พระอภิธรรมปฎ ก ธาตุกถา-บคุ คลบัญญตั ิ เลม ๓ - หนา ท่ี 233ชอื่ ของผลอันมรรคใหแ ลว เพราะเหตนุ ั้น พระโสดาบนั พระองคจ งึ ทรงประสงคเอาในขณะแหงผล. บทวา \"อวนิ ิปาตธมโฺ ม\" ไดแ ก ภาวะคอื การไมไ ปสูอ บายกลา วคอื วินปิ าตดวยสามารถแหง อันเกดิ ขน้ึ . บทวา \"นยิ โต\" ไดแก ชอื่ วา นยิ ตะคือ เทีย่ งดว ยนยิ ามแหง มรรค บทวา \"สมโฺ พธปิ รายโน\" ไดแก ความเปนผมู กี ารตรัสรอู นั จะเปน ไปในภายหนา . แทจ ริง พระโสดาบนั น้ัน ยอมตรัสรูดว ยมรรคอนั ตนไดเฉพาะแลว เพราะฉะนน้ั ทานจงึ ช่ือวา สัมโพธปิ รายโน.อีกอยา งหน่ึง พระโสดาบันนน้ั จักตรัสรดู วยมรรคเบอื้ งบนทงั้ ๓ โดยแนแ ทเพราะเหตุนน้ั ทานจึงชอื่ วา สัมโพธิปรายโน. สองบทวา \" เทเว จ มนุสเฺ ส จ\" ไดแ ก เทวโลก และมนุษยโลก.สองบทวา \"สนธฺ าวิตฺวา ส สริตวฺ า\" ไดแ ก การไป ๆ มา ๆ ดวยอํานาจปฏิสนธ.ิสองบทวา \"ทกุ ฺขสฺสนตฺ กโรติ\" ไดแ ก การทาํ หนทาง อันเปน ทส่ี ุดแหงวฏั ฏทกุ ข. สองบทวา \"อย วุจจฺ ติ\" ความวา บคุ คลน้ี คอื ผเู ห็นปานนี้ ทา นเรยี กช่อื วา สัตตกั ขัตตุปรโม แปลวา ผมู ี ๗ ชาตเิ ปนอยางยงิ่ . ก็สตั ตกั -ขตั ตปุ รมบุคคลนพี้ งึ ทราบวา พระผูมพี ระภาคเจา ตรัสแลว ดวยภพทป่ี ะปนกันดวยสามารถแหงเทวโลกและมนุษยโลก ตามกาลอนั สมควร. จบอรรถกถาสตั ตักขัตตุปรมบุคคล
พระอภธิ รรมปฎก ธาตุกถา-บุคคลบญั ญัติ เลม ๓ - หนาที่ 234 [๔๘] โกลงั โกลบุคคล บคุ คลชอื่ วา โกลงั โกละ เปน ไฉน ? บคุ คลบางคนในโลกน้ี เพราะความสนิ้ ไปรอบแหง สญั โญชนทง้ั ๓เปน โสดาบันมีอันไมไ ปเกิดในอบายเปนธรรมดา เปน ผเู ท่ยี งจะไดตรัสรูในเบอื้ งหนา บคุ คลนนั้ จะแลนไป ทอ งเทีย่ วไป สตู ระกูล สอง หรอื สาม ตระกลูแลวทําท่ีสดุ ทกุ ขไ ด บคุ คลนเี้ รียกวา โกลงั โกละ. อรรถกถาโกลังโกลบคุ คล วนิ จิ ฉยั ในนเิ ทศแหง โกลงั โกลบุคคล. บคุ คลใดยอมไปจากตระกลู สูต ระกูล เหตนุ นั้ ผูน ั้นจึงช่ือวา โกลังโกละ. อธบิ ายวา กช็ อ่ื วา การเกิดในตระกลู ต่ําจําเดมิ แตการกระทําใหแ จงซ่งึ พระโสดาปต ตผิ ลไปแลว ยอ มไมมี ทา นยอมเกิดในตระกลู ท่มี ีโภคะมากอยา งเดยี วเทานนั้ . คําวา \"เทฺว วา ตณี ิ วา กลุ านิ\" ไดแก ไปสู ๒ ภพ หรือ ๓ ภพดวยอาํ นาจการเกดิ เปนเทวดาและมนุษย. โกลงั โกลบุคคลแมน ี้ พระผูมีพระ-ภาคเจา ตรสั แลวดว ยสามารถแหง มสิ สกภพ คือภพที่ปะปนกนั น่นั เทยี ว. กใ็ นคําวา \"เทฺว วา ตณี ิ วา\" สกั วาเปน เทศนาเทา นนั้ . โกลังโกลบคุ คลน่ันแหละ ยอมทอ งเที่ยวไปจนถงึ ภพท่ี ๖ จงึ กระทาํ ทาง คอื มรรคอนั เปนทส่ี นิ้ สดุแหงวฏั ฏทุกขไ ด. จบอรรถกถาโกลังโกลบคุ คล
พระอภธิ รรมปฎก ธาตุกถา-บุคคลบัญญัติ เลม ๓ - หนาที่ 235 [๔๙] เอกพีชบี ุคคล บคุ คลช่ือวา โกลังโกละ เปนไฉน ? บุคคลบางคนในโลกน้ี เพราะความสิน้ ไปรอบแหง สัญโญชนท ง้ั ๓อันไมไปเกดิ ในอบายเปนธรรมดา เปนผูเ ทยี่ งจะไดต รสั รใู นเบอ้ื งหนา บุคคลน้ันเกิดในภพมนุษยอ ีกคร้งั เดียว แลวทาํ ทส่ี ุดแหงทุกขได บุคคลนเ้ี รียกวาเอกพีชี. อรรถกถาเอกพีชบี คุ คล วนิ จิ ฉัยในนิเทศแหง เอกพชี บี คุ คล. ช่ือวา พืช คอื ขนั ธอ นั พระผมู ีพระภาคเจา ตรสั แลว กพ็ ระโสดาบันองคใดมพี ืช คือ ขันธค ร้ังเดียวเทาน้นัคอื มีการถือเอาอตั ภาพครั้งเดยี ว พระโสดาบนั นั้นชื่อวา เอกพีชี. กค็ ําวา\"มานสุ สฺ ก ภว \" นีส้ ักวา เปนเทศนาในท่นี ี้เทานนั้ . แตจ ะกลาววา \"ยงั เทวภพใหเ กิด\" ดังน้ีบา งกส็ มควรเหมอื นกัน ก็ชือ่ เหลานัน้ เปนช่อื แหง พระอริยบุคคลเหลานนั้ ดวยสามารถแหงช่อื ทพี่ ระผมู พี ระภาคเจาทรงถือเอาแลว น่นั เทยี ว.จริงอยู พระโสดาบนั ผไู ปถงึ ทมี่ ปี ระมาณเทานี้ชื่อวา สัตตักขตั ตปุ รมบคุ คลผูไปถงึ ท่มี ปี ระมาณเทา นี้ ชอื่ วา โกลังโกลบุคคล ผไู ปถงึ ท่มี ีประมาณเทาน้ีชอ่ื วา เอกพีชบี คุ คล ฉะนน้ั ชอ่ื พระโสดาบนั เหลาน้นั พระผูมีพระภาคเจาจึงทรงถอื เอาแลว . แตวา โดยกาํ หนดแนน อน (โดยนยิ ม) คําวา พระโสดาบนัรูปนีเ้ ปน สัตตักขตั ตปุ รมะ รูปนเ้ี ปนโกลังโกละ รูปนีเ้ ปน เอกพชี ี ยอมไมม ี ถามวา ก็ใครกําหนดประเภทพระอริยบุคคลเหลา น้ันได. วิสัชนาวา พระเถระบางพวกกลา วไวกอน วา \"ปพุ ฺพเหตุ นยิ เมติ\"แปลวา บพุ เหตุ ยอ มกาํ หนดแนนอน. บางพวกกลาววา \"ปมมคโฺ คนยเมติ\" แปลวา มรรคท่หี น่งึ กําหนดแนน อน. บางพวกกลา ววา \"อุปร-ิ
พระอภธิ รรมปฎ ก ธาตกุ ถา-บคุ คลบญั ญัติ เลม ๓ - หนาที่ 236ตโย มคคฺ า นิยเมนตฺ ิ\" แปลวา มรรคเบือ้ งบน ๓ กําหนดแนน อน. บางพวกกลา ว \"ตณิ ฺณ มคคฺ าน วปิ สสฺ นา นยิ เมติ\" แปลวา วปิ สสนาแหงมรรคท้งั ๓ กําหนดแนนอน. บรรดาวาทะแหง พระเถระเหลานั้น วาทะวา \"ปพุ ฺพเหตุ \"นิยเมติ\"ยอ มหมายความวา อปุ นิสัยแหงปฐมมรรค ยอ มเปนคณุ ชาตอันบุพเหตกุ ระทําแลว มรรคเบื้องบน ๓ ปราศจากอปุ นสิ ัยเกิดข้ึน ในวาทะวา \"ปมมคฺโคนยิ เมต\"ิ หมายความวา มรรค ๓ เปนธรรมชาตไิ รป ระโยชน. ในวาทะวา\"อปุ ริ ตโย มคฺคา นิยเมนฺติ\" หมายความวา เมอื่ ปฐมมรรคยังไมเ กิดข้นึนั่นแหละ มรรคเบอ้ื งบน ๓ เกิดข้ึนแลว . กว็ าทะวา \"ตณิ ฺณ มคฺคานวปิ สสฺ นา นิยเมต\"ิ ซ่งึ แปลวา วิปสสนาแหง มรรคทั้ง ๓ กําหนดแนน อนยอมถกู ตอง. ก็ถาวิปส สนาแหง มรรคทัง้ ๓ มีกาํ ลงั พระโสดาบัน ก็ช่อื วาเอกพชี .ีถาออ นกวาวิปส สนาของเอกพีชี ก็ช่ือวา โกลงั โกละ ถา ออ นกวาวิปสสนาของโกลังโกละนั้น กช็ ื่อวา สตั ตักขัตตปุ รมะ ดวยประการฉะน้.ี อน่ึง พระโสดาบนั บางองค มอี ชั ฌาสยั ในวฏั ฏะ เปน ผูยินดีในวฏั ฏะยอมทองเที่ยวไปในวฏั ฏะบอย ๆ นั่นเทยี ว ปรากฏอยู. ก็ชนเหลา นนั้ มปี ระมาณเทา น้ี คอื ๑. อนาถบิณฑกิ เศรษฐี ๒. วิสาขา อุบาสิกา ๓. จูลรถเทวบุตร ๔. มหารถเทวบุตร ๕. อเนกวรรณเทวบตุ ร ๖. ทาวสักกเทวราช ๗. นาคทตั ตเทวบตุ ร.
พระอภิธรรมปฎก ธาตุกถา-บุคคลบญั ญัติ เลม ๓ - หนา ท่ี 237 ทั้งหมดนี้ มีอัธยาศัยในวฏั ฏะ เกดิ ในเทวโลก ๖ ชน้ั ตง้ั แตตนชําระจติ ใหส ะอาดในเทวโลกนน่ั แหละ แลวจงึ ตัง้ อยูในอกนิฏฐภพ จงึ จกั ปร-ินิพพาน ชนเหลาน้ี พระองคมิไดท รงถอื เอาในทน่ี ้ี ก็ชนเหลา น้พี ระองคม ิไดทรงถือเอาเทาน้นั กห็ าไม พระโสดาบันองคใ ด บังเกดิ ในมนษุ ยโลกทั้งหลายทอ งเทีย่ วไปแลว ในมนษุ ยโลกนั่นแหละสน้ิ ๗ ครัง้ แลวจึงบรรลพุ ระอรหนั ตก็ดี พระโสดาบันองคใดบงั เกิดในเทวโลกทั้งหลายทอ งเทย่ี วไป ๆ มา ๆ ในเทวโลกนนั่ แหละส้ิน ๗ ครั้ง แลว บรรลุพระอรหนั ต ก็ดี พระโสดาบนั แมเหลาน้นั พระผมู ีพระภาคเจา กม็ ิไดท รงถอื เอา. แตว าพึงทราบวา ในทน่ี ้พี ระองคท รงถือเอาพระโสดาบัน ท่ชี อ่ื วาสตั ตักขตั ตุปรมะ กบั โกลงั โกละ ดวยสามารถแหง ภพอันเจอื กนั และ พระ-โสดาบันผูบงั เกดิ ในภพของมนุษยเทา น้ันท่ีชอ่ื วา เอกพชี .ี ในพระโสดาบันเหลานน้ั องคห นึง่ ๆ ยอ มถึงภาวะ ๔ อยา ง ดว ยสามารถแหงทกุ ขาปฏปิ ทา เปนตน . วา ดวยสทั ธธรุ ะ พระโสดาบนั มี ๑๒จาํ พวก คอื . ชื่อวาสตั ตกั ขัตตปุ รมะ จําพวก ชือ่ วาโกลงั โกละ ๔ จาํ พวกช่อื วา เอกพชี ี ๔ จําพวก. วาดวยปญญาธุระ ก็ถาพระโสดาบนั พงึ อาจยงัโลกตุ ตรธรรมใหเกิดดวยปญญา กระทาํ ปญ ญาใหเ ปน ธรุ ะอยา งนี้วา เราจกั ใหโลกุตตรธรรมเกิดข้นึ แมบ รรลเุ ปน พระโสดาบนั ผชู อื่ วา สตั ตกั ขตั ตปุ รมะเปนตน ดวยอํานาจปฏิปทา ๔ อยาง ก็เปนพระโสดาบัน ๑๒ จาํ พวก เหมอื นกันนัน่ แหละ ฉะนั้นพระโสดาบนั ทง้ั ๒๔ จาํ พวกเหลานน้ั บณั ฑิตพงึ ทราบวา พระ-ผมู ีพระภาคเจา ตรัสไวแลวในฐานะน้ี ดว ยสามารถแหง พระอริยะผเู ขาไปเพงธรรมอันตงั้ อยู ดว ยศรัทธา หรอื ปญ ญา ในทนี่ ี้นน่ั เทียว. จบอรรถกถาเอกพชี บี คุ คล
พระอภิธรรมปฎ ก ธาตุกถา-บคุ คลบญั ญัติ เลม ๓ - หนา ที่ 238 [๕๐] สกทาคามีบุคคล บคุ คลชอื่ วา สกทาคามี เปน ไฉน ? บุคคลบางคนในโลกนี้ เพราะความสนิ้ ไปรอบแหงสัญโญชนทั้ง ๓เพราะทาํ ราคะ โทสะ โมหะใหเบาบางลง เปน พระสกทาคามี ซ่ึงยงั จะมาสโู ลกนีค้ ราวเดียวเทาน้ันแลว ทาํ ทสี่ ุดทกุ ขได บคุ คลน้เี รยี กวา สกทาคามี. อรรถกถาสกทาคามบี คุ คล วินจิ ฉยั ในนเิ ทศแหง สกทาคามีบุคคล. บคุ คลใด ยอมมาอีกคร้งัเดียวดว ยสามารถแหง ปฏิสนธิ เพราะเหตนุ น้ั ผนู ้ันจึงช่ือวา สกทาคามี แปลวา ผมู าปฏสิ นธอิ กี คร้ังเดยี ว. บทวา \"สกิเทว\" ไดแก ครัง้ หนึง่ เทาน้ัน. บรรดาพระสกทาคามี ๕ จําพวก ๔ จําพวกพระองคไมท รงประสงคเอา แตทรงประสงคเอาเพยี งพวกเดยี วเทา นน้ั ในทีน่ ้ี ดวยบทวา \"อิม โลกอาคนฺตวฺ า\" เพราะวา พระสกทาคามบี างพวกบรรลุสกทาคามิผลในโลกน้ี ยอมปรนิ พิ พานในโลกน้นี ่นั แหละ บางพวกบรรลสุ กทาคามิผลในโลกนีป้ รินพิ พานในเทวโลก บางพวกบรรลุในเทวโลกปรนิ ิพพานในเทวโลกนั่นแหละ บางพวกบรรลุในเทวโลกแลวเกิดข้นึ ในโลกน้ีแลวจงึ ปรินพิ พาน รวมพระสกทาคามีทั้ง๔ จาํ พวก ดังกลาวมาน้ี พระองคมิไดท รงประสงคเอา ในสกทาคามีนสิ เทสน้ี. แตพระสกทาคามี พวกใด บรรลุในโลกนี้ แลว ดาํ รงชวี ิตอยูในเทวโลกตลอดอายุ แลวกเ็ กิดขน้ึ ในโลกนีอ้ กี จึงปรนิ พิ พาน พระสกทาคามีพวกเดยี วนเ้ี ทาน้นั พงึ ทราบวา พระองคท รงถอื เอาใน สกทาคามนี ทิ เทสนี้. คําใดท่ยี ังเหลืออยใู นที่น้ี ขา พเจา ยงั มิไดกลาว คํานนั้ ทั้งหมด ขาพเจากลา วแลว ในโลกตุ ตรกุศลนิทเทส ในอรรถกถาแหงธรรมสังคหะในหนหลัง.
พระอภธิ รรมปฎ ก ธาตุกถา-บุคคลบญั ญัติ เลม ๓ - หนาท่ี 239 ถามวา ก็พระสกทาคามนี ้ี มีการกระทาํ ท่แี ตกตา งกันกบั พระโสดาบันทช่ี อ่ื วา เอกพีชี อยา งไรบาง ? ตอบวา พระโสดาบนั ผชู ่อื วา เอกพีชี ทานมปี ฏสิ นธคิ รง้ั เดียวเทานัน้ สวนพระสกทาคามีทา นมีปฏิสนธิ ๒ คร้งั ขอ นี้ เปน การการทําท่แี ตกตา งกนั ระหวางพระอริยะท้งั สองเหลานั้น. จบอรรถกถาสกทาคามีบุคคล [๕๑] อนาคามีบุคคล บุคคลชอื่ วา อนาคามี เปน ไฉน ? บคุ คลบางคนในโลกนี้ เพราะความสิน้ ไปรอบแหงโอรมั ภาคยิ สัญโญชนทงั้ ๕ มกี าํ เนิดเปน อุปปาตกิ ะ ปรนิ พิ พานในเทวโลกช้ันสทุ ธาวาสนั้น มอี ันไมกลบั มาจากโลกนั้นเปน ธรรมดา บคุ คลนเี้ รียกวา อนาคามี อรรถกถาอนาคามบี ุคคล วินิจฉัยในนเิ ทศแหง อนาคามีบคุ คล. กามธาตุ พระผมู พี ระภาคเจา ตรัสเรยี กวา โอร แปลวา ต่าํ ในคาํ วา \"โอรมภฺ าคยิ าน สโฺ ชนาน \"เครือ่ งผกู ท้ัง ๕ เหลานนั้ อันบุคคลใดยังละไมไ ดแลว เพราะเหตนุ ัน้ บุคคลน้ันแมบังเกิดในภวัคคภูมิ กย็ ังถูกเคร่อื งผูกเหลา นนั้ ดึงใหต กไปในกามธาตุนั่นเทยี วเหมอื นปลาทกี่ ลนื กนิ เบ็ด และ เหมอื นนกกาท่เี ขาเอาเชอื กยาวผกู เทา ไว เพราะฉะน้นั เครื่องผูกท้ัง ๕ ทา นจงึ เรียกวา โอรมั ภาคิยะ อธิบายวา โอรัมภาคิยะนี้ เปนของเบอ้ื งตํา่ คือ เปน สวนเบ้อื งตํา่ .
พระอภธิ รรมปฎ ก ธาตกุ ถา-บุคคลบัญญตั ิ เลม ๓ - หนา ที่ 240 บทวา \"ปรกิ ขฺ ยา\" ไดแก เพราะสน้ิ ไปรอบแหงเครอ่ื งผกู เหลานัน้ บทวา \" โอปปาติโก\" ไดแ ก ผูม ีกําเนิดเปนโอปปาตกิ ะ. หมายความวา การนอนในครรภ ของพระอนาคามีนัน้ ทานพน เสยี แลวดวยบทวา \"โอป-ปาตโิ ก\" น.ี้ คําวา \"ตตฺถ ปรินพิ พฺ ายิ\" ไดแก พระอนาคามี ผปู รินิพพานในสุทธาวาสเทวโลกน้นั . คาํ วา \" อนาวตฺตธิ มฺโม ตสมฺ า โลกา \" ความวา ไดแ ก การไมม าจากพรหมโลกแลวกลบั มาสูก ามโลกนี้ ดว ยอํานาจถือปฏิสนธิเปน สภาวะ.กก็ ารมาของพระอนาคามนี ้ัน เพื่อประโยชนแกก ารเห็นพระพทุ ธเจา พระเถระและสดับฟง พระสทั ธรรมอันธรรมดามไิ ดหามไว. คําวา \"อย วุจจฺ ติ\" ความวา บุคคลน้ี คือ ผมู ีสภาวะอยา งน้ี ทา นเรยี กวา พระอนาคามี เพราะไมก ลับมาอกี ดวยอํานาจปฏสิ นธ.ิ จบอรรถกถาอนาคามบี คุ คล [๕๒] อันตราปรนิ ิพพายบี ุคคล บคุ คลช่ือวา อันตราปร-ินิพพายี เปน ไฉน ? บุคคลบางคนในโลกน้ี เพราะความสน้ิ ไปรอบแหง โอรมั ภาคยิ สัญ-โญชนทัง้ ๕ มีกําเนดิ เปน อุปปาตกิ ะ ปรนิ พิ พานในเทวโลกช้นั สุททวาสนัน้มอี นั ไมกลบั มาจากโลกน้ันเปนธรรมดา บุคคลนน้ั ยอ มยงั อรยิ มรรคใหเกิดข้ึนเพื่อละสญั โญชน อนั มีในเบอ้ื งบน ในระยะเวลาตดิ ตอ กับท่ีเกิดบาง ยังไมถ ึงทามกลางกําหนดอายบุ าง บคุ คลนเี้ รยี กวา อนั ตราปรนิ ิพพาย.ี
พระอภธิ รรมปฎ ก ธาตกุ ถา-บุคคลบญั ญตั ิ เลม ๓ - หนาท่ี 241 อรรถกถาอนั ตราปรินิพพายีบคุ คล วนิ จิ ฉัยในนิเทศแหง พระอนาคามี ผชู อื่ วา อนั ตราปรนิ พิ พายี-บุคคล. คาํ วา \"อปุ ปฺ นฺน วา สมนนฺตรา\" ความวา เปน กาลติดตอ กันกบั การเกดิ ขน้ึ บาง. คาํ วา \"อปฺปตตฺ วา เวมชฺฌ อายปุ ปฺ มาณ \" ความวายังไมถ ึงประมาณทามกลางอายบุ า ง อธิบายวา ยังไมถ งึ ทา มกลางอายุ ทา นยอมยังอริยมรรคใหเกดิ ขน้ึ แลว แลว ปรินพิ พาน. ก็เนื้อความวา \"เวมชฺฌ ปตฺต \"แปลวา ถงึ ทามกลางบาง บัณฑติ พงึ ทราบโดยการกําหนดดว ย \"วา\" ศัพท.พระอนาคามีผูอนั ตรายปรินพิ พายี ๓ จําพวก เปน อนั สําเร็จแลวดวยประการฉะนี.้ คาํ วา \"อุปรฏิ มิ าน สฺโชนาน \" ไดแ ก อุทธฺ ัมภาคิยสงั โยชน๕ เบื้องบน หรอื ไดแก กเิ ลส ๘. บทวา \"ปหานาย\" ไดแ ก ยังมรรคใหเกดิ ข้ึนเพ่ือตอ งการละสงั โยชนเหลาน้นั . สองบทวา \"อย วุจฺจต\"ิ ความวา บุคคลนี้ คือ ผเู หน็ ปานนี้ ทา นเรียกวา อนั ตรายปรินิพพายี เพราะปรินิพพานในระหวา งทามกลางแหง อายนุ น่ัเทยี ว. จบอรรถกถาอนั ตราปรนิ ิพพายีบคุ คล [๕๓] อปุ หจั จปรนิ ิพพายีบุคคล บุคคลชอื่ วา อุปหจั จปร-ินิพพายี เปน ไฉน ? บคุ คลบางคนในโลกนี้ เพราะความส้ินไปรอบแหงโอรัมภาคิยสัญโญชนท้ัง ๕ มกี ําเนิดเปน อปุ ปาตกิ ะ ปรินพิ พานในเทวโลกชน้ั สุทธาวาสนัน้ มีอัน
พระอภธิ รรมปฎก ธาตุกถา-บคุ คลบญั ญตั ิ เลม ๓ - หนา ท่ี 242ไมก ลับจากโลกนนั้ เปน ธรรมดา บคุ คลนนั้ ยอ มยังอรยิ มรรคใหเกดิ ข้ึน เพื่อละสญั โญชนอ ันมีในเบื้องบน เมอ่ื ลวงพน ทามกลางกาํ หนดอายบุ าง เมอ่ื ใกลจะทํากาลกริ ยิ าบา ง บุคคลนี้เรยี กวา อุปหัจจปรินพิ พาย.ี อรรถกถาอุปหจั จปรนิ พิ พายบี ุคคล วินิจฉัยในนิเทศแหง พระอนาคามี ผชู ่ือวา อุปหจั จปรนิ พิ พายี-บุคคล. คาํ วา \"อตกิ กฺ มิตฺวา เวมชฺฌ อายุปฺปมาณ \" ไดแกกาวลว งเลยทา มกลางประมาณแหงอายุ. คาํ วา \"อปุ หจจฺ วา กาลกริ ยิ \" ไดแ ก ใกลจะทาํ กาลกิรยิ า อธิบายวา จวนจะสิ้นอายแุ ลว . คาํ วา \"อย วจุ จฺ ต\"ิ ความวา บุคคลน้ี คอื ผเู หน็ ปานน้ี ทา นเรยี กวา อปุ หัจจปรินิพพายี เพราะกา วลว งเลยทา มกลาง ๕๐๐ มหากปั แหงอายุ อนั มี ๑,๐๐๐ มหากปั เปนประมาณในอวหิ าภูมทิ ั้งหลายกอน แลว จึงตง้ั อยูในกัปที่ ๖๐๐ มหากัปหรอื ที่ ๗๐๐มหากัป หรอื ท่ี ๘๐๐ มหากปั หรอื ที่ ๙๐๐ มหากปั หรอื ที่ ๑,๐๐๐ มหากปัอยางใดอยางหนง่ึ น่ันแหละ แลวจึงบรรลพุ ระอรหตั และปรินิพพานดว ยกิเลสปรนิ พิ พาน. จบอรรถกถาอปุ หจั จปรินิพพายีบุคคล [๕๔] อสงั ขารปรนิ พิ พายบี ุคคล บุคคลชือ่ วา อสงั ขาร-ปรนิ ิพพายีเปน ไฉน ? บคุ คลบางคนในโลกน้ี เพราะความสนิ้ ไปรอบแหง โอรมั ภาคิยสญั โญชนท้งั ๕ มกี าํ เนิดเปน อปุ ปาตกิ ะ ปรินพิ พานในเทวโลกชน้ั สทุ ธาวาสน้นั มอี ัน
พระอภิธรรมปฎก ธาตกุ ถา-บุคคลบัญญัติ เลม ๓ - หนา ท่ี 243ไมกลับมาจากโลกนั้นเปนธรรมดา บคุ คลนน้ั ยอมยงั อรยิ มรรคใหเกดิ ขน้ึ โดยไมล ําบาก เพ่อื ละสัญโญชนอ ันมีในเบือ้ งบน บคุ คลนี้เรียกวา อสังขาร-ปรินพิ าพย.ี [๕๕] สสงั ขารปรินิพพายีบคุ คล บคุ คลชื่อวา สสังขาร-ปรินิพพายเี ปน ไฉน ? บุคคลบางคนในโลกน้ี เพราะความสิ้นไปรอบแหงโอรมั ภาคยิ สัญโญชนทัง้ ๕ มกี าํ เนิดเปน อปุ ปาติกะ ปรินิพพานในเทวโลกช้นั สุทธาวาสน้ัน มีอันไมกลับมาจากโลกนนั้ เปน ธรรมดา บคุ คลน้นั ยอ มยงั อริยมรรคใหเ กิดขนึ้ โดยลําบาก เพอ่ื ละสญั โญชนอันมีในเบอ้ื งบน บคุ คลนเ้ี รียกวา สสังขาร-ปรินิพพายี. อรรถกถาอสงั ขารปรินิพพายี และสสังขารปรินพิ พายีบุคคล วินิจฉัยในนิเทศแหง พระอนาคามี ผูชอ่ื วา อสงั ขารปรนพิ พายีและสสงั ขารปรนิ พิ พายีบคุ คล. พระอนาคามีรปู ใด ไมก ระทําความเพยี รอยางแรงกลา โดยไมรวบรัด รีบเรง มีทกุ ขนอ ย บรรลพุ ระอรหัตแลวปรินิพพานดวยกิเลสปรนิ พิ พานตามธรรมดา ฉะนน้ั ทานจึงชือ่ วา อสังขาร-ปรินพิ พายี แปลวา ผูป รนิ พิ พานตามธรรมดา โดยมิไดกระทําความเพียรอยา งแรงกลา . สว นรปู ใด กระทาํ ความเพยี รอยางแรงกลา โดยรบี ดว นไมชักชา มคี วามทกุ ขย าก บรรลุพระอรหตั แลวปรินิพพาน ดวยกเิ ลสปรนิ พิ พานตามธรรมดา ฉะน้นั ทา นจึงเรียกวา สสังขารปรนิ ิพพายี แปลวา ผูปรนิ พิ พานตามธรรมดาดว ยการกระทาํ ความเพียรอยางแรงกลา . จบอรรถกถาอสังขารปรนิ ิพพายี และสสังขารปรินิพพายบี ุคคล
พระอภิธรรมปฎก ธาตกุ ถา-บคุ คลบญั ญัติ เลม ๓ - หนา ที่ 244 [๕๖] อทุ ธังโสโตอกนิฏฐาคามบี ุคคล บคุ คลช่ือวา อทุ ธงั โส-โตอกนิฏฐคามี เปน ไฉน ? บคุ คลบางคนในโลกนี้ เพราะความส้นิ ไปรอบแหงโอรัมภาคยิ สัญโญชนทั้ง ๕ มีกาํ เนิดเปนอปุ ปาติกะ ปรินิพพานในเทวโลกชัน้ สุทธาวาสนน้ั มอี ันไมก ลับมาจากโลกนัน้ เปน ธรรมดา บคุ คลน้ัน จุตจิ ากอตปั ปาไปสทุ สั สา จุติจากสุทสั สาไปสุทัสสี จตุ ิจากสทุ สั สีไปอกนฏิ ฐา ยอมยงั อริยมรรคใหเกิดขึ้นในอกนฏิ ฐา เพื่อละสญั โญชนเบอ้ื งบน บคุ คลน้ีเรียกวาอทุ ธงั โสโตอกนิฏฐคาม.ี [๕๗] บุคคลชอ่ื วา ผูปฏิบัติแลว เพ่ือทําใหแ จงซงึ่ โสดาปตติ-ผล เปนโสดาบัน เปน ไฉน ? บคุ คลผปู ฏบิ ตั แิ ลวเพ่ือละสัญโญชน ๓ ปฏบิ ัตแิ ลวเพื่อทาํ ใหแจงซึ่งโสดาปตติผล สญั โญชน ๓ อนั บุคคลใดละไดแ ลว บุคคลนนั้ เรยี กวา โสดาบนั . บุคคลปฏบิ ัติแลว เพือ่ ความเบาบางแหงกามราคะและพยาบาท ปฏบิ ัติแลวเพ่ือทาํ ใหแจงซึง่ สกทาคามผิ ล เพราะกามราคะและพยาบาทของบคุ คลใดเบาบางแลว บคุ คลนเ้ี รียกวา สกทาคาม.ี บุคคลปฏิบัตแิ ลว เพอื่ ละไมใ หเหลอื ซึ่งกามราคะและพยาบาท ปฏิบตั ิแลว เพ่อื ทาํ ใหแจงซึ่งอนาคามผิ ล กามราคะและพยาบาทอนั บุคคลใดละไดห มดไมมีเหลอื บคุ คลนน้ั เรียกวา อนาคามี. บุคคลปฏบิ ตั แิ ลว เพ่อื ไมใหเ หลอื ซึ่งรูปราคะ อรูปราคะ มานะอุทธจั จะ และอวชิ ชา ปฏบิ ตั ิแลวเพอ่ื ทาํ ใหแ จงซงึ่ อรหัตผล รูปราคะอรูปราคะ มานะ อุทธจั จะ อวชิ ชา อนั บคุ คลใดละไดหมดไมมีเหลอื บุคคลน้เี รียกวา อรหันต.
พระอภิธรรมปฎก ธาตกุ ถา-บุคคลบัญญตั ิ เลม ๓ - หนาที่ 245 อรรถกาอทุ ธังโสโตอกนฏิ ฐคามีบคุ คล วินจิ ฉัยในนิเทศแหงพระอนาคามี ผูช ่อื วา อทุ ธงั โสโตบุคคล. ตณทฺ าโสต กระแส คอื ตัณหา หรือวฏฏ โสต กระแส คือ วัฏฏะของพระอนาคามีน้นั มอี ยูในเบ้อื งบน เพราะเปนธรรมชาตินาํ ไปในเบอ้ื งบนฉะน้นั ทา นจึงช่ือวา อทุ ธฺ โสโต แปลวา ผูมีกระแส คือ ตัณหา หรือวฏั ฏะในเบ้ืองบน. อีกอยา งหน่ึง มคฺคโสต กระแส คอื มรรคของพระอนาคามีน้ันมอี ยใู นเบ้อื งบน เพราะทา นไปสภู พเบ้อื งบนแลวจงึ ได เพราะฉะนนั้ ทา นจึงช่ือวา อทุ ธฺ โสโต แปลวา ผมู ีกระแส คอื มรรคในเบอ้ื งบน. สองบทวา\" อกนฏิ คจฉฺ ติ \" ไดแก ผมู ีปกติไปสู อกนฏิ ฐภพ. พงึ ทราบวนิ ิจฉยั ในคําวา \"อวหิ าโต จุโต อตปปฺ คจฺฉต\"ิ เปน ตนดงั นีว้ า พระอนาคามีเมอ่ื อยูในอวิหาภูมติ ลอด ๑,๐๐๐ มหากัป ไมอาจบรรลุอรหัต จงึ ไปสูส ทุ สั สภี ูมิ. เมื่อทา นแมอ ยใู นสทุ สั สภี ูมิตลอด ๘,๐๐๐ มหากัปก็ไมอ าจบรรลพุ ระอรหตั ยอมไปสูอกนิฏฐภมู .ิ อธบิ ายวา เม่ือทานอยใู นอกนฏิ ฐภูมินน้ั ยอมใหอริยมรรคเกดิ ได. อน่งึ เพื่อตอ งการทราบประเภทของพระอนาคามเี หลา น้ี นักศกึ ษาพงึ ทราบหมวด ๔ แหง พระอนาคามี ผูชอ่ื วา อุทธฺ โสโตอกนิฏ คาม.ี บรรดาพระอนาคามีเหลา น้ันองคใดชําระเทวโลกทั้ง ๔ ใหส ะอาดจาํ เดมิ แตอ วิหาภูมิ และไปสูอกนิฏฐภูมจิ ึงปรินิพพาน องคน ีช้ อื่ วา อุทฺธ โสโต-อกนฏิ คาม.ี ก็องคใ ด ชาํ ระเทวโลกทั้ง ๓ เบือ้ งต่ําใหส ะอาด แลวดาํ รงอยใู นสทุ สั สเี ทวโลก จึงปรนิ พิ พาน องคน้ชี ื่อวา อทุ ธฺ โสโต น อกนฏิ คามีแปลวา ผูม ีกระแสในเบอ้ื งบน แตไ มไปสอู กนฏิ ฐภูม.ิ
พระอภธิ รรมปฎก ธาตกุ ถา-บุคคลบญั ญตั ิ เลม ๓ - หนา ท่ี 246 องคใ ดไปสอู กนฏิ ฐภมู ินน่ั แหละ จากสุทสั สีเทวโลกนแี้ ลว จึงปรนิ ิพพานองคน ้ีชื่อวา นอุทธฺ โสโตอกนิฏคามี ซงึ่ แปลวา ผูไ มม ีกระแสในเบื้องบน แตไ ปสอู กนฏิ ฐภมู ิ. ก็องคใดดํารงอยู ในเทวโลกท้งั ๔ เบื้องตํ่ายอมปรินิพพานในทน่ี ัน้ ๆน่นั แหละ องคน ้ชี ื่อวา นอุทธฺ โสโต นอกนฏิ คามี แปลวา ผไู มม ีกระแสในเบื้องบนและไมไปสอู กนิฏฐภูม.ิ เพราะฉะนัน้ เมื่อรวมพระอนาคามเี หลานั้น จึงมี ๔๘ จําพวก ดวยประการฉะนี้. ถามวา พระอนาคามี มี ๔๘ จาํ พวก เปนไฉน ? ตอบวา ในอวิหาภูมกิ อ น พระอนาคามผี เู ปนอนั ตรายปรนิ พิ พายี ๓จําพวก ผเู ปนอปุ หัจจปรินิพพายี ๑ จาํ พวก ผเู ปน อุทธังโสโต ๑ จําพวก, พระ-อนาคามีเหลานั้นรวมเปน ๑๐ จาํ พวก คือ เปน อสงั ขารปรินิพพายี ๕ จําพวกเปน สสังขารปรนิ ิพพายี ๕ จาํ พวก, ในอตัปปา สุทสั สา และสทุ ัสสภี ูมิ ก็เหมือนกัน คอื มี ๘ ภมู ิ ๆ ละ ๑๐ จาํ พวก รวมเปน ๔๐ จําพวก, แตพระอนาคามีผูชอ่ื วา อุทธงั โสโต ไมมีในชน้ั อกนิฏฐภมู ิ มแี ตพระอนาคามผี ูช ่ือวาอนั ตรายปรนิ พิ พายี ๓ จําพวก อปุ หจั จปรนิ ิพพายี ๑ จาํ พวก พระอนาคามีเหลาน้นั เปน ๘ จําพวก คอื เปน อสังขารปรนิ ิพพายี ๔ จาํ พวก เปนสสังขาร.ปรนิ พิ พายี ๔ จาํ พวก จึงรวมเปน พระอนาคามี ๔๘ จําพวก ดวยประการฉะนี.้ พระอนาคามเี หลา น้ันทัง้ ปวง อนั บณั ฑติ แสดงเปรยี บเทยี บแลว ดวยประกายไฟทเ่ี กิดจากเหล็ก ดังอุทาหรณต อ ไปน.้ี เหมือนอยา งวา เม่อื ชางเหลก็ ตีอยซู ่งึ ปลายเหลก็ แหลม ของมีดพับและมีดตัดเลบ็ ท่ีรอ นตลอดวันท่ีแทง เหลก็ ประกายไฟเกิดข้ึนแลว ก็ดับไป ฉันใด
พระอภธิ รรมปฎ ก ธาตุกถา-บุคคลบญั ญตั ิ เลม ๓ - หนา ท่ี 247พระอนาคามที ีเ่ หน็ ปานน้ี บัณฑติ พึงทราบวา ช่อื วา อันตราปรินพิ พายี พวกท่ี๑ ฉันน้ัน. ถามวา เพราะเหตไุ ร ? ตอบวา เพราะกิเลสดับไปไมเหลือ ในลําดับทเี่ กดิ ขน้ึ นน้ั แหละ. เม่ือชา งเหล็กตีอยูซ ึ่งปลายเหลก็ แหลมเปน ตนทีร่ อ นตลอดวัน อนั ใหญกวานนั้ ทแ่ี ทงเหล็ก ประกายไฟก็พงุ ข้ึนสูอากาศแลว ก็ดับไป ฉนั ใด พระ-อนาคามีที่เห็นปานนพ้ี งึ ทราบวาชือ่ วา อนั ตรายปรินิพพายี พวกท่ี ๒ ฉันนน้ั .ถามวา เพราะเหตไุ ร ? ตอบวา เพราะทา นมอี ายยุ ังไมถึงทา มกลางก็ปรนิ ิพพาน. เม่ือชางเหลก็ ตอี ยูซงึ่ ปลายเหล็กแหลมเปน ตน ท่รี อนตลอดวนั อันใหญกวานั้น (หมายถึงใหญข้ึนไปตามลาํ ดบั ) ที่แทงเหล็ก ประกายไฟพงุ ข้นึ สูอากาศแลววกกลบั ลงมาสูพ้นื ดินแตย งั มทิ นั กระทบกด็ ับไป ฉนั ใด พระอนาคามีท่เี ห็นปานนี้พึงทราบวา ชื่อวา อนั ตราปรนิ ิพพายี พวกที่ ๓ ฉนั นั้น. ถามวาเพราะเหตไุ ร ? ตอบวา เพราะถึงทา มกลางแหงอายแุ ลว ยังไมใกลจะทํากาลกริ ยิ า กป็ รนิ พิ พาน. เม่ือชางเหล็กตีอยซู ่ึงปลายเหลก็ แหลมเปน ตน ทรี่ อนตลอดวัน อนั ใหญกวา น้ันท่ีแทง เหล็ก ประกายไฟพุงขึ้นสอู ากาศแลวตกลงยังพนื้ ดนิ แตพ อกระทบกบั พื้นดนิ แลว กด็ ับไป ฉนั ใด พระอนาคามีเหน็ ปานนพ้ี ึงทราบวา ชอ่ื วา อุปหัจจ-ปรินพิ พายี ฉนั น้นั . ถามวา เพราะเหตไุ ร ? ตอบวา เพราะเขาใกลการกระทาํ กาลกิริยาแลว ไดยังความเปนไปแหง อายุใหส ิ้นไปแลว จึงปรนิ ิพพาน. เมื่อชางเหลก็ ตอี ยซู ึ่งปลายเหลก็ แหลมเปน ตน ทร่ี อ นตลอดวัน อนัใหญกวาน้นั ท่ีแทง เหล็ก สะเก็ดไฟกระเด็นตกไปท่ีหญา หรือทีไ่ มเล็กนอยแลวกเ็ ผาหญาหรอื ไมเ ล็กนอยแลวก็ดบั ไป ฉนั ใด พระอนาคามที เี่ ห็นปานนีพ้ ึงทราบ
พระอภิธรรมปฎ ก ธาตุกถา-บุคคลบัญญตั ิ เลม ๓ - หนาท่ี 248วา ชื่อวา อสังขารปรินิพพายี ฉนั นั้น. ถามวา เพราะเหตไุ ร ? ตอบวา เพราะปรนิ พิ พาน ดวยการประกอบความเพยี รมปี ระมาณเล็กนอ ย คอื ดวยการดําเนินไปอยา งสบาย. เมอ่ื ชางเหลก็ ตีอยูซ ่ึงเหล็กแหลมเปน ตน ท่ีรอ นตลอดวนั อนั ใหญกวานนั้ ทแ่ี ทงเหล็ก สะเก็ดไฟก็กระเดน็ ตกไปทก่ี องไม หรือหญา กองใหญแลวไหมกองไม หรอื หญา กองใหญน ้นั หมดแลว จงึ ดบั ไป ฉันใด พระอนาคามีผูเหน็ ปานน้พี งึ ทราบวา ช่อื วา สสงั ขารปรนิ พิ พายี ฉันน้นั . ถามวา เพราะเหตไุ ร ? ตอบวา เพราะปรนิ พิ พานดวยการทาํ ความเพยี รอยางแรงกลา คือดําเนนิ ไปอยา งหนักแนน . สะเกด็ ไฟอ่ืนอกี ยอมตกไปที่กองไม และกองหญา อนั ใหญน ั้น ครัน้เมอ่ื กองไมห รอื กองหญา อัน ใหญน นั้ ถูกไพไหมอ ยู ถา นทป่ี ราศจากเปลวไฟกด็ ีเปลวไฟกด็ ี เกิดข้นึ แลวก็เผาไหมโ รงของนายชางเหล็ก แลวก็ลามไปไหมบา นหมูบาน เมอื ง และแวนแควน จดฝงสมุทรจึงดับไป ฉันใด พระอนาคามีผูเหน็ ปานนีพ้ งึ ทราบวา ชือ่ วา อทุ ธงั โสโตอกนฏิ ฐคามี ฉนั นน้ั . ถามวาเพราะเหตไุ ร ? ตอบวา เพราะทานกระทําการแผขยายพืชในภพเปน อเนกแลวจึงกระทาํ ใหสิ้นสุดลงดว ยการบรรลุธรรมท่ถี ูกตอ งแลวจงึ ปรนิ ิพพาน. ก็แผนเหล็กนั่นแหละมเี ลก็ บางใหญบ า ง อันตางดวยปลายเหลก็ แหลมเปน ตนเพราะฉะนัน้ ทา นจึงกลาวไวใ นพระสูตร ในวาระท้งั หมดวา \"อโยกปลฺล \"แผนเหล็ก ดังนี.้ เหมือนอยา งคําทพ่ี ระองคตรสั ไววา \"กภ็ ิกษทุ ัง้ หลาย ภิกษใุ นพระ-ธรรมวินัยน้ี เปน ผปู ฏบิ ัตอิ ยา งนี้แลว ยอ มไดเ ฉพาะซึง่ อุเบกขา คือ ความวางเฉยวา อุเบกขาไมพึงมี และจะไมพงึ มแี กเ รา ไมไ ดม แี ลว และจักไมม แี กเรา สิ่งใด
พระอภิธรรมปฎก ธาตุกถา-บุคคลบญั ญัติ เลม ๓ - หนา ที่ 249มีอยู เรายอมละสงิ่ นนั้ เธอนัน้ ยอมไมย นิ ดใี นภพ ยอ มไมย นิ ดีในการเกิด ลาํ ดับน้ัน เธอยอ มเหน็ บทอนั ยิ่งอนั สงบแลว ดวยสมั มปั ปญ ญา (ปญญาอันชอบ)กบ็ ทน้ันนั่นแล อนั เธอกระทําใหแจงแลว ซึ่งสิ่งทัง้ ปวงโดยประการทัง้ ปวง แตเธอยังละมานานสุ ัยทัง้ ปวงไมไ ดโดยประการทั้งปวง ยงั ละภวราคานสุ ัยท้ังปวงโดยประการทัง้ ปวงไมได ยงั ละอวิชชานุสัยท้งั ปวงโดยประการทงั้ ปวงไมได เธอนน้ั ชื่อวา อนั ตราปรินพิ พายี เพราะความส้ินไปรอบแหง โอรัมภาคิยสังโยชนทง้ั ๕ แลว ตรัสวา คกู อนภิกษุท้ังหลาย เปรยี บเหมอื นเมื่อบคุ คลทุบอยูซ่งึ แผน เหล็กอนั รอ นตลอดวนั ประกายไฟเกิดข้ึนแลวกพ็ งึ ดับไป แมฉันใดดกู อนภิกษทุ ้ังหลาย ภกิ ษเุ ปน ผูป ฏบิ ัติอยูอ ยางนี้ ฯลฯ ยอ มเปน ผูช่ือวาอันตรา-ปรินิพพายี ฉันน้นั เหมอื นกัน. ภิกษุทัง้ หลาย ก็ภิกษใุ นพระธรรมวินยั นเ้ี ปนผูปฏิบตั แิ ลวอยา งนี้ ฯลฯช่อื วา อนั ตราปรนิ พิ พายี ภิกษทุ งั้ หลาย เปรยี บเหมือนเมอ่ื บุคคลทุบอยซู ่งึแผน เหล็กอนั รอนตลอดทงั้ วัน ประกายไฟเกดิ แลว บังเกิดแลว ก็พึงดับไปแมฉนั ใด ภกิ ษุท้ังหลาย ภกิ ษเุ ปนผูปฏบิ ัตอิ ยอู ยางนี้ ฯลฯ ยอ มเปนผชู ่ือวาอนั ตราปรนิ พิ พายี ฉนั นน้ั เหมือนกนั . ภิกษทุ ัง้ หลาย กภ็ ิกษุในพระธรรมวินัยน้ีเปนผูปฏบิ ัตอิ ยอู ยางนี้ ฯลฯยอมเปนผูชอื่ วา อันตรายปรินพิ พายี ภิกษุท้งั หลาย เปรียบเหมือนบุคคลทุบอยซู ่ึงแผนเหลก็ ทง้ั หลายท่ีรอ นตลอดทัง้ วนั สะเก็ดไฟบังเกิดแลว ยังไมทันกระทบพื้นดนิ ก็พึงดบั ไปแมฉนั ใด ภกิ ษทุ ้ังหลาย ภิกษุเปน ผูป ฏิบัติอยอู ยางน้ียอมชอ่ื วา อันตราปรนิ พิ พายี ฉนั นัน้ น่นั เทียว. ภกิ ษุท้งั หลาย กภ็ กิ ษุในพระธรรมวินยั น้ี เปนผปู ฏิบัตอิ ยูอยา งน้ียอมช่ือวาอุปหัจจปรินพิ พายี ภิกษทุ ั้งหลาย เปรียบเหมือนเม่อื บคุ คลทุบอยู
พระอภธิ รรมปฎก ธาตุกถา-บุคคลบัญญัติ เลม ๓ - หนาที่ 250ซึง่ แผน เหล็กทรี่ อ นตลอดท้ังวัน สะเก็ดไฟบังเกิดแลว เกิดขึน้ แลวกระทบกับพน้ื ดนิ แลว พงึ ดับไปฉนั ใด ภกิ ษุทงั้ หลาย ภิกษุเปน ผูป ฏิบตั ิอยูอยางนี้ ฯลฯยอมชอ่ื วา อปุ หัจจปรินพิ พายี. ภิกษุท้งั หลาย กภ็ ิกษใุ นพระธรรมวนิ ยั น้ีเปนผปู ฏิบตั ิอยอู ยา งน้ี ฯลฯยอมชือ่ วา อสงั ขารปรนิ ิพพายี เพราะความส้นิ ไปรอบแหงโอรัมภาคิยสังโยชนท้ัง ๕ ภิกษุท้งั หลาย เปรยี บเหมอื นบคุ คลทบุ อยซู ึง่ แผนเหลก็ ทรี่ อนตลอดวันสะเก็ดไฟบังเกดิ แลว เกิดขึ้นแลวพงึ กระเดน็ ไปตกอยทู ่ีกองหญา หรือกองไมเล็กนอ ย สะเก็ดไฟนน้ั พึงใหไ ฟเกดิ บา งใหควันเกดิ บา งในทน่ี ้ัน ครนั้ ใหไฟเกิดแลว ก็ดี ใหควันเกดิ แลว กด็ ี แลวกไ็ หมก องไมก องหญาเลก็ นอยนนั้ นนั่แหละจนหมดสิน้ แลว พงึ ดบั ไปเองเพราะส้ินเชอื้ แมฉันใด ภกิ ษทุ ้งั หลาย ภกิ ษุเปนผปู ฏิบตั อิ ยอู ยางนี้ ฯลฯ ยอ มชอ่ื วา อสังขารปรนิ ิพพายี เพราะความสน้ิ ไปรอบแหงโอรมั ภาคิยสงั โยชนท้งั ๕ ฉนั นัน้ เหมือนกนั . ภิกษทุ งั้ หลาย ก็ภิกษุในพระธรรมวนิ ัยน้ี เปน ผปู ฏบิ ตั อิ ยอู ยา งน้ียอมชอื่ วา สังขารปรนิ ิพพายี ภิกษทุ ง้ั หลาย เปรยี บเหมือนเมอ่ื บคุ คลทบุ แผนเหล็กทีร่ อ นตลอดวัน ประกายสะเกด็ ไฟบงั เกิดแลว เกิดข้ึนแลว พงึ ตกไปที่กองหญา และกองไมอ นั ไพบูลยแลวพงึ ใหไฟเกิดข้นึ บาง ใหค วันเกดิ ขน้ึ บา ง ฯลฯแลว ก็ไหมก องหญาและกองไมอ นั ไพบูลยน น้ั น่นั แหละจนส้นิ แลวกพ็ งึ ดับไปเพราะสิน้ เช้ือ ฉนั ใด ภิกษทุ งั้ หลาย ภกิ ษปุ ฏิบตั อิ ยอู ยา งนี้ ฯลฯ ชอ่ื วาสสงั ขารปรินพิ พายี. ภิกษุทงั้ หลาย ก็ภกิ ษุในพระธรรมวินยั น้ี เปน ผูปฏบิ ตั ิอยูอยางนี้ ฯลฯยอ มเปน ผูช่อื วา อุทธังโสโตอกนฏิ ฐคามี เพราะความสิ้นไปรอบแหงโอรัม-ภาคยิ สังโยชนทั้ง ๕ ภิกษทุ งั้ หลาย เปรยี บเหมือนเมือ่ บุคคลทบุ อยซู งึ่ แผน เหลก็อันรอ นตลอดวัน ประกายสะเก็ดไฟบังเกดิ แลว เกิดขึ้นแลว พงึ ตกไปท่ี
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 461
Pages: