Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พจนานุกรม พุทธศาสตร ฉบับประมวลธรรม ( PDFDrive )

พจนานุกรม พุทธศาสตร ฉบับประมวลธรรม ( PDFDrive )

Description: พจนานุกรม พุทธศาสตร ฉบับประมวลธรรม ( PDFDrive )

Search

Read the Text Version

33 ปฏิปทา 4 154 ปรมัตถะ 132 ปฏปิ ทาญาณทสั สนวิสทุ ธิ 285 ปรมัตถกถา 18 ปฏิปทานตุ ตริยะ 126 ปรมัตถเทศนา 18 ปฏปิ ต ตสิ ทั ธรรม 121 ปรมัตถธรรม 4 156, 216, 356 ปฏปิ ส สัทธนิ ิโรธ 224 ปรมัตถบารมี 325 ปฏภิ าคนิมิต 87 ปรมัตถสัจจะ 50 ปฏภิ าณปฏิสมั ภทิ า 155 ปรหิตปฏิบัติ 304 ปฏิรูปเทสวาสะ 140 ประชุมเนอื งนิตย 289, 290 ปฏิรปู เทสวาโส จ 353 ประมาณ 4 158 ปฏิโลมเทสนา 340 ปฏโิ ลมปฏจิ จสมปุ บาท 340 ประโยชนจ ากโภคทรัพย 5 232 ปฏิเวธสัทธรรม 121 ประสตู ิ 188 ปฏสิ นธิ 343 ปรัตถะ 133 ปฏสิ งั ขาญาณ = ปฏสิ งั ขานปุ สสนาญาณ ปรมปฺ ราย 317 ปฏสิ ังขานปุ ส สนาญาณ 311 ปราโมทย 220 ปรจิ จาคะ 326 ปฏสิ ันถาร 2 31 ปรจิ เฉทรปู 1 40, 359 ปฏสิ นั ถารคารวตา 261 ปรญิ ญา 205, 206 ปฏิสมั ภิทปั ปต ตะ 62 ปริญญา 3 92 ปริญไญยธรรม 206 ปฏสิ มั ภทิ า 4 155 ปริณตโภชี 250 ปฏิสมั ภิทามคั ค 75 ปรติ ตสุภา 351 ปฐมฌาน ปริตตาภา 351 ปฐมฌานภมู ิ 3 9, 284, 298 ปรเิ ทวะ 340 ปฐมฌานกสุ ลจิตฺตํ 351 ปรนิ พิ พาน 188 ปฐมเทศนา 356 ปรนิ พิ พตุ สถาน 188 ปฐวกี สิณ 188 ปริปจุ ฉา 339 ปฐวีธาตุ 315 ปริมติ ปานโภชนา 138 ปณตี ํ เทติ ปริยตั ธิ รรม 306, 332 ปทปรมะ 39, 146, 147, 148 ปรยิ ตั ศิ าสนา 51 300 ปริยตั ิสัทธรรม 121 153 ปริยายทสฺสาวี 219 ปริยายสุทธิ 54 ปธาน 2 32 ปริเยสนา 2 33 ปธาน 4 65, 156 ปริวฏั ฏ 3 73 ปรวิ าร 75 ปปญ จะ, ปปญ จธรรม 3 91 ปรสิ สารชั ชภยั 229 ปริสัญุตา 287 ปมาณิก 4 158 ปลาสะ 347 ปมาทะ 347 ปโยควบิ ัติ 176 ปโยคสมบัติ 177 ปโยคาภสิ งั ขาร 185 ปรโตโฆสะ 34 ปรนมิ มติ วสวัตดี 270, 351

34 ปวิเวก 294 ปฺ า 324 ปวิเวกกถา 314 ปญญา 37, 67, 124, 183, 197, 204, 228, ปสงั สา 296 ปสนฺนานํ ภยิ โฺ ยภาวาย 327 237, 249, 251, 292, 301, 325, 346 ปสาทรปู 5 40, 359 ปหาตัพพธรรม 205 ปญญา 3 93 ปหานะ 205, 206 ปหาน 3 92 ปญญากถา 314 ปญ ญาขนั ธ 218 ปหาน 5 224 ปญญาคุณ 305, 308 ปหานปธาน 156 ปญ ญาจกั ขุ 217 ปหานปริญญา 92 ปญ ญาปนบญั ญัติ 28 ปหานวินยั 243 ปญญาปยบัญญัติ 28 ปหานสฺ า 331 ปญ ญาพละ 229, 230 ปคคาหะ 328 ปญญาภาวนา 37 ปง สกุ ลู ิกงั คะ 342 ปญญาวิมตุ 62, 63 ปจจยปริคคหญาณ 92, 345 ปญญาวิมุตติ 43 ปจจยาการ 12 105, 340 ปญญาวฒุ ิ 179 ปจจเวกขณญาณ 345 ปญ ญาวุฑฒิธรรม 4 179, 193 ปจฺจตฺตํ เวทิตพโฺ พ วิ ฺ หู ิ 306 ปญญาสัมปทา 191, 229 ปจ จยั 4 159, 203 ปญญนิ ทรยี  63, 349, 355 350 ปฏ ฐาน 75 ปจ จัย 24 342 ปณฺฑติ านจฺ เสวนา 353 ปจ จยั นิสิต 243 ปตตปณฑิกังคะ 342 ปจ จัยปจ จเวกขณ 160 ปต ตานุโมทนามยั 89 ปจ จัยสันนสิ ติ ศีล 190 ปตตทิ านมัย 89 ปจ จยั สมั ปทา 34 ปพพชติ ะ 150 ปจจยั ใหเกดิ สัมมาทิฏฐิ 2 340 ปจจบุ นั 340 ปพพชิตอภิณหปจ จเวกขณ 10 248 ปจจุบนั เหตุ 72 ปจจุปปนนงั สญาณ 142 ปพ พัชชา 123 ปจ เจกพทุ ธเจา 350 ปพพัชชาจารย 211 ปจ ฉาชาตปจจยั 265 ปส สัทธิ 220, 281, 328 ปจ ฉมิ ทศิ 9, 356 ปสสฺ าสะ 346 ปญจกชั ฌาน ปากกาล 338 ปญ จกนัย 9 ปากทานปริยาย 338 ปญจทวาราวชั ชนะ 348, 356 ปาจิตตยิ ะ 75 ปญ จมฌาน ปาฏบิ ุคลิกทาน 12 ปฺจมชฺฌานกุสลจิตตฺ ํ 9 ปาฏิปคุ คฺ ลิกา ทกฺขณิ า 12 ปญจวญิ ญาณฐาน 356 ปาฏโิ มกข (ปาติโมกข) 75, 160, 222, 243, 343 252, 254, 322, 344 ปาฏโิ มกขสังวร (ปาติโมกขสังวร) 222, 243 ปาฏโิ มกขสงั วรศลี (ปาติโมกขสังวรศีล) 160

35 ปาฏหิ ารยิ  3 94 ปุคคลญั ตุ า 287 ปาณาติบาต 137, 321 ปคุ คลาปเทส 166 ปาณาติปาตํ ปหาย ฯเปฯ ปญุ ญกรณายาโรจกะ 254, 255 ปาณาตปิ าตา เวรมณี 320 ปุญญาภิสงั ขาร 129 238, 240, 319 ปุตฺตทารสสฺ สงคฺ โห 353 ปาปณิกธรรม 3 95 ปุตตฺ สงฺคห 353 ปาปณิกังคะ 95 ปถุ ุชน 351 ปาปมติ ตะ 199 ปุถชุ นกบั โลกธรรม 296 ปาปา, อารตี วริ ตี 353 ปพุ พเปตพลี 232 ปาปจ ฉา 308 ปุพพฺ นฺตาปรนฺเต อฺาณํ 209 ปาพจน 2 35, 75 ปุพฺพนเฺ ต อฺาณํ 209 ปาราชกิ 75 ปุพเพกตปุญญตา 140 ปารจิ ริยานตุ ตรยิ ะ 127 ปพุ เพกตวาท 101 ปาริสุทธศิ ลี 4 160, 285 ปุพเพกตเหตวุ าท 101 ปาสาทโิ ก 322 ปพุ ฺเพ จ กตปุฺ ตา 353 ปาหเุ นยโฺ ย 307 ปุพเพนวิ าสานสุ สติ 274, 297 ปฏก 3 75 ปพุ เพนวิ าสานุสสตญิ าณ 106, 323 ปฏ กสมปฺ ทาเนน 317 ปรุ ัตถมิ ทิศ 265 ปณ ฑปาตปฏิสังยตุ ต 342 ปุริสเมธ 187 ปณฑปาตสันโดษ 203 ปรุ สิ ตั ตะ 40 ปณ ฑปาตกิ งั คะ 342 ปุรสิ นิ ทรยี  40, 349 ปณฑิยาโลปโภชนะ 159 ปเุ รชาตปจ จยั 350 ปต ตวิ ิสยั 198, 351 ปฬุ ุวกะ 336 ปต ุฆาต 245, 275 ปูชนยี สถาน, ปชู นียวตั ถุ 289 ปย กรณ 273 ปูชา จ ปูชนยี านํ 353 ปย วินาภาวตา 247 ปตู ิมุตตเภสชั 159 ปยรปู สาตรปู หมวดละ 6 266 ปยวาจา 186, 229 เปตตวิ สิ ยั 351 ปโ ย 278 เปตวัตถุ 75 ปส ณุ ํ วาจํ ปหาย ฯเปฯ 320 เปยยวัชชะ 186, 229 ปสณุ า วาจา 321 เปรต 198, 284, 312, 351 ปส ุณาย วาจาย เวรมณี 319 เปสลานํ ภกิ ขฺ นู ํ ผาสุวิหาราย 327 ปตกสณิ 315 ปต ิ 9, 220, 281, 328, 355 ผรณาปต ิ 226 ผรุสวาจา 321 ปต ิ 5 226 ผรุสํ วาจํ ปหาย ฯเปฯ 320 ปต สิ ุเขกคคฺ ตาสหิตํ 356 ผรสุ าย วาจาย เวรมณี 319 ปุคคลปโรปรญั ตุ า 291 ผล ปุคคลปญ ญัตติ 75 ผล 4 7 ปคุ คลสัปปายะ 286 165, 310, 332

36 ผลจิต 356 พราหมณบริษทั 152 ผลญาณ 345 พละ 227 ผลสมังคี 57 ผัสสะ 340, 355 พละ 4 229 228, 352 ผัสสะ 6 272 พละ 5 พละ 5 ของพระมหากษตั รยิ  230 ผัสสาหาร 212 พลกาย 339 ผุฏ สฺส โลกธมฺเมหิ จิตฺตํ น กมฺปติ 353 พลี 289 ผุสนะ 343 พลี 5 232 โผฏฐพั พะ 6, 40, 266, 277 พหุการธรรม 4 140 โผฏฐัพพตณั หา 264, 266 พหุการธรรม 7 292 โผฏฐัพพธาตุ 348 พหุการธรรม 10 324 โผฏฐพั พวิจาร 266 พหุลกรรม 338 โผฏฐัพพวิตก 266 พหุสฺสโุ ต 322 โผฏฐพั พสญั เจตนา 263, 266 พหสู ตู 231, 251, 252, 253 โผฏฐพั พสัญญา 266, 271 พหสู ูตมีองค 5 231 พนัน 200 พฒั นา 37 พยาธติ ะ 83, 84, 150 พาลานํ, อเสวนา จ 353 พยาธธิ มั มตา พาหาพลัง 230 พยาบาท 247 พยาบาทวติ ก 225, 321, 329, 347 พาหริ ายตนะ 6 277 พร 4, 5 พาหุสจจฺ 324 70 พาหสุ จั จะ 237, 292 พรหม, พรหมโลก 16 227 พาหสุ จจฺ จฺ 353 พรหมจรรย 284, 298, 351 พชี นิยาม 223 พรหมจกั ร 241 พุทธกิจ 304 พรหมจารี 180 พุทธคารวตา 261 พรหมปารสิ ชั ชา 250 พรหมปุโรหติ า 351 พุทธคุณ 2 304 พรหมโลก 351 พรหมวิหาร 4 103 พุทธคณุ 3 305 พระธรรม 161, 227 พระปจเจกพทุ ธเจา 100, 116 พทุ ธคณุ 9 303 พระพุทธเจา 142 พระพทุ ธรปู 100, 116, 142 พทุ ธจรยิ า 3 96 พระสงฆ 141 พทุ ธจักขุ 217 พรฺ หมฺ จริยฺจ 100, 116, 265 พราหมณ 353 พทุ ธเจดยี  4 141 พราหมณคฤหบดี 173 พุทธบญั ญัติ 290 339 พุทธภาวะ 304 พุทธรปู 141 พทุ ธลีลาในการสอน 4 172 พุทธวงส 75 พทุ ธวจนะ 302 พทุ ธโอวาท 3 97

37 พุทธัตถจรยิ า 96 ภาวนาปธาน 156 พุทธานมุ ตั 201 ภาวนาปหานารามตา 203 พทุ ธานสุ ติ 335 ภาวนามยปญ ญา 93 พุทธาปเทส 166 ภาวนามัย 88, 89 พทุ ธิจรติ 262 ภาวนโี ย 278 พทุ ฺโธ 303 ภาวรูป 2 40, 359 เพยี รของคฤหัสถ, ความ 32 ภาวติ 4 37 เพียรของบรรพชิต, ความ 32 ภาวติ กาย 37 แพศย 173 ภาวติ จิต 37 โพชฌงค 7 281, 352 ภาวติ ปญ ญา 37 51, 352 ภาวติ ศลี 37 โพธิปกขิยธรรม 37 44 ภาวิตตั ต 280 ภาเวตพั พธรรม 36, 206 ไพบูลย 2 303 ภิกขุนีวิภงั ค 75/1ก 282 ภิกขวุ ิภงั ค 75 /1ก ภควา 298, 340 ภกิ ขุอปรหิ านิยธรรม 71 290 ภคนิ ภี ริยา 98 ภิกขอุ ปริหานยิ ธรรม 72 ภพ 311 ภกิ ษุณบี รษิ ทั 291 ภพ 3 196 ภิกษบุ รษิ ัท 151 ภยญาณ, ภยตปู ฏ ฐานญาณ 265 ภตู กสิณ 4 151 ภยาคติ 282 ภตู รปู 315 ภรรยา 105, 340 ภมู ิ 38, 39, 146 ภรรยา 7 74, 204 ภูมิ 4 284 ภวจักร 170 162 ภวตัณหา 288, 330 ภมู ิ 4, 31 ภวโยคะ 343 ภมู ปิ ระเภท (จติ ) 351 ภวราคะ 135, 136 เภสชั 356 ภวงั คะ 215 โภคะ 203, 159 ภวาสวะ 311 โภคพลัง 227 ภโวฆะ 267 โภควภิ าค 4 230 ภังคญาณ, ภงั คานุปส สนาญาณ 317 โภคสขุ 163 ภพั พตาธรรม 6 229 โภคอาทยิ ะ 5 192 ภพฺพรปู ตาย 222 232 ภยั 5 286 โภคาทิยะ 5 ภสั สปริยนั ตะ 205, 206 โภชนสปั ปายะ 232 ภัสสสปั ปายะ 36 โภชเนมตั ตญั ุตา 286 ภาวนา 128 ภาวนา 2 99 มงคล มงคล 38 259 ภาวนา 3 37 มตะ 353 83, 84, 150 ภาวนา 4

38 มทะ 347 มหาปกรณ 75 มนสานเุ ปกขฺ ิตา 231 มหาปเทส 41 166 มนสกิ าร 355 มนายตนะ 356 มหาปเทส 42 167 มนินทรยี  349, 356 มนุษย 284, 351 มหาพรหมา 351 มนุษยธรรม 238 38, 39, 146 มนุษยโลก 103 มหาภูต 4 มนุษยสมบตั ิ 114 มโน 266, 276 มหาภูตรูป 4 39, 359 มโนกรรม 66 มหายญั 5 187 มโนกรรม 3 319, 320, 321 มหาราช 4 270 มโนทวาร 77, 78 มหาวรรค 75 มโนทวาราวัชชนะ 343 มหาวิบาก 8 356 มโนทฺวาราวชชฺ นํ 356 มหาวบิ ากจติ 8 356 มโนทจุ ริต 80 มหาวภิ งั ค 75/1ก มโนธาตุ 348 มกั ขะ 308, 347 มโนมยิทธิ 297 มกั นอ ย 294 มโนวญิ ญาณ 266, 268 มคั คจิต 4 356 มโนวิญญาณธาตุ 348 มัคคญาณ 345 มโนสงั ขาร 120 มคั คสมังคี 57 มโนสัญเจตนาหาร 212 มคั คังคะ 293 มโนสัมผสั 266, 272 มคั คามัคคญาณทสั สนวิสุทธิ 285 มโนสมั ผัสสชาเวทนา 113, 266 มังสจกั ขุ 217 มโนสุจรติ 81 มังสวณิชชา 235 มรณะ 340 มจั จมุ าร 234 มรณธมั มตา 247 มัจฉรยิ ะ 308, 330, 347, 355 มรณภยั 229 233, 257 มรณสติ 335 มจั ฉริยะ 5 มรรค 7, 204, 205, 241 มรรค 4 164, 310, 332 มชชฺ ปานา จ สฺ โม 353 มรรคปจจัย 350 มัชชวณชิ ชา 235 มรรคภาวนา 352 มชั ฌิมนกิ าย 75 มรรคมีองค 8 293, 352 มชั ฌมิ าปฏปิ ทา 15, 204, 293 308 มัตตญั ุตา 287 มละ 9 356 มทั ทวะ 326 มหากริ ยิ าจิต 8 356 มนั ทกมุ าร 84 มหากศุ ลจิต 8 75 มาฆบชู า 97 มหานิทเทส มาตาปตอุ ุปฏ ฐาน 123, 353 มาตาภรยิ า 282 มาตฆุ าต 245, 275 มานะ 91, 288, 318, 329, 330, 347, 355 มานะ 9 309 มานัส 356

39 มายา 308, 347 เมตตาและกรุณา 239 เมตตาวจีกรรม 273 มาร 5 234 เมถนุ สังโยค 7 283 มารดาบิดา 265 โมมหู จติ 2 356 มาลาคนธฺ ฯเปฯ วภิ สู นฏานา เวรมณี 242 โมหะ 68, 318, 355 มา อนสุ ฺสเวน ฯเปฯ 317 โมหจริต 262 มคิ ปก ษี 339 โมหมลู จิต 2 356 โมหคั คิ 130 มจิ ฉัตตะ 10 334 โมหาคติ 196 มจิ ฉากมั มันตะ 334 มจิ ฉาญาณ 334 ยถาภตู ญาณ 285 มิจฉาทิฏฐิ 34, 308, 321, 334 ยถาพลสันโดษ 122 มจิ ฉาวณิชชา 5 235 ยถาลาภสนั โดษ 122 มจิ ฉาวาจา 334 ยถาสันถติกังคะ 342 มจิ ฉาวายามะ 334 ยถาสารุปปสันโดษ 122 มิจฉาวิมุตติ 334 ยมก 75 มิจฉาสติ 334 ยส 296 มจิ ฉาสมาธิ 334 ยกั ษ 270 มิจฉาสงั กปั ปะ 334 ยามา 270, 351 มจิ ฉาอาชวี ะ 334 โยคะ 4 170 โยคพหโุ ล 269 มิตตปฏริ ูปก 4 168 โยนิ 4 171 2, 34, 179, 193 มติ รเทียม 4 168 โยนโิ สมนสิการ 280 โยนิโสมนสิการสัมปทา มติ รแท 4 169 6, 40, 266, 277 มติ รแนะประโยชน 169 รส 264, 266 มติ รมนี ้ําใจ 169 รสตัณหา 348 มิตรรว มสุขรว มทกุ ข 169 รสธาตุ 266 มิตรสหาย 265 รสวิจาร 266 มติ รอปุ การะ 169 รสวิตก 263, 266 มิทธะ 355 รสสัญเจตนา 266, 271 มญุ จติ ุกมั ยตาญาณ 311 รสสัญญา 322 มทุ ติ า 161, 355 รัตตญั ู 100, 116 มทุ ุตา 40 รัตนตรยั 262 มุสาวาท 137, 308, 321 ราคจรติ 130 มสุ าวาทํ ปหาย ฯเปฯ 320 ราคคั คิ 326 มสุ าวาทา เวรมณี 238, 240, 319 ราชธรรม 10 232 มลู 2 340 ราชพลี มลู เหตุแหง การบัญญตั ิพระวินยั 10 327 เมตตา 67, 161, 325 เมตตากายกรรม 273 เมตตามโนกรรม 273

40 ราชสงั คหวตั ถุ 4 187 ฤทธ์ิ 2 42 ลหตุ า 40 รกุ ขมลู เสนาสนะ 159 ลกั ขณรปู 4 40, 359 รกุ ขมลู กิ ังคะ 342 ลักขณูปนิชฌาน 7 รปู 6, 40, 157, 216, 266, 277, 298 ลักษณะตดั สนิ ธรรมวนิ ัย 7 295 รปู 21 38 ลักษณะตดั สินธรรมวนิ ัย 8 294 รูป 22 41 ลัทธนิ อกพุทธศาสนา 3 101 ลาภ 296 รูป 28 38 ลาภมัจฉริยะ 233 รูปขันธ 216 ลาภานุตตรยิ ะ 127 รูปฌาน 4 8, 9, 10, 299, 313 ลลี าการสอน 4 172 รูปตัณหา 264, 266 ลูขประมาณ 158 รูปธรรม 19 ลขู ปั ปมาณิกา 158 รูปธาตุ 348 โลก (เที่ยง ไมเ ทีย่ ง ฯลฯ) 337 รปู ประมาณ 158 โลก 31 102 โลก 32 รปู พรหม 16 351 โลก 33 103 รูปภพ 98 รปู ราคะ 329 โลกธรรม 8 104 รปู รปู 18 359 โลกธมเฺ มหิ รูปโลก 103 โลกนาถะ 296 รูปวจิ าร 266 โลกบาล 4 353 รปู วิตก 266 โลกบาลธรรม 2 304 รปู วิบาก 5 343 โลกวทิ ู 270 รูปสญั เจตนา โลกตั ถจริยา 23 รปู สัญญา 263, 266 โลกาธปิ ไตย 303 รปู ป ปมาณิกา 267, 271 โลกียญาณ 96 รปู สฺส กมฺมฺตา โลกยี ธรรม 125 รูปสฺส ชรตา 157 โลกตุ ตรกุศลจิต 4 (20) 345 รูปสสฺ มุทตุ า 40 โลกตุ ตรจติ 8 (40) 20 รปู สฺส ลหุตา 40 โลกุตตรญาณ 356 รูปสฺส สนฺตติ 40 โลกตุ ตรธรรม 356 รปู สสฺ อนจิ จฺ ตา 40 โลกุตตรธรรม 9, 46 345 รูปสสฺ อุปจย 40 โลกตุ ตรภูมิ 20, 306 รปู าวจร 40 โลกุตตรวิบากจิต 4 (20) 310, 332 รปู าวจรกริ ยิ าจิต 5 40 โลภะ 162 รูปาวจรกุสลจติ 5 8 โลภมลู จติ 8 356 รปู าวจรภูมิ 16 356 โลหิตกะ 68, 318, 355 รปู าวจรวบิ ากจิต 5 356 โลหติ กสณิ 356 รปู าวจรสมาธิ 161, 351 336 รปู โ น ธมฺมา 356 315 99 19

41 โลหิตุปบาท 245, 275 วิกาลโภชนา เวรมณี 240 วจนกฺขโม 278 วิคตปจ จยั 350 วจสา ปรจิ ติ า 231 วิจฉิททกะ 336 วจีกรรม 66 วิจาร 9, 355 วจกี รรม 4 วจิ าร 6 266 วจีทวาร 241, 319, 320, 321 วิจารปต ิสุเขกคคฺ ตาสหิตํ 356 วจีทจุ รติ 77 วิจิกิจฉา 225, 288, 318, 329, 330, 355 วจีบรม 80 วิจกิ จิ ฉฺ าสมปฺ ยุตฺตํ 356 วจวี ญิ ญัติ 168 วิเจยยฺ เทติ 300 วจสี งั ขาร 40 วิชชมานบญั ญตั ิ 28 วจสี ุจริต 119, 120 วิชชา 3 106 81 วณชิ ชา 5 235 วิชชา 8 297 วธกาภริยา 282 วิชชฺ าจรณสมปฺ นโฺ น 303 วรรณะ 227 วิชชาภาคยิ ธรรม 36 วิญญตั ริ ปู 2 40, 395 วรรณะ 4 173 วิญญาณ 340, 356 วรรณกสิณ 4 315 วิญญาณ 6 266, 268 วยะ 117, 118 วิญญาณกสิณ 315 วสวตั ดี 270 วชั ชอี ปรหิ านยิ ธรรม 7 289 วญิ ญาณกจิ 14 343 104, 340 วิญญาณขนั ธ 216 วัฏฏะ 3 วัฑฒ,ิ วัฒิ หรอื วุฒิ 5 249 วญิ ญาณฐิติ 7 284 วฒั นมุข 6 201 วิญญาณธาตุ 148, 149 วณั ณะ 227, 277 วิญญาณปวัตต,ิ วิญญาณปวัตตอิ าการ 343 วัณณมจั ริยะ วิญญาณญั จายตนะ 207, 284, 298, 312 วตฺตา จ 233 วิ ฺ าณจฺ ายตนกสุ ลจิตฺตํ 356 วตั ถุกาม 278 วิญญาณัญจายตนภมู ิ 351 วญิ ญาณาหาร 212 5 วัตถุประสงคการบัญญตั ิวินยั 10 327 วตั ถสุ ัมปทา 190 วติ ก 9, 355 วาจา, สภุ าสติ า จ ยา 353 วิตก 6 266 วาจาเปยยะ 187 วิตกจริต 262 วาชเปยะ 187 วิตกฺกวิจารปตสิ ุเขกคคฺ ตาสหติ ํ 356 วาโยกสณิ 315 วิธีปฏิบตั ติ อ ทกุ ข–สุข 4 174 วาโยธาตุ 39, 146, 147, 148 วิธูโร 95 วกิ ขมั ภนนโิ รธ 224 วนิ ยั 35, 75, 166, 167, 243, 294, 295 วกิ ขัมภนปหาน 92 วนิ ยั 2 243 วิกขายิตกะ 336 วินัยปฎ ก 75 วกิ ขิตตกะ 336 วนิ ยานุคคฺ หาย 327 วกิ ารรูป 5 40, 359 วนิ โย จ สุสกิ ฺขิโต 353

42 วนิ ปิ าตกิ ะ 284, 312 วริ ตเี จตสกิ 3 355 วินีลกะ 336 วบิ ัติ 41 175 วิรตั ิ 3 108 วบิ ตั ิ 42 วิราคะ 294, 295 วปิ จิตญั ู 176 วริ าคะ 5 วิปริณามทกุ ขตา 153 วิราคสฺา 224 วปิ ลลาส, วิปลาส 4 79 วิรยิ ะ 331 วปิ ลลาสนิมติ 178 วริ ยิ นสิ ติ 213, 228, 281, 325, 355 วปิ ส สนา 107 วริ ิยปฏิสงั ยุตต 342 วิปสสนาญาณ 9 7, 47, 346 วริ ิยพละ 342 วิปสสนาญาณ 10 285, 297, 311, 345 วิรยิ สังวร 229 วิปสสนาธุระ 311 วิรยิ ารมภฺ 243 วปิ ส สนาภาวนา 26 วริ ิยารัมภะ 324 วิปส สนายานิก 36 วริ ิยารัมภกถา 2, 237, 294, 301 วิปสสนปู กิเลส 10 61 วิรยิ ินทรีย 314 วิปากจิต 36 (52) 285, 328 วิรปู ก ษ 349 วิปากจิตตฺ ํ 356 วริ ูฬหก 270 วปิ ากปจ จัย 356 270 วปิ ากวัฏฏ 350 วปิ ากสทั ธา 105 วเิ วก 3 109 วิปุพพกะ 181 วภิ วตัณหา 336 วเิ วก 5 224 วิภังค (วินยั ) 74, 204 วสิ มโลภสฺส ปหานํ 339 วิภงั ค (อภิธรรม) 75 วิสวณชิ ชา 235 วิมงั สา 75 วสิ ังโยค 294 วมิ านวตั ถุ 213 วสิ ยั รูป 5 40, 359 วิมุตตานตุ ตริยะ 75/2 วิสทุ ธิ 92 วมิ ตุ ติ 126 วิมุตติ 2 227 วสิ ุทธิ 7 285 43 วสิ ทุ ธคิ ณุ 305 วิมตุ ติ 5 วสิ ทุ ธเิ ทพ 82 วิมุตติกถา 224, 236 วิหิงสาวติ ก 70 วิมุตตขิ ันธ 314 วุฑฒิธรรม 4 179, 193 วิมุตติญาณทัสสนกถา 218 วมิ ุตติญาณทสั สนขนั ธ 314 วฑุ ฒธิ รรม, วฑุ ฒธิ รรม 5 249 วมิ ุตฺโต 218 วุฒมิ ุข 201 วโิ มกข 3 322 วตุ ตฺ ํ เหตํ ภควตา 302 107 เวทนา 340, 355 วโิ มกข 8 วิรชํ 298 เวทนา 2 110 353 เวทนา 3 111 เวทนา 5 112 เวทนา 6 113, 266, 358 เวทนา 108 358 เวทนาขันธ 216

43 เวทนานปุ ส สนา 182, 346 สจติ ฺตปรโิ ยทปนํ 97 เวทนานปุ สสนาจตกุ กะ 346 สติ 3, 25, 228, 281, 301, 324, 355 เวทลฺลํ 302 สตินทรยี  349 เวทพหุโล 269 สติปฏ ฐาน 346 เวปุลละ 2 44 182, 352 สติปฏฐาน 4 เวปุลลธรรม 6 269 เวยยฺ ากรณํ 302 สตสิ ังวร 243 เวยยาวัจจมยั 89 สตสิ มั ปชญั ญะ 184, 239 เวสสวัณ 270 สทารสันโดษ 239 เวสารัชชะ 4 180 สนธิ 3 340 สนทิ านธัมมเทสนา 134 เวสารัชชกรณธรรม 5 237 สปทานจารกิ ังคะ 342 สพรหมจารี 290 เวสารัชชญาณ 4 180 สภาวลกั ษณะ 92 เวหัปผลา 351 สมจาคา 183 โวฏฐัพพนะ, โวฏฐปนะ 343 สมชีวิตา 144 โวสสคั คะ 5 224 ศรัทธา 183, 237, 249, 259, 292, 301 สมชีวิธรรม 4 183 สมณบริษทั 152 ศรัทธา 4 181 สมณพราหมณ 265, 339 สมณพราหมณปรปิ ุจฉา 339 ศาสนา 2 51 สมณานฺจ ทสสฺ นํ 353 สมโณ โน ครูติ 317 ศษิ ย 265 สมดึงสบารมี 325 ศลี (ดู สลี วา ดวย) 37, 124, 183, 201, 204, สมติงสบารมี 325 227, 237, 249, 252, 253, 259, 292, 324, สมถะ 346 325, 326, 346 สมถภาวนา 36 สมถยานิก 61, 63 ศลี 5 238 สมนนั ตรปจจัย 350 สมบัติ 31 114 ศลี 8 240 สมบัติ 32 115 ศลี ท้งั อาชวี ะ 241 ศลี 10 242 ศีลวบิ ตั ิ 175 ศูทร 173 สมบตั ิ 4 177 สกทาคามิผล 165 สมบตั ิของอุบาสก 5 259 สกทาคามผิ ลจติ ตฺ ํ 356 สกทาคามิมรรค 164 สมบัตขิ องอุบาสก 7 260 สกทาคามิมคคฺ จติ ตฺ ํ 356 สมปญ ญา 183 สกทาคามี 56, 57, 351 สมมติกถา 18 สกทาคามี 3, 5 59 สมมติเทพ 82 สขีภริยา 282 สมมติเทสนา 18 สงเคราะห 273 สมมติสัจจะ 50 สมสทั ธา 183

44 สมสีลา 183 สงฺขาเยกํ ฯเปฯ 202 สมนั ตจักขุ 217 สังขาร 2 48 สมาทปนา 172 สงั ขาร 31 สมาทานวิรัติ 108 สังขาร 32 119 สมาธิ 37, 124, 204, 220, 228, 281, 346 สังขาร 4 120 สมาธิ 2 45 สงั ขารขนั ธ สังขารทกุ ขตา 185 สมาธิ 31 46 สงั ขารโลก 216 สงั ขารุเปกขาญาณ 79 สมาธิ 32 47 สงั เขป 4 102 สมาธกิ ถา 314 สงั คณี 311 สมาธิขนั ธ 218 สงั คหะ 2 340 สมาธนิ ทรยี  63, 349 สังคหะ 4 75/3 สังคหพละ 49 สมาธภิ าวนา 4 184 สงั คหวัตถุ 4 340 สมานสขุ ทุกข 169 229 สมานตั ตตา 186, 229 สงั คหวตั ถุของผคู รองแผน ดนิ 4 186 สงฺคโห, าตกานฺจ สมาบัติ 8 299 สงฺคโห, ปตุ ฺตทารสฺส 187 สมจุ เฉทนโิ รธ 224 สงฆฺ คตา ทกฺขิณา 353 สมุจเฉทวริ ตั ิ 108 สงั ฆคารวตา 353 สมุตเตชนา 172 สงั ฆคณุ 9 12 สมทุ ยวาร 340 สังฆทาน 261 สมทุ ัย 204, 205 สังฆบิดร 307 สังฆปรณิ ายก 12 สรณะ 3 100, 116 สงฆฺ ผาสุตาย 290 สรีระ 337 สงั ฆเภท 290 สวนานตุ ตริยะ 127 สงฆฺ สฏุ  ตุ าย 327 245, 275 สวรรค 6 270 สงั ฆานุสติ 327 สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม 306 สังฆเทส สฺวาคตปาฏโิ มกโฺ ข 322 สงั ยุตตนิกาย 335 สสงั ขารปรินิพพายี 60 สังโยชน 7 166 สหชาตปจ จยั 350 สังโยชน 101 75 สเหตุกกามาวจรกศุ ลจิต 8 356 สงั โยชน 102 288 สฬายตนะ 276, 340 164, 329 สอปุ าทเิ สสนพิ พาน 27 สงั วร 5 330 สักกะ 270 สงั วรปธาน สักกายทฏิ ฐิ 329 สังวรวินยั 5 243 สัคคกถา 246 สังวรศีล 156 สงั กเิ ลส 33 สังเวชนยี สถาน 4 243 สงั ขตธรรม 21 243 188 สงั ขตลกั ษณะ 3 117 สังขตสงั ขาร 18ถ

45 สังสารจกั ร 105 สทั ธัมมสมันนาคโต 301 สงั เสทชะ 171 สทั ธัมมสวนะ 179, 193 สจั จะ 139, 197, 239, 314 สทฺธมฺมฏิตยิ า สจั จะ 2 50 สทั ธา (ดู ศรัทธา ดว ย) 327 สจั จญาณ 73 สัทธาจรติ 228, 355 สจั จานุโลมิกญาณ 311 สัทธานุสารี สจั ฉิกาตัพพธรรม 206 สัทธาวมิ ตุ 262 สจั ฉกิ ริ ยิ า 205, 206 สทั ธาสมั ปทา 63 สัญเจตนา 6 263, 266 สัทธนิ ทรีย 63 สัญเจตนากาย 263 สนั ดุสติ 191, 229 สญั ญมะ 123 สันโดษ (ดู สนั ตุฏฐี ดวย) 63, 349 สัญญา 284, 312, 355 สันโดษ 3, 12 270 สัญญา 6 266, 271 สนั ตติ 65, 294 331 สันติ 122 สัญญา 10 216 สนั ติบท 40 สัญญาขันธ 178 สนั ตีรณะ 197 สญั ญาวปิ ลาส 119, 298, 313 สนั ตุฏฐกิ ถา 352 สัญญาเวทยติ นิโรธ 235 สนฺตฏุ ี 343, 356 สตั ตวณชิ ชา 58 สันตุฏฐี 314 สตั ตกั ขตั ตุงปรมะ 312 สนตฺ ุฏโ  324 สัตตาวาส 9 235 สนั ทสั สนา 2, 294, 353 สตั ถวณชิ ชา 303 สนฺทิฏิโก 322 สตถฺ า เทวมนสุ ฺสานํ 261 สัปปาฏหิ ารยิ ธัมมเทสนา 173 สัตถุคารวตา 166, 294, 295 สปั ปายะ 7 306 สัตถุสาสน 337 สัปปายการี 134 สัตว 102 สปั ปายสัมปชัญญะ 286 สัตวโลก 6, 40, 266, 277 สัปปายมตั ตัญู 250 สัททะ 264, 266 สปั ปรุ ิสกมั มันโต 189 สทั ทตณั หา 348 สัปปรุ สิ จินตี 250 สทั ทธาตุ 28 สัปปุรสิ ทาน 8 301 สทั ทบัญญตั ิ 266 สปปฺ ุรสิ ทานํ เทติ 301 สัททวจิ าร 266 สปปฺ รุ ิสทฏิ ี 300 สัททวิตก 263, 266 สัปปุรสิ ธรรม 71 301 สัททสญั เจตนา 266, 271 สปั ปุรสิ ธรรม 72 301 สทั ทสญั ญา 1, 2, 34, 352 287 สัทธรรม 121 สปั ปุริสธรรม 8 สัทธรรม 3 301, 344 301 สทั ธรรม 7 320 สปั ปรุ ิสธรรม 10 สทั ธรรม 10 สปฺปุรสิ ธมฺมสมนนฺ าคโต 301 สปั ปุรสิ บัญญตั ิ 3 320 301 123

46 สปฺปรุ ิสภตฺตี 301 สัมมาปาสะ 187 สปปฺ รุ สิ มนฺตี 301 สมั มาวาจา 293, 241, 333, 354 สปฺปรุ ิสวาโจ 301 สมั มาวายามะ สปั ปุรสิ สงั เสวะ 179, 193 สมั มาวิมุตติ 293, 333 สัปปรุ สิ ูปสสยะ 140 สมั มาสติ 333 สัพพจิตตสาธารณเจตสกิ 7 354 สมั มาสมาธิ สพพฺ ปาปสสฺ อกรณํ 97 สัมมาสงั กปั ปะ 293, 333 สพฺพโลเก อนภิรตสฺา 331 293, 333 สพฺพสงฺขาเรสุ อนิฏสฺ า 331 293, 333 สพั พตั ถคามนิ ปี ฏิทาญาณ 323 สัพพากุสลสาธารณเจตสกิ 4 354 สัมมาสัมพุทธเจดยี  4 141 สพเฺ พ สงขฺ ารา ฯเปฯ 86 สมั ปชญั ญะ 2, 25, 182 สมั มาสมั พทุ ธปฏญิ ญา 180 สมมฺ าสมพฺ ุทฺโธ 303 สัมมาอาชีวะ 239, 293, 241, 333, 354 สสั สตทิฏฐิ 13 สัสสเมธ 187 สาตถกสัมปชญั ญะ 189 สัมปชัญญะ 4 189 สาเถยยะ 308, 347 สัมปฏจิ ฉนะ, สมั ปฏจิ ฉันนะ 343, 348, 356 สาธารณโภคี 273 สมั ปทา 4 สามเณร, สามเณรี 242 สัมปทาของอุบาสก 190 สามัคคีธรรม 289 260 สัมปทาคณุ 4 190 สามัญญผล 4 165 สัมปรายิกตั ถะ 3, 132 สมั ปรายกิ ตั ถสงั วตั ตนกิ ธรรม 4 191 สามัญลกั ษณะ 3 76, 86 สมปฺ รายิกานํ อาสวานํ ปฏฆิ าตาย 327 สามสิ สุข 53 สมั ปหังสนา 172 สามี 265 สัมปต ตวิรัติ 108 สามจี ิปฏปิ นฺโน 307 สัมผัปปลาปะ 321 สายนะ 343 สมผฺ ปฺปลาป ปหาย ฯเปฯ 320 สาระ 4 218 สมผฺ ปฺปลาปา เวรมณี 319 สัมผสั 6 268, 272 สารณียธรรม 6 273 สัมพหลุ ัตเถราปเทส 166 สารมั ภะ 347 สมั โพธะ 295 สมั มสนญาณ 311, 345 สาราณยี ธรรม 6 273 สาวก 142 สาสน 2 51 สมั มัตตะ 10 333 สิกขา 3 124 155, 352 สกิ ขาคารวตา 261 สัมมปั ปธาน 4 293, 241, 333, 354 สกิ ขานุตตรยิ ะ 127 สัมมากมั มนั ตะ สกิ ขาบท 290 สมั มาญาณ 333 สัมมาทสั สนะ 222, 285 สกิ ขาบท 5 238 สัมมาทิฏฐิ 2, 34, 293, 319, 333 สกิ ขฺ าปทํ สมาทิยามิ 240 สมฺมาทิฏ โิ ก สิงคาลกมาณพ 200 สมั มาปฏิปทา 320 สปิ ปฺ ฺจ 353 51

47 สลี กถา 246, 314 สุตมยปญ ญา 93 สลี ขันธ 218 สุทัสสา 351 สลี ภาวนา 37 สทุ สั สี 351 สลี มัย 88, 89 สทุ ธวปิ สสนายานกิ 61 สีลวา (ดู ศีล ดว ย) 322 สทุ ธาวาส 5 244, 351 สลี วสิ ุทธิ 285 สุทธิ 2 54 สีลสงั วร 243 สุปฏิปนฺโน 307 สลี สมั ปทา 2, 191, 229, 280, 344 สุภกณิ หา 284, 312, 351 สีลสามัญญตา 273 สุภรตา 294 สีลัพพตปรามาส 329, 330 สุภาสติ า จ ยา วาจา 353 สีลัพพตปุ าทาน 214 สุรา 200 สลี านุสติ 335 สรุ าธตุ ตะ 199 สสี ังคะ 342 สรุ าเมรยมชฺชปมาทฏานา เวรมณี 238, 240 สหี นาท 180 สสุ กุ าภยั 210 สกุ ขวปิ สสก 61, 62 สุข 9, 174, 220, 227, 296, 328 สหุ ทมิตร 4 169 สตู ร 166 สุข 21 52 เสขะ 1, 2, 55 สุข 22 53 เสขปฏปิ ทา 344 เสตฆุ าตวริ ตั ิ 108 สขุ ของคฤหสั ถ 4 192 เสนาสนะ 159 สุขเวทนา 111, 112 เสนาสนปฏสิ ังยตุ ต 342 สุขสหคตํ เสนาสนสัปปายะ 286 สุขา ปฏปิ ทา ขิปปฺ าภิฺา 356 เสนาสนสันโดษ 203 สุขา ปฏปิ ทา ทนธฺ าภิ ฺา 154 เสนาสนะปา 290 สุขนิ ทรีย 154 เสรีธรรม 352 สุเขกคคฺ ตาสหติ ํ 112, 349 เสวนา, ปณฑฺ ิตานจฺ 353 สุคติ 356 เสยี ง ดู สทั ทะ สุคโต 351 โสก 1, 340 303 สจุ รติ 81 โสไจย 10 320 สุจึ เทติ 300 โสดาบัน 56, 57, 275, 351 สญุ ญตวิโมกข 107 สุญญตสมาธิ 47 โสดาบัน 3 58 สุตะ 201, 249, 257, 302 โสดาปตตผิ ล 165 สตุ ํ ปริโยทเปติ 221 โสดาปต ตมิ รรค 164 สุตตฺ ํ 302 โสต 40, 266, 276 สุตตนบิ าต 75 โสตทวาร 78 สุตตวิภังค 75 โสตธาตุ 348 สุตตันตนัย 329 โสตวญิ ญาณ 266, 268, 356 สตุ ตนั ตปฎ ก 75 โสตวญิ ญาณธาตุ 348

48 โสตสมั ผัส 266, 272 อกุศล 1, 2, 317 โสตสัมผัสสชาเวทนา 113, 266 อกุศลกรรม 4 โสตาปตฺติผลจติ ตฺ ํ อกุศลกรรมบถ 10 โสตาปตตฺ มิ คคฺ จิตฺตํ 356 อกุศลจิต 12 321 โสตาปต ตยิ งั คะ 41 356 อกศุ ลจติ ตบุ าท 12 356 193 อกศุ ลเจตสิก 14 85 โสตาปต ติยงั คะ 42 อกศุ ลธรรม 354 194 อกศุ ลมูล 3 85 โสตาปตตยิ งั คะ 43 68 โสตินทรีย 195 อกุศลวิตก 3 โสภณจติ 59 (92) 349 อกุศลวบิ ากจติ 7 70 โสภณเจตสกิ 19 356 อคติ 4 356 โสภณสาธารณเจตสกิ 19 354 องค 12 (ปฏิจจสมปุ บาท) 196 โสมนัส 354 องคค ุณของกลั ยาณมิตร 7 340 โสมนสสฺ สหคตํ 112, 358 องคประกอบของการศึกษา 278 โสมนัสสนิ ทรยี  356 องคป ระกอบภายนอก 34 โสรจั จะ 349 องคป ระกอบภายใน โสวจสสฺ ตา 24 องคมรรค 1 โสสานิกังคะ 324, 353 องคแหงธรรมกถึก 5 2 โสฬสญาณ 342 293 โสฬสวัตถุกอานาปานสติ 345 องคแหงภกิ ษใุ หม 5 219 346 อดิเรกลาภ อดีต 222 หตวิกขิตตกะ 336 อดตี เหตุ 159 หทัย 356 อตปั ปา 340 หทัยรูป 1 40, 359 อติชาตบตุ ร 340 หทัยวัตถุ 40 อตถิ ิพลี 351 อติมานะ 90 หลักการแบงทรพั ย 4 สว น 163 อตีตงั สญาณ 232 อทนิ นาทาน 347 หลกั กําหนดธรรมวนิ ยั 7 295 อทินฺนาทานํ ปหาย ฯเปฯ 72 อทนิ ฺนาทานา เวรมณี 137, 321 หลกั กําหนดธรรมวนิ ัย 8 294 อทกุ ขมสขุ เวทนา 320 หสติ ุปฺปาทจติ ตฺ ํ 356 อโทสะ 238, 240, 319 หริ ิ 23, 292, 301, 354 อธนานํ ธนานุปปฺ ทานํ 111 เหฏฐิมทศิ 265 อธมมฺ การปฏิกเฺ ขโป 67, 354 เหตปุ จ จัย 350 อธมมฺ ราคสสฺ ปหานํ 339 อธรรมการนเิ สธนา 339 อกนิฏฐา 351 อธกิ รณสมปุ ฺปาทวปู สมกุสโล 339 อกรณยี วณิชชา 5 235 อธิคมสทั ธรรม 339 อกปั ปยะ 167 322 อกาลิโก 306 121 อกิริยทฏิ ฐิ 14 อกิริยา 101

49 อธิจิตตสกิ ขา 124 อนจิ จลกั ษณะ 47 อธปิ ตปิ จ จัย 350 อนจิ จฺ สฺา 331 อธปิ ไตย 3 125 อนจิ จฺ า 86 อธิปจจสีลวันตสถาปนา 138 อนจิ จานปุ สสนา 107 อธิปญญาสิกขา 124 อนิฏฐารมณ 296 อธิโมกข 328, 354 อนิมิตตวิโมกข 107 อธศิ ลี 124, 260 อนมิ ติ ตสมาธิ 47 อธษิ ฐาน 325 อนกุ ัมปกะ 169 อธษิ ฐาน 4 197 อนชุ าตบุตร 90 อนตุ ตฺ รํ ปุ ฺกเฺ ขตตฺ ํ โลกสสฺ 307 อธษิ ฐานธรรม 4 197 อนตุ ตรยิ ะ 3 126 อธสิ ลี สกิ ขา 124 อนณสุข 192 อนตุ ตรยิ ะ 6 127 อนภชิ ฌา 319 อนตุ ตฺ โร ปุรสิ ทมมฺ สารถิ 303 อนภิชฌฺ าลุ 320 อนุทยตํ ปฏิจจฺ 219 อนรยิ ปรเิ ยสนา 33 อนบุ พุ พนิโรธ 313 อนวชั ชพละ 229 อนุบพุ พวหิ าร 9 313 อนวัชชสขุ 192 อนปุ ปยภาณี 168 อนวชฺชานิ กมมฺ านิ 353 อนปุ าทินนกรูป 43 อนญั ญาตัญญัสสามตี นิ ทรยี  349 อนุปาทนิ นกสังขาร 48 อนัตตตา 76, 107 อนปุ าทินนธรรม 22 อนตั ตลักษณะ 47 อนปุ าทเิ สสนิพพาน 27 อนตตฺ สฺ า 331 อนุปพุ ฺพกิ ถํ 219 อนตตฺ า 86 อนปุ พุ พิกถา 5 246 อนตั ตานุปส สนา 107 อนยุ นต 339 อนันตรปจ จยั 350 อนรุ ักขนาปธาน 156 อนนั ตรยิ กรรม 5 245 อนุโลมญาณ 311, 345 อนากุลา จ กมมฺ นตฺ า 353 อนโุ ลมเทศนา 340 อนาคต 340 อนโุ ลมปฏจิ จสมุปบาท 340 อนาคตผล 340 อนโุ ลมปฏิปทา 51 อนาคตงั สญาณ 72 อนวุ ิจจวัณณภาสกะ 257 อนาคามผิ ล 165 อนวุ จิ จาวัณณภาสกะ 257 อนาคามิผลจติ ฺตํ 356 อนุสติ 10 335, 354 อนาคามมิ คฺคจติ ฺตํ 356 อนุสสตานตุ ตริยะ 127 อนาคามมิ รรค 164 อนสุ ฺสเวน 317 อนาคามี 56, 57 อนสุ ัย 7 288 อนาคามี 5 60 อนุสาวรยี  289 อนิกขฺ ิตฺตธุโร 269 อนุสาสนีปาฏหิ ารยิ  94 อนิจจตา 40, 76, 107 อเนสนา 203

50 อโนตตัปปะ 318, 354 อภธิ รรมนยั 330 อบาย 4 196, 351 อภธิ รรมปฎก 75 อภสิ งั ขตสังขาร 185 อบายภูมิ 4 196, 351 อภิสงั ขรณกสงั ขาร 185 อภสิ ังขาร 3 129 อบายมขุ 4 199 อภิสงั ขารมาร 234 200, 201 อภิสัมพุทธสถาน 188 อบายมขุ 6 อมตบท 352 อปจยะ 294 อมจั จพลัง 230 อปจายนมยั 89 อโมหะ 67, 354 อปทาน 75 อยส 296 อปรนฺเต อฺ าณํ 209 อโยนโิ สมนสกิ าร 34 อปราปรยิ เวทนยี กรรม 338 อรรถ 31 132 อปรยิ าปน นภูมิ 162 อรรถ 32 อปริหานิยธรรม 71 289 อรรถบัญญตั ิ 133 อปรหิ านิยธรรม 72 อรหํ 28 อปริหานิยธรรม 73 290 อรหตั ตผล 303 อรหตตฺ ผลจิตฺตํ อปณณกปฏปิ ทา 3 291 อรหตั ตผลวมิ ตุ ติ 166, 227 128, 344 อรหัตตมรรค 356 อปส เสนะ, อปสเสนธรรม 4 อรหตตฺ มคฺคจติ ตฺ ํ 333 อปายโกศล 202 อรหันต 164 อปายสหาย 71 อรหนั ต 2 356 อปญุ ญาภสิ ังขาร 168 อปปฺ ฏวิ าณิตา ปธานสฺมึ 129 อรหันต 4, 5, 60 37, 56, 57, 289 อพยาบาท 65 อรหันตฆาต 61 อพยาบาทวติ ก 319 อริยะ อพยาบาทสงั กัปป 69 อรยิ ทรัพย 7 62 อพฺยาปนนฺ จติ ฺโต 293 245, 275 อพรฺ หมฺ จริยา เวรมณี 320 อรยิ ธรรม 10 อภพั พฐาน 240 351 อภิชาตบุตร 275 อริยบคุ คล 2 292 อภิชฌา 90 อภิชฌาวสิ มโลภะ 321 อรยิ บคุ คล 4 320 อภชิ ัจจพลงั 347 อภญิ ญา 230 อรยิ บคุ คล 7 55 อภิญญา 6 295 อรยิ บคุ คล 8 56 อภิญญาเทสิตธรรม 37 274 อรยิ ปรเิ ยสนา อภญิ ญายธัมมเทสนา อริยมรรค 10 63 อภิฐาน 6 352 134 อริยวงศ 4 57 อภิณหปจจเวกขณ 275 33 อริยวฑั ฒิ 5 320 อภณิ หปจ จเวกขณ 10 247 อริยสัจจ อภณิ ฺหํ เทติ อรยิ สจั จ 4 203 248 300 249 285 204, 208, 209, 246

51 อรยิ สจจฺ าน ทสฺสนํ 353 อสงฺขาริกํ 356 อรยิ สาวกกบั โลกธรรม 296 อสงั สัคคกถา 314 อรยิ อัฏฐงั คกิ มรรค 1, 2, 204, 241, 293 อสญั ญีภพ, อสญั ญีสัตว 312, 351 อรปู 4 207, 354 อสนตฺ ุฏิตา กสุ เลสุ ธมเฺ มสุ 65 8, 10, 207, 299, 313 อสนตฺ ฏุ  พิ หโุ ล 269 อรูปฌาน 4 19 อสัมภินนังคะ 342 อรปู ธรรม 98 อสมั โมหสัมปชญั ญะ 189 อรูปภพ 329 อสิโลกภัย 229 อรูปราคะ 104 336, 354 อรูปโลก 343 อสุภะ 10 331 อรปู วบิ าก 4 อสภุ สฺา 199, 351 อรปู าวจร 8 อสุรกาย 55 อรปู าวจรกิริยาจติ 4 356 อเสขะ 333 อรูปาวจรกศุ ลจิต 4 356 353 อรปู าวจรจติ 12 356 อเสขธรรม 10 353 อรปู าวจรภมู ิ 4 162, 351 อเสวนา จ พาลานํ 123 อรปู าวจรวิบากจิต 4 356 อโสกํ 318, 354 อรูปนา ธมมฺ า 19 อหิงสา (ดู อวิหงิ สา ดวย) 356 อลาภ 296 อหิริกะ 356 อลีนตา 201 อเหตกุ กิรยิ าจิต 3 14 อโลภะ 67, 354 อเหตกุ จิต 18 101 อวชาตบตุ ร 90 อเหตกุ ทฏิ ฐิ 101 อวคิ ตปจจยั 350 อเหตวุ าท 338 อวิชชมานบญั ญตั ิ 28 อเหตอุ ปจ จัยวาท 326 อวชิ ชา 288, 329, 330, 340 อโหสกิ รรม 199 อวิชชา 4 208 อักโกธะ 130 อักขธุตตะ อวิชชา 8 209 อคั คิ 31 131 อวชิ ชาโยคะ 170 131 อวชิ ชาสวะ 135, 136 อคั คิ 32 75 อวิชโชฆะ 215 อัคคิปารจิ รยิ า 3 246, 276 อวิโรธนะ 326 อังคตุ ตรนกิ าย 307 อวหิ า 351 117, 118 อวิหงิ สา 326 อชั ฌัตติกายตนะ 6 168 อวิหงิ สาวิตก 69 อฺชลกิ รณโี ย 350 อวิหิงสาสังกปั ป 293 อญั ญถัตตะ 354 อสงั ขตธรรม 21 อญั ญทัตถหุ ร 275 อสงั ขตธาตุ 1 310 อญั ญมญั ญปจ จยั 349 อสังขตลักษณะ 3 118 อัญญสมานาเจตสิก 13 349 อสงั ขารปรนิ ิพพายี 60 อัญญสตั ถุทเทส อญั ญาตาวนิ ทรยี  อญั ญนิ ทรีย

52 อฏั ฐศลี 240 อปั ปนาภาวนา 99 อัฏฐังคกิ มรรค 293 อัปปนาสมาธิ 45, 46 อัฏฐิกะ 336 อัปปมญั ญา 4 160, 227, 354 อณั ฑชะ 171 อปั ปมญั ญาเจตสิก 2 อตั ตกลิ มถานุโยค 15, 293 อปั ปมาณสุภา 354 อตั ตนาถะ 304 อปั ปาณาภา 351 อตั ตวาทุปาทาน 214 อัปปมาท 351 อัตตสัมปทา 2, 280 อปั ปมาทคารวตา 2, 3, 239 อตั ตสมั มาปณธิ ิ 140, 353 อัปปมาทสมั ปทา 261 อัตตหิตสมบตั ิ 308 อปปฺ มาโท จ ธมเฺ มสุ 2, 280 อตั ตัญตุ า 287 อปปฺ สนฺนานํ ปสาทาย 353 อัตตตั ถะ 133 อัปปจฉกถา 327 อตั ตาธิปไตย 125 อปั ปจ ฉตา 314 อตตฺ านจฺ ปรจฺ อนุปหจจฺ 219 อพฺภตู ธมฺมํ 2, 294 อตั ตาภินิเวส 107 อพั โภกาสกิ ังคะ 302 อัตถะ 2 64 อัพยากตธรรม 342 อัยยาภริยา 85 อัตถะ 31 132 อัสสเมธ 282 อสสฺ าส 187 อตั ถะ 32 133 อสฺสุตํ สณุ าติ 346 อัตถจรยิ า 186, 229 อาการ 12 221 อัตถทวาร อาการ 20 73 อตั ถปฏสิ มั ภิทา 201 อาการ 32 340 อัตถประมุข 155 147 อตั ถักขายี 201 อัตถัญุตา 169 อาการท่ีพระพุทธเจาทรงส่งั สอน 3 134 อตั ถปิ จจัย 287 อตั ถสิ ขุ 350 อาการปริวิตกเฺ กน 317 อัทธา 3 192 อากาสกสณิ 315 อนั ตคาหิกทิฏฐิ 10 340 อากาสธาตุ 40, 148, 149 อันตราปรินพิ พายี 337 อากาสานญั จายตนะ 207, 284, 298, 312 อนั ตรายของภิกษุใหม 4 60 อากาสานจฺ ายตนกุสลจิตฺตํ 356 อันตรายิกธรรมวาทะ 210 อากาสานัญจายตนภมู ิ 351 อนั ตา 2 180 อากิญจัญญายตนะ 207, 284, 298, 312 อันโตชน 15 อากิจฺ ฺ ายตนกสุ ลจติ ตฺ ํ 356 อันวัตถปฏิปทา 339 อากิญจัญญายตนภมู ิ 351 อปฺปฏวิ าณติ า ปธานสฺมึ 51 อาจารย 265 อปั ปฏวิ ิภัตตโภคี 65 อปั ปณหิ ิตวิโมกข 273 อาจารย 4, 5 211 อัปปณหิ ิตสมาธิ 107 อาจารวบิ ตั ิ 175 47 อาจิณณกรรม 338 อาชชวะ 326

53 อาชีวะ 241 อายุสสธรรม 5 250 อาชวี ปารสิ ทุ ธิ 243 อารตี วริ ตี ปาปา 353 อาชวี ปารสิ ทุ ธิศลี 160 อารมณ 6 277 อาชีววบิ ัติ 175 อาชีวฏั ฐมกศีล 241 อารยธรรม 10 320 อาชีวติ ภยั 229 อาณาจกั ร 287 อารยวฒั ิ 5 249 อาทิกัมมิกะ 75/1ก อารยอษั ฎางคกิ มรรค 1, 2 อาทิพรหมจรรย 241 อารักขสัมปทา 144 อาทีนวญาณ = อาทีนวานปุ สสนาญาณ อารักขา 289 อาทีนวสฺา 331 อารัญญิกังคะ 342 อาทนี วานุปส สนาญาณ 311 อารมั มณปจ จัย 350 อาเทศนาปาฏหิ าริย 94 อารมั มณูปนชิ ฌาน อาธิปจจะ 227 อารุปป 4 7 อาธิปจจสีลวนั ตสถาปนา 138 อาโรคยะ 8, 207 อานาปานสติ 183, 331, 335 อาโลกกสณิ อาโลกพหุโล 201 อานาปานสติ 16 ฐาน 346 อาวฏภยั 315 อาเนญชาภสิ ังขาร 129 อาวัชชนะ 269 อาโปกสณิ 315 อาวาสมจั ฉรยิ ะ 210 อาโปธาตุ 39, 146, 147, 148 อาวาสสปั ปายะ 343 อาพาธิกะ 83, 84, 150 อาวาสิกธรรม 51 233 อาภสั สรา 284, 312, 351 อาวาสกิ ธรรม 52 286 อามิสทาน 11 อาวาสิกธรรม 53 251 อามสิ บชู า 30 อาวาสกิ ธรรม 54 อามสิ ปฏสิ นั ถาร 31 อาวาสกิ ธรรม 55 252 อามิสปรเิ ยสนา 33 อาวาสกิ ธรรม 56 อามิสไพบลู ย 44 อาวาสกิ ธรรม 57 253 อามสิ ฤทธิ์ 42 อามิสเวปุลละ 44 อาสวะ 3 254 อามิสสงเคราะห 49 อามสิ สังคหะ 49 อาสวะ 4 255 อายโกศล 71 อาสวกั ขยะ อาสวกั ขยญาณ 256 อายตนะ 12 341 อาสันนกรรม 265, 277, 341 อาเสวนปจ จยั 257 อายตนะภายนอก 6 266, 276, 341 อาหาร 4 อาหารปจจัย 135 อายตนะภายใน 6 201 อาหารรปู 1 136, 170, 215 อายมขุ 227 อาหาเรปฏกิ ลู สญั ญา อายุ อาหเุ นยโฺ ย 184 อาหไุ นยัคคิ 106, 274, 297, 323 อายุวฒั นธรรม 5 250 338 350 212 350 40, 359 354 307 131

54 อิฏฐารมณ 296 อุทเทสกิ เจดยี  141 อติ ถตั ตะ 40 อทุ ธงั โสโตอกนฏิ ฐคามี 60 อติ ถนิ ทรยี  40, 349 อุทธจั จะ 318, 329, 354 อติ ถธี ุตตะ 199 อทุ ธัจจกุกกุจจะ 225 อติ กิ ิราย 317 อทุ ธฺ จฺจสมปฺ ยตุ ตฺ ํ 356 อติ ปิ  โส ภควา 303 อทุ ธมั ภาคิยสังโยชน 5 329 อิติวุตตกะ 75, 302 อุทธุมาตกะ 336 อิทธบิ าท 4 213, 227, 352 อทุ ยัพพยญาณ = อทุ ยัพพยานปุ ส สนาญาณ อทิ ธปิ าฏิหาริย 94 อุทยัพพยานุปส สนาญาณ 92, 285, 311 อิทธวิ ธิ า, อิทธวิ ิธิ 274, 297 อุทาน 75, 302 อเุ ทศาจารย 211 อิทัปปจจยตา 340 อทิ ปปฺ จฺจยตาปฏจิ ฺจสมุปฺปนเฺ นสุ ธมฺเมสุ อบุ าสกธรรม 5 259 อฺ าณํ 209 อบุ าสกธรรม 7 260 อินทร 270 อบุ าสกบริษัท 151 228, 258, 352 อุบาสกปทุม 259 อนิ ทรยี  5 อินทรีย 6 276 อุบาสกรัตน 259 อินทรยี  22 349 อุบาสกิ าบรษิ ัท 151 อนิ ทริยปโรปริยตั ตญาณ 323 อเุ บกขา 9, 161, 281, 325, 328, 358 อินทรียปจ จยั 350 อเุ บกขาเวทนา 111, 112 อนิ ทรยี สงั วร 128, 222, 243 อุเบกขาสนั ตีรณะ 2 343 อนิ ทรยี สงั วรศลี 160 อิรยิ าบถ 182 อุโบสถ, อุโบสถศีล 240 อริ ยิ าปถสปั ปายะ 286 อุปการกะ 169 อศิ วรกรณวาท 101 อุปกิเลส 16 347 อิสสรนมิ มานเหตุวาท 101 อุปฆาตกกรรม 338 อสิ สา 308, 330, 347, 354 อปุ จยะ 40 อคุ คหนมิ ิต 87 อุปจารภาวนา 99 อุคฆฏติ ญั ู 153 อุปจารสมาธิ 45, 46 อจุ จากุลนี ตา 227 อุปธวิ ิบตั ิ 176 อจุ ฺจาสยนมหาสยนา เวรมณี 240 อุปธิวเิ วก 109 อจุ เฉททิฏฐิ 13 อปุ ธสิ มบัติ 178 อุชปุ ฏิปนโฺ น 307 อปุ นาหะ 347 อฏุ ฐานสมั ปทา 144 อปุ นสิ ัย 4 202 อดุ มมงคล 353 อปุ นิสสยปจ จยั 350 อุตตรทิศ 265 อปุ บารมี 325 อตุ ตฺ ริ ฺจ ปตาเรติ 269 อปุ ปชชเวทนยี กรรม 338 อตุ ุนิยาม 223 อปุ ปต ติเทพ 82 อุตสุ ปั ปายะ 286 อุปปตตภิ พ 340 อปุ ปาทะ 117, 118

55 อปุ ปฬกกรรม 338 อภุ โตภาควิมตุ 61, 62, 63 อุปริมทศิ 265 อุภยตั ถะ 133 อปุ สมะ 197, 295 อูมิภยั 210 อปุ สมานสุ ติ 335 เอกเถราปเทส 166 อปุ สัมปทาจารย 211 เอกพชี ี 58 อปุ หัจจปรนิ ิพพายี 60 เอกัคคตา อุปญญาตธรรม 2 65 เอกันตนพิ พิทา 9, 354 อปุ ฏ ฐาน 328 เอกาสนกิ งั คะ 296 อปุ ตถัมภกกรรม 338 เอกีภาพ 342 อุปาทาน 340 เอหิปสฺสโิ ก 273 อปุ าทาน 4 214 โอกกันตกิ าปต ิ 306 อปุ าทานขันธ 5 204 โอกาสโลก 226 อปุ าทารปู , อุปาทายรปู 24 38, 40 102 อุปาทนิ นกรปู 41 อปุ าทนิ นกสังขาร 48 โอฆะ 4 215 อปุ าทินนธรรม 22 โอตตปั ปะ 23, 292, 301, 354 อปุ ายโกศล 71 โอทาตกสณิ อปุ ายาส 1, 340 โอปนยโิ ก 315 อเุ ปกขฺ าสหคตํ 356 โอปปาติกะ 306 อุเปกขินทรีย 349 โอภาส 171 อเุ ปกเฺ ขกคฺคตาสหติ ํ 356 โอรัมภาคิยสังโยชน 5 328 อุพเพคาปติ, อุพเพงคาปต ิ 226 329 โอวาทของพระพทุ ธเจา 3 97 โอวาทปาฏิโมกข (โอวาทปาตโิ มกข) 97 โอวาทาจารย 2



เอกกะ — หมวด 1 Groups of One (including related groups) [1] กัลยาณมติ ตตา (ความมกี ลั ยาณมติ ร คอื มีผูแนะนาํ สงั่ สอน ท่ีปรกึ ษา เพื่อนทคี่ บหา และบุคคลผูแวดลอ มทีด่ ,ี ความรูจักเลอื กเสวนาบคุ คล หรอื เขารวมหมูกับทานผทู รงคุณทรง ปญ ญามคี วามสามารถ ซ่ึงจะชวยแวดลอม สนบั สนุน ชักจงู ช้ชี องทาง เปน แบบอยา ง ตลอด จนเปน เคร่ืองอุดหนนุ เกอ้ื กูลแกก ัน ใหดําเนินกา วหนาไปดว ยดี ในการศกึ ษาอบรม การครอง ชวี ิต การประกอบกิจการ และธรรมปฏิบัติ, ส่งิ แวดลอมทางสงั คมทดี่ ี — Kalyànaฺ mittatà: having good friends; good company; friendship with the lovely; favourable social environment) ขอ นี้เปน องคป ระกอบภายนอก (external factor; environmental factor) “ภกิ ษทุ งั้ หลาย เมื่อดวงอาทิตยอุทยั อยู ยอ มมแี สงอรุณข้ึนมากอ น เปน บุพนมิ ติ ฉนั ใด ความมี กลั ยาณมิตรก็เปน ตัวนาํ เปนบพุ นิมติ แหงการเกิดข้ึนของอารยอษั ฎางคกิ มรรค แกภ ิกษุ ฉนั นั้น” “ความมีกลั ยาณมติ ร เทา กับเปนพรหมจรรย (การครองชวี ิตประเสรฐิ ) ท้งั หมดทีเดียว เพราะวา ผมู ี กัลยาณมิตรพงึ หวงั ส่งิ นี้ได คือ จักเจริญ จักทาํ ใหมากซงึ่ อารยอัษฎางคกิ มรรค” “อาศยั เราผเู ปนกลั ยาณมิตร เหลา สัตวผ ูมีชาตเิ ปนธรรมดา กพ็ น จากชาติ ผูม ชี ราเปน ธรรมดา ก็พน จากชรา ผูมีมรณะเปนธรรมดา ก็พนจากมรณะ ผูม โี สกะ ปริเทวะ ทกุ ข โทมนสั และอุปายาสเปน ธรรมดา กพ็ น จากโสกะ ปริเทวะ ทกุ ข โทมนสั และอปุ ายาส” “เราไมเล็งเห็นองคประกอบภายนอกอื่นแมสักอยางเดียว ที่มีประโยชนมากสําหรับภิกษุผูเปนเสขะ เหมือนความมีกลั ยาณมิตร, ภกิ ษุผูมกี ัลยาณมิตร ยอมกําจดั อกศุ ลได และยอมยังกศุ ลใหเกดิ ขึ้น” “ความมกี ลั ยาณมิตร ยอมเปน ไปเพื่อประโยชนยิ่งใหญ, เพอ่ื ความดํารงมน่ั ไมเสอื่ มสญู ไมอนั ตรธาน แหง สทั ธรรม” ฯลฯ S.V.2–30; A.I.14–18; It.10. สํ.ม. 19/5–129/2–36; องฺ.เอก. 20/72–128/16–25; ข.ุ อิติ. 25/195/237. [2] โยนโิ สมนสิการ (การใชค วามคดิ ถูกวธิ ี คอื การทาํ ในใจโดยแยบคาย มองสิ่งท้งั หลาย ดวยความคิดพจิ ารณาสืบคน ถึงตน เคา สาวหาเหตุผลจนตลอดสาย แยกแยะออกพิเคราะหดู ดว ยปญ ญาท่คี ิดเปน ระเบยี บและโดยอบุ ายวิธี ใหเห็นสิง่ นั้นๆ หรือปญหานัน้ ๆ ตามสภาวะและ ตามความสัมพันธแหง เหตุปจ จยั — Yonisomanasikàra: reasoned attention; systematic attention; analytical thinking; critical reflection; thinking in terms of specific conditionality; thinking by way of causal relations or by way of problem-solving) ขอน้เี ปน องคประกอบภายใน (internal factor; personal factor) และเปน ฝายปญ ญา (a factor belonging to the category of insight or wisdom) “ภกิ ษุทัง้ หลาย เม่อื ดวงอาทติ ยอทุ ัยอยู ยอ มมแี สงอรณุ ขึ้นมากอน เปนบพุ นมิ ติ ฉนั ใด ความถงึ พรอม

[3] 58 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร ดว ยโยนโิ สมนสิการ ก็เปนตัวนํา เปน บุพนิมติ แหงการเกิดขึ้นของอารยอัษฎางคิกมรรค แกภ กิ ษุ ฉนั นั้น” “เราไมเล็งเห็นองคประกอบภายในอื่นแมสักอยางเดียว ทีม่ ีประโยชนม าก สําหรบั ภกิ ษผุ เู ปน เสขะ เหมอื นโยนิโสมนสกิ าร ภกิ ษุผมู โี ยนิโสมนสกิ าร ยอมกาํ จดั อกศุ ลได และยอมยงั กศุ ลใหเ กดิ ขนึ้ ” “เราไมเ ล็งเหน็ ธรรมอ่นื แมส กั ขอ หน่ึง ซง่ึ เปนเหตใุ หส ัมมาทิฏฐทิ ่ียังไมเกดิ ก็เกิดขึ้น ท่ีเกิดขึ้นแลว ก็ เจริญยิ่งข้นึ เหมอื นโยนโิ สมนสิการเลย” “เราไมเ ล็งเห็นธรรมอืน่ แมส ักขอหน่งึ ซง่ึ จะเปนเหตุใหค วามสงสยั ที่ยงั ไมเ กดิ กไ็ มเกิดข้ึน ท่เี กดิ ข้ึน แลว ก็ถกู ขจัดเสียได เหมอื นโยนโิ สมนสกิ ารเลย” “โยนโิ สมนสกิ าร ยอมเปน ไปเพ่อื ประโยชนย ่งิ ใหญ, เพอื่ ความดํารงมน่ั ไมเ สือ่ มสูญ ไมอ นั ตรธานแหง สทั ธรรม” ฯลฯ ธรรมขออนื่ ทีไ่ ดร บั ยกยอ งคลา ยกบั โยนิโสมนสิการน้ี ในบางแง ไดแ ก อัปปมาทะ (ความ ไมป ระมาท — earnestness; diligence), วิริยารัมภะ (การปรารภความเพยี ร, ทาํ ความเพียร มุงมัน่ — instigation of energy; energetic effort), อัปปจฉตา (ความมกั นอ ย, ไมเ หน็ แก ได — fewness of wishes; paucity of selfish desire), สันตุฏฐี (ความสันโดษ — contentment), สัมปชัญญะ (ความรตู ัว, สํานึกตระหนักชดั ดวยปญญา — awareness; full comprehension); กสุ ลธัมมานโุ ยค (การหมัน่ ประกอบกศุ ลธรรม — pursuit of wholesome states; devotion to good things); สีลสมั ปทา (ความถงึ พรอมแหง ศลี — possession of virtue); ฉนั ทสมั ปทา (ความถึงพรอมแหงฉนั ทะ — possession of will), อตั ตสัมปทา (ความ ถงึ พรอมแหงตนคือมจี ิตใจซึ่งพัฒนาเตม็ ท่ีแลว — self–realization, self-actualization), ทิฏฐิสัมปทา (ความถึงพรอมแหงทิฏฐิ — possession of right view), และ อปั ปมาทสัมปทา (ความถึงพรอมแหง อัปปมาทะ — possession of earnestness) S.V.2–30; A.I.11–31; It.9. ส.ํ ม. 19/5–129/2–36; อง.ฺ เอก.20/60–186/13–41; ข.ุ อติ ิ. 25/194/236. [3] อปั ปมาทะ (ความไมป ระมาท คือ ความเปน อยูอยางไมข าดสติ หรอื ความเพียรทมี่ ีสติเปน เครอ่ื งเรง เรา และควบคุม ไดแ ก การดาํ เนนิ ชวี ติ โดยมีสติเปนเครอื่ งกาํ กับความประพฤตปิ ฏิบตั ิ และการกระทาํ ทกุ อยา ง ระมัดระวังตัว ไมยอมถลําลงไปในทางเส่ือม แตไ มย อมพลาดโอกาส สาํ หรับความดีงามและความเจรญิ กา วหนา ตระหนักในส่งิ ทพี่ ึงทําและพงึ ละเวน ใสใ จสํานึกอยู เสมอในหนา ท่อี นั จะตองรับผิดชอบ ไมยอมปลอยปละละเลย กระทาํ การดว ยความจรงิ จัง รอบ คอบ และรดุ หนาเรอ่ื ยไป — Appamàda: earnestness; diligence; heedfulness) ขอ นีเ้ ปน องคป ระกอบภายใน (internal factor; personal factor) และเปน ฝา ยสมาธิ (a factor belonging to the category of concentration) “ภิกษุทง้ั หลาย เมอื่ ดวงอาทิตยอ ทุ ัยอยู ยอ มมีแสงอรณุ ขน้ึ มากอน เปนบุพนิมิต ฉันใด ความถึงพรอม ดว ยความไมประมาท กเ็ ปนตวั นาํ เปน บุพนิมติ แหง การเกิดข้นึ ของอารยอษั ฎางคิกมรรค แกภ กิ ษุ ฉันนนั้ ” “ธรรมเอก ท่ีมีอุปการะมาก เพือ่ การเกิดขึ้นแหง อารยอัษฎางคิกมรรค กค็ อื ความถงึ พรอมดวยความ ไมป ระมาท”

หมวด 1 59 [3] “เราไมเลง็ เหน็ ธรรมอนื่ แมส กั ขอ หนงึ่ ซงึ่ เปน เหตใุ หอารยอัษฎางคิกมรรคท่ยี ังไมเกิด กเ็ กิดขน้ึ ท่ีเกิด ขนึ้ แลว กเ็ จริญบริบรู ณ เหมอื นอยางความถงึ พรอ มดวยความไมป ระมาทน้ีเลย” “รอยเทาของสัตวบ กท้ังหลาย ชนดิ ใดๆ กต็ าม ยอ มลงในรอยเทา ชางไดทงั้ หมด, รอยเทาชา ง เรียก วา เปน ยอดของรอยเทา เหลา นน้ั โดยความใหญ ฉันใด กุศลธรรมท้งั หลาย อยา งใดๆ ก็ตาม ยอ มมีความไม ประมาทเปน มลู ประชมุ ลงในความไมประมาทไดทง้ั หมด ความไมประมาท เรยี กไดวาเปน ยอดของธรรม เหลา นนั้ ฉนั นน้ั ” “ผมู ีกลั ยาณมติ ร พงึ เปน อยูโดยอาศัยธรรมเอกขอน้ี คอื ความไมป ระมาทในกศุ ลธรรมทง้ั หลาย” “ธรรมเอกอันจะทําใหยึดเอาประโยชนไวไ ดท ้ัง 2 อยาง คือ ทง้ั ทฏิ ฐธมั มิกัตถะ (ประโยชนปจ จบุ ัน ประโยชนเฉพาะหนา หรือประโยชนส ามญั ของชวี ิต เชน ทรัพย ยศ กามสขุ เปน ตน) และสมั ปรายกิ ัตถะ (ประโยชนเ บื้องหนาหรือประโยชนข ้นั สูงข้ึนไปทางจิตใจหรอื คุณธรรม) ก็คอื ความไมป ระมาท” “สงั ขาร (สง่ิ ที่ปจจยั ปรุงแตง ขึน้ ) ทัง้ หลาย มคี วามเส่ือมสิ้นไปเปน ธรรมดา ทา นทั้งหลายจงยงั ประโยชนท ี่มงุ หมายใหส าํ เร็จ ดวยความไมป ระมาทเถดิ ” “ความไมประมาท ยอ มเปนไปเพ่อื ประโยชนยิ่งใหญ, เพ่ือความดาํ รงม่นั ไมเส่อื มสญู ไมอนั ตรธาน แหง สทั ธรรม” ฯลฯ D.II.156; S.I.86–89; S.V.30–45; ท.ี ม. 10/143/180; ส.ํ ส. 15/378–384/125–129; A.I.11–17; A.III.365; A.V.21. สํ.ม. 19/135–262/37–66; อง.ฺ เอก. 20/60–116/13–23; อง.ฺ ฉกกฺ . 22/324/407; อง.ฺ ทสก. 24/15/23.

ทุกะ — หมวด 2 Groups of Two (including related groups) [4] กรรม 2 (การกระทํา, การกระทาํ ที่ประกอบดว ยเจตนา ทางกายก็ตาม ทางวาจากต็ าม ทางใจกต็ าม — Kamma: action; deed) 1. อกศุ ลกรรม (กรรมทเ่ี ปน อกศุ ล, กรรมชว่ั , การกระทาํ ทไ่ี มด ี ไมฉ ลาด ไมเ กดิ จากปญ ญา ทาํ ใหเ สอ่ื มเสยี คณุ ภาพชวี ติ หมายถงึ การกระทาํ ทเ่ี กดิ จากอกศุ ลมลู คอื โลภะ โทสะ หรอื โมหะ — Akusala-kamma: unwholesome action; evil deed; bad deed) 2. กศุ ลกรรม (กรรมทเี่ ปน กศุ ล, กรรมด,ี การกระทาํ ทด่ี ี ฉลาด เกดิ จากปญ ญา สง เสรมิ คณุ ภาพของชวี ติ จติ ใจ หมายถงึ การกระทาํ ทเ่ี กดิ จากกศุ ลมลู คอื อโลภะ อโทสะ หรอื อโมหะ — Kusala-kamma: wholesome action; good deed) A.I.104, 263; It.25,55. องฺ.ตกิ .20/445/131,551/338; ขุ.อิต.ิ 25/208/248;242/272. [,] กรรมฐาน 2 (Kammaññhàna) ดู [36] ภาวนา 2. [5] กาม 2 (ความใคร, ความอยาก, ความปรารถนา, สิ่งทน่ี าใครน าปรารถนา — Kàma: sensuality) 1. กเิ ลสกาม (กเิ ลสท่ีทําใหใคร, ความอยากทเี่ ปน ตวั กเิ ลส — Kilesa-kàma: subjective sensuality) 2. วตั ถกุ าม (วัตถอุ ันนาใคร, สิง่ ท่นี าปรารถนา, สิง่ ทอี่ ยากได, กามคณุ — Vatthu-kàma: objective sensuality) Nd12. ขุ.มหา.29/2/1 [6] กามคุณ 5 (สว นที่นาใครน าปรารถนา, สว นที่ดีหรอื สว นอรอยของกาม — Kàmaguõa: sensual pleasures; sensual objects) 1. รูปะ (รูป — Råpa: form; visible object) 2. สทั ทะ (เสยี ง — Sadda: sound) 3. คันธะ (กลนิ่ — Gandha: smell; odour) 4. รสะ (รส — Rasa: taste) 5. โผฏฐพั พะ (สัมผสั ทางกาย — Phoññhabba: touch; tangible object) หาอยา งนี้ เฉพาะสวนทน่ี าปรารถนา นาใคร นาพอใจ (agreeable, delightful, pleasur- able) เรยี กวา กามคุณ M.I.85,173. ม.ม.ู 12/197/168; 327/333.

หมวด 2 61 [9] [7] ฌาน 2 (การเพง , การเพงพินจิ ดวยจิตที่เปนสมาธแิ นว แน — Jhàna: meditation; scrutiny; examination) 1. อารมั มณปู นิชฌาน (การเพงอารมณ ไดแกสมาบัติ 8 คอื รูปฌาน 4 และอรูปฌาน 4 — ârammaõåpanijjhàna: object-scrutinizing Jhàna) 2. ลกั ขณปู นิชฌาน (การเพงลกั ษณะ ไดแก วปิ ส สนา มรรค และ ผล — Lakkhaõåpa- nijjhàna: characteristic-examining Jhàna) วปิ สสนา ชือ่ วา ลักขณูปนิชฌาน เพราะพนิ จิ สงั ขารโดยไตรลกั ษณ มรรค ชื่อวา ลกั ขณปู นชิ ฌาน เพราะยังกิจแหง วิปสสนานัน้ ใหส ําเร็จ ผล ช่ือวา ลักขณปู นชิ ฌาน เพราะเพงนิพพานอนั มลี กั ษณะเปน สญุ ญตะ อนิมิตตะ และ อปั ปณิหติ ะ อยา งหนงึ่ และเพราะเหน็ ลกั ษณะอันเปน สจั จภาวะของนิพพาน อยางหนึ่ง ฌานที่แบงเปน 2 อยา งนี้ มมี าในคมั ภีรช ้นั อรรถกถา. ดู [8], [9], [10] ฌาน ตา งๆ และ [47] สมาธิ 3. AA.II.41; PsA.281; DhsA.167. อง.ฺ อ.1/536; ปฏสิ .ํ อ.221; สงฺคณ.ี อ.73. [8] ฌาน 2 ประเภท (ภาวะจติ ทเ่ี พงอารมณจนแนว แน — Jhàna: absorption) 1. รูปฌาน 4 (ฌานมรี ูปธรรมเปน อารมณ, ฌานท่ีเปน รูปาวจร — Råpa-jhàna: Jhànas of the Fine-Material Sphere) 2. อรูปฌาน 4 (ฌานมีอรูปธรรมเปนอารมณ, ฌานท่ีเปน อรูปาวจร — Aråpa-jhàna: Jhànas of the Immaterial Sphere) คาํ วา รปู ฌาน ก็ดี อรูปฌาน ก็ดี เริม่ ใชคราวจดั รวมพุทธพจน เดมิ เรียกเพียงวา ฌาน และ อารปุ ป. D.III.222; Dhs.56. ที.ปา.11/232/233; อภ.ิ สํ.34/192/78. [9] ฌาน 4 = รูปฌาน 4 (the Four Jhànas) 1. ปฐมฌาน (ฌานท่ี 1 — Pañhama-jhàna: the First Absorption) มีองค 5 คอื วิตก วิจาร ปติ สุข เอกัคคตา 2. ทตุ ิยฌาน (ฌานท่ี 2 — Dutiya-jhàna: the Second Absorption) มีองค 3 คอื ปต ิ สุข เอกคั คตา 3. ตตยิ ฌาน (ฌานท่ี 3 — Tatiya-jhàna: the Third Absorption) มอี งค 2 คอื สขุ เอกคั คตา 4. จตุตถฌาน (ฌานที่ 4 — Catuttha-jhàna: the Fourth Absorption) มีองค 2 คือ อุเบกขา เอกคั คตา คมั ภีรฝายอภธิ รรม นิยมแบง รปู ฌานนเี้ ปน 5 ขั้น เรียกวา ฌานปญจกนัย หรอื ปญ จ- กชั ฌาน โดยแทรก ทุตยิ ฌาน (ฌานที่ 2) ทมี่ อี งค 4 คอื วิจาร ปต ิ สุข เอกคั คตา เพ่มิ เขามา

[10] 62 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร แลวเล่ือนทตุ ยิ ฌาน ตติยฌาน และจตุตถฌาน ในฌาน 4 ขางตนนี้ออกไปเปน ตตยิ ฌาน จตุตถฌาน และปญจมฌาน ตามลาํ ดับ (โดยสาระก็คือ การจาํ แนกขน้ั ตอนใหละเอยี ดมากขึ้น นน่ั เอง) M.I.40. ม.มู.12/102/72. [10] ฌาน 8 = รปู ฌาน 4 + อรูปฌาน 4 (อรปู ฌาน 4 ดู [199] อรูป 4) [11] ทาน1 (การให, การเสยี สละ, การบรจิ าค — Dàna: gift; giving; charity; liberality) 1. อามสิ ทาน (การใหส งิ่ ของ — âmisadàna: material gift) 2. ธรรมทาน (การใหธ รรม, การใหค วามรูแ ละแนะนําสั่งสอน — Dhammadàna: gift of Truth; spiritual gift) ใน 2 อยางนี้ ธรรมทานเปนเลศิ อามสิ ทานชว ยคํ้าจนุ ชีวติ ทาํ ใหเขามีท่พี ึง่ อาศัย แต ธรรมทานชวยใหเ ขารจู ักพึ่งตนเองไดต อไป เม่ือใหอามสิ ทาน พงึ ใหธ รรมทานดวย. A.I.90. องฺ.ทุก.20/386/114. [12] ทาน 22 (การให — Dàna: gift; giving; almsgiving; offering; charity; liberality; generosity; benevolence; donation; benefaction) 1. ปาฏิบคุ ลกิ ทาน (การใหจาํ เพาะบุคคล, ทานท่ใี หเจาะจงตัวบุคคลหรอื ใหเฉพาะแกบุคคลผู ใดผหู น่ึง — Pàñipuggalika-dàna: offering to a particular person; a gift designated to a particular person) 2. สังฆทาน (การใหแ กสงฆ, ทานท่ถี วายแกสงฆเ ปน สว นรวม หรอื ใหแกบ คุ คล เชนพระภกิ ษุ หรือภิกษณุ อี ยางเปนกลางๆ ในฐานะเปนตวั แทนของสงฆ โดยอทุ ิศตอ สงฆ ไมเจาะจงรปู ใดรูป หนงึ่ — Saïghadàna: offering to the Sangha; a gift dedicated to the Order or to the community of monks as a whole) ในบาลีเดิมเรียกปาฏบิ คุ ลกิ ทานวา ปาฏิปุคฺคลกิ า ทกขฺ ิณา (ของถวายหรือของใหท ี่จาํ เพาะ บุคคล) และเรียกสังฆทาน วา สงฆฺ คตา ทกขฺ ณิ า (ของถวายหรอื ของใหท ถ่ี ึงในสงฆ) ในทาน 2 อยา งนี้ พระพุทธเจาตรัสสรรเสรญิ สังฆทานวา เปนเลศิ มผี ลมากท่สี ุด ดัง พทุ ธพจนว า “เราไมก ลา ววา ปาฏิบุคลิกทานมผี ลมากกวา ของทีใ่ หแ กสงฆ ไมวาโดยปริยายใดๆ” และได ตรสั ชักชวนใหใหสงั ฆทาน M.III.254–6; A.III.392. ม.อ.ุ 14/710–3/459–461; อา งใน มงคฺ ล.2/16; อง.ฺ ฉกฺก.22/330/439 [13] ทฏิ ฐิ 2 (ความเห็น, ความเห็นผดิ — Diññhi: view; false view) 1. สัสสตทฏิ ฐิ (ความเห็นวาเทย่ี ง, ความเห็นวามอี ัตตาและโลกซ่ึงเที่ยงแทย ่งั ยืนคงอยตู ลอด ไป — Sassata-diññhi: eternalism) 2. อุจเฉททฏิ ฐิ (ความเห็นวา ขาดสูญ, ความเหน็ วา มีอตั ตาและโลกซึ่งจกั พนิ าศขาดสูญหมด

หมวด 2 63 [17] ส้นิ ไป — Uccheda-diññhi: annihilationism) S.III.97. ส.ํ ข.17/179–180/120. [14] ทฏิ ฐิ 3 (ความเหน็ , ความเห็นผิด — Diññhi: view; false view) 1. อกิรยิ ทิฏฐิ (ความเหน็ วา ไมเปน อันทํา, เหน็ วาการกระทาํ ไมม ผี ล — Akiriya-diññhi: view of the inefficacy of action) 2. อเหตกุ ทิฏฐิ (ความเห็นวา ไมมีเหต,ุ เห็นวาสงิ่ ทง้ั หลายไมมเี หตปุ จจยั — Ahetuka-diññhi: view of non-causality) 3. นัตถกิ ทฏิ ฐิ (ความเหน็ วาไมม,ี เหน็ วา ไมมีการกระทําหรอื สภาวะท่จี ะกําหนดเอาเปน หลักได — Natthika-diññhi: nihilistic view; nihilism) M.I.404. ม.ม.13/105/111. [15] ท่ีสุด หรือ อนั ตา 2 (ขอปฏิบตั หิ รอื การดําเนินชีวิตทเี่ อยี งสดุ ผดิ พลาดไปจากทางอนั ถูกตอง คอื มัชฌิมาปฏปิ ทา — Antà: the two extremes) 1. กามสุขลั ลกิ านโุ ยค (การหมกมนุ อยดู วยกามสุข — Kàmasukhallikànuyoga: the extreme of sensual indulgence; extreme hedonism) 2. อัตตกลิ มถานุโยค (การประกอบความลําบากเดือดรอ นแกตนเอง, การบบี คนั้ ทรมานตน ใหเ ดอื ดรอน — Attakilamathànuyoga: the extreme of self-mortification; extreme asceticism) Vin.I.10; S.V.420. วนิ ย.4/13/18; ส.ํ ม.19/1664/528. [16] ทกุ ข 2 (สภาพที่ทนไดย าก, ความทุกข, ความไมสบาย — Dukkha: pain; suffering; discomfort) 1. กายกิ ทกุ ข (ทุกขท างกาย — Kàyika-dukkha: bodily pain; physical suffering) 2. เจตสกิ ทกุ ข (ทกุ ขท างใจ, โทมนสั — Cetasika-dukkha: mental pain; mental suffering) ดู [79] ทกุ ขตา 3 ดว ย. D.II.306; S.V.209. ท.ี ม.10/295/342; สํ.ม.19/942,944/280. [17] เทศนา 21 (การแสดงธรรม, การชี้แจงแสดงความ — Desanà: preaching; exposition) 1. บุคคลาธิษฐานเทศนา (เทศนามบี ุคคลเปนท่ตี งั้ , เทศนาอา งคน, แสดงโดยยกคนขน้ึ อา ง, ยกคนเปนหลักฐานในการอธิบาย — Puggalàdhiññhàna-desanà: exposition in terms of persons) 2. ธรรมาธษิ ฐานเทศนา (เทศนามีธรรมเปน ทีต่ งั้ , เทศนาอางธรรม, แสดงโดยยกหลกั หรือ ตวั สภาวะขน้ึ อาง — Dhammàdhiññhàna-desanà: exposition in terms of ideas)

[18] 64 พจนานกุ รมพุทธศาสตร เทศนา 2 นี้ ทา นสรุปมาจากเทศนา 4 ในคมั ภีรท อ่ี า งไว PsA.449. ปฏิสํ.อ.77. [18] เทศนา 22 (การแสดงธรรม ของพระพุทธเจา, การชี้แจงแสดงความ — Desanà: preaching; exposition; teaching) 1. สมมติเทศนา (เทศนาโดยสมมติ, แสดงตามความหมายท่ีรูรวมกนั หรือตกลงยอมรบั กนั ของชาวโลก เชน วา บุคคล สตั ว หญงิ ชาย กษัตริย เทวดา เปน ตน — Sammati-desanà: conventional teaching) 2. ปรมตั ถเทศนา (เทศนาโดยปรมตั ถ, แสดงตามความหมายของสภาวธรรมแทๆ เชน วา อนจิ จงั ทกุ ขงั อนตั ตา ขนั ธ ธาตุ อายตนะ เปน ตน — Paramattha-desanà: absolute teaching) ผูฟ ง จะเขาใจความ สาํ เรจ็ ประโยชนด ว ยเทศนาอยางใด กท็ รงแสดงอยา งนนั้ ใน ที.อ. 1/436; ส.ํ อ. 2/98 และ ปจฺ .อ. 182 เปน ตน กลา วถึง กถา 2 คือ สมมติกถา และ ปรมัตถกถา พงึ ทราบความหมายตามแนวความอยางเดยี วกนั น้ี ดู [50] สัจจะ 2. AA.I.94; etc. อง.ฺ อ.1/99, ฯลฯ. [19] ธรรม 21 (สภาวะ, สง่ิ , ปรากฏการณ — Dhamma: things; states; phenomena) 1. รูปธรรม (สภาวะอนั เปนรูป, ส่งิ ทม่ี รี ูป, ไดแกรปู ขนั ธท ั้งหมด — Råpadhamma: materiality; corporeality) 2. อรปู ธรรม (สภาวะมใิ ชร ปู , สงิ่ ทไ่ี มม รี ปู , ไดแ กน ามขนั ธ 4 และนพิ พาน — Aråpadhamma: immateriality; incorporeality) ในบาลที มี่ า ทานเรียก รูปโน ธมมฺ า และ อรปู โ น ธมมฺ า Dhs.193,245. อภิ.สํ.34/705/279; 910/355. [20] ธรรม 22 (สภาวะ, ส่ิง, ปรากฏการณ — Dhamma: things; states; phenomena) 1. โลกยี ธรรม (ธรรมอนั เปน วิสัยของโลก, สภาวะเนอื่ งในโลก ไดแกข นั ธ 5 ทเี่ ปนสาสวะทั้ง หมด — Lokiya-dhamma: mundane states) 2. โลกุตตรธรรม (ธรรมอันมิใชวสิ ัยของโลก, สภาวะพนโลก ไดแกม รรค 4 ผล 4 นิพพาน 1 — Lokuttara-dhamma: supermundane states) (+ โพธิปกขิยธรรม 37: ข.ุ ปฏิ.620; Ps.II.166) Dhs.193,245. อภ.ิ ส.ํ 34/706/279; 911/355. [21] ธรรม 23 (สภาวะ, สิง่ , ปรากฏการณ — Dhamma: things; states; phenomena) 1. สังขตธรรม (สิ่งทป่ี จ จยั ปรงุ แตง คือ ขนั ธ 5 ท้ังหมด — Saïkhata-dhamma: condi- tioned things; compounded things) 2. อสังขตธรรม (สิ่งท่ปี จ จยั ไมปรงุ แตง คอื นพิ พาน — Asaïkhata-dhamma: the

หมวด 2 65 [25] Unconditioned, i.e. Nibbàna) Dhs.193,244. อภิ.สํ.34/702/278; 907/354. [22] ธรรม 24 (สภาวะ, ส่ิง, ปรากฏการณ — Dhamma: things; states; phenomena) 1. อุปาทินนธรรม (ธรรมทถ่ี กู ยดึ , ธรรมทก่ี รรมอันสมั ปยตุ ดวยตัณหาและทิฏฐเิ ขายดึ ครอง ไดแ ก นามขนั ธ 4 ที่เปนวิบาก และรูปท่เี กดิ แตกรรมทั้งหมด — Upàdinna-dhamma: states grasped by craving and false view; grasped states) 2. อนุปาทินนธรรม (ธรรมทีไ่ มถูกยึด, ธรรมท่ีกรรมอนั สัมปยตุ ดวยตัณหาและทิฏฐไิ มเขา ยดึ ครอง ไดแ ก นามขนั ธ 4 สว นนอกนี้ รปู ทีม่ ิใชเ กิดแตก รรม และโลกุตตรธรรมท้ังหมด — Anupàdinna-dhamma: states not grasped by craving and false view; ungrasped states) Dhs.211,255. อภิ.ส.ํ 34/779/305; 955/369. [23] ธรรมคุมครองโลก 2 (ธรรมท่ชี ว ยใหโลกมีความเปน ระเบยี บเรยี บรอย ไมเ ดอื ดรอ น และสับสนวุนวาย — Lokapàla-dhamma: virtues that protect the world) 1. หิริ (ความละอายบาป, ละอายใจตอ การทําความชวั่ — Hiri: moral shame; conscience) 2. โอตตปั ปะ (ความกลวั บาป, เกรงกลวั ตอความช่ัว — Ottappa: moral dread) A.I.51; It.36. อง.ฺ ทกุ .20/255/65; ข.ุ อติ .ิ 25/220/257. [24] ธรรมทาํ ใหงาม 2 (Sobhaõakaraõa-dhamma: gracing virtues) 1. ขนั ติ (ความอดทน, อดไดท นไดเ พอ่ื บรรลคุ วามดงี ามและความมงุ หมายอนั ชอบ — Khanti: patience: forbearance; tolerance) 2. โสรจั จะ (ความเสงยี่ ม, อธั ยาศยั งาม รกั ความประณตี หมดจดเรยี บรอ ยงดงาม — Soracca: modesty; meekness) Vin.I.349; A.I.94. วินย.5/244/335; อง.ฺ ทุก. 20/410/118. [,,] ธรรมท่ีพระพุทธเจา เห็นคุณประจักษ 2 ดู [65] อุปญญาตธรรม 2. [,,] ธรรมเปน โลกบาล 2 ดู [23] ธรรมคุม ครองโลก 2. [25] ธรรมมอี ุปการะมาก 2 (ธรรมทีเ่ ก้ือกลู ในกจิ หรือในการทาํ ความดที ุกอยาง — Bahukàra-dhamma: virtues of great assistance) 1. สติ (ความระลกึ ได, นกึ ได, สาํ นึกอยูไมเผลอ — Sati: mindfulness) 2. สมั ปชัญญะ (ความรูชัด, รชู ดั ส่ิงทนี่ กึ ได, ตระหนกั , เขา ใจชดั ตามความเปน จริง — Sampaja¤¤a: clear comprehension) D.III.273; A.I.95. ท.ี ปา.11/378/290; อง.ฺ ทกุ .20/424/119.

[26] 66 พจนานุกรมพุทธศาสตร [26] ธุระ 2 (หนาท่ีการงานท่พี งึ กระทาํ , กิจในพระศาสนา — Dhura: burden; task; busi- ness; responsibility in the Dispensation) 1. คันถธุระ (ธุระฝา ยคัมภรี , กจิ ดา นการเลา เรียน — Gantha-dhura: burden of study; task of learning) 2. วปิ สสนาธรุ ะ (ธรุ ะฝายเจริญวปิ ส สนา, กิจดานการบาํ เพ็ญภาวนา หรือเจรญิ กรรมฐาน อัน รวมทัง้ สมถะทเ่ี ปน เบ้อื งตน ซึง่ เรยี กรวมเขา ไวดว ยโดยฐานมีวิปส สนาเปนสวนสําคัญและคลมุ ยอด — Vipassanà-dhura: burden of insight development; task of meditation practice) ธุระ 2 นี้ มาในอรรถกถา DhA.I.7. ธ.อ.1/7. [27] นิพพาน 2 (สภาพทด่ี ับกิเลสและกองทุกขแ ลว , ภาวะทเ่ี ปน สขุ สูงสุด เพราะไรกเิ ลสไร ทุกข เปน อิสรภาพสมบรู ณ — Nibbàna: Nirvàõa; Nibbàna) 1. สอุปาทเิ สสนพิ พาน (นพิ พานยงั มีอปุ าทิเหลือ — Saupàdisesa-nibbàna: Nibbàna with the substratum of life remaining) 2. อนุปาทิเสสนพิ พาน (นิพพานไมมีอปุ าทิเหลอื — Anupàdisesa-nibbàna: Nibbàna without any substratum of life remaining) หมายเหต:ุ ตามคําอธบิ ายนยั หน่ึงวา 1. = ดับกเิ ลส ยงั มเี บญจขนั ธเ หลอื (= กเิ ลสปรนิ พิ พาน — Kilesa-parinibbàna: extinction of the defilements) 2. = ดบั กิเลส ไมม เี บญจขนั ธเ หลือ (= ขนั ธปรินพิ พาน — Khandha-parinibbàna: extinc- tion of the Aggregates) หรือ 1. = นพิ พานของพระอรหนั ตผยู งั เสวยอารมณท่นี าชอบใจและไมนา ชอบใจทางอินทรีย 5 รับรู สขุ ทุกขอยู 2. = นิพพานของพระอรหันตผรู ะงับการเสวยอารมณท งั้ ปวงแลว It.38. ขุ.อติ .ิ 25/222/258. อีกนัยหน่ึงกลาวถงึ บุคคลวา 1. สอุปาทเิ สสบุคคล = พระเสขะ 2. อนปุ าทิเสสบุคคล = พระอเสขะ A.IV.379. องฺ.นวก.23/216/394. [28] บัญญัติ 2 และ 6 (การกําหนดเรียก หรือ สิง่ ที่ถูกกําหนดเรียก, การกาํ หนดตง้ั หรอื ตรา ไวใหเ ปน ท่รี กู นั — Pa¤¤atti: designation; term; concept)

หมวด 2 67 [29] 1. ปญ ญาปย บัญญตั ิ หรือ อรรถบัญญัติ (บญั ญัติในแงเปนส่งิ อนั พึงใหรูก ัน, บัญญัตทิ ีเ่ ปน ความหมาย, บญั ญตั ิคือความหมายอันพึงกาํ หนดเรียก, ตวั ความหมายที่จะพึงถกู ตง้ั ชอื่ เรียก — Pa¤¤àpiya~, Attha~: the Pa¤¤atti to be made known or conveyed; concept) 2. ปญญาปนบญั ญัติ หรอื นามบญั ญัติ หรือ สทั ทบญั ญัติ (บัญญตั ิในแงเ ปนเครอ่ื งใหรู กัน, บญั ญตั ทิ เี่ ปนช่อื , บัญญัตทิ ี่เปนศัพท, ชอ่ื ทต่ี ง้ั ขน้ึ ใชเรียก — Pa¤¤àpana~, Nàma~, Sadda~: the Pa¤¤atti that makes known or conveys; term; designation) ปญ ญาปยบญั ญัติ เรยี กเต็มวา ปฺ าปยตตฺ า ปฺตตฺ ,ิ ปญญาปนบญั ญัติ เรยี กเตม็ วา ปฺ าปนโต ปฺ ตตฺ ิ ปญ ญาปนบัญญัติ หรือ นามบญั ญัติ แยกยอ ยออกเปน 6 อยา ง คือ 1. วชิ ชมานบัญญตั ิ (บัญญัตสิ ิ่งทีม่ อี ยู เชน รปู เวทนา สมาธิ เปน ตน — Vijjamàna~: designation of a reality; real concept) 2. อวิชชมานบญั ญัติ (บัญญตั สิ ิ่งทไ่ี มมอี ยู เชน มา แมว รถ นายแดง เปนตน — Avijja- màna~: designation of an unreality; unreal concept) 3. วชิ ชมาเนนอวชิ ชมานบญั ญตั ิ (บญั ญตั สิ งิ่ ทไ่ี มม ี ดว ยสงิ่ ทม่ี ี เชน คนดี นกั ฌาน ซงึ่ ความ จรงิ มแี ตด ี คอื ภาวะทเี่ ปน กศุ ล และฌาน แตค นไมม ี เปน ตน — Vijjamànena-avijjamàna~: designation of an unreality by means of a reality; unreal concept by means of real concept) 4. อวิชชามาเนนวิชชมานบญั ญัติ (บญั ญตั ิส่ิงท่มี ี ดวยสิ่งที่ไมม ี เชน เสยี งหญงิ ซึง่ ความ จรงิ หญงิ ไมมี มีแตเสียง เปนตน — Avijjamànena-vijjamàna~: designation of a reality by means of an unreality; real concept by means of an unreal concept) 5. วิชชมาเนนวชิ ชมานบญั ญตั ิ (บัญญัติส่งิ ท่ีมี ดวยสิ่งท่ีมี เชน จักขุสัมผสั โสตวิญญาณ เปนตน — Vijjamànena-vijjamàna~: designation of a reality by means of a reality; real concept by means of a real concept) 6. อวชิ ชมาเนนอวชิ ชมานบญั ญตั ิ (บญั ญัติสิง่ ที่ไมมี ดว ยสิ่งท่ไี มมี เชน ราชโอรส ลกู เศรษฐี เปนตน — Avijjamànena-avijjamàna~: designation of an unreality by means of an unreality; unreal concept by means of an unreal concept) Pug.A.171; Comp.198. ปฺจ.อ.32; สงคฺ ห.49; สงฺคห.ฏีกา253. [29] บุคคลหาไดยาก 2 (Dullabha-puggala: rare persons) 1. บพุ การี (ผูทําอุปการะกอ น, ผทู ําความดีหรอื ทําประโยชนใ หแ ตตนโดยไมต อ งคอยคดิ ถึงผล ตอบแทน — Pubbakàrã: one who is first to do a favour; previous benefactor) 2. กตญั กู ตเวที (ผรู อู ุปการะที่เขาทําแลว และตอบแทน, ผรู จู ักคณุ คา แหง การกระทําดีของ ผูอ่นื และแสดงออกเพ่อื บชู าความดนี ้ัน — Kata¤¤åkatavedã: one who is grateful and

[30] 68 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร repays the done favour; grateful person) A.I.87. องฺ.ทุก.20/364/108. [30] บชู า 2 (Påjà: worship; acts of worship; honouring) 1. อามสิ บูชา (บชู าดว ยสงิ่ ของ — âmisa-påjà: worship or honouring with material things; material worship) 2. ปฏิบัติบูชา (บูชาดว ยการปฎิบัติ — Pañipatti-påjà: worship or honouring with practice; practical worship) ในบาลที ี่มา ปฏบิ ตั บิ ูชา เปน ธรรมบูชา A.I.93; D.II.138. อง.ฺ ทกุ .20/401/117; นยั ที.ม.10/129/160. [31] ปฏสิ ันถาร 2 (การตอ นรบั , การรบั รอง, การทกั ทายปราศรัย — Pañisanthàra: hospitality; welcome; greeting) 1. อามิสปฏิสันถาร (ปฏิสนั ถารดวยสงิ่ ของ — âmisa-pañisanthàra: worldly hospitality; material or carnal greeting) 2. ธรรมปฏสิ นั ถาร (ปฏสิ นั ถารดว ยธรรมหรือโดยธรรม — Dhamma-pañisanthàra: doc- trinal hospitality; spiritual greeting) A.I.93; Vbh.360. อง.ฺ ทุก.20/397/116; อภ.ิ วิ.35/921/487. [32] ปธาน 2 (ความเพยี ร หมายเอาความเพยี รทีท่ าํ ไดย าก — Padhàna: hard struggles; painstaking endeavours) 1. ความเพียรของคฤหัสถท ีจ่ ะอํานวยปจ จัยส่ี (แกบ รรพชิต เปน ตน) — Gihi-padhàna: struggle of householders to provide the four requisites. 2. ความเพียรของบรรพชิตท่ีจะไถถอนกองกิเลส — Pabbajita-padhàna: struggle of the homeless to renounce all substrates of rebirth. A.I.49; Netti 159. องฺ.ทุก.20/248/63. [33] ปรเิ ยสนา 2 (การแสวงหา — Pariyesanà: search; quest) 1. อนรยิ ปริเยสนา (แสวงหาอยางไมประเสริฐ, แสวงหาอยางอนารยะ คอื ตนเองเปนผมู ี ชาติ ชรา พยาธิ มรณะ โสกะ และสังกิเลสเปน ธรรมดา ก็ยังใฝแสวงหาแตส่ิงอนั มชี าติ ชรา พยาธิ มรณะ โสกะ และสงั กิเลสเปน ธรรมดา — Anariya-pariyesanà: unariyan or ignoble search) 2. อริยปรเิ ยสนา (แสวงหาอยา งประเสริฐ, แสวงหาอยางอารยะ คือ ตนเปน ผูม ชี าติ ชรา พยาธิ มรณะ โสกะ และสงั กเิ ลสเปน ธรรมดา แตร ูจักโทษขอ บกพรองของสง่ิ ทม่ี ีสภาพเชนน้นั แลว ใฝแสวงธรรมอันเกษม คอื นิพพาน อันไมม สี ภาพเชน น้ัน — Ariya-pariyesanà: ariyan

หมวด 2 69 [35] or noble search) สองอยา งน้ี เทียบไดก ับ อามิสปริเยสนา และ ธรรมปริเยสนา ท่ตี รัสไวใ นอังคตุ ตรนิกาย; แตสาํ หรับคนสามญั อาจารยภายหลงั อธิบายวา ขอ แรกหมายถึงมจิ ฉาอาชีวะ ขอ หลังหมายถึง สัมมาอาชีวะ ดงั นก้ี ็ม.ี M.I.161; A.I.93. ม.มู.12/313/314; อง.ฺ ทกุ .ฺ 20/399/116. [34] ปจจัยใหเ กดิ สัมมาทิฏฐิ 2 (ทางเกดิ แหง แนวความคดิ ทีถ่ ูกตอ ง, ตน ทางของปญญา และความดงี ามทัง้ ปวง — Sammàdiññhi-paccaya: sources or conditions for the arising of right view) 1. ปรโตโฆสะ (เสยี งจากผอู น่ื การกระตนุ หรือชักจงู จากภายนอก คือ การรับฟง คาํ แนะนําส่งั สอน เลาเรยี น หาความรู สนทนาซกั ถาม ฟง คําบอกเลาชกั จูงของผอู ่นื โดยเฉพาะการสดบั สทั ธรรมจากทา นผูเ ปน กัลยาณมติ ร — Paratoghosa: another's utterance; inducement by others; hearing or learning from others) 2. โยนิโสมนสกิ าร (การใชความคิดถกู วิธี ความรูจักคดิ คิดเปน คือ ทาํ ในใจโดยแยบคาย มองส่งิ ทัง้ หลายดว ยความคดิ พจิ ารณา รูจ กั สบื สาวหาเหตุผล แยกแยะสิ่งน้ันๆ หรอื ปญ หานั้นๆ ออก ใหเ หน็ ตามสภาวะและตามความสมั พนั ธแ หง เหตปุ จ จยั — Yonisomanasikàra: reasoned attention; systematic attention; genetical reflection; analytical reflection) ขอธรรม 2 อยางนี้ ไดแ ก ธรรมหมวดท่ี [1] และ [2] นัน่ เอง แปลอยา งปจ จุบันวา “องค ประกอบของการศกึ ษา” หรอื “บุพภาคของการศึกษา” โดยเฉพาะขอที่ 1 ในทน่ี ใ้ี ชคํากวางๆ แตธ รรมท่ตี องการเนน ก็คือ กัลยาณมติ ตตา ปจจยั ใหเกดิ มจิ ฉาทฏิ ฐิ ก็มี 2 อยา ง คอื ปรโตโฆสะ และ อโยนิโสมนสิการ ซ่ึงตรงขา มกับ ทกี่ ลาวมานี้. ดู [280] บพุ นิมติ แหง มรรค 7, [293] มรรคมีองค 8 M.I.294; A.I.87. ม.ม.ู 12/497/539; อง.ฺ ทุก. 20/371/110. [35] ปาพจน 2 (วจนะอนั เปนประธาน, พุทธพจนหลัก, คาํ สอนหลักใหญ — Pàvacana: fundamental text; fundamental teaching) 1. ธรรม (คําสอนแสดงหลักความจริงที่ควรรู และแนะนําหลกั ความดีทีค่ วรประพฤติ — Dhamma: the Doctrine) 2. วนิ ยั (ขอบญั ญัติทีว่ างไวเ ปนหลักกํากับความประพฤติใหเ ปนระเบียบเรียบรอยเสมอกนั — Vinaya: the Discipline) ดู [75] ไตรปฎ ก ดว ย. DII.154. ท.ี ม. 10/141/178. [,,] พทุ ธคุณ 2 ดู [304] พทุ ธคุณ 2.

[36] 70 พจนานกุ รมพุทธศาสตร [,,] พุทธคณุ 3 ดู [305] พุทธคณุ 3. [,,] ไพบลู ย 2 ดู [44] เวปุลละ 2. [36] ภาวนา 2 (การเจรญิ , การทาํ ใหเกดิ ใหม ีขึ้น, การฝก อบรมจิตใจ — Bhàvanà: mental development) 1. สมถภาวนา (การฝกอบรมจติ ใหเ กดิ ความสงบ, การฝกสมาธิ — Samatha-bhàvanà: tranquillity development) 2. วิปสสนาภาวนา (การฝกอบรมปญญาใหเกิดความรแู จง ตามเปนจริง, การเจริญปญ ญา — Vipassanà-bhàvanà: insight development) สองอยางน้ี ในบาลีทม่ี าทานเรยี กวา ภาเวตัพพธรรม และ วิชชาภาคยิ ธรรม. ในคมั ภรี  สมัยหลัง บางทเี รียกวา กรรมฐาน (อารมณเ ปน ท่ตี ้ังแหงงานเจริญภาวนา, ท่ีตัง้ แหง งานทํา ความเพยี รฝก อบรมจติ , วธิ ฝี ก อบรมจติ — stations of mental exercises; mental exercise; สงฺคห. 51; Comp. 202) D.III.273; A.I.60. ท.ี ปา.11/379/290; อง.ฺ ทุก.20/275/77. [37] ภาวนา 4 (การเจริญ, การทําใหเปนใหมีขึ้น, การฝกอบรม, การพฒั นา — Bhàvanà: growth; cultivation; training; development) 1. กายภาวนา (การเจรญิ กาย, พฒั นากาย, การฝก อบรมกาย ใหรูจักติดตอเกยี่ วของกับส่งิ ท้งั หลายภายนอกทางอินทรยี ท ัง้ หา ดว ยดี และปฏิบตั ติ อสิง่ เหลา นัน้ ในทางที่เปน คุณ มิใหเ กิด โทษ ใหก ุศลธรรมงอกงาม ใหอกศุ ลธรรมเส่ือมสญู , การพฒั นาความสมั พนั ธก บั ส่งิ แวดลอม ทางกายภาพ — Kàya-bhàvanà: physical development) 2. สีลภาวนา (การเจริญศีล, พัฒนาความประพฤต,ิ การฝกอบรมศีล ใหตัง้ อยูในระเบยี บวนิ ัย ไมเบยี ดเบยี นหรอื กอ ความเดอื ดรอ นเสียหาย อยูรวมกบั ผอู ่ืนไดด ว ยดี เก้ือกลู แกกนั — Sãla- bhàvanà: moral development) 3. จิตตภาวนา (การเจรญิ จติ , พัฒนาจิต, การฝก อบรมจติ ใจ ใหเ ขม แข็งมัน่ คง เจรญิ งอกงาม ดว ยคณุ ธรรมทงั้ หลาย เชน มีเมตตากรณุ า ขยนั หม่ันเพยี ร อดทน มสี มาธิ และสดช่นื เบิก บาน เปนสขุ ผอ งใส เปนตน — Citta-bhàvanà: cultivation of the heart; emotional development) 4. ปญญาภาวนา (การเจรญิ ปญญา, พฒั นาปญญา, การฝก อบรมปญญา ใหร เู ขา ใจส่ิงท้งั หลายตามเปนจรงิ รูเทาทนั เห็นแจง โลกและชีวติ ตามสภาวะ สามารถทาํ จิตใจใหเ ปน อสิ ระ ทํา ตนใหบริสุทธ์ิจากกิเลสและปลอดพนจากความทุกข แกไขปญหาที่เกิดขึ้นไดดว ยปญ ญา — Pa¤¤à-bhàvanà: cultivation of wisdom; intellectual development; wisdom devel- opment) ในบาลที มี่ า ทา นแสดงภาวนา 4 น้ี ในรปู ทเ่ี ปน คณุ บทของบคุ คล จงึ เปน ภาวติ 4 คอื ภาวติ กาย

หมวด 2 71 [39] ภาวติ ศลี ภาวติ จิต ภาวติ ปญญา (ผไู ดเจริญกาย ศีล จิต และปญญาแลว ) บคุ คลทีม่ ีคุณสมบตั ิ ชดุ นค้ี รบถว นยอมเปนพระอรหันต A.III.106. องฺ.ปจฺ ก. 22/79/121. [38] รปู 2 (สภาวะที่แปรปรวนแตกสลายเพราะปจ จยั ตา งๆ อันขดั แยง , รางกายและสว น ประกอบฝายวัตถุพรอมท้ังพฤติกรรมและคุณสมบัติของมัน, สวนท่ีเปนรางกับทั้งคุณและ อาการ — Råpa: corporeality; materiality; matter) 1. มหาภตู หรอื ภตู รปู 4 (สภาวะอนั ปรากฏไดเปนใหญๆ โตๆ หรือเปนตางๆ ไดม ากมาย, รปู ทม่ี อี ยโู ดยสภาวะ, รปู ตน เดมิ ไดแกธาตุ 4 — Mahàbhåta: primary elements) 2. อุปาทารปู หรือ อุปาทายรูป 24 (รูปอาศยั , รูปท่ีเปนไปโดยอาศัยมหาภูต, คุณและ อาการแหงมหาภตู — Upàdà-råpa: derivative materiality) M.II.262; Ps.I.183. ม.อุ.14/83/75; ขุ.ปฏ.ิ 31/403/275. รูป 28 กค็ อื รปู 2 หมวดขางตน นี้เอง แตนบั ขอยอ ย กลาวคือ 1. มหาภูต หรือ ภตู รูป 4 (รูปใหญ, รูปเดิม — Mahàbhåta: primary elements; great essentials) ดู [39] 2. อปุ าทายรูป 24 (รูปอาศยั , รูปสืบเน่อื ง — Upàdà-råpa: derived material qualities) ดู [40] Comp.157. สงคฺ ห.33. [39] มหาภตู หรอื ภูตรูป 4 (Mahàbhåta: the Four Primary Elements; primary matter) 1. ปฐวธี าตุ (สภาวะท่แี ผไ ปหรือกินเนื้อท่ี, สภาพอันเปน หลักที่ต้งั ทอ่ี าศยั แหงสหชาตรปู เรยี ก สามัญวา ธาตุแขนแขง็ หรือ ธาตุดนิ — Pañhavã-dhàtu: element of extension; solid element; earth) 2. อาโปธาตุ (สภาวะทเ่ี อบิ อาบหรอื ดูดซมึ หรอื ซานไป ขยายขนาด ผนึก พนู เขาดวยกนั เรยี กสามญั วา ธาตเุ หลว หรอื ธาตนุ ํา้ — âpo-dhàtu: element of cohesion; liquid element; water) 3. เตโชธาตุ (สภาวะทีท่ ําใหรอน เรยี กสามัญวา ธาตุไฟ — Tejo-dhàtu: element of heat or radiation; heating element; fire) 4. วาโยธาตุ (สภาวะทท่ี าํ ใหส นั่ ไหว เคลอื่ นที่ และคาํ้ จนุ เรยี กสามญั วา ธาตลุ ม — Vàyo-dhàtu: element of vibration or motion; air element; wind) สอี่ ยา งน้ี เรยี กอกี อยา งหนงึ่ วา ธาตุ 4 (ในคมั ภรี ช นั้ หลงั มี 2–3 แหง เรยี กวา มหาภตู รปู 4) D.I.214; Vism.443; Comp.154. ท.ี สี.9/343/277; วิสุทฺธิ.3/11; สงฺคห.33.

[40] 72 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร [40] อปุ าทารปู หรอื อปุ าทายรปู 24 (Upàdà-råpa: derivative materiality) ก. ปสาทรูป 5 (รูปท่เี ปน ประสาทสาํ หรบั รบั อารมณ — Pasàda-råpa: sensitive material qualities) 1. จักขุ (ตา — Cakkhu: the eye) 2. โสตะ (หู — Sota: the ear) 3. ฆานะ (จมูก — Ghàna: the nose) 4. ชิวหา (ลิน้ — Jivhà: the tongue) 5. กาย (กาย — Kàya: the body) ข. โคจรรปู หรือ วสิ ัยรปู 5 (รปู ที่เปน อารมณหรอื แดนรบั รขู องอินทรีย — Gocara-råpa or Visaya-råpa: material qualities of sense-fields) 6. รปู ะ (รปู — Råpa: form) 7. สทั ทะ (เสียง — Sadda: sound) 8. คันธะ (กลนิ่ — Gandha: smell) 9. รสะ (รส — Rasa: taste) 0. โผฏฐัพพะ (สมั ผสั ทางกาย — Phoññhabba: tangible objects) ขอนไี้ มนบั เพราะเปน อนั เดียวกับมหาภตู 3 คอื ปฐวี เตโช และ วาโย ทก่ี ลาวแลว ในมหาภตู ค. ภาวรูป 2 (รปู ท่เี ปนภาวะแหงเพศ — Bhàva-råpa: material qualities of sex) 10. อติ ถัตตะ, อิตถินทรยี  (ความเปนหญิง — Itthatta: femininity) 11. ปรุ ิสัตตะ, ปรุ ิสินทรยี  (ความเปน ชาย — Purisatta: masculinity) ง. หทยั รปู 1 (รูป คือหทัย — Hadaya-råpa: physical basis of mind) 12. หทยั วัตถ*ุ (ท่ีตั้งแหงใจ, หัวใจ — Hadaya-vatthu: heart-base) จ. ชีวติ รปู 1 (รปู ที่เปน ชวี ติ — Jãvita-råpa: material quality of life) 13. ชวี ิตนิ ทรีย (อินทรยี คอื ชีวิต — Jãvitindriya: life-faculty; vitality; vital force) ฉ. อาหารรปู 1 (รปู คอื อาหาร — âhàra-råpa: material quality of nutrition) 14. กวฬงิ การาหาร (อาหารคือคาํ ขา ว, อาหารทก่ี ิน — Kavaëiïkàràhàra: edible food; nutriment) ช. ปรจิ เฉทรปู 1 (รปู ทก่ี าํ หนดเทศะ — Pariccheda-råpa: material quality of delimitation) 15. อากาสธาตุ (สภาวะคือชอ งวาง — âkàsa-dhàtu: space-element) ญ. วญิ ญัติรูป 2 (รปู คอื การเคลอ่ื นไหวใหรคู วามหมาย — Vi¤¤atti-råpa: material quality of communication) * ขอน้ี ในพระไตรปฎก รวมทั้งอภิธรรมปฎก ไมม ี เวนแตป ฏฐานใชค ําวา วัตถุ ไมมี หทัย

หมวด 2 73 [42] 16. กายวญิ ญตั ิ (การเคลอื่ นไหวใหร ูค วามหมายดว ยกาย — Kàya-vi¤¤atti: bodily inti- mation; gesture) 17. วจวี ญิ ญัติ (การเคล่อื นไหวใหรูค วามหมายดว ยวาจา — Vacã-vi¤¤atti: verbal inti- mation; speech) ฎ. วกิ ารรูป 5 (รูปคืออาการทีด่ ดั แปลงทาํ ใหแปลกใหพ เิ ศษได — Vikàra-råpa: material quality of plasticity or alterability) 18. [รปู ส สะ] ลหุตา (ความเบา — Lahutà: lightness; agility) 19. [รปู ส สะ] มทุ ุตา (ความออนสลวย — Mudutà: pliancy; elasticity; malleability) 20. [รูปสสะ] กัมมัญญตา (ความควรแกการงาน, ใชการได — Kamma¤¤atà: adaptability; wieldiness) 0. วิญญัติรปู 2 ไมนบั เพราะซ้าํ ในขอ ญ. ฏ. ลักขณรปู 4 (รูปคอื ลักษณะหรืออาการเปน เครอ่ื งกําหนด — Lakkhaõa-råpa: material quality of salient features) 21. [รูปส สะ] อปุ จยะ (ความกอ ตวั หรอื เติบข้นึ — Upacaya: growth; integration) 22. [รปู ส สะ] สนั ตติ (ความสบื ตอ — Santati: continuity) 23. [รูปสสะ] ชรตา (ความทรุดโทรม — Jaratà: decay) 24. [รปู ส สะ] อนิจจตา (ความปรวนแปรแตกสลาย — Aniccatà: impermanence) Dhs.127; Vism.443; Comp.155. อภ.ิ สํ.34/504/185; วิสทุ ฺธ.ิ 3/11; สงคฺ ห.34. [41] รูป 2 (ส่ิงที่เปนรางพรอมทั้งคุณและอาการ — Råpa: matter; materiality) 1. อปุ าทนิ นกรปู (รปู ทก่ี รรมยดึ ครองหรอื เกาะกมุ ไดแ กร ปู ทเี่ กดิ จากกรรม — Upàdinnaka- råpa: kammically grasped materiality; clung-to materiality; organic matter) 2. อนุปาทินนกรูป (รูปท่ีกรรมไมยึดครองหรือเกาะกุม ไดแ กร ูปทม่ี ิใชเ กิดจากกรรม — Anupàdinnaka-råpa: kammically ungrasped materiality; not-clung-to materiality; inorganic matter) Vbh.14; Vism.450; Comp.159. อภิ.วิ.35/36/19; วิสุทฺธ.ิ 3/20; สงคฺ ห.35. [42] ฤทธ์ิ 2 (อทิ ธิ คอื ความสาํ เรจ็ ความรุงเรือง — Iddhi: achievement; success; prosperity) 1. อามิสฤทธ (อามิสเปนฤทธ,ิ์ ความสาํ เรจ็ หรอื ความรงุ เรอื งทางวัตถุ — âmisa-iddhi: achievement of carnality; material or carnal prosperity) 2. ธรรมฤทธ์ิ (ธรรมเปนฤทธิ,์ ความสําเร็จหรอื ความรงุ เรอื งทางธรรม — Dhamma-iddhi: achievement of righteousness; doctrinal or spiritual prosperity)

[43] 74 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร A.I.93. อง.ฺ ทุก.20/403/117. [,,] โลกบาลธรรม 2 ดู [23] ธรรมคุมครองโลก 2. [43] วิมุตติ 2 (ความหลดุ พน — Vimutti: deliverance; liberation; freedom) 1. เจโตวิมตุ ติ (ความหลดุ พน แหง จิต, ความหลดุ พน ดว ยอํานาจการฝกจติ , ความหลดุ พนแหง จติ จากราคะ ดว ยกําลังแหง สมาธิ — Cetovimutti: deliverance of mind; liberation by concentration) 2. ปญญาวิมุตติ (ความหลุดพนดวยปญญา, ความหลุดพนดวยอํานาจการเจริญปญญา, ความหลุดพนแหงจิตจากอวิชชา ดวยปญญาที่รูเห็นตามเปนจริง — Pa¤¤àvimutti: deliverance through insight; liberation through wisdom) A.I.60. อง.ฺ ทุก.20/276/78. [,,] เวทนา 2 ดู [110] เวทนา 2. [44] เวปุลละ 2 (ความไพบลู ย — Vepulla: abundance) 1. อามิสเวปุลละ (อามิสไพบูลย, ความไพบลู ยแหง อามสิ — âmisa-vepulla: abundance of material things; material abundance) 2. ธัมมเวปลุ ละ (ธรรมไพบูลย ความไพบูลยแ หง ธรรม — Dhamma-vepulla: abundance of virtues; doctrinal or spiritual abundance) A.I.93. อง.ฺ ทุก.20/407/117. [45] สมาธิ 2 (ความตงั้ มน่ั แหง จติ , ภาวะทจ่ี ติ สงบนง่ิ จบั อยทู อี่ ารมณอ นั เดยี ว — Samàdhi: concentration) 1. อปุ จารสมาธิ (สมาธเิ ฉียดๆ, สมาธจิ วนจะแนว แน — Upacàra-samàdhi: access con- centration) 2. อัปปนาสมาธิ (สมาธิแนว แน, สมาธิแนบสนิท, สมาธิในฌาน — Appanà-samàdhi: attainment concentration) Vism.85, 371. วสิ ุทฺธิ.1/105; 2/194. [46] สมาธิ 3 (ความตง้ั มนั่ แหง จติ , ภาวะทจี่ ติ สงบนง่ิ จบั อยทู อ่ี ารมณอ นั เดยี ว — Samàdhi: concentration) 1. ขณิกสมาธิ (สมาธิชัว่ ขณะ — Khaõika-samàdhi: momentary concentration) 2. อุปจารสมาธิ (สมาธจิ วนจะแนว แน — Upacàra-samàdhi: access concentration) 3. อัปปนาสมาธิ (สมาธแิ นวแน — Appanà-samàdhi: attainment concentration) DhsA.117; Vism.144. สงคฺ ณี.อ.207; วิสุทธฺ .ิ 1/184.

หมวด 2 75 [50] [47] สมาธิ 3 (ความตง้ั ม่ันแหงจิต หมายถงึ สมาธิในวปิ ส สนา หรือตัววปิ ส สนานัน่ เอง แยก ประเภทตามลกั ษณะการกําหนดพิจารณาไตรลักษณ ขอ ทใี่ หส าํ เรจ็ ความหลดุ พน — Samàdhi: concentration) 1. สญุ ญตสมาธิ (สมาธิอนั พจิ ารณาเหน็ ความวาง ไดแ ก วิปส สนาท่ีใหถึงความหลดุ พนดว ย กาํ หนดอนัตตลักษณะ — Su¤¤ata-samàdhi: concentration on the void) 2. อนมิ ติ ตสมาธิ (สมาธอิ นั พิจารณาธรรมไมมนี มิ ติ ไดแก วิปสสนาที่ใหถ งึ ความหลดุ พน ดว ย กาํ หนดอนิจจลกั ษณะ — Animitta-samàdhi: concentration on the signless) 3. อปั ปณิหติ สมาธิ (สมาธิอันพิจารณาธรรมไมมีความตงั้ ปรารถนา ไดแ ก วปิ สสนาท่ใี หถ งึ ความหลุดพน ดว ยกําหนดทกุ ขลักษณะ — Appaõihita-samàdhi: concentration on the desireless or non-hankering) ดู [107] วโิ มกข 3. D.III.219; A.I.299; Ps.I.49. ท.ี ปา.11/228/231; องฺ.ติก.20/599/385; ข.ุ ปฏ.ิ 31/92/70. [48] สงั ขาร 2 (สภาพท่ีปจจยั ท้งั หลายปรงุ แตง ขน้ึ , สงิ่ ท่เี กดิ จากเหตุปจจยั — Saïkhàra: conditioned things; compounded things) 1. อุปาทนิ นกสงั ขาร (สงั ขารท่ีกรรมยึดครองหรือเกาะกมุ ไดแ กอ ปุ าทนิ นธรรม — Upà- dinnaka-saïkhàra: kammically grasped phenomena) 2. อนปุ าทินนกสังขาร (สงั ขารท่กี รรมไมยึดครองหรอื เกาะกมุ ไดแ กอ นปุ าทนิ นธรรมทง้ั หมด เวนแตอ สงั ขตธาตุ คอื นิพพาน — Anupàdinnaka-saïkhàra: kammically ungrasped phenomena) ดู [22] ธรรม 2; [41] รูป 2; [119] สงั ขาร 3 1; [185] สงั ขาร 4 ดวย. AA.IV.50. อง.ฺ อ.3/223; วภิ งคฺ .อ.596. [49] สังคหะ 2 (การสงเคราะห — Saïgaha: aid; giving of help or favours; act of aiding or supporting) 1. อามิสสงั คหะ (อามสิ สงเคราะห, สงเคราะหดว ยอามิส — âmisa-saïgaha: supporting with requisites; material aid) 2. ธัมมสงั คหะ (ธรรมสงเคราะห, สงเคราะหดวยธรรม — Dhamma-saïgaha: aiding by teaching or showing truth; spiritual aid) A.I.91. อง.ฺ ทกุ .20/393/115. [50] สจั จะ 2 (ความจริง — Sacca: truth) 1. สมมติสัจจะ (ความจรงิ โดยสมมุต,ิ ความจริงที่ข้นึ ตอการยอมรบั ของคน, ความจริงที่ถอื ตามความกาํ หนดหมายตกลงกันไวข องชาวโลก เชน วา คน สัตว โตะ หนังสือ เปนตน —

[51] 76 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร Sammati-sacca: conventional truth) 2. ปรมตั ถสจั จะ (ความจริงโดยปรมตั ถ, ความจรงิ ที่มอี ยใู นธรรมชาติ โดยไมข ึ้นตอ การยอม รบั ของคน, ความจริงตามความหมายขัน้ สดุ ทายท่ีตรงตามสภาวะและเทาท่จี ะกลาวถึงได เชน วา รูป นาม เวทนา จติ เจตสิก เปนตน — Paramattha-sacca: absolute truth) AA.I.95; KvuA.34. องฺ.อ.1/100; ปฺจ.อ.153,182,241; ฯลฯ. [51] สาสน หรอื ศาสนา 2 (คาํ สอน — Sàsana: teaching; dispensation) 1. ปรยิ ัตศิ าสนา (คาํ สอนฝายปรยิ ตั ิ, คําสอนอันจะตองเลา เรียนหรือจะตอ งช่ําชอง ไดแ ก สตุ ตะ เคยยะ ฯลฯ เวทลั ละ — Pariyatti-sàsana: teaching to be studied or mastered; textual or scriptural teaching; dispensation as text) = [302] นวังคสตั ถุสาสน 2. ปฏิบัตศิ าสนา (คําสอนฝายปฏบิ ัติ, คําสอนทีจ่ ะตอ งปฏิบตั ิ ไดแ ก สมั มาปฏปิ ทา อนโุ ลม- ปฏปิ ทา อปจ จนกี ปฏปิ ทา (ปฏิปทาทีไ่ มขดั ขวาง) อันวตั ถปฏิปทา (ปฏปิ ทาทเ่ี ปน ไปตามความ มุง หมาย) ธมั มานธุ มั มปฏปิ ทา (ปฏบิ ัตธิ รรมถกู หลัก) กลาวคือ การบําเพญ็ ศีลใหบริบรู ณ, [128] ความคุมครองทวารในอินทรียทั้งหลาย โภชเนมัตตัญุตา ชาคริยานุโยค สตสิ มั ปชัญญะ, [182] สตปิ ฏฐาน 4, [156] สัมมัปปธาน 4, [213] อทิ ธิบาท 4, [258] อนิ ทรีย 5, [228] พละ 5, [281] โพชฌงค 7, [293] มรรคมอี งค 8 — Pañipatti-sàsana: teaching to be practised; practical teaching; dispensation as practice) ที่เปนสาํ คัญในหมวดนี้ กค็ อื [352] โพธปิ กขยิ ธรรม 37. Nd1143. ข.ุ ม.29/232/175. [52] สขุ 1 2 (ความสขุ — Sukha: pleasure; happiness) 1. กายกิ สขุ (สุขทางกาย — Kàyika-sukha: bodily happiness) 2. เจตสกิ สุข (สขุ ทางใจ — Cetasika-sukha: mental happiness) A.I.80. อง.ฺ ทกุ .20/315/101. [53] สุข2 2 (ความสุข — Sukha: pleasure; happiness) 1. สามิสสุข (สุขอิงอามิส, สุขอาศยั เหยือ่ ลอ , สขุ จากวัตถุคือกามคุณ — Sàmisa-sukha: carnal or sensual happiness) 2. นิรามสิ สขุ (สุขไมองิ อามสิ , สุขไมตอ งอาศัยเหยอื่ ลอ, สุขปลอดโปรง เพราะใจสงบหรอื ไดรู แจง ตามเปน จรงิ — Niràmisa-sukha: happiness independent of material things or sensual desires; spiritual happiness) A.I.80. องฺ.ทุก.20/313/101. [54] สทุ ธิ 2 (ความบรสิ ทุ ธ,์ิ ความสะอาดหมดจด — Suddhi: purity) 1. ปรยิ ายสุทธิ (ความบรสิ ุทธบิ์ างสว น, หมดจดในบางแงบ างดาน ไดแก ความบรสิ ุทธข์ิ อง

หมวด 2 77 [57] ปุถชุ นจนถึงพระอรยิ บคุ คลผูตั้งอยใู นอรหัตตมรรค ทค่ี รองตนบริสทุ ธ์ดิ วยขอปฏิบตั ิหรือธรรมที่ ตนเขาถงึ บางอยาง แตยงั มกี ิจในการละและเจริญซึ่งจะตองทําตอ ไปอีก — Pariyàya-suddhi: partial purity) 2. นิปปรยิ ายสทุ ธิ (ความบริสุทธ์สิ น้ิ เชิง, หมดจดแทจริงเตม็ ความหมาย ไดแก ความบริสทุ ธ์ิ ของพระอรหันตผูเสร็จกิจในการละและการเจริญธรรม ครองตนไรมลทินทุกประการ — Nippariyàya-suddhi: absolute purity) AA.I.293–4. องฺ.อ.2/4. [,,] อรหนั ต 2 ดู [61] อรหันต 2. [55] อริยบคุ คล 2 (บุคคลผูป ระเสริฐ, ผบู รรลธุ รรมพเิ ศษตัง้ แตโสดาปตติมรรคข้ึนไป, ผูเปน อารยะในความหมายของพระพุทธศาสนา — Ariya-puggala: noble individuals; holy persons) 1. เสขะ (พระเสขะ, พระผูย งั ตองศึกษา ไดแ กพ ระอรยิ บุคคล 7 เบื้องตน ในจาํ นวน 8 — Sekha: the learner) 2. อเสขะ (พระอเสขะ, พระผูไมตองศกึ ษา ไดแกผูบรรลอุ รหัตตผลแลว — Asekha: the adept) ทง้ั 2 ประเภทน้ี ในบาลที ี่มาเรยี กวา ทักขิไณยบุคคล 2. A.I.62. องฺ.ทุก.20/280/80. [56] อรยิ บุคคล 4 1. โสดาบนั (“ผถู งึ กระแส”, ทา นผบู รรลโุ สดาปต ตผิ ลแลว — Sotàpanna: Stream-Enterer) 2. สกทาคามี (“ผกู ลบั มาอกี ครงั้ เดยี ว”, ทา นผบู รรลสุ กทาคามผิ ลแลว — Sakadàgàmã: Once-Returner) 3. อนาคามี (“ผไู มเ วยี นกลบั มาอกี ”, ทา นผบู รรลอุ นาคามผิ ลแลว — Anàgàmã: Non- Returner) 4. อรหนั ต (“ผคู วร”, “ผหู กั กาํ แหง สงสารแลว ”, ทา นผบู รรลอุ รหตั ตผลแลว — Arahanta: the Worthy One) ดู [164] มรรค 4; [329] สังโยชน 10 1. D.I.156. นยั ท.ี สี.9/250–253/199–200. [57] อริยบุคคล 8 แยกเปน มรรคสมังคี (ผูพรอ มดว ยมรรค) 4, ผลสมงั คี (ผูพรอมดวยผล) 4 1. โสดาบัน (ทา นผบู รรลุโสดาปต ติผลแลว, พระผตู งั้ อยใู นโสดาปตติผล — one who has entered the Stream; one established in the Fruition of Stream-Entry; Stream-Enterer)

[58] 78 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร 2. ทานผปู ฏิบตั ิเพ่ือทําใหแจง โสดาปต ติผล (พระผูตงั้ อยใู นโสดาปต ตมิ รรค — one who has worked for the realization of the Fruition of Stream-Entry; one established in the Path of Stream-Entry) 3. สกทาคามี (ทานผูบรรลสุ กทาคามิผลแลว , พระผูตง้ั อยใู นสกทาคามผิ ล — one who is a Once-Returner; one established in the Fruition of Once-Returning) 4. ทานผูปฏบิ ตั ิเพ่อื ทําใหแจงสกทาคามผิ ล (พระผตู ัง้ อยใู นสกทาคามิมรรค — one who has worked for the realization of the Fruition of Once-Returning; one established in the Path of Once-Returning) 5. อนาคามี (ทานผบู รรลุอนาคามผิ ลแลว, พระผตู ง้ั อยใู นอนาคามิผล — one who is a Non-Returner; one established in the Fruition of Non-Returning) 6. ทานผูป ฏิบตั เิ พ่อื ทําใหแ จงอนาคามิผล (พระผูต้งั อยูในอนาคามิมรรค — one who has worked for the realization of the Fruition of Non-Returning; one established in the Path of Non-Returning) 7. อรหนั ต (ทา นผบู รรลอุ รหตั ตผลแลว, พระผูต ง้ั อยใู นอรหัตตผล — one who is an Arahant; one established in the Fruition of Arahantship) 8. ทานผูปฏิบัตเิ พอ่ื ทําใหแจงอรหัตตผล (พระผตู ั้งอยใู นอรหัตตมรรค — one who has worked for the realization of the Fruition of Arahantship; one established in the Path of Arahantship) ท้ัง 8 ประเภทน้ี ในบาลที ่มี าท้งั หลายเรยี กวา ทกั ขิไณยบุคคล 8 ดู [164–5] มรรค 4 ผล 4 ดว ย. D.III.255; A.IV.291; Pug 73. ท.ี ปา.11/342/267;องฺ.อฏ ก.23/149/301; อภ.ิ ป.ุ 36/150/233. [58] โสดาบัน 3 (ทา นผูบรรลุโสดาปต ติผลแลว , ผูแรกถงึ กระแสอนั นําไปสพู ระนิพพาน แน ตอการตรัสรูข า งหนา — Sotàpanna: Stream-Enterer) 1. เอกพชี ี (ผมู ีพืชคืออัตภาพอนั เดียว คอื เกดิ อกี คร้ังเดยี ว กจ็ กั บรรลุอรหัต — Ekabãjã: the Single-Seed) 2. โกลงั โกละ (ผไู ปจากสกุลสสู กุล คือ เกิดในตระกลู สงู อกี 2-3 คร้งั หรือเกดิ ในสคุ ตอิ ีก 2-3 ภพ ก็จักบรรลอุ รหตั — Kolaïkola: the Clan-to-Clan) 3. สตั ตักขัตตุงปรมะ (ผูม ีเจ็ดครัง้ เปน อยา งย่ิง คือ เวยี นเกดิ ในสคุ ตภิ พอกี อยา งมากเพยี ง 7 ครั้ง กจ็ กั บรรลุอรหตั — Sattakkhattu§parama: the Seven-Times-at-Most) เกณฑแบง หรอื เหตใุ หเปน เชน นี้ กาํ หนดดว ยวปิ ส สนาและความมีอนิ ทรียอ นั แกกลา ปาน กลาง และออ นกวา กนั ตามลาํ ดบั A.I.233: IV.380; V.120; Pug.3,16,74. องฺ.ตกิ .20/528/302;องฺ.นวก.23/216/394;องฺ.ทสก.24/64/129/;อภิ.ป.ุ 36/47–9/147.

หมวด 2 79 [61] [59] สกทาคามี 3, 5 (ทา นผบู รรลุสกทาคามผิ ลแลว, ผกู ลบั มาอีกครงั้ เดียว — Sakadàgà mã: Once-Returner) พระสกทาคามนี ี้ ในบาลมี ิไดแยกประเภทไว แตในคมั ภรี รุนหลังแยกประเภทไวหลายอยาง เชน ในคัมภีรปรมตั ถโชตกิ า แยกไวเปน 3 ประเภท คอื ผไู ดบรรลุผลน้นั ในกามภพ 1 ในรูป ภพ 1 ในอรปู ภพ 1 ในคัมภรี ป รมัตถมญั ชุสา จําแนกไว 5 ประเภท คอื ผบู รรลใุ นโลกน้แี ลว ปรนิ พิ พานในโลก นเ้ี อง 1 ผบู รรลใุ นโลกนี้แลว ปรนิ พิ พานในเทวโลก 1 ผูบ รรลใุ นเทวโลกแลว ปรนิ ิพพานในเทว โลกนน้ั เอง 1 ผูบ รรลใุ นเทวโลกแลว เกิดในโลกน้จี ึงปรนิ ิพพาน 1 ผบู รรลุในโลกนีแ้ ลว ไปเกิด ในเทวโลกหมดอายุแลว กลบั มาเกิดในโลกนี้จงึ ปรนิ พิ พาน 1 และอธิบายตอ ทา ยวา พระ สกทาคามีทกี่ ลาวถึงในบาลีหมายเอาประเภทท่ี 5 อยา งเดยี ว นอกจากน้ี ทที่ านแบงออกเปน 4 บาง 12 บา ง ก็มี แตจะไมกลาวไวใ นที่น้ี KhA.182. ขุททฺ ก.อ.199; วสิ ุทฺธ.ิ ฏีกา3/655. [60] อนาคามี 5 (ทา นผูบรรลอุ นาคามิผลแลว , ผูไมเวียนกลบั มาอกี — Anàgàmã: Non- Returner) 1. อนั ตราปรินิพพายี (ผปู รินิพพานในระหวาง คอื เกิดในสทุ ธาวาสภพใดภพหนง่ึ แลว อายุ ยังไมถ ึงกงึ่ ก็ปรินิพพานโดยกเิ ลสปรินิพพาน — Antarà-parinibbàyã: one who attains Parinibbàna within the first half life-span) 2. อุปหัจจปรินพิ พายี (ผจู วนจะถึงจึงปรนิ พิ พาน คือ อายพุ น กึ่งแลว จวนจะถึงสน้ิ อายจุ ึง ปรนิ พิ พาน — Upahacca-parinibbàyã: one who attains Parinibbàna after the first half life-span) 3. อสงั ขารปรินิพพายี (ผูป รินิพพานโดยไมตอ งใชแ รงชักจูง คือ ปรินพิ พานโดยงา ย ไมตอง ใชความเพียรนัก — Asaïkhàra-parinibbàyã: one who attains Parinibbàna without exertion) 4. สสังขารปรนิ ิพพายี (ผูป รนิ พิ พานโดยใชแ รงชกั จูง คือ ปรินิพพานโดยตองใชค วามเพียร มาก — Sasaïkhàra-parinibbàyã: one who attains Parinibbàna with exertion) 5. อุทธงั โสโตอกนฏิ ฐคามี (ผูมกี ระแสในเบือ้ งบนไปสอู กนฏิ ฐภพ คอื เกิดในสุทธาวาสภพใด ภพหน่ึงกต็ าม จะเกดิ เลอ่ื นตอขึน้ ไปจนถงึ อกนฏิ ฐภพแลว จงึ ปรนิ ิพพาน — Uddha§soto- akaniññhagàmã: one who goes upstream bound for the highest realm; up-streamer bound for the Not-Junior Gods) เกณฑแ บง ไดแ กความตางแหงอินทรีย มศี รทั ธาเปน ตน ท่ียง่ิ หยอ นกวา กนั A.I.233; IV.14,70,380; V.120; Pug.16. อง.ฺ ติก.20/528/302; องฺ.นวก.23/216/394; องฺ.ทสก.24/64/129; อภ.ิ ป.ุ 36/52–6/148. [61] อรหันต 2 (ผูบ รรลอุ รหตั ตผลแลว , ทานผสู มควรรับทกั ษิณาและการเคารพบูชาอยาง

[62] 80 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร แทจ รงิ — Arahanta: an Arahant; arahant; Worthy One) 1. สุกขวิปส สก (ผเู หน็ แจง อยา งแหงแลง คือ ทา นผูม ิไดฌาน สําเรจ็ อรหตั ดว ยเจรญิ แต วิปส สนาลว นๆ — Sukkhavipassaka: the dry-visioned; bare-insight worker) 2. สมถยานกิ (ผูม สี มถะเปน ยาน คอื ทา นผเู จรญิ สมถะจนไดฌ านสมาบตั ิแลว จงึ เจรญิ วิปสสนาตอจนไดสาํ เรจ็ อรหตั — Samathayànika: one whose vehicle is tranquillity; the quiet-vehicled) การจําแนกพระอรหันตเปนสองประเภทอยางน้ี มาในคมั ภรี ช นั้ หลงั เชน ปรมตั ถโชติกา เปน ตน ไมปรากฏในบาลีแหง ใด สรุปคําอธิบายเพือ่ เขา ใจเพ่ิมเตมิ ดงั นี้ ประเภทท่ี 1 คือทา นทอี่ าศยั เพยี งอปุ จารสมาธิ เจรญิ วปิ ส สนาไปจนถึงที่สดุ แตเมอ่ื จะ สําเร็จอรหตั นั้น กเ็ ปนผไู ดปฐมฌาน ประเภทนี้ เรียกอกี อยา งวา วปิ สสนายานกิ หรอื สทุ ธ- วิปสสนายานิก (ผูม วี ิปส สนาลว นๆ เปน ยาน — Suddhavipassanàyànika: one whose vehicle is pure insight; the insight-vehicled) ประเภทที่ 2 คอื ท่บี าลีเรยี กวา อภุ โตภาควิมตุ KhA.178,183; Vism.587,666. ขุทฺทก.อ.200; วสิ ุทธฺ ิ.3/206,312; วสิ ุทธฺ .ิ ฏีกา3/398;576. [62] อรหันต 4, 5, 60 (Arahanta: an Arahant; arahant; Worthy One) 1. สกุ ฺขวปิ สสฺ โก (ผเู จริญวิปสสนาลวน — Sukkhavipassaka: bare-insight worker) 2. เตวชิ โฺ ช (ผูไดวชิ ชาสาม — Tevijja: one with the Threefold Knowledge) 3. ฉฬภิฺโ (ผไู ดอภิญญาหก — Chaëabhi¤¤a: one with the Sixfold Super- knowledge) 4. ปฏิสมภฺ ทิ ปฺปตฺโต (ผบู รรลปุ ฏสิ มั ภิทา — Pañisambhidappatta: one having attained the Analytic Insights) พระอรหนั ตท้งั สใ่ี นหมวดนี้ สมเด็จพระมหาสมณเจา กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรง ประมวลแสดงไวใ นหนังสอื ธรรมวภิ าค ปริเฉทท่ี 2 หนา 41 พึงทราบคําอธิบายตามทีม่ าเฉพาะ ของคาํ นัน้ ๆ แตในคมั ภรี ท ้งั หลายนยิ มจาํ แนกเปน 2 อยา ง เหมอื นในหมวดกอนบาง เปน 5 อยา งบาง ท่ีเปน 5 คือ 1. ปญญาวิมตุ (ผหู ลุดพน ดวยปญ ญา — Pa¤¤àvimutta: one liberated by wisdom) 2. อุภโตภาควิมตุ (ผหู ลุดพนท้งั สองสวน คอื ไดทัง้ เจโตวิมตุ ติ ขน้ั อรปู สมาบัติกอ น แลว ได ปญญาวมิ ุตติ — Ubhatobhàgavimutta: one liberated in both ways) 3. เตวิชชะ (ผไู ดว ิชชาสาม — Tevijja: one possessing the Threefold Knowledge) 4. ฉฬภญิ ญะ (ผไู ดอภญิ ญาหก — Chaëabhi¤¤a: one possessing the Sixfold Super- knowledge)

หมวด 2 81 [63] 5. ปฏสิ มั ภทิ ัปปตตะ (ผูบ รรลุปฏิสัมภทิ าส่ี — Pañisambhidappatta: one having gained the Four Analytic Insights) ทั้งหมดนี้ ยอลงแลว เปน 2 คือ พระปญ ญาวิมตุ กับพระอภุ โตภาควิมตุ เทา นั้น พระสุกข- วิปส สกท่ีกลาวถงึ ขางตน เปน พระปญญาวิมุต ประเภทหนึง่ (ในจาํ นวนพระปญ ญาวมิ ตุ 5 ประเภท คอื พระสุกขวิปส สก และทา นผไู ดฌาน 4 ข้นั ใดขัน้ หนึ่งมากอนไดบ รรลุอรหตั ตผล) พระเตวิชชะ กับพระฉฬภิญญะ เปน อภุ โตภาควมิ ตุ ทง้ั นัน้ แตทานแยกพระอุภโตภาควมิ ุตไว เปนขอหนึง่ ตา งหาก เพราะพระอุภโตภาควิมุตท่ไี มไ ดโ ลกยี วิชชาและโลกียอภิญญา กม็ ี สวน พระปฏิสมั ภิทัปปตตะ ไดค วามแตกฉานท้งั ส่ีดวยปจจัยทงั้ หลาย คือ การเลา เรียน สดบั สอบ คน ประกอบความเพียรไวเ กา และการบรรลุอรหัต. พระอรหันต 5 นน้ั แตละประเภท จําแนกโดยวโิ มกข 3 รวมเปน 15 จาํ แนกออกไปอกี โดย ปฏปิ ทา 4 จึงรวมเปน 60 ความละเอยี ดในขอน้ี จะไมแสดงไว เพราะจะทาํ ใหฟ น เฝอ ผู ตองการทราบย่งิ ขึ้นไป พงึ ดูในหนงั สือน้ีฉบบั ใหญ ดู [61] อรหันต 2; [106] วชิ ชา 3; [155] ปฏิสมั ภทิ า 4; [274] อภิญญา 6. Vism.710. วิสทุ ธฺ .ิ 3/373; วิสุทฺธ.ิ ฏีกา3/657. [63] อริยบุคคล 7 (บุคคลผูประเสริฐ — Ariyapuggala: noble individuals) เรียงจากสูง ลงมา 1. อุภโตภาควิมตุ (ผหู ลุดพนท้งั สองสว น คือ ทานที่ไดส ัมผัสวโิ มกข 8 ดว ยกาย และสิน้ อาสวะแลวเพราะเห็นดว ยปญ ญา หมายเอาพระอรหันตผ ไู ดเ จโตวมิ ตุ ตขิ ้นั อรปู สมาบตั ิมากอ นท่ี จะไดป ญญาวมิ ุตติ — Ubhatobhàgavimutta: one liberated in both ways) 2. ปญ ญาวมิ ุต (ผูหลุดพน ดว ยปญ ญา คือ ทา นทีม่ ไิ ดสมั ผัสวิโมกข 8 ดว ยกาย แตส นิ้ อาสวะ แลวเพราะเห็นดวยปญญา หมายเอาพระอรหันตผูไดปญญาวิมุตติก็สําเร็จเลยทีเดียว — Pa¤¤àvimutta: one liberated by understanding) 3. กายสักขี (ผูเ ปนพยานดว ยนามกาย หรือ ผปู ระจักษก บั ตัว คอื ทานทไ่ี ดส มั ผัสวโิ มกข 8 ดวยกาย และอาสวะบางสว นกส็ น้ิ ไปเพราะเหน็ ดว ยปญ ญา หมายเอาพระอริยบุคคลผูบรรลุ โสดาปต ตผิ ลแลว ขึ้นไป จนถึงเปน ผูป ฏิบตั ิเพ่ืออรหตั ทีม่ ีสมาธนิ ทรียแ กก ลา ในการปฏบิ ัติ — Kàyasakkhã: the body-witness) 4. ทฏิ ฐิปปต ตะ (ผบู รรลสุ มั มาทฏิ ฐิ คือ ทานทเ่ี ขาใจอรยิ สัจจธรรมถูกตองแลว และอาสวะ บางสว นก็สิน้ ไปเพราะเห็นดว ยปญญา หมายเอาพระอรยิ บคุ คลผบู รรลุโสดาปตติผลแลวข้นึ ไป จนถงึ เปนผปู ฏบิ ัตเิ พื่ออรหตั ทีม่ ปี ญญินทรียแ กกลา ในการปฏิบัติ — Diññhippatta: one attained to right view) 5. สทั ธาวมิ ุต (ผหู ลุดพน ดวยศรทั ธา คอื ทา นทเ่ี ขา ใจอริยสจั จธรรมถูกตองแลว และอาสวะ บางสว นกส็ ิน้ ไปเพราะเหน็ ดว ยปญ ญา แตม ีศรัทธาเปน ตวั นํา หมายเอาพระอรยิ บุคคลผูบ รรลุ โสดาปตติผลแลวข้นึ ไป จนถึงเปนผปู ฏิบัตเิ พ่อื อรหัต ท่มี ีสทั ธินทรยี แ กกลาในการปฏิบัติ —

[63] 82 พจนานุกรมพุทธศาสตร Saddhàvimutta: one liberated by faith) 6. ธัมมานสุ ารี (ผูแลนไปตามธรรม หรอื ผแู ลนตามไปดว ยธรรม คอื ทา นผูปฏบิ ตั เิ พ่อื บรรลุ โสดาปต ตผิ ลท่ีมปี ญญินทรียแกก ลา อบรมอรยิ มรรคโดยมปี ญญาเปนตวั นํา ทานผูน้ถี าบรรลุ ผลแลวกลายเปนทิฏฐปิ ปตตะ — Dhammànusarã: the truth-devotee) 7. สทั ธานสุ ารี (ผแู ลน ไปตามศรัทธา หรือผแู ลนตามไปดว ยศรัทธา คอื ทานผูปฏิบัติเพ่ือ บรรลุโสดาปตติผลท่ีมีสัทธนิ ทรียแ กก ลา อบรมอริยมรรคโดยมศี รัทธาเปนตัวนาํ ทา นผนู ีถ้ า บรรลผุ ลแลว กลายเปนสทั ธาวมิ ุต — Saddhànusàrã: the faith-devotee) กลาวโดยสรุป บคุ คลประเภทท่ี 1 และ 2 (อุภโตภาควิมุต และปญญาวมิ ุต) ไดแกพ ระอรหันต 2 ประเภท บุคคลประเภทที่ 3, 4 และ 5 (กายสักขี ทิฏฐปิ ปตตะ และสัทธาวิมตุ ) ไดแกพระโสดาบนั พระสกทาคามี พระอนาคามี และทานผตู ้งั อยใู นอรหัตตมรรค จําแนกเปน 3 พวกตามอนิ ทรยี  ท่แี กก ลา เปน ตวั นาํ ในการปฏบิ ัติ คือ สมาธินทรีย หรือปญ ญนิ ทรีย หรือสทั ธนิ ทรยี  บุคคลประเภทที่ 6 และ 7 (ธัมมานุสารีและสัทธานุสาร)ี ไดแกท านผตู งั้ อยูในโสดาปตต-ิ มรรค จําแนกตามอนิ ทรียท เ่ี ปน ตวั นาํ ในการปฏบิ ัติ คือ ปญ ญินทรีย หรือสทั ธินทรยี  อยางไรกต็ าม ขอความท่ีอธิบายมาเกยี่ วกับบคุ คลประเภทท่ี 3, 4, 5 บางคมั ภรี ก ลาววา เปนการแสดงโดยนิปปริยาย คือแสดงความหมายโดยตรงจําเพาะลงไป แตในคัมภีร ปฏิสมั ภทิ ามัคค ทานแสดงความหมายโดยปริยาย เรียกผูท ่ปี ฏิบตั โิ ดยมสี ทั ธนิ ทรยี เปนตวั นํา วา เปน สทั ธาวมิ ตุ ตงั้ แตบ รรลโุ สดาปต ตผิ ล ไปจนบรรลอุ รหตั ตผล; เรยี กผปู ฏบิ ตั โิ ดยมสี มาธนิ ทรยี  เปนตัวนํา วาเปน กายสกั ขี ตงั้ แตบรรลโุ สดาปต ติมรรค ไปจนบรรลอุ รหัตตผล; เรยี กผทู ี่ปฏิบตั ิ โดยมปี ญ ญนิ ทรยี เ ปน ตวั นาํ วา เปน ทฏิ ฐปิ ปต ตะ ตง้ั แตบ รรลโุ สดาปต ตผิ ลไปจนบรรลอุ รหตั ตผล; โดยนยั นจี้ ึงมคี าํ เรยี กพระอรหันตวา สทั ธาวมิ ุต หรอื กายสกั ขี หรอื ทิฏฐิปปต ตะ ไดด ว ย แต ถา ถอื ศพั ทเ ครงครัด ก็มแี ต อภุ โตภาควมิ ุต กบั ปญ ญาวมิ ตุ เทานนั้ ในฎกี าแหงวิสทุ ธิมคั คคอื ปรมัตถมญั ชสุ า มีคําอธบิ ายวา ผูไมไ ดวิโมกข 8 เมอ่ื ตงั้ อยใู น โสดาปต ตมิ รรคเปน สทั ธานสุ ารี หรอื ธมั มานสุ ารี อยา งใดอยา งหนงึ่ ตอ จากนน้ั เปน สทั ธาวมิ ตุ หรือ ทิฏฐิปปต ตะ จนไดสาํ เรจ็ อรหัตตผล จงึ เปน ปญ ญาวิมตุ ; ผูไดวิโมกข 8 เมอ่ื ตงั้ อยูใน โสดาปต ตมิ รรคเปน สทั ธานสุ ารี หรอื ธัมมานสุ ารี อยา งใดอยางหนึง่ ตอจากนัน้ เปน กายสกั ขี เมื่อสําเร็จอรหัตตผล เปน อภุ โตภาควมิ ุต นอกจากนี้ มีขอ สังเกตวา บุคคลประเภทกายสกั ขนี ี่เองท่ไี ดช่ือวา สมถยานิก; สวนคําวา ปญญาวมิ ุต บางแหง มคี าํ จาํ กัดความแปลกออกไปจากนว้ี า ไดแกผ ูทบี่ รรลุอรหตั โดยไมได โลกยี อภญิ ญา 5 และอรปู ฌาน 4 (สํ.นิ.16/283-9/147-150; S.II.121.) อรยิ บคุ คล 7 น้ี ในพระสตุ ตนั ตปฎ ก นยิ มเรยี กวา ทกั ขิไณยบุคคล 7. D.III.105,254; A.I.118; Ps.II.52; Pug.10,73; Vism.659. ท.ี ปา.11/80/115; 336/266; อง.ฺ ติก.20/460/148; ขุ.ปฏ.ิ 31/493–5/380–3; อภ.ิ ปุ.36/13/139; วิสทุ ธ.ิ 3/302; วิสทุ ธ.ิ ฏีกา3/562–568.