Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_42

tripitaka_42

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:40

Description: tripitaka_42

Search

Read the Text Version

พระสตุ ตนั ตปฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๓ - หนา ที่ 178 ๘. เรื่องปฐมโพธิกาล [๑๒๕] ขอความเบ้อื งตนพระศาสดาประทับนง่ั ณ ควงไมโ พธพิ ฤกษ ทรงเปลง อทุ านดวยสามารถเบกิ บานพระหฤทัย ในสมัยอน่ื พระอานนทเถระทูลถาม จึงตรสัพระธรรมเทศนานีว้ า \" อเนกชาตสิ  สาร \" เปนตน .ทรงกาํ จัดมารแลวเปลงอุทานพระสัมมาสมั พทุ ธเจา พระองคน้ันแล ประทบั น่งั ณ ควงไมโพธิ-พฤกษ เมือ่ พระอาทิตยยงั ไมอ ัสดงคตเทยี ว ทรงกําจดั มารและพลแหง มารแลว ในปฐมยาม ทรงทาํ ลายความมดื ท่ปี กปด ปพุ เพนวิ าสญาณ. ในมชั ฌิมยาม ทรงชาํ ระทพิ ยจกั ษุใหหมดจดแลว. ในปจฉิมยาม ทรงอาศัยความกรุณาในหมูสัตว ทรงหยงั่ พระญาณลงในปจ จยาการแลว ทรงพิจารณาปจจยาการนัน้ ดวยสามารถแหงอนโุ ลมปฏโิ ลม. ในเวลาอรณุ ขน้ึทรงบรรลพุ ระสัมมาสัมโพธญิ าณพรอ มดว ยอศั จรรยห ลายอยาง เมื่อจะทรงเปลง อุทาน ทีพ่ ระพทุ ธเจา มิใชแ สนเดียวไมท รงละแลว จงึ ไดตรัสพระคาถาเหลานีว้ า๘. อเนกชาตสิ  สาร สนฺธาวิสฺส อนิพพฺ ิสคหการก คเวสนฺโต ทกุ ฺขา ชาติ ปนุ ปฺปุนคหการก ทฏิ โสิ ปนุ เคห น กาหสิสพพฺ า เต ผาสกุ า ภคฺคา คหกูฏ วสิ งขฺ ตวิสงฺขารคต จติ ฺต ตณหฺ าน ขยมชฌฺ คา.

พระสุตตนั ตปฎก ขทุ ทกนกิ าย คาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๓ - หนา ท่ี 179 \" เราแสวงหานายชางผทู ําเรือน เมื่อไมประสบ จึงไดทอ งเที่ยวไปสสู งสาร มีชาตเิ ปน อเนก ความเกดิ บอ ยๆ เปนทุกข, ๑ แนะนายชางผูท าํ เรือน เราพบทาน แลว , ทา นจะทาํ เรือนอีกไมไ ด, ซ่ีโครงทกุ ซ๒ี่ ของทาน เราหกั เสียแลว ยอดเรือนเราก็รอ้ื เสยี แลว , จติ ของ เราถึงธรรมปราศจากเคร่อื งปรุงแตงแลว, เพราะเรา บรรลธุ รรมที่สน้ิ ตณั หาแลว. \" แกอ รรถ บรรดาบทเหลาน้ัน สองบทวา คหการ ๓ คเวสวนโฺ ต ความวา เราเม่ือแสวงหานายชา งคอื ตัณหาผูทาํ เรอื น กลา วคืออตั ภาพน้มี อี ภินิหารอนัทาํ ไวแ ลว แทบบาทมูลแหงพระพทุ ธเจา ทรงพระนามวา ทีปงกร เพ่อืประโยชนแกพ ระญาณ อนั เปน เครื่องอาจเหน็ นายชา งน้ันได คอื พระ-โพธญิ าณ เมือ่ ไมป ระสบ ไมพ บ คือไมไดพระญาณนน้ั แล จึงทอ งเทยี่ วคือเรรอน ไดแ กว นเวียนไป ๆ มา ๆ สูสงสารมชี าตเิ ปนอเนก คือสูสังสารวฏั นี้ อันนบั ไดหลายแสนชาติ ส้ินกาลมีประมาณเทาน้ี. คําวา ทุกฺขา ชาติ ปุนปฺปน น้ี เปน คาํ แสดงเหตแุ หง การแสวงหาชางผทู าํ เรือน. เพราะชอ่ื วาชาตินี้ คอื การเขาถงึ บอย ๆ ชอ่ื วาเปนทุกขเพราะภาวะทเี่ จอื ดวยชรา พยาธิและมรณะ. กช็ าตนิ น้ั เมอ่ื นายชางผูทําเรอื นนัน้ อนั ใครๆ ไมพบแลว ยอมไมก ลบั . ฉะนน้ั เราเมอ่ื แสวงหานายชางผูทาํ เรอื น จึงไดท องเทย่ี วไป.๑. ความเกดิ เปน ทกุ ขร ํา่ ไป. ๒. อีกนัยหนง่ึ ผาสุกกา เปนคําเปรียบกบั เครือ่ งเรือน แปลวาจนั ทันเรือนของทา นเราหกั เสยี หมดแลว . ๓. บาลีเปน คหการก .

พระสตุ ตันตปฎ ก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๓ - หนาที่ 180 บทวา ทฏิ โ สิ ความวา บดั นี้เราตรสั รพู ระสัพพญั ุตญาณ พบทานแลวแนนอน. บทวา ปุน เคห ความวา ทานจักทาํ เรือนของเรากลาวคืออตั ภาพ ในสงั สารวฏั นอ้ี กี ไมไ ด. บาทพระคาถาวา สพฺพา เต ผาสุกา ภคคฺ าความวา ซีโ่ ครง๑กลาวคือกิเลสท่เี หลือทั้งหมดของทา น เราหกั เสียแลว . บาทพระคาถาวา คหกฏู  วสิ งขฺ ต ความวา ถึงมณฑลชอ ฟา กลาวคอื อวิชชา แหงเรือนคืออตั ภาพที่ทานสรา งแลว นี้ เราก็รอ้ื เสยี แลว. บาทพระคาถาวา วิสงฺขารคต จติ ตฺ  ความวา บดั นี้ จิตของเราถงึคือเขาไปถึงธรรมปราศจากเครอื่ งปรุงแตงแลว คอื พระนิพพาน ดวยสามารถแหง อันกระทําใหเปน อารมณ. บาทพระคาถาวา ตณฺหาน ขยมชฺฌคา ความวา เราบรรลุพระอรหตั กลา วคือธรรมเปนทส่ี ิ้นไปแหงตัณหาแลว. เรอื่ งปฐมโพธกิ าล จบ.๑. หรือ จันทันเรือน กลา วคือกิเลสทเ่ี หลอื ทั้งหมด.

พระสตุ ตนั ตปฎก ขทุ ทกนกิ าย คาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๓ - หนาท่ี 181 ๙. เรอ่ื งบตุ รเศรษฐมี ที รัพยมาก [๑๒๖] ขอ ความเบือ้ งตน พระศาสดา เมื่อประทบั อยูใ นปาอิสปิ ตนมฤคทายวัน ทรงปรารภบตุ รเศรษฐผี มู ที รพั ยมาก ตรสั พระธรรมเทศนานวี้ า \" อจริตวฺ าพรฺ หมฺ จรยิ  . \" เปนตน. พวกนกั เลงชวนเศรษฐีบุตรใหด่มื เหลา ดังไดสดับมา บตุ รเศรษฐนี ้ัน เกดิ แลวในตระกลู ผมู ีสมบัติ ๘๐ โกฏิในกรงุ พาราณส.ี ครง้ั น้นั มารดาบดิ าของเขาคดิ วา \" ในตระกลู ของเรามกี องโภคะเปน อนั มาก. เราจกั มอบกองโภคะนน้ั ไวในมอื บุตรของเราทําใหใ ชสอยอยางสบาย. กจิ ดวยการงานอยา งอ่นื ไมตอ งมี. \" ดังนแี้ ลว จึงใหเ ขาศกึ ษาศลิ ปะสักวา การฟอน ขับ และประโคมอยา งเดียว. ในพระนครน้ันแล แมธดิ าคนหน่ึง ก็เกิดแลว ในตระกลู อืน่ ซง่ึ มีสมบัติ ๘๐ โกฏ.ิบิดามารดาแมของนางก็คิดแลวอยา งนนั้ เหมอื นกัน แลว ก็ใหน างศกึ ษากไ็ ดศลิ ปะสกั วาการฟอนขบั และประโคมอยา งเดียว. เม่ือเขาท้งั สองเจรญิ วัยแลวก็ไดมกี ารอาวาหววิ าหมงคลกัน ตอมาภายหลัง มารดาบดิ าของคนท้ังสองนัน้ ไดถ ึงแกก รรมแลว. ทรพั ย ๑๖๐ โกฏิ กไ็ ดร วมอยูในเรอื นเดยี วกนัทง้ั หมด. เศรษฐบี ตุ ร ยอ มไปสทู บ่ี ํารงุ พระราชาวนั หนึ่งถึง ๓ ครั้ง ครัง้ น้ันพวกนกั เลงในพระนครนน้ั คิดกันวา \" ถาเศรษฐีบตุ รนี้ จักเปนนักเลงสุรา. ความผาสกุ กจ็ กั มีแกพวกเรา; เราจะใหเธอเรยี นความเปนนักเลงสุรา. \" พวกนกั เลงนั้นจึงถือเอาสรุ า มัดเนื้อสาํ หรบั แกลม และกอ นเกลอืไวท่ีชายผา ถอื หวั ผกั กาด น่งั แลดูทางของเศรษฐีบุตรนัน้ ผมู าจาก

พระสตุ ตนั ตปฎก ขทุ ทกนกิ าย คาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๓ - หนาที่ 182ราชกุล เหน็ เขากําลังเดนิ มา จงึ ด่ืมสุรา เอากอ นเกลอื ใสเ ขา ในปาก กัดหวัผกั กาด กลา ววา \" จงเปน อยู ๑๐๐ ปเถดิ นายเศรษฐบี ุตร. พวกผมอาศัยทา น ก็พงึ สามารถในการเคยี้ วและการดมื่ . \" บตุ รเศรษฐีฟงคําของพวกนกั เลงนน้ั แลว จงึ ถามคนใชสนิทผตู ามมาขา งหลังวา \" พวกนนั้ ด่ืมอะไรกัน ? \" คนใช. นา ดื่มชนดิ หน่งึ นาย. บตุ รเศรษฐ.ี มรี สชาตอิ รอยหรือ ? คนใช. นาย ธรรมดานาํ้ ท่คี วรด่มื เชน กบั นํา้ ด่ืมน้ี ไมมีในโลกที่เปน อยนู .ี้ เศรษฐบี ุตรหมดตวั เพราะประพฤตอิ บายมุข บุตรเศรษฐนี ้ันพดู วา \" เมือ่ เปนเชนนนั้ แมเราด่ืมก็ควร \" ดังนี้แลว จงึ ใหนํามาแตน ิดหนอยแลว กด็ ื่ม ตอมาไมนานนัก นักเลงเหลานน้ัรูว าบุตรเศรษฐนี ้นั ดื่ม จึงพากันแวดลอมบุตรเศรษฐีนัน้ เมื่อกาลลว งไปก็ไดม บี ริวารหมใู หญ. บตุ รเศรษฐนี น้ั ใหน ําสรุ ามาดว ยทรพั ย ๑๐๐ บาง๒๐๐ บา ง ดื่มอยูต้งั กองกหาปณะไวในทน่ี ัง่ เปน ตน โดยลําดับ ด่ืมสุรากลาววา \" จงนาํ เอาดอกไมม าดว ยกหาปณะน้ี จงนาํ เอาของหอมมาดวยกหาปณะน้ี ผูนีฉ้ ลาดในการขบั ผนู ฉ้ี ลาดในการฟอ น ผูน้ีฉลาดในการประโคม จงใหทรัพย ๑ พันแกผ นู ้ี จงใหทรพั ย ๒ พนั แกผ ูนี้. \" เมอ่ืใชสรุ ุยสุรายอยา งนั้นตอ กาลไมน านนัก ก็ยังทรัพย ๘๐ โกฏิ อนั เปนของตนใหหมดไปแลว เม่อื เหรญั ญกิ เรยี นวา \" นาย ทรพั ยข องนายหมดแลว. \" จึงพดู วา \" ทรัพยข องภรรยาของขา ไมม หี รอื ? \" เมื่อเขาเรยี นวา\" ยังมีนาย \" จึงบอกวา \" ถากระนั้น จงเอาทรพั ยนน้ั มา, \" ไดย งั ทรัพย

พระสุตตนั ตปฎก ขุททกนกิ าย คาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๓ - หนาที่ 183แมน ้นั ใหส ิน้ ไปแลวอยา งนน้ั เหมือนกนั แลว ขายสมบตั ขิ องตนท้ังหมดคอืนา สวนดอกไม สวนผลไม ยานพาหนะ เปน ตนบาง โดยท่สี ุดภาชนะเครอ่ื งใชบาง เครือ่ งลาด ผาหม และผาปูนั่งบา ง โดยลําดับเค้ียวกนิ . เศรษฐีตองเที่ยวขอทาน คร้นั ในเวลาทเ่ี ขาแกล ง เจาของเรือนจงึ ไลเ ขาออกจากเรอื น ท่ีเขามีโภคะหมดแลว ขายเรอื นของตวั (แตยงั ) ถอื อาศัยอยูกอ น. เขาพาภรรยาไปอาศยั เรอื นของชนอ่ืนอยู ถอื ชิ้นกระเบ้ืองเทีย่ วไปขอทานปรารภจะบริโภคภตั ท่เี ปนเดนของชนแลว . ครั้งน้นั พระศาสดาทอดพระเนตรเห็นเขายืนอยูทป่ี ระตโู รงฉนั คอยรบั โภชนะทีเ่ ปนเดนอนั ภิกษุหนุม และสามเณรใหในวนั หนงึ่ จงึ ทรงแยมพระโอษฐ ลําดับน้นัพระอานนทเถระทูลถามถึงเหตุทที่ รงแยม กะพระองค. พระศาสดา เมอ่ืจะตรสั บอกเหตทุ ี่ทรงแยม จึงวา \" อานนท เธอจงดบู ตุ รเศรษฐีผูมที รพั ยม ากผูน ้ี ผลาญทรัพยเสีย ๑๖๐ โกฏิ พาภรรยาเท่ียวขอทานอยูในนครนแ้ี ล: กถ็ า บุตรเศรษฐีไมผลาญทรัพยใหหมดส้นิ จกั ประกอบการงานในปฐมวัย กจ็ กั ไดเ ปน เศรษฐีชนั้ เลศิ ในนครนี้แล และถา จกัออกบวช, กจ็ กั บรรลุอรหตั . แมภรรยาของเขากจ็ กั ดาํ รงอยูใ นอนาคามผิ ล.ถาไมผลาญทรพั ยใหหมดไป จกั ประกอบการงานในมชั ฌิมวัย. จกั ไดเปนเศรษฐีช้ันที่ ๒. ออกบวชจักไดเปนอนาคาม.ี แมภรรยาของเขาก็จกั ดาํ รงอยใู นสกทาคามผิ ล. ถา ไมผ ลาญทรพั ยใ หสนิ้ ไป ประกอบการงานในปจฉิมวัยจกั ไดเ ปน เศรษฐีชัน้ ท่ี ๓ แมอ อกบวช ก็จักไดเปน สกทาคามี,แมภ รรยาของเขาก็จกั ดํารงอยูใ นโสดาปตติผล. แตเ ด๋ยี วน้บี ุตรเศรษฐนี ่ัน

พระสตุ ตันตปฎก ขทุ ทกนิกาย คาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๓ - หนาท่ี 184ทง้ั เสอ่ื มแลว จากโภคะของคฤหัสถ ทง้ั เส่อื มแลว จากสามัญผล. ก็แลครั้นเส่ือมแลว จงึ เปน เหมือนนกกะเรยี นในเปอกตมแหง ฉะน้ัน \" ดงั นแ้ี ลวจึงตรสั พระคาถาเหลานีว้ า ๙. อจริตฺวา พฺรหฺมจรยิ  อลทฺธนา โยพพฺ เน ธน ชิณฺณโกฺจาว ณายนตฺ ิ ขีณมจเฺ ฉว ปลฺลเล อจรติ วฺ า พฺรหฺมจริย อลทฺธา โยพฺพเน ธน เสนฺติ จาปาตขิ ณี าว ปรุ าณานิ อนุตถฺ ุน . \" พวกคนเขลา ไมประพฤตพิ รหมจรรย ไมไ ด ทรพั ยในคราวยงั เปนหนุม สาว ยอ มซบเซาดงั นก กะเรยี นแก ซบเซาอยูใ นเปอกตมทห่ี มดปลาฉะนั้น. พวกคนเขลา ไมป ระพฤตพิ รหมจรรย ไมไดท รัพย ในคราวยังเปนหนมุ สาว ยอมนอนทอดถอนถงึ ทรพั ย เกา เหมือนลกู ศรทตี่ กจากแลงฉะนน้ั . แกอรรถ บรรดาบทเหลานัน้ บทวา อจริตฺวา ความวา ไมอ ยูพรหมจรยิ าวาส.บทวา โยพพฺ เน ความวา ไมไดแมท รพั ยใ นเวลาทต่ี นสามารถ เพอ่ื จะยงัโภคะท่ียงั ไมเกิดใหเ กิดขึ้น หรือเพ่ือตามรกั ษาโภคะทีเ่ กดิ ข้ึนแลว . บทวาขีณมจฺเฉ ความวา คนเขลาเหน็ ปานนนั้ น่ัน ยอมซบเซา ดังนกกะเรยี นแกมขี นเปยกอันเห้ียนเกรียน ซบเซาอยใู นเปอกตม. ท่ีช่อื วาหมดปลาแลวเพราะไมมีน้ํา. มีคาํ อธิบายกลา วไวดังน้ีวา \" อนั ความไมมที ่อี ยขู องคนเขลาเหลานี้ เหมอื นความไมมีน้าํ ในเปอ กตม. ความไมม ีโภคะของคนเขลาเหลาน้ี เหมอื นความหมดปลา, ความไมสามารถจะรวบรวมโภคะไวไ ด

พระสตุ ตันตปฎ ก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๓ - หนา ท่ี 185โดยทางน้ําหรือทางบกเปน ตนในกาลบดั นแ้ี ล ของคนขลาเหลา น้ี เหมอื นความไมมีการโผข้นึ แลวบนิ ไปแหง นกกะเรียนทม่ี ีขนปก อนั เหย้ี น; เพราะฉะน้นั คนเขลาเหลาน้ี จึงนอนซบเซาอยใู นท่นี เ้ี อง เหมอื นนกกะเรียนมขี นปก อนั เห้ียนแลวฉะนัน้ . บทวา จาปาตขิ ณี าว ความวา หลุดจากแลง คือพนแลวจากแลง . มคี าํ อธบิ ายกลาวไวดังน้ีวา \" ลกู ศรพนจากแลงไปตามกาํ ลังตกแลว . เมือ่ ไมม ใี ครจบั มนั ยกข้นึ . มันกต็ องเปนอาหารของหมูปลวกในท่นี ้ันเอง ฉันใด; ถึงคนเขลาเหลา นี้ ก็ฉันน้ัน ลวง ๓ วัยไปแลว กจ็ กัเขา ถึงมรณะ เพราะความไมสามารถจะยกตนขน้ึ ไดในกาลบัดนี;้ เพราะ-ฉะนั้น พระผมู พี ระภาคเจาจงึ ตรัสวา เสนตฺ ิ จาปาตขิ ีณาว. \" บาทพระคาถาวา ปรุ าณานิ อนตุ ถฺ นุ  ความวา ยอมนอนทอดถอนคือเศรา โศกถงึ การกนิ การด่มื การฟอน การขับ และการประโคมเปนตน ทค่ี นทําแลว ในกาลกอนวา \" พวกเรา กนิ แลว อยางนี,้ ดม่ื แลวอยาน้ี.\" ในกาลจบเทศนา ชนเปน อนั มากบรรลอุ รยิ ผลทั้งหลาย มโี สดา-ปต ติผลเปน ตน ดงั น้ีแล. เรือ่ งบตุ รเศรษฐมี ีทรัพยม าก จบ. ชราวรรควรรณนา จบ. วรรคท่ี ๑๑ จบ

พระสุตตนั ตปฎก ขุททกนกิ าย คาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๓ - หนาท่ี 186 คาถาธรรมบท อัตวรรค๑ที่ ๑๒ วา ดวยเรอ่ื งตน [๒๒] ๑. ถาบุคคลทราบตนวา เปนท่ีรัก พงึ รักษาตนนน้ั ใหเปน อนั รกั ษาดว ยดี บณั ฑติ พงึ ประคับประคอง(ตน) ตลอดยามทั้งสาม ยามใดยามหนง่ึ . ๒. บัณฑติ พงึ ต้ังตนน่ันแล ในคุณอนั สมควร กอ นพึงสัง่ สอนผอู น่ื ในภายหลงั จะไมพงึ เศราหมอง. ๓. ถาผูอ นื่ พรา่ํ สอนผอู ื่นอยฉู ันใด พึงทาํ ตาม ฉนั นน้ั บุคคลผมู ีตนฝกดีแลวหนอ (จึง) ควรฝก (ผอู ่ืน) เพราะวาไดยนิ วา ตนฝกฝนไดโ ดยยาก. ๔. ตนแลเปน ที่พ่ึงของตน บคุ คลอื่นใครเลา พงึ เปนทีพ่ งึ่ ได เพราะบุคคลมตี นฝก ฝนดีแลว ยอมได ทพี่ ึง่ ท่บี คุ คลไดโดยยาก. ๕. บาปอนั ตนทาํ ไวเอง เกิดในตน มีตนเปน แดนเกิด ยอมย่าํ ยีบคุ คลผมู ีปญ ญาทราม ดจุ เพชร ยา่ํ ยีแกว มณี อนั เกดิ แตหนิ ฉะน้นั . ๖. ความเปนผูทุศีลลวงสวน รวบรดั (อตั ภาพ) ของบคุ คลใด ดจุ เถายานทราย รัดรึงตน สาละฉะน้ัน บคุ คลนั้น ยอมทาํ ตนอยางเดียวกนั กับทโ่ี จรหัวโจก ปรารถนาทาํ ใหตนฉะน้นั .๑. วรรคนีม้ ีอรรถกถา ๑๐ เร่ือง.

พระสุตตันตปฎ ก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๓ - หนา ท่ี 187 ๗. กรรมอันไมด ี และไมเ ปนประโยชนแกต นคนทํางาย กรรมใดแลเปน ประโยชนแ กตน และดีกรรมนน้ั แลทํายากอยางยงิ่ . ๘. บุคคลใดปญญาโฉด อาศยั ทฏิ ฐอิ ันชั่วชาคัดคา นคําสง่ั สอนของพระอรยิ บคุ คลผอู รหนั ต มปี กติเปน อยูโดยธรรม บคุ คลนนั้ ยอมเกดิ มาเพอื่ มาฆา ตนเหมอื นขยุ แหง ไมไผ. ๙. บาปอนั ผูใ ดทําแลวดวยตนเอง ผนู ัน้ ยอมเศราหมองดวยตน บาปอันผูใดไมทําดว ยตน ผูน้ันยอ มบริสุทธิ์ดวยตนเอง ความบรสิ ทุ ธไ์ิ มบริสุทธิ์เปนของเฉพาะตน คนอน่ื ทาํ คนอน่ื ใหบริสุทธ์ไิ มไ ด. ๑๐. บคุ คลไมพงึ ยงั ประโยชนข องตนใหเ ส่ือมเสยี เพราะประโยชนข องคนอน่ื แมม าก รูจักประโยชนของตนแลว พงึ เปน ผขู วนขวายในประโยชนข องตน. จบอัตตวรรคท่ี ๑๒

พระสุตตันตปฎ ก ขทุ ทกนิกาย คาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๓ - หนาที่ 188 ๑๒. อตั ตวรรควรรณนา ๑. เร่ืองโพธริ าชกุมาร [๑๒๗] ขอความเบอ้ื งตน พระศาสดาเมอ่ื ประทบั อยใู นเภสกฬาวัน ทรงปรารภโพธริ าชกุมารตรัสพระธรรมเทศนาน้ีวา \" อตตฺ านฺเจ \" เปนตน . โพธริ าชกมุ ารสรางปราสาทแลว คดิ ฆานายชาง ดงั ไดส ดับมา โพธริ าชกมุ าร รบั สั่งใหส รา งปราสาท ชอ่ื โกกนทมรี ปู ทรงไมเหมือนปราสาทอนื่ ๆ บนพื้นแผนดนิ ปานดงั ลอยอยูในอากาศแลว ตรสั ถามนายชางวา \" ปราสาทท่ีมีรปู ทรงอยางน้ี เธอเคยสรางในท่ีอื่นบา งแลว หรือ ? หรือวานเ้ี ปนศลิ ปะครั้งแรกของเธอทเี ดยี ว \" เมือ่ เขาทลู วา \" ขา แตส มมตเิ ทพ นีเ้ ปน ศิลปะคร้ังแรกทีเดยี ว \" ทา วเธอทรงดาํ รวิ า \" ถา นายชางผูนี้จักสรา งปราสาทมีรูปทรงอยา งนี้แมแกคนอน่ื ไซร,ปราสาทนก้ี ็จักไมนา อศั จรรย; การทีเ่ ราฆานายชางนีเ้ สีย ตดั มอื และเทาของเขา หรือควักนัยนตาทง้ั สองเสยี ยอ มควร; เม่ือเปนเชน นั้น เขาจะสรา งปราสาทแกคนอน่ื ไมได ทา วเธอตรสั บอกความนน้ั แกม าณพนอยบตุ รของสัญชวี ก ผูเปนสหายรกั ของตน. นายชา งทํานกครฑุ ข่หี นีภัย มาณพนอยนนั้ คดิ วา \" พระราชกุมารพระองคน ี้ จักผลาญนายชา งใหฉบิ หายอยา งไมตองสงสัย, คนผมู ีศิลปะเปนผูห าคามิได, เม่ือเรายงั มอี ยูเขาจงอยา ฉบิ หาย. เราจักใหสัญญาแกเ ขา.\" มาณพนอยน้นั เขา ไปหาเขา

พระสตุ ตันตปฎก ขุททกนกิ าย คาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๓ - หนาที่ 189แลว ถามวา \" การงานของทานท่ปี ราสาทสาํ เรจ็ แลว หรอื ยัง ? \" เม่อื เขาบอกวา \" สาํ เร็จแลว . \" จงึ กลา ววา \" พระราชกมุ ารมพี ระประสงคจะผลาญทา นใหฉบิ หาย. เพราะฉะนัน้ ทา นพงึ รกั ษาตน (ใหดี). \" นายชางพดู วา \" นาย ทา นบอก ( ความน้ัน ) แกข า พเจา ทาํ กรรมอนั งามแลว. ขา พเจาจกั ทราบกิจทีค่ วรทําในเรื่องนี้ ดงั นีแ้ ลว อันพระราชกุมารตรัสถามวา \" สหาย การงานของทา นท่ปี ราสาทของเราสําเรจ็ แลว หรือ ? \" จึงทูลวา \" ขาแตส มมติเทพ การงาน (ทปี่ ราสาท)ยังไมส าํ เร็จกอน. ยงั เหลืออกี มาก. \" ราชกมุ าร. ชื่อวา การงานอะไร ? ยงั เหลือ. นายชา ง. ขาแตสมมติเทพ ขา พระองคจ ะทลู (ใหทรงทราบ)ภายหลงั . ขอพระองคจ งตรัสส่ังใหใ คร ๆ ขนไมม ากอ นเถดิ . ราชกมุ าร. จะใหขนไมช นดิ ไหนมาเลา ? นายชา ง. ไมแ หง หาแกนมไิ ด พระเจาขา . ทาวเธอไดรับส่งั ใหข นมาใหแ ลว. ลาํ ดับนนั้ นายชา งทูลพระราช-กุมารนัน้ วา \" ขาแตส มมตเิ ทพ จําเดมิ แตนี้ พระองคไมพ ึงเสด็จมายังสาํ นกัของขา พระองค. เพราะเมื่อขา พระองคทํางานทล่ี ะเอยี ดอยู เมอ่ื มีการสนทนากบั คนอ่นื ความฟุง ซา นกจ็ ะม.ี อน่งึ เวลารับประทานอาหารภรรยาของขา พระองคเทานนั้ จกั นาํ อาหารมา. \" พระราชกุมารทรงรับวา\" ดีแลว. \" ฝา ยนายชางนงั่ ถากไมเหลานั้นอยใู นหอง ๆ หน่งึ ทาํ เปนนกครุฑควรทบ่ี ุตรภรรยาของตนน่ังภายในได ในเวลารับประทานอาหาร สง่ัภรรยาวา \" เธอจงขายของทุกสง่ิ อนั มอี ยใู นเรอื นแลว รับเอาเงินและทองไว.\"

พระสุตตนั ตปฎ ก ขุททกนกิ าย คาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๓ - หนา ที่ 190 นายชา งพาครอบครวั หนี ฝา ยพระราชกมุ าร รับส่ังใหล อ มเรอื นไว ทรงจัดตงั้ การรักษาเพอ่ืประโยชนจะไมใ หนายชางออกไปได. แมนายชา ง ในเวลาทนี่ กสาํ เร็จแลว สั่งภรรยาวา \" วันนี้ หลอนพึงพาเด็ก แมท งั้ หมดมา \" รับประทานอาหารเชา เสรจ็ แลว ใหบ ุตรและภรรยานัง่ ในทองนก ออกทางหนาตา งหลบหนีไปแลว. เมื่อพวกอารักขาเหลานัน้ พิไรราํ พนั ทูลวา \" ขอเดชะสมมติเทพนายชางหลบหนีไปได \" ดังนอี้ ยูนน่ั แหละ นายชา งนัน้ ก็ไปลงทีห่ มิ วันตประเทศ สรางนครขนึ้ นครหนึง่ ไดเ ปน พระราชา ทรงพระนามวา กัฏฐวาหนะ๑ ในนครนน้ั . พระศาสดาไมทรงเหยียบผา ท่ีลาดไว ฝา ยพระราชกมุ าร ทรงดําริวา \" เราจะทาํ การฉลองปราสาท จึงตรสั สัง่ ใหนิมนตพ ระศาสดา ทรงทําการประพรมในปราสาทดวยของหอมทผี่ สมกนั ๔ อยาง ทรงลาดแผน ผา นอย ตง้ั แตธ รณีแรก. ไดย ินวา ทาวเธอไมมีพระโอรส, เพราะฉะน้ัน จงึ ทรงดาํ ริวา \" ถาเราจกั ไดบ ตุ รหรอืธิดาไซร. พระศาสดาจักทรงเหยยี บแผน ผานอ ยน้ี แลว จึงทรงลาด. ทา วเธอ เมอื่ พระศาสดาเสด็จมา ถวายบังคมพระศาสดาดว ยเบญจางคประดษิ ฐแลว รบั บาตร กราบทูลวา \" ขอเชญิ พระองคเสด็จเขาไปเถดิ พระเจา ขา \"พระศาสดาไมเสด็จเขา ไป. ทาวเธอทรงออนวอนถึง ๒ - ๓ ครงั้ พระ-ศาสดากย็ งั ไมเ สดจ็ เขา ไป ทรงแลดูพระอานนท. พระเถระทราบความทไ่ี มท รงเหยียบผาทัง้ หลาย ดว ยสญั ญาทพี่ ระองคทรงแลดูนน่ั เอง จึงทลู ใหพระราชกุมารเก็บผา ท้ังหลายเสยี ดว ยคําวา๑. ผมู ที อ นไมเปนพาหนะ หรอื ผูมพี าหนะอนั ทาํ ดว ยทอ นไม.

พระสตุ ตนั ตปฎ ก ขทุ ทกนกิ าย คาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๓ - หนา ที่ 191\" พระราชกมุ าร ขอพระองคทรงเก็บผาทงั้ หลายเสียเถดิ . พระผูมพี ระ-ภาคเจา จกั ไมท รงเหยียบแผน ผา , (เพราะ) พระตถาคตทรงเล็งดูหมูช นผเู กดิ ภายหลงั .\" พระศาสดาตรสั บอกเหตุที่ไมท รงเยียบผา ทาวเธอทรงเก็บผา ทั้งหลายแลว ทูลอาราธนาพระศาสดาใหเ สด็จเขาไปภายใน ทรงเลีย้ งดูใหอ่มิ หนาํ ดวยยาคแู ละของเคยี้ ว แลวนั่งอยู ณสว นขางหนง่ึ ถวายบังคมแลว ทลู วา \" ขาแตพระองคผ เู จรญิ หมอมฉันเปนอปุ ฏ ฐากของพระองค ถึง (พระองค) วาเปน ท่ีพงึ่ ถึง ๓ ครัง้ แลว(คือ) นัยวา ขาพระองคอ ยูในทอ ง ถงึ (พระองค) วาเปนท่พี ึ่งครง้ั ท่ี ๑,แมค ร้ังที่ ๒ ในเวลาท่หี มอมฉนั เปนเดก็ รุน หนมุ , แมครั้งที่ ๓ ในกาลท่หี มอมฉนั ถึงความเปนผูร ูดีรูช่ัว; พระองคไมทรงเหยียบแผน ผา นอ ยของหมอมฉันนนั้ เพราะเหตุอะไร ? \" พระศาสดา. ราชกมุ าร กพ็ ระองคทรงดาํ รอิ ยางไร ? จงึ ลาดแผนผานอ ย. ราชกมุ าร. ขา แตพระองคผูเจรญิ หมอมฉันคิดดังนีว้ า \" ถา เราจกั ไดบ ตุ รหรือธดิ าไซร. พระศาสดาจกั ทรงเหยียบแผน ผานอยของเรา.\"แลวจึงลาดแผนผานอย. พระศาสดา. ราชกมุ าร เพราะเหตนุ ั้น อาตมภาพจึงไมเ หยยี บ. ราชกมุ าร. ขาแตพระองคผ เู จริญ กห็ มอมฉันจกั ไมไ ดบ ุตรหรอืธิดาเลยเทยี วหรือ ? พระศาสดา. อยา งน้นั ราชกมุ าร. ราชกุมาร. เพาระเหตุไร ? พระเจา ขา .

พระสตุ ตันตปฎ ก ขทุ ทกนกิ าย คาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๓ - หนาที่ 192 พระศาสดา. เพราะความท่พี ระองคก ับพระชายา เปน ผูถึงความประมาทแลว ในอัตภาพกอน. ราชกมุ าร. ในกาลไหน ? พระเจา ขา . บรุ พกรรมของโพธริ าชกุมาร ลําดบั นัน้ พระศาสดาทรงนําอดตี นิทาน มาแสดงแดพ ระราชกมุ ารน้นั :- ดงั ไดสดบั มา ในอดีตกาล มนุษยหลายรอยคนแลนเรือลาํ ใหญไปสูม หาสมทุ ร. เรอื อับปางในกลางสมุทร สองสามีภรรยาควาไดเ เผนกระดานแผน หนึ่ง (อาศัย) วา ยเขา ไปสเู กาะนอ ยอนั มใี นระหวา ง มนษุ ยทเี่ หลอื ทง้ั หมดตายในมหาสมุทรนัน้ นั่นแล. ก็หมนู กเปนอันมากอยท่เี กาะน้นั แล เขาทัง้ สองไมเหน็ ส่ิงอน่ื ทคี่ วรกนิ ได ถกู ความหวิ ครอบงําแลวจึงเผาฟองนกท้ังหลายทีถ่ านเพลงิ แลว เค้ยี วกิน. เม่ือฟองนกเหลาน้ันไมเพยี งพอ กจ็ ับลูกนกทัง้ หลายปงกิน. เม่ือลูกนกเหลา นั้นไมเ พียงพอก็จบั นกทัง้ หลาย (ปง ) กนิ . ในปฐมวยั ก็ดี มชั ฌมิ วัยก็ดี ปจฉิมวัยก็ดีไดเคย้ี วกินอยางนแ้ี หละ. แมในวนั หน่ึง กม็ ิไดถึงความไมป ระมาท อน่งึบรรดาชน ๒ คนน้ัน เเมคนหนงึ่ ไมไ ดถ ึงความไมป ระมาท. พงึ รักษาตนไวใ หด ีในวยั ทัง้ สาม พระศาสดา ครั้นทรงแสดงบรุ พกรรมนี้ ของโพธริ าชกมุ ารนั้นแลวตรสั วา \" ราชกุมาร กใ็ นกาลนน้ั ถา พระองคกับภรรยาจักถงึ ความไมประมาท แมในวยั หน่ึงไซร บตุ รหรือธิดาพึงเกิดข้ึนแมใ นวยั หนึ่ง; ก็ถาบรรดาทานท้ังสองแมค นหนึง่ จักไดเปนผไู มป ระมาทแลว ไซร. บุตรหรือธดิ า จกั อาศัยผูไมป ระมาทน้นั เกดิ ขึน้ , ราชกุมาร ก็บุคคลเม่อื สําคัญตน

พระสตุ ตันตปฎ ก ขทุ ทกนกิ าย คาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๓ - หนา ท่ี 193อยูวา เปน ทร่ี ัก พงึ ไมป ระมาท รกั ษาตนแมใ นวัยทง้ั สาม เมอ่ื ไมอาจ(รักษา) ไดอยางนั้น พงึ รักษาใหไดแ มในวัยหนง่ึ \" ดงั นีแ้ ลว จงึ ตรัสพระคาถาน้วี า :- ๑. อตฺตานฺเจ ปย  ชญฺ า รกฺเขยยฺ น สุรกขฺ ิต ตณิ ณฺ  อฺญตร ยาม ปฏชิ คฺเคยฺย ปณฺฑิโต. \" ถาบุคคลทราบตนวา เปน ทรี่ ัก พงึ รกั ษาตนนัน้ ใหเปนอนั รักษาดวยด,ี บัณฑติ พึงประคบั ประคอง (ตน) ตลอดยามท้งั สาม ยามใดยามหนงึ่ .\" แกอ รรถ บรรดาบทเหลาน้นั บทวา ยาม น้ี พระศาสดาทรงแสดงทําวัยทั้ง๓ วัยดว ยหนึ่งใหช ือ่ วา ยาม เพราะความท่พี ระองคทรงเปนใหญใ นธรรมและเพราะความทีพ่ ระองคทรงฉลาดในเทศนาวิธี เพราะเหตุนั้น ในพระ-คาถาน้ี บัณฑติ พึงทราบเนือ้ ความอยางนนั้ วา \" ถาบคุ คลทราบตนวา เปนท่รี ัก. พึงรกั ษาตนนัน้ ใหเ ปน อันรกั ษาดแี ลว ; คอื พงึ รักษาตนน้นั โดยประการที่ตนเปน อันรักษาดีแลว.\" บรรดาชนผรู กั ษาตนเหลาน้นั ถาผเู ปน คฤหัสถคดิ วา ' จกั รักษาตน 'ดงั นแี้ ลว เขา ไปสูหอ งท่ีเขาปด ไวใ หเรียบรอ ย เปน ผมู อี ารกั ขาสมบูรณอยบู นพน้ื ปราสาทช้นั บนก็ดี. ผูเปน บรรพชิต อยูในถ้าํ อันปดเรียบรอ ยมีประตแู ละหนาตางอนั ปด แลว กด็ ี ยังไมช ่อื วา รกั ษาตนเลย. แตผเู ปนคฤหัสถท ําบุญทั้งหลายมีทาน ศลี เปนตนตามกําลงั อยู. หรือผูเปนบรรพชิตถึงความขวนขวายในวตั ร ปฏวิ ตั ร ปรยิ ตั ิ และการทําไวใ นใจอยู ชอื่ วายอมรักษาตน.

พระสตุ ตนั ตปฎก ขทุ ทกนกิ าย คาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๓ - หนาที่ 194 บุรุษผเู ปน บัณฑิต เม่ือไมอาจ (ทาํ ) อยา งน้นั ไดใ นวัย (ตอ ง)ประคับประคองตนไว แมในวัยใดวยั หนึง่ กไ็ ดเ หมอื นกนั . กถ็ าผูเปนคฤหสั ถ ไมอ าจทาํ กุศลไดในปฐมวยั เพราะความเปน ผูห มกมุนอยใู นการเลน ไซร. ในมชั ฌิมวยั พงึ เปน ผไู มประมาทบําเพ็ญกศุ ล. ถาในมัชฌมิ วัยยงั ตองเลี้ยงบตุ รและภรรยา ไมอ าจบําเพ็ญกศุ ลไดไ ซร. ในปจ ฉมิ วัย พงึบําเพ็ญกศุ ลใหได. ดวยอาการแมอ ยางนี้ ตนตอ งเปนอันเขาประคบัประคองแลว ทีเดยี ว. แตเมื่อเขาไมทําอยางนนั้ ตนยอ มชือ่ วา ไมเ ปนทรี่ ัก.ผนู ้ัน (เทากับ) ทําตนนน้ั ใหมีอบายเปนที่ไปในเบ้ืองหนาทีเดยี ว. กถ็ า วา บรรพชติ ในปฐมวัยทําการสาธยายอยู ทรงจํา บอก ทาํวตั รและปฏวิ ตั รอยู เช่ือวาถงึ ความประมาท ในมัชฌิมวัย พงึ เปนผูไมประมาท บําเพ็ญสมณธรรม. อน่งึ ถา ยังสอบถามอรรถกถาและวินจิ ฉยั และเหตแุ หง พระปรยิ ัติอันตนเรยี นแลวในปฐมวยั อยู ชอ่ื วาถงึ ความประมาท ในมัชฌมิ วัย. ในปจ ฉิมวัย พงึ เปนผูไ มประมาทบําเพญ็ สมณธรรม. ดว ยอาการแมอ ยางนี้ตนยอ มเปนอันบรรพชิตนั้น ประคบั ประคองแลวทีเดยี ว. แตเมอ่ื ไมทําอยา งนั้น ตนยอ มชือ่ วา ไมเปนท่รี กั . บรรพชติ น้ัน (เทา กบั ) ทาํ ตนนัน้ใหเ ดอื ดรอ น ดว ยการตามเดือดรอนในภายหลังแท. ในกาลจบเทศนา โพธริ าชกมุ ารตงั้ อยูในโสดาปต ตผิ ลแลว พระ-ธรรมเทศนาไดส ําเร็จประโยชน แมแ กบ ริษัททีป่ ระชุมกนั แลว ดังนแี้ ล. เรือ่ งโพธริ าชกุมาร จบ.

พระสุตตันตปฎก ขทุ ทกนิกาย คาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๓ - หนาท่ี 195 ๒. เร่อื งพระอุปนันทศากยบุตร [๑๒๘] ขอความเบ้อื งตน พระศาสดา เมื่อประทบั อยูใ นพระเชตวนั ทรงปรารภพระอุป-นันทศากยบุตร ตรัสพระธรรมเทศนานี้วา \" อตตฺ านเมว ปม \" เปน ตน. พระเถระออกอบุ ายหาลาภ ดังไดสดบั มา พระเถระนนั้ ฉลาดกลาวธรรมกถา. ภิกษุเปนอนั มากฟง ธรรมกถาอันปฏสิ งั ยุตดวยความเปน ผูมีความปรารถนานอยเปน ตน ของทา นแลว จึงบชู าทานดว ยจวี รทงั้ หลาย สมาทานธดุ งค. พระอุปนันทะนนั้รูปเดียว รับเอาบรขิ ารทภ่ี กิ ษุเหลานัน้ สละแลว . เมอ่ื ภายในกาลฝนหนง่ึ ใกลเขา มา พระอุปนันทะนน้ั ไดไปสชู นบทแลว. ลาํ ดับน้ัน ภิกษุหนุมและสามเณรในวิหารแหงหน่งึ กลา วกะทานดวยความรักในธรรมกถึกวา \" ทานผเู จริญ ขอทา นจงเขา พรรษาในทน่ี ้ีเถิด. \" พระอุปนนั ทะถามวา \" ในวหิ ารน้ี ไดผาจํานําพรรษาก่ีผนื ? \"เมื่อภกิ ษเุ หลา นน้ั ตอบวา \" ไดผ า สาฎกองคละผนื \" จงึ วางรองเทา ไวในวหิ ารนน้ั ไดไปวิหารอื่น, ถงึ วิหารที่ ๒ แลวถามวา \" ในวหิ ารนี้ ภิกษุทัง้ หลายไดอ ะไร ? \" เมอ่ื พวกภิกษตุ อบวา \" ไดผ าสาฎก ๒ ผนื \" จงึ วางไมเ ทาไว. ถงึ วิหารที่ ๓ ถามวา \" ในวิหารนี้ ภกิ ษุท้ังหลายไดอะไร \"เม่ือพวกภกิ ษุตอบวา \" ไดผ าสาฎก ๓ ผนื . \" จึงวางลักจัน่ น้ําไว; ถึงวิหารท่ี ๔ ถามวา \" ในวหิ ารนี้ ภิกษทุ ง้ั หลายไดอ ะไร ? \" เม่อื พวกภิกษุตอบวา \" ไดผา สาฎก ๔ ผนื . \" จงึ กลา ววา \" ดลี ะ เราจักอยูในทนี่ ี้ \"ดังนี้แลว เขา พรรษาในวหิ ารนั้น กลา วธรรมกถาแกค ฤหัสถเเละภกิ ษุท้งั หลายน่ันแล. คฤหัสถและภิกษทุ ง้ั หลายเหลาน้ัน บชู าพระอุปนันทะ

พระสตุ ตันตปฎ ก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๓ - หนาท่ี 196นัน้ ดว ยผาและจวี รเปน อนั มากทีเดียว. พระอุปนนั ทะนั้นออกพรรษาแลวสง ขา วไปในวหิ ารแมนอกนวี้ า \" เราควรไดผ าจาํ นาํ พรรษา เพราะเราวางบรขิ ารไว, ภกิ ษุท้ังหลายจงสง ผาจํานําพรรษาใหเ รา \" ใหน ําผาจาํ นาํพรรษาทง้ั หมดมาแลว บรรทุกยานนอ ยขับไป. พระอปุ นันทะตดั สินขอพพิ ากษา ครั้งน้นั ภิกษุหนมุ ๒ รปู ในวิหารแหงหนึง่ ไดผ าสาฎก ๒ ผนืและผา กมั พลผนื หนงึ่ ไมอาจจะแบง กันไดวา \" ผาสาฎกจงเปนของทาน,ผากัมพลเปน ของเรา \" นั่งทะเลาะกนั อยูใกลห นทาง. ภกิ ษุหนุม ๒ รูปน้นัเห็นพระเถระนั้นเดินมา จึงกลาววา \" ขอทา นจงชว ยแบงใหแกพ วกผมเถดิ ขอรบั . \" เถระ. พวกคณุ จงแบงกนั เองเถิด. ภกิ ษ.ุ พวกผมไมสามารถ ขอรบั ขอทานจงแบงใหพวกผมเถดิ . เถระ. พวกคณุ จกั ต้ังอยใู นคําของเราหรือ ? ภิกษุ. ขอรับ พวกผมจักตงั้ อยู. พระเถระน้นั กลาววา \" ถา กระน้นั ดีละ \" ใหผ า สาฎก ๒ ผนื แกภกิ ษหุ นมุ ๒ รูปนั้นแลว กลาววา \" ผา กัมพลผนื น้ี จงเปน ผา หมของเราผูกลาวธรรมกถา \" ดงั น้ีแลว กถ็ อื เอาผากัมพลมคี า มากหลกี ไป. พวกภกิ ษุหนุมเปน ผเู ดือดรอน ไปสูสาํ นักพระศาสดา กราบทลู เนือ้ ความน้ันแลว. บุรพกรรมของพระอปุ นันทะ พระศาสดา ตรัสวา \" ภิกษทุ ง้ั หลาย อปุ นนั ทะนีถ้ อื เอาของ ๆ พวก

พระสตุ ตนั ตปฎ ก ขุททกนกิ าย คาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๓ - หนา ที่ 197เธอ กระทาํ ใหพวกเธอเดอื ดรอนในบดั น้เี ทานนั้ ก็หามไิ ด แมใ นกาลกอ นก็ไดท ําแลวเหมือนกัน \" ดงั นี้แลว ทรงนาํ อดีตนิทานมา (ตรสั ) วา :- กใ็ นอดตี กาล นาก๒ ตัว คอื นากเท่ียวหากินตามริมฝง ๑ นากเที่ยวหากนิ ทางน้าํ ลึก ๑ ไดปลาตะเพียนตวั ใหญ ถึงความทะเลาะกันวา\" ศรี ษะจงเปน ของเรา. หางจงเปนของทาน. \" ไมอ าจจะแบง กันได เห็นสนุ ัขจง้ิ จอกตัวหนงึ่ จึงกลาววา \" ลุง ขอทา นจงชว ยแบงปลานี้ ใหแ กพวกขาพเจา. \" สุนัขจ้ิงจอก. เราอันพระราชาตัง้ ไวในตําแหนงผพู พิ ากษา, เรานัง่ในท่ีวนิ จิ ฉยั นน้ั นานแลว จึงมาเสียเพ่อื ตอ งการเดินเที่ยวเลน .๑ เด๋ยี วนี้โอกาสของเราไมม.ี นาก. ลงุ ทา นอยา ทาํ อยา งนเ้ี ลย. โปรดชวยแบงใหพ วกขา พเจาเถดิ . สนุ ขั จง้ิ จอก. พวกเจาจกั ตง้ั อยูในคําของเราหรือ ? นาก. พวกขา พเจา จกั ตงั้ อยู ลุง. สนุ ขั จ้งิ จอกน้ัน กลาววา \" ถา เชน นั้น ดีละ \" จงึ ไดต ดั ทาํ หวั ไวขา งหนึง่ . หางไวข างหนง่ึ ; กแ็ ลครน้ั ทําแลว จึงกลาววา \" พอทง้ั สองบรรดาพวกเจาทั้งสอง ตัวใดเทีย่ วไปริมฝง ตวั นั้นจงึ ถอื ทางหาง. ตัวใดเที่ยวไปในนํา้ ลกึ . ศรี ษะจงเปน ของตัวนนั้ . สว นทอนกลางนจ้ี ักเปน ของเรา ผูตั้งอยใู นวินิจฉยั ธรรม \" เม่ือจะใหน ากเหลานัน้ ยินยอม จึงกลาวคาถา๒นว้ี า :-๑ . ชงฺฆวิหาร ศัพทน ้ี แปลวา เดินเที่ยวเลน หรอื พกั แขง . ๒. ข.ุ ชา. สัตตก. ๒๗/๒๑๖.อรรถกถา. ๕/๑๓๗.

พระสตุ ตันตปฎก ขทุ ทกนกิ าย คาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๓ - หนาที่ 198 \" หางเปนของนาก ผเู ท่ียวหากนิ ตามรมิ ฝง, ศีรษะ เปน ของนาก ผเู ที่ยวหากนิ ในนาํ้ ลกึ , สวนทอ น กลางนี้ จกั เปนของเรา ผูตัง้ อยใู นธรรม.\"ดังน้แี ลว คาบเอาทอนกลางหลกี ไป. แมน ากทัง้ สองน้นั เดือดรอ น ไดยืนแลดูสุนัขจ้ิงจอกน้ันแลว. พระศาสดา คร้ันทรงแสดงเรื่องอดีตนแ้ี ลว ตรสั วา แมในอดตี กาลอุปนนั ทะน้ไี ดกระทาํ พวกเธอใหเ ดอื ดรอ นอยางน้ีเหมอื นกนั \" ใหภกิ ษเุ หลานน้ั ยินยอมแลว เมือ่ จะทรงตเิ ตยี นพระอปุ นันทะ จงึ ตรัสวา \" ภกิ ษทุ งั้ หลายธรรมดาผจู ะส่ังสอนผูอนื่ พึงใหตนตง้ั อยใู นคุณอนั สมควรเสยี กอนทเี ดยี ว \"ดังนี้แลว ไดตรัสพระคาถานีว้ า:- ๒. อตฺตานเมว ปม ปฏริ เู ป นเิ วสเย อถฺมนสุ าเสยยฺ น กิลสิ เฺ สยยฺ ปณฑฺ โิ ต. \" บัณฑิตพึงตั้งตนน่ันแล ในคณุ อันสมควรกอ น. พงึ สั่งสอนผอู นื่ ในภายหลัง. จะไมพ ึงเศรา หมอง. \" แกอ รรถ บรรดาบทเหลา นัน้ บาทพระคาถาวา ปฏิรเู ป นเิ วสเย ไดแ ก พงึยงั ตนใหตงั้ อยใู นคุณอันสมควร. พระศาสดาตรัสคาํ นวี้ า \" บุคคลใดประสงคจ ะสั่งสอนผอู ่นื ดว ยคณุ มคี วามปรารถนานอยเปนตน หรือดวยปฏปิ ทาของอรยิ วงศเปนตน. บุคคลน้ัน พงึ ยังตนน่นั แลใหต้ังอยูใ นคณุนัน้ กอ น; คร้นั ตั้งตนไวอยา งนนั้ แลว พึงสั่งสอนผูอ่ืน ดวยคณุ นัน้ ในภายหลงั . ดว ยวาบคุ คล เมอ่ื ไมย ังตนใหต้งั อยูในคุณนั้น สอนผูอ ื่นอยา ง

พระสุตตันตปฎก ขทุ ทกนิกาย คาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๓ - หนา ท่ี 199เดยี วเทานน้ั ไดความนินทาจากผอู นื่ แลว ชอ่ื วา ยอมเศราหมอง. บุคคลเมือ่ ยงั ตนใหตัง้ อยใู นคณุ นั้นแลว สงั่ สอนผูอ่ืนอยู ยอ มไดร บั ความสรร-เสริญจากผูอ่นื ; เพราะฉะนน้ั ช่อื วา ยอ มไมเ ศราหมอง. บัณฑิตเมื่อทาํ อยูอยา งนี้ ชือ่ วาไมพ ึงเศราหมอง. ในกาลจบเทศนา ภกิ ษสุ องรูปนนั้ ดาํ รงอยแู ลวในโสดาปต ตผิ ล.เทศนาไดเปน ไปกับดวยประโยชนแ มเเกม หาชน ดังนแ้ี ล. เร่ืองพระอุปนนั ทศากยบุตร จบ.

พระสุตตันตปฎ ก ขุททกนกิ าย คาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๓ - หนาท่ี 200 ๓. เร่ืองพระปธานกิ ติสสเถระ [๑๒๙] ขอความเบ้อื งตน พระศาสดา เม่ือประทับอยูใ นพระเชตวัน ทรงปรารภพระปธานกิ -ตสิ สเถระ ตรสั พระธรรมเทศนานีว้ า \" อตฺตานเฺ จ \" เปนตน . พระปธานกิ ตสิ สเถระดแี ตสอนคนอืน่ ตนไมทํา ดงั ไดสดบั มา พระเถระนั้นเรียนพระกมั มฏั ฐานในสาํ นกั ของพระ-ศาสดาแลว พวกภกิ ษปุ ระมาณ ๕๐๐ รูปไปจําพรรษาในปา กลา วสอนวา\"ผมู อี ายุทั้งหลาย พวกทานเรยี นพระกมั มฏั ฐานในสาํ นักของพระพทุ ธเจาผูท รงพระชนมอย,ู จงเปนผูไมป ระมาท ทําสมณธรรมเถิด\" ดังนแี้ ลวตนเองก็ไปนอนหลับ. ภกิ ษุเหลา นนั้ จงกรมในปฐมยามแลว เขาไปสูวิหารในมัชฌิมยาม. พระเถระนัน้ ไปสสู ํานกั ของภิกษุเหลา นั้น ในเวลาตนนอนหลบั แลว ตน่ื ขนึ้ กลา ววา \"พวกทา นมาดว ยหวังวา 'จกั หลบั นอน' ดังนี้หรอื ? จงรีบออกไปทาํ สมณธรรมเถิด\" ดังนีแ้ ลว ตนเองก็ไปนอนเหมอื นอยางนนั้ นนั่ แล. พวกภิกษนุ อกน้ี จงกรมในภายนอกในมัชฌมิ ยามแลว เขา ไปสูว ิหารในปจฉมิ ยาม. พระเถระน้ัน ตื่นขน้ึ แมอีกแลว ไปสูสํานักของภกิ ษุเหลา น้ัน นําภิกษุเหลา นน้ั ออกจากวหิ ารแลว ตนเองก็ไปนอนหลับเสยี อกี . เม่ือพระเถระนั้นกระทาํ อยอู ยางนัน้ ตลอดกาลเปนนติ ย.ภิกษุเหลานนั้ ไมสามารถจะทาํ การสาธยายหรือทาํ พระกัมมัฏฐานไวใ นใจได.จงึ ไดถงึ ความฟุง ซานแลว . ภิกษุเหลาน้นั ปรึกษากันวา \" อาจารยของพวกเรา ปรารภความเพียรเหลือเกนิ , พวกเราจักคอยจบั ทา น \" เมอื่ คอยจับอยูเห็นกิริยาของพระเถระนน้ั แลว จึงกลาววา \" ผูมอี ายทุ ้งั หลาย พวกเราฉบิ หายแลว , อาจารยข องพวกเรายอ มรอ งเปลา ๆ \" บรรดาภกิ ษุเหลาน้ัน


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook