Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_79

tripitaka_79

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:45

Description: tripitaka_79

Search

Read the Text Version

พระอภิธรรมปฎก ธาตกุ ถา-บุคคลบัญญตั ิ เลม ๓ - หนาท่ี 175 ๑๓. ภกิ ษุผูถอื การอยูในเสนาสนะตามทีท่ า นจัดไวเ ปนวตั ร ๕ จาํ พวก ๑๔. ภิกษุผูถืออยปู า ชา เปนวัตร ๕ จําพวก จบปญ จกมาติกา ฉักกมาตกิ า [๑๒] บุคคล ๖ จําพวก ๑. บุคคลบางคนแทงตลอดสจั จะดว ยตนเองในธรรมทั้งหลายที่มไิ ดสดบั แลว ในกอน ทงั้ บรรลคุ วามเปน สัพพัญใู นธรรมนนั้ ดวยทัง้ ถึงความชํานาญในธรรมเปนกําลังทั้งหลายดว ย. บุคคลบางคนแทงตลอดสจั จะดว ยตนเองในธรรมทง้ั หลายท่มี ิไดสดบั แลว ในกอ น แตมิไดบรรลุความเปนสัพพญใู นธรรมนั้นดวย ทั้งมิไดถ งึ ควานชาํ นาญในธรรมเปนกาํ ลงั ท้ังหลายดวย. บคุ คลบางคนไมแทงตลอดสัจจะดว ยตนเองในธรรมทงั้หลายทม่ี ไิ ดส ดับแลว ในกอน เปน ผทู ําทส่ี ดุ ทุกขไ ดใ นทฏิ ฐธรรมเทยี วแตทงั้ บรรลสุ าวกบารมีดวย. บุคคลบางคนไมแทงตลอดสจั จะดวยตนเองในธรรมทงั้หลายที่มิไดสดับแลว ในกอ น เปนผทู ําท่สี ุดทุกขไ ดในทิฏฐธรรมเทยี วไมไ ดบรรลสุ าวกบารมี. บคุ คลบางคนไมแทงตลอดสัจจะดวยตนเองในธรรมทงั้หลายท่มี ไิ ดสดับแลว ในกอ น ทัง้ มิไดท าํ ทส่ี ดุ ทุกขใ นทิฏฐธรรมเทยี วเปน อนาคามี ไมม าแลว สูความเปนอยา งน้ี.

พระอภธิ รรมปฎก ธาตุกถา-บุคคลบญั ญตั ิ เลม ๓ - หนา ท่ี 176 บคุ คลบางคนไมแ ทงตลอดสัจจะดวยตนเองในธรรมทั้งหลายทีม่ ิไดส ดับแลวในกอ น ทั้งไมทาํ ท่ีสดุ ทุกขในทฏิ ฐธรรมเทยี วเปน โสดาบัน และสกทาคามี มาแลวสูค วามเปน อยา งน.้ี จบฉกั กมาติกา สัตตกมาตกิ า [๑๓] บคุ คล ๗ จําพวก บคุ คลเปรยี บดวยคนจมนาํ้ ๗ เหลาคอื ๑. บคุ คลจมแลวคราวเดียว ยอ มจมอยนู ัน่ เอง ๑ บคุ คลโผลข ้นึ มาแลว จมลงอกี ๑ บคุ คลโผลข้ึนแลว หยดุ อยู ๑ บคุ คลโผลขึ้นแลว เหลยี วมองดู ๑ บุคคลโผลขน้ึ แลว วา ยขา มไป ๑ บุคคลโผลขน้ึ และวายไปถึงทที่ ่ตี นื้ พอหยั่งถึงแลว ๑ บคุ คลโผลขน้ึ และขามไปถงึ ฝง แลว เปนพราหมณยนื อยู บนบก ๑ ๒. บุคคลผูเปน อุภโตภาควมิ ตุ ๑ บคุ คลผเู ปนปญญาวิมตุ ิ ๑ บคุ คลผเู ปนกายสักขี ๑

พระอภิธรรมปฎก ธาตุกถา-บุคคลบัญญตั ิ เลม ๓ - หนา ท่ี 177 บคุ คลผเู ปนทฏิ ฐิปตตะ ๑ บคุ คลเปน สทั ธาวมิ ตุ ๑ บคุ คลผูเ ปนธมั มานสุ ารี ๑ บุคคลผเู ปนสัทธานสุ ารี ๑ จบสัตตกมาตกิ า อัฏฐกมาติกมาติกา[๑๔] บคุ คล ๘ จาํ พวก๑. บคุ คลผพู รอ มเพรียงดว ยมรรค ๔ บคุ คลผพู รอ มเพรยี งดวยผล ๔ จบอฏั ฐกมาตกิ า นวกมาติกา[๑๕ ] บคุ คล ๙ จําพวก๑. บคุ คลผูเปนพระสมั มาสมั พทุ ธะ ๑ บุคคลผเู ปน พระปจเจกพุทธะ ๑ บุคคลผูเปน อุภโตภาควิมตุ ๑ บุคคลผูเ ปนปญญาวมิ ุต ๑ บุคคลผเู ปน กายสกั ขี ๑

พระอภธิ รรมปฎ ก ธาตุกถา-บคุ คลบญั ญตั ิ เลม ๓ - หนา ท่ี 178 บุคคลผเู ปน ทฏิ ฐปิ ตติ ๑ บุคคลผเู ปนสทั ธาวิมุต ๑ บุคคลผเู ปนธมั มานุสารี ๑ บคุ คลผเู ปนสัทธานสุ ารี ๑ จบนวกมาตกิ า ทสกมาตกิ า [๑๖] บคุ คล ๑๐ จําพวก ความสําเร็จของพระอริยบุคคล ในกามาวจรภมู ินี้ ๕จาํ พวก. ความสาํ เร็จของพระอรยิ บคุ คล เมอ่ื ละกามาวจรภมู ินี้ไปแลว ๕ จาํ พวก. จบทสกมาตกิ า จบมาติกาปุคคลปญญัติ

พระอภธิ รรมปฎ ก ธาตุกถา-บุคคลบญั ญัติ เลม ๓ - หนาท่ี 179 ปรมตั ถทีปนี อรรถกถาปญ จปกรณ อรรถกถาปคุ คลปญ ญตั ปิ กรณ อารัมภกถา พระศาสดา ผูทรงประกาศประเภทแหงธาตุ ครั้นทรงแสดงธาตุกถาปกรณ ซ่ึงมีอรรถอนั ละเอียดในสุราลยั เทวโลกจบแลว พระชินเจา ผูเปนอคั รบุคคลในโลก ตรสั คัมภีรปุคคลปญ ญตั ิใดไว อันแสดงถึงประ-เภทแหง บัญญัติ ในลาํ ดับแหง ธาตกุ ถานน้ั . บดั นี้ ถึงโอกาสแหงการพรรณนาคัมภีรปคุ คล-ปญ ญตั นิ นั้ แลว เพราะฉะน้ันขาพเจา (พระพุทธโฆษา-จารย) จกั พรรณนาปกรณน ัน้ ทานทั้งหลายจงมจี ติตง้ั มน่ั สดบั พระสทั ธรรมนั้น เทอญ.

พระอภธิ รรมปฎก ธาตุกถา-บุคคลบญั ญัติ เลม ๓ - หนาท่ี 180 พรรณนามาตกิ า (อทุ เทสวาระ) อุทเทสนี้แหงบุคคลบัญญตั วิ า ฉ ปตฺ ตฺ ิโย ฯเปฯ ขนฺธปฺตฺติปุคฺคลปฺ ตฺติ ดังน้ีกอน. บรรดาบทเหลานน้ั บทวา ฉ เปน การกําหนดจาํ นวน. ดวยคํานน้ั พระผูมพี ระภาคเจาทรงประสงคจ ะบญั ญตั ธิ รรมเหลาใดในปกรณนี้ จึงทรงแสดงการกําหนดบญั ญตั ิธรรมเหลา นั้น ดวยการนบั โดยสงั เขป. บทวา ปฺตตฺ ิโย เปน คาํ แสดงไขธรรมที่พระผมู พี ระภาคเจา ทรงกาํ หนดไว. ในบทมาติกาเหลา นัน้ การบญั ญตั ิ การแสดง การประกาศในอาคตสถานวา ตรสั บอก ทรงแสดง ทรงบัญญัติ ทรงแตงตั้ง ชื่อวา บญั ญัต.ิการแตงตง้ั การวางไว ในอาคตสถานวา เตยี งและต่งั ท่ีเขาตกแตง ไปไวดีแลว ดงั นี้ ก็ชอื่ วา บญั ญตั .ิ บญั ญตั ิทัง้ สองในท่ีนี้ยอ มสมควร. จริงอยู คําวา ฉ ปฺ ฺตตโิ ย ไดแ ก การบัญญตั ิ ๖ การแสดง ๖การประกาศ ๖ ดงั นี้ก็ดี การตัง้ ไว ๖ การวางไว ๖ ดังนก้ี ็ดี พระผูม พี ระภาคเจาทรงประสงคเ อาในทน่ี ้.ี พระผูมพี ระภาคเจา ยอมทรงแสดงธรรม (บัญญตั ิ ๖)เหลา นั้นประกอบดว ยนามบัญญตั บิ าง ยอมทรงต้ังธรรมเหลาน้นั ไว โดยโกฏฐาสน้ัน ๆ บา ง. คําวา ขันธบญั ญตั ิ เปนตน เปนคําแสดงสรุปบญั ญัตเิ หลาน้นั ไวโดยยอ. บรรดาบัญญตั ิ ๖ เหลา นนั้ การบญั ญัติ การแสดง การประกาศการต้ังไว การวางไวซ่งึ ธรรมทั้งหลายท่เี ปน หมวดหมกู ันซ่ึงเปน ขันธท้ังหลายชื่อวา ขันธบญั ญตั ิ. การบญั ญตั ิ การแสดง การประกาศ การตัง้ ไว การ

พระอภิธรรมปฎก ธาตุกถา-บคุ คลบัญญัติ เลม ๓ - หนา ท่ี 181วางไวซ่ึงธรรมทัง้ หลายที่เปนบอเกดิ แหงอายตนะทง้ั หลาย ชอื่ วา อายตน-บัญญตั .ิ การบญั ญตั .ิ . .ซง่ึ ธรรมทงั้ หลายทีเ่ ปน สภาพทรงไวซ ึง่ เปน ธาตุทั้งหลายช่ือวา ธาตุบัญญตั .ิ การบญั ญัต.ิ . . ซึ่งธรรมทั้งหลายท่ีเปนจรงิ ช่ือวาสจั จบัญญัต.ิ การบญั ญัต.ิ . .ซึง่ ธรรมท่ีเปน ใหญท ัง้ หลาย ชื่อวา อนิ ทรยิ -บญั ญัต.ิ การบัญญัต.ิ . .ซ่งึ บคุ คลทงั้ หลายวา เปน บคุ คล ชอ่ื วา บุคคล-บัญญตั .ิ บัญญัติ ๖ นอกพระบาลี กว็ า โดยนัยแหง อรรถกถาบาลมี ตุ ตกะ คือนอกจากพระบาลี บัญญตั ิ ๖อนื่ อีก คือ ๑. วชิ ชมานบญั ญัติ ๒. อวิชซมานบัญญัติ ๓. วชิ ชมาเนน อวชิ ชมานบญั ญัติ ๔. อวชิ ชนาเนน วิชชมานบญั ญตั ิ ๕. วิชชมาเนน วชิ ชมานบัญญตั ิ ๖. อวชิ ชมาเนน อวิชชมานบัญญัต.ิ บรรดาบญั ญัติ ๖ เหลานน้ั การบญั ญัติธรรมที่เปนกุศลและอกุศลอันเปน ของมีอยู เปนอยู เกดิ ตามความเปน จรงิ นแี้ หละ ดว ยอาํ นาจแหงสัจฉ-ิกตั ถะและปรมตั ถะ ชือ่ วา วิชชมานบญั ญัต.ิ อน่ึง การบัญญตั ิคําท้ังหลายมคี ําวา หญิง ชาย เปน ตน อนั ลวนแตค าํ เปน ภาษาของชาวโลก อนั ไมม ีอยู (โดยแทจริง) ชอ่ื วา อวิชชมาน-บัญญัต.ิ

พระอภธิ รรมปฎ ก ธาตุกถา-บคุ คลบญั ญัติ เลม ๓ - หนาที่ 182 แมบัญญตั ิ คําวา สจั จะทีห่ า เปนตน หรอื คําวา บรุ ษุ ตามปรกตขิ องพวกเดียรถยี ซ ่งึ สักวาเปน ถอ ยคาํ และวตั ถอุ ันคน หามิได โดยประการทั้งปวงทเี ดยี ว กช็ ่อื วา อวิชชมานบัญญตั .ิ บญั ญตั ิทกี่ ลา วนีไ้ มม ีใชในพระพุทธ-ศาสนา เพราะฉะนนั้ จงึ ไมถ ือเอาในท่นี ี้ . พึงทราบบัญญตั ทิ เี่ หลือ (อีก ๔)ดวยสามารถการกําหนดซ่ึงวชิ ชมานะและอวิชชมานะเหลาน้นั ตอ ไป. จริงอยู วชิ ชา ๓ และอภิญญา ๖ มอี ยู (โดยแทจ ริง) สวนบคุ คลไมมอี ยู (โดยแทจ รงิ ) ในประโยควา บคุ คลมวี ชิ ชา ๓ บคุ คลมีอภิญญา ๖เปน ตน เพราะฉะนนั้ บญั ญตั ิเหน็ ปานนี้ จงึ ช่ือวา วชิ ชมาเนน อวิชชมาน-บัญญัติ เพราะบัญญัติอวชิ ชมานะ (สง่ิ ที่ไมม ีอย)ู รวมกับวชิ ชมานะ (สิ่งทม่ี ีอย)ู อยางนว้ี า บคุ คลชื่อวา มวี ชิ ชา ๓ เพราะอรรถวา วิชชา ๓ ของเขามอี ยูบุคคล ช่อื วา มอี ภิญญา ๖ เพราะอรรถวา อภิญญา ๖ ของเขามีอยเู ปน ตน ก็หญงิ และชาย ไมม อี ยู (โดยแทจรงิ ) รูป มีอยู (โดยแทจ รงิ ) ในคาํ ท่วี า รูปหญงิ รูปชาย เปน ตน เพราะฉะนัน้ บญั ญัติเหน็ ปานนี้ จึงชอ่ื วาอวชิ มาเนน วิชชมานบญั ญตั ิ เพราะบญั ญัตวิ ิชชมานะรวมกับอวชิ ชมานะอยา งนว้ี า รูปของหญิง ช่อื วา รูปหญงิ รูปของชาย ชอ่ื วา รูปชายเปนตน . ธรรมท้ังหลายมจี ักษุเปน ตนก็ดี ผัสสเจตสิกก็ดี มีอยโู ดยแทจรงิในคาํ ทง้ั หลายมีคาํ วา จกั ษุ ุสัมผสั โสตสัมผัส เปนตน เพราะฉะนน้ั บญั ญตั ิเห็นปานนี้ จงึ ชอ่ื วา วชิ ชมาเนน วิชชมานบญั ญัติ เพราะบญั ญัตซิ ่งึวชิ ชมานะรวมกบั วิชชมานะ อยางนีว้ า สมั ผสั ในจกั ษุ สัมผสั เกิดแตจ ักษุสัมผสั เปน ผลของจักษชุ ื่อวา จักษสุ ัมผัสเปนตน. อิสสริยะทั้งหลายมกี ษตั ริยเปนตน กด็ ี ไมมีอยู (โดยแทจ รงิ ) บตุ รของเขากด็ ี กไ็ มม ีอยู (โดยแทจริง) ในคําทั้งหลาย มีคําวา บุตรของกษัตริย

พระอภิธรรมปฎ ก ธาตกุ ถา-บุคคลบัญญัติ เลม ๓ - หนา ที่ 183บุตรของพราหมณ เปน ตน เพราะฉะนัน้ บัญญัติปานน้ี จึงชือ่ วา อวชิ ชมา-เนน อวชิ ซมานบญั ญตั ิ เพราะบัญญตั ิซงึ่ อวิชชมานะรว มกับอวชิ ชมานะอยา งนวี้ า บุตรของกษัตริยช อ่ื วา ขตั ติยบุตรเปนตน . ในปกรณปุคคลบัญญัตนิ ี้ บรรดาบัญญตั ิทง้ั ๖ น้ัน ได ๓ บญั ญตั ิขอ แรก เทานั้น. จรงิ อยู ไดช อ่ื วา วชิ ชมานบัญญตั ิ เพราะบญั ญตั ิสภาวะท่ีมอี ยจู ริงเทา น้ัน ในฐานะนวี้ า ขันธบัญญตั ิ ฯลฯ อนิ ทริยบัญญตั เิ ปนตน . ในบทวาปคุ คลบัญญัติ ช่อื วา อวชิ ชมานบัญญตั ิ ซงึ่ จะกลา วขางหนา แตใ นคาํ ทั้งหลาย มีคําวา บุคคลมีวิชชา ๓ มีอภิญญา ๖ เปนตน ได วชิ ชมาเนนอวิชชมานบญั ญตั ิ. บัญญตั ิ ๖ ตามนยั ของอาจารย กว็ าโดยนัยของอาจารยอันเปนอรรถกถามตุ ตกะ(นอกไปจากอรรถกถา)มบี ญั ญตั ิ ๖ อ่นื อีก คือ. ๑. อปุ าทาบัญญัติ ๒. อุปนธิ าบญั ญัติ ๓. สโมธานบัญญตั ิ ๔. อปุ นกิ ขิตตบัญญัติ ๕. ตัชชาบัญญัติ ๖. สันติบัญญตั ิ

พระอภิธรรมปฎ ก ธาตุกถา-บุคคลบญั ญตั ิ เลม ๓ - หนาที่ 184 บรรดาบัญญัติ ๖ แหลาน้ัน บญั ญัตินีว้ า \"ธรรมใดแมเ ปนสภาวะที่คนหาไมไ ดดวยสจั ฉกิ ตั ถะและปรมตั ถะ เหมือนธรรมท้ังหลายมรี ูปและเวทนาเปน ตน โดยความเปน อยา งเดยี วกนั หรือเปน คนละอยาง โดยเปน รูปและเวทนาเปน ตน สมมติกันวาเปน สัตว เพราะเขาไปอาศยั คอื อาศัยขันธท้งั หลายอนั ตางดวยรูปและเวทนาเปนตนกระทาํ ใหเ ปน เหตุ ชอ่ื วา รถ บา น กาํ มอืเตาไฟ เพราะอาศยั สวน. ทัง้ หลายเหลา น้นั ๆ ดังน้ี และ ช่ือวา แผนผา เพราะอาศยั ธรรมท้งั หลายมรี ูปและรสเปนตน เหลา น้นั ๆ นั่นแหละ ชื่อวา กาลเวลาชือ่ วา ทศิ ทง้ั หลาย เพราะอาศัยการหมนุ เวียนแหงดวงจันทรและดวงอาทติ ยเปนตน ชื่อวา อคุ คหนิมิต ช่ือวา ปฏภิ าคนิมติ อันเปนของสมมตซิ งึ่ปรากฏดว ยอาการนั้น ๆ เพราะเขาไปอาศยั คืออาศยั ซึง่ นิมิตแหงภูตรูปนั้น ๆและอานิสงสแหง ภาวนากระทาํ ใหเ ปน เหตุ \" บญั ญตั ิเห็นปานนี้ ชื่อวา อุปาทา-บัญญตั .ิ อนง่ึ บัญญัตินี้ ชือ่ วา บญั ญัติ เพราะอรรถวา อนั บคุ คลควรรู มิใชเพราะอรรถวาอนั บุคคลไมควรรูและอปุ าทาบัญญตั ินี้ ก็คือ อวิชชมานบัญญัตินั้นนน่ั แหละ. บัญญัตอิ นั ใดมีคําเปน ตน วา \"ที่สอง ทีส่ าม\" ดงั นี้ เพราะตงั้ ไวซง่ึ ฌานที่หน่งึ และที่สองเปน ตน และมีคําเปนตนวา \"ยาว สัน้ ใกล ไกลดงั น\"ี้ เพราะการต้งั ไวอ าศยั ซ่งึ กนั และกัน บัญญัตนิ ี้ ชือ่ วา อุปนธิ าบัญญตั ิ.อีกอยา งหน่ึง อุปนิธาบัญญตั ิน้ีมีอเนกประการ โดยประเภทเปน ตนวา ตทัญญาเปกขูปนธิ าบัญญตั ิ หตั ถคตูปนิธาบัญญัติ สัมปยุตตปู นิธาบญั ญัติ สมาโรปต ปู นิธาบัญญตั ิ

พระอภิธรรมปฎก ธาตุกถา-บุคคลบญั ญตั ิ เลม ๓ - หนาท่ี 185 อวิทรู คตูปนธิ าบญั ญัติ ปฏภิ าคูปนิธาบัญญัติ ตัพพหุลปู นิธาบญั ญัติ ตพั พิสิฏปู นิธาบญั ญัติ บรรดาบัญญตั ิเหลานัน้ คําวา ที่สอง ท่ีสาม เปน ตน น่นั แหละ ชือ่ วาตทญั ญาเปกขปู นธิ าบญั ญตั ิ เพราะกลาวเพงเลง็ ธรรมอืน่ จากนน้ั . บญั ญัตมิ ีคาํ วา บคุ คลมรี ม ในมือ มศี สั ตราในมอื เปน ตน ชอ่ื วาหตั ถคตูปนธิ าบัญญตั ิ เพราะกลาวมงุ การใชม ือ. บญั ญตั ิมีคาํ วา บุคคลมกี ณุ ฑล มดี อกไมประดับศีรษะ มมี งกุฏเปนตนชอ่ื วา สมั ปยตุ ตูปนธิ าบัญญตั ิ เพราะกลาวมงุ เอาของที่สมั ปยุต (ประกอบกบั บุคคล). บัญญัตคิ ําวา เกวยี นขา วเปลือก หมอเนยใสเปน ตน ชอ่ื วาสมาโร-ปตปู นิธาบญั ญัติ เพราะกลาวมงุ เอาวัตถุทยี่ กข้นึ . บัญญตั ิคําวา ถาํ้ ใกลตน อนิ ทสาละ ถา้ํ ใกลตน ประยงค วิมานใกลตนซกึ เปนตน ชอ่ื วา อวิทรู คตูปนธิ าบัญญตั ิ เพราะกลาวมุง ถงึ สถานทไ่ี มไกลกนั . บัญญัติคาํ วา มผี วิ พรรณเหมือนทองคาํ แมโ คเหมือนโคผูเ ปนตนชื่อวา ปฏภิ าคูปนธิ าบัญญตั ิ เพราะกลาวมงุ เอาสว นเปรียบเทียบ. บัญญตั คิ ําวา สระปทมุ บานพราหมณเ ปนตน ช่ือวา ตัพพหลุ ปู นิธาบัญญตั ิ เพราะกลาวมงุ เอาวัตถมุ ีมากของส่ิงน้ัน. บญั ญตั ิคําวา กาํ ไลมอื ทําดวยเพชรเปนตน ชื่อวา ตัพพิสิฏปู นธิ า-บัญญตั ิ เพราะกลาวมุง เอาวตั ถุของสิง่ น้นั ประเสรฐิ .

พระอภิธรรมปฎก ธาตุกถา-บุคคลบญั ญตั ิ เลม ๓ - หนาท่ี 186 กบ็ ัญญัตใิ ด มีคาํ วา ไม ๓ อนั บท ๘ บท กองขา วเปลอื ก กองดอกไม เปนตน เพราะมงุ การประชุมของวัตถุเหลา นั้น ๆ บญั ญตั นิ ี้ ชื่อวาสโมธานบัญญตั ิ. บญั ญตั ใิ ดมคี ําวา ๒,๓,๔ เปน ตน เพราะมุงยกบทตน ๆ น้กี อนแลวบัญญัติ นีช้ ือ่ วา อปุ นกิ ขติ ตบญั ญตั .ิ บัญญัติใด มีคาํ วา ปฐวี เตโช ความแขง็ ความรอนเปนตนเพราะเพง สภาวธรรมนั้น ๆ บญั ญตั นิ ้ี ชอื่ วา ตชั ชาบัญญตั .ิ กบ็ ัญญตั ใิ ด มคี ําเปนตน วา คนมีอายุ ๘๐ ป คนมีอายุ ๙๐ ป ดงั นี้เพราะเพงความเปน ของสืบตอกนั ไมขาดสาย บัญญัตนิ ้ี ช่อื วา สันตติบญั ญัติ. อนง่ึ ในบรรดาบญั ญตั ิ ๖ เหลา นน้ั ตชั ชาบัญญัติ กค็ อื วิชชมาน-บญั ญัติน่นั เอง. บญั ญัติท่เี หลอื ยอมรวมเปนพวกอวชิ ชมานบัญญัติ และอวชิ ช-มาเนน อวชิ ชมานบัญญัต.ิ อกี นัยหนงึ่ บัญญัติ ๖ ของอาจารย อีกนยั หน่งึ บญั ญัติ ๖ ตามนยั ของอาจารย นอกจากอรรถกถา คอื ๑. กิจจบัญญตั ิ ๒. สณั ฐานบัญญตั ิ ๓. ลิงคบญั ญตั ิ ๔. ภูมิบัญญัติ ๕. ปจ จตั ตบัญญัติ ๖. อสังขตบญั ญตั ิ บรรดาบัญญตั ิ ๖ เหลา น้ัน การบญั ญตั ิดว ยสามารถแหงกจิ มคี าํ วานกั ธรรมกถึก เปน ตน ชอื่ วา กจิ จบญั ญัต.ิ

พระอภธิ รรมปฎ ก ธาตกุ ถา-บคุ คลบญั ญตั ิ เลม ๓ - หนา ที่ 187 การบญั ญัตดิ วยสามารถแหงทรวดทรง มคี าํ วา ผอม อวน กลมสีเ่ หลี่ยมเปนตน ช่อื วา สัณฐานบญั ญตั ิ. การบัญญัติ ดว ยสามารถแหงเพศ มีคําวา หญิง ชาย เปน ตน ชือ่ วาลงิ คบัญญตั ิ. การบญั ญตั ิ ดว ยสามารถแหงภูมิ มคี ําวา กามาวจร รปู าวจรอรูปาวจร ชาวโกศล ชาวมาธุระเปน ตน ช่อื วา ภูมบิ ัญญัต.ิ การบัญญตั ิ ดวยสามารถสักวาการต้ังชื่อเฉพาะมีคาํ วา ทานตสิ สะนาคะ สมุ นะเปน ตน ชอ่ื วา ปจจัตตบัญญัต.ิ การบญั ญตั ิอสังขตธรรม มีคาํ วา นโิ รธ คือ พระนพิ พานเปน ตนช่ือวา อสงั ขตบัญญัต.ิ บรรดาบัญญัติเหลานนั้ ภูมิบัญญัติบางอยา ง และอสังขต-บญั ญัติ ก็คอื วชิ ชมานบญั ญัตนิ นั่ แหละ. กจิ จบัญญตั ิ จดั เขา เปนพวกวิชชมาเนน อวิชชมานบญั ญตั ิ. บัญญตั ทิ ่ีเหลอื ช่อื วา อวิชช-มานบญั ญัติ. บดั น้ี พระผูม ีพระภาคเจา เพอื่ ทรงจําแนกบญั ญัติที่พระองคทรงสรปุไวโดยยอในอุทเทสวาระนน้ั แลวแสดง ดวยสามารถแหงการแสดง จึงตรสั คําวากิตฺตาวตา เปน ตน . ในอุทเทสวาระนน้ั บญั ญตั พิ ึงทราบเนอื้ ความแหงคาํ ถามอยา งน้ีกอนวา การบัญญัติ การแสดง การแตงต้งั ซึง่ ธรรมทีเ่ ปน กองทัง้ หลายวา เปน ขนั ธ อนั ใดนี้ การบญั ญัติ การแสดง การแตงตงั้ นนั้ มีประมาณเทา ไร ดังนี้ เปน กเถตกุ ัมยตาปุจฉา (ถามเพอื่ จะตอบเอง). แมในคําท้งั หลายมีคาํ วา กิตฺตาวตา อายตนาน เปนตน ขางหนากน็ ยั นี้แหละ.

พระอภธิ รรมปฎ ก ธาตุกถา-บคุ คลบญั ญตั ิ เลม ๓ - หนา ท่ี 188 สว นในคาํ วสิ ชั นา บณั ฑติ พึงทราบเน้อื ความอยา งนว้ี า คําวา ขนั ธ๕ โดยสังเขป หรือวา โดยประเภท คือ รปู ขนั ธ ฯลฯ วญิ ญาณขนั ธ หรือวา ในขันธ ๕ แมน ้ัน รูปขนั ธเปน กามาวจร ขันธ ๔ ทเ่ี หลอื เปนไปในภมู ิ ๔เปนตน การบัญญัติเห็นปานนยี้ อ มมดี ว ยบญั ญัติมปี ระมาณเทา ใด การบญั ญัติธรรมทง้ั หลายที่เปนกองวา เปน ขันธ มีอยูโ ดยประมาณเทา น้ี. บัญญัตเิ ห็นปานน้ีวา อายตนะมี ๑๒ โดยสงั เขป หรือวา โดยประเภทวา จกั ขวายตนะ ฯลฯ ธมั มายตนะ หรอื วา ในอายตนะแมเ หลานัน้ อายตนะ๑๐ เปนกามาวจร อายตนะ ๒ เปน ไปในภูมิ ๔ ดงั นี้ ยอ มมีดวยบญั ญัตมิ ีประมาณเทาใด การบญั ญตั ิธรรมท้ังหลายอนั เปนบอเกดิ วา เปนอายตนะ ยอมมี ดว ยคํามีประมาณเทานี.้ กบ็ ัญญตั ิเหน็ ปานนว้ี า ธาตุ ๑๘ โดยสงั เขป หรือวา โดยประเภทวาจกั ขุธาตุ ฯลฯ มโนวิญญาณธาตุ หรอื วา บรรดาธาตแุ มเหลาน้นั ธาตุ ๑๖เปนกามาวจร ธาตุ ๒ เปน ไปในภมู ิ ๔ ดังนี้ ยอมมีดวยบญั ญตั มิ ีประมาณเทา ใด การบญั ญัตธิ รรมท้งั หลายอนั เปนสภาวะทรงไววา เปนธาตุ ยอมมดี วยคาํ มปี ระมาณเทา น้.ี บญั ญตั ิเหน็ ปานน้ีวา สัจจะมี ๔ โดยสงั เขป หรอื วา โดยประเภทวาทกุ ขสัจจะ ฯลฯ นิโรธสัจจะ หรอื วา บรรดาสัจจะแมเ หลา นั้น สัจจะ ๒ เปนโลกิยะ สัจจะ ๒ เปน โลกตุ ตระ ดงั น้ี ยอมมดี วยคาํ บัญญตั ิมีประมาณเทาใดการบญั ญัติธรรมท้ังหลายท่เี ปนจริงวา สจั จะ ยอมมีดว ยคํามีประมาณเทาน้ี. บัญญตั ิเห็นปานนี้วา อนิ ทรยี ม ี ๒๒ โดยสงั เขป หรือโดยประเภทวาจกั ขุนทรีย ฯลฯ อญั ญาตาวนิ ทรีย หรอื วา บรรดาอนิ ทรยี แ มเ หลา นนั้ อินทรยี ๑๐ เปน กามาวจร อนิ ทรีย ๙ เปน มิสสกะ อินทรยี  ๓ เปนโลกุตตระ ดังนี้

พระอภิธรรมปฎ ก ธาตกุ ถา-บุคคลบญั ญัติ เลม ๓ - หนาที่ 189ยอ มมีดวยคาํ บญั ญัตมิ ปี ระมาณเทาใด การบัญญัติธรรมท้ังหลายท่ีเปน ใหญว าเปนอนิ ทรียย อ มมีดวยคํามปี ระมาณเทานี.้ พระผูมีพระภาคเจาครั้นทรงจําแนกเรือ่ งบญั ญัติโดยสังเขป ดวยคาํ มีประมาณเทานแ้ี ลว จงึ ทรงแสดงบัญญตั ิ ๕ ดวยสามารถแหง การแสดงตอไป. บัดนี้ พระผมู ีพระภาคเจา คร้ันทรงจาํ แนกเรอ่ื งบญั ญตั ิโดยพิศดารแลว เพอื่ จะทรงแสดงปคุ คลบัญญตั ิ (บัญญัติวา ดวยบคุ คล) ดว ยสามารถแหงการแสดง สมยวมิ ุตโต อสมยวมิ ุตโต เปนตน . พระสัมมาสัมพทุ ธเจาเปน ดุจบุคคลผูทองเทยี่ วไปในท่ีตาง ๆ และบุคคลผกู ําลังเปน ไป ตรัสขันธเปนตน ซง่ึ เปน เรื่องบัญญัตนิ ้ี ๕ เหลานีไ้ วโดยพิศดารในวภิ ังคปกรณแลว เพราะฉะน้นั ในปกรณป คุ คลบญั ญตั ินี้ จงึ ตรัสธรรมมขี นั ธเ ปนตนเหลานั้นโดยเอกเทสเทานน้ั . ปคุ คลบญั ญตั ทิ ี่ ๖ ก็มไิ ดตรัสไวในหนหลงั เลย ในอุทเทสวารแมน ้ี กต็ รสั ไวโ ดยเอกเทสเทา นั้น เพราะฉะนัน้ พระผมู พี ระภาคเจาผมู คี วามประสงคจะตรสั ปคุ คลบญั ญตั อิ ันเปน บัญญัติท่ี ๖ นั้น โดยพิศดาร จงึ ทรงตัง้มาติกาไววา สมยวมิ ตุ ฺโต อสมยวิมุตฺโต เปน ตน จําเดมิ แตบุคคลหนึ่งพวกจนถงึ บคุ คลสบิ พวก แล. จบพรรณนาบทมาตกิ า

พระอภิธรรมปฎก ธาตุกถา-บุคคลบญั ญัติ เลม ๓ - หนาที่ 190 เอกกนิทเทส อธิบายบุคคล ๑ จาํ พวก [๑๗] สมยวมิ ตุ ตบคุ คล บคุ คลผพู น แลวในสมัย เปนไฉน ? บคุ คลบางคนในโลกน้ี ถกู ตองวโิ มกข ๘ ดวยกาย ในกาลโดยกาลในสมัยโดยสมยั แลวสาํ เรจ็ อิริยาบถอย.ู อนงึ่ อาสวะบางอยา งของบุคคลนน้ัหมดส้นิ แลว เพราะเหน็ ดวยปญญา บุคคลนเ้ี รยี กวา บคุ คลผพู น แลวในสมัย. อรรถกถาเอกกนิทเทส สมยวมิ ตุ ตบคุ คล บดั นี้ เพอื่ จะจาํ แนกมาตกิ า ตามท่ไี ดด ังไวแ ตตน พระผูมีพระภาคเจาจงึ ตรสั คําเปน อาทวิ า \"กตโม จปคุ คฺ โล สมยวมิ ุตโฺ ต\" แปลวา กส็ มยวมิ ตุ ตบคุ คล เปนไฉน ? ในคาํ เหลานนั้ คาํ วา อิธ ไดแ ก ในสัตวโลก. คาํ วาเอกจฺโจ ปุคฺคโล ไดแก บุคคลคนหนึ่ง. ในคาํ วา กาเลน กาล น้ีพงึ ทราบเนอ้ื ความดว ยสัตตมวี ภิ ตั ติ. อธบิ ายวา ในกาลหนง่ึ ๆ คําวา \" สมเยนสมย \" นีเ้ ปน ไวพจนของคาํ กอ นน้นั แหละ (คือเปนไวพจนของคาํ วา กาเลนกาล ) คําวา \"อฏ วิโมกเฺ ข\" ไดแ ก สมาบัติ ๘ อนั เปน รปู าวจร และอรปู าวจรฌาน. จริงอยู คาํ วา วโิ มกข น้เี ปนชือ่ ของสมาบัติ ๘ เหลา นน้ั เพราะพนจากธรรมอนั เปน ขา ศกึ ทง้ั หลาย. คาํ วา \"กาเยน\" ไดแ ก นามกายทีเ่ กดิพรอ มกบั วิโมกข. คําวา \"ผุสิตวฺ า วิหรต\"ิ ไดแก ไดส มาบัตแิ ลว จึงผลัดเปลีย่ นอริ ิยาบถอย.ู ถามวา ก็ สมยวมิ ตุ ตบคุ คลนี้ ถกู ตอ งวโิ มกข แลว อยูในกาลไหน ?

พระอภิธรรมปฎ ก ธาตกุ ถา-บคุ คลบญั ญัติ เลม ๓ - หนา ท่ี 191 ตอบวา ก็ธรรมดาวา กาลของทา นผูปรารถนาจะเขาสมาบัตมิ อี ยู แตชือ่ วา อกาล หามีไม. บรรดา กาลและอกาล คือ สมยั มิใชส มยั ท้ัง ๒ อยางน้ี ก็กาลที่กําลังปฏบิ ัตสิ รีระแตเชา ตรู ๑ กาลทกี่ ําลงั ทําวัตร ๑ ชอื่ วา สมยั มิใชก าล ของทา นผเู ขาสมาบตั .ิ กาลเปน ทีป่ ฏบิ ตั ิสรรี ะ และทาํ วัตรเสร็จแลว จงึ เขา ไปสูท ่อี ยูพกั อยูจนกระทั่งถงึ เวลาจะไปบิณฑบาต ในระหวา งน้ี ช่ือวา กาลของทา นเขาสมาบตั ิ. ก็กาลเปน ทวี่ ันทาพระเจดียของภกิ ษุ ผกู ําหนดเวลาไปบิณฑบาตแลวออกไป ๑ กาลเปน ท่ียนื อยใู นโรงวิตกของภกิ ษุ ผทู ่ีแวดลอมดว ยหมแู หงภิกษุ๑ กาลเปนทเี่ ท่ียวไปเพ่ือบิณฑบาต๑ กาลเปน ทีเ่ ทย่ี วไปในบา น ๑ กาลเปนทด่ี ม่ื ขา วยาคใู นโรงฉันภตั ๑ กาลเปน ทกี่ ระทาํ วตั ร ๑ กาลท้ังหมดนี้ ชื่อวาอกาล คือ สมยั มิใชก าลของทานผเู ขาสมาบัต.ิ ก็เมอ่ื โอกาสอนั สงดั ในโรงฉันภัตมีอยู และยงั ไมถ ึงเวลาฉนั ภตั ตาหาร ในระหวางเวลาแมน้ี กช็ อ่ื วา กาลของทานผูเขาสมาบตั .ิ อนง่ึ เวลาฉันภตั ตาหาร ๑ เวลาไปสวู หิ าร ๑ เวลาเก็บรกั ษาบาตรและจีวร ๑ เวลากระทําวตั รในเวลากลางวนั ๑ เวลาในการสอบถาม ๑ กาลท้งั หมดน้ี กช็ ่ือวา อกาล คือ สมัยมใิ ชก าลของทานผูเขา สมาบัติ. กาลใดมิใชกาล กาลนน้ั น่นั แหละ มใิ ชสมยั . กิจนัน้ แมทั้งหมด ยกเวนกาลท่เี หลอื สมัยท่ีเหลือ ทา นเรียกวาบคุ คลบางคนในโลกน้ีไดวิโมกข ๘ มีประการดงั กลา วแลว ดวยสหชาตนามกายอยู ฯลฯ อกี ประการหนง่ึ บุคคลน้ี ชือ่ วา ถกู ตอ งสหชาตธรรมทัง้ หลาย พรอมกับผสั สะ. ชอ่ื วา ถกู ตองอปั ปนา ดวยอปุ จาระ ชอื่ วา ยอมถกู ตองอัปปนา

พระอภธิ รรมปฎก ธาตกุ ถา-บุคคลบญั ญตั ิ เลม ๓ - หนาที่ 192อื่นอีก ดว ยอปั ปนาแรก. ก็ธรรมเหลาใด เกดิ พรอมกบั ธรรมเหลา ใด ธรรมเหลา นั้น ชื่อวา เปน ธรรมอนั ทานไดแ ลว กับธรรมน้นั ฉะนน้ั จึงชอื่ วา ถกูตอ งแลว แมด ว ยผสั สะ. แมอปุ จาระ . กเ็ ปน เหตุแหงการไดอ ปั ปนานนั่ แหละ.อัปปนาแรก ก็เปน เหตุใหไดอปั ปนาอน่ื ๆ อีกเหมือนกนั ในอปุ จาระและอปั -ปนาเหลา น้นั พงึ ทราบการถกู ตองสหชาตธรรมท้งั หลาย ดวยสหชาตธรรมท้ังหลายของพระโยคบี ุคคลนัน้ ดวยประการฉะน้.ี ก็ ปฐมฌาน มีองค ๕ มวี ิตกเปน ตน เวนองคฌ านทง้ั ๕ เสยี แลวธรรมท่เี หลอื เกนิ ๕๐ เรยี กวา นามขันธ ๔. พระโยคบี คุ คล ถูกตอง คอืไดเ ฉพาะปฐมฌานสมาบัตวิ ิโมกข ดวยนามกายนน้ั แลว จึงอย.ู ทตุ ยิ ฌาน มีองค ๓ คือ ปต ิ สุข และเอกัคคตา. ตตยิ ฌาน มีองค ๒ คอื สขุ และเอกัคคตา. จตตุ ถฌาน มอี งค ๒ คือ อุเบกขา และเอกคั คตา. อนง่ึ อากาสานัญจายตนฌาน ฯลฯ เนวสญั ญานาสัญญายตนฌานมอี งค ๒ เหมอื นกบั จตุตถฌาน. ในฌานเหลานน้ั คอื ตง้ั แต ปฐมฌานถึงเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน ยกเวน องคฌ านเหลานัน้ เสยี แลว ธรรมทั้งหลายทีเ่ หลอื เกนิ ๕๐ เรียกวา นามขนั ธ ๔. พระโยคีบุคคล ถูกตอง คอื ไดเฉพาะเนวสัญญานาสญั ญายตนสมาบัตวิ ิโมกข ดว ยนามกายนัน้ แลว จงึ อยู. คาํ วา \"ปฺ าย จสสฺ ทิสวฺ า\" อธบิ ายวา เพราะเหน็ ความเปนไปแหง สงั ขารดวยวิปส สนาปญญา เห็นสัจธรรมทง้ั ส่ี ดว ยมรรคปญ ญา. คาํ วา\"เอกจฺเจ อาสวา ปรกิ ขฺ ณี า โหนตฺ ิ\" อธิบายวา อาสวะทั้งหลาย อันปฐมมรรคเปนตน พงึ ฆาสวนหนึ่ง ๆ ส้ินไปแลว บคุ คลนี้ ทา นเรียกวา\"สมยวมิ ตุ โฺ ต\" แปลวา ผูพ นแลวโดยสมยั . ในขอวา \"ปคุ คฺ โล สมย-วมิ ุตฺโต\" นจี้ ะกลาววา บคุ คลผไู ดสมาบัติ ๘ ถูกตองวโิ มกข ดว ยนามกายน้ัน

พระอภธิ รรมปฎก ธาตกุ ถา-บุคคลบัญญตั ิ เลม ๓ - หนา ท่ี 193แลว จึงอยูก็ควร แตในพระบาลที า นกลา วไวว า \"เอกจฺเจ อาสวา ปริกฺขณี า\" แปลวา อาสวะบางอยางสิน้ ไปแลว จริงอยางนัน้ ขึ้นช่อื วา อาสวะท้ังหลายของปุถุชนสิน้ ไปแลว ยอ มไมม ี เพราะฉะนนั้ พระผูมพี ระภาคเจา จึงไมทรงประสงคเ อาปถุ ุชน ทีถ่ กู ควรจะกลาววา แมพระขณี าสพ ผูไดส มาบัติ๘ ถูกตองวิโมกขด ว ยนามกายนัน้ แลว อยู แตว า ธรรมดาวา อาสวะทั้งหลายของพระขณี าสพนัน้ ยังไมส ิ้นไปมไิ ดม ี เพราะฉะนนั้ พระขณี าสพนั้น พระผมู ี-พระภาคเจากม็ ไิ ดทรงพระประสงคเ อา. ก็คําวา \"สมยวมิ ุตฺโต\" นี้ พงึ ทราบวา เปน ชือ่ ของพระโสดาบนั พระสกทาคามี และพระอนาคามี รวม ๓ จาํ พวกเทา นัน้ จบอรรถกถาสมยวมิ ุตตบุคคล [๑๘] อสมยวมิ ุตตบคุ คล บุคคลผูมใิ ชพ น แลวในสมัย เปนไฉน ? บุคคลบางคนโนโลกนี้ มไิ ดถ กู ตอ งวิโมกข ๘ ดว ยกาย ในกาลโดยกาล ในสมัยโดยสมัย สําเร็จอิริยาบถอยู อน่ึง อาสวะท้ังหลายของบคุ คลนัน้หมดสิ้นแลว เพราะเห็นดวยปญญา บคุ คลนี้ เรียกวา ผูมใิ ชพนแลว ในสมยัพระอรยิ บุคคลแมทงั้ ปวง ชือ่ วา ผมู ิใชพน แลวในสมยั ในวิโมกขสวนท่ีเปน อรยิ ะ. อรรถกถาอสมยวิมมุตตบคุ คล ก็ในนิเทศวา \"อสมยวมิ ุตฺโต\" พึงทราบเชนกับคาํ กอ น โดยนยั ท่ีกลาวแลว นั่นเทียว. อน่ึง คําวา \"อสมยวมิ ุตโฺ ต\" นี้ ในทนี่ ีเ้ ปนช่อื ของ

พระอภิธรรมปฎ ก ธาตุกถา-บุคคลบญั ญัติ เลม ๓ - หนาที่ 194พระอรหนั ตสุกขวิปส สก แตว าพระอรหนั ตส ุกขวปิ สสก พระโสดาบนั พระ-สกทาคามี พระอนาคามี พระอรหันตผ ไู ดส มาบัติ ๘ และปถุ ชุ น ยอ มไมไดในทกุ ะน้ี (ทกุ ะน้ี คือ สมยวมิ ุตฺโต อสมยวิมุตฺโต) ฉะนน้ั จึงช่ือวาทกุ มตุ ตกบุคคล. เพราะฉะนัน้ พระศาสดา จึงทรงรวบรวมบคุ คลทงั้ หลายทีพ่ ระองคทรงถอื เอา และไมทรงถือเอาในหนหลังแลว ยกขน้ึ สูแบบแผนพรอมกบั ดว ยปฏฐิวัฏฏกบคุ คลท้ังหลาย คือ ผูหมนุ ไปขา งหลงั เพราะความทพี่ ระองคเปนผมู ีปญญาเปนเครอ่ื งตรัสรูแลวดว ยดี จงึ ตรสั คําเปน ตนวา \"สพฺเพปอรยิ ปคุ คฺ ลา\" แปลวา แมทั้งหมด เปนพระอรยิ บุคคล. บรรดาบทเหลาน้นั บทวา \"อรยิ วิโมกฺเข\" ไดแ ก วโิ มกขอนัเปน โลกุตตระอันถึงซง่ึ การนบั วา เปน \"อรยิ ะ\" เพราะไกลจากกิเลสท้งั หลาย ขอ น้ี มคี าํ อธิบายไววา สมัยก็ดี อสมัยก็ดี ของทานผูเขาสมาบตั ิ ๘ ภายนอกพระพุทธศาสนามีอยู, สมัยหรือ อสมยั ของทา นผูพนดวยมรรควิโมกขย อ มไมม .ี ศรทั ธาของบุคคลใดมกี าํ ลงั และวิปส สนาอนั บุคคลใดปรารภแลว มีอยู แตก ารแทงตลอดมรรค และผลของผูนัน้ ซ่ึงกาํ ลงั เดนิ , ยนื , นั่ง, นอน, เคี้ยว, และบรโิ ภคไมม ี เพราะฉะนัน้ สมัย หรอื อสมัยของผูพนดวยมรรควโิ มกข จึงไมมี. ดังนั้น ขอวา \"มคฺควิโมกฺเขน วมิ จุ ฺจนสฺส สมโย วา อสมโย วา นตถฺ ิ\"นี้ พระผมู พี ระภาคเจา ผทู รงเปน ธรรมราชา ทรงรวบรวมบุคคลทงั้ หลาย ที่พระองคทรงถอื เอา และไมท รงถือเอาในหนหลงั แลว ยกขึ้นสูแบบแผนอันเปน ปฏฐวิ ฏั ฏกะน้ี. ท้งั ปถุ ชุ นผไู ดสมาบัติ ๘ พระองคก ็มไิ ด ทรงพระประสงคเ อาดว ยแบบแผนน้เี ลย แตวา พระผมู พี ระภาคเจา เม่ือจะทรงจําแนกบคุ คลผูไ ดสมาบตั ิ ๘ นัน้ ก็พงึ จาํ แนกซึง่ ความเปน สมยวิมตุ ตบุคคลดว ยอาํ นาจกเิ ลสทที่ า นขม ไวแลว ดว ยสมาบัต.ิ จบอรรถกถาอสมยวิมุตตบคุ คล












Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook