หมวด 4 133 [170] 3) มีภยั อนั ตราย ไมล ะทิ้ง 4) แมช วี ิตก็สละใหไ ด a) He tells you his secrets. b) He keeps secret your secrets. c) He does not forsake you in your troubles. d) He can even die for your sake. 3. มติ รแนะประโยชน (อตั ถกั ขายี — Atthakkhàyã: the man who gives good counsel) มลี กั ษณะ 4 คอื 1) จะทําชั่วเสยี หาย คอยหามปรามไว 2) คอยแนะนําใหต ้งั อยูใ นความดี 3) ใหไ ดฟ งไดร สู งิ่ ท่ีไมเคยไดรูไดฟง 4) บอกทางสขุ ทางสวรรคใ ห a) He keeps you back from evil. b) He encourages you to do good. c) He informs you of what you have not heard. d) He shows you the way to heaven. 4. มิตรมีนํ้าใจ (อนกุ ัมปกะ มิตรมีความรักใคร หรือมติ รผรู ักใครเ อ็นดู — Anukampaka: the man who sympathizes) มลี ักษณะ 4 คือ 1) เพ่ือนมที ุกข พลอยไมสบายใจ (ทกุ ข ทุกขด วย) 2) เพื่อนมสี ขุ พลอยแชมชื่นยินดี (สุข สุขดวย) 3) เขาตเิ ตยี นเพ่อื น ชวยยับยง้ั แกใ ห 4) เขาสรรเสริญเพื่อน ชวยพดู เสริมสนับสนุน a) He does not rejoice over your misfortunes. b) He rejoices in your good fortune. c) He protests against anyone who speaks ill of you. d) He admires those who speak well of you. D.III.187. ที.ปา.11/192/201. [170] โยคะ 4 (สภาวะอันประกอบสตั วไวในภพ หรอื ผกู กรรมไวกับวบิ าก — Yoga: the Four Bonds) ไดแก กาม ภพ ทิฏฐิ อวิชชา เหมือนในอาสวะ 4. ดู [136] อาสวะ 4. D.III.230; A.II.10; Vbh.374. ที.ปา.11/259/242; อง.ฺ จตกุ กฺ .21/10/13; อภ.ิ ว.ิ 35/963/506.
[171] 134 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร [171] โยนิ 4 (กาํ เนดิ , แบบหรือชนิดของการเกิด — Yoni: ways or kinds of birth; modes of generation) 1. ชลาพุชะ (สัตวเ กดิ ในครรภ คือ คลอดออกมาเปน ตวั เชน คน โค สนุ ัข แมว เปนตน — Jalàbuja: the viviparous; womb-born creatures) 2. อณั ฑชะ (สตั วเ กดิ ในไข คอื ออกไขเ ปน ฟองกอ นแลว จงึ ฟก เปน ตวั เชน นก เปด ไก เปน ตน — Aõóaja: the oviparous; egg-born creatures) 3. สงั เสทชะ (สตั วเ กดิ ในไคล คอื เกดิ ในของชน้ื แฉะหมกั หมมเนา เปอ ย ขยายแพรอ อกไปเอง เชน กมิ ชิ าตบิ างชนดิ — Sa§sedaja: putrescence-born creatures; moisture-born creatures) 4. โอปปาตกิ ะ (สตั วเ กดิ ผดุ ขน้ึ คอื เกดิ ผดุ เตม็ ตวั ในทนั ใด ไดแ ก เทวดา สตั วน รก มนษุ ยบ าง พวก และเปรตบางพวก ทา นวา เกดิ และตาย ไมต อ งมเี ชอ้ื หรอื ซากปรากฏ — Opapàtika: spontaneously born creatures; the apparitional) D.III.230; M.I.73. ที.ปา.11/263/242; ม.มู.12/169/147. [,,,] ราชสงั คหวัตถุ 4 ดู [187] สังคหวตั ถุของผูครองแผน ดนิ 4. [172] ลลี าการสอน หรอื พุทธลลี าในการสอน หรอื เทศนาวธิ ี 4 (การสอนของ พระพุทธเจาแตล ะครั้ง แมทีเ่ ปน เพยี งธรรมีกถา หรือการสนทนาท่ัวไป ซึง่ มใิ ชค ราวท่ีมีความมุง หมายเฉพาะพิเศษ ก็จะดําเนินไปอยางสําเร็จผลดีโดยมีองคประกอบท่ีเปนคุณลักษณะ 4 ประการ — Desanàvidhi: the Buddha’s style or manner of teaching) 1. สันทัสสนา (ช้แี จงใหเหน็ ชดั คอื จะสอนอะไร ก็ชแ้ี จงจําแนกแยกแยะอธบิ ายและแสดง เหตุผลใหชัดเจน จนผูฟงเขาใจแจมแจง เห็นจริงเห็นจัง ดังจูงมือไปดูเห็นกับตา — Sandassanà: elucidation and verification) 2. สมาทปนา (ชวนใจใหอ ยากรบั เอาไปปฏบิ ัติ คือ สงิ่ ใดควรปฏิบตั หิ รือหัดทาํ กแ็ นะนาํ หรือ บรรยายใหซ าบซ้งึ ในคณุ คา มองเหน็ ความสําคญั ทจ่ี ะตอ งฝก ฝนบาํ เพ็ญจนใจยอมรับ อยากลง มือทาํ หรือนําไปปฏิบัติ — Samàdapanà: incitement to take upon oneself; inspiration towards the goal) 3. สมตุ เตชนา (เราใจใหอ าจหาญแกลวกลา คอื ปลุกเราใจใหกระตือรอื รน เกดิ ความอตุ สาหะ มกี าํ ลังใจแขง็ ขนั มน่ั ใจทจ่ี ะทําใหส ําเร็จจงได สูงาน ไมห ว่นั ระยอ ไมกลวั เหนือ่ ย ไมก ลัวยาก — Samuttejanà: urging; encouragement; animation; filling with enthusiasm) 4. สมั ปหงั สนา (ปลอบชโลมใจใหส ดช่ืนราเรงิ คือ บํารุงจิตใหแชม ชนื่ เบิกบาน โดยชใ้ี หเ หน็ ผลดีหรือคุณประโยชนท่ีจะไดรับและทางที่จะกาวหนาบรรลุผลสําเร็จย่ิงข้ึนไป ทําใหผูฟงมี ความหวังและรา เรงิ เบกิ บานใจ — Sampaha§sanà: gladdening; exhilaration; filling with delight and joy)
หมวด 4 135 [175] อรรถกถาชแ้ี จงเพมิ่ เติมวา ขอ 1 ปลดเปล้ืองความเขลาหรือความมดื มวั ขอ 2 ปลด เปลือ้ งความประมาท ขอ 3 ปลดเปลอื้ งความอืดครา น ขอ 4 สมั ฤทธก์ิ ารปฏบิ ัติ จาํ 4 ขอนี้ สนั้ ๆ วา ชใ้ี หช ดั ชวนใหป ฏบิ ตั ิ เรา ใหก ลา ปลกุ ใหร า เรงิ หรอื แจม แจง จงู ใจ แกลว กลา รา เรงิ D.I.126; etc.; DA.II.473; UdA.242,361,384. ที.สี.9/198/161; ฯลฯ, ที.อ.2/89; อ.ุ อ.304,457,490. [173] วรรณะ 4 (ชนชนั้ ในสงั คมอินเดีย ท่กี ําหนดดวยชาตกิ ําเนิด ตามหลกั ศาสนาพราหมณ — Vaõõa: castes) 1. กษตั รยิ (ชนชน้ั เจา , ชนชน้ั ปกครองหรอื นกั รบ — Khattiya: the warrior-caste; warrior- rulers; noblemen) 2. พราหมณ (ชนชน้ั เจา ตาํ ราเจาพิธี, พวกพราหมณ — Bràhmaõa: the priestly caste; brahmins) 3. แพศย (ชนชน้ั พอ คา และกสกิ ร — Vessa: the trading and agricultural caste; merchants and farmers) 4. ศทู ร (ชนชนั้ ตา่ํ , พวกทาสกรรมกร — Sudda: the low caste; labourers and servants) M.II.128. ม.ม.13/576/520. [174] วิธีปฏิบตั ิตอทกุ ข– สุข 4 (หลกั การเพยี รพยายามใหไ ดผ ลในการละทกุ ขล สุ ขุ , การ ปฏบิ ตั ทิ ถ่ี กู ตอ งตอ ความทกุ ขแ ละความสขุ ซง่ึ เปน ไปตามหลกั พระพทุ ธศาสนา ทแี่ สดงวา ความ เพยี รพยายามทถ่ี กู ตอ ง จะมผี ลจนสามารถเสวยสขุ ทไ่ี รท กุ ขไ ด — Sukhapañisa§vedanàya saphalappadhàna: fruitful exertion to enjoy happiness) 1. ไมเอาทกุ ขทบั ถมตนทมี่ ิไดถ ูกทุกขทวมทบั (Being not overwhelmed by suffering, one does not overwhelm oneself with suffering.) 2. ไมสละความสขุ ทีช่ อบธรรม (One does not give up righteous happiness.) 3. ไมสยบหมกมนุ (แม)ในสขุ ทชี่ อบธรรมนนั้ (One is not infatuated even with that righteous happiness.) 4. เพยี รพยายามทําเหตแุ หง ทกุ ขใ หหมดส้ินไป (One strives in the right way to eradicate the cause of suffering.) ขอท่ี 4 อาจพดู อีกสํานวนหน่ึงวา “เพียรปฏิบัติเพ่อื เขาถึงความสขุ ที่ประณตี สูงข้ึนไป” M.II.223 ม.อ.ุ 14/12/13 [175] วบิ ตั ิ 41 (ความผิดพลาด, ความเคลอื่ นคลาด, ความเสียหาย, ความบกพรอ ง, ความใช การไมไ ด — Vipatti: failure; falling away) 1. ศลี วบิ ัติ (วิบตั แิ หงศีล, เสียศลี , สาํ หรบั พระภกิ ษุ คอื ตอ งอาบัติปาราชกิ หรือ สงั ฆาทเิ สส — Sãla-vipatti: falling away from moral habit; failure in morality)
[176] 136 พจนานกุ รมพุทธศาสตร 2. อาจารวิบัติ (วิบตั แิ หง อาจาระ, เสียความประพฤติ จรรยามรรยาทไมด ,ี สําหรับพระภิกษุ คือ ตอ งลหุกาบตั ิ แตถลุ ลัจจัย ถงึ ทพุ ภาสิต — âcàra-vipatti: falling away from good behaviour; failure in conduct) 3. ทฏิ ฐวิ ิบัติ (วิบตั แิ หง ทิฏฐ,ิ ความเหน็ คลาดเคล่ือน ผดิ ธรรมผิดวินยั — Diññhi-vipatti: falling away from right view; failure in views) 4. อาชีววบิ ตั ิ (วบิ ัติแหง อาชวี ะ, ประกอบมิจฉาชพี หาเล้ียงชพี ในทางทผ่ี ดิ — âjãva-vipatti: falling away from right mode of livelihood; failure in livelihood) Vin.II.87. วินย.6/634/336. [176] วบิ ัติ 42 (ขอ เสีย, จุดออ น, ความบกพรอ งแหง องคประกอบตางๆ ซึง่ ไมอํานวยแกการ ใหผ ลของกรรมดี แตเ ปดชองใหกรรมชวั่ แสดงผล, สว นประกอบบกพรอ ง เปดชองใหกรรมชัว่ — Vipatti: failure; defect; unfavourable factors affecting the ripening of Karma.) 1. คติวบิ ัติ (วิบตั ิแหง คต,ิ คตเิ สยี ; ในชว งยาวหมายถงึ เกดิ ในกาํ เนิดตา่ํ ทราม หรอื ทเ่ี กดิ อนั ไร ความเจริญ ในชวงสน้ั หมายถึง ทีอ่ ยู ทไ่ี ป ทางดําเนินไมด ี หรอื ทําไมถ ูกเรื่องไมถ กู ท่ี คือ กรณี นั้น สภาพแวดลอมนัน้ สถานการณน ้ัน ถ่นิ นัน้ ตลอดถึงแนวทางดาํ เนนิ ชวี ิตขณะน้นั ไมเออื้ อํานวยแกการกระทําความดีหรือการเจริญงอกงามของความดีและการท่ีผลดีจะปรากฏ แต กลับเปด ทางใหแ กค วามช่ัวและผลราย — Gati-vipatti: failure as regards place of birth; unfavourable environment, circumstances or career) 2. อปุ ธิวิบัติ (วิบตั ิแหง รา งกาย, รปู กายเสีย; ในชว งยาวหมายถงึ รา งกายวกิ ลวกิ าร ไม งดงาม บุคลิกภาพไมดี ในชว งสนั้ หมายถึง สุขภาพไมด ี เจบ็ ปว ย มโี รคมาก — Upadhi- vipatti: failure as regards the body; deformed or unfortunate body; unfavourable personality, health or physical conditions.) 3. กาลวิบตั ิ (วิบัติแหง กาล, กาลเสยี ; ในชว งยาวหมายถงึ เกิดอยใู นสมยั ทีโ่ ลกไมมคี วามเจรญิ หรือบา นเมืองมีแตภัยพบิ ัติ ผปู กครองไมด ี สงั คมเสื่อมจากศลี ธรรม มีการกดข่เี บียดเบียนกัน มาก ยกยองคนชวั่ บีบคั้นคนดี ในชวงส้ันหมายถงึ ทาํ ผดิ กาลผดิ เวลา — Kàla-vipatti: failure as regards time; unfavourable or unfortunate time) 4. ปโยควิบตั ิ (วบิ ัติแหง การประกอบ, กิจการเสีย; ในชว งยาวหมายถึง ฝก ใฝใ นทางท่ีผิด ประกอบกิจการงานท่ผี ดิ หรอื มปี กติชอบกระทําแตความชวั่ ในชว งสัน้ หมายถงึ เมอ่ื กระทํา กรรมดี ก็ไมทําใหถ งึ ขนาด ไมครบถวนตามหลกั เกณฑ ทาํ จบั จด ใชว ธิ กี ารไมเ หมาะกบั เรือ่ ง หรอื เม่ือประกอบความดตี อเนอื่ งมา แตก ลบั ทาํ ความชั่วหักลา งเสยี ในระหวาง — Payoga- vipatti: failure as regards undertaking; unfavourable, unfortunate or inadequate undertaking) วิบตั ิ 4 น้ี เปน สงิ่ ทีจ่ ะตอ งนาํ มาประกอบการพจิ ารณาในเรอื่ งการใหผลของกรรม เพราะ การปรากฏของวบิ าก นอกจากอาศยั เหตคุ อื กรรมแลว ยังตอ งอาศัยฐานคือ คติ อุปธิ กาละ
หมวด 4 137 [178] และปโยคะ เปน ปจ จยั ประกอบดว ย กลา วคือ จะตองพจิ ารณา กรรมนยิ าม โดยสัมพันธก บั ปจจัยทั้งหลายที่เปนไปตามนิยามอ่ืนๆ ดวย เพราะนิยาม หรือกฎธรรมชาติน้ันมีหลายอยาง มิใชมแี ตกรรมนิยามอยางเดียว ดู [177] สมบัติ 4; [223] นยิ าม 5. Vbh.338. อภิ.ว.ิ 35/840/458. [177] สมบตั ิ 4 (ขอด,ี ความเพยี บพรอ ม, ความสมบรู ณแหงองคประกอบตางๆ ซ่ึงอาํ นวยแก การใหผ ลของกรรมดี และไมเ ปด ชอ งใหก รรมชวั่ แสดงผล, สว นประกอบอาํ นวย ชว ยเสรมิ กรรมดี — Sampatti: accomplishment; factors favourable to the ripening of good Karma) 1. คตสิ มบัติ (สมบัติแหง คติ, ถงึ พรอ มดวยคต,ิ คติให; ในชวงยาวหมายถงึ เกิดในกําเนดิ อัน อํานวย หรอื ทเี่ กิดอันเจริญ ในชว งส้นั หมายถึง ท่ีอยู ท่ไี ป ทางดําเนินดี หรอื ทําถกู เรื่อง ถูกที่ คอื กรณีนั้น สภาพแวดลอ มนัน้ สถานการณน ั้น ถน่ิ ทีน่ ั้น ตลอดถงึ แนวทางดาํ เนินชีวิตขณะนั้น เออื้ อํานวยแกก ารกระทําความดี หรือการเจริญงอกงามของความดี ทาํ ใหค วามดปี รากฏผล โดยงา ย — Gati-sampatti: accomplishment of birth; fortunate birthplace; favourable environment, circumstances or career) 2. อปุ ธสิ มบตั ิ (สมบตั ิแหง รา งกาย, ถงึ พรอ มดวยรูปกาย, รปู กายให; ในชวงยาวหมายถึง มี กายสงา สวยงาม บุคลิกภาพดี ในชว งส้นั หมายถงึ รา งกายแขง็ แรง มีสุขภาพดี — Upadhi- sampatti: accomplishment of the body; favourable or fortunate body; favourable personality, health or physical conditions) 3. กาลสมบัติ (สมบัติแหง กาล, ถงึ พรอมดว ยกาล, กาลให; ในชวงยาว หมายถึง เกดิ อยูใ น สมัยที่โลกมคี วามเจรญิ หรือบา นเมืองสงบสุข มีการปกครองทดี่ ี คนในสงั คมอยใู นศีลธรรม สามัคคกี ัน ยกยอ งคนดี ไมสงเสริมคนช่ัว ในชวงสัน้ หมายถงึ ทําถูกกาลถกู เวลา — Kàla- sampatti: accomplishment of time; favourable or fortunate time) 4. ปโยคสมบตั ิ (สมบัติแหงการประกอบ, ถึงพรอ มดวยการประกอบความเพยี ร, กิจการให; ในชว งยาว หมายถึงฝกใฝใ นทางทถี่ ูก นาํ ความเพียรไปใชขวนขวายประกอบการท่ีถกู ตองดีงาม มปี กตปิ ระกอบกจิ การงานทถี่ กู ตอ ง ทาํ แตค วามดงี ามอยแู ลว ในชว งสน้ั หมายถงึ เมอ่ื ทาํ กรรมดี ก็ทาํ ใหถึงขนาด ทาํ จริงจงั ใหค รบถว นตามหลักเกณฑ ใชวิธีการท่เี หมาะกบั เรอ่ื ง หรือทาํ ความ ดตี อ เนอ่ื งมาเปน พนื้ แลว กรรมดที ท่ี าํ เสรมิ เขา อกี จงึ เหน็ ผลไดง า ย — Payoga-sampatti: accomplishment of undertaking; favourable, fortunate or adequate undertaking) ดู [176] วบิ ัติ 4 2; [223] นิยาม 5. Vbh.339. อภิ.ว.ิ 35/840/459. [178] วิปล ลาส หรอื วปิ ลาส 4 (ความรูเหน็ คลาดเคลื่อน, ความรูเขาใจผิดเพ้ียนจาก ความเปนจริง — Vipallàsa: distortion)
[179] 138 พจนานุกรมพทุ ธศาสตร วิปลาส มี 3 ระดบั คอื 1. สัญญาวิปลาส (สญั ญาคลาดเคล่ือน, หมายรูผ ิดพลาดจากความเปนจริง เชน คนตกใจเห็น เชอื กเปนงู — Sa¤¤à-vipallàsa: distortion of perception) 2. จิตตวิปลาส (จิตคลาดเคลื่อน, ความคดิ ผดิ พลาดจากความเปน จรงิ เชน คนบา คดิ เอา หญาเปน อาหาร — Citta-vipallàsa: distortion of thought) 3. ทิฏฐิวิปลาส (ทิฏฐคิ ลาดเคล่อื น, ความเห็นผดิ พลาดจากความเปน จริง โดยเฉพาะเชอื่ ถอื ไปตามสญั ญาวปิ ลาส หรอื จติ ตวปิ ลาสนนั้ เชน มสี ญั ญาวปิ ลาสเหน็ เชอื กเปน งู แลว เกดิ ทฏิ ฐิ วปิ ลาส เช่ือหรอื ลงความเห็นวาท่ีบรเิ วณนน้ั มีงชู ุม หรือมีจติ ตวปิ ลาสวาทกุ สิ่งทเี่ กดิ ข้นึ ตองมีผู สรา ง จงึ เกดิ ทฏิ ฐวิ ปิ ลาสวา แผน ดนิ ไหวเพราะเทพเจา บนั ดาล — Diññhi-vipallàsa: distortion of views) วิปลาส 3 ระดับนี้ ทีเ่ ปน พืน้ ฐาน เปน ไปใน 4 ดาน คอื 1. วปิ ลาสในสง่ิ ทไี่ มเทยี่ ง วาเทีย่ ง (to regard what is impermanent as permanent) 2. วิปลาสในส่ิงที่เปน ทกุ ข วาเปน สขุ (to regard what is painful as pleasant) 3. วิปลาสในส่งิ ท่ไี มเปนตวั ตน วา เปน ตัวตน (to regard what is non-self as a self) 4. วปิ ลาสในสงิ่ ท่ีไมง าม วางาม (to regard what is foul as beautiful) A.II.52 องฺ.จตุกฺก.21/49/66 [179] วุฒิ หรือ วุฑฒิธรรม 4 (ธรรมเปน เคร่ืองเจรญิ , คณุ ธรรมท่กี อ ใหเ กิดความเจริญงอก งาม — Vuóóhi-dhamma: virtues conducive to growth) 1. สปั ปรุ ิสสงั เสวะ (เสวนาสัตบรุ ุษ, คบหาทานผทู รงธรรมทรงปญ ญาเปน กัลยาณมิตร — Sappurisasa§seva: association with good and wise persons) 2. สัทธัมมัสสวนะ (สดับสัทธรรม, ใสใจเลาเรียนฟงอานหาความรูใหไดธรรมท่ีแท — Saddhammassavana: hearing the good teaching) 3. โยนิโสมนสิการ (ทําในใจโดยแยบคาย, รูจักคิดพิจารณาหาเหตุผลโดยถูกวิธี — Yonisomanasikàra: analytical reflection; wise attention) 4. ธมั มานุธมั มปฏปิ ต ติ (ปฏบิ ัตธิ รรมสมควรแกธ รรม, ปฏบิ ตั ธิ รรมถกู หลัก ใหธรรมยอย คลอยแกธรรมใหญ สอดคลอ งตามวัตถุประสงคข องธรรมท้ังหลายท่ีสัมพนั ธกัน, ดาํ เนินชวี ิตถกู ตอ งตามธรรม — Dhammànudhammapañipatti: practice in accord with the Dhamma, i.e. in such a systematic way that all levels and aspects of the Dhamma are in accord as regards their respective purposes; living in conformity with the Dhamma) ธรรมหมวดน้ี ในบาลีทีม่ า เรยี กวา ธรรมทเี่ ปน ไปเพือ่ ปญ ญาวุฒิ [ปญ ญาวุฒธิ รรม ] คอื เพ่ือความเจรญิ งอกงามแหงปญญา (Pa¤¤àvuóóhi: virtues conducive to growth in wisdom)
หมวด 4 139 [180] อยา งไรกด็ ี ในการเลา เรยี นธรรมในประเทศไทยทสี่ บื กันมา ไดรูจกั ธรรมหมวดน้ใี นช่อื สนั้ ๆ วา วฒุ ิ 4 และอธิบายความหมายโดยมุงใหคนทวั่ ไปเขาใจและนําไปใชป ระโยชนอยา งกวา งๆ จึงจะแสดงความหมายแบบงา ยๆ ไวด ว ยดังนี้ 1. สปั ปุรสิ สงั เสวะ คบหาสตั บรุ ษุ , เสวนาทานผูรผู ูท รงคุณความดี มีความประพฤตชิ อบดวย กาย วาจา ใจ 2. สทั ธัมมัสสวนะ ฟง สทั ธรรม, ตัง้ ใจฟง คําสั่งสอนของทา น เอาใจใสเ ลาเรียน 3. โยนโิ สมนสิการ ทําในใจโดยแยบคาย, รจู ักคิดพจิ ารณาใหเ หน็ เหตุผลคุณโทษในสงิ่ ทีไ่ ดเ ลา เรยี นสดับฟง นนั้ จบั สาระท่ีจะนําไปใชประโยชนได 4. ธัมมานุธัมมปฏปิ ตติ ปฏบิ ัติธรรมสมควรแกธ รรม, นาํ สิ่งท่ไี ดเ ลาเรียนและตรติ รองเหน็ แลว ไปใชปฏิบตั ใิ หถกู ตอ งตามหลัก สอดคลองกับความมุง หมายของหลกั การนัน้ ๆ A.II.245. อง.ฺ จตกุ ฺก.21/248/332. [180] เวสารัชชะ หรอื เวสารชั ชญาณ 4 (ความไมค รนั่ ครา ม, ความแกลว กลา อาจ หาญ, พระญาณอนั เปน เหตุใหท รงแกลวกลา ไมค ร่นั ครา ม — Vesàrajja: intrepidity; self- confidences) พระตถาคตเจาไมทรงมองเหน็ วา ใครกต็ าม จักทกั ทว งพระองคไ ดโ ดยชอบธรรมในฐานะ เหลาน้ี คือ (The Perfect One sees no grounds on which anyone can with justice make the following charges:) 1. สมั มาสมั พุทธปฏิญญา (ทา นปฏญิ ญาวาเปน สมั มาสัมพทุ ธะ ธรรมเหลาน้ที านยังไมรู — Sammàsambuddha-pañi¤¤à: You who claim to be fully self-enlightened are not fully enlightened in these things.) 2. ขณี าสวปฏญิ ญา (ทา นปฏญิ ญาวา เปน ขณี าสพ อาสวะเหลา นข้ี องทา นยงั ไมส น้ิ — Khãõàsava- pañi¤¤à: You who claim to have destroyed all taints have not utterly destroyed these taints.) 3. อนั ตรายกิ ธรรมวาทะ (ทา นกลา วธรรมเหลา ใดวา เปน อนั ตราย ธรรมเหลา นนั้ ไมอ าจกอ อนั ตรายแกผ สู อ งเสพไดจ รงิ — Antaràyikadhammavàda: Those things which have been declared by you to be harmful have no power to harm him that follows them.) 4. นิยยานกิ ธรรมเทศนา (ทา นแสดงธรรมเพื่อประโยชนอ ยางใด ประโยชนอ ยางนนั้ ไมเ ปน ทางนําผูทําตามใหถึงความสิ้นทุกขโดยชอบจริง — Niyyànikadhammadesanà: The Doctrine taught by you for the purpose of utter extinction of suffering does not lead him who acts accordingly to such a goal.) ดวยเหตุน้ี พระองคจึงทรงถึงความเกษม ถึงความไมมีภัย แกลวกลา ไมคร่นั ครามอยู (Since this is so, he abides in the attainment of security, of fearlessness and intrepidity.)
[181] 140 พจนานุกรมพทุ ธศาสตร เวสารชั ชะ 4 น้ี คูกับ ทศพล หรอื ตถาคตพล 10 (เรียกกันท่ัวๆ ไปวา ทศพลญาณ) เปน ธรรมทท่ี ําใหพระตถาคต ทรงปฏิญญาฐานะแหงผนู าํ เปลง สหี นาทในบริษทั ทงั้ หลาย ยังพรหม จักรใหเปน ไป (Endowed with these four kinds of intrepidity, the Perfect One claims the leader’s place, roars his lion’s roar in assemblies, and sets rolling the Divine Wheel.) ดู [323] ทศพลญาณ. M.I.71; A.II.8. ม.ม.ู 12/167/144; องฺ.จตกุ ฺก.21/8/10. [181] ศรัทธา 4 (ความเชื่อ, ความเชอื่ ท่ีประกอบดวยเหตผุ ล — Saddhà: faith; belief; confidence) 1. กมั มสัทธา (เชือ่ กรรม, เช่ือกฎแหงกรรม, เชื่อวา กรรมมอี ยจู ริง คือ เชอ่ื วา เม่อื ทําอะไรโดย มีเจตนา คือ จงใจทําทั้งรู ยอมเปนกรรม คือ เปน ความดีความช่ัวมขี ึ้นในตน เปน เหตุปจจยั กอ ใหเ กดิ ผลดผี ลรา ยสบื เนื่องตอ ไป การกระทําไมวา งเปลา และเชื่อวาผลที่ตอ งการจะสําเรจ็ ได ดว ยการกระทาํ มใิ ชด ว ยออนวอนหรือนอนคอยโชค เปน ตน — Kamma-saddhà: belief in kamma; confidence in accordance with the law of action) 2. วปิ ากสัทธา (เชือ่ วบิ าก, เชื่อผลของกรรม, เชอ่ื วา ผลของกรรมมจี ริง คือ เช่อื วากรรมทที่ าํ แลว ตอ งมผี ล และผลตอ งมีเหตุ ผลดเี กดิ จากกรรมดี ผลช่วั เกดิ จากกรรมชัว่ — Vipàka- saddhà: belief in the consequences of actions) 3. กัมมัสสกตาสทั ธา (เชอื่ ความท่ีสัตวมีกรรมเปน ของของตน, เช่ือวา แตละคนเปน เจา ของ จะตอ งรบั ผิดชอบเสวยวบิ ากเปน ไปตามกรรมของตน — Kammassakatà-saddhà: belief in the individual ownership of action) 4. ตถาคตโพธิสัทธา (เช่อื ความตรัสรูข องพระพุทธเจา , ม่ันใจในองคพ ระตถาคต วา ทรงเปน พระสัมมาสมั พทุ ธะ ทรงพระคณุ ทง้ั 9 ประการ ตรสั ธรรม บญั ญัติวินัยไวดวยดี ทรงเปน ผูน ํา ทางที่แสดงใหเห็นวา มนุษยคอื เราทุกคนนี้ หากฝกตนดว ยดกี ส็ ามารถเขา ถึงภูมธิ รรมสูงสุด บริสุทธ์ิหลุดพนได ดังท่ีพระองคไดทรงบําเพ็ญไวเปนแบบอยาง — Tathàgatabodhi- saddhà: confidence in the Enlightenment of the Buddha) ศรัทธา 4 อยา งน้ี มีมาในบาลีเฉพาะขอท่ี 4 อยา งเดียว (เชน อง.ฺ สตตฺ ก.23/4/3; A.III.3 เปนตน ) วา โดยใจความ ศรทั ธา 3 ขอตน ยอมรวมลงในขอที่ 4 ไดทง้ั หมด อนึ่ง ในขอ 3 มีขอธรรมท่ีมาในบาลคี ลายกัน คอื กมั มัสสกตาญาณ (ปรีชาหยัง่ รูความที่ สัตวม ีกรรมเปน ของตน — knowledge that action is one’s own possession) เชน อภ.ิ ว.ิ 35/822/443;Vbh.328. [182] สตปิ ฏ ฐาน 4 (ทต่ี งั้ ของสต,ิ การตง้ั สตกิ าํ หนดพจิ ารณาสงิ่ ทงั้ หลายใหร เู หน็ ตามความเปน จรงิ คอื ตามทส่ี ง่ิ นนั้ ๆ มนั เปน ของมนั — Satipaññhàna: foundations of mindfulness)
หมวด 4 141 [183] 1. กายานุปส สนาสติปฏ ฐาน (การตั้งสตกิ ําหนดพิจารณากาย ใหรเู หน็ ตามเปน จรงิ วา เปน แตเ พียงกาย ไมใชส ตั วบคุ คลตวั ตนเราเขา — Kàyànupassanà-~: contemplation of the body; mindfulness as regards the body) ทานจาํ แนกวธิ ปี ฏบิ ัติไวห ลายอยา ง คอื อานาปานสติ กําหนดลมหายใจ 1 อริ ิยาบถ กําหนดรทู ันอริ ิยาบถ 1 สมั ปชญั ญะ สรา ง สัมปชญั ญะในการกระทําความเคล่อื นไหวทกุ อยา ง 1 ปฏิกูลมนสิการ พิจารณาสวนประกอบ อนั ไมส ะอาดทั้งหลายที่ประชมุ เขา เปน รา งกายนี้ 1 ธาตมุ นสกิ าร พจิ ารณาเห็นรา งกายของตน โดยสักวา เปนธาตแุ ตล ะอยางๆ 1 นวสวี ถิกา พิจารณาซากศพในสภาพตางๆ อนั แปลกกนั ไปใน 9 ระยะเวลา ใหเ หน็ คติธรรมดาของรา งกาย ของผอู น่ื เชน ใด ของตนก็จกั เปน เชน นนั้ 1 2. เวทนานปุ ส สนาสติปฏ ฐาน (การต้ังสติกาํ หนดพิจารณาเวทนา ใหร ูเห็นตามเปน จรงิ วา เปน แตเ พยี งเวทนา ไมใ ชส ตั วบ คุ คลตวั ตนเราเขา — Vedanànupassanà-~: contemplation of feelings; mindfulness as regards feelings) คอื มสี ติอยพู รอมดวยความรูชัดเวทนาอัน เปน สขุ ก็ดี ทุกขกด็ ี เฉยๆ กด็ ี ท้งั ทีเ่ ปนสามสิ และเปนนิรามสิ ตามท่ีเปน ไปอยูในขณะน้ันๆ 3. จิตตานุปสสนาสติปฏ ฐาน (การตงั้ สติกําหนดพิจารณาจติ ใหร ูเห็นตามเปน จรงิ วา เปน แตเพียงจิต ไมใ ชสัตวบุคคลตวั ตนเราเขา — Cittànupassanà-~: contemplation of mind; mindfulness as regards thoughts) คือ มีสตอิ ยพู รอมดว ยความรชู ัดจิตของตนท่ีมรี าคะ ไม มีราคะ มโี ทสะ ไมมโี ทสะ มีโมหะ ไมม ีโมหะ เศราหมองหรอื ผองแผว ฟงุ ซานหรอื เปน สมาธิ ฯลฯ อยา งไรๆ ตามที่เปนไปอยูในขณะน้ันๆ 4. ธัมมานุปสสนาสติปฏฐาน (การตั้งสติกําหนดพิจารณาธรรม ใหร เู ห็นตามเปนจริงวา เปน แตเพยี งธรรม ไมใ ชสตั วบ ุคคลตวั ตนเราเขา — Dhammànupassanà-~: contem- plation of mind-objects; mindfulness as regards ideas) คือ มสี ตอิ ยพู รอ มดว ยความรู ชดั ธรรมทง้ั หลาย ไดแก นิวรณ 5 ขนั ธ 5 อายตนะ 12 โพชฌงค 7 อริยสัจจ 4 วา คอื อะไร เปน อยา งไร มีในตนหรือไม เกิดขึน้ เจริญบรบิ ูรณ และดบั ไปไดอยา งไร เปน ตน ตามทีเ่ ปน จรงิ ของมนั อยางนั้นๆ. D.II.290–315; M.I.55–63. ที.ม.10/273–300/325–351; ม.ม.ู 12/131-152/103–127. [183] สมชีวธิ รรม 4 (หลกั ธรรมของคูช วี ติ , ธรรมทจี่ ะทําใหค สู มรสมีชวี ติ สมหรอื สมํา่ เสมอ กลมกลนื กัน อยคู รองกนั ยดื ยาว — Samajãvidhamma: qualities which make a couple well matched) 1. สมสัทธา (มศี รัทธาสมกัน — Sama-saddhà: to be matched in faith) 2. สมสีลา (มศี ีลสมกนั — Sama-sãlà: to be matched in moral conduct) 3. สมจาคา (มีจาคะสมกัน — Sama-càgà: to be matched in generosity) 4. สมปญ ญา (มีปญ ญาสมกัน — Sama-pa¤¤à: to be matched in wisdom) A.II.60. องฺ.จตุกกฺ .21/55/80.
[184] 142 พจนานุกรมพทุ ธศาสตร [184] สมาธิภาวนา 4 (การเจริญสมาธิ, วิธีฝกสมาธิแบบตางๆ จําแนกตามวตั ถปุ ระสงค — Samàdhi-bhàvanà: ways or kinds of concentration-development) 1. สมาธภิ าวนาทีเ่ ปน ไปเพื่อทฏิ ฐธรรมสขุ วหิ าร (คอื เพือ่ การอยเู ปนสขุ ในปจ จุบัน เชน ใชเปนเครอื่ งพักผอนจิต หาความสุขยามวาง เปนตน — concentration-development that is conducive to happy living in the present) 2. สมาธภิ าวนาท่ีเปนไปเพื่อการไดญ าณทัสสนะ (concentration-development that is conducive to the acquisition of knowledge and insight ) 3. สมาธภิ าวนาท่เี ปนไปเพือ่ สติและสมั ปชญั ญะ (concentration-development that is conducive to mindfulness and full comprehension) 4. สมาธภิ าวนาท่ีเปนไปเพ่ือความสิ้นอาสวะ (concentration-development that is conducive to the destruction of cankers) D.III.222; A.II.44. ท.ี ปา.11/233/233; องฺ.จตุกกฺ .21/41/57. [185] สงั ขาร 4 (คาํ วา สงั ขาร ทใ่ี ชในความหมายตางๆ — Saïkhàra: applications of the word formation) 1. สังขตสงั ขาร (สงั ขารคอื สังขตธรรม ไดแกส งิ่ ทง้ั ปวงท่ีเกดิ จากปจจยั ปรงุ แตง รูปธรรมก็ ตาม นามธรรมกต็ าม ไดในคําวา อนจิ ฺจา วต สงขฺ ารา เปนตน — Saïkhata-saïkhàra: formation consisting of the formed) 2. อภสิ ังขตสังขาร (สังขารคอื ส่ิงทีก่ รรมแตง ขนึ้ ไดแกรปู ธรรมกต็ าม นามธรรมก็ตาม ในภมู ิ สาม ทเี่ กดิ แตก รรม — Abhisaïkhata-saïkhàra: formation consisting of the karma- formed) 3. อภสิ งั ขรณกสังขาร (สังขารคอื กรรมท่เี ปนตวั การปรุงแตง ไดแ ก กุศลเจตนา และ อกศุ ลเจตนาทงั้ ปวงในภูมิสาม ไดในคาํ วา สงั ขาร ตามหลกั ปฏจิ จสมปุ บาท คอื [119] สงั ขาร 3 หรือ [129] อภิสงั ขาร 3 — Abhisaïkharaõaka-saïkhàra: formation consisting in the act of kamma-forming) 4. ปโยคาภสิ งั ขาร (สงั ขารคอื การประกอบความเพียร ไดแ กก ําลงั ความเพียรทางกายก็ตาม ทางใจก็ตาม — Payogàbhisaïkhàra: formation consisting in exertion or impetus) Vism.527. วสิ ทุ ฺธ.ิ 3/120. [186] สงั คหวัตถุ 4 (ธรรมเครื่องยดึ เหน่ียว คือยดึ เหน่ยี วใจบคุ คล และประสานหมชู นไวใ น สามัคคี, หลกั การสงเคราะห — Saïgahavatthu: bases of social solidarity; bases of sympathy; acts of doing favours; principles of service; virtues making for group integration and leadership) 1. ทาน (การให คอื เออ้ื เฟอ เผือ่ แผ เสยี สละ แบง ปน ชว ยเหลือกันดวยสงิ่ ของ ตลอดถงึ ให
หมวด 4 143 [187] ความรูและแนะนาํ สั่งสอน — Dàna: giving; generosity; charity) 2. ปยวาจา หรอื เปยยวชั ชะ (วาจาเปนที่รกั วาจาดดู ดืม่ นํ้าใจ หรอื วาจาซาบซง้ึ ใจ คือกลาว คําสภุ าพไพเราะออนหวานสมานสามัคคี ใหเ กิดไมตรแี ละความรกั ใครนบั ถอื ตลอดถงึ คาํ แสดง ประโยชนป ระกอบดวยเหตุผลเปนหลักฐานจูงใจใหนยิ มยนิ ดี — Piyavàcà: kindly speech; convincing speech) 3. อตั ถจรยิ า (การประพฤตปิ ระโยชน คอื ขวนขวายชว ยเหลอื กจิ การ บาํ เพญ็ สาธารณประโยชน ตลอดถึงชว ยแกไ ขปรับปรงุ สงเสรมิ ในทางจริยธรรม — Atthacariyà: useful conduct; rendering services; life of service; doing good) 4. สมานตั ตตา* (ความมีตนเสมอ** คอื ทาํ ตนเสมอตน เสมอปลาย ปฏิบตั ิสม่ําเสมอกันในชน ท้งั หลาย และเสมอในสขุ ทุกขโ ดยรว มรับรูร ว มแกไ ข ตลอดถึงวางตนเหมาะแกฐานะ ภาวะ บุคคล เหตกุ ารณแ ละสงิ่ แวดลอ ม ถกู ตองตามธรรมในแตล ะกรณี — Samànattatà: even and equal treatment; equality consisting in impartiality, participation and behaving oneself properly in all circumstances) ดู [11] ทาน 2; [229] พละ 4. D.III.152,232; A.II.32,248; A.IV.218,363. ที.ปา.11/140/167; 267/244; อง.ฺ จตกุ กฺ .21/32/42; 256/335; อง.ฺ อฏ ก.23/114/222; องฺ.นวก.23/209/377. [187] สงั คหวัตถุของผคู รองแผนดิน หรือ ราชสงั คหวัตถุ 4 (สงั คหวัตถขุ อง พระราชา, ธรรมเคร่ืองยึดเหนี่ยวจิตใจประชาชน, หลักการสงเคราะหประชาชนของนักปก ครอง — Ràja-saïgahavatthu: a ruler’s bases of sympathy; royal acts of doing favours: virtues making for national integration) 1. สัสสเมธะ (ความฉลาดในการบํารุงพืชพันธุธัญญาหาร สงเสริมการเกษตร — Sassamedha: shrewdness in agricultural promotion) 2. ปุริสเมธะ (ความฉลาดในการบํารุงขาราชการ รูจักสงเสริมคนดีมีความสามารถ — Purisamedha: shrewdness in the promotion and encouragement of government officials) 3. สมั มาปาสะ (ความรูจกั ผกู ผสานรวมใจประชาชนดว ยการสง เสรมิ อาชพี เชน ใหคนจน กูยืมทุนไปสรา งตัวในพาณิชยกรรม เปน ตน — Sammàpàsa: “a bond to bind men’s hearts”; act of doing a favour consisting in vocational promotion as in com- mercial investment) * ในปกรณฝายสันสกฤตของมหายาน เปน สมานารฺถตา (= บาลี สมานตถฺ ตา ) แปลวา “ความเปน ผูม ีจุด หมายรวมกัน หรือความคาํ นึงประโยชนอนั รว มกัน” (having common aims; feeling of common good) **คําแปลนถ้ี ือตามทแี่ ปลกันมาเดิม แตตามคาํ อธบิ ายในคมั ภรี นา จะแปลวา “ความมีตนรวม” (participation) โดยเฉพาะมงุ เอารว มสขุ รวมทุกข
[188] 144 พจนานกุ รมพุทธศาสตร 4. วาชเปยะ หรือ วาจาเปยยะ (ความมวี าจาอันดูดดมื่ น้ําใจ นาํ้ คาํ ควรดม่ื คอื รจู กั พูด รจู กั ปราศรยั ไพเราะ สภุ าพนุมนวล ประกอบดว ยเหตุผล มปี ระโยชน เปน ทางแหง สามคั คี ทําให เกิดความเขา ใจอันดี และความนิยมเชื่อถือ — Vàjapeya: affability in address; kindly and convincing speech) ราชสังคหวัตถุ 4 ประการนี้ เปน คําสอนในพระพทุ ธศาสนา สวนท่แี กไขปรบั ปรุงคําสอนใน ศาสนาพราหมณ โดยกลา วถึงคําศพั ทเ ดียวกนั แตช ้ถี ึงความหมายอันชอบธรรมที่ตา งออกไป ธรรมหมวดน้ี วาโดยศัพท ตรงกบั มหายญั 5 (the five great sacrifices) ของพราหมณ คือ 1. อสั สเมธะ (การฆามา บูชายญั — horse sacrifice) 2. ปรุ สิ เมธะ (การฆาคนบูชายัญ — human sacrifice) 3. สมั มาปาสะ (ยญั อนั สรางแทนบชู าในท่ีขวางไมล อดบว งไปหลนลง — peg-thrown site sacrifice) 4. วาชเปยะ (การดื่มเพื่อพลงั หรอื เพ่ือชยั — drinking of strength or of victory) 5. นริ คั คฬะ หรือ สรรพเมธะ (ยญั ไมมลี มิ่ สลกั คือ ท่ัวไปไมม ขี ีดขน้ั จํากดั , การฆา ครบทกุ อยางบูชายัญ — the bolts-withdrawn sacrifice; universal sacrifice) มหายญั 5 ทีพ่ ระราชาพึงบูชาตามหลกั ศาสนาพราหมณน ี้ พระพุทธศาสนาสอนวา เดิมที เดียวเปนหลักการสงเคราะหท่ีดีงาม แตพราหมณสมัยหน่ึงดัดแปลงเปนการบูชายัญเพ่ือผล ประโยชนในทางลาภสกั การะแกตน ความหมายท่พี งึ ตอ งการซ่งึ พระพุทธศาสนาสง่ั สอน 4 ขอ แรก มีดงั กลาวแลวขางตน สว นขอที่ 5 ตามหลกั สงั คหวัตถุ 4 น้วี า เปนผล แปลวา ไมมีลมิ่ กลอน หมายความวา บา นเมืองจะสงบสขุ ปราศจากโจรผรู าย ไมต องระแวงภยั บา นเรอื นไม ตองลงกลอน S.I.76; A.II.42; IV.151; It.21; Sn.303; SA.I.145; SnA.321. สํ.ส.15/351/110; อง.ฺ จตกุ ฺก.21/39/54; องฺ.อฏ ก.23/91/152; ข.ุ อิต.ิ 25/205/246; ขุ.สุ.25/323/383; สํ.อ.1/169; อติ .ิ อ.123. [188] สงั เวชนยี สถาน 4 (สถานทเี่ ปน ทตี่ งั้ แหง ความสงั เวช, สถานทเี่ นอ่ื งดว ยพทุ ธประวตั ิ ซึ่ง พุทธศาสนิกชนควรไปดูเพื่อเปนเคร่ืองเตือนใจใหเกิดความไมประมาท จะไดเรงขวนขวาย ประกอบกุศลกรรม และสาํ หรบั ผูศ รัทธาจะไดจ าริกไปชม เพือ่ เพิ่มพนู ปสาทะ กระทาํ สักการะ บชู า อนั จะนาํ ใหเขาถึงสคุ ตโิ ลกสวรรค — Sa§vejanãyaññhàna: places apt to cause the feeling of urgency; places made sacred by the Buddha’s association; places to be visited with reverence; the four Buddhist Holy Places) 1. ชาตสถาน (ทพี่ ระพุทธเจาประสูติ คือ อุทยานลุมพนิ ี — Jàtaññhàna: birthplace of the Buddha) 2. อภิสัมพุทธสถาน (ท่พี ระพุทธเจา ตรัสรูอนตุ รสมั มาสมั โพธิญาณ คือ ควงโพธ์ทิ ี่ตาํ บล พทุ ธคยา — Abhisambuddhaññhàna: place where the Buddha attained the Enlightenment)
หมวด 4 145 [189] 3. ธมั มจักกัปปวตั ตนสถาน (ที่พระพุทธเจาทรงแสดงปฐมเทศนา ธมั มจกั กัปปวตั ตนสูตร คือ ที่ปาอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี เรียกปจจุบันวาสารนาถ — Dhammacakkappavattanaññhàna: place where the Buddha preached the First Sermon) 4. ปรินิพพตุ สถาน (ท่ีพระพุทธเจาเสด็จปรนิ ิพพาน คือ ที่สาลวโนทยาน เมอื งกสุ ินารา — Parinibbutaññhàna: place where the Buddha passed away into Parinibbàna) [18D.9II.]140ส. ัมปชัญญะ 4 (ความรูตัว, ความรูตัวทั่วพรอ ม, ความรูชัด, ที.ม.10/131/163. ความรูทว่ั ชดั , ความ ตระหนกั — Sampaja¤¤a: clear comprehension; clarity of consciousness; awareness) 1. สาตถกสมั ปชญั ญะ (รูชัดวามีประโยชน หรอื ตระหนกั ในจุดหมาย คอื รูต ัวตระหนกั ชัดวา สงิ่ ทีก่ ระทํานัน้ มปี ระโยชนต ามความมุง หมายอยางไรหรือไม หรอื วา อะไรควรเปนจุดหมายของ การกระทาํ นน้ั เชน ผเู จริญกรรมฐาน เมื่อจะไป ณ ทใี่ ดทีห่ นึง่ มิใชสักวารูสึกหรือนึกขนึ้ มาวา จะไป กไ็ ป แตตระหนกั วา เม่อื ไปแลว จะไดปตสิ ุขหรอื ความสงบใจ ชว ยใหเ กดิ ความเจริญโดย ธรรม จึงไป โดยสาระคอื ความรูตระหนกั ท่ีจะเลอื กทําส่ิงทต่ี รงกบั วตั ถปุ ระสงคหรอื อํานวย ประโยชนทีม่ ุงหมาย — Sàtthaka-sampaja¤¤a: clear comprehension of purpose) 2. สปั ปายสัมปชัญญะ (รชู ัดวาเปนสัปปายะ หรอื ตระหนักในความเหมาะสมเก้อื กลู คือรูต ัว ตระหนักชดั วาส่ิงของน้นั การกระทํานน้ั ทีท่ ี่จะไปนน้ั เหมาะกนั กับตน เกอ้ื กูลแกส ุขภาพ แกก จิ เออ้ื ตอ การสละละลดแหงอกุศลธรรมและการเกิดขึน้ เจริญงอกงามแหงกศุ ลธรรม จึงใช จึงทาํ จึงไป หรอื เลอื กใหเ หมาะ เชน ภกิ ษุใชจ ีวรที่เหมาะกับดินฟา อากาศและเหมาะกบั ภาวะของตน ทเ่ี ปน สมณะ ผเู จริญกรรมฐานจะไปฟงธรรมอนั มปี ระโยชนใ นทช่ี ุมนมุ ใหญ แตร ูวา มีอารมณซ ง่ึ จะเปน อันตรายตอกรรมฐาน ก็ไมไป โดยสาระคือ ความรูตระหนกั ทจี่ ะเลือกทําแตส ิง่ ทเี่ หมาะ สบายเออื้ ตอ กาย จติ ชวี ติ กจิ พนื้ ภมู ิ และภาวะของตน — Sappàya-~: clear comprehension of suitability) 3. โคจรสมั ปชญั ญะ (รชู ดั วา เปน โคจร หรอื ตระหนกั ในแดนงานของตน คอื รตู วั ตระหนกั ชดั อยู ตลอดเวลาถงึ สง่ิ ทเ่ี ปน กจิ หนา ท่ี เปน ตวั งาน เปน จดุ ของเรอ่ื งทตี่ นกระทาํ ไมว า จะไปไหนหรอื ทาํ อะไรอน่ื กร็ ตู ระหนกั อยู ไมป ลอ ยใหเ ลอื นหายไป มใิ ชว า พอทาํ อะไรอนื่ หรอื ไปพบกบั สงิ่ อน่ื เรอื่ งอนื่ กเ็ ตลดิ เพรดิ ไปกบั สงิ่ นนั้ เรอ่ื งนน้ั เปน นกบนิ ไมก ลบั รงั โดยเฉพาะการไมท ง้ิ อารมณก รรมฐาน ซง่ึ รวมถงึ การบาํ เพญ็ จติ ภาวนาและปญ ญาภาวนาในกจิ กรรมทกุ อยา งในชวี ติ ประจาํ วนั โดยสาระคอื ความรตู ระหนกั ทจี่ ะคมุ กายและจติ ไวใ หอ ยใู นกจิ ในประเดน็ หรอื แดนงานของตน ไมใ หเ ขว เตลดิ เลอ่ื นลอย หรอื หลงลมื ไปเสยี — Gocara-~: clear comprehension of the domain) 4. อสมั โมหสมั ปชญั ญะ (รูชัดวา ไมห ลง หรือตระหนักในตัวเน้อื หาสภาวะ ไมหลงใหลฟน เฟอ น คอื เม่อื ไปไหน ทาํ อะไร กร็ ตู วั ตระหนกั ชดั ในการเคลอื่ นไหว หรือในการกระทําน้ัน และใน สง่ิ ท่กี ระทํานัน้ ไมหลง ไมส ับสนเงอะงะฟน เฟอน เขา ใจลว งตลอดไปถึงตัวสภาวะในการกระทํา
[190] 146 พจนานกุ รมพุทธศาสตร ที่เปนไปอยนู ้ัน วาเปน เพยี งการประชมุ กนั ขององคป ระกอบและปจ จัยตางๆ ประสานหนุนเนื่อง กนั ข้ึนมาใหป รากฏเปน อยางน้ัน หรือสาํ เรจ็ กจิ นั้นๆ รทู นั สมมติ ไมหลงสภาวะเชนยึดเหน็ เปน ตวั ตน โดยสาระคือ ความรูตระหนกั ในเรือ่ งราว เนื้อหา สาระ และสภาวะของสงิ่ ท่ีตนเกี่ยว ของหรือกระทําอยูน้ัน ตามท่ีเปนจริงโดยสมมติสัจจะ หรือตลอดถึงโดยปรมัตถสัจจะ มิใช พรวดพราดทําไป หรอื สักวาทํา มใิ ชท ําอยา งงมงายไมร ูเรอ่ื ง และไมถ ูกหลอกใหล ุม หลงหรือเขา ใจผิดไปเสียดว ยความพรามวั หรอื ดวยลักษณะอาการภายนอกทยี่ ัว่ ยุ หรือเยา ยวนเปนตน — Asammoha-~: clear comprehension of non-delusion, or of reality) DA.I.183; VbhA.347. ท.ี อ.1/228; วภิ งคฺ .อ.451. [190] สัมปทา หรือ สมั ปทาคุณ 4 (ความถึงพรอม, ความพรงั่ พรอ มสมบรู ณแหง องค ประกอบตา งๆ ซึ่งทําใหท านทบี่ ริจาคแลว เปน ทานอันยอดเยยี่ ม มีผลมาก อาจเห็นผลทนั ตา — Sampadà: successful attainment; accomplishment; excellence) 1. วัตถสุ มั ปทา (ถงึ พรอมดวยวตั ถุ คอื บคุ คลผูเปนทต่ี ง้ั รองรบั ทาน เชน ทกั ขไิ ณยบุคคลเปน พระอรหนั ต หรือพระอนาคามี ผูเขา นิโรธสมาบตั ไิ ด — Vatthu-sampadà: excellence of the foundation for merit) 2. ปจจยั สัมปทา (ถึงพรอมดว ยปจจยั คอื สงิ่ ทจ่ี ะใหเปนของบรสิ ทุ ธิ์ ไดม าโดยชอบธรรม — Paccaya-sampadà: excellence of the gift) 3. เจตนาสมั ปทา (ถึงพรอ มดวยเจตนา คอื มีเจตนาในการใหสมบรู ณครบ 3 กาล ทง้ั กอ นให ขณะให และหลงั ให จติ โสมนสั ประกอบดวยปญ ญา — Cetanà-sampadà: excellence of the intention) 4. คณุ าติเรกสัมปทา (ถงึ พรอมดว ยคุณสวนพิเศษ คอื ปฏิคาหกมีคณุ สมบตั พิ เิ ศษ เชน ทกั ขิไณยบุคคลนนั้ ออกจากนโิ รธสมาบตั ใิ หมๆ — Guõàtireka-sampadà: excellence of extra virtue) DhA.III.93. ธ.อ.5/88. [191] สมั ปรายกิ ตั ถสงั วตั ตนกิ ธรรม 4 (ธรรมทเี่ ปน ไปเพอื่ ประโยชนเ บอ้ื งหนา , ธรรม เปน เหตใุ หส มหมาย, หลกั ธรรมอนั อาํ นวยประโยชนส ขุ ขน้ั สงู ขนึ้ ไป — Samparàyikattha-sa§ vattanika-dhamma: virtues conducive to benefits in the future; virtues leading to spiritual welfare) 1. สทั ธาสมั ปทา (ถึงพรอมดวยศรทั ธา — Saddhà-sampadà: to be endowed with faith; accomplishment of confidence) 2. สลี สัมปทา (ถงึ พรอมดวยศลี — Sãla-sampadà: to be endowed with morality; accomplishment of virtue) 3. จาคสมั ปทา (ถึงพรอ มดว ยการเสียสละ — Càga-sampadà: to be endowed with
หมวด 4 147 [193] generosity; accomplishment of charity) 4. ปญญาสัมปทา (ถงึ พรอมดวยปญ ญา — Pa¤¤à-sampadà: to be endowed with wisdom; accomplishment of wisdom) ธรรมหมวดนี้ เรยี กกนั สน้ั ๆ วา สมั ปรายกิ ตั ถะ หรอื เรยี กตดิ ปากอยา งไทยๆ วา สมั ปรายกิ ตั ถ- ประโยชน (อตั ถะ ก็แปลวา “ประโยชน” จึงเปน คําซํา้ ซอ นกนั ) A.IV.284. องฺ.อฏ ก.23/144/292. [,,,] สมั มปั ปธาน 4 ดู [156] ปธาน 4. [192] สุขของคฤหัสถ หรอื คหิ ิสขุ หรือ กามโภคสี ุข 4 (สุขของชาวบาน, สุขทช่ี าว บานควรพยายามเขาถงึ ใหไดส มํา่ เสมอ, สุขอันชอบธรรมที่ผูค รองเรอื นควรมี — Gihisukha: house-life happiness; deserved bliss of a layperson) 1. อตั ถิสขุ (สขุ เกดิ จากความมที รัพย คอื ความภมู ใิ จ เอบิ อมิ่ ใจ วา ตนมีโภคทรัพยที่ไดมาดว ย นา้ํ พักน้ําแรงความขยนั หมน่ั เพยี รของตน และโดยชอบธรรม — Atthisukha: bliss of ownership; happiness resulting from economic security) 2. โภคสขุ (สขุ เกิดจากการใชจา ยทรพั ย คือ ความภูมิใจ เอิบอิม่ ใจ วาตนไดใชท รัพยท ่ไี ดม า โดยชอบนน้ั เลย้ี งชีพ เลย้ี งผคู วรเลย้ี ง และบําเพญ็ ประโยชน — Bhogasukha: bliss of enjoyment; enjoyment of wealth) 3. อนณสุข (สขุ เกิดจากความไมเปนหน้ี คือ ความภูมิใจ เอบิ อิ่มใจ วา ตนเปน ไท ไมม ีหนสี้ ิน ติดคา งใคร — Anaõasukha: bliss of debtlessness; happiness on account of freedom from debt) 4. อนวัชชสขุ (สุขเกิดจากความประพฤตไิ มมีโทษ คอื ความภูมใิ จ เอิบอ่ิมใจ วาตนมีความ ประพฤติสจุ รติ ไมบ กพรองเสยี หาย ใครๆ ติเตยี นไมได ท้ังทางกาย ทางวาจา และทางใจ — Anavajjasukha: bliss of blamelessness; happiness on account of leading a fault- less life) บรรดาสุข 4 อยา งนี้ อนวชั ชสขุ มีคามากท่ีสุด A.II.69. องฺ.จตุกฺก.21/62/90. [,,,] สหุ ทมิตร 4 ดู [169] สุหทมิตร 4. [193] โสตาปตตยิ งั คะ 41 (องคค ุณเครอ่ื งบรรลุโสดา, องคป ระกอบของการบรรลุโสดา, คณุ สมบัตทิ ่ีทาํ ใหเ ปนพระโสดาบัน — Sotàpattiyaïga: factors of Stream-Entry) 1. สัปปรุ สิ สังเสวะ (เสวนาสตั บุรุษ, คบหาทานผูทรงธรรมทรงปญญาเปนกัลยาณมิตร — Sappurisasa§seva: association with good and wise persons) 2. สัทธัมมัสสวนะ (สดับสัทธรรม, ใสใจเลาเรียนฟงอานหาความรูใหไดธรรมท่ีแท —
[193] 148 พจนานกุ รมพุทธศาสตร Saddhammassavana: hearing the good teaching) 3. โยนิโสมนสิการ (ทําในใจโดยแยบคาย, รูจักคิดพิจารณาหาเหตุผลโดยถูกวิธี — Yonisomanasikàra: analytical reflection; wise attention) 4. ธัมมานธุ ัมมปฏิปตติ (ปฏบิ ตั ิธรรมสมควรแกธ รรม, ปฏิบตั ธิ รรมถกู หลัก ใหธรรมยอ ย คลอยแกธรรมใหญ สอดคลอ งตามวตั ถุประสงคของธรรมทง้ั หลายทีส่ ัมพนั ธก นั , ปฏิบัตธิ รรม น้ันๆ ใหสอดคลองพอดีตามขอบเขตความหมายและวัตถุประสงคทส่ี อดคลอ งกับธรรมขออนื่ ๆ กลมกลนื กนั ในหลักใหญท เี่ ปน ระบบท้งั หมด, ดาํ เนนิ ชีวติ ถูกตอ งตามธรรม — Dhammànu- dhammapañipatti: practice in accord with the Dhamma, i.e. in such a systematic way that all levels and aspects of the Dhamma are in accord as regards their respective purposes; living in conformity with the Dhamma) โสตาปต ติยงั คะ 4 หมวดน้ี ตรงกับหลกั ท่เี รียกวา [ ],,, ปญญาวฒุ ธิ รรม 4 หรือ [179] วฒุ ิธรรม 4 ธรรม 4 ประการน้ี มิใชเพยี งเปน โสตาปตติยังคะ ที่จะใหบ รรลโุ สดาปต ติผล คือเปนพระ โสดาบันเทา นัน้ พระพทุ ธเจาตรัสวา ธรรม 4 ประการน้ี เม่ือเจริญ ปฏิบัติ ทาํ ใหม าก ยอม เปน ไปเพื่อการบรรลอุ รยิ ผลไดทุกขน้ั จนถงึ อรหตั ตผล (สํ.ม.19/1634-7/516-7 = S.V.411) D.III.227; S.V.347, 404. ที.ปา.11/240/239; ส.ํ ม.19/1428/434; 1620/509. [194] โสตาปต ติยังคะ 42 (องคคุณเครือ่ งบรรลุโสดา, คณุ สมบตั ทิ ท่ี าํ ใหเปน พระโสดาบัน, คุณสมบัตขิ องพระโสดาบัน — Sotàpattiyaïga: factors of Stream-Entry) 1. ประกอบดว ยความเลอื่ มใสมนั่ ในพระพทุ ธเจา (unshakable confidence in the Buddha) 2. ประกอบดว ยความเล่ือมใสม่ันในธรรม (unshakable confidence in the Dhamma) 3. ประกอบดว ยความเลื่อมใสมน่ั ในสงฆ (unshakable confidence in the Sangha) 4. ประกอบดวยอริยกนั ตศีล คือ ศีลอนั เปนทชี่ ่นื ชมพอใจของพระอริยะ บรสิ ทุ ธิ์ ไมถ กู ตณั หา และทฏิ ฐแิ ปดเปอนหรือครอบงาํ และเปนไปเพื่อสมาธิ (unblemished morality) S.V.345. ส.ํ ม.19/1420/431). [195] โสตาปตติยังคะ 43 (องคคุณเครื่องบรรลโุ สดา, คุณสมบัตทิ ่ีทาํ ใหเ ปนพระโสดาบนั , คณุ สมบตั ิของพระโสดาบัน — Sotàpattiyaïga: factors of Stream-Entry) 1. ประกอบดว ยความเลอื่ มใสมน่ั ในพระพทุ ธเจา (unshakable confidence in the Buddha) 2. ประกอบดวยความเล่อื มใสมัน่ ในธรรม (unshakable confidence in the Dhamma) 3. ประกอบดว ยความเล่อื มใสมนั่ ในสงฆ (unshakable confidence in the Sangha) 4. ครองเรอื นดว ยใจปราศจากมจั ฉรยิ ะ ยนิ ดีในการแจกจายแบงปน ชวยเหลือผอู ืน่ (devo- tion to charity; delight in giving and sharing) S.V.397. สํ.ม.19/1597-8/499.
หมวด 4 149 [197] [,,,] หลกั การแบงทรพั ย 4 สวน ดู [163] โภควภิ าค 4. [196] อคติ 4 (ฐานะอันไมพงึ ถงึ , ทางความประพฤติทผี่ ดิ , ความไมเที่ยงธรรม, ความลําเอียง — Agati: wrong course of behaviour; prejudice) 1. ฉันทาคติ (ลําเอยี งเพราะชอบ — Chandàgati: prejudice caused by love or desire; partiality) 2. โทสาคติ (ลาํ เอยี งเพราะชัง — Dosàgati: prejudice caused by hatred or enmity) 3. โมหาคติ (ลาํ เอยี งเพราะหลง, พลาดผดิ เพราะเขลา — Mohàgati: prejudice caused by delusion or stupidity) 4. ภยาคติ (ลําเอียงเพราะกลวั — Bhayàgati: prejudice caused by fear) D.III.182,228; A.II.18. ท.ี ปา.11/176/196; 246/240; อง.ฺ จตกุ กฺ .21/17/23. [197] อธิษฐาน หรอื อธิษฐานธรรม 4 (ธรรมเปน ทม่ี ัน่ , ธรรมอันเปนฐานทม่ี ัน่ คงของ บุคคล, ธรรมทค่ี วรใชเปนท่ีประดิษฐานตน เพื่อใหสามารถยึดเอาผลสําเรจ็ สงู สดุ อนั เปน ท่หี มาย ได โดยไมเกิดความสําคัญตนผดิ และไมเ กิดสิง่ มัวหมองหมักหมมทบั ถมตน, บางทแี ปลวา “ธรรมทค่ี วรต้ังไวใ นใจ” — Adhiññhàna: foundation; foundations on which a tranquil sage establishes himself; virtues which should be established in the mind) 1. ปญญา (ความรชู ัด คือ หย่งั รูใ นเหตผุ ล พิจารณาใหเ ขา ใจในสภาวะของสง่ิ ท้งั หลายจนเขา ถงึ ความจรงิ — Pa¤¤à: wisdom; insight) 2. สัจจะ (ความจริง คือ ดํารงมั่นในความจริงที่รูชัดดวยปญญา เร่ิมแตจริงวาจาจนถึง ปรมัตถสจั จะ — Sacca: truthfulness) 3. จาคะ (ความสละ คอื สละสง่ิ อนั เคยชนิ ขอที่เคยยึดถือไว และส่งิ ทั้งหลายอนั ผิดพลาดจาก ความจรงิ เสียได เร่มิ แตส ละอามสิ จนถึงสละกิเลส — Càga: liberality; renunciation) 4. อุปสมะ (ความสงบ คือ ระงบั โทษขอ ขดั ขอ งมัวหมองวนุ วายอันเกดิ จากกเิ ลสทั้งหลายแลว ทําจิตใจใหสงบได — Upasama: tranquillity; peace) ท้งั 4 ขอนี้ พงึ ปฏบิ ตั ิตามกระทดู ังน้ี 1. ปฺ นปฺปมชฺเชยยฺ (ไมพงึ ประมาทปญ ญา คือ ไมละเลยการใชป ญญา — not to neglect wisdom) 2. สจจฺ ํ อนุรกฺเขยยฺ (พงึ อนรุ ักษสัจจะ — to safeguard truthfulness) 3. จาคํ อนพุ ฺรูเหยฺย (พึงเพ่มิ พนู จาคะ — to foster liberality) 4. สนตฺ ึ สิกฺเขยฺย (พึงศึกษาสันติ — to train oneself in tranquillity) D.III.229; M.III.243. ที.ปา.11/254/241; ม.อ.ุ 14/682/437. [198] อบาย หรอื อบายภมู ิ 4 (ภาวะหรอื ทอ่ี นั ปราศจากความเจรญิ — Apàya: states
[199] 150 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร of loss and woe; low states of existence; unhappy existence) 1. นิรยะ (นรก, สภาวะหรือทอี่ ันไมม คี วามสขุ ความเจรญิ , ภาวะเรารอนกระวนกระวาย — Niraya: hell; woeful state) 2. ติรจั ฉานโยนิ (กาํ เนดิ ดริ ัจฉาน, พวกมดื มวั โงเขลา — Tiracchànayoni: the animal kingdom; realm of beasts) 3. ปต ติวสิ ัย (แดนเปรต, ภูมิแหง ผูห วิ กระหายไรสุข — Pittivisaya: realm of hungry ghosts) 4. อสุรกาย (พวกอสูร, พวกหวาดหวั่นไรค วามรน่ื เริง — Asurakàya: host of demons; the unrelenting and dejected; frightened ghosts) ดู [351] ภมู ิ 4, 31. It.93. ข.ุ อติ .ิ 25/273/301. [199] อบายมขุ 4 (ชอ งทางของความเสือ่ ม, ทางทจี่ ะนาํ ไปสูค วามพินาศ, เหตุยอยยับแหง โภคทรัพย — Apàyamukha: causes of ruin; sources for the destruction of the amassed wealth) 1. อิตถธี ุตตะ (เปนนักเลงหญิง, นกั เทย่ี วผหู ญงิ — Itthãdhutta: seduction of women; debauchery) 2. สุราธตุ ตะ (เปน นักเลงสรุ า, นกั ด่มื — Suràdhutta: drunkenness) 3. อักขธุตตะ (เปนนกั การพนัน — Akkhadhutta: indulgence in gambling) 4. ปาปมิตตะ (คบคนช่วั — Pàpamitta: bad company) อบายมขุ 4 อยา งนี้ ตรัสกับผคู รองเรอื นที่มหี ลักฐานแลว และตรัสตอทา ยทฏิ ฐธัมมกิ ัตถ- สังวตั ตนิกธรรม 4 มุงความวาเปน ทางพนิ าศแหง โภคะทห่ี ามาไดแ ลว A.IV.283. อง.ฺ อฏ ก.23/144/292. [200] อบายมขุ 6 (ชอ งทางของความเสอื่ ม, ทางแหง ความพนิ าศ, เหตยุ อ ยยบั แหง โภคทรพั ย — Apàyamukha: causes of ruin; ways of squandering wealth) 1. ตดิ สรุ าและของมึนเมา (addiction to intoxicants; drug addiction) มีโทษ 6 คือ 1) ทรัพยหมดไปๆ เหน็ ชัดๆ 2) กอ การทะเลาะววิ าท 3) เปน บอ เกิดแหงโรค 4) เสียเกยี รติเสียชือ่ เสยี ง 5) ทาํ ใหไมรอู าย 6) ทอนกําลงั ปญ ญา
หมวด 4 151 [200] a) actual loss of wealth b) increase of quarrels c) liability to disease d) source of disgrace e) indecent exposure f) weakened intelligence. 2. ชอบเทีย่ วกลางคืน (roaming the streets at unseemly hours) มโี ทษ 6 คือ 1) ชอ่ื วาไมรกั ษาตวั 2) ช่ือวา ไมรกั ษาลกู เมยี 3) ชอื่ วา ไมรกั ษาทรพั ยส มบัติ 4) เปนท่ีระแวงสงสยั 5) เปนเปา ใหเขาใสความหรือขาวลอื 6) เปนทางมาของเร่ืองเดอื ดรอนเปน อันมาก a) He himself is without guard and protection. b) So also are his wife and children. c) So also is his property. d) He is liable to be suspected of crimes. e) He is the subject of false rumours. f) He will meet a lot of troubles. 3. ชอบเท่ียวดกู ารละเลน (frequenting shows) มีโทษ โดยการงานเส่อื มเสีย เพราะใจ กงั วลคอยคดิ จอ ง กับเสยี เวลาเมื่อไปดสู ่งิ นั้นๆ ทั้ง 6 กรณี คือ 1) รําทไี่ หนไปทน่ี ่นั 2)–6) ขบั รอ ง, ดนตรี, เสภา, เพลง, เถดิ เทิงทีไ่ หน ไปท่นี ั่น* (He keeps looking about to see) a) Where is there dancing? b)–f) Where is there singing? ~ choral music? ~ story-telling? ~ cymbal playing? ~ tam-tams? 4. ติดการพนนั (indulgence in gambling) มโี ทษ 6 คอื 1) เม่ือชนะยอ มกอ เวร * คําแปลภาษาไทยถอื ตามทีแ่ ปลกันมา สวนภาษาอังกฤษแปลตางหาก ไมไ ดมุงใหตรงกนั
[201] 152 พจนานุกรมพทุ ธศาสตร 2) เมอื่ แพก เ็ สียดายทรพั ยทเ่ี สียไป 3) ทรพั ยห มดไปๆ เห็นชัดๆ 4) เขา ท่ีประชุม เขาไมเ ชื่อถือถอ ยคํา 5) เปนที่หมิ่นประมาทของเพื่อนฝงู 6) ไมเปน ทีพ่ ึงประสงคของผูท จี่ ะหาคูครองใหลูกของเขา เพราะเห็นวา จะเลย้ี งลูกเมยี ไมไ หว a) As winner, he begets hatred. b) As loser, he regrets his lost money. c) There is actual loss of wealth. d) His word has no weight in an assembly. e) He is scorned by his friends and companions. f) He is not sought after by those who want to marry their daughters, for they would say that a gambler cannot afford to keep a wife. 5. คบคนชวั่ (association with bad companions) มโี ทษ โดยนําใหก ลายไปเปน คนชว่ั อยา งคนทตี่ นคบท้งั 6 ประเภท คอื ไดเพ่ือนที่จะนาํ ใหกลายเปน 1) นักการพนนั (gamblers) 2) นกั เลงหญงิ (rakes; seducers) 3) นกั เลงเหลา (drunkards) 4) นกั ลวงของปลอม (cheaters with false things) 5) นักหลอกลวง (swindlers) 6) นักเลงหวั ไม (men of violence) 6. เกยี จครา นการงาน (habit of idleness) มีโทษ โดยทาํ ใหยกเหตุตางๆ เปนขอ อางผดั เพยี้ นไมทําการงาน โภคะใหมก็ไมเกิด โภคะท่มี อี ยูก ็หมดส้ินไป คือใหอ างไปทัง้ 6 กรณีวา 1)–6) หนาวนัก — รอนนัก — เย็นไปแลว — ยังเชานัก — หิวนกั — อมิ่ นกั * a)–f) He always makes an excuse that it is too cold, — too hot, — too late, — too early, he is too hungry, — too full and does no work. อบายมขุ หมวดนี้ ตรัสแกส งิ คาลกมาณพ กอนตรัสเรื่องทิศ 6 D.III.182–184. ท.ี ปา.11/178–184/196–198. [201] วฒั นมขุ 6 (ธรรมท่เี ปน ปากทางแหงความเจรญิ , ธรรมทเี่ ปน ดุจประตูชัยอนั จะเปด ออกไปใหกา วหนาสคู วามเจริญงอกงามของชวี ิต — Vaóóhana-mukha: channels of * บางฉบับเปน “กระหายนัก” (too thirsty)
หมวด 4 153 [202] growth; gateway to progress) 1. อาโรคยะ (ความไมม ีโรค, ความมีสุขภาพดี — ârogya: good health) 2. ศลี (ความประพฤตดิ ี มวี ินยั ไมกอเวรภัย ไดฝก ในมรรยาทอนั งาม — Sãla: moral conduct and discipline) 3. พุทธานมุ ตั (ศกึ ษาแนวทาง มองดแู บบอยาง เขา ถึงความคิดของพทุ ธชนเหลาคนผเู ปน บณั ฑติ — Buddhànumata: conformity or access to the ways of great, enlightened beings) 4. สุตะ (ใฝเลาเรยี นหาความรู ฝก ตนใหเ ชย่ี วชาญและทันตอ เหตกุ ารณ — Suta: much learning) 5. ธรรมานุวัติ (ดําเนินชีวิตและกิจการงานโดยทางชอบธรรม — Dhammànuvatti: practice in accord with the Dhamma; following the law of righteousness) 6. อลีนตา (เพยี รพยายามไมร ะยอ , มีกําลังใจแขง็ กลา ไมท อถอยเฉ่อื ยชา เพยี รกา วหนาเร่ือย ไป — Alãnatà: unshrinking perseverance) ธรรม 6 ประการชดุ น้ี ในบาลเี ดิมเรยี กวา อัตถทวาร (ประตแู หง ประโยชน, ประตูสูจ ุด หมาย) หรือ อัตถประมุข (ปากทางสูป ระโยชน, ตน ทางสูจดุ หมาย) และอรรถกถาอธบิ ายคํา อัตถะ วา หมายถงึ “วุฒ”ิ คือความเจริญ ซึ่งไดแ ก วัฒนะ ดงั นนั้ จึงอาจเรยี กวา วุฒมิ ุข หรือที่ คนไทยรูส ึกคุน มากกวา วา วฒั นมุข อนง่ึ ในฝายอกศุ ล มีหมวดธรรมรูจ กั กนั ดีท่ีเรียกวา อบายมุข 6 ซง่ึ แปลวา ปากทางแหง ความเสือ่ ม จึงอาจเรียกธรรมหมวดน้ดี ว ยคําทเี่ ปน คูตรงขา มวา อายมุข 6 (ปากทางแหงความ เจริญ) J.I.366 ขุ.ชา.27/84/27 [202] อปส เสนะ หรือ อปส เสนธรรม 4 (ธรรมดุจพนักพงิ , ธรรมเปนทอี่ ิงหรอื พ่งึ อาศัย — Apassena: virtues to lean on; states which a monk should rely on) 1. สงขฺ าเยกํ ปฏิเสวติ (ของอยา งหนึง่ พจิ ารณาแลวเสพ ไดแก สงิ่ ของมปี จจัย 4 คอื จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ คิลานเภสัช เปนตนกด็ ี บคุ คล และธรรมเปนตน ก็ดี ทจี่ าํ เปนจะตอ งเกี่ยว ของและมปี ระโยชน พงึ พิจารณาแลวจึงใชส อยและเสวนาใหเปน ประโยชน — Pañisevanà: The monk deliberately follows or makes use of one thing.) 2. สงฺขาเยกํ อธิวาเสติ (ของอยา งหนง่ึ พิจารณาแลวอดกลน้ั ไดแก อนิฏฐารมณต างๆ มี หนาว รอน และทุกขเวทนาเปน ตน พงึ รจู กั พจิ ารณาอดกลน้ั — Adhivàsanà: The monk deliberately endures one thing.) 3. สงฺขาเยกํ ปรวิ ชเฺ ชติ (ของอยา งหน่งึ พิจารณาแลวเวน เสยี ไดแก สิ่งทเี่ ปน โทษ กอ อันตรายแกร า งกายกต็ าม จติ ใจก็ตาม เชน ชางราย คนพาล การพนนั สรุ าเมรยั เปน ตน พงึ รู
[203] 154 พจนานุกรมพทุ ธศาสตร จักพจิ ารณาหลกี เวน เสีย — Parivajjanà: The monk deliberately avoids one thing.) 4. สงฺขาเยกํ ปฏวิ โิ นเทติ (ของอยางหนง่ึ พิจารณาแลวบรรเทาเสีย ไดแก สง่ิ ทีเ่ ปนโทษกอ อันตราย เชน อกศุ ลวิตก มกี ามวิตก พยาบาทวิตก วหิ งิ สาวติ ก เปน ตน และความชั่วรายทั้ง หลาย เกิดขึน้ แลว พงึ รูจ ักพิจารณาแกไข บําบดั หรอื ขจดั ใหส ้นิ ไป — Pañivinodanà: The monk deliberately suppresses or expels one thing.) อปสเสนะ 4 น้ี เรียกอีกอยา งวา อปุ นสิ ัย 4 (ธรรมเปน ทพี่ ่ึงพงิ หรอื ธรรมชว ยอดุ หนุน — Upanissaya: supports; supporting states) เมือ่ รจู ักพิจารณาปฏิบัติตอ สิง่ ตางๆ ใหถ กู ตอ งดวยปญ ญาตามหลักอปสเสนะ หรืออปุ นิสยั 4 อยา งนี้ ยอ มเปนเหตใุ หอ กศุ ลท่ียงั ไมเ กิดก็ไมเกิดขึ้น ทเี่ กิดแลวกเ็ สอ่ื มส้ินไป และกุศลท่ียังไม เกดิ ยอมเกิดข้นึ ทเ่ี กิดขึ้นแลว กเ็ จริญย่งิ ขึ้นไป ภิกษผุ พู รอ มดวยธรรม 4 ประการน้ี ดาํ รงอยใู นธรรม 5 คือ ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ วริ ยิ ะ ปญญา ทานเรียกวา นิสสยสัมบัน (ผูถึงพรอมดวยท่ีพึ่งอาศัย — fully supported; resourceful). D.III.224,270; A.IV.354; A.V.30. ท.ี ปา.11/236/326; 472/338; อง.ฺ นวก.23/206/366; องฺ.ทสก.24/20/32. [,,,] อรหันต 4 ดู [62] อรหันต 4. [,,,] อรยิ บคุ คล 4 ดู [56] อรยิ บุคคล 4. [203] อรยิ วงศ 4 (ปฏิปทาที่พระอรยิ ะทั้งหลายปฏบิ ัตสิ บื กนั มาแตโบราณไมขาดสาย, อรยิ ประเพณี — Ariyava§sa: Ariyan lineage; noble tradition; the fourfold traditional practice of the Noble Ones) 1. จวี รสนั โดษ (ความสนั โดษดว ยจวี ร — Cãvara-santosa: contentment as regards robes or clothing) 2. ปณ ฑปาตสนั โดษ (ความสนั โดษดว ยบณิ ฑบาต — Piõóapàta-santosa: contentment as regards alms-food) 3. เสนาสนสนั โดษ (ความสนั โดษดว ยเสนาสนะ — Senàsana-santosa: contentment as regards lodging) 4. ปหานภาวนารามตา (ความยนิ ดใี นการละอกศุ ลและเจรญิ กศุ ล — Pahànabhàvanà- ràmatà: delight in the abandonment of evil and the development of good) การปฏิบตั ิทจี่ ัดเปน อริยวงศใ นธรรมทัง้ 4 ขอ นัน้ พระภกิ ษุพึงประพฤตดิ ังน้ี ก. สันโดษดว ยปจ จัยใน 3 ขอ ตนตามมีตามได ข. มปี กติกลา วสรรเสริญคณุ ของความสนั โดษใน 3 ขอ นน้ั ค. ไมป ระกอบอเนสนา คือการแสวงหาทีผ่ ดิ (ทจุ รติ ) เพราะปจจัยทั้ง 3 อยา งน้นั เปน เหตุ (เพยี รแสวงหาแตโ ดยทางชอบธรรม ไมเกียจคราน)
หมวด 4 155 [204] ง. เม่ือไมได ก็ไมเรา รอ นทุรนทุราย จ. เมอื่ ได กใ็ ชโ ดยไมต ดิ ไมห มกมนุ ไมส ยบ รเู ทา ทนั เหน็ โทษ มปี ญ ญาใชส งิ่ นนั้ ตามประโยชน ตาม ความหมายของมนั (มแี ละใชด ว ยสตสิ มั ปชญั ญะ ดาํ รงตนเปน อสิ ระ ไมต กเปน ทาสของสงิ่ นน้ั ) ฉ. ไมถอื เอาการทไ่ี ดประพฤตธิ รรม 4 ขอ น้ี เปน เหตุยกตนขมผูอ นื่ โดยสรปุ วา เปน ผขู ยนั ไมเ กียจคราน มีสตสิ ัมปชัญญะในขอนน้ั ๆ เฉพาะขอ 4 ทรงสอนไม ใหสนั โดษ สว น 3 ขอแรกทรงสอนใหท าํ ความเพียรแสวงหาในขอบเขตทีช่ อบดวยธรรมวินัย และมคี วามสันโดษตามนยั ท่แี สดงขา งตน อน่งึ ในจฬู นิทเทส ทา นแสดงอริยวงศข องพระปจ เจกพุทธเจาตางไปเลก็ นอย คือ เปลยี่ น ขอ 4 เปน สันโดษดว ยคิลานปจจยั เภสชั บรขิ าร (medical equipment) D.III.224; A.II.27; Nd2107. ที.ปา.11/237/236; องฺ.จตุกกฺ .21/28/35; ขุ.จ.ู 30/691/346. [204] อรยิ สจั จ 4 (ความจรงิ อันประเสริฐ, ความจรงิ ของพระอริยะ, ความจรงิ ทท่ี าํ ใหผ ูเขาถึง กลายเปน อรยิ ะ — Ariyasacca: The Four Noble Truths) 1. ทกุ ข (ความทกุ ข, สภาพทที่ นไดยาก, สภาวะท่ีบบี ค้นั ขัดแยง บกพรอง ขาดแกน สารและ ความเท่ยี งแท ไมใ หค วามพึงพอใจแทจ รงิ , ไดแก ชาติ ชรา มรณะ การประจวบกับส่ิงอนั ไม เปน ทีร่ กั การพลดั พรากจากส่งิ ทร่ี กั ความปรารถนาไมสมหวัง โดยยอวา อปุ าทานขันธ 5 เปน ทกุ ข — Dukkha: suffering; unsatisfactoriness) 2. ทกุ ขสมุทยั (เหตเุ กดิ แหงทุกข, สาเหตใุ หทุกขเกดิ ไดแก ตัณหา 3 คอื กามตัณหา ภวตณั หา และ วภิ วตณั หา — Dukkha-samudaya: the cause of suffering; origin of suffering) 3. ทุกขนิโรธ (ความดบั ทุกข ไดแ ก ภาวะทตี่ ัณหาดบั สิ้นไป, ภาวะท่เี ขาถึงเม่ือกําจัดอวิชชา สํารอกตณั หาสนิ้ แลว ไมถกู ยอ ม ไมต ิดขอ ง หลุดพน สงบ ปลอดโปรง เปนอสิ ระ คอื นิพพาน — Dukkha-nirodha: the cessation of suffering; extinction of suffering) 4. ทุกขนโิ รธคามินปี ฏปิ ทา (ปฏิปทาทนี่ าํ ไปสูค วามดบั แหง ทกุ ข, ขอปฏิบัติใหถ งึ ความดับ ทกุ ข ไดแก อรยิ อฏั ฐงั คิกมรรค หรอื เรียกอีกอยา งหนง่ึ วา มชั ฌมิ าปฏิปทา แปลวา “ทางสาย กลาง” มรรคมีองค 8 นี้ สรุปลงในไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปญญา — Dukkha-nirodha- gàminã pañipadà: the path leading to the cessation of suffering) อรยิ สจั จ 4 นี้ เรยี กกนั สน้ั ๆ วา ทกุ ข สมทุ ยั นโิ รธ มรรค (Dukkha, Samudaya, Nirodha, Magga); การแสดงอรยิ สจั จ 4 นี้ มีชอ่ื เรียกอกี อยางหนง่ึ วา สามกุ กังสกิ าธรรมเทศนา (เชน อง.ฺ อฏ ก.23/102/190) แปลตามอรรถกถาวา พระธรรมเทศนาทพี่ ระพทุ ธเจา ทรงหยบิ ยกขน้ึ ถอื เอาไว ดว ยพระองคเ อง คอื ทรงเหน็ ดว ยพระสยมั ภญู าณ (=ตรสั รเู อง) ไมส าธารณะแกผ อู น่ื (แตต ามท่ี อธบิ ายกนั มา มกั แปลวา “พระธรรมเทศนาทพี่ ระพทุ ธเจา ทรงยกขน้ึ แสดงเอง โดยไมต อ งปรารภ คาํ ถามหรอื การทลู ขอรอ งของผฟู ง อยา งการแสดงธรรมเรอื่ งอนื่ ๆ”; ความจรงิ จะแปลวา “พระ ธรรมเทศนาขนั้ สดุ ยอด” กไ็ ด ซง่ึ สมกบั เปน เรอื่ งทท่ี รงแสดงทา ยสดุ ตอ จาก อนปุ พุ พกิ ถา 5 คาํ แปลอยา งหลงั น้ี พงึ เทยี บ อง.ฺ ทสก.24/95/208)
[205] 156 พจนานกุ รมพุทธศาสตร ดู [216] ขนั ธ 5; [74] ตัณหา 3; [293] มรรคมอี งค 8; [124] สกิ ขา 3. Vin.I.9; S.V.421; Vbh.99. วนิ ย.4/14/18; ส.ํ ม.19/1665/528; อภ.ิ ว.ิ 35/145/127. [205] กจิ ในอริยสัจจ 4 (หนาทอี่ นั จะพึงทําตอ อรยิ สจั จ 4 แตล ะอยา ง, ขอท่ีจะตองปฏิบตั ิ ใหถกู ตองและเสร็จสน้ิ ในอรยิ สจั จ 4 แตล ะอยา ง จงึ จะชอ่ื วา รูอ รยิ สัจจหรือเปน ผตู รสั รูแลว — Ariyasaccesu kiccàni: functions concerning the Four Noble Truths) 1. ปรญิ ญา (การกาํ หนดรู เปน กจิ ในทกุ ข ตามหลกั วา ทกุ ขฺ ํ อรยิ สจจฺ ํ ปริ เฺ ยยฺ ํ ทกุ ขค วรกาํ หนดรู คอื ควรศกึ ษาใหร จู กั ใหเ ขา ใจชดั ตามสภาพทเ่ี ปน จรงิ ไดแ ก การทาํ ความเขา ใจและกาํ หนดขอบเขต ของปญ หา — Pari¤¤à: comprehension; suffering is to be comprehended) 2. ปหานะ (การละ เปน กจิ ในสมทุ ยั ตามหลกั วา ทกุ ขฺ สมทุ โย อรยิ สจจฺ ํ ปหาตพพฺ ํ สมทุ ยั ควรละ คอื กาํ จดั ทาํ ใหห มดสนิ้ ไป ไดแ กก ารแกไ ขกาํ จดั ตน ตอของปญ หา — Pahàna: eradication; abandonment; the cause of suffering is to be eradicated) 3. สจั ฉกิ ริ ยิ า (การทาํ ใหแ จง เปน กจิ ในนโิ รธ ตามหลกั วา ทกุ ขฺ นโิ รโธ อรยิ สจจฺ ํ สจฉฺ กิ าตพพฺ ํ นโิ รธควรทาํ ใหแ จง คอื เขา ถงึ หรอื บรรลุ ไดแ กก ารเขา ถงึ ภาวะทป่ี ราศจากปญ หา บรรลจุ ดุ หมาย ทต่ี อ งการ — Sacchikiriyà: realization; the cessation of suffering is to be realized) 4. ภาวนา (การเจรญิ เปน กจิ ในมรรค ตามหลกั วา ทกุ ขฺ นโิ รธคามนิ ี ปฏปิ ทา อรยิ สจจฺ ํ ภาเวตพพฺ ํ มรรคควรเจรญิ คอื ควรฝก อบรม ลงมอื ปฏบิ ตั ิ กระทาํ ตามวธิ กี ารทจ่ี ะนาํ ไปสจู ดุ หมาย ไดแ กก าร ลงมอื แกไขปญ หา — Bhàvanà: development; practice; the path is to be followed or developed) ในการแสดงอรยิ สัจจ ก็ดี ในการปฏบิ ตั ธิ รรมตามหลกั อรยิ สัจจ กด็ ี จะตอ งใหอรยิ สจั จแต ละขอ สัมพันธต รงกันกับกจิ แตล ะอยา ง จงึ จะเปนการแสดงและเปน การปฏบิ ัติโดยชอบ ทัง้ นี้ วางเปน หัวขอไดด ังน้ี 1. ทกุ ข เปนข้ันแถลงปญ หาที่จะตอ งทําความเขา ใจและรขู อบเขต (ปริญญา) — statement of evil; location of the problem. 2. สมทุ ัย เปนข้นั วเิ คราะหและวินจิ ฉยั มูลเหตขุ องปญ หา ซึ่งจะตองแกไ ขกําจดั ใหห มดสน้ิ ไป (ปหานะ) — diagnosis of the origin. 3. นโิ รธ เปนขั้นช้ีบอกภาวะปราศจากปญ หา อนั เปนจุดหมายท่ตี อ งการ ใหเหน็ วาการแก ปญหาเปน ไปได และจุดหมายนน้ั ควรเขาถึง ซึ่งจะตอ งทําใหส ําเร็จ (สัจฉิกิริยา) — prognosis of its antidote; envisioning the solution. 4. มรรค เปนขั้นกําหนดวิธีการ ขั้นตอน และรายละเอยี ดท่ีจะตองปฏิบตั ใิ นการลงมือแก ปญหา (ภาวนา) — prescription of the remedy; programme of treatment. ความสําเรจ็ ในการปฏบิ ัตทิ ง้ั หมด พึงตรวจสอบดว ยหลกั [73] ญาณ 3 2 Vin.I.10; S.V.422. วินย.4/15/20; ส.ํ ม.19/1666/529.
หมวด 4 157 [207] [206] ธรรม 4 (ธรรมท้งั ปวงประดามี จดั ประเภทตามลักษณะความสมั พันธท่ีมนุษยพึงปฏิบัติ หรือเกยี่ วของเปน 4 จําพวก อนั สอดคลองกบั หลักอริยสัจจ 4 และกจิ ในอรยิ สัจจ 4 — Dhamma: all dhammas [states, things] classified into 4 categories according as they are to be rightly treated) 1. ปรญิ ไญยธรรม = ธรรมทเ่ี ขา กบั กจิ ในอรยิ สจั จข อ ท่ี 1 คอื ปรญิ ญา (ธรรมอนั พงึ กาํ หนดร,ู สงิ่ ทค่ี วรรอบรู หรอื รเู ทา ทนั ตามสภาวะของมนั ไดแ ก อปุ าทานขนั ธ 5 กลา วคอื ทกุ ขแ ละสงิ่ ทงั้ หลายทอ่ี ยใู นจาํ พวกทเี่ ปน ปญ หาหรอื เปน ทตี่ ง้ั แหง ปญ หา — Pari¤¤eyya-dhamma: things to be fully understood, i.e. the five aggregates of existence subject to clinging) 2. ปหาตพั พธรรม = ธรรมทเ่ี ขา กบั กจิ ในอรยิ สจั จข อ ท่ี 2 คอื ปหานะ (ธรรมอนั พงึ ละ, สง่ิ ทจ่ี ะ ตอ งแกไ ขกาํ จดั ทาํ ใหห มดไป วา โดยตน ตอรากเหงา ไดแ ก อวชิ ชา และภวตณั หา กลา วคอื ธรรม จาํ พวกสมทุ ยั ทก่ี อ ใหเ กดิ ปญ หาเปน สาเหตขุ องทกุ ข หรอื พดู อกี อยา งหนง่ึ วา อกศุ ลทง้ั ปวง — Pahàtabba-dhamma: things to be abandoned, i.e. ignorance and craving for being) 3. สจั ฉกิ าตพั พธรรม = ธรรมทเ่ี ขา กบั กจิ ในอรยิ สจั จข อ ท่ี 3 คอื สจั ฉกิ ริ ยิ า (ธรรมอนั พงึ ประจกั ษแ จง , สง่ิ ทค่ี วรไดค วรถงึ หรอื ควรบรรลุ ไดแ ก วชิ ชา และวมิ ตุ ติ เมอ่ื กลา วโดยรวบยอด คอื นโิ รธ หรอื นพิ พาน หมายถงึ ธรรมจาํ พวกทเ่ี ปน จดุ หมาย หรอื เปน ทดี่ บั หายสน้ิ ไปแหง ทกุ ขห รอื ปญ หา — Sacchikàtabba-dhamma: things to be realized, i.e. true knowledge and freedom or liberation) 4. ภาเวตพั พธรรม = ธรรมทเี่ ขา กบั กจิ ในอรยิ สจั จข อ ที่ 4 คอื ภาวนา (ธรรมอนั พงึ เจรญิ หรอื พงึ ปฏบิ ตั บิ าํ เพญ็ , สงิ่ ทจี่ ะตอ งปฏบิ ตั หิ รอื ลงมอื ทาํ ไดแ ก ธรรมทเ่ี ปน มรรค โดยเฉพาะสมถะ และ วปิ ส สนา กลา วคอื ประดาธรรมทเ่ี ปน ขอ ปฏบิ ตั หิ รอื เปน วธิ กี ารทจี่ ะทาํ หรอื ดาํ เนนิ การเพอื่ ใหบ รรลุ จดุ หมายแหง การสลายทกุ ขห รอื ดบั ปญ หา — Bhàvetabba-dhamma: things to be developed, i.e. tranquillity and insight, or, in other words, the Noble Eightfold Path) M.III.289; S.V.52; A.II.246. ม.อ.ุ 14/829/524; สํ.ม.19/291–5/78;องฺ.จตกุ ฺก.21/254/333. [207] อรูป หรือ อารปุ ป 4 (ฌานมีอรปู ธรรมเปน อารมณ คอื อรูปฌาน, ภพของสตั วผูเขา ถงึ อรูปฌาน, ภพของอรูปพรหม — Aråpa, âruppa: absorptions of the Formless Sphere; the Formless Spheres; immaterial states) 1. อากาสานัญจายตนะ (ฌานอันกําหนดอากาศคอื ชองวา งหาทส่ี ุดมไิ ดเ ปนอารมณ หรือภพ ของผเู ขา ถึงฌานนี้ — âkàsàna¤càyatana: Sphere of Infinity of Space) 2. วิญญาณัญจายตนะ (ฌานอันกําหนดวิญญาณหาทสี่ ดุ มไิ ดเ ปน อารมณ หรอื ภพของผเู ขา ถึงฌานนี้ — Vi¤¤àõa¤càyatana: Sphere of Infinity of Consciousness) 3. อากิญจญั ญายตนะ (ฌานอันกําหนดภาวะที่ไมมอี ะไรๆ เปนอารมณ หรือภพของผเู ขา ถงึ ฌานนี้ — âki¤ca¤¤àyatana: Sphere of Nothingness) 4. เนวสญั ญานาสญั ญายตนะ (ฌานอันเขา ถงึ ภาวะมสี ัญญากไ็ มใ ช ไมม สี ญั ญาก็ไมใ ช หรอื
[208] 158 พจนานกุ รมพุทธศาสตร ภพของผูเขาถึงฌานน้ี — Nevasa¤¤ànàsa¤¤àyatana: Sphere of Neither Perception Nor Non-Perception) D.III.224; S.IV.227. ท.ี ปา.11/235/235; ส.ํ สฬ.18/519/326. [208] อวิชชา 4 (ความไมร ูแ จง , ไมรูจริง — Avijjà: ignorance; lack of essential knowledge) 1. ทุกฺเข อฺาณํ (ไมร ใู นทุกข — ignorance of suffering) 2. ทุกฺขสมทุ เย อฺ าณํ (ไมรูใ นทกุ ขสมทุ ัย — ~ of the cause of suffering) 3. ทุกฺขนิโรเธ อฺ าณํ (ไมรใู นทุกขนิโรธ — ~ of the cessation of suffering) 4. ทกุ ขฺ นิโรธคามนิ ยิ า ปฏปิ ทาย อฺ าณํ (ไมรูในทกุ ขนิโรธคามนิ ีปฏิปทา — ~ of the path leading to the cessation of suffering) กลา วสนั้ ๆ คือ ไมรใู นอริยสจั จ 4 S.II.4; S.IV.256; Vbh.135. สํ.นิ.16/17/5; ส.ํ สฬ.18/505/315; อภิ.วิ.35/256/181. [209] อวิชชา 8 (ความไมรูแจง, ไมรจู รงิ — Avijjà: ignorance; lack of essential knowledge) 4 ขอแรกตรงกบั อวชิ ชา 4; ขอ 5–8 ดังนี้ 5. ปุพพฺ นเฺ ต อฺาณํ (ไมร ูในสวนอดีต — ignorance of the past) 6. อปรนเฺ ต อฺาณํ (ไมรูใ นสวนอนาคต — ~ of the future) 7. ปพุ พฺ นตฺ าปรนเฺ ต อฺ าณํ (ไมร ทู ง้ั สว นอดตี ทงั้ สว นอนาคต — ~ of both the past and the future) 8. อิทปฺปจฺจยตาปฏจิ จฺ สมปุ ปฺ นเฺ นสุ ธมเฺ มสุ อฺาณํ (ไมร ใู นธรรมทง้ั หลายทีอ่ าศยั กันจึง เกดิ มีข้นึ ตามหลักอทิ ัปปจ จยตา — ~ of states dependently originated according to specific conditionality) Dhs.190,195; Vhh.362. อภ.ิ สํ.34/691/273; 712/281; อภ.ิ วิ.35/926/490. [210] อันตรายของภิกษุสามเณรผูบวชใหม 4 (ตามบาลีวาภัยสําหรับกลุ บุตรผู บวชในธรรมวินัยนี้ อันเปนเหตุใหประพฤติพรหมจรรยอยูไดไมยั่งยืน ตองลาสิกขาไป — Bhaya: perils or terrors awaiting a clansman who has gone forth from home to the homeless life; dangers to newly ordained monks or novices) 1. อมู ภิ ยั (ภยั คลนื่ คือ อดทนตอ คําสัง่ สอนไมได เกิดความข้ึงเคียดคบั ใจ เบ่อื หนา ยคาํ ตักเตอื นพร่าํ สอน — æmibhaya: peril of waves, i.e. wrath and resentment caused by inability to accept teaching and advice) 2. กมุ ภลี ภัย (ภยั จรเข คือ เห็นแกปากแกทอง ถูกจํากัดดว ยระเบียบวินยั เกย่ี วกับการบริโภค ทนไมได — Kumbhãlabhaya: peril of crocodiles, i.e. gluttony)
หมวด 4 159 [212] 3. อาวฏภยั (ภัยนํา้ วน คือ หวงพะวงใฝท ะยานในกามสขุ ตัดใจจากกามคณุ ไมได — âvañabhaya: peril of whirlpools, i.e. desire for sense-pleasures) 4.สสุ กุ าภัย (ภัยปลาราย หรอื ภัยฉลาม คอื เกิดความปรารถนาทางเพศ รกั ผหู ญิง — Susukàbhaya: peril of sharks, i.e. love for women) M.I.460; A.II.123. ม.ม.13/190/198; องฺ.จตกุ ฺก.21/122/165. [,,,] อปั ปมญั ญา 4 ดู [161] พรหมวิหาร 4. [211] อาจารย 4 (ผูประพฤตกิ ารอนั เก้อื กูลแกศ ษิ ย, ผูท ศี่ ษิ ยพ งึ ประพฤตดิ วยความเอ้ือเฟอ , ผูสงั่ สอนวชิ าและอบรมดูแลความประพฤติ — âcariya: teacher; instructor) 1. บรรพชาจารย (อาจารยในบรรพชา คอื ทานผใู หส ิกขาบทในการบรรพชา — Pabbajjà- cariya: initiation-teacher; teacher at the Going Forth) 2. อุปสมั ปทาจารย (อาจารยในอปุ สมบท คอื ทานผสู วดกรรมวาจาในอปุ สมบทกรรม — Upasampadàcariya: ordination-teacher; teacher at the Admission) 3. นิสสยาจารย (อาจารยผูใ หน สิ ัย คอื ทานทต่ี นไปขอถอื นิสยั เปนอันเตวาสกิ คอื ยอมตนเปน ศษิ ยอยใู นปกครอง — Nissayàcariya: tutelar teacher; teacher from whom one takes the Dependence) 4. อเุ ทศาจารย หรอื ธรรมาจารย (อาจารยผูใหอุเทศ, อาจารยผูสอนธรรม คือ ทานท่สี ่งั สอนใหว ชิ าความรู โดยหลักวชิ าก็ดี เปนทปี่ รกึ ษาไตถ ามคน ควา ก็ดี — Uddesàcariya, Dhammàcariya: teacher of textual study; teacher who gives the instruction; teacher of the Doctrine) บางแหง เตมิ โอวาทาจารย (อาจารยผูใ หโอวาท คืออบรมตกั เตอื นแนะนาํ เปน ครง้ั คราว — Ovàdàcariya: teacher who gives admonitions) เขาอกี รวมเปน อาจารย 5. Vism.94; VinA.V.1085, VII.1379. วสิ ุทฺธิ.1/118; วินย.อ.3/182,582; วนิ ย.ฏกี า4/168; มงฺคล.2/289. [,,,] อาสวะ 4 ดู [136] อาสวะ 4. [212] อาหาร 4 (สภาพทีน่ ํามาซึ่งผลโดยความเปนปจจัยคํ้าจุนรูปธรรมและนามธรรมท้ัง หลาย, เครือ่ งคํ้าจุนชวี ติ , ส่ิงท่ีหลอเลยี้ งรา งกายและจิตใจ ทาํ ใหเ กดิ กาํ ลังเจรญิ เตบิ โตและ วิวัฒนไ ด — âhàra: nutriment) 1. กวฬงิ การาหาร (อาหารคอื คาํ ขา ว ไดแก อาหารสามัญที่กลืนกินดดู ซมึ เขา ไปหลอเล้ยี งราง กาย — Kavaëiïkàràhàra: material food; physical nutriment) เมอื่ กาํ หนดรกู วฬิงการาหาร ไดแ ลว กเ็ ปน อันกําหนดรรู าคะทเี่ กิดจากเบญจกามคุณไดด วย 2. ผัสสาหาร (อาหารคอื ผสั สะ ไดแ ก การบรรจบแหงอายตนะภายใน อายตนะภายนอก และ วญิ ญาณ เปน ปจ จยั ใหเ กดิ เวทนา พรอ มทั้งเจตสกิ ท้งั หลายทีจ่ ะเกดิ ตามมา — Phassàhàra:
[213] 160 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร nutriment consisting of contact; contact as nutriment) เมือ่ กาํ หนดรูผ ัสสาหารไดแลว ก็เปน อันกําหนดรเู วทนา 3 ไดด วย 3. มโนสญั เจตนาหาร (อาหารคือมโนสญั เจตนา ไดแ ก ความจงใจ เปน ปจจัยแหงการทํา พูด คดิ ซึ่งเรยี กวา กรรม เปน ตวั ชักนาํ มาซ่ึงภพ คอื ใหเ กดิ ปฏสิ นธิในภพทงั้ หลาย — Mano- sa¤cetanàhàra: nutriment consisting of mental volition; mental choice as nutriment) เมอ่ื กําหนดรูมโนสญั เจตนาหารไดแ ลว ก็เปนอันกําหนดรตู ัณหา 3 ไดด วย. 4. วญิ ญาณาหาร (อาหารคอื วญิ ญาณ ไดแ ก วญิ ญาณเปน ปจ จยั ใหเ กดิ นามรปู — Vi¤¤àõàhàra: nutriment consisting of consciousness; consciousness as nutriment) เมอื่ กําหนดรู วิญญาณาหารไดแลว กเ็ ปน อันกําหนดรูนามรูปไดดว ย. D.III.228; M.I.48; S.II.101; Vbh.401. ท.ี ปา.11/244/240; ม.ม.ู 12/113/87; ส.ํ นิ.16/245/122; อภิ.วิ.35/1081/543. [213] อทิ ธิบาท 4 (คุณเครือ่ งใหถึงความสาํ เรจ็ , คณุ ธรรมที่นาํ ไปสูความสําเร็จแหง ผลที่มุง หมาย — Iddhipàda: path of accomplishment; basis for success) 1. ฉันทะ (ความพอใจ คอื ความตอ งการท่จี ะทํา ใฝใ จรักจะทําส่งิ นั้นอยูเสมอ และปรารถนา จะทําใหไดผ ลดยี ิ่งๆ ขน้ึ ไป — Chanda: will; zeal; aspiration) 2. วริ ิยะ (ความเพียร คือ ขยนั หมนั่ ประกอบส่งิ น้ันดวยความพยายาม เขมแขง็ อดทน เอา ธุระ ไมท อ ถอย — Viriya: energy; effort; exertion; perseverance) 3. จติ ตะ (ความคิดมงุ ไป คือ ตง้ั จิตรบั รใู นสิง่ ทท่ี าํ และทาํ สง่ิ น้ันดวยความคิด เอาจติ ฝก ใฝไ ม ปลอ ยใจใหฟ งุ ซานเลอื่ นลอยไป อทุ ิศตวั อทุ ิศใจใหแกส่งิ ทที่ าํ — Citta: thoughtfulness; active thought; dedication) 4. วมิ งั สา (ความไตรต รอง หรือ ทดลอง คอื หม่ันใชป ญ ญาพจิ ารณาใครครวญตรวจตราหา เหตุผลและตรวจสอบขอยิง่ หยอนในสง่ิ ทีท่ าํ นัน้ มกี ารวางแผน วดั ผล คดิ คน วธิ แี กไ ขปรับปรุง เปนตน — Vãma§sà: investigation; examination; reasoning; testing) D.III.221; Vbh.216. ที.ปา.11/231/233; อภิ.ว.ิ 35/505/292. [214] อุปาทาน 4 (ความยึดม่นั , ความถอื ม่นั ดวยอํานาจกเิ ลส, ความยึดตดิ อนั เนือ่ งมาแต ตัณหา ผูกพันเอาตวั ตนเปน ทตี่ ั้ง — Upàdàna: attachment; clinging; assuming) 1. กามุปาทาน (ความยดึ มัน่ ในกาม คือ รปู เสยี ง กลิ่น รส โผฏฐพั พะ ทน่ี า ใคร นา พอใจ — Kàmupàdàna: clinging to sensuality) 2. ทฏิ ปุ าทาน (ความยดึ ม่ันในทฏิ ฐิหรือทฤษฎี คือความเหน็ ลทั ธิ หรอื หลกั คาํ สอนตา งๆ — Diññhupàdàna: clinging to views) 3. สีลพั พตุปาทาน (ความยดึ มน่ั ในศีลและพรต คือ ถือวาจะบรสิ ุทธหิ์ ลุดพน ไดเ พยี งดวยศีล และวตั ร หลักความประพฤติ ขอ ปฏบิ ตั ิ แบบแผน ระเบยี บ วิธี ขนบธรรมเนียมประเพณี ลทั ธิ พธิ ตี างๆ ถอื วา จะตองเปนอยางนั้นๆ โดยสักวาทาํ สืบๆ กันมา หรือ ปฏิบัติตามๆ กันไปอยา ง
หมวด 4 161 [215] งมงาย หรือโดยนยิ มวา ขลงั วาศกั ด์สิ ทิ ธ์ิ มไิ ดเปนไปดวยความรคู วามเขา ใจตามหลกั ความ สัมพนั ธแหงเหตแุ ละผล —Sãlabbatupàdàna: clinging to mere rules and rituals) 4. อัตตวาทุปาทาน (ความยดึ มัน่ ในวาทะวาตวั ตน คือ ความถือหรอื สาํ คญั หมายอยใู นภาย ในวา มีตวั ตน ทจ่ี ะได จะเปน จะมี จะสญู สลาย ถูกบบี ค้ันทําลาย หรือเปนเจา ของ เปนนาย บังคับบญั ชาสงิ่ ตางๆ ได ไมม องเหน็ สภาวะของส่ิงท้ังปวง อนั รวมท้งั ตวั ตนวา เปนแตเ พยี งส่งิ ท่ี ประชมุ ประกอบกนั เขา เปน ไปตามเหตปุ จ จยั ทงั้ หลายทม่ี าสมั พนั ธก นั ลว นๆ — Attavàdupàdàna: clinging to the ego-belief) D.III.230; M.I.66; Vbh.375. ท.ี ปา.11/262/242; ม.มู.12/156/132; อภ.ิ วิ.35/963/506. [215] โอฆะ 4 (สภาวะอนั เปน ดุจกระแสนาํ้ หลากทวมใจสตั ว, กเิ ลสดุจนา้ํ ทวมพาผูตกไปให พนิ าศ — Ogha: the Four Floods) ไดแ ก กาม ภพ ทฏิ ฐิ อวชิ ชา [กาโมฆะ ภโวฆะ ทฏิ โฐฆะ อวิชโชฆะ] เหมือนในอาสวะ 4. ดู [136] อาสวะ 4. D.III.230,276; S.V.59; Vbh.374. ท.ี ปา.11/258/242; สํ.ม.19/333/88; อภ.ิ ว.ิ 35/963/506.
ปญ จกะ — หมวด 5 Groups of Five (including related groups) [,,,] กัลยาณธรรม 5 ดู [239] เบญจธรรม. [,,,] กามคณุ 5 ดู [6] กามคุณ 5. [,,,] กําลัง 5 ของพระมหากษัตริย ดู [230] พละ 5 ของพระมหากษตั รยิ [216] ขนั ธ 5 หรือ เบญจขนั ธ (กองแหงรปู ธรรมและนามธรรมหาหมวดท่ปี ระชมุ กันเขา เปน หนว ยรวม ซง่ึ บญั ญตั เิ รยี กวา สัตว บคุ คล ตัวตน เรา–เขา เปนตน , สว นประกอบหาอยา ง ทร่ี วมเขาเปน ชวี ิต — Pa¤ca-khandha: the Five Groups of Existence; Five Aggregates) 1. รปู ขันธ (กองรูป, สว นทเี่ ปนรปู , รางกาย พฤตกิ รรม และคุณสมบัตติ า งๆ ของสวนทเ่ี ปน รางกาย, สวนประกอบฝายรปู ธรรมท้ังหมด, สงิ่ ท่เี ปนรางพรอมทัง้ คุณและอาการ — Råpa- khandha: corporeality) 2. เวทนาขันธ (กองเวทนา, สว นทีเ่ ปนการเสวยรสอารมณ, ความรูสกึ สขุ ทกุ ข หรอื เฉยๆ — Vedanà-khandha: feeling; sensation) 3. สญั ญาขันธ (กองสญั ญา, สวนท่เี ปนความกาํ หนดหมายใหจําอารมณน ั้นๆ ได, ความ กาํ หนดไดหมายรูในอารมณ 6 เชนวา ขาว เขียว ดํา แดง เปนตน — Sa¤¤à-khandha: perception) 4. สังขารขนั ธ (กองสังขาร, สว นทเี่ ปนความปรุงแตง, สภาพท่ีปรุงแตงจิตใหดีหรอื ชว่ั หรอื เปนกลางๆ, คณุ สมบัตติ า งๆ ของจติ มีเจตนาเปน ตวั นํา ทปี่ รุงแตง คุณภาพของจติ ใหเ ปนกศุ ล อกุศล อัพยากฤต — Saïkhàra-khandha: mental formations; volitional activities) 5. วญิ ญาณขนั ธ (กองวญิ ญาณ, สว นทเี่ ปน ความรแู จง อารมณ, ความรอู ารมณท างอายตนะทงั้ 6 มีการเห็น การไดย นิ เปน ตน ไดแก วญิ ญาณ 6 — Vi¤¤àõa-khandha: consciousness) ขนั ธ 5 นี้ ยอลงมาเปน 2 คอื นาม และ รปู ; รปู ขันธจ ดั เปน รูป, 4 ขนั ธนอกนั้นเปน นาม. อกี อยา งหนง่ึ จัดเขาในปรมตั ถธรรม 4: วญิ ญาณขันธเ ปน จติ , เวทนาขันธ สัญญาขนั ธ และ สังขารขันธ เปน เจตสิก, รปู ขันธ เปน รปู , สว น นิพพาน เปนขนั ธวินิมตุ คือ พนจากขันธ 5 เร่อื งขนั ธ 5 พึงดูประกอบในหมวดธรรมอนื่ ๆ เชน 1. รูปขนั ธ ดู [37] รูป 2; [38] รปู 28; [39] มหาภูต 4; [40] อุปาทายรปู 24. 2. เวทนาขนั ธ ดู [110] เวทนา 2; [111] เวทนา 3; [112] เวทนา 5; [113] เวทนา 6.
หมวด 5 163 [218] 3. สญั ญาขนั ธ ดู [271] สญั ญา 6. 4. สังขารขันธ ดู [119] สังขาร 3 1; [120] สงั ขาร 3 2; [129] อภสิ ังขาร 3; [263] เจตนา 6. 5. วญิ ญาณขันธ ดู [268] วญิ ญาณ 6. นอกน้ี ดู [356] จิตต 89; [355] เจตสิก 52 S.III.47; Vbh.1. ส.ํ ข.17/95/58; อภ.ิ วิ.35/1/1. [,,,] คติ 5 ดู [351] ภูมิ 4. [217] จักขุ 5 (พระจักษุอนั เปนสมบัติของพระผมู พี ระภาคเจา — Cakkhu: the Five Eyes of the Blessed One) 1. มังสจักขุ (ตาเนอื้ คอื ทรงมพี ระเนตรอันงาม มีอาํ นาจ เห็นแจม ใส ไว และเหน็ ไกล — Ma§sa-cakkhu: the physical eye which is exceptionally powerful and sensitive) 2. ทิพพจักขุ (ตาทิพย คือ ทรงมพี ระญาณอันเหน็ หมสู ตั วผเู ปน ไปตางๆ กนั ดวยอํานาจกรรม — Dibba-cakkhu: the Divine Eye) 3. ปญญาจกั ขุ (ตาปญ ญา คอื ทรงประกอบดวยพระปญญาคณุ ยงิ่ ใหญ เปนเหตุใหส ามารถ ตรสั รอู ริยสจั จธรรม เปน ตน — Pa¤¤à-cakkhu: the eye of wisdom; Wisdom-Eye) 4. พทุ ธจักขุ (ตาพระพทุ ธเจา คอื ทรงประกอบดว ยอนิ ทรยี ปโรปรยิ ตั ตญาณ และอาสยานสุ ย- ญาณ เปนเหตุใหทรงทราบอัธยาศัยและอุปนิสัยแหงเวไนยสัตว แลวทรงสั่งสอนแนะนําให บรรลคุ ุณวเิ ศษตา งๆ ยงั พุทธกจิ ใหบรบิ รู ณ — Buddha-cakkhu: the eye of a Buddha; Buddha-Eye) 5. สมันตจักขุ (ตาเห็นรอบ คอื ทรงประกอบดว ยพระสัพพัญตุ ญาณ อนั หยั่งรธู รรมทุก ประการ — Samanta-cakkhu: the eye of all-round knowledge; All-seeing Eye; omniscience) Nd2235. ข.ุ ม.29/51/52. [,,,] ฌาน 5 ดู [9] ฌาน 4. [218] ธรรมขันธ 5 (กองธรรม, หมวดธรรม, ประมวลธรรมทงั้ ปวงเขาเปน หัวขอ ใหญ — Dhamma-khandha: bodies of doctrine; categories of the Teaching) 1. สีลขนั ธ (กองศลี , หมวดศลี ประมวลธรรมทัง้ หลาย เชน อปจายนมัย เวยยาวัจจมยั ปาตโิ มกขสงั วร กายสุจรติ สมั มาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ เปน ตน — Sãla- khandha: body of morals; virtue category) 2. สมาธขิ นั ธ (กองสมาธิ, หมวดสมาธิ ประมวลธรรมทั้งหลาย เชน ฉันทะ วิรยิ ะ จิตตะ สัมมาวายามะ สมั มาสติ สมั มาสมาธิ เปน ตน — Samàdhi-khandha: body of concen- tration; concentration category)
[219] 164 พจนานุกรมพุทธศาสตร 3. ปญญาขนั ธ (กองปญ ญา, หมวดปญญา ประมวลธรรมท้งั หลาย เชน ธัมมวิจยะ วิมงั สา ปฏสิ ัมภิทา สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกปั ปะ เปน ตน — Pa¤¤à-khandha: body of wisdom or insight; understanding category) 4. วิมตุ ตขิ ันธ (กองวมิ ุตติ, หมวดวิมุตติ ประมวลธรรมท้ังหลาย เชน ปหาน วิราคะ วโิ มกข วสิ ุทธิ สนั ติ นิโรธ นิพพาน เปน ตน — Vimutti-khandha: body of deliverance; deliver- ance category) 5. วิมุตตญิ าณทสั สนขันธ (กองวิมุตตญิ าณทัสสนะ, หมวดธรรมเกยี่ วกับการรกู ารเหน็ ใน วิมตุ ติ ประมวลธรรมทัง้ หลาย เชน ผลญาณ ปจ จเวกขณญาณ เปนตน — Vimutti¤àõa- dassana-khandha: body of the knowledge and vision of deliverance; knowing- and-seeing-of-deliverance category) ธรรมขนั ธ 4 ขอ ตน เรียกอกี อยา งวา สาระ 4 (แกน , หลกั ธรรมทีเ่ ปน แกน , หวั ใจธรรม — essences) D.III.279; A.III.134; A.II.140. ท.ี ปา.11/420/301; องฺ.ปจฺ ก.22/108/152; อง.ฺ จตกุ กฺ .21/150/189. [219] ธรรมเทสกธรรม 5 (ธรรมของนกั เทศก, องคแ หงธรรมกถึก, ธรรมท่ผี แู สดงธรรม หรอื สง่ั สอนคนอืน่ ควรต้งั ไวใ นใจ — Dhammadesaka-dhamma: qualities of a preacher; qualities which a teacher should establish in himself) 1. อนปุ พุ พฺ ิกถํ (กลา วความไปตามลําดบั คอื แสดงหลักธรรมหรอื เนื้อหาวชิ าตามลําดบั ความ งายยากลุมลึก มีเหตุผลสัมพันธตอเนื่องกันไปโดยลําดับ — Anupubbikatha§: His instruction or exposition is regulated and gradually advanced.) 2. ปริยายทสฺสาวี (ช้ีแจงยกเหตุผลมาแสดงใหเขา ใจ คือ ชแ้ี จงใหเขาใจชดั ในแตล ะแงแ ตละ ประเดน็ โดยอธบิ ายขยายความ ยักเย้อื งไปตา งๆ ตามแนวเหตผุ ล — Pariyàyadassàvã: It has reasoning or refers to causality.) 3. อนุทยตํ ปฏจิ ฺจ (แสดงธรรมดวยอาศัยเมตตา คอื สอนเขาดวยจติ เมตตา มงุ จะใหเ ปน ประโยชนแกเขา — Anudayata§ pañicca: It is inspired by kindness; teaching out of kindliness.) 4. น อามิสนฺตโร (ไมแสดงธรรมดวยเหน็ แกอ ามิส คอื สอนเขามใิ ชเ พราะมงุ ท่ตี นจะไดลาภ หรอื ผลประโยชนตอบแทน — Na àmisantaro: It is not for worldly gain.) 5. อตฺตานฺจ ปรจฺ อนุปหจจฺ (แสดงธรรมไมก ระทบตนและผอู ่ืน คือ สอนตามหลักตาม เนอื้ หา มงุ แสดงอรรถ แสดงธรรม ไมย กตน ไมเ สยี ดสขี ม ขี่ผูอ น่ื — Anupahacca: It does not hurt oneself or others; not exalting oneself while contempting others.) A.III.184. อง.ฺ ปจฺ ก.22/159/205. [220] ธรรมสมาธิ 5 (ธรรมท่ีทําใหเ กดิ ความมน่ั สนิทในธรรม เกิดความมนั่ ใจในการปฏบิ ตั ิ
หมวด 5 165 [222] ธรรมถกู ตอ ง กําจดั ความของใจสงสยั เสียได เมื่อเกิดธรรมสมาธิ คือความมั่นสนทิ ในธรรม ก็ จะเกดิ จติ ตสมาธิ คอื ความตั้งมน่ั ของจิต — Dhamma-samàdhi: concentration of the Dhamma; virtues making for firmness in the Dhamma) 1. ปราโมทย (ความชนื่ บานใจ ราเริงสดใส — Pàmojja: cheerfulness; gladness; joy) 2. ปติ (ความอิม่ ใจ, ความปล้มื ใจ — Pãti: rapture; elation) 3. ปสสัทธิ (ความสงบเยน็ กายใจ, ความผอ นคลายร่ืนสบาย – Passaddhi: tranquillity; relaxedness) 4. สุข (ความรื่นใจไรความของขดั — Sukha: happiness) 5. สมาธิ (ความสงบอยูตัวม่ันสนิทของจิตใจ ไมมีสิ่งรบกวนเราระคาย — Samàdhi: concentration) ธรรม หรอื คุณสมบัติ 5 ประการนี้ ตรัสไวท่ัวไปมากมาย เมอื่ ทรงแสดงการปฏิบตั ธิ รรมท่ี กา วมาถึงขัน้ เกดิ ความสาํ เรจ็ ชดั เจน ตอ จากน้ี ผปู ฏบิ ัตจิ ะเดินหนา ไปสูการบรรลุผลของสมถะ (คอื ไดฌาน) หรอื ของวปิ ส สนา แลวแตก รณี ดังนั้น จงึ ใชเปนเครอื่ งวัดผลการปฏิบตั ิข้ันตอนใน ระหวา งไดด ี และเปนธรรมหรอื คณุ สมบตั สิ าํ คัญของจิตใจท่ีทุกคนควรทําใหเกดิ มีอยูเ สมอ S.IV.350. สํ.สฬ.18/665-673/429-439. [221] ธรรมสวนานสิ งส 5 (อานสิ งสใ นการฟง ธรรม — Dhammassavanànisa§sa: benefits of listening to the Dhamma) 1. อสสฺ ุตํ สณุ าติ (ยอ มไดฟ งสิง่ ท่ียังไมเคยฟง, ไดเรยี นรสู งิ่ ทีย่ งั ไมเคยเรียนรู — He hears things not heard.) 2. สตุ ํ ปริโยทเปติ (สงิ่ ที่เคยไดฟง ก็ทําใหแจม แจง เขาใจชัดเจนยิง่ ข้ึน — He clears things heard.) 3. กงฺขํ วิหนติ (แกข อสงสยั ได, บรรเทาความสงสัยเสียได — He dispels his doubts.) 4. ทิฏ ึ อุชุํ กโรติ (ทําความเห็นใหถูกตองได — He makes straight his views.) 5. จิตฺตมสฺส ปสีทติ (จิตของเขายอมผองใส — His heart becomes calm and happy.) A.III.248. อง.ฺ ปจฺ ก.22/202/276. [222] นวกภกิ ขธุ รรม 5 (ธรรมที่ควรฝกสอนภิกษุบวชใหมใ หป ระพฤติปฏิบตั ิอยา งม่ันคง, องคแหง ภิกษใุ หม — Navakabhikkhu-dhamma: qualities of a newly ordained monk; qualities which should be established in newly ordained monks) 1. ปาตโิ มกขสังวร (สํารวมในพระปาฏโิ มกข รักษาศลี เครง ครัด ทงั้ ในสวนเวน ขอหา ม และ ทําตามขออนญุ าต — Pàñimokkhasa§vara: restraint in accordance with the monastic code of discipline; self-control strictly in accordance with the fundamental training-rules)
[223] 166 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร 2. อินทรียสงั วร (สาํ รวมอนิ ทรยี มสี ตริ ะวงั รกั ษาใจ มใิ หก เิ ลสคอื ความยนิ ดยี นิ รา ยเขา ครอบงาํ เมอ่ื รับรอู ารมณด ว ยอินทรยี ท้ัง 6 มเี ห็นรูปดว ยตาเปนตน — Indriyasa§vara: restraint of the senses; sense-control) 3. ภสั สปริยนั ตะ (พดู คยุ มขี อบเขต คอื จํากดั การพดู คยุ ใหน อย รูขอบเขต ไมเอกิ เกริกเฮฮา — Bhassapariyanta: restraint as regards talking) 4. กายวูปกาสะ (ปลกี กายอยูสงบ คือ เขา อยใู นเสนาสนะอันสงดั — Kàyavåpakàsa: seclusion as to the body; love of solitude) 5. สมั มาทสั สนะ (ปลูกฝงความเหน็ ชอบ คือ สรา งเสริมสมั มาทฏิ ฐิ — Sammàdassana: cultivation of right views.) A.III.138. องฺ.ปฺจก.22/114/156. [223] นยิ าม 5 (กาํ หนดอันแนนอน, ความเปนไปอนั มีระเบียบแนนอนของธรรมชาติ, กฎ ธรรมชาติ — Niyàma: orderliness of nature; the five aspects of natural law) 1. อตุ นุ ยิ าม (กฎธรรมชาตเิ กยี่ วกบั อณุ หภมู ิ หรอื ปรากฏการณธ รรมชาตติ า งๆ โดยเฉพาะดนิ นาํ้ อากาศ และฤดกู าล อนั เปน สงิ่ แวดลอ มสาํ หรบั มนษุ ย — Utu-niyàma: physical inorganic order; physical laws) 2. พชี นยิ าม (กฎธรรมชาตเิ กยี่ วกบั การสบื พนั ธุ มพี นั ธกุ รรมเปน ตน — Bãja-niyàma: physical organic order; biological laws) 3. จิตตนิยาม (กฎธรรมชาติเก่ยี วกบั การทํางานของจิต — Citta-niyàma: psychic law) 4. กรรมนยิ าม (กฎธรรมชาตเิ กยี่ วกบั การกระทําของมนษุ ย คือ กระบวนการใหผลของการ กระทาํ — Kamma-niyàma: order of act and result; the law of Kamma; moral laws) 5. ธรรมนยิ าม (กฎธรรมชาติเก่ียวกับความสมั พันธแ ละอาการทีเ่ ปนเหตเุ ปน ผลแกก ันแหง ส่งิ ท้ังหลาย — Dhamma-niyàma: order of the norm; the general law of cause and effect; causality and conditionality) ดู [86] ธรรมนิยาม 3; [177] สมบัติ 4; [176] วบิ ตั ิ 4 2. DA.II.432; DhsA.272. ท.ี อ.2/34; สงฺคณี.อ.408. [224] นิโรธ 5 (ความดับกิเลส, ภาวะไรกเิ ลสและไมมที ุกขเกิดข้ึน — Nirodha: extinction; cessation of defilements; non-arising of suffering) 1. วกิ ขมั ภนนโิ รธ (ดบั ดว ยขม ไว คอื การดบั กเิ ลสของทา นผบู าํ เพญ็ ฌาน ถงึ ปฐมฌาน ยอ มขม นวิ รณไ วไ ด ตลอดเวลาทอี่ ยใู นฌานนน้ั — Vikkhambhana-nirodha: extinction by suppression) 2. ตทงั คนโิ รธ (ดบั ดว ยองคน นั้ ๆ คอื ดบั กเิ ลสดว ยธรรมทเี่ ปน คปู รบั หรอื ธรรมทตี่ รงขา ม เชน ดบั สักกายทฏิ ฐดิ วยความรทู ่กี ําหนดแยกนามรูปออกได เปนการดบั ช่วั คราวในกรณีน้ันๆ — Tadaïga-nirodha: extinction by substitution of opposites)
หมวด 5 167 [226] 3. สมุจเฉทนิโรธ (ดับดว ยตดั ขาด คือ ดับกเิ ลสเสร็จส้ินเด็ดขาด ดวยโลกตุ ตรมรรค ในขณะ แหงมรรคนนั้ ชือ่ สมุจเฉทนิโรธ — Samuccheda-nirodha: extinction by cutting off or extirpation) 4. ปฏปิ สสทั ธินิโรธ (ดบั ดวยสงบระงบั คือ อาศยั โลกุตตรมรรคดบั กิเลสเดด็ ขาดไปแลว บรรลุโลกุตตรผล กิเลสเปนอนั สงบระงบั ไปหมดแลว ไมตองขวนขวายเพือ่ ดบั อีก ในขณะแหง ผลน้ันชือ่ ปฏปิ สสัทธินโิ รธ — Pañipassaddhi-nirodha: extinction by tranquillization) 5. นิสสรณนิโรธ (ดบั ดว ยสลัดออกได หรือดบั ดวยปลอดโปรง ไป คือ ดับกิเลสเสรจ็ สิ้นแลว ดํารงอยใู นภาวะท่ีกเิ ลสดบั แลวนั้นยัง่ ยนื ตลอดไป ภาวะนัน้ ช่อื นิสสรณนิโรธ ไดแกอ มตธาตุ คอื นพิ พาน — Nissaraõa-nirodha: extinction by escape; extinction by getting freed) ปหาน 5 (การละกิเลส — abandonment), วมิ ตุ ติ 5 (ความหลุดพน — deliverance), วเิ วก 5 (ความสงดั , ความปลกี ออก — seclusion), วริ าคะ 5 (ความคลายกําหนดั , ความ สํารอกออกได — detachment; dispassionateness), โวสสคั คะ 5 (ความสละ, ความปลอย — relinquishing) ก็อยางเดยี วกนั นท้ี ง้ั หมด Ps.I.27,220–221; Vism.410. ขุ.ปฏิ.31/65/39; 704/609; วสิ ทุ ฺธิ.2/249. [225] นิวรณ 5 (สงิ่ ทีก่ ้นั จติ ไมใ หก า วหนา ในคุณธรรม, ธรรมที่กน้ั จิตไมใหบ รรลุคุณความด,ี อกุศลธรรมทีท่ าํ จิตใหเ ศราหมองและทําปญ ญาใหออนกําลัง — Nãvaraõa: hindrances.) 1. กามฉนั ทะ (ความพอใจในกาม, ความตองการกามคุณ—Kàmachanda: sensual desire) 2. พยาบาท (ความคดิ รา ย, ความขัดเคอื งแคนใจ — Byàpàda: illwill) 3. ถีนมิทธะ (ความหดหแู ละเซื่องซึม — Thãna-middha: sloth and torpor) 4. อทุ ธจั จกกุ กจุ จะ (ความฟงุ ซา นและรอ นใจ, ความกระวนกระวายกลมุ กงั วล — Uddhacca- kukkucca: distraction and remorse; flurry and worry; restlessness and anxiety) 5. วจิ กิ จิ ฉา (ความลังเลสงสยั — Vicikicchà: doubt; uncertainty) A.III.62; Vbh.378. อง.ฺ ปจฺ ก.22/51/72; อภ.ิ วิ.35/983/510. [,,,] เบญจธรรม ดู [239] เบญจธรรม. [,,,] เบญจศีล ดู [238] ศลี 5 [,,,] ประโยชนท ่ีควรถือเอาจากโภคทรัพย 5 ดู [232] โภคอาทิยะ 5 [,,,] ปหาน 5 (การละกเิ ลส — Pahàna: abandonment) ดู [224] นิโรธ 5 [226] ปต ิ 5 (ความอ่ิมใจ, ความดม่ื ดา่ํ — Pãti: joy; interest; zest; rapture) 1. ขุททกาปต ิ (ปต ิเลก็ นอ ย พอขนชูชันนํ้าตาไหล — Khuddakà-pãti: minor rapture; lesser thrill)
[227] 168 พจนานุกรมพุทธศาสตร 2. ขณกิ าปติ (ปติชวั่ ขณะ ทําใหร ูส ึกแปลบๆ เปนขณะๆ ดุจฟาแลบ — Khaõikà-pãti: momentary or instantaneous joy) 3. โอกกันติกาปต ิ (ปติเปน ระลอกหรอื ปตเิ ปน พักๆ ใหรูส ึกซลู งมาๆ ในกาย ดจุ คล่ืนซัดตอง ฝง — Okkantikà-pãti: showering joy; flood of joy) 4. อุพเพคาปต ิ หรือ อุพเพงคาปต ิ (ปต โิ ลดลอย เปนอยางแรงใหรสู กึ ใจฟูแสดงอาการหรือ ทาํ การบางอยา งโดยมิไดต ้งั ใจ เชน เปลงอทุ าน เปน ตน หรอื ใหรูสึกตัวเบาลอยขึ้นไปในอากาศ — Ubbegà-pãti: uplifting joy) 5. ผรณาปติ (ปตซิ าบซาน ใหร สู กึ เย็นซา นแผเอิบอาบไปทวั่ สรรพางค ปติทป่ี ระกอบกบั สมาธิ ทา นมงุ เอาขอ น้ี — Pharaõà-pãti: suffusing joy; pervading rapture) Vism.143. วิสุทธฺ .ิ 1/182. [227] พร 5 (ส่ิงนาปรารถนาที่บุคคลหนึ่งอํานวยใหหรือแสดงความประสงคดวยความ ปรารถนาดใี หเกิดมีข้ึนแกบ คุ คลอนื่ ; ส่ิงประเสรฐิ , สิ่งดีเยยี่ ม — Vara: blessing; boon; excellent thing) พรท่รี จู กั กันมากไดแ ก ชดุ ท่มี จี าํ นวน 4 ขอ ซึ่งเรียกกนั วา จตุรพธิ พร หรอื พร 4 ประการ คอื อายุ วรรณะ สุขะ พละ Dh.109; A.II.63. ข.ุ ธ.25/18/29; องฺ.จตุกกฺ .21/58/83. พรทเ่ี ปน ชดุ มีจาํ นวน 5 ขอ บาง 6 ขอบา ง กม็ ี เชน อายุ วรรณะ สขุ ะ พละ ปฏิภาณ (องฺ. ปจฺ ก.22/37/44 = A.III.42); อายุ วรรณะ ยศ เกยี รติ สขุ ะ พละ (อง.ฺ จตกุ กฺ .21/34/45; อง.ฺ ปจฺ ก. 22/32/38; ข.ุ อติ ิ. 25/270/299 = A.II.35; A.III.36; It.89); อายุ วรรณะ สุขะ ยศ เกยี รติ สัคคะ คือ สวรรค พรอมท้ัง อุจจากลุ นี ตา คอื ความมีตระกูลสงู (องฺ.ปฺจก. 22/43/51 = A.III.48); อายุ วรรณะ ยศ สุข อาธปิ จจะ คอื ความเปนใหญ (ข.ุ เปต. 26/106/195 = Pv. 308) และชุดท่ีจะกลาวถงึ ตอ ไปคือ อายุ วรรณะ สขุ ะ โภคะ พละ อยางไรก็ดี พึงทราบวา คําวา พร ในทนี่ ี้ เปน การใชโดยอนโุ ลมตามความหมายในภาษา ไทย ซง่ึ เพ้ียนไปแลวจากความหมายเดิมในภาษาบาลี ในภาษาบาลีแตเดมิ พร หมายถึง ผล ประโยชนห รือสทิ ธพิ เิ ศษทีอ่ นญุ าตหรอื อํานวยใหต ามท่ีขอ พรทกี่ ลาวถงึ ณ ท่ีน้ีทั้งหมด ในบาลี ไมไดเ รียกวา พร แตเ รียกวา ฐานะ หรอื ธรรม ท่นี า ปรารถนา นา ใคร นา พอใจ (ซ่งึ จะบรรลไุ ด ดวยกรรมคอื การกระทาํ ท่ดี ีอนั เปน บญุ ) สําหรับพระภิกษุ พรหรอื ธรรมอันนา ปรารถนาเหลานี้ หมายถงึ คุณธรรมตางๆ ท่คี วรปลูก ฝงฝก อบรมใหเกดิ มี ดงั พทุ ธพจนวา: ภิกษุทอ งเทย่ี วอยู ภายในถิ่นทอ งเที่ยวท่ีเปนแดนของตน อันสืบทอดมาแตบ ิดา (คอื สติปฏ ฐาน 4) จักเจรญิ ดวย 1. อายุ คือ พลังท่ีหลอ เล้ียงทรงชวี ติ ใหสืบตออยไู ดย าวนาน ไดแก อทิ ธบิ าท 4 (for monks, âyu: longevity = the Four Bases of Accomplishment)
หมวด 5 169 [229] 2. วรรณะ คือ ความงามเอบิ อ่มิ ผอ งใสนา เจริญตาเจริญใจ ไดแก ศลี (Vaõõa: beauty = moral conduct) 3. สขุ ะ คอื ความสขุ ไดแ ก ฌาน 4 (Sukha: happiness = the Four Meditative Absorptions) 4. โภคะ คอื ความพรัง่ พรอ มดว ยทรพั ยส มบตั ิและอุปกรณตางๆ อันอํานวยความสุขความ สะดวกสบาย ไดแ ก อปั ปมญั ญา หรอื พรหมวหิ าร 4 (Bhoga: wealth = the Four Boundless Sublime States of Mind) 5. พละ คอื กาํ ลงั แรงความเขม แขง็ ทท่ี าํ ใหข ม ขจดั ไดแ มแ ตก าํ ลงั แหง มาร ทาํ ใหส ามารถดาํ เนนิ ชวี ติ ท่ดี ีงามปลอดโปรงเปน สุข บาํ เพ็ญกิจดวยบรสิ ุทธิ์และเตม็ ที่ ไมมีกิเลสหรอื ความทกุ ขใ ดๆ จะสามารถบบี คน้ั ครอบงํา ไดแก วมิ ุตติ ความหลุดพน หมดสน้ิ อาสวะ หรอื อรหัตตผล (Bala: strength or power = the Final Freedom) D.III.77; S.V.147. ที.ปา.11/50/85; ส.ํ ม.19/700/198. [228] พละ 5 (ธรรมอันเปนกําลงั — Bala: power) องคธ รรม 5 อยางในหมวดนี้ มชี ่ือตรงกับ อนิ ทรยี 5 จึงขอใหดทู ่ี [258] อินทรยี 5 พละหมวดนี้เปน หลักปฏบิ ัตทิ างจิตใจ ใหถ งึ ความหลดุ พนโดยตรง D.III.239; A.III.10; Vbh.342. ที.ปา.11/300/252; องฺ.ปฺจก.22/13/11; อภิ.วิ.35/844/462. [229] พละ 4 (ธรรมอนั เปน กําลงั , ธรรมอนั เปน พลังทําใหด าํ เนนิ ชวี ติ ดวยความม่นั ใจ ไมห วัน่ ตอภยั ทุกอยาง — Bala: strength; force; power) 1. ปญญาพละ (กาํ ลังปญญา — Pa¤¤à-bala: power of wisdom) 2. วิรยิ พละ (กาํ ลงั ความเพียร — Viriya-bala: power of energy or diligence) 3. อนวชั ชพละ (กําลงั สจุ รติ หรอื กาํ ลงั ความบริสุทธ์ิ, ตามศพั ทแ ปลวา กําลังการกระทําที่ไม มโี ทษ คอื มกี ายกรรม วจีกรรม มโนกรรมบริสุทธ์ิ เชนมคี วามประพฤติและหนา ทกี่ ารงาน สจุ รติ ไมมีขอ บกพรอ งเสยี หาย พูดจรงิ มเี หตผุ ล มุงดี ไมร กุ รานใหรา ยใคร ทาํ การดว ยเจตนา บรสิ ทุ ธ์ิ — Anavajja-bala: power of faultlessness, blamelessness or cleanliness) 4. สงั คหพละ (กาํ ลงั การสงเคราะห คือ การยึดเหนีย่ วนา้ํ ใจคนและประสานหมชู นไวใ นสามคั คี — Saïgaha-bala: power of sympathy or solidarity) สงเคราะหด ว ยสงั คหวตั ถุ 4 คอื 4.1 ทาน (การใหปน โดยปกตหิ มายถึง ชว ยเหลือในดานทนุ หรอื ปจจัยเครอ่ื งยงั ชีพ ตลอดจน เผอื่ แผกันดวยไมตรี อยางเลศิ หมายถึงธรรมทาน คอื แนะนาํ ส่งั สอนใหค วามรูค วามเขา ใจ จน เขารจู กั พ่ึงตนเองได — Dàna: gift; charity; benefaction) 4.2 เปยยวัชชะ (พดู จบั ใจ, = ปยวาจา คอื พูดดวยน้าํ ใจหวังดี มุงใหเปนประโยชน และรูจ กั พดู ใหเปน ผลดี ทําใหเกดิ ความเชือ่ ถอื สนิทสนม และเคารพนับถือกัน อยางเลิศหมายถึง หมั่น แสดงธรรม คอยชวยชี้แจงแนะนาํ หลักความจรงิ ความถกู ตองดงี าม แกผ ูท ต่ี องการ — Peyyavajja: kindly speech)
[230] 170 พจนานุกรมพทุ ธศาสตร 4.3 อตั ถจรยิ า (บาํ เพญ็ ประโยชน คอื ชว ยเหลือรบั ใช ทาํ งานสรางสรรค ประพฤตกิ ารที่เปน ประโยชน อยา งเลศิ หมายถงึ ชวยเหลือสงเสรมิ คนใหม คี วามเชือ่ ถือถกู ตอง (สทั ธาสัมปทา) ให ประพฤติดงี าม (สลี สมั ปทา) ใหม ีความเสียสละ (จาคสัมปทา) และใหม ปี ญ ญา (ปญญาสมั ปทา) — Atthacariyà: friendly aid; doing good; life of service) 4.4 สมานัตตตา (มีตนเสมอ คือ เสมอภาค ไมเ อาเปรยี บ ไมถือสงู ตา่ํ รว มสขุ รวมทกุ ขด วย อยา งเลศิ หมายถงึ มีความเสมอกันโดยธรรม เชน พระโสดาบันมตี นเสมอกับพระโสดาบนั เปน ตน — Samànattatà: equality; impartiality; participation) พละหมวดนี้ เปน หลักประกนั ของชวี ติ ผปู ระพฤตธิ รรม 4 นีย้ อมดาํ เนินชีวิตดวยความมน่ั ใจ เพราะเปน ผมู ีพลงั ในตน ยอมขา มพนภัยท้ัง 5 คือ 1. อาชีวติ ภัย (ภยั เน่ืองดว ยการครองชีพ — fear of troubles about livelihood) 2. อสโิ ลกภัย (ภัยคอื ความเส่อื มเสยี ช่อื เสยี ง — fear of ill-fame) 3. ปรสิ สารชั ชภยั (ภัยคือความครน่ั ครามเกอ เขนิ ในที่ชุมนมุ — fear of embarrassment in assemblies) 4. มรณภัย (ภยั คือความตาย — fear of death) 5. ทคุ คตภิ ยั (ภยั คือทคุ ติ — fear of a miserable life after death) ดู [186] สังคหวัตถุ 4. A.IV.363. องฺ.นวก.23/209/376. [230] พละ 5 ของพระมหากษตั รยิ (พลงั ของบคุ คลผูยงิ่ ใหญทส่ี ามารถเปนกษัตรยิ ปกครองแผนดินได — Bala: strengths of a king) 1. พาหาพละ หรือ กายพละ (กําลงั แขน หรอื กาํ ลงั กาย คือ ความแข็งแรงมีสุขภาพดี สามารถและชาํ นาญในการใชแ ขนใชม อื ใชอ าวธุ ตลอดจนมียทุ โธปกรณพ รัง่ พรอม — Bàhà- bala, Kàyabala: strength of arms) 2. โภคพละ (กาํ ลังโภคสมบัติ คือ มีทนุ ทรัพยบ รบิ ูรณ พรอมทีจ่ ะใชบ าํ รุงเลีย้ งคน และดําเนนิ กิจการไดไ มติดขดั — Bhogabala: strength of wealth) 3. อมัจจพละ (กาํ ลงั อาํ มาตย หรือกาํ ลงั ขา ราชการ คอื มที ่ปี รึกษาและขาราชการระดับ บรหิ ารทท่ี รงคุณวฒุ เิ กงกลาสามารถ และจงรักภักดี ซื่อสัตยต อแผน ดิน — Amaccabala: strength of counsellors or ministers) 4. อภชิ ัจจพละ (กาํ ลงั ความมีชาติสงู คอื กําเนิดในตระกูลสูง เปนขัตตยิ ชาตติ อ งดว ยความ นยิ มเชิดชขู องมหาชน และไดรับการฝกอบรมมาแลวเปน อยา งดีตามประเพณแี หงชาตติ ระกูล นนั้ — Abhijaccabala: strength of high birth) 5. ปญญาพละ (กําลงั ปญญา คือ ทรงปรชี าญาณ หยัง่ รูเ หตผุ ล ผดิ ชอบ ประโยชน มใิ ช ประโยชน สามารถวินิจฉัยเหตุการณท้งั ภายในภายนอก และดํารกิ ารตา งๆ ใหไ ดผ ลเปน อยา งดี
หมวด 5 171 [232] — Pa¤¤àbala: strength of wisdom) กําลังแขน หรือกาลํ ังกาย แมจะสําคัญ แตท า นจัดวาต่ําสุด หากไมม พี ลังอน่ื ควบคุมค้ําจนุ อาจกลายเปนกําลงั อนั ธพาล สวนกาํ ลังปญญา ทานจดั วา เปนกําลงั อนั ประเสริฐ เปนยอดแหง กาํ ลงั ทงั้ ปวง เพราะเปนเครอ่ื งกํากบั ควบคุม และนําทางกําลงั อ่ืนทุกอยาง J.V.120. ข.ุ ชา.27/2444/532; ชา.อ.7/348. [231] พหสู ูตมีองค 5 (คุณสมบตั ทิ ่ีทาํ ใหค วรไดร ับชื่อวา เปนพหูสูต คอื ผไู ดเ รยี นรมู าก หรอื คงแกเ รียน — Bahussutaïga: qualities of a learned person) 1. พหสุ สฺ ตุ า (ฟงมาก คอื ไดเ ลา เรียนสดบั ฟง ไวมาก — Bahussutà: having heard or learned many ideas) 2. ธตา (จาํ ได คอื จับหลักหรือสาระได ทรงจําความไวแ มนยํา — Dhatà: having retained or remembered them) 3. วจสา ปรจิ ติ า (คลองปาก คือ ทอ งบนหรอื ใชพูดอยูเสมอจนแคลวคลองจัดเจน — Vacasà paricità: having frequently practised them verbally; having consolidated them by word of mouth) 4. มนสานุเปกฺขติ า (เพง ขนึ้ ใจ คือ ใสใจนกึ คดิ พจิ ารณาจนเจนใจ นึกถึงครัง้ ใด กป็ รากฏเนอ้ื ความสวางชดั — Manasànupekkhità: having looked over them with the mind) 5. ทิฏิยา สุปฏวิ ทิ ธฺ า (ขบไดด วยทฤษฎี หรอื แทงตลอดดดี ว ยทิฏฐิ คือ มคี วามเขาใจลกึ ซงึ้ มองเหน็ ประจักษแ จงดวยปญญา ท้งั ในแงความหมายและเหตุผล — Diññhiyà supañividdhà: having thoroughly penetrated them by view) A.III.112. อง.ฺ ปจฺ ก.22/87/129. [232] โภคอาทยิ ะ 5, โภคาทิยะ 5 (ประโยชนท่ีควรถือเอาจากโภคทรพั ย หรอื เหตผุ ลที่ อรยิ สาวกควรยดึ ถือ ในการท่ีจะมหี รือครอบครองโภคทรัพย — Bhoga-àdiya: uses of possessions; benefits which one should get from wealth; reasons for earning and having wealth) อรยิ สาวกแสวงหาโภคทรพั ยมาได ดว ยน้าํ พักนํ้าแรงความขยนั หมนั่ เพียรของตน และโดย ทางสจุ รติ ชอบธรรมแลว 1. เลี้ยงตัว มารดาบิดา บุตรภรรยา และคนในปกครองทั้งหลายใหเ ปนสุข (to make oneself, one’s parents, children, wife, servants and workmen happy and live in comfort) 2. บํารุงมิตรสหายและผูรว มกิจการงานใหเ ปนสุข (to share this happiness and comfort with one’s friends) 3. ใชป องกนั ภยันตราย (to make oneself secure against all misfortunes)
[233] 172 พจนานุกรมพทุ ธศาสตร 4. ทําพลี 5 อยา ง (to make the fivefold offering) ก. ญาตพิ ลี สงเคราะหญ าติ (to relatives, by giving help to them) ข. อติถิพลี ตอนรับแขก (to guests, by receiving them) ค. ปพุ พเปตพลี ทําบญุ อุทิศใหผ ูล วงลบั (to the departed, by dedicating merit to them) ง. ราชพลี บาํ รงุ ราชการดว ยการเสยี ภาษอี ากรเปน ตน (to the king, i.e. to the government, by paying taxes and duties and so on) จ. เทวตาพลี ถวายเทวดา* คอื สกั การะบํารุงหรอื ทาํ บญุ อทุ ิศสง่ิ ท่เี คารพบชู าตามความเช่อื ถือ (to the deities, i.e. those beings who are worshipped according to one’s faith) 5. อุปถัมภบ ํารงุ สมณพราหมณผ ูประพฤตดิ ปี ฏิบตั ชิ อบ (to support those monks and spiritual teachers who lead a pure and diligent life) เมื่อใชโ ภคทรัพยทาํ ประโยชนอ ยา งนีแ้ ลว ถึงโภคะจะหมดสิน้ ไป ก็สบายใจไดวา ไดใชโ ภคะ นนั้ ใหเปน ประโยชนถ กู ตองตามเหตผุ ลแลว ถาโภคะเพ่มิ ข้นึ กส็ บายใจเชนเดียวกัน เปน อนั ไม ตองเดอื ดรอนใจในท้ังสองกรณ.ี A.III.45. อง.ฺ ปฺจก.22/41/48. [233] มจั ฉริยะ 5 (ความตระหน,่ี ความหวง, ความคดิ กดี กันไมใ หผ อู ่ืนไดดี หรือมสี ว นรว ม * ในจฬู นทิ เทส ทา นอธบิ ายความหมายของ เทวดา ไววา ไดแกส ิ่งทน่ี ับถือเปน ทกั ขิไณยของตนๆ (เย เยสํ ทกขฺ ิเณยฺยา, เต เตสํ เทวตา — พวกไหนนบั ถอื สงิ่ ใดเปนทกั ขิไณย สง่ิ น้นั ก็เปน เทวดาของพวกนั้น) และ แสดงตัวอยางไวต ามความเช่ือถอื ของคนสมยั พทุ ธกาล ประมวลไดเปน 5 ประเภท คือ 1. นักบวช นักพรต (ascetics) เชน อาชีวกเปน เทวดาของสาวกอาชีวก นิครนถ ชฎลิ ปรพิ าชก ดาบส ก็ เปน เทวดาของสาวกนคิ รนถเปน ตน เหลา น้นั ตามลาํ ดบั 2. สัตวเลย้ี ง (domestic animals) เชน ชางเปน เทวดาของพวกประพฤติพรตบชู าชา ง มา โค ไก กา เปน ตน กเ็ ปนเทวดาของพวกถือพรตบชู าสตั วนั้นๆ ตามลาํ ดับ 3. ธรรมชาติ (physical forces and elements) เชน ไฟเปนเทวดาของพวกประพฤติพรตบูชาไฟ แกว มณี ทศิ พระจนั ทร พระอาทติ ย เปนเทวดาของผูถือพรตบูชาสง่ิ นั้นๆ ตามลาํ ดับ 4. เทพช้ันต่าํ (lower gods) เชน นาคเปนเทวดาของพวกประพฤติพรตบชู านาค ครฑุ ยักษ คนธรรพ เปน เทวดาของผูถือพรตบูชานาคเปนตนเหลานัน้ ตามลาํ ดับ (พระภมู จิ ัดเขาในขอ นี)้ 5. เทพช้นั สงู (higher gods) เชน พระพรหม เปน เทวดาของพวกประพฤติพรตบูชาพระพรหม พระอินทร เปนเทวดาของผถู ือพรตบชู าพระอนิ ทร เปน ตน สําหรับชนที่ยังมีความเช่อื ถือในสง่ิ เหลา นี้ พระพุทธศาสนาสอนเปลีย่ นแปลงเพียงใหเลิกเซนสรวงสงั เวย เอาชีวิตบชู ายญั หนั มาบูชายัญชนดิ ใหม คือบริจาคทานและบําเพญ็ กุศลกรรมตางๆ อุทศิ ไปใหแ ทน คอื มุงท่ี วิธีการอันจะใหส ําเรจ็ ประโยชนกอ น สวนการเปลีย่ นแปลงความเช่อื ถอื เปน เรอื่ งของการแกไขทางสติปญญา ซึ่งประณีตขึน้ ไปอกี ชั้นหนง่ึ โดยเฉพาะนกั บวชในประเภทท่ี 1 แมส าวกใดจะเปลย่ี นมานับถอื พระพุทธศาสนา โดยสมบูรณ พระพุทธเจา กท็ รงแนะนําใหอุปถัมภบ าํ รงุ นกั บวชนนั้ ตอไป ดู Devatà ใน Pali Text Society’s Pali-English Dictionary, p. 330 ดวย Nd2308. ขุ.จู.30/120/45.
หมวด 5 173 [234] — Macchariya: meanness; avarice; selfishness; stinginess; possessiveness) 1. อาวาสมจั ฉรยิ ะ (ตระหนที่ อี่ ย,ู หวงทอ่ี าศยั เชน ภิกษหุ วงเสนาสนะ กีดกนั ผอู น่ื หรือผูมใิ ช พวกของตน ไมใหเขา อยู เปนตน — âvàsa-macchariya: stinginess as to dwelling) 2. กุลมจั ฉรยิ ะ (ตระหนีต่ ระกูล, หวงสกลุ เชน ภกิ ษุหวงสกุลอปุ ฏ ฐาก คอยกีดกนั ภกิ ษุอ่นื ไม ใหเก่ยี วขอ งไดรับการบํารุงดว ย เปน ตน — Kula-macchariya: stinginess as to family) 3. ลาภมัจฉริยะ (ตระหนีล่ าภ, หวงผลประโยชน เชน ภิกษุหาทางกีดกันไมใหล าภเกดิ ขน้ึ แก ภิกษุอ่นื — Làbha-macchariya: stinginess as to gain) 4. วณั ณมจั ฉริยะ (ตระหนีว่ รรณะ, หวงสรรี วัณณะ คอื ผิวพรรณของรา งกาย ไมพ อใจใหผอู ืน่ สวยงาม ก็ดี หวงคณุ วัณณะ คือ คําสรรเสริญคณุ ไมอยากใหใ ครมีคุณความดีมาแขงตน หรอื ไมพ อใจไดยนิ คําสรรเสรญิ คุณความดีของผอู น่ื กด็ ี ตลอดจนแบงช้ันวรรณะกนั — Vaõõa- macchariya: stinginess as to recognition; caste or class discrimination) 5. ธมั มมจั ฉรยิ ะ (ตระหนี่ธรรม, หวงวชิ าความรู และคณุ พเิ ศษทีไ่ ดบ รรลุ ไมยอมสอนไมย อม บอกผอู ่นื กลวั เขาจะรูเ ทียมเทา หรอื เกนิ ตน — Dhamma-macchariya: stinginess as to knowledge or mental achievements) D.III.234; A.III.271; Vbh.357. ท.ี ปา.11/282/246; อง.ฺ ปจฺ ก.22/254/301; อภ.ิ ว.ิ 35/978/509. [234] มาร 5 (สิง่ ที่ฆาบคุ คลใหตายจากคุณความดีหรือจากผลทีห่ มายอันประเสรฐิ , สิง่ ที่ลา ง ผลาญคุณความด,ี ตัวการท่กี าํ จัดหรอื ขดั ขวางบุคคลมใิ หบรรลผุ ลสาํ เรจ็ อันดีงาม — Màra: the Evil One; the Tempter; the Destroyer) 1. กเิ ลสมาร (มารคือกิเลส, กเิ ลสเปนมารเพราะเปน ตัวกําจดั และขดั ขวางความดี ทาํ ใหส ัตว ประสบความพินาศท้ังในปจจุบันและอนาคต — Kilesa-màra: the Màra of defilements) 2. ขนั ธมาร (มารคือเบญจขนั ธ, ขันธ 5 เปนมาร เพราะเปนสภาพอันปจจัยปรงุ แตง มีความ ขัดแยงกันเองอยภู ายใน ไมม ่นั คงทนนาน เปน ภาระในการบรหิ าร ท้ังแปรปรวนเส่ือมโทรมไป เพราะชราพยาธิเปนตน ลวนรอนโอกาสมใิ หบ คุ คลทํากจิ หนาที่ หรือบาํ เพ็ญคุณความดีไดเ ตม็ ปรารถนา อยา งแรง อาจถงึ กับพรากโอกาสน้ันโดยส้นิ เชงิ — Khandha-màra: the Màra of the aggregates) 3. อภิสงั ขารมาร (มารคืออภิสังขาร, อภิสังขารเปน มาร เพราะเปน ตวั ปรุงแตง กรรม นาํ ให เกิดชาติ ชรา เปนตน ขดั ขวางมใิ หห ลดุ พน ไปจากสงั สารทกุ ข — Abhisaïkhàra-màra: the Màra of Karma-formations) 4. เทวปตุ ตมาร (มารคือเทพบุตร, เทพยง่ิ ใหญร ะดบั สูงสุดแหง ชั้นกามาวจรตนหนง่ึ ชื่อวา มาร เพราะเปนนมิ ิตแหงความขัดขอ ง คอยขดั ขวางเหนย่ี วรั้งบคุ คลไว มใิ หล ว งพน จากแดนอาํ นาจ ครอบงําของตน โดยชักใหหวงพะวงในกามสุขไมหาญเสียสละออกไปบําเพ็ญคุณความดีที่ยิ่ง ใหญไ ด — Devaputta-màra: the Màra as deity)
[235] 174 พจนานุกรมพุทธศาสตร 5. มจั จุมาร (มารคือความตาย, ความตายเปน มาร เพราะเปนตวั การตดั โอกาสที่จะกา วหนา ตอไปในคุณความดที งั้ หลาย — Maccu-màra: the Màra as death) Vism.211; ThagA.II.16,46. วิสุทฺธิ.1/270; เถร.อ. 2/24,383,441; วินย.ฏกี า1/481. [,,,] มิจฉาวณิชชา 5 (การคาขายที่ผิดหรอื ไมชอบธรรม) เปน คําชัน้ อรรถกถา บาลเี รียก อกรณยี วณชิ ชา คอื “วณิชชาท่ไี มควรทํา” ดู [235] วณชิ ชา 5. [235] วณชิ ชา 5 (การคาขาย 5 อยาง ในท่นี ี้หมายถงึ การคา ขายทีเ่ ปน อกรณียะสาํ หรับ อบุ าสก คอื อุบาสกไมค วรประกอบ — Vaõijjà: trades which should not be plied by a lay disciple) 1. สัตถวณิชชา (คาขายอาวธุ — Sattha-vaõijjà: trade in weapons) 2. สัตตวณชิ ชา (คาขายมนษุ ย — Satta-vaõijjà: trade in human beings) 3. มังสวณิชชา (คาขายเน้ือสตั ว — Ma§sa-vaõijjà: trade in flesh; อรรถกถาแกว า เล้ยี ง สัตวไ วขาย — trade in animals for meat) 4. มัชชวณชิ ชา (คาขายของเมา — Majja-vaõijjà: trade in spirits or narcotics) 5. วิสวณชิ ชา (คาขายยาพษิ — Visa-vaõijjà: trade in poison) A.III.207. อง.ฺ ปฺจก.22/177/233. [,,,] วัฑฒิ หรือ วฒั ิ หรอื วฒุ ิ 5 ดู [249] อริยวัฑฒิ 5. [236] วมิ ุตติ 5 (ความหลดุ พน — deliverance) ดู [224] นิโรธ 5. [,,,] เวทนา 5 ดู [112] เวทนา 5. [237] เวสารชั ชกรณธรรม 5 (ธรรมทาํ ความกลา หาญ, คณุ ธรรมทที่ าํ ใหเกดิ ความแกลว กลา — Vesàrajjakaraõa-dhamma: qualities making for intrepidity) 1. ศรทั ธา (ความเชอื่ ทม่ี เี หตผุ ล มนั่ ใจในหลกั ทถี่ อื และในการดที ที่ าํ — Saddhà: faith; confidence) 2. ศลี (ความประพฤตถิ กู ตอ งดงี าม ไมผ ดิ ระเบยี บวนิ ยั ไมผ ดิ ศลี ธรรม — Sãla: good conduct; morality) 3. พาหุสจั จะ (ความเปนผไู ดศึกษาเลา เรียนมาก — Bàhusacca: great learning) 4. วิริยารัมภะ (ปรารภความเพยี ร คอื การทไ่ี ดเร่ิมลงมือทาํ ความเพียรพยายามในกิจการ นั้นๆ อยแู ลว อยางม่ันคงจริงจงั — Viriyàrambha: exertion; energy) 5. ปญ ญา (ความรอบรู เขาใจชัดในเหตผุ ล ดี ชวั่ ประโยชน มิใชป ระโยชน เปน ตน รคู ิด รู วินจิ ฉยั และรูท่ีจะจัดการ — Pa¤¤à: wisdom; understanding) A.III.127. องฺ.ปฺจก.22/101/144.
หมวด 5 175 [239] [238] ศีล 5 หรือ เบญจศลี (ความประพฤติชอบทางกายและวาจา, การรกั ษากายวาจาให เรียบรอย, การรักษาปกตติ ามระเบียบวนิ ยั , ขอปฏิบัติในการเวนจากความช่วั , การควบคมุ ตน ใหต ัง้ อยใู นความไมเ บียดเบยี น — Pa¤ca-sãla: the Five Precepts; rules of morality) 1. ปาณาตปิ าตา เวรมณี (เวน จากการปลงชวี ติ , เวนจากการฆาการประทษุ รา ยกนั — Pàõàtipàtà veramaõã: to abstain from killing) 2. อทินฺนาทานา เวรมณี (เวนจากการถือเอาของท่ีเขามิไดให, เวนจากการลัก โกง ละเมิด กรรมสิทธ์ิ ทาํ ลายทรัพยส ิน — Adinnàdànà ~: to abstain from stealing) 3. กาเมสุมิจฺฉาจารา เวรมณี (เวนจากการประพฤตผิ ดิ ในกาม, เวนจากการลว งละเมดิ สง่ิ ที่ ผูอืน่ รักใครหวงแหน — Kàmesumicchàcàrà ~: to abstain from sexual misconduct) 4. มุสาวาทา เวรมณี (เวน จากการพดู เท็จ โกหก หลอกลวง — Musàvàdà ~: to abstain from false speech) 5. สรุ าเมรยมชชฺ ปมาทฏ านา เวรมณี (เวน จากนํ้าเมาคือสรุ าและเมรยั อนั เปน ท่ตี ้งั แหง ความประมาท, เวน จากสงิ่ เสพตดิ ใหโ ทษ — Suràmerayamajjapamàdaññhànà ~: to abstain from intoxicants causing heedlessness) ศลี 5 ขอน้ี ในบาลชี ั้นเดมิ สว นมากเรยี กวา สิกขาบท 5 (ขอ ปฏบิ ตั ใิ นการฝก ตน — Sikkhàpada: training rules) บา ง ธรรม 5 บาง เมอื่ ปฏิบัตไิ ดตามน้ี ก็ชือ่ วา เปนผูม ีศลี คือ เปนเบ้อื งตน ทจี่ ัดวาเปน ผมู ศี ีล (virtuous) คําวา เบญจศีล ที่มาในพระไตรปฎก ปรากฏใน คมั ภีรชน้ั อปทาน และพทุ ธวงส ตอมาในสมัยหลัง มชี ่อื เรยี กเพ่ิมขึ้นวาเปน นิจศีล (ศีลทค่ี ฤหสั ถ ควรรักษาเปนประจํา — virtues to be observed uninterruptedly) บาง วา เปน มนษุ ยธรรม (ธรรมของมนษุ ยห รือธรรมที่ทําใหเ ปน มนษุ ย — virtues of man) บา ง ดู คําสมาทาน ใน Appendix D.III.235; A.III.203,275; Vbh.285. ท.ี ปา.11/286/247; องฺ.ปฺจก.22/172/227; 264/307; อภิ.วิ.35/767/388. [239] เบญจธรรม หรือ เบญจกลั ยาณธรรม (ธรรม 5, ธรรมอนั ดีงามหา อยาง, คุณ ธรรมหา ประการ คกู บั เบญจศีล เปน ธรรมเกอื้ กูลแกการรักษาเบญจศลี ผรู ักษาเบญจศลี ควรมี ไวป ระจาํ ใจ — Pa¤ca-dhamma: the five ennobling virtues; virtues enjoined by the five precepts) 1. เมตตาและกรุณา (ความรกั ใครปรารถนาใหมคี วามสุขความเจริญ และความสงสารคดิ ชว ยใหพนทุกข — Mettà-karuõà: loving-kindness and compassion) คูกบั ศีลขอที่ 1 2. สมั มาอาชวี ะ (การหาเลย้ี งชพี ในทางสจุ รติ — Sammà-àjãva: right means of livelihood) คกู บั ศลี ขอ ที่ 2 3. กามสงั วร (ความสงั วรในกาม, ความสาํ รวมระวังรจู กั ยบั ยัง้ ควบคุมตนในทางกามารมณ ไม ใหหลงใหลในรปู เสยี ง กลิน่ รส และสัมผัส — Kàmasa§vara: sexual restraint) คูกับศลี
[240] 176 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร ขอท่ี 3 4. สจั จะ (ความสัตย ความซ่ือตรง — Sacca: truthfulness; sincerity) คกู บั ศีลขอ ที่ 4 5. สตสิ มั ปชญั ญะ (ระลกึ ไดแ ละรตู วั อยเู สมอ คอื ฝก ตนใหเ ปน คนรจู กั ยงั้ คดิ รสู กึ ตวั เสมอวา สง่ิ ใดควรทาํ และไมค วรทาํ ระวงั มใิ หเ ปน คนมวั เมาประมาท — Sati-sampaja¤¤a: mindfulness and awareness; temperance) คกู บั ศลี ขอ ที่ 5 ขอ 2 บางแหง เปน ทาน (การแบง ปน เออ้ื เฟอ เผอื่ แผ — Dàna: giving; generosity) ขอ 3 บางแหง เปน สทารสนั โดษ (ความพอใจดว ยภรรยาของตน — Sadàrasantosa: contentment with one’s own wife) ขอ 5 บางแหง เปน อปั ปมาท (ความไมป ระมาท — Appamàda: heedfulness) เบญจธรรมนี้ ทานผกู เปน หมวดธรรมขึ้นภายหลัง จงึ มีแปลกกันไปบา ง เมอ่ื วาโดยทีม่ า หวั ขอเหลานี้สว นใหญประมวลไดจ ากความทอ นทายของกศุ ลกรรมบถขอตน ๆ. ดู [320] กุศลกรรมบถ 10 2; [238] ศลี 5. [240] ศลี 8 หรอื อัฏฐศลี (การรกั ษาระเบียบทางกายวาจา, ขอปฏิบัตใิ นการฝกหัดกาย วาจาใหย ิง่ ขน้ึ ไป — Aññha-sãla: the Eight Precepts; training rules) 1. ปาณาตปิ าตา เวรมณี (เวนจากการทาํ ชีวิตสตั วใ หต กลว งไป — Pàõàtipàtà veramaõã: to abstain from taking life) 2. อทินฺนาทานา เวรมณี (เวนจากการถอื เอาของท่เี ขามไิ ดใหดว ยอาการแหงขโมย — Adinnàdànà ~: to abstain from taking what is not given) 3. อพฺรหฺมจริยา เวรมณี (เวนจากกรรมอันมิใชพรหมจรรย, เวนจากการประพฤติผิด พรหมจรรย คือรว มประเวณี — Abrahmacariyà ~: to abstain from unchastity) 4. มุสาวาทา เวรมณี (เวน จากการพูดเท็จ — Musàvàdà ~: to abstain from false speech) 5. สรุ าเมรยมชชฺ ปมาทฏ านา เวรมณี (เวน จากนํ้าเมา คือสุราและเมรัยอนั เปน ท่ตี ง้ั แหง ความประมาท — Suràmerayamajjapamàdaññhànà ~: to abstain from intoxicants causing heedlessness) 6. วกิ าลโภชนา เวรมณี (เวนจากการบรโิ ภคอาหารในเวลาวิกาล คือต้ังแตเ ที่ยงแลว ไป จน ถึงรงุ อรุณของวันใหม — Vikàlabhojanà ~: to abstain from untimely eating) 7. นจจฺ คตี วาทติ วสิ กู ทสสฺ นมาลาคนธฺ วเิ ลปนธารณมณฑฺ นวภิ สู นฏ านา เวรมณี (เวน จากการฟอ นรํา ขบั รอ ง บรรเลงดนตรี ดกู ารละเลน อันเปนขา ศกึ ตอ พรหมจรรย การทัดทรง ดอกไม ของหอม และเคร่อื งลบู ไล ซึง่ ใชเปน เคร่ืองประดบั ตกแตง — Naccagãtavàdita- visåkadassana-màlàgandhavilepanadhàraõamaõóanavibhåsanaññhànà ~: to abstain from dancing, singing, music and unseemly shows, from wearing garlands,
หมวด 5 177 [242] smartening with scents, and embellishment with unguents) 8. อจุ จฺ าสยนมหาสยนา เวรมณี (เวน จากทนี่ อนอนั สงู ใหญห รหู ราฟมุ เฟอ ย — Uccàsayana- mahàsayanà ~: to abstain from the use of high and large luxurious couches) คําสมาทาน ใหเ ติม สกิ ฺขาปทํ สมาทยิ ามิ ตอทา ยทุกขอ แปลเพิ่มวา “ขา พเจา ขอสมาทาน สกิ ขาบท คือเจตนางดเวน จาก ... หรอื ขา พเจาขอถอื ขอ ปฏบิ ัตใิ นการฝก ตนเพ่ืองดเวน จาก ...” ศลี 8 น้ี สมาทานรกั ษาพเิ ศษในวนั อโุ บสถ เรยี กวา อโุ บสถ (Uposatha: the Observances) หรอื อโุ บสถศลี (precepts to be observed on the Observance Day) A.IV.248. อง.ฺ อฏ ก.23/131/253. [241] ศีล 8 ทัง้ อาชีวะ หรือ อาชีวฏั ฐมกศีล (ศีลมอี าชีวะเปน คํารบ 8, หลกั ความ ประพฤติรวมทัง้ อาชีวะที่บริสุทธ์ิดวยเปนขอ ท่ี 8 — âjãvaññhamaka-sãla: virtue having livelihood as eight; the set of eight precepts of which pure livelihood is the eighth) 1.–7. ตรงกับ กศุ ลกรรมบถ 7 ขอ ตน (กายกรรม 3 วจกี รรม 4) 8. สมั มาอาชวี ะ อาชวี ฏั ฐมกศีลน้ี เปน ศลี สว นอาทพิ รหมจรรย คือ เปน หลกั ความประพฤตเิ บือ้ งตนของ พรหมจรรย กลา วคอื มรรค เปนส่ิงทตี่ อ งประพฤติใหบ ริสุทธใ์ิ นขั้นตน ของการดาํ เนินตามอรยิ - อฏั ฐังคิกมรรค วาโดยสาระ อาชวี ฏั ฐมกศีล ก็คอื องคมรรค 3 ขอ ในหมวดศีล คือขอที่ 3, 4, 5 ไดแ ก สมั มาวาจา สมั มากมั มันตะ และ สมั มาอาชีวะ น่นั เอง ดู [293] มรรคมอี งค 8; [319–320] กศุ ลกรรมบถ 10. Vism.11. วิสุทฺธ.ิ 1/13. [242] ศีล 10 หรอื ทศศีล (การรกั ษาระเบยี บทางกายวาจา, ขอปฏิบตั ิในการฝกหดั กาย วาจาใหย ง่ิ ข้ึนไป — Dasa-sãla: the Ten Precepts; training rules) 6 ขอแรกเหมอื นในศลี 8; ขอท่ี 7 แยกเปน 2 ขอ ดงั นี้ 7. นจฺจคตี วาทิตวิสูกทสสฺ นา เวรมณี (เวน จากการฟอนรํา ขับรอง บรรเลงดนตรี ดู การละเลน อันเปน ขาศึกตอ พรหมจรรย — Nacca~dassanà ~: to abstain from dancing, singing, music and unseemly shows) 8. มาลาคนธฺ วเิ ลปนธารณมณฑฺ นวิภูสนฏานา เวรมณี (เวนจากการทัดทรงดอกไม ของหอม และเครอ่ื งลบู ไล ซงึ่ ใชเ ปน เครอ่ื งประดบั ตกแตง — Màlà~ñhànà ~: to abstain from wearing garlands, smartening with scents, and embellishment with unguents) เลือ่ นขอ 8 ในศลี 8 เปน ขอ 9 และเตมิ ขอ 10 ดังนี้
[243] 178 พจนานกุ รมพุทธศาสตร 10. ชาตรูปรชตปฏิคฺคหณา เวรมณี (เวนจากการรบั ทองและเงิน — Jàtaråparajata- pañiggahaõà ~: to abstain from accepting gold and silver) สกิ ขาบท 10 นี้ เปน ศีลท่ีสามเณรและสามเณรีรกั ษาเปน ประจาํ หรืออุบาสกอุบาสกิ าผมู ี อตุ สาหะจะรกั ษากไ็ ด Kh.I.1. ข.ุ ขุ.25/1/1. [,,,] สกทาคามี 5 ดู [59] สกคามี 3, 5. [,,,] สมบัตขิ องอุบาสก 5 ดู [259] อุบาสกธรรม 5. [243] สงั วร 5 (ความสํารวม, ความระวังปด กนั้ บาปอกศุ ล — Sa§vara: restraint) สงั วรศีล (ศีลคือสงั วร, ความสาํ รวมเปนศลี — virtue as restraint) ไดแ ก สังวร 5 อยา ง คอื 1. ปาฏิโมกขสังวร (สํารวมในปาฏิโมกข คอื รกั ษาสิกขาบทเครงครัดตามทท่ี รงบญั ญัติไวใ น พระปาฏโิ มกข — Pàñimokkha-sa§vara: restraint by the monastic code of discipline) 2. สติสังวร (สาํ รวมดว ยสติ คอื สาํ รวมอนิ ทรียม จี ักษุเปนตน ระวงั รักษามใิ หบาปอกุศลธรรม เขา ครอบงาํ เมอื่ เหน็ รปู เปน ตน — Sati-sa§vara: restraint by mindfulness) = อนิ ทรยี สงั วร 3. ญาณสังวร (สาํ รวมดวยญาณ คือ ตัดกระแสกิเลสมตี ณั หาเปน ตน เสยี ได ดว ยใชปญ ญา พจิ ารณา มใิ หเ ขามาครอบงาํ จติ ตลอดถงึ รูจักพิจารณาเสพปจ จยั สี่ — ¥àõa-sa§vara: restraint by knowledge) = ปจจยั ปจจเวกขณ 4. ขันติสงั วร (สาํ รวมดวยขนั ติ คอื อดทนตอ หนาว รอน หวิ กระหาย ถอยคาํ แรงรา ย และ ทุกขเวทนาตางๆ ได ไมแสดงความวกิ าร — Khanti-sa§vara: restraint by patience) 5. วริ ยิ สังวร (สํารวมดว ยความเพยี ร คอื พยายามขบั ไล บรรเทา กําจัดอกศุ ลวิตกทเ่ี กดิ ขึ้น แลวใหห มดไปเปน ตน ตลอดจนละมจิ ฉาชพี เพียรแสวงหาปจ จยั สี่เล้ียงชวี ิตดวยสัมมาชีพ ที่ เรียกวา อาชวี ปารสิ ุทธิ — Viriya-sa§vara: restraint by energy) = อาชีวปาริสทุ ธ.ิ ในคมั ภีรบางแหง ท่อี ธิบายคาํ วา วินัย แบง วนิ ัย เปน 2 คือ สงั วรวินยั กบั ปหานวนิ ยั และจาํ แนกสงั วรวนิ ยั เปน 5 มแี ปลกจากนเี้ ฉพาะขอ ท่ี 1 เปน สลี สงั วร. (ดู สตุ ตฺ .อ.1/9; สงคฺ ณ.ี อ.505; SnA.8; DhsA.351). Vism.7; PsA.14,447; VbhA.330. วิสุทฺธ.ิ 1/8; ปฏิสํ.อ.16; วิภงฺค.อ.429. [244] สทุ ธาวาส 5 (พวกมีท่ีอยูอ ันบริสทุ ธ์ิ หรือที่อยูของทานผูบ ริสุทธิ์ คอื ทีเ่ กิดของพระ อนาคามี — Suddhàvàsa: pure abodes) ไดแ ก อวหิ า อตปั ปา สทุ สั สา สทุ สั สี และ อกนษิ ฐา สุทธาวาส 5 นี้ เปน รปู าวจรภมู ิ (ช้นั จตุตถฌานภูมิ ลําดบั ที่ 3 ถงึ 7) ในพระไตรปฎกแสดง ไวในรายชื่อท่ีรวมกับภูมิอื่นๆ บางเทาที่มีเรื่องเก่ียวของ จึงไมมีรายช่ือภูมิทั้งหมดทุกช้ันทุก ระดบั ครบถว นในท่เี ดยี ว แตใ นคมั ภีรชัน้ อรรถกถาบางแหง ทานแสดงรายชอื่ ภมู ไิ วท ง้ั หมดครบ
หมวด 5 179 [246] ทุกช้ันทกุ ระดับ มจี าํ นวนรวมท้งั ส้นิ 31 ภูมิ จงึ จะแสดงความหมายของชือ่ สทุ ธาวาสภมู ิท้ัง 5 น้ี รวมไวในรายชอ่ื ภูมิ 31 น้นั ดู [250] ภูมิ 31. D.III.237; M.III.99–103; Pug.17. ที.ปา.11/2/250; ม.อุ.14/317–332/216–225; อภ.ิ ป.ุ 36/56/149. [,,,] องคแหง ธรรมกถกึ 5 ดู [219] ธรรมเทสกธรรม 5. [,,,] องคแ หง ภิกษุใหม 5 ดู [222] นวกภกิ ขุธรรม 5. [245] อนนั ตรยิ กรรม 5 (กรรมหนกั ทสี่ ดุ ฝา ยบาปอกศุ ล ซง่ึ ใหผ ลรนุ แรงตอ เนอื่ งไป โดยไมม ี กรรมอน่ื จะมากน้ั หรอื คนั่ ได — Anantariya-kamma: immediacy-deeds; heinous crimes which bring immediate, uninterrupted and uninterruptible results) 1. มาตุฆาต (ฆา มารดา — Màtughàta: matricide) 2. ปตุฆาต (ฆา บดิ า — Pitughàta: patricide) 3. อรหันตฆาต (ฆา พระอรหนั ต — Arahantaghàta: killing an Arahant) 4. โลหิตปุ บาท (ทํารายพระพุทธเจา จนถึงพระโลหิตหอ ขึ้นไป — Lohituppàda: causing a Buddha to suffer a contusion or to bleed) 5. สงั ฆเภท (ยงั สงฆใ หแตกกนั , ทาํ ลายสงฆ — Saïghabheda: causing schism in the Order) กรรม 5 นี้ ในพระบาลีเรยี กวา อนันตริกกรรม A.III.146; Vbh.378. องฺ.ปฺจก.22/129/165; อภ.ิ ว.ิ 35/984/510. [,,,] อนาคามี 5 ดู [60] อนาคามี 5. [246] อนปุ พุ พกิ ถา 5 (เรือ่ งที่กลา วถึงตามลําดบั , ธรรมเทศนาที่แสดงเนอื้ ความลมุ ลกึ ลงไป โดยลาํ ดบั เพ่อื ขัดเกลาอธั ยาศยั ของผูฟง ใหประณตี ขึ้นไปเปน ช้นั ๆ จนพรอมที่จะทําความเขา ใจ ในธรรมสว นปรมตั ถ — Anupubbikathà: progressive sermon; graduated sermon; subjects for gradual instruction) 1. ทานกถา (เรื่องทาน, กลา วถงึ การให การเสียสละเผ่ือแผแ บงปน ชวยเหลอื กัน — Dàna- kathà: talk on giving, liberality or charity) 2. สลี กถา (เรอ่ื งศลี , กลา วถงึ ความประพฤตทิ ถี่ กู ตอ งดงี าม — Sãla-kathà: talk on morality or righteousness) 3. สัคคกถา (เรื่องสวรรค, กลาวถงึ ความสุขความเจรญิ และผลที่นาปรารถนาอนั เปนสว นดี ของกาม ที่จะพึงเขา ถงึ เมอ่ื ไดป ระพฤตดิ งี ามตามหลกั ธรรมสองขอ ตน — Sagga-kathà: talk on heavenly pleasures) 4. กามาทนี วกถา (เรอื่ งโทษแหงกาม, กลาวถึงสวนเสีย ขอ บกพรอ งของกาม พรอมทั้งผล
[247] 180 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร รา ยทีส่ ืบเนอื่ งมาแตกาม อนั ไมควรหลงใหลหมกมนุ มวั เมา จนถงึ รูจกั ที่จะหนายถอนตนออกได — Kàmàdãnava-kathà: talk on the disadvantages of sensual pleasures) 5. เนกขัมมานิสงั สกถา (เรือ่ งอานสิ งสแ หงความออกจากกาม, กลา วถงึ ผลดขี องการไมห มก มุนเพลิดเพลนิ ตดิ อยูในกาม และใหมีฉนั ทะทจ่ี ะแสวงความดงี ามและความสขุ อนั สงบทป่ี ระณีต ยิง่ ขนึ้ ไปกวา นนั้ — Nekkhammànisa§sa-kathà: talk on the benefits of renouncing sensual pleasures) ตามปกติ พระพุทธเจา เม่อื จะทรงแสดงพระธรรมเทศนาแกคฤหัสถ ผมู ีอุปนสิ ยั สามารถท่ี จะบรรลธุ รรมพิเศษ ทรงแสดงอนุปุพพกิ ถานกี้ อน แลวจึงตรัสแสดงอรยิ สัจจ 4 เปนการทาํ จิต ใหพรอ มทจี่ ะรบั ดจุ ผา ท่ีซักฟอกสะอาดแลว ควรรบั นา้ํ ยอ มตา งๆ ไดด ว ยดี Vin.I.15; D.I.148. วินย.4/27/32; ท.ี สี.9/237/189. [247] อภณิ หปจ จเวกขณ 5 (ขอทส่ี ตรีก็ตาม บุรุษก็ตาม คฤหสั ถก ต็ าม บรรพชติ กต็ าม ควรพจิ ารณาเนืองๆ — Abhiõhapaccavekkhaõa: ideas to be constantly reviewed; facts which should be again and again contemplated) 1. ชราธัมมตา (ควรพิจารณาเนอื งๆ วา เรามคี วามแกเ ปนธรรมดา ไมลว งพนความแกไปได — Jaràdhammatà: He should again and again contemplate: I am subject to decay and I cannot escape it.) 2. พยาธธิ มั มตา (ควรพจิ ารณาเนอื งๆ วา เรามคี วามเจบ็ ปว ยเปน ธรรมดา ไมล ว งพน ความ เจบ็ ปว ยไปได — Byàdhidhammatà: I am subject to disease and I cannot escape it.) 3. มรณธมั มตา (ควรพิจารณาเนอื งๆ วา เรามคี วามตายเปน ธรรมดา ไมล ว งพน ความตายไป ได — Maraõadhammatà: I am subject to death and I cannot escape it.) 4. ปย วนิ าภาวตา (ควรพิจารณาเนืองๆ วา เราจักตองมคี วามพลดั พรากจากของรักของชอบ ใจท้งั ส้นิ — Piyavinàbhàvatà: There will be division and separation from all that are dear to me and beloved.) 5. กมั มัสสกตา (ควรพจิ ารณาเนืองๆ วา เรามกี รรมเปน ของตน เราทํากรรมใด ดกี ็ตาม ชัว่ ก็ ตาม จกั ตอ งเปน ทายาท ของกรรมน้ัน — Kammassakatà: I am owner of my deed, whatever deed I do, whether good or bad, I shall become heir to it.) ขอ ที่ควรพจิ ารณาเนืองๆ 5 อยา งน้ี มีวัตถุประสงคเพอ่ื ละสาเหตุตางๆ มคี วามมัวเมา เปนตน ทท่ี าํ ใหสตั วท ั้งหลายตกอยใู นความประมาท และประพฤติทุจริตทางไตรทวาร กลา วคือ ขอ 1 เปนเหตุละหรอื บรรเทาความเมาในความเปน หนุมสาวหรอื ความเยาววยั ขอ 2 เปนเหตลุ ะหรอื บรรเทาความเมาในความไมมีโรค คือ ความแขง็ แรงมสี ุขภาพดี ขอ 3 เปนเหตลุ ะหรือบรรเทาความเมาในชวี ติ ขอ 4 เปนเหตุละหรอื บรรเทาความยึดตดิ ผกู พนั ในของรกั ทัง้ หลาย
หมวด 5 181 [248] ขอ 5 เปนเหตุละหรือบรรเทาความทจุ รติ ตางๆ โดยตรง เมอ่ื พจิ ารณาขยายวงออกไป เหน็ วามิใชตนผูเดียวท่ีตอ งเปน อยางนี้ แตเปนคตธิ รรมดา ของสตั วท ้งั ปวงทจ่ี ะตอ งเปน ไป เมือ่ พจิ ารณาเห็นอยา งนี้เสมอๆ มรรคก็จะเกิดขึน้ เม่อื เจรญิ มรรคนน้ั มากเขา กจ็ ะละสังโยชนทัง้ หลาย สนิ้ อนุสัยได. A.III.71. องฺ.ปฺจก.22/57/81. [248] ปพพชติ อภิณหปจ จเวกขณ 10 (ธรรมทีบ่ รรพชิตควรพิจารณาเนืองๆ — Pabbajita-abhiõhapaccavekkhaõa: ideas to be constantly reviewed by a monk; facts which the monk should again and again contemplate) บรรพชติ ควรพิจารณาเนอื งๆ วา (เตมิ ลงหนา ขอ ความทกุ ขอ ) 1. เราถงึ ความมีเพศตา งจากคฤหัสถแ ลว * (I have come to a status different from that of a layman.) ขอน้ีบาลวี า “เววณณฺ ิยมฺหิ อชฺฌปู คโต” ในทีน่ ้ีแปล เววณณฺ ยิ วา ความมีเพศตา ง (จาก คฤหัสถ) แตห ลายทาน แปลวา ความปราศจากวรรณะ (casteless state) คอื เปน คนนอก ระบบชนชนั้ หรอื หมดวรรณะ คือ หมดฐานะในสงั คม หรือเปน คนนอกสงั คม (outcast) ความ ตาง หรือปราศจาก หรือหมดไปน้ี อรรถกถาอธิบายวา เปน ไปในสองทาง คือ ทางสรีระ เพราะ ปลงผมและหนวดแลว และทางบรขิ าร คือเครือ่ งใช เพราะแตก อ นครงั้ เปน คฤหัสถ เคยใชผ า ดๆี รับประทานอาหารรสเลศิ ในภาชนะเงนิ ทอง เปน ตน ครั้นบวชแลว ก็นุง หม ผายอ มฝาดฉนั อาหารคลกุ เคลาในบาตรเหล็กบาตรดิน ปูหญานอนตา งเตียง เปน ตน สว นวัตถุประสงคแหง การพจิ ารณาธรรมขอน้ี อรรถกถาแกวา จะละความกาํ เรบิ ใจ (ความ จจู ้ีเงา งอน) และมานะ (ความถอื ตวั ) เสยี ได. 2. การเล้ยี งชีพของเราเนอ่ื งดว ยผูอ นื่ ** (คือตอ งอาศยั ผูอนื่ — My livelihood is bound up with others.) วัตถปุ ระสงค ตามอรรถกถาแกว า เพ่ือใหมีอริ ิยาบถเรียบรอ ยเหมาะสม มอี าชวี ะบริสุทธิ์ เคารพในบิณฑบาต และบรโิ ภคปจ จยั สี่ดว ยใสใ จพจิ ารณา 3. เรามีอากัปกริ ิยาอยา งอืน่ ทจี่ ะพึงทํา*** (I have a different way to behave.) อรรถกถาอธบิ ายวา เราควรทาํ อากัปป (คอื กิริยามารยาท) ทต่ี างจากของคฤหัสถ เชน มี * ใน นวโกวาท มตี อวา “อาการกิรยิ าใดๆ ของสมณะ เราตอ งทําอาการกริ ยิ าน้ันๆ“ ** ใน นวโกวาท มตี อวา “เราควรทาํ ตวั ใหเขาเล้ียงงาย.” *** ใน นวโกวาท ทรงเรียงเปนขอ ความใหมวา “อาการกายวาจาอยางอน่ื ทเ่ี ราจะตอ งทําใหดขี ึ้นไปกวา นี้ยงั มี อยูอกี ไมใชเพยี งเทา น้ี.” จะเห็นวา ขอ 1 กบั ขอ 3 ทรงตคี วามตางออกไป ถาแปลตามนยั อรรถกถา ขอ 1 จะไดวา “เราเปนผูหมดวรรณะ คือไมม ีฐานะในสงั คมแลว จะตองไมมคี วามกระดา งถอื ตวั ใดๆ” ขอ 3 จะได วา “เราจะตอ งมีอาการกริ ิยาตา งจากคฤหสั ถ สํารวมใหเ หมาะกับความเปน สมณะ”. (องฺ.อ.3/395)
[249] 182 พจนานุกรมพทุ ธศาสตร อินทรยี สงบ กา วเดนิ สมํ่าเสมอ เปนตน และแสดงวัตถปุ ระสงควา เพื่อใหมีอริ ยิ าบถเรยี บรอ ย เหมาะสม บาํ เพ็ญไตรสกิ ขาไดบริบรู ณ 4. ตวั เรายังตเิ ตยี นตวั เราเองโดยศลี ไมไดอ ยหู รือไม (Can I still not reproach myself on my virtue’s account?) ขอนี้ มวี ัตถุประสงคเ พือ่ ใหเกิดหิริพรัง่ พรอมอยใู นใจ ชวยใหม ีสังวรทางไตรทวาร 5. เพื่อนพรหมจรรยทั้งหลายผูเปนวิญูชนพิจารณาแลว ยังติเตียนเราโดยศีลไมไดอยู หรอื ไม (Do my discerning fellows in the holy life, on considering me, not reproach me on my virtue’s account?) ขอ น้ี มวี ตั ถปุ ระสงคเพ่อื ใหดาํ รงโอตตัปปะในภายนอกไวไ ด ชวยใหมสี งั วรทางไตรทวาร 6. เราจกั ตอ งมคี วามพลัดพรากจากของรกั ของชอบใจทงั้ สนิ้ (There will be division and separation from all that are dear to me and beloved.) ขอนี้ มีวตั ถปุ ระสงคเพอื่ ใหเปนผูไ มป ระมาท และเปนอนั ไดต้งั มรณสตไิ ปดว ย 7. เรามกี รรมเปน ของตน เราทาํ กรรมใด ดกี ต็ าม ชวั่ กต็ าม จกั ตอ งเปน ทายาทของกรรมนน้ั (I am owner of my deed, whatever deed I do, whether good or bad, I shall become heir to it.) ขอ นี้ มวี ตั ถปุ ระสงคเพื่อปอ งกนั มใิ หก ระทาํ ความชว่ั 8. วนั คนื ลว งไปๆ เราทาํ อะไรอยู (How has my passing of the nights and days been?) ขอน้ี มวี ตั ถุประสงคเ พือ่ ทําความไมป ระมาทใหบรบิ รู ณ 9. เรายนิ ดใี นท่สี งัดอยูหรือไม (Do I delight in a solitary place or not?) ขอนี้ มวี ตั ถปุ ระสงคเ พือ่ ทาํ กายวิเวกใหบรบิ ูรณ 10. คุณวเิ ศษย่ิงกวามนษุ ยส ามญั ทีเ่ ราบรรลแุ ลว มีอยหู รอื ไม ทีจ่ ะใหเ ราเปน ผูไมเ กอเขนิ เมือ่ ถูกเพอื่ นบรรพชิตถาม ในกาลภายหลัง (Have I developed any extraordinary qualities whereon when later questioned by my fellows in the holy life I shall not be confounded?) ขอ นี้ มีวตั ถปุ ระสงคเพ่ือมิใหเ ปน ผตู ายเปลา A.V.87; Netti.185. องฺ.ทสก.24/48/91; อง.ฺ อ.3/395. [,,,] อรหันต 5 ดู [62] อรหนั ต 5. [249] อริยวฑั ฒิ หรือ อารยวฒั ิ 5 (ความเจรญิ อยา งประเสรฐิ , หลกั ความเจรญิ ของอารย ชน — Ariyà vaóóhi: noble growth; development of a civilized or righteous man) 1. ศรทั ธา (ความเชื่อ ความม่นั ใจในพระรัตนตรยั ในหลักแหง ความจริงความดงี ามอันมเี หตุ ผล — Saddhà: confidence) 2. ศลี (ความประพฤติดี มีวินัย เลยี้ งชีพสจุ ริต — Sãla: good conduct; morality)
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411