พระสุตตันตปฎ ก สงั ยุตตนกิ าย นทิ านวรรค เลม ๒ - หนา ที่ 1 พระสตุ ตันตปฎ ก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เลม ที่ ๒ขอนอบนอ มแดพ ระผูมีพระภาคอรหนั ตสมั มาสมั พทุ ธเจา พระองคน้นั ๑. อภิสมยสังยตุ พุทธวรรคท่ี ๑ ๑. เทสนาสตู ร วา ดวยปฏจิ จสมุปบาท [๑] ขาพเจาไดสดบั มาอยางนี้ :- สมัยหนงึ่ พระผูมพี ระภาคเจาประทับอยู ณ พระเชตวนั อารามของทา นอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี. ณ ท่ีนั้น พระผมู ีพระภาคเจาตรัสเรียกภิกษทุ ั้งหลายวา ดกู อนภกิ ษุท้ังหลาย ภกิ ษุเหลานั้น ทลู รบัพระผูมีพระภาคเจา วา พระเจาขา พระผูมีพระภาคเจา ไดตรสั พระพุทธ-ดาํ รสั น้ีวา ดูกอ นภกิ ษุทัง้ หลาย เราจักแสดงปฏิจจสมุปบาทแกเ ธอท้ังหลายเธอทั้งหลายจงฟง ปฏจิ จสมุปบาทนนั้ จงใสใ จใหดเี ถดิ เราจกั กลาว.ภกิ ษุเหลานน้ั ทูลรับพระผมู ีพระภาคเจาแลว. [๒] พระผูม ีพระภาคเจาไดต รัสวา ดกู อ นภกิ ษุทงั้ หลาย ก็
พระสุตตนั ตปฎก สงั ยุตตนิกาย นทิ านวรรค เลม ๒ - หนา ที่ 2ปฏิจจสมุปบาทเปน ไฉน ดูกอนภกิ ษุทง้ั หลาย เพราะอวชิ ชาเปน ปจ จยัจึงมสี งั ขาร เพราะสังขารเปน ปจจัย. จงึ มีวญิ ญาณ เพราะวิญญาณเปนปจจยั จึงมีนามรปู เพราะนามรูปเปนปจจัย จึงมสี ฬายตนะ เพราะสฬายตนะเปน ปจ จัย จงึ มีผัสสะ เพราะผัสสะเปน ปจ จัย จึงมเี วทนาเพราะเวทนาเปน ปจ จัย จงึ มตี ณั หา เพราะตัณหาเปน ปจจัย จึงมีอุปาทานเพราะอุปาทานเปนปจจยั จงึ มีภพ เพราะภพเปนปจจยั จึงมชี าติ เพราะชาติเปนปจจยั จงึ มชี ราและมรณะ โสกปรเิ ทวทุกขโทมนสั และอุปายาสความเกิดขึ้นแหงกองทกุ ขทั้งมวลน้ี ยอ มมีดวยประการอยา งนี้ นเ้ี ราเรียกวาปฏจิ จสมปุ บาท. [๓] กเ็ พราะอวิชชานนั่ แหละดบั ดว ยการสาํ รอกโดยไมเหลือสงั ขารจึงดับ เพราะสังขารดบั วญิ ญาณจงึ ดับ เพราะวิญญาณดับนามรูปจงึ ดบั เพราะนามรปู ดับ สฬายตนะจึงดบั เพราะสฬายตนะดบัผัสสะจึงดบั เพราะผัสสะดบั เวทนาจงึ ดับ เพราะเวทนาดบั ตัณหาจงึ ดับ เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ เพราะอปุ าทานดบั ภพจึงดบัเพราะภพดบั ชาตจิ งึ ดบั เพราะชาตดิ บั ชราและมรณะโสกปริเทวทกุ ข-โทมนัสและอปุ ายาสจึงดับ ความดบั แหง กองทกุ ขทั้งมวลนี้ ยอมมดี ว ยประการอยางน้ี. พระผมู ีพระภาคเจาไดตรสั พระพทุ ธภาษติ นีแ้ ลว ภกิ ษุเหลานนั้ มใี จยินดชี ่นื ชมภาษิตของพระผมู ีพระภาคเจาแลว . จบเทศนาสูตรท่ี ๑
พระสตุ ตันตปฎก สังยตุ ตนิกาย นทิ านวรรค เลม ๒ - หนาที่ 3 สารัตถปกาสนิ ี อรรถกถาสงั ยุตตนกิ าย นทิ านวรรค อภสิ มยสังยตุ พทุ ธวรรคที่ ๑ อรรถกถาปฐมปฏจิ จสมุปบาทสตู รท่ี ๑๑ ขอนอบนอ มแดพ ระผมู ีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพทุ ธเจาพระองคน ้ัน. ปฏจิ จสมุปบาทสูตร๒ พระสตู รแรกในนทิ านวรรคเรมิ่ ตน วาเอวมเฺ ม สตุ ขาพเจาไดฟ ง มาแลว อยางน้ี. ในปฏิจจสมุปบาทสตู รนัน้ พรรณนาตามลําดับบทวา ตตฺร โขภควา ภิกขฺ ู อามนฺเตสิ ดงั ตอ ไปน้ี. บรรดาบทเหลาน้นั บทวา ตตรฺ เปนคําแสดงถงึ เทศะ สถานและกาลเวลา. จรงิ อยู คาํ วา ตตฺร นั้น ยอ มแสดง (ความหมาย) วา ในสมยั ที่พระผูม ีพระภาคเจา ประทับอยู และในพระเชตวันท่พี ระผูม พี ระภาคเจาประทบั อยู หรือแสดงถงึ เทศะ และกาลทส่ี มควรแกค ําที่พระองคค วรตรัส.ดวยวาพระผมู พี ระภาคเจา ไมต รสั ธรรมะ ในเทศะและกาละท่ีไมค วร.ก็ในเรอื่ งนม้ี ีคําวา อกาโล โข ตาว พาหยิ เปนขอสาธก. ศัพทว าโข เปน นิบาต ใชใ นความหมายวา สักวาทาํ บทใหเ ต็มความหมายวาหา มความอ่ืน หรือในความหมายถึงกาลเบ้ืองตน. คาํ วา ภควา เปน๑-๒. บาลีเปน เทศนาสูตร
พระสุตตนั ตปฎก สงั ยตุ ตนิกาย นทิ านวรรค เลม ๒ - หนา ท่ี 4คาํ แสดงวา พระผูมพี ระภาคเจาทรงเปน ครูของชาวโลก. ดวยคําวา ภิกฺขูเปน คําระบุถงึ บุคคลผคู วรแกการฟงพระดํารสั อีกนยั หนึ่ง ในคําวา ภกิ ฺขูน้ี พึงทราบความหมายถอยคาํ โดยนัยเปนตน วา ทชี่ ่ือวา ภกิ ษุ เพราะอรรถวา ขอ ( และ) ทช่ี ื่อวาภิกษุ เพราะอรรถวา เขา ถึงการภิกษาจาร. บทวาอามนฺเตสิ แปลวา ตรัสเรียก คือไดตรัส ไดแก ใหรตู ัว. ในคําวาอามนฺเตสิ น้ี มอี ธบิ ายดังน้ี แตในที่อน่ื มีความหมายวาใหรูเ หมอื นอยา งท่ีตรสั ไวว า ภิกษุทง้ั หลาย เราขอเดอื นเธอท้งั หลาย ภิกษุท้งั หลายเราขอประกาศแกเ ธอท้ังหลาย. มีความหมายวา เรียกก็มี เหมือนอยา งทต่ี รัสไววา มาเถดิ ภิกษุ เธอจงเรียกพระสารบี ุตรมาตามคาํ ของเรา. บทวาภิกขฺ โว เปน บทแสดงอาการ คือการตรัสเรยี ก. ก็คําวา ภกิ ฺขโว น้นัพระผมู พี ระภาคเจา ตรสั แกเ หลาภกิ ษุ เพราะสําเร็จดวยการประกอบดว ยคุณมคี วามเปน ผขู อเปน ปกตกิ ด็ ี ผปู ระกอบดว ยคุณมกี ารขอเปนธรรมดากด็ ี ผูประกอบดวยคุณคือทาํ ความดีในเพราะการขอกด็ ี ช่อื วาภิกษุ เพราะเหตุนน้ั พระผูม ีพระภาคเจา เมอ่ื ทรงประกาศความประพฤติของภิกษุเหลา นน้ั อนั คนช้นั เลวและคนชนั้ ดเี สพแลว ดว ยถอ ยคาํ ท่ีสําเรจ็ดว ยการประกอบดว ยคุณ มีการขอเปนปกติเปนตน จึงทรงทาํ การขมภาวะท่ีเหลาภกิ ษผุ ผู ยองขึน้ เปนตน. อนึง่ ดว ยคาํ วา ภกิ ขฺ โว นี้ ซ่ึงมีการทอดพระเนตรลง อนัแสดงถงึ พระฤทัยอนั เยอื กเยน็ ซึง่ แผซานดว ยพระกรุณา พระผูมีพระ-ภาคเจา ทรงกระทําภิกษเุ หลา นัน้ ใหหนั มาทางพระองค ทรงใหภกิ ษุเหลา นน้ั เกดิ ความเปน ผูใครฟง ดวยพระดํารัสซง่ึ แสดงความเปน ผใู ครจ ะตรัสนนั้ นน่ั แล ทรงประกอบภกิ ษเุ หลาน้นั ไวใ นมนสิการดว ยดี ดวย
พระสุตตันตปฎ ก สงั ยตุ ตนิกาย นทิ านวรรค เลม ๒ - หนา ท่ี 5อรรถคือการปลกุ ใหต น่ื นั่นแล เพราะการทาํ คําสอนใหถงึ พรอม ตอ งประกอบดวยมนสกิ ารใหด ี. หากจะมีคาํ ถามวา เมือ่ มีทวยเทพ และมนษุ ยอื่น ๆ อยู เหตไุ ฉนพระผมู พี ระภาคเจาจงึ ตรัสเรียกแตภ ิกษเุ ทานน้ั . ตอบวา เพราะภกิ ษุเหลา นนั้ เปน หัวหนา เปนผูประเสริฐ อยูใกลและมจี ติ ตัง้ มนั่ แลวในกาลทุกเมอื่ . จรงิ อยู พระธรรมเทศนาของพระผูม-ีพระภาคเจา เปนสาธารณะแกบรษิ ทั ทกุ เหลา . ภกิ ษุทงั้ หลายชอ่ื วา เปนหวั หนาบรษิ ทั เพราะเกดิ ขึน้ กอ น ช่ือวา เปน ผปู ระเสรฐิ เพราะประพฤติคลอยตามพระจริยาวัตรพระศาสดาตง้ั ตน แตความเปน ผูไมมีเรือน และเพราะรบั เอาคําสอน ( ของพระศาสดา) ท้ังสิ้น ช่ือวา เปน ผอู ยูใ กล เพราะนั่งใกลพระศาสดา ( และ ) ชอ่ื วา มจี ิตตัง้ มน่ั แลว ในกาลทุกเม่ือ เพราะเทยี่ วไปในสํานักพระศาสดา. อีกอยางหนึ่ง ภิกษุเหลานน้ั เปนภาชนะรองรับพระธรรมเทศนา เพราะเปน ผูปฏบิ ัตติ ามคําสอน (ของพระศาสดา) และเพราะเปน ผพู เิ ศษ. แมพ ระธรรมเทศนาน้ี ทรงหมายถึงภิกษบุ างพวกเทานั้น. เพราะฉะน้นั จงึ ตรสั เรียกอยา งนี้ ถามวาพระผูมพี ระภาคเจา เมื่อทรงแสดงธรรม ตรสั เรยี กภกิ ษกุ อ น ยอมไมแสดงธรรมเลยเพื่ออะไร. ตอบวา เพือ่ ให (พวกภกิ ษุ) เกดิ สติ(เพราะ) ภกิ ษทุ ้ังหลาย เม่อื คดิ เรือ่ งอ่นื จะนั่งมวั มจี ิตฟงุ ซานบา งมัวพิจารณาธรรมอยูบ าง มัวทาํ ใจในกมั มฏั ฐานบาง เมื่อพระผมู ี-พระภาคเจาไมตรัสเรยี กพวกเธอเลย ทรงแสดงธรรมไป พวกเธอจะไมสามารถก าหนดไดวา พระธรรมเทศนาน้ี มอี ะไรเปน เบือ้ งตน มีอะไรเปนปจ จัย ทรงแสดงเพราะอตั ถุปตติอยา งไหน จะพงึ รบั เอาไดไมดี หรอื
พระสตุ ตนั ตปฎก สงั ยุตตนกิ าย นิทานวรรค เลม ๒ - หนาที่ 6รักเอาไมไดเ ลย เพราะเหตนุ นั้ เพ่ือจะใหภกิ ษุเหลาน้ันเกดิ สติ พระผมู ี-พระภาคเจาจงึ ตรสั เรียกเสยี กอน แลวจงึ แสดงธรรมภายหลงั . คาํ วา ภทนเฺ ต นัน้ เปนคาํ แสดงความเคารพ. อีกอยางหน่ึงคาํ นั้นเปนการใหคําตอบแกพระศาสดา อกี ประการหนง่ึ ในคาํ นี้พระผูมพี ระภาคเจา เมื่อตรัสวา ดกู อ นภกิ ษุทั้งหลาย ช่อื วา ยอมตรสั เรียกภกิ ษุเหลา นนั้ . ภกิ ษเุ หลา น้ันเมือ่ กราบทลู วา ขาแตพระองคผเู จริญ ชอื่ วาใหคําตอบพระผมู ีพระภาคเจา. จรงิ อยา งน้ัน พระผูมพี ระภาคเจาจงึตรัสวาภิกษทุ งั้ หลาย ภกิ ษุท้ังหลายยอมกราบทลู วา พระองคผูเจริญ.คําวา ภกิ ขฺ โว คอื พระผมู พี ระภาคเจา โปรดใหพ วกภกิ ษใุ หคําตอบ.คําวา ภทนเฺ ต คอื พวกภกิ ษุใหค าํ ตอบ. บทวา เต ภิกฺขู ไดแ กเหลา ภกิ ษทุ พ่ี ระผูมีพระภาคเจาตรสั เรยี ก. บทวา ภควโต ปจจฺ สโฺ สสุ ความวา รับการตรัสเรียกของพระผมู พี ระภาคเจา อธิบายวา หนั หนา ฟง ไดแ กรับ คือรบั ปฏิบัต.ิ คําวา ภควา เอตทโวจ ความวา พระผมู พี ระภาคเจา ไดต รสัพระสูตรทงั้ สิน้ นี้ ทีค่ วรตรสั ในบดั น.ี้ การพจิ ารณาเนื้อความแหงคําเร่มิ ตน ซ่งึ ประดบั ดวยกาละ เทศะเทสกะ ( ผูแสดง) บรษิ ัท และ อปเทส (ขออา ง ) ของพระสตู รนี้อนั สมบูรณดว ยอรรถและพยัญชนะ สองถงึ ความทพ่ี ระสูตรน้ลี ึกซึง้ ดว ยเทศนาญาณของพระพทุ ธเจา ทที่ านพระอานนทภ าษิตไว เพอ่ื ก าหนดไดสะดวกจบบรบิ ูรณแลว ดวยคํามปี ระมาณเทาน้.ี บดั น้ี โอกาสแหง การพรรณนาพระสตู รท่ีพระผมู ีพระภาคเจาทรงตั้งไวโ ดยนัยวา ปฏิจจฺ สมปุ ฺปาท โว เปน ตน มาถึงโดยลาํ ดบั . กเ็ พราะ
พระสตุ ตนั ตปฎก สังยุตตนกิ าย นิทานวรรค เลม ๒ - หนา ท่ี 7การพรรณนาพระสูตรนี้นน้ั พระผมู ีพระภาคเจา ไดท รงพจิ ารณาเหตุตัง้พระสูตรกอนแลว จึงตรัสปรากฏชัดแลว เพาะฉะนั้น ขาพเจาจกั พิจารณาเหตุต้งั พระสตู รกอน. แทจริง เหตุตัง้ พระสตู รมี ๔ อยาง คอื อธั ยาศัยของพระองคเอง ๑ อัธยาศัยของผูอื่น ๑ เปนไปดว ยอาํ นาจคําถาม ๑ เกดิ เรอ่ื งขนึ้ ๑. บรรดาเหตุตั้งพระสูตร ๔ อยางนัน้ พระผมู ีพระภาคเจาอันชนอื่นไมไ ดอ าราธนาเลย ตรสั พระสตู รเหลาใด เพราะอัธยาศยั ของพระองคอยางเดียวเทานน้ั คือ วสลสูตร จันโทปมสูตร วโี ณปมสตู ร สัมมัป-ปธานสตู ร อิทธิบาทสตู ร อนิ ทรยิ สูตร พลสูตร โพชฌังคสตู ร มัคคสตู รและ มงคลสูตร เปนตน พระสตู รเหลานน้ั ช่อื วา มีอัธยาศัยของพระองคเองเปนเหตุตั้งพระสูตร. พระผูมีพระภาคเจา ทรงพจิ ารณาอัธยาศยั ความอดทน ความพอใจ ความรู อภินหิ าร และความตรัสรูของคนอ่นื อยา งนว้ี า ธรรมทงั้ หลายที่บม วมิ ตุ ติ ของพระราหลุแกก ลา แลว ถากระไรเราพึงแนะนาํ ราหลุ ในธรรมเปน ทสี่ น้ิ อาสวะใหย ่งิ ๆข้ึน ดงั นแี้ ลว ตรสั พระสตู รเหลา ใดไวดวยอัธยาศยั ของผอู น่ื คอืจูฬราหุโลวาทสูตร มหาราหุโลวาทสตู ร ธมั มจักกปั ปวัตตนสตู รอนัตตลกั ขณสตู ร อาสวี โิ สปมสูตร (และ) ธาตวุ ภิ งั คสตู ร เปนตนพระสูตรเหลา นัน้ ชอื่ วา มอี ัธยาศยั ของผอู ่นื เปนเหตตุ ง้ั พระสูตร. อนึง่ ชนท้งั หลายมีเปน ตน วา บรษิ ัท ๔ วรรณะ ๔ นาค ครฑุคนธรรพ อสูร ยกั ษ ทา วจตุมหาราช เทวดาชั้นดาวดงึ สเ ปน ตน(และ) ทา วมหาพรหม เขา ไปเฝาพระผมู พี ระภาคเจาแลว ทลู ถามปญ หาโดยนยั เปนตนวา พระเจา ขา ธรรมเหลานี้ พระองคตรสั เรียกวา
พระสุตตนั ตปฎก สังยตุ ตนกิ าย นทิ านวรรค เลม ๒ - หนา ท่ี 8โพชฌงค โพชฌงค หรอื พระเจาขา ธรรมเหลาน้ี พระองคตรสั เรียกวานวี ารณะ นีวารณะ หรือพระเจา ขา ธรรมเหลานี้พระองคตรสั เรยี กวาปญจุปาขนั ธหรอื พระเจาขา ในโลกน้ีอะไรเปน ทรัพยเครือ่ งปลม้ื ใจอนั ประเสรฐิ ทส่ี ุดของคน พระผูมพี ระภาคเจา อันชนมบี ริษัท ๔ เปนตนนน้ั ทลู ถามแลวอยา งนี้ ไดต รัสพระสูตรเหลา ใด มีโพชฌังคสังยตุ เปนตนหรือแมสูตรอนื่ ใดมเี ทวดาสงั ยุต สกั กปญ หสูตร จูฬเวทลั ลสูตร มหา-เวทลั ลสตู ร สามญั ญผลสตู ร อาฬวกสตู ร สูจิโลมสตู ร และขรโลมสูตรเปน ตน พระสตู รเหลานั้นชือ่ วา มเี หตุต้ังพระสตู รเปนไปดวยอํานาจคาํ ทลู ถาม. พระผูมีพระภาคเจา ทรงอาศยั เกิดข้ึนแลว ตรัสพระสูตรเหลา น้ันใด คือ ธมั มทายาทสตู ร มงั สปู มสูตร ทารขุ นั ธปู มสูตร อัคคขิ ันธูปม-สูตร เผณปณ ฑูปมสูตร (และ) ปารฉิ ัตตกูปมสูตร เปน ตน พระสตู รเหลา น้นั ช่อื วา เหตตุ ้งั พระสูตรคอื เกดิ เร่ืองขนึ้ . บรรดาเหตุตั้ง (พระสูตร) ๔ อยา งเหลา น้ี ดงั วา มาน้ี ปฏิจจ-สมปุ บาทสตู รนี้ ชือ่ วามีเหตุต้ัง (พระสตู ร) คือ อธั ยาศยั คนอน่ื .จรงิ อยู พระผมู พี ระภาคเจา ทรงตั้งพระสตู รน้ีไวด วยอาํ นาจอัธยาศัยบุคคลอืน่ ถามวา ทรงตั้งไวดว ยอาํ นาจอธั ยาศัยบุคคลชนดิ ไหน. ตอบวาชนิดอุคฆตติ ญั ู. จริงอยู บุคคลมี ๔ จําพวก คือ อุคฆตติ ญั ู วปิ จิตัญู เนยยะ(และ) ปทปรมะ. บรรดาบุคคล ๔ จาํ พวกน้ัน บุคคลทไี่ ดตรสั รธู รรมพรอ มกับเวลาท่ที านยกหัวขอธรรมข้ึนแสดง นีเ้ รยี กวา อุคฆติตญั ู.บคุ คลทต่ี รสั รูธ รรมในเม่ือทานขยายความของขอธรรมทที่ า นกลา วไว
พระสตุ ตันตปฎ ก สังยุตตนกิ าย นทิ านวรรค เลม ๒ - หนาท่ี 9โดยยอใหพศิ ดาร น้เี รยี กวา วปิ จิตัญ.ู บุคคลเมอื่ ใชโยนโิ สมนสกิ ารโดยอุทเทสและปรปิ ุจฉา เสพคนนั่งใกลกัลยาณมติ ร จงึ ไดตรัสรูธรรมนีเ้ รียกวา เนยยะ. บุคคลถงึ จะฟงมากก็ดี กลาวมากก็ดี ทรงจํามากก็ดีทองบน มากกด็ ี ก็ไมไ ดตรัสรูธรรมในชาตินนั้ เรยี กวา ปทปรมะ. พระผูมีพระภาคเจาทรงต้ังพระสตู รน้ี ดว ยอํานาจอธั ยาศัยของเหลาบคุ คลผเู ปนอคุ ฆตติ ญั ู ในบรรดาบคุ คลเหลานี้ ดว ยประการฉะน้ี. ทราบวาในคราวน้ันภกิ ษชุ าวชนบทจาํ นวน ๕๐๐ รปู ท้ังหมดแลเทย่ี วไปรูปเดียว (บาง) เทีย่ วไป ๒ รูป (บาง) เท่ยี วไป ๓ รูป(บา ง) เทีย่ วไป ๔ รปู (บา ง) เที่ยวไป ๕ รูป (บา ง) มีความประพฤตเิ ปนสภาคกนั ถอื ธดุ งค ปรารภความเพยี ร ประกอบความเพียรเปน นกั วิปสสนา ปรารถนาการแสดงปจจยาการท่ลี ะเอยี ด สุขมุ แสดงความวา งเปลา เวลาเยน็ จงึ เขา ไปเฝาพระผมู ีพระภาคเจา ถวายบงั คมแลว มุงหวงั การแสดงปจจยาการ จงึ พากันนั่งแวดลอ ม (พระองค)เหมอื นแวดลอ มดวยมานผา กัมพลสแี ดงฉะนั้น พระผูมีพระภาคเจา ทรงปรารภพระสูตรนี้ เพราะอํานาจอธั ยาศยั ขอกพวกเธอ. เปรียบเหมอื นจิตรกรผฉู ลาดไดฝาเรือนท่ยี ังไมไ ดฉ าบทาเลย ยังไมสรางรูปภาพตง้ั แตตน เลยแตเ ขาทาํ การฉาบฝาเรือนดว ยการฉาบทาดวยดนิ เหนยี วเปนตนกอนแลวสรา งรูปภาพทฝ่ี าเรือนท่ฉี าบทาแลว แตค ร้ันไดฝาเรือนทฉ่ี าบทาแลว ไมตองทําการขวนขวายในฝาเรือนเลย ผสมสีแลว เอาสายเชอื กหรอื แปลงทาสสี รางรปู ภาพอยางเดยี วฉนั ใด พระผูม ีพระภาคเจากฉ็ ันนั้น ไดกลุ บุตรผเู รม่ิ บาํ เพญ็ เพียร แตย ังไมท าํ ความเชื่อมั่น จึงมไิ ดต รัสบอกลกั ษณะวิปสสนากมั มฏั ฐานซ่งึ ละเอยี ด สขุ ุม แสดงความวางเปลา อัน
พระสุตตนั ตปฎก สงั ยุตตนกิ าย นิทานวรรค เลม ๒ - หนา ที่ 10เปนปทฏั ฐานพระอรหนั ตแกเ ธอแตช ้นั ตน แตทรงประกอบ (เธอ)ไวใ นสัมปทาคือ ศลี สมาธิ และกัมมัสสกตาทฏิ ฐิ ความเห็นวาสตั วมีกรรมเปนของตนเสียกอ น จงึ ตรัสบอกปฏปิ ทาอนั เปนสว นเบอื้ งตน ซึง่พระองคทรงมงุ หมายตรัสวา ดูกอ นภกิ ษุ เพราะเหตนุ น้ั แล เธอจงชําระปฏิปทาเบือ้ งตนในกศุ ลธรรม กอ็ ะไรเปน เบื้องตนของกุศลธรรม (คอื )ศีลท่ีบริสุทธิ์และทิฏฐทิ ตี่ รง ดูกอ นภกิ ษุ เธอจักมศี ีลบริสุทธิ์ และทิฏฐิตรงในกาลใดแล ดกู อนภกิ ษุ ในกาลนนั้ เธออาศยั ศลี ดํารงในศลี แลวเจรญิ สตปิ ฏฐาน ๔ โดย ๓ อยา ง. สติปฏฐาน ๔ เปน ไฉน. ภิกษใุ นธรรมวนิ ยั นี้ พิจารณาเหน็ กายในกายอยู มคี วามเพียร มีสัมปชญั ญะมีสติ พงึ กาํ จดั อภิชฌา โทมนสั ในโลก พิจารณาเห็นกายภายนอก ฯลฯพจิ ารณาเหน็ ท้งั ภายในและภายนอก ฯลฯ พิจารณาเหน็ ธรรมในธรรมอยู มคี วามเพยี ร มีสัมปชัญญะ มีสติ พึงกําจดั อภชิ ฌา และโทมนัสไดในโลก. ดูกอ นภิกษุ ในกาลใดแล เธออาศัยศีล ดํารงอยูในศีล พึงเจริญสติปฏฐาน ๔ เหลานี้ อยางนี้ ดกู อนภิกษุ ในกาลนัน้ กลางคืนหรือกลางวนั จักมาถึงเธอ ความเจริญอยางเดียวในกุศลธรรม เธอพึงหวงัได ไมมีความเสอ่ื มเลย. พระผมู พี ระภาคเจา ครน้ั ตรัสการอบรมดว ยศลี กถาแกอ าทกิ มั มิก-กลุ บุตร ดว ยประการฉะน้ีแลว จงึ ตรสั บอกลักษณะแหงวิปส สนา อนัละเอียด สขุ มุ แสดงความวางเปลา ซงึ่ เปนปทัฏฐานแหง พระอรหัตและครน้ั ไดภิกษุนักวปิ สสนา ผูมีศีลอนั บริสุทธิ์ ปรารภความเพยี รประกอบความเพียรแลว ก็ไมตรสั บอกปฏิปทาอันเปนสว นเบอ้ื งตน แกเ ธอแตจ ะตรัสบอกลักษณะแหงวปิ ส สนาอนั ละเอียด สุขมุ แสดงความวา งเปลา
พระสตุ ตันตปฎ ก สงั ยตุ ตนิกาย นทิ านวรรค เลม ๒ - หนาท่ี 11ซ่ึงเปน ปทัฏฐานแหง พระอรหตั ตรง ๆ เลย. ภิกษจุ ํานวน ๕๐๐ รปูเหลา นี้ครนั้ ชาํ ระปฏปิ ทาอันเปนสวนเบอื้ งตน แลว ดํารงอยูเหมือนทองคําบรสิ ทุ ธิ์ คลายกับกอ นมณีท่ขี ดั แลว . โสกุตรมรรคอยางหนงึ่ ไมไดม าถึงพวกเธอเลย พระศาสดาไดพ จิ ารณาอธั ยาศยั ของพวกภกิ ษเุ หลานนั้เพ่ือจะใชถึงโลกตุ รมรรคนัน้ จึงทรงนาํ พระสูตรนมี้ า. บรรดาบทเหลา นั้น บทวา ปฏจิ ฺจสมุปฺปาท ไดแ กปจจยาการ.จริงอยู ปจจยาการอาศยั กนั แลว ยอ มใหสหชาตธรรมเกิดขนึ้ . เพราะ-ฉะนั้น ปจ จยาการพระผูมพี ระภาคเจา จึงตรัสวา ปฏจิ จสมุปบาท.ความสงั เขปในนทิ านวรรคนี้ เทาน.้ี สวนความพสิ ดารนกั ศึกษาพึงคนควาจากคัมภรี ป กรณวิเสสวิสทุ ธิมรรค. ศพั ทว า โว ในคําวา โว นี้ ยอมใชไ ดทั้งในปฐมาวภิ ัตติทตุ ิยาวิภตั ติ ตติยาวภิ ตั ติ จตตุ ถีวิภตั ติ ฉฏั ฐีวภิ ตั ติ และในการทาํ บทใหเตม็ จรงิ อยู โว ศัพทนี้ ยอ มปรากฏในปฐมาวภิ ตั ติ ในประโยคเปนตน วา กจจฺ ปน โว อนรุ ุทฺธา สมคฺคา สมฺโมทมานา ดกู อ นอนุรทุ ธ และอานนท พวกเธอยงั บนั เทิงพรอมเพรยี งกันดอี ยหู รอื .ใชใ นทตุ ยิ าวภิ ตั ติ ในประโยคเปนตนวา คจฉฺ ถ ภกิ ขฺ เว ปณาเมมิ โวภิกษทุ ง้ั หลาย พวกเธอจงไปเสยี เราประณามพวกเธอ ใชใ นตตยิ าวภิ ัตติในประโยคเปน ตน วา น โว มม สนฺตเิ ก วตถฺ พฺพ อนั เธอทงั้ หลายไมค วรอยใู นสาํ นักของเรา. ใชในจตตุ ถีวภิ ัตติ ในประโยคเปน ตนวาวนปฏ ปริยาย โว ภกิ ฺขเว เทเสสสฺ ามิ ภิกษทุ ง้ั หลาย เราจกั แสดงวนปต ถปริยายสูตรแกพ วกเธอ. ใชในฉฏั ฐวี ภิ ตั ติ ในประโยคเปน ตน วาสพฺเพส โว สารีปตุ ตฺ สุภาสติ สารบี ตุ ร คาํ ของพวกเธอทั้งหมด
พระสุตตนั ตปฎ ก สงั ยุตตนิกาย นทิ านวรรค เลม ๒ - หนาท่ี 12เปนสภุ าษติ . ใชในปทปรู ณะ. (ทําบทใหเ ต็ม) ในประโยคเปนตนวาเย หิ โว อริยา ปริสุทฺธกายกมฺมนติ า ก็พระอรยิ เจา ทง้ั หลายเหลาใดแล มีการงานทางกายบรสิ ทุ ธ์.ิ แตใ นที่นี้ ศัพทว า โว น้ี พงึ เหน็ วาลงในจตตุ ถวี ิภัตติ.คาํ วา ภิกขฺ เว เปนคาํ รอ งเรยี กเหลาภิกษุผปู รากฏเฉพาะพระพักตรดวยรบั พระดาํ รสั . คาํ วา เทเสสฺสามิ เปนคาํ ปฏญิ ญาท่จี ะแสดง (ธรรม).คําวา ต สณุ าถ ความวา เธอทั้งหลายจงฟงปฏิจจสมุปบาทนนั้ คอืเทศนากัณฑน ้ันท่ีเรากําลงั กลา วอยู.กค็ าํ วา สาธกุ น้ัน ในคําวา สาธุก มนสิกโรถ นี้ มีเนื้อความเปนอนั เดียวกนั วา สาธุ อนงึ่ สาธุ ศพั ทน ้ี ใชในอรรถวา ทูลขอการตอบรับ การทําใหรา เริง ความดแี ละการทาํ ใหม่นั คงเปน ตน. จริงอยูสาธุ ศัพทน ้ี ใชในอรรถวา ทลู ขอ ในประโยคเปนตน วา สาธุ เม ภนฺเตภควา สงฺขิตฺเตน ธมมฺ เทเสตุ ขา แตพระองคผ เู จริญ ดังขาพระองคขอวโรกาส ขอพระผูมีพระภาคเจา โปรดแสดงธรรมโดยยอแกพ ระองคเ ถิดใชใ นอรรถวา ตอบรบั ในคาํ เปนตน วา สาธุ ภนฺเตติ โข โส ภกิ ขฺ ุภควโต ภาสิต อภินนฺทติ วฺ า อนโุ มทติ ฺวา ภกิ ษนุ ั้นแล กราบทลู วาดแี ลว พระเจา ขา ดังน้ี ชืน่ ชม อนุโมทนาภาษิตพระผูมพี ระภาคเจา.ใชในอรรถวา ทาํ ใจใหร า เรงิ ในประโยคเปน ตนวา สาธุ สาธุสารีปุตฺต ดแี ลว ดีแลว พระสารีบุตร. ใชในอรรถวา ดี ในประโยคเปนตนวาสาธุ ธมมฺ รุจิราชา สาธุ ปฺาณวา นโรสาธุ มติ ตฺ านมทุพโฺ ภ ปาปสสฺ อกรณ สุข .
พระสตุ ตนั ตปฎก สังยตุ ตนกิ าย นิทานวรรค เลม ๒ - หนา ที่ 13 พระราชาผูทรงชอบพระทัยในธรรมดี นรชนผมู ี ปญญาดี การไมประทุษรายมิตรดี การไมทําความชัว่ เปน สขุ . สาธุก ศัพทน ัน่ แลใชในการกระทําใหม ั่นเขา ในประโยคเปนตนวาเตนหิ พฺราหมฺ ณ สาธกุ สุณาหิ พราหมณ ถาอยางน้นั เธอจงสดบัใหม น่ั . สาธกุ ศพั ทน ีท้ านกลาววา ใชใ นการบังคับก็ได. แตในทีน่ ี้สาธุก ศพั ทนีใ้ ชในอรรถวา การกระทําใหม ั่นเขา อยา งเดียว. อนง่ึ อรรถแหงการบังคบั พงึ ทราบตอ ไป แมใ นอรรถวา เปน ความดีก็ใชไ ด. สาธุกศพั ทในอรรถทั้งสองงนน้ั ทานแสดงไวดวยอรรถแหง การทาํ ใหม่นั วา ทฬฺหอิม ธมฺม สณุ าก สคุ หิต คณหฺ นตฺ า เม่ือจะถอื เอาใหดี พวกเธอก็จงฟง ธรรมน้ีใหมัน่ ดว ยอรรถแหง การบังคบั วา มม อาณตฺติยา สุณาถเธอทัง้ หลายจงฟงตามคําสัง่ ของเรา ดว ยอรรถวา เปน ความดีวา สนุ ทฺ รมมิ ภททฺ ก ธมฺม สณุ าถ เธอจงฟงธรรมนีใ้ ห ใหเจรญิ . บทวามนสกิ โรถ ความวา จงระลึก คอื ประมวลมา. อธบิ ายวา เธอจงมจี ิตไมฟงุ ซา นตั้งใจฟง คือทําไวในใจ. บดั นี้ คําวา ต สณุ าถ ในท่ีนี้น้นั เปนคาํ หามการท่ีโสตินทรยี ฟงุ ซา น. คาํ วา สาธุก มนสิกโรถ เปน คําหา มการท่ีมนนิ ทรยี ฟุงซา น ดวยการประกอบใหมัน่ ในมนสิการ ก็ใน ๒ คาํ นี้ คาํ แรกเปนการยึดถอื ดวยความคลาดเคลือ่ นแหงพยัญชนะ คําหลังเปนการหา มการยดึถอื ความคลาดเคลือ่ นแหง เน้อื ความ. พระผมู พี ระภาคเจา ประกอบภกิ ษุไวในการฟง ธรรมดวยคําแรก. ทรงประกอบภกิ ษุไวในการทรงจําและสอบสวนธรรมที่ภิกษุฟง แลวดวยคาํ หลัง. อนึง่ ดวยคาํ แรกยอมทรง
พระสตุ ตันตปฎ ก สังยตุ ตนิกาย นิทานวรรค เลม ๒ - หนาที่ 14แสดงวา ธรรมน้เี ปน ไปดว ยพยัญชนะ เพราะฉะนัน้ จงึ ควรฟง ดว ยคําหลงั ทรงแสดงวา ธรรมนเี้ ปนไปดว ยเนอื้ ความ เพราะฉะนนั้ จึงควรทาํ ไวในใจ. อีกอยางหนง่ึ ควรประกอบสาธุกบทดวยบท ๒ บท พงึทราบการประกอบความอยางน้วี า เพราะธรรมน้ีลึกซึ้งโดยธรรม และลกึ ซ้ึงโดยทศนา ฉะนนั้ พวกเธอจงฟง ใหด.ี เพราะเหตุท่ีธรรมน้ีลึกซ้ึงโดยอรรถและลกึ ซง้ึ โดยปฏิเวธ ฉะน้ัน พวกเธอจงทาํ ในใจใหด.ี บทวาภาสสิ ฺสามิ แปลวา จกั แสดง. ในคําวา ต สณุ าถ นี้ ทานอธิบายวา เราจักสงั เขปความ แสดงเทศนาท่เี ราปฏญิ ญาไวแลวน้ัน. อีกอยา งหนึง่ แล เราจักไมก ลา วแมโ ดยพสิ ดาร. อนึ่ง บทเหลา น้ีเปน บทบอกความยอ และพสิ ดารไว เหมอื นดังทท่ี านพระวงั คสี เถระกลาวไวว า สงขฺ ติ เฺ ตนป เทเสติ วิตถฺ าเรนป ภาสติ สาลิกายิว นิคฺโฆโส ปฏิภาณ อทุ ิรยี ต . พระผมู ีพระภาคเจาทรงแสดงธรรมโดยยอ บาง ตรสั โดยพิสดารบา ง ทรงมพี ระสรุ เสยี งกงั วานดัง นกสาลิกา ทรงแสดงออกซ่ึงปฏิภาณ. เมอ่ื พระผูมพี ระภาคเจา ตรัสแลว อยา งน้ี ภกิ ษุเหลา นั้นแลเกิดความอตุ สาหะแลว ฟงตอบพระผมู ีพระภาคเจา มีคาํ อธิบายรบั แลว คอื รับรองพระดํารัสของพระศาสดาวา อยา งน้ัน พระเจาขา . บทวา ภควา เอตทโวจ ความวา ลาํ ดบั นัน้ พระผูมีพระภาคเจา
พระสตุ ตนั ตปฎก สังยุตตนกิ าย นิทานวรรค เลม ๒ - หนา ท่ี 15ไดตรสั พระสตู รทั้งสิ้นนท้ี ีจ่ ะพงึ ตรัสในบดั นีแ้ กภกิ ษเุ หลานั้น มอี าทิวากตโม จ ภกิ ฺขเว ปฏจิ ฺจสมปุ ปฺ าโท. บรรดาบทเหลานัน้ กตโม จภกิ ขฺ เว ปฏจิ จฺ สมปุ ฺปาโท เปน กเถตุกมั ยตาปุจฉา คําถามเพือ่ จะตรัสตอบเอง. จรงิ อยู การถามมี ๕ อยา ง คือ การถามสองความที่ยังไมเ หน็การถามเทยี บเคยี งทีเ่ หน็ แลว การถามตัดความสงสัย การถามเหน็ ตาม(อนมุ ัติ ) การถามเพ่อื จะตรสั ตอบเสยี เอง การถาม ๕ อยางเหลานัน้ มีความตา งกันดงั ตอ ไปนี้ :- การถามสองความท่ียงั ไมเ หน็ เปน ไฉน. ลกั ษณะแหง คาํ ถามตามปกติ อันชนอืน่ ไมรู ไมเหนิ ไมไ ตรต รอง ไมพจิ ารณา ไมแจม แจงไมไขใหแจง. บุคคลยอ มถามปญหา เพอื่ รเู ห็น ไตรต รอง พจิ ารณาแจม แจง ไขปญ หานน้ั ใหเห็นแจง การถามน้ี ช่ือวา การถามสองความที่ยงั ไมเหน็ . การถามเทยี บเคียงความทเ่ี ห็นแลวเปนไฉน. ลกั ษณะ (คาํ ถาม )ตามปกติ อันตนรเู หน็ ไตรต รอง พจิ ารณา แจม แเจง ชัดเจนแลวบุคคลนน้ั ยอ มถามปญหาเพ่ือเทียบเคยี งกับบัณฑติ เหลา อ่ืน. การถามน้ี ช่อืวา การถามเทียบเคยี งความทตี่ นเหน็ แลว. การถามตัดความสงสยั เปน ไฉน ตามปกตบิ ุคคลผูแ ลนไปสูความสงสัย. ผแู ลน ไปสูความเคลือบแคลง เกดิ ความคดิ แยกเปน ๒ แพรงวาอยา งนใี้ ชหรอื หนอ หรือมใิ ช หรอื เปน อยางไร เขาจึงถามปญ หาเพอ่ืตัดความสงสยั การถามอยางน้ี ช่ือวาการถามตดั ความสงสัย. การถามเห็นตาม (อนุมตั ิ ) เปนไฉน. พระผูม พี ระภาคเจา
พระสุตตันตปฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เลม ๒ - หนา ท่ี 16ยอ มตรสั ถามปญหาเพ่อื การเหน็ ตามของภกิ ษุวา ภกิ ษุทั้งหลาย เธอยอ มสาํ คญั ความขอ นนั้ เปนไฉน รูปเทยี่ งหรอื ไมเที่ยง ภกิ ษกุ ราบทลู วา รปูไมเ ทีย่ ง พระเจาขา. พระผูมีพระภาคเจาตรสั วา ก็รปู ใดไมเทยี่ ง รูปนน้ัเปนทุกขห รอื เปน สุขเลา. พวกภิกษกุ ราบทลู วา เปนทกุ ข พระเจาขา .พระผูมพี ระภาคเจา ตรัสวา ก็รูปใดไมเทีย่ ง เปน ทกุ ข มีการแปรปรวนเปน ธรรมดา ควรหรอื เพ่ือจะเหน็ รปู นนั้ วา นน่ั ของเรา เราเปนนัน่ นัน่เปนตวั ตนของเรา. พวกภกิ ษุกราบทลู วา การยึดถอื อยางนน้ั ไมค วรพระเจาขา . การถามอยา งน้ี ชอื่ วาการถามเหน็ ตาม. การถามเพ่อื จะตรสั ตอบเสยี เองเปนไฉน พระผมู ีพระภาคเจายอ มตรสั ถามปญหา เพ่อื ใครจะตรสั ตอบภกิ ษทุ ้งั หลายวา ภิกษุท้ังหลาย สต-ิปฏ ฐาน ๔ เหลา น้แี ล สตปิ ฏฐาน ๔ เปน ไฉน เปน ตน การถามนี้ชอ่ื วา การถามเพ่อื จะตรสั ตอบเสียเอง. บรรดาการถาม ๕ อยางเหลานี้ สําหรบั พระพทุ ธเจา ไมม ีการถาม ๓ อยางขา งตน เลย. ถามวา เพราะเหตไุ ร. ตอบวา อะไรทีถ่ ูกปจ จัยปรุงแตง ในกาล ๓ อยา ง หรอื พน จากกาล ไมถ ูกปจ จัยปรงุ แตงชื่อวา ไมท รงเห็น ไมส วาง ไมไ ดไ ตรตรอง ไมพิจารณา ไมเหน็ แจงไมแ จง ชัดแลว ไมมีแกพระพุทธเจา เลย เพราะเหตุนน้ั การถามเพ่ือสองอรรถทีพ่ ระพทุ ธเจาเหลา นั้นยังไมทรงเหน็ จึงไมมี ก็สิ่งใดอนั พระผ-ูมพี ระภาคเจา ทรงแทงตลอดแลว ดว ยพระญาณของพระองค กิจดวยการเทยี บเคยี งสง่ิ นน้ั กับ สมณะ พราหมณ เทวดา มาร หรือพรหมอ่ืนของพระองค จึงไมมี เพราะเหตุนน้ั การถามเทยี บเคียงความทพ่ี ระองค
พระสุตตนั ตปฎ ก สังยุตตนิกาย นทิ านวรรค เลม ๒ - หนา ท่ี 17เหน็ แลว จงึ ไมม .ี ก็เพราะเหตุที่พระผูมีพระภาคเจา พระองคน ัน้ ไมทรงสงสยั วา อยา งไร ทรงขา มความสงสยั ได ขจดั ความสงสัยในธรรมท้งั ปวงได ฉะนัน้ การถามตัดความสงสยั ของพระองค จงึ ไมมี สว นการถาม๒ อยา งทเ่ี หลอื ของพระผมู พี ระภาคเจา ยงั มีอยู บัณฑิตพงึ ทราบวาในคําถาม ๒ อยางนนั้ การถามเพ่อื ใครจ ะตรสั ตอบเสยี เอง ดงั ตอ ไปนี้ :- บัดนี้ พระผูม ีพระภาคเจาเม่ือทางจําแนกปจ จยาการดว ยการถามน้นั จงึ ตรัสวา อวิชชฺ าปจจฺ ยา ภกิ ขฺ เว สงขฺ ารา เปน ตน . ก็ในคาํ วาอวิชชฺ าปจฺจยา ภกิ ฺขเว สงฺขารา เปน ตนน้ัน พงึ ทราบวินิจฉยั ดงั ตอ ไปน้ี :- เปรียบเหมือนบคุ คลเริ่มกลา ววา เราจกั พูดถงึ บดิ า ยอมพดู ถงึ บิดากอนวา บิดาของตสิ สะ บดิ าของโสณะ ฉันใด พระผูมีพระภาคเจาก็ฉนั นน้ั เหมือนกัน ทรงเรมิ่ เพื่อตรัสปจ จยั เมอ่ื ตรัสถึงธรรมมีอวชิ ชาเปนตน ซง่ึ เปน ปจจยั แหงธรรมมสี ังขารเปนตน โดยนัยเปนตน วา อวิชชฺ า-ปจจฺ ยา สงฺขารา ดังนีแ้ ลว จงึ ตรัสถึงธรรมทอี่ าศัยปจ จยั เกิดขึน้ . แตในท่ีสุดแหงอาหารวรรค พระผูมีพระภาคเจา จงึ ตรสั ธรรมแม ๒ อยางวา ภกิ ษทุ ัง้ หลาย เราจักแสดงปฏิจจสมุปบาท (การอาศัยกนั และกันเกิดขนึ้ ) และปฏจิ จสมปุ ปนนธรรม แกเธอทัง้ หลาย. กบ็ ดั นี้ พงึ ทราบวนิ ิจฉัยในคาํ วา อวชิ ฺชาปจจฺ ยา สงขฺ ารา เปนตนดังตอ ไปนี้. อวชิ ชานั้นดวย เปน ปจจัยดวย ชื่อวา อวิชชาเปนปจจัย.เพราะเหตนุ ั้น พงึ ทราบเนอ้ื ความโดยนยั นวี้ า สงั ขารยอ มเกดิ มเี พราะอวิชชาเปนปจ จัย. ในคําวา อวิชชฺ าปจฺจยา สงฺขารา นี้ มคี วามยอเทานี้แตว า โดยพิสดาร อนโุ ลมปฏจิ จสมุปปาทกถา ซ่ึงเกดิ พรอมกันทุกอยางทานกลาวไวแ ลว ในคมั ภรี ว ิสทุ ธิมรรค เพราะเหตุนน้ั อนโุ ลมปฏจิ จ-
พระสตุ ตนั ตปฎก สังยุตตนกิ าย นิทานวรรค เลม ๒ - หนา ท่ี 18สมปุ ปาทกถา น้นั ผศู กึ ษาพงึ ถอื เอาโดยความที่กลาวไวในคมั ภีรว ิสทุ ธ-์ิมรรคนัน้ แล. กใ็ นปฏิโลมกถา คําวา อวิชชฺ ายเตฺวว ตดั เปน อวชิ ชฺ าย ตุ เอว.บทวา อเสสวิราคนิโรธา ไดแกเ พราะอวิชชาดับโดยไมเหลอื ดวยมรรคกลา วคอื วริ าคะ (การสํารอก). การท่สี งั ขารดับโดยไมเ กดิ ข้ึน (อกี )ช่อื สังขารนโิ รธะ (สงั ขารดับ). ก็เพ่ือแสดงวา เพราะการดบั สังขารและเพราะการดบั ขนั ธ ๕ มวี ญิ ญาณเปนตน ทด่ี บั ไปแลว อยา งนี้ นามรูปช่ือวา เปน ของดบั ไปแลวเหมือนกัน พระผมู พี ระภาคเจาจึงตรสั วาสงขฺ ารนิโรธา วิ ฺาณนโิ รโธ เพราะสงั ขารดบั วิญญาณจึงดบัเปน ตน แลวตรสั วา เอวเมตสฺส เกวลสสฺ ทุกขฺ กขฺ นธฺ สสฺ นิโรโธโหติ ความดับแหงกองทกุ ขท ้ังมวลนี้ ยอ มมดี ว ยประการฉะน้.ี บรรดาบทเหลา น้นั บทวา เกวลสสฺ แปลวา ทงั้ สน้ิ คือลวน ๆ อธิบายวาเวนแลว จากสัตว. บทวา ทกุ ขฺ กฺขนฺธสสฺ แปลวา กองทุกข. คําวานิโรโธ โหติ คือการไมเกิดขนึ้ . ดงั นนั้ พระผูม พี ระภาคเจาคร้ันตรัสวัฏกถา ( กถาวาดวยวัฏฏะ)ดวยบท ๑๒ บท โดยอนุโลม ยอมกลับบทน้นั แลว ตรัสววิ ัฏกถา(นิพพาน) ดวยบท ๑๒ บท ทรงยดึ ยอดพระเทศนาดว ยอรหัต. ในเวลาจบเทศนา ภิกษุนกั วิปส สนาจาํ นวน ๕๐๐ รูปเหลา นนั้ เปนบุคคลช้นั อคุ ฆตติ ญั ู แทงตลอดสจั จะ ดาํ รงอยูในพระอรหตั ผล เหมือนดอกปทุมทถ่ี ึงความแกกลา พอตองแสงอาทติ ยก บ็ านแลว ฉะนัน้ . บทวา อทิ มโว จ ภควา ไดแกพระผูมีพระภาคเจาไดตรสั คําน้ี คือพระสตู รทง้ั สน้ิ คือวัฏกถาและวิวฏั กถา. บทวา อตตฺ มนา เต
พระสุตตันตปฎ ก สังยตุ ตนิกาย นิทานวรรค เลม ๒ - หนา ที่ 19ภกิ ฺขู ความวา ภกิ ษุจํานวน ๕๐๐ รูปเหลานัน้ มีจิตยินดี เปนพระขณี าสพแลว . บทวา ภควโต ภาสติ อภนิ นฺทุ ความวา (ภกิ ษุเหลานน้ั )พากนั ชืน่ ชมพระดํารสั พระผมู ีพระภาคเจา ผูตรัสดว ยพระสุรเสียงดังเสียงพรหมไพเราะดจุ เสียงนกการเวก ระร่นื โสตเสมือนกบั อมฤดาภเิ ษกโสรจสรงหทัยบณั ฑิตชน อธิบายวา อนโุ มทนา รับพรอมกนั แลว. เพราะเหตุนนั้พระโบราณาจารย จงึ กลา ววาสภุ าสิต สลุ ปต เอต สาธตุ ิ ตาทิโนอนโุ มทมานา สริ สา สมปฺ ฏจิ ฺฉึสุ ภิกขฺ โว.ภิกษุทง้ั หลายอนโุ มทนาตอ พระผูมีพระภาคเจาผูคงท่วี า พระดํารัสพระผูมพี ระภาคเจาทรงภาษิตแลวตรัสไวแ ลว ยังประโยชนใ หส ําเร็จ ดังน้ี รบั พรอมกนั แลว ดว ยเศียรเกลา.จบอรรถกถาปฏิจจสมุปบาทสตู รท่ี ๑ ๒. วิภังคสูตรวา ดวยการจําแนกปฏจิ จสมปุ บาท [๔] พระผูมีพระภาคเจาประทบั อยู ณ พระเชตวัน อารามของทานอนาถบิณฑกิ เศรษฐี กรงุ สาวตั ถี. พระผมู พี ระภาคเจา ไดต รสั วาดกู อ นภิกษุท้งั หลาย เราตถาคตจักแสดง จกั จําแนกปฏจิ จสมปุ บาทแกพวกเธอ พวกเธอจงฟงปฏิจจสมุปบาทนัน้ จงใสใจใหดีเถิด เราตถาคตจกั กลาว ภิกษเุ หลาน้นั ทลู รบั พระผูมพี ระภาคเจา แลว.
พระสุตตันตปฎ ก สงั ยตุ ตนกิ าย นิทานวรรค เลม ๒ - หนาที่ 20 [๕] พระผูมพี ระภาคเจา ไดต รสั วา ดกู อนภกิ ษุท้งั หลาย ก็ปฏจิ จสมปุ บาทเปน ไฉน. ดูกอ นภิกษทุ ั้งหลาย เพราะอวชิ ชาเปน ปจ จัยจงึ มสี งั ขาร เพราะสังขารเปน ปจจัย จงึ มีวิญญาณ เพราะวิญญาณเปนปจจยั จึงมีนามรปู เพราะนามรปู เปน ปจจัย จงึ มสี ฬายตนะ เพราะสฬายตนะเปนปจ จยั จึงมีผัสสะ เพราะผสั สะเปนปจ จยั จึงมีเวทนาเพราะเวทนาเปน ปจจัย จึงมีตัณหา เพราะตณั หาเปนปจ จยั จึงมอี ปุ าทานเพราะอปุ าทานเปน ปจจัย จงึ มภี พ เพราะภพเปนปจจัย จึงมีชาติ เพราะชาติเปน ปจจยั จึงมชี ราและมรณะ โลกปรเิ ทวทกุ ขโทมนัสและอปุ ายาสความเกิดขึ้นแหง กองทุกขท้งั มวลน้ี ยอมมดี วยประการอยางน.ี้ [๖] ดูกอนภกิ ษุทง้ั หลาย ก็ชราและมรณะเปนไฉน. ความแกภาวะของความแก ฟน หลุด ผมหงอก หนงั เปนเกลยี ว ความเสื่อมแหงอายุ ความแกห งอมแหง อินทรีย ในหมสู ัตวน ้ัน ๆ ของเหลาสัตวน ั้น ๆนีเ้ รยี กกวา ชรา. กม็ รณะเปนไฉน. การเคล่อื นท่ี การยา ยที่ ความทําลายความอันตรธาน ความมวยมรณ การถึงแกกรรม ความแตกแหง ขันธความทอดท้ิงซากศพ ความขาดแหง ชีวติ นิ ทรีย จากหมสู ตั วน ้ัน ๆ ของเหลา สัตวน ้ัน ๆ นเี้ รยี กวามรณะ. ชราและมรณะ ดงั พรรณนามาฉะน้ีเรยี กวา ชราและมรณะ. [๗] กช็ าติเปน ไฉน. ความเกดิ ความกอเกดิ ความหยั่งลง๑ความบงั เกดิ ๒ ความเกิดจําเพาะ๓ ความปรากฏแหงขันธ ความไดอ ายตนะครบในหมสู ัตวน นั้ ๆ ของเหลาสตั วน น้ั ๆ นี้เรียกวา ชาต.ิ๑. คือเปน ชลาพุชะหรอื อัณฑชปฏิสนธิ ๒. คือเปน สงั เสทชปฏิสนธิ ๓. คือเปนอุปปาติก-ปฏิสนธิ.
พระสุตตนั ตปฎ ก สังยตุ ตนิกาย นทิ านวรรค เลม ๒ - หนา ท่ี 21 [๘] ก็ภพเปน ไฉน. ภพ ๓ เหลานี้คือ กามภพ รูปภพ อรูปภพน้ีเรียกวาภพ. [๙] ก็อุปาทานเปนไฉน. อปุ าทาน ๔ เหลาน้คี ือ กามปุ าทานทิฏุปาทาน สีลพัตตปุ าทาน อัตตวาทปุ าทาน นีเ้ รยี กวา อปุ าทาน. [๑๐] กต็ ัณหาเปนไฉน. ตณั หา ๖ หมวดเหลาน้คี ือ รปู ตัณหาสัททตณั หา คันธตณั หา รสตณั หา โผฏฐัพพตัณหา ธัมมตัณหา นี้เรียกวาตณั หา. [๑๑] กเ็ วทนาเปนไฉน. เวทนา ๖ หมวดเหลา นี้คอื จกั ข-ุสัมผัสสชาเวทนา โสตสมั ผัสสชาเวทนา ฆานสัมผัสสชาเวทนา ชวิ หา-สมั ผสั สชาเวทนา กายสมั ผสั ชาเวทนา มโนสัมผสั สชาเวทนา นเ้ี รียกวาเวทนา. [๑๒] ก็ผสั สะเปน ไฉน. ผัสสะ ๖ หมวดเหลา นคี้ ือ จักขุสัมผัสโสตสัมผสั ฆานสมั ผสั ชวิ หาสัมผัส กายสัมผสั มโนสมั ผสั นีเ้ รยี กวาผสั สะ. [๑๓] กส็ ฬายตนะเปน ไฉน. อายตนะคอื ตา หู จมูก ล้ินกาย ใจ นเี้ รียกวา สฬายตนะ. [๑๔] กน็ ามรปู เปน ไฉน. เวทนา สญั ญา เจตนา ผัสสะมนสกิ าร น้ีเรียกวานาม, มหาภูตรูป ๔ และรปู ท่ีอาศยั มหาภูตรูป ๔นเ้ี รียกวารปู , นามและรูปดงั พรรณนาฉะนี้ เรียกวา นามรูป. [๑๕] ก็วิญญาณเปน ไฉน. วญิ ญาณ ๖ หมวดเหลานีค้ อื จักขุ-วิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวญิ ญาณ ชวิ หาวิญญาณ กายวิญญาณมโนวญิ ญาณ นเ้ี รยี กวา วญิ ญาณ.
พระสุตตันตปฎก สังยุตตนกิ าย นทิ านวรรค เลม ๒ - หนาที่ 22 [๑๖] ก็สงั ขารเปนไฉน. สังขาร ๓ เหลา น้ีคอื กายสังขารวจีสงั ขาร จติ ตสงั ขาร นีเ้ รียกวาสงั ขาร. [๑๗] ก็อวิชชาเปน ไฉน. ความไมร ใู นทกุ ข ความไมร ูในเหตุเกิดแหง ทกุ ข ความไมรใู นความดบั ทุกข ความไมรใู นปฏิปทาท่จี ะใหถ ึงความดับทุกข นเี้ รยี กวาอวชิ ชา ดูกอนภกิ ษุทง้ั หลาย เพราะอวิชชาเปนปจจยั จงึ มสี งั ขาร เพราะสังขารเปนปจ จยั จงึ มวี ิญญาณ. . .ดังพรรณนามาฉะน้.ี ความเกิดขน้ึ แหงกองทกุ ขทั้งมวลนี้ ยอ มมดี ว ยประการอยา งน้ี. [๑๘] กเ็ พราะอวชิ ชานั่นแหละดับดวยการสํารอกโดยไมเหลอืสังขารจึงดับ เพราะสังขารดับ วญิ ญาณจงึ ดับ. . .ความดับแหงกองทกุ ขท้งั มวลนี้ ยอมมดี วยประการอยา งนี.้ จบวภิ งั คสูตรที่ ๒ อรรถกถาวิภงั คสตู รท่ี ๒ แมในวภิ งั คสูตรท่ี ๒ มวี ินจิ ฉยั ดงั ตอ ไปน้ี. พงึ ทราบเหตตุ งั้ พระสตู รตามนยั ที่กลา วแลว นน่ั แล. แตความแปลกกนั มดี งั น้ี พระสตู รแรกพระองคทรงแสดงไวโ ดยยอ โดยอคฆติตัญูบุคคลพระสูตรนี้ ทรงแสดงไวโ ดยพสิ ดาร โดยวปิ จติ ญั บู ุคคล. ก็แลในพระสตู รน้ี พงึ กลา วอปุ มาดวยบุรษุ นําเถาวลั ยไ ป ๔ อุปมา. อุปมานนั้ ทา นกลาวไวแ ลวในคมั ภีรว สิ ทุ ธมิ รรคนัน่ แล. เปรยี บเหมือนบรุ ุษผูนาํ เถาวลั ยไป พบยอดเถาวลั ยแ ลวก็คนหาราก ตามแนวยอดเถาวลั ยน้ัน พบราก(เถาวลั ย) แลว กต็ ดั ที่รากเถาวลั ย ถอื เอาไปใชใ นการงานไดฉนั ใด
พระสตุ ตนั ตปฎก สงั ยุตตนิกาย นทิ านวรรค เลม ๒ - หนา ที่ 23พระผูม พี ระภาคเจากฉ็ ันนน้ั เม่อื ทรงแสดงเทศนาอยา งพิสดาร ทรงนาํเทศนาตั้งแตชรามรณะอนั เปนยอดแหงปฏิจจสมุปบาท จนถึงอวิชชาบทซ่ึงเปน รากเหงา แสดงวฏั กถาและววิ ัฏกถาซ้าํ อกี ใหจบลงแลว . ในคํานั้น พึงทราบวินจิ ฉัยเน้อื ความแหงชราและมรณะเปน ตนโดยวิตถารเทศนา ดังตอ ไปน้ี :- พึงทราบวนิ จิ ฉยั ในชรามรณนเิ ทศกอน.ศัพทวา เตส เตส นี้ โดยยอ พงึ ทราบวา เปน ศัพทแสดงความหมายทว่ัไปแกเหลา สัตวเปนอันมาก. จรงิ อยู เมือ่ บุคคลกลา วอยแู มต ลอดวันหน่ึงอยางนว้ี า ชรามาถงึ พระเทวทัต ชรามาถึงพระโสมทัต สตั วท ง้ั หลายยอ มไมถ ึงความแกร อบทเี ดยี ว แตดว ย ๒ บทน้ี สตั วอ ะไร ๆ ท่ชี ่ือวาไมถ กู ชรามรณะครอบงําหามีไม เพราะฉะนนั้ ทา นจึงกลา ววา ศัพทว าเตส เตส น้ี วา โดยยอเปน ศัพทแสดงความท่ัวไปแกหมูสัตวเปนอนั มากดงั น้.ี ศพั ทว า ตมหฺ ิ ตมหฺ ิ นี้ เปน ศพั ทแ สดงความหมายท่วั ไปแกหมสู ตั วจํานวนมาก โกยจดั ตามคติและชาติ. คาํ วา สตตฺ นิกาเย เปนคําแสดงโดยสรปุ ถงึ ความท่ีทานแสดงไวแลวในสาธารณนเิ ทศ. กศ็ พั ทวาชรา ในคาํ วา ชรา ชีรณตา เปน ตนั เปนศัพทแสดงสภาวธรรม.ศัพทว า ชรี ณตา เปนศพั ทแสดงอาการ. ศัพทวา ขณฺฑิจจฺ เปนตนเปนศพั ทแ สดงกจิ ในการลว งกาล. ศพั ท ๒ ศัพทส ดุ ทา ยเปน ศพั ทแสดงความปกติ กด็ ว ยบทวา ชรา น้ี พระผูมีพระภาคเจา ทรงแสดงชราแมโ ดยความเปน สภาวธรรม. เพราะเหตนุ นั้ ศัพทวา ชรา น้ี จงึ เปนศพั ทแ สดงสภาวธรรมแหง ชรานั้น. ดวยคําวา ชีรณตา นี้ ทรงแสดงโดยอาการ. เพราะเหตนุ ัน้ ศัพทวา ชรา น้ี จึงเปน ศพั ทแ สดงอาการของชรานน้ั . ดวยบทวา ขณฺฑิจฺจ น้ี ทรงแสดงโดยกจิ คอื ภาวะทฟี่ น
พระสตุ ตนั ตปฎ ก สงั ยุตตนกิ าย นทิ านวรรค เลม ๒ - หนาที่ 24และเลบ็ หักในเมอ่ื เวลาลว งไป. ดวยบทวา ปาลจิ จฺ นี้ ทรงแสดงโดยกจิ คือภาวะท่ีผมและขนหงอก ดว ยบทวา วลิตจตา นี้ ทรงแสดงโดยกจิ คือภาวะทเ่ี น้ือเหี่ยวแหงและหนังหยอน เพราะเหตนุ น้ั ศพั ท ๓ ศพั ทมีศพั ทวา ขณฺฑจิ ฺจ เปน ตนเหลาน้ี เปนศัพทแสดงกิจในเพราะเวลาลวงไปถงึ ชรา. ดว ยศัพททง้ั ๓ นั้น ทา นแสดงชราทป่ี รากฏโตง ๆ โดยแสดงความเปลีย่ นแปลง เปรยี บเหมือนทางไปของนา้ํ ลม หรอื ไฟ ยอ มปรากฏ เพราะหญา และตนไมเ ปน ตนถูกเผาทําลายหรอื ไหม แตท างไปของหญาและตน ไมนน้ั ไมป รากฏ ปรากฏแตน ้ําเปนตนเทา นัน้ ฉนั ใดทางไปของชราปรากฏโดยทฟี่ น หกั เปน ตน ฉันนน้ั เหมอื นกนั อวัยวะมีฟน เย็นตน บคุ คลแมลืมตาดูกจ็ ับเอาได แตค วามทฟ่ี นหกั เปน ตน แมลมื ตากจ็ ะรูท างจักษุไมไ ด จบั เอาไมได ชราก็ไมไ ดเหมอื นกนั เพราะวาชราไมพึงรูดว ยจกั ษุ. กด็ วยบทวา อายโุ น ส หานิ อนิ ฺทรฺ ยิ าน ปริปาโก (ความเสือ่ มแหง อายุ ความหงอ มแหงอนิ ทรยี ) น้ี พระผมู ีพระภาคเจา ทรงแสดงไวต ามปกติ เพราะบุคคลจะเขาใจความสิ้นไปแหงอายุ และความหงอ มแหงอนิ ทรยี มีจกั ษเุ ปนตน เพราะสงั ขารแปรปรวนไปในเมือ่ เวลาลว งไปนัน่ แล. เพราะเหตุน้ัน บท ๒ บทหลงั น้ี แหงคําวา ชรานัน้พึงทราบวา เปนบทแสดงความปกติ. เพราะใน ๒ บทเหลานั้น บคุ คลผูถึงชรา อายยุ อมเสื่อมไป ฉะนั้น ชรา พระผมู พี ระภาคเจาจึงตรัสไวโดยอิงเหตุใกลกบั ผลวา ความเส่ือมอายุ. และเพราะในเวลาเปน หนมุอินทรียมจี กั ษเุ ปน ตนก็ผองใส สามารถจะรบั อารมณข องตนแมท ่ลี ะเอียดไดโ ดยงา ยนกั เมอ่ื บุคคลถงึ ความชราแลวยอ มแกห งอม คอื ขนุ มวั ไดแก
พระสุตตนั ตปฎ ก สงั ยตุ ตนกิ าย นิทานวรรค เลม ๒ - หนา ท่ี 25ไมผองใส ไมส ามารถจะรับอารมณของตนแมท ีห่ ยาบได เพราะเหตนุ ั้นชรานน้ั พระผมู พี ระภาคเจา จึงตรสั ไวโ ดยองิ เหตใุ กลกับผลวา ความแกหงอ มแหงอนิ ทรยี . กช็ ราแมท งั้ หมดทพ่ี ระองคท รงแสดงไวอยา งน้นี ้นั มี ๒ อยา ง คอืปากฏชรา ปฏจิ ฉนั นชรา. ในชรา ๒ อยา งนนั้ ความแกไปรปู ธรรมเพราะแสดงถงึ ฟนหกั เปนตน ชื่อวา ปากฏชรา. สวนความแกใ นอรูปธรรม เพราะไมแ สดงวกิ าร (เปล่ยี นแปลง) เชนนน้ั ชอ่ื วา ปฏิจ-ฉนั นชรา. ชราอกี นยั หน่ึงมี ๒ อยาง อยา งน้คี ือ อวจิ ิชรา สวจิ ชิ ราในชรา ๒ อยา งน้ัน ชรา ช่ือวา อวิจชิ รา เพราะธรรมชาตมิ ีความแปลกแหงวรรณะติดตอกันเปน ตน รูไดย าก เหมือนแกว มณี ทอง เงินแกว ประพาฬ พระจันทร พระอาทติ ย เปนตน เหมือนเหลา สิง่ มีปราณในสัตวม นั ททสกะเปนตน และเหมอื นส่งิ ท่ีไมมีปราณในดอกไม ผลไมและใบออนเปน ตนฉะนน้ั อธิบายวาชราท่ตี ดิ ตอ กนั อนง่ึ ชราพงึ ทราบวาท่ชี ือ่ วา สวิจชิ รา เพราะธรรมชาติมีความแปลกแหงวรรณะตดิ ตอ กันเปน ตน วัตถเุ หลาอืน่ จากนั้นตามท่กี ลา วแลว บคุ คลรไู ดง าย คาํ วาเตส เตส เปน ตนนอกจากนี้ พงึ ทราบตามนัยทกี่ ลา วแลว น่ันแล.กค็ าํ วา จุติ ในคาํ วา จุติ จวนตา เปน ตน ทานกลา วดวยอํานาจการเคลอ่ื นจากภพ (เดิม). คําวา จุติ นนั้ เปนชอื่ ของขนั ธ ๑ ขนั ธ ๔ ขนั ธ ๕และอายตนะ. จวนตา เปนคาํ แสดงลักษณะ ดว ยคาํ แสดงภาวะ. คาํ วาเภโท เปนคาํ แสดงความเกดิ ขนึ้ และดบั ไปแหง จตุ ิขันธ. คาํ วา อนฺตร-ธาน เปนคําแสดงภาวะของสิง่ ทว่ี ิโรธปิ จจยั กระทบแตกไปของจตุ ิขันธท ี่แตกไปโดยปริยายอยา งใดอยางหน่งึ . บทวา มจฺจุ มรณ ไดแ กมรณะ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 572
- 573
- 574
- 575
- 576
- 577
- 578
- 579
- 580
- 581
- 582
- 583
- 584
- 585
- 586
- 587
- 588
- 589
- 590
- 591
- 592
- 593
- 594
- 595
- 596
- 597
- 598
- 599
- 600
- 601
- 602
- 603
- 604
- 605
- 606
- 607
- 608
- 609
- 610
- 611
- 612
- 613
- 614
- 615
- 616
- 617
- 618
- 619
- 620
- 621
- 622
- 623
- 624
- 625
- 626
- 627
- 628
- 629
- 630
- 631
- 632
- 633
- 634
- 635
- 636
- 637
- 638
- 639
- 640
- 641
- 642
- 643
- 644
- 645
- 646
- 647
- 648
- 649
- 650
- 651
- 652
- 653
- 654
- 655
- 656
- 657
- 658
- 659
- 660
- 661
- 662
- 663
- 664
- 665
- 666
- 667
- 668
- 669
- 670
- 671
- 672
- 673
- 674
- 675
- 676
- 677
- 678
- 679
- 680
- 681
- 682
- 683
- 684
- 685
- 686
- 687
- 688
- 689
- 690
- 691
- 692
- 693
- 694
- 695
- 696
- 697
- 698
- 699
- 700
- 701
- 702
- 703
- 704
- 705
- 706
- 707
- 708
- 709
- 710
- 711
- 712
- 713
- 714
- 715
- 716
- 717
- 718
- 719
- 720
- 721
- 722
- 723
- 724
- 725
- 726
- 727
- 728
- 729
- 730
- 731
- 732
- 733
- 734
- 735
- 736
- 737
- 738
- 739
- 740
- 741
- 742
- 743
- 744
- 745
- 746
- 747
- 748
- 749
- 750
- 751
- 752
- 753
- 754
- 755
- 756
- 757
- 758
- 759
- 760
- 761
- 762
- 763
- 764
- 765
- 766
- 767
- 768
- 769
- 770
- 771
- 772
- 773
- 774
- 775
- 776
- 777
- 778
- 779
- 780
- 781
- 782
- 783
- 784
- 785
- 786
- 787
- 788
- 789
- 790
- 791
- 792
- 793
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 600
- 601 - 650
- 651 - 700
- 701 - 750
- 751 - 793
Pages: