตยิ ฌานภูมิ 3 (ระดับตตยิ ฌาน — third-Jhàna planes) 7) ปริตตสุภา (พวกมีลํารัศมีงามนอ ย — Parittasubhà: realm of Brahmas with limited aura) 8) อัปปมาณสุภา (พวกมีลํารศั มีงามประมาณมไิ ด — Appamàõasubhà: realm of Brahmas with infinite aura) 9) สภุ กณิ หา (พวกมลี ํารศั มงี ามกระจางจา — Subhakiõhà: realm of Brahmas
[351] 272 พจนานุกรมพทุ ธศาสตร with steady aura) ง. จตตุ ถฌานภมู ิ 3–7 (ระดับจตุตถฌาน — fourth-Jhàna planes) 10) เวหัปผลา (พวกมผี ลไพบลู ย — Vehapphalà: realm of Brahmas with abundant reward) 11) อสญั ญสี ัตว (พวกสตั วไ มม สี ญั ญา — Asa¤¤ãsattà: realm of non-percipient beings) (*) สุทธาวาส 5 (พวกมีท่อี ยอู ันบริสทุ ธ์ิ หรือ ทีอ่ ยูของทา นผบู รสิ ุทธิ์ คอื ท่ีเกิดของ พระอนาคามี — Suddhàvàsa: pure abodes) คือ 12) อวิหา (เหลาทา นผไู มเสื่อมจากสมบัติของตน หรอื ผูไ มละไปเรว็ , ผคู งอยูน าน — Avihà: realm of Brahmas who do not fall from prosperity) 13) อตปั ปา (เหลา ทา นผูไ มทาํ ความเดือดรอนแกใคร หรือผไู มเดือดรอ นกับใคร — Atappà: realm of Brahmas who are serene) 14) สุทัสสา (เหลา ทา นผูงดงามนาทัศนา — Sudassà: realm of Brahmas who are beautiful) 15) สทุ สั สี (เหลา ทา นผูมองเหน็ ชดั เจนดี หรือผมู ีทศั นาแจมชดั — Sudassã: realm of Brahmas who are clear-sighted) 16) อกนฏิ ฐา (เหลาทา นผูไมมีความดอ ยหรือเลก็ นอ ยกวาใคร, ผสู ูงสุด — Akaniññhà: realm of the highest or supreme Brahmas) 4. อรูปาวจรภมู ิ 4 (ช้นั ที่ทองเทยี่ วอยใู นอรูป, ช้นั อรูปพรหม — Aråpàvacara-bhåmi: formless planes) 1) อากาสานญั จายตนภมู ิ (ชนั้ ทเ่ี ขา ถงึ ภาวะมอี ากาศไมม ที สี่ ดุ — âkàsàna¤càyatana- bhåmi: realm of infinite space) 2) วญิ ญาณญั จายตนภมู ิ (ชน้ั ทเี่ ขา ถงึ ภาวะมวี ญิ ญาณไมม ที ส่ี ดุ — Vi¤¤àõa¤càyatana- bhåmi: realm of infinite consciousness) 3) อากิญจัญญายตนภมู ิ (ช้นั ทเ่ี ขา ถึงภาวะไมมีอะไร — âki¤ca¤¤àyatana-bhåmi: realm of nothingness) 4) เนวสัญญานาสญั ญายตนภูมิ (ชัน้ ที่เขา ถึงภาวะมสี ัญญาก็ไมใ ช ไมม ีสัญญาก็ไมใช — Nevasa¤¤ànàsa¤¤àyatana-bhåmi: realm of neither perception nor non- perception) ปุถุชน พระโสดาบนั และพระสกทาคามี ยอ มไมเกดิ ในสทุ ธาวาสภูม;ิ พระอริยะไมเ กิดใน อสัญญีภพ และในอบายภูมิ; ในภมู ินอกจากน้ี ยอ มมที ง้ั พระอริยะและมใิ ชอรยิ ะไปเกิด. ในพระไตรปฎ ก ไมพ บที่ใดแสดงรายชอ่ื ภมู ิทัง้ หลายไวทั้งหมดในทเี่ ดียว บาลแี สดงรายช่อื
หมวดเกนิ 10 273 [352] ภมู มิ ากทสี่ ุด (มเี ฉพาะชน้ั สุคตภิ มู ิ) พบที่ ม.อ.ุ 14/317–332/216–225 (M.III.99–103) กลา วตัง้ แตม นษุ ย ข้ึนไปจนถึงอรูปวาจรภมู .ิ ในบาลแี หง ทีฆนกิ าย เปนตน * แสดงคติ (ทีไ่ ปเกดิ ของสตั ว, แบบการดําเนนิ ชีวิต — Gati: destiny; course of existence) วา มี 5 คอื นิรยะ ตริ จั ฉานโยนิ เปตตวิ สิ ัย มนษุ ย และเทพ (พวกเทพ — heavenly world ไดแ กภมู ิ 26 ตั้งแตจาตมุ หาราชิกาขึ้นไปทัง้ หมด) จะเห็นวาภูมิ 31 สงเคราะหล งไดใ นคติ 5 ท้งั หมด ขาดแตอสรุ กาย อยางไรกด็ ี ในอรรถกถาแหงอติ วิ ุตตกะ เปนตน ** ทา นกลา ววา อสรู สงเคราะหลงในเปตตวิ สิ ยั ดวย จงึ เปนอันสงเคราะหลงไดบรบิ ูรณ และในคติ 5 น้ัน 3 คตแิ รกจดั เปนทุคติ (woeful courses) 2 คติหลังเปนสุคติ (happy courses). เนอ่ื งดวยภูมิ 31 นจ้ี ดั ไดเ ปน 4 ระดบั อยางที่กลา วมา บางทีจงึ เรยี กวา ภูมิ 4 อนึ่ง พงึ เทยี บภมู ิ 31 หรือ ภมู ิ 4 หมวดน้ี กบั [162] ภูมิ 4 ท่มี าในพระบาลดี ว ย กลาวคอื ภูมิ 31 หรอื 4 หมวดนี้ จัดเขาในภมู ิ 3 ขอ ตนใน [162] ภูมิ 4 ดงั น้ี อบายภมู ิ 4 และ กาม- สคุ ติภูมิ 7 รวมเขาเปนกามาวจรภูมิ (11) สว นรูปาวจรภูมิ (16) และ อรปู าวจรภมู ิ (4) ตรงกัน รวมภูมิทั้งหมด 31 น้ี เปนโลกียภูมิ พน จากนไี้ ปเปน โลกตุ ตรภมู ิ ดู [162] ภูมิ 4; [198] อบาย 4; [207] อรปู 4; [270] สวรรค 6. Comp.137. สงคฺ ห.25. [352] โพธิปก ขยิ ธรรม 37 (ธรรมอนั เปน ฝกฝายแหงความตรัสรู คอื เก้อื กลู แกการตรสั รู, ธรรมท่ีเกื้อหนุนแกอริยมรรค — Bodhipakkhiya-dhamma: virtues partaking of enlightenment; qualities contributing to or constituting enlightenment; enlightenment states) 1. สตปิ ฏฐาน 4 ดู [182] 2. สัมมัปปธาน 4 ดู [156] 3. อิทธบิ าท 4 ดู [213] 4. อินทรยี 5 ดู [258] 5. พละ 5 ดู [228] 6. โพชฌงค 7 ดู [281] 7. มรรคมีองค 8 ดู [293] โพธปิ ก ขยิ ธรรมน้ี ตามทที่ ว่ั ไปในพระไตรปฎ ก ตรสั ไวเ พยี งเปน คาํ รวมๆ โดยไมไ ดร ะบชุ อื่ องค ธรรม นอกจากในสงั ยตุ ตนกิ ายแหง พระสตุ ตนั ตปฎ ก ทมี่ พี ทุ ธพจนต รสั ระบไุ วว า ไดแ ก อนิ ทรยี 5 * ท.ี ปา.11/281/246; ม.ม.ู 12/170/148; อง.ฺ นวก.23/272/480 (D.III.234; M.I.73; A.IV.459) ** อ.ุ อ.174; อิติ.อ.168 (approx., UdA.140; ItA.101)
[353] 274 พจนานุกรมพุทธศาสตร (ส.ํ ม.19/1024/301; 1041–3/305; 1071–1081/313–5) และในคมั ภรี ว ภิ งั คแ หง พระอภธิ รรมปฎ ก ซงึ่ ไขความ วา โพธปิ ก ขยิ ธรรม ไดแ ก โพชฌงค 7 (อภ.ิ ว.ิ 35/611/336) ธรรมชดุ นี้ เม่อื ตรัสระบชุ ่อื ทง้ั ชดุ ในพระสตู ร ทรงเรียกวาเปน อภญิ ญาเทสติ ธรรม (เชน ที.ม.10/107/141; ที.ปา.11/108/140; ม.อุ. 14/54/51) คอื เปนอภิญญาเทสิตธรรม 37 และในพระ อภธิ รรม ทานแสดงไวว าธรรม 37 ประการนเี้ ปน สทั ธรรม นอกจากน้ี ธรรม 37 ประการชดุ น้ียังไดชอื่ วาเปน สนั ติบท คือ ธรรมที่เปนไปเพื่อการ บรรลสุ ันติ (รวมทง้ั เปน อมตบท และนพิ พานบท เปน ตน—ข.ุ ม.29/701/414; ข.ุ จ.ู 30/391/188) และ เปนเสรีธรรม หรือธรรมเสรี (ข.ุ จ.ู 30/681/340; 684/342) ในพระวนิ ยั ปฎ ก ทา นแสดงธรรม 37 ประการนไี้ วเ ปน คาํ จาํ กดั ความของคาํ วา มรรคภาวนา (ดู วินย.1/236/175; 2/308/212) ตอ มา ในคมั ภรี ช น้ั อรรถกถา รวมถงึ วสิ ทุ ธมิ คั ค จงึ ระบแุ ละแจกแจงไวช ดั เจนวา โพธปิ ก ขยิ ธรรม 37 ประการ ไดแ กธ รรมเหลาน้ี (ดู อง.ฺ อ.1/77; อิติ.อ.287; ปฏิสํ.อ.2/95, 196, 261; วิสุทฺธ.ิ 3/328) Vism.681. วิสทุ ฺธิ.3/328. [353] มงคล 38 (สิ่งท่ที าํ ใหมีโชคด,ี ธรรมอนั นํามาซง่ึ ความสุขความเจริญ — Maïgala: blessings; เรียกเตม็ วา อดุ มมงคล คอื มงคลอันสงู สดุ — highest blessing) คาถาที่ 1 1. อเสวนา จ พาลานํ (ไมคบคนพาล — Bàla-asevanà: not to associate with fools; to dissociate from the wicked) 2. ปณฺฑิตานจฺ เสวนา (คบบณั ฑิต — Paõóitasevanà: to associate with the wise) 3. ปูชา จ ปชู นียานํ (บชู าคนท่ีควรบชู า — Påjaneyyapåjà: to honour those who are worthy of honour) คาถาท่ี 2 4. ปฏริ ปู เทสวาโส จ (อยใู นปฏิรูปเทศ, อยใู นถ่นิ มสี ิง่ แวดลอ มดี — Pañiråpadesavàsa: living in a suitable region; good environment) 5. ปุพฺเพ จ กตปฺุตา (ไดท ําความดใี หพรอ มไวกอ น, ทาํ ความดเี ตรียมพรอมไวแตตน — Pubbekatapu¤¤atà: having formerly done meritorious deeds) 6. อตฺตสมฺมาปณิธิ จ (ต้ังตนไวชอบ — Attasammàpaõidhi: setting oneself in the right course; right direction in self-guidance; perfect self-adjustment) คาถาท่ี 3 7. พาหสุ จจฺ จฺ (เลา เรยี นศึกษามาก, ทรงความรกู วางขวาง, ใสใ จสดับตรบั ฟง คนควาหา ความรูอ ยเู สมอ — Bàhusacca: great learning; extensive learning) 8. สิปฺปฺจ (มีศลิ ปวิทยา, ชํานาญในวิชาชพี ของตน — Sippa: skill; knowledge of the
หมวดเกนิ 10 275 [353] arts and sciences) 9. วนิ โย จ สุสิกขฺ ิโต (มวี ินยั ท่ไี ดศ ึกษาดีแลว , มีระเบียบวนิ ยั ดี, ไดฝก อบรมตนไวด ี — Vinaya: highly trained discipline) 10. สุภาสิตา จ ยา วาจา (วาจาสภุ าษติ , รจู กั ใชวาจาพูดใหเปนผลดี — Subhàsitavàcà: well-spoken speech) คาถาท่ี 4 11. มาตาปต อุ ปุ ฏานํ (บาํ รงุ มารดาบดิ า — Màtàpitu-upaññhàna: support of mother and father) 12.–13. ปตุ ตฺ ทารสสฺ สงคฺ โห = ปตุ ตฺ สงคฺ ห (สงเคราะหบ ตุ ร — Puttasaïgaha: cherishing of children) และ ทารสงคฺ ห (สงเคราะหภ รรยา — Dàrasaïgaha: cherishing of wife) 14. อนากลุ า จ กมฺมนตฺ า (การงานไมอ ากูล — Anàkulakammanta: a livelihood which is free from complications)* คาถาที่ 5 15. ทานฺจ (รูจ ักให, เผอื่ แผแบงปน , บริจาคสงเคราะหแ ละบาํ เพ็ญประโยชน — Dàna: charity; liberality; generosity) 16. ธมมฺ จรยิ า จ (ประพฤตธิ รรม, ดาํ รงอยใู นศลี ธรรม — Dhammacariyà: righteous conduct) 17. าตกานจฺ สงคฺ โห (สงเคราะหญาติ — ¥àtakasaïgaha: rendering aid to relations) 18. อนวชชฺ านิ กมมฺ านิ (การงานทไ่ี มมีโทษ, กจิ กรรมท่ดี งี าม เปน ประโยชน ซงึ่ ไมเปนทาง เสียหาย — Anavajjakamma: blameless actions; unexceptionable or beneficial activities)** คาถาท่ี 6 19. อารตี วิรตี ปาปา (เวน จากความชว่ั — Pàpavirati: abstaining from evils and avoiding them) 20. มชฺชปานา จ สฺ โม (เวนจากการดม่ื นาํ้ เมา — Majjapànasa¤¤ama: abstinence from intoxicants) 21. อปปฺ มาโท จ ธมเฺ มสุ (ไมประมาทในธรรมทั้งหลาย — Appamàda: diligence in * ทา นอธบิ ายวา ไดแ ก อาชีพการงาน ที่ทําดว ยความขยันหมน่ั เพียร เอาธุระ รจู ักกาล ไมคัง่ คางยอหยอ น — spheres of work which are free from such unprofitableness as dilatoriness and tardiness. (ขทุ ทฺ ก.อ. 153; KhA.139). **ทา นยกตวั อยา งไว เชน การสมาทานอโุ บสถ การบําเพ็ญสาธารณประโยชน สรา งสวน ปลูกปา สรา งสะพาน เปนตน (ขทุ ทฺ ก.อ.156; KhA.141)
[353] 276 พจนานกุ รมพุทธศาสตร virtue; perseverance in virtuous acts) คาถาที่ 7 22. คารโว จ (ความเคารพ, การแสดงออกทีแ่ สดงถงึ ความเปน ผรู จู กั คณุ คา ของบุคคล ส่งิ ของ สถานที่ หรือกิจการน้ันๆ และรูจักใหความสาํ คัญและความใสใจเออ้ื เฟอ โดยเหมาะสม — Gàrava: reverence; respect; appreciative action) 23. นิวาโต จ (ความสภุ าพออ นนอ ม, ถอ มตน — Nivàta: humility, courtesy; politeness) 24. สนตฺ ฏุ ี จ (ความสนั โดษ, ความเอบิ อมิ่ พงึ พอใจในผลสาํ เรจ็ ทไี่ ดส รา งขนึ้ หรอื ในปจ จยั ลาภ ทแ่ี สวงหามาได ดว ยเรย่ี วแรงความเพยี รพยายามของตนเองโดยทางชอบธรรม — Santuññhã: contentment) 25. กตฺ ุตา (มีความกตญั ู — Kata¤¤utà: gratitude) 26. กาเลน ธมมฺ สฺสวนํ (ฟงธรรมตามกาล, หาโอกาสแสวงความรเู กยี่ วกบั หลกั ความจริง ความดีงาม และเร่ืองทเี่ ปน ประโยชน — Dhammassavana: the opportune hearing of the Dhamma; listening to good advice and the teaching of Truth on due occasions) คาถาท่ี 8 27. ขนฺตี จ (มคี วามอดทน — Khanti: patience; forbearance; tolerance) 28. โสวจสฺสตา (เปนผูวางายสอนงาย, พูดกันงาย ฟงเหตุผล — Sovacassatà: amenability to correction; being easy to admonish) 29. สมณานฺจ ทสฺสนํ (พบเห็นสมณะ, เยย่ี มเยือนเขา หาทานผสู งบกเิ ลส — Samaõa- dassana: seeing the monks or holy persons) 30. กาเลน ธมมฺ สากจฉฺ า (สนทนาธรรมตามกาล, หาโอกาสสนทนาแลกเปลยี่ นความรคู วามคดิ เหน็ กนั เกย่ี วกบั หลกั ความจรงิ ความดงี ามและเรอ่ื งทเี่ ปน ประโยชน — Dhammasàkacchà: religious discussion at due seasons; regular or opportune discussion of Truth) คาถาท่ี 9 31. ตโป จ (มคี วามเพยี รเผากิเลส, รจู กั บงั คบั ควบคุมตน ไมปรนเปรอตามใจอยาก — Tapa: self-control; simple life) 32. พฺรหฺมจริยจฺ (ประพฤตพิ รหมจรรย, ดาํ เนนิ ตามอริยมรรค, การรูจกั ควบคุมตนในทาง เพศ หรอื ถอื เมถนุ วริ ัติตามควร* — Brahmacariya: a holy life) 33. อรยิ สจฺจาน ทสฺสนํ (เหน็ อรยิ สจั จ, เขาใจความจรงิ ของชีวติ — Ariyasacca-dassana: discernment of the Noble Truths) * พรหมจรรยในทน่ี ี้ มงุ เอาอัฏฐงั คกิ มรรคเปนหลัก แตจ ะตคี วามแคบหมายถงึ เมถุนวริ ัตกิ ไ็ ด ความหมายอยาง หยอ นสําหรบั คฤหัสถ คือ ถอื พรหมจรรยในบุคคลที่มใิ ชค ูค รอง หรือถือเด็ดขาดในวันอโุ บสถ เปน ตน
หมวดเกนิ 10 277 [354] 34. นพิ พฺ านสจฉฺ กิ ริ ยิ า จ (ทาํ พระนพิ พานใหแ จง , บรรลนุ พิ พาน — Nibbàna-sacchikiriyà: realization of Nibbàna) คาถาที่ 10 35. ผุฏสสฺ โลกธมเฺ มหิ จิตตฺ ํ ยสฺส น กมฺปติ (ถูกโลกธรรม จติ ไมหว่นั ไหว — Akampita- citta: to have a mind which is not shaken when touched by worldly vicissitudes) 36. อโสกํ (จติ ไรเศรา — Asokacitta: to have the mind which is free from sorrow) 37. วิรชํ (จติ ปราศจากธลุ ี — Virajacitta: to have the mind which is undefiled) 38. เขมํ (จติ เกษม — Khemacitta: to have the mind which is secure) แตละคาถามบี ทสรปุ วา “เอตมมฺ งฺคลมตุ ตฺ มํ” (น้เี ปนมงคลอันอดุ ม — this is the highest blessing) มีคาถาสรุปทา ยมงคลท้ัง 38 น้วี า “เอตาทสิ านิ กตฺวาน สพฺพตฺถมปราชิตา สพพฺ ตถฺ โสตถฺ ึ คจฺฉนฺติ ตนฺเตสํ มงคฺ ลมุตตฺ มนฺติ.” แปลวา “เทวะมนุษยท ้งั หลายกระทาํ มงคลเชนนแ้ี ลว ยอ มเปน ผไู มป ราชัยในที่ทกุ สถาน ยอมถึงความสวัสดใี นท่ีทัง้ ปวง นค้ี ืออดุ มมงคลของเทวะมนุษยเหลานนั้ .” (Those who have done these things see no defeat and go in safety everywhere. To them these are the highest blessings.) Kh.V.3; Sn.259-268. ขุ.ข.ุ 25/5/3; ขุ.ส.ุ 25/317/376. [354] กรรมฐาน 40 (ทีต่ ้ังแหงการทาํ งานของจิต, ส่งิ ทใ่ี ชเ ปน อารมณในการเจรญิ ภาวนา, อุปกรณในการฝกอบรมจิต — Kammaññhàna: mental exercises; subjects of meditation) 1. กสิณ 10 ดู [315] 2. อสภุ ะ 10 ดู [336] 3. อนสุ ติ 10 ดู [335] 4. อปั ปมญั ญา 4 ดู [161] 5. อาหาเรปฏกิ ลู สญั ญา (กาํ หนดพจิ ารณาความเปน ปฏกิ ลู ในอาหาร — âhàrepañikålasa¤¤à: perception of the loathsomeness of food) 6. จตุธาตุววฏั ฐาน (กาํ หนดพจิ ารณาธาตุ 4, พิจารณาเห็นรางกายของตนโดยสกั วา เปน ธาตุ 4 แตล ะอยา งๆ; ธาตุมนสิการ กเ็ รียก — Catudhàtu-vavaññhàna: analysis of the four elements) 7. อรปู 4 ดู [207] กรรมฐานใดใหไดสมาธิถงึ ขัน้ ใด ดู [99] ภาวนา 3; กรรมฐานใดเหมาะกับจริตใด ดู [262]
[355] 278 พจนานุกรมพทุ ธศาสตร จริต 6. Vism.110; Comp.204. วสิ ทุ ฺธิ.1/139; สงฺคห.51. [355] เจตสกิ 52 (ธรรมทปี่ ระกอบกบั จติ , สภาวธรรมทเี่ กดิ ดับพรอมกับจติ มีอารมณแ ละ วัตถุที่อาศัยเดียวกันกับจิต, อาการและคุณสมบัติตางๆ ของจิต — Cetasika: mental factors; mental concomitants) ก. อญั ญสมานาเจตสิก 13 (เจตสกิ ท่ีมีเสมอกนั แกจ ิตพวกอน่ื คือ ประกอบเขาไดก ับจิตทุก ฝายทั้งกุศลและอกุศล มิใชเขาไดแตฝายใดฝายหน่ึงพวกเดียว — A¤¤asamàna- cetasika: the Common-to-Each-Other; general mental factors) 1) สพั พจติ ตสาธารณเจตสกิ 7 (เจตสกิ ทเี่ กดิ ทว่ั ไปกบั จติ ทกุ ดวง — Sabbacitta-sàdhàraõa~: universal mental factors; the Primary) 1. ผสั สะ (ความกระทบอารมณ — Phassa: contact; sense-impression) 2. เวทนา (ความเสวยอารมณ — Vedanà: feeling) 3. สญั ญา (ความหมายรูอารมณ — Sa¤¤à: perception) 4. เจตนา (ความจงใจตออารมณ — Cetanà: volition) 5. เอกัคคตา (ความมีอารมณเปนอันเดียว — Ekaggatà: one-pointedness; concentration) 6. ชวี ติ นิ ทรยี (อนิ ทรยี ค อื ชวี ติ , สภาวะทเ่ี ปน ใหญใ นการรกั ษานามธรรมทง้ั ปวง — Jãvitindriya: vitality; life-faculty) 7. มนสกิ าร (ความกระทาํ อารมณไ วใ นใจ, ใสใจ — Manasikàra: attention) 2) ปกณิ ณกเจตสิก 6 (เจตสิกทเี่ ร่ียรายแพรก ระจายทว่ั ไป คือ เกิดกบั จติ ไดท ัง้ ฝา ยกศุ ล และอกศุ ล แตไ มแ นนอนเสมอไปทุกดวง — Pakiõõaka~: particular mental factors; the Secondary) 8. วิตก (ความตรกึ อารมณ — Vitakka: initial application; thought conception; applied thought) 9. วจิ าร (ความตรองหรอื พจิ ารณาอารมณ — Vicàra: sustained application; discursive thinking; sustained thought) 10. อธิโมกข (ความปลงใจหรือปกใจในอารมณ — Adhimokkha: determination; resolution) 11. วริ ิยะ (ความเพยี ร — Viriya: effort; energy) 12. ปต ิ (ความปลาบปลมื้ ในอารมณ, อ่ิมใจ — Pãti: joy; interest) 13. ฉันทะ (ความพอใจในอารมณ — Chanda: conation; zeal) ข. อกศุ ลเจตสกิ 14 (เจตสกิ ฝา ยอกศุ ล — Akusala~: immoral or unwholesome mental
หมวดเกิน 10 279 [355] factors; unprofitable mental factors) 1) สพั พากสุ ลสาธารณเจตสิก 4 (เจตสกิ ทีเ่ กิดท่วั ไปกบั อกศุ ลจิตทุกดวง — Sabbà- kusalasàdhàraõa~: universal immorals; the Primary) 14. โมหะ (ความหลง — Moha: delusion) 15. อหริ ิกะ (ความไมละอายตอ บาป — Ahirika: shamelessness; lack of moral shame) 16. อโนตตปั ปะ (ความไมส ะดงุ กลัวตอบาป — Anottappa: fearlessness of wrong- doing; lack of moral dread) 17. อุทธจั จะ (ความฟงุ ซาน — Uddhacca: restlessness; unrest) 2) ปกณิ ณกอกสุ ลเจตสกิ 10 (อกศุ ลเจตสกิ ทเ่ี กดิ เรย่ี รายแกอ กศุ ลจติ — Pakiõõaka-akusala~: particular immorals; the Secondary) 18. โลภะ (ความอยากไดอารมณ — Lobha: greed) 19. ทิฏฐิ (ความเห็นผดิ — Diññhi: wrong view) 20. มานะ (ความถือตวั — Màna: conceit) 21. โทสะ (ความคดิ ประทษุ ราย — Dosa: hatred) 22. อสิ สา (ความรษิ ยา — Issà: envy; jealousy) 23. มัจฉรยิ ะ (ความตระหนี่ — Macchariya: stinginess; meanness) 24. กกุ กุจจะ (ความเดือดรอ นใจ — Kukkucca: worry; remorse) 25. ถีนะ (ความหดหู — Thãna: sloth) 26. มทิ ธะ (ความงว งเหงา — Middha: torpor) 27. วจิ ิกจิ ฉา (ความคลางแคลงสงสัย — Vicikicchà: doubt; uncertainty; scepsis) ค. โสภณเจตสกิ 25 (เจตสิกฝา ยดงี าม — Sobhaõa~: beautiful mental factors; lofty mental factors) 1) โสภณสาธารณเจตสกิ 19 (เจตสกิ ทเ่ี กดิ ทวั่ ไปกบั จติ ดงี ามทกุ ดวง — Sobhaõasàdhàraõa~: universal beautiful mental factors; the Primary) 28. สทั ธา (ความเช่ือ — Saddhà: confidence; faith) 29. สติ (ความระลกึ ได, ความสาํ นกึ พรอ มอยู — Sati: mindfulness) 30. หริ ิ (ความละอายตอบาป — Hiri: moral shame; conscience) 31. โอตตปั ปะ (ความสะดงุ กลวั ตอ บาป — Ottappa: moral dread) 32. อโลภะ (ความไมอ ยากไดอ ารมณ — Alobha: non-greed) 33. อโทสะ (ความไมคดิ ประทษุ ราย — Adosa: non-hatred) 34. ตัตรมชั ฌตั ตตา (ความเปนกลางในอารมณน ้ันๆ — Tatramajjhattatà: equanimity; specific neutrality)
[356] 280 พจนานกุ รมพุทธศาสตร 35. กายปส สทั ธิ (ความสงบแหง กองเจตสกิ — Kàya-passaddhi: tranquillity of mental body) 36. จิตตปสสทั ธิ (ความสงบแหง จติ — Citta-passaddhi: tranquillity of mind) 37. กายลหุตา (ความเบาแหงกองเจตสกิ — Kàya-lahutà: lightness of mental body; agility of ~) 38. จติ ตลหุตา (ความเบาแหงจติ — Citta-lahutà: lightness of mind; agility of ~) 39. กายมทุ ตุ า (ความออ นหรอื นมุ นวลแหง กองเจตสกิ — Kàya-mudutà: pliancy of mental body; elasticity of ~) 40. จติ ตมทุ ตุ า (ความออ นหรอื นมุ นวลแหง จติ — Citta-mudutà: pliancy of mind; elasticity of ~) 41. กายกมั มญั ญตา (ความควรแกก ารงานแหง กองเจตสกิ — Kàya-kamma¤¤atà: adaptability of mental body; wieldiness of ~) 42. จติ ตกมั มญั ญตา (ความควรแกการงานแหง จิต — Citta-kamma¤¤atà: adaptability of mind; wieldiness of ~) 43. กายปาคุญญตา (ความคลอ งแคลวแหงกองเจตสิก — Kàya-pàgu¤¤atà: proficiency of mental body) 44. จติ ตปาคญุ ญตา (ความคลอ งแคลว แหง จติ — Citta-pàgu¤¤atà: proficiency of mind) 45. กายชุ ุกตา (ความซ่อื ตรงแหงกองเจตสิก — Kàyujukatà: rectitude of mental body; uprightness of ~) 46. จติ ตชุ กุ ตา (ความซอื่ ตรงแหง จติ — Cittujukatà: rectitude of mind; uprightness of ~) 2) วิรตเี จตสกิ 3 (เจตสิกท่เี ปนตวั ความงดเวน — Viratã~: abstinences) 47. สัมมาวาจา (เจรจาชอบ — Sammàvàcà: right speech) 48. สัมมากมั มนั ตะ (กระทาํ ชอบ — Sammàkammanta: right action) 49. สมั มาอาชีวะ (เลีย้ งชพี ชอบ — Sammà-àjãva: right livelihood) 3) อปั ปมัญญาเจตสกิ 2 (เจตสกิ คืออปั ปมญั ญา — Appama¤¤à~: boundless states) 50. กรุณา (ความสงสารสัตวผ ถู งึ ทุกข — Karuõà: compassion) 51. มุทติ า (ความยินดตี อ สัตวผูไ ดสุข — Mudità: sympathetic joy) 4) ปญ ญินทรยี เจตสกิ 1 (เจตสิกคือปญ ญนิ ทรีย — fuculty of wisdom) 52. ปญ ญนิ ทรยี หรอื อโมหะ (ความรเู ขา ใจ ไมห ลง — Pa¤¤indriya, Amoha: undeluded- ness; wisdom) Comp.94. สงคฺ ห.7. [356] จิต 89 หรอื 121 (ธรรมชาตทิ ร่ี อู ารมณ, สภาพที่นึกคดิ , ความคดิ , ใจ, วญิ ญาณ — Citta: mind; thought; consciousness; a state of consciousness)
หมวดเกิน 10 281 [356] จิต มไี วพจน คือ คาํ ท่ตี า งเพยี งรูป แตม ีความหมายเหมือนกันหรอื คลายกัน ใชแทนกนั ได หลายคํา เชน มโน มานัส หทัย บัณฑร มนายตนะ มนนิ ทรยี และ วญิ ญาณ เปน ตน (อภิ.ส.ํ 34/21/10; ฯลฯ) คาํ เหลานมี้ คี วามหมายเกยกัน มใิ ชต รงกันโดยสมบรู ณ ใชแทนกันไดใ นบาง โอกาส มิใชเสมอไป เมอ่ื จดั แบง สภาวธรรมทง้ั หลายเปน ประเภทๆ ทเ่ี รยี กวา ขนั ธ 5 จติ ไดแ ก วญิ ญาณขนั ธ แต ในคมั ภรี อภธิ รรมยุคตอ มา นยิ มประมวลสภาวธรรมเขา เปน 4 อยา ง เรียกวา ปรมตั ถธรรม 4 จิตเปน ปรมัตถธรรมอยางท่ี 1; ดู [157] ปรมัตถธรรม 4; [216] ขันธ 5. คมั ภรี อ ภิธรรมรนุ อรรถกถา ประมวลเรอ่ื งจติ ท่ีแสดงไวในพระอภิธรรมปฎกแลว แจงนบั สภาพจิตทัง้ หลายไววามจี าํ นวน 89 หรือโดยพิสดารมี 121 เรียกวา จิต 89 หรือ 121 เบอ้ื งตน นี้ จะประมวลจติ ทงั้ หมดไวเ ปน หมวดหมใู หญๆ กอ น เพอ่ื สะดวกในการศกึ ษากาํ หนด จดจาํ และทบทวนตอ ไป ในทน่ี ี้ พงึ ทราบวธิ จี าํ แนกประเภท 2 แบบ เปรยี บเทยี บกนั ดงั นี้* * ทา นเรยี บเรยี งเปน คาถาสรปุ ความไว ดังนี้ กสุ ลาเนกวีสติ ทวฺ าทสากสุ ลาเนว กรฺ ิยาจิตฺตานิ วสี ติ ฯ ฉตฺตเึ สว วปิ ากานิ รูเป ปณฺณรสรี เิ ย จตุปฺาสธา กาเม อฎ ธานุตฺตเร ตถา ฯ จิตฺตานิ ทฺวาทสารเู ป ปเภทํ ปน มานสํ อติ ฺถเมกนู นวตุ ปิ -ฺ วิภชนฺติ วิจกขฺ ณา ฯ เอกวสี สตํ วาถ
[356] 282 พจนานุกรมพุทธศาสตร โสภณจิต 59 (91) ฌานจติ 67 ก. โดยชาติประเภท ข. โดยภูมิประเภท 1. อกุศลจติ 12 1. กามาวจรจิต 54 - โลภมลู จิต 8 1) อกศุ ลจิต 12 - โทสมลู จิต 2 - โลภมลู จิต 8 - โมหมูลจิต 2 - โทสมูลจิต 2 - โมหมลู จติ 2 2. กศุ ลจติ 21 (37) 2) อเหตกุ จติ 18 - มหากศุ ลจติ 8 - อกุศลวบิ ากจติ 7 - รปู าวจรกศุ ลจติ 5 - กศุ ลวิบากอเหตุกจิต 8 - อรูปาวจรกุศลจิต 4 - อเหตุกกริ ยิ าจติ 3 - โลกตุ ตรกุศลจิต 4 (20) 3) กามาวจรโสภณจติ 24 3. วิปากจติ 36 (52) - มหากุศลจิต 8 - อกุศลวิบากจติ 7 - มหาวิบากจติ 8 - กุศลวบิ ากอเหตุกจติ 8 - มหากริ ิยาจิต 8 - มหาวิบากจติ 8 2. รปู าวจรจิต 15 - รปู าวจรวิบากจิต 5 - อรูปาวจรวบิ ากจติ 4 1) รปู าวจรกศุ ลจิต 5 - โลกตุ ตรวิบากจิต 4 (20) 2) รปู าวจรวบิ ากจิต 5 3) รปู าวจรกิริยาจติ 5 4. กริ ยิ าจิต 20 3. อรปู าวจรจิต 12 - อเหตกุ กริ ิยาจิต 3 1) อรปู าวจรกุศลจิต 4 - มหากิริยาจิต 8 2) อรปู าวจรวบิ ากจติ 4 - รูปาวจรกิริยาจติ 5 3) อรปู าวจรกริ ิยาจติ 4 - อรูปาวจรกริ ิยาจิต 4 4. โลกตุ ตรจติ 8 (× ฌาน 5 = 40) 1) โลกุตตรกศุ ลจิต 4 (20) 2) โลกตุ ตรวบิ ากจติ 4 (20) หมายเหต:ุ ตวั เลขในวงเลบ็ ( ) หมายถงึ จาํ นวนอยา งพสิ ดาร เมอ่ื นบั จติ เปน 121 (พงึ สงั เกตวา จาํ นวนจะเพม่ิ เฉพาะ โลกตุ ตรจติ อยา งเดยี ว คอื โลกตุ ตรจติ อยา งยอ มี 8 อยา งพสิ ดารจาํ แนกออกไปตามฌานทง้ั 5 เปน 40) ตอไปจะแสดง จติ 89 [121] ตามแบบภมู ิประเภท (แบบชาติประเภทพงึ กาํ หนดเอา จากแบบภูมปิ ระเภทนี้ ตามหวั ขอทแี่ สดงไวแ ลว )
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411