พระอภธิ รรมปฎก ธาตกุ ถา-บคุ คลบัญญัติ เลม ๓ - หนา ที่ 251กองหญา หรอื กองไมอ นั ใหญแลว พงึ ใหไ ฟเกิดบางใหควันเกดิ บาง ฯลฯ แลวกไ็ หมก องหญา กองไมอันใหญน ัน้ นัน่ แหละ และพงึ ลามไปไหมกอไมบา งปา ไมบ าง คร้ันไหมแ ลวก็มาสภู าคพ้ืนอันเปน พืชสด หรอื ถึงหนทาง หรือถงึ ศลิ า หรอื ถึงน้าํ หรอื ถงึ สถานอันเปน ที่รื่นรมยแ ลวกด็ ับไป เพราะขาดเชื้อฉันใด ภิกษุทงั้ หลาย ภกิ ษุเปนผปู ฏิบตั อิ ยู อยางน้ี ฯลฯ ยอ มเปน ผูช่อื วาอุทธงั โสโตอกนิฏฐคามี ฉนั น้ันเหมอื นกนั . นเิ ทศแหง พระอรยิ บคุ คลผปู ฏิบัตใิ นการกระทําโสดาปต ติผลใหแจงเปนตน มเี นอื้ ความตื้นเทียว. คําวา \"อย วจุ จฺ ติ\" ความวา บคุ คลนี้ คอื ผูเห็นปานนที้ านเรยี กวาพระอรหันต. กค็ ําวา พระอรหนั ตในทน่ี ้ี พงึ ทราบวามี ๑๒ จําพวก. ถามวา มี ๒ จําพวก อยางไร. ตอบวา กว็ ิโมกขมอี ยู ๓ อยา ง คือ สุญญตวโิ มกข ๑ อนิมติ ตวโิ มกข๑ อปั ปณิหิตวโิ มกข ๑ บรรดาวโิ มกขเ หลานนั้ พระขีณาสพผูหลดุ พน ดว ยสุญญตวโิ มกขมี ๔ จําพวก ดว ยอาํ นาจปฏปิ ทา ๔ อยาง และพระขณี าสพผหู ลุดพน ดว ยอนิมติ ตวโิ มกขห รอื อปั ปณหิ ิตวโิ มกข ก็เหมอื นกนั เพราะฉะน้นับณั ฑิตพงึ ทราบวา พระอรหันตจึงมี ๑๒ จาํ พวก ดว ยประการฉะน้.ี ก็บุคคลเหลา น้ี มปี ระมาณเทานค้ี อื คือ พระสกทาคามี ๑๒ จําพวกซ่ึงเหมือนพระอรหันต ๑๒ จําพวก พระโสดาบนั ๒๔ จาํ พวก คอื พระโสดา-บัน ๑๒ จาํ พวก คูณดวยธุระ ๒ คอื สัทธาธรุ ะ ๑ ปญ ญาธุระ ๑ และพระ-อนาคามี ๔๘ จําพวก ทงั้ หมดเหลา นี้ เม่อื ทา นพนจากโลกนี้แลว ยอมไมเกดิ ในลทั ธภิ ายนอกพระศาสนา ยอมเกดิ ขึน้ ในพระศาสนาแหง พระสพั พัญู-พทุ ธเจานน่ั เทยี ว ดงั นีแ้ ล. จบอรรถกถาเอกกนิทเทส วา ดว ยบุคคล ๑ จําพวกแตเพยี งน้ี
พระอภธิ รรมปฎก ธาตกุ ถา-บคุ คลบญั ญัติ เลม ๓ - หนาที่ 291จรงิ วา นคี้ วามดับทุกข ยอ มรูช ัดตามความเปน จรงิ วา น้ขี อ ปฏบิ ัตใิ หถงึ ความดบั ทกุ ข เหมือนบรุ ษุ มีจกั ษุ พึงเหน็ รูปทงั้ หลายในระหวางท่ีฟา แลบในเวลามืดกลางคืน ชอ่ื แมฉ ันใด บุคคลบางคนในโลกนยี้ อ มรชู ัดตามความเปนจรงิวา นี้ทกุ ข ยอมรชู ดั ตามความเปนจรงิ วา นเี้ หตุเกดิ ข้นึ แหงทกุ ข ยอมรูชดั ตามความเปนจริงวา นีค้ วามดับทกุ ข ยอ มรชู ดั ตามความเปน จริงวา นีข้ อปฏิบตั ิใหถึงความดบั ทุกข ก็ฉันนน้ั บคุ คลน้เี รยี กวา ผูมีจติ เหมือนฟา แลบ. ๓. วชริ ูปมจิตตบคุ คล บุคคลผูมจี ติ เหมอื นฟาผาเปน ไฉน ? บุคคลบางคนในโลกน้ี รยู ิง่ แลวดวยตนเอง ทําใหแจง แลว เขาถึงแลว ซ่ึงเจโตวิมุตติ ซ่งึ ปญญาวมิ ุตติ อนั หาอาสวะมไิ ด เพราะความส้ินไปแหง อาสวะทัง้ หลายแลว สําเร็จอริ ยิ าบถอยูใ นทฏิ ฐธรรม เหมอื นแกว มณหี รือแผน หิน อะไรชื่อวา ไมแตกยอ มไมมีเม่ือฟา ผา ลงไป ชื่อแมฉันใด บุคคลบางคนในโลกนี้ รยู ่ิงแลว ดวยตนเอง ทาํ ใหแ จงแลว เขา ถึงแลว ซึง่ เจโตวมิ ตุ ติซึ่งปญ ญาวิมตุ ติ อันหาอาสวะมไิ ด เพราะความสน้ิ ไปแหงอาสวะทง้ั หลายแลวสาํ เร็จอิริยาบถอยูในทิฏฐธรรมก็ฉันน้ัน บุคคลนีเ้ รยี กวา ผูมีจิตเหมอื นฟา ผา . อรรถกถาอรุกปู มาจิตตบคุ คลเปนตน . บทวา \"อภสิ ชชฺ ติ\" ไดแก ยอ มของ. บทวา \"กปุ ฺปต\"ิ ไดแ ก ยอมกาํ เริบ ดวยอาํ นาจความโกรธ. บทวา \"พฺยาปชชฺ ต\"ิ ไดแ ก ยอ มละปกติภาวะ จึงชอ่ื วา เปนผเู นา.
พระอภิธรรมปฎ ก ธาตุกถา-บุคคลบญั ญตั ิ เลม ๓ - หนาท่ี 292 บทวา \"ปตติ ฺถิยต\"ิ ไดแ ก ยอมถงึ ความเปน ผูก ระดาง และความเปนผหู ยาบชา . บทวา \"โกป \" ไดแ ก ความโกรธทีม่ กี าํ ลงั ออ น. บทวา \"โทส \" ไดแก โทสะทีม่ กี ําลังมากกวา กวา ความโกรธน้ันดว ยอํานาจการประทษุ ราย. บทวา \"อปฺปจฺจย \" ไดแ ก โทมนัส คือ ความเสียใจทม่ี อี าการอนไมย ินด.ี บทวา \"ทุฏารุโก\" ไดแก แผลเรอื้ รงั . บทวา \"กฏเ น\" ไดแก ดวยปลายทอนไม. บทวา \"กถลาย\" ไดแก ดว ยกระเบื้อง. บทวา \"อาสว เทต\"ิ ไดแก ยอมไหลออกมากมาย. ก็ตามธรรมดาแผลเรอื้ รังน้ัน ยอ มไหลออกซ่ึงสิ่งปฏกิ ลู ๓ อยาง คือ ปุพพฺ นา้ํ หนองโลหติ นาํ้ เลอื ด ยสู นา้ํ เหลือง กแ็ ผลนั้น อะไร ๆ กระทบแลว สงิ่ ปฏิกูลเหลา นนั้ ยอ มไหลออกมามากมาย. คําวา \"เอวเนว โข\" นี้มีการเปรียบเทยี บดวยอปุ มา ดังตอไปน.้ี ก็บคุ คลผูมักโกรธ ทานเปรยี บเหมอื นแผลเรือ้ รัง (แผลเนา) ความประพฤติแมของผมู กั โกรธ เปรยี บเหมอื นการไหลออกของสงิ่ ปฏิกูล ๓ อยาง มีน้ําหนองเปน ตนตามธรรมดาของตน ความประพฤตดิ รุ าย เปรยี บเหมือนซากศพท่บี วมพองขึ้นตามธรรมดาของตน ถอยคาํ ของผูมกั โกรธนั้น แมมปี ระมาณเล็กนอ ย ทานก็เปรียบเหมอื นการกระทบกระท่ังดว ยทอ นไม หรอื กระเบื้องบณั ฑติ พงึ เห็นภาวะ คอื การพองขึน้ โดยประมาณมากมายของผมู ักโกรธนัน้ดวยความคิดอยา งนีว้ า \"บุคคลน้ี พดู อยา งนี้ ช่ือผูเ ชน กบั เรา\" ทา นเปรียบเหมือนการไหลออกมากมายแหง ปฏกิ ลู ทง้ั หลาย.
พระอภิธรรมปฎก ธาตกุ ถา-บุคคลบญั ญัติ เลม ๓ - หนา ท่ี 293 สองบทวา \"อย วจุ ฺจต\"ิ ความวา บคุ คลน้ี คือ ผูเหน็ ปานนี้ ทา นเรียกวา อรุกปู มจติ ฺโต แปลวา ผูมีจิตเปรียบดว ยแผลเรื้อรงั อธิบายวา ผูมจี ิตเชน กับแผลเกา (แผลเนา) บทวา \"รตตฺ นฺธการตมิ ิสาย\" ความวา ในความมดื ทบึ อันกระทําความมดื โดยหามการเกิดขึน้ แหงจกั ขุวิญญาณในเวลากลางคืน. บทวา \"วชิ ชนตฺ รกิ าย\" ไดแ ก ในขณะแหงฟา แลบเปนไป. แมในคําวา วชิ ชฺ นตฺ รกิ าย น้ี พงึ ทราบการเปรียบเทียบดว ยอุปมา ดังตอไปน้.ี พระโยคาวจร คือ ผหู ยงั่ ลงสูความเพียร บณั ฑติ พึงเห็นเหมือนบุรุษผมู จี กั ษดุ ี กเิ ลสท้ังหลายทพี่ ระโสดาปต ติมรรคพึงประหาน เปรียบเหมอื นความมืด การเกิดข้ึนแหง โสดาปตตมิ รรคญาณ เปรยี บเหมอื นฟาแลบ การเหน็พระนิพพานในขณะแหง โสดาปต ติมรรค เปรียบเหมอื นการเหน็ รูปโดยรอบของบุรุษผูม จี กั ษุในระหวางฟาแลบ. กเิ ลสท้ังหลายท่ีพระสกทาคามิมรรคพึงประหาน เปรยี บเหมือนการทวมทน คือ การปกคลมุ แหงความมดื อกี , ความเกดิ ขึ้นแหงสกทาคามมิ รรค เปรยี บเหมอื นฟา แลบเปน ไปอีก, การเห็นพระ-นพิ พานในขณะแหง สกทาคานมิ รรค เปรียบเหมือนการเห็นรูปโดยรอบของบุรุษผูมีจกั ษใุ นระหวา งฟาแลบ. กเิ ลสทัง้ หลายท่ีพระอนาคามมิ รรคพึงประหานเปรียบเหมอื นกบั การทว มทน คือ การปกคลุมดว ยความมดื อกี , ความเกดิ ขึน้แหงอนาคามิมรรคญาณ เปรียบเหมือนฟาแลบเปนไปอกี , การเห็นพระนพิ -พานในขณะแหงอนาคามมิ รรคเปรียบเหมือนการเหน็ รูปโดยรอบของบุรษุ ผูมีจักษุในระหวางฟาแลบ. สองบทวา \"อย วจุ จฺ ติ\" ความวา บุคคลน้ี คือ ผูเห็นปานน้ีทานเรียกวา วชิ ชฺ ูปมจติ ฺโต แปลวา ผมู จี ติ เปรยี บดวยฟา แลบ. อธบิ ายวาผูมจี ติ เชนกบั ฟาแลบเพราะความสวา งในเวลาท่ปี ระหานมเี ลก็ นอย.
พระอภิธรรมปฎก ธาตุกถา-บุคคลบญั ญัติ เลม ๓ - หนา ที่ 294 ในความทบี่ ุคคลมีจิตเปรียบดวยฟา ผา มกี ารเปรยี บเทยี บดวยอปุ มาดงั ตอไปนี้ กบ็ ัณฑติ พงึ เห็นญาณในอรหัตตมรรค เปรยี บเหมอื นฟา ผา , กิเลสทง้ั หลายทอี่ รหัตมรรคพงึ ประหาน เปรียบเหมือนปุมแกวมณหี รอื ปุม กอนหนิ ,0บณั ฑิตพึงเหน็ ความท่กี ิเลสทั้งหลายถูกตดั ขาดไปดว ยอรหตั มรรคญาณ เปรียบเหมือนการไมมแี หงภาวะทปี่ ุม แกวมณีหรอื ปมุ กอนหินท่ีถกู ฟาผา เจาะทาํ ลายตัดขาดแลว ไมเจริญขึน้ , บัณฑติ พงึ เหน็ ความที่กเิ ลสท้งั หลายถกู อรหตั มรรคตัดขาดแลว ไมเกิดข้ึนอีก เปรยี บเหมอื นปุมแกวมณหี รอื ปมุ กอนหนิ ทถ่ี กู ฟา ผา เจาะทาํ ลายขาดไปแลว ไมบรบิ รู ณไดอ กี . สองบทวา \"อย วจุ จฺ ติ\" ความวา บุคคลน้ี คอื ผเู หน็ ปานนี้ ทา นเรยี กวา วชิรูปมจิตโฺ ต แปลวา ผูมจี ิตอปุ มาดวยฟา ผา อธิบายวา ผมู ีจติ เชนกบั ดว ยฟา ผา เพราะความเปนผูสามารถเพ่อื การกระทําการเพกิ ถอนขึ้นซง่ึ กิเลสท้ังหลาย. [๙๐] ๑. อนั ธบุคคล บุคคลผบู อด เปน ไฉน ? บุคคลพงึ ไดโ ภคะทีต่ นยงั ไมได หรอื พึงกระทําโภคะที่ตนไดแลวใหเจริญดวยจกั ษเุ ชน ใด จักษเุ ชน นั้น ยอมไมมีแกบ ุคคลบางคนในโลกนี้บุคคลพงึ รูธรรมท้ังหลายท่ีเปน กุศลและอกุศล รธู รรมทั้งหลายทมี่ โี ทษและไมไมม โี ทษ รธู รรมท่ีเลวและประณตี รูธ รรมทั้งหลายทีม่ ีสวนเปรียบ โดยเปนธรรมดาํ และธรรมขาว ดวยจกั ษุเชน ใด แมจ ักษเุ ชนน้นั ก็ไมมีแกบุคคลนัน้บุคคลนเ้ี รียกวา บุคคลผูบอด.
พระอภิธรรมปฎ ก ธาตกุ ถา-บคุ คลบญั ญัติ เลม ๓ - หนาที่ 295 ๒. เอกจกั ขบุ คุ คล บุคคลผมู ตี าขางเดียว เปน ไฉน ? บคุ คลพึงไดโภคะทต่ี นยงั ไมไ ด หรือพึงกระทําโภคะที่ตนไดแลวใหเจรญิ ดวยจักษเุ ชน ใด จักษเุ ชนน้ันยอ มมีแกบ ุคคลบางคนในโลกนี้ บคุ คลพึงรูธรรมท้งั หลายทเี่ ปน กุศลและอกุศล รูธรรมท้งั หลายทม่ี โี ทษและไมมโี ทษรูธรรมทั้งหลายที่เลวและประณีต รูธรรมทัง้ หลายที่มสี วนเปรียบโดยเปน ธรรมดําและธรรมขาว ดว ยจักษุเชน ใด แมจ กั ษุเชนน้นั กย็ อมไมม ีแกบ คุ คลเชนนัน้ บคุ คลนี้เรยี กวา คนมตี าขา งเดยี ว. ๓. ทวจิ ักขุบุคคล บุคคลผูม ีตาสองขาง เปนไฉน ? บุคคลพึงไดโภคะท่ีตนยังไมไ ด หรอื พึงกระทาํ โภคะท่ตี นไดแลวใหเจรญิ ดว ยจักษุเชนใด จกั ษุเชนน้นั ยอมมแี กบคุ คลบางคนในโลกนี้ บุคคลพึงรูธรรมท้ังหลายทเ่ี ปน กศุ ลและอกุศล รธู รรมทัง้ หลายท่ีมโี ทษและไมม ีโทษรธู รรมท้ังหลายทีเ่ ลวและประณตี รูธรรมทงั้ หลายที่มีสวนเปรยี บโดยเปน ธรรมดาํและธรรมขาว ดวยจักษเุ ชนใด แมจ กั ษเุ ชน นนั้ ก็ยอ มมีแกบุคคลนัน้ บุคคลนี้เรียกวา คนมตี าสองขา ง. อรรถกถาอนั ธบุคคลคอื บุคคลผูบอดเปน ตน ขอวา \"ตถารูป จกขฺ ุ น โหติ\" ความวา จักษุ คือ ปญ ญาที่มีชาตอิ ยา งนัน้ มสี ภาวะอยางนั้น ยอมไมม แี กเ ขา. สองบทวา \"ผาตึ กเรยฺย\" ไดแก พงึ กระทําการเผยแผ คอื ทาํ ใหเจรญิ .
พระอภธิ รรมปฎ ก ธาตุกถา-บุคคลบญั ญัติ เลม ๓ - หนา ที่ 296 บทวา \"สาวชชฺ านวชฺเช\" ไดแ ก ธรรมทีม่ ีโทษ และหาโทษมไิ ด. บทวา \"หีนปณเี ต\" ไดแ ก ไมยิง่ และไมส งู สุด. บทวา \"กณหฺ สุกกฺ สปฺปฏภิ าเค\" ความวา ธรรมทั้งฝา ยดําทั้งฝา ยขาวนนั่ แหละทานเรยี กวา สัปปฏิภาค แปลวา มีสว นเปรยี บ ดวยสามารถแหงอันปฏิปก ษ เพราะมกี ารหามซงึ่ กนั และกนั . กใ็ นท่นี ้มี ีขอสงั เขปดงั นว้ี าบุคคลควรรกู ศุ ลธรรมทั้งหลายวาเปน กศุ ลธรรมทัง้ หลาย เปนตน ดว ยปญญาจกั ษุใด, ควรรูอกุศลธรรมทัง้ หลายวา เปน อกศุ ลธรรมทง้ั หลาย เปนตน ดว ยปญญาจักษุน้ัน แมใ นธรรมทีม่ โี ทษ เปน ตน ก็นัยนีเ้ หมอื นกัน. กบ็ ณั ฑติ พงึ ทราบเนอื้ ความแมใ นภาวะที่เหลือโดยนัยน้วี า บคุ คลพึงทราบดวยปญญาจกั ษุใดวา \"บรรดาธรรมที่มีสว นเปรยี บดว ยธรรมฝา ยดาํ และธรรมฝา ยขาว สําหรบั ธรรมฝา ยดํามสี วนเปรยี บดว ยธรรมฝายขาว สาํ หรบัธรรมฝา ยขาวกม็ สี วนเปรยี บดวยธรรมฝายดํา\" ดงั นี้ จักษุ คอื ปญญา แมเหน็ ปานนยี้ อ มไมมีแกเ ขา. สองบทวา \"อย วจุ จฺ ติ\" ความวา บุคคลนี้ คือ ผเู ห็นปานนี้ทานเรียกวา อนฺโธ แปลวา ผูบอด เพราะไมมปี ญ ญาจกั ษอุ ันเปนเครือ่ งรวบรวมโภคทรพั ยอันเปน ไปในทิฏฐธมั มกิ ภพ คือ ภพน้ี และไมมีปญญาจักษุอนั เปนเครือ่ งยังประโยชนใหส ําเรจ็ ในสมั ปรายิกภพ คอื ภพหนา . บุคคลจาํ พวกท่ี ๒ทา นเรยี กวา เอกจกฺขุ แปลวา ผมู ตี าขา งเดียว เพราะมปี ญญาจกั ษุอนั เปนเครอ่ื งรวบรวมหาโภคทรพั ยไ ดในภพนี้ แตไ มม ีปญ ญาจกั ษุอนั เปน เคร่ืองยังประโยชนใหสาํ เร็จในภพหนา. บคุ คลจาํ พวกท่ี ๓ ทานเรยี กวา ทวฺ ิจกฺ ขุแปลวา ผูมตี าทัง้ ๒ ขา ง เพราะมปี ญ ญาจกั ษอุ นั เปน เครือ่ งยังประโยชนใ หสาํ เรจ็ ในภพเบื้องหนา.
พระอภิธรรมปฎ ก ธาตกุ ถา-บุคคลบัญญัติ เลม ๓ - หนาท่ี 297 [๙๑] ๑. อวกชุ ปญญบคุ คล บคุ คลผมู ปี ญ ญาดงั หมอควํ่าเปน ไฉน ? บคุ คลบางคนโนโลกน้ี ไปสอู ารามเพ่อื ฟง ธรรมในสาํ นักของภกิ ษุทั้งหลายเนอื ง ๆ พวกภิกษยุ อ มแสดงธรรม งามในเบื้องตน งามในทามกลางงามในทีส่ ดุ พรอ มท้งั อรรถพรอมท้งั พยัญชนะแกบคุ คลนน้ั ยอ มประกาศพรหมจรรยบ ริสทุ ธบ์ิ ริบรู ณส ้ินเชงิ บคุ คลน้ันพึงนั่งแลวท่ีอาสนะนน้ั ยอ มไมใ สใจถงึ เบือ้ งตนเลย ยอมไมใสใจถึงทา มกลาง ยอมไมใ สใ จถงึ ทส่ี ุด แมลุกออกจากอาสนะแลว ก็ไมใสใ จถงึ เบ้อื งตน ไมใ สใ จถงึ ทา มกลาง ไมใ สใจถงึ ท่ีสุดแหง กถาน้นั เลย เหมือนน้ําท่ีเขาเทใสห มอ ทค่ี วํา่ ไว ยอ มไหลไป ยอ มไมขังอยู ชอ่ื แมฉนั ใด บคุ คลบางคนในโลกนี้ ไปสูอารามเพ่อื ฟง ธรรมในสาํ นกัของภกิ ษทุ ง้ั หลายเนอื ง ๆ พวกภิกษุยอมแสดงธรรม งามในเบื้องตน งามในทา มกลาง งามในท่สี ดุ พรอมทั้งอรรถ พรอ มทังพยญั ชนะแกบุคคลนนั้ ยอมประกาศพรหมจรรยบ ริสทุ ธิ์บรบิ รู ณส ิน้ เชงิ บุคคลนั้นนง่ั แลว ทอ่ี าสนะนน้ั ยอ มไมใสใ จถึงเบื้องตน ยอมไมใสใจถงึ ทามกลาง ยอ มไมใ สใจถงึ ทีส่ ดุ แหงกถานน้ัเลย แมลกุ จากอาสนะน้นั แลว ก็ไมใ สใ จถึงเบื้องตน ไมใสใจถึงทา มกลาง ไมใสใ จถงึ ทส่ี ดุ แหง กถาน้นั เลย กฉ็ ันนั้น บุคคลนเี้ รยี กวา มปี ญ ญาดงั หมอ ควํา่ ๒. อุจจงั คปญ ญบคุ คล บคุ คลผมู ีปญญาดงั หนาตกัเปนไฉน ? บุคคลบางคนในโลกน้ี ไปสูอารามเพ่อื ฟงธรรมในสํานักของภกิ ษุทัง้ หลายเนอื ง ๆ พวกภิกษยุ อ มแสดงธรรม งามในเบ้ืองตน งามในทามกลางงามในทีส่ ดุ พรอ มทง้ั อรรถ พรอมทัง้ พยัญชนะแกบ ุคคลนั้น ยอ มประกาศพรหมจรรยบ รสิ ทุ ธิ์บรบิ รู ณสิ้นเชงิ บุคคลนนั้ น่งั แลว ทอี่ าสนะนน้ั ยอมใสใจถงึ ทามกลางบาง ยอ มใสใ จถึงท่ีสดุ บาง แตล ุกจากอาสนะนัน้ แลว ไมใ สใจถึง
พระอภิธรรมปฎก ธาตุกถา-บุคคลบัญญัติ เลม ๓ - หนา ที่ 298เบอื้ งตน ไมใ สใ จถงึ ทามกลาง ไมใสใ จถึงที่สุดแหง กถานนั้ เลย เหมือนของเคย้ี วนานาชนิด เชน งา ขา วสาร ขนมตม พุทรา วางเรียงรายอยแู ลว แมบนตักของบุรษุ เม่อื เขาเผลอตวั ลกุ จากอาสนะ พงึ กระจัดกระจายไป ชอื่ แมฉนั ใด บุคคลบางคนในโลกน้ี ไปสูอารามเพ่อื ฟง ธรรมในสาํ นกั ของภิกษุท้งัหลายเนอื ง ๆ ภิกษทุ งั้ หลาย ยอ มแสดงธรรมงามในเบื้องตน งามในทา มกลางงามในที่สุด พรอ มท้ังอรรถ พรอ มท้ังพยัญชนะ แกบ คุ คลนน้ั ยอมประกาศพรหมจรรยบ รสิ ุทธบิ์ ริบูรณส น้ิ เชิง บคุ คลนัน้ นัง่ แลวที่อาสนะน้ัน ยอมใสใจถงึ เบ้ืองตน บา ง ฯลฯ ยอมใสใ จถึงทสี่ ุดบา ง แหง กถานัน้ แตล กุ ออกจากอาสนะนน้ั แลว ยอมไมใ สใ จถึงเบอื้ งตน ยอมไมใ สใจถึงทามกลาง ยอมไมใสใจถงึ ท่ีสุดแหงกถานนั้ เลย ก็ฉนั นั้น บุคคลนเี้ รียกวา มีปญญาดงั หนาตกั . ๓. ปุถปุ ญ ญบคุ คล บุคคลผมู ปี ญ ญามาก เปนไฉน ? บุคคลบางคนในโลกน้ี ไปสอู ารามเพ่ือฟง ธรรมในสํานักของภิกษทุ ง้ัหลายเนอื ง ๆ พวกภกิ ษุยอมแสดงธรรมงามในเบือ้ งตน งามในทา มกลาง งามในทีส่ ดุ พรอ มทั้งอรรถ พรอมทั้งพยญั ชนะ แกบคุ คลนนั้ ยอมประกาศพรหมจรรยบ รสิ ุทธิ์บริบรู ณส ิ้นเชิง บุคคลนนั้ นง่ั แลว ทีอ่ าสนะนนั้ ยอ มใสใจถงึ เบอ้ื งตนบาง ยอมใสใ จถงึ ทามกลางบาง ยอ มใสใ จถึงทสี่ ดุ บาง แมลกุ ออกจากอาสนะนนั้ แลว ก็ยอ มใสใ จถึงเบือ้ งตนบาง ยอมใสใจถงึ ทามกลางบางยอ มใสใ จถึงทส่ี ุดแหง กถานน้ั เหมอื นนาํ้ ที่เขาเทใสห มอ ที่หงายไว ยอ มขังอยูยอ มไมไหลไป ช่ือแมฉนั ใด บุคคลบางคนในโลกนี้ ไปสอู ารามเพื่อฟงธรรมในสํานกั ของภกิ ษุทั้งหลายเนือง ๆ พวกภิกษยุ อมแสดงธรรม งามในเบือ้ งตนงามในทามกลาง งามในที่สุด พรอ มท้ังอรรถ พรอ มทั้งพยัญชนะ แกบุคคลนั้น
พระอภธิ รรมปฎก ธาตุกถา-บุคคลบญั ญัติ เลม ๓ - หนา ท่ี 299ยอ มประกาศพรหมจรรยบริสุทธบ์ิ รบิ ูรณสน้ิ เชิง เขานั่งท่อี าสนะนนั้ แลว ยอ มใสใจถึงเบ้อื งตนบาง ยอมใสใ จถงึ ทา มกลางบาง ยอ มใสใจถึงท่ีสุดแหงกถานั้นแมลกุ ออกจากอาสนะนนั้ แลว ก็ยอ มใสใจถงึ เบื้องตนบา ง ยอมใสใ จถึงทามกลางบาง ยอ มใสใจถึงท่ีสดุ บางแหง กถานนั้ บุคคลนเ้ี รยี กวา คนมปี ญ ญามาก. อรรถกถาบุคคลผูมีปญญาเพียงดังหมอ ควํ่า เปนตน สองบทวา \"ธมมฺ เทเสนฺติ\" ความวา ภกิ ษทุ งั้ หลายละการงานของตนแลวแสดงธรรมดวยการคิดวา \"อุบาสกมาเพอื่ ตองการฟงธรรม\" บทวา \"อาทกิ ลยฺ าณ \" ความวา ยอมแสดงธรรมใหง าม ใหเ จริญคือ ใหไ มม ีโทษ คอื ปราศจากโทษในเบื้องตน แมใ นบทที่เหลอื กม็ ีนยั นี้เหมือนกนั . กใ็ นคาํ วา \"อาท\"ิ น้ไี ดแ กเ ปนคาํ เริม่ ตน ครัง้ แรก. บทวา \"มชฺฌ \" ไดแก เปนการกลา วในทามกลาง. บทวา \"ปรโิ ยสาน \" ไดแก เปน คําสดุ ทา ย. ภิกษทุ ั้งหลายเมื่อแสดงธรรมแกเรา ยอมแสดงธรรมใหงาม ใหเจริญ ใหไมม ีโทษนั่นเทยี วทั้งในคาํ ท่เี รมิ่ ตน คร้ังแรก ท้ังในคําทมี่ ใี นทา มกลาง ท้ังในคําท่ีกลา วไวในท่ีสดุอนึ่ง ในทนี่ ี้ ความงามแหงพระธรรมเทศนา อันเปน เบื้องตน ทามกลาง และท่สี ุดมอี ยู และความงามทงั้ ๓ อยางนัน้ แหง ศาสนากม็ ีอยู. ในบรรดาความงามแหงเทศนา และความงามแหงพระศาสนานั้น พึงทราบความงามแหง เทศนากอน คอื พระคาถา ๔ บทแหงเทศนา บทแรกเรียกวา เปนความงามในเบ้ืองตน สองบทตอ มาเรยี กวา เปน ความงามในทา มกลาง บทสุดทายเรียกวาเปน ความงามในท่ีสุด. สําหรับพระสตู รทม่ี ีเร่ืองเดียว นทิ านเปนความงามในเบื้องตน อนุสนธิ คือ การสืบตอ เปนความงามในทา มกลาง วาจาท่ีกลา ว
พระอภธิ รรมปฎ ก ธาตุกถา-บุคคลบัญญตั ิ เลม ๓ - หนา ท่ี 300สดุ ทายวา \"อทิ มโวจ\" เปน ความงามในที่สุด. สาํ หรับพระสูตรทมี่ อี นสุ นธิมาก คอื มเี รอื่ งมาก (อเนกานสุ นธ)ิ อนุสนธิแรกเปน ความงามในเบือ้ งตนตอ จากนนั้ อนุสนธหิ น่ึงก็ดี หลาย ๆ อนสุ นธิก็ด.ี เปน ความงามในทามกลางอนุสนธสิ ดุ ทา ยเปน ความงามในทสี่ ดุ . พึงทราบนัยแหงพระธรรมเทศนาเพยี งเทาน้กี อ น. ก็สาํ หรับนยั แหง พระศาสนา ศีลจดั เปน ความงามในเบือ้ งตนสมาธจิ ดั เปน ความงามในทามกลาง วิปสสนาจัดเปนความงามในทสี่ ุด. อกีอยา งหนงึ่ สมาธเิ ปนความงามในเบื้องตน วิปส สนาเปนความงามในทามกลางมรรคเปนความงามในที่สดุ . อีกอยา งหนึ่ง วปิ สสนาเปน ความงามในเบ้ืองตน มรรคเปนความงามในทา มกลาง ผลเปน ความงามในทส่ี ุด. อกี อยางหนึง่ มรรคเปนความงามในเบอ้ื งตน ผลเปน ความงามในทา มกลาง นิพพานเปน ความงามในทสี่ ุด. อีกอยา งหนง่ึ (ทานจดั เปน ค)ู คือ ศลี กับสมาธิจัดเปนความงามในเบอื้ งตน วิปสสนากับมรรคจดั เปน ความงามในทามกลาง ผลกับพระนพิ พานจัดเปนความงามในทส่ี ุด. บทวา \"สาตถฺ \" ไดแ ก แสดงธรรมใหเปนไปกับดวยประโยชน. บทวา \"สพฺยชฺ น \" ไดแ ก แสดงธรรมใหม ีอกั ขระบริบูรณ. บทวา \"เกวลปริปุณณฺ \" ไดแ ก แสดงธรรมการทําใหบรบิ ูรณโดยสิ้นเชงิ คอื ไมใหบ กพรอง. บทวา \"ปรสิ ทุ ฺธ \" ไดแก แสดงธรรมใหบ ริสทุ ธิ์ ใหห ายรกชฏัคือ ใหห ายความฟน เฝอ. สองบทวา \"พฺรหมฺ จรยิ ปกาเสนตฺ ิ\" ความวา ก็เม่ือแสดงธรรมอยอู ยา งนน้ั ชอื่ วา ยอมประกาศอฏั ฐงั คิกมรรคอันประเสริฐ อนั สงเคราะหด ว ยไตรสกิ ขา คอื ศีล สมาธิ และปญ ญา อนั ทานผปู ระเสรฐิ ประพฤติแลว .
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 461
Pages: