งานวชิ าการเพื่อศกึ ษาเรยี นรู้ประวตั ิศาสตร์ศรลี งั กา เลม่ ๗
พระพทุ ธเจา้ ผจญธดิ ามาร ณ ต้นอชปาลนิโครธ ภาพจติ รกรรมฝาผนงั วัดศรีสุโพธาราม เขตเดหวิ าละ เมืองหลวงโคลัมโบ ศรีลงั กากตกิ าวัตร : ว่าด้วยระเบยี บข้อบงั คบั เพ่อื ความดงี ามของหม่คู ณะ เลขมาตรฐานสากลประจ�ำหนงั สอื : 978-616-485-890-9 พิมพค์ รั้งที่ ๑ : พฤษภาคม ๒๕๖๒ จำ� นวนพมิ พ์ : ๕๐๐ เล่ม กองบรรณาธิการ : พระครศู รีปญั ญาวกิ รม, ผศ.ดร. พระมหาถนอม อานนฺโท, ดร. ดร.ชยาภรณ์ สขุ ประเสริฐ วันเพ็ญ ปะกนิ ะโม เอมมกิ า โนต๊ สภุ า พิสจู นอ์ กั ษร : ลังกากุมาร ภาพประกอบ : ลังกากุมาร ออกแบบปก : เอนก เอ้อื การุณวงศ์ ด�ำเนนิ การจัดพิมพ์ : สาละพิมพการ ๙/๖๐๙ ซอยกระทมุ่ ล้ม ๖ ถ.พุทธมณฑลสาย ๔ ต.กระทมุ่ ลม้ อ.สามพราน จ.นครปฐม ๗๓๒๒๐ โทร. ๐๘๙-๘๒๙-๘๒๒๒, ๐๖๑-๒๓๒-๕๙๒๘ แฟกซ์ ๐๒-๔๒๙๒๔๕๒
ค�ำน�ำ พุทธศักราช ๒๕๔๗ ผู้เขียนได้มีโอกาสเดินทางไปนมัสการ มหิ นิ ตะเล ซง่ึ เปน็ บณุ ยสถานสำ� คญั แหง่ หนงึ่ ของศรลี งั กา เนอื่ งจากเปน็ จุดก�ำเนิดของพระพุทธศาสนาเถรวาทซ่ึงต่อมารู้จักกันในชื่อว่าลัทธิ ลงั กาวงศ์ คราวนนั้ เพอื่ นสหธรรมกิ ชาวสงิ หลชบ้ี อกแทง่ หนิ สองแทง่ สลกั ด้วยอักษรโบราณ ต้ังอยู่บริเวณด้านหน้าซากปรักหักพังเรียกว่าหอ พระธาตุ พรอ้ มอธบิ ายวา่ เปน็ กตกิ าวตั รเกา่ แกส่ ำ� หรบั เปน็ แนวทางปฏบิ ตั ิ ของพระสงฆผ์ ู้พำ� นักอาศัยอารามแหง่ นี้ ตอนนัน้ ผูเ้ ขียนคิดว่านา่ จะเป็น ขอ้ ตกลงร่วมกันของพระสงฆแ์ หง่ มหิ ินตะเลวิหารสมยั อดตี คงไม่มีอะไร พิสดารลึกซึ้งมากไปกว่าน้ี จึงไม่ได้สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มมากกว่า ค�ำอธบิ ายของเพ่อื นสหธรรมกิ รปู น้ัน คร้ันต่อมาได้เข้าศึกษาระดับปริญญาเอกท่ีสถาบันบาลีและพุทธศาสตร ศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยแกลาณียะ ประเทศศรีลังกา (The Postgraduate Institute of Pali and Buddhist Studies, University of Kelaniya- PBIPBS) ได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความรู้ เชงิ วชิ าการกบั พระนสิ ติ นกั ศกึ ษาและผเู้ ชยี่ วชาญชาวศรลี งั กาหลายครงั้ ท�ำให้ทราบว่ากติกาวัตรเป็นกุญแจส�ำคัญดอกหน่ึงในการไขความลับ ประวตั ศิ าสตรค์ ณะสงฆข์ องศรลี งั กาสมยั อดตี จงึ เปน็ เหตใุ หผ้ เู้ ขยี นสนใจ พร้อมตามค้นหาหนังสือเก่ียวกับกติกาวัตร เล่มแรกชื่อว่า The Katikavatas: Laws of the Buddhist Order of Ceylon from the 12th Century to the 18th Century ซึ่งเป็นผลงานของ Professor
Nandasena Ratnapala ผลู้ ว่ งลบั หนงั สอื เลม่ นเ้ี องจดุ ประกายใหผ้ เู้ ขยี น อยากรกู้ ติกาวตั รของศรีลังกามากขึน้ ผู้เขียนต้ังใจว่าจะแปลหนังสืออันเป็นผลงานของศาสตราจารย์ ผู้ล่วงลับท่านน้ีเป็นภาษาไทย เพ่ือให้เป็นประโยชน์แก่ผู้สนใจใฝ่เรียนรู้ ประวตั ิศาสตร์ศรลี ังกา ครั้นลงเม่ือแปลได้หลายสิบหน้าภาระหน้าท่ีอื่นก็ เข้ามาแทรกเป็นเหตุให้ความเพียรถดถอย เพราะการขอร้องของ ครูอาจารย์และญาติโยมหลายท่านท่ีรู้จักคุ้นเคย ผู้ปรารถนาทราบ รายละเอียดเก่ียวกับศรีลังกาหลายมิติ การแปลจึงไม่มีความก้าวหน้า แตอ่ ยา่ งใด แตก่ ารทงิ้ ชว่ งไปหลายปเี ปน็ ผลดกี บั ผเู้ ขยี น เนอื่ งจากผเู้ ขยี น ได้พบว่ามีการตีพิมพ์กติกาวัตรในหนังสืออีกหลายเล่ม และคร้ันน�ำมา เปรียบเทียบก็จะเห็นมิติของส�ำนวนภาษาท่ีแตกต่างกัน โดยเฉพาะบาง ประโยคหรอื ข้อความอันยากต่อการตคี วาม พุทธศักราช ๒๕๖๑ ผู้เขียนได้รับอาราธนาจาก Buddhist Missionary Society Malaysia ให้เดนิ ทางไปประเทศมาเลเชียเพอ่ื แปล หนังสอื เรอื่ ง What Buddhist Believe? ซงึ่ เปน็ ผลงานของ Venerable K. Dhammananda Thera ทงั้ นีเ้ พอ่ื ตพี ิมพแ์ จกเปน็ ธรรมทาน คร้ังนั้น ผู้เขียนสามารถแปลเสร็จก่อนก�ำหนดกลับเมืองไทย จึงใช้เวลาที่เหลือ แปลหนังสือกติกาวัตรของศาสตราจารย์ผู้ล่วงลับจนแล้วเสร็จ ครั้น เดนิ ทางกลบั เมืองไทยแล้วไดป้ รบั แก้สำ� นวนอกี ครงั้ หน่งึ ปญั หาพบเหน็ คอื ศพั ทภ์ าษาองั กฤษไมส่ ามารถถอดสำ� นวนภาษาสงิ หลไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง ด้วยเหตุนั้น ผู้แปลจึงใช้หนังสือ l;sldj;a iÕrd ซ่ึงเป็นผลงาน เรียบเรียงของ ã'î' ch;s,l เป็นคมู่ อื เทยี บเคยี งภาษาอังกฤษเพอื่ ให้ ศัพท์ภาษาสิงหลถูกตอ้ งตามหลกั ไวยากรณ์
คร้ันถอดแปลเป็นภาษาไทยเรียบร้อยแล้ว ปัญหาตามมาคือหาก ตีพิมพ์เฉพาะค�าแปลกติกาวัตรของแต่ละยุคสมัย ย่อมเป็นการยากต่อ การเข้าใจของผู้ใหม่ต่อประวัติศาสตร์ศรีลังกา ผู้เขียนจึงเรียบเรียง ประวัติศาสตร์แต่ละยุคสมัยให้สอดคล้องตามกติกาวัตรยุคนั้น โดย พยายามย่อประเด็นให้แคบลงเพื่อมิให้เน้ือหาแตกแยกย่อยออกไป ส�าหรับเน้ือหาอีกส่วนหน่ึงเป็นทัศนะและวิจารณ์ของผู้เขียนเอง เหตุ เพราะเหน็ วา่ บางประเดน็ ในกตกิ าวตั รเปน็ เรอื่ งชวนวเิ คราะห ์ โดยเฉพาะ บริบทด้านคติความเชื่อทางประวัติศาสตร์ของแต่ละยุคสมัย ผู้เขียน เช่ือว่าหากวิเคราะห์ประเด็นน่าสนใจจะท�าให้ผู้อ่านเข้าใจมิติของกติกา วตั รชัดเจนมากข้นึ หนังสือเล่มนี้ได้รับการอุปถัมภ์จัดพิมพ์โดยพระเดชพระคุณ พระราชรัตนมุนี, ผศ.ดร. หลวงพ่อพระครูปลัดไพรินทร์ สิริวฑฺ²โน เจา้ อาวาสวดั สงั ฆทาน จงั หวดั นนทบรุ ี และคณุ ประเสรฐิ เลศิ อศั วลกั ษณ์ แห่งร้านหนังสือไตรปิ®ก ศูนย์หนังสือพระพุทธศาสนาและห้องสมุด พรอ้ มทง้ั ญาตธิ รรมอกี หลายทา่ นทส่ี ละทรพั ยเ์ พอื่ พมิ พแ์ จกเปน็ วทิ ยาทาน ด้วยปรารถนาว่าหนังสือเก่ียวกับศรีลังกาจะบังเกิดข้ึนสู่บรรณพิภพ อกี เล่มหนงึ่ จึงขออนโุ มทนากศุ ลเจตนาของทกุ ทา่ นทุกคน (ลังกากมุ าร) วสิ าขมาส (พฤษภาคม) ๒๕๖๒
.
สารบัญ บทที่ ๑ มิหินตะเลกติกา ๓ ๑.๑ เกร่ินน�ำ ๑.๒ เหตุการณ์บ้านเมือง ๕ ๑.๓ การณพ์ ระศาสนา ๑๐ ๑.๔ สาเหตกุ ารตรากตกิ าวัตร ๑๕ ๑.๕ มิหนิ ตะเลกติกา (แปล) ๒๓ ๑.๖ ทัศนะและวจิ ารณ ์ ๓๗ ๑.๖.๑ จากบรมราชูทิศสูท่ รัพย์สนิ ของอารามวิหาร ๓๗ ๑.๖.๒ ผบู้ รหิ ารและกำ� กบั ดูแลอารามวิหาร ๔๒ ๑.๖.๓ การศกึ ษาของคณะสงฆ ์ ๔๗ บทท่ี ๒ มหาปรากรมพาหุกติกาวัตร ๕๙ ๒.๑ เกร่นิ นำ� ๖๑ ๒.๒ เหตุการณบ์ ้านเมือง ๖๖ ๒.๓ การณ์พระศาสนา ๗๑ ๒.๔ สาเหตุการตรากติกาวัตร ๗๙ ๒.๕ มหาปรากรมพาหกุ ตกิ าวตั ร (แปล) ๙๓ ๒.๖ ทัศนะและวิจารณ์ ๙๓ ๒.๖.๑ คตคิ วามเช่ือเรือ่ งอายุ ๙๗ พระศาสนา ๕,๐๐๐ ป ี ๑๐๒ ๒.๖.๒ การปกครองคณะสงฆ ์ ๒.๖.๓ การศกึ ษาของคณะสงฆ์
บทที่ ๓ ดมั พเดณกิ ตกิ าวัตร ๑๑๗ ๓.๑ เกรน่ิ น�ำ ๓.๒ เหตกุ ารณบ์ า้ นเมอื ง ๑๑๙ ๓.๓ การณ์พระศาสนา ๑๒๔ ๓.๔ สาเหตกุ ารตรากติกาวัตร ๑๒๙ ๓.๕ ดัมพเดณิกติกาวัตร (แปล) ๑๓๗ ๓.๖ ทศั นะและวิจารณ์ ๑๖๙ ๓.๖.๑ คติความเชอ่ื เร่ืองพระเขยี้ วแก้ว ๑๖๙ ๓.๖.๒ การศึกษาของคณะสงฆ์ ๑๗๔ ๓.๖.๓ วรรณะเหนือคณะสงฆ์ ๑๗๙ บทที่ ๔ ปรากรมพาหุกติกาวัตร ๔.๑ เกรน่ิ น�ำ ๑๙๓ ๔.๒ เหตกุ ารณ์บ้านเมือง ๑๙๕ ๔.๓ การณพ์ ระศาสนา ๒๐๐ ๔.๔ สาเหตกุ ารตรากตกิ าวัตร ๒๐๕ ๔.๕ ปรากรมพาหกุ ตกิ าวัตร (แปล) ๒๑๓ ๔.๖ ทศั นะและวจิ ารณ์ ๒๒๗ ๔.๖.๑ เหตุใดจงึ เป็นแปปฬิ ยิ านะ? ๒๒๗ ๔.๖.๒ อทิ ธพิ ลฮนิ ดเู หนอื สงั คมชาวโกฏเฏ ๒๓๒ ๔.๖.๓ พระเมตไตรยโพธิสัตว์ หรือเทพนาถะ? ๒๓๗ บทท่ี ๕ กีรตศิ รรี าชสิงหกตกิ าวัตร ๒๔๙ ๕.๑ เกรนิ่ นำ� ๒๕๑ ๕.๒ เหตุการณ์บ้านเมือง
๕.๓ การณพ์ ระศาสนา ๒๕๖ ๕.๔ สาเหตุการตรากติกาวัตร ๒๖๑ ๕.๕ กรี ตศิ รีราชสิงหะกตกิ าวัตร (แปล) ๒๖๙ ๕.๖ ทศั นะและวิจารณ ์ ๒๘๙ ๕.๖.๑ เหตใุ ดจึงเลือกอาณาจกั รสยาม? ๒๘๙ ๕.๖.๒ การศกึ ษาของคณะสงฆ์ ๒๙๔ ๕.๖.๓ ประเพณีปรัมปราคอื อะไร? ๒๙๙ บทที่ ๖ ราชาธิราชสิงหะกติกาวัตร ๓๑๑ ๖.๑ เกรน่ิ นำ� ๓๑๓ ๖.๒ เหตุการณ์บา้ นเมอื ง ๓๑๘ ๖.๓ การณ์พระศาสนา ๓๒๓ ๖.๔ สาเหตกุ ารตรากติกาวัตร ๓๓๑ ๖.๕ ราชาธิราชสงิ หะกตกิ าวตั ร (แปล) ๓๔๑ ๖.๖ ทศั นะและวจิ ารณ์ ๓๔๑ ๖.๖.๑ สองอารามคอื อะไร? ๓๔๘ ๖.๖.๒ ระบบการบริหารบา้ นเมอื ง บรรณานกุ รม ๓๖๑ ประวตั ผิ ้เู ขยี นและผลงาน ๓๗๔
มหิ นิ ตะเลกตกิ า 1
. บรรยายภาพ: ภาพวาดภายในพิพิธภัณฑ์พระแวฬิวิฏะสรณังกรสังฆราช วัดมัลลวัตต มหาวิหาร เมืองแคนดี
บทท่ี ๑ มิหินตะเลกตกิ า ๑.๑ เกริ่นนำ� แผ่นศิลาจารึกแห่งมิหินตะเล (The tablet of Mihintale) ตง้ั อยดู่ า้ นหนา้ หอพระธาตใุ กลโ้ รงฉนั บรเิ วณทางขนึ้ มหิ นิ ตะเล นอกเมอื ง หลวงเกา่ อนรุ าธปรุ ะ มอี ยู่ ๒ แผน่ แตล่ ะแผน่ มคี วามสงู ๑๒๓.๓๖๐ เซนติเมตร กว้าง ๑๒๑.๙๒๐ เซนติเมตร และหนา ๖๐.๙๖๐ เซนติเมตร ส�ำหรับอักษรแบ่งเป็น ๕๘ แถวเท่ากัน แต่ละแถวมี ความยาว ๑๐๙.๒๒๐ เซนตเิ มตร กลา่ วเฉพาะตวั อักษรนกั วิชาการ แสดงความเห็นว่ามิใช่เป็นการดัดแปลงค�ำศัพท์มาจากภาษาสันสกฤต และภาษาบาลี นา่ จะใชศ้ พั ทต์ ามลกั ษณะของภาษาสงิ หล (EZ. I: 1994: 76) การค้นพบแผ่นศิลาจารึกแห่งน้ีเป็นประโยชน์มากมายมหาศาลแก่ วงวิชาการ เพราะสามารถช่วยยืนยันความน่าเชื่อถือของคัมภีร์ส�ำคัญ ของศรีลังกาไดอ้ ย่างลงตวั นอกจากน้นั แผ่นศลิ าจารึกแห่งนี้ยงั อธบิ าย พัฒนาการของคณะสงฆ์ผู้มีส่วนเก่ียวข้องกับการครอบครองทรัพย์สิน ซึ่งเป็นมรดกของอารามวิหารสมัยน้ันได้อย่างชัดเจน ด้วยความส�ำคัญ ดังกล่าวจึงท�ำให้มีนักวิชาการจ�ำนวนมากพากันศึกษาวิเคราะห์แผ่น ศิลาจารกึ แห่งมิหินตะเล แลว้ ตีความตามความคดิ เหน็ แห่งตนหลายยคุ หลายสมยั สบื เน่ืองมาถึงปรัตยบุ นั แผ่นศิลาจารึกแห่งมิหินตะเลสร้างขึ้นสมัยพระเจ้ามหินทะที่ ๔ (พ.ศ.๑๔๙๙-๑๕๑๕) เนื้อหาว่าดว้ ยกฎระเบียบของมหิ นิ ตะเลวหิ าร และคา่ ตอบแทนของคนงานผรู้ บั ใชอ้ ารามวหิ ารแหง่ น้ี กลา่ วตามหลกั ฐาน
4 ศรีลงั กากตกิ าวัตร กษัตริยพ์ ระองค์นโ้ี ปรดให้สร้างศลิ าจารึกอีกหลายแหง่ ได้แก่ ศิลาจารึก แหง่ เวสสคิริ (Vessagiri Inscription) แผ่นศลิ าจารึกใกลเ้ รอื ใสอ่ าหาร (Slab-inscription near the stone-canoe) แผ่นศิลาจารึกแห่ง เชตวนาราม หมายเลข ๑-๒ (Jetavanarama Slab-Inscription no.1-2) แผ่นศิลาจารึกแห่งเวแวลแกฏิยะ (Vevalkatiya Slab- Inscription) และเสาจารึกราชมาฬิกาวะแห่งเมืองโปโฬนนารุวะ (Raja-Maligava Pillar-Inscription of Polonnaruva) จารกึ ดงั กลา่ ว เหล่านี้ล้วนสร้างข้ึนก่อนจารึกแห่งมิหินตะเล และเนื้อหาก็กล่าวถึงใน ทศิ ทางเดยี วกนั สนั นษิ ฐานวา่ พระเจา้ มหนิ ทะท่ี ๔ นา่ จะออกกฎระเบยี บ สา� หรบั อารามวหิ ารภายในเมอื งหลวงอนรุ าธปรุ ะเสยี กอ่ น จากนน้ั จงึ นา� ไปปรบั ใช้กับมิหนิ ตะเลทีหลัง เป็นทนี่ า่ สังเกตว่าอารามวหิ ารท่ปี รากฏใน ศลิ าจารกึ แตล่ ะแหง่ ลว้ นเปน็ วดั ขน้ึ ตรงตอ่ สา� นกั อภยั คริ วี หิ าร สว่ นสา� นกั มหาวิหารมิได้กล่าวถึงแต่อย่างใด จึงเช่ือได้ว่าพระองค์น่าจะมีพระ ราชศรัทธาคณะสงฆ์ส�านักอภัยคริ ีวหิ ารมากกวา่ ส�านกั มหาวหิ าร การสรา้ งศลิ าจารกึ ลกั ษณะนี้ สนั นษิ ฐานวา่ พระองคน์ า่ จะประพฤติ ตามพระบรมชนกนาถกลา่ วคอื พระเจา้ กสั สปะท่ี ๕ ซงึ่ ดา� เนนิ ทางไวเ้ ปน็ แบบอยา่ ง สงั เกตไดจ้ ากเนอื้ หาของศลิ าจารกึ ลว้ นถอดแบบตามลกั ษณะ แห่งพระบรมราชบิดาทั้งส้ิน จุดเด่นอย่างหนึ่งของแผ่นศิลาจารึกแห่ง มิหินตะเลคือ การชี้ให้เห็นถึงบทบาทของพระมหากษัตริย์ต่อศาสนจักร กรณอี ารามวหิ ารไมส่ ามารถบรหิ ารจดั การไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ งตามพระธรรม วนิ ยั สถาบนั พระมหากษตั รยิ ก์ พ็ รอ้ มทจ่ี ะยน่ื มอื เขา้ ไปแทรกแซงชว่ ยเหลอื ด้วยการกระตุ้นคณะสงฆ์ให้ช่วยกันออกกฎระเบียบ เพื่อควบคุม ความประพฤติของพระสงฆ์ในอารามวิหารแห่งนั้น อีกท้ังก�าหนด
มิหนิ ตะเลกตกิ า 5 กฎเกณฑอ์ ยา่ งชดั เจนสา� หรบั การทา� หนา้ ทแี่ ละคา่ ตอบแทนฆราวาสผเู้ ขา้ มาบริหารดูแลอารามวิหาร เฉพาะส่วนที่พระสงฆ์ไม่สามารถเข้าไป ควบคมุ ดแู ลได้เพราะขัดตอ่ สมณวสิ ยั การศึกษาแผ่นศิลาจารึกแห่งมิหินตะเลสามารถตอบค�าถามได้ หลายมิติ โดยเฉพาะการเก้ือกูลสงเคราะห์กันระหว่างอาณาจักรกับ ศาสนจกั ร ส่วนมติ ดิ า้ นการปกครองและการศึกษาคณะสงฆ์นัน้ แมจ้ ะไม่ ปรากฏเห็นรายละเอียดในศิลาจารึกแห่งนี้ แต่หากเปรียบเทียบกับ หลักฐานเหล่าอื่นก็สามารถยืนยันได้อย่างชัดเจนลงตัว ถือได้ว่า ศลิ าจารกึ แหง่ มหิ นิ ตะเลเปน็ สว่ นเสรมิ ทา� ใหร้ ายละเอยี ดนา่ เชอื่ ถอื มากขน้ึ ๑.๒ เหตกุ ารณ์บ้านเมือง พระเจ้ามหนิ ทะท่ี ๔ (พ.ศ.๑๔๙๙-๑๕๑๕) เป็นพระราชโอรส ของพระเจา้ กสั สปะที่ ๕ (พ.ศ.๑๔๕๗-๑๔๖๖) กบั พระมเหสพี ระนาม ว่าเทวา คร้ันพระราชบิดาสวรรคตล่วงแล้ว พระองค์ต้องรอโอกาสขึ้น ครองราชย์ถึง ๔๔ ปี ซึ่งระหว่างนั้นพระมาตุลาและพระเชษฐาธิราช หลายพระองค์ต่างผลัดเปล่ียนหมุนเวียนขึ้นครองราชย์สืบต่อ ได้แก่ พระเจา้ ทปั ปลุ ะท่ี ๓ พระเจา้ ทปั ปลุ ะที่ ๔ พระเจา้ อทุ ยะที่ ๓ พระเจา้ เสนะ ที่ ๓ พระเจ้าอุทยะท่ี ๔ และพระเจา้ เสนะท่ี ๔ เปน็ ที่นา่ สังเกตว่าขณะ พระมาตลุ าและพระเชษฐาธริ าชครองรชั สมบตั นิ น้ั พระนามของพระองค์ หาได้มีกล่าวถึงในหลักฐานชิ้นใดไม่ มาปรากฏเห็นว่ารั้งต�าแหน่งพระ มหาอุปราชในสมัยพระเจ้ามหาเสนะท่ี ๔ (พ.ศ.๑๔๙๗-๑๔๙๙) อาจเป็นไปได้ว่าก่อนน้ันพระองค์ทรงพระเยาว์หาได้มีอิทธิพลทาง การเมืองแต่อย่างใดไม่ การจะสร้างบารมีแข่งกับพระมาตุลาและ
6 ศรีลงั กากตกิ าวตั ร พระเชษฐาธิราชยอ่ มเป็นไปไดย้ าก ครน้ั เมอ่ื พระเชษฐาธิราชพระนามวา่ พระเจา้ เสนะที่ ๔ เสด็จข้นึ ครองราชยแ์ ล้ว ทรงพิจารณาเห็นว่าเจา้ ชาย มหินทะมีวุฒิภาวะเหมาะสมกับต�าแหน่งองค์รัชทายาท จึงโปรดแต่งตั้ง ให้ดา� รงตา� แหน่งดังกล่าว พระเจ้ามหินทะท่ี ๔ ทรงอภิเษกสมรสกับพระนางกิตติผู้เป็น ราชวงศ์สิงหล แต่พระอัครมเหสีของพระองค์คือพระนางสังฆารัชนา ผเู้ ปน็ เจ้าหญิงแห่งแคว้นกาลิงคะ หลกั ฐานระบุวา่ “พระองคม์ ีรบั สง่ั ให้ คดั เลอื กเจา้ หญงิ ผมู้ ปี ระสตู กิ าลจากราชวงศข์ องพระเจา้ กาลงิ คจกั รพรรดิ แล้วโปรดเกล้าเจ้าหญิงพระองค์นั้นขึ้นเป็นพระอัครมเหสี ทรงมี พระราชโอรสกบั พระอคั รมเหสพี ระองคน์ น้ั สองพระองค์ และพระราชธดิ า อกี หนงึ่ พระองค”์ (พระมหานามเถระและคณะบณั ฑติ ภาค 1: 2553; 514) การอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงแห่งแคว้นกาลิงคะเกิดขึ้นในปีท่ี ๓ แห่ง การครองราชยข์ องพระองค์ (ตรงกบั พทุ ธศกั ราช ๑๕๐๑) ทงั้ นเ้ี ทยี บเคยี ง กับการข้ึนครองราชย์ของพระราชโอรสพระนามว่าพระเจ้าเสนะที่ ๕ ซงึ่ ทรงมพี ระชนมายไุ ด้ ๑๒ พรรษา (พระมหานามเถระและคณะบณั ฑติ ภาค 1: 2553; 518) ราชวงศ์กาลิงคะน่าจะทรงอิทธิพลต่อราชส�านัก ลังกาไม่น้อย สังเกตได้จากพระองค์โปรดแต่งตั้งในต�าแหน่งส�าคัญ กล่าวคือ “พระราชโอรสทั้งสองนั้นโปรดเกล้าแต่งตั้งให้รั้งต�าแหน่งอาทิ บาท สว่ นพระราชธดิ าโปรดใหแ้ ตง่ ตงั้ เปน็ อปุ ราชนิ ี เพอื่ ใหส้ บื ทอดราชวงศ์ สิงหล” (พระมหานามเถระและคณะบณั ฑติ ภาค 1: 2553; 514) ถามว่า เหตุใดพระองค์จึงให้ความส�าคัญราชวงศ์กาลิงคะเหนือ ราชวงศ์สงิ หล? คา� ตอบ น่าจะอยู่ทคี่ วามมั่นคงของบ้านเมอื งเปน็ หลกั
มิหินตะเลกตกิ า 7 หลักฐานจากคัมภีร์มหาวงศ์ได้พรรณนาไว้ว่า “พระเจ้าวัลลภ แห่งอินเดียตอนใต้ได้ส่งกองทัพเข้ายึดครองนาคทวีปบริเวณตอนเหนือ ของเกาะลังกา คราวนั้นพระองค์ทรงมีพระราชโองการมอบให้เสนะ เสนาบดีเป็นแม่ทัพใหญย่ กไปต่อสกู้ ับพระเจ้าวัลลภ การณรงค์สงคราม คราวนน้ั กองทพั ของพระเจา้ วลั ลภพา่ ยแพย้ อ่ ยยบั จนพระองคต์ อ้ งยอม ท�าสัมพันธไมตรีกับกษัตริย์ลังกา” (พระมหานามเถระและคณะบัณฑิต ภาค 1: 2553; 514) สงครามระหว่างสองอาณาจกั รดงั กลา่ วมีบนั ทกึ ไวใ้ นศลิ าจารึกแห่งเวสสคริ เิ ชน่ กนั เนือ้ ความระบวุ ่า “พระองค์โปรดให้ รวบรวมทรัพย์สินทุกอย่างของกษัตริย์แห่งธรรมทวีป (ผู้พ่ายแพ้ในการ รณรงค์สงคราม) โดยความสามารถของเสนาบดีนามวา่ เสนะ” (EZ. I: 1994; 34-35) ส่วนคัมภีร์ปูชาวลิยะระบุว่าพระองค์ทรงยกทัพเข้าย�่ายี กองทัพของกษัตริย์ทมิฬแห่งอาณาจักรโสฬี ผู้ยกทัพข้ึนเกาะลังกา บรเิ วณทา่ เรอื หรู าโตฎะหรอื อรุ าโตฏะ (Gunasekara Mudaliyar: 1895; 32) หลกั ฐานดงั กลา่ วเบอื้ งตน้ สามารถตอบคา� ถามไดว้ า่ เหตใุ ดพระองคจ์ งึ ตอ้ ง อภเิ ษกสมรสกบั ราชวงศก์ าลงิ คะ และการสรา้ งพนั ธมติ รกบั แควน้ กาลงิ คะ ถือว่าเป็นวิเทโศบายอย่างหน่ึง เพราะเป็นการสร้างมิตรของศัตรู ตามทฤษฎมี ณฑล (UCHC: I: part.I; 1959; 340) ประเด็นหน่งึ นา่ สนใจคอื พระเจ้ามหนิ ทะท่ี ๔ อา้ งว่าพระองค์เปน็ ศากยวงศผ์ สู้ บื เชอ้ื สายตอ่ จากพระเจา้ ปณั ฑกุ าภยั (พ.ศ.๑๖๓-๒๓๓) ซง่ึ ตา� นานกลา่ ววา่ กษตั รยิ พ์ ระองคน์ ที้ รงอภเิ ษกสมรสกบั พระราชธดิ าแหง่ ราชวงศศ์ ากยะ หลักฐานจากจารึกโบราณยืนยนั ความสมเหตสุ มผลว่า “ครั้นทรงเสวยมไหศวรรย์ได้ ๗ พรรษา พระเจ้าสิริสังฆโพธิมหินทะ ผู้เป็นยอดฉัตรแห่งราชวงศ์ศากยะอันรุ่งโรจน์ ผู้สืบเช้ือสายมาจาก
8 ศรีลังกากตกิ าวัตร พระเจา้ โอกกากราช ต่อเน่อื งเรอื่ ยมาจนถึงพระเจา้ สทุ โธทนะ และรกั ษา สืบต่อจนถึงพระเจ้าปัณฑุกาภัย ผู้เป็นราชาธิราชแห่งเกาะลังกาอัน รุ่งเรืองแผ่ไพศาล” (EZ. III: 1994; 228) หลักฐานดงั กล่าวไม่สามารถ บอกได้ว่าเป็นความจริงมากน้อยเพียงไร การกล่าวอ้างดังกล่าวน่าจะ เป็นความพยายามในการสร้างความชอบธรรมให้เกิดมีข้ึนในพระองค์ สอดคล้องกับหลักฐานในแผ่นศิลาจารึกของพระองค์เอง ซึ่งพรรณนา ไว้ว่า “พระองค์ทรงเปน็ ยอดฉัตรแห่งศากยะ ผูไ้ ม่ใชผ้ า้ พนั พระศอสีขาว บรสิ ทุ ธิ์ ทรงรกั ษาดแู ลคณะสงฆใ์ นวนั แรกแหง่ การเฉลมิ ฉลองการครอง ราชย์หลงั จากเสวยมไหศวรรย์ไม่นาน ทรงถวายความเคารพคณะสงฆ์ เพื่อประสงค์การปกปักรักษาบาตรและจีวรของพระสุคตเจ้า” (EZ. I: 1994; 240) การอ้างพระองค์ว่าเป็นเช้ือสายแห่งราชวงศ์ศากยะน่าจะ ต้องการให้สอดคล้องกับการรักษาดูแลบาตรและจีวรของพระพุทธเจ้า เป็นแน่ ซึ่งถือว่าเป็นบริโภคเจดีย์ใกล้พระวรกายพระพุทธเจ้ามากสุด นอกจากนน้ั ในฐานะพระองคเ์ ปน็ กษตั รยิ ช์ าวพทุ ธผเู้ ปน็ เชอื้ สายราชวงศ์ ศากยะ ย่อมถือว่ามีความเหมาะสมอย่างยิ่งในฐานะเป็นพุทธมามกะ ผู้ท�าหน้าท่ีปกป‡องคุ้มครองบาตรและจีวรของพระพุทธเจ้า (Walpola Rahula: 1996; 66) ผเู้ ขยี นเหน็ วา่ ศาสโนบายเชน่ นพ้ี ระองคอ์ าจจะตอ้ งการการยอมรบั จากคณะสงฆ์และชาวพุทธมากกว่าอย่างอื่น แม้จะทรงถวายความ อุปถัมภ์แก่คณะสงฆ์ทุกรูปแบบก็จริง แต่ในฐานะพระองค์เป็นฆราวาส ผู้ไม่สามารถเป็นศาสนทายาทตามแนวความเช่ือของผู้คนสมัยน้ันได้ การจะผูกพันใกล้ชิดกับพระพุทธศาสนา นอกจากท�าหน้าที่ปกป‡อง คุ้มครองบาตรและจวี รของพระพุทธเจ้าแล้ว การอ้างตนว่าเปน็ เชอ้ื สาย
มหิ ินตะเลกตกิ า 9 ราชวงศ์ศากยะย่อมชื่อว่าสร้างความชอบธรรมในการปกป‡องคุ้มครอง บาตรและจวี รของพระพทุ ธเจา้ เนอื่ งจากเปน็ เชอื้ สายศากยวงศเ์ ชน่ เดยี ว กับพระพุทธเจ้า การท่ีพระญาติจะรักษามรดกของญาติย่อมมิใช่เป็น เร่ืองผิดแปลกอันใด และนอกจากผูกใจพระสงฆ์ทุกหมู่เหล่าแล้ว ยัง สามารถกุมหัวใจของชาวพุทธสิงหลท่ัวเกาะลังกาได้อีกด้วย สังเกตได้ จากตลอดสมัยของพระองค์หามีชาวสิงหลเกิดความเห็นต่างถึงข้ัน ก่อกบฏตอ่ ตา้ นพระองค์ไม่ คร้ันพระองค์สวรรคตล่วงแล้ว พระราชโอรสได้ข้ึนครองราชย์สืบ ต่อมีพระนามว่าพระเจ้าเสนะท่ี ๕ (พ.ศ.๑๕๑๕-๑๕๒๕) พระองค์ โปรดแต่งต้ังพระอนุชานามว่าอุทยะขึ้นรั้งต�าแหน่งพระอุปราช ขณะท่ี เสนะเสนาบดีผู้เป็นทหารเอกคู่พระทัยของพระราชบิดาก็โปรดให้รั้ง ต�าแหน่งเดิม คร้ันขึ้นครองราชย์ไม่นานเหตุวุ่นวายใหญ่หลวงก็เกิดขึ้น เมื่อพระองค์ทรงทราบว่าน้องชายของเสนะเสนาบดีได้ลักลอบท�าชู้กับ พระราชมารดา คร้ันสอบสวนได้ความจริงจึงรับส่ังให้ประหารชีวิตเสีย เหตุการณ์ดังกล่าวสร้างความไม่พอใจแก่เสนะเสนาบดีผู้เป็นพ่ีชาย จึง ร่วมมือกับพระอัครมเหสีสังฆารัชนาผู้เป็นราชมารดาก่อการจลาจลข้ึน พระองคท์ รงพา่ ยแพไ้ ดห้ ลบหนรี าชภยั ไปอยเู่ มอื งโปโฬนนารวุ ะ ไมช่ า้ นาน ภายในเมืองหลวงก็เกิดเหตุวุ่นวายซ�้าขึ้นอีก เมื่อทหารรับจ้างชาวทมิฬ พากันก่อจลาจลเผาเมืองหลวงเสียหายย่อยยับ ตอนท้ายของพระชนม์ ชีพพระองค์ทรงหมกมุ่นอยู่กับการเสวยน้�าจัณฑ์จนสวรรคต มี พระชนมายเุ พยี ง ๒๒ พรรษา แมพ้ ระอนชุ าพระนามวา่ พระเจา้ มหนิ ทะ ที่ ๕ (พ.ศ.๑๕๒๕-๑๕๗๒) จะขนึ้ ครองราชยส์ บื ตอ่ กไ็ มส่ ามารถแกไ้ ข สถานการณ์ได้ จนสุดท้ายเปิดช่องให้ทมิฬโจฬะยกทัพเข้าเผาท�าลาย เกาะลังกาจนย่อยยับหมดสิน้
10 ศรลี งั กากตกิ าวตั ร คัมภีร์มหาวงศ์พรรณนาเหตุการณ์อันเศร้าสลดไว้ว่า “พวกทมิฬ โจฬะทา� ลายสงฆ์ ๓ นกิ าย หอประดษิ ฐานพระบรมธาตุ พระพทุ ธปฏมิ า ทองค�าอันล้�าค่ามากมายทั่วเกาะลังกา ท�าลายอารามวิหารทุกแห่งหน ยึดเอาส่ิงของมีค่าในเกาะลังกา เหมือนพวกยักษ์กลืนกินเหย่ืออันโอชะ ฉะนั้น แล้วอาศัยอยู่ท่ีเมืองโปโฬนนารุวะครอบครองดินแดนชื่อว่า รักขปาสาณกัณฐะ แลว้ ตงั้ ข้ึนเปน็ ราชรฐั ” (พระมหานามเถระและคณะ บณั ฑติ ภาค 1, 2553; 522-523) กล่าวตามความจริงพระเจ้ามหินทะ ท่ี ๔ ถือว่าเป็นกษัตริย์พระองค์สุดท้ายแห่งอาณาจักรอนุราธปุระที่ สามารถปกครองเกาะลังกาโดยไม่มีการแบ่งแยก (Gunaratne Panabokke: 1993; 138) ๑.ó การณพ์ ระศาสนา สมยั อาณาจกั รอนรุ าธปรุ ะตอนปลายนน้ั คณะสงฆศ์ รลี งั กาไดแ้ บง่ เปน็ ๓ นกิ าย เฉกเช่นสมยั แห่งบรู พกษัตริย์ กล่าวคือ ๑) ส�านักมหา วิหาร เกิดข้ึนจากพระมหินทเถระผู้เป็นพระสมณทูตเดินทางมาเผยแผ่ พระพทุ ธศาสนาบนเกาะลงั กาครง้ั พระเจา้ เทวานมั ปยิ ตสิ สะ (พ.ศ.๒๙๓- ๓๓๓) ยอมรับกันว่าส�านักแห่งนี้ยึดมั่นในพระธรรมค�าสอนอย่าง เครง่ ครดั เรยี กกนั วา่ เถรยิ นกิ าย ๒) สา� นกั อภยั คริ วี หิ าร ไดแ้ ยกตวั ออก มาจากส�านักมหาวิหารด้วยเหตุผลทางความคิดหรือทิฐิสามัญญตา สมัยพระเจา้ วัฏฏคามณีอภัย (พ.ศ.๔๕๔-๔๖๖) พระสงฆ์สา� นักแห่งนี้ ประพฤติตามจารีตปฏิบัติของมหายาน เรียกกันว่าธรรมรุจินิกาย และ ๓) สา� นกั เชตวนั วหิ าร เกดิ ขนึ้ จากพระเจา้ มหาเสนะ (พ.ศ.๘๑๗- ๘๔๔) ทรงมีพระราชศรัทธาพระสาคลเถระจึงแบ่งเขตของส�านัก มหาวิหารสร้างวดั ถวาย เนื่องจากเปน็ กลุ่มใหม่สา� นกั แหง่ นีจ้ ึงพยายาม
มหิ นิ ตะเลกตกิ า 11 ประนปี ระนอมคา� สอนของสา� นกั เกา่ กอ่ นทงั้ สอง เรยี กกนั วา่ สาคลยิ นกิ าย (Gunaratne Panabokke: 1993; 101-123) ดว้ ยเหตดุ งั กลา่ ว ส�านัก มหาวิหารจึงพยายามยกพระมหินทเถระว่าเป็นบูรพาจารย์ ส�านัก อภัยคิรีวิหารก็อ้างว่าพระธรรมรุจิเถระเป็นธรรมาจารย์ ส่วนส�านัก เชตวนั วหิ ารยกยอ่ งพระสาคลเถระว่าเป็นต้นแบบแห่งหมคู่ ณะตน ส�าหรับพระเจ้ามหินทะท่ี ๔ พระองค์ทรงถวายความอุปถัมภ์แด่ พระสงฆ์ท้ังสามส�านักโดยไร้อคติ ยกตัวอย่างเช่น โปรดให้บูชา เหมมาลิกเจดีย์หรือรุวันแวฬิแสยะเจดีย์ด้วยการฟ‡อนร�าขับร้อง ด้วย ของหอมและบุปผชาตินานาชนิด โปรดให้สร้างจันทนปราสาทภายใน บริเวณมริจวัฏฏิวิหารพร้อมประดิษฐานพระเกศาธาตุไว้ภายใน ส่วน ถูปารามเจดีย์ก็โปรดให้หุ้มองค์พระเจดีย์ด้วยแผ่นทองและแผ่นเงิน แล้วท�าพิธีเฉลิมฉลองพร้อมบูชาด้วยเศวตฉัตรหรือสัญลักษณ์แห่ง บัลลังก์ บริเวณเหล่านี้ล้วนสังกัดส�านักมหาวิหาร (พระมหานามเถระ และคณะบัณฑิต ภาค 1: 2553; 516-517) นอกจากนนั้ เสาศิลาจารกึ แห่งราชมาฬิกาวะได้ระบุว่าพระองค์โปรดให้ถวายหมู่บ้านแห่งหน่ึงนาม ว่ากิณิคามะแด่อารามชื่อว่ากุฬุติสรัดมหาเวเหระ ซึ่งสังกัดส�านัก มหาวิหาร (EZ. II: 1985; 50) ส�าหรบั สา� นกั อภยั คริ วี ิหารน้นั พระองค์ กท็ รงถวายความอุปถมั ภเ์ ฉกเช่นเดยี วกันกับสา� นักมหาวหิ าร หลักฐาน จากจารกึ แหง่ สา� นกั อภยั คริ วี หิ ารระบเุ พมิ่ เตมิ วา่ พระองคโ์ ปรดใหช้ กั ชวน ชาวบ้านอุปสมบทในบวรพระพุทธศาสนา (EZ. I: 1994; 235) พระราชศรัทธาของพระองค์ต่อพระพุทธศาสนาเห็นได้จากข้อความ ในคัมภีร์มหาวงศ์ ซึ่งระบุว่า “สืบไปเบ้ืองหน้ากษัตริย์แห่งเกาะลังกา ทัง้ หลาย อยา่ ถือเอาเคร่อื งใช้ของพระสงฆเ์ ลย” (พระมหานามเถระและ คณะบณั ฑิต ภาค 1: 2553; 515)
12 ศรีลงั กากตกิ าวัตร ส่วนเช้ือพระวงศ์และข้าราชบริพารก็ด�าเนินตามเอาแบบอย่าง พระองค์ ดงั ตวั อยา่ งเช่น พระนางกติ ตเิ ทวีผ้เู ปน็ พระมเหสีโปรดให้สร้าง ปิรเิ วณะดา้ นหลงั ถปู ารามเจดยี ์ (สันนิษฐานว่านา่ จะถวายภิกษณุ ีสงฆ์- ผเู้ ขยี น) ถดั มาโปรดใหส้ รา้ งสระสรงนา้� สา� หรบั พระสงฆบ์ รเิ วณกปั ปาสคาม และทรงบูชารูวันแวฬิแสยะเจดีย์ด้วยธงธวัชยาว ๑๒ ศอก ส�าหรับ พระเสนกุมารผู้เป็นพระราชโอรสได้สร้างโรงพยาบาลส�าหรับคฤหัสถ์ ภายในพระนครเมอื งหลวง ดา้ นสกั กเสนาบดไี ดส้ รา้ งโรงพยาบาลสา� หรบั พระสงฆน์ อกเมอื งหลวง สว่ นอา� มาตยอ์ กี ๔ คน ไดส้ รา้ งปริ เิ วณะ ๔ แหง่ ภายในส�านักเชตวนั วหิ าร (พระมหานามเถระและคณะบณั ฑติ ภาค 1: 2553; 517-518) หลักฐานดังกล่าวเบ้ืองต้นช้ีให้เห็นถึงความส�าคัญ ของปิริเวณะ ซ่ึงสมัยน้ันเป็นสถานที่พักอาศัยของพระภิกษุสามเณรผู้ มงุ่ มนั่ ศกึ ษาพระธรรมวนิ ยั ของพระพทุ ธเจา้ ปริ เิ วณะสมยั นนั้ นอกจากจะ เป็นประโยชน์เพราะเชื่อมต่อกับที่พักอาศัยและการศึกษาของพระภิกษุ สามเณรแลว้ ยงั หมายรวมเอาภกิ ษณุ สี งฆด์ ว้ ย หลกั ฐานระบวุ า่ พระองค์ โปรดถวายความอุปถัมภ์แก่ภิกษุณีสงฆ์ ด้วยการสร้างส�านักภิกษุณี ช่ือว่ามหามัลลกะ ส�าหรับเป็นท่ีพักอาศัยของภิกษุณีผู้สังกัดส�านัก มหาวหิ าร (พระมหานามเถระและคณะบัณฑติ ภาค 1: 2553; 517) พระองค์นั้นทรงมีพระราชศรัทธาต่อพระสงฆ์กลุ่มหน่ึงชื่อว่า ปงั สกุ ลู กิ ะเปน็ กรณพี เิ ศษ หลกั ฐานดงั กลา่ วพรรณนาไวใ้ นคมั ภรี ม์ หาวงศ์ วา่ “พระองคร์ บั สง่ั ใหอ้ าราธนาพระสงฆผ์ ถู้ อื ผา้ บงั สกุ ลุ เปน็ วตั รมาประชมุ พร้อมกันบริเวณพระราชวัง ให้นั่งบนอาสนะอันจัดเตรียมดีแล้ว ให้ ถวายภตั ตาหารอันบริสทุ ธปิ์ ระณตี ให้ถวายภตั ตาหารอนั มีค่าราคาแพง เป็นนิตย์ ให้แพทย์หลวงท�าหน้าที่ดูแลรักษาพระสงฆ์เหล่าน้ันผู้อาพาธ
มหิ นิ ตะเลกตกิ า 13 ทรงพระราชทานน�้าตาลงบ เปรยี ง กระเทียมรสชาตดิ ี หมากพลูเครือ่ ง ดับกลิ่น และทรงถวายทานเจาะจงแด่ภิกษุเหล่าน้ันเป็นนิตย์ ได้แก่ เปรยี ง น้า� ข้น นา�้ ผ้งึ ผา้ ห่ม และผ้าปูลาด นอกจากนั้น โปรดใหถ้ วาย จตปุ จั จยั แกภ่ กิ ษผุ ู้ทรงผ้าบังสกุ ุลเป็นวัตรเปน็ นิตย์” (พระมหานามเถระ และคณะบัณฑติ ภาค 1: 2553; 514-515) ไม่มหี ลักฐานยนื ยนั วา่ เหตุ ใดพระองคจ์ งึ ทรงมพี ระราชศรทั ธาตอ่ พระสงฆก์ ลมุ่ ปงั สกุ ลุ กิ ะมากเชน่ นน้ั อาจเป็นไปได้ว่าสมัยนั้นคณะสงฆ์กลุ่มน้ีเป็นที่ยอมรับกันว่ามีวัตรปฏิบัติ ดงี ามตามพระธรรมวนิ ยั สงั เกตไดจ้ ากหลกั ฐานทางประวตั ศิ าสตรบ์ นั ทกึ เรอื่ งราวของคณะสงฆก์ ลมุ่ นบ้ี อ่ ยครง้ั นบั ตงั้ แตพ่ ทุ ธศตวรรษท่ี ๑๒-๑๕ (Gunawardana: 1979; 41) และสมยั นคี้ ณะสงฆก์ ลมุ่ ปงั สกุ ลู กิ ะนกิ าย ได้สร้างฐานตั้งมั่นแล้วท่ีอริฏฐบรรพตนอกเมืองหลวงอนุราธปุระ (ปัจจุบันเรียกว่าริฏิคะละ-ผู้เขียน) (พระมหานามเถระและคณะบัณฑิต ภาค 1: 2553; 481) หลักฐานดังกล่าวยังอ้างไว้ในจารึกของพระเจ้า เสนะท่ี ๑ ซ่ึงระบุว่า “พระเจ้าแผ่นดินพระนามว่าสลเมวันโปรดให้ สร้างริฏิคะละ” (EZ. III; 1994; 290-291) สันนิษฐานว่านอกจาก จะงดงามด้วยศีลาจารวัตรแล้ว พระสงฆ์กลุ่มปังสุกุลิกะน่าจะแตกฉาน ในพระไตรปิฎกและคัมภีร์อรรถกถาด้วย กรณีพระธรรมมิตตเถระแห่ง ส�านักติตถคามผู้แต่งคัมภีร์อภิธรรมวรรณนาตามค�าอาราธนาของ พระองคน์ า่ จะเป็นพระสังกดั คณะสงฆก์ ลุม่ นเี้ ป็นแนแ่ ท้ คณะสงฆ์อีกกลุ่มหนึ่งซึ่งพระองค์ทรงถวายความอุปถัมภ์เป็น กรณพี ิเศษเชน่ กัน ช่อื วา่ อารัญญกะหรอื ผู้อย่ปู า่ เปน็ วัตร หลกั ฐานจาก คมั ภรี ม์ หาวงศร์ ะบวุ า่ พระสงฆก์ ลมุ่ นป้ี รากฏเหน็ เปน็ ครงั้ แรกสมยั พระเจา้ กัสสปะที่ ๔ (พ.ศ.๑๕๕๑-๑๔๕๗) ซ่ึงหลักฐานระบุว่าเสนาบดี
14 ศรีลงั กากตกิ าวัตร นามวา่ เสนอฬิ งั คะไดส้ รา้ งอารามวหิ ารถวายแดพ่ ระสงฆผ์ อู้ ยปู่ า่ เปน็ วตั ร (พระมหานามเถระและคณะบัณฑติ ภาค 1: 2553; 494) สมัยตอ่ มา พระนางเทวาผเู้ ปน็ พระราชมารดาของพระเจา้ มหนิ ทะท่ี ๔ โปรดใหส้ รา้ ง อารามวหิ ารถวายแดพ่ ระสงฆก์ ลมุ่ นี้ “ผเู้ ปน็ ประดจุ ประทปี แหง่ เถรวงศ”์ (พระมหานามเถระและคณะบัณฑติ ภาค 1: 2553; 504) สว่ นพระองค์ นั้นโปรดให้ถวายความอุปถัมภ์ทุกส่ิงอย่างเช่นเดียวกันพระสงฆ์กลุ่ม ปังสุกูลิกะ (พระมหานามเถระและคณะบัณฑิต ภาค 1: 2553; 514-515) สันนิษฐานว่าเหตุที่พระองค์ทรงมีพระราชศรัทธาพระสงฆ์ กลุ่มน้ีน่าจะได้รับอิทธิพลจากพระราชมารดา ซ่ึงอุปัฏฐากดูแลพระสงฆ์ กลุ่มนี้มาก่อน หรืออาจเป็นเพราะพระสงฆ์กลุ่มน้ีแตกฉานในพระ อภิธรรมปิฎก เฉกเช่นพระทาฐานาคเถระ (พระมหานามเถระและ คณะบณั ฑิต ภาค 1: 2553; 516) เปน็ ทน่ี า่ สงั เกตวา่ พระสงฆก์ ลมุ่ ปงั สกุ ลู กิ ะสงั กดั ทง้ั สา� นกั มหาวหิ าร และอภยั คริ วี หิ าร (Gunaratne Panabokke: 1993; 100) แต่พระสงฆ์ กลุ่มอารัญญกะหลักฐานชี้บอกว่าสังกัดเฉพาะส�านักมหาวิหารเท่านั้น (Gunawardana: 1979; 45) อาจเป็นไปไดว้ า่ สมัยนัน้ คณะสงฆ์มีการ ปรับตัวให้สอดคล้องกับความต้องการของสังคมมากขึ้น ขณะท่ี อาณาจกั รเองกล็ ดความเขม้ งวดดา้ นนกิ ายลงเชน่ กนั สงั เกตไดจ้ ากการ ขาดหายไปของประเพณีปฏิรูปพระศาสนาและรวมนิกายสงฆ์ให้เป็น หน่ึงเดียว ช่องว่างดังกล่าวจึงเปิดโอกาสให้พระสงฆ์สามารถแยกตัว ปฏิบัตติ ามแนวคดิ แหง่ ตนได้อย่างอสิ รเสรี กล่าวตามหลักฐานสมัยบ้านเมืองแตกแยกระส่�าระสายน้ัน มี พระสงฆอ์ ารญั ญกะกลมุ่ หนงึ่ พา� นกั พกั อาศยั อยทู่ ท่ี มิ บลุ าคะละ (ภาษาไทย
มหิ นิ ตะเลกตกิ า 15 เรยี กวา่ อทุ มุ พร-ผเู้ ขยี น) ปจั จบุ นั อยใู่ นเขตโปโฬนนารวุ ะ ถอื วา่ เปน็ สา� นกั ขนาดใหญเ่ พราะมพี ระสงฆพ์ า� นกั พกั อาศยั ถงึ ๕๐๐ รปู (EZ. II: 1985; 195-196) นอกจากปฏบิ ตั วิ ิปสั สนากรรมฐานตามธรรมเนียมของวดั ป่า อรัญวาสีแล้ว พระสงฆ์ส�านักแห่งนี้ยังศึกษาพระปริยัติควบคู่ไปด้วย สังเกตได้จากมีพระสงฆ์นักปราชญ์นามอุโฆษหลายรูป ดังเช่น พระ กาศยปมหาเถระ พระสารีบุตรเถระ พระอานันทวนรัตนเถระ เป็นต้น (Gunawardana: 1979; 44-46) หลักฐานดังกล่าวน้ีช้ีให้เห็นว่าการ ศึกษาของคณะสงฆ์สมัยนั้น มิได้แยกเป็นพระบ้านคามวาสีหรือพระป่า อรัญวาสี แต่ต่างกันอยู่ที่ความหนักเบาของหลักสูตรซ่ึงขึ้นอยู่กับ ดลุ ยพนิ จิ ของพระเถราจารย์ของแต่ละนกิ าย ๑.ô สาเหตกุ ารตรากติกาวตั ร ข้อความบางแห่งในศลิ าจารึกแหง่ มหิ นิ ตะเลระบวุ า่ “เพราะทรงมี พระราชศรัทธาต่อพระสงฆ์ผู้พ�านักอยู่ท่ีอเภยคิริวิหารและเสยคิริวิหาร จึงมอบหมายใหพ้ ระราชอนุชาผเู้ ชย่ี วชาญสังฆกรรม ให้ตรากฎระเบียบ ขึ้นเหมือนคร้ังก่อน เพราะทรงเคารพคณะสงฆ์ผู้พ�านักในอารามแห่งน้ี อีกท้ังปรารถนาใหเ้ กิดความเทา่ เทยี มกันกับคนรับใช้ ทาสติดทดี่ ิน และ สอดคล้องกับภาระหน้าท่ีของคนเหล่านั้น รวมถึงรายรับและรายจ่าย” หลักฐานดังกล่าวชี้บอกว่าอารามแห่งน้ีไม่มีการตรากฎระเบียบมาก่อน อาจเป็นเพราะโครงสร้างการบริหารจัดการวัดมีความซับซ้อนมากข้ึน โดยเฉพาะอารามวหิ ารมที รพั ยส์ นิ เปน็ จา� นวนมาก ฆราวาสผเู้ ขา้ มาดแู ล ชว่ ยเหลอื แมเ้ บอื้ งตน้ จะมากดว้ ยศรทั ธา แตค่ รนั้ ภายหลงั ตอ่ มากแ็ สวงหา ช่องยึดประโยชน์ของอารามวิหารเป็นส่วนตน จึงเป็นเหตุให้พระเจ้า มหินทะท่ี ๔ โปรดใหป้ ระชุมสงฆ์ตรากฎระเบียบขน้ึ
16 ศรลี ังกากตกิ าวตั ร ขอ้ ความอกี ตอนหนง่ึ ของศลิ าจารกึ แห่งมหิ นิ ตะเลระบวุ ่า “ให้ตรา กฎระเบียบข้ึนเหมือนคร้ังก่อน” ชี้ให้เห็นว่าพระเจ้ามหินทะท่ี ๔ เคยโปรดให้ตรากฎระเบียบเช่นน้ีมาก่อน หลักฐานลักษณะเดียวกัน พบเห็นในจารึกภาษาสันสกฤตแห่งส�านักเชตวันวิหาร ซึ่งกล่าวถึงการ ตรากฎระเบียบเพ่ือแนะน�าพระสงฆ์และฆราวาสผู้อาศัยอยู่ภายใน อาณาบรเิ วณของอารามวหิ ารแหง่ นี้ หรอื ฆราวาสผอู้ าศยั ในทด่ี นิ อนั เปน็ ของอารามวิหาร (EZ. I: 1994; 3) ส่วนศิลาจารึกแห่งเชตวนาราม แผน่ ๒ ระบวุ า่ พระองคโ์ ปรดให้ตรากฎระเบียบลกั ษณะเดยี วกันส�าหรับ ภิกษุผู้พ�านักในส�านักอภัยคิรีวิหาร เหตุการณ์นี้เกิดข้ึนไม่นานหลังจาก พระองค์โปรดให้บูรณะเจดีย์และเสนาสนะหลายหลังภายในส�านัก อภัยคิรีวิหาร (EZ. I: 1994; 230) และข้อความในแผ่นศิลาจารึก ใกล้เรืออาหารบริเวณถูปารามเจดีย์ก็ระบุถึงกฎระเบียบส�าหรับการ บรหิ ารจดั การทดี่ นิ และหมบู่ า้ นสา� คญั เชน่ กนั (EZ. I: 1994; 114) จารกึ เหลา่ น้ลี ้วนเกิดขึ้นก่อนจารกึ มหิ นิ ตะเล จงึ สามารถสรุปไดว้ ่ากฎระเบียบ ดังกล่าวน่าจะเกิดประสิทธิภาพ จึงเป็นเหตุให้พระองค์โปรดให้ตราขึ้น เพ่อื ใช้ในอารามวิหารหลายแห่ง พระวลั โปละราหลุ เถระแสดงความเหน็ ไวว้ า่ “กฎระเบยี บทปี่ รากฏ เห็นในแผ่นศิลาจารึกแห่งมิหินตะเลนั้น เป็นการบริหารอารามวิหาร ภายใต้อทิ ธพิ ลของมหายาน” (Walpola Rahula: 1996; 136) เหตุที่ พระราหุลเถระแสดงความคิดเห็นเช่นนี้ เพราะเห็นว่าสมัยน้ันมิหินตะเล เป็นส่วนหนง่ึ ของสา� นกั อภยั คริ ีวหิ าร หลกั ฐานจากศิลาจารกึ เองกย็ ้�าวา่ อารามแหง่ นโี้ ดง่ ดงั เคยี งคกู่ บั สา� นกั อภยั คริ วี หิ าร การจะทา� สง่ิ ใดยอ่ มอยู่ ภายใต้อิทธิพลของมหายานสิ้น แต่หากวิเคราะห์อย่างละเอียดจะเห็น วา่ การตรากฎระเบยี บเชน่ เดยี วกนั นี้ เกิดมีขน้ึ ตั้งแต่สมัยพระเจา้ กัสสปะ
มิหนิ ตะเลกติกา 17 ที่ ๕ ผู้เป็นพระบรมชนกนาถ และเกิดขึ้นแก่คณะสงฆ์ทั่วไปมิได้จ�ากัด ว่าจะสังกัดส�านักใด ส่วนเน้ือหาก็เป็นไปในลักษณะเดียวกัน กล่าวคือ จัดระเบยี บพระสงฆแ์ ละฆราวาสผ้ดู ูแลอารามวหิ าร โดยแยกพระสงฆ์ให้ ประพฤตติ ามพระธรรมวนิ ยั อยา่ งเครง่ ครดั ขณะเดยี วกนั ฆราวาสผรู้ บั ใช้ ดแู ลอารามวหิ ารกม็ กี ฎระเบยี บสา� หรบั ดา� เนนิ ตามอยา่ งเครง่ ครดั เชน่ กนั โดยเน้นถึงความเท่าเทียมกันแต่ละต�าแหน่ง ทั้งหน้าท่ีการงานและการ ตอบแทนด้วยค่าใช้จ่าย อิทธิพลมหายานดังกล่าวน่าจะเป็นการเน้น อารามวิหารเปน็ หลกั อกี เหตผุ ลหนง่ึ ซงึ่ ไมส่ ามารถกา้ วขา้ มไดก้ ค็ อื เรอ่ื งการเมอื ง จะเหน็ ไดว้ า่ เมอื่ อารามวหิ ารแตล่ ะแหง่ มที รพั ยส์ นิ มากขนึ้ ยอ่ มหมายถงึ มฆี ราวาส เข้ามาดแู ลและอารักขาอารามวหิ ารมากข้นึ ฆราวาสเหลา่ น้นั ล้วนไดร้ ับ สทิ ธพิ เิ ศษไมต่ อ้ งเสยี ภาษแี ละไมต่ อ้ งเขา้ เวรตามระบบราªกรี Âิ ะ (ลกั ษณะ เหมือนระบบไพร่ของไทย-ผู้เขียน) ฆราวาสเหล่านี้เป็นสิทธิขาดของ การกสงฆผ์ มู้ อี า� นาจบญั ชาบงั คบั เมอ่ื จา� นวนทด่ี นิ และผคู้ นถกู โอนอา� นาจ เปลยี่ นมอื ไปสอู่ ารามวหิ าร ยอ่ มเปน็ เรอื่ งธรรมดาทอ่ี าณาจกั รตอ้ งเขา้ มา ตรวจสอบดูแลอย่างใกล้ชิดโดยอ้างถึงพระราชอ�านาจ ด้วยการออก กฎระเบยี บควบคุมอารามวิหารใหด้ งี ามตามพระธรรมวนิ ัย ด้วยวิธีนจ้ี งึ ท�าให้อาณาจักรมอี ทิ ธพิ ลเหนอื ศาสนจกั รอยูเ่ ช่นเดิม
18 ศรีลังกากตกิ าวตั ร แผน จารึกของพระเจามหินทะท่ี ๔ บรเิ วณทางข้ึนมหิ นิ ตะเล (คัดลอกจาก www.google. co.th/maps) บริเวณช้ันบนของมิหินตะเล เช่ือวาเปนสถานท่ีพบกันระหวางพระมหินทเถระกับ กษัตริยล์ ังกา (คดั ลอกจาก www.google.co.th/maps)
มิหนิ ตะเลกติกา 19 ซากปรักหกั พงั บริเวณชั้นลางมหิ ินตะเล (คัดลอกจาก www.google.co.th/maps) ปญ จวาสะบริเวณชัน้ ลางมิหินตะเล (คดั ลอกจาก www.google.co.th/maps)
20 ศรีลงั กากตกิ าวตั ร ถปู ารามเจดยี ์หรอื เจดีย์แหงแรกของศรีลังกา ภายในเมืองหลวงเกาอนรุ าธปรุ ะ (คดั ลอก จาก www.google.co.th/maps) เจดีย์บริวารของรุวันแวฬิแสยะเจดีย์ ภายในเมืองหลวงเกาอนุราธปุระ (คัดลอกจาก www.google.co.th/maps)
มหิ นิ ตะเลกติกา 21 ซากปรักหักพังบริเวณสาํ นกั อภยั คิรวี ิหาร ภายในเมืองหลวงเกาอนรุ าธปรุ ะ (คัดลอกจาก www.google.co.th/maps) ซากปรักหักพังบริเวณสํานักมหาวิหาร ภายในเมืองหลวงเกาอนุราธปุระ (คัดลอกจาก www.google.co.th/maps)
22 ศรลี งั กากตกิ าวัตร เวจ็ กุฎหี รือสวมโบราณ ภายในหมูอาคารทพี่ ักสงฆ์บรเิ วณมหิ นิ ตะเล โลหมหาปราสาทหรืออุโบสถของคณะสงฆ์สํานักมหาวิหาร ภายในเมืองหลวงเกา อนุราธปรุ ะ
มิหินตะเลกติกา 23 ๑.๕ มหิ นิ ตะเลกตกิ า (แ»ล) ¨ารÖกแ¼น‹ แรก วันข้ึน ๑๐ ค่�า เดือน ๑๐ ตรงกับปีที่ ๑๖ แห่งการเสวย มไหศวรรยข์ องกษตั รยิ ผ์ เู้ ปน็ ราชาธริ าชพระนามวา่ สริ -ิ สงั ฆโบย-อะภะเหย (isrs-iÕfndêa-wNfyhA) ผู้ประสูติจากกษัตริย์มหาราชพระนามว่า อะภะเหย-สลเมวนั (wNfyhA-i,fujka) พระองคเ์ ปน็ กษตั รยิ ผ์ ยู้ ง่ิ ใหญ่ สืบสันตติวงศ์มาจากพระเจ้าโอกกากะ ทรงด�ารงเสมือนยอดฉัตรเหนือ วรรณะกษตั รยิ อ์ นั รงุ่ เรอื งแผไ่ พศาล ทรงมปี ระสตู กิ าลจากพระครรภข์ อง พระอัครมเหสีพระนามว่าเทพ-โคน (foõ-f.dkA) ซ่ึงเป็นขัตติยะวงศ์ เสมอพระบรมชนกนาถ พระองค์ทรงพระเกียรติยศเหนือกษัตริย์ สามันตราชน้อยใหญ่ และมีพระเดชานุภาพสว่างไสวโชตนาการเหนือ เกาะลังกา พร้อมทรงกอปรด้วยพระรัศมีแห่งความเป็นราชาธิปัตย์ คราวนั้นพระองค์โปรดให้ประชุมคณะสงฆ์ผู้พ�านักอาศัยที่เสย-คิริ-วิหาร (fiha-.srs-úydr) และอเภย-คิร-ิ วหิ าร (wfNhA-.srs-úydr) ณ ท่ีประชุมแห่งนี้แล พระองค์โปรดปรึกษาหารือกับผู้มีความ สามารถปรารถนาออกกฎระเบียบสา� หรับอารามวหิ ารแหง่ นี้ เหตุเพราะ พระองค์ทรงมีพระราชศรัทธาต่อพระสงฆ์ผู้พ�านักอยู่ที่อเภย-คิริ-วิหาร และเสย-คริ -ิ วิหาร จึงมอบหมายให้พระราชอนชุ าผู้เชยี่ วชาญสงั ฆกรรม ใหต้ รากฎระเบยี บขน้ึ เหมอื นครงั้ กอ่ น เพราะทรงเคารพคณะสงฆผ์ พู้ า� นกั อาศัยในอารามแห่งน้ี อีกทั้งปรารถนาให้เกิดความเท่าเทียมกันกับ คนรับใช้ ทาสติดท่ีดิน และสอดคล้องกับภาระหน้าท่ีของคนเหล่าน้ัน รวมถึงรายรับและรายจ่าย คร้ันทรงปรึกษากับคณะสงฆ์เรียบร้อยแล้ว พระองค์จึงโปรดใหต้ รากฎระเบียบดังตอ่ ไปนี:้
24 ศรลี ังกากตกิ าวตั ร พระภิกษุผู้พ�านักพักอาศัยอารามแห่งน้ี ควรต่ืนแต่เช้าตรู่และ ปฏบิ ัติกรรมฐานตามหลกั ภาวนา ๔ ครั้นช�าระฟันเสร็จแลว้ ควรห่มผา้ กาสาวพัสตร์ให้เป็นปริมณฑลดังแสดงไว้ในคัมภีร์สิกกรณี (islAlrKS) ควรไปหอ้ งเกบ็ พสั ดขุ องแอตเวเหระ (wE;Afjfyr) ควรแจกจา่ ยสงิ่ ของ และเตรียมพระสูตรส�าหรับสาธยายพระปริตรในโรงฉัน จากน้ันจึงรับ ข้าวยาคูพร้อมข้าวต้ม หากพระภิกษุรูปใดไม่สามารถช่วยงานห้องเก็บ พัสดุเพราะอาพาธ ควรถวายหนึ่งวะสัก หลังผ่านการตรวจของแพทย์ แล้ว ส�าหรับพระภิกษุผู้พ�านักภายในอารามวิหารแห่งนี้ หากสามารถ เข้าใจพระวินัยปิฎกย่อมได้รับค่าอาหารและเครื่องนุ่งห่ม ๕ วะสัก ผู้สามารถเขา้ ใจพระสตุ ตนั ตปฎิ กย่อมได้ ๗ วะสกั และผู้สามารถเขา้ ใจ พระอภธิ รรมปิฎกย่อมได้ ๑๒ วะสัก เมอ่ื ทายกคา� นวณแลว้ ถวายสงิ่ จา� เปน็ สา� หรบั การดา� รงชวี ติ คิ วรรบั ไดย้ กเว้นมีเหตุให้สละ สา� หรับพระภกิ ษุผูพ้ �านักอาศัยอยา่ งถาวร ทายก ควรถวายสง่ิ จา� เปน็ สา� หรบั การดา� รงเพศสมณะ ควรรบั ทดี่ นิ และหมบู่ า้ น ติดกบั ท่ีอยสู่ งฆเ์ ชอื่ มกบั อาราม แต่ไม่ควรยนิ ดีลักษณะเดียวกันกับท่อี ยู่ อันคาบเก่ียวกัน คณะสงฆ์ควรตรากฎระเบียบส�าหรับคนงานชายหญิง หากไลค่ นงานออกต้องผ่านคณะสงฆ์เท่าน้นั ไม่ควรตรากฎระเบยี บโดย ค�าส่ังของใครคนใดคนหนึง่ พระภิกษุผู้พ�านักภายในอารามแห่งน้ีไม่ควรครอบครองที่นาและ สวนดอกไม้เป็นต้น ในท่ีดินอันเป็นของแอตเวเหระ พระภิกษุไม่ควร อนญุ าตใหผ้ อู้ าศยั มอี า� นาจดา� เนนิ กจิ การอนั ใดในทดี่ นิ ทกุ แหง่ ซง่ึ เชอื่ มตดิ กับแอตเวเหระ พระภิกษุผู้ละเมิดกฎระเบียบเหล่านี้ไม่ควรให้พ�านักใน อารามแหง่ นี้ สว่ นพระภิกษุผดู้ ูแลเพอื่ นพรหมจารกี ็ดี ฆราวาสผคู้ วบคมุ
มิหินตะเลกติกา 25 วิหารก็ดี ผู้ควบคุมกฎก็ดี คนรับใช้ก็ดี ผู้แจกจ่ายส่ิงของก็ดี เสมียน ของอารามก็ดี นายทะเบียนกรัณฑ์ก็ดี และผู้ดูแลรักษากรัณฑ์ก็ดี ควรประชุมร่วมกันในแอตเวเหระ พร้อมกับคณะสงฆ์จากสองคณะใน อภัยคิรีวิหาร (wNh.srsúydr) ผู้มีเจตนาช่วยเหลือ จากนั้นควรเลือก สถานท่ีท�างานควรท�าหน้าท่ีจ่ายและช�าระเงินเป็นต้นอย่างเคร่งครัด ท้งั ภายในและภายนอกอารามวหิ าร ส�าหรับจุดประสงค์ของการจ่ายค่าตอบแทนการท�างาน โดยผู้ เก่ียวข้องกับการจ่ายและการช�าระเงิน ทั้งภายในและภายนอกวิหาร การรกั ษาความปลอดภยั ควรเปน็ หนา้ ทข่ี องฆราวาสผเู้ หมาะสมและดแู ล สถานท่ีท�างาน หากคนรับใช้พระสงฆ์ได้รับการแต่งตง้ั ไมค่ วรจา่ ยค่าจ้าง เนือ่ งจากนายทะเบียนลงชื่อไว้แลว้ กรัณฑ์ท่ีประดับด้วยกุญแจควรเก็บในหอพระธาตุ และมอบให้ แกเ่ จา้ หนา้ ทผ่ี ดู้ แู ลหอพระธาตพุ รอ้ มตราประทบั ของเจา้ หนา้ ทผี่ มู้ ตี า� แหนง่ รักษาตราประทับ เฉพาะเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลอารามวิหารบางคน ควรมี คนรับใช้อย่างน้อยสามคน ซ่ึงต้องดูแลกองงานการจ่ายกล่าวคือ สถานท่ีรับข้าวเปลือก และกองงานต้มข้าวสุกและข้าวยาคู เพ่ือถวาย พระภิกษุเพลาเพล ทรัพย์สินอันเป็นของหอพระธาตุภายในแอตเวเหระไม่ควรให้ยืม หรือซ้อื ขาย เจา้ หน้าท่ไี ม่ควรให้คนอื่นรับใชต้ นเอง หรือไม่ควรอนุญาต ใหไ้ ปทา� งานอยา่ งอนื่ ของเพอ่ื นบา้ น เจา้ หนา้ ทภ่ี ายในแอตเวเหระควรดแู ล ปะยะละของท่ีดินซึ่งดัมคมิยะบริจาคให้ เพื่อบูรณะเจดีย์แห่งกตุมหะ นอกจากรายได้เพ่ือน�าไปบูรณะเจดีย์ดังกล่าวแล้ว เจ้าหน้าที่ควรดูแล รักษาเจดีย์กิริบัณฑะปะวุสองกิริยะแห่งที่ดินนอกจากแอฬ-คมิยะ (we<A.ñh)
26 ศรีลงั กากตกิ าวตั ร ส�าหรับหอพระธาตุก็ดี วิหารประดิษฐานพระพุทธรูปศิลาอันเป็น มงคลกด็ ี วหิ ารรอบตน้ พระศรมี หาโพธิกด็ ี วิหารแห่งนยินทะก็ดี วหิ าร ของเทพธิดานามว่ามิณินาลก็ดี กตุมหแสยะเจดีย์ก็ดี ดังกล่าวแล้ว เบ้ืองต้น หรือว่าเจดีย์กริบัณฑปวุและเจดีย์อีกหลายแห่งบนเนินเขาช้ัน บนและชนั้ ลา่ งยอ่ มเปน็ สมบตั ขิ องแอตเวเหระ การนอ้ มถวายควรกระทา� ทุกสถาน เช่นเดียวกับหนึ่งร้อยกฬัณฑะน�้าหนักทองและที่นาสิบยหละ จากแอตเวเหระ ทกุ สิง่ อย่างน้ีควรใชป้ ระโยชนแ์ ละบูรณะเจดียท์ ง้ั หลาย นอกจากน้ัน ศาสนสถานทุกแห่งภายในบริเวณของอารามวิหารแห่งนี้ ควรบรู ณปฏิสังขรณ์ทุกปี การแบง่ สว่ นนอกจากคา่ ปรบั ภาษเี คดณั ฑะและภาษโี กดณั ฑะแหง่ ดุมมลัสสมุลในหมู่บ้านคุแตและกรันแด ซ่ึงเป็นสมบัติของหอพระธาตุ และวิหาร อารามวิหารนั้นควรยึดไว้ เช่นเดียวกับค่าจ้างของคนใช้ผู้ ดื้อรั้น หน่ึงในส่วนสามของผลผลิตจากต้นไม้และพันธุ์พืชเกี่ยวกับ กิรบแณฑปะวุ บา้ นเช่าของสังฆแวลละ อ่างเกบ็ นา้� มนแุ วสะระ อา่ งเกบ็ น�้าสองแห่งท้ังชั้นบนและด้านล่างของฬหิณิยปะวุพร้อมกับสังฆแวลละ ท่ีดินรอบสระน�้าปหแนวิลและรอบสระน้�าโปโรเดนิโปกุณะ เป็นรายได้ ทงั้ หมด อารามวหิ ารควรยดึ ไว้ ควรเก็บภาษีท่ีดินกับฆราวาสผู้อาศัยอยู่ในท่ีดินของอารามวิหาร อยา่ งเหมาะสม แตไ่ มค่ วรเกบ็ ทาสตดิ ทด่ี นิ และเจา้ หนา้ ท่ี สา� หรบั ผหู้ ม่ ผา้ กาสาวพัสตร์แต่กระท�าตัวเสมือนฆราวาสวิสัย ด้วยการเสแสร้งเสมือน ซอ้ื และขายเปน็ ตน้ ควรยดึ เอาสตั วม์ ชี วี ติ เสยี แลว้ ขบั ไลอ่ อกจากบรเิ วณ รอบภูเขา เจ้าหน้าท่ีไม่ควรยึดเอาสมบัติของทาสรับใช้ผู้ซ่ือสัตย์มาเป็น ของตน ยกเวน้ น�ามาใช้ในอารามวหิ าร หม่บู ้านและทด่ี นิ ทง้ั หมดอันเปน็
มหิ ินตะเลกติกา 27 ของอารามวิหารแหง่ น้ี ควรบรหิ ารจดั การด้วยการใหเ้ ชา่ แตม่ ิใชบ่ ังคบั โดยกฎหมาย ควรยกเว้นกฎเกณฑ์กล่าวคือการเปลี่ยนเวรสามวันต่อคร้ัง การ เปลย่ี นเวรวนั อน่ื เช่นเทศกาลอโุ บสถไม่ควรกา� หนดให้แนน่ อน ถ้าไม่เปน็ สมบตั ทิ ใ่ี หใ้ นลกั ษณะมชี วี ติ แกเ่ จา้ หนา้ ทแ่ี ละทาสตดิ ทด่ี นิ ของอารามวหิ าร ไม่มีที่นาสวนดอกไม้เป็นต้น แต่ละแห่งเป็นสมบัติของแอตเวเหระ ควร ถือครองด้วยการจ�านองหรือสินน้�าใจหรือการให้เช่า เจ้าหน้าท่ีคนใด เลกิ ทา� งานในอารามวิหารแลว้ ไมค่ วรรบั เขา้ มาอีก ดว้ ยค่าเบี้ยเล้ยี งจาก ชนชาวเกาะ ยกเว้นการแจกจ่ายข้าวเปลือกที่ชาวนาให้ตามธรรมเนียม เก่ากอ่ น ไม่ควรรบั จากผเู้ ชา่ เจ้าหน้าทีไ่ ม่ควรถอื เอาแอกจากผูเ้ ช่าแลว้ บงั คบั ใหท้ า� เกษตรกรรมในทดี่ นิ ตนเอง ทนี่ าซงึ่ ไดจ้ ากการเชา่ และยดึ ครอง โดยชาวนาในลักษณะการสืบทอดตามประเพณีไม่ควรยึดครอง ถ้าหาก ไมม่ ีการถอื ครอง ไมค่ วรละเมดิ กฎหมายและความอยตุ ธิ รรมก็ไมค่ วรท�า ไม่ควรตัดตนไม้หรือพุ่มไม้ กรณีหมู่บ้านและท่ีดินมิได้เป็นของ อารามวหิ ารแหง่ น้ี หากเป็นตน้ ลานก็ดี ตน้ มกี ็ดี และต้นไมใ้ หล้ ูกอื่นอีก กด็ ี ไมค่ วรอนญุ าตหกั โคน่ ยกเวน้ ไดร้ บั อนญุ าตหรอื ไดร้ บั ความเหน็ ชอบ จากเจ้าหน้าทผ่ี ู้ดูแลเรยี บรอ้ ยแล้ว หากผู้เช่าท�าความผิดควรปรับตามธรรมเนียมของหมู่บ้านด้วย ค่าปรับคือทรัพย์สิน ควรจัดแบ่งงานอ่างเก็บน�้าเป็นเส้นผ่าศูนย์กลาง ๑๖ นิ้ว และหน่ึงน้ิวในส่วนลึกแห่งอ่างเก็บน�้ามิแน หากมิได้ท�าเช่นน้ี ควรมีการเก็บภาษีตามค่าปรับเป็นทรัพย์สิน ยกเว้นสิ่งท่ีให้ด้วย ค่าเบ้ียเล้ียงส�าหรับผู้เก็บค่าเช่าของหมู่บ้านและท่ีดินอันเป็นของอาราม วิหารแห่งน้ี ควรด�าเนินการเร่ืองอื่นทั้งหมดด้วยความสุจริต โดยการ
28 ศรลี งั กากตกิ าวตั ร เห็นพ้องของเจ้าหน้าที่ทุกต�าแหน่ง นอกจากน้ันควรแจ้งเจ้าหน้าที่½่าย ทะเบยี นดว้ ย ไม่ว่าจะเป็นการใช้จ่ายรายวันเพ่ือรักษามหแปของผู้เก็บค่าเช่า และการบรู ณะศาสนสถาน ควรแจ้งเจ้าหน้าท½่ี ่ายทะเบยี นเฉพาะส่วนท่ี อ้างถึงน้ี รายละเอียดทั้งหมดควรท�าด้วยความสุจริต โดยการเห็นพ้อง ของเจ้าหน้าที่ผู้ด�ารงต�าแหน่ง หากพบเห็นข้อผิดพลาดควรตัดสิทธิ์ ออกจากบญั ชี แผ่นบรรจุรายละเอียดควรเก็บไว้ในกรัณฑ์แล้วปิดกุญแจไว้ และ ควรมีการเปิดเผยต่อสาธารณะทกุ เดอื น ข้อความรายละเอียดควรมีการ จัดเตรียมไว้ ข้อความรายละเอียดสิบสองแผ่นควรมีการรวบรวมเก็บไว้ ควรนา� มาอา่ นในทา่ มกลางทป่ี ระชมุ สงฆแ์ ละเกบ็ ไวต้ อนกระทา� สงั ฆกรรม เสร็จแล้ว เจ้าหน้าท่ีท่านใดผ่า½ืนกฎระเบียบเหล่านี้ควรปรับเคทัณฑะ (f.oå) และขบั ไล่ออกจากต�าแหน่งเสีย จารกึ แผน่ สอง พระภิกษุผู้ดูแลนกา (kld) ควรแบ่งข้าวเปลือกหน่ึงแนฬิยะ ต่อวัน ค่าใช้จ่ายการจัดพิธีกรรมวันเข้าพรรษา ควรแบ่งหนึ่งกลัณฑะ และสอี่ ะกะนา�้ หนกั ทองคา� พธิ กี รรมวนั ออกพรรษากเ็ ชน่ เดยี วกนั สา� หรบั ผู้ควบคุมกฎระเบียบของอารามวิหารควรได้รับส่วนแบ่งท่ีดินห้ากิริยะ นอกนั้นเป็นข้าวเปลือกหนึ่งแนฬิยะต่อวัน ส่วนราคาของปูนขาวและ ดอกไม้ควรไดร้ ับสว่ นแบ่งสบิ หา้ กฬัณฑะแหง่ ทองค�าต่อปี พนักงานเสมียนของอารามวิหาร ผู้จดทะเบียนของกรัณฑ์ก็ดี ผรู้ กั ษากรณั ฑก์ ด็ ี และพนกั งานแจกพสั ดกุ ด็ ี แตล่ ะคนควรไดร้ บั สว่ นแบง่
มหิ นิ ตะเลกติกา 29 ที่ดินห้ากิริยะ ผู้ดูแลควรได้รับที่ดินหน่ึงกิริยะและสองปะยะพร้อมด้วย ขา้ วเปลอื กสองอฑมนาทกุ วนั ผทู้ า� หนา้ ทดี่ แู ลรอบอารามวหิ ารควรไดร้ บั ท่ีดินสองปะยะและข้าวเปลือกหน่ึงอฑมนะทุกวัน และหัวหน้าแห่ง เทศกาลควรไดร้ บั ท่ดี นิ หนึง่ กริ ยิ ะและหนงึ่ วะสักจากทมิยะ (oñh) ส�าหรับราคาของปูนขาวและดอกไม้ควรได้สามกฬัณฑะและสอง อกะแหง่ ทองคา� ทกุ ปี ควรใหแ้ กค่ นรบั ใชผ้ ดู้ แู ลรกั ษาปศสุ ตั วเ์ ปน็ ทดี่ นิ หนง่ึ กิริยะและหน่ึงวะสักจากทมิยะ ผู้จัดเตรียมเคร่ืองแต่งกายในเทศกาล เฉลิมฉลองต้นพระศรีมหาโพธ์ิควรให้หน่ึงกฬัณฑะแห่งทองค�า ผู้จัด เตรยี มบาตรดนิ เผาควรใหท้ ด่ี นิ หนง่ึ ปะยะและขา้ วเปลอื กสองปะตะทกุ วนั ผจู้ ดั เตรยี มพธิ กี ารภายนอกและคนรบั ใชภ้ ายในพระราชวงั แตล่ ะคนควร ให้ท่ีดินหน่ึงกิริยะและสองปะยะพร้อมกับข้าวเปลือกสองอฑมนาทุกวัน โอฬแกมยิ ะควรใหท้ ด่ี นิ สองปะยะและขา้ วเปลอื กหนง่ึ อฑมนาและสองปะตะ ทกุ วนั เปแรแวฬยิ ะแหง่ อารามปยิ นั คลั ควรใหท้ ด่ี นิ สองปะยะและหนง่ี วะสกั จากทมิยะ ผู้ดูแลราคาเคร่ืองแต่งกายส�าหรับเทศกาลรุวมสุนเพ่ือเฉลิม ฉลองพระศรีมหาโพธ์ิ ควรใหห้ น่ึงกฬณั ฑะแหง่ ทองค�า เปเรแวฬิยะแหง่ อารามสลเมวันเปวีควรให้ท่ีดินสองปะยะและหนึ่งวะสักจากทมิยะ หัวหน้าแห่งจิตรกรควรให้ที่ดินสองปะยะพร้อมข้าวเปลือกหนึ่งอฑมนา และหนง่ึ ปะตะทกุ วนั ชา่ งวาดภาพอกี สบิ เอด็ คนควรใหท้ ด่ี นิ สองปะยะและ หนงึ่ วะสกั จากทมยิ ะเทา่ เทยี มกนั คนรบั ใชข้ องสมหุ บ์ ญั ชสี ค่ี นควรใหข้ า้ ว เปลอื กหนง่ึ อฑมนาทกุ วนั และทดี่ นิ สองปะยะสา� หรบั เลยี้ งชพี เทา่ เทยี มกนั คนใช้ผู้รับผ้ากาสาวพัสตร์ตามมติที่ประชุมสงฆ์ของอารามวิหาร แห่งน้ีก็ดี คนใช้ผู้รับผ้ากาสาวพัสตร์ตอนส้ินสุดเทศกาลเข้าพรรษาก็ดี กม็ ีลักษณะเชน่ เดียวกันดังกลา่ วถึงแล้ว
30 ศรีลงั กากตกิ าวตั ร สองอัลสัมแห่งวิหารควรให้ที่ดินสองปะยะพร้อมข้าวเปลือกหนึ่ง อฑมนาและหนึ่งปะตะทุกวัน ควรให้หัวหน้าผู้ดูแลฉางข้าวด้วยที่ดิน สองปะยะพร้อมข้าวเปลือกหน่ึงอฑมนาและสองปะตะทุกวัน ควรให้ผู้ ดแู ลฉางขา้ วดว้ ยทด่ี นิ สองปะยะพรอ้ มขา้ วเปลอื กหนงึ่ อฑมนาทกุ วนั ควร ใหส้ ตรผี ดู้ แู ลอารามวหิ ารดว้ ยทดี่ นิ หนง่ึ ปะยะพรอ้ มขา้ วเปลอื กหนง่ึ อฑมนา และสองปะตะทกุ วนั ผเู้ ½า‡ โรงฉนั ควรใหท้ ด่ี นิ หนง่ึ ปะยะพรอ้ มขา้ วเปลอื ก หนงึ่ อฑมนาและสองปะตะทกุ วนั สา� หรบั ผอู้ อกกฎเพอื่ มณิ ฑคิ วรใหท้ ดี่ นิ สองปะยะ ควรให้สาวใช้มิณฑิผู้รับจ้าง ๒๔ คน ด้วยท่ีดินหน่ึงปะยะ และหนงึ่ กฬณั ฑะแหง่ ทองสา� หรบั เครอ่ื งแตง่ กายทกุ คนทกุ ปี ควรใหค้ นใช้ ผู้ดูแลกิจธุระของสังฆแวลละด้วยที่ดินหน่ึงคิริยะและข้าวเปลือกหนึ่ง อฑมนาทุกวัน ควรให้คนรับใชผ้ มู้ หี นา้ ที่ประกอบอาหาร ๑๒ คน ด้วย ทด่ี นิ หนง่ึ กริ ยิ ะและสองปะยะจากหมบู่ า้ นนามวา่ ตโฬละคามะเทา่ เทยี มกนั ควรใหผ้ เู้ ปน็ หวั หนา้ ของคนรบั ใชเ้ หลา่ นน้ั ดว้ ยขา้ วเปลอื กหนง่ึ อฑมนาและ หนึ่งปะตะทุกวัน ควรให้สตรีสาวใช้ผู้จัดหาฟืนและประกอบอาหารเป็น ข้าวเปลอื กสามอฑมนาทุกวัน สว่ นคนรับใชผ้ ู้จัดหาฟนื แต่ไมไ่ ดป้ ระกอบ อาหารและคนใชผ้ ทู้ า� งานตามคา� สง่ั ควรใหข้ า้ วสองอฑมนาเทา่ เทยี มกนั และควรใหค้ นใชผ้ ปู้ ระกอบอาหารดว้ ยฟนื ของคนอนื่ เปน็ ขา้ วหนงึ่ อฑมนา เท่านน้ั ส�าหรับแพทย์ควรได้รับทรัพย์สินหน่ึงนิยแปลิยาจากเทติแสเสณะ และหน่ึงวะสักจากเทมิยะ แพทย์ผู้ใช้ปลิงรักษาควรได้รับท่ีดินสองปะยะ และหน่ึงวะสักจากเทมิยะ มัณโดวุวะคนเดียวควรได้รับท่ีดินหน่ึงกิริยะ และสองปะยะและหนึ่งวะสักจากเทมิยะ นักโหราศาสตร์ควรได้รับที่ดิน สองกิริยะและหนึ่งวะสักแห่งทมิยะ ช่างกัลบกควรได้รับที่ดินหนึ่งกิริยะ และหนึ่งวะสักจากทมิยะ ผู้รักษาหอพระธาตุก็ดี หัวหน้าของผู้ติดตาม
มิหินตะเลกตกิ า 31 คนอุปัฏฐากก็ดี ผู้ดูแลทะเบียนวิหารก็ดี ผู้ควบคุมผู้ท�างานตามเวร ๓ คนก็ดี คนใช้ก็ดี หมู่บ้านกรันแฑคามะเพ่ือการรักษาก็ดี และ ดุมมัลอัสสัมทั้งหมดผู้เปลี่ยนเวรรับใช้ก็ดี ควรได้ส่ีวะสักจากทมิยะ สว่ นผจู้ ดั เตรยี มไสต้ ะเกยี งและนา�้ มนั เพอ่ื จดุ ประทปี ในหอพระธาตุ ควรได้ รบั ท่ดี นิ หน่งึ ปะยะละจากหมู่บา้ นกรนั แดคามะแห่งนี้ สา� หรบั ชา่ งจดั ดอกไมส้ องคนผจู้ ดั เตรยี มดอกบวั ขาวในหอพระธาตุ ควรได้รับที่ดินสองกิริยะจากหมู่บ้านกรันแดคามะแห่งนี้และหน่ึงวะสัก จากทมิยะเท่าเทียมกัน คนเก็บดอกบัวสีน�้าเงินผู้จัดหาดอกไม้ในอัตรา ๑๒๐ ดอกตอ่ เดอื น ควรไดร้ บั สองกริ ยิ ะแหง่ เดอื นจากสปุ คุ ามยิ ะ จติ รกร ควรไดร้ บั สองกริ ยิ ะ หวั หนา้ เขตผดู้ แู ลหอพระธาตคุ วรไดร้ บั ขา้ วหนงึ่ นฬยิ ะ ทกุ วนั ดมุ มลั อสั สมั หกคนของอารามวหิ ารผบู้ รรจพุ ระพทุ ธรปู ขนาดใหญ่ ควรไดร้ บั ทดี่ นิ สองปะยะจากหมบู่ า้ นแหง่ น้ี และหนง่ึ วะสกั จากทมยิ ะเทา่ เทยี ม กัน และดมุ มัลอัสสัมแห่งหม่บู า้ นนค้ี วรได้รับสองวะสักจากทมิยะ สา� หรบั ปณู าแกมยิ ะแหง่ อารามวหิ าร ซง่ึ มพี ระพทุ ธรปู ศลิ าอนั เปน็ มงคลขนาดใหญ่ และผทู้ า� หนา้ ทเี่ ชน่ น้ี ควรไดร้ บั ทด่ี นิ สองปะยะพรอ้ มขา้ ว หน่ึงอฑมนาและสองปะตะทุกวันเท่าเทียมกัน ผู้รับใช้ในสถานท่ีท�างาน ของผแู้ บง่ ถว้ ย หากเปน็ ผเู้ ตรยี มนา�้ มนั เพอ่ื พรมพระพทุ ธรปู ในหอพระธาตุ และเตรียมผ้าด้ายดิบส�าหรับกรองน�้าหรือส่ิงของอันเดียวกันภายใน อามรามวิหาร ควรได้รับที่ดินหน่ีงกิริยะและสองปะยะพร้อมข้าวสอง อฑมนะทุกวัน หัวหน้านายช่างซึ่งสังกัดกลุ่มช่างแห่งโบณฑะเวเหระ ช่าง½ีมือสองคนก็ดี ช่างแกะสลักแปดคนก็ดี และช่างก่ออิฐสองคนก็ดี ควรได้รับหมู่บ้านเวฑเุ ทแวคามะเท่าเทยี มกนั ส�าหรับคนท�างานในป่าสองคนควรได้รับท่ีดินหนึ่งกิริยะเท่าเทียม กัน ช่างเจียระไน½ีมือสองคนควรได้รับท่ีดินสามกิริยะเท่าเทียมกัน ชา่ งตเี หลก็ สองคนควรไดร้ บั ทด่ี นิ หนง่ึ กริ ยิ ะเทา่ เทยี มกนั ผเู้ ผาเครอื่ งหอม
32 ศรีลงั กากตกิ าวตั ร ควรได้หมู่บ้านสุนุโบฬเทแวคามะ ผู้ขับเกวียนหกคนควรได้รับหมู่บ้าน ดนุ มุ คุ ามะ ผคู้ มุ คนงานแหง่ กองซอ่ มบา� รงุ ควรไดร้ บั ทด่ี นิ หนงึ่ กริ ยิ ะพรอ้ ม ข้าวหนึ่งอฑมนาและหน่ึงปะตะทุกวัน ส่วนคนงานสิบสองคนของกอง ซ่อมบา� รุงนัน้ ควรไดร้ ับขา้ วหน่ึงอฑมนาทกุ วนั พรอ้ มท่ีดนิ สองปะยะเพื่อ การบา� รุงรักษา ส�าหรับผู้คุมสามคนแห่งนวคุณมหาแสยะเจดีย์ก็ดี นาฏวิยะ มหาแสยะเจดยี ก์ ด็ ี และอมั บลุ ดุ าแคบะเจดยี ก์ ด็ ี ควรไดร้ บั ทด่ี นิ สองปะยะ เท่าเทยี มกัน ผทู้ า� ความสะอาดรอบบริเวณและดแู ลเจดียเ์ ป็นตน้ ซ่งึ เปน็ สมบัติของแอตเวเหระ รอบบริเวณภูเขาช้ันบนและชั้นล่างของอาราม วหิ ารแหง่ น้ี ควรไดร้ บั หนง่ึ วะสกั จากเทมยิ ะ ผปู้ ระกอบพธิ ใี นหอพระธาตุ ของอารามวิหารและในโรงฉันก็ดี ผู้ซักผ้าสองคนกล่าวคือท�าความ สะอาดผา้ กาสาวพสั ตรข์ องพระสงฆก์ ด็ ี และหวั หนา้ ผดู้ แู ลเครอื่ งแตง่ กาย กด็ ี ควรได้รับที่ดินสามกิรยิ ะในหมู่บา้ นมังคุแลวะ ถนนหนทางขนาดใหญ่ คนงานได้คา่ จ้าง และเมลาฏสใี นหมู่บา้ น และทด่ี นิ ทงั้ หมด ซงึ่ เปน็ สมบตั ขิ องอารามวหิ ารแหง่ นี้ ควรมกี ารควบคมุ ในฐานะเป็นสมบัติหนึ่งเดียวของอารามวิหารแห่งน้ี ไม่ว่าจะเป็นนัก เดินทางหรือคนเร่ร่อนก็ไม่ควรละเมิดกติกาน้ี การกักเก็บน�้าตามอ่าง เก็บน�้ากแณแววะทุกแห่ง ควรน�ามาใช้สอยส�าหรับอารามวิหารแห่งน้ี เทา่ นน้ั ประเพณีโบราณสมัยทมิฬครองเกาะลงั กาน้นั หมูบ่ า้ นหรือท่ีดิน ของอารามแหง่ นไี้ มม่ กี ารจา� นองหรอื สละทง้ิ ผบู้ รจิ าคซง่ึ มที ดี่ นิ มากยอ่ ม ถูกปรับและอารามวิหารสามารถเข้ายึดครองได้ ผู้โยกย้ายท่ีดินของ อารามวิหารควรเนรเทศไปอยู่อาณาจักรภายนอก ด้วยพระราชโองการนี้ กฎระเบียบทั้งหมดนี้ ควรปฏิบัติตาม อย่างเครง่ ครัด หา้ มล่วงละเมิด
มิหนิ ตะเลกติกา 33 รปู ปน พระเจา เทวานมั ปยิ ตสิ สะ บรเิ วณมหิ นิ ตะเล(คดั ลอกจากwww.google.co.th/maps)
34 ศรีลังกากตกิ าวตั ร มหาแสยะเจดยี ์ บริเวณมหิ ินตะเล (คัดลอกจาก www.google.co.th/maps) ทางข้นึ มหิ ินตะเลชั้นบน (คัดลอกจาก www.google.co.th/maps)
มิหินตะเลกตกิ า 35 ซากสถูปโบราณภายในสํานักอภัยคิรีวิหาร เมืองหลวงเกาอนุราธปุระ (คัดลอกจาก www.google.co.th/maps) พระพุทธศิลาโบราณภายในสํานักอภัยคิรีวิหาร เมืองหลวงเกาอนุราธปุระ (คัดลอกจาก www.google.co.th/maps)
36 ศรลี งั กากตกิ าวตั ร ซากปรักหกั พังโรงพยาบาล บรเิ วณมิหนิ ตะเล เรือยาหรอื นาวาโอสถภายในโรงพยาบาล บรเิ วณมิหนิ ตะเล
มหิ นิ ตะเลกติกา 37 ๑.ö ทศั นะและวจิ ารณ์ ๑.ö.๑ จากบรมราชูทศิ สู่ทรพั ย์สนิ ของอารามวหิ าร พระพทุ ธเจา้ ทรงวางกฎระเบยี บใหพ้ ระสงฆเ์ ปน็ อสิ ระจากภาระแบบ ชาวโลก ด�ารงชีวิตเรียบง่ายและเป็นอยู่ด้วยปัจจัยสี่ แต่เชื่อมโยงกับ ชาวบ้านในฐานะผู้สงเคราะห์อุปถัมภ์ ภาระหน้าท่ีหลักของพระสงฆ์คือ ปฏิบัติตนให้หลุดพ้นจากอาสวกิเลสแล้วสั่งสอนให้ชาวบ้านอยู่ร่วมกัน อย่างเป็นสุขไม่เบียดเบียนกัน ส่วนชาวบ้านผู้มีบทบาทเด่นด้านการ อุปถัมภ์พระพุทธศาสนาคือสถาบันพระมหากษัตริย์ นอกจากท�าหน้าที่ อปุ ถมั ภแ์ ลว้ สถาบนั พระมหากษตั รยิ ย์ งั มโี อกาสเขา้ มามสี ว่ นรว่ มในการ จัดระเบียบคณะสงฆ์ ด้วยการชี้แนะพระพุทธเจ้าให้ทรงตราพระวินัย เพื่อความดีงามของหมู่คณะและอนุชนรุ่นหลัง ส�าหรับการถวายความ อปุ ถมั ภน์ นั้ นอกจากสงเคราะหค์ ณะสงฆด์ ว้ ยปจั จยั สอ่ี นั เปน็ พนื้ ฐานการ ดา� รงชีวิตของสมณะแล้ว ยังถวายทดี่ นิ เพ่อื เป็นอารามวิหารพร้อมสร้าง เสนาสนะส�าหรับเปน็ ทีพ่ กั อาศัยของพระสงฆ์ด้วย เจตนาเพอ่ื สงเคราะห์ พระสงฆผ์ ู้มาจากสีท่ ิศโดยมไิ ด้เจาะจงรูปใดรปู หนง่ึ (ว.ิ มหา 4/59/71) พระพุทธศาสนาเข้ามาเผยแผ่บนเกาะลังกายุคแรกสมัยพระเจ้า เทวานัมปิยติสสะ (พ.ศ.๒๙๓-๓๓๓) ในฐานะเป็นศาสนูปถัมภก พระองค์ได้บ�าเพ็ญศาสนกิจตามจารีตประเพณีของกษัตริย์แห่งอินเดีย ประเทศ ดังเช่น ถวายพระราชอุทยานเพ่ือให้เป็นท่ีพ�านักของพระสงฆ์ (พระพทุ ธโฆสเถระ ภาค 1: 2550; 104-105) ครนั้ เมอื่ พระสมณทตู โดย การนา� ของพระมหนิ ทเถระจา� พรรษาแรกทเี่ จตยิ บรรพต พระองคโ์ ปรดให้ สร้างถ�้าส�าหรับเป็นท่ีพักของพระอรหันต์เหล่านั้น (พระมหานามเถระ
38 ศรลี ังกากตกิ าวตั ร และคณะบณั ฑติ ภาค 1: 2553; 146-147) โปรดใหส้ รา้ งถูปารามเจดีย์ บรรจุพระบรมสารีริกธาตุเพื่อเป็นสถานที่สักการบูชาของชาวเกาะลังกา โปรดให้สร้างอิสสรสมณวิหารส�าหรับเป็นท่ีพักอาศัยของกุลบุตรผู้ ออกบวชจากตระกูลสูง โปรดให้สร้างเวสสคริ ีวิหารส�าหรับเปน็ ที่อยูข่ อง กลุ บุตรผูอ้ อกบวชจากตระกูลพ่อคา้ และโปรดใหส้ ร้างส�านกั ภิกษณุ นี าม วา่ อปุ าสกิ าวหิ ารและหตั ถาฬหวหิ าร เพอ่ื เปน็ สถานทพี่ า� นกั ของภกิ ษณุ สี งฆ์ มีพระสังฆมิตตาเถรีเป็นประธาน (พระมหานามเถระและคณะบัณฑิต ภาค 1: 2553; 184-185) หลกั ฐานดงั กลา่ วชใี้ หเ้ หน็ วา่ การอปุ ถมั ภด์ แู ล พระสงฆ์เป็นหน้าที่ของพระมหากษัตริย์ผู้เป็นพุทธมามกะ เสนาสนะ หรือวัตถุส่ิงของท่ีน้อมถวายพระสงฆ์สมัยน้ัน ถือว่าเป็นสมบัติของ คณะสงฆผ์ ู้เดนิ ทางมาจากทศิ ท้งั สต่ี ามพุทธโบราณประเพณี แต่ภายหลังต่อมาพระสงฆ์มีจ�านวนเพ่ิมมากข้ึน สถาบันกษัตริย์ ไม่สามารถอุปถัมภ์พระสงฆ์แบบเดิมได้จึงต้องปรับเปลี่ยนวิธีการใหม่ เพื่อให้พระสงฆ์สามารถเล้ียงตัวเองได้โดยไม่ต้องพึ่งพาความช่วยเหลือ จากกษัตริย์ วิธีการแบบใหม่นี้เรียกว่าพระบรมราชูทิศ (Royal Endowment) หลักฐานจากจารึกระบุว่าพระบรมราชูทิศยุคแรกคือ อ่างเก็บน้า� และคลอง (EZ. I: 1994; 69, 148) กลา่ วคอื ชาวนาชาวไร่ ผู้ได้ประโยชน์จากอ่างเก็บน�้าและคลองของอารามวิหาร ไม่ว่าท�าการ เกษตรหรืออุปโภคบริโภค ต้องมอบรายได้ส่วนหนึ่งแก่อารามวิหาร ส�าหรับบ�ารุงรักษา คร้ันต่อมาเกิดมีคติความเชื่อเป็นที่นิยมหลายอย่าง กลา่ วคือ การบชู าสถูปเจดียบ์ รรจพุ ระบรมสารรี กิ ธาตุ การกราบไหว้ต้น พระศรีมหาโพธิ์ และการสักการะพระพุทธรูปประดิษฐานภายในวิหาร สิ่งศักด์ิสิทธ์ิเหล่าน้ีนอกจากมีการบูชาเป็นนิตย์แล้ว ยังมีประเพณี
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388