Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พจนานุกรม พุทธศาสตร ฉบับประมวลธรรม ( PDFDrive )

พจนานุกรม พุทธศาสตร ฉบับประมวลธรรม ( PDFDrive )

Description: พจนานุกรม พุทธศาสตร ฉบับประมวลธรรม ( PDFDrive )

Search

Read the Text Version

หมวด 10 233 [319] [318] กิเลส 10 (สภาพที่ทาํ ใหจิตเศราหมอง — Kilesa: defilements) 1. โลภะ (ความอยากได — Lobha: greed) 2. โทสะ (ความคดิ ประทุษรา ย — Dosa: hatred) 3. โมหะ (ความหลง, ความไมรู, ความเขลา — Moha: delusion) 4. มานะ (ความถอื ตวั — Màna: conceit) 5. ทิฏฐิ (ความเหน็ ผดิ — Diññhi: wrong view) 6. วิจิกิจฉา (ความลงั เลสงสยั , ความเคลือบแคลง — Vicikicchà: doubt; uncertainty) 7. ถนี ะ (ความหดหู, ความทอแทถดถอย — Thãna: sloth) 8. อุทธจั จะ (ความฟุงซาน — Uddhacca: restlessness) 9. อหริ กิ ะ (ความไมล ะอายตอความชว่ั — Ahirika: shamelessness) 10. อโนตตัปปะ (ความไมเ กรงกลัวตอ ความชวั่ — Anottappa: lack of moral dread) สิบอยา งนี้ ในบาลีเดมิ เรยี กวา กเิ ลสวัตถุ (สง่ิ กอ ความเศราหมอง) 10 Vbh.391. อภ.ิ วิ.35/1026/528. [319] กศุ ลกรรมบถ 101 (ทางแหงกศุ ลกรรม, ทางทําความดี, กรรมดีอนั เปนทางนาํ ไปสู สคุ ติ — Kusala-kammapatha: wholesome course of action) วา โดยหวั ขอยอ ดังนี้ ก. กายกรรม 3 (การกระทาํ ทางกาย — Kàyakamma: bodily action) 1. ปาณาตปิ าตา เวรมณ*ี (เวนจากปลงชวี ติ — Pàõàtipàtà veramaõã: abstention from killing) 2. อทินฺนาทานา เวรมณี (เวน จากถอื เอาของที่เขามไิ ดใ หโ ดยอาการขโมย — Adinnàdànà ~: abstention from taking what is not given) 3. กาเมสุมจิ ฉฺ าจารา เวรมณี (เวน จากประพฤตผิ ิดในกาม — Kàmesumicchàcàrà ~: abstention from sexual misconduct) ข. วจกี รรม 4 (การกระทําทางวาจา — Vacãkamma: verbal action) 4. มุสาวาทา เวรมณี (เวน จากพดู เทจ็ — Musàvàdà ~: abstention from false speech) 5. ปส ุณาย วาจาย เวรมณี (เวน จากพูดสอเสยี ด — Pisuõàya vàcàya ~: abstention from tale-bearing) 6. ผรุสาย วาจาย เวรมณี (เวน จากพูดคาํ หยาบ — Pharusàya vàcàya ~: abstention from harsh speech) 7. สมฺผปฺปลาปา เวรมณี (เวนจากพูดเพอเจอ — Samphappalàpà ~: abstention from * เวรมณี แปลวา “เจตนาทีท่ าํ ใหเ วน” หรอื “เจตนาท่ีตรงขาม” เมือ่ จะแปลใหเ ตม็ ความ จึงควรแปลวา “การ กระทําทีว่ างจากการคิดเบยี ดเบยี น” หรือ “การทาํ ดที ี่ตรงขา มกับการเบยี ดเบยี นชวี ิต” ดงั นีเ้ ปน ตน

[320] 234 พจนานกุ รมพุทธศาสตร vain talk or gossip) ค. มโนกรรม 3 (การกระทาํ ทางใจ — Manokamma: mental action) 8. อนภชิ ฺฌา (ความไมคิดเพง เลง็ อยากไดของเขา — Anabhijjhà: non-covetousness) 9. อพยฺ าปาท (ความไมค ดิ รายตอ ผอู นื่ — Abyàpàda: non-illwill) 10. สมมฺ าทิฏ ิ (ความเหน็ ชอบ ถูกตอ งตามคลองธรรม — Sammàdiññhi: right view) D.III.269,290. ที.ปา.11/360/284; 471/337. [320] กศุ ลกรรมบถ 102 (ทางแหง กศุ ลกรรม, ทางทาํ ความดี, กรรมดอี ันเปน ทางนําไปสู ความสุขความเจรญิ หรอื สุคติ — Kusala-kammapatha: wholesome course of action) วา โดยขอธรรมสมบรู ณ (แปลตดั เอาแตใจความ) ดังนี้ ก. กายกรรม 3 (การกระทําทางกาย — bodily action) 1. ปาณาตปิ าตํ ปหาย ฯเปฯ สพพฺ ปาณภตู หิตานกุ มปฺ  โหติ (ละการฆาการเบียดเบยี น มี เมตตากรุณาชวยเหลอื เก้อื กูลกนั — to avoid the destruction of life and be anxious for the welfare of all lives) 2. อทนิ ฺนาทานํ ปหาย ฯเปฯ อทินนฺ ํ เถยฺยสงขฺ าตํ อนาทาตา โหติ (ละอทินนาทาน เคารพกรรมสิทธใิ์ นทรพั ยสินของผอู ่ืน — to avoid stealing, not violating the right to private property of others) 3. กาเมสุมจิ ฉฺ าจารํ ปหาย ฯเปฯ น จาริตฺตํ อาปชชฺ ติ า โหติ (ละการประพฤตผิ ิดในกาม ไมล ว งละเมิดประเพณีทางเพศ — to avoid sexual misconduct, not transgressing sex morals) ข. วจกี รรม 4 (การกระทาํ ทางวาจา — verbal action) 4. มุสาวาทํ ปหาย ฯเปฯ น สมปฺ ชานมุสา ภาสติ า โหติ (ละการพูดเทจ็ ไมยอมกลา วเทจ็ เพราะเหตุตนเอง ผอู ่ืน หรือเพราะเหน็ แกผ ลประโยชนใ ดๆ — to avoid lying, not knowingly speaking a lie for the sake of any advantage) 5. ปส ณุ ํ วาจํ ปหาย ฯเปฯ สมคคฺ กรณึ วาจํ ภาสิตา โหติ (ละการพูดคําสอ เสียด ชวย สมานคนที่แตกราวกัน สงเสริมคนท่ีสมัครสมานกัน ชอบกลาวถอยคําที่สรางสามัคคี — to avoid malicious speech, unite the discordant, encourage the united and utter speech that makes for harmony) 6. ผรุสํ วาจํ ปหาย ฯเปฯ พหชุ นมนาปา ตถารูป วาจํ ภาสติ า โหติ (ละคาํ หยาบ พดู แต คําสุภาพออ นหวาน — to avoid harsh language and speak gentle, loving, courteous, dear and agreeable words) 7. สมผฺ ปปฺ ลาป ปหาย ฯเปฯ กาลวาที ภตู วาที อตถฺ วาที ธมมฺ วาที วนิ ยวาที นธิ านวตึ วาจํ ภาสิตา โหติ ฯเปฯ (ละการพดู เพอ เจอ พดู แตค าํ จรงิ มเี หตผุ ล มสี ารประโยชน ถูก

หมวด 10 235 [321] กาลเทศะ — to avoid frivolous talk; to speak at the right time, in accordance with facts, what is useful, moderate and full of sense) ค. มโนกรรม 3 (การกระทาํ ทางใจ — mental action) 8. อนภชิ ฺฌาลุ โหติ ฯเปฯ (ไมเพงเลง็ อยากไดข องผูอนื่ — to be without covetousness) 9. อพยฺ าปนนฺ จติ ฺโต โหติ ฯเปฯ สขุ ี อตตฺ านํ ปริหรนตฺ ูติ (ไมมจี ิตคดิ รา ย คดิ ปรารถนา แตว า ขอใหสตั วท้งั หลายไมมเี วร ไมเบยี ดเบียน ไมม ที ุกข ครองตนอยูเปนสุขเถิด — to be free from ill-will, thinking, ‘Oh, that these beings were free from hatred and ill- will, and would lead a happy life free from trouble.’) 10. สมมฺ าทฏิ  โิ ก โหติ ฯเปฯ สยํ อภิ ฺ า สจฉฺ กิ ตวฺ า ปเวเทนตฺ ตี ิ (มคี วามเหน็ ชอบ เชน วา ทานมผี ล การบชู ามผี ล ผลวบิ ากของกรรมดกี รรมชวั่ มี เปน ตน — to possess right view such as that gifts, donations and offerings are not fruitless and that there are results of wholesome and unwholesome actions) กศุ ลกรรมบถหมวดน้ี ในบาลเี รยี กช่ือหลายอยา ง เชน วา ธรรมจริยา (ความประพฤตธิ รรม — righteous conduct) บา ง โสไจย (ความสะอาดหรอื เครอื่ งชาํ ระตวั — cleansing) บา ง อรยิ - ธรรม (อารยธรรม, ธรรมของผเู จรญิ — virtues of a noble or civilized man) บา ง อรยิ มรรค (มรรคาอนั ประเสรฐิ — the noble path) บา ง สทั ธรรม (ธรรมด,ี ธรรมแท — good law; true law) บา ง สปั ปรุ สิ ธรรม (ธรรมของสตั บรุ ษุ — qualities of a good man) บา ง ฯลฯ M.I.287; A.V.266,275–278. ม.มู.12/485/523; อง.ฺ ทสก.24/165/287; 168–181/296–300. [321] อกุศลกรรมบถ 10 (ทางแหง อกศุ ลกรรม, ทางทําความช่ัว, กรรมชว่ั อนั เปน ทางนาํ ไปสคู วามเสอื่ ม ความทกุ ข หรือทุคติ — Akusala-kammapatha: unwholesome course of action) ก. กายกรรม 3 (การกระทําทางกาย — Kàyakamma: bodily action) 1. ปาณาตบิ าต (การทาํ ชวี ติ ใหต กลว ง, ปลงชวี ติ — Pàõàtipàta: destruction of life; killing) 2. อทินนาทาน (การถอื เอาของท่ีเขามไิ ดใ ห โดยอาการขโมย, ลักทรัพย — Adinnàdàna: taking what is not given; stealing) 3. กาเมสุมิจฉาจาร (ความประพฤติผิดในกาม — Kàmesumicchàcàra: sexual misconduct) ข. วจกี รรม 4 (การกระทําทางวาจา — Vacãkamma: verbal action) 4. มสุ าวาท (การพูดเทจ็ — Musàvàda: false speech) 5. ปส ุณาวาจา (วาจาสอเสยี ด — Pisuõàvàcà: tale-bearing; malicious speech) 6. ผรุสวาจา (วาจาหยาบ — Pharusavàcà: harsh speech) 7. สัมผปั ปลาปะ (คาํ พดู เพอ เจอ — Samphappalàpa: frivolous talk; vain talk; gossip)

[322] 236 พจนานกุ รมพุทธศาสตร ค. มโนกรรม 3 (การกระทําทางใจ — Manokamma: mental action) 8. อภิชฌา (เพง เล็งอยากไดข องเขา — Abhijjhà: covetousness; avarice) 9. พยาบาท (คิดรายผอู ่ืน — Byàpàda: illwill) 10. มิจฉาทิฏฐิ (เหน็ ผิดจากคลองธรรม — Micchàdiññhi: false view; wrong view) D.III.269,290; A.V.264. ท.ี ปา.11/359/284; 470/337; อง.ฺ ทสก.24/165/285. [322] เถรธรรม 10 (คุณธรรมทที่ ําใหพ ระเถระอยสู ําราญในที่ทุกสถาน — Theradhamma: qualities which make for happy living of an elder monk) 1. เถโร รตตฺ ฺ ู (เปนผใู หญ บวชนาน รเู หน็ กจิ การ ทรงจาํ เรือ่ งราวไวไ ดม าก — Thero ratta¤¤å: to be an elder monk of long experience) 2. สลี วา (มีศีล เครง ครัดในสกิ ขาบททัง้ หลาย — Sãlavà: to be virtuous; to have good conduct) 3. พหุสฺสุโต (เปน พหสู ตู ทรงความรู — Bahussuto: to be much learned) 4. สฺวาคตปาฏโิ มกฺโข (ทรงปาฏิโมกข รูหลกั แหง วินัย แคลว คลอง ชาํ นิชํานาญ สามารถ วนิ จิ ฉัยไดด ว ยดี — Svàgatapàñimokkho: to be well versed in the codes of discipline) 5. อธิกรณสมปุ ปฺ าทวูปสมกสุ โล (ฉลาดในการระงับอธิกรณท ่เี กดิ ขนึ้ — Adhikaraõa- samuppàdavåpasamakusalo: to be skilled in settling a legal question that has arisen) 6. ธมมฺ กาโม (เปน ผใู ครธ รรม รักความรู รกั ความจริง รจู ักรบั ฟง และรจู กั พูด ทําใหเปนทช่ี นื่ ชมสนทิ สนมสบายใจ นาเขา ไปปรกึ ษาสนทนา และชอบศึกษา ยนิ ดีปรีดาในหลักธรรมหลกั วนิ ยั ทีย่ ่งิ ๆ ขึ้นไป — Dhammakàmo: to love the Dhamma, be pleasant to consult and converse with, and find joy in the advanced teaching of both the Doctrine and the Discipline) 7. สนตฺ ฏุ โ (เปนผูส นั โดษดว ยปจ จัยสต่ี ามมตี ามได — Santuññho: to be content with whatsoever supply of the four requisites he may get) 8. ปาสาทโิ ก (จะไปจะมา มอี าการกิรยิ านาเลอื่ มใส แมเ ขาไปในละแวกบา น กส็ ํารวมเปนอนั ดี — Pàsàdiko: to be charming and perfectly composed in his goings out and comings in and in sitting in the house) 9. ฌานลาภี (ไดแ คลวคลองในฌาน 4 ท่เี ปนเคร่อื งอยสู ขุ สบายในปจจบุ ัน — Jhànalàbhã: to be able to gain pleasure of the Four Absorptions) 10. วิมุตฺโต (บรรลเุ จโตวมิ ตุ ติปญญาวิมตุ ติ ส้ินอาสวะ — Vimutto: to have gained the Deliverance) A.V.201. องฺ.ทสก.24/98/215.

หมวด 10 237 [323] [323] ทศพลญาณ (บาลเี รยี ก ตถาคตพลญาณ 10 คอื พระญาณอนั เปน กําลังของพระ ตถาคต 10 ประการ ท่ีทาํ ใหพระองคส ามารถบนั ลือสีหนาท ประกาศพระศาสนาไดม น่ั คง — Dasa-bala¤àõa: the Ten Powers of the Perfect One) 1. ฐานาฐานญาณ (ปรชี าหย่งั รฐู านะและอฐานะ คอื รูกฎธรรมชาติเกี่ยวกับขอบเขตและขีด ข้นั ของสิง่ ทง้ั หลายวา อะไรเปน ไปได อะไรเปนไปไมได และแคไหนเพยี งไร โดยเฉพาะในแง ความสัมพนั ธร ะหวา งเหตุกับผล และกฎเกณฑทางจริยธรรม เก่ยี วกับสมรรถวสิ ัยของบคุ คล ซ่งึ จะไดรบั ผลกรรมทีด่ ีและชว่ั ตางๆ กัน — òhànàñhàna-¤àõa: knowledge of instance and no instance; knowledge of possibilities and impossibilities) 2. กรรมวปิ ากญาณ (ปรชี าหย่งั รผู ลของกรรม คือ สามารถกําหนดแยกการใหผ ลอยางสลับ ซบั ซอ น ระหวางกรรมดกี บั กรรมชวั่ ท่สี ัมพันธก บั ปจจัยแวดลอมตา งๆ มองเหน็ รายละเอียด และความสัมพันธภายในกระบวนการกอผลของกรรมอยา งชัดเจน — Kammavipàka-¤àõa: knowledge of the ripening of action; knowledge of the results of kamma) 3. สพั พัตถคามนิ ปี ฏปิ ทาญาณ (ปรีชาหยงั่ รูขอปฏบิ ตั ทิ ่ีจะนาํ ไปสคู ติท้ังปวง คือ สุคติ ทุคติ หรอื พน จากคติ หรอื ปรชี าหยงั่ รขู อ ปฏบิ ตั ทิ จี่ ะนาํ ไปสอู รรถประโยชนท งั้ ปวง กลา วคอื ทฏิ ฐธมั มกิ ตั ถะ สมั ปรายกิ ตั ถะ หรอื ปรมัตถะ คือรวู า เมื่อปรารถนาจะเขาถึงคตหิ รอื ประโยชนใ ด จะตองทํา อะไรบาง มรี ายละเอยี ดวิธีปฏบิ ตั ิอยางไร — Sabbatthagàminãpañipadà-¤àõa: knowledge of the way that leads anywhere; knowledge of the practices leading to all destinies and all goals) 4. นานาธาตญุ าณ (ปรีชาหย่ังรสู ภาวะของโลกอันประกอบดวยธาตตุ างๆ เปนอเนก คอื รู สภาวะของธรรมชาติ ท้ังฝา ยอปุ าทนิ นกสงั ขารและฝา ยอนุปาทินนกสังขาร เชน รจู ักสว น ประกอบตางๆ ของชีวติ สภาวะของสวนประกอบเหลา น้ัน พรอ มท้ังลักษณะและหนา ทีข่ องมนั แตละอยาง อาทิการปฏิบตั หิ นา ทขี่ องขันธ อายตนะ และธาตตุ างๆ ในกระบวนการรับรู เปนตน และรูเหตุแหงความแตกตางกันของสิ่งท้ังหลายเหลานั้น — Nànàdhàtu-¤àõa: knowledge of the world with its many different elements) 5. นานาธมิ ตุ ติกญาณ (ปรีชาหยง่ั รอู ธมิ ุติ คอื รูอ ัธยาศัย ความโนม เอยี ง ความเชอ่ื ถือ แนว ความสนใจ เปนตน ของสัตวทั้งหลายที่เปนไปตางๆ กัน — Nànàdhimuttika-¤àõa: knowledge of the different dispositions of beings) 6. อินทริยปโรปริยัตตญาณ (ปรีชาหย่ังรูความยิ่งและหยอ นแหงอินทรยี ของสัตวท ง้ั หลาย คอื รูวาสตั วน้นั ๆ มศี รัทธา วริ ยิ ะ สติ สมาธิ ปญญา แคไ หน เพียงใด มีกิเลสมาก กเิ ลสนอย มี อินทรียออน หรือแกกลา สอนงาย หรือสอนยาก มีความพรอมที่จะตรัสรูหรือไม — Indriyaparopariyatta-¤àõa: knowledge of the state of faculties of beings; knowledge of the inferiority and superiority of the controlling faculties of various beings; knowledge as regards maturity of persons)

[324] 238 พจนานุกรมพทุ ธศาสตร 7. ฌานาทสิ ังกิเลสาทญิ าณ (ปรีชาหย่ังรูความเศรา หมอง ความผองแผว การออกแหง ฌาน วโิ มกข สมาธิ และสมาบตั ทิ งั้ หลาย — Jhànàdisaïkilesàdi-¤àõa: knowledge of defilement, cleansing and emergence in the cases of the meditations, liberations, concen- trations and attainments) 8. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ (ปรีชาหย่ังรูอันทําใหระลึกภพที่เคยอยูในหนหลังได — Pubbenivàsànussati-¤àõa: knowledge of the remembrance of former existences) 9. จุตปู ปาตญาณ (ปรีชาหย่งั รจู ตุ ิและอบุ ตั ขิ องสัตวทัง้ หลายอนั เปนไปตามกรรม — Cutå- papàta-¤àõa: knowledge of the decease and rebirth of beings) 10. อาสวักขยญาณ (ปรีชาหย่งั รูค วามสนิ้ ไปแหง อาสวะทงั้ หลาย — âsavakkhaya-¤àõa: knowledge of the exhaustion of mental intoxicants) M.I.69; A.V.33; Vbh.336. ม.มู.12/166/140; องฺ.ทสก.24/21/35; อภิ.วิ.35/839/454. [,,,] ทศพธิ ราชธรรม ดู [326] ราชธรรม 10. [,,,] ธรรมจรยิ า 10 เปน อกี ช่อื หน่ึงของ [320] กศุ ลกรรมบถ 10 2. [,,,] ธรรมมอี ปุ การะมาก 10 ดู [324] นาถกรณธรรม 10. [324] นาถกรณธรรม 10 (ธรรมอันกระทาํ ทพ่ี ึ่ง, ธรรมสรางทพี่ ึง่ , คณุ ธรรมทท่ี ําใหต นเปน ที่พ่ึงของตนได — Nàthakaraõa-dhamma: virtues which make for protection) 1. สลี (ความประพฤตดิ งี ามสจุ รติ รกั ษาระเบยี บวนิ ยั มอี าชวี ะบรสิ ทุ ธิ์ — Sãla: good conduct; keeping moral habits) 2. พาหุสจฺจ (ความเปนผูไดศ กึ ษาเลาเรียนมาก มีความรคู วามเขาใจลกึ ซ้ึง — Bàhusacca: great learning) 3. กลยฺ าณมติ ตฺ ตา (ความมีกัลยาณมติ ร, การคบคนดี ไดที่ปรึกษา และผแู นะนาํ สง่ั สอนทดี่ ี — Kalyàõamittatà: good company; association with good people) 4. โสวจสสฺ ตา (ความเปนผูวางายสอนงาย รับฟงเหตผุ ล — Sovacassatà: amenability to correction; meekness; easy admonishability) 5. กิงกฺ รณีเยสุ ทกขฺ ตา (ความเอาใจใสชวยขวนขวายในกิจใหญน อ ยทุกอยางของเพื่อนรวม หมูคณะ รูจักพิจารณาไตรตรอง สามารถจัดทําใหสําเร็จเรียบรอย — Ki§karaõãyesu dakkhatà: willingness to give a helping hand; diligence and skill in managing all affairs of one’s fellows in the community) 6. ธมฺมกามตา (ความเปนผูใครธรรม คอื รักธรรม ใฝความรใู ฝความจรงิ รูจ กั พดู รูจกั รับฟง ทําใหเกดิ ความพอใจ นา รว มปรกึ ษาสนทนา ชอบศึกษา ยินดปี รดี าในหลักธรรมหลกั วนิ ยั ท่ี ละเอียดลึกซงึ้ ยิ่งๆ ขนึ้ ไป — Dhammakàmatà: love of truth; to love the Dhamma, be

หมวด 10 239 [325] pleasant to consult and converse with and rejoice in the advanced teaching of both the Doctrine and the Discipline) 7. วริ ยิ ารมภฺ (ความขยนั หมนั่ เพยี ร คอื เพยี รละความชว่ั ประกอบความดี มใี จแกลว กลา บาก บนั่ กา วหนา ไมย อ ทอ ไมท อดทงิ้ ธรุ ะ — Viriyàrambha: energy; effort; energetic exertion) 8. สนตฺ ุฏ ี (ความสนั โดษ คอื ยนิ ดี มคี วามสขุ ความพอใจดว ยปจ จยั สที่ หี่ ามาไดด ว ยความเพยี ร อนั ชอบธรรมของตน — Santuññhã: contentment) 9. สติ (ความมสี ติ รูจักกาํ หนดจดจํา ระลึกการท่ีทําคาํ ทพี่ ดู ไวไ ด เปน อยอู ยางไมประมาท — Sati: mindfulness; ability to remember what one has done and spoken) 10. ปฺ า (ความมปี ญ ญาหย่งั รเู หตุผล รูจกั คดิ พจิ ารณา เขาใจภาวะของสิ่งทั้งหลายตาม ความเปนจรงิ — Pa¤¤à: wisdom; insight) นาถกรณธรรมน้ี ทา นเรยี กวาเปน พหุการธรรม หรอื ธรรมมอี ปุ การะมาก เพราะเปน กําลังหนุนในการบําเพ็ญคุณความดีทั้งหลาย ยังประโยชนตนและประโยชนผูอ่ืนใหสําเร็จได อยางกวางขวางไพบลู ย D.III.266,290; A.V.23. ที.ปา.11/357/281; 466/334; องฺ.ทสก.24/17/25. [325] บารมี 10 หรอื ทศบารมี (ปฏปิ ทาอันยวดยง่ิ , คณุ ธรรมทีป่ ระพฤตปิ ฏิบัตอิ ยา งยง่ิ ยวด คอื ความดที บ่ี าํ เพญ็ อยา งพเิ ศษ เพอ่ื บรรลซุ งึ่ จดุ หมายอนั สงู เชน ความเปน พระพทุ ธเจา และความเปนมหาสาวก เปนตน — Pàramã: perfections) 1. ทาน (การให การเสียสละ — Dàna: giving; charity; generosity; liberality) 2. ศลี (การรกั ษากายวาจาใหอยใู นหลกั ความประพฤติท่ีเปน แบบแผนแหงภาวะของตน, ความ ประพฤติดีงามถกู ตองตามระเบยี บวินยั —Sãla: morality; good conduct) 3. เนกขมั มะ (การออกบวช, ความปลกี ตัวปลกี ใจจากกาม — Nekkhamma: renunciation) 4. ปญญา (ความรอบรู, ความหยงั่ รเู หตุผล เขาใจสภาวะของสิ่งทัง้ หลายตามความเปน จรงิ และรจู กั แกไขปฏบิ ตั จิ ัดการตางๆ — Pa¤¤à: wisdom; insight; understanding) 5. วริ ิยะ (ความเพยี ร, ความแกลวกลา ไมเกรงกลัวอปุ สรรค พยายามบากบ่นั อตุ สาหะ กาว หนา เรื่อยไป ไมทอดท้งิ ธุระหนาที่ — Viriya: energy; effort; endeavour) 6. ขนั ติ (ความอดทน, ความทนทานของจิตใจ สามารถใชส ติปญญาควบคุมตนใหอยใู นอาํ นาจ เหตผุ ล และแนวทางความประพฤติหรือการปฏิบตั ิ ทต่ี งั้ ไวเพ่อื จดุ หมายอนั ชอบ ไมลอุ าํ นาจ กเิ ลส — Khanti: forbearance; tolerance; endurance) 7. สัจจะ (ความจริง คือ พูดจริง ทาํ จริง และจริงใจ — Sacca: truthfulness) 8. อธษิ ฐาน (ความตง้ั ใจมัน่ , การตดั สนิ ใจเดด็ เดย่ี ว วางจดุ หมายแหง การกระทําของตนไวแ น นอน และดําเนินตามน้นั แนว แน — Adhiññhàna: resolution; self-determination) 9. เมตตา (ความรกั ใคร, ความปรารถนาดี มีไมตรี คิดเกอ้ื กูลใหผอู ืน่ และเพอ่ื นรว มโลกทง้ั ปวง

[326] 240 พจนานกุ รมพุทธศาสตร มีความสขุ ความเจรญิ — Mettà: loving-kindness; friendliness) 10.อเุ บกขา (ความวางใจเปน กลาง, ความวางใจสงบราบเรยี บสมา่ํ เสมอ เทยี่ งธรรม และดาํ รง อยูในธรรม ไมเอนเอยี งหรอื หว่ันไหวไปดว ยความยินดียนิ รายชอบชงั หรือแรงเยา ยวนยวั่ ยใุ ดๆ — Upekkhà: equanimity; indifference to praise and blame in the performance of duty) ทศบารมีนี้ เรียงตามทถ่ี อื วาไดบําเพญ็ ในทศชาติ (จดั แบบไทย) ดังน้ี 1. พระเตมีย — เนกขัมมะ (ขอ ท่ี 3) 2. พระมหาชนก — วิริยะ (5) 3. พระสุวรรณสาม — เมตตา (9) 4. พระเนมริ าช — อธษิ ฐาน (8) 5. พระมโหสถ — ปญญา (4) 6. พระภรู ิทัตต — ศีล (2) 7. พระจนั ทกุมาร — ขันติ (6) 8. พระนารทะ — อุเบกขา (10) 9. พระวิธุระ — สจั จะ (7) 10. พระเวสสนั ดร — ทาน (1) บารมนี ัน้ ทา นกลาววา จะบําเพญ็ ใหบรบิ ูรณ ตองครบ 3 ขั้น คอื 1. บารมี (ระดบั สามัญ เชน ทานบารมี ไดแ ก ใหทรัพยส นิ เงนิ ทอง สมบตั นิ อกกาย — Pàramã: ordinary perfections) 2. อุปบารมี (ระดับรองหรือจวนจะสูงสดุ เชน ทานอุปบารมี ไดแก การเสยี สละอวัยวะเปน ทาน — Upapàramã: superior perfections) 3. ปรมัตถบารมี (ระดับสูงสดุ เชน ทานปรมัตถบารมี ไดแก การสละชวี ติ เพ่อื ประโยชนแกผ ู อื่น — Paramatthapàramã: supreme perfections) บําเพ็ญทงั้ 10 บารมี ครบ 3 ขนั้ นี้ เรยี กวา สมตึสปารมี หรอื สมดึงสบารมี แปลวา “บารมี 30 ถวน”. Bv.6. ขุ.พุทธ.33/1/414; ข.ุ จริยา.33/36/596. [,,,] บญุ กิริยาวัตถุ 10 ดู [89] บุญกิรยิ าวตั ถุ 10. [,,,] ปพ พชติ อภณิ หปจ จเวกขณ 10 ดู [248] ปพ พชติ อภณิ หปจ จเวกขณ 10. [,,,] มจิ ฉตั ตะ ดู [334] มจิ ฉัตตะ 10. [,,,] มูลเหตกุ ารบัญญตั พิ ระวนิ ัย 10 ดู [327] วตั ถปุ ระสงคใ นการบญั ญตั พิ ระวินยั 10. [326] ราชธรรม 10 หรอื ทศพธิ ราชธรรม (ธรรมของพระราชา, กจิ วตั รทพ่ี ระเจา แผน ดนิ ควรประพฤต,ิ คณุ ธรรมของผปู กครองบา นเมอื ง, ธรรมของนกั ปกครอง — Ràjadhamma: virtues or duties of the king; royal virtues; virtues of a ruler) 1. ทาน (การให คอื สละทรพั ยส่งิ ของ บาํ รงุ เล้ียง ชว ยเหลอื ประชาราษฎร และบําเพญ็ สาธารณประโยชน — Dàna: charity; liberality; generosity)

หมวด 10 241 [326] 2. ศีล (ความประพฤตดิ งี าม คือ สํารวมกายและวจีทวาร ประกอบแตก ารสจุ ริต รักษากิตติคณุ ใหค วรเปน ตัวอยา ง และเปน ทีเ่ คารพนับถือของประชาราษฎร มิใหม ีขอท่ใี ครจะดแู คลน — Sãla: high moral character) 3. ปรจิ จาคะ (การบรจิ าค คอื เสยี สละความสขุ สาํ ราญ เปน ตน ตลอดจนชวี ติ ของตน เพอ่ื ประโยชนส ขุ ของประชาชน และความสงบเรยี บรอ ยของบา นเมอื ง — Pariccàga: self-sacrifice) 4. อาชชวะ (ความซอ่ื ตรง คอื ซื่อตรงทรงสตั ยไรม ารยา ปฏบิ ตั ภิ ารกจิ โดยสุจริต มคี วามจริง ใจ ไมหลอกลวงประชาชน — âjjava: honesty; integrity) 5. มัททวะ (ความออ นโยน คือ มอี ธั ยาศัย ไมเยอ หยง่ิ หยาบคายกระดา งถอื องค มีความงาม สงาเกิดแตทวงทีกิริยาสุภาพนุมนวล ละมุนละไม ใหไดความรักภักดี แตมิขาดยําเกรง — Maddava: kindness and gentleness) 6. ตปะ (ความทรงเดช คือ แผดเผากิเลสตัณหา มิใหเ ขา มาครอบงาํ ยาํ่ ยีจิต ระงบั ยับยงั้ ขมใจ ได ไมย อมใหห ลงใหลหมกมุนในความสุขสําราญและความปรนเปรอ มคี วามเปนอยสู มา่ํ เสมอ หรืออยางสามญั มงุ มั่นแตจะบาํ เพญ็ เพียร ทาํ กจิ ใหบ รบิ รู ณ — Tapa: austerity; self-control; non-indulgence) 7. อกั โกธะ (ความไมโกรธ คือ ไมก ร้วิ กราดลอุ ํานาจความโกรธ จนเปนเหตุใหว ินจิ ฉัยความ และกระทําการตางๆ ผดิ พลาดเสยี ธรรม มีเมตตาประจาํ ใจไวระงับความเคืองขนุ วนิ ิจฉยั ความ และกระทําการดว ยจติ อนั ราบเรยี บเปนตัวของตนเอง — Akkodha: non-anger; non-fury) 8. อวหิ งิ สา (ความไมเ บยี ดเบยี น คอื ไมบ บี คน้ั กดขี่ เชน เกบ็ ภาษขี ดู รดี หรอื เกณฑแ รงงานเกนิ ขนาด ไมห ลงระเรงิ อาํ นาจ ขาดความกรณุ า หาเหตเุ บยี ดเบยี นลงโทษอาชญาแกป ระชาราษฎรผ ู ใด เพราะอาศยั ความอาฆาตเกลยี ดชงั — Avihi§sà: non-violence; non-oppression) 9. ขันติ (ความอดทน คือ อดทนตอ งานทีต่ รากตราํ ถงึ จะลําบากกายนา เหน่อื ยหนายเพียงไร ก็ไมทอถอย ถงึ จะถูกย่วั ถูกหยันดวยคําเสียดสีถากถางอยางใด กไ็ มหมดกาํ ลังใจ ไมย อมละทิ้ง กรณียทบ่ี าํ เพญ็ โดยชอบธรรม — Khanti: patience; forbearance; tolerance) 10. อวโิ รธนะ (ความไมค ลาดธรรม คอื วางองคเ ปน หลกั หนกั แนน ในธรรม คงทไี่ มม คี วามเอน เอยี งหวนั่ ไหวเพราะถอ ยคาํ ทดี่ รี า ย ลาภสกั การะ หรอื อฏิ ฐารมณ อนฏิ ฐารมณใ ดๆ สถติ มนั่ ในธรรม ทง้ั สว นยตุ ธิ รรม คอื ความเทยี่ งธรรม กด็ ี นติ ธิ รรม คอื ระเบยี บแบบแผนหลกั การปกครอง ตลอด จนขนบธรรมเนยี มประเพณอี นั ดงี าม กด็ ี ไมป ระพฤตใิ หเ คลอื่ นคลาดวบิ ตั ไิ ป — Avirodhana: non- deviation from righteousness; conformity to the law) ราชธรรม 10 นี้ พึงจดจาํ งายๆ โดยคาถาในบาลี ดงั น้ี ทานํ สีลํ ปรจิ ฺจาคํ อาชชฺ วํ มทฺทวํ ตป อกฺโกธํ อวิหึสฺจ ขนฺติฺจ อวโิ รธนํ. J.V.378. ข.ุ ชา.28/240/86.

[327] 242 พจนานุกรมพุทธศาสตร [327] วตั ถุประสงคในการบัญญตั ิพระวินัย 10 (เหตผุ ลที่พระพทุ ธเจาทรงปรารภ หรือประโยชนท่ีทรงประสงค ในการทรงบัญญัติสิกขาบทแกพระสงฆสาวก — Sikkhàpada- pa¤¤atti atthavasa: reasons for laying down the course of training for monks; purposes of monastic legislation) ก. วาดว ยประโยชนแกสงฆห รอื สว นรวม 1. สงฺฆสฏุ  ุตาย (เพือ่ ความรับวา ดีแหง สงฆ คอื เพื่อความเรียบรอยดงี ามแหงสงฆ ซึง่ ไดทรง ช้แี จงใหมองเห็นคณุ โทษแหง ความประพฤติน้นั ๆ ชัดเจนแลว จึงทรงบญั ญัติสกิ ขาบทขึน้ ไวโ ดย ความเห็นชอบรวมกัน — for the excellence of the unanimous Order) 2. สงฺฆผาสตุ าย (เพอื่ ความผาสุกแหง สงฆ — for the comfort of the Order) ข. วา ดว ยประโยชนแ กบ ุคคล 3. ทมุ มฺ งกฺ นู ํ ปคุ คฺ ลานํ นคิ คฺ หาย (เพอ่ื ขม บคุ คลผเู กอ ยาก คอื เพอ่ื กาํ ราบคนผดู า น ประพฤติ ทราม — for the control of shameless persons) 4. เปสลานํ ภกิ ขฺ ูนํ ผาสุวหิ าราย (เพ่อื ความอยูผ าสกุ แหง เหลาภกิ ษุผูมีศีลดงี าม — for the living in comfort of well-behaved monks) ค. วาดวยประโยชนแกความบริสทุ ธิ์ หรือแกช วี ิต ท้ังทางกายและทางใจ 5. ทฏิ  ธมมฺ กิ านํ อาสวานํ สวํ ราย (เพอื่ ปด กน้ั อาสวะทง้ั หลายอนั จะบงั เกดิ ในปจ จบุ นั คอื เพอ่ื ระวงั ปด ทางความเสอ่ื มเสยี ความทกุ ข ความเดอื ดรอ น ทจ่ี ะมใี นปจ จบุ นั —for the restraint of the cankers in the present; for the prevention of temporal decay and troubles) 6. สมปฺ รายกิ านํ อาสวานํ ปฏฆิ าตาย (เพอ่ื บาํ บดั อาสวะทง้ั หลายอนั จะบงั เกดิ ในอนาคต คอื เพอื่ ปอ งกนั มใิ หเ กดิ ความเสอ่ื มเสยี ความทกุ ขค วามเดอื ดรอ น ทจ่ี ะมมี าในภายหนา หรอื ภพหนา — for warding off the cankers in the hereafter; for protection against spiritual decay and troubles) ง. วา ดวยประโยชนแกประชาชน 7. อปปฺ สนนฺ านํ ปสาทาย (เพอ่ื ความเลอื่ มใสของชมุ ชนทย่ี งั ไมเ ลอ่ื มใส — for the confidence of those who have not yet gained confidence) 8. ปสนฺนานํ ภิยฺโยภาวาย (เพอ่ื ความเล่ือมใสยงิ่ ขน้ึ ไปของชมุ ชนทเ่ี ล่ือมใสแลว — for the increase of the confidence of the confident) จ. วา ดว ยประโยชนแ กพ ระศาสนา 9. สทธฺ มมฺ ฏ ติ ยิ า (เพอื่ ความตง้ั มนั่ แหง สทั ธรรม — for the lastingness of the true doctrine) 10. วนิ ยานคุ คฺ หาย (เพอื่ อนเุ คราะหว นิ ยั คอื ทาํ ใหม บี ทบญั ญตั สิ าํ หรบั ใชเ ปน หลกั เกณฑจ ดั ระเบยี บ ของหมู สนบั สนนุ ความมวี นิ ยั ใหห นกั แนน มน่ั คงยงิ่ ขนึ้ — for the support of the discipline) Vin.III.20; A.V.70. วินย.1/20/37; องฺ.ทสก.24/31/74.

หมวด 10 243 [329] [,,,] วิปสสนาญาณ 10 ดู [311] วปิ ส สนาญาณ 9. [328] วปิ สสนูปกเิ ลส 10 (อุปกิเลสแหง วปิ สสนา, ธรรมารมณท ี่เกิดแกผไู ดตรุณ-วปิ ส สนา หรอื วปิ ส สนาออนๆ ทาํ ใหเ ขา ใจผดิ วาตนบรรลมุ รรคผลแลว เปน เหตขุ ัดขวางใหไมก าวหนาตอ ไปในวปิ สสนาญาณ — Vipassanåpakilesa: imperfections or defilements of insight) 1. โอภาส (แสงสวาง — Obhàsa: illumination; luminous aura) 2. ญาณ (ความหย่ังรู — ¤àõa: knowledge) 3. ปติ (ความอ่มิ ใจ — Pãti: rapture; unprecedented joy) 4. ปสสทั ธิ (ความสงบเยน็ — Passaddhi: tranquillity) 5. สขุ (ความสุขสบายใจ — Sukha: bliss; pleasure) 6. อธิโมกข (ความนอมใจเช่ือ, ศรทั ธาแกกลา , ความปลงใจ — Adhimokkha: fervour; assurance; resolution) 7. ปคคาหะ (ความเพียรท่พี อดี — Paggàha: exertion; well-exerted energy) 8. อุปฏ ฐาน (สติแกกลา, สตชิ ัด — Upaññhàna: established mindfulness) 9. อเุ บกขา (ความมีจิตเปนกลาง — Upekkhà: equanimity) 10. นกิ ันติ (ความพอใจ, ตดิ ใจ — Nikanti: delight) ดู [285] วสิ ทุ ธฺ ิ 7 โดยเฉพาะขอ 5 คือ มคั คามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ Vism.633. วิสุทฺธิ.3/267. [,,,] ศลี 10 ดู [242] ศีล 10. [329] สงั โยชน 101 (กิเลสอันผกู ใจสัตว, ธรรมทม่ี ัดสตั วไวก ับวัฏฏทกุ ข หรือผกู กรรมไวกบั ผล — Sa§yojana: fetters; bondage) ก. โอรมั ภาคยิ สังโยชน 5 (สังโยชนเ บือ้ งต่ํา เปนอยา งหยาบ เปน ไปในภพอันต่ํา — Oram- bhàgiya~: lower fetters) 1. สักกายทิฏฐิ (ความเหน็ วาเปน ตวั ของตน เชน เหน็ รูป เหน็ เวทนา เห็นวิญญาณ เปนตน เปน ตน — Sakkàyadiññhi: personality-view; false view of individuality) 2. วจิ กิ ิจฉา (ความสงสยั , ความลังเล ไมแนใ จ — Vicikicchà: doubt; uncertainty) 3. สลี พั พตปรามาส (ความถอื มน่ั ศลี พรต โดยสกั วา ทาํ ตามๆ กนั ไปอยา งงมงายเหน็ วา จะบรสิ ทุ ธิ์ หลดุ พน ไดเ พยี งดว ยศลี และวตั ร — Sãlabbataparàmàsa: adherence to rules and rituals) 4. กามราคะ (ความกําหนดั ในกาม, ความตดิ ใจในกามคุณ — Kàmaràga: sensual lust) 5. ปฏฆิ ะ (ความกระทบกระทง่ั ในใจ, ความหงดุ หงดิ ขดั เคอื ง — Pañigha: repulsion; irritation) ข. อุทธัมภาคิยสังโยชน 5 (สังโยชนเบือ้ งสงู เปนอยา งละเอียด เปน ไปแมใ นภพอันสงู — Uddhambhàgiya~: higher fetters)

[330] 244 พจนานุกรมพทุ ธศาสตร 6. รปู ราคะ (ความติดใจในอารมณแ หงรูปฌาน หรือในรปู ธรรมอันประณีต, ความปรารถนาใน รปู ภพ — Råparàga: greed for fine-material existence; attachment to realms of form) 7. อรปู ราคะ (ความตดิ ใจในอารมณแ หง อรปู ฌาน หรอื ในอรปู ธรรม, ความปรารถนาในอรปู ภพ — Aråparàga: greed for immaterial existence; attachment to formless realms) 8. มานะ (ความสาํ คญั ตน คอื ถือตนวา เปน นัน่ เปน นี่ — Màna: conceit; pride) 9. อทุ ธัจจะ (ความฟงุ ซา น — Uddhacca: restlessness; distraction) 10. อวชิ ชา (ความไมรูจ ริง, ความหลง — Avijjà: ignorance) สังโยชน 10 ในหมวดน้ี เปน แนวพระสูตร หรือ สตุ ตนั ตนัย แตในบาลีแหงพระสูตรนั้นๆ มี แปลกจากทนี่ ีเ้ ลก็ นอ ย คือ ขอ 4 เปน กามฉันท (ความพอใจในกาม — sensual desire) ขอ 5 เปน พยาบาท (ความขัดเคอื ง, ความคดิ ราย — ill-will) ใจความเหมอื นกนั ลําดับการละสังโยชน 10 น้ี ใหดู [164] มรรค 4. S.V.61; A.V.13; Vbh.377. ส.ํ ม.19/349/90; องฺ.ทสก.24/13/18; อภิ.วิ.35/976–7/509. [330] สังโยชน 102 (ธรรมทีม่ ัดสตั วไวกบั ทุกข — Sa§yojana: fetters; bondage) 1. กามราคะ 2. ปฏฆิ ะ 3. มานะ 4. ทฏิ ฐิ (ความเหน็ ผดิ — Diññhi: false views) 5. วจิ กิ จิ ฉา 6. สลี พั พตปรามาส 7. ภวราคะ (ความตดิ ใจปรารถนาในภพ — Bhavaràga: greed for existence) 8. อสิ สา (ความรษิ ยา — Issà: envy; jealousy) 9. มจั ฉรยิ ะ (ความตระหน่ี — Macchariya: meanness; stinginess) 10. อวชิ ชา สังโยชน 10 ในหมวดน้ี เปน แนวพระอภธิ รรม หรือ อภิธรรมนัย ไดแสดงความหมายไว เฉพาะขอทต่ี า งจากหมวดกอน Vbh.391. อภิ.ว.ิ 35/1029/528. [331] สญั ญา 10 (ความกําหนดหมาย, แนวความคิดความเขาใจ สําหรับใชก าํ หนดพจิ ารณา ในการเจริญกรรมฐาน — Sa¤¤à: perception; contemplation; ideas as objects of meditation) 1. อนจิ จฺ สฺ า (กําหนดหมายความไมเทีย่ งแหง สังขาร — Anicca-sa¤¤à: contemplation on impermanency) 2. อนตฺตสฺ า (กาํ หนดหมายความเปน อนตั ตาแหง ธรรมทงั้ ปวง — Anatta~: contemplation on impersonality) 3. อสภุ สฺา (กาํ หนดหมายความไมง ามแหง กาย — Asubha~: contemplation on foulness or loathsomeness) 4. อาทีนวสฺา (กําหนดหมายโทษทุกขของกายอันมีความเจ็บไขต า งๆ — âdãnava~: contemplation on the disadvantages of the body) 5. ปหานสฺา (กําหนดหมายเพื่อละอกุศลวิตกและบาปธรรมทั้งหลาย — Pahàna~:

หมวด 10 245 [333] contemplation on abandonment or overcoming) 6. วริ าคสฺ า (กาํ หนดหมายวริ าคะวา เปน ธรรมละเอยี ดประณตี — Viràga~: contemplation on detachment) 7. นิโรธสฺ า (กําหนดหมายนิโรธวาเปน ธรรมละเอียดประณตี — Nirodha~: contem- plation on cessation) 8. สพพฺ โลเก อนภริ ตสฺ า (กาํ หนดหมายความไมน า เพลดิ เพลนิ ในโลกทงั้ ปวง — Sabbaloke anabhirata~: contemplation on the non-delightfulness of the whole world) 9. สพพฺ สงขฺ าเรสุ อนฏิ  สฺา (กาํ หนดหมายความไมน า ปรารถนาในสงั ขารทง้ั ปวง —Sabba- saïkhàresu aniññha~: contemplation on the non-pleasantness of the whole world) 10. อานาปานสติ (สตกิ ําหนดลมหายใจเขาออก — ànàpànasati: mindfulness of in- and out-breathing) ในขอ 9. อนฏิ  สฺ า พระบาลีเดมิ เปน อนจิ จฺ สฺ า บา ง อนจิ ฉฺ าสฺ า บาง. D.III.291; A.V.109. ท.ี ปา.11/473/340; องฺ.ทสก.24/60/116. [332] สัทธรรม 10 (ธรรมอันด,ี ธรรมที่แท, ธรรมของสัตบุรษุ , หลักหรือแกนศาสนา — Saddhamma: true doctrine; essential Dharma) 1.–9. โลกุตตรธรรม 9 (มรรค 4 ผล 4 นพิ พาน 1 — Lokuttara-dhamma: the nine supermundane states, viz., the Four Paths, the Four Fruitions and Nibbàna) 10. ปริยตั ธิ รรม (ธรรมคอื คําส่งั สอนอนั จะตองเลาเรยี น กลา วคือ พทุ ธพจน — Pariyatti- dhamma: the text to be studied, i.e. the words of the Buddha) (ฉบบั อกั ษรโรมนั ยงั ไมไดพ ิมพ) สงฺคห.ฏีกา 65. [333] สมั มตั ตะ 10 (ภาวะทถ่ี กู , ความเปน สงิ่ ทถ่ี กู — Sammatta: rightness; right states) 8 ขอ ตน ตรงกบั องคม รรค 8 ขอ คอื สมั มาทฏิ ฐิ สมั มาสงั กปั ปะ สมั มาวาจา สมั มากมั มนั ตะ สมั มาอาชวี ะ สมั มาวายามะ สมั มาสติ สมั มาสมาธิ และเพม่ิ 2 ขอ คอื 9. สมั มาญาณ (รชู อบ ไดแ ก ผลญาณ และปจ จเวกขณญาณทง้ั 19 ประเภท — Sammà¤àõa: right knowledge; right insight) 10. สมั มาวมิ ตุ ติ (หลดุ พน ชอบ ไดแ ก อรหตั ตผลวมิ ตุ ติ — Sammàvimutti: right deliverance) ธรรมหมวดนี้ เรียกช่ืออีกอยางวา อเสขธรรม (ธรรมของพระอเสขะ — Asekha- dhamma: qualities of the adept) ดู [293] มรรคมีองค 8. D.III.271,292; M.I.42; A.V.212. ที.ปา.11/362/286; 475/342; ม.มู.12/104/75; อง.ฺ ทสก.24/104/226; ม.อ.1/260; อง.ฺ อ.2/319,474,481.

[334] 246 พจนานุกรมพทุ ธศาสตร [334] มจิ ฉตั ตะ 10 (ภาวะทผี่ ดิ , ความเปน สง่ิ ทผ่ี ดิ —Micchatta: wrongness; wrong states) 1. มิจฉาทิฏฐิ (เห็นผิด ไดแก ความเห็นผดิ จากคลองธรรมตามหลักกศุ ลกรรมบถ และความ เห็นทไ่ี มน าํ ไปสคู วามพนทกุ ข — Micchàdiññhi: wrong view) 2. มิจฉาสังกปั ปะ (ดํารผิ ดิ ไดแก ความดาํ รทิ เี่ ปนอกศุ ลทงั้ หลาย ตรงขามจากสัมมาสงั กัปปะ — Micchàsaïkappa: wrong thought) 3. มิจฉาวาจา (วาจาผิด ไดแ ก วจีทจุ รติ 4 — Micchàvàcà: wrong speech) 4. มิจฉากมั มันตะ (กระทาํ ผิด ไดแ ก กายทจุ ริต 3 — Micchàkammanta: wrong action) 5. มจิ ฉาอาชีวะ (เลี้ยงชพี ผิด ไดแ ก เลย้ี งชวี ิตในทางทุจริต — Micchà-àjãva: wrong livelihood) 6. มิจฉาวายามะ (พยายามผิด ไดแ ก ความเพียรตรงขา มกับสมั มาวายามะ — Micchà- vàyàma: wrong effort) 7. มิจฉาสติ (ระลกึ ผดิ ไดแ ก ความระลกึ ถงึ เรือ่ งราวท่ีลว งแลว เชน ระลึกถึงการไดท รพั ย การไดย ศ เปน ตน ในทางอกศุ ล อนั จดั เปนสตเิ ทียม เปน เหตุชักนาํ ใจใหเ กดิ กิเลสมโี ลภะ มานะ อสิ สา มจั ฉรยิ ะ เปน ตน — Micchàsati: wrong mindfulness) 8. มจิ ฉาสมาธิ (ต้งั จิตผดิ ไดแก ตัง้ จติ เพง เลง็ จดจอ ปกใจแนว แนในกามราคะ พยาบาท เปน ตน หรอื เจรญิ สมาธแิ ลว หลงเพลิน ตดิ หมกมนุ ตลอดจนนาํ ไปใชผิดทาง ไมเ ปน ไปเพือ่ ญาณทัสสนะ และความหลุดพน — Micchàsamàdhi: wrong concentration) 9. มจิ ฉาญาณ (รูผดิ ไดแ ก ความหลงผดิ ที่แสดงออกในการคดิ อุบายทาํ ความชวั่ และในการ พิจารณาทบทวนวาความชวั่ นั้นๆ ตนกระทาํ ไดอ ยางดีแลว เปน ตน — Micchà¤àõa: wrong knowledge) 10. มิจฉาวิมุตติ (หลดุ พน ผดิ ไดแก ยังไมถ งึ วิมุตติ สําคัญวาถงึ วิมตุ ติ หรอื สําคัญผิดในสิง่ ทมี่ ิ ใชว มิ ตุ ติวาเปนวมิ ตุ ติ — Micchàvimutti: wrong deliverance) D.III.290; M.I.42; A.V.212. ที.ปา.11/469/337; ม.ม.ู 12/104/76; อง.ฺ ทสก.24/103/226; ม.อ.1/259; วิภงฺค.อ.676. [,,,] อกศุ ลกรรมบถ 10 ดู [321] อกุศลกรรมบถ 10. [335] อนสุ ติ 10 (ความระลกึ ถงึ , อารมณอ นั ควรระลกึ ถงึ เนอื งๆ — Anussati: recollection; constant mindfulness) 1. พทุ ธานุสติ (ระลกึ ถงึ พระพุทธเจา คอื นอ มจติ ระลึกถงึ และพจิ ารณาคุณของพระองค — Buddhànussati: recollection of the Buddha; contemplation on the virtues of the Buddha) 2. ธัมมานุสติ (ระลึกถึงพระธรรม คือ นอมจิตระลึกถึงและพิจารณาคุณของพระธรรม — Dhammànussati: recollection of the Dhamma; contemplation on the virtues of the Doctrine)

หมวด 10 247 [336] 3. สังฆานุสติ (ระลึกถึงพระสงฆ คือ นอมจิตระลึกถึงและพิจารณาคุณของพระสงฆ — Saïghànussati: recollection of the Sangha; contemplation on the virtues of the Order) 4. สลี านสุ ติ (ระลกึ ถงึ ศลี คอื นอ มจติ ราํ ลกึ พจิ ารณาศลี ของตนทไี่ ดป ระพฤตปิ ฏบิ ตั ิ บรสิ ทุ ธิ์ ไม ดา งพรอ ย — Sãlànussati: recollection of morality; contemplation on one’s own morals) 5. จาคานุสติ (ระลึกถึงการบริจาค คอื นอมจติ ระลึกถึงทานทีต่ นไดบริจาคแลว และพิจารณา เห็นคุณธรรมคอื ความเผ่ือแผเสยี สละนี้ที่มใี นตน — Càgànussati: recollection of liberality; contemplation on one’s own liberality) 6. เทวตานุสติ (ระลึกถึงเทวดา คือ นอ มจิตระลกึ ถึงเทวดาท้งั หลายทต่ี นเคยรู และพิจารณา เหน็ คุณธรรมอันทาํ บุคคลใหเปนเทวดาน้นั ๆ ตามท่ีมีอยูในตน — Devatànussati: recollection of deities; contemplation on the virtues which make people become gods as can be found in oneself) 7. มรณสติ (ระลกึ ถงึ ความตายอันจะตอ งมีมาถงึ ตนเปนธรรมดา พิจารณาทจี่ ะใหเกิดความไม ประมาท — Maraõassati: mindfulness of death; contemplation on death) 8. กายคตาสติ (สติอันไปในกาย คอื กําหนดพิจารณากายนี้ ใหเห็นวาประกอบดว ยสว นตา งๆ อันไมสะอาด ไมง าม นารงั เกียจ เปน ทางรูเ ทา ทนั สภาวะของกายน้ี มิใหหลงใหลมวั เมา — Kàyagatà-sati: mindfulness occupied with the body; contemplation on the 32 impure parts of the body) 9. อานาปานสติ (สตกิ าํ หนดลมหายใจเขา ออก — ânàpànasati: mindfulness on breathing) 10. อปุ สมานสุ ติ (ระลกึ ถงึ ธรรมเปน ทส่ี งบ คอื ระลกึ ถงึ และพจิ ารณาคณุ ของพระนพิ พาน อนั เปน ทร่ี ะงบั กเิ ลสและความทกุ ข — Upasamànussati: recollection of peace; contemplation on the virtue of Nibbàna) ดู [354] กรรมฐาน 40. A.I.30,41; Vism.197. อง.ฺ เอก.20/179–180/39–40; 224/54; วิสุทธฺ .ิ 1/251. [,,,] อภิณหปจ จเวกขณ 10 ดู [248] ปพพชติ อภณิ หปจ จเวกขณ 10. [,,,] อเสขธรรม 10 ดู [333] สมั มตั ตะ 10. [336] อสภุ ะ 10 (สภาพอนั ไมง าม, ซากศพในสภาพตา งๆ ซง่ึ ใชเ ปน อารมณแ หง สมถกรรมฐาน — Asubha: ten kinds of foulness; corpses at different stages of decay) 1. อทุ ธมุ าตกะ (ซากศพทเี่ นา พองขน้ึ อดื — Uddhumàtaka: bloated corpse; swollen-up corpse) 2. วนิ ลี กะ (ซากศพทม่ี สี เี ขยี วคลาํ้ คละดว ยสตี า งๆ — Vinãlaka: bluish discoloured corpse; livid corpse) 3. วปิ พุ พกะ (ซากศพท่ีมนี า้ํ เหลอื งไหลเยิม้ อยตู ามท่ที ี่แตกปริออก — Vipubbaka: festering corpse)

[337] 248 พจนานกุ รมพุทธศาสตร 4. วิจฉิททกะ (ซากศพทีข่ าดจากกันเปน 2 ทอน — Vicchiddaka: split or cut up corpse; disjoint corpse) 5. วิกขายติ กะ (ซากศพทถี่ ูกสัตว เชน แรง กา สุนขั จกิ ทึง้ กัดกินแลว — Vikkhàyitaka: gnawed corpse) 6. วิกขิตตกะ (ซากศพที่กระจุยกระจาย มือเทาศีรษะหลุดออกไปขา งๆ — Vikkhittaka: scattered corpse; mangled corpse) 7. หตวิกขิตตกะ (ซากศพท่ีถูกสับฟนบ่ันเปนทอนๆ กระจายออกไป — Hatavikkhittaka: hacked and scattered corpse; mutilated and mangled corpse) 8. โลหติ กะ (ซากศพทีม่ โี ลหิตไหลอาบเร่ยี ราดอยู — Lohitaka: blood-stained corpse; bleeding corpse) 9. ปฬุ วุ กะ (ซากศพที่มหี นอนคลาคลํา่ เตม็ ไปหมด — Puëuvaka: worm-infested corpse) 10. อฏั ฐิกะ (ซากศพท่ียังเหลอื อยูแตร า งกระดกู หรือกระดกู ทอ น — Aññhika: skeleton) ดู [354] กรรมฐาน 40. Vism.178. วสิ ุทธฺ .ิ 1/226. [337] อันตคาหิกทิฏฐิ 10 (ความเห็นอันถอื เอาทส่ี ุด, ความเหน็ ผิดที่แลน ไปสุดโตง ขา งใด ขา งหนึง่ — Antagàhika-diññhi: the ten erroneous extremist views) คอื เหน็ วา 1. โลกเที่ยง (The world is eternal.) 2. โลกไมเ ทยี่ ง (The world is not eternal.) 3. โลกมีที่สุด (The world is finite.) 4. โลกไมมีทีส่ ดุ (The world is infinite.) 5. ชวี ะกอ็ นั นัน้ สรรี ะกอ็ นั น้นั (The soul and the body are identical.) 6. ชวี ะกอ็ ยางหนึ่ง สรีระก็อยางหนึง่ (The soul is one thing and the body is another.) 7. ตถาคตเบอื้ งหนา แตตาย ยอมเปน อกี (The Tathàgata is, after death.) 8. ตถาคตเบอ้ื งหนาแตตาย ยอมไมเ ปนอกี (The Tathàgata is not, after death.) 9. ตถาคตเบือ้ งหนา แตต าย ยอมเปน อีก กใ็ ช ไมเปน อีก ก็ใช (The Tathàgata both is and is not, after death.) 10. ตถาคตเบ้ืองหนา แตต าย ยอมเปน อกี ก็มิใช ยอ มไมเ ปนอกี ก็มิใช (The Tathàgata neither is nor is not, after death.) คําวา ตถาคต ในทนี่ ้ี อรรถกถาบางแหง วาหมายถึง “สตั ว” (เชน ม.อ.3/135; สงคฺ ณี.อ.528) บางแหงวา “อัตตา” หรอื “อาตมนั ” (อุ.อ.430) บางแหงวา “พระพทุ ธเจา ” (ส.ํ อ.3/192) M.I.426; S.IV.392; A.V.193; ม.ม.13/147/143; ส.ํ สฬ.18/788/476; องฺ.ทสก.24/193/206; Ps.I.151; Vbh.392. ขุ.ปฏิ.31/337/226; อภ.ิ ว.ิ 35/1032/529.

อตเิ รกทสกะ — หมวดเกนิ 10 Groups of More Than Ten [338] กรรม 12 (การกระทําที่ประกอบดวยเจตนา ดกี ็ตาม ชั่วก็ตาม, ในทน่ี หี้ มายถึงกรรม ประเภทตา งๆ พรอ มทง้ั หลกั เกณฑเ กยี่ วกบั การใหผ ลของกรรมเหลา นนั้ — Kamma: karma; kamma; action; volitional action) หมวดที่ 1 วาโดยปากกาล คอื จําแนกตามเวลาทใ่ี หผล (classification according to the time of ripening or taking effect) 1. ทฏิ ฐธรรมเวทนยี กรรม (กรรมใหผ ลในปจ จบุ นั คอื ในภพนี้ — Diññhadhamma-vedanãya- kamma: kamma to be experienced here and now; immediately effective kamma) 2. อปุ ปช ชเวทนยี กรรม (กรรมใหผ ลในภพทจี่ ะไปเกดิ คอื ในภพหนา — Upapajja-vedanãya- kamma: kamma to be experienced on rebirth; kamma ripening in the next life) 3. อปราปรยิ เวทนยี กรรม (กรรมใหผ ลในภพตอ ๆ ไป — Aparàpariya-vedanãya-kamma: kamma to be experienced in some subsequent lives; indefinitely effective kamma) 4. อโหสกิ รรม (กรรมเลกิ ใหผ ล ไมม ผี ลอกี — Ahosi-kamma: lapsed or defunct kamma) หมวดที่ 2 วาโดยกจิ คือ จาํ แนกการใหผลตามหนาที่ (classification according to function) 5. ชนกกรรม (กรรมแตงใหเ กดิ , กรรมที่เปน ตวั นําไปเกิด — Janaka-kamma: productive kamma; reproductive kamma) 6. อุปตถัมภกกรรม (กรรมสนบั สนุน, กรรมท่เี ขาชวยสนบั สนนุ หรอื ซาํ้ เตมิ ตอจากชนกกรรม — Upatthambhaka-kamma: supportive kamma; consolidating kamma) 7. อุปปฬกกรรม (กรรมบบี คัน้ , กรรมท่มี าใหผ ล บีบคน้ั ผลแหงชนกกรรมและอุปตถัมภกรรม น้ัน ใหแปรเปลี่ยนทุเลาลงไป บ่ันทอนวิบากมิใหเปนไปไดนาน — Upapãëaka-kamma: obstructive kamma; frustrating kamma) 8. อุปฆาตกรรม (กรรมตดั รอน, กรรมท่แี รง ฝายตรงขามกับชนกกรรมและอุปต ถัมภกกรรม เขาตัดรอนการใหผ ลของกรรมสองอยางน้ัน ใหข าดไปเสยี ทเี ดยี ว เชน เกดิ ในตระกูลสงู มง่ั ค่งั แตอ ายุสน้ั เปน ตน — Upaghàtaka-kamma: destructive kamma; supplanting kamma) หมวดท่ี 3 วาโดยปากทานปริยาย คือ จาํ แนกตามความยักเยื้องหรอื ลาํ ดับความแรงใน การใหผ ล (classification according to the order of ripening) 9. ครกุ กรรม (กรรมหนกั ใหผ ลกอ น ไดแ ก สมาบตั ิ 8 หรอื อนนั ตรยิ กรรม — Garuka-kamma: weighty kamma) 10. พหลุ กรรม หรอื อาจิณณกรรม (กรรมทํามากหรอื กรรมชิน ใหผ ลรองจากครกุ กรรม

[339] 250 พจนานุกรมพทุ ธศาสตร — Bahula-kamma, âciõõa~: habitual kamma) 11. อาสนั นกรรม (กรรมจวนเจียน หรอื กรรมใกลต าย คือกรรมทําเมอื่ จวนจะตายจบั ใจอยู ใหมๆ ถา ไมมี 2 ขอกอน กจ็ ะใหผ ลกอ นอน่ื — âsanna-kamma: death-threshold kamma; proximate kamma) 12. กตัตตากรรม หรือ กตตั ตาวาปนกรรม (กรรมสักวาทาํ , กรรมท่ที ําไวด วยเจตนาอนั ออ น หรือมใิ ชเ จตนาอยางน้นั โดยตรง ตอเมอ่ื ไมมกี รรมอ่ืนใหผลแลวกรรมนจ้ี งึ จะใหผ ล — Katattà-kamma: reserve kamma; casual act) กฏัตตากรรม กเ็ ขยี น กรรม 12 หรือ กรรมสี่ 3 หมวดนี้ มิไดมมี าในบาลีในรปู เชนนโ้ี ดยตรง พระอาจารยสมยั ตอ มา เชน พระพุทธโฆษาจารย เปนตน ไดรวบรวมมาจัดเรียงเปนแบบไวใ นภายหลัง. Vism.601; Comp.144. วิสุทฺธ.ิ 3/223; สงฺคห.28. [339] จกั รวรรดวิ ตั ร 5, 12 (วตั รของพระเจา จกั รพรรด,ิ พระจรยิ าทพี่ ระจกั รพรรดิพงึ ทรง บาํ เพญ็ สมา่ํ เสมอ, ธรรมเนียมการทรงบาํ เพญ็ พระราชกรณียข องพระเจา จกั รพรรดิ, หนาท่ขี อง นกั ปกครองผยู ง่ิ ใหญ — Cakkavatti-vatta: duties of a universal king or a great ruler) 1. ธรรมาธิปไตย (ถือธรรมเปน ใหญ เคารพนับถือบชู ายาํ เกรงธรรม ยึดธรรมเปนหลกั เปน ธงชัย เปนธรรมาธปิ ไตย — Dhammàdhipateyya: supremacy of the law of truth and righteousness; rule of the Dhamma; rule of the true law) (1) และ 2. ธรรมิการักขา (จัดการรักษาปองกันและคุมครองอันชอบธรรมและเปนธรรม — Dhammikàrakkhà: provision of the right watch, ward and protection) ก. อนั โตชน (แกชนภายใน ตัง้ แตพ ระมเหสี โอรส ธดิ า จนถึงผปู ฏิบตั ิราชการในพระองค ทงั้ หมด คอื คนในปกครองสว นตวั ตงั้ แตบ ตุ รธดิ าเปน ตน ไป ดว ยใหก ารบาํ รงุ เลยี้ งอบรม ส่งั สอนเปน ตน ใหอ ยูโดยเรียบรอยสงบสุข และมคี วามเคารพนบั ถือกัน — for one’s own folk) (2) ข. พลกาย (แกก องทัพ คือ ปวงเสนาขา ทหาร, ขา ราชการฝายทหาร — for the army; the armed forces; military personnel) (3) ค. ขัตติยะ (แกกษัตริยทั้งหลายผูอยูในพระบรมเดชานุภาพ, เจาเมืองข้ึน, ปจจุบัน สงเคราะหชนชั้นปกครองและนักบริหารชั้นผูใหญท้ังหลาย, ขาราชการฝายปกครอง — for colonial kings; administrative officers) (4) ง. อนยุ นต (แกผูตามเสดจ็ คือ ราชบรพิ ารทั้งหลาย, ปจ จุบนั ควรสงเคราะหขา ราชการ ฝา ยพลเรือนเขาทง้ั หมด — for the royal dependants; civil servants) (5) จ. พราหมณคฤหบดี (แกชนเจาพิธี เจา ตํารา พอคา เจา ไรเ จานา คอื ครูอาจารย นัก วชิ าการ หมอ พอคา ผปู ระกอบวชิ าชีพตา งๆ และเกษตรกร ดวยชวยจัดหาทุนและ อุปกรณเ ปนตน — for brahmins and householders; the professional, traders and the agricultural) (6)

หมวดเกิน 10 251 [339] ฉ. เนคมชานบท (แกช าวนิคมชนบท คอื ราษฎรทั้งปวงทกุ ทองถิน่ ตลอดถงึ ชายแดนทั่วไป ไมท อดทง้ิ — for town and country dwellers; townsmen and villagers; upcountry people) (7) ช. สมณพราหมณ (แกพ ระสงฆแ ละบรรพชติ ผทู รงศลี ทรงคณุ ธรรม — for the religious) (8) ญ.มคิ ปก ษี (แกมฤคและปกษี คือ สตั วอ ันควรสงวนท้งั หลาย — for beasts and birds) (9) 3. อธรรมการนเิ สธนา (หา มกนั้ มใิ หม กี ารอนั อธรรมเกดิ ขน้ึ ในพระราชอาณาเขต คอื จดั การ ปองกัน แกไข มิใหมีการกระทําความผิดความชั่วรายเดือดรอนเกิดขึ้นในบานเมือง — Adhammakàra-nisedhanà: to let no wrongdoing prevail in the kingdom) (10) 4. ธนานุประทาน (ปน ทรพั ยเ ฉล่ยี ใหแกชนผูไ รท รพั ย มิใหมีคนขัดสนยากไรในแวนแควน — Dhanànuppadàna: to let wealth be given or distributed to the poor) (11) 5. ปรปิ จุ ฉา (ปรกึ ษาสอบถามปญ หากับสมณพราหมณ ผูประพฤติดี ปฏบิ ัตชิ อบ ผไู มป ระมาท มัวเมา อยูเ สมอตามกาลอันควร เพอื่ ใหร ูชัดการอนั ดีช่ัว ควรประกอบหรอื ไม เปนไปเพื่อ ประโยชนสุขหรือไม แลวประพฤติปฏิบัติใหเปนไปโดยถูกตอง ขอนี้ปจจุบันสงเคราะหนัก ปราชญนักวชิ าการผูทรงคุณธรรมเขา ดวย — Paripucchà: to go from time to time to see and seek advice from the men of religious life who maintain high moral standards; to have virtuous counsellors and seek after greater virtue) (12) จักรวรรดิวตั รน้ี มาใน จักกวัตติสตู ร ตามท่มี าท่ีอา ง ในพระบาลี คอื พระไตรปฎก ทานไม ระบจุ าํ นวนขอไว แตน ับตามทีต่ รสั ไว เปนหลกั การทีย่ ึดถือหน่งึ ขอ และหลกั ปฏิบตั ิ 4 ขอ จงึ รวมเปน 5 ขอ อยางไรก็ดี ขอยอ ยทีแ่ ยกออกไปจากขอ 2 (ธรรมกิ ารกั ขา) แตละอยาง ในชัน้ อรรถกถาคงเห็นวา มีความสําคัญมาก และมีรายละเอียดวิธีปฏิบตั ิจาํ เพาะตางกันออกไป จึงจดั เปน วตั รแตล ะขอ เทากนั หมด นับได 12 ขอ ตามตัวเลขในวงเล็บขา งหลัง แตในอรรถกถาแหง พระสตู รน้เี อง (ที.อ.3/46) ทา นจัดตางออกไปดังน้ี 1. อนฺโตชนสฺมึ พลกายสฺมึ (สงเคราะหช นภายใน และพลกายกองทหาร) 2. ขตฺตเิ ยสุ (สงเคราะหก ษัตรยิ เมอื งข้นึ ท้ังหลาย) 3. อนุยนฺเตสุ (สงเคราะหเหลาเชื้อพระวงศ ผูตามเสดจ็ เปนราชบริพาร) 4. พฺราหฺมณคหปติเกสุ (คมุ ครองพราหมณแ ละคฤหบดที ง้ั หลาย) 5. เนคมชานปเทสุ (คมุ ครองชาวราษฎรพ้นื เมืองท้งั หลาย) 6. สมณพรฺ าหฺมเณสุ (คุมครองเหลาสมณพราหมณ) 7. มิคปกฺขสี ุ (คุมครองเน้อื นกทเ่ี อาไวส ืบพันธุ) 8. อธมฺมการปฏกิ เฺ ขโป (หา มปรามมใิ หมกี ารประพฤติการอันผิดธรรม)

[340] 252 พจนานกุ รมพุทธศาสตร 9. อธนานํ ธนานปุ ปฺ ทาน (ทํานบุ ํารงุ ผูข ดั สนไรทรัพย) 10. สมณพรฺ าหมฺ เณ อปุ สงกฺ มติ วฺ า ปหฺ าปจุ ฉฺ น (เขา ไปหาและสอบถามปญ หากะสมณพราหมณ) 11. อธมฺมราคสฺส ปหาน (เวนความกาํ หนัดในกามโดยอาการไมเปน ธรรม) 12. วิสมโลภสฺส ปหาน (เวน โลภกลา ไมเลอื กควรไมควร) ท่ีจํากันมาสวนมาก ก็ถือตามนัยอรรถกถานี้ อยางไรก็ดี ตามนัยนี้ ทานไมนับขอ ธรรมาธปิ ไตย เขา ในจาํ นวน 12 ขอ และเพมิ่ ขอ 11, 12 เขามาใหม ซึ่งไมม มี าในบาลีเดิม (ขอ 11, 12 นี้ โดยเหตผุ ลนา จะมอี ยูแลว ในหลักทศพิธราชธรรม) ดู [326] ราชธรรม 10 ดวย. D.III.61. ท.ี ปา.11/35/65. [340] ปฏิจจสมุปบาท มอี งคห รอื หวั ขอ 12 (การเกิดข้ึนพรอ มแหง ธรรมทั้งหลาย เพราะ อาศยั กัน, ธรรมทีอ่ าศัยกันเกิดข้ึนพรอ ม, การที่สง่ิ ท้งั หลายอาศัยกันๆ จึงเกดิ มีขน้ึ — Pañicca- samuppàda: the Dependent Origination; conditioned arising) 1.–2. อวชิ ฺชาปจจฺ ยา สงฺขารา เพราะ อวิชชา เปน ปจจยั สงั ขาร จึงมี (Dependent on Ignorance arise Kamma-Formations.) 3. สงขฺ ารปจจฺ ยา วิ ฺาณํ เพราะสงั ขารเปน ปจ จัย วญิ ญาณ จึงมี (Dependent on Kamma-Farmations arises Consciousness.) 4. วิฺ าณปจฺจยา นามรปู  เพราะวิญญาณเปนปจ จยั นามรปู จงึ มี (Dependent on Consciousness arise Mind and Matter.) 5. นามรูปปจฺจยา สฬายตนํ เพราะนามรปู เปน ปจ จยั สฬายตนะ จงึ มี (Dependent on Mind and Matter arise the Six Sense-Bases.) 6. สฬายตนปจจฺ ยา ผสฺโส เพราะสฬายตนะเปน ปจจัย ผสั สะ จงึ มี (Dependent on the Six Sense-Bases arises Contact.) 7. ผสฺสปจฺจยา เวทนา เพราะผสั สะเปนปจจัย เวทนา จงึ มี (Dependent on Contact arises Feeling.) 8. เวทนาปจจฺ ยา ตณฺหา เพราะเวทนาเปนปจ จยั ตณั หา จงึ มี (Dependent on Feeling arises Craving.) 9. ตณฺหาปจจฺ ยา อปุ าทานํ เพราะตณั หาเปนปจจยั อุปาทาน จึงมี (Dependent on Craving arises Clinging.) 10. อปุ าทานปจฺจยา ภโว เพราะอปุ าทานเปน ปจ จยั ภพ จงึ มี (Dependent on Clinging arises Becoming.) 11. ภวปจจฺ ยา ชาติ เพราะภพเปนปจ จยั ชาติ จงึ มี (Dependent on Becoming arises Birth.)

หมวดเกนิ 10 253 [340] 12. ชาตปิ จจฺ ยา ชรามรณํ เพราะชาตเิ ปน ปจจัย ชรามรณะ จึงมี (Dependent on Birth arise Decay and Death.) โสกปริเทวทุกขฺ โทมนสสฺ ปุ ายาสา สมภฺ วนฺติ ความโศก ความครา่ํ ครวญ ทุกข โทมนสั และความคับแคนใจ กม็ พี รอ ม (There also arise sorrow, lamentation, pain, grief and despair.) เอวเมตสสฺ เกวลสฺส ทุกฺขกฺขนธฺ สสฺ สมทุ โย โหติ. ความเกดิ ขึ้นแหง กองทกุ ขท ั้งปวงน้ี จึงมีดวยประการฉะน้ี (Thus arises this whole mass of suffering.) แสดงตามลําดบั จากตนไปหาปลายอยางน้ี เรียกวา อนุโลมเทศนา (teaching in forward order) ถา แสดงยอ นกลับจากปลายมาหาตน วา ชรามรณะเปนตน มเี พราะชาติเปน ปจจัย ชาติมเี พราะภพเปน ปจจัย ฯลฯ สงั ขารมเี พราะอวชิ ชาเปน ปจ จยั เรียกวา ปฏิโลมเทศนา (teaching in backward order) องค (factors) หรอื หัวขอ 12 นั้น มคี วามหมายโดยสงั เขป ดงั น้ี 1. อวิชชา (Avijjà: ignorance) ความไมร ู คอื ไมร ใู นอรยิ สจั จ 4 หรือตามนัยอภธิ รรมวา อวิชชา 8 ดู [208] อวชิ ชา 4; [209] อวชิ ชา 8 2. สังขาร (Saïkhàra: kamma-formations) สภาพทป่ี รงุ แตง ไดแก [120] สงั ขาร 3 2 หรือ [129] อภสิ ังขาร 3 3. วญิ ญาณ (Vi¤¤àõa: consciousness) ความรูแจงอารมณ ไดแ ก [268] วญิ ญาณ 6 4. นามรปู (Nàma-råpa: mind and matter) นามและรูป ไดแก เวทนา สัญญา เจตนา ผสั สะ มนสิการ หรือตามนยั อภิธรรมวา นามขันธ 3 + รปู ดู [216] ขันธ 5 (ขอ 2, 3, 4) [38–41] รปู 2, 28 5. สฬายตนะ (Saëàyatana: six sense-bases) อายตนะ 6 ไดแก [276] อายตนะภายใน 6 6. ผสั สะ (Phassa: contact) ความกระทบ, ความประจวบ ไดแก [272] สัมผสั 6 7. เวทนา (Vedanà: feeling) ความเสวยอารมณ ไดแ ก [113] เวทนา 6 8. ตณั หา (Taõhà: craving) ความทะยานอยาก ไดแก ตัณหา 6 มีรูปตัณหา เปนตน (ตัณหา ในรูป ในเสียง ในกล่ิน ในรส ในสัมผัสทางกาย และในธรรมารมณ) ดู [74] ตณั หา 3 ดวย 9. อปุ าทาน (Upàdàna: clinging; attachment) ความยึดมั่น ไดแก [214] อปุ าทาน 4 10. ภพ (Bhava: becoming) ภาวะชวี ติ ไดแ ก [98] ภพ 3 อกี นยั หนงึ่ วา ไดแ ก กรรมภพ (ภพ คอื กรรม — active process of becoming ตรงกบั [129] อภสิ งั ขาร 3) กบั อปุ ปต ตภิ พ (ภพคอื ทอี่ บุ ตั ิ — rebirth-process of becoming ตรงกบั [98] ภพ 3) 11. ชาติ (Jàti: birth) ความเกดิ ไดแก ความปรากฏแหงขันธท ัง้ หลาย การไดอายตนะ 12. ชรามรณะ (Jarà-maraõa: decay and death) ความแกแ ละความตาย ไดแ ก ชรา (ความ

[340] 254 พจนานกุ รมพุทธศาสตร เสอื่ มอาย,ุ ความหงอ มอนิ ทรยี ) กบั มรณะ (ความสลายแหง ขนั ธ, ความขาดชวี ติ นิ ทรยี ) ทง้ั 12 ขอ เปน ปจ จยั ตอ เนอ่ื งกนั ไป หมนุ เวยี นเปน วงจร ไมม ตี น ไมม ปี ลาย เรยี กวา ภวจกั ร (วงลอ หรอื วงจรแหง ภพ — Bhava-cakka: wheel of existence) และมขี อ ควรทราบเกยี่ วกบั ภวจกั รอกี ดงั น้ี ก.อทั ธา 3 (Addhà: periods; times) คอื กาล 3 ไดแก 1) อดตี = อวชิ ชา สังขาร 2) ปจจุบัน = วญิ ญาณ นามรปู สฬายตนะ ผสั สะ เวทนา ตณั หา อปุ าทาน ภพ 3) อนาคต = ชาติ ชรา มรณะ (+ โสกะ ฯลฯ) ข. สังเขป หรอื สงั คหะ 4 (Saïkhepa, Saïgaha: sections; divisions) คอื ชว ง หมวด หรอื กลุม 4 ไดแ ก 1) อดีตเหตุ = อวิชชา สงั ขาร 2) ปจจบุ นั ผล = วญิ ญาณ นามรปู สฬายตนะ ผสั สะ เวทนา 3) ปจจบุ นั เหตุ = ตณั หา อุปาทาน ภพ 4) อนาคตผล = ชาติ ชรามรณะ (+ โสกะ ฯลฯ) ค. สนธิ 3 (Sandhi: links; connection) คือ ข้วั ตอ ระหวางสงั เขปหรอื ชว งท้งั 4 ไดแ ก 1) ระหวา ง อดีตเหตุ กบั ปจ จุบันผล 2) ระหวา ง ปจ จบุ ันผล กับ ปจจุบันเหตุ 3) ระหวาง ปจจุบันเหตุ กบั อนาคตผล ง. วัฏฏะ 3 ดู [105] วฏั ฏะ 3 จ. อาการ 20 (âkàra: modes; spokes; qualities) คือ องคประกอบแตล ะอยา ง อนั เปน ดุจ กาํ ของลอ จาํ แนกตามสว นเหตุ (causes) และสว นผล (effects) ไดแก 1) อดีตเหตุ 5 = อวชิ ชา สังขาร ตณั หา อปุ าทาน ภพ 2) ปจ จบุ ันผล 5 = วญิ ญาณ นามรูป สฬายตนะ ผสั สะ เวทนา 3) ปจจุบนั เหตุ 5 = อวิชชา สงั ขาร ตัณหา อุปาทาน ภพ 4) อนาคตผล 5 = วญิ ญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา อาการ 20 นี้ ก็คอื หวั ขอ ท่กี ระจายใหเ ตม็ ในทกุ ชวงของสงั เขป 4 นน่ั เอง ฉ. มลู 2 (Måla: roots) คอื กิเลสทเ่ี ปนตัวมูลเหตุ ซงึ่ กาํ หนดเปน จดุ เรม่ิ ตนในวงจรแตล ะชว ง ไดแ ก 1) อวิชชา เปน จดุ เริ่มตนในชว งอดตี สง ผลถึงเวทนาในชว งปจ จบุ ัน 2) ตณั หา เปน จดุ เริ่มตน ในชว งปจจบุ นั สง ผลถงึ ชรามรณะในชว งอนาคต พงึ สงั เกตดวยวา การกลาวถึงสวนประกอบของภวจกั รตามขอ ก. ถงึ ฉ. นี้ เปน คําอธบิ าย

หมวดเกนิ 10 255 [340] ในคัมภรี ร นุ หลัง เชน อภธิ มั มตั ถสังคหะ เปนตน การแสดงหลกั ปฏจิ จสมปุ บาท ใหเ หน็ ความเกดิ ขนึ้ แหง ธรรมตา งๆ โดยอาศยั ปจ จยั สบื ทอด กนั ไปอยา งนี้ เปน สมทุ ยวาร คอื ฝา ยสมทุ ยั ใชเ ปน คาํ อธบิ ายอรยิ สจั จข อ ที่ 2 (สมทุ ยั สจั จ) คอื แสดงใหเ หน็ ความเกดิ ขนึ้ แหง ทกุ ข ปฏจิ จสมปุ บาททแ่ี สดงแบบน้ี เรยี กวา อนโุ ลมปฏจิ จสมปุ บาท (direct Dependent Origination) การแสดงในทางตรงขามกับขางตนน้ี เปน นิโรธวาร คอื ฝายนิโรธ ใชอธบิ ายอริยสัจจขอท่ี 3 (นิโรธสัจจ) เรยี กวา ปฏิโลมปฏจิ จสมปุ บาท (reverse Dependent Origination ซ่ึงความ จริงก็คือ Dependent Extinction น่นั เอง) แสดงใหเ ห็นความดับไปแหงทกุ ข ดวยอาศัยความ ดับไปแหงปจ จยั ท้งั หลายสืบทอดกันไป ตัวบทของปฏจิ จสมปุ บาทแบบปฏโิ ลมน้ี พึงเทยี บจาก แบบอนุโลมน่นั เอง เชน 1.–2. อวิชชฺ าย เตวฺ ว อเสสวิราคนิโรธา สงขฺ ารนิโรโธ เพราะอวชิ ชาสาํ รอกดับไปไมเหลอื สังขารจึงดับ (Through the total fading away and cessation of ignorance, cease kamma- formations.) 3. สงขฺ ารนโิ รธา วิฺ าณนโิ รโธ เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดบั (Through the cessation of kamma-formations, ceases consciousness.) ฯลฯ 12. ชาตนิ ิโรธา ชรามรณํ เพราะชาติดบั ชรามรณะ (จงึ ดบั ) (Through the cessation of birth, cease decay and death.) โสกปรเิ ทวทุกขฺ โทมนสสฺ ปุ ายาสา นิรชุ ฺฌนตฺ ิ ความโศก ความครา่ํ ครวญ ทกุ ข โทมนัส ความคับแคนใจ กด็ ับ (Also cease sorrow, lamentation, pain, grief and despair.) เอวเมตสฺส เกวลสฺส ทกุ ขฺ กขฺ นฺธสสฺ นโิ รโธ โหต.ิ ความดับแหง กองทกุ ขทง้ั ปวงน้ี ยอ มมีดว ยประการฉะนี้ (Thus comes about the cessation of this whole mass of suffering.) นีเ้ ปน อนุโลมเทศนา ของปฏโิ ลมปฏจิ จสมุปบาท สว น ปฏิโลมเทศนา ก็พงึ แสดงยอนวา ชรามรณะ เปน ตน ดับ เพราะชาติดับ ชาติดบั เพราะภพดบั ฯลฯ สงั ขารดับเพราะอวิชชาดบั อยางเดียวกบั ในอนุโลมปฏิจจสมุปบาท ปฏจิ จสมปุ บาทน้ี มชี อ่ื เรยี กอยา งอนื่ อกี ทส่ี าํ คญั คอื อทิ ปั ปจ จยตา (ภาวะทมี่ อี นั นๆี้ เปน ปจ จยั — Idappaccayatà: specific conditionality) ธรรมนยิ าม (ความเปน ไปอนั แนน อนแหง ธรรมดา, กฎธรรมชาติ — Dhammaniyàma: orderliness of nature; natural law) และ ปจ จยาการ (อาการทสี่ ง่ิ ทงั้ หลายเปน ปจ จยั แกก นั — Paccayàkàra: mode of conditionality; structure

[341] 256 พจนานุกรมพุทธศาสตร of conditions) เฉพาะชอ่ื หลงั นเ้ี ปน คาํ ทนี่ ยิ มใชใ นคมั ภรี อ ภธิ รรม และคมั ภรี ร นุ อรรถกถา. Vin.I.1; S.II.1; Vbh.135; Vism.517; Comp.188 วินย.4/1/1; ส.ํ นิ.16/1/1; อภ.ิ ว.ิ 35/274/185; วสิ ุทฺธิ.3/107; สงฺคห.45. [,,,] ปจจยาการ 12 ดู [340] ปฏิจจสมุปบาท. [,,,] สนั โดษ 12 ดู [122] สนั โดษ 3, 12 [341] อายตนะ 12 (ส่งิ ท่ีเชอ่ื มตอ กันใหเกิดความรู, แดนตอหรอื แดนเกิดแหง ความรู — âyatana: sense-fields; sense-spheres) 1. อายตนะภายใน 6 ดู [276] อายตนะภายใน 6. 2. อายตนะภายนอก 6 ดู [277] อายตนะภายนอก 6. Vbh.70. อภ.ิ ว.ิ 35/99/85. [342] ธดุ งค 13 (องคค ณุ เครอ่ื งสลัดหรือกําจดั กเิ ลส, ขอปฏิบัติประเภทวตั รท่ีผูส มคั รใจจะพงึ สมาทานประพฤตไิ ด เพ่ือเปน อบุ ายขัดเกลากิเลส ชวยสงเสรมิ ความมักนอยและสนั โดษเปนตน — Dhutaïga: means of shaking off or removing defilements; austere practices; ascetic practices) หมวดที่ 1 จีวรปฏิสังยุตต (เกยี่ วกับจวี ร — connected with robes) 1. ปงสกุ ลู ิกงั คะ (องคแหงผถู ือทรงผาบงั สกุ ลุ เปนวัตร คําสมาทานโดยอธษิ ฐานใจหรือเปลง วาจาวา “คหปติจีวรํ ปฏิกฺขิปามิ, ปส ุกูลกิ งฺคํ สมาทิยามิ” แปลวา “เรางดคฤหบดีจีวร สมาทาน องคแหง ผู— ” — Pa§sukålikaïga: refuse-rag-wearer’s practice) 2. เตจวี รกิ งั คะ (องคแ หง ผถู อื ทรงเพยี งไตรจวี รเปน วตั ร คาํ สมาทานวา “จตตุ ถฺ จวี รํ ปฏกิ ขฺ ิปามิ, เตจวี รกิ งคฺ ํ สมาทยิ าม”ิ แปลวา “ขา พเจา งดจวี รผนื ที่ 4 สมาทานองคแ หง ผ—ู ” —Tecãvarikaïga: triple-robe-wearer’s practice) หมวดที่ 2 ปณฑปาตปฏิสงั ยุตต (เก่ยี วกับบณิ ฑบาต — connected with almsfood) 3. ปณฑปาติกังคะ (องคแหงผูถือเท่ียวบิณฑบาตเปนวัตร คําสมาทานวา “อติเรกลาภํ ปฏกิ ฺขปิ ามิ, ปณ ฑฺ ปาตกิ งคฺ ํ สมาทยิ าม”ิ แปลวา “ขาพเจา งดอติเรกลาภ สมาทานองคแ หง ผู—” — Piõóapàtikaïga: alms-food-eater’s practice) 4. สปทานจาริกังคะ (องคแหงผูถือเท่ียวบิณฑบาตไปตามลําดับเปนวัตร คําสมาทานวา “โลลปุ ปฺ จารํ ปฏิกฺขิปามิ, สปทานจารกิ งคฺ ํ สมาทิยาม”ิ แปลวา “ขา พเจา งดการเท่ียวตามใจ อยาก สมาทานองคแหงผู— ” — Sapadànacàrikaïga: house-to-house-seeker’s practice) 5. เอกาสนิกงั คะ (องคแ หง ผูถ ือนงั่ ฉัน ณ อาสนะเดยี วเปนวัตร คอื ฉนั วันละมื้อเดยี ว ลุกจาก ท่แี ลว ไมฉ ันอีก คาํ สมาทานวา “นานาสนโภชนํ ปฏกิ ขฺ ปิ ามิ, เอกาสนิกงคฺ ํ สมาทยิ ามิ” แปลวา “ขา พเจา งดการฉนั ณ ตา งอาสนะ สมาทานองคแ หง ผ—ู ” — Ekàsanikaïga: one-sessioner’s

หมวดเกนิ 10 257 [342] practice) 6. ปตตปณ ฑกิ ังคะ (องคแหง ผูถ ือฉนั เฉพาะในบาตรเปนวัตร คอื ไมใชภ าชนะใสอาหารเกนิ 1 อยางคอื บาตร คาํ สมาทานวา “ทุตยิ ภาชนํ ปฏกิ ขฺ ิปาม,ิ ปตฺตปณ ฺฑกิ งฺคํ สมาทยิ าม”ิ แปลวา “ขาพเจา งดภาชนะที่สอง สมาทานองคแ หง ผ—ู ” — Pattapiõóikaïga: bowl-food-eater’s practice) 7. ขลปุ จ ฉาภตั ตกิ งั คะ (องคแ หง ผถู อื หา มภตั ทถ่ี วายภายหลงั เปน วตั ร คอื เมอื่ ไดป ลงใจกาํ หนด อาหารทเ่ี ปน สว นของตน ซงึ่ เรยี กวา หา มภตั ดว ยการลงมอื ฉนั เปน ตน แลว ไมร บั อาหารทเี่ ขานาํ มาถวายอกี แมจ ะเปน ของประณตี คาํ สมาทานวา “อตริ ติ ตฺ โภชนํ ปฏกิ ขฺ ปิ าม,ิ ขลปุ จฉฺ าภตตฺ กิ งคฺ ํ สมาทยิ าม”ิ แปลวา “ขา พเจา งดโภชนะอนั เหลอื เฟอ สมาทานองคแ หง ผ—ู ” — Khalupacchà- bhattikaïga: later-food-refuser’s practice) หมวดท่ี 3 เสนาสนปฏสิ งั ยตุ ต (เกย่ี วกบั เสนาสนะ — connected with the resting place) 8. อารัญญกิ ังคะ (องคแหงผูถืออยปู าเปนวตั ร อยูหางบานคนอยางนอ ย 500 ช่ัวธนู คอื 25 เสน คําสมาทานวา “คามนตฺ เสนาสนํ ปฏกิ ฺขปิ ามิ, อารฺ ิกงฺคํ สมาทยิ าม”ิ แปลวา “ขาพเจา งดเสนาสนะชายบา น สมาทานองคแ หง ผ—ู ” — âra¤¤ikaïga: forest-dweller’s practice) 9. รกุ ขมลู กิ งั คะ (องคแ หง ผถู อื อยโู คนไมเ ปน วตั ร คาํ สมาทานวา “ฉนนฺ ํ ปฏกิ ขฺ ปิ าม,ิ รกุ ขฺ มลู กิ งคฺ ํ สมาทยิ าม”ิ แปลวา “ขา พเจา งดทมี่ งุ บงั สมาทานองคแ หง ผ—ู ” — Rukkhamålikaïga: tree- root-dweller’s practice) 10. อัพโภกาสิกงั คะ (องคแหงผถู ืออยทู แ่ี จงเปนวัตร คําสมาทานวา “ฉนฺนจฺ รุกฺขมลู ฺจ ปฏิกขฺ ิปามิ, อพโฺ ภกาสกิ งฺคํ สมาทิยาม”ิ แปลวา “ขาพเจางดทมี่ ุงบังและโคนไม สมาทานองค แหงผู—” — Abbhokàsikaïga: open-air-dweller’s practice) 11. โสสานิกังคะ (องคแหงผูถืออยูปาชาเปนวัตร คําสมาทานวา “อสุสานํ ปฏิกฺขิปามิ, โสสานิกงฺคํ สมาทยิ าม”ิ แปลวา “ขาพเจา งดที่มิใชป า ชา สมาทานองคแ หงผ—ู ” — Sosàni- kaïga: charnel-ground-dweller’s practice) 12. ยถาสนั ถตกิ งั คะ (องคแ หง ผถู อื อยใู นเสนาสนะแลว แตเ ขาจดั ให คาํ สมาทานวา “เสนา สน-โลลปุ ปฺ  ปฏกิ ขฺ ปิ าม,ิ ยถาสนถฺ ตกิ งคฺ ํ สมาทยิ าม”ิ แปลวา “ขา พเจา งดความอยากเอาแตใ จใน เสนาสนะ สมาทานองคแ หงผ—ู ” — Yathàsanthatikaïga: any-bed-user’s practice) หมวดที่ 4 วริ ยิ ปฏสิ ังยุตต (เกย่ี วกบั ความเพียร — connected with energy) 13. เนสัชชิกังคะ (องคแหง ผูถอื การน่ังเปน วตั ร คอื เวนนอน อยูดวยเพียง 3 อิรยิ าบถ คํา สมาทานวา “เสยฺยํ ปฏกิ ฺขปิ าม,ิ เนสชฺชกิ งคฺ ํ สมาทยิ ามิ” แปลวา “ขาพเจางดการนอน สมาทาน องคแ หงผู—” — Nesajjikaïga: sitter’s practice) ขอ ควรทราบเพม่ิ เติมเก่ยี วกับธุดงค 13 ก. โดยยอ ธุดงคมี 8 ขอ เทา น้ัน คือ 1) องคห ลกั 3 (สีสงั คะ — principal practices) คอื สปทานจารกิ งั คะ (เทา กบั ไดรกั ษา

[343] 258 พจนานกุ รมพุทธศาสตร ปณ ฑปาตกิ งั คะดว ย) เอกาสนกิ งั คะ (เทา กบั ไดร กั ษาปต ตปณ ฑกิ งั คะ และขลปุ จ ฉาภตั ตกิ งั คะ ดวย) และอัพโภกาสิกังคะ (ทาํ ใหร ุกขมลู ิกงั คะ กับยถาสันถติกงั คะ หมดความจาํ เปน ) 2) องคเ ดย่ี วไมค าบเกยี่ วขอ อน่ื 5 (อสมั ภนิ นงั คะ — individual practices) คอื อารญั ญกิ งั คะ ปง สกุ ลู กิ งั คะ เตจวี รกิ งั คะ เนสชั ชกิ งั คะ และโสสานกิ งั คะ ข. โดยนสิ สยั คอื ทอ่ี าศยั (dependence) มี 2 คอื ปจ จยั นสิ ติ 12 (อาศยั ปจ จยั — dependent on requisites) กบั วิรยิ นสิ ติ 1 (อาศัยความเพียร — dependent on energy) ค. โดยบคุ คลผูถอื 1) ภกิ ษุ ถือไดท งั้ 13 ขอ 2) ภิกษณุ ี ถอื ได 8 ขอ (คือ ขอ 1, 2, 3, 4, 5, 6, 12, 13) 3) สามเณร ถอื ได 12 ขอ (คือเวนขอ 2 เตจวี ริกังคะ) 4) สิกขมานาและสามเณรี ถือได 7 ขอ (คอื ลดขอ 2 ออกจากทภี่ กิ ษุณีถอื ได) 5) อบุ าสกอบุ าสิกา ถือได 2 ขอ (คอื ขอ 5 และ 6) ง. โดยระดบั การถือ แตล ะขอ ถอื ได 3 ระดับ คอื 1) อยางอกุ ฤษฎ หรอื อยา งเครง เชน ผถู อื อยูปา ตองใหไดอ รุณในปา ตลอดไป 2) อยางมัธยม หรอื อยา งกลาง เชน ผถู อื อยปู า อยใู นเสนาสนะชายบา นตลอดฤดฝู น 4 เดอื น ท่เี หลอื อยปู า 3) อยา งออ น หรอื อยา งเพลา เชน ผถู อื อยปู า อยใู นเสนาสนะชายบา นตลอดฤดฝู นและหนาว รวม 8 เดือน จ. ขอ 9 และ 10 คอื รกุ ขมลู ิกงั คะ และอัพโภกาสกิ ังคะ ถอื ไดเฉพาะนอกพรรษา เพราะวินยั กําหนดใหตอ งถือเสนาสนะในพรรษา ฉ. ธดุ งคไ มใชบ ทบัญญตั ิทางวนิ ยั ขน้ึ กับความสมคั รใจ มหี ลกั ทัว่ ไปในการถือวา ถาถอื แลว ชว ย ใหกรรมฐานเจริญ หรอื ชวยใหกศุ ลธรรมเจรญิ อกศุ ลธรรมเสื่อม ควรถือ ถา ถอื แลว ทาํ ให กรรมฐานเสอื่ ม หรือทาํ ใหกุศลธรรมเส่อื ม อกศุ ลธรรมเจริญ ไมค วรถอื สวนผทู ่ถี อื หรือไม ถือ กไ็ มทาํ ใหกรรมฐานเจรญิ หรือเสอ่ื ม เชน เปนพระอรหนั ตแ ลว อยางพระมหากสั สปะ เปนตน หรอื คนอืน่ ๆ กต็ าม ควรถือได ฝา ยแรกควรถือในเม่ือคิดจะอนุเคราะหชมุ ชนในภาย หลัง ฝา ยหลงั เพอ่ื เปน วาสนาตอไป ช. ธุดงคทีม่ าในบาลีเดิม ไมพบครบจาํ นวนในท่เี ดียว (ที่พบจาํ นวนมาก คือ ม.อ.ุ 14/186/138; M.III.40 มีขอ 1, 3, 5, 8, 9, 10, 11, 12, 13; องฺ.ทสก.24/181/245; A.V.219 มีขอ 1, 5, 6, 7, 8, 9, 10, 11, 12, 13; ข.ุ ม.29/918/584; Nd1188 มีขอ 1, 2, 3, 4, 7, 8, 12, 13) นอกจากคัมภรี ป ริวาร (วินย.8/982/330; 1192/475; Vin.V.131,198) ซง่ึ มีหัวขอครบถว น สวนคําอธบิ ายทั้งหมดพึงดใู นคมั ภีรวิสทุ ธิมคั ค. Vism.59–83. วสิ ุทธฺ ิ.1/73–104. [343] กจิ หรอื วญิ ญาณกจิ 14 (กจิ ของวญิ ญาณ, หนา ทข่ี องจติ — Vi¤¤àõa-kicca:

หมวดเกิน 10 259 [344] functions of consciousness; psychic functions) 1. ปฏิสนธิ (หนาที่สืบตอภพใหม ไดแ กจ ิต 19 คือ อเุ บกขาสันตีรณะ 2 มหาวบิ าก 8 รูปวบิ าก 5 อรปู วิบาก 4 — Pañisandhi: re-linking; rebirth-linking) 2. ภวงั คะ (หนาที่เปน องคข องภพ ไดแกจ ิต 19 อยางเดียวกบั ปฏสิ นธิ — Bhavaïga: life- continuum; factor of being) 3. อาวชั ชนะ (หนา ที่คาํ นึงอารมณใ หม ไดแ ก จิต 2 คอื ปญจทวาราวชั ชนะ และมโนทวารา- วชั ชนะ — âvajjana: apprehending; adverting) 4. ทัสสนะ (หนา ทเ่ี ห็นรปู ไดแ ก จกั ขุวญิ ญาณ 2 — Dassana: seeing) 5. สวนะ (หนาทไ่ี ดยนิ เสยี ง ไดแก โสตวญิ ญาณ 2 — Savana: hearing) 6. ฆายนะ (หนา ท่ีรกู ล่นิ ไดแก ฆานวญิ ญาณ 2 — Ghàyana: smelling) 7. สายนะ (หนาทลี่ ้ิมรส ไดแ ก ชวิ หาวญิ ญาณ 2 — Sàyana: tasting) 8. ผสุ นะ (หนา ทถี่ กู ตอ งโผฏฐพั พะ ไดแ ก กายวญิ ญาณ 2 — Phusana: contacting; touching) 9. สมั ปฏจิ ฉนะ (หนา ทรี่ ับอารมณ ไดแ ก สมั ปฏจิ ฉนะ 2 — Sampañicchana: receiving) 10. สันตีรณะ (หนา ทพ่ี จิ ารณาอารมณ ไดแ ก สันตรี ณะ 3 — Santãraõa: investigating) 11. โวฏฐพั พนะ หรอื โวฏฐปนะ (หนา ทตี่ ดั สนิ อารมณ ไดแ ก มโนทวาราวชั ชนะ 1 — Voññhapana: determining) 12. ชวนะ (หนา ทแ่ี ลน เสพอารมณ อนั เปน ชว งทที่ าํ กรรม ไดแ ก จติ 55 คอื กศุ ลจติ 21, อกศุ ล จติ 12, กริ ยิ าจติ 18 คอื เวน อาวชั ชนะทงั้ สอง โลกตุ ตรผลจติ 4 — Javana: apperception; impulsion) 13. ตทาลัมพนะ (หนา ทร่ี บั อารมณต อจากชวนะกอนตกภวังค ไดแก จิต 11 คอื มหาวิบาก 8 สนั ตีรณะ 3 — Tadàlambana: retention; registration) 14. จตุ ิ (หนา ทเี่ คลอื่ นจากภพปจ จบุ นั ไดแ ก จติ 19 อยา งเดยี วกบั ในปฏสิ นธิ — Cuti: decease; death; shifting) จดั โดยฐานทจี่ ติ ทาํ กจิ 14 น้ี มี 10 คอื รวมขอ 4, 5, 6, 7, 8 เปน ขอ เดยี ว คอื ปญ จ- วญิ ญาณฐาน (fivefold sense-impressions) นอกนนั้ คงชอ่ื เดมิ กจิ 14 น้ี ในวสิ ุทธมิ คั คเ รียกวา วิญญาณปวัตติ หรอื วิญญาณปวตั ติอาการ (อาการท่ี วิญญาณเปน ไป — modes of occurrence of consciousness) ดู [356] จิต 89. Vism.457; Comp.114. วสิ ทุ ฺธ.ิ 3/29; สงคฺ ห.15 [344] จรณะ 15 (ความประพฤต,ิ ปฏปิ ทา, ขอปฏบิ ัติอันเปน ทางบรรลวุ ิชชา หรอื นิพพาน — Caraõa: conduct; course of practice) 1. สลี สัมปทา (ความถงึ พรอ มดว ยศลี คือ ประพฤตถิ ูกตองดงี าม สํารวมในพระปาฏโิ มกข มี

[345] 260 พจนานุกรมพุทธศาสตร มารยาทเรยี บรอ ย ประพฤตเิ ครง ครดั ในสกิ ขาบททงั้ หลาย — Sãla-sampadà: accomplishment of morals) 2. อปณ ณกปฏปิ ทา 3 ดู [128] อปณณกปฏปิ ทา 3 3. สัทธรรม 7 ดู [301] สัปปรุ ิสธรรม 8 ขอ 1. 4. ฌาน 4 ดู [9] ฌาน 4 ในบาลีท่ีมา ทานเรยี กวา เปน เสขปฏปิ ทา คอื ขอ ปฏบิ ัติอันเปนทางดาํ เนินของพระเสขะ (a learner’s course of practice) M.I.354. ม.ม.13/26/26. [345] ญาณ 16 หรอื โสฬสญาณ (ความหยัง่ รู ในทน่ี ี้หมายถึงญาณทีเ่ กิดขนึ้ แกผูเจริญ วิปสสนาตามลําดบั ตั้งแตต นจนถงึ ท่ีสดุ — Soëasa-¤àõa: insight; knowledge) 1. นามรปู ปรจิ เฉทญาณ (ญาณกาํ หนดจาํ แนกรนู ามและรปู คอื รวู า สง่ิ ทงั้ หลายมแี ตร ปู ธรรม และนามธรรม และกาํ หนดแยกไดว า อะไรเปน รปู ธรรม อะไรเปน นามธรรม —Nàmaråpa- pariccheda-¤àõa: knowledge of the delimitation of mentality–materiality) 2. ปจจยปริคคหญาณ (ญาณกําหนดรปู จ จัยของนามและรปู คอื รวู า รปู ธรรมและนามธรรม ท้ังหลายเกดิ จากเหตุปจจยั และเปนปจจยั แกกนั อาศัยกัน โดยรตู ามแนวปฏิจจสมปุ บาท กด็ ี ตามแนวกฎแหง กรรมก็ดี ตามแนววัฏฏะ 3 ก็ดี เปน ตน — Paccaya-pariggaha-¤àõa: knowledge of discerning the conditions of mentality–materiality) 3. สมั มสนญาณ (ญาณกาํ หนดรดู ว ยพิจารณาเห็นนามและรปู โดยไตรลกั ษณ คอื ยกรปู ธรรม และนามธรรมทัง้ หลายข้นึ พิจารณาโดยเหน็ ตามลักษณะท่เี ปนของไมเ ทย่ี ง เปนทุกข มใิ ชต วั ตน — Sammasana-¤àõa: knowledge of comprehending mentality–materiality as impermanent, unsatisfactory and not-self) 4.–12. ไดแ ก วิปสสนาญาณ 9 ดู [311] 13. โคตรภญู าณ (ญาณครอบโคตร คอื ความหยง่ั รทู ี่เปนหวั ตอแหงการขา มพนจากภาวะ ปุถุชนเขา สภู าวะอริยบุคคล — Gotrabhå-¤àõa: knowledge at the moment of the “Change-of-lineage”) 14. มัคคญาณ (ญาณในอริยมรรค คือ ความหยง่ั รูที่ใหส ําเรจ็ ภาวะอริยบุคคลแตล ะข้ัน — Magga-¤àõa: knowledge of the Path) 15. ผลญาณ (ญาณในอรยิ ผล คือ ความหยงั่ รทู ่เี ปนผลสาํ เรจ็ ของพระอริยบคุ คลช้ันน้นั ๆ — Phala-¤àõa: knowledge of Fruition) 16. ปจจเวกขณญาณ (ญาณหยงั่ รดู วยการพิจารณาทบทวน คอื สํารวจรูมรรคผล กเิ ลสที่ ละแลว กเิ ลสทเี่ หลอื อยู และนิพพาน เวน แตว า พระอรหันตไมม กี ารพิจารณากิเลสท่ยี งั เหลืออยู — Paccavekkhaõa-¤àõa: knowledge of reviewing)

หมวดเกิน 10 261 [346] ในญาณ 16 นี้ 14 อยา ง (ขอ 1–13 และ 16) เปน โลกยี ญาณ, 2 อยาง (ขอ 14 และ 15) เปน โลกุตตรญาณ ญาณ 16 (บางทเี รียกวา โสฬสญาณ ซงึ่ กแ็ ปลวา ญาณ 16 นน่ั เอง) ทจ่ี ัดลําดบั เปนชดุ และ เรียกชือ่ เฉพาะอยางนี้ มใิ ชม าในพระบาลีเดิมโดยตรง พระอาจารยใ นสายวงการวปิ สสนาธุระ ไดสอนสืบกันมา โดยประมวลจากคัมภีรป ฏิสัมภิทามัคค และวสิ ุทธิมัคค ในกาลตอมา (พงึ ดู ขุ.ปฏ.ิ 31/มาตกิ า/1–2 = Ps.1 และ วิสทุ ธฺ .ิ 3/206–328 = Vism.587–678) [,,,] รปู พรหม หรอื พรหมโลก 16 ดู [351] ภูมิ 4 หรอื 31. [,,,] โสฬสวตั ถกุ อานาปานสติ ดู [346] อานาปานสติ 16 ฐาน [,,,] อานาปานสติ 16 ข้นั ดู [346] อานาปานสติ 16 ฐาน [346] อานาปานสติ 16 ฐาน (สติกําหนดลมหายใจ, การเจรญิ อานาปานสติ คือใชสติ กําหนดลมหายใจเขา–ออก แบบที่เปนการเจริญสติปฏฐานไปดวยครบท้ัง 4 — Soëasa– vatthuka-ànàpànassati: mindfulness of breathing with sixteen bases) จตุกกะท่ี 1: กายานุปส สนา 1) ทีฆํ วา อสสฺ สนฺโต ‘ทฆี ํ อสสฺ สาม’ี ติ ปชานาต,ิ ทฆี ํ วา ปสสฺ สนโฺ ต ‘ทฆี ํ ปสสฺ สาม’ี ติ ปชานาต;ิ 2) รสสฺ ํ วา อสสฺ สนฺโต ‘รสฺสํ อสสฺ สาม’ี ติ ปชานาติ, รสฺสํ วา ปสสฺ สนโฺ ต ‘รสฺสํ ปสฺสสามี’ติ ปชานาติ; 3) ‘สพพฺ กายปฏิสํเวที อสสฺ สิสสฺ ามี’ติ สิกฺขติ, ‘สพพฺ กายปฏสิ ํเวที ปสฺสสิสสฺ ามี’ติ สิกขฺ ต;ิ 4) ‘ปสสฺ มภฺ ยํ กายสงขฺ ารํ อสสฺ สิสฺสามี’ติ สิกฺขติ, ‘ปสสฺ มภฺ ยํ กายสงฺขารํ ปสฺสสิสสฺ ามี’ติ สิกฺขต.ิ 1) เม่ือหายใจเขายาว เธอกร็ ูช ดั วา เราหายใจเขายาว หรอื เมอื่ หายใจออกยาว เธอก็รชู ดั วา เราหายใจออกยาว 2) เมือ่ หายใจเขา สัน้ เธอก็รชู ดั วา เราหายใจเขาสนั้ หรือเม่อื หายใจออกส้ัน เธอก็รชู ัดวา เราหายใจออกสนั้ 3) เธอสาํ เหนยี กวา เราจักรูท ัว่ กาย(กองลม)ทัง้ หมด หายใจเขา เธอสําเหนยี กวา เราจกั รูท ่ัวกาย(กองลม)ทงั้ หมด หายใจออก 4) เธอสําเหนยี กวา เราจกั ผอนระงับกายสังขาร หายใจเขา เธอสําเหนยี กวา เราจักผอนระงับกายสังขาร หายใจออก 1. Breathing in long, he knows: “I am breathing in long”;

[346] 262 พจนานุกรมพุทธศาสตร or breathing out long, he knows: “I am breathing out long”. 2. Breathing in short, he knows: “I am breathing in short”; or breathing out short, he knows: “I am breathing out short”. 3. He trains thus: “Experiencing the entire (breath-) body, I shall breathe in”; he trains thus: “Experiencing the entire (breath-) body, I shall breathe out”. 4. He trains thus: “Calming the bodily formation, I shall breathe in”; he trains thus: “Calming the bodily formation, I shall breathe out”. จตุกกะที่ 2: เวทนานุปส สนา 5) ‘ปตปิ ฏิสํเวที อสฺสสสิ ฺสามี’ติ สกิ ฺขต,ิ ‘ปตปิ ฏสิ เํ วที ปสฺสสิสฺสามี’ติ สกิ ฺขต;ิ 6) ‘สุขปฏสิ เํ วที อสฺสสิสฺสามี’ติ สิกฺขติ, ‘สุขปฏิสํเวที ปสฺสสสิ สฺ าม’ี ติ สิกฺขติ; 7) ‘จิตฺตสงขฺ ารปฏสิ ํเวที อสสฺ สสิ ฺสาม’ี ติ สกิ ขฺ ติ, ‘จิตตฺ สงขฺ ารปฏสิ เํ วที ปสสฺ สสิ ฺสาม’ี ติ สิกขฺ ต;ิ 8) ‘ปสสฺ มฺภยํ จติ ตฺ สงฺขารํ อสฺสสิสสฺ าม’ี ติ สกิ ขฺ ติ, ‘ปสฺสมภฺ ยํ จติ ฺตสงฺขารํ ปสสฺ สิสสฺ าม’ี ติ สกิ ขฺ ต.ิ 5) เธอสาํ เหนียกวา เราจกั เสวยรูปต ิ หายใจเขา เธอสําเหนียกวา เราจกั เสวยรปู ต ิ หายใจออก 6) เธอสําเหนียกวา เราจกั เสวยรูความสุข หายใจเขา เธอสาํ เหนยี กวา เราจักเสวยรคู วามสขุ หายใจออก 7) เธอสําเหนยี กวา เราจกั เสวยรูจติ สงั ขารหายใจเขา เธอสําเหนียกวา เราจกั เสวยรจู ติ สงั ขาร หายใจออก 8) เธอสําเหนยี กวา เราจกั ผอนระงบั จิตสังขาร หายใจเขา เธอสําเหนยี กวา เราจักผอ นระงับจติ สังขาร หายใจออก 5. He trains thus: “Experiencing rapture, I shall breathe in”; he trains thus: “Experiencing rapture, I shall breathe out”. 6. He trains thus: “Experiencing joy, I shall breathe in”; he trains thus: “Experiencing joy, I shall breathe out”. 7. He trains thus: “Experiencing the mental formation, I shall breathe in”; he trains thus: “Experiencing the mental formation, I shall breathe out”. 8. He trains thus: “Calming the mental formation, I shall breathe in”;

หมวดเกิน 10 263 [346] he trains thus: “Calming the mental formation, I shall breathe out”. จตุกกะท่ี 3: จติ ตานุปสสนา 9) ‘จิตตฺ ปฏิสํเวที อสฺสสสิ ฺสามี’ติ สิกฺขติ, ‘จติ ตฺ ปฏสิ ํเวที ปสฺสสสิ ฺสามี’ติ สิกขฺ ติ; 10) ‘อภปิ ฺปโมทยํ จติ ตฺ ํ อสสฺ สิสสฺ ามี’ติ สิกขฺ ต,ิ ‘อภิปฺปโมทยํ จติ ฺตํ ปสสฺ สสิ ฺสามี’ติ สิกขฺ ติ 11) ‘สมาทหํ จิตตฺ ํ อสฺสสิสฺสาม’ี ติ สิกขฺ ติ, ‘สมาทหํ จติ ตฺ ํ ปสสฺ สิสสฺ ามี’ติ สิกขฺ ติ; 12) ‘วโิ มจยํ จติ ฺตํ อสสฺ สิสฺสามี’ติ สกิ ขฺ ต,ิ ‘วิโมจยํ จิตฺตํ ปสสฺ สิสสฺ ามี’ติ สกิ ฺขติ. 9) เธอสําเหนยี กวา เราจักรทู ่ัวถึงจติ หายใจเขา เธอสาํ เหนียกวา เราจักรทู ่ัวถึงจติ หายใจออก 10) เธอสําเหนยี กวา เราจกั ทําจติ ใหรา เริง หายใจเขา เธอสําเหนียกวา เราจกั ทําจติ ใหราเริง หายใจออก 11) เธอสําเหนยี กวา เราจกั ทําจติ ใหตง้ั มนั่ หายใจเขา เธอสาํ เหนียกวา เราจักทําจติ ใหต งั้ มนั่ หายใจออก 12) เธอสําเหนยี กวา เราจักปลอยเปลื้องจติ หายใจเขา เธอสาํ เหนียกวา เราจกั ปลอ ยเปล้อื งจิต หายใจออก 9. He trains thus: “Experiencing the mind, I shall breathe in”; he trains thus: “Experiencing the mind, I shall breathe out”. 10. He trains thus: “Gladdening the mind, I shall breathe in”; he trains thus: “Gladdening the mind, I shall breathe out”. 11. He trains thus: “Concentrating the mind, I shall breathe in”; he trains thus: “Concentrating the mind, I shall breathe out”. 12. He trains thus: “Liberating the mind, I shall breathe in”; he trains thus: “Liberating the mind, I shall breathe out”. จตุกกะที่ 4: ธัมมานุปสสนา 13) ‘อนิจจฺ านปุ สฺสี อสฺสสิสสฺ ามี’ติ สิกฺขติ, ‘อนิจจฺ านปุ สสฺ ี ปสฺสสสิ ฺสามี’ติ สิกฺขต;ิ 14) ‘วิราคานุปสฺสี อสฺสสิสฺสามี’ติ สิกขฺ ต,ิ ‘วริ าคานปุ สฺสี ปสสฺ สสิ สฺ ามี’ติ สกิ ฺขติ;

[346] 264 พจนานกุ รมพุทธศาสตร 15) ‘นโิ รธานปุ สฺสี อสสฺ สสิ สฺ าม’ี ติ สกิ ฺขติ, ‘นโิ รธานุปสสฺ ี ปสสฺ สิสฺสาม’ี ติ สิกขฺ ติ; 16) ‘ปฏินสิ ฺสคฺคานุปสสฺ ี อสฺสสสิ สฺ าม’ี ติ สิกขฺ ติ, ‘ปฏนิ ิสฺสคฺคานุปสฺสี ปสสฺ สสิ สฺ ามี’ติ สิกขฺ ติ. 13) เธอสาํ เหนยี กวา เราจกั พจิ ารณาเห็นความไมเ ทีย่ ง หายใจเขา เธอสาํ เหนยี กวา เราจกั พิจารณาเห็นความไมเท่ียง หายใจออก 14) เธอสําเหนยี กวา เราจกั พิจารณาเห็นความคลายออกได หายใจเขา เธอสาํ เหนียกวา เราจักพจิ ารณาเหน็ ความคลายออกได หายใจออก 15) เธอสาํ เหนยี กวา เราจกั พิจารณาเหน็ ความดบั กิเลส หายใจเขา เธอสําเหนยี กวา เราจกั พิจารณาเหน็ ความดับกิเลส หายใจออก 16) เธอสําเหนียกวา เราจักพิจารณาเหน็ ความสลัดคนื ได หายใจเขา เธอสาํ เหนียกวา เราจกั พจิ ารณาเห็นความสลัดคนื ได หายใจออก 13. He trains thus: “Contemplating impermanence, I shall breathe in”; he trains thus: “Contemplating impermanence, I shall breathe out”. 14. He trains thus: “Contemplating fading away, I shall breathe in”; he trains thus: “Contemplating fading away, I shall breathe out”. 15. He trains thus: “Contemplating cessation, I shall breathe in”; he trains thus: “Contemplating cessation, I shall breathe out”. 16. He trains thus: “Contemplating relinquishment, I shall breathe in”; he trains thus: “Contemplating relinquishment, I shall breathe out”. ขอควรทราบ: ก) คาํ วา หายใจเขา และ หายใจออก นนั้ พงึ ทราบวา เปน คาํ ทมี่ กี ารแปลตา งกนั คอื อรรถกถา แหง พระวินัยแปล อสสฺ าส วา “หายใจออก” และ ปสฺสาส วา “หายใจเขา ” สวนอรรถกถาแหง พระสตู รแปลกลบั ตรงขา ม คอื แปล อสสฺ าส วา “หายใจเขา ” และ ปสสฺ าส วา “หายใจออก” ในที่น้ี ถือตามคําแปลของอรรถกถาแหง พระสตู ร ผศู กึ ษาทราบอยา งนแี้ ลว จะใชแ บบใดกไ็ ด พงึ เลอื ก ตามปรารถนา ข) “สาํ เหนยี กวา ” เปน คําแปลตามสาํ นวนเกา หมายถงึ คําบาลีวา สกิ ขฺ ติ จะแปลแบบทบั ศัพท เปน “ศกึ ษาวา ” ก็ได ค) ธรรมหมวดน้ี เรยี กตามบาลีแหง คัมภีรป ฏสิ มั ภิทามัคคว า โสฬสวตั ถุกอานาปานสติ (เชน ข.ุ ปฏิ.31/361/244; 386/260=Ps.I.162; 173 คาํ บาลเี ดมิ เปน โสฬสวตฺถกุ า อานาปานสสฺ ติ บาง โสฬสวตฺถโุ ก อานาปานสฺสติสมาธิ บาง บางทอี รรถกถากเ็ รียกยักเย้ืองไปวา โสฬสวตฺถกุ า อานาปานสฺสติสมาธภิ าวนา บา ง โสฬสวตถฺ กุ ํ อานาปานสสฺ ตกิ มฺมฏ านํ บา ง) แปลแบบรกั ษา

หมวดเกนิ 10 265 [347] ศพั ทวา “อานาปานสติมีวตั ถุ 16” แตในท่ีนี้เลือกแปลตามคาํ อธบิ ายในคมั ภีร ปรมตั ถมัญชสุ า มหาฎีกาแหง วสิ ทุ ธมิ คั ค (วิสุทธฺ .ิ ฏีกา2/34) วา “อานาปานสติ 16 ฐาน” เพราะในภาษาไทย คําวา ฐาน เปน คาํ ทค่ี นุ และชว ยสอ่ื ความหมายของคาํ วา วตั ถุ ในทนี่ ไ้ี ดด ี แตจ ะแปลวา “อานาปานสติ 16 หลัก” หรือ “อานาปานสติ 16 หัวขอ (หรือ 16 ขอ)” ก็ได บางทีก็เรียกใหฟงเปนลําดับวา “อานาปานสติ 16 ข้นั ” ง) 16 ฐาน หรอื 16 หลกั หรอื 16 หัวขอ หรือ 16 ขอ หรอื 16 ข้ันน้ัน ทา นจัดเปน 4 จตกุ กะ คอื เปนหมวดสี่ 4 หมวด ดงั น้ี 1. กายานุปสสนาจตุกกะ (หมวดส่ีแหงกายานปุ ส สนา) 2. เวทนานปุ สสนาจตกุ กะ (หมวดสแี่ หงเวทนานุปส สนา) 3. จติ ตานุปส สนาจตกุ กะ (หมวดสแี่ หงจิตตานปุ สสนา) 4. ธัมมานปุ ส สนาจตกุ กะ (หมวดสแ่ี หงธมั มานุปส สนา) เปนการระบุชัดวา สว นไหนเปน สติปฏ ฐานขอ ใด จ) วาโดยไตรสิกขา ระหวางปฏิบัติน้นั • ความมีกายวาจาตั้งอยูในความสงบสํารวม โดยมีเจตนาอันปลอดจากการละเมิดหรือ เบียดเบียน (กายกิ วาจสิกอวีตกิ กมะ) เปน ศลี • การมีสตกิ ําหนด ดว ยจติ ที่ตั้งมัน่ มีอารมณห นึ่งเดยี วตามทก่ี ําหนด (จติ ตสั เสกคั ตา) เปน สมาธิ • ความมีสัมปชญั ญะรูท่วั พรอม มองเหน็ ตามสภาวะ เปน ปญญา ฉ) ในการปฏิบัติน้ี ศีลเปนเพียงฐานท่ีรองรับอยู สวนธรรมที่ปฏิบัติซึ่งจะเจริญขึน้ ไป คือ สมาธิ และปญ ญา อันไดแก สมถะ และวปิ สสนา ในขอตอไป ช) ในการปฏิบัติทัง้ หมดน้ี สามจตุกกะแรก มที ้งั สมถะ และ วปิ สสนา แตจ ตกุ กะที่ ๔ เปน วิปส สนา ลว น ฌ) โสฬสวตั ถุกอานาปานสติ น้ี พระพทุ ธเจา ตรสั แสดงบอย พบไดหลายแหงในพระไตรปฎก แตท่ปี ระมวลเรื่องเกี่ยวขอ งและขอ ความแวดลอ มไวค รบถว น ซึง่ รจู กั กันดแี ละเปน ทอี่ างองิ กนั ทวั่ ไป คือ อานาปานสติสตู ร (ม.อ.ุ 14/282-291/190-202=MIII.78-88) นอกจากน้ันยงั มีคาํ อธิบายโดย พิสดารในพระไตรปฎ ก ปรากฏใน ปฏสิ ัมภิทามัคค (ข.ุ ปฏ.ิ 31/361-422/244-299; = Ps.I.162-196) สว นใน ชนั้ อรรถกถา กม็ อี ธบิ ายหลายแหง โดยเฉพาะทคี่ น ควา ไดส ะดวก คอื วสิ ทุ ธมิ คั ค (วิสทุ ธ .ิ 2/52-88= Vism.266-293) Vin.III.70; M.I.425; M.III.82; S.V.311; วินย.1/178/132; ม.ม.13/146/140; ม.อุ.14/287/193; A.V.111; Ps.I.162. ส.ํ ม.19/1305/394; อง.ทสก.24/60/119; ข.ุ ปฏ.ิ 31/361/244. [347] อปุ กเิ ลส หรอื จติ ตอปุ กิเลส 16 (ธรรมเคร่อื งเศราหมอง, สง่ิ ทที่ าํ ใหจติ ขนุ มัว รับ คุณธรรมไดยาก ดุจผาเปรอะเปอนสกปรก ยอมไมไดดี — Upakkilesa: mental

[348] 266 พจนานกุ รมพุทธศาสตร defilements) 1. อภชิ ฌาวสิ มโลภะ (คดิ เพง เลง็ อยากได โลภไมส มควร, โลภกลา จอ งจะเอา ไมเ ลอื กควรไม ควร — Abhijjhà-visamalobha: greed and covetousness; covetousness and unrighteous greed) 2. พยาบาท (คดิ รายเขา — Byàpàda: malevolence; illwill) 3. โกธะ (ความโกรธ — Kodha: anger) 4. อปุ นาหะ (ความผูกโกรธ — Upanàha: grudge; spite) 5. มักขะ (ความลบหลูคณุ ทา น, ความหลคู วามดขี องผอู ่นื , การลบลา งปด ซอ นคณุ คาความดี ของผอู น่ื — Makkha: detraction; depreciation; denigration) 6. ปลาสะ (ความตีเสมอ, ยกตัวเทียมทาน, เอาตวั ขน้ึ ตงั้ ขวางไว ไมย อมยกใหใครดกี วา ตน — Palàsa: domineering; rivalry; envious rivalry) 7. อิสสา (ความรษิ ยา — Issà: envy; jealousy) 8. มัจฉรยิ ะ (ความตระหนี่ — Macchariya: stinginess; meanness) 9. มายา (มารยา — Màyà: deceit) 10. สาเถยยะ (ความโออ วดหลอกเขา, หลอกดว ยคําโออวด — Sàñheyya: hypocrisy) 11. ถมั ภะ (ความหัวดื้อ, กระดาง — Thambha: obstinacy; rigidity) 12. สารมั ภะ (ความแขง ด,ี ไมย อมลดละ มงุ แตจ ะเอาชนะกนั — Sàrambha: presumption; competing contention; contentiousness; contentious rivalry; vying; strife) 13. มานะ (ความถอื ตวั , ทะนงตน — Màna: conceit) 14. อตมิ านะ (ความถือตวั วายิ่งกวาเขา, ดหู มิ่นเขา — Atimàna: excessive conceit; contempt) 15. มทะ (ความมัวเมา — Mada: vanity) 16. ปมาทะ (ความประมาท, ละเลย, เลนิ เลอ — Pamàda: heedlessness; negligence; indolence) ขอ 2 มตี างออกไป คอื ในธัมมทายาทสูตร เปน โทสะ (ความคิดประทษุ รา ยเขา — hatred) (ม.มู.12/26/26) M.I.36. ม.มู.12/93/65. [348] ธาตุ 18 (สิ่งท่ีทรงสภาวะของตนอยเู อง ตามที่เหตุปจ จยั ปรงุ แตง ขึน้ เปนไปตามธรรม นยิ ามคอื กําหนดแหงธรรมดา ไมม ีผสู รา งผบู ันดาล และมีรูปลักษณะกจิ อาการเปนแบบจาํ เพาะ ตัว อันพึงกําหนดเอาเปนหลักไดแตละอยา งๆ — Dhàtu: elements) 1. จักขธุ าตุ (ธาตคุ ือจักขปุ สาท — Cakkhu-dhàtu: eye element) 2. รูปธาตุ (ธาตุคือรูปารมณ — Råpa~: visible-data element)

หมวดเกนิ 10 267 [349] 3. จกั ขุวิญญาณธาตุ (ธาตคุ อื จักขวุ ญิ ญาณ — Cakkhuvi¤¤àõa~: eye-consciousness element) 4. โสตธาตุ (ธาตคุ ือโสตปสาท — Sota~: ear element) 5. สทั ทธาตุ (ธาตคุ อื สทั ทารมณ — Sadda~: sound element) 6. โสตวิญญาณธาตุ (ธาตุคือโสตวิญญาณ — Sotavi¤¤àõa~: ear-consciousness element) 7. ฆานธาตุ (ธาตุคือฆานปสาท — Ghàna~: nose element) 8. คนั ธธาตุ (ธาตุคือคันธารมณ — Gandha~: odour element) 9. ฆานวิญญาณธาตุ (ธาตุคอื ฆานวญิ ญาณ — Ghànavi¤¤àõa~: nose-consciousness element) 10. ชิวหาธาตุ (ธาตคุ อื ชวิ หาปสาท — Jivhà~: tongue element) 11. รสธาตุ (ธาตคุ ือรสารมณ — Rasa~: flavour element) 12. ชวิ หาวญิ ญาณธาตุ (ธาตคุ อื ชวิ หาวญิ ญาณ — Jivhàvi¤¤àõa~: tongue-consciousness element) 13. กายธาตุ (ธาตุคอื กายปสาท — Kàya~: body element) 14. โผฏฐพั พธาตุ (ธาตคุ อื โผฏฐัพพารมณ — Phoññhabba~: tangible-data element) 15. กายวิญญาณธาตุ (ธาตุคอื กายวญิ ญาณ — Kàyavi¤¤àõa~: body-consciousness element) 16. มโนธาตุ (ธาตุคอื มโน — Mano~: mind element) 17. ธรรมธาตุ (ธาตคุ อื ธรรมารมณ — Dhamma~: mental-data element) 18. มโนวญิ ญาณธาตุ (ธาตุคอื มโนวญิ ญาณ — Manovi¤¤àõa~: mind-consciousness element) ขอ ควรสังเกต ก. ขอ 3, 6, 9, 12, 15 ไดแ ก ทวิปญ จวิญญาณจิต รวมเปนจติ = 10 ข. ขอ 16 มโนธาตุ ไดแ ก สมั ปฏิจฉนะ 2 กับปญ จทวาราวชั ชนะ 1 รวมเปนจิต =3 ค. ขอ 18 มโนวิญญาณธาตุ ไดแ ก จิตนอกเหนือจากนน้ั อกี = 76 = 89 รวมเปน จติ ทงั้ สิ้น ดู [356] จติ 89 หรอื 121. Vbh.87; Vism.484; Comp.183. อภิ.วิ.35/124/108; วิสุทฺธิ.3/65; สงคฺ ห.44. [349] อินทรยี  22 (สิง่ ที่เปน ใหญในการทาํ กจิ ของตน คอื ทําใหธ รรมอื่นๆ ที่เกย่ี วขอ ง เปน ไป ตามตน ในกจิ นัน้ ๆ ในขณะทเ่ี ปน ไปอยูนนั้ — Indriya: faculties)

[349] 268 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร หมวดที่ 1 1. จักขนุ ทรยี  (อนิ ทรยี  คือ จักขปุ สาท — Cakkhundriya: eye-faculty) 2. โสตินทรีย (อนิ ทรยี  คือ โสตปสาท — Sotindriya: ear-faculty) 3. ฆานินทรีย (อนิ ทรยี  คือ ฆานปสาท — Ghànindriya: nose-faculty) 4. ชวิ หินทรยี  (อินทรยี  คือ ชวิ หาปสาท — Jivhindriya: tongue-faculty) 5. กายินทรีย (อนิ ทรยี  คือ กายปสาท — Kàyindriya: body-faculty) 6. มนินทรีย (อินทรีย คือ ใจ ไดแ ก จิต ทจี่ าํ แนกเปน 89 หรอื 121 ก็ตาม — Manindriya: mind-faculty) หมวดที่ 2 7. อิตถินทรีย (อินทรยี  คอื อิตถีภาวะ — Itthindriya: femininity faculty) 8. ปรุ สิ ินทรยี  (อนิ ทรยี  คอื ปุริสภาวะ — Purisindriya: masculinity faculty; virility) 9. ชีวติ นิ ทรีย (อินทรยี  คือ ชีวติ — Jãvitindriya: life faculty; vitality) หมวดท่ี 3 10. สขุ นิ ทรยี  (อนิ ทรยี  คือ สขุ เวทนา — Sukhindriya: bodily-pleasure faculty) 11. ทกุ ขนิ ทรีย (อนิ ทรยี  คอื ทุกขเวทนา — Dukkhindriya: bodily-pain faculty) 12. โสมนัสสินทรีย (อนิ ทรีย คอื โสมนสั สเวทนา — Somanassindriya: joy faculty) 13. โทมนสั สินทรีย (อินทรยี  คือ โทมนัสสเวทนา — Domanassindriya: grief faculty) 14. อเุ ปกขนิ ทรีย (อินทรีย คือ อเุ บกขาเวทนา — Upekkhindriya: indifference faculty) หมวดท่ี 4 15. สทั ธนิ ทรยี  (อินทรยี  คือ ศรทั ธา — Saddhindriya: faith faculty) 16. วิริยนิ ทรีย (อนิ ทรีย คือ วริ ิยะ — Viriyindriya: energy faculty) 17. สตนิ ทรยี  (อนิ ทรีย คอื สติ — Satindriya: mindfulness faculty) 18. สมาธนิ ทรยี  (อินทรยี  คอื สมาธิ ไดแ ก เอกคั คตา — Samàdhindriya: concentration faculty) 19. ปญญินทรีย (อนิ ทรยี  คอื ปญญา — Pa¤¤indriya: wisdom faculty) หมวดท่ี 5 20. อนญั ญาตัญญสั สามตี นิ ทรีย (อนิ ทรยี แหงผูปฏบิ ัติดว ยมงุ วาเราจกั รูส ัจจธรรมทยี่ งั มิได รู ไดแก โสตาปต ติมคั คญาณ — Ana¤¤àta¤¤assàmãtindriya: ‘I shall come to know the unknown’ faculty, i.e. knowledge of the Stream-Entry Path.) 21. อญั ญินทรยี  (อนิ ทรยี  คอื อัญญา หรอื ปญ ญาอันรูทัว่ ถงึ ไดแ ก ญาณ 6 ในทา มกลาง คอื โสตาปต ติผลญาณ ถงึ อรหัตตมคั คญาณ — A¤¤indriya: perfect-knowledge faculty, i.e. knowledge of the six intermediate Paths and Fruitions)

หมวดเกนิ 10 269 [350] 22. อัญญาตาวินทรีย (อินทรียแหงทา นผูรูท ่ัวถงึ แลว กลาวคือ ปญ ญาของพระอรหนั ต ได แก อรหตั ตผลญาณ — A¤¤àtàvindriya: perfect-knower faculty, i.e. knowledge of the Fruition of Arahantship) อินทรีย 22 นี้ ทม่ี าในพระสูตร มีกระจายอยเู ปนหมวดๆ ในทีห่ ลายแหง ไมค รบทงั้ 22 ใน ทเ่ี ดยี วกนั เฉพาะท่ีมาสาํ คญั ไดแ ก อนิ ทรียสงั ยุตต (สํ.ม.19/843-1089/256-318; S.V.193-243) สวนที่ มาในพระอภิธรรม และปกรณพ ิเศษภายหลงั มี วิสทุ ธมิ คั ค และ อภธิ มั มตั ถสงั คหะ เปนตน มี คําอธบิ ายโดยพสิ ดาร Vbh.122; Vism.491; Comp.175. อภ.ิ ว.ิ 35/236/161; วสิ ุทฺธิ.3/72; สงคฺ ห.41. [350] ปจจัย 24 (ลักษณะหรืออาการแหง ความสมั พันธร ะหวางสง่ิ ท้ังหลาย ท่ีสิ่งหนึ่งหรอื สภาวธรรมอยา งหน่งึ เปน องคประกอบทีช่ วยเออ้ื เกื้อหนุน คํ้าจนุ เปน เหตุ หรือเปนเง่อื นไข ใหส ิ่งอ่นื หรอื สภาวธรรมอยา งอ่นื เกิดข้ึน คงอยู หรอื เปน ไปอยา งใดอยา งหนง่ึ — Paccaya: condition; mode of conditionality or relation) 1. เหตปุ จจัย (ปจจยั โดยเปน เหตุ — Hetu-paccaya: root condition) 2. อารัมมณปจ จัย (ปจ จยั โดยเปน อารมณ — ârammaõa-paccaya: object condition) 3. อธปิ ตปิ จ จยั (ปจ จยั โดยเปน เจา ใหญ — Adhipati-paccaya: predominance condition) 4. อนนั ตรปจ จยั (ปจ จัยโดยเปนภาวะตอเนอ่ื งไมม ีชอ งระหวา ง — Anantara-paccaya: immediacy condition) 5. สมนันตรปจจัย (ปจจัยโดยเปนภาวะตอเน่ืองทันที — Samanantara-paccaya: contiguity condition) 6. สหชาตปจ จัย (ปจ จยั โดยเกดิ รวมกนั — Sahajàta-paccaya: connascence condition) 7. อัญญมัญญปจจยั (ปจจัยโดยอาศัยซึ่งกันและกนั — A¤¤ama¤¤a-paccaya: mutuality condition) 8. นิสสยปจจัย (ปจจยั โดยเปนทอี่ าศัย — Nissaya-paccaya: dependence condition) 9. อุปนสิ สยปจจยั (ปจ จยั โดยเปนเครื่องหนนุ หรือกระตุน เรา — Upanissaya-paccaya: decisive-support condition; inducement condition) 10. ปเุ รชาตปจ จยั (ปจ จยั โดยเกิดกอน — Purejàta-paccaya: prenascence condition) 11. ปจ ฉาชาตปจ จยั (ปจ จยั โดยเกิดทหี ลงั — Pacchàjàta-paccaya: postnascence condition) 12. อาเสวนปจจัย (ปจจัยโดยการซ้ํ าบอยหรือทํ าใหชิน — âsevana-paccaya: repetition condition) 13. กรรมปจ จยั (ปจ จยั โดยเปน กรรมคอื เจตจาํ นง — Kamma-paccaya: kamma condition) 14. วปิ ากปจ จัย (ปจ จยั โดยเปนวิบาก — Vipàka-paccaya: kamma-result condition)

[351] 270 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร 15. อาหารปจจัย (ปจ จัยโดยเปน อาหาร คอื เปนเคร่อื งหลอเล้ยี ง — âhàra-paccaya: nutriment condition) 16. อินทรยี ปจจัย (ปจจัยโดยเปน เจาการ — Indriya-paccaya: faculty condition) 17. ฌานปจจัย (ปจจัยโดยภาวะจิตที่เปนฌาน — Jhàna-paccaya: condition) 18. มรรคปจจยั (ปจ จัยโดยเปนมรรค — Magga-paccaya: path condition) 19. สมั ปยตุ ตปจ จยั (ปจ จยั โดยประกอบกัน — Sampayutta-paccaya: association condition) 20. วปิ ปยตุ ตปจ จยั (ปจ จยั โดยแยกตา งหากกนั — Vippayutta-paccaya: dissociation condition) 21. อัตถปิ จ จัย (ปจจยั โดย[ตอ ง]มีอยู — Atthi-paccaya: presence condition) 22. นัตถิปจ จยั (ปจจยั โดย[ตอง]ไมม อี ยู — Natthi-paccaya: absence condition) 23. วิคตปจจัย (ปจจัยโดย[ตอง]ปราศไป — Vigata-paccaya: disappearance condition) 24. อวคิ ตปจ จยั (ปจ จยั โดย[ตอ ง]ไมปราศไป — Avigata-paccaya: non-disappearance condition) ปจ จัย 24 น้ี เปน สาระของคาํ อธบิ ายท้ังหมดในคัมภีรปฏ ฐานแหงพระอภิธรรมปฎ ก คอื พระไตรปฎ กบาลี 6 เลม ตงั้ แตเลม 40 ถงึ เลม 45 Pañ.1 อภิ.ป.40/1/1 [,,,] รูป 28 ดู [38] รูป 28; [39] มหาภตู 4; [40] อปุ าทารูป 24 [351] ภมู ิ 4 หรอื 31 (ชน้ั แหง จติ , ระดบั จติ ใจ, ระดบั ชวี ติ — Bhåmi: planes of existence; planes of life) 1. อบายภมู ิ 4 (ภูมทิ ่ีปราศจากความเจริญ — Apàya-bhåmi: planes of loss and woe; unhappy planes) 1) นริ ยะ (นรก — Niraya: woeful state; hell) 2) ตริ จั ฉานโยนิ (กาํ เนดิ ดริ จั ฉาน — Tiracchànayoni: animal kingdom) 3) ปต ติวสิ ยั (แดนเปรต — Pittivisaya: ghost-sphere) 4) อสุรกาย (พวกอสูร — Asurakàya: host of demons) 2. กามสคุ ตภิ มู ิ 7 (กามาวจรภมู ทิ เ่ี ปน สคุ ต,ิ ภมู ทิ เี่ ปน สคุ ตซิ ง่ึ ยงั เกย่ี วขอ งกบั กาม — Kàmasugati- bhåmi: sensuous blissful planes) 1) มนษุ ย (ชาวมนษุ ย — Manussà: human realm) 2) จาตมุ หาราชกิ า (สวรรคชั้นที่ทา วมหาราช 4 ปกครอง — Càtummahàràjikà: realm of the Four Great Kings)

หมวดเกิน 10 271 [351] 3) ดาวดึงส (แดนแหง เทพ 33 มีทา วสกั กะเปนใหญ — Tàvati§sà: realm of the Thirty-three Gods) 4) ยามา (แดนแหง เทพผูปราศจากความทกุ ข — Yàmà: realm of the Yàma gods) 5) ดสุ ติ (แดนแหงเทพผเู อบิ อ่ิมดว ยสริ สิ มบัติของตน — Tusità: realm of satisfied gods) 6) นมิ มานรดี (แดนแหง เทพผูยินดใี นการเนรมติ — Nimmànaratã: realm of the gods who rejoice in their own creations) 7) ปรนิมมิตวสวัตดี (แดนแหงเทพผูยังอํานาจใหเปนไปในสมบัติท่ีผูอ่ืนนิรมิตให — Paranimmitavasavattã: realm of gods who lord over the creation of others) ภมู ทิ ง้ั 11 ใน 2 หมวดนี้ รวมเปน กามาวจรภมู ิ 11 (ชน้ั ทท่ี อ งเทย่ี วอยใู นกาม — Kàmàvacara- bhåmi: Sensuous Planes) 3. รูปาวจรภมู ิ 16 (ช้ันที่ทอ งเทยี่ วอยูในรปู , ชัน้ รปู พรหม — Råpàvacara-bhåmi: Form Planes) ก. ปฐมฌานภูมิ 3 (ระดับปฐมฌาน — first-Jhàna planes) 1) พรหมปารสิ ัชชา (พวกบรษิ ัทบรวิ ารมหาพรหม — Brahmapàrisajjà: realm of great Brahmas’ attendants) 2) พรหมปโุ รหติ า (พวกปุโรหติ มหาพรหม — Brahmapurohità: realm of great Brahmas’ ministers) 3) มหาพรหมา (พวกทาวมหาพรหม — Mahàbrahmà: realm of great Brahmas) ข. ทตุ ิยฌานภูมิ 3 (ระดบั ทตุ ิยฌาน — second-Jhàna planes) 4) ปรติ ตาภา (พวกมรี ัศมนี อ ย — Parittàbhà: realm of Brahmas with limited lustre) 5) อัปปมาณาภา (พวกมรี ัศมปี ระมาณไมไ ด — Appamàõàbhà: realm of Brahmas with infinite lustre) 6) อาภสั สรา (พวกมรี ัศมีสุกปลงั่ ซานไป — âbhassarà: realm of Brahmas with radiant lustre) ค. ตตยิ ฌานภูมิ 3 (ระดับตตยิ ฌาน — third-Jhàna planes) 7) ปริตตสุภา (พวกมีลํารัศมีงามนอ ย — Parittasubhà: realm of Brahmas with limited aura) 8) อัปปมาณสุภา (พวกมีลํารศั มีงามประมาณมไิ ด — Appamàõasubhà: realm of Brahmas with infinite aura) 9) สภุ กณิ หา (พวกมลี ํารศั มงี ามกระจางจา — Subhakiõhà: realm of Brahmas

[351] 272 พจนานุกรมพทุ ธศาสตร with steady aura) ง. จตตุ ถฌานภมู ิ 3–7 (ระดับจตุตถฌาน — fourth-Jhàna planes) 10) เวหัปผลา (พวกมผี ลไพบลู ย — Vehapphalà: realm of Brahmas with abundant reward) 11) อสญั ญสี ัตว (พวกสตั วไ มม สี ญั ญา — Asa¤¤ãsattà: realm of non-percipient beings) (*) สุทธาวาส 5 (พวกมีท่อี ยอู ันบริสทุ ธ์ิ หรือ ทีอ่ ยูของทา นผบู รสิ ุทธิ์ คอื ท่ีเกิดของ พระอนาคามี — Suddhàvàsa: pure abodes) คือ 12) อวิหา (เหลาทา นผไู มเสื่อมจากสมบัติของตน หรอื ผูไ มละไปเรว็ , ผคู งอยูน าน — Avihà: realm of Brahmas who do not fall from prosperity) 13) อตปั ปา (เหลา ทา นผูไ มทาํ ความเดือดรอนแกใคร หรือผไู มเดือดรอ นกับใคร — Atappà: realm of Brahmas who are serene) 14) สุทัสสา (เหลา ทา นผูงดงามนาทัศนา — Sudassà: realm of Brahmas who are beautiful) 15) สทุ สั สี (เหลา ทา นผูมองเหน็ ชดั เจนดี หรือผมู ีทศั นาแจมชดั — Sudassã: realm of Brahmas who are clear-sighted) 16) อกนฏิ ฐา (เหลาทา นผูไมมีความดอ ยหรือเลก็ นอ ยกวาใคร, ผสู ูงสุด — Akaniññhà: realm of the highest or supreme Brahmas) 4. อรูปาวจรภมู ิ 4 (ช้นั ที่ทองเทยี่ วอยใู นอรูป, ช้นั อรูปพรหม — Aråpàvacara-bhåmi: formless planes) 1) อากาสานญั จายตนภมู ิ (ชนั้ ทเ่ี ขา ถงึ ภาวะมอี ากาศไมม ที สี่ ดุ — âkàsàna¤càyatana- bhåmi: realm of infinite space) 2) วญิ ญาณญั จายตนภมู ิ (ชน้ั ทเี่ ขา ถงึ ภาวะมวี ญิ ญาณไมม ที ส่ี ดุ — Vi¤¤àõa¤càyatana- bhåmi: realm of infinite consciousness) 3) อากิญจัญญายตนภมู ิ (ช้นั ทเ่ี ขา ถึงภาวะไมมีอะไร — âki¤ca¤¤àyatana-bhåmi: realm of nothingness) 4) เนวสัญญานาสญั ญายตนภูมิ (ชัน้ ที่เขา ถึงภาวะมสี ัญญาก็ไมใ ช ไมม ีสัญญาก็ไมใช — Nevasa¤¤ànàsa¤¤àyatana-bhåmi: realm of neither perception nor non- perception) ปุถุชน พระโสดาบนั และพระสกทาคามี ยอ มไมเกดิ ในสทุ ธาวาสภูม;ิ พระอริยะไมเ กิดใน อสัญญีภพ และในอบายภูมิ; ในภมู ินอกจากน้ี ยอ มมที ง้ั พระอริยะและมใิ ชอรยิ ะไปเกิด. ในพระไตรปฎ ก ไมพ บที่ใดแสดงรายชอ่ื ภมู ิทัง้ หลายไวทั้งหมดในทเี่ ดียว บาลแี สดงรายช่อื

หมวดเกนิ 10 273 [352] ภมู มิ ากทสี่ ุด (มเี ฉพาะชน้ั สุคตภิ มู ิ) พบที่ ม.อ.ุ 14/317–332/216–225 (M.III.99–103) กลา วตัง้ แตม นษุ ย ข้ึนไปจนถึงอรูปวาจรภมู .ิ ในบาลแี หง ทีฆนกิ าย เปนตน * แสดงคติ (ทีไ่ ปเกดิ ของสตั ว, แบบการดําเนนิ ชีวิต — Gati: destiny; course of existence) วา มี 5 คอื นิรยะ ตริ จั ฉานโยนิ เปตตวิ สิ ัย มนษุ ย และเทพ (พวกเทพ — heavenly world ไดแ กภมู ิ 26 ตั้งแตจาตมุ หาราชิกาขึ้นไปทัง้ หมด) จะเห็นวาภูมิ 31 สงเคราะหล งไดใ นคติ 5 ท้งั หมด ขาดแตอสรุ กาย อยางไรกด็ ี ในอรรถกถาแหงอติ วิ ุตตกะ เปนตน ** ทา นกลา ววา อสรู สงเคราะหลงในเปตตวิ สิ ยั ดวย จงึ เปนอันสงเคราะหลงไดบรบิ ูรณ และในคติ 5 น้ัน 3 คตแิ รกจดั เปนทุคติ (woeful courses) 2 คติหลังเปนสุคติ (happy courses). เนอ่ื งดวยภูมิ 31 นจ้ี ดั ไดเ ปน 4 ระดบั อยางที่กลา วมา บางทีจงึ เรยี กวา ภูมิ 4 อนึ่ง พงึ เทยี บภมู ิ 31 หรือ ภมู ิ 4 หมวดน้ี กบั [162] ภูมิ 4 ท่มี าในพระบาลดี ว ย กลาวคอื ภูมิ 31 หรอื 4 หมวดนี้ จัดเขาในภมู ิ 3 ขอ ตนใน [162] ภูมิ 4 ดงั น้ี อบายภมู ิ 4 และ กาม- สคุ ติภูมิ 7 รวมเขาเปนกามาวจรภูมิ (11) สว นรูปาวจรภูมิ (16) และ อรปู าวจรภมู ิ (4) ตรงกัน รวมภูมิทั้งหมด 31 น้ี เปนโลกียภูมิ พน จากนไี้ ปเปน โลกตุ ตรภมู ิ ดู [162] ภูมิ 4; [198] อบาย 4; [207] อรปู 4; [270] สวรรค 6. Comp.137. สงคฺ ห.25. [352] โพธิปก ขยิ ธรรม 37 (ธรรมอนั เปน ฝกฝายแหงความตรัสรู คอื เก้อื กลู แกการตรสั รู, ธรรมท่ีเกื้อหนุนแกอริยมรรค — Bodhipakkhiya-dhamma: virtues partaking of enlightenment; qualities contributing to or constituting enlightenment; enlightenment states) 1. สตปิ ฏฐาน 4 ดู [182] 2. สัมมัปปธาน 4 ดู [156] 3. อิทธบิ าท 4 ดู [213] 4. อินทรยี  5 ดู [258] 5. พละ 5 ดู [228] 6. โพชฌงค 7 ดู [281] 7. มรรคมีองค 8 ดู [293] โพธปิ ก ขยิ ธรรมน้ี ตามทที่ ว่ั ไปในพระไตรปฎ ก ตรสั ไวเ พยี งเปน คาํ รวมๆ โดยไมไ ดร ะบชุ อื่ องค ธรรม นอกจากในสงั ยตุ ตนกิ ายแหง พระสตุ ตนั ตปฎ ก ทมี่ พี ทุ ธพจนต รสั ระบไุ วว า ไดแ ก อนิ ทรยี  5 * ท.ี ปา.11/281/246; ม.ม.ู 12/170/148; อง.ฺ นวก.23/272/480 (D.III.234; M.I.73; A.IV.459) ** อ.ุ อ.174; อิติ.อ.168 (approx., UdA.140; ItA.101)

[353] 274 พจนานุกรมพุทธศาสตร (ส.ํ ม.19/1024/301; 1041–3/305; 1071–1081/313–5) และในคมั ภรี ว ภิ งั คแ หง พระอภธิ รรมปฎ ก ซงึ่ ไขความ วา โพธปิ ก ขยิ ธรรม ไดแ ก โพชฌงค 7 (อภ.ิ ว.ิ 35/611/336) ธรรมชดุ นี้ เม่อื ตรัสระบชุ ่อื ทง้ั ชดุ ในพระสตู ร ทรงเรียกวาเปน อภญิ ญาเทสติ ธรรม (เชน ที.ม.10/107/141; ที.ปา.11/108/140; ม.อุ. 14/54/51) คอื เปนอภิญญาเทสิตธรรม 37 และในพระ อภธิ รรม ทานแสดงไวว าธรรม 37 ประการนเี้ ปน สทั ธรรม นอกจากน้ี ธรรม 37 ประการชดุ น้ียังไดชอื่ วาเปน สนั ติบท คือ ธรรมที่เปนไปเพื่อการ บรรลสุ ันติ (รวมทง้ั เปน อมตบท และนพิ พานบท เปน ตน—ข.ุ ม.29/701/414; ข.ุ จ.ู 30/391/188) และ เปนเสรีธรรม หรือธรรมเสรี (ข.ุ จ.ู 30/681/340; 684/342) ในพระวนิ ยั ปฎ ก ทา นแสดงธรรม 37 ประการนไี้ วเ ปน คาํ จาํ กดั ความของคาํ วา มรรคภาวนา (ดู วินย.1/236/175; 2/308/212) ตอ มา ในคมั ภรี ช น้ั อรรถกถา รวมถงึ วสิ ทุ ธมิ คั ค จงึ ระบแุ ละแจกแจงไวช ดั เจนวา โพธปิ ก ขยิ ธรรม 37 ประการ ไดแ กธ รรมเหลาน้ี (ดู อง.ฺ อ.1/77; อิติ.อ.287; ปฏิสํ.อ.2/95, 196, 261; วิสุทฺธ.ิ 3/328) Vism.681. วิสทุ ฺธิ.3/328. [353] มงคล 38 (สิ่งท่ที าํ ใหมีโชคด,ี ธรรมอนั นํามาซง่ึ ความสุขความเจริญ — Maïgala: blessings; เรียกเตม็ วา อดุ มมงคล คอื มงคลอันสงู สดุ — highest blessing) คาถาที่ 1 1. อเสวนา จ พาลานํ (ไมคบคนพาล — Bàla-asevanà: not to associate with fools; to dissociate from the wicked) 2. ปณฺฑิตานจฺ เสวนา (คบบณั ฑิต — Paõóitasevanà: to associate with the wise) 3. ปูชา จ ปชู นียานํ (บชู าคนท่ีควรบชู า — Påjaneyyapåjà: to honour those who are worthy of honour) คาถาท่ี 2 4. ปฏริ ปู เทสวาโส จ (อยใู นปฏิรูปเทศ, อยใู นถ่นิ มสี ิง่ แวดลอ มดี — Pañiråpadesavàsa: living in a suitable region; good environment) 5. ปุพฺเพ จ กตปุฺตา (ไดท ําความดใี หพรอ มไวกอ น, ทาํ ความดเี ตรียมพรอมไวแตตน — Pubbekatapu¤¤atà: having formerly done meritorious deeds) 6. อตฺตสมฺมาปณิธิ จ (ต้ังตนไวชอบ — Attasammàpaõidhi: setting oneself in the right course; right direction in self-guidance; perfect self-adjustment) คาถาท่ี 3 7. พาหสุ จจฺ จฺ (เลา เรยี นศึกษามาก, ทรงความรกู วางขวาง, ใสใ จสดับตรบั ฟง คนควาหา ความรูอ ยเู สมอ — Bàhusacca: great learning; extensive learning) 8. สิปฺปฺจ (มีศลิ ปวิทยา, ชํานาญในวิชาชพี ของตน — Sippa: skill; knowledge of the

หมวดเกนิ 10 275 [353] arts and sciences) 9. วนิ โย จ สุสิกขฺ ิโต (มวี ินยั ท่ไี ดศ ึกษาดีแลว , มีระเบียบวนิ ยั ดี, ไดฝก อบรมตนไวด ี — Vinaya: highly trained discipline) 10. สุภาสิตา จ ยา วาจา (วาจาสภุ าษติ , รจู กั ใชวาจาพูดใหเปนผลดี — Subhàsitavàcà: well-spoken speech) คาถาท่ี 4 11. มาตาปต อุ ปุ ฏานํ (บาํ รงุ มารดาบดิ า — Màtàpitu-upaññhàna: support of mother and father) 12.–13. ปตุ ตฺ ทารสสฺ สงคฺ โห = ปตุ ตฺ สงคฺ ห (สงเคราะหบ ตุ ร — Puttasaïgaha: cherishing of children) และ ทารสงคฺ ห (สงเคราะหภ รรยา — Dàrasaïgaha: cherishing of wife) 14. อนากลุ า จ กมฺมนตฺ า (การงานไมอ ากูล — Anàkulakammanta: a livelihood which is free from complications)* คาถาที่ 5 15. ทานฺจ (รูจ ักให, เผอื่ แผแบงปน , บริจาคสงเคราะหแ ละบาํ เพ็ญประโยชน — Dàna: charity; liberality; generosity) 16. ธมมฺ จรยิ า จ (ประพฤตธิ รรม, ดาํ รงอยใู นศลี ธรรม — Dhammacariyà: righteous conduct) 17. าตกานจฺ สงคฺ โห (สงเคราะหญาติ — ¥àtakasaïgaha: rendering aid to relations) 18. อนวชชฺ านิ กมมฺ านิ (การงานทไ่ี มมีโทษ, กจิ กรรมท่ดี งี าม เปน ประโยชน ซงึ่ ไมเปนทาง เสียหาย — Anavajjakamma: blameless actions; unexceptionable or beneficial activities)** คาถาท่ี 6 19. อารตี วิรตี ปาปา (เวน จากความชว่ั — Pàpavirati: abstaining from evils and avoiding them) 20. มชฺชปานา จ สฺ โม (เวนจากการดม่ื นาํ้ เมา — Majjapànasa¤¤ama: abstinence from intoxicants) 21. อปปฺ มาโท จ ธมเฺ มสุ (ไมประมาทในธรรมทั้งหลาย — Appamàda: diligence in * ทา นอธบิ ายวา ไดแ ก อาชีพการงาน ที่ทําดว ยความขยันหมน่ั เพียร เอาธุระ รจู ักกาล ไมคัง่ คางยอหยอ น — spheres of work which are free from such unprofitableness as dilatoriness and tardiness. (ขทุ ทฺ ก.อ. 153; KhA.139). **ทา นยกตวั อยา งไว เชน การสมาทานอโุ บสถ การบําเพ็ญสาธารณประโยชน สรา งสวน ปลูกปา สรา งสะพาน เปนตน (ขทุ ทฺ ก.อ.156; KhA.141)

[353] 276 พจนานกุ รมพุทธศาสตร virtue; perseverance in virtuous acts) คาถาที่ 7 22. คารโว จ (ความเคารพ, การแสดงออกทีแ่ สดงถงึ ความเปน ผรู จู กั คณุ คา ของบุคคล ส่งิ ของ สถานที่ หรือกิจการน้ันๆ และรูจักใหความสาํ คัญและความใสใจเออ้ื เฟอ โดยเหมาะสม — Gàrava: reverence; respect; appreciative action) 23. นิวาโต จ (ความสภุ าพออ นนอ ม, ถอ มตน — Nivàta: humility, courtesy; politeness) 24. สนตฺ ฏุ ี จ (ความสนั โดษ, ความเอบิ อมิ่ พงึ พอใจในผลสาํ เรจ็ ทไี่ ดส รา งขนึ้ หรอื ในปจ จยั ลาภ ทแ่ี สวงหามาได ดว ยเรย่ี วแรงความเพยี รพยายามของตนเองโดยทางชอบธรรม — Santuññhã: contentment) 25. กตฺ ุตา (มีความกตญั ู — Kata¤¤utà: gratitude) 26. กาเลน ธมมฺ สฺสวนํ (ฟงธรรมตามกาล, หาโอกาสแสวงความรเู กยี่ วกบั หลกั ความจริง ความดีงาม และเร่ืองทเี่ ปน ประโยชน — Dhammassavana: the opportune hearing of the Dhamma; listening to good advice and the teaching of Truth on due occasions) คาถาท่ี 8 27. ขนฺตี จ (มคี วามอดทน — Khanti: patience; forbearance; tolerance) 28. โสวจสฺสตา (เปนผูวางายสอนงาย, พูดกันงาย ฟงเหตุผล — Sovacassatà: amenability to correction; being easy to admonish) 29. สมณานฺจ ทสฺสนํ (พบเห็นสมณะ, เยย่ี มเยือนเขา หาทานผสู งบกเิ ลส — Samaõa- dassana: seeing the monks or holy persons) 30. กาเลน ธมมฺ สากจฉฺ า (สนทนาธรรมตามกาล, หาโอกาสสนทนาแลกเปลยี่ นความรคู วามคดิ เหน็ กนั เกย่ี วกบั หลกั ความจรงิ ความดงี ามและเรอ่ื งทเี่ ปน ประโยชน — Dhammasàkacchà: religious discussion at due seasons; regular or opportune discussion of Truth) คาถาท่ี 9 31. ตโป จ (มคี วามเพยี รเผากิเลส, รจู กั บงั คบั ควบคุมตน ไมปรนเปรอตามใจอยาก — Tapa: self-control; simple life) 32. พฺรหฺมจริยจฺ (ประพฤตพิ รหมจรรย, ดาํ เนนิ ตามอริยมรรค, การรูจกั ควบคุมตนในทาง เพศ หรอื ถอื เมถนุ วริ ัติตามควร* — Brahmacariya: a holy life) 33. อรยิ สจฺจาน ทสฺสนํ (เหน็ อรยิ สจั จ, เขาใจความจรงิ ของชีวติ — Ariyasacca-dassana: discernment of the Noble Truths) * พรหมจรรยในทน่ี ี้ มงุ เอาอัฏฐงั คกิ มรรคเปนหลัก แตจ ะตคี วามแคบหมายถงึ เมถุนวริ ัตกิ ไ็ ด ความหมายอยาง หยอ นสําหรบั คฤหัสถ คือ ถอื พรหมจรรยในบุคคลที่มใิ ชค ูค รอง หรือถือเด็ดขาดในวันอโุ บสถ เปน ตน

หมวดเกนิ 10 277 [354] 34. นพิ พฺ านสจฉฺ กิ ริ ยิ า จ (ทาํ พระนพิ พานใหแ จง , บรรลนุ พิ พาน — Nibbàna-sacchikiriyà: realization of Nibbàna) คาถาที่ 10 35. ผุฏสสฺ โลกธมเฺ มหิ จิตตฺ ํ ยสฺส น กมฺปติ (ถูกโลกธรรม จติ ไมหว่นั ไหว — Akampita- citta: to have a mind which is not shaken when touched by worldly vicissitudes) 36. อโสกํ (จติ ไรเศรา — Asokacitta: to have the mind which is free from sorrow) 37. วิรชํ (จติ ปราศจากธลุ ี — Virajacitta: to have the mind which is undefiled) 38. เขมํ (จติ เกษม — Khemacitta: to have the mind which is secure) แตละคาถามบี ทสรปุ วา “เอตมมฺ งฺคลมตุ ตฺ มํ” (น้เี ปนมงคลอันอดุ ม — this is the highest blessing) มีคาถาสรุปทา ยมงคลท้ัง 38 น้วี า “เอตาทสิ านิ กตฺวาน สพฺพตฺถมปราชิตา สพพฺ ตถฺ โสตถฺ ึ คจฺฉนฺติ ตนฺเตสํ มงคฺ ลมุตตฺ มนฺติ.” แปลวา “เทวะมนุษยท ้งั หลายกระทาํ มงคลเชนนแ้ี ลว ยอ มเปน ผไู มป ราชัยในที่ทกุ สถาน ยอมถึงความสวัสดใี นท่ีทัง้ ปวง นค้ี ืออดุ มมงคลของเทวะมนุษยเหลานนั้ .” (Those who have done these things see no defeat and go in safety everywhere. To them these are the highest blessings.) Kh.V.3; Sn.259-268. ขุ.ข.ุ 25/5/3; ขุ.ส.ุ 25/317/376. [354] กรรมฐาน 40 (ทีต่ ้ังแหงการทาํ งานของจิต, ส่งิ ทใ่ี ชเ ปน อารมณในการเจรญิ ภาวนา, อุปกรณในการฝกอบรมจิต — Kammaññhàna: mental exercises; subjects of meditation) 1. กสิณ 10 ดู [315] 2. อสภุ ะ 10 ดู [336] 3. อนสุ ติ 10 ดู [335] 4. อปั ปมญั ญา 4 ดู [161] 5. อาหาเรปฏกิ ลู สญั ญา (กาํ หนดพจิ ารณาความเปน ปฏกิ ลู ในอาหาร — âhàrepañikålasa¤¤à: perception of the loathsomeness of food) 6. จตุธาตุววฏั ฐาน (กาํ หนดพจิ ารณาธาตุ 4, พิจารณาเห็นรางกายของตนโดยสกั วา เปน ธาตุ 4 แตล ะอยา งๆ; ธาตุมนสิการ กเ็ รียก — Catudhàtu-vavaññhàna: analysis of the four elements) 7. อรปู 4 ดู [207] กรรมฐานใดใหไดสมาธิถงึ ขัน้ ใด ดู [99] ภาวนา 3; กรรมฐานใดเหมาะกับจริตใด ดู [262]

[355] 278 พจนานุกรมพทุ ธศาสตร จริต 6. Vism.110; Comp.204. วสิ ทุ ฺธิ.1/139; สงฺคห.51. [355] เจตสกิ 52 (ธรรมทปี่ ระกอบกบั จติ , สภาวธรรมทเี่ กดิ ดับพรอมกับจติ มีอารมณแ ละ วัตถุที่อาศัยเดียวกันกับจิต, อาการและคุณสมบัติตางๆ ของจิต — Cetasika: mental factors; mental concomitants) ก. อญั ญสมานาเจตสิก 13 (เจตสกิ ท่ีมีเสมอกนั แกจ ิตพวกอน่ื คือ ประกอบเขาไดก ับจิตทุก ฝายทั้งกุศลและอกุศล มิใชเขาไดแตฝายใดฝายหน่ึงพวกเดียว — A¤¤asamàna- cetasika: the Common-to-Each-Other; general mental factors) 1) สพั พจติ ตสาธารณเจตสกิ 7 (เจตสกิ ทเี่ กดิ ทว่ั ไปกบั จติ ทกุ ดวง — Sabbacitta-sàdhàraõa~: universal mental factors; the Primary) 1. ผสั สะ (ความกระทบอารมณ — Phassa: contact; sense-impression) 2. เวทนา (ความเสวยอารมณ — Vedanà: feeling) 3. สญั ญา (ความหมายรูอารมณ — Sa¤¤à: perception) 4. เจตนา (ความจงใจตออารมณ — Cetanà: volition) 5. เอกัคคตา (ความมีอารมณเปนอันเดียว — Ekaggatà: one-pointedness; concentration) 6. ชวี ติ นิ ทรยี  (อนิ ทรยี ค อื ชวี ติ , สภาวะทเ่ี ปน ใหญใ นการรกั ษานามธรรมทง้ั ปวง — Jãvitindriya: vitality; life-faculty) 7. มนสกิ าร (ความกระทาํ อารมณไ วใ นใจ, ใสใจ — Manasikàra: attention) 2) ปกณิ ณกเจตสิก 6 (เจตสิกทเี่ ร่ียรายแพรก ระจายทว่ั ไป คือ เกิดกบั จติ ไดท ัง้ ฝา ยกศุ ล และอกศุ ล แตไ มแ นนอนเสมอไปทุกดวง — Pakiõõaka~: particular mental factors; the Secondary) 8. วิตก (ความตรกึ อารมณ — Vitakka: initial application; thought conception; applied thought) 9. วจิ าร (ความตรองหรอื พจิ ารณาอารมณ — Vicàra: sustained application; discursive thinking; sustained thought) 10. อธิโมกข (ความปลงใจหรือปกใจในอารมณ — Adhimokkha: determination; resolution) 11. วริ ิยะ (ความเพยี ร — Viriya: effort; energy) 12. ปต ิ (ความปลาบปลมื้ ในอารมณ, อ่ิมใจ — Pãti: joy; interest) 13. ฉันทะ (ความพอใจในอารมณ — Chanda: conation; zeal) ข. อกศุ ลเจตสกิ 14 (เจตสกิ ฝา ยอกศุ ล — Akusala~: immoral or unwholesome mental

หมวดเกิน 10 279 [355] factors; unprofitable mental factors) 1) สพั พากสุ ลสาธารณเจตสิก 4 (เจตสกิ ทีเ่ กิดท่วั ไปกบั อกศุ ลจิตทุกดวง — Sabbà- kusalasàdhàraõa~: universal immorals; the Primary) 14. โมหะ (ความหลง — Moha: delusion) 15. อหริ ิกะ (ความไมละอายตอ บาป — Ahirika: shamelessness; lack of moral shame) 16. อโนตตปั ปะ (ความไมส ะดงุ กลัวตอบาป — Anottappa: fearlessness of wrong- doing; lack of moral dread) 17. อุทธจั จะ (ความฟงุ ซาน — Uddhacca: restlessness; unrest) 2) ปกณิ ณกอกสุ ลเจตสกิ 10 (อกศุ ลเจตสกิ ทเ่ี กดิ เรย่ี รายแกอ กศุ ลจติ — Pakiõõaka-akusala~: particular immorals; the Secondary) 18. โลภะ (ความอยากไดอารมณ — Lobha: greed) 19. ทิฏฐิ (ความเห็นผดิ — Diññhi: wrong view) 20. มานะ (ความถือตวั — Màna: conceit) 21. โทสะ (ความคดิ ประทษุ ราย — Dosa: hatred) 22. อสิ สา (ความรษิ ยา — Issà: envy; jealousy) 23. มัจฉรยิ ะ (ความตระหนี่ — Macchariya: stinginess; meanness) 24. กกุ กุจจะ (ความเดือดรอ นใจ — Kukkucca: worry; remorse) 25. ถีนะ (ความหดหู — Thãna: sloth) 26. มทิ ธะ (ความงว งเหงา — Middha: torpor) 27. วจิ ิกจิ ฉา (ความคลางแคลงสงสัย — Vicikicchà: doubt; uncertainty; scepsis) ค. โสภณเจตสกิ 25 (เจตสิกฝา ยดงี าม — Sobhaõa~: beautiful mental factors; lofty mental factors) 1) โสภณสาธารณเจตสกิ 19 (เจตสกิ ทเ่ี กดิ ทวั่ ไปกบั จติ ดงี ามทกุ ดวง — Sobhaõasàdhàraõa~: universal beautiful mental factors; the Primary) 28. สทั ธา (ความเช่ือ — Saddhà: confidence; faith) 29. สติ (ความระลกึ ได, ความสาํ นกึ พรอ มอยู — Sati: mindfulness) 30. หริ ิ (ความละอายตอบาป — Hiri: moral shame; conscience) 31. โอตตปั ปะ (ความสะดงุ กลวั ตอ บาป — Ottappa: moral dread) 32. อโลภะ (ความไมอ ยากไดอ ารมณ — Alobha: non-greed) 33. อโทสะ (ความไมคดิ ประทษุ ราย — Adosa: non-hatred) 34. ตัตรมชั ฌตั ตตา (ความเปนกลางในอารมณน ้ันๆ — Tatramajjhattatà: equanimity; specific neutrality)

[356] 280 พจนานกุ รมพุทธศาสตร 35. กายปส สทั ธิ (ความสงบแหง กองเจตสกิ — Kàya-passaddhi: tranquillity of mental body) 36. จิตตปสสทั ธิ (ความสงบแหง จติ — Citta-passaddhi: tranquillity of mind) 37. กายลหุตา (ความเบาแหงกองเจตสกิ — Kàya-lahutà: lightness of mental body; agility of ~) 38. จติ ตลหุตา (ความเบาแหงจติ — Citta-lahutà: lightness of mind; agility of ~) 39. กายมทุ ตุ า (ความออ นหรอื นมุ นวลแหง กองเจตสกิ — Kàya-mudutà: pliancy of mental body; elasticity of ~) 40. จติ ตมทุ ตุ า (ความออ นหรอื นมุ นวลแหง จติ — Citta-mudutà: pliancy of mind; elasticity of ~) 41. กายกมั มญั ญตา (ความควรแกก ารงานแหง กองเจตสกิ — Kàya-kamma¤¤atà: adaptability of mental body; wieldiness of ~) 42. จติ ตกมั มญั ญตา (ความควรแกการงานแหง จิต — Citta-kamma¤¤atà: adaptability of mind; wieldiness of ~) 43. กายปาคุญญตา (ความคลอ งแคลวแหงกองเจตสิก — Kàya-pàgu¤¤atà: proficiency of mental body) 44. จติ ตปาคญุ ญตา (ความคลอ งแคลว แหง จติ — Citta-pàgu¤¤atà: proficiency of mind) 45. กายชุ ุกตา (ความซ่อื ตรงแหงกองเจตสิก — Kàyujukatà: rectitude of mental body; uprightness of ~) 46. จติ ตชุ กุ ตา (ความซอื่ ตรงแหง จติ — Cittujukatà: rectitude of mind; uprightness of ~) 2) วิรตเี จตสกิ 3 (เจตสิกท่เี ปนตวั ความงดเวน — Viratã~: abstinences) 47. สัมมาวาจา (เจรจาชอบ — Sammàvàcà: right speech) 48. สัมมากมั มนั ตะ (กระทาํ ชอบ — Sammàkammanta: right action) 49. สมั มาอาชีวะ (เลีย้ งชพี ชอบ — Sammà-àjãva: right livelihood) 3) อปั ปมัญญาเจตสกิ 2 (เจตสกิ คืออปั ปมญั ญา — Appama¤¤à~: boundless states) 50. กรุณา (ความสงสารสัตวผ ถู งึ ทุกข — Karuõà: compassion) 51. มุทติ า (ความยินดตี อ สัตวผูไ ดสุข — Mudità: sympathetic joy) 4) ปญ ญินทรยี เจตสกิ 1 (เจตสิกคือปญ ญนิ ทรีย — fuculty of wisdom) 52. ปญ ญนิ ทรยี  หรอื อโมหะ (ความรเู ขา ใจ ไมห ลง — Pa¤¤indriya, Amoha: undeluded- ness; wisdom) Comp.94. สงคฺ ห.7. [356] จิต 89 หรอื 121 (ธรรมชาตทิ ร่ี อู ารมณ, สภาพที่นึกคดิ , ความคดิ , ใจ, วญิ ญาณ — Citta: mind; thought; consciousness; a state of consciousness)

หมวดเกิน 10 281 [356] จิต มไี วพจน คือ คาํ ท่ตี า งเพยี งรูป แตม ีความหมายเหมือนกันหรอื คลายกัน ใชแทนกนั ได หลายคํา เชน มโน มานัส หทัย บัณฑร มนายตนะ มนนิ ทรยี  และ วญิ ญาณ เปน ตน (อภิ.ส.ํ 34/21/10; ฯลฯ) คาํ เหลานมี้ คี วามหมายเกยกัน มใิ ชต รงกันโดยสมบรู ณ ใชแทนกันไดใ นบาง โอกาส มิใชเสมอไป เมอ่ื จดั แบง สภาวธรรมทง้ั หลายเปน ประเภทๆ ทเ่ี รยี กวา ขนั ธ 5 จติ ไดแ ก วญิ ญาณขนั ธ แต ในคมั ภรี อภธิ รรมยุคตอ มา นยิ มประมวลสภาวธรรมเขา เปน 4 อยา ง เรียกวา ปรมตั ถธรรม 4 จิตเปน ปรมัตถธรรมอยางท่ี 1; ดู [157] ปรมัตถธรรม 4; [216] ขันธ 5. คมั ภรี อ ภิธรรมรนุ อรรถกถา ประมวลเรอ่ื งจติ ท่ีแสดงไวในพระอภิธรรมปฎกแลว แจงนบั สภาพจิตทัง้ หลายไววามจี าํ นวน 89 หรือโดยพิสดารมี 121 เรียกวา จิต 89 หรือ 121 เบอ้ื งตน นี้ จะประมวลจติ ทงั้ หมดไวเ ปน หมวดหมใู หญๆ กอ น เพอ่ื สะดวกในการศกึ ษากาํ หนด จดจาํ และทบทวนตอ ไป ในทน่ี ี้ พงึ ทราบวธิ จี าํ แนกประเภท 2 แบบ เปรยี บเทยี บกนั ดงั นี้* * ทา นเรยี บเรยี งเปน คาถาสรปุ ความไว ดังนี้ กสุ ลาเนกวีสติ ทวฺ าทสากสุ ลาเนว กรฺ ิยาจิตฺตานิ วสี ติ ฯ ฉตฺตเึ สว วปิ ากานิ รูเป ปณฺณรสรี เิ ย จตุปฺาสธา กาเม อฎ ธานุตฺตเร ตถา ฯ จิตฺตานิ ทฺวาทสารเู ป ปเภทํ ปน มานสํ อติ ฺถเมกนู นวตุ ปิ -ฺ วิภชนฺติ วิจกขฺ ณา ฯ เอกวสี สตํ วาถ

[356] 282 พจนานุกรมพุทธศาสตร โสภณจิต 59 (91) ฌานจติ 67 ก. โดยชาติประเภท ข. โดยภูมิประเภท 1. อกุศลจติ 12 1. กามาวจรจิต 54 - โลภมลู จิต 8 1) อกศุ ลจิต 12 - โทสมลู จิต 2 - โลภมลู จิต 8 - โมหมูลจิต 2 - โทสมูลจิต 2 - โมหมลู จติ 2 2. กศุ ลจติ 21 (37) 2) อเหตกุ จติ 18 - มหากศุ ลจติ 8 - อกุศลวบิ ากจติ 7 - รปู าวจรกศุ ลจติ 5 - กศุ ลวิบากอเหตุกจิต 8 - อรูปาวจรกุศลจิต 4 - อเหตุกกริ ยิ าจติ 3 - โลกตุ ตรกุศลจิต 4 (20) 3) กามาวจรโสภณจติ 24 3. วิปากจติ 36 (52) - มหากุศลจิต 8 - อกุศลวิบากจติ 7 - มหาวิบากจติ 8 - กุศลวบิ ากอเหตุกจติ 8 - มหากริ ิยาจิต 8 - มหาวิบากจติ 8 2. รปู าวจรจิต 15 - รปู าวจรวิบากจิต 5 - อรูปาวจรวบิ ากจติ 4 1) รปู าวจรกศุ ลจิต 5 - โลกตุ ตรวิบากจิต 4 (20) 2) รปู าวจรวบิ ากจิต 5 3) รปู าวจรกิริยาจติ 5 4. กริ ยิ าจิต 20 3. อรปู าวจรจิต 12 - อเหตกุ กริ ิยาจิต 3 1) อรปู าวจรกุศลจิต 4 - มหากิริยาจิต 8 2) อรปู าวจรวบิ ากจติ 4 - รูปาวจรกิริยาจติ 5 3) อรปู าวจรกริ ิยาจติ 4 - อรูปาวจรกริ ิยาจิต 4 4. โลกตุ ตรจติ 8 (× ฌาน 5 = 40) 1) โลกุตตรกศุ ลจิต 4 (20) 2) โลกตุ ตรวบิ ากจติ 4 (20) หมายเหต:ุ ตวั เลขในวงเลบ็ ( ) หมายถงึ จาํ นวนอยา งพสิ ดาร เมอ่ื นบั จติ เปน 121 (พงึ สงั เกตวา จาํ นวนจะเพม่ิ เฉพาะ โลกตุ ตรจติ อยา งเดยี ว คอื โลกตุ ตรจติ อยา งยอ มี 8 อยา งพสิ ดารจาํ แนกออกไปตามฌานทง้ั 5 เปน 40) ตอไปจะแสดง จติ 89 [121] ตามแบบภมู ิประเภท (แบบชาติประเภทพงึ กาํ หนดเอา จากแบบภูมปิ ระเภทนี้ ตามหวั ขอทแี่ สดงไวแ ลว )