Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พจนานุกรม พุทธศาสตร ฉบับประมวลธรรม ( PDFDrive )

พจนานุกรม พุทธศาสตร ฉบับประมวลธรรม ( PDFDrive )

Description: พจนานุกรม พุทธศาสตร ฉบับประมวลธรรม ( PDFDrive )

Search

Read the Text Version

หมวด 4 133 [170] 3) มีภยั อนั ตราย ไมล ะทิ้ง 4) แมช วี ิตก็สละใหไ ด a) He tells you his secrets. b) He keeps secret your secrets. c) He does not forsake you in your troubles. d) He can even die for your sake. 3. มติ รแนะประโยชน (อตั ถกั ขายี — Atthakkhàyã: the man who gives good counsel) มลี กั ษณะ 4 คอื 1) จะทําชั่วเสยี หาย คอยหามปรามไว 2) คอยแนะนําใหต ้งั อยูใ นความดี 3) ใหไ ดฟ งไดร สู งิ่ ท่ีไมเคยไดรูไดฟง 4) บอกทางสขุ ทางสวรรคใ ห a) He keeps you back from evil. b) He encourages you to do good. c) He informs you of what you have not heard. d) He shows you the way to heaven. 4. มิตรมีนํ้าใจ (อนกุ ัมปกะ มิตรมีความรักใคร หรือมติ รผรู ักใครเ อ็นดู — Anukampaka: the man who sympathizes) มลี ักษณะ 4 คือ 1) เพ่ือนมที ุกข พลอยไมสบายใจ (ทกุ ข ทุกขด วย) 2) เพื่อนมสี ขุ พลอยแชมชื่นยินดี (สุข สุขดวย) 3) เขาตเิ ตยี นเพ่อื น ชวยยับยง้ั แกใ ห 4) เขาสรรเสริญเพื่อน ชวยพดู เสริมสนับสนุน a) He does not rejoice over your misfortunes. b) He rejoices in your good fortune. c) He protests against anyone who speaks ill of you. d) He admires those who speak well of you. D.III.187. ที.ปา.11/192/201. [170] โยคะ 4 (สภาวะอันประกอบสตั วไวในภพ หรอื ผกู กรรมไวกับวบิ าก — Yoga: the Four Bonds) ไดแก กาม ภพ ทิฏฐิ อวิชชา เหมือนในอาสวะ 4. ดู [136] อาสวะ 4. D.III.230; A.II.10; Vbh.374. ที.ปา.11/259/242; อง.ฺ จตกุ กฺ .21/10/13; อภ.ิ ว.ิ 35/963/506.

[171] 134 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร [171] โยนิ 4 (กาํ เนดิ , แบบหรือชนิดของการเกิด — Yoni: ways or kinds of birth; modes of generation) 1. ชลาพุชะ (สัตวเ กดิ ในครรภ คือ คลอดออกมาเปน ตวั เชน คน โค สนุ ัข แมว เปนตน — Jalàbuja: the viviparous; womb-born creatures) 2. อณั ฑชะ (สตั วเ กดิ ในไข คอื ออกไขเ ปน ฟองกอ นแลว จงึ ฟก เปน ตวั เชน นก เปด ไก เปน ตน — Aõóaja: the oviparous; egg-born creatures) 3. สงั เสทชะ (สตั วเ กดิ ในไคล คอื เกดิ ในของชน้ื แฉะหมกั หมมเนา เปอ ย ขยายแพรอ อกไปเอง เชน กมิ ชิ าตบิ างชนดิ — Sa§sedaja: putrescence-born creatures; moisture-born creatures) 4. โอปปาตกิ ะ (สตั วเ กดิ ผดุ ขน้ึ คอื เกดิ ผดุ เตม็ ตวั ในทนั ใด ไดแ ก เทวดา สตั วน รก มนษุ ยบ าง พวก และเปรตบางพวก ทา นวา เกดิ และตาย ไมต อ งมเี ชอ้ื หรอื ซากปรากฏ — Opapàtika: spontaneously born creatures; the apparitional) D.III.230; M.I.73. ที.ปา.11/263/242; ม.มู.12/169/147. [,,,] ราชสงั คหวัตถุ 4 ดู [187] สังคหวตั ถุของผูครองแผน ดนิ 4. [172] ลลี าการสอน หรอื พุทธลลี าในการสอน หรอื เทศนาวธิ ี 4 (การสอนของ พระพุทธเจาแตล ะครั้ง แมทีเ่ ปน เพยี งธรรมีกถา หรือการสนทนาท่ัวไป ซึง่ มใิ ชค ราวท่ีมีความมุง หมายเฉพาะพิเศษ ก็จะดําเนินไปอยางสําเร็จผลดีโดยมีองคประกอบท่ีเปนคุณลักษณะ 4 ประการ — Desanàvidhi: the Buddha’s style or manner of teaching) 1. สันทัสสนา (ช้แี จงใหเหน็ ชดั คอื จะสอนอะไร ก็ชแ้ี จงจําแนกแยกแยะอธบิ ายและแสดง เหตุผลใหชัดเจน จนผูฟงเขาใจแจมแจง เห็นจริงเห็นจัง ดังจูงมือไปดูเห็นกับตา — Sandassanà: elucidation and verification) 2. สมาทปนา (ชวนใจใหอ ยากรบั เอาไปปฏบิ ัติ คือ สงิ่ ใดควรปฏิบตั หิ รือหัดทาํ กแ็ นะนาํ หรือ บรรยายใหซ าบซ้งึ ในคณุ คา มองเหน็ ความสําคญั ทจ่ี ะตอ งฝก ฝนบาํ เพ็ญจนใจยอมรับ อยากลง มือทาํ หรือนําไปปฏิบัติ — Samàdapanà: incitement to take upon oneself; inspiration towards the goal) 3. สมตุ เตชนา (เราใจใหอ าจหาญแกลวกลา คอื ปลุกเราใจใหกระตือรอื รน เกดิ ความอตุ สาหะ มกี าํ ลังใจแขง็ ขนั มน่ั ใจทจ่ี ะทําใหส ําเร็จจงได สูงาน ไมห ว่นั ระยอ ไมกลวั เหนือ่ ย ไมก ลัวยาก — Samuttejanà: urging; encouragement; animation; filling with enthusiasm) 4. สมั ปหงั สนา (ปลอบชโลมใจใหส ดช่ืนราเรงิ คือ บํารุงจิตใหแชม ชนื่ เบิกบาน โดยชใ้ี หเ หน็ ผลดีหรือคุณประโยชนท่ีจะไดรับและทางที่จะกาวหนาบรรลุผลสําเร็จย่ิงข้ึนไป ทําใหผูฟงมี ความหวังและรา เรงิ เบกิ บานใจ — Sampaha§sanà: gladdening; exhilaration; filling with delight and joy)

หมวด 4 135 [175] อรรถกถาชแ้ี จงเพมิ่ เติมวา ขอ 1 ปลดเปล้ืองความเขลาหรือความมดื มวั ขอ 2 ปลด เปลือ้ งความประมาท ขอ 3 ปลดเปลอื้ งความอืดครา น ขอ 4 สมั ฤทธก์ิ ารปฏบิ ัติ จาํ 4 ขอนี้ สนั้ ๆ วา ชใ้ี หช ดั ชวนใหป ฏบิ ตั ิ เรา ใหก ลา ปลกุ ใหร า เรงิ หรอื แจม แจง จงู ใจ แกลว กลา รา เรงิ D.I.126; etc.; DA.II.473; UdA.242,361,384. ที.สี.9/198/161; ฯลฯ, ที.อ.2/89; อ.ุ อ.304,457,490. [173] วรรณะ 4 (ชนชนั้ ในสงั คมอินเดีย ท่กี ําหนดดวยชาตกิ ําเนิด ตามหลกั ศาสนาพราหมณ — Vaõõa: castes) 1. กษตั รยิ  (ชนชน้ั เจา , ชนชน้ั ปกครองหรอื นกั รบ — Khattiya: the warrior-caste; warrior- rulers; noblemen) 2. พราหมณ (ชนชน้ั เจา ตาํ ราเจาพิธี, พวกพราหมณ — Bràhmaõa: the priestly caste; brahmins) 3. แพศย (ชนชน้ั พอ คา และกสกิ ร — Vessa: the trading and agricultural caste; merchants and farmers) 4. ศทู ร (ชนชนั้ ตา่ํ , พวกทาสกรรมกร — Sudda: the low caste; labourers and servants) M.II.128. ม.ม.13/576/520. [174] วิธีปฏิบตั ิตอทกุ ข– สุข 4 (หลกั การเพยี รพยายามใหไ ดผ ลในการละทกุ ขล สุ ขุ , การ ปฏบิ ตั ทิ ถ่ี กู ตอ งตอ ความทกุ ขแ ละความสขุ ซง่ึ เปน ไปตามหลกั พระพทุ ธศาสนา ทแี่ สดงวา ความ เพยี รพยายามทถ่ี กู ตอ ง จะมผี ลจนสามารถเสวยสขุ ทไ่ี รท กุ ขไ ด — Sukhapañisa§vedanàya saphalappadhàna: fruitful exertion to enjoy happiness) 1. ไมเอาทกุ ขทบั ถมตนทมี่ ิไดถ ูกทุกขทวมทบั (Being not overwhelmed by suffering, one does not overwhelm oneself with suffering.) 2. ไมสละความสขุ ทีช่ อบธรรม (One does not give up righteous happiness.) 3. ไมสยบหมกมนุ (แม)ในสขุ ทชี่ อบธรรมนนั้ (One is not infatuated even with that righteous happiness.) 4. เพยี รพยายามทําเหตแุ หง ทกุ ขใ หหมดส้ินไป (One strives in the right way to eradicate the cause of suffering.) ขอท่ี 4 อาจพดู อีกสํานวนหน่ึงวา “เพียรปฏิบัติเพ่อื เขาถึงความสขุ ที่ประณตี สูงข้ึนไป” M.II.223 ม.อ.ุ 14/12/13 [175] วบิ ตั ิ 41 (ความผิดพลาด, ความเคลอื่ นคลาด, ความเสียหาย, ความบกพรอ ง, ความใช การไมไ ด — Vipatti: failure; falling away) 1. ศลี วบิ ัติ (วิบตั แิ หงศีล, เสียศลี , สาํ หรบั พระภกิ ษุ คอื ตอ งอาบัติปาราชกิ หรือ สงั ฆาทเิ สส — Sãla-vipatti: falling away from moral habit; failure in morality)

[176] 136 พจนานกุ รมพุทธศาสตร 2. อาจารวิบัติ (วิบตั แิ หง อาจาระ, เสียความประพฤติ จรรยามรรยาทไมด ,ี สําหรับพระภิกษุ คือ ตอ งลหุกาบตั ิ แตถลุ ลัจจัย ถงึ ทพุ ภาสิต — âcàra-vipatti: falling away from good behaviour; failure in conduct) 3. ทฏิ ฐวิ ิบัติ (วิบตั แิ หง ทิฏฐ,ิ ความเหน็ คลาดเคล่ือน ผดิ ธรรมผิดวินยั — Diññhi-vipatti: falling away from right view; failure in views) 4. อาชีววบิ ตั ิ (วบิ ัติแหง อาชวี ะ, ประกอบมิจฉาชพี หาเล้ียงชพี ในทางทผ่ี ดิ — âjãva-vipatti: falling away from right mode of livelihood; failure in livelihood) Vin.II.87. วินย.6/634/336. [176] วบิ ัติ 42 (ขอ เสีย, จุดออ น, ความบกพรอ งแหง องคประกอบตางๆ ซึง่ ไมอํานวยแกการ ใหผ ลของกรรมดี แตเ ปดชองใหกรรมชวั่ แสดงผล, สว นประกอบบกพรอ ง เปดชองใหกรรมชัว่ — Vipatti: failure; defect; unfavourable factors affecting the ripening of Karma.) 1. คติวบิ ัติ (วิบตั ิแหง คต,ิ คตเิ สยี ; ในชว งยาวหมายถงึ เกดิ ในกาํ เนิดตา่ํ ทราม หรอื ทเ่ี กดิ อนั ไร ความเจริญ ในชวงสน้ั หมายถึง ทีอ่ ยู ทไ่ี ป ทางดําเนินไมด ี หรอื ทําไมถ ูกเรื่องไมถ กู ท่ี คือ กรณี นั้น สภาพแวดลอมนัน้ สถานการณน ้ัน ถ่นิ นัน้ ตลอดถึงแนวทางดาํ เนนิ ชวี ิตขณะน้นั ไมเออื้ อํานวยแกการกระทําความดีหรือการเจริญงอกงามของความดีและการท่ีผลดีจะปรากฏ แต กลับเปด ทางใหแ กค วามช่ัวและผลราย — Gati-vipatti: failure as regards place of birth; unfavourable environment, circumstances or career) 2. อปุ ธิวิบัติ (วิบตั ิแหง รา งกาย, รปู กายเสีย; ในชว งยาวหมายถงึ รา งกายวกิ ลวกิ าร ไม งดงาม บุคลิกภาพไมดี ในชว งสนั้ หมายถึง สุขภาพไมด ี เจบ็ ปว ย มโี รคมาก — Upadhi- vipatti: failure as regards the body; deformed or unfortunate body; unfavourable personality, health or physical conditions.) 3. กาลวิบตั ิ (วิบัติแหง กาล, กาลเสยี ; ในชว งยาวหมายถงึ เกิดอยใู นสมยั ทีโ่ ลกไมมคี วามเจรญิ หรือบา นเมืองมีแตภัยพบิ ัติ ผปู กครองไมด ี สงั คมเสื่อมจากศลี ธรรม มีการกดข่เี บียดเบียนกัน มาก ยกยองคนชวั่ บีบคั้นคนดี ในชวงส้ันหมายถงึ ทาํ ผดิ กาลผดิ เวลา — Kàla-vipatti: failure as regards time; unfavourable or unfortunate time) 4. ปโยควิบตั ิ (วบิ ัติแหง การประกอบ, กิจการเสีย; ในชว งยาวหมายถึง ฝก ใฝใ นทางท่ีผิด ประกอบกิจการงานท่ผี ดิ หรอื มปี กติชอบกระทําแตความชวั่ ในชว งสัน้ หมายถงึ เมอ่ื กระทํา กรรมดี ก็ไมทําใหถ งึ ขนาด ไมครบถวนตามหลกั เกณฑ ทาํ จบั จด ใชว ธิ กี ารไมเ หมาะกบั เรือ่ ง หรอื เม่ือประกอบความดตี อเนอื่ งมา แตก ลบั ทาํ ความชั่วหักลา งเสยี ในระหวาง — Payoga- vipatti: failure as regards undertaking; unfavourable, unfortunate or inadequate undertaking) วิบตั ิ 4 น้ี เปน สงิ่ ทีจ่ ะตอ งนาํ มาประกอบการพจิ ารณาในเรอื่ งการใหผลของกรรม เพราะ การปรากฏของวบิ าก นอกจากอาศยั เหตคุ อื กรรมแลว ยังตอ งอาศัยฐานคือ คติ อุปธิ กาละ

หมวด 4 137 [178] และปโยคะ เปน ปจ จยั ประกอบดว ย กลา วคือ จะตองพจิ ารณา กรรมนยิ าม โดยสัมพันธก บั ปจจัยทั้งหลายที่เปนไปตามนิยามอ่ืนๆ ดวย เพราะนิยาม หรือกฎธรรมชาติน้ันมีหลายอยาง มิใชมแี ตกรรมนิยามอยางเดียว ดู [177] สมบัติ 4; [223] นยิ าม 5. Vbh.338. อภิ.ว.ิ 35/840/458. [177] สมบตั ิ 4 (ขอด,ี ความเพยี บพรอ ม, ความสมบรู ณแหงองคประกอบตางๆ ซ่ึงอาํ นวยแก การใหผ ลของกรรมดี และไมเ ปด ชอ งใหก รรมชวั่ แสดงผล, สว นประกอบอาํ นวย ชว ยเสรมิ กรรมดี — Sampatti: accomplishment; factors favourable to the ripening of good Karma) 1. คตสิ มบัติ (สมบัติแหง คติ, ถงึ พรอ มดวยคต,ิ คติให; ในชวงยาวหมายถงึ เกิดในกําเนดิ อัน อํานวย หรอื ทเี่ กิดอันเจริญ ในชว งส้นั หมายถึง ท่ีอยู ท่ไี ป ทางดําเนินดี หรอื ทําถกู เรื่อง ถูกที่ คอื กรณีนั้น สภาพแวดลอ มนัน้ สถานการณน ั้น ถน่ิ ทีน่ ั้น ตลอดถงึ แนวทางดาํ เนินชีวิตขณะนั้น เออื้ อํานวยแกก ารกระทําความดี หรือการเจริญงอกงามของความดี ทาํ ใหค วามดปี รากฏผล โดยงา ย — Gati-sampatti: accomplishment of birth; fortunate birthplace; favourable environment, circumstances or career) 2. อปุ ธสิ มบตั ิ (สมบตั ิแหง รา งกาย, ถงึ พรอ มดวยรูปกาย, รปู กายให; ในชวงยาวหมายถึง มี กายสงา สวยงาม บุคลิกภาพดี ในชว งส้นั หมายถงึ รา งกายแขง็ แรง มีสุขภาพดี — Upadhi- sampatti: accomplishment of the body; favourable or fortunate body; favourable personality, health or physical conditions) 3. กาลสมบัติ (สมบัติแหง กาล, ถงึ พรอมดว ยกาล, กาลให; ในชวงยาว หมายถึง เกดิ อยูใ น สมัยที่โลกมคี วามเจรญิ หรือบา นเมืองสงบสุข มีการปกครองทดี่ ี คนในสงั คมอยใู นศีลธรรม สามัคคกี ัน ยกยอ งคนดี ไมสงเสริมคนช่ัว ในชวงสัน้ หมายถงึ ทําถูกกาลถกู เวลา — Kàla- sampatti: accomplishment of time; favourable or fortunate time) 4. ปโยคสมบตั ิ (สมบัติแหงการประกอบ, ถึงพรอ มดวยการประกอบความเพยี ร, กิจการให; ในชว งยาว หมายถึงฝกใฝใ นทางทถี่ ูก นาํ ความเพียรไปใชขวนขวายประกอบการท่ีถกู ตองดีงาม มปี กตปิ ระกอบกจิ การงานทถี่ กู ตอ ง ทาํ แตค วามดงี ามอยแู ลว ในชว งสน้ั หมายถงึ เมอ่ื ทาํ กรรมดี ก็ทาํ ใหถึงขนาด ทาํ จริงจงั ใหค รบถว นตามหลักเกณฑ ใชวิธีการท่เี หมาะกบั เรอ่ื ง หรือทาํ ความ ดตี อ เนอ่ื งมาเปน พนื้ แลว กรรมดที ท่ี าํ เสรมิ เขา อกี จงึ เหน็ ผลไดง า ย — Payoga-sampatti: accomplishment of undertaking; favourable, fortunate or adequate undertaking) ดู [176] วบิ ัติ 4 2; [223] นิยาม 5. Vbh.339. อภิ.ว.ิ 35/840/459. [178] วิปล ลาส หรอื วปิ ลาส 4 (ความรูเหน็ คลาดเคลื่อน, ความรูเขาใจผิดเพ้ียนจาก ความเปนจริง — Vipallàsa: distortion)

[179] 138 พจนานุกรมพทุ ธศาสตร วิปลาส มี 3 ระดบั คอื 1. สัญญาวิปลาส (สญั ญาคลาดเคล่ือน, หมายรูผ ิดพลาดจากความเปนจริง เชน คนตกใจเห็น เชอื กเปนงู — Sa¤¤à-vipallàsa: distortion of perception) 2. จิตตวิปลาส (จิตคลาดเคลื่อน, ความคดิ ผดิ พลาดจากความเปน จรงิ เชน คนบา คดิ เอา หญาเปน อาหาร — Citta-vipallàsa: distortion of thought) 3. ทิฏฐิวิปลาส (ทิฏฐคิ ลาดเคล่อื น, ความเห็นผดิ พลาดจากความเปน จริง โดยเฉพาะเชอื่ ถอื ไปตามสญั ญาวปิ ลาส หรอื จติ ตวปิ ลาสนนั้ เชน มสี ญั ญาวปิ ลาสเหน็ เชอื กเปน งู แลว เกดิ ทฏิ ฐิ วปิ ลาส เช่ือหรอื ลงความเห็นวาท่ีบรเิ วณนน้ั มีงชู ุม หรือมีจติ ตวปิ ลาสวาทกุ สิ่งทเี่ กดิ ข้นึ ตองมีผู สรา ง จงึ เกดิ ทฏิ ฐวิ ปิ ลาสวา แผน ดนิ ไหวเพราะเทพเจา บนั ดาล — Diññhi-vipallàsa: distortion of views) วิปลาส 3 ระดับนี้ ทีเ่ ปน พืน้ ฐาน เปน ไปใน 4 ดาน คอื 1. วปิ ลาสในสง่ิ ทไี่ มเทยี่ ง วาเทีย่ ง (to regard what is impermanent as permanent) 2. วิปลาสในส่ิงที่เปน ทกุ ข วาเปน สขุ (to regard what is painful as pleasant) 3. วิปลาสในส่งิ ท่ไี มเปนตวั ตน วา เปน ตัวตน (to regard what is non-self as a self) 4. วปิ ลาสในสงิ่ ท่ีไมง าม วางาม (to regard what is foul as beautiful) A.II.52 องฺ.จตุกฺก.21/49/66 [179] วุฒิ หรือ วุฑฒิธรรม 4 (ธรรมเปน เคร่ืองเจรญิ , คณุ ธรรมท่กี อ ใหเ กิดความเจริญงอก งาม — Vuóóhi-dhamma: virtues conducive to growth) 1. สปั ปรุ ิสสงั เสวะ (เสวนาสัตบรุ ุษ, คบหาทานผทู รงธรรมทรงปญ ญาเปน กัลยาณมิตร — Sappurisasa§seva: association with good and wise persons) 2. สัทธัมมัสสวนะ (สดับสัทธรรม, ใสใจเลาเรียนฟงอานหาความรูใหไดธรรมท่ีแท — Saddhammassavana: hearing the good teaching) 3. โยนิโสมนสิการ (ทําในใจโดยแยบคาย, รูจักคิดพิจารณาหาเหตุผลโดยถูกวิธี — Yonisomanasikàra: analytical reflection; wise attention) 4. ธมั มานุธมั มปฏปิ ต ติ (ปฏบิ ัตธิ รรมสมควรแกธ รรม, ปฏบิ ตั ธิ รรมถกู หลัก ใหธรรมยอย คลอยแกธรรมใหญ สอดคลอ งตามวัตถุประสงคข องธรรมท้ังหลายท่ีสัมพนั ธกัน, ดาํ เนินชวี ิตถกู ตอ งตามธรรม — Dhammànudhammapañipatti: practice in accord with the Dhamma, i.e. in such a systematic way that all levels and aspects of the Dhamma are in accord as regards their respective purposes; living in conformity with the Dhamma) ธรรมหมวดน้ี ในบาลีทีม่ า เรยี กวา ธรรมทเี่ ปน ไปเพือ่ ปญ ญาวุฒิ [ปญ ญาวุฒธิ รรม ] คอื เพ่ือความเจรญิ งอกงามแหงปญญา (Pa¤¤àvuóóhi: virtues conducive to growth in wisdom)

หมวด 4 139 [180] อยา งไรกด็ ี ในการเลา เรยี นธรรมในประเทศไทยทสี่ บื กันมา ไดรูจกั ธรรมหมวดน้ใี นช่อื สนั้ ๆ วา วฒุ ิ 4 และอธิบายความหมายโดยมุงใหคนทวั่ ไปเขาใจและนําไปใชป ระโยชนอยา งกวา งๆ จึงจะแสดงความหมายแบบงา ยๆ ไวด ว ยดังนี้ 1. สปั ปุรสิ สงั เสวะ คบหาสตั บรุ ษุ , เสวนาทานผูรผู ูท รงคุณความดี มีความประพฤตชิ อบดวย กาย วาจา ใจ 2. สทั ธัมมัสสวนะ ฟง สทั ธรรม, ตัง้ ใจฟง คําสั่งสอนของทา น เอาใจใสเ ลาเรียน 3. โยนโิ สมนสิการ ทําในใจโดยแยบคาย, รจู ักคิดพจิ ารณาใหเ หน็ เหตุผลคุณโทษในสงิ่ ทีไ่ ดเ ลา เรยี นสดับฟง นนั้ จบั สาระท่ีจะนําไปใชประโยชนได 4. ธัมมานุธัมมปฏปิ ตติ ปฏบิ ัติธรรมสมควรแกธ รรม, นาํ สิ่งท่ไี ดเ ลาเรียนและตรติ รองเหน็ แลว ไปใชปฏิบตั ใิ หถกู ตอ งตามหลัก สอดคลองกับความมุง หมายของหลกั การนัน้ ๆ A.II.245. อง.ฺ จตกุ ฺก.21/248/332. [180] เวสารัชชะ หรอื เวสารชั ชญาณ 4 (ความไมค รนั่ ครา ม, ความแกลว กลา อาจ หาญ, พระญาณอนั เปน เหตุใหท รงแกลวกลา ไมค ร่นั ครา ม — Vesàrajja: intrepidity; self- confidences) พระตถาคตเจาไมทรงมองเหน็ วา ใครกต็ าม จักทกั ทว งพระองคไ ดโ ดยชอบธรรมในฐานะ เหลาน้ี คือ (The Perfect One sees no grounds on which anyone can with justice make the following charges:) 1. สมั มาสมั พุทธปฏิญญา (ทา นปฏญิ ญาวาเปน สมั มาสัมพทุ ธะ ธรรมเหลาน้ที านยังไมรู — Sammàsambuddha-pañi¤¤à: You who claim to be fully self-enlightened are not fully enlightened in these things.) 2. ขณี าสวปฏญิ ญา (ทา นปฏญิ ญาวา เปน ขณี าสพ อาสวะเหลา นข้ี องทา นยงั ไมส น้ิ — Khãõàsava- pañi¤¤à: You who claim to have destroyed all taints have not utterly destroyed these taints.) 3. อนั ตรายกิ ธรรมวาทะ (ทา นกลา วธรรมเหลา ใดวา เปน อนั ตราย ธรรมเหลา นนั้ ไมอ าจกอ อนั ตรายแกผ สู อ งเสพไดจ รงิ — Antaràyikadhammavàda: Those things which have been declared by you to be harmful have no power to harm him that follows them.) 4. นิยยานกิ ธรรมเทศนา (ทา นแสดงธรรมเพื่อประโยชนอ ยางใด ประโยชนอ ยางนนั้ ไมเ ปน ทางนําผูทําตามใหถึงความสิ้นทุกขโดยชอบจริง — Niyyànikadhammadesanà: The Doctrine taught by you for the purpose of utter extinction of suffering does not lead him who acts accordingly to such a goal.) ดวยเหตุน้ี พระองคจึงทรงถึงความเกษม ถึงความไมมีภัย แกลวกลา ไมคร่นั ครามอยู (Since this is so, he abides in the attainment of security, of fearlessness and intrepidity.)

[181] 140 พจนานุกรมพทุ ธศาสตร เวสารชั ชะ 4 น้ี คูกับ ทศพล หรอื ตถาคตพล 10 (เรียกกันท่ัวๆ ไปวา ทศพลญาณ) เปน ธรรมทท่ี ําใหพระตถาคต ทรงปฏิญญาฐานะแหงผนู าํ เปลง สหี นาทในบริษทั ทงั้ หลาย ยังพรหม จักรใหเปน ไป (Endowed with these four kinds of intrepidity, the Perfect One claims the leader’s place, roars his lion’s roar in assemblies, and sets rolling the Divine Wheel.) ดู [323] ทศพลญาณ. M.I.71; A.II.8. ม.ม.ู 12/167/144; องฺ.จตกุ ฺก.21/8/10. [181] ศรัทธา 4 (ความเชื่อ, ความเชอื่ ท่ีประกอบดวยเหตผุ ล — Saddhà: faith; belief; confidence) 1. กมั มสัทธา (เชือ่ กรรม, เช่ือกฎแหงกรรม, เชื่อวา กรรมมอี ยจู ริง คือ เชอ่ื วา เม่อื ทําอะไรโดย มีเจตนา คือ จงใจทําทั้งรู ยอมเปนกรรม คือ เปน ความดีความช่ัวมขี ึ้นในตน เปน เหตุปจจยั กอ ใหเ กดิ ผลดผี ลรา ยสบื เนื่องตอ ไป การกระทําไมวา งเปลา และเชื่อวาผลที่ตอ งการจะสําเรจ็ ได ดว ยการกระทาํ มใิ ชด ว ยออนวอนหรือนอนคอยโชค เปน ตน — Kamma-saddhà: belief in kamma; confidence in accordance with the law of action) 2. วปิ ากสัทธา (เชือ่ วบิ าก, เชื่อผลของกรรม, เชอ่ื วา ผลของกรรมมจี ริง คือ เช่อื วากรรมทที่ าํ แลว ตอ งมผี ล และผลตอ งมีเหตุ ผลดเี กดิ จากกรรมดี ผลช่วั เกดิ จากกรรมชัว่ — Vipàka- saddhà: belief in the consequences of actions) 3. กัมมัสสกตาสทั ธา (เชอื่ ความท่ีสัตวมีกรรมเปน ของของตน, เช่ือวา แตละคนเปน เจา ของ จะตอ งรบั ผิดชอบเสวยวบิ ากเปน ไปตามกรรมของตน — Kammassakatà-saddhà: belief in the individual ownership of action) 4. ตถาคตโพธิสัทธา (เช่อื ความตรัสรูข องพระพุทธเจา , ม่ันใจในองคพ ระตถาคต วา ทรงเปน พระสัมมาสมั พทุ ธะ ทรงพระคณุ ทง้ั 9 ประการ ตรสั ธรรม บญั ญัติวินัยไวดวยดี ทรงเปน ผูน ํา ทางที่แสดงใหเห็นวา มนุษยคอื เราทุกคนนี้ หากฝกตนดว ยดกี ส็ ามารถเขา ถึงภูมธิ รรมสูงสุด บริสุทธ์ิหลุดพนได ดังท่ีพระองคไดทรงบําเพ็ญไวเปนแบบอยาง — Tathàgatabodhi- saddhà: confidence in the Enlightenment of the Buddha) ศรัทธา 4 อยา งน้ี มีมาในบาลีเฉพาะขอท่ี 4 อยา งเดียว (เชน อง.ฺ สตตฺ ก.23/4/3; A.III.3 เปนตน ) วา โดยใจความ ศรทั ธา 3 ขอตน ยอมรวมลงในขอที่ 4 ไดทง้ั หมด อนึ่ง ในขอ 3 มีขอธรรมท่ีมาในบาลคี ลายกัน คอื กมั มัสสกตาญาณ (ปรีชาหยัง่ รูความที่ สัตวม ีกรรมเปน ของตน — knowledge that action is one’s own possession) เชน อภ.ิ ว.ิ 35/822/443;Vbh.328. [182] สตปิ ฏ ฐาน 4 (ทต่ี งั้ ของสต,ิ การตง้ั สตกิ าํ หนดพจิ ารณาสงิ่ ทงั้ หลายใหร เู หน็ ตามความเปน จรงิ คอื ตามทส่ี ง่ิ นนั้ ๆ มนั เปน ของมนั — Satipaññhàna: foundations of mindfulness)

หมวด 4 141 [183] 1. กายานุปส สนาสติปฏ ฐาน (การตั้งสตกิ ําหนดพิจารณากาย ใหรเู หน็ ตามเปน จรงิ วา เปน แตเ พียงกาย ไมใชส ตั วบคุ คลตวั ตนเราเขา — Kàyànupassanà-~: contemplation of the body; mindfulness as regards the body) ทานจาํ แนกวธิ ปี ฏบิ ัติไวห ลายอยา ง คอื อานาปานสติ กําหนดลมหายใจ 1 อริ ิยาบถ กําหนดรทู ันอริ ิยาบถ 1 สมั ปชญั ญะ สรา ง สัมปชญั ญะในการกระทําความเคล่อื นไหวทกุ อยา ง 1 ปฏิกูลมนสิการ พิจารณาสวนประกอบ อนั ไมส ะอาดทั้งหลายที่ประชมุ เขา เปน รา งกายนี้ 1 ธาตมุ นสกิ าร พจิ ารณาเห็นรา งกายของตน โดยสักวา เปนธาตแุ ตล ะอยางๆ 1 นวสวี ถิกา พิจารณาซากศพในสภาพตางๆ อนั แปลกกนั ไปใน 9 ระยะเวลา ใหเ หน็ คติธรรมดาของรา งกาย ของผอู น่ื เชน ใด ของตนก็จกั เปน เชน นนั้ 1 2. เวทนานปุ ส สนาสติปฏ ฐาน (การต้ังสติกาํ หนดพิจารณาเวทนา ใหร ูเห็นตามเปน จรงิ วา เปน แตเ พยี งเวทนา ไมใ ชส ตั วบ คุ คลตวั ตนเราเขา — Vedanànupassanà-~: contemplation of feelings; mindfulness as regards feelings) คอื มสี ติอยพู รอมดวยความรูชัดเวทนาอัน เปน สขุ ก็ดี ทุกขกด็ ี เฉยๆ กด็ ี ท้งั ทีเ่ ปนสามสิ และเปนนิรามสิ ตามท่ีเปน ไปอยูในขณะน้ันๆ 3. จิตตานุปสสนาสติปฏ ฐาน (การตงั้ สติกําหนดพิจารณาจติ ใหร ูเห็นตามเปน จรงิ วา เปน แตเพียงจิต ไมใ ชสัตวบุคคลตวั ตนเราเขา — Cittànupassanà-~: contemplation of mind; mindfulness as regards thoughts) คือ มีสตอิ ยพู รอมดว ยความรชู ัดจิตของตนท่ีมรี าคะ ไม มีราคะ มโี ทสะ ไมมโี ทสะ มีโมหะ ไมม ีโมหะ เศราหมองหรอื ผองแผว ฟงุ ซานหรอื เปน สมาธิ ฯลฯ อยา งไรๆ ตามที่เปนไปอยูในขณะน้ันๆ 4. ธัมมานุปสสนาสติปฏฐาน (การตั้งสติกําหนดพิจารณาธรรม ใหร เู ห็นตามเปนจริงวา เปน แตเพยี งธรรม ไมใ ชสตั วบ ุคคลตวั ตนเราเขา — Dhammànupassanà-~: contem- plation of mind-objects; mindfulness as regards ideas) คือ มสี ตอิ ยพู รอ มดว ยความรู ชดั ธรรมทง้ั หลาย ไดแก นิวรณ 5 ขนั ธ 5 อายตนะ 12 โพชฌงค 7 อริยสัจจ 4 วา คอื อะไร เปน อยา งไร มีในตนหรือไม เกิดขึน้ เจริญบรบิ ูรณ และดบั ไปไดอยา งไร เปน ตน ตามทีเ่ ปน จรงิ ของมนั อยางนั้นๆ. D.II.290–315; M.I.55–63. ที.ม.10/273–300/325–351; ม.ม.ู 12/131-152/103–127. [183] สมชีวธิ รรม 4 (หลกั ธรรมของคูช วี ติ , ธรรมทจี่ ะทําใหค สู มรสมีชวี ติ สมหรอื สมํา่ เสมอ กลมกลนื กัน อยคู รองกนั ยดื ยาว — Samajãvidhamma: qualities which make a couple well matched) 1. สมสัทธา (มศี รัทธาสมกัน — Sama-saddhà: to be matched in faith) 2. สมสีลา (มศี ีลสมกนั — Sama-sãlà: to be matched in moral conduct) 3. สมจาคา (มีจาคะสมกัน — Sama-càgà: to be matched in generosity) 4. สมปญ ญา (มีปญ ญาสมกัน — Sama-pa¤¤à: to be matched in wisdom) A.II.60. องฺ.จตุกกฺ .21/55/80.

[184] 142 พจนานุกรมพทุ ธศาสตร [184] สมาธิภาวนา 4 (การเจริญสมาธิ, วิธีฝกสมาธิแบบตางๆ จําแนกตามวตั ถปุ ระสงค — Samàdhi-bhàvanà: ways or kinds of concentration-development) 1. สมาธภิ าวนาทีเ่ ปน ไปเพื่อทฏิ ฐธรรมสขุ วหิ าร (คอื เพือ่ การอยเู ปนสขุ ในปจ จุบัน เชน ใชเปนเครอื่ งพักผอนจิต หาความสุขยามวาง เปนตน — concentration-development that is conducive to happy living in the present) 2. สมาธภิ าวนาท่ีเปนไปเพื่อการไดญ าณทัสสนะ (concentration-development that is conducive to the acquisition of knowledge and insight ) 3. สมาธภิ าวนาท่เี ปนไปเพือ่ สติและสมั ปชญั ญะ (concentration-development that is conducive to mindfulness and full comprehension) 4. สมาธภิ าวนาท่ีเปนไปเพ่ือความสิ้นอาสวะ (concentration-development that is conducive to the destruction of cankers) D.III.222; A.II.44. ท.ี ปา.11/233/233; องฺ.จตุกกฺ .21/41/57. [185] สงั ขาร 4 (คาํ วา สงั ขาร ทใ่ี ชในความหมายตางๆ — Saïkhàra: applications of the word formation) 1. สังขตสงั ขาร (สงั ขารคอื สังขตธรรม ไดแกส งิ่ ทง้ั ปวงท่ีเกดิ จากปจจยั ปรงุ แตง รูปธรรมก็ ตาม นามธรรมกต็ าม ไดในคําวา อนจิ ฺจา วต สงขฺ ารา เปนตน — Saïkhata-saïkhàra: formation consisting of the formed) 2. อภสิ ังขตสังขาร (สังขารคอื ส่ิงทีก่ รรมแตง ขนึ้ ไดแกรปู ธรรมกต็ าม นามธรรมก็ตาม ในภมู ิ สาม ทเี่ กดิ แตก รรม — Abhisaïkhata-saïkhàra: formation consisting of the karma- formed) 3. อภสิ งั ขรณกสังขาร (สังขารคอื กรรมท่เี ปนตวั การปรุงแตง ไดแ ก กุศลเจตนา และ อกศุ ลเจตนาทงั้ ปวงในภูมิสาม ไดในคาํ วา สงั ขาร ตามหลกั ปฏจิ จสมปุ บาท คอื [119] สงั ขาร 3 หรือ [129] อภิสงั ขาร 3 — Abhisaïkharaõaka-saïkhàra: formation consisting in the act of kamma-forming) 4. ปโยคาภสิ งั ขาร (สงั ขารคอื การประกอบความเพียร ไดแ กก ําลงั ความเพียรทางกายก็ตาม ทางใจก็ตาม — Payogàbhisaïkhàra: formation consisting in exertion or impetus) Vism.527. วสิ ทุ ฺธ.ิ 3/120. [186] สงั คหวัตถุ 4 (ธรรมเครื่องยดึ เหน่ียว คือยดึ เหน่ยี วใจบคุ คล และประสานหมชู นไวใ น สามัคคี, หลกั การสงเคราะห — Saïgahavatthu: bases of social solidarity; bases of sympathy; acts of doing favours; principles of service; virtues making for group integration and leadership) 1. ทาน (การให คอื เออ้ื เฟอ เผือ่ แผ เสยี สละ แบง ปน ชว ยเหลือกันดวยสงิ่ ของ ตลอดถงึ ให

หมวด 4 143 [187] ความรูและแนะนาํ สั่งสอน — Dàna: giving; generosity; charity) 2. ปยวาจา หรอื เปยยวชั ชะ (วาจาเปนที่รกั วาจาดดู ดืม่ นํ้าใจ หรอื วาจาซาบซง้ึ ใจ คือกลาว คําสภุ าพไพเราะออนหวานสมานสามัคคี ใหเ กิดไมตรแี ละความรกั ใครนบั ถอื ตลอดถงึ คาํ แสดง ประโยชนป ระกอบดวยเหตุผลเปนหลักฐานจูงใจใหนยิ มยนิ ดี — Piyavàcà: kindly speech; convincing speech) 3. อตั ถจรยิ า (การประพฤตปิ ระโยชน คอื ขวนขวายชว ยเหลอื กจิ การ บาํ เพญ็ สาธารณประโยชน ตลอดถึงชว ยแกไ ขปรับปรงุ สงเสรมิ ในทางจริยธรรม — Atthacariyà: useful conduct; rendering services; life of service; doing good) 4. สมานตั ตตา* (ความมีตนเสมอ** คอื ทาํ ตนเสมอตน เสมอปลาย ปฏิบตั ิสม่ําเสมอกันในชน ท้งั หลาย และเสมอในสขุ ทุกขโ ดยรว มรับรูร ว มแกไ ข ตลอดถึงวางตนเหมาะแกฐานะ ภาวะ บุคคล เหตกุ ารณแ ละสงิ่ แวดลอ ม ถกู ตองตามธรรมในแตล ะกรณี — Samànattatà: even and equal treatment; equality consisting in impartiality, participation and behaving oneself properly in all circumstances) ดู [11] ทาน 2; [229] พละ 4. D.III.152,232; A.II.32,248; A.IV.218,363. ที.ปา.11/140/167; 267/244; อง.ฺ จตกุ กฺ .21/32/42; 256/335; อง.ฺ อฏ ก.23/114/222; องฺ.นวก.23/209/377. [187] สงั คหวัตถุของผคู รองแผนดิน หรือ ราชสงั คหวัตถุ 4 (สงั คหวัตถขุ อง พระราชา, ธรรมเคร่ืองยึดเหนี่ยวจิตใจประชาชน, หลักการสงเคราะหประชาชนของนักปก ครอง — Ràja-saïgahavatthu: a ruler’s bases of sympathy; royal acts of doing favours: virtues making for national integration) 1. สัสสเมธะ (ความฉลาดในการบํารุงพืชพันธุธัญญาหาร สงเสริมการเกษตร — Sassamedha: shrewdness in agricultural promotion) 2. ปุริสเมธะ (ความฉลาดในการบํารุงขาราชการ รูจักสงเสริมคนดีมีความสามารถ — Purisamedha: shrewdness in the promotion and encouragement of government officials) 3. สมั มาปาสะ (ความรูจกั ผกู ผสานรวมใจประชาชนดว ยการสง เสรมิ อาชพี เชน ใหคนจน กูยืมทุนไปสรา งตัวในพาณิชยกรรม เปน ตน — Sammàpàsa: “a bond to bind men’s hearts”; act of doing a favour consisting in vocational promotion as in com- mercial investment) * ในปกรณฝายสันสกฤตของมหายาน เปน สมานารฺถตา (= บาลี สมานตถฺ ตา ) แปลวา “ความเปน ผูม ีจุด หมายรวมกัน หรือความคาํ นึงประโยชนอนั รว มกัน” (having common aims; feeling of common good) **คําแปลนถ้ี ือตามทแี่ ปลกันมาเดิม แตตามคาํ อธบิ ายในคมั ภรี  นา จะแปลวา “ความมีตนรวม” (participation) โดยเฉพาะมงุ เอารว มสขุ รวมทุกข

[188] 144 พจนานกุ รมพุทธศาสตร 4. วาชเปยะ หรือ วาจาเปยยะ (ความมวี าจาอันดูดดมื่ น้ําใจ นาํ้ คาํ ควรดม่ื คอื รจู กั พูด รจู กั ปราศรยั ไพเราะ สภุ าพนุมนวล ประกอบดว ยเหตุผล มปี ระโยชน เปน ทางแหง สามคั คี ทําให เกิดความเขา ใจอันดี และความนิยมเชื่อถือ — Vàjapeya: affability in address; kindly and convincing speech) ราชสังคหวัตถุ 4 ประการนี้ เปน คําสอนในพระพทุ ธศาสนา สวนท่แี กไขปรบั ปรุงคําสอนใน ศาสนาพราหมณ โดยกลา วถึงคําศพั ทเ ดียวกนั แตช ้ถี ึงความหมายอันชอบธรรมที่ตา งออกไป ธรรมหมวดน้ี วาโดยศัพท ตรงกบั มหายญั 5 (the five great sacrifices) ของพราหมณ คือ 1. อสั สเมธะ (การฆามา บูชายญั — horse sacrifice) 2. ปรุ สิ เมธะ (การฆาคนบูชายัญ — human sacrifice) 3. สมั มาปาสะ (ยญั อนั สรางแทนบชู าในท่ีขวางไมล อดบว งไปหลนลง — peg-thrown site sacrifice) 4. วาชเปยะ (การดื่มเพื่อพลงั หรอื เพ่ือชยั — drinking of strength or of victory) 5. นริ คั คฬะ หรือ สรรพเมธะ (ยญั ไมมลี มิ่ สลกั คือ ท่ัวไปไมม ขี ีดขน้ั จํากดั , การฆา ครบทกุ อยางบูชายัญ — the bolts-withdrawn sacrifice; universal sacrifice) มหายญั 5 ทีพ่ ระราชาพึงบูชาตามหลกั ศาสนาพราหมณน ี้ พระพุทธศาสนาสอนวา เดิมที เดียวเปนหลักการสงเคราะหท่ีดีงาม แตพราหมณสมัยหน่ึงดัดแปลงเปนการบูชายัญเพ่ือผล ประโยชนในทางลาภสกั การะแกตน ความหมายท่พี งึ ตอ งการซ่งึ พระพุทธศาสนาสง่ั สอน 4 ขอ แรก มีดงั กลาวแลวขางตน สว นขอที่ 5 ตามหลกั สงั คหวัตถุ 4 น้วี า เปนผล แปลวา ไมมีลมิ่ กลอน หมายความวา บา นเมืองจะสงบสขุ ปราศจากโจรผรู าย ไมต องระแวงภยั บา นเรอื นไม ตองลงกลอน S.I.76; A.II.42; IV.151; It.21; Sn.303; SA.I.145; SnA.321. สํ.ส.15/351/110; อง.ฺ จตกุ ฺก.21/39/54; องฺ.อฏ ก.23/91/152; ข.ุ อิต.ิ 25/205/246; ขุ.สุ.25/323/383; สํ.อ.1/169; อติ .ิ อ.123. [188] สงั เวชนยี สถาน 4 (สถานทเี่ ปน ทตี่ งั้ แหง ความสงั เวช, สถานทเี่ นอ่ื งดว ยพทุ ธประวตั ิ ซึ่ง พุทธศาสนิกชนควรไปดูเพื่อเปนเคร่ืองเตือนใจใหเกิดความไมประมาท จะไดเรงขวนขวาย ประกอบกุศลกรรม และสาํ หรบั ผูศ รัทธาจะไดจ าริกไปชม เพือ่ เพิ่มพนู ปสาทะ กระทาํ สักการะ บชู า อนั จะนาํ ใหเขาถึงสคุ ตโิ ลกสวรรค — Sa§vejanãyaññhàna: places apt to cause the feeling of urgency; places made sacred by the Buddha’s association; places to be visited with reverence; the four Buddhist Holy Places) 1. ชาตสถาน (ทพี่ ระพุทธเจาประสูติ คือ อุทยานลุมพนิ ี — Jàtaññhàna: birthplace of the Buddha) 2. อภิสัมพุทธสถาน (ท่พี ระพุทธเจา ตรัสรูอนตุ รสมั มาสมั โพธิญาณ คือ ควงโพธ์ทิ ี่ตาํ บล พทุ ธคยา — Abhisambuddhaññhàna: place where the Buddha attained the Enlightenment)

หมวด 4 145 [189] 3. ธมั มจักกัปปวตั ตนสถาน (ที่พระพุทธเจาทรงแสดงปฐมเทศนา ธมั มจกั กัปปวตั ตนสูตร คือ ที่ปาอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี เรียกปจจุบันวาสารนาถ — Dhammacakkappavattanaññhàna: place where the Buddha preached the First Sermon) 4. ปรินิพพตุ สถาน (ท่ีพระพุทธเจาเสด็จปรนิ ิพพาน คือ ที่สาลวโนทยาน เมอื งกสุ ินารา — Parinibbutaññhàna: place where the Buddha passed away into Parinibbàna) [18D.9II.]140ส. ัมปชัญญะ 4 (ความรูตัว, ความรูตัวทั่วพรอ ม, ความรูชัด, ที.ม.10/131/163. ความรูทว่ั ชดั , ความ ตระหนกั — Sampaja¤¤a: clear comprehension; clarity of consciousness; awareness) 1. สาตถกสมั ปชญั ญะ (รูชัดวามีประโยชน หรอื ตระหนกั ในจุดหมาย คอื รูต ัวตระหนกั ชัดวา สงิ่ ทีก่ ระทํานัน้ มปี ระโยชนต ามความมุง หมายอยางไรหรือไม หรอื วา อะไรควรเปนจุดหมายของ การกระทาํ นน้ั เชน ผเู จริญกรรมฐาน เมื่อจะไป ณ ทใี่ ดทีห่ นึง่ มิใชสักวารูสึกหรือนึกขนึ้ มาวา จะไป กไ็ ป แตตระหนกั วา เม่อื ไปแลว จะไดปตสิ ุขหรอื ความสงบใจ ชว ยใหเ กดิ ความเจริญโดย ธรรม จึงไป โดยสาระคอื ความรูตระหนกั ท่ีจะเลอื กทําส่ิงทต่ี รงกบั วตั ถปุ ระสงคหรอื อํานวย ประโยชนทีม่ ุงหมาย — Sàtthaka-sampaja¤¤a: clear comprehension of purpose) 2. สปั ปายสัมปชัญญะ (รชู ัดวาเปนสัปปายะ หรอื ตระหนักในความเหมาะสมเก้อื กลู คือรูต ัว ตระหนักชดั วาส่ิงของน้นั การกระทํานน้ั ทีท่ ี่จะไปนน้ั เหมาะกนั กับตน เกอ้ื กูลแกส ุขภาพ แกก จิ เออ้ื ตอ การสละละลดแหงอกุศลธรรมและการเกิดขึน้ เจริญงอกงามแหงกศุ ลธรรม จึงใช จึงทาํ จึงไป หรอื เลอื กใหเ หมาะ เชน ภกิ ษุใชจ ีวรที่เหมาะกับดินฟา อากาศและเหมาะกบั ภาวะของตน ทเ่ี ปน สมณะ ผเู จริญกรรมฐานจะไปฟงธรรมอนั มปี ระโยชนใ นทช่ี ุมนมุ ใหญ แตร ูวา มีอารมณซ ง่ึ จะเปน อันตรายตอกรรมฐาน ก็ไมไป โดยสาระคือ ความรูตระหนกั ทจี่ ะเลือกทําแตส ิง่ ทเี่ หมาะ สบายเออื้ ตอ กาย จติ ชวี ติ กจิ พนื้ ภมู ิ และภาวะของตน — Sappàya-~: clear comprehension of suitability) 3. โคจรสมั ปชญั ญะ (รชู ดั วา เปน โคจร หรอื ตระหนกั ในแดนงานของตน คอื รตู วั ตระหนกั ชดั อยู ตลอดเวลาถงึ สง่ิ ทเ่ี ปน กจิ หนา ท่ี เปน ตวั งาน เปน จดุ ของเรอ่ื งทตี่ นกระทาํ ไมว า จะไปไหนหรอื ทาํ อะไรอน่ื กร็ ตู ระหนกั อยู ไมป ลอ ยใหเ ลอื นหายไป มใิ ชว า พอทาํ อะไรอนื่ หรอื ไปพบกบั สงิ่ อน่ื เรอื่ งอนื่ กเ็ ตลดิ เพรดิ ไปกบั สงิ่ นนั้ เรอ่ื งนน้ั เปน นกบนิ ไมก ลบั รงั โดยเฉพาะการไมท ง้ิ อารมณก รรมฐาน ซง่ึ รวมถงึ การบาํ เพญ็ จติ ภาวนาและปญ ญาภาวนาในกจิ กรรมทกุ อยา งในชวี ติ ประจาํ วนั โดยสาระคอื ความรตู ระหนกั ทจี่ ะคมุ กายและจติ ไวใ หอ ยใู นกจิ ในประเดน็ หรอื แดนงานของตน ไมใ หเ ขว เตลดิ เลอ่ื นลอย หรอื หลงลมื ไปเสยี — Gocara-~: clear comprehension of the domain) 4. อสมั โมหสมั ปชญั ญะ (รูชัดวา ไมห ลง หรือตระหนักในตัวเน้อื หาสภาวะ ไมหลงใหลฟน เฟอ น คอื เม่อื ไปไหน ทาํ อะไร กร็ ตู วั ตระหนกั ชดั ในการเคลอื่ นไหว หรือในการกระทําน้ัน และใน สง่ิ ท่กี ระทํานัน้ ไมหลง ไมส ับสนเงอะงะฟน เฟอน เขา ใจลว งตลอดไปถึงตัวสภาวะในการกระทํา

[190] 146 พจนานกุ รมพุทธศาสตร ที่เปนไปอยนู ้ัน วาเปน เพยี งการประชมุ กนั ขององคป ระกอบและปจ จัยตางๆ ประสานหนุนเนื่อง กนั ข้ึนมาใหป รากฏเปน อยางน้ัน หรือสาํ เรจ็ กจิ นั้นๆ รทู นั สมมติ ไมหลงสภาวะเชนยึดเหน็ เปน ตวั ตน โดยสาระคือ ความรูตระหนกั ในเรือ่ งราว เนื้อหา สาระ และสภาวะของสงิ่ ท่ีตนเกี่ยว ของหรือกระทําอยูน้ัน ตามท่ีเปนจริงโดยสมมติสัจจะ หรือตลอดถึงโดยปรมัตถสัจจะ มิใช พรวดพราดทําไป หรอื สักวาทํา มใิ ชท ําอยา งงมงายไมร ูเรอ่ื ง และไมถ ูกหลอกใหล ุม หลงหรือเขา ใจผิดไปเสียดว ยความพรามวั หรอื ดวยลักษณะอาการภายนอกทยี่ ัว่ ยุ หรือเยา ยวนเปนตน — Asammoha-~: clear comprehension of non-delusion, or of reality) DA.I.183; VbhA.347. ท.ี อ.1/228; วภิ งคฺ .อ.451. [190] สัมปทา หรือ สมั ปทาคุณ 4 (ความถึงพรอม, ความพรงั่ พรอ มสมบรู ณแหง องค ประกอบตา งๆ ซึ่งทําใหท านทบี่ ริจาคแลว เปน ทานอันยอดเยยี่ ม มีผลมาก อาจเห็นผลทนั ตา — Sampadà: successful attainment; accomplishment; excellence) 1. วัตถสุ มั ปทา (ถงึ พรอมดวยวตั ถุ คอื บคุ คลผูเปนทต่ี ง้ั รองรบั ทาน เชน ทกั ขไิ ณยบุคคลเปน พระอรหนั ต หรือพระอนาคามี ผูเขา นิโรธสมาบตั ไิ ด — Vatthu-sampadà: excellence of the foundation for merit) 2. ปจจยั สัมปทา (ถึงพรอมดว ยปจจยั คอื สงิ่ ทจ่ี ะใหเปนของบรสิ ทุ ธิ์ ไดม าโดยชอบธรรม — Paccaya-sampadà: excellence of the gift) 3. เจตนาสมั ปทา (ถึงพรอ มดวยเจตนา คอื มีเจตนาในการใหสมบรู ณครบ 3 กาล ทง้ั กอ นให ขณะให และหลงั ให จติ โสมนสั ประกอบดวยปญ ญา — Cetanà-sampadà: excellence of the intention) 4. คณุ าติเรกสัมปทา (ถงึ พรอมดว ยคุณสวนพิเศษ คอื ปฏิคาหกมีคณุ สมบตั พิ เิ ศษ เชน ทกั ขิไณยบุคคลนนั้ ออกจากนโิ รธสมาบตั ใิ หมๆ — Guõàtireka-sampadà: excellence of extra virtue) DhA.III.93. ธ.อ.5/88. [191] สมั ปรายกิ ตั ถสงั วตั ตนกิ ธรรม 4 (ธรรมทเี่ ปน ไปเพอื่ ประโยชนเ บอ้ื งหนา , ธรรม เปน เหตใุ หส มหมาย, หลกั ธรรมอนั อาํ นวยประโยชนส ขุ ขน้ั สงู ขนึ้ ไป — Samparàyikattha-sa§ vattanika-dhamma: virtues conducive to benefits in the future; virtues leading to spiritual welfare) 1. สทั ธาสมั ปทา (ถึงพรอมดวยศรทั ธา — Saddhà-sampadà: to be endowed with faith; accomplishment of confidence) 2. สลี สัมปทา (ถงึ พรอมดวยศลี — Sãla-sampadà: to be endowed with morality; accomplishment of virtue) 3. จาคสมั ปทา (ถึงพรอ มดว ยการเสียสละ — Càga-sampadà: to be endowed with

หมวด 4 147 [193] generosity; accomplishment of charity) 4. ปญญาสัมปทา (ถงึ พรอมดวยปญ ญา — Pa¤¤à-sampadà: to be endowed with wisdom; accomplishment of wisdom) ธรรมหมวดนี้ เรยี กกนั สน้ั ๆ วา สมั ปรายกิ ตั ถะ หรอื เรยี กตดิ ปากอยา งไทยๆ วา สมั ปรายกิ ตั ถ- ประโยชน (อตั ถะ ก็แปลวา “ประโยชน” จึงเปน คําซํา้ ซอ นกนั ) A.IV.284. องฺ.อฏ ก.23/144/292. [,,,] สมั มปั ปธาน 4 ดู [156] ปธาน 4. [192] สุขของคฤหัสถ หรอื คหิ ิสขุ หรือ กามโภคสี ุข 4 (สุขของชาวบาน, สุขทช่ี าว บานควรพยายามเขาถงึ ใหไดส มํา่ เสมอ, สุขอันชอบธรรมที่ผูค รองเรอื นควรมี — Gihisukha: house-life happiness; deserved bliss of a layperson) 1. อตั ถิสขุ (สขุ เกดิ จากความมที รัพย คอื ความภมู ใิ จ เอบิ อมิ่ ใจ วา ตนมีโภคทรัพยที่ไดมาดว ย นา้ํ พักน้ําแรงความขยนั หมน่ั เพยี รของตน และโดยชอบธรรม — Atthisukha: bliss of ownership; happiness resulting from economic security) 2. โภคสขุ (สขุ เกิดจากการใชจา ยทรพั ย คือ ความภูมิใจ เอิบอิม่ ใจ วาตนไดใชท รัพยท ่ไี ดม า โดยชอบนน้ั เลย้ี งชีพ เลย้ี งผคู วรเลย้ี ง และบําเพญ็ ประโยชน — Bhogasukha: bliss of enjoyment; enjoyment of wealth) 3. อนณสุข (สขุ เกิดจากความไมเปนหน้ี คือ ความภูมิใจ เอบิ อิ่มใจ วา ตนเปน ไท ไมม ีหนสี้ ิน ติดคา งใคร — Anaõasukha: bliss of debtlessness; happiness on account of freedom from debt) 4. อนวัชชสขุ (สุขเกิดจากความประพฤตไิ มมีโทษ คอื ความภูมใิ จ เอิบอ่ิมใจ วาตนมีความ ประพฤติสจุ รติ ไมบ กพรองเสยี หาย ใครๆ ติเตยี นไมได ท้ังทางกาย ทางวาจา และทางใจ — Anavajjasukha: bliss of blamelessness; happiness on account of leading a fault- less life) บรรดาสุข 4 อยา งนี้ อนวชั ชสขุ มีคามากท่ีสุด A.II.69. องฺ.จตุกฺก.21/62/90. [,,,] สหุ ทมิตร 4 ดู [169] สุหทมิตร 4. [193] โสตาปตตยิ งั คะ 41 (องคค ุณเครอ่ื งบรรลุโสดา, องคป ระกอบของการบรรลุโสดา, คณุ สมบัตทิ ่ีทาํ ใหเ ปนพระโสดาบัน — Sotàpattiyaïga: factors of Stream-Entry) 1. สัปปรุ สิ สังเสวะ (เสวนาสตั บุรุษ, คบหาทานผูทรงธรรมทรงปญญาเปนกัลยาณมิตร — Sappurisasa§seva: association with good and wise persons) 2. สัทธัมมัสสวนะ (สดับสัทธรรม, ใสใจเลาเรียนฟงอานหาความรูใหไดธรรมท่ีแท —

[193] 148 พจนานกุ รมพุทธศาสตร Saddhammassavana: hearing the good teaching) 3. โยนิโสมนสิการ (ทําในใจโดยแยบคาย, รูจักคิดพิจารณาหาเหตุผลโดยถูกวิธี — Yonisomanasikàra: analytical reflection; wise attention) 4. ธัมมานธุ ัมมปฏิปตติ (ปฏบิ ตั ิธรรมสมควรแกธ รรม, ปฏิบตั ธิ รรมถกู หลัก ใหธรรมยอ ย คลอยแกธรรมใหญ สอดคลอ งตามวตั ถุประสงคของธรรมทง้ั หลายทีส่ ัมพนั ธก นั , ปฏิบัตธิ รรม น้ันๆ ใหสอดคลองพอดีตามขอบเขตความหมายและวัตถุประสงคทส่ี อดคลอ งกับธรรมขออนื่ ๆ กลมกลนื กนั ในหลักใหญท เี่ ปน ระบบท้งั หมด, ดาํ เนนิ ชีวติ ถูกตอ งตามธรรม — Dhammànu- dhammapañipatti: practice in accord with the Dhamma, i.e. in such a systematic way that all levels and aspects of the Dhamma are in accord as regards their respective purposes; living in conformity with the Dhamma) โสตาปต ติยงั คะ 4 หมวดน้ี ตรงกับหลกั ท่เี รียกวา [ ],,, ปญญาวฒุ ธิ รรม 4 หรือ [179] วฒุ ิธรรม 4 ธรรม 4 ประการน้ี มิใชเพยี งเปน โสตาปตติยังคะ ที่จะใหบ รรลโุ สดาปต ติผล คือเปนพระ โสดาบันเทา นัน้ พระพทุ ธเจาตรัสวา ธรรม 4 ประการน้ี เม่ือเจริญ ปฏิบัติ ทาํ ใหม าก ยอม เปน ไปเพื่อการบรรลอุ รยิ ผลไดทุกขน้ั จนถงึ อรหตั ตผล (สํ.ม.19/1634-7/516-7 = S.V.411) D.III.227; S.V.347, 404. ที.ปา.11/240/239; ส.ํ ม.19/1428/434; 1620/509. [194] โสตาปต ติยังคะ 42 (องคคุณเครือ่ งบรรลุโสดา, คณุ สมบตั ทิ ท่ี าํ ใหเปน พระโสดาบัน, คุณสมบัตขิ องพระโสดาบัน — Sotàpattiyaïga: factors of Stream-Entry) 1. ประกอบดว ยความเลอื่ มใสมนั่ ในพระพทุ ธเจา (unshakable confidence in the Buddha) 2. ประกอบดว ยความเล่ือมใสม่ันในธรรม (unshakable confidence in the Dhamma) 3. ประกอบดว ยความเลื่อมใสมน่ั ในสงฆ (unshakable confidence in the Sangha) 4. ประกอบดวยอริยกนั ตศีล คือ ศีลอนั เปนทชี่ ่นื ชมพอใจของพระอริยะ บรสิ ทุ ธิ์ ไมถ กู ตณั หา และทฏิ ฐแิ ปดเปอนหรือครอบงาํ และเปนไปเพื่อสมาธิ (unblemished morality) S.V.345. ส.ํ ม.19/1420/431). [195] โสตาปตติยังคะ 43 (องคคุณเครื่องบรรลโุ สดา, คุณสมบัตทิ ่ีทาํ ใหเ ปนพระโสดาบนั , คณุ สมบตั ิของพระโสดาบัน — Sotàpattiyaïga: factors of Stream-Entry) 1. ประกอบดว ยความเลอื่ มใสมน่ั ในพระพทุ ธเจา (unshakable confidence in the Buddha) 2. ประกอบดวยความเล่อื มใสมัน่ ในธรรม (unshakable confidence in the Dhamma) 3. ประกอบดว ยความเล่อื มใสมนั่ ในสงฆ (unshakable confidence in the Sangha) 4. ครองเรอื นดว ยใจปราศจากมจั ฉรยิ ะ ยนิ ดีในการแจกจายแบงปน ชวยเหลือผอู ืน่ (devo- tion to charity; delight in giving and sharing) S.V.397. สํ.ม.19/1597-8/499.

หมวด 4 149 [197] [,,,] หลกั การแบงทรพั ย 4 สวน ดู [163] โภควภิ าค 4. [196] อคติ 4 (ฐานะอันไมพงึ ถงึ , ทางความประพฤติทผี่ ดิ , ความไมเที่ยงธรรม, ความลําเอียง — Agati: wrong course of behaviour; prejudice) 1. ฉันทาคติ (ลําเอยี งเพราะชอบ — Chandàgati: prejudice caused by love or desire; partiality) 2. โทสาคติ (ลาํ เอยี งเพราะชัง — Dosàgati: prejudice caused by hatred or enmity) 3. โมหาคติ (ลาํ เอยี งเพราะหลง, พลาดผดิ เพราะเขลา — Mohàgati: prejudice caused by delusion or stupidity) 4. ภยาคติ (ลําเอียงเพราะกลวั — Bhayàgati: prejudice caused by fear) D.III.182,228; A.II.18. ท.ี ปา.11/176/196; 246/240; อง.ฺ จตกุ กฺ .21/17/23. [197] อธิษฐาน หรอื อธิษฐานธรรม 4 (ธรรมเปน ทม่ี ัน่ , ธรรมอันเปนฐานทม่ี ัน่ คงของ บุคคล, ธรรมทค่ี วรใชเปนท่ีประดิษฐานตน เพื่อใหสามารถยึดเอาผลสําเรจ็ สงู สดุ อนั เปน ท่หี มาย ได โดยไมเกิดความสําคัญตนผดิ และไมเ กิดสิง่ มัวหมองหมักหมมทบั ถมตน, บางทแี ปลวา “ธรรมทค่ี วรต้ังไวใ นใจ” — Adhiññhàna: foundation; foundations on which a tranquil sage establishes himself; virtues which should be established in the mind) 1. ปญญา (ความรชู ัด คือ หย่งั รูใ นเหตผุ ล พิจารณาใหเ ขา ใจในสภาวะของสง่ิ ท้งั หลายจนเขา ถงึ ความจรงิ — Pa¤¤à: wisdom; insight) 2. สัจจะ (ความจริง คือ ดํารงมั่นในความจริงที่รูชัดดวยปญญา เร่ิมแตจริงวาจาจนถึง ปรมัตถสจั จะ — Sacca: truthfulness) 3. จาคะ (ความสละ คอื สละสง่ิ อนั เคยชนิ ขอที่เคยยึดถือไว และส่งิ ทั้งหลายอนั ผิดพลาดจาก ความจรงิ เสียได เร่มิ แตส ละอามสิ จนถึงสละกิเลส — Càga: liberality; renunciation) 4. อุปสมะ (ความสงบ คือ ระงบั โทษขอ ขดั ขอ งมัวหมองวนุ วายอันเกดิ จากกเิ ลสทั้งหลายแลว ทําจิตใจใหสงบได — Upasama: tranquillity; peace) ท้งั 4 ขอนี้ พงึ ปฏบิ ตั ิตามกระทดู ังน้ี 1. ปฺ  นปฺปมชฺเชยยฺ (ไมพงึ ประมาทปญ ญา คือ ไมละเลยการใชป ญญา — not to neglect wisdom) 2. สจจฺ ํ อนุรกฺเขยยฺ (พงึ อนรุ ักษสัจจะ — to safeguard truthfulness) 3. จาคํ อนพุ ฺรูเหยฺย (พึงเพ่มิ พนู จาคะ — to foster liberality) 4. สนตฺ ึ สิกฺเขยฺย (พึงศึกษาสันติ — to train oneself in tranquillity) D.III.229; M.III.243. ที.ปา.11/254/241; ม.อ.ุ 14/682/437. [198] อบาย หรอื อบายภมู ิ 4 (ภาวะหรอื ทอ่ี นั ปราศจากความเจรญิ — Apàya: states

[199] 150 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร of loss and woe; low states of existence; unhappy existence) 1. นิรยะ (นรก, สภาวะหรือทอี่ ันไมม คี วามสขุ ความเจรญิ , ภาวะเรารอนกระวนกระวาย — Niraya: hell; woeful state) 2. ติรจั ฉานโยนิ (กาํ เนดิ ดริ ัจฉาน, พวกมดื มวั โงเขลา — Tiracchànayoni: the animal kingdom; realm of beasts) 3. ปต ติวสิ ัย (แดนเปรต, ภูมิแหง ผูห วิ กระหายไรสุข — Pittivisaya: realm of hungry ghosts) 4. อสุรกาย (พวกอสูร, พวกหวาดหวั่นไรค วามรน่ื เริง — Asurakàya: host of demons; the unrelenting and dejected; frightened ghosts) ดู [351] ภมู ิ 4, 31. It.93. ข.ุ อติ .ิ 25/273/301. [199] อบายมขุ 4 (ชอ งทางของความเสือ่ ม, ทางทจี่ ะนาํ ไปสูค วามพินาศ, เหตุยอยยับแหง โภคทรัพย — Apàyamukha: causes of ruin; sources for the destruction of the amassed wealth) 1. อิตถธี ุตตะ (เปนนักเลงหญิง, นกั เทย่ี วผหู ญงิ — Itthãdhutta: seduction of women; debauchery) 2. สุราธตุ ตะ (เปน นักเลงสรุ า, นกั ด่มื — Suràdhutta: drunkenness) 3. อักขธุตตะ (เปนนกั การพนัน — Akkhadhutta: indulgence in gambling) 4. ปาปมิตตะ (คบคนช่วั — Pàpamitta: bad company) อบายมขุ 4 อยา งนี้ ตรัสกับผคู รองเรอื นที่มหี ลักฐานแลว และตรัสตอทา ยทฏิ ฐธัมมกิ ัตถ- สังวตั ตนิกธรรม 4 มุงความวาเปน ทางพนิ าศแหง โภคะทห่ี ามาไดแ ลว A.IV.283. อง.ฺ อฏ ก.23/144/292. [200] อบายมขุ 6 (ชอ งทางของความเสอื่ ม, ทางแหง ความพนิ าศ, เหตยุ อ ยยบั แหง โภคทรพั ย — Apàyamukha: causes of ruin; ways of squandering wealth) 1. ตดิ สรุ าและของมึนเมา (addiction to intoxicants; drug addiction) มีโทษ 6 คือ 1) ทรัพยหมดไปๆ เหน็ ชัดๆ 2) กอ การทะเลาะววิ าท 3) เปน บอ เกิดแหงโรค 4) เสียเกยี รติเสียชือ่ เสยี ง 5) ทาํ ใหไมรอู าย 6) ทอนกําลงั ปญ ญา

หมวด 4 151 [200] a) actual loss of wealth b) increase of quarrels c) liability to disease d) source of disgrace e) indecent exposure f) weakened intelligence. 2. ชอบเทีย่ วกลางคืน (roaming the streets at unseemly hours) มโี ทษ 6 คือ 1) ชอ่ื วาไมรกั ษาตวั 2) ช่ือวา ไมรกั ษาลกู เมยี 3) ชอื่ วา ไมรกั ษาทรพั ยส มบัติ 4) เปนท่ีระแวงสงสยั 5) เปนเปา ใหเขาใสความหรือขาวลอื 6) เปนทางมาของเร่ืองเดอื ดรอนเปน อันมาก a) He himself is without guard and protection. b) So also are his wife and children. c) So also is his property. d) He is liable to be suspected of crimes. e) He is the subject of false rumours. f) He will meet a lot of troubles. 3. ชอบเท่ียวดกู ารละเลน (frequenting shows) มีโทษ โดยการงานเส่อื มเสีย เพราะใจ กงั วลคอยคดิ จอ ง กับเสยี เวลาเมื่อไปดสู ่งิ นั้นๆ ทั้ง 6 กรณี คือ 1) รําทไี่ หนไปทน่ี ่นั 2)–6) ขบั รอ ง, ดนตรี, เสภา, เพลง, เถดิ เทิงทีไ่ หน ไปท่นี ั่น* (He keeps looking about to see) a) Where is there dancing? b)–f) Where is there singing? ~ choral music? ~ story-telling? ~ cymbal playing? ~ tam-tams? 4. ติดการพนนั (indulgence in gambling) มโี ทษ 6 คอื 1) เม่ือชนะยอ มกอ เวร * คําแปลภาษาไทยถอื ตามทีแ่ ปลกันมา สวนภาษาอังกฤษแปลตางหาก ไมไ ดมุงใหตรงกนั

[201] 152 พจนานุกรมพทุ ธศาสตร 2) เมอื่ แพก เ็ สียดายทรพั ยทเ่ี สียไป 3) ทรพั ยห มดไปๆ เห็นชัดๆ 4) เขา ท่ีประชุม เขาไมเ ชื่อถือถอ ยคํา 5) เปนที่หมิ่นประมาทของเพื่อนฝงู 6) ไมเปน ทีพ่ ึงประสงคของผูท จี่ ะหาคูครองใหลูกของเขา เพราะเห็นวา จะเลย้ี งลูกเมยี ไมไ หว a) As winner, he begets hatred. b) As loser, he regrets his lost money. c) There is actual loss of wealth. d) His word has no weight in an assembly. e) He is scorned by his friends and companions. f) He is not sought after by those who want to marry their daughters, for they would say that a gambler cannot afford to keep a wife. 5. คบคนชวั่ (association with bad companions) มโี ทษ โดยนําใหก ลายไปเปน คนชว่ั อยา งคนทตี่ นคบท้งั 6 ประเภท คอื ไดเพ่ือนที่จะนาํ ใหกลายเปน 1) นักการพนนั (gamblers) 2) นกั เลงหญงิ (rakes; seducers) 3) นกั เลงเหลา (drunkards) 4) นกั ลวงของปลอม (cheaters with false things) 5) นักหลอกลวง (swindlers) 6) นักเลงหวั ไม (men of violence) 6. เกยี จครา นการงาน (habit of idleness) มีโทษ โดยทาํ ใหยกเหตุตางๆ เปนขอ อางผดั เพยี้ นไมทําการงาน โภคะใหมก็ไมเกิด โภคะท่มี อี ยูก ็หมดส้ินไป คือใหอ างไปทัง้ 6 กรณีวา 1)–6) หนาวนัก — รอนนัก — เย็นไปแลว — ยังเชานัก — หิวนกั — อมิ่ นกั * a)–f) He always makes an excuse that it is too cold, — too hot, — too late, — too early, he is too hungry, — too full and does no work. อบายมขุ หมวดนี้ ตรัสแกส งิ คาลกมาณพ กอนตรัสเรื่องทิศ 6 D.III.182–184. ท.ี ปา.11/178–184/196–198. [201] วฒั นมขุ 6 (ธรรมท่เี ปน ปากทางแหงความเจรญิ , ธรรมทเี่ ปน ดุจประตูชัยอนั จะเปด ออกไปใหกา วหนาสคู วามเจริญงอกงามของชวี ิต — Vaóóhana-mukha: channels of * บางฉบับเปน “กระหายนัก” (too thirsty)

หมวด 4 153 [202] growth; gateway to progress) 1. อาโรคยะ (ความไมม ีโรค, ความมีสุขภาพดี — ârogya: good health) 2. ศลี (ความประพฤตดิ ี มวี ินยั ไมกอเวรภัย ไดฝก ในมรรยาทอนั งาม — Sãla: moral conduct and discipline) 3. พุทธานมุ ตั (ศกึ ษาแนวทาง มองดแู บบอยาง เขา ถึงความคิดของพทุ ธชนเหลาคนผเู ปน บณั ฑติ — Buddhànumata: conformity or access to the ways of great, enlightened beings) 4. สุตะ (ใฝเลาเรยี นหาความรู ฝก ตนใหเ ชย่ี วชาญและทันตอ เหตกุ ารณ — Suta: much learning) 5. ธรรมานุวัติ (ดําเนินชีวิตและกิจการงานโดยทางชอบธรรม — Dhammànuvatti: practice in accord with the Dhamma; following the law of righteousness) 6. อลีนตา (เพยี รพยายามไมร ะยอ , มีกําลังใจแขง็ กลา ไมท อถอยเฉ่อื ยชา เพยี รกา วหนาเร่ือย ไป — Alãnatà: unshrinking perseverance) ธรรม 6 ประการชดุ น้ี ในบาลเี ดิมเรยี กวา อัตถทวาร (ประตแู หง ประโยชน, ประตูสูจ ุด หมาย) หรือ อัตถประมุข (ปากทางสูป ระโยชน, ตน ทางสูจดุ หมาย) และอรรถกถาอธบิ ายคํา อัตถะ วา หมายถงึ “วุฒ”ิ คือความเจริญ ซึ่งไดแ ก วัฒนะ ดงั นนั้ จึงอาจเรยี กวา วุฒมิ ุข หรือที่ คนไทยรูส ึกคุน มากกวา วา วฒั นมุข อนง่ึ ในฝายอกศุ ล มีหมวดธรรมรูจ กั กนั ดีท่ีเรียกวา อบายมุข 6 ซง่ึ แปลวา ปากทางแหง ความเสือ่ ม จึงอาจเรียกธรรมหมวดน้ดี ว ยคําทเี่ ปน คูตรงขา มวา อายมุข 6 (ปากทางแหงความ เจริญ) J.I.366 ขุ.ชา.27/84/27 [202] อปส เสนะ หรือ อปส เสนธรรม 4 (ธรรมดุจพนักพงิ , ธรรมเปนทอี่ ิงหรอื พ่งึ อาศัย — Apassena: virtues to lean on; states which a monk should rely on) 1. สงขฺ าเยกํ ปฏิเสวติ (ของอยา งหนึง่ พจิ ารณาแลวเสพ ไดแก สงิ่ ของมปี จจัย 4 คอื จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ คิลานเภสัช เปนตนกด็ ี บคุ คล และธรรมเปนตน ก็ดี ทจี่ าํ เปนจะตอ งเกี่ยว ของและมปี ระโยชน พงึ พิจารณาแลวจึงใชส อยและเสวนาใหเปน ประโยชน — Pañisevanà: The monk deliberately follows or makes use of one thing.) 2. สงฺขาเยกํ อธิวาเสติ (ของอยา งหนง่ึ พิจารณาแลวอดกลน้ั ไดแก อนิฏฐารมณต างๆ มี หนาว รอน และทุกขเวทนาเปน ตน พงึ รจู กั พจิ ารณาอดกลน้ั — Adhivàsanà: The monk deliberately endures one thing.) 3. สงฺขาเยกํ ปรวิ ชเฺ ชติ (ของอยา งหน่งึ พิจารณาแลวเวน เสยี ไดแก สิ่งทเี่ ปน โทษ กอ อันตรายแกร า งกายกต็ าม จติ ใจก็ตาม เชน ชางราย คนพาล การพนนั สรุ าเมรยั เปน ตน พงึ รู

[203] 154 พจนานุกรมพทุ ธศาสตร จักพจิ ารณาหลกี เวน เสีย — Parivajjanà: The monk deliberately avoids one thing.) 4. สงฺขาเยกํ ปฏวิ โิ นเทติ (ของอยางหนง่ึ พิจารณาแลวบรรเทาเสีย ไดแก สง่ิ ทีเ่ ปนโทษกอ อันตราย เชน อกศุ ลวิตก มกี ามวิตก พยาบาทวิตก วหิ งิ สาวติ ก เปน ตน และความชั่วรายทั้ง หลาย เกิดขึน้ แลว พงึ รูจ ักพิจารณาแกไข บําบดั หรอื ขจดั ใหส ้นิ ไป — Pañivinodanà: The monk deliberately suppresses or expels one thing.) อปสเสนะ 4 น้ี เรียกอีกอยา งวา อปุ นสิ ัย 4 (ธรรมเปน ทพี่ ่ึงพงิ หรอื ธรรมชว ยอดุ หนุน — Upanissaya: supports; supporting states) เมือ่ รจู ักพิจารณาปฏิบัติตอ สิง่ ตางๆ ใหถ กู ตอ งดวยปญ ญาตามหลักอปสเสนะ หรืออปุ นิสยั 4 อยา งนี้ ยอ มเปนเหตใุ หอ กศุ ลท่ียงั ไมเ กิดก็ไมเกิดขึ้น ทเี่ กิดแลวกเ็ สอ่ื มส้ินไป และกุศลท่ียังไม เกดิ ยอมเกิดข้นึ ทเ่ี กิดขึ้นแลว กเ็ จริญย่งิ ขึ้นไป ภิกษผุ พู รอ มดวยธรรม 4 ประการน้ี ดาํ รงอยใู นธรรม 5 คือ ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ วริ ยิ ะ ปญญา ทานเรียกวา นิสสยสัมบัน (ผูถึงพรอมดวยท่ีพึ่งอาศัย — fully supported; resourceful). D.III.224,270; A.IV.354; A.V.30. ท.ี ปา.11/236/326; 472/338; อง.ฺ นวก.23/206/366; องฺ.ทสก.24/20/32. [,,,] อรหันต 4 ดู [62] อรหันต 4. [,,,] อรยิ บคุ คล 4 ดู [56] อรยิ บุคคล 4. [203] อรยิ วงศ 4 (ปฏิปทาที่พระอรยิ ะทั้งหลายปฏบิ ัตสิ บื กนั มาแตโบราณไมขาดสาย, อรยิ ประเพณี — Ariyava§sa: Ariyan lineage; noble tradition; the fourfold traditional practice of the Noble Ones) 1. จวี รสนั โดษ (ความสนั โดษดว ยจวี ร — Cãvara-santosa: contentment as regards robes or clothing) 2. ปณ ฑปาตสนั โดษ (ความสนั โดษดว ยบณิ ฑบาต — Piõóapàta-santosa: contentment as regards alms-food) 3. เสนาสนสนั โดษ (ความสนั โดษดว ยเสนาสนะ — Senàsana-santosa: contentment as regards lodging) 4. ปหานภาวนารามตา (ความยนิ ดใี นการละอกศุ ลและเจรญิ กศุ ล — Pahànabhàvanà- ràmatà: delight in the abandonment of evil and the development of good) การปฏิบตั ิทจี่ ัดเปน อริยวงศใ นธรรมทัง้ 4 ขอ นัน้ พระภกิ ษุพึงประพฤตดิ ังน้ี ก. สันโดษดว ยปจ จัยใน 3 ขอ ตนตามมีตามได ข. มปี กติกลา วสรรเสริญคณุ ของความสนั โดษใน 3 ขอ นน้ั ค. ไมป ระกอบอเนสนา คือการแสวงหาทีผ่ ดิ (ทจุ รติ ) เพราะปจจัยทั้ง 3 อยา งน้นั เปน เหตุ (เพยี รแสวงหาแตโ ดยทางชอบธรรม ไมเกียจคราน)

หมวด 4 155 [204] ง. เม่ือไมได ก็ไมเรา รอ นทุรนทุราย จ. เมอื่ ได กใ็ ชโ ดยไมต ดิ ไมห มกมนุ ไมส ยบ รเู ทา ทนั เหน็ โทษ มปี ญ ญาใชส งิ่ นนั้ ตามประโยชน ตาม ความหมายของมนั (มแี ละใชด ว ยสตสิ มั ปชญั ญะ ดาํ รงตนเปน อสิ ระ ไมต กเปน ทาสของสงิ่ นน้ั ) ฉ. ไมถอื เอาการทไ่ี ดประพฤตธิ รรม 4 ขอ น้ี เปน เหตุยกตนขมผูอ นื่ โดยสรปุ วา เปน ผขู ยนั ไมเ กียจคราน มีสตสิ ัมปชัญญะในขอนน้ั ๆ เฉพาะขอ 4 ทรงสอนไม ใหสนั โดษ สว น 3 ขอแรกทรงสอนใหท าํ ความเพียรแสวงหาในขอบเขตทีช่ อบดวยธรรมวินัย และมคี วามสันโดษตามนยั ท่แี สดงขา งตน อน่งึ ในจฬู นิทเทส ทา นแสดงอริยวงศข องพระปจ เจกพุทธเจาตางไปเลก็ นอย คือ เปลยี่ น ขอ 4 เปน สันโดษดว ยคิลานปจจยั เภสชั บรขิ าร (medical equipment) D.III.224; A.II.27; Nd2107. ที.ปา.11/237/236; องฺ.จตุกกฺ .21/28/35; ขุ.จ.ู 30/691/346. [204] อรยิ สจั จ 4 (ความจรงิ อันประเสริฐ, ความจรงิ ของพระอริยะ, ความจรงิ ทท่ี าํ ใหผ ูเขาถึง กลายเปน อรยิ ะ — Ariyasacca: The Four Noble Truths) 1. ทกุ ข (ความทกุ ข, สภาพทที่ นไดยาก, สภาวะท่ีบบี ค้นั ขัดแยง บกพรอง ขาดแกน สารและ ความเท่ยี งแท ไมใ หค วามพึงพอใจแทจ รงิ , ไดแก ชาติ ชรา มรณะ การประจวบกับส่ิงอนั ไม เปน ทีร่ กั การพลดั พรากจากส่งิ ทร่ี กั ความปรารถนาไมสมหวัง โดยยอวา อปุ าทานขันธ 5 เปน ทกุ ข — Dukkha: suffering; unsatisfactoriness) 2. ทกุ ขสมุทยั (เหตเุ กดิ แหงทุกข, สาเหตใุ หทุกขเกดิ ไดแก ตัณหา 3 คอื กามตัณหา ภวตณั หา และ วภิ วตณั หา — Dukkha-samudaya: the cause of suffering; origin of suffering) 3. ทุกขนิโรธ (ความดบั ทุกข ไดแ ก ภาวะทตี่ ัณหาดบั สิ้นไป, ภาวะท่เี ขาถึงเม่ือกําจัดอวิชชา สํารอกตณั หาสนิ้ แลว ไมถกู ยอ ม ไมต ิดขอ ง หลุดพน สงบ ปลอดโปรง เปนอสิ ระ คอื นิพพาน — Dukkha-nirodha: the cessation of suffering; extinction of suffering) 4. ทุกขนโิ รธคามินปี ฏปิ ทา (ปฏิปทาทนี่ าํ ไปสูค วามดบั แหง ทกุ ข, ขอปฏิบัติใหถ งึ ความดับ ทกุ ข ไดแก อรยิ อฏั ฐงั คิกมรรค หรอื เรียกอีกอยา งหนง่ึ วา มชั ฌมิ าปฏิปทา แปลวา “ทางสาย กลาง” มรรคมีองค 8 นี้ สรุปลงในไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปญญา — Dukkha-nirodha- gàminã pañipadà: the path leading to the cessation of suffering) อรยิ สจั จ 4 นี้ เรยี กกนั สน้ั ๆ วา ทกุ ข สมทุ ยั นโิ รธ มรรค (Dukkha, Samudaya, Nirodha, Magga); การแสดงอรยิ สจั จ 4 นี้ มีชอ่ื เรียกอกี อยางหนง่ึ วา สามกุ กังสกิ าธรรมเทศนา (เชน อง.ฺ อฏ ก.23/102/190) แปลตามอรรถกถาวา พระธรรมเทศนาทพี่ ระพทุ ธเจา ทรงหยบิ ยกขน้ึ ถอื เอาไว ดว ยพระองคเ อง คอื ทรงเหน็ ดว ยพระสยมั ภญู าณ (=ตรสั รเู อง) ไมส าธารณะแกผ อู น่ื (แตต ามท่ี อธบิ ายกนั มา มกั แปลวา “พระธรรมเทศนาทพี่ ระพทุ ธเจา ทรงยกขน้ึ แสดงเอง โดยไมต อ งปรารภ คาํ ถามหรอื การทลู ขอรอ งของผฟู ง อยา งการแสดงธรรมเรอื่ งอนื่ ๆ”; ความจรงิ จะแปลวา “พระ ธรรมเทศนาขนั้ สดุ ยอด” กไ็ ด ซง่ึ สมกบั เปน เรอื่ งทท่ี รงแสดงทา ยสดุ ตอ จาก อนปุ พุ พกิ ถา 5 คาํ แปลอยา งหลงั น้ี พงึ เทยี บ อง.ฺ ทสก.24/95/208)

[205] 156 พจนานกุ รมพุทธศาสตร ดู [216] ขนั ธ 5; [74] ตัณหา 3; [293] มรรคมอี งค 8; [124] สกิ ขา 3. Vin.I.9; S.V.421; Vbh.99. วนิ ย.4/14/18; ส.ํ ม.19/1665/528; อภ.ิ ว.ิ 35/145/127. [205] กจิ ในอริยสัจจ 4 (หนาทอี่ นั จะพึงทําตอ อรยิ สจั จ 4 แตล ะอยา ง, ขอท่ีจะตองปฏิบตั ิ ใหถกู ตองและเสร็จสน้ิ ในอรยิ สจั จ 4 แตล ะอยา ง จงึ จะชอ่ื วา รูอ รยิ สัจจหรือเปน ผตู รสั รูแลว — Ariyasaccesu kiccàni: functions concerning the Four Noble Truths) 1. ปรญิ ญา (การกาํ หนดรู เปน กจิ ในทกุ ข ตามหลกั วา ทกุ ขฺ ํ อรยิ สจจฺ ํ ปริ เฺ ยยฺ ํ ทกุ ขค วรกาํ หนดรู คอื ควรศกึ ษาใหร จู กั ใหเ ขา ใจชดั ตามสภาพทเ่ี ปน จรงิ ไดแ ก การทาํ ความเขา ใจและกาํ หนดขอบเขต ของปญ หา — Pari¤¤à: comprehension; suffering is to be comprehended) 2. ปหานะ (การละ เปน กจิ ในสมทุ ยั ตามหลกั วา ทกุ ขฺ สมทุ โย อรยิ สจจฺ ํ ปหาตพพฺ ํ สมทุ ยั ควรละ คอื กาํ จดั ทาํ ใหห มดสนิ้ ไป ไดแ กก ารแกไ ขกาํ จดั ตน ตอของปญ หา — Pahàna: eradication; abandonment; the cause of suffering is to be eradicated) 3. สจั ฉกิ ริ ยิ า (การทาํ ใหแ จง เปน กจิ ในนโิ รธ ตามหลกั วา ทกุ ขฺ นโิ รโธ อรยิ สจจฺ ํ สจฉฺ กิ าตพพฺ ํ นโิ รธควรทาํ ใหแ จง คอื เขา ถงึ หรอื บรรลุ ไดแ กก ารเขา ถงึ ภาวะทป่ี ราศจากปญ หา บรรลจุ ดุ หมาย ทต่ี อ งการ — Sacchikiriyà: realization; the cessation of suffering is to be realized) 4. ภาวนา (การเจรญิ เปน กจิ ในมรรค ตามหลกั วา ทกุ ขฺ นโิ รธคามนิ ี ปฏปิ ทา อรยิ สจจฺ ํ ภาเวตพพฺ ํ มรรคควรเจรญิ คอื ควรฝก อบรม ลงมอื ปฏบิ ตั ิ กระทาํ ตามวธิ กี ารทจ่ี ะนาํ ไปสจู ดุ หมาย ไดแ กก าร ลงมอื แกไขปญ หา — Bhàvanà: development; practice; the path is to be followed or developed) ในการแสดงอรยิ สัจจ ก็ดี ในการปฏบิ ตั ธิ รรมตามหลกั อรยิ สัจจ กด็ ี จะตอ งใหอรยิ สจั จแต ละขอ สัมพันธต รงกันกับกจิ แตล ะอยา ง จงึ จะเปนการแสดงและเปน การปฏบิ ัติโดยชอบ ทัง้ นี้ วางเปน หัวขอไดด ังน้ี 1. ทกุ ข เปนข้ันแถลงปญ หาที่จะตอ งทําความเขา ใจและรขู อบเขต (ปริญญา) — statement of evil; location of the problem. 2. สมทุ ัย เปนข้นั วเิ คราะหและวินจิ ฉยั มูลเหตขุ องปญ หา ซึ่งจะตองแกไ ขกําจดั ใหห มดสน้ิ ไป (ปหานะ) — diagnosis of the origin. 3. นโิ รธ เปนขั้นช้ีบอกภาวะปราศจากปญ หา อนั เปนจุดหมายท่ตี อ งการ ใหเหน็ วาการแก ปญหาเปน ไปได และจุดหมายนน้ั ควรเขาถึง ซึ่งจะตอ งทําใหส ําเร็จ (สัจฉิกิริยา) — prognosis of its antidote; envisioning the solution. 4. มรรค เปนขั้นกําหนดวิธีการ ขั้นตอน และรายละเอยี ดท่ีจะตองปฏิบตั ใิ นการลงมือแก ปญหา (ภาวนา) — prescription of the remedy; programme of treatment. ความสําเรจ็ ในการปฏบิ ัตทิ ง้ั หมด พึงตรวจสอบดว ยหลกั [73] ญาณ 3 2 Vin.I.10; S.V.422. วินย.4/15/20; ส.ํ ม.19/1666/529.

หมวด 4 157 [207] [206] ธรรม 4 (ธรรมท้งั ปวงประดามี จดั ประเภทตามลักษณะความสมั พันธท่ีมนุษยพึงปฏิบัติ หรือเกยี่ วของเปน 4 จําพวก อนั สอดคลองกบั หลักอริยสัจจ 4 และกจิ ในอรยิ สัจจ 4 — Dhamma: all dhammas [states, things] classified into 4 categories according as they are to be rightly treated) 1. ปรญิ ไญยธรรม = ธรรมทเ่ี ขา กบั กจิ ในอรยิ สจั จข อ ท่ี 1 คอื ปรญิ ญา (ธรรมอนั พงึ กาํ หนดร,ู สงิ่ ทค่ี วรรอบรู หรอื รเู ทา ทนั ตามสภาวะของมนั ไดแ ก อปุ าทานขนั ธ 5 กลา วคอื ทกุ ขแ ละสงิ่ ทงั้ หลายทอ่ี ยใู นจาํ พวกทเี่ ปน ปญ หาหรอื เปน ทตี่ ง้ั แหง ปญ หา — Pari¤¤eyya-dhamma: things to be fully understood, i.e. the five aggregates of existence subject to clinging) 2. ปหาตพั พธรรม = ธรรมทเ่ี ขา กบั กจิ ในอรยิ สจั จข อ ท่ี 2 คอื ปหานะ (ธรรมอนั พงึ ละ, สง่ิ ทจ่ี ะ ตอ งแกไ ขกาํ จดั ทาํ ใหห มดไป วา โดยตน ตอรากเหงา ไดแ ก อวชิ ชา และภวตณั หา กลา วคอื ธรรม จาํ พวกสมทุ ยั ทก่ี อ ใหเ กดิ ปญ หาเปน สาเหตขุ องทกุ ข หรอื พดู อกี อยา งหนง่ึ วา อกศุ ลทง้ั ปวง — Pahàtabba-dhamma: things to be abandoned, i.e. ignorance and craving for being) 3. สจั ฉกิ าตพั พธรรม = ธรรมทเ่ี ขา กบั กจิ ในอรยิ สจั จข อ ท่ี 3 คอื สจั ฉกิ ริ ยิ า (ธรรมอนั พงึ ประจกั ษแ จง , สง่ิ ทค่ี วรไดค วรถงึ หรอื ควรบรรลุ ไดแ ก วชิ ชา และวมิ ตุ ติ เมอ่ื กลา วโดยรวบยอด คอื นโิ รธ หรอื นพิ พาน หมายถงึ ธรรมจาํ พวกทเ่ี ปน จดุ หมาย หรอื เปน ทดี่ บั หายสน้ิ ไปแหง ทกุ ขห รอื ปญ หา — Sacchikàtabba-dhamma: things to be realized, i.e. true knowledge and freedom or liberation) 4. ภาเวตพั พธรรม = ธรรมทเี่ ขา กบั กจิ ในอรยิ สจั จข อ ที่ 4 คอื ภาวนา (ธรรมอนั พงึ เจรญิ หรอื พงึ ปฏบิ ตั บิ าํ เพญ็ , สงิ่ ทจี่ ะตอ งปฏบิ ตั หิ รอื ลงมอื ทาํ ไดแ ก ธรรมทเ่ี ปน มรรค โดยเฉพาะสมถะ และ วปิ ส สนา กลา วคอื ประดาธรรมทเ่ี ปน ขอ ปฏบิ ตั หิ รอื เปน วธิ กี ารทจี่ ะทาํ หรอื ดาํ เนนิ การเพอื่ ใหบ รรลุ จดุ หมายแหง การสลายทกุ ขห รอื ดบั ปญ หา — Bhàvetabba-dhamma: things to be developed, i.e. tranquillity and insight, or, in other words, the Noble Eightfold Path) M.III.289; S.V.52; A.II.246. ม.อ.ุ 14/829/524; สํ.ม.19/291–5/78;องฺ.จตกุ ฺก.21/254/333. [207] อรูป หรือ อารปุ ป 4 (ฌานมีอรปู ธรรมเปน อารมณ คอื อรูปฌาน, ภพของสตั วผูเขา ถงึ อรูปฌาน, ภพของอรูปพรหม — Aråpa, âruppa: absorptions of the Formless Sphere; the Formless Spheres; immaterial states) 1. อากาสานัญจายตนะ (ฌานอันกําหนดอากาศคอื ชองวา งหาทส่ี ุดมไิ ดเ ปนอารมณ หรือภพ ของผเู ขา ถึงฌานนี้ — âkàsàna¤càyatana: Sphere of Infinity of Space) 2. วิญญาณัญจายตนะ (ฌานอันกําหนดวิญญาณหาทสี่ ดุ มไิ ดเ ปน อารมณ หรอื ภพของผเู ขา ถึงฌานนี้ — Vi¤¤àõa¤càyatana: Sphere of Infinity of Consciousness) 3. อากิญจญั ญายตนะ (ฌานอันกําหนดภาวะที่ไมมอี ะไรๆ เปนอารมณ หรือภพของผเู ขา ถงึ ฌานนี้ — âki¤ca¤¤àyatana: Sphere of Nothingness) 4. เนวสญั ญานาสญั ญายตนะ (ฌานอันเขา ถงึ ภาวะมสี ัญญากไ็ มใ ช ไมม สี ญั ญาก็ไมใ ช หรอื

[208] 158 พจนานกุ รมพุทธศาสตร ภพของผูเขาถึงฌานน้ี — Nevasa¤¤ànàsa¤¤àyatana: Sphere of Neither Perception Nor Non-Perception) D.III.224; S.IV.227. ท.ี ปา.11/235/235; ส.ํ สฬ.18/519/326. [208] อวิชชา 4 (ความไมร ูแ จง , ไมรูจริง — Avijjà: ignorance; lack of essential knowledge) 1. ทุกฺเข อฺาณํ (ไมร ใู นทุกข — ignorance of suffering) 2. ทุกฺขสมทุ เย อฺ าณํ (ไมรูใ นทกุ ขสมทุ ัย — ~ of the cause of suffering) 3. ทุกฺขนิโรเธ อฺ าณํ (ไมรใู นทุกขนิโรธ — ~ of the cessation of suffering) 4. ทกุ ขฺ นิโรธคามนิ ยิ า ปฏปิ ทาย อฺ าณํ (ไมรูในทกุ ขนิโรธคามนิ ีปฏิปทา — ~ of the path leading to the cessation of suffering) กลา วสนั้ ๆ คือ ไมรใู นอริยสจั จ 4 S.II.4; S.IV.256; Vbh.135. สํ.นิ.16/17/5; ส.ํ สฬ.18/505/315; อภิ.วิ.35/256/181. [209] อวิชชา 8 (ความไมรูแจง, ไมรจู รงิ — Avijjà: ignorance; lack of essential knowledge) 4 ขอแรกตรงกบั อวชิ ชา 4; ขอ 5–8 ดังนี้ 5. ปุพพฺ นเฺ ต อฺาณํ (ไมร ูในสวนอดีต — ignorance of the past) 6. อปรนเฺ ต อฺาณํ (ไมรูใ นสวนอนาคต — ~ of the future) 7. ปพุ พฺ นตฺ าปรนเฺ ต อฺ าณํ (ไมร ทู ง้ั สว นอดตี ทงั้ สว นอนาคต — ~ of both the past and the future) 8. อิทปฺปจฺจยตาปฏจิ จฺ สมปุ ปฺ นเฺ นสุ ธมเฺ มสุ อฺาณํ (ไมร ใู นธรรมทง้ั หลายทีอ่ าศยั กันจึง เกดิ มีข้นึ ตามหลักอทิ ัปปจ จยตา — ~ of states dependently originated according to specific conditionality) Dhs.190,195; Vhh.362. อภ.ิ สํ.34/691/273; 712/281; อภ.ิ วิ.35/926/490. [210] อันตรายของภิกษุสามเณรผูบวชใหม 4 (ตามบาลีวาภัยสําหรับกลุ บุตรผู บวชในธรรมวินัยนี้ อันเปนเหตุใหประพฤติพรหมจรรยอยูไดไมยั่งยืน ตองลาสิกขาไป — Bhaya: perils or terrors awaiting a clansman who has gone forth from home to the homeless life; dangers to newly ordained monks or novices) 1. อมู ภิ ยั (ภยั คลนื่ คือ อดทนตอ คําสัง่ สอนไมได เกิดความข้ึงเคียดคบั ใจ เบ่อื หนา ยคาํ ตักเตอื นพร่าํ สอน — æmibhaya: peril of waves, i.e. wrath and resentment caused by inability to accept teaching and advice) 2. กมุ ภลี ภัย (ภยั จรเข คือ เห็นแกปากแกทอง ถูกจํากัดดว ยระเบียบวินยั เกย่ี วกับการบริโภค ทนไมได — Kumbhãlabhaya: peril of crocodiles, i.e. gluttony)

หมวด 4 159 [212] 3. อาวฏภยั (ภัยนํา้ วน คือ หวงพะวงใฝท ะยานในกามสขุ ตัดใจจากกามคณุ ไมได — âvañabhaya: peril of whirlpools, i.e. desire for sense-pleasures) 4.สสุ กุ าภัย (ภัยปลาราย หรอื ภัยฉลาม คอื เกิดความปรารถนาทางเพศ รกั ผหู ญิง — Susukàbhaya: peril of sharks, i.e. love for women) M.I.460; A.II.123. ม.ม.13/190/198; องฺ.จตกุ ฺก.21/122/165. [,,,] อปั ปมญั ญา 4 ดู [161] พรหมวิหาร 4. [211] อาจารย 4 (ผูประพฤตกิ ารอนั เก้อื กูลแกศ ษิ ย, ผูท ศี่ ษิ ยพ งึ ประพฤตดิ วยความเอ้ือเฟอ , ผูสงั่ สอนวชิ าและอบรมดูแลความประพฤติ — âcariya: teacher; instructor) 1. บรรพชาจารย (อาจารยในบรรพชา คอื ทานผใู หส ิกขาบทในการบรรพชา — Pabbajjà- cariya: initiation-teacher; teacher at the Going Forth) 2. อุปสมั ปทาจารย (อาจารยในอปุ สมบท คอื ทานผสู วดกรรมวาจาในอปุ สมบทกรรม — Upasampadàcariya: ordination-teacher; teacher at the Admission) 3. นิสสยาจารย (อาจารยผูใ หน สิ ัย คอื ทานทต่ี นไปขอถอื นิสยั เปนอันเตวาสกิ คอื ยอมตนเปน ศษิ ยอยใู นปกครอง — Nissayàcariya: tutelar teacher; teacher from whom one takes the Dependence) 4. อเุ ทศาจารย หรอื ธรรมาจารย (อาจารยผูใหอุเทศ, อาจารยผูสอนธรรม คือ ทานท่สี ่งั สอนใหว ชิ าความรู โดยหลักวชิ าก็ดี เปนทปี่ รกึ ษาไตถ ามคน ควา ก็ดี — Uddesàcariya, Dhammàcariya: teacher of textual study; teacher who gives the instruction; teacher of the Doctrine) บางแหง เตมิ โอวาทาจารย (อาจารยผูใ หโอวาท คืออบรมตกั เตอื นแนะนาํ เปน ครง้ั คราว — Ovàdàcariya: teacher who gives admonitions) เขาอกี รวมเปน อาจารย 5. Vism.94; VinA.V.1085, VII.1379. วสิ ุทฺธิ.1/118; วินย.อ.3/182,582; วนิ ย.ฏกี า4/168; มงฺคล.2/289. [,,,] อาสวะ 4 ดู [136] อาสวะ 4. [212] อาหาร 4 (สภาพทีน่ ํามาซึ่งผลโดยความเปนปจจัยคํ้าจุนรูปธรรมและนามธรรมท้ัง หลาย, เครือ่ งคํ้าจุนชวี ติ , ส่ิงท่ีหลอเลยี้ งรา งกายและจิตใจ ทาํ ใหเ กดิ กาํ ลังเจรญิ เตบิ โตและ วิวัฒนไ ด — âhàra: nutriment) 1. กวฬงิ การาหาร (อาหารคอื คาํ ขา ว ไดแก อาหารสามัญที่กลืนกินดดู ซมึ เขา ไปหลอเล้ยี งราง กาย — Kavaëiïkàràhàra: material food; physical nutriment) เมอื่ กาํ หนดรกู วฬิงการาหาร ไดแ ลว กเ็ ปน อันกําหนดรรู าคะทเี่ กิดจากเบญจกามคุณไดด วย 2. ผัสสาหาร (อาหารคอื ผสั สะ ไดแ ก การบรรจบแหงอายตนะภายใน อายตนะภายนอก และ วญิ ญาณ เปน ปจ จยั ใหเ กดิ เวทนา พรอ มทั้งเจตสกิ ท้งั หลายทีจ่ ะเกดิ ตามมา — Phassàhàra:

[213] 160 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร nutriment consisting of contact; contact as nutriment) เมือ่ กาํ หนดรูผ ัสสาหารไดแลว ก็เปน อันกําหนดรเู วทนา 3 ไดด วย 3. มโนสญั เจตนาหาร (อาหารคือมโนสญั เจตนา ไดแ ก ความจงใจ เปน ปจจัยแหงการทํา พูด คดิ ซึ่งเรยี กวา กรรม เปน ตวั ชักนาํ มาซ่ึงภพ คอื ใหเ กดิ ปฏสิ นธิในภพทงั้ หลาย — Mano- sa¤cetanàhàra: nutriment consisting of mental volition; mental choice as nutriment) เมอ่ื กําหนดรูมโนสญั เจตนาหารไดแ ลว ก็เปนอันกําหนดรตู ัณหา 3 ไดด วย. 4. วญิ ญาณาหาร (อาหารคอื วญิ ญาณ ไดแ ก วญิ ญาณเปน ปจ จยั ใหเ กดิ นามรปู — Vi¤¤àõàhàra: nutriment consisting of consciousness; consciousness as nutriment) เมอื่ กําหนดรู วิญญาณาหารไดแลว กเ็ ปน อันกําหนดรูนามรูปไดดว ย. D.III.228; M.I.48; S.II.101; Vbh.401. ท.ี ปา.11/244/240; ม.ม.ู 12/113/87; ส.ํ นิ.16/245/122; อภิ.วิ.35/1081/543. [213] อทิ ธิบาท 4 (คุณเครือ่ งใหถึงความสาํ เรจ็ , คณุ ธรรมที่นาํ ไปสูความสําเร็จแหง ผลที่มุง หมาย — Iddhipàda: path of accomplishment; basis for success) 1. ฉันทะ (ความพอใจ คอื ความตอ งการท่จี ะทํา ใฝใ จรักจะทําส่งิ นั้นอยูเสมอ และปรารถนา จะทําใหไดผ ลดยี ิ่งๆ ขน้ึ ไป — Chanda: will; zeal; aspiration) 2. วริ ิยะ (ความเพียร คือ ขยนั หมนั่ ประกอบส่งิ น้ันดวยความพยายาม เขมแขง็ อดทน เอา ธุระ ไมท อ ถอย — Viriya: energy; effort; exertion; perseverance) 3. จติ ตะ (ความคิดมงุ ไป คือ ตง้ั จิตรบั รใู นสิง่ ทท่ี าํ และทาํ สง่ิ น้ันดวยความคิด เอาจติ ฝก ใฝไ ม ปลอ ยใจใหฟ งุ ซานเลอื่ นลอยไป อทุ ิศตวั อทุ ิศใจใหแกส่งิ ทที่ าํ — Citta: thoughtfulness; active thought; dedication) 4. วมิ งั สา (ความไตรต รอง หรือ ทดลอง คอื หม่ันใชป ญ ญาพจิ ารณาใครครวญตรวจตราหา เหตุผลและตรวจสอบขอยิง่ หยอนในสง่ิ ทีท่ าํ นัน้ มกี ารวางแผน วดั ผล คดิ คน วธิ แี กไ ขปรับปรุง เปนตน — Vãma§sà: investigation; examination; reasoning; testing) D.III.221; Vbh.216. ที.ปา.11/231/233; อภิ.ว.ิ 35/505/292. [214] อุปาทาน 4 (ความยึดม่นั , ความถอื ม่นั ดวยอํานาจกเิ ลส, ความยึดตดิ อนั เนือ่ งมาแต ตัณหา ผูกพันเอาตวั ตนเปน ทตี่ ั้ง — Upàdàna: attachment; clinging; assuming) 1. กามุปาทาน (ความยดึ มัน่ ในกาม คือ รปู เสยี ง กลิ่น รส โผฏฐพั พะ ทน่ี า ใคร นา พอใจ — Kàmupàdàna: clinging to sensuality) 2. ทฏิ ปุ าทาน (ความยดึ ม่ันในทฏิ ฐิหรือทฤษฎี คือความเหน็ ลทั ธิ หรอื หลกั คาํ สอนตา งๆ — Diññhupàdàna: clinging to views) 3. สีลพั พตุปาทาน (ความยดึ มน่ั ในศีลและพรต คือ ถือวาจะบรสิ ุทธหิ์ ลุดพน ไดเ พยี งดวยศีล และวตั ร หลักความประพฤติ ขอ ปฏบิ ตั ิ แบบแผน ระเบยี บ วิธี ขนบธรรมเนียมประเพณี ลทั ธิ พธิ ตี างๆ ถอื วา จะตองเปนอยางนั้นๆ โดยสักวาทาํ สืบๆ กันมา หรือ ปฏิบัติตามๆ กันไปอยา ง

หมวด 4 161 [215] งมงาย หรือโดยนยิ มวา ขลงั วาศกั ด์สิ ทิ ธ์ิ มไิ ดเปนไปดวยความรคู วามเขา ใจตามหลกั ความ สัมพนั ธแหงเหตแุ ละผล —Sãlabbatupàdàna: clinging to mere rules and rituals) 4. อัตตวาทุปาทาน (ความยดึ มัน่ ในวาทะวาตวั ตน คือ ความถือหรอื สาํ คญั หมายอยใู นภาย ในวา มีตวั ตน ทจ่ี ะได จะเปน จะมี จะสญู สลาย ถูกบบี ค้ันทําลาย หรือเปนเจา ของ เปนนาย บังคับบญั ชาสงิ่ ตางๆ ได ไมม องเหน็ สภาวะของส่ิงท้ังปวง อนั รวมท้งั ตวั ตนวา เปนแตเ พยี งส่งิ ท่ี ประชมุ ประกอบกนั เขา เปน ไปตามเหตปุ จ จยั ทงั้ หลายทม่ี าสมั พนั ธก นั ลว นๆ — Attavàdupàdàna: clinging to the ego-belief) D.III.230; M.I.66; Vbh.375. ท.ี ปา.11/262/242; ม.มู.12/156/132; อภ.ิ วิ.35/963/506. [215] โอฆะ 4 (สภาวะอนั เปน ดุจกระแสนาํ้ หลากทวมใจสตั ว, กเิ ลสดุจนา้ํ ทวมพาผูตกไปให พนิ าศ — Ogha: the Four Floods) ไดแ ก กาม ภพ ทฏิ ฐิ อวชิ ชา [กาโมฆะ ภโวฆะ ทฏิ โฐฆะ อวิชโชฆะ] เหมือนในอาสวะ 4. ดู [136] อาสวะ 4. D.III.230,276; S.V.59; Vbh.374. ท.ี ปา.11/258/242; สํ.ม.19/333/88; อภ.ิ ว.ิ 35/963/506.

ปญ จกะ — หมวด 5 Groups of Five (including related groups) [,,,] กัลยาณธรรม 5 ดู [239] เบญจธรรม. [,,,] กามคณุ 5 ดู [6] กามคุณ 5. [,,,] กําลัง 5 ของพระมหากษัตริย ดู [230] พละ 5 ของพระมหากษตั รยิ  [216] ขนั ธ 5 หรือ เบญจขนั ธ (กองแหงรปู ธรรมและนามธรรมหาหมวดท่ปี ระชมุ กันเขา เปน หนว ยรวม ซง่ึ บญั ญตั เิ รยี กวา สัตว บคุ คล ตัวตน เรา–เขา เปนตน , สว นประกอบหาอยา ง ทร่ี วมเขาเปน ชวี ิต — Pa¤ca-khandha: the Five Groups of Existence; Five Aggregates) 1. รปู ขันธ (กองรูป, สว นทเี่ ปนรปู , รางกาย พฤตกิ รรม และคุณสมบัตติ า งๆ ของสวนทเ่ี ปน รางกาย, สวนประกอบฝายรปู ธรรมท้ังหมด, สงิ่ ท่เี ปนรางพรอมทัง้ คุณและอาการ — Råpa- khandha: corporeality) 2. เวทนาขันธ (กองเวทนา, สว นทีเ่ ปนการเสวยรสอารมณ, ความรูสกึ สขุ ทกุ ข หรอื เฉยๆ — Vedanà-khandha: feeling; sensation) 3. สญั ญาขันธ (กองสญั ญา, สวนท่เี ปนความกาํ หนดหมายใหจําอารมณน ั้นๆ ได, ความ กาํ หนดไดหมายรูในอารมณ 6 เชนวา ขาว เขียว ดํา แดง เปนตน — Sa¤¤à-khandha: perception) 4. สังขารขนั ธ (กองสังขาร, สว นทเี่ ปนความปรุงแตง, สภาพท่ีปรุงแตงจิตใหดีหรอื ชว่ั หรอื เปนกลางๆ, คณุ สมบัตติ า งๆ ของจติ มีเจตนาเปน ตวั นํา ทปี่ รุงแตง คุณภาพของจติ ใหเ ปนกศุ ล อกุศล อัพยากฤต — Saïkhàra-khandha: mental formations; volitional activities) 5. วญิ ญาณขนั ธ (กองวญิ ญาณ, สว นทเี่ ปน ความรแู จง อารมณ, ความรอู ารมณท างอายตนะทงั้ 6 มีการเห็น การไดย นิ เปน ตน ไดแก วญิ ญาณ 6 — Vi¤¤àõa-khandha: consciousness) ขนั ธ 5 นี้ ยอลงมาเปน 2 คอื นาม และ รปู ; รปู ขันธจ ดั เปน รูป, 4 ขนั ธนอกนั้นเปน นาม. อกี อยา งหนง่ึ จัดเขาในปรมตั ถธรรม 4: วญิ ญาณขันธเ ปน จติ , เวทนาขันธ สัญญาขนั ธ และ สังขารขันธ เปน เจตสิก, รปู ขันธ เปน รปู , สว น นิพพาน เปนขนั ธวินิมตุ คือ พนจากขันธ 5 เร่อื งขนั ธ 5 พึงดูประกอบในหมวดธรรมอนื่ ๆ เชน 1. รูปขนั ธ ดู [37] รูป 2; [38] รปู 28; [39] มหาภูต 4; [40] อุปาทายรปู 24. 2. เวทนาขนั ธ ดู [110] เวทนา 2; [111] เวทนา 3; [112] เวทนา 5; [113] เวทนา 6.

หมวด 5 163 [218] 3. สญั ญาขนั ธ ดู [271] สญั ญา 6. 4. สังขารขันธ ดู [119] สังขาร 3 1; [120] สงั ขาร 3 2; [129] อภสิ ังขาร 3; [263] เจตนา 6. 5. วญิ ญาณขันธ ดู [268] วญิ ญาณ 6. นอกน้ี ดู [356] จิตต 89; [355] เจตสิก 52 S.III.47; Vbh.1. ส.ํ ข.17/95/58; อภ.ิ วิ.35/1/1. [,,,] คติ 5 ดู [351] ภูมิ 4. [217] จักขุ 5 (พระจักษุอนั เปนสมบัติของพระผมู พี ระภาคเจา — Cakkhu: the Five Eyes of the Blessed One) 1. มังสจักขุ (ตาเนอื้ คอื ทรงมพี ระเนตรอันงาม มีอาํ นาจ เห็นแจม ใส ไว และเหน็ ไกล — Ma§sa-cakkhu: the physical eye which is exceptionally powerful and sensitive) 2. ทิพพจักขุ (ตาทิพย คือ ทรงมพี ระญาณอันเหน็ หมสู ตั วผเู ปน ไปตางๆ กนั ดวยอํานาจกรรม — Dibba-cakkhu: the Divine Eye) 3. ปญญาจกั ขุ (ตาปญ ญา คอื ทรงประกอบดวยพระปญญาคณุ ยงิ่ ใหญ เปนเหตุใหส ามารถ ตรสั รอู ริยสจั จธรรม เปน ตน — Pa¤¤à-cakkhu: the eye of wisdom; Wisdom-Eye) 4. พทุ ธจักขุ (ตาพระพทุ ธเจา คอื ทรงประกอบดว ยอนิ ทรยี ปโรปรยิ ตั ตญาณ และอาสยานสุ ย- ญาณ เปนเหตุใหทรงทราบอัธยาศัยและอุปนิสัยแหงเวไนยสัตว แลวทรงสั่งสอนแนะนําให บรรลคุ ุณวเิ ศษตา งๆ ยงั พุทธกจิ ใหบรบิ รู ณ — Buddha-cakkhu: the eye of a Buddha; Buddha-Eye) 5. สมันตจักขุ (ตาเห็นรอบ คอื ทรงประกอบดว ยพระสัพพัญตุ ญาณ อนั หยั่งรธู รรมทุก ประการ — Samanta-cakkhu: the eye of all-round knowledge; All-seeing Eye; omniscience) Nd2235. ข.ุ ม.29/51/52. [,,,] ฌาน 5 ดู [9] ฌาน 4. [218] ธรรมขันธ 5 (กองธรรม, หมวดธรรม, ประมวลธรรมทงั้ ปวงเขาเปน หัวขอ ใหญ — Dhamma-khandha: bodies of doctrine; categories of the Teaching) 1. สีลขนั ธ (กองศลี , หมวดศลี ประมวลธรรมทัง้ หลาย เชน อปจายนมัย เวยยาวัจจมยั ปาตโิ มกขสงั วร กายสุจรติ สมั มาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ เปน ตน — Sãla- khandha: body of morals; virtue category) 2. สมาธขิ นั ธ (กองสมาธิ, หมวดสมาธิ ประมวลธรรมทั้งหลาย เชน ฉันทะ วิรยิ ะ จิตตะ สัมมาวายามะ สมั มาสติ สมั มาสมาธิ เปน ตน — Samàdhi-khandha: body of concen- tration; concentration category)

[219] 164 พจนานุกรมพุทธศาสตร 3. ปญญาขนั ธ (กองปญ ญา, หมวดปญญา ประมวลธรรมท้งั หลาย เชน ธัมมวิจยะ วิมงั สา ปฏสิ ัมภิทา สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกปั ปะ เปน ตน — Pa¤¤à-khandha: body of wisdom or insight; understanding category) 4. วิมตุ ตขิ ันธ (กองวมิ ุตติ, หมวดวิมุตติ ประมวลธรรมท้ังหลาย เชน ปหาน วิราคะ วโิ มกข วสิ ุทธิ สนั ติ นิโรธ นิพพาน เปน ตน — Vimutti-khandha: body of deliverance; deliver- ance category) 5. วิมุตตญิ าณทสั สนขันธ (กองวิมุตตญิ าณทัสสนะ, หมวดธรรมเกยี่ วกับการรกู ารเหน็ ใน วิมตุ ติ ประมวลธรรมทัง้ หลาย เชน ผลญาณ ปจ จเวกขณญาณ เปนตน — Vimutti¤àõa- dassana-khandha: body of the knowledge and vision of deliverance; knowing- and-seeing-of-deliverance category) ธรรมขนั ธ 4 ขอ ตน เรียกอกี อยา งวา สาระ 4 (แกน , หลกั ธรรมทีเ่ ปน แกน , หวั ใจธรรม — essences) D.III.279; A.III.134; A.II.140. ท.ี ปา.11/420/301; องฺ.ปจฺ ก.22/108/152; อง.ฺ จตกุ กฺ .21/150/189. [219] ธรรมเทสกธรรม 5 (ธรรมของนกั เทศก, องคแ หงธรรมกถึก, ธรรมท่ผี แู สดงธรรม หรอื สง่ั สอนคนอืน่ ควรต้งั ไวใ นใจ — Dhammadesaka-dhamma: qualities of a preacher; qualities which a teacher should establish in himself) 1. อนปุ พุ พฺ ิกถํ (กลา วความไปตามลําดบั คอื แสดงหลักธรรมหรอื เนื้อหาวชิ าตามลําดบั ความ งายยากลุมลึก มีเหตุผลสัมพันธตอเนื่องกันไปโดยลําดับ — Anupubbikatha§: His instruction or exposition is regulated and gradually advanced.) 2. ปริยายทสฺสาวี (ช้ีแจงยกเหตุผลมาแสดงใหเขา ใจ คือ ชแ้ี จงใหเขาใจชดั ในแตล ะแงแ ตละ ประเดน็ โดยอธบิ ายขยายความ ยักเย้อื งไปตา งๆ ตามแนวเหตผุ ล — Pariyàyadassàvã: It has reasoning or refers to causality.) 3. อนุทยตํ ปฏจิ ฺจ (แสดงธรรมดวยอาศัยเมตตา คอื สอนเขาดวยจติ เมตตา มงุ จะใหเ ปน ประโยชนแกเขา — Anudayata§ pañicca: It is inspired by kindness; teaching out of kindliness.) 4. น อามิสนฺตโร (ไมแสดงธรรมดวยเหน็ แกอ ามิส คอื สอนเขามใิ ชเ พราะมงุ ท่ตี นจะไดลาภ หรอื ผลประโยชนตอบแทน — Na àmisantaro: It is not for worldly gain.) 5. อตฺตานฺจ ปรจฺ อนุปหจจฺ (แสดงธรรมไมก ระทบตนและผอู ่ืน คือ สอนตามหลักตาม เนอื้ หา มงุ แสดงอรรถ แสดงธรรม ไมย กตน ไมเ สยี ดสขี ม ขี่ผูอ น่ื — Anupahacca: It does not hurt oneself or others; not exalting oneself while contempting others.) A.III.184. อง.ฺ ปจฺ ก.22/159/205. [220] ธรรมสมาธิ 5 (ธรรมท่ีทําใหเ กดิ ความมน่ั สนิทในธรรม เกิดความมนั่ ใจในการปฏบิ ตั ิ

หมวด 5 165 [222] ธรรมถกู ตอ ง กําจดั ความของใจสงสยั เสียได เมื่อเกิดธรรมสมาธิ คือความมั่นสนทิ ในธรรม ก็ จะเกดิ จติ ตสมาธิ คอื ความตั้งมน่ั ของจิต — Dhamma-samàdhi: concentration of the Dhamma; virtues making for firmness in the Dhamma) 1. ปราโมทย (ความชนื่ บานใจ ราเริงสดใส — Pàmojja: cheerfulness; gladness; joy) 2. ปติ (ความอิม่ ใจ, ความปล้มื ใจ — Pãti: rapture; elation) 3. ปสสัทธิ (ความสงบเยน็ กายใจ, ความผอ นคลายร่ืนสบาย – Passaddhi: tranquillity; relaxedness) 4. สุข (ความรื่นใจไรความของขดั — Sukha: happiness) 5. สมาธิ (ความสงบอยูตัวม่ันสนิทของจิตใจ ไมมีสิ่งรบกวนเราระคาย — Samàdhi: concentration) ธรรม หรอื คุณสมบัติ 5 ประการนี้ ตรัสไวท่ัวไปมากมาย เมอื่ ทรงแสดงการปฏิบตั ธิ รรมท่ี กา วมาถึงขัน้ เกดิ ความสาํ เรจ็ ชดั เจน ตอ จากน้ี ผปู ฏบิ ัตจิ ะเดินหนา ไปสูการบรรลุผลของสมถะ (คอื ไดฌาน) หรอื ของวปิ ส สนา แลวแตก รณี ดังนั้น จงึ ใชเปนเครอื่ งวัดผลการปฏิบตั ิข้ันตอนใน ระหวา งไดด ี และเปนธรรมหรอื คณุ สมบตั สิ าํ คัญของจิตใจท่ีทุกคนควรทําใหเกดิ มีอยูเ สมอ S.IV.350. สํ.สฬ.18/665-673/429-439. [221] ธรรมสวนานสิ งส 5 (อานสิ งสใ นการฟง ธรรม — Dhammassavanànisa§sa: benefits of listening to the Dhamma) 1. อสสฺ ุตํ สณุ าติ (ยอ มไดฟ งสิง่ ท่ียังไมเคยฟง, ไดเรยี นรสู งิ่ ทีย่ งั ไมเคยเรียนรู — He hears things not heard.) 2. สตุ ํ ปริโยทเปติ (สงิ่ ที่เคยไดฟง ก็ทําใหแจม แจง เขาใจชัดเจนยิง่ ข้ึน — He clears things heard.) 3. กงฺขํ วิหนติ (แกข อสงสยั ได, บรรเทาความสงสัยเสียได — He dispels his doubts.) 4. ทิฏ ึ อุชุํ กโรติ (ทําความเห็นใหถูกตองได — He makes straight his views.) 5. จิตฺตมสฺส ปสีทติ (จิตของเขายอมผองใส — His heart becomes calm and happy.) A.III.248. อง.ฺ ปจฺ ก.22/202/276. [222] นวกภกิ ขธุ รรม 5 (ธรรมที่ควรฝกสอนภิกษุบวชใหมใ หป ระพฤติปฏิบตั ิอยา งม่ันคง, องคแหง ภิกษใุ หม — Navakabhikkhu-dhamma: qualities of a newly ordained monk; qualities which should be established in newly ordained monks) 1. ปาตโิ มกขสังวร (สํารวมในพระปาฏโิ มกข รักษาศลี เครง ครัด ทงั้ ในสวนเวน ขอหา ม และ ทําตามขออนญุ าต — Pàñimokkhasa§vara: restraint in accordance with the monastic code of discipline; self-control strictly in accordance with the fundamental training-rules)

[223] 166 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร 2. อินทรียสงั วร (สาํ รวมอนิ ทรยี  มสี ตริ ะวงั รกั ษาใจ มใิ หก เิ ลสคอื ความยนิ ดยี นิ รา ยเขา ครอบงาํ เมอ่ื รับรอู ารมณด ว ยอินทรยี ท้ัง 6 มเี ห็นรูปดว ยตาเปนตน — Indriyasa§vara: restraint of the senses; sense-control) 3. ภสั สปริยนั ตะ (พดู คยุ มขี อบเขต คอื จํากดั การพดู คยุ ใหน อย รูขอบเขต ไมเอกิ เกริกเฮฮา — Bhassapariyanta: restraint as regards talking) 4. กายวูปกาสะ (ปลกี กายอยูสงบ คือ เขา อยใู นเสนาสนะอันสงดั — Kàyavåpakàsa: seclusion as to the body; love of solitude) 5. สมั มาทสั สนะ (ปลูกฝงความเหน็ ชอบ คือ สรา งเสริมสมั มาทฏิ ฐิ — Sammàdassana: cultivation of right views.) A.III.138. องฺ.ปฺจก.22/114/156. [223] นยิ าม 5 (กาํ หนดอันแนนอน, ความเปนไปอนั มีระเบียบแนนอนของธรรมชาติ, กฎ ธรรมชาติ — Niyàma: orderliness of nature; the five aspects of natural law) 1. อตุ นุ ยิ าม (กฎธรรมชาตเิ กยี่ วกบั อณุ หภมู ิ หรอื ปรากฏการณธ รรมชาตติ า งๆ โดยเฉพาะดนิ นาํ้ อากาศ และฤดกู าล อนั เปน สงิ่ แวดลอ มสาํ หรบั มนษุ ย — Utu-niyàma: physical inorganic order; physical laws) 2. พชี นยิ าม (กฎธรรมชาตเิ กยี่ วกบั การสบื พนั ธุ มพี นั ธกุ รรมเปน ตน — Bãja-niyàma: physical organic order; biological laws) 3. จิตตนิยาม (กฎธรรมชาติเก่ยี วกบั การทํางานของจิต — Citta-niyàma: psychic law) 4. กรรมนยิ าม (กฎธรรมชาตเิ กยี่ วกบั การกระทําของมนษุ ย คือ กระบวนการใหผลของการ กระทาํ — Kamma-niyàma: order of act and result; the law of Kamma; moral laws) 5. ธรรมนยิ าม (กฎธรรมชาติเก่ียวกับความสมั พันธแ ละอาการทีเ่ ปนเหตเุ ปน ผลแกก ันแหง ส่งิ ท้ังหลาย — Dhamma-niyàma: order of the norm; the general law of cause and effect; causality and conditionality) ดู [86] ธรรมนิยาม 3; [177] สมบัติ 4; [176] วบิ ตั ิ 4 2. DA.II.432; DhsA.272. ท.ี อ.2/34; สงฺคณี.อ.408. [224] นิโรธ 5 (ความดับกิเลส, ภาวะไรกเิ ลสและไมมที ุกขเกิดข้ึน — Nirodha: extinction; cessation of defilements; non-arising of suffering) 1. วกิ ขมั ภนนโิ รธ (ดบั ดว ยขม ไว คอื การดบั กเิ ลสของทา นผบู าํ เพญ็ ฌาน ถงึ ปฐมฌาน ยอ มขม นวิ รณไ วไ ด ตลอดเวลาทอี่ ยใู นฌานนน้ั — Vikkhambhana-nirodha: extinction by suppression) 2. ตทงั คนโิ รธ (ดบั ดว ยองคน นั้ ๆ คอื ดบั กเิ ลสดว ยธรรมทเี่ ปน คปู รบั หรอื ธรรมทตี่ รงขา ม เชน ดบั สักกายทฏิ ฐดิ วยความรทู ่กี ําหนดแยกนามรูปออกได เปนการดบั ช่วั คราวในกรณีน้ันๆ — Tadaïga-nirodha: extinction by substitution of opposites)

หมวด 5 167 [226] 3. สมุจเฉทนิโรธ (ดับดว ยตดั ขาด คือ ดับกเิ ลสเสร็จส้ินเด็ดขาด ดวยโลกตุ ตรมรรค ในขณะ แหงมรรคนนั้ ชือ่ สมุจเฉทนิโรธ — Samuccheda-nirodha: extinction by cutting off or extirpation) 4. ปฏปิ สสทั ธินิโรธ (ดบั ดวยสงบระงบั คือ อาศยั โลกุตตรมรรคดบั กิเลสเดด็ ขาดไปแลว บรรลุโลกุตตรผล กิเลสเปนอนั สงบระงบั ไปหมดแลว ไมตองขวนขวายเพือ่ ดบั อีก ในขณะแหง ผลน้ันชือ่ ปฏปิ สสัทธินโิ รธ — Pañipassaddhi-nirodha: extinction by tranquillization) 5. นิสสรณนิโรธ (ดบั ดว ยสลัดออกได หรือดบั ดวยปลอดโปรง ไป คือ ดับกิเลสเสรจ็ สิ้นแลว ดํารงอยใู นภาวะท่ีกเิ ลสดบั แลวนั้นยัง่ ยนื ตลอดไป ภาวะนัน้ ช่อื นิสสรณนิโรธ ไดแกอ มตธาตุ คอื นพิ พาน — Nissaraõa-nirodha: extinction by escape; extinction by getting freed) ปหาน 5 (การละกิเลส — abandonment), วมิ ตุ ติ 5 (ความหลุดพน — deliverance), วเิ วก 5 (ความสงดั , ความปลกี ออก — seclusion), วริ าคะ 5 (ความคลายกําหนดั , ความ สํารอกออกได — detachment; dispassionateness), โวสสคั คะ 5 (ความสละ, ความปลอย — relinquishing) ก็อยางเดยี วกนั นท้ี ง้ั หมด Ps.I.27,220–221; Vism.410. ขุ.ปฏิ.31/65/39; 704/609; วสิ ทุ ฺธิ.2/249. [225] นิวรณ 5 (สงิ่ ทีก่ ้นั จติ ไมใ หก า วหนา ในคุณธรรม, ธรรมที่กน้ั จิตไมใหบ รรลุคุณความด,ี อกุศลธรรมทีท่ าํ จิตใหเ ศราหมองและทําปญ ญาใหออนกําลัง — Nãvaraõa: hindrances.) 1. กามฉนั ทะ (ความพอใจในกาม, ความตองการกามคุณ—Kàmachanda: sensual desire) 2. พยาบาท (ความคดิ รา ย, ความขัดเคอื งแคนใจ — Byàpàda: illwill) 3. ถีนมิทธะ (ความหดหแู ละเซื่องซึม — Thãna-middha: sloth and torpor) 4. อทุ ธจั จกกุ กจุ จะ (ความฟงุ ซา นและรอ นใจ, ความกระวนกระวายกลมุ กงั วล — Uddhacca- kukkucca: distraction and remorse; flurry and worry; restlessness and anxiety) 5. วจิ กิ จิ ฉา (ความลังเลสงสยั — Vicikicchà: doubt; uncertainty) A.III.62; Vbh.378. อง.ฺ ปจฺ ก.22/51/72; อภ.ิ วิ.35/983/510. [,,,] เบญจธรรม ดู [239] เบญจธรรม. [,,,] เบญจศีล ดู [238] ศลี 5 [,,,] ประโยชนท ่ีควรถือเอาจากโภคทรัพย 5 ดู [232] โภคอาทิยะ 5 [,,,] ปหาน 5 (การละกเิ ลส — Pahàna: abandonment) ดู [224] นิโรธ 5 [226] ปต ิ 5 (ความอ่ิมใจ, ความดม่ื ดา่ํ — Pãti: joy; interest; zest; rapture) 1. ขุททกาปต ิ (ปต ิเลก็ นอ ย พอขนชูชันนํ้าตาไหล — Khuddakà-pãti: minor rapture; lesser thrill)

[227] 168 พจนานุกรมพุทธศาสตร 2. ขณกิ าปติ (ปติชวั่ ขณะ ทําใหร ูส ึกแปลบๆ เปนขณะๆ ดุจฟาแลบ — Khaõikà-pãti: momentary or instantaneous joy) 3. โอกกันติกาปต ิ (ปติเปน ระลอกหรอื ปตเิ ปน พักๆ ใหรูส ึกซลู งมาๆ ในกาย ดจุ คล่ืนซัดตอง ฝง — Okkantikà-pãti: showering joy; flood of joy) 4. อุพเพคาปต ิ หรือ อุพเพงคาปต ิ (ปต โิ ลดลอย เปนอยางแรงใหรสู กึ ใจฟูแสดงอาการหรือ ทาํ การบางอยา งโดยมิไดต ้งั ใจ เชน เปลงอทุ าน เปน ตน หรอื ใหรูสึกตัวเบาลอยขึ้นไปในอากาศ — Ubbegà-pãti: uplifting joy) 5. ผรณาปติ (ปตซิ าบซาน ใหร สู กึ เย็นซา นแผเอิบอาบไปทวั่ สรรพางค ปติทป่ี ระกอบกบั สมาธิ ทา นมงุ เอาขอ น้ี — Pharaõà-pãti: suffusing joy; pervading rapture) Vism.143. วิสุทธฺ .ิ 1/182. [227] พร 5 (ส่ิงนาปรารถนาที่บุคคลหนึ่งอํานวยใหหรือแสดงความประสงคดวยความ ปรารถนาดใี หเกิดมีข้ึนแกบ คุ คลอนื่ ; ส่ิงประเสรฐิ , สิ่งดีเยยี่ ม — Vara: blessing; boon; excellent thing) พรท่รี จู กั กันมากไดแ ก ชดุ ท่มี จี าํ นวน 4 ขอ ซึ่งเรียกกนั วา จตุรพธิ พร หรอื พร 4 ประการ คอื อายุ วรรณะ สุขะ พละ Dh.109; A.II.63. ข.ุ ธ.25/18/29; องฺ.จตุกกฺ .21/58/83. พรทเ่ี ปน ชดุ มีจาํ นวน 5 ขอ บาง 6 ขอบา ง กม็ ี เชน อายุ วรรณะ สขุ ะ พละ ปฏิภาณ (องฺ. ปจฺ ก.22/37/44 = A.III.42); อายุ วรรณะ ยศ เกยี รติ สขุ ะ พละ (อง.ฺ จตกุ กฺ .21/34/45; อง.ฺ ปจฺ ก. 22/32/38; ข.ุ อติ ิ. 25/270/299 = A.II.35; A.III.36; It.89); อายุ วรรณะ สุขะ ยศ เกยี รติ สัคคะ คือ สวรรค พรอมท้ัง อุจจากลุ นี ตา คอื ความมีตระกูลสงู (องฺ.ปฺจก. 22/43/51 = A.III.48); อายุ วรรณะ ยศ สุข อาธปิ จจะ คอื ความเปนใหญ (ข.ุ เปต. 26/106/195 = Pv. 308) และชุดท่ีจะกลาวถงึ ตอ ไปคือ อายุ วรรณะ สขุ ะ โภคะ พละ อยางไรก็ดี พึงทราบวา คําวา พร ในทนี่ ี้ เปน การใชโดยอนโุ ลมตามความหมายในภาษา ไทย ซง่ึ เพ้ียนไปแลวจากความหมายเดิมในภาษาบาลี ในภาษาบาลีแตเดมิ พร หมายถึง ผล ประโยชนห รือสทิ ธพิ เิ ศษทีอ่ นญุ าตหรอื อํานวยใหต ามท่ีขอ พรทกี่ ลาวถงึ ณ ท่ีน้ีทั้งหมด ในบาลี ไมไดเ รียกวา พร แตเ รียกวา ฐานะ หรอื ธรรม ท่นี า ปรารถนา นา ใคร นา พอใจ (ซ่งึ จะบรรลไุ ด ดวยกรรมคอื การกระทาํ ท่ดี ีอนั เปน บญุ ) สําหรับพระภิกษุ พรหรอื ธรรมอันนา ปรารถนาเหลานี้ หมายถงึ คุณธรรมตางๆ ท่คี วรปลูก ฝงฝก อบรมใหเกดิ มี ดงั พทุ ธพจนวา: ภิกษุทอ งเทย่ี วอยู ภายในถิ่นทอ งเที่ยวท่ีเปนแดนของตน อันสืบทอดมาแตบ ิดา (คอื สติปฏ ฐาน 4) จักเจรญิ ดวย 1. อายุ คือ พลังท่ีหลอ เล้ียงทรงชวี ติ ใหสืบตออยไู ดย าวนาน ไดแก อทิ ธบิ าท 4 (for monks, âyu: longevity = the Four Bases of Accomplishment)

หมวด 5 169 [229] 2. วรรณะ คือ ความงามเอบิ อ่มิ ผอ งใสนา เจริญตาเจริญใจ ไดแก ศลี (Vaõõa: beauty = moral conduct) 3. สขุ ะ คอื ความสขุ ไดแ ก ฌาน 4 (Sukha: happiness = the Four Meditative Absorptions) 4. โภคะ คอื ความพรัง่ พรอ มดว ยทรพั ยส มบตั ิและอุปกรณตางๆ อันอํานวยความสุขความ สะดวกสบาย ไดแ ก อปั ปมญั ญา หรอื พรหมวหิ าร 4 (Bhoga: wealth = the Four Boundless Sublime States of Mind) 5. พละ คอื กาํ ลงั แรงความเขม แขง็ ทท่ี าํ ใหข ม ขจดั ไดแ มแ ตก าํ ลงั แหง มาร ทาํ ใหส ามารถดาํ เนนิ ชวี ติ ท่ดี ีงามปลอดโปรงเปน สุข บาํ เพ็ญกิจดวยบรสิ ุทธิ์และเตม็ ที่ ไมมีกิเลสหรอื ความทกุ ขใ ดๆ จะสามารถบบี คน้ั ครอบงํา ไดแก วมิ ุตติ ความหลุดพน หมดสน้ิ อาสวะ หรอื อรหัตตผล (Bala: strength or power = the Final Freedom) D.III.77; S.V.147. ที.ปา.11/50/85; ส.ํ ม.19/700/198. [228] พละ 5 (ธรรมอันเปนกําลงั — Bala: power) องคธ รรม 5 อยางในหมวดนี้ มชี ่ือตรงกับ อนิ ทรยี  5 จึงขอใหดทู ่ี [258] อินทรยี  5 พละหมวดนี้เปน หลักปฏบิ ัตทิ างจิตใจ ใหถ งึ ความหลดุ พนโดยตรง D.III.239; A.III.10; Vbh.342. ที.ปา.11/300/252; องฺ.ปฺจก.22/13/11; อภิ.วิ.35/844/462. [229] พละ 4 (ธรรมอนั เปน กําลงั , ธรรมอนั เปน พลังทําใหด าํ เนนิ ชวี ติ ดวยความม่นั ใจ ไมห วัน่ ตอภยั ทุกอยาง — Bala: strength; force; power) 1. ปญญาพละ (กาํ ลังปญญา — Pa¤¤à-bala: power of wisdom) 2. วิรยิ พละ (กาํ ลงั ความเพียร — Viriya-bala: power of energy or diligence) 3. อนวชั ชพละ (กําลงั สจุ รติ หรอื กาํ ลงั ความบริสุทธ์ิ, ตามศพั ทแ ปลวา กําลังการกระทําที่ไม มโี ทษ คอื มกี ายกรรม วจีกรรม มโนกรรมบริสุทธ์ิ เชนมคี วามประพฤติและหนา ทกี่ ารงาน สจุ รติ ไมมีขอ บกพรอ งเสยี หาย พูดจรงิ มเี หตผุ ล มุงดี ไมร กุ รานใหรา ยใคร ทาํ การดว ยเจตนา บรสิ ทุ ธ์ิ — Anavajja-bala: power of faultlessness, blamelessness or cleanliness) 4. สงั คหพละ (กาํ ลงั การสงเคราะห คือ การยึดเหนีย่ วนา้ํ ใจคนและประสานหมชู นไวใ นสามคั คี — Saïgaha-bala: power of sympathy or solidarity) สงเคราะหด ว ยสงั คหวตั ถุ 4 คอื 4.1 ทาน (การใหปน โดยปกตหิ มายถึง ชว ยเหลือในดานทนุ หรอื ปจจัยเครอ่ื งยงั ชีพ ตลอดจน เผอื่ แผกันดวยไมตรี อยางเลศิ หมายถึงธรรมทาน คอื แนะนาํ ส่งั สอนใหค วามรูค วามเขา ใจ จน เขารจู กั พ่ึงตนเองได — Dàna: gift; charity; benefaction) 4.2 เปยยวัชชะ (พดู จบั ใจ, = ปยวาจา คอื พูดดวยน้าํ ใจหวังดี มุงใหเปนประโยชน และรูจ กั พดู ใหเปน ผลดี ทําใหเกดิ ความเชือ่ ถอื สนิทสนม และเคารพนับถือกัน อยางเลิศหมายถึง หมั่น แสดงธรรม คอยชวยชี้แจงแนะนาํ หลักความจรงิ ความถกู ตองดงี าม แกผ ูท ต่ี องการ — Peyyavajja: kindly speech)

[230] 170 พจนานุกรมพทุ ธศาสตร 4.3 อตั ถจรยิ า (บาํ เพญ็ ประโยชน คอื ชว ยเหลือรบั ใช ทาํ งานสรางสรรค ประพฤตกิ ารที่เปน ประโยชน อยา งเลศิ หมายถงึ ชวยเหลือสงเสรมิ คนใหม คี วามเชือ่ ถือถกู ตอง (สทั ธาสัมปทา) ให ประพฤติดงี าม (สลี สมั ปทา) ใหม ีความเสียสละ (จาคสัมปทา) และใหม ปี ญ ญา (ปญญาสมั ปทา) — Atthacariyà: friendly aid; doing good; life of service) 4.4 สมานัตตตา (มีตนเสมอ คือ เสมอภาค ไมเ อาเปรยี บ ไมถือสงู ตา่ํ รว มสขุ รวมทกุ ขด วย อยา งเลศิ หมายถงึ มีความเสมอกันโดยธรรม เชน พระโสดาบันมตี นเสมอกับพระโสดาบนั เปน ตน — Samànattatà: equality; impartiality; participation) พละหมวดนี้ เปน หลักประกนั ของชวี ติ ผปู ระพฤตธิ รรม 4 นีย้ อมดาํ เนินชีวิตดวยความมน่ั ใจ เพราะเปน ผมู ีพลงั ในตน ยอมขา มพนภัยท้ัง 5 คือ 1. อาชีวติ ภัย (ภยั เน่ืองดว ยการครองชีพ — fear of troubles about livelihood) 2. อสโิ ลกภัย (ภัยคอื ความเส่อื มเสยี ช่อื เสยี ง — fear of ill-fame) 3. ปรสิ สารชั ชภยั (ภัยคือความครน่ั ครามเกอ เขนิ ในที่ชุมนมุ — fear of embarrassment in assemblies) 4. มรณภัย (ภยั คือความตาย — fear of death) 5. ทคุ คตภิ ยั (ภยั คือทคุ ติ — fear of a miserable life after death) ดู [186] สังคหวัตถุ 4. A.IV.363. องฺ.นวก.23/209/376. [230] พละ 5 ของพระมหากษตั รยิ  (พลงั ของบคุ คลผูยงิ่ ใหญทส่ี ามารถเปนกษัตรยิ  ปกครองแผนดินได — Bala: strengths of a king) 1. พาหาพละ หรือ กายพละ (กําลงั แขน หรอื กาํ ลงั กาย คือ ความแข็งแรงมีสุขภาพดี สามารถและชาํ นาญในการใชแ ขนใชม อื ใชอ าวธุ ตลอดจนมียทุ โธปกรณพ รัง่ พรอม — Bàhà- bala, Kàyabala: strength of arms) 2. โภคพละ (กาํ ลังโภคสมบัติ คือ มีทนุ ทรัพยบ รบิ ูรณ พรอมทีจ่ ะใชบ าํ รุงเลีย้ งคน และดําเนนิ กิจการไดไ มติดขดั — Bhogabala: strength of wealth) 3. อมัจจพละ (กาํ ลงั อาํ มาตย หรือกาํ ลงั ขา ราชการ คอื มที ่ปี รึกษาและขาราชการระดับ บรหิ ารทท่ี รงคุณวฒุ เิ กงกลาสามารถ และจงรักภักดี ซื่อสัตยต อแผน ดิน — Amaccabala: strength of counsellors or ministers) 4. อภชิ ัจจพละ (กาํ ลงั ความมีชาติสงู คอื กําเนิดในตระกูลสูง เปนขัตตยิ ชาตติ อ งดว ยความ นยิ มเชิดชขู องมหาชน และไดรับการฝกอบรมมาแลวเปน อยา งดีตามประเพณแี หงชาตติ ระกูล นนั้ — Abhijaccabala: strength of high birth) 5. ปญญาพละ (กําลงั ปญญา คือ ทรงปรชี าญาณ หยัง่ รูเ หตผุ ล ผดิ ชอบ ประโยชน มใิ ช ประโยชน สามารถวินิจฉัยเหตุการณท้งั ภายในภายนอก และดํารกิ ารตา งๆ ใหไ ดผ ลเปน อยา งดี

หมวด 5 171 [232] — Pa¤¤àbala: strength of wisdom) กําลังแขน หรือกาลํ ังกาย แมจะสําคัญ แตท า นจัดวาต่ําสุด หากไมม พี ลังอน่ื ควบคุมค้ําจนุ อาจกลายเปนกําลงั อนั ธพาล สวนกาํ ลังปญญา ทานจดั วา เปนกําลงั อนั ประเสริฐ เปนยอดแหง กาํ ลงั ทงั้ ปวง เพราะเปนเครอ่ื งกํากบั ควบคุม และนําทางกําลงั อ่ืนทุกอยาง J.V.120. ข.ุ ชา.27/2444/532; ชา.อ.7/348. [231] พหสู ูตมีองค 5 (คุณสมบตั ทิ ่ีทาํ ใหค วรไดร ับชื่อวา เปนพหูสูต คอื ผไู ดเ รยี นรมู าก หรอื คงแกเ รียน — Bahussutaïga: qualities of a learned person) 1. พหสุ สฺ ตุ า (ฟงมาก คอื ไดเ ลา เรียนสดบั ฟง ไวมาก — Bahussutà: having heard or learned many ideas) 2. ธตา (จาํ ได คอื จับหลักหรือสาระได ทรงจําความไวแ มนยํา — Dhatà: having retained or remembered them) 3. วจสา ปรจิ ติ า (คลองปาก คือ ทอ งบนหรอื ใชพูดอยูเสมอจนแคลวคลองจัดเจน — Vacasà paricità: having frequently practised them verbally; having consolidated them by word of mouth) 4. มนสานุเปกฺขติ า (เพง ขนึ้ ใจ คือ ใสใจนกึ คดิ พจิ ารณาจนเจนใจ นึกถึงครัง้ ใด กป็ รากฏเนอ้ื ความสวางชดั — Manasànupekkhità: having looked over them with the mind) 5. ทิฏิยา สุปฏวิ ทิ ธฺ า (ขบไดด วยทฤษฎี หรอื แทงตลอดดดี ว ยทิฏฐิ คือ มคี วามเขาใจลกึ ซงึ้ มองเหน็ ประจักษแ จงดวยปญญา ท้งั ในแงความหมายและเหตุผล — Diññhiyà supañividdhà: having thoroughly penetrated them by view) A.III.112. อง.ฺ ปจฺ ก.22/87/129. [232] โภคอาทยิ ะ 5, โภคาทิยะ 5 (ประโยชนท่ีควรถือเอาจากโภคทรพั ย หรอื เหตผุ ลที่ อรยิ สาวกควรยดึ ถือ ในการท่ีจะมหี รือครอบครองโภคทรัพย — Bhoga-àdiya: uses of possessions; benefits which one should get from wealth; reasons for earning and having wealth) อรยิ สาวกแสวงหาโภคทรพั ยมาได ดว ยน้าํ พักนํ้าแรงความขยนั หมนั่ เพียรของตน และโดย ทางสจุ รติ ชอบธรรมแลว 1. เลี้ยงตัว มารดาบิดา บุตรภรรยา และคนในปกครองทั้งหลายใหเ ปนสุข (to make oneself, one’s parents, children, wife, servants and workmen happy and live in comfort) 2. บํารุงมิตรสหายและผูรว มกิจการงานใหเ ปนสุข (to share this happiness and comfort with one’s friends) 3. ใชป องกนั ภยันตราย (to make oneself secure against all misfortunes)

[233] 172 พจนานุกรมพทุ ธศาสตร 4. ทําพลี 5 อยา ง (to make the fivefold offering) ก. ญาตพิ ลี สงเคราะหญ าติ (to relatives, by giving help to them) ข. อติถิพลี ตอนรับแขก (to guests, by receiving them) ค. ปพุ พเปตพลี ทําบญุ อุทิศใหผ ูล วงลบั (to the departed, by dedicating merit to them) ง. ราชพลี บาํ รงุ ราชการดว ยการเสยี ภาษอี ากรเปน ตน (to the king, i.e. to the government, by paying taxes and duties and so on) จ. เทวตาพลี ถวายเทวดา* คอื สกั การะบํารุงหรอื ทาํ บญุ อทุ ิศสง่ิ ท่เี คารพบชู าตามความเช่อื ถือ (to the deities, i.e. those beings who are worshipped according to one’s faith) 5. อุปถัมภบ ํารงุ สมณพราหมณผ ูประพฤตดิ ปี ฏิบตั ชิ อบ (to support those monks and spiritual teachers who lead a pure and diligent life) เมื่อใชโ ภคทรัพยทาํ ประโยชนอ ยา งนีแ้ ลว ถึงโภคะจะหมดสิน้ ไป ก็สบายใจไดวา ไดใชโ ภคะ นนั้ ใหเปน ประโยชนถ กู ตองตามเหตผุ ลแลว ถาโภคะเพ่มิ ข้นึ กส็ บายใจเชนเดียวกัน เปน อนั ไม ตองเดอื ดรอนใจในท้ังสองกรณ.ี A.III.45. อง.ฺ ปฺจก.22/41/48. [233] มจั ฉริยะ 5 (ความตระหน,่ี ความหวง, ความคดิ กดี กันไมใ หผ อู ่ืนไดดี หรือมสี ว นรว ม * ในจฬู นทิ เทส ทา นอธบิ ายความหมายของ เทวดา ไววา ไดแกส ิ่งทน่ี ับถือเปน ทกั ขิไณยของตนๆ (เย เยสํ ทกขฺ ิเณยฺยา, เต เตสํ เทวตา — พวกไหนนบั ถอื สงิ่ ใดเปนทกั ขิไณย สง่ิ น้นั ก็เปน เทวดาของพวกนั้น) และ แสดงตัวอยางไวต ามความเช่ือถอื ของคนสมยั พทุ ธกาล ประมวลไดเปน 5 ประเภท คือ 1. นักบวช นักพรต (ascetics) เชน อาชีวกเปน เทวดาของสาวกอาชีวก นิครนถ ชฎลิ ปรพิ าชก ดาบส ก็ เปน เทวดาของสาวกนคิ รนถเปน ตน เหลา น้นั ตามลาํ ดบั 2. สัตวเลย้ี ง (domestic animals) เชน ชางเปน เทวดาของพวกประพฤติพรตบชู าชา ง มา โค ไก กา เปน ตน กเ็ ปนเทวดาของพวกถือพรตบชู าสตั วนั้นๆ ตามลาํ ดับ 3. ธรรมชาติ (physical forces and elements) เชน ไฟเปนเทวดาของพวกประพฤติพรตบูชาไฟ แกว มณี ทศิ พระจนั ทร พระอาทติ ย เปนเทวดาของผูถือพรตบูชาสง่ิ นั้นๆ ตามลาํ ดับ 4. เทพช้ันต่าํ (lower gods) เชน นาคเปนเทวดาของพวกประพฤติพรตบชู านาค ครฑุ ยักษ คนธรรพ เปน เทวดาของผูถือพรตบูชานาคเปนตนเหลานัน้ ตามลาํ ดับ (พระภมู จิ ัดเขาในขอ นี)้ 5. เทพช้นั สงู (higher gods) เชน พระพรหม เปน เทวดาของพวกประพฤติพรตบูชาพระพรหม พระอินทร เปนเทวดาของผถู ือพรตบชู าพระอนิ ทร เปน ตน สําหรับชนที่ยังมีความเช่อื ถือในสง่ิ เหลา นี้ พระพุทธศาสนาสอนเปลีย่ นแปลงเพียงใหเลิกเซนสรวงสงั เวย เอาชีวิตบชู ายญั หนั มาบูชายัญชนดิ ใหม คือบริจาคทานและบําเพญ็ กุศลกรรมตางๆ อุทศิ ไปใหแ ทน คอื มุงท่ี วิธีการอันจะใหส ําเรจ็ ประโยชนกอ น สวนการเปลีย่ นแปลงความเช่อื ถอื เปน เรอื่ งของการแกไขทางสติปญญา ซึ่งประณีตขึน้ ไปอกี ชั้นหนง่ึ โดยเฉพาะนกั บวชในประเภทท่ี 1 แมส าวกใดจะเปลย่ี นมานับถอื พระพุทธศาสนา โดยสมบูรณ พระพุทธเจา กท็ รงแนะนําใหอุปถัมภบ าํ รงุ นกั บวชนนั้ ตอไป ดู Devatà ใน Pali Text Society’s Pali-English Dictionary, p. 330 ดวย Nd2308. ขุ.จู.30/120/45.

หมวด 5 173 [234] — Macchariya: meanness; avarice; selfishness; stinginess; possessiveness) 1. อาวาสมจั ฉรยิ ะ (ตระหนที่ อี่ ย,ู หวงทอ่ี าศยั เชน ภิกษหุ วงเสนาสนะ กีดกนั ผอู น่ื หรือผูมใิ ช พวกของตน ไมใหเขา อยู เปนตน — âvàsa-macchariya: stinginess as to dwelling) 2. กุลมจั ฉรยิ ะ (ตระหนีต่ ระกูล, หวงสกลุ เชน ภกิ ษุหวงสกุลอปุ ฏ ฐาก คอยกีดกนั ภกิ ษุอ่นื ไม ใหเก่ยี วขอ งไดรับการบํารุงดว ย เปน ตน — Kula-macchariya: stinginess as to family) 3. ลาภมัจฉริยะ (ตระหนีล่ าภ, หวงผลประโยชน เชน ภิกษุหาทางกีดกันไมใหล าภเกดิ ขน้ึ แก ภิกษุอ่นื — Làbha-macchariya: stinginess as to gain) 4. วณั ณมจั ฉริยะ (ตระหนีว่ รรณะ, หวงสรรี วัณณะ คอื ผิวพรรณของรา งกาย ไมพ อใจใหผอู ืน่ สวยงาม ก็ดี หวงคณุ วัณณะ คือ คําสรรเสริญคณุ ไมอยากใหใ ครมีคุณความดีมาแขงตน หรอื ไมพ อใจไดยนิ คําสรรเสรญิ คุณความดีของผอู น่ื กด็ ี ตลอดจนแบงช้ันวรรณะกนั — Vaõõa- macchariya: stinginess as to recognition; caste or class discrimination) 5. ธมั มมจั ฉรยิ ะ (ตระหนี่ธรรม, หวงวชิ าความรู และคณุ พเิ ศษทีไ่ ดบ รรลุ ไมยอมสอนไมย อม บอกผอู ่นื กลวั เขาจะรูเ ทียมเทา หรอื เกนิ ตน — Dhamma-macchariya: stinginess as to knowledge or mental achievements) D.III.234; A.III.271; Vbh.357. ท.ี ปา.11/282/246; อง.ฺ ปจฺ ก.22/254/301; อภ.ิ ว.ิ 35/978/509. [234] มาร 5 (สิง่ ที่ฆาบคุ คลใหตายจากคุณความดีหรือจากผลทีห่ มายอันประเสรฐิ , สิง่ ที่ลา ง ผลาญคุณความด,ี ตัวการท่กี าํ จัดหรอื ขดั ขวางบุคคลมใิ หบรรลผุ ลสาํ เรจ็ อันดีงาม — Màra: the Evil One; the Tempter; the Destroyer) 1. กเิ ลสมาร (มารคือกิเลส, กเิ ลสเปนมารเพราะเปน ตัวกําจดั และขดั ขวางความดี ทาํ ใหส ัตว ประสบความพินาศท้ังในปจจุบันและอนาคต — Kilesa-màra: the Màra of defilements) 2. ขนั ธมาร (มารคือเบญจขนั ธ, ขันธ 5 เปนมาร เพราะเปนสภาพอันปจจัยปรงุ แตง มีความ ขัดแยงกันเองอยภู ายใน ไมม ่นั คงทนนาน เปน ภาระในการบรหิ าร ท้ังแปรปรวนเส่ือมโทรมไป เพราะชราพยาธิเปนตน ลวนรอนโอกาสมใิ หบ คุ คลทํากจิ หนาที่ หรือบาํ เพ็ญคุณความดีไดเ ตม็ ปรารถนา อยา งแรง อาจถงึ กับพรากโอกาสน้ันโดยส้นิ เชงิ — Khandha-màra: the Màra of the aggregates) 3. อภิสงั ขารมาร (มารคืออภิสังขาร, อภิสังขารเปน มาร เพราะเปน ตวั ปรุงแตง กรรม นาํ ให เกิดชาติ ชรา เปนตน ขดั ขวางมใิ หห ลดุ พน ไปจากสงั สารทกุ ข — Abhisaïkhàra-màra: the Màra of Karma-formations) 4. เทวปตุ ตมาร (มารคือเทพบุตร, เทพยง่ิ ใหญร ะดบั สูงสุดแหง ชั้นกามาวจรตนหนง่ึ ชื่อวา มาร เพราะเปนนมิ ิตแหงความขัดขอ ง คอยขดั ขวางเหนย่ี วรั้งบคุ คลไว มใิ หล ว งพน จากแดนอาํ นาจ ครอบงําของตน โดยชักใหหวงพะวงในกามสุขไมหาญเสียสละออกไปบําเพ็ญคุณความดีที่ยิ่ง ใหญไ ด — Devaputta-màra: the Màra as deity)

[235] 174 พจนานุกรมพุทธศาสตร 5. มจั จุมาร (มารคือความตาย, ความตายเปน มาร เพราะเปนตวั การตดั โอกาสที่จะกา วหนา ตอไปในคุณความดที งั้ หลาย — Maccu-màra: the Màra as death) Vism.211; ThagA.II.16,46. วิสุทฺธิ.1/270; เถร.อ. 2/24,383,441; วินย.ฏกี า1/481. [,,,] มิจฉาวณิชชา 5 (การคาขายที่ผิดหรอื ไมชอบธรรม) เปน คําชัน้ อรรถกถา บาลเี รียก อกรณยี วณชิ ชา คอื “วณิชชาท่ไี มควรทํา” ดู [235] วณชิ ชา 5. [235] วณชิ ชา 5 (การคาขาย 5 อยาง ในท่นี ี้หมายถงึ การคา ขายทีเ่ ปน อกรณียะสาํ หรับ อบุ าสก คอื อุบาสกไมค วรประกอบ — Vaõijjà: trades which should not be plied by a lay disciple) 1. สัตถวณิชชา (คาขายอาวธุ — Sattha-vaõijjà: trade in weapons) 2. สัตตวณชิ ชา (คาขายมนษุ ย — Satta-vaõijjà: trade in human beings) 3. มังสวณิชชา (คาขายเน้ือสตั ว — Ma§sa-vaõijjà: trade in flesh; อรรถกถาแกว า เล้ยี ง สัตวไ วขาย — trade in animals for meat) 4. มัชชวณชิ ชา (คาขายของเมา — Majja-vaõijjà: trade in spirits or narcotics) 5. วิสวณชิ ชา (คาขายยาพษิ — Visa-vaõijjà: trade in poison) A.III.207. อง.ฺ ปฺจก.22/177/233. [,,,] วัฑฒิ หรือ วฒั ิ หรอื วฒุ ิ 5 ดู [249] อริยวัฑฒิ 5. [236] วมิ ุตติ 5 (ความหลดุ พน — deliverance) ดู [224] นิโรธ 5. [,,,] เวทนา 5 ดู [112] เวทนา 5. [237] เวสารชั ชกรณธรรม 5 (ธรรมทาํ ความกลา หาญ, คณุ ธรรมทที่ าํ ใหเกดิ ความแกลว กลา — Vesàrajjakaraõa-dhamma: qualities making for intrepidity) 1. ศรทั ธา (ความเชอื่ ทม่ี เี หตผุ ล มนั่ ใจในหลกั ทถี่ อื และในการดที ที่ าํ — Saddhà: faith; confidence) 2. ศลี (ความประพฤตถิ กู ตอ งดงี าม ไมผ ดิ ระเบยี บวนิ ยั ไมผ ดิ ศลี ธรรม — Sãla: good conduct; morality) 3. พาหุสจั จะ (ความเปนผไู ดศึกษาเลา เรียนมาก — Bàhusacca: great learning) 4. วิริยารัมภะ (ปรารภความเพยี ร คอื การทไ่ี ดเร่ิมลงมือทาํ ความเพียรพยายามในกิจการ นั้นๆ อยแู ลว อยางม่ันคงจริงจงั — Viriyàrambha: exertion; energy) 5. ปญ ญา (ความรอบรู เขาใจชัดในเหตผุ ล ดี ชวั่ ประโยชน มิใชป ระโยชน เปน ตน รคู ิด รู วินจิ ฉยั และรูท่ีจะจัดการ — Pa¤¤à: wisdom; understanding) A.III.127. องฺ.ปฺจก.22/101/144.

หมวด 5 175 [239] [238] ศีล 5 หรือ เบญจศลี (ความประพฤติชอบทางกายและวาจา, การรกั ษากายวาจาให เรียบรอย, การรักษาปกตติ ามระเบียบวนิ ยั , ขอปฏิบัติในการเวนจากความช่วั , การควบคมุ ตน ใหต ัง้ อยใู นความไมเ บียดเบยี น — Pa¤ca-sãla: the Five Precepts; rules of morality) 1. ปาณาตปิ าตา เวรมณี (เวน จากการปลงชวี ติ , เวนจากการฆาการประทษุ รา ยกนั — Pàõàtipàtà veramaõã: to abstain from killing) 2. อทินฺนาทานา เวรมณี (เวนจากการถือเอาของท่ีเขามิไดให, เวนจากการลัก โกง ละเมิด กรรมสิทธ์ิ ทาํ ลายทรัพยส ิน — Adinnàdànà ~: to abstain from stealing) 3. กาเมสุมิจฺฉาจารา เวรมณี (เวนจากการประพฤตผิ ดิ ในกาม, เวนจากการลว งละเมดิ สง่ิ ที่ ผูอืน่ รักใครหวงแหน — Kàmesumicchàcàrà ~: to abstain from sexual misconduct) 4. มุสาวาทา เวรมณี (เวน จากการพดู เท็จ โกหก หลอกลวง — Musàvàdà ~: to abstain from false speech) 5. สรุ าเมรยมชชฺ ปมาทฏ านา เวรมณี (เวน จากนํ้าเมาคือสรุ าและเมรยั อนั เปน ท่ตี ้งั แหง ความประมาท, เวน จากสงิ่ เสพตดิ ใหโ ทษ — Suràmerayamajjapamàdaññhànà ~: to abstain from intoxicants causing heedlessness) ศลี 5 ขอน้ี ในบาลชี ั้นเดมิ สว นมากเรยี กวา สิกขาบท 5 (ขอ ปฏบิ ตั ใิ นการฝก ตน — Sikkhàpada: training rules) บา ง ธรรม 5 บาง เมอื่ ปฏิบัตไิ ดตามน้ี ก็ชือ่ วา เปนผูม ีศลี คือ เปนเบ้อื งตน ทจี่ ัดวาเปน ผมู ศี ีล (virtuous) คําวา เบญจศีล ที่มาในพระไตรปฎก ปรากฏใน คมั ภีรชน้ั อปทาน และพทุ ธวงส ตอมาในสมัยหลัง มชี ่อื เรยี กเพ่ิมขึ้นวาเปน นิจศีล (ศีลทค่ี ฤหสั ถ ควรรักษาเปนประจํา — virtues to be observed uninterruptedly) บาง วา เปน มนษุ ยธรรม (ธรรมของมนษุ ยห รือธรรมที่ทําใหเ ปน มนษุ ย — virtues of man) บา ง ดู คําสมาทาน ใน Appendix D.III.235; A.III.203,275; Vbh.285. ท.ี ปา.11/286/247; องฺ.ปฺจก.22/172/227; 264/307; อภิ.วิ.35/767/388. [239] เบญจธรรม หรือ เบญจกลั ยาณธรรม (ธรรม 5, ธรรมอนั ดีงามหา อยาง, คุณ ธรรมหา ประการ คกู บั เบญจศีล เปน ธรรมเกอื้ กูลแกการรักษาเบญจศลี ผรู ักษาเบญจศลี ควรมี ไวป ระจาํ ใจ — Pa¤ca-dhamma: the five ennobling virtues; virtues enjoined by the five precepts) 1. เมตตาและกรุณา (ความรกั ใครปรารถนาใหมคี วามสุขความเจริญ และความสงสารคดิ ชว ยใหพนทุกข — Mettà-karuõà: loving-kindness and compassion) คูกบั ศีลขอที่ 1 2. สมั มาอาชวี ะ (การหาเลย้ี งชพี ในทางสจุ รติ — Sammà-àjãva: right means of livelihood) คกู บั ศลี ขอ ที่ 2 3. กามสงั วร (ความสงั วรในกาม, ความสาํ รวมระวังรจู กั ยบั ยัง้ ควบคุมตนในทางกามารมณ ไม ใหหลงใหลในรปู เสยี ง กลิน่ รส และสัมผัส — Kàmasa§vara: sexual restraint) คูกับศลี

[240] 176 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร ขอท่ี 3 4. สจั จะ (ความสัตย ความซ่ือตรง — Sacca: truthfulness; sincerity) คกู บั ศีลขอ ที่ 4 5. สตสิ มั ปชญั ญะ (ระลกึ ไดแ ละรตู วั อยเู สมอ คอื ฝก ตนใหเ ปน คนรจู กั ยงั้ คดิ รสู กึ ตวั เสมอวา สง่ิ ใดควรทาํ และไมค วรทาํ ระวงั มใิ หเ ปน คนมวั เมาประมาท — Sati-sampaja¤¤a: mindfulness and awareness; temperance) คกู บั ศลี ขอ ที่ 5 ขอ 2 บางแหง เปน ทาน (การแบง ปน เออ้ื เฟอ เผอื่ แผ — Dàna: giving; generosity) ขอ 3 บางแหง เปน สทารสนั โดษ (ความพอใจดว ยภรรยาของตน — Sadàrasantosa: contentment with one’s own wife) ขอ 5 บางแหง เปน อปั ปมาท (ความไมป ระมาท — Appamàda: heedfulness) เบญจธรรมนี้ ทานผกู เปน หมวดธรรมขึ้นภายหลัง จงึ มีแปลกกันไปบา ง เมอ่ื วาโดยทีม่ า หวั ขอเหลานี้สว นใหญประมวลไดจ ากความทอ นทายของกศุ ลกรรมบถขอตน ๆ. ดู [320] กุศลกรรมบถ 10 2; [238] ศลี 5. [240] ศลี 8 หรอื อัฏฐศลี (การรกั ษาระเบียบทางกายวาจา, ขอปฏิบัตใิ นการฝกหัดกาย วาจาใหย ิง่ ขน้ึ ไป — Aññha-sãla: the Eight Precepts; training rules) 1. ปาณาตปิ าตา เวรมณี (เวนจากการทาํ ชีวิตสตั วใ หต กลว งไป — Pàõàtipàtà veramaõã: to abstain from taking life) 2. อทินฺนาทานา เวรมณี (เวนจากการถอื เอาของท่เี ขามไิ ดใหดว ยอาการแหงขโมย — Adinnàdànà ~: to abstain from taking what is not given) 3. อพฺรหฺมจริยา เวรมณี (เวนจากกรรมอันมิใชพรหมจรรย, เวนจากการประพฤติผิด พรหมจรรย คือรว มประเวณี — Abrahmacariyà ~: to abstain from unchastity) 4. มุสาวาทา เวรมณี (เวน จากการพูดเท็จ — Musàvàdà ~: to abstain from false speech) 5. สรุ าเมรยมชชฺ ปมาทฏ านา เวรมณี (เวน จากนํ้าเมา คือสุราและเมรัยอนั เปน ท่ตี ง้ั แหง ความประมาท — Suràmerayamajjapamàdaññhànà ~: to abstain from intoxicants causing heedlessness) 6. วกิ าลโภชนา เวรมณี (เวนจากการบรโิ ภคอาหารในเวลาวิกาล คือต้ังแตเ ที่ยงแลว ไป จน ถึงรงุ อรุณของวันใหม — Vikàlabhojanà ~: to abstain from untimely eating) 7. นจจฺ คตี วาทติ วสิ กู ทสสฺ นมาลาคนธฺ วเิ ลปนธารณมณฑฺ นวภิ สู นฏ านา เวรมณี (เวน จากการฟอ นรํา ขบั รอ ง บรรเลงดนตรี ดกู ารละเลน อันเปนขา ศกึ ตอ พรหมจรรย การทัดทรง ดอกไม ของหอม และเคร่อื งลบู ไล ซึง่ ใชเปน เคร่ืองประดบั ตกแตง — Naccagãtavàdita- visåkadassana-màlàgandhavilepanadhàraõamaõóanavibhåsanaññhànà ~: to abstain from dancing, singing, music and unseemly shows, from wearing garlands,

หมวด 5 177 [242] smartening with scents, and embellishment with unguents) 8. อจุ จฺ าสยนมหาสยนา เวรมณี (เวน จากทนี่ อนอนั สงู ใหญห รหู ราฟมุ เฟอ ย — Uccàsayana- mahàsayanà ~: to abstain from the use of high and large luxurious couches) คําสมาทาน ใหเ ติม สกิ ฺขาปทํ สมาทยิ ามิ ตอทา ยทุกขอ แปลเพิ่มวา “ขา พเจา ขอสมาทาน สกิ ขาบท คือเจตนางดเวน จาก ... หรอื ขา พเจาขอถอื ขอ ปฏบิ ัตใิ นการฝก ตนเพ่ืองดเวน จาก ...” ศลี 8 น้ี สมาทานรกั ษาพเิ ศษในวนั อโุ บสถ เรยี กวา อโุ บสถ (Uposatha: the Observances) หรอื อโุ บสถศลี (precepts to be observed on the Observance Day) A.IV.248. อง.ฺ อฏ ก.23/131/253. [241] ศีล 8 ทัง้ อาชีวะ หรือ อาชีวฏั ฐมกศีล (ศีลมอี าชีวะเปน คํารบ 8, หลกั ความ ประพฤติรวมทัง้ อาชีวะที่บริสุทธ์ิดวยเปนขอ ท่ี 8 — âjãvaññhamaka-sãla: virtue having livelihood as eight; the set of eight precepts of which pure livelihood is the eighth) 1.–7. ตรงกับ กศุ ลกรรมบถ 7 ขอ ตน (กายกรรม 3 วจกี รรม 4) 8. สมั มาอาชวี ะ อาชวี ฏั ฐมกศีลน้ี เปน ศลี สว นอาทพิ รหมจรรย คือ เปน หลกั ความประพฤตเิ บือ้ งตนของ พรหมจรรย กลา วคอื มรรค เปนส่ิงทตี่ อ งประพฤติใหบ ริสุทธใ์ิ นขั้นตน ของการดาํ เนินตามอรยิ - อฏั ฐังคิกมรรค วาโดยสาระ อาชวี ฏั ฐมกศีล ก็คอื องคมรรค 3 ขอ ในหมวดศีล คือขอที่ 3, 4, 5 ไดแ ก สมั มาวาจา สมั มากมั มันตะ และ สมั มาอาชีวะ น่นั เอง ดู [293] มรรคมอี งค 8; [319–320] กศุ ลกรรมบถ 10. Vism.11. วิสุทฺธ.ิ 1/13. [242] ศีล 10 หรอื ทศศีล (การรกั ษาระเบยี บทางกายวาจา, ขอปฏิบตั ิในการฝกหดั กาย วาจาใหย ง่ิ ข้ึนไป — Dasa-sãla: the Ten Precepts; training rules) 6 ขอแรกเหมอื นในศลี 8; ขอท่ี 7 แยกเปน 2 ขอ ดงั นี้ 7. นจฺจคตี วาทิตวิสูกทสสฺ นา เวรมณี (เวน จากการฟอนรํา ขับรอง บรรเลงดนตรี ดู การละเลน อันเปน ขาศึกตอ พรหมจรรย — Nacca~dassanà ~: to abstain from dancing, singing, music and unseemly shows) 8. มาลาคนธฺ วเิ ลปนธารณมณฑฺ นวิภูสนฏานา เวรมณี (เวนจากการทัดทรงดอกไม ของหอม และเครอ่ื งลบู ไล ซงึ่ ใชเ ปน เครอ่ื งประดบั ตกแตง — Màlà~ñhànà ~: to abstain from wearing garlands, smartening with scents, and embellishment with unguents) เลือ่ นขอ 8 ในศลี 8 เปน ขอ 9 และเตมิ ขอ 10 ดังนี้

[243] 178 พจนานกุ รมพุทธศาสตร 10. ชาตรูปรชตปฏิคฺคหณา เวรมณี (เวนจากการรบั ทองและเงิน — Jàtaråparajata- pañiggahaõà ~: to abstain from accepting gold and silver) สกิ ขาบท 10 นี้ เปน ศีลท่ีสามเณรและสามเณรีรกั ษาเปน ประจาํ หรืออุบาสกอุบาสกิ าผมู ี อตุ สาหะจะรกั ษากไ็ ด Kh.I.1. ข.ุ ขุ.25/1/1. [,,,] สกทาคามี 5 ดู [59] สกคามี 3, 5. [,,,] สมบัตขิ องอุบาสก 5 ดู [259] อุบาสกธรรม 5. [243] สงั วร 5 (ความสํารวม, ความระวังปด กนั้ บาปอกศุ ล — Sa§vara: restraint) สงั วรศีล (ศีลคือสงั วร, ความสาํ รวมเปนศลี — virtue as restraint) ไดแ ก สังวร 5 อยา ง คอื 1. ปาฏิโมกขสังวร (สํารวมในปาฏิโมกข คอื รกั ษาสิกขาบทเครงครัดตามทท่ี รงบญั ญัติไวใ น พระปาฏโิ มกข — Pàñimokkha-sa§vara: restraint by the monastic code of discipline) 2. สติสังวร (สาํ รวมดว ยสติ คอื สาํ รวมอนิ ทรียม จี ักษุเปนตน ระวงั รักษามใิ หบาปอกุศลธรรม เขา ครอบงาํ เมอื่ เหน็ รปู เปน ตน — Sati-sa§vara: restraint by mindfulness) = อนิ ทรยี สงั วร 3. ญาณสังวร (สาํ รวมดวยญาณ คือ ตัดกระแสกิเลสมตี ณั หาเปน ตน เสยี ได ดว ยใชปญ ญา พจิ ารณา มใิ หเ ขามาครอบงาํ จติ ตลอดถงึ รูจักพิจารณาเสพปจ จยั สี่ — ¥àõa-sa§vara: restraint by knowledge) = ปจจยั ปจจเวกขณ 4. ขันติสงั วร (สาํ รวมดวยขนั ติ คอื อดทนตอ หนาว รอน หวิ กระหาย ถอยคาํ แรงรา ย และ ทุกขเวทนาตางๆ ได ไมแสดงความวกิ าร — Khanti-sa§vara: restraint by patience) 5. วริ ยิ สังวร (สํารวมดว ยความเพยี ร คอื พยายามขบั ไล บรรเทา กําจัดอกศุ ลวิตกทเ่ี กดิ ขึ้น แลวใหห มดไปเปน ตน ตลอดจนละมจิ ฉาชพี เพียรแสวงหาปจ จยั สี่เล้ียงชวี ิตดวยสัมมาชีพ ที่ เรียกวา อาชวี ปารสิ ุทธิ — Viriya-sa§vara: restraint by energy) = อาชีวปาริสทุ ธ.ิ ในคมั ภีรบางแหง ท่อี ธิบายคาํ วา วินัย แบง วนิ ัย เปน 2 คือ สงั วรวินยั กบั ปหานวนิ ยั และจาํ แนกสงั วรวนิ ยั เปน 5 มแี ปลกจากนเี้ ฉพาะขอ ท่ี 1 เปน สลี สงั วร. (ดู สตุ ตฺ .อ.1/9; สงคฺ ณ.ี อ.505; SnA.8; DhsA.351). Vism.7; PsA.14,447; VbhA.330. วิสุทฺธ.ิ 1/8; ปฏิสํ.อ.16; วิภงฺค.อ.429. [244] สทุ ธาวาส 5 (พวกมีท่ีอยูอ ันบริสทุ ธ์ิ หรือที่อยูของทานผูบ ริสุทธิ์ คอื ทีเ่ กิดของพระ อนาคามี — Suddhàvàsa: pure abodes) ไดแ ก อวหิ า อตปั ปา สทุ สั สา สทุ สั สี และ อกนษิ ฐา สุทธาวาส 5 นี้ เปน รปู าวจรภมู ิ (ช้นั จตุตถฌานภูมิ ลําดบั ที่ 3 ถงึ 7) ในพระไตรปฎกแสดง ไวในรายชื่อท่ีรวมกับภูมิอื่นๆ บางเทาที่มีเรื่องเก่ียวของ จึงไมมีรายช่ือภูมิทั้งหมดทุกช้ันทุก ระดบั ครบถว นในท่เี ดยี ว แตใ นคมั ภีรชัน้ อรรถกถาบางแหง ทานแสดงรายชอื่ ภมู ไิ วท ง้ั หมดครบ

หมวด 5 179 [246] ทุกช้ันทกุ ระดับ มจี าํ นวนรวมท้งั ส้นิ 31 ภูมิ จงึ จะแสดงความหมายของชือ่ สทุ ธาวาสภมู ิท้ัง 5 น้ี รวมไวในรายชอ่ื ภูมิ 31 น้นั ดู [250] ภูมิ 31. D.III.237; M.III.99–103; Pug.17. ที.ปา.11/2/250; ม.อุ.14/317–332/216–225; อภ.ิ ป.ุ 36/56/149. [,,,] องคแหง ธรรมกถกึ 5 ดู [219] ธรรมเทสกธรรม 5. [,,,] องคแ หง ภิกษุใหม 5 ดู [222] นวกภกิ ขุธรรม 5. [245] อนนั ตรยิ กรรม 5 (กรรมหนกั ทสี่ ดุ ฝา ยบาปอกศุ ล ซง่ึ ใหผ ลรนุ แรงตอ เนอื่ งไป โดยไมม ี กรรมอน่ื จะมากน้ั หรอื คนั่ ได — Anantariya-kamma: immediacy-deeds; heinous crimes which bring immediate, uninterrupted and uninterruptible results) 1. มาตุฆาต (ฆา มารดา — Màtughàta: matricide) 2. ปตุฆาต (ฆา บดิ า — Pitughàta: patricide) 3. อรหันตฆาต (ฆา พระอรหนั ต — Arahantaghàta: killing an Arahant) 4. โลหิตปุ บาท (ทํารายพระพุทธเจา จนถึงพระโลหิตหอ ขึ้นไป — Lohituppàda: causing a Buddha to suffer a contusion or to bleed) 5. สงั ฆเภท (ยงั สงฆใ หแตกกนั , ทาํ ลายสงฆ — Saïghabheda: causing schism in the Order) กรรม 5 นี้ ในพระบาลีเรยี กวา อนันตริกกรรม A.III.146; Vbh.378. องฺ.ปฺจก.22/129/165; อภ.ิ ว.ิ 35/984/510. [,,,] อนาคามี 5 ดู [60] อนาคามี 5. [246] อนปุ พุ พกิ ถา 5 (เรือ่ งที่กลา วถึงตามลําดบั , ธรรมเทศนาที่แสดงเนอื้ ความลมุ ลกึ ลงไป โดยลาํ ดบั เพ่อื ขัดเกลาอธั ยาศยั ของผูฟง ใหประณตี ขึ้นไปเปน ช้นั ๆ จนพรอมที่จะทําความเขา ใจ ในธรรมสว นปรมตั ถ — Anupubbikathà: progressive sermon; graduated sermon; subjects for gradual instruction) 1. ทานกถา (เรื่องทาน, กลา วถงึ การให การเสียสละเผ่ือแผแ บงปน ชวยเหลอื กัน — Dàna- kathà: talk on giving, liberality or charity) 2. สลี กถา (เรอ่ื งศลี , กลา วถงึ ความประพฤตทิ ถี่ กู ตอ งดงี าม — Sãla-kathà: talk on morality or righteousness) 3. สัคคกถา (เรื่องสวรรค, กลาวถงึ ความสุขความเจรญิ และผลที่นาปรารถนาอนั เปนสว นดี ของกาม ที่จะพึงเขา ถงึ เมอ่ื ไดป ระพฤตดิ งี ามตามหลกั ธรรมสองขอ ตน — Sagga-kathà: talk on heavenly pleasures) 4. กามาทนี วกถา (เรอื่ งโทษแหงกาม, กลาวถึงสวนเสีย ขอ บกพรอ งของกาม พรอมทั้งผล

[247] 180 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร รา ยทีส่ ืบเนอื่ งมาแตกาม อนั ไมควรหลงใหลหมกมนุ มวั เมา จนถงึ รูจกั ที่จะหนายถอนตนออกได — Kàmàdãnava-kathà: talk on the disadvantages of sensual pleasures) 5. เนกขัมมานิสงั สกถา (เรือ่ งอานสิ งสแ หงความออกจากกาม, กลา วถงึ ผลดขี องการไมห มก มุนเพลิดเพลนิ ตดิ อยูในกาม และใหมีฉนั ทะทจ่ี ะแสวงความดงี ามและความสขุ อนั สงบทป่ี ระณีต ยิง่ ขนึ้ ไปกวา นนั้ — Nekkhammànisa§sa-kathà: talk on the benefits of renouncing sensual pleasures) ตามปกติ พระพุทธเจา เม่อื จะทรงแสดงพระธรรมเทศนาแกคฤหัสถ ผมู ีอุปนสิ ยั สามารถท่ี จะบรรลธุ รรมพิเศษ ทรงแสดงอนุปุพพกิ ถานกี้ อน แลวจึงตรัสแสดงอรยิ สัจจ 4 เปนการทาํ จิต ใหพรอ มทจี่ ะรบั ดจุ ผา ท่ีซักฟอกสะอาดแลว ควรรบั นา้ํ ยอ มตา งๆ ไดด ว ยดี Vin.I.15; D.I.148. วินย.4/27/32; ท.ี สี.9/237/189. [247] อภณิ หปจ จเวกขณ 5 (ขอทส่ี ตรีก็ตาม บุรุษก็ตาม คฤหสั ถก ต็ าม บรรพชติ กต็ าม ควรพจิ ารณาเนืองๆ — Abhiõhapaccavekkhaõa: ideas to be constantly reviewed; facts which should be again and again contemplated) 1. ชราธัมมตา (ควรพิจารณาเนอื งๆ วา เรามคี วามแกเ ปนธรรมดา ไมลว งพนความแกไปได — Jaràdhammatà: He should again and again contemplate: I am subject to decay and I cannot escape it.) 2. พยาธธิ มั มตา (ควรพจิ ารณาเนอื งๆ วา เรามคี วามเจบ็ ปว ยเปน ธรรมดา ไมล ว งพน ความ เจบ็ ปว ยไปได — Byàdhidhammatà: I am subject to disease and I cannot escape it.) 3. มรณธมั มตา (ควรพิจารณาเนอื งๆ วา เรามคี วามตายเปน ธรรมดา ไมล ว งพน ความตายไป ได — Maraõadhammatà: I am subject to death and I cannot escape it.) 4. ปย วนิ าภาวตา (ควรพิจารณาเนืองๆ วา เราจักตองมคี วามพลดั พรากจากของรักของชอบ ใจท้งั ส้นิ — Piyavinàbhàvatà: There will be division and separation from all that are dear to me and beloved.) 5. กมั มัสสกตา (ควรพจิ ารณาเนืองๆ วา เรามกี รรมเปน ของตน เราทํากรรมใด ดกี ็ตาม ชัว่ ก็ ตาม จกั ตอ งเปน ทายาท ของกรรมน้ัน — Kammassakatà: I am owner of my deed, whatever deed I do, whether good or bad, I shall become heir to it.) ขอ ที่ควรพจิ ารณาเนืองๆ 5 อยา งน้ี มีวัตถุประสงคเพอ่ื ละสาเหตุตางๆ มคี วามมัวเมา เปนตน ทท่ี าํ ใหสตั วท ั้งหลายตกอยใู นความประมาท และประพฤติทุจริตทางไตรทวาร กลา วคือ ขอ 1 เปนเหตุละหรอื บรรเทาความเมาในความเปน หนุมสาวหรอื ความเยาววยั ขอ 2 เปนเหตลุ ะหรอื บรรเทาความเมาในความไมมีโรค คือ ความแขง็ แรงมสี ุขภาพดี ขอ 3 เปนเหตลุ ะหรือบรรเทาความเมาในชวี ติ ขอ 4 เปนเหตุละหรอื บรรเทาความยึดตดิ ผกู พนั ในของรกั ทัง้ หลาย

หมวด 5 181 [248] ขอ 5 เปนเหตุละหรือบรรเทาความทจุ รติ ตางๆ โดยตรง เมอ่ื พจิ ารณาขยายวงออกไป เหน็ วามิใชตนผูเดียวท่ีตอ งเปน อยางนี้ แตเปนคตธิ รรมดา ของสตั วท ้งั ปวงทจ่ี ะตอ งเปน ไป เมือ่ พจิ ารณาเห็นอยา งนี้เสมอๆ มรรคก็จะเกิดขึน้ เม่อื เจรญิ มรรคนน้ั มากเขา กจ็ ะละสังโยชนทัง้ หลาย สนิ้ อนุสัยได. A.III.71. องฺ.ปฺจก.22/57/81. [248] ปพพชติ อภิณหปจ จเวกขณ 10 (ธรรมทีบ่ รรพชิตควรพิจารณาเนืองๆ — Pabbajita-abhiõhapaccavekkhaõa: ideas to be constantly reviewed by a monk; facts which the monk should again and again contemplate) บรรพชติ ควรพิจารณาเนอื งๆ วา (เตมิ ลงหนา ขอ ความทกุ ขอ ) 1. เราถงึ ความมีเพศตา งจากคฤหัสถแ ลว * (I have come to a status different from that of a layman.) ขอน้ีบาลวี า “เววณณฺ ิยมฺหิ อชฺฌปู คโต” ในทีน่ ้ีแปล เววณณฺ ยิ วา ความมีเพศตา ง (จาก คฤหัสถ) แตห ลายทาน แปลวา ความปราศจากวรรณะ (casteless state) คอื เปน คนนอก ระบบชนชนั้ หรอื หมดวรรณะ คือ หมดฐานะในสงั คม หรือเปน คนนอกสงั คม (outcast) ความ ตาง หรือปราศจาก หรือหมดไปน้ี อรรถกถาอธิบายวา เปน ไปในสองทาง คือ ทางสรีระ เพราะ ปลงผมและหนวดแลว และทางบรขิ าร คือเครือ่ งใช เพราะแตก อ นครงั้ เปน คฤหัสถ เคยใชผ า ดๆี รับประทานอาหารรสเลศิ ในภาชนะเงนิ ทอง เปน ตน ครั้นบวชแลว ก็นุง หม ผายอ มฝาดฉนั อาหารคลกุ เคลาในบาตรเหล็กบาตรดิน ปูหญานอนตา งเตียง เปน ตน สว นวัตถุประสงคแหง การพจิ ารณาธรรมขอน้ี อรรถกถาแกวา จะละความกาํ เรบิ ใจ (ความ จจู ้ีเงา งอน) และมานะ (ความถอื ตวั ) เสยี ได. 2. การเล้ยี งชีพของเราเนอ่ื งดว ยผูอ นื่ ** (คือตอ งอาศยั ผูอนื่ — My livelihood is bound up with others.) วัตถปุ ระสงค ตามอรรถกถาแกว า เพ่ือใหมีอริ ิยาบถเรียบรอ ยเหมาะสม มอี าชวี ะบริสุทธิ์ เคารพในบิณฑบาต และบรโิ ภคปจ จยั สี่ดว ยใสใ จพจิ ารณา 3. เรามีอากัปกริ ิยาอยา งอืน่ ทจี่ ะพึงทํา*** (I have a different way to behave.) อรรถกถาอธบิ ายวา เราควรทาํ อากัปป (คอื กิริยามารยาท) ทต่ี างจากของคฤหัสถ เชน มี * ใน นวโกวาท มตี อวา “อาการกิรยิ าใดๆ ของสมณะ เราตอ งทําอาการกริ ยิ าน้ันๆ“ ** ใน นวโกวาท มตี อวา “เราควรทาํ ตวั ใหเขาเล้ียงงาย.” *** ใน นวโกวาท ทรงเรียงเปนขอ ความใหมวา “อาการกายวาจาอยางอน่ื ทเ่ี ราจะตอ งทําใหดขี ึ้นไปกวา นี้ยงั มี อยูอกี ไมใชเพยี งเทา น้ี.” จะเห็นวา ขอ 1 กบั ขอ 3 ทรงตคี วามตางออกไป ถาแปลตามนยั อรรถกถา ขอ 1 จะไดวา “เราเปนผูหมดวรรณะ คือไมม ีฐานะในสงั คมแลว จะตองไมมคี วามกระดา งถอื ตวั ใดๆ” ขอ 3 จะได วา “เราจะตอ งมีอาการกริ ิยาตา งจากคฤหสั ถ สํารวมใหเ หมาะกับความเปน สมณะ”. (องฺ.อ.3/395)

[249] 182 พจนานุกรมพทุ ธศาสตร อินทรยี สงบ กา วเดนิ สมํ่าเสมอ เปนตน และแสดงวัตถปุ ระสงควา เพื่อใหมีอริ ยิ าบถเรยี บรอ ย เหมาะสม บาํ เพ็ญไตรสกิ ขาไดบริบรู ณ 4. ตวั เรายังตเิ ตยี นตวั เราเองโดยศลี ไมไดอ ยหู รือไม (Can I still not reproach myself on my virtue’s account?) ขอนี้ มวี ัตถุประสงคเ พือ่ ใหเกิดหิริพรัง่ พรอมอยใู นใจ ชวยใหม ีสังวรทางไตรทวาร 5. เพื่อนพรหมจรรยทั้งหลายผูเปนวิญูชนพิจารณาแลว ยังติเตียนเราโดยศีลไมไดอยู หรอื ไม (Do my discerning fellows in the holy life, on considering me, not reproach me on my virtue’s account?) ขอ น้ี มวี ตั ถปุ ระสงคเพ่อื ใหดาํ รงโอตตัปปะในภายนอกไวไ ด ชวยใหมสี งั วรทางไตรทวาร 6. เราจกั ตอ งมคี วามพลัดพรากจากของรกั ของชอบใจทงั้ สนิ้ (There will be division and separation from all that are dear to me and beloved.) ขอนี้ มีวตั ถปุ ระสงคเพอื่ ใหเปนผูไ มป ระมาท และเปนอนั ไดต้งั มรณสตไิ ปดว ย 7. เรามกี รรมเปน ของตน เราทาํ กรรมใด ดกี ต็ าม ชวั่ กต็ าม จกั ตอ งเปน ทายาทของกรรมนน้ั (I am owner of my deed, whatever deed I do, whether good or bad, I shall become heir to it.) ขอ นี้ มวี ตั ถปุ ระสงคเพื่อปอ งกนั มใิ หก ระทาํ ความชว่ั 8. วนั คนื ลว งไปๆ เราทาํ อะไรอยู (How has my passing of the nights and days been?) ขอน้ี มวี ตั ถุประสงคเ พือ่ ทําความไมป ระมาทใหบรบิ รู ณ 9. เรายนิ ดใี นท่สี งัดอยูหรือไม (Do I delight in a solitary place or not?) ขอนี้ มวี ตั ถปุ ระสงคเ พือ่ ทาํ กายวิเวกใหบรบิ ูรณ 10. คุณวเิ ศษย่ิงกวามนษุ ยส ามญั ทีเ่ ราบรรลแุ ลว มีอยหู รอื ไม ทีจ่ ะใหเ ราเปน ผูไมเ กอเขนิ เมือ่ ถูกเพอื่ นบรรพชิตถาม ในกาลภายหลัง (Have I developed any extraordinary qualities whereon when later questioned by my fellows in the holy life I shall not be confounded?) ขอ นี้ มีวตั ถปุ ระสงคเพ่ือมิใหเ ปน ผตู ายเปลา A.V.87; Netti.185. องฺ.ทสก.24/48/91; อง.ฺ อ.3/395. [,,,] อรหันต 5 ดู [62] อรหนั ต 5. [249] อริยวฑั ฒิ หรือ อารยวฒั ิ 5 (ความเจรญิ อยา งประเสรฐิ , หลกั ความเจรญิ ของอารย ชน — Ariyà vaóóhi: noble growth; development of a civilized or righteous man) 1. ศรทั ธา (ความเชื่อ ความม่นั ใจในพระรัตนตรยั ในหลักแหง ความจริงความดงี ามอันมเี หตุ ผล — Saddhà: confidence) 2. ศลี (ความประพฤติดี มีวินัย เลยี้ งชีพสจุ ริต — Sãla: good conduct; morality)