พระอภิธรรมปฎก ธาตกุ ถา-บุคคลบัญญตั ิ เลม ๓ - หนาท่ี 175 ๑๓. ภกิ ษุผูถอื การอยูในเสนาสนะตามทีท่ า นจัดไวเ ปนวตั ร ๕ จาํ พวก ๑๔. ภิกษุผูถืออยปู า ชา เปนวัตร ๕ จําพวก จบปญ จกมาติกา ฉักกมาตกิ า [๑๒] บุคคล ๖ จําพวก ๑. บุคคลบางคนแทงตลอดสจั จะดว ยตนเองในธรรมทั้งหลายที่มไิ ดสดบั แลว ในกอน ทงั้ บรรลคุ วามเปน สัพพัญใู นธรรมนนั้ ดวยทัง้ ถึงความชํานาญในธรรมเปนกําลังทั้งหลายดว ย. บุคคลบางคนแทงตลอดสจั จะดว ยตนเองในธรรมทง้ั หลายท่มี ิไดสดบั แลว ในกอ น แตมิไดบรรลุความเปนสัพพญใู นธรรมนั้นดวย ทั้งมิไดถ งึ ควานชาํ นาญในธรรมเปนกาํ ลงั ท้ังหลายดวย. บคุ คลบางคนไมแทงตลอดสัจจะดว ยตนเองในธรรมทงั้หลายทม่ี ไิ ดส ดับแลว ในกอน เปน ผทู ําทส่ี ดุ ทุกขไ ดใ นทฏิ ฐธรรมเทยี วแตทงั้ บรรลสุ าวกบารมีดวย. บุคคลบางคนไมแทงตลอดสจั จะดวยตนเองในธรรมทงั้หลายที่มิไดสดับแลว ในกอ น เปนผทู ําท่สี ุดทุกขไ ดในทิฏฐธรรมเทยี วไมไ ดบรรลสุ าวกบารมี. บคุ คลบางคนไมแทงตลอดสัจจะดวยตนเองในธรรมทงั้หลายท่มี ไิ ดสดับแลว ในกอ น ทัง้ มิไดท าํ ทส่ี ดุ ทุกขใ นทิฏฐธรรมเทยี วเปน อนาคามี ไมม าแลว สูความเปนอยา งน้ี.
พระอภธิ รรมปฎก ธาตุกถา-บุคคลบญั ญตั ิ เลม ๓ - หนา ท่ี 176 บคุ คลบางคนไมแ ทงตลอดสัจจะดวยตนเองในธรรมทั้งหลายทีม่ ิไดส ดับแลวในกอ น ทั้งไมทาํ ท่ีสดุ ทุกขในทฏิ ฐธรรมเทยี วเปน โสดาบัน และสกทาคามี มาแลวสูค วามเปน อยา งน.้ี จบฉกั กมาติกา สัตตกมาตกิ า [๑๓] บคุ คล ๗ จําพวก บคุ คลเปรยี บดวยคนจมนาํ้ ๗ เหลาคอื ๑. บคุ คลจมแลวคราวเดียว ยอ มจมอยนู ัน่ เอง ๑ บคุ คลโผลข ้นึ มาแลว จมลงอกี ๑ บคุ คลโผลข้ึนแลว หยดุ อยู ๑ บคุ คลโผลขึ้นแลว เหลยี วมองดู ๑ บุคคลโผลขน้ึ แลว วา ยขา มไป ๑ บุคคลโผลขน้ึ และวายไปถึงทที่ ่ตี นื้ พอหยั่งถึงแลว ๑ บคุ คลโผลขน้ึ และขามไปถงึ ฝง แลว เปนพราหมณยนื อยู บนบก ๑ ๒. บุคคลผูเปน อุภโตภาควมิ ตุ ๑ บคุ คลผเู ปนปญญาวิมตุ ิ ๑ บคุ คลผเู ปนกายสักขี ๑
พระอภิธรรมปฎก ธาตุกถา-บุคคลบัญญตั ิ เลม ๓ - หนา ท่ี 177 บคุ คลผเู ปนทฏิ ฐิปตตะ ๑ บคุ คลเปน สทั ธาวมิ ตุ ๑ บคุ คลผูเ ปนธมั มานสุ ารี ๑ บุคคลผเู ปนสัทธานสุ ารี ๑ จบสัตตกมาตกิ า อัฏฐกมาติกมาติกา[๑๔] บคุ คล ๘ จาํ พวก๑. บคุ คลผพู รอ มเพรียงดว ยมรรค ๔ บคุ คลผพู รอ มเพรยี งดวยผล ๔ จบอฏั ฐกมาตกิ า นวกมาติกา[๑๕ ] บคุ คล ๙ จําพวก๑. บคุ คลผูเปนพระสมั มาสมั พทุ ธะ ๑ บุคคลผเู ปน พระปจเจกพุทธะ ๑ บุคคลผูเปน อุภโตภาควิมตุ ๑ บุคคลผูเ ปนปญญาวมิ ุต ๑ บุคคลผเู ปน กายสกั ขี ๑
พระอภธิ รรมปฎ ก ธาตุกถา-บคุ คลบญั ญตั ิ เลม ๓ - หนา ท่ี 178 บุคคลผเู ปน ทฏิ ฐปิ ตติ ๑ บุคคลผเู ปนสทั ธาวิมุต ๑ บุคคลผเู ปนธมั มานุสารี ๑ บคุ คลผเู ปนสัทธานสุ ารี ๑ จบนวกมาตกิ า ทสกมาตกิ า [๑๖] บคุ คล ๑๐ จําพวก ความสําเร็จของพระอริยบุคคล ในกามาวจรภมู ินี้ ๕จาํ พวก. ความสาํ เร็จของพระอรยิ บคุ คล เมอ่ื ละกามาวจรภมู ินี้ไปแลว ๕ จาํ พวก. จบทสกมาตกิ า จบมาติกาปุคคลปญญัติ
พระอภธิ รรมปฎ ก ธาตุกถา-บุคคลบญั ญัติ เลม ๓ - หนาท่ี 179 ปรมตั ถทีปนี อรรถกถาปญ จปกรณ อรรถกถาปคุ คลปญ ญตั ปิ กรณ อารัมภกถา พระศาสดา ผูทรงประกาศประเภทแหงธาตุ ครั้นทรงแสดงธาตุกถาปกรณ ซ่ึงมีอรรถอนั ละเอียดในสุราลยั เทวโลกจบแลว พระชินเจา ผูเปนอคั รบุคคลในโลก ตรสั คัมภีรปุคคลปญ ญตั ิใดไว อันแสดงถึงประ-เภทแหง บัญญัติ ในลาํ ดับแหง ธาตกุ ถานน้ั . บดั นี้ ถึงโอกาสแหงการพรรณนาคัมภีรปคุ คล-ปญ ญตั นิ นั้ แลว เพราะฉะน้ันขาพเจา (พระพุทธโฆษา-จารย) จกั พรรณนาปกรณน ัน้ ทานทั้งหลายจงมจี ติตง้ั มน่ั สดบั พระสทั ธรรมนั้น เทอญ.
พระอภธิ รรมปฎก ธาตุกถา-บุคคลบญั ญัติ เลม ๓ - หนาท่ี 180 พรรณนามาตกิ า (อทุ เทสวาระ) อุทเทสนี้แหงบุคคลบัญญตั วิ า ฉ ปตฺ ตฺ ิโย ฯเปฯ ขนฺธปฺตฺติปุคฺคลปฺ ตฺติ ดังน้ีกอน. บรรดาบทเหลานน้ั บทวา ฉ เปน การกําหนดจาํ นวน. ดวยคํานน้ั พระผูมพี ระภาคเจาทรงประสงคจ ะบญั ญตั ธิ รรมเหลาใดในปกรณนี้ จึงทรงแสดงการกําหนดบญั ญตั ิธรรมเหลา นั้น ดวยการนบั โดยสงั เขป. บทวา ปฺตตฺ ิโย เปน คาํ แสดงไขธรรมที่พระผมู พี ระภาคเจา ทรงกาํ หนดไว. ในบทมาติกาเหลา นัน้ การบญั ญตั ิ การแสดง การประกาศในอาคตสถานวา ตรสั บอก ทรงแสดง ทรงบัญญัติ ทรงแตงตั้ง ชื่อวา บญั ญัต.ิการแตงตง้ั การวางไว ในอาคตสถานวา เตยี งและต่งั ท่ีเขาตกแตง ไปไวดีแลว ดงั นี้ ก็ชอื่ วา บญั ญตั .ิ บญั ญตั ิทัง้ สองในท่ีนี้ยอ มสมควร. จริงอยู คําวา ฉ ปฺ ฺตตโิ ย ไดแ ก การบัญญตั ิ ๖ การแสดง ๖การประกาศ ๖ ดงั นี้ก็ดี การตัง้ ไว ๖ การวางไว ๖ ดังนก้ี ็ดี พระผูม พี ระภาคเจาทรงประสงคเ อาในทน่ี ้.ี พระผูมพี ระภาคเจา ยอมทรงแสดงธรรม (บัญญตั ิ ๖)เหลา นั้นประกอบดว ยนามบัญญตั บิ าง ยอมทรงต้ังธรรมเหลาน้นั ไว โดยโกฏฐาสน้ัน ๆ บา ง. คําวา ขันธบญั ญตั ิ เปนตน เปนคําแสดงสรุปบญั ญัตเิ หลาน้นั ไวโดยยอ. บรรดาบัญญตั ิ ๖ เหลา นนั้ การบญั ญัติ การแสดง การประกาศการต้ังไว การวางไวซ่งึ ธรรมทั้งหลายท่เี ปน หมวดหมกู ันซ่ึงเปน ขันธท้ังหลายชื่อวา ขันธบญั ญตั ิ. การบญั ญตั ิ การแสดง การประกาศ การตัง้ ไว การ
พระอภิธรรมปฎก ธาตุกถา-บคุ คลบัญญัติ เลม ๓ - หนา ท่ี 181วางไวซ่ึงธรรมทัง้ หลายที่เปนบอเกดิ แหงอายตนะทง้ั หลาย ชอื่ วา อายตน-บัญญตั .ิ การบญั ญตั .ิ . .ซง่ึ ธรรมทงั้ หลายทีเ่ ปน สภาพทรงไวซ ึง่ เปน ธาตุทั้งหลายช่ือวา ธาตุบัญญตั .ิ การบญั ญัต.ิ . . ซึ่งธรรมทั้งหลายท่ีเปนจรงิ ช่ือวาสจั จบัญญัต.ิ การบญั ญัต.ิ . .ซึง่ ธรรมท่ีเปน ใหญท ัง้ หลาย ชื่อวา อนิ ทรยิ -บญั ญัต.ิ การบัญญัต.ิ . .ซ่งึ บคุ คลทงั้ หลายวา เปน บคุ คล ชอ่ื วา บุคคล-บัญญตั .ิ บัญญัติ ๖ นอกพระบาลี กว็ า โดยนัยแหง อรรถกถาบาลมี ตุ ตกะ คือนอกจากพระบาลี บัญญตั ิ ๖อนื่ อีก คือ ๑. วชิ ชมานบญั ญัติ ๒. อวิชซมานบัญญัติ ๓. วชิ ชมาเนน อวชิ ชมานบญั ญัติ ๔. อวชิ ชนาเนน วิชชมานบญั ญตั ิ ๕. วิชชมาเนน วชิ ชมานบัญญตั ิ ๖. อวชิ ชมาเนน อวิชชมานบัญญัต.ิ บรรดาบญั ญัติ ๖ เหลานน้ั การบญั ญัติธรรมที่เปนกุศลและอกุศลอันเปน ของมีอยู เปนอยู เกดิ ตามความเปน จรงิ นแี้ หละ ดว ยอาํ นาจแหงสัจฉ-ิกตั ถะและปรมตั ถะ ชือ่ วา วิชชมานบญั ญัต.ิ อน่ึง การบัญญตั ิคําท้ังหลายมคี ําวา หญิง ชาย เปน ตน อนั ลวนแตค าํ เปน ภาษาของชาวโลก อนั ไมม ีอยู (โดยแทจริง) ชอ่ื วา อวิชชมาน-บัญญัต.ิ
พระอภธิ รรมปฎ ก ธาตุกถา-บคุ คลบญั ญัติ เลม ๓ - หนาที่ 182 แมบัญญตั ิ คําวา สจั จะทีห่ า เปนตน หรอื คําวา บรุ ษุ ตามปรกตขิ องพวกเดียรถยี ซ ่งึ สักวาเปน ถอ ยคาํ และวตั ถอุ ันคน หามิได โดยประการทั้งปวงทเี ดยี ว กช็ ่อื วา อวิชชมานบัญญตั .ิ บญั ญตั ิทกี่ ลา วนีไ้ มม ีใชในพระพุทธ-ศาสนา เพราะฉะนนั้ จงึ ไมถ ือเอาในท่นี ี้ . พึงทราบบัญญตั ทิ เี่ หลือ (อีก ๔)ดวยสามารถการกําหนดซ่ึงวชิ ชมานะและอวิชชมานะเหลาน้นั ตอ ไป. จริงอยู วชิ ชา ๓ และอภิญญา ๖ มอี ยู (โดยแทจ ริง) สวนบคุ คลไมมอี ยู (โดยแทจ รงิ ) ในประโยควา บคุ คลมวี ชิ ชา ๓ บคุ คลมีอภิญญา ๖เปน ตน เพราะฉะนนั้ บญั ญตั ิเหน็ ปานนี้ จงึ ช่ือวา วชิ ชมาเนน อวิชชมาน-บัญญัติ เพราะบัญญัติอวชิ ชมานะ (สง่ิ ที่ไมม ีอย)ู รวมกับวชิ ชมานะ (สิ่งทม่ี ีอย)ู อยางนว้ี า บคุ คลชื่อวา มวี ชิ ชา ๓ เพราะอรรถวา วิชชา ๓ ของเขามอี ยูบุคคล ช่อื วา มอี ภิญญา ๖ เพราะอรรถวา อภิญญา ๖ ของเขามีอยเู ปน ตน ก็หญงิ และชาย ไมม อี ยู (โดยแทจรงิ ) รูป มีอยู (โดยแทจ รงิ ) ในคาํ ท่วี า รูปหญงิ รูปชาย เปน ตน เพราะฉะนัน้ บญั ญัติเหน็ ปานนี้ จึงชอ่ื วาอวชิ มาเนน วิชชมานบญั ญตั ิ เพราะบญั ญัตวิ ิชชมานะรวมกับอวชิ ชมานะอยา งนว้ี า รูปของหญิง ช่อื วา รูปหญงิ รูปของชาย ชอ่ื วา รูปชายเปนตน . ธรรมท้ังหลายมจี ักษุเปน ตนก็ดี ผัสสเจตสิกก็ดี มีอยโู ดยแทจรงิในคาํ ทง้ั หลายมีคาํ วา จกั ษุ ุสัมผสั โสตสัมผัส เปนตน เพราะฉะนน้ั บญั ญตั ิเห็นปานนี้ จงึ ชอ่ื วา วชิ ชมาเนน วิชชมานบญั ญัติ เพราะบญั ญัตซิ ่งึวชิ ชมานะรวมกบั วิชชมานะ อยางนีว้ า สมั ผสั ในจกั ษุ สัมผสั เกิดแตจ ักษุสัมผสั เปน ผลของจักษชุ ื่อวา จักษสุ ัมผัสเปนตน. อิสสริยะทั้งหลายมกี ษตั ริยเปนตน กด็ ี ไมมีอยู (โดยแทจ รงิ ) บตุ รของเขากด็ ี กไ็ มม ีอยู (โดยแทจริง) ในคําทั้งหลาย มีคําวา บุตรของกษัตริย
พระอภิธรรมปฎ ก ธาตกุ ถา-บุคคลบัญญัติ เลม ๓ - หนา ที่ 183บุตรของพราหมณ เปน ตน เพราะฉะนัน้ บัญญัติปานน้ี จึงชือ่ วา อวชิ ชมา-เนน อวชิ ซมานบญั ญตั ิ เพราะบัญญตั ิซงึ่ อวิชชมานะรว มกับอวชิ ชมานะอยา งนวี้ า บุตรของกษัตริยช อ่ื วา ขตั ติยบุตรเปนตน . ในปกรณปุคคลบัญญัตนิ ี้ บรรดาบัญญตั ิทง้ั ๖ น้ัน ได ๓ บญั ญตั ิขอ แรก เทานั้น. จรงิ อยู ไดช อ่ื วา วชิ ชมานบัญญตั ิ เพราะบญั ญตั ิสภาวะท่ีมอี ยจู ริงเทา น้ัน ในฐานะนวี้ า ขันธบัญญตั ิ ฯลฯ อนิ ทริยบัญญตั เิ ปนตน . ในบทวาปคุ คลบัญญัติ ช่อื วา อวชิ ชมานบัญญตั ิ ซงึ่ จะกลา วขางหนา แตใ นคาํ ทั้งหลาย มีคําวา บุคคลมีวิชชา ๓ มีอภิญญา ๖ เปนตน ได วชิ ชมาเนนอวิชชมานบญั ญตั ิ. บัญญตั ิ ๖ ตามนยั ของอาจารย กว็ าโดยนัยของอาจารยอันเปนอรรถกถามตุ ตกะ(นอกไปจากอรรถกถา)มบี ญั ญตั ิ ๖ อ่นื อีก คือ. ๑. อปุ าทาบัญญัติ ๒. อุปนธิ าบญั ญัติ ๓. สโมธานบัญญตั ิ ๔. อปุ นกิ ขิตตบัญญัติ ๕. ตัชชาบัญญัติ ๖. สันติบัญญตั ิ
พระอภิธรรมปฎ ก ธาตุกถา-บุคคลบญั ญตั ิ เลม ๓ - หนาที่ 184 บรรดาบัญญัติ ๖ แหลาน้ัน บญั ญัตินีว้ า \"ธรรมใดแมเ ปนสภาวะที่คนหาไมไ ดดวยสจั ฉกิ ตั ถะและปรมตั ถะ เหมือนธรรมท้ังหลายมรี ูปและเวทนาเปน ตน โดยความเปน อยา งเดยี วกนั หรือเปน คนละอยาง โดยเปน รูปและเวทนาเปน ตน สมมติกันวาเปน สัตว เพราะเขาไปอาศยั คอื อาศัยขันธท้งั หลายอนั ตางดวยรูปและเวทนาเปนตนกระทาํ ใหเ ปน เหตุ ชอ่ื วา รถ บา น กาํ มอืเตาไฟ เพราะอาศยั สวน. ทัง้ หลายเหลา น้นั ๆ ดังน้ี และ ช่ือวา แผนผา เพราะอาศยั ธรรมท้งั หลายมรี ูปและรสเปนตน เหลา น้นั ๆ นั่นแหละ ชื่อวา กาลเวลาชือ่ วา ทศิ ทง้ั หลาย เพราะอาศัยการหมนุ เวียนแหงดวงจันทรและดวงอาทติ ยเปนตน ชื่อวา อคุ คหนิมิต ช่ือวา ปฏภิ าคนิมติ อันเปนของสมมตซิ งึ่ปรากฏดว ยอาการนั้น ๆ เพราะเขาไปอาศยั คืออาศยั ซึง่ นิมิตแหงภูตรูปนั้น ๆและอานิสงสแหง ภาวนากระทาํ ใหเ ปน เหตุ \" บญั ญตั ิเห็นปานนี้ ชื่อวา อุปาทา-บัญญตั .ิ อนง่ึ บัญญัตินี้ ชือ่ วา บญั ญัติ เพราะอรรถวา อนั บคุ คลควรรู มิใชเพราะอรรถวาอนั บุคคลไมควรรูและอปุ าทาบัญญตั ินี้ ก็คือ อวิชชมานบัญญัตินั้นนน่ั แหละ. บัญญัตอิ นั ใดมีคําเปน ตน วา \"ที่สอง ทีส่ าม\" ดงั นี้ เพราะตงั้ ไวซง่ึ ฌานที่หน่งึ และที่สองเปน ตน และมีคําเปนตนวา \"ยาว สัน้ ใกล ไกลดงั น\"ี้ เพราะการต้งั ไวอ าศยั ซ่งึ กนั และกัน บัญญัตนิ ี้ ชือ่ วา อุปนธิ าบัญญตั ิ.อีกอยา งหน่ึง อุปนิธาบัญญตั ิน้ีมีอเนกประการ โดยประเภทเปน ตนวา ตทัญญาเปกขูปนธิ าบัญญตั ิ หตั ถคตูปนิธาบัญญัติ สัมปยุตตปู นิธาบญั ญัติ สมาโรปต ปู นิธาบัญญตั ิ
พระอภิธรรมปฎก ธาตุกถา-บุคคลบญั ญตั ิ เลม ๓ - หนาท่ี 185 อวิทรู คตูปนธิ าบญั ญัติ ปฏภิ าคูปนิธาบัญญัติ ตัพพหุลปู นิธาบญั ญัติ ตพั พิสิฏปู นิธาบญั ญัติ บรรดาบัญญตั ิเหลานัน้ คําวา ที่สอง ท่ีสาม เปน ตน น่นั แหละ ชือ่ วาตทญั ญาเปกขปู นธิ าบญั ญตั ิ เพราะกลาวเพงเลง็ ธรรมอืน่ จากนน้ั . บญั ญัตมิ ีคาํ วา บคุ คลมรี ม ในมือ มศี สั ตราในมอื เปน ตน ชอ่ื วาหตั ถคตูปนธิ าบัญญตั ิ เพราะกลาวมงุ การใชม ือ. บญั ญตั ิมีคาํ วา บุคคลมกี ณุ ฑล มดี อกไมประดับศีรษะ มมี งกุฏเปนตนชอ่ื วา สมั ปยตุ ตูปนธิ าบัญญตั ิ เพราะกลาวมงุ เอาของที่สมั ปยุต (ประกอบกบั บุคคล). บัญญัตคิ ําวา เกวยี นขา วเปลือก หมอเนยใสเปน ตน ชอ่ื วาสมาโร-ปตปู นิธาบญั ญัติ เพราะกลาวมงุ เอาวัตถุทยี่ กข้นึ . บัญญตั ิคําวา ถาํ้ ใกลตน อนิ ทสาละ ถา้ํ ใกลตน ประยงค วิมานใกลตนซกึ เปนตน ชอ่ื วา อวิทรู คตูปนธิ าบัญญตั ิ เพราะกลาวมุง ถงึ สถานทไ่ี มไกลกนั . บัญญัติคาํ วา มผี วิ พรรณเหมือนทองคาํ แมโ คเหมือนโคผูเ ปนตนชื่อวา ปฏภิ าคูปนธิ าบัญญตั ิ เพราะกลาวมงุ เอาสว นเปรียบเทียบ. บัญญตั คิ ําวา สระปทมุ บานพราหมณเ ปนตน ช่ือวา ตัพพหลุ ปู นิธาบัญญตั ิ เพราะกลาวมงุ เอาวัตถมุ ีมากของส่ิงน้ัน. บญั ญตั ิคําวา กาํ ไลมอื ทําดวยเพชรเปนตน ชื่อวา ตัพพิสิฏปู นธิ า-บัญญตั ิ เพราะกลาวมุง เอาวตั ถุของสิง่ น้นั ประเสรฐิ .
พระอภิธรรมปฎก ธาตุกถา-บุคคลบญั ญตั ิ เลม ๓ - หนาท่ี 186 กบ็ ัญญัตใิ ด มีคาํ วา ไม ๓ อนั บท ๘ บท กองขา วเปลอื ก กองดอกไม เปนตน เพราะมงุ การประชุมของวัตถุเหลา นั้น ๆ บญั ญตั นิ ี้ ชื่อวาสโมธานบัญญตั ิ. บญั ญตั ใิ ดมคี ําวา ๒,๓,๔ เปน ตน เพราะมุงยกบทตน ๆ น้กี อนแลวบัญญัติ นีช้ ือ่ วา อปุ นกิ ขติ ตบญั ญตั .ิ บัญญัติใด มีคาํ วา ปฐวี เตโช ความแขง็ ความรอนเปนตนเพราะเพง สภาวธรรมนั้น ๆ บญั ญตั นิ ้ี ชอื่ วา ตชั ชาบัญญตั .ิ กบ็ ัญญตั ใิ ด มคี ําเปนตน วา คนมีอายุ ๘๐ ป คนมีอายุ ๙๐ ป ดงั นี้เพราะเพงความเปน ของสืบตอกนั ไมขาดสาย บัญญัตนิ ้ี ช่อื วา สันตติบญั ญัติ. อนง่ึ ในบรรดาบญั ญตั ิ ๖ เหลา นน้ั ตชั ชาบัญญัติ กค็ อื วิชชมาน-บญั ญัติน่นั เอง. บญั ญัติท่เี หลอื ยอมรวมเปนพวกอวชิ ชมานบัญญัติ และอวชิ ช-มาเนน อวชิ ชมานบัญญัต.ิ อกี นัยหนงึ่ บัญญัติ ๖ ของอาจารย อีกนยั หน่งึ บญั ญัติ ๖ ตามนยั ของอาจารย นอกจากอรรถกถา คอื ๑. กิจจบัญญตั ิ ๒. สณั ฐานบัญญตั ิ ๓. ลิงคบญั ญตั ิ ๔. ภูมิบัญญัติ ๕. ปจ จตั ตบัญญัติ ๖. อสังขตบญั ญตั ิ บรรดาบัญญตั ิ ๖ เหลา น้ัน การบญั ญตั ิดว ยสามารถแหงกจิ มคี าํ วานกั ธรรมกถึก เปน ตน ชอื่ วา กจิ จบญั ญัต.ิ
พระอภธิ รรมปฎ ก ธาตกุ ถา-บคุ คลบญั ญตั ิ เลม ๓ - หนา ที่ 187 การบญั ญัตดิ วยสามารถแหงทรวดทรง มคี าํ วา ผอม อวน กลมสีเ่ หลี่ยมเปนตน ช่อื วา สัณฐานบญั ญตั ิ. การบัญญัติ ดว ยสามารถแหงเพศ มีคําวา หญิง ชาย เปน ตน ชือ่ วาลงิ คบัญญตั ิ. การบญั ญตั ิ ดว ยสามารถแหงภูมิ มคี ําวา กามาวจร รปู าวจรอรูปาวจร ชาวโกศล ชาวมาธุระเปน ตน ช่อื วา ภูมบิ ัญญัต.ิ การบัญญตั ิ ดวยสามารถสักวาการต้ังชื่อเฉพาะมีคาํ วา ทานตสิ สะนาคะ สมุ นะเปน ตน ชอ่ื วา ปจจัตตบัญญัต.ิ การบญั ญตั ิอสังขตธรรม มีคาํ วา นโิ รธ คือ พระนพิ พานเปน ตนช่ือวา อสงั ขตบัญญัต.ิ บรรดาบัญญัติเหลานนั้ ภูมิบัญญัติบางอยา ง และอสังขต-บญั ญัติ ก็คอื วชิ ชมานบญั ญัตนิ นั่ แหละ. กจิ จบัญญตั ิ จดั เขา เปนพวกวิชชมาเนน อวิชชมานบญั ญตั ิ. บัญญตั ทิ ่ีเหลอื ช่อื วา อวิชช-มานบญั ญัติ. บดั น้ี พระผูม ีพระภาคเจา เพอื่ ทรงจําแนกบญั ญัติที่พระองคทรงสรปุไวโดยยอในอุทเทสวาระนน้ั แลวแสดง ดวยสามารถแหงการแสดง จึงตรสั คําวากิตฺตาวตา เปน ตน . ในอุทเทสวาระนน้ั บญั ญตั พิ ึงทราบเนอื้ ความแหงคาํ ถามอยา งน้ีกอนวา การบัญญัติ การแสดง การแตงต้งั ซึง่ ธรรมทีเ่ ปน กองทัง้ หลายวา เปน ขนั ธ อนั ใดนี้ การบญั ญัติ การแสดง การแตงตงั้ นนั้ มีประมาณเทา ไร ดังนี้ เปน กเถตกุ ัมยตาปุจฉา (ถามเพอื่ จะตอบเอง). แมในคําท้งั หลายมีคาํ วา กิตฺตาวตา อายตนาน เปนตน ขางหนากน็ ยั นี้แหละ.
พระอภธิ รรมปฎ ก ธาตุกถา-บคุ คลบญั ญตั ิ เลม ๓ - หนา ท่ี 188 สว นในคาํ วสิ ชั นา บณั ฑติ พึงทราบเน้อื ความอยา งนว้ี า คําวา ขนั ธ๕ โดยสังเขป หรือวา โดยประเภท คือ รปู ขนั ธ ฯลฯ วญิ ญาณขนั ธ หรือวา ในขันธ ๕ แมน ้ัน รูปขนั ธเปน กามาวจร ขันธ ๔ ทเ่ี หลอื เปนไปในภมู ิ ๔เปนตน การบัญญัติเห็นปานนยี้ อ มมดี ว ยบญั ญัติมปี ระมาณเทา ใด การบญั ญัติธรรมทง้ั หลายที่เปนกองวา เปน ขันธ มีอยูโ ดยประมาณเทา น้ี. บัญญัตเิ ห็นปานน้ีวา อายตนะมี ๑๒ โดยสงั เขป หรือวา โดยประเภทวา จกั ขวายตนะ ฯลฯ ธมั มายตนะ หรอื วา ในอายตนะแมเ หลานัน้ อายตนะ๑๐ เปนกามาวจร อายตนะ ๒ เปน ไปในภูมิ ๔ ดงั นี้ ยอ มมีดวยบญั ญัตมิ ีประมาณเทาใด การบญั ญตั ิธรรมท้ังหลายอนั เปนบอเกดิ วา เปนอายตนะ ยอมมี ดว ยคํามีประมาณเทานี.้ กบ็ ัญญตั ิเหน็ ปานนว้ี า ธาตุ ๑๘ โดยสงั เขป หรือวา โดยประเภทวาจกั ขุธาตุ ฯลฯ มโนวิญญาณธาตุ หรอื วา บรรดาธาตแุ มเหลาน้นั ธาตุ ๑๖เปนกามาวจร ธาตุ ๒ เปน ไปในภมู ิ ๔ ดังนี้ ยอมมีดวยบญั ญตั มิ ีประมาณเทา ใด การบญั ญัตธิ รรมท้งั หลายอนั เปนสภาวะทรงไววา เปนธาตุ ยอมมดี วยคาํ มปี ระมาณเทา น้.ี บญั ญตั ิเหน็ ปานน้ีวา สัจจะมี ๔ โดยสงั เขป หรอื วา โดยประเภทวาทกุ ขสัจจะ ฯลฯ นิโรธสัจจะ หรอื วา บรรดาสัจจะแมเ หลา นั้น สัจจะ ๒ เปนโลกิยะ สัจจะ ๒ เปน โลกตุ ตระ ดงั น้ี ยอมมดี วยคาํ บัญญตั ิมีประมาณเทาใดการบญั ญัติธรรมท้ังหลายท่เี ปนจริงวา สจั จะ ยอมมีดว ยคํามีประมาณเทาน้ี. บัญญตั ิเห็นปานนี้วา อนิ ทรยี ม ี ๒๒ โดยสงั เขป หรือโดยประเภทวาจกั ขุนทรีย ฯลฯ อญั ญาตาวนิ ทรีย หรอื วา บรรดาอนิ ทรยี แ มเ หลา นนั้ อินทรยี ๑๐ เปน กามาวจร อนิ ทรีย ๙ เปน มิสสกะ อินทรยี ๓ เปนโลกุตตระ ดังนี้
พระอภิธรรมปฎ ก ธาตกุ ถา-บุคคลบญั ญัติ เลม ๓ - หนาที่ 189ยอ มมีดวยคาํ บญั ญัตมิ ปี ระมาณเทาใด การบัญญัติธรรมท้ังหลายท่ีเปน ใหญว าเปนอนิ ทรียย อ มมีดวยคํามปี ระมาณเทานี.้ พระผูมีพระภาคเจาครั้นทรงจําแนกเรือ่ งบญั ญัติโดยสังเขป ดวยคาํ มีประมาณเทานแ้ี ลว จงึ ทรงแสดงบัญญตั ิ ๕ ดวยสามารถแหง การแสดงตอไป. บัดนี้ พระผมู ีพระภาคเจา คร้ันทรงจาํ แนกเรอ่ื งบญั ญตั ิโดยพิศดารแลว เพอื่ จะทรงแสดงปคุ คลบัญญตั ิ (บัญญัติวา ดวยบคุ คล) ดว ยสามารถแหงการแสดง สมยวมิ ุตโต อสมยวมิ ุตโต เปนตน . พระสัมมาสัมพทุ ธเจาเปน ดุจบุคคลผูทองเทยี่ วไปในท่ีตาง ๆ และบุคคลผกู ําลังเปน ไป ตรัสขันธเปนตน ซง่ึ เปน เรื่องบัญญัตนิ ้ี ๕ เหลานีไ้ วโดยพิศดารในวภิ ังคปกรณแลว เพราะฉะน้นั ในปกรณป คุ คลบญั ญตั ินี้ จงึ ตรัสธรรมมขี นั ธเ ปนตนเหลานั้นโดยเอกเทสเทานน้ั . ปคุ คลบญั ญตั ทิ ี่ ๖ ก็มไิ ดตรัสไวในหนหลงั เลย ในอุทเทสวารแมน ้ี กต็ รสั ไวโ ดยเอกเทสเทา นั้น เพราะฉะนัน้ พระผมู พี ระภาคเจาผมู คี วามประสงคจะตรสั ปคุ คลบญั ญตั อิ ันเปน บัญญัติท่ี ๖ นั้น โดยพิศดาร จงึ ทรงตัง้มาติกาไววา สมยวมิ ตุ ฺโต อสมยวิมุตฺโต เปน ตน จําเดมิ แตบุคคลหนึ่งพวกจนถงึ บคุ คลสบิ พวก แล. จบพรรณนาบทมาตกิ า
พระอภิธรรมปฎก ธาตุกถา-บุคคลบญั ญัติ เลม ๓ - หนาที่ 190 เอกกนิทเทส อธิบายบุคคล ๑ จาํ พวก [๑๗] สมยวมิ ตุ ตบคุ คล บคุ คลผพู น แลวในสมัย เปนไฉน ? บคุ คลบางคนในโลกน้ี ถกู ตองวโิ มกข ๘ ดวยกาย ในกาลโดยกาลในสมัยโดยสมยั แลวสาํ เรจ็ อิริยาบถอย.ู อนงึ่ อาสวะบางอยา งของบุคคลนน้ัหมดส้นิ แลว เพราะเหน็ ดวยปญญา บุคคลนเ้ี รยี กวา บคุ คลผพู น แลวในสมัย. อรรถกถาเอกกนิทเทส สมยวมิ ตุ ตบคุ คล บดั นี้ เพอื่ จะจาํ แนกมาตกิ า ตามท่ไี ดด ังไวแ ตตน พระผูมีพระภาคเจาจงึ ตรสั คําเปน อาทวิ า \"กตโม จปคุ คฺ โล สมยวมิ ุตโฺ ต\" แปลวา กส็ มยวมิ ตุ ตบคุ คล เปนไฉน ? ในคาํ เหลานนั้ คาํ วา อิธ ไดแ ก ในสัตวโลก. คาํ วาเอกจฺโจ ปุคฺคโล ไดแก บุคคลคนหนึ่ง. ในคาํ วา กาเลน กาล น้ีพงึ ทราบเนอ้ื ความดว ยสัตตมวี ภิ ตั ติ. อธบิ ายวา ในกาลหนง่ึ ๆ คําวา \" สมเยนสมย \" นีเ้ ปน ไวพจนของคาํ กอ นน้นั แหละ (คือเปนไวพจนของคาํ วา กาเลนกาล ) คําวา \"อฏ วิโมกเฺ ข\" ไดแ ก สมาบัติ ๘ อนั เปน รปู าวจร และอรปู าวจรฌาน. จริงอยู คาํ วา วโิ มกข น้เี ปนชือ่ ของสมาบัติ ๘ เหลา นน้ั เพราะพนจากธรรมอนั เปน ขา ศกึ ทง้ั หลาย. คาํ วา \"กาเยน\" ไดแ ก นามกายทีเ่ กดิพรอ มกบั วิโมกข. คําวา \"ผุสิตวฺ า วิหรต\"ิ ไดแก ไดส มาบัตแิ ลว จึงผลัดเปลีย่ นอริ ิยาบถอย.ู ถามวา ก็ สมยวมิ ตุ ตบคุ คลนี้ ถกู ตอ งวโิ มกข แลว อยูในกาลไหน ?
พระอภิธรรมปฎ ก ธาตกุ ถา-บคุ คลบญั ญัติ เลม ๓ - หนา ท่ี 191 ตอบวา ก็ธรรมดาวา กาลของทา นผูปรารถนาจะเขาสมาบัตมิ อี ยู แตชือ่ วา อกาล หามีไม. บรรดา กาลและอกาล คือ สมยั มิใชส มยั ท้ัง ๒ อยางน้ี ก็กาลที่กําลังปฏบิ ัตสิ รีระแตเชา ตรู ๑ กาลทกี่ ําลงั ทําวัตร ๑ ชอื่ วา สมยั มิใชก าล ของทา นผเู ขาสมาบตั .ิ กาลเปน ทีป่ ฏบิ ตั ิสรรี ะ และทาํ วัตรเสร็จแลว จงึ เขา ไปสูท ่อี ยูพกั อยูจนกระทั่งถงึ เวลาจะไปบิณฑบาต ในระหวา งน้ี ช่ือวา กาลของทา นเขาสมาบตั ิ. ก็กาลเปน ทวี่ ันทาพระเจดียของภกิ ษุ ผกู ําหนดเวลาไปบิณฑบาตแลวออกไป ๑ กาลเปน ท่ียนื อยใู นโรงวิตกของภกิ ษุ ผทู ่ีแวดลอมดว ยหมแู หงภิกษุ๑ กาลเปนทเี่ ท่ียวไปเพ่ือบิณฑบาต๑ กาลเปน ทีเ่ ทย่ี วไปในบา น ๑ กาลเปนทด่ี ม่ื ขา วยาคใู นโรงฉันภตั ๑ กาลเปน ทกี่ ระทาํ วตั ร ๑ กาลท้ังหมดนี้ ชื่อวาอกาล คือ สมยั มิใชก าลของทานผเู ขาสมาบัต.ิ ก็เมอ่ื โอกาสอนั สงดั ในโรงฉันภัตมีอยู และยงั ไมถ ึงเวลาฉนั ภตั ตาหาร ในระหวางเวลาแมน้ี กช็ อ่ื วา กาลของทานผูเขาสมาบตั .ิ อนง่ึ เวลาฉันภตั ตาหาร ๑ เวลาไปสวู หิ าร ๑ เวลาเก็บรกั ษาบาตรและจีวร ๑ เวลากระทําวตั รในเวลากลางวนั ๑ เวลาในการสอบถาม ๑ กาลท้งั หมดน้ี กช็ ่ือวา อกาล คือ สมัยมใิ ชก าลของทานผูเขา สมาบัติ. กาลใดมิใชกาล กาลนน้ั น่นั แหละ มใิ ชสมยั . กิจนัน้ แมทั้งหมด ยกเวนกาลท่เี หลอื สมัยท่ีเหลือ ทา นเรียกวาบคุ คลบางคนในโลกน้ีไดวิโมกข ๘ มีประการดงั กลา วแลว ดวยสหชาตนามกายอยู ฯลฯ อกี ประการหนง่ึ บุคคลน้ี ชือ่ วา ถกู ตอ งสหชาตธรรมทัง้ หลาย พรอมกับผสั สะ. ชอ่ื วา ถกู ตองอปั ปนา ดวยอปุ จาระ ชอื่ วา ยอมถกู ตองอัปปนา
พระอภธิ รรมปฎก ธาตกุ ถา-บุคคลบญั ญตั ิ เลม ๓ - หนาที่ 192อื่นอีก ดว ยอปั ปนาแรก. ก็ธรรมเหลาใด เกดิ พรอมกบั ธรรมเหลา ใด ธรรมเหลา นั้น ชื่อวา เปน ธรรมอนั ทานไดแ ลว กับธรรมน้นั ฉะนน้ั จึงชอื่ วา ถกูตอ งแลว แมด ว ยผสั สะ. แมอปุ จาระ . กเ็ ปน เหตุแหงการไดอ ปั ปนานนั่ แหละ.อัปปนาแรก ก็เปน เหตุใหไดอปั ปนาอน่ื ๆ อีกเหมือนกนั ในอปุ จาระและอปั -ปนาเหลา น้นั พงึ ทราบการถกู ตองสหชาตธรรมท้งั หลาย ดวยสหชาตธรรมท้ังหลายของพระโยคบี ุคคลนัน้ ดวยประการฉะน้.ี ก็ ปฐมฌาน มีองค ๕ มวี ิตกเปน ตน เวนองคฌ านทง้ั ๕ เสยี แลวธรรมท่เี หลอื เกนิ ๕๐ เรยี กวา นามขันธ ๔. พระโยคบี คุ คล ถูกตอง คอืไดเ ฉพาะปฐมฌานสมาบัตวิ ิโมกข ดวยนามกายนน้ั แลว จึงอย.ู ทตุ ยิ ฌาน มีองค ๓ คือ ปต ิ สุข และเอกัคคตา. ตตยิ ฌาน มีองค ๒ คอื สขุ และเอกัคคตา. จตตุ ถฌาน มอี งค ๒ คือ อุเบกขา และเอกคั คตา. อนง่ึ อากาสานัญจายตนฌาน ฯลฯ เนวสญั ญานาสัญญายตนฌานมอี งค ๒ เหมอื นกบั จตุตถฌาน. ในฌานเหลานน้ั คอื ตง้ั แต ปฐมฌานถึงเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน ยกเวน องคฌ านเหลานัน้ เสยี แลว ธรรมทั้งหลายทีเ่ หลอื เกนิ ๕๐ เรียกวา นามขนั ธ ๔. พระโยคีบุคคล ถูกตอง คอื ไดเฉพาะเนวสัญญานาสญั ญายตนสมาบัตวิ ิโมกข ดว ยนามกายนัน้ แลว จงึ อยู. คาํ วา \"ปฺ าย จสสฺ ทิสวฺ า\" อธบิ ายวา เพราะเหน็ ความเปนไปแหง สงั ขารดวยวิปส สนาปญญา เห็นสัจธรรมทง้ั ส่ี ดว ยมรรคปญ ญา. คาํ วา\"เอกจฺเจ อาสวา ปรกิ ขฺ ณี า โหนตฺ ิ\" อธิบายวา อาสวะทั้งหลาย อันปฐมมรรคเปนตน พงึ ฆาสวนหนึ่ง ๆ ส้ินไปแลว บคุ คลนี้ ทา นเรียกวา\"สมยวมิ ตุ โฺ ต\" แปลวา ผูพ นแลวโดยสมยั . ในขอวา \"ปคุ คฺ โล สมย-วมิ ุตฺโต\" นจี้ ะกลาววา บคุ คลผไู ดสมาบัติ ๘ ถูกตองวโิ มกข ดว ยนามกายน้ัน
พระอภธิ รรมปฎก ธาตกุ ถา-บุคคลบัญญตั ิ เลม ๓ - หนา ท่ี 193แลว จึงอยูก็ควร แตในพระบาลที า นกลา วไวว า \"เอกจฺเจ อาสวา ปริกฺขณี า\" แปลวา อาสวะบางอยางสิน้ ไปแลว จริงอยางนัน้ ขึ้นช่อื วา อาสวะท้ังหลายของปุถุชนสิน้ ไปแลว ยอ มไมม ี เพราะฉะนนั้ พระผูมพี ระภาคเจา จึงไมทรงประสงคเ อาปถุ ุชน ทีถ่ กู ควรจะกลาววา แมพระขณี าสพ ผูไดส มาบัติ๘ ถูกตองวิโมกขด ว ยนามกายนัน้ แลว อยู แตว า ธรรมดาวา อาสวะทั้งหลายของพระขณี าสพนัน้ ยังไมส ิ้นไปมไิ ดม ี เพราะฉะนนั้ พระขณี าสพนั้น พระผมู ี-พระภาคเจากม็ ไิ ดทรงพระประสงคเ อา. ก็คําวา \"สมยวมิ ุตฺโต\" นี้ พงึ ทราบวา เปน ชือ่ ของพระโสดาบนั พระสกทาคามี และพระอนาคามี รวม ๓ จาํ พวกเทา นัน้ จบอรรถกถาสมยวมิ ุตตบุคคล [๑๘] อสมยวมิ ุตตบคุ คล บุคคลผูมใิ ชพ น แลวในสมัย เปนไฉน ? บุคคลบางคนโนโลกนี้ มไิ ดถ กู ตอ งวิโมกข ๘ ดว ยกาย ในกาลโดยกาล ในสมัยโดยสมัย สําเร็จอิริยาบถอยู อน่ึง อาสวะท้ังหลายของบคุ คลนัน้หมดสิ้นแลว เพราะเห็นดวยปญญา บคุ คลนี้ เรียกวา ผูมใิ ชพนแลว ในสมยัพระอรยิ บุคคลแมทงั้ ปวง ชือ่ วา ผมู ิใชพน แลวในสมยั ในวิโมกขสวนท่ีเปน อรยิ ะ. อรรถกถาอสมยวิมมุตตบคุ คล ก็ในนิเทศวา \"อสมยวมิ ุตฺโต\" พึงทราบเชนกับคาํ กอ น โดยนยั ท่ีกลาวแลว นั่นเทียว. อน่ึง คําวา \"อสมยวมิ ุตโฺ ต\" นี้ ในทนี่ ีเ้ ปนช่อื ของ
พระอภิธรรมปฎ ก ธาตุกถา-บุคคลบญั ญัติ เลม ๓ - หนาที่ 194พระอรหนั ตสุกขวิปส สก แตว าพระอรหนั ตส ุกขวปิ สสก พระโสดาบนั พระ-สกทาคามี พระอนาคามี พระอรหันตผ ไู ดส มาบัติ ๘ และปถุ ชุ น ยอ มไมไดในทกุ ะน้ี (ทกุ ะน้ี คือ สมยวมิ ุตฺโต อสมยวิมุตฺโต) ฉะนน้ั จึงช่ือวาทกุ มตุ ตกบุคคล. เพราะฉะนัน้ พระศาสดา จึงทรงรวบรวมบคุ คลทงั้ หลายทีพ่ ระองคทรงถอื เอา และไมทรงถือเอาในหนหลังแลว ยกขน้ึ สูแบบแผนพรอมกบั ดว ยปฏฐิวัฏฏกบคุ คลท้ังหลาย คือ ผูหมนุ ไปขา งหลงั เพราะความทพี่ ระองคเปนผมู ีปญญาเปนเครอ่ื งตรัสรูแลวดว ยดี จงึ ตรสั คําเปน ตนวา \"สพฺเพปอรยิ ปคุ คฺ ลา\" แปลวา แมทั้งหมด เปนพระอรยิ บุคคล. บรรดาบทเหลาน้นั บทวา \"อรยิ วิโมกฺเข\" ไดแ ก วโิ มกขอนัเปน โลกุตตระอันถึงซง่ึ การนบั วา เปน \"อรยิ ะ\" เพราะไกลจากกิเลสท้งั หลาย ขอ น้ี มคี าํ อธิบายไววา สมัยก็ดี อสมัยก็ดี ของทานผูเขาสมาบตั ิ ๘ ภายนอกพระพุทธศาสนามีอยู, สมัยหรือ อสมยั ของทา นผูพนดวยมรรควิโมกขย อ มไมม .ี ศรทั ธาของบุคคลใดมกี าํ ลงั และวิปส สนาอนั บุคคลใดปรารภแลว มีอยู แตก ารแทงตลอดมรรค และผลของผูนัน้ ซ่ึงกาํ ลงั เดนิ , ยนื , นั่ง, นอน, เคี้ยว, และบรโิ ภคไมม ี เพราะฉะนัน้ สมัย หรอื อสมัยของผูพนดวยมรรควโิ มกข จึงไมมี. ดังนั้น ขอวา \"มคฺควิโมกฺเขน วมิ จุ ฺจนสฺส สมโย วา อสมโย วา นตถฺ ิ\"นี้ พระผมู พี ระภาคเจา ผทู รงเปน ธรรมราชา ทรงรวบรวมบุคคลทงั้ หลาย ที่พระองคทรงถอื เอา และไมท รงถือเอาในหนหลงั แลว ยกขึ้นสูแบบแผนอันเปน ปฏฐวิ ฏั ฏกะน้ี. ท้งั ปถุ ชุ นผไู ดสมาบัติ ๘ พระองคก ็มไิ ด ทรงพระประสงคเ อาดว ยแบบแผนน้เี ลย แตวา พระผมู พี ระภาคเจา เม่ือจะทรงจําแนกบคุ คลผูไ ดสมาบตั ิ ๘ นัน้ ก็พงึ จาํ แนกซึง่ ความเปน สมยวิมตุ ตบุคคลดว ยอาํ นาจกเิ ลสทที่ า นขม ไวแลว ดว ยสมาบัต.ิ จบอรรถกถาอสมยวิมุตตบคุ คล
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 461
Pages: