Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_79

tripitaka_79

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:45

Description: tripitaka_79

Search

Read the Text Version

พระอภิธรรมปฎ ก ธาตุกถา-บคุ คลบัญญตั ิ เลม ๓ - หนา ท่ี 233ชอื่ ของผลอันมรรคใหแ ลว เพราะเหตนุ ั้น พระโสดาบนั พระองคจ งึ ทรงประสงคเอาในขณะแหงผล. บทวา \"อวนิ ิปาตธมโฺ ม\" ไดแ ก ภาวะคอื การไมไ ปสูอ บายกลา วคอื วินปิ าตดวยสามารถแหง อันเกดิ ขน้ึ . บทวา \"นยิ โต\" ไดแก ชอื่ วา นยิ ตะคือ เทีย่ งดว ยนยิ ามแหง มรรค บทวา \"สมโฺ พธปิ รายโน\" ไดแก ความเปนผมู กี ารตรัสรอู นั จะเปน ไปในภายหนา . แทจ ริง พระโสดาบนั น้ัน ยอมตรัสรูดว ยมรรคอนั ตนไดเฉพาะแลว เพราะฉะนน้ั ทานจงึ ช่ือวา สัมโพธปิ รายโน.อีกอยา งหน่ึง พระโสดาบันนน้ั จักตรัสรดู วยมรรคเบอื้ งบนทงั้ ๓ โดยแนแ ทเพราะเหตุนน้ั ทานจึงชอื่ วา สัมโพธิปรายโน. สองบทวา \" เทเว จ มนุสเฺ ส จ\" ไดแ ก เทวโลก และมนุษยโลก.สองบทวา \"สนธฺ าวิตฺวา ส สริตวฺ า\" ไดแ ก การไป ๆ มา ๆ ดวยอํานาจปฏิสนธ.ิสองบทวา \"ทกุ ฺขสฺสนตฺ  กโรติ\" ไดแ ก การทาํ หนทาง อันเปน ทส่ี ุดแหงวฏั ฏทกุ ข. สองบทวา \"อย วุจจฺ ติ\" ความวา บคุ คลน้ี คอื ผเู ห็นปานนี้ ทา นเรยี กช่อื วา สัตตกั ขัตตุปรโม แปลวา ผมู ี ๗ ชาตเิ ปนอยางยงิ่ . ก็สตั ตกั -ขตั ตปุ รมบุคคลนพี้ งึ ทราบวา พระผูมพี ระภาคเจา ตรัสแลว ดวยภพทป่ี ะปนกันดวยสามารถแหงเทวโลกและมนุษยโลก ตามกาลอนั สมควร. จบอรรถกถาสตั ตักขัตตุปรมบุคคล

พระอภธิ รรมปฎก ธาตุกถา-บุคคลบญั ญัติ เลม ๓ - หนาที่ 234 [๔๘] โกลงั โกลบุคคล บคุ คลชอื่ วา โกลงั โกละ เปน ไฉน ? บคุ คลบางคนในโลกน้ี เพราะความสนิ้ ไปรอบแหง สญั โญชนทง้ั ๓เปน โสดาบันมีอันไมไ ปเกิดในอบายเปนธรรมดา เปน ผเู ท่ยี งจะไดตรัสรูในเบอื้ งหนา บคุ คลนนั้ จะแลนไป ทอ งเทีย่ วไป สตู ระกูล สอง หรอื สาม ตระกลูแลวทําท่ีสดุ ทกุ ขไ ด บคุ คลนเี้ รียกวา โกลงั โกละ. อรรถกถาโกลังโกลบคุ คล วนิ จิ ฉยั ในนเิ ทศแหง โกลงั โกลบุคคล. บคุ คลใดยอมไปจากตระกลู สูต ระกูล เหตนุ นั้ ผูน ั้นจึงช่ือวา โกลังโกละ. อธบิ ายวา กช็ อ่ื วา การเกิดในตระกลู ต่ําจําเดมิ แตการกระทําใหแ จงซ่งึ พระโสดาปต ตผิ ลไปแลว ยอ มไมมี ทา นยอมเกิดในตระกลู ท่มี ีโภคะมากอยา งเดยี วเทานนั้ . คําวา \"เทฺว วา ตณี ิ วา กลุ านิ\" ไดแก ไปสู ๒ ภพ หรือ ๓ ภพดวยอาํ นาจการเกดิ เปนเทวดาและมนุษย. โกลงั โกลบุคคลแมน ี้ พระผูมีพระ-ภาคเจา ตรสั แลวดว ยสามารถแหง มสิ สกภพ คือภพที่ปะปนกนั น่นั เทยี ว. กใ็ นคําวา \"เทฺว วา ตณี ิ วา\" สกั วาเปน เทศนาเทา นนั้ . โกลังโกลบคุ คลน่ันแหละ ยอมทอ งเที่ยวไปจนถงึ ภพท่ี ๖ จงึ กระทาํ ทาง คอื มรรคอนั เปนทส่ี นิ้ สดุแหงวฏั ฏทุกขไ ด. จบอรรถกถาโกลังโกลบคุ คล

พระอภธิ รรมปฎก ธาตุกถา-บุคคลบัญญัติ เลม ๓ - หนาที่ 235 [๔๙] เอกพีชบี ุคคล บคุ คลช่ือวา โกลังโกละ เปนไฉน ? บุคคลบางคนในโลกน้ี เพราะความสิน้ ไปรอบแหง สัญโญชนท ง้ั ๓อันไมไปเกดิ ในอบายเปนธรรมดา เปนผูเ ทยี่ งจะไดต รสั รใู นเบอ้ื งหนา บุคคลน้ันเกิดในภพมนุษยอ ีกคร้งั เดียว แลวทาํ ทส่ี ุดแหงทุกขได บุคคลนเ้ี รียกวาเอกพีชี. อรรถกถาเอกพีชบี คุ คล วนิ จิ ฉัยในนิเทศแหง เอกพชี บี คุ คล. ช่ือวา พืช คอื ขนั ธอ นั พระผมู ีพระภาคเจา ตรสั แลว กพ็ ระโสดาบันองคใดมพี ืช คือ ขันธค ร้ังเดียวเทาน้นัคอื มีการถือเอาอตั ภาพครั้งเดยี ว พระโสดาบนั นั้นชื่อวา เอกพีชี. กค็ ําวา\"มานสุ สฺ ก ภว \" นีส้ ักวา เปนเทศนาในท่นี ี้เทานนั้ . แตจ ะกลาววา \"ยงั เทวภพใหเ กิด\" ดังน้ีบา งกส็ มควรเหมอื นกัน ก็ชือ่ เหลานัน้ เปนช่อื แหง พระอริยบุคคลเหลานนั้ ดวยสามารถแหงช่อื ทพี่ ระผมู พี ระภาคเจาทรงถือเอาแลว น่นั เทยี ว.จริงอยู พระโสดาบนั ผไู ปถงึ ทมี่ ปี ระมาณเทานี้ชื่อวา สัตตักขตั ตปุ รมบคุ คลผูไปถงึ ท่มี ปี ระมาณเทา นี้ ชอื่ วา โกลังโกลบุคคล ผไู ปถงึ ท่มี ีประมาณเทาน้ีชอ่ื วา เอกพีชบี คุ คล ฉะนน้ั ชอ่ื พระโสดาบนั เหลาน้นั พระผูมีพระภาคเจาจึงทรงถอื เอาแลว . แตวา โดยกาํ หนดแนน อน (โดยนยิ ม) คําวา พระโสดาบนัรูปนีเ้ ปน สัตตักขตั ตปุ รมะ รูปนเ้ี ปนโกลังโกละ รูปนีเ้ ปน เอกพชี ี ยอมไมม ี ถามวา ก็ใครกําหนดประเภทพระอริยบุคคลเหลา น้ันได. วิสัชนาวา พระเถระบางพวกกลา วไวกอน วา \"ปพุ ฺพเหตุ นยิ เมติ\"แปลวา บพุ เหตุ ยอ มกาํ หนดแนนอน. บางพวกกลาววา \"ปมมคโฺ คนยเมติ\" แปลวา มรรคท่หี น่งึ กําหนดแนน อน. บางพวกกลา ววา \"อุปร-ิ

พระอภธิ รรมปฎ ก ธาตกุ ถา-บคุ คลบญั ญัติ เลม ๓ - หนาที่ 236ตโย มคคฺ า นิยเมนตฺ ิ\" แปลวา มรรคเบือ้ งบน ๓ กําหนดแนน อน. บางพวกกลา ว \"ตณิ ฺณ มคคฺ าน วปิ สสฺ นา นยิ เมติ\" แปลวา วปิ สสนาแหงมรรคท้งั ๓ กําหนดแนนอน. บรรดาวาทะแหง พระเถระเหลานั้น วาทะวา \"ปพุ ฺพเหตุ \"นิยเมติ\"ยอ มหมายความวา อปุ นิสัยแหงปฐมมรรค ยอ มเปนคณุ ชาตอันบุพเหตกุ ระทําแลว มรรคเบื้องบน ๓ ปราศจากอปุ นสิ ัยเกิดข้ึน ในวาทะวา \"ปมมคฺโคนยิ เมต\"ิ หมายความวา มรรค ๓ เปนธรรมชาตไิ รป ระโยชน. ในวาทะวา\"อปุ ริ ตโย มคฺคา นิยเมนฺติ\" หมายความวา เมอื่ ปฐมมรรคยังไมเ กิดข้นึนั่นแหละ มรรคเบอ้ื งบน ๓ เกิดข้ึนแลว . กว็ าทะวา \"ตณิ ฺณ มคฺคานวปิ สสฺ นา นิยเมต\"ิ ซ่งึ แปลวา วิปสสนาแหง มรรคทั้ง ๓ กําหนดแนน อนยอมถกู ตอง. ก็ถาวิปส สนาแหง มรรคทัง้ ๓ มีกาํ ลงั พระโสดาบัน ก็ช่อื วาเอกพชี .ีถาออ นกวาวิปส สนาของเอกพีชี ก็ช่ือวา โกลงั โกละ ถา ออ นกวาวิปสสนาของโกลังโกละนั้น กช็ ื่อวา สตั ตักขัตตปุ รมะ ดวยประการฉะน้.ี อน่ึง พระโสดาบนั บางองค มอี ชั ฌาสยั ในวฏั ฏะ เปน ผูยินดีในวฏั ฏะยอมทองเที่ยวไปในวฏั ฏะบอย ๆ นั่นเทยี ว ปรากฏอยู. ก็ชนเหลา นนั้ มปี ระมาณเทา น้ี คอื ๑. อนาถบิณฑกิ เศรษฐี ๒. วิสาขา อุบาสิกา ๓. จูลรถเทวบุตร ๔. มหารถเทวบุตร ๕. อเนกวรรณเทวบตุ ร ๖. ทาวสักกเทวราช ๗. นาคทตั ตเทวบตุ ร.

พระอภิธรรมปฎก ธาตุกถา-บุคคลบญั ญัติ เลม ๓ - หนา ท่ี 237 ทั้งหมดนี้ มีอัธยาศัยในวฏั ฏะ เกดิ ในเทวโลก ๖ ชน้ั ตง้ั แตตนชําระจติ ใหส ะอาดในเทวโลกนน่ั แหละ แลวจงึ ตัง้ อยูในอกนิฏฐภพ จงึ จกั ปร-ินิพพาน ชนเหลาน้ี พระองคมิไดท รงถอื เอาในทน่ี ้ี ก็ชนเหลา น้พี ระองคม ิไดทรงถือเอาเทาน้นั กห็ าไม พระโสดาบันองคใ ด บังเกดิ ในมนษุ ยโลกทั้งหลายทอ งเทีย่ วไปแลว ในมนษุ ยโลกนั่นแหละสน้ิ ๗ ครัง้ แลวจึงบรรลพุ ระอรหนั ตก็ดี พระโสดาบันองคใดบงั เกิดในเทวโลกทั้งหลายทอ งเทย่ี วไป ๆ มา ๆ ในเทวโลกนนั่ แหละส้ิน ๗ ครั้ง แลว บรรลุพระอรหนั ต ก็ดี พระโสดาบนั แมเหลาน้นั พระผมู ีพระภาคเจา กม็ ิไดท รงถอื เอา. แตว าพึงทราบวา ในทน่ี ้พี ระองคท รงถือเอาพระโสดาบัน ท่ชี อ่ื วาสตั ตักขตั ตุปรมะ กบั โกลงั โกละ ดวยสามารถแหง ภพอันเจอื กนั และ พระ-โสดาบันผูบงั เกดิ ในภพของมนุษยเทา น้ันท่ีชอ่ื วา เอกพชี .ี ในพระโสดาบันเหลานน้ั องคห นึง่ ๆ ยอ มถึงภาวะ ๔ อยา ง ดว ยสามารถแหงทกุ ขาปฏปิ ทา เปนตน . วา ดวยสทั ธธรุ ะ พระโสดาบนั มี ๑๒จาํ พวก คอื . ชื่อวาสตั ตกั ขัตตปุ รมะ จําพวก ชือ่ วาโกลงั โกละ ๔ จาํ พวกช่อื วา เอกพชี ี ๔ จําพวก. วาดวยปญญาธุระ ก็ถาพระโสดาบนั พงึ อาจยงัโลกตุ ตรธรรมใหเกิดดวยปญญา กระทาํ ปญ ญาใหเ ปน ธรุ ะอยา งนี้วา เราจกั ใหโลกุตตรธรรมเกิดข้นึ แมบ รรลเุ ปน พระโสดาบนั ผชู อื่ วา สตั ตกั ขตั ตปุ รมะเปนตน ดวยอํานาจปฏิปทา ๔ อยาง ก็เปนพระโสดาบัน ๑๒ จาํ พวก เหมอื นกันนัน่ แหละ ฉะนั้นพระโสดาบนั ทง้ั ๒๔ จาํ พวกเหลานน้ั บณั ฑิตพงึ ทราบวา พระ-ผมู ีพระภาคเจา ตรัสไวแลวในฐานะน้ี ดว ยสามารถแหง พระอริยะผเู ขาไปเพงธรรมอันตงั้ อยู ดว ยศรัทธา หรอื ปญ ญา ในทนี่ ี้นน่ั เทียว. จบอรรถกถาเอกพชี บี คุ คล

พระอภิธรรมปฎ ก ธาตุกถา-บคุ คลบญั ญัติ เลม ๓ - หนา ที่ 238 [๕๐] สกทาคามีบุคคล บคุ คลชอื่ วา สกทาคามี เปน ไฉน ? บุคคลบางคนในโลกนี้ เพราะความสนิ้ ไปรอบแหงสัญโญชนทั้ง ๓เพราะทาํ ราคะ โทสะ โมหะใหเบาบางลง เปน พระสกทาคามี ซ่ึงยงั จะมาสโู ลกนีค้ ราวเดียวเทาน้ันแลว ทาํ ทสี่ ุดทกุ ขได บคุ คลน้เี รยี กวา สกทาคามี. อรรถกถาสกทาคามบี คุ คล วินจิ ฉยั ในนเิ ทศแหง สกทาคามีบุคคล. บคุ คลใด ยอมมาอีกคร้งัเดียวดว ยสามารถแหง ปฏิสนธิ เพราะเหตนุ น้ั ผนู ้ันจึงช่ือวา สกทาคามี แปลวา ผมู าปฏสิ นธอิ กี คร้ังเดยี ว. บทวา \"สกิเทว\" ไดแก ครัง้ หนึง่ เทาน้ัน. บรรดาพระสกทาคามี ๕ จําพวก ๔ จําพวกพระองคไมท รงประสงคเอา แตทรงประสงคเอาเพยี งพวกเดยี วเทา นน้ั ในทีน่ ้ี ดวยบทวา \"อิม โลกอาคนฺตวฺ า\" เพราะวา พระสกทาคามบี างพวกบรรลุสกทาคามิผลในโลกน้ี ยอมปรนิ พิ พานในโลกน้นี ่นั แหละ บางพวกบรรลสุ กทาคามิผลในโลกนีป้ รินพิ พานในเทวโลก บางพวกบรรลุในเทวโลกปรนิ ิพพานในเทวโลกนั่นแหละ บางพวกบรรลุในเทวโลกแลวเกิดข้นึ ในโลกน้ีแลวจงึ ปรินพิ พาน รวมพระสกทาคามีทั้ง๔ จาํ พวก ดังกลาวมาน้ี พระองคมิไดท รงประสงคเอา ในสกทาคามีนสิ เทสน้ี. แตพระสกทาคามี พวกใด บรรลุในโลกนี้ แลว ดาํ รงชวี ิตอยูในเทวโลกตลอดอายุ แลวกเ็ กิดขน้ึ ในโลกนีอ้ กี จึงปรนิ พิ พาน พระสกทาคามีพวกเดยี วนเ้ี ทาน้นั พงึ ทราบวา พระองคท รงถอื เอาใน สกทาคามนี ทิ เทสนี้. คําใดท่ยี ังเหลืออยใู นที่น้ี ขา พเจา ยงั มิไดกลาว คํานนั้ ทั้งหมด ขาพเจากลา วแลว ในโลกตุ ตรกุศลนิทเทส ในอรรถกถาแหงธรรมสังคหะในหนหลัง.

พระอภธิ รรมปฎ ก ธาตุกถา-บุคคลบญั ญัติ เลม ๓ - หนาท่ี 239 ถามวา ก็พระสกทาคามนี ้ี มีการกระทาํ ท่แี ตกตา งกันกบั พระโสดาบันทช่ี อ่ื วา เอกพีชี อยา งไรบาง ? ตอบวา พระโสดาบนั ผชู ่อื วา เอกพีชี ทานมปี ฏสิ นธคิ รง้ั เดียวเทานัน้ สวนพระสกทาคามีทา นมีปฏิสนธิ ๒ คร้งั ขอ นี้ เปน การการทําท่แี ตกตา งกนั ระหวางพระอริยะท้งั สองเหลานั้น. จบอรรถกถาสกทาคามีบุคคล [๕๑] อนาคามีบุคคล บุคคลชอื่ วา อนาคามี เปน ไฉน ? บคุ คลบางคนในโลกนี้ เพราะความสิน้ ไปรอบแหงโอรมั ภาคยิ สัญโญชนทงั้ ๕ มกี าํ เนิดเปน อุปปาตกิ ะ ปรนิ พิ พานในเทวโลกช้ันสทุ ธาวาสนั้น มอี ันไมกลบั มาจากโลกนั้นเปน ธรรมดา บคุ คลนเี้ รียกวา อนาคามี อรรถกถาอนาคามบี ุคคล วินิจฉัยในนเิ ทศแหง อนาคามีบคุ คล. กามธาตุ พระผมู พี ระภาคเจา ตรัสเรยี กวา โอร แปลวา ต่าํ ในคาํ วา \"โอรมภฺ าคยิ าน สโฺ ชนาน \"เครือ่ งผกู ท้ัง ๕ เหลานนั้ อันบุคคลใดยังละไมไ ดแลว เพราะเหตนุ ัน้ บุคคลน้ันแมบังเกิดในภวัคคภูมิ กย็ ังถูกเคร่อื งผูกเหลา นนั้ ดึงใหต กไปในกามธาตุนั่นเทยี วเหมอื นปลาทกี่ ลนื กนิ เบ็ด และ เหมอื นนกกาท่เี ขาเอาเชอื กยาวผกู เทา ไว เพราะฉะน้นั เครื่องผูกท้ัง ๕ ทา นจงึ เรียกวา โอรมั ภาคิยะ อธิบายวา โอรัมภาคิยะนี้ เปนของเบอ้ื งตํา่ คือ เปน สวนเบ้อื งตํา่ .

พระอภธิ รรมปฎ ก ธาตกุ ถา-บุคคลบัญญตั ิ เลม ๓ - หนา ที่ 240 บทวา \"ปรกิ ขฺ ยา\" ไดแก เพราะสน้ิ ไปรอบแหงเครอ่ื งผกู เหลานัน้ บทวา \" โอปปาติโก\" ไดแ ก ผูม ีกําเนิดเปนโอปปาตกิ ะ. หมายความวา การนอนในครรภ ของพระอนาคามีนัน้ ทานพน เสยี แลวดวยบทวา \"โอป-ปาตโิ ก\" น.ี้ คําวา \"ตตฺถ ปรินพิ พฺ ายิ\" ไดแก พระอนาคามี ผปู รินิพพานในสุทธาวาสเทวโลกน้นั . คาํ วา \" อนาวตฺตธิ มฺโม ตสมฺ า โลกา \" ความวา ไดแ ก การไมม าจากพรหมโลกแลวกลบั มาสูก ามโลกนี้ ดว ยอํานาจถือปฏิสนธิเปน สภาวะ.กก็ ารมาของพระอนาคามนี ้ัน เพื่อประโยชนแกก ารเห็นพระพทุ ธเจา พระเถระและสดับฟง พระสทั ธรรมอันธรรมดามไิ ดหามไว. คําวา \"อย วุจจฺ ติ\" ความวา บุคคลน้ี คือ ผมู ีสภาวะอยา งน้ี ทา นเรยี กวา พระอนาคามี เพราะไมก ลับมาอกี ดวยอํานาจปฏสิ นธ.ิ จบอรรถกถาอนาคามบี คุ คล [๕๒] อันตราปรนิ ิพพายบี ุคคล บคุ คลช่ือวา อันตราปร-ินิพพายี เปน ไฉน ? บุคคลบางคนในโลกน้ี เพราะความสน้ิ ไปรอบแหง โอรมั ภาคยิ สัญ-โญชนทัง้ ๕ มีกําเนดิ เปน อุปปาตกิ ะ ปรนิ พิ พานในเทวโลกช้นั สุททวาสนัน้มอี นั ไมกลบั มาจากโลกน้ันเปนธรรมดา บุคคลนน้ั ยอ มยงั อรยิ มรรคใหเกิดข้ึนเพื่อละสญั โญชน อนั มีในเบอ้ื งบน ในระยะเวลาตดิ ตอ กับท่ีเกิดบาง ยังไมถ ึงทามกลางกําหนดอายบุ าง บคุ คลนเี้ รยี กวา อนั ตราปรนิ ิพพาย.ี

พระอภธิ รรมปฎ ก ธาตกุ ถา-บุคคลบญั ญตั ิ เลม ๓ - หนาท่ี 241 อรรถกถาอนั ตราปรินิพพายีบคุ คล วนิ จิ ฉัยในนิเทศแหง พระอนาคามี ผชู อื่ วา อนั ตราปรนิ พิ พายี-บุคคล. คาํ วา \"อปุ ปฺ นฺน วา สมนนฺตรา\" ความวา เปน กาลติดตอ กันกบั การเกดิ ขน้ึ บาง. คาํ วา \"อปฺปตตฺ  วา เวมชฺฌ อายปุ ปฺ มาณ \" ความวายังไมถ ึงประมาณทามกลางอายบุ า ง อธิบายวา ยังไมถ งึ ทา มกลางอายุ ทา นยอมยังอริยมรรคใหเกดิ ขน้ึ แลว แลว ปรินพิ พาน. ก็เนื้อความวา \"เวมชฺฌ ปตฺต \"แปลวา ถงึ ทามกลางบาง บัณฑติ พงึ ทราบโดยการกําหนดดว ย \"วา\" ศัพท.พระอนาคามีผูอนั ตรายปรินพิ พายี ๓ จําพวก เปน อนั สําเร็จแลวดวยประการฉะนี.้ คาํ วา \"อุปรฏิ มิ าน สฺโชนาน \" ไดแ ก อุทธฺ ัมภาคิยสงั โยชน๕ เบื้องบน หรอื ไดแก กเิ ลส ๘. บทวา \"ปหานาย\" ไดแ ก ยังมรรคใหเกดิ ข้ึนเพ่ือตอ งการละสงั โยชนเหลาน้นั . สองบทวา \"อย วุจฺจต\"ิ ความวา บุคคลนี้ คือ ผเู หน็ ปานนี้ ทา นเรียกวา อนั ตรายปรินิพพายี เพราะปรินิพพานในระหวา งทามกลางแหง อายนุ น่ัเทยี ว. จบอรรถกถาอนั ตราปรนิ ิพพายีบคุ คล [๕๓] อปุ หจั จปรนิ ิพพายีบุคคล บุคคลชอื่ วา อุปหจั จปร-ินิพพายี เปน ไฉน ? บคุ คลบางคนในโลกนี้ เพราะความส้ินไปรอบแหงโอรัมภาคิยสัญโญชนท้ัง ๕ มกี ําเนิดเปน อปุ ปาตกิ ะ ปรินพิ พานในเทวโลกชน้ั สุทธาวาสนัน้ มีอัน

พระอภธิ รรมปฎก ธาตุกถา-บคุ คลบญั ญตั ิ เลม ๓ - หนา ท่ี 242ไมก ลับจากโลกนนั้ เปน ธรรมดา บคุ คลนนั้ ยอ มยังอรยิ มรรคใหเกดิ ข้ึน เพื่อละสญั โญชนอ ันมีในเบื้องบน เมอ่ื ลวงพน ทามกลางกาํ หนดอายบุ าง เมอ่ื ใกลจะทํากาลกริ ยิ าบา ง บุคคลนี้เรยี กวา อุปหัจจปรินพิ พาย.ี อรรถกถาอุปหจั จปรนิ พิ พายบี ุคคล วินิจฉัยในนิเทศแหง พระอนาคามี ผชู ่ือวา อุปหจั จปรนิ พิ พายี-บุคคล. คาํ วา \"อตกิ กฺ มิตฺวา เวมชฺฌ อายุปฺปมาณ \" ไดแกกาวลว งเลยทา มกลางประมาณแหงอายุ. คาํ วา \"อปุ หจจฺ วา กาลกริ ยิ  \" ไดแ ก ใกลจะทาํ กาลกิรยิ า อธิบายวา จวนจะสิ้นอายแุ ลว . คาํ วา \"อย วจุ จฺ ต\"ิ ความวา บุคคลน้ี คอื ผเู หน็ ปานน้ี ทา นเรยี กวา อปุ หัจจปรินิพพายี เพราะกา วลว งเลยทา มกลาง ๕๐๐ มหากปั แหงอายุ อนั มี ๑,๐๐๐ มหากปั เปนประมาณในอวหิ าภูมทิ ั้งหลายกอน แลว จึงตง้ั อยูในกัปที่ ๖๐๐ มหากัปหรอื ที่ ๗๐๐มหากัป หรอื ท่ี ๘๐๐ มหากปั หรอื ที่ ๙๐๐ มหากปั หรอื ที่ ๑,๐๐๐ มหากปัอยางใดอยางหนง่ึ น่ันแหละ แลวจึงบรรลพุ ระอรหตั และปรินิพพานดว ยกิเลสปรนิ พิ พาน. จบอรรถกถาอปุ หจั จปรินิพพายีบุคคล [๕๔] อสงั ขารปรนิ พิ พายบี ุคคล บุคคลชือ่ วา อสงั ขาร-ปรนิ ิพพายีเปน ไฉน ? บคุ คลบางคนในโลกน้ี เพราะความสนิ้ ไปรอบแหง โอรมั ภาคิยสญั โญชนท้งั ๕ มกี าํ เนิดเปน อปุ ปาตกิ ะ ปรินพิ พานในเทวโลกชน้ั สทุ ธาวาสน้นั มอี ัน

พระอภิธรรมปฎก ธาตกุ ถา-บุคคลบัญญัติ เลม ๓ - หนา ท่ี 243ไมกลับมาจากโลกนั้นเปนธรรมดา บคุ คลนน้ั ยอมยงั อรยิ มรรคใหเกดิ ขน้ึ โดยไมล ําบาก เพ่อื ละสัญโญชนอ ันมีในเบือ้ งบน บคุ คลนี้เรียกวา อสังขาร-ปรินพิ าพย.ี [๕๕] สสงั ขารปรินิพพายีบคุ คล บคุ คลชื่อวา สสังขาร-ปรินิพพายเี ปน ไฉน ? บุคคลบางคนในโลกน้ี เพราะความสิ้นไปรอบแหงโอรมั ภาคยิ สัญโญชนทัง้ ๕ มกี าํ เนิดเปน อปุ ปาติกะ ปรินิพพานในเทวโลกช้นั สุทธาวาสน้ัน มีอันไมกลับมาจากโลกนนั้ เปน ธรรมดา บคุ คลน้นั ยอ มยงั อริยมรรคใหเ กิดขนึ้ โดยลําบาก เพอ่ื ละสญั โญชนอันมีในเบอ้ื งบน บคุ คลนเ้ี รียกวา สสังขาร-ปรินิพพายี. อรรถกถาอสงั ขารปรินิพพายี และสสังขารปรินพิ พายีบุคคล วินิจฉัยในนิเทศแหง พระอนาคามี ผูชอ่ื วา อสงั ขารปรนพิ พายีและสสงั ขารปรนิ พิ พายีบคุ คล. พระอนาคามีรปู ใด ไมก ระทําความเพยี รอยางแรงกลา โดยไมรวบรัด รีบเรง มีทกุ ขนอ ย บรรลพุ ระอรหัตแลวปรินิพพานดวยกิเลสปรนิ พิ พานตามธรรมดา ฉะนน้ั ทานจึงชือ่ วา อสังขาร-ปรินพิ พายี แปลวา ผูป รนิ พิ พานตามธรรมดา โดยมิไดกระทําความเพียรอยา งแรงกลา . สว นรปู ใด กระทาํ ความเพยี รอยางแรงกลา โดยรบี ดว นไมชักชา มคี วามทกุ ขย าก บรรลุพระอรหตั แลวปรินิพพาน ดวยกเิ ลสปรนิ พิ พานตามธรรมดา ฉะน้นั ทา นจึงเรียกวา สสังขารปรนิ ิพพายี แปลวา ผูปรนิ พิ พานตามธรรมดาดว ยการกระทาํ ความเพียรอยางแรงกลา . จบอรรถกถาอสังขารปรนิ ิพพายี และสสังขารปรินิพพายบี ุคคล

พระอภิธรรมปฎก ธาตกุ ถา-บคุ คลบญั ญัติ เลม ๓ - หนา ที่ 244 [๕๖] อทุ ธังโสโตอกนิฏฐาคามบี ุคคล บคุ คลช่ือวา อทุ ธงั โส-โตอกนิฏฐคามี เปน ไฉน ? บคุ คลบางคนในโลกนี้ เพราะความส้นิ ไปรอบแหงโอรัมภาคยิ สัญโญชนทั้ง ๕ มีกาํ เนิดเปนอปุ ปาติกะ ปรินิพพานในเทวโลกชัน้ สุทธาวาสนน้ั มอี ันไมก ลับมาจากโลกนัน้ เปน ธรรมดา บคุ คลน้ัน จุตจิ ากอตปั ปาไปสทุ สั สา จุติจากสุทสั สาไปสุทัสสี จตุ ิจากสทุ สั สีไปอกนฏิ ฐา ยอมยงั อริยมรรคใหเกิดขึ้นในอกนฏิ ฐา เพื่อละสญั โญชนเบอ้ื งบน บคุ คลน้ีเรียกวาอทุ ธงั โสโตอกนิฏฐคาม.ี [๕๗] บุคคลชอ่ื วา ผูปฏิบัติแลว เพ่ือทําใหแ จงซงึ่ โสดาปตติ-ผล เปนโสดาบัน เปน ไฉน ? บคุ คลผปู ฏบิ ตั แิ ลวเพ่ือละสัญโญชน ๓ ปฏบิ ัตแิ ลวเพื่อทาํ ใหแจงซึ่งโสดาปตติผล สญั โญชน ๓ อนั บุคคลใดละไดแ ลว บุคคลนนั้ เรยี กวา โสดาบนั . บุคคลปฏบิ ัติแลว เพือ่ ความเบาบางแหงกามราคะและพยาบาท ปฏบิ ัติแลวเพ่ือทาํ ใหแจงซึง่ สกทาคามผิ ล เพราะกามราคะและพยาบาทของบคุ คลใดเบาบางแลว บคุ คลนเ้ี รียกวา สกทาคาม.ี บุคคลปฏิบัตแิ ลว เพอื่ ละไมใ หเหลอื ซึ่งกามราคะและพยาบาท ปฏิบตั ิแลว เพ่อื ทาํ ใหแจงซึ่งอนาคามผิ ล กามราคะและพยาบาทอนั บุคคลใดละไดห มดไมมีเหลอื บคุ คลนน้ั เรียกวา อนาคามี. บุคคลปฏบิ ตั แิ ลว เพ่อื ไมใหเ หลอื ซึ่งรูปราคะ อรูปราคะ มานะอุทธจั จะ และอวชิ ชา ปฏบิ ตั ิแลวเพอ่ื ทาํ ใหแ จงซงึ่ อรหัตผล รูปราคะอรูปราคะ มานะ อุทธจั จะ อวชิ ชา อนั บคุ คลใดละไดหมดไมมีเหลอื บุคคลน้เี รียกวา อรหันต.

พระอภิธรรมปฎก ธาตกุ ถา-บุคคลบัญญตั ิ เลม ๓ - หนาที่ 245 อรรถกาอทุ ธังโสโตอกนฏิ ฐคามีบคุ คล วินจิ ฉัยในนิเทศแหงพระอนาคามี ผูช ่อื วา อทุ ธงั โสโตบุคคล. ตณทฺ าโสต กระแส คอื ตัณหา หรือวฏฏ โสต กระแส คือ วัฏฏะของพระอนาคามีน้นั มอี ยูในเบ้อื งบน เพราะเปนธรรมชาตินาํ ไปในเบอ้ื งบนฉะน้นั ทา นจึงช่ือวา อทุ ธฺ  โสโต แปลวา ผูมีกระแส คือ ตัณหา หรือวฏั ฏะในเบ้ืองบน. อีกอยา งหน่ึง มคฺคโสต กระแส คอื มรรคของพระอนาคามีน้ันมอี ยใู นเบ้อื งบน เพราะทา นไปสภู พเบ้อื งบนแลวจงึ ได เพราะฉะนนั้ ทา นจึงช่ือวา อทุ ธฺ  โสโต แปลวา ผมู ีกระแส คอื มรรคในเบอ้ื งบน. สองบทวา\" อกนฏิ  คจฉฺ ติ \" ไดแก ผมู ีปกติไปสู อกนฏิ ฐภพ. พงึ ทราบวนิ ิจฉยั ในคําวา \"อวหิ าโต จุโต อตปปฺ  คจฺฉต\"ิ เปน ตนดงั นีว้ า พระอนาคามีเมอ่ื อยูในอวิหาภูมติ ลอด ๑,๐๐๐ มหากัป ไมอาจบรรลุอรหัต จงึ ไปสูส ทุ สั สภี ูมิ. เมื่อทา นแมอ ยใู นสทุ สั สภี ูมิตลอด ๘,๐๐๐ มหากัปก็ไมอ าจบรรลพุ ระอรหตั ยอมไปสูอกนิฏฐภมู .ิ อธบิ ายวา เม่ือทานอยใู นอกนฏิ ฐภูมินน้ั ยอมใหอริยมรรคเกดิ ได. อน่งึ เพื่อตอ งการทราบประเภทของพระอนาคามเี หลา น้ี นักศกึ ษาพงึ ทราบหมวด ๔ แหง พระอนาคามี ผูชอ่ื วา อุทธฺ  โสโตอกนิฏ คาม.ี บรรดาพระอนาคามีเหลา น้ันองคใดชําระเทวโลกทั้ง ๔ ใหส ะอาดจาํ เดมิ แตอ วิหาภูมิ และไปสูอกนิฏฐภูมจิ ึงปรินิพพาน องคน ีช้ อื่ วา อุทฺธ โสโต-อกนฏิ  คาม.ี ก็องคใ ด ชาํ ระเทวโลกทั้ง ๓ เบือ้ งต่ําใหส ะอาด แลวดาํ รงอยใู นสทุ สั สเี ทวโลก จึงปรนิ พิ พาน องคน้ชี ื่อวา อทุ ธฺ  โสโต น อกนฏิ คามีแปลวา ผูม ีกระแสในเบอ้ื งบน แตไ มไปสอู กนฏิ ฐภูม.ิ

พระอภธิ รรมปฎก ธาตกุ ถา-บุคคลบญั ญตั ิ เลม ๓ - หนา ท่ี 246 องคใ ดไปสอู กนฏิ ฐภมู ินน่ั แหละ จากสุทสั สีเทวโลกนแี้ ลว จึงปรนิ ิพพานองคน ้ีชื่อวา นอุทธฺ  โสโตอกนิฏคามี ซงึ่ แปลวา ผูไ มม ีกระแสในเบื้องบน แตไ ปสอู กนฏิ ฐภมู ิ. ก็องคใดดํารงอยู ในเทวโลกท้งั ๔ เบื้องตํ่ายอมปรินิพพานในทน่ี ัน้ ๆน่นั แหละ องคน ้ชี ื่อวา นอุทธฺ  โสโต นอกนฏิ  คามี แปลวา ผไู มม ีกระแสในเบื้องบนและไมไปสอู กนิฏฐภูม.ิ เพราะฉะนัน้ เมื่อรวมพระอนาคามเี หลานั้น จึงมี ๔๘ จําพวก ดวยประการฉะนี้. ถามวา พระอนาคามี มี ๔๘ จาํ พวก เปนไฉน ? ตอบวา ในอวิหาภูมกิ อ น พระอนาคามผี เู ปนอนั ตรายปรนิ พิ พายี ๓จําพวก ผเู ปนอปุ หัจจปรินิพพายี ๑ จาํ พวก ผเู ปน อุทธังโสโต ๑ จําพวก, พระ-อนาคามีเหลานั้นรวมเปน ๑๐ จาํ พวก คือ เปน อสงั ขารปรินิพพายี ๕ จําพวกเปน สสังขารปรนิ ิพพายี ๕ จาํ พวก, ในอตัปปา สุทสั สา และสทุ ัสสภี ูมิ ก็เหมือนกัน คอื มี ๘ ภมู ิ ๆ ละ ๑๐ จาํ พวก รวมเปน ๔๐ จําพวก, แตพระอนาคามีผูชอ่ื วา อุทธงั โสโต ไมมีในชน้ั อกนิฏฐภมู ิ มแี ตพระอนาคามผี ูช ่ือวาอนั ตรายปรนิ พิ พายี ๓ จําพวก อปุ หจั จปรนิ ิพพายี ๑ จาํ พวก พระอนาคามีเหลาน้นั เปน ๘ จําพวก คอื เปน อสังขารปรนิ ิพพายี ๔ จาํ พวก เปนสสังขาร.ปรนิ พิ พายี ๔ จาํ พวก จึงรวมเปน พระอนาคามี ๔๘ จําพวก ดวยประการฉะนี.้ พระอนาคามเี หลา น้ันทัง้ ปวง อนั บณั ฑติ แสดงเปรยี บเทยี บแลว ดวยประกายไฟทเ่ี กิดจากเหล็ก ดังอุทาหรณต อ ไปน.้ี เหมือนอยา งวา เม่อื ชางเหลก็ ตีอยซู ่งึ ปลายเหลก็ แหลม ของมีดพับและมีดตัดเลบ็ ท่ีรอ นตลอดวันท่ีแทง เหลก็ ประกายไฟเกิดข้ึนแลว ก็ดับไป ฉันใด

พระอภธิ รรมปฎ ก ธาตุกถา-บุคคลบญั ญตั ิ เลม ๓ - หนา ท่ี 247พระอนาคามที ีเ่ หน็ ปานน้ี บัณฑติ พึงทราบวา ช่อื วา อันตราปรินพิ พายี พวกท่ี๑ ฉันน้ัน. ถามวา เพราะเหตไุ ร ? ตอบวา เพราะกิเลสดับไปไมเหลือ ในลําดับทเี่ กดิ ขน้ึ นน้ั แหละ. เม่ือชา งเหล็กตีอยูซ ึ่งปลายเหลก็ แหลมเปน ตนทีร่ อ นตลอดวัน อนั ใหญกวานนั้ ทแ่ี ทงเหล็ก ประกายไฟก็พงุ ข้ึนสูอากาศแลว ก็ดับไป ฉนั ใด พระ-อนาคามีที่เห็นปานนพ้ี งึ ทราบวาชือ่ วา อนั ตรายปรินิพพายี พวกท่ี ๒ ฉันนน้ั .ถามวา เพราะเหตไุ ร ? ตอบวา เพราะทา นมอี ายยุ ังไมถึงทา มกลางก็ปรนิ ิพพาน. เม่ือชางเหลก็ ตอี ยูซงึ่ ปลายเหล็กแหลมเปน ตน ท่รี อนตลอดวนั อันใหญกวานั้น (หมายถึงใหญข้ึนไปตามลาํ ดบั ) ที่แทงเหล็ก ประกายไฟพงุ ข้นึ สูอากาศแลววกกลบั ลงมาสูพ้นื ดินแตย งั มทิ นั กระทบกด็ ับไป ฉนั ใด พระอนาคามีท่เี ห็นปานนี้พึงทราบวา ชื่อวา อนั ตราปรนิ ิพพายี พวกที่ ๓ ฉนั นั้น. ถามวาเพราะเหตไุ ร ? ตอบวา เพราะถึงทา มกลางแหงอายแุ ลว ยังไมใกลจะทํากาลกริ ยิ า กป็ รนิ พิ พาน. เม่ือชางเหล็กตีอยซู ่ึงปลายเหลก็ แหลมเปน ตน ทรี่ อนตลอดวัน อนั ใหญกวา น้ันท่ีแทง เหล็ก ประกายไฟพุงขึ้นสอู ากาศแลวตกลงยังพนื้ ดนิ แตพ อกระทบกบั พื้นดนิ แลว กด็ ับไป ฉนั ใด พระอนาคามีเหน็ ปานนพ้ี ึงทราบวา ชอ่ื วา อุปหัจจ-ปรินพิ พายี ฉนั น้นั . ถามวา เพราะเหตไุ ร ? ตอบวา เพราะเขาใกลการกระทาํ กาลกิริยาแลว ไดยังความเปนไปแหง อายุใหส ิ้นไปแลว จึงปรนิ ิพพาน. เมื่อชางเหลก็ ตอี ยซู ึ่งปลายเหลก็ แหลมเปน ตน ทร่ี อ นตลอดวัน อนัใหญกวาน้นั ท่ีแทง เหล็ก สะเก็ดไฟกระเด็นตกไปท่ีหญา หรือทีไ่ มเล็กนอยแลวกเ็ ผาหญาหรอื ไมเ ล็กนอยแลวก็ดบั ไป ฉนั ใด พระอนาคามที เี่ ห็นปานนีพ้ ึงทราบ

พระอภิธรรมปฎ ก ธาตุกถา-บุคคลบัญญตั ิ เลม ๓ - หนาท่ี 248วา ชื่อวา อสังขารปรินิพพายี ฉนั นั้น. ถามวา เพราะเหตไุ ร ? ตอบวา เพราะปรนิ พิ พาน ดวยการประกอบความเพยี รมปี ระมาณเล็กนอ ย คอื ดวยการดําเนินไปอยา งสบาย. เมอ่ื ชางเหลก็ ตีอยูซ ่ึงเหล็กแหลมเปน ตน ท่ีรอ นตลอดวนั อนั ใหญกวานนั้ ทแ่ี ทงเหล็ก สะเก็ดไฟก็กระเดน็ ตกไปทก่ี องไม หรือหญา กองใหญแลวไหมกองไม หรอื หญา กองใหญน ้นั หมดแลว จงึ ดบั ไป ฉันใด พระอนาคามีผูเหน็ ปานน้พี งึ ทราบวา ช่อื วา สสงั ขารปรนิ พิ พายี ฉันน้นั . ถามวา เพราะเหตไุ ร ? ตอบวา เพราะปรนิ พิ พานดวยการทาํ ความเพยี รอยางแรงกลา คือดําเนนิ ไปอยา งหนักแนน . สะเกด็ ไฟอ่ืนอกี ยอมตกไปที่กองไม และกองหญา อนั ใหญน ั้น ครัน้เมอ่ื กองไมห รอื กองหญา อัน ใหญน นั้ ถูกไพไหมอ ยู ถา นทป่ี ราศจากเปลวไฟกด็ ีเปลวไฟกด็ ี เกิดข้นึ แลวก็เผาไหมโ รงของนายชางเหล็ก แลวก็ลามไปไหมบา นหมูบาน เมอื ง และแวนแควน จดฝงสมุทรจึงดับไป ฉันใด พระอนาคามีผูเหน็ ปานนีพ้ งึ ทราบวา ชือ่ วา อทุ ธงั โสโตอกนฏิ ฐคามี ฉนั นน้ั . ถามวาเพราะเหตไุ ร ? ตอบวา เพราะทานกระทําการแผขยายพืชในภพเปน อเนกแลวจึงกระทาํ ใหสิ้นสุดลงดว ยการบรรลุธรรมท่ถี ูกตอ งแลวจงึ ปรนิ ิพพาน. ก็แผนเหล็กนั่นแหละมเี ลก็ บางใหญบ า ง อันตางดวยปลายเหลก็ แหลมเปน ตนเพราะฉะนัน้ ทา นจึงกลาวไวใ นพระสูตร ในวาระท้งั หมดวา \"อโยกปลฺล \"แผนเหล็ก ดังนี.้ เหมือนอยา งคําทพ่ี ระองคตรสั ไววา \"กภ็ ิกษทุ ัง้ หลาย ภิกษใุ นพระ-ธรรมวินัยน้ี เปน ผปู ฏบิ ัตอิ ยา งนี้แลว ยอ มไดเ ฉพาะซึง่ อุเบกขา คือ ความวางเฉยวา อุเบกขาไมพึงมี และจะไมพงึ มแี กเ รา ไมไ ดม แี ลว และจักไมม แี กเรา สิ่งใด

พระอภิธรรมปฎก ธาตุกถา-บุคคลบญั ญัติ เลม ๓ - หนา ที่ 249มีอยู เรายอมละสงิ่ นนั้ เธอนัน้ ยอมไมย นิ ดใี นภพ ยอ มไมย นิ ดีในการเกิด ลาํ ดับน้ัน เธอยอ มเหน็ บทอนั ยิ่งอนั สงบแลว ดวยสมั มปั ปญ ญา (ปญญาอันชอบ)กบ็ ทน้ันนั่นแล อนั เธอกระทําใหแจงแลว ซึ่งสิ่งทัง้ ปวงโดยประการทัง้ ปวง แตเธอยังละมานานสุ ัยทัง้ ปวงไมไ ดโดยประการทั้งปวง ยงั ละภวราคานสุ ัยท้ังปวงโดยประการทัง้ ปวงไมได ยงั ละอวิชชานุสัยท้งั ปวงโดยประการทงั้ ปวงไมได เธอนน้ั ชื่อวา อนั ตราปรินพิ พายี เพราะความส้ินไปรอบแหง โอรัมภาคิยสังโยชนทง้ั ๕ แลว ตรัสวา คกู อนภิกษุท้ังหลาย เปรยี บเหมอื นเมื่อบคุ คลทุบอยูซ่งึ แผน เหล็กอนั รอ นตลอดวนั ประกายไฟเกิดข้ึนแลวกพ็ งึ ดับไป แมฉันใดดกู อนภิกษทุ ้ังหลาย ภกิ ษเุ ปน ผูป ฏบิ ัติอยูอ ยางนี้ ฯลฯ ยอ มเปน ผูช่ือวาอันตรา-ปรินิพพายี ฉันน้นั เหมอื นกัน. ภิกษุทัง้ หลาย ก็ภิกษใุ นพระธรรมวินยั นเ้ี ปนผูปฏิบตั แิ ลวอยา งนี้ ฯลฯช่อื วา อนั ตราปรนิ พิ พายี ภิกษทุ งั้ หลาย เปรยี บเหมือนเมอ่ื บุคคลทุบอยซู ่งึแผน เหล็กอนั รอนตลอดทงั้ วัน ประกายไฟเกดิ แลว บังเกิดแลว ก็พึงดับไปแมฉนั ใด ภกิ ษุท้ังหลาย ภกิ ษเุ ปนผูปฏบิ ัตอิ ยอู ยางนี้ ฯลฯ ยอ มเปนผชู ่ือวาอนั ตราปรนิ พิ พายี ฉนั นน้ั เหมือนกนั . ภิกษทุ ัง้ หลาย กภ็ ิกษุในพระธรรมวินัยน้ีเปนผูปฏบิ ัตอิ ยอู ยางนี้ ฯลฯยอมเปนผูชอื่ วา อันตรายปรินพิ พายี ภิกษุท้งั หลาย เปรียบเหมือนบุคคลทุบอยซู ่ึงแผนเหลก็ ทง้ั หลายท่ีรอ นตลอดทัง้ วนั สะเก็ดไฟบังเกิดแลว ยังไมทันกระทบพื้นดนิ ก็พึงดบั ไปแมฉนั ใด ภกิ ษทุ ้ังหลาย ภิกษุเปน ผูป ฏิบัติอยอู ยางน้ียอมชอ่ื วา อันตราปรนิ พิ พายี ฉนั นัน้ น่นั เทียว. ภกิ ษุท้งั หลาย กภ็ กิ ษุในพระธรรมวินยั น้ี เปนผปู ฏิบัตอิ ยูอยา งน้ียอมช่ือวาอุปหัจจปรินพิ พายี ภิกษทุ ั้งหลาย เปรียบเหมือนเม่อื บคุ คลทุบอยู

พระอภธิ รรมปฎก ธาตุกถา-บุคคลบัญญัติ เลม ๓ - หนาที่ 250ซึง่ แผน เหล็กทรี่ อ นตลอดท้ังวัน สะเก็ดไฟบังเกิดแลว เกิดขึน้ แลวกระทบกับพน้ื ดนิ แลว พงึ ดับไปฉนั ใด ภกิ ษุทงั้ หลาย ภิกษุเปน ผูป ฏิบตั ิอยูอยางนี้ ฯลฯยอมชอ่ื วา อปุ หัจจปรินพิ พายี. ภิกษุท้งั หลาย กภ็ ิกษใุ นพระธรรมวนิ ยั น้ีเปนผปู ฏิบตั ิอยอู ยา งน้ี ฯลฯยอมชือ่ วา อสงั ขารปรนิ ิพพายี เพราะความส้นิ ไปรอบแหงโอรัมภาคิยสังโยชนท้ัง ๕ ภิกษุท้งั หลาย เปรยี บเหมอื นบคุ คลทบุ อยซู ึง่ แผนเหลก็ ทรี่ อนตลอดวันสะเก็ดไฟบังเกดิ แลว เกิดขึ้นแลวพงึ กระเดน็ ไปตกอยทู ่ีกองหญา หรือกองไมเล็กนอ ย สะเก็ดไฟนน้ั พึงใหไ ฟเกดิ บา งใหควันเกดิ บา งในทน่ี ้ัน ครนั้ ใหไฟเกิดแลว ก็ดี ใหควันเกดิ แลว กด็ ี แลวกไ็ หมก องไมก องหญาเลก็ นอยนนั้ นนั่แหละจนหมดสิน้ แลว พงึ ดบั ไปเองเพราะส้ินเชอื้ แมฉันใด ภกิ ษทุ ้งั หลาย ภกิ ษุเปนผปู ฏิบตั อิ ยอู ยางนี้ ฯลฯ ยอ มชอ่ื วา อสังขารปรนิ ิพพายี เพราะความสน้ิ ไปรอบแหงโอรมั ภาคิยสงั โยชนท้งั ๕ ฉนั นัน้ เหมือนกนั . ภิกษทุ งั้ หลาย ก็ภิกษุในพระธรรมวนิ ัยน้ี เปน ผปู ฏบิ ตั อิ ยอู ยา งน้ียอมชอื่ วา สังขารปรนิ ิพพายี ภิกษทุ ง้ั หลาย เปรยี บเหมือนเมอ่ื บคุ คลทบุ แผนเหล็กทีร่ อ นตลอดวัน ประกายสะเกด็ ไฟบงั เกิดแลว เกิดข้ึนแลว พงึ ตกไปที่กองหญา และกองไมอ นั ไพบูลยแลวพงึ ใหไฟเกิดข้นึ บาง ใหค วันเกดิ ขน้ึ บา ง ฯลฯแลว ก็ไหมก องหญาและกองไมอ นั ไพบูลยน น้ั น่นั แหละจนส้นิ แลวกพ็ งึ ดับไปเพราะสิน้ เช้ือ ฉนั ใด ภิกษทุ งั้ หลาย ภกิ ษปุ ฏิบตั อิ ยอู ยา งนี้ ฯลฯ ชอ่ื วาสสงั ขารปรินพิ พายี. ภิกษุทงั้ หลาย ก็ภกิ ษุในพระธรรมวินยั น้ี เปน ผูปฏบิ ตั ิอยูอยางนี้ ฯลฯยอ มเปน ผูช่อื วา อุทธังโสโตอกนฏิ ฐคามี เพราะความสิ้นไปรอบแหงโอรัม-ภาคยิ สังโยชนทั้ง ๕ ภิกษทุ งั้ หลาย เปรยี บเหมือนเมือ่ บุคคลทบุ อยซู งึ่ แผน เหลก็อันรอ นตลอดวัน ประกายสะเก็ดไฟบังเกดิ แลว เกิดขึ้นแลว พงึ ตกไปท่ี


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook